เล่ห์รักกลกาล 235-241

ตอนที่ 235 สถานที่ที่เป่ยเฉินอี้พบจงเ...

 

เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เอ่ยต่อไป “ข้าน้อยไม่กล้าบอกว่าแม่ทัพจิวมั่วไม่จงรักภักดี แต่ในเมื่อเขาเป็นเช่นนี้ก็นับว่าแปลกประหลาด ท่านข่านสมควรป้องกันไว้!”


 


 


ราชาต้ามั่วฟังจบแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “ในเมื่อขุนนางรักกล่าวเช่นนั้น เช่นนั้นก็ไม่บอกจิวมั่วเหอชั่วคราว เจ้าทำหน้าที่ติดต่อกับเป่ยเฉินอี้ก็พอแล้ว!”


 


 


 “ขอบคุณที่ท่านข่านเชื่อใจข้า!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่พยักหน้าทันที เอ่ยต่อว่า “ความหมายของเป่ยเฉินอี้คือต้องการให้เมืองชายแดนวุ่นวาย พวกเราถึงมีโอกาส!”


 


 


ราชาต้ามั่วแค่นหัวเราะเย็นชา “ในเมื่อเยี่ยเม่ยไม่อยู่ชายแดน เปลี่ยนเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรักษาการณ์แทน เขาวรยุทธ์ไม่ธรรมดา พวกเราไม่อาจบุกไปโดยพลการดังเดิม แต่ขอเพียงภายในเมืองเกิดจลาจล เช่นนั้นเมืองชายแดนก็เป็นของข้าแล้ว!”


 


 


 “ท่านข่านปรีชานัก! ข้าน้อยคิดว่าเรื่องเล็กน้อยนี้ เป่ยเฉินอี้ย่อมทำได้!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่รีบเปิดปากเสนอทันที ใจเขายอมรับในความสามารถของเป่ยเฉินอี้มาก


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า “อืม ข้าหวังเช่นนั้น!”


 


 


พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ระหว่างที่พวกเขาปรึกษากันอยู่นั้น องครักษ์หน้ากระโจมผู้หนึ่งแอบฟังอยู่ หลังจากนั้นก็หมุนตัวจากไป…


 


 


……


 


 


เมืองหลวง จวนเซี่ยโหวเฉิน


 


 


เหวยซื่อวิ่งเข้ามาในห้องเซี่ยโหวเฉินอย่างร้อนรน เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวดีแล้ว!”


 


 


เซี่ยโหวเฉินกำลังมองกระดานหมากเบื้องหน้า สายตาครุ่นคิด


 


 


เห็นเหวยซื่อวิ่งเข้ามาอย่างกระวนกระวายก็หาได้หันมอง เพียงเอ่ยเสียงนิ่งว่า “เงียบ ข้ากำลังอ่านหมากอยู่!”


 


 


เหวยซื่อเงียบลงทันที ไม่กล้าส่งเสียง


 


 


เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเตี้ยนเซี่ยของตนมีเป้าหมายในการเอาชนะเป่ยเฉินอี้มาตลอด ในเมื่อตอนนี้เตี้ยนเซี่ยกำลังอ่านหมากอยู่ เช่นนั้น…คงกำลังวิเคราะห์หมากที่เป่ยเฉินอี้วางไว้  หากเขาขัดเตี้ยนเซี่ยในเวลานี้ ก็เท่ากับทำให้เตี้ยนเซี่ยเสียความคิด


 


 


ในเวลานี้เอง


 


 


เรียวคิ้วของเซี่ยโหวเฉินขมวดแน่น เอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หากเป่ยเฉินอี้ผลักดันหมากก้าวนี้จริงๆ ไฉนเวลานี้เขากลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยสักน้อย!”


 


 


 “เอ๋” เหวยซื่ออึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมาย


 


 


เซี่ยโหวเฉินกวาดตามองเขาคราหนึ่ง สีหน้านิ่งขรึมอธิบาย “จิ่วหุนถูกเล่นงาน เยี่ยเม่ยออกจากชายแดน หากเป็นสถานการณ์ที่เป่ยเฉินอี้วางไว้ อย่างนั้นตามหลักแล้ว ขอเพียงควบคุมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไว้ได้คนเดียว ก็มากพอจะลงมือแล้ว ถึงร่างกายของเป่ยเฉินอี้ในเวลานี้ไม่อาจประลองยุทธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องปกป้องจิ่วหุน ก็นับเป็นจุดอ่อน ดังนั้น…”


 


 


เหวยซื่อเอ่ยถาม “ดังนั้นท่านอ๋องคิดว่า เวลานี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เป่ยเฉินอี้จะลงมือ แต่ว่าเขากลับไม่ลงมือ เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่”


 


 


เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า หัวเราะเบาๆ หันมองเหวยซื่อ “ไม่ผิด!”


 


 


ถึงเขากำลังหัวเราะ แต่การหัวเราะนั้นไม่ได้ออกจากเบื้องลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาในยามนี้ตกต่ำเป็นอย่างมาก คิดเอาชนะศัตรู ก็ต้องทำความเข้าใจศัตรูของตนก่อน สถานการณ์ยามนี้ แม้กระทั่งเป่ยเฉินอี้ทำเช่นนี้เพราะอะไร เขายังวิเคราะห์ออกมาไม่ได้เลย


 


 


คิดเอาชนะเป่ยเฉินอี้ หาใช่เรื่องง่าย


 


 


เหวยซื่อเอ่ยปาก “พูดตามจริง หากปัญหานี้ท่านถามข้าน้อยเมื่อวาน ข้าน้อยย่อมมืดมนคิดไม่ออก แต่วันนี้…บางทีภาพนี้อาจช่วยให้คำตอบท่านได้!”


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ย ก็ยื่นภาพวาดให้เซี่ยโหวเฉิน


 


 


เซี่ยโหวเฉินกางม้วนภาพออก เห็นคนในภาพนั้นก็ตะลึงงัน มองเหวยซื่ออย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าหมายความว่านี่คือ…”


 


 


เหวยซื่อพยักหน้า “เดิมทีข้าน้อยคิดว่าการหาภาพเหมือนของจงเจิ้งซีเป็นเรื่องยากมาก ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะราบรื่นจนน่าแปลก ข้าน้อยพบจิตรกรสามัญชนผู้หนึ่ง บอกว่าปีนั้นจงเจิ้งซีหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกวัง เห็นจิตรกรตั้งแผงอยู่ริมถนน จึงให้คนวาดภาพนี้ออกมา นั่นก็คือภาพที่อยู่ในมือท่านภาพนี้!”


 


 


เซี่ยโหวเฉินมองคุณภาพกระดาษของภาพวาด ทั้งยังมีลายหมึก หาใช่ภาพใหม่ สมควรเป็นภาพที่วาดไว้หลายปีก่อนหน้าแล้ว


 


 


ระหว่างเงยหน้าขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนภาพนี้ถึงได้…”


 


 


 “ได้ยินว่าหลังจากจิตรกรเพิ่งจะวาดภาพนี้เสร็จ จงเจิ้งซีถูกลอบสังหาร เขากลัวจะเดือดร้อนไปด้วย จงเจิ้งซีหนีเอาชีวิตรอดไม่ได้กลับมาเอาภาพไป ด้วยเหตุนี้ภาพจึงอยู่ในมือเขา ไม่รู้ว่าจิตรกรได้ข่าวมาจากไหนว่าอี้อ๋องกำลังตามหาภาพภาพนี้ ยินยอมใช้เงินพันตำลึงเพื่อซื้อมา ดังนั้นเขาจึงแอบมาที่เมืองหลวง บังเอิญได้พบข้าน้อยพอดี!”


 


 


เหวยซื่อเอ่ยไปก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย ทั้งยังลอบมองเซี่ยโหวเฉินอย่างระวัง “ดังนั้น ท่านอ๋อง ข้าน้อยจึงจ่ายเงิน ทั้งยังจ่ายไปไม่น้อยอีกด้วย เพราะรูปภาพเพียงรูปเดียว ข้าน้อยไม่กล้าปล่อยโอกาสไปง่ายๆ!”


 


 


เงินมาจากห้องบัญชี พันตำลึงหาใช่จำนวนน้อยๆ ดังนั้นเขาต้องบอกเสียหน่อย


 


 


เซี่ยโหวเฉินโบกมือ ไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่า จงเจิ้งซีจะหน้าตาเหมือนแม่นางเยี่ยเม่ยไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด”


 


 


พูดถึงเยี่ยเม่ยเซี่ยโหวเฉินก็คิดได้ ยามนั้นเขาอยู่บนหอสูงที่ชายแดน เห็นสตรีนางหนึ่งเล่นงานคนของหอคณิกา


 


 


ตามหลักแล้ว หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเป่ยเฉินอี้ไม่สนใจนาง สตรีเช่นนี้ เขาเซี่ยโหวเฉินก็ไม่มีทางปล่อยไป


 


 


สถานการณ์ในเวลานี้…


 


 


เขาแค่นหัวเราะ “ดังนั้น ความผิดปกติของเป่ยเฉินอี้ในยามนี้ ล้วนเป็นเพราะเยี่ยเม่ยผู้นี้หรือ ไม่แน่อาจเป็นเพราะนางมีใบหน้าเหมือนกับจงเจิ้งซีก็เป็นได้”


 


 


 “ข้าน้อยเดาว่าเป็นเช่นนี้” เหวยซื่อรีบตอบรับทันควัน


 


 


เซี่ยโหวเฉินปรายตามองเขา ถามอีกว่า “ก่อนหน้าข้าให้เจ้าตรวจสอบฐานะของนาง พวกเจ้าหาพบแล้วหรือไม่”


 


 


คำถามนี้เมื่อเอ่ยออก สีหน้าเหวยซื่อปรากฏความลำบากใจ “ท่านอ๋อง ร่องรอยสักนิดก็ไม่มี คนผู้นี้คล้ายโผล่ออกมาจากอากาศ ครั้งแรกที่นางปรากฏกายก็พบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่กลางเขา ร่องรอยเบาะแสอื่นๆ ไม่มีเลยสักน้อย อีกทั้งข้าน้อยยังบังเอิญตรวจพบว่ามีคนหลายกลุ่มที่กำลังสืบหาฐานะของนางเช่นกัน ดูท่าก็ไม่มีใครล่วงรู้อะไรเลย!”


 


 


เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว สืบต่อไป!”


 


 


 “ขอรับ!” เหวยซื่อพยักหน้า ถามว่า “เช่นนั้นท่านอ๋อง ท่านเตรียม…”


 


 


เซี่ยโหวเฉินแค่นเสียงเบาๆ โยนภาพไปไว้อีกทางหนึ่ง “เตรียมการหรือ…ในเมื่อรู้ว่าเยี่ยเม่ยหน้าตาเหมือนจงเจิ้งซี โอกาสเช่นนี้ ข้าจะต้องใช้มันให้ดีแน่!”


 


 


……


 


 


เช้าตรู่ ยามฟ้าสาง


 


 


สถานที่ตั้งเดิมของราชวงศ์จงเจิ้ง


 


 


ชานเมือง…


 


 


รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ หยุดลงยังที่แห่งนี้ เวลานี้เยี่ยเม่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว สายตาเป่ยเฉินอี้มองนาง ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่เป็นสถานที่สุดท้ายที่ เป่ยเฉินอี้จะพาเจ้าไปดู!”


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องมองเป่ยเฉินอี้ นั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ


 


 


เมื่อวานนางเผยพิรุธออกไปอย่างใหญ่หลวงแล้ว วันนี้หากไม่เตรียมตัวให้ดีก่อน นางไม่กล้าลงรถม้าโดยพลการ กลัวว่าจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้อีก ไม่ทันควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ทัน ถูกเป่ยเฉินอี้จับพิรุธได้อีกครั้ง


 


 


นางถามกลับเสียงนิ่ง “ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน”


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องหน้านาง ตอบตามตรง “นี่คือสถานที่ที่เป่ยเฉินอี้พบจงเจิ้งซีครั้งแรก”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักงัน


 


 


กัดฟันแน่น เตรียมใจไว้พอประมาณแล้ว เอ่ยว่า “ถึงไม่รู้ว่าจงเจิ้งซีคือใคร แต่ในเมื่ออี้อ๋องบอกว่าเป็นที่สุดท้ายเช่นนั้นก็ลงจากรถเถอะ!” 

 

 


ตอนที่ 236 กลับกันข้าไม่สนใจว่าท่านจะ...

 

เยี่ยเม่ยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางแสดงออกว่านางไม่อยากเสียเวลาติดตามเขาอีกต่อไป ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็รีบจัดการให้เสร็จเถิด


 


 


เป่ยเฉินอี้ไม่พูดจา เลิกม่านออก ลงจากรถม้าไป


 


 


อากัปกิริยาเขาสูงส่งเกินเปรียบ ท่วงท่ายามลงจากรถม้าเผยความเป็นราชันย์ออกมา


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องแผ่นหลังของเขา ให้กำลังใจตัวเอง อย่าได้เผยพิรุธออกไป อย่าเผยพิรุธออกไปเลยแม้แต่น้อย ในความทรงจำที่ฟื้นฟูกลับมาของนาง ไม่มีเป่ยเฉินอี้ ดังนั้นสถานที่แรกที่พบเขา บางทีอาจทำให้นึกเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับเป่ยเฉินอี้ได้


 


 


บางทีอาจเป็นความทรงจำชิ้นสำคัญของนาง เช่นนั้นก็ยิ่งต้องระวัง


 


 


หลังจากเป่ยเฉินอี้ลงจากรถม้า เห็นเยี่ยเม่ยไม่ขยับ น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูก็ดังขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเคลื่อนไหวไม่สะดวกหรือ ต้องให้ข้าพยุงหรือไม่”


 


 


 “ร่างกายไม่สบายอยู่บ้างก็ถูก แต่ไม่จำเป็นต้องพยุงแล้ว!” เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็ยื่นมือค้ำผนังรถม้าไว้ ก้าวลงจากรถ


 


 


ความจริงนางไม่ได้เจ็บปวดขนาดนั้น เพียงแต่เวลานี้อ่อนแออยู่บ้าง อีกประเดี๋ยวหากเกิดท่าทางผิดปกติขึ้นมาจริงๆ ก็ยังพอจะปิดบังไปได้


 


 


เวลานี้เยี่ยเม่ยเริ่มรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ เมื่อก่อนยามอยู่ร่วมกับพวกลูกพี่ ทุกครั้งที่นางมีประจำเดือน มักแกล้งทำเป็นเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ทั้งยังแกล้งสลบไปเพื่อหนีงาน ทุกเดือนจะมีเวลาพักผ่อนอยู่สองสามวัน


 


 


ความสามารถในการเสแสร้ง ในยามนี้ก็เอาออกมาใช้ได้แล้ว


 


 


หลังจากลงรถม้า เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองรอบด้านล้วนเป็นผืนหญ้าเขียวขจี สิ่งที่น่าแปลกใจในครั้งนี้คือ เยี่ยเม่ยกลับไม่รับรู้ถึงอะไรเลย


 


 


เป่ยเฉินอี้มองนาง จากนั้นตวัดสายตามองทางเดินสายเล็กไม่ห่างออกไป เอ่ยเสียงนิ่ง “แม่นางเยี่ยเม่ย เดินตามข้ามาเถอะ!”


 


 


เยี่ยเม่ยระแวงสงสัย ไม่ค่อยเข้าใจว่าครั้งนี้ทำไมนางถึงไม่รับรู้ถึงอะไรเลย


 


 


เมื่อฟังเขาเอ่ยเช่นนี้ นางก็หาได้คัดค้าน พยักหน้าเล็กน้อย “อี้อ๋องเชิญนำทางเถิด!”


 


 


สิ้นเสียงนาง เป่ยเฉินอี้ก็หมุนตัวเดินออกไปสองก้าว เขาก้าวเท้าช้าๆ รอนางก้าวตามมา ทั้งสองเดินเคียงบ่าไปบนทุ่งหญ้า


 


 


บนร่างของเยี่ยเม่ยยังคงคลุมผ้าขนเตียวผืนนั้น ยามเช้าอากาศเย็นมาก เป่ยเฉินอี้ยืนอยู่กลางลมหนาว ไอออกมา


 


 


จากนั้น เยี่ยเม่ยเพียงหันมองทีหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังไม่คิดเอาผ้าขนเตียวส่งให้เขา


 


 


นางก็หนาวเช่นกัน


 


 


เป่ยเฉินอี้เห็นสายตาแปลกประหลาดของนาง กลับหัวเราะเสียงขรึม “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ต้องใส่ใจ เป่ยเฉินอี้เป็นบุรุษ ร่างกายย่อมแข็งแรงกว่าแม่นางอยู่บ้าง”


 


 


สิ้นเสียงของเขาเยี่ยเม่ยก็พยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “เดิมทีข้าก็หาได้ใส่ใจอยู่แล้ว”


 


 


เป่ยเฉินอี้ “…”


 


 


ชิงเกอ “…!”


 


 


อะไรกัน ไม่ว่าอย่างไรผ้าคลุมบนร่างเยี่ยเม่ยผืนนั้นก็เป็นของท่านอ๋องนะ นางไม่สำนึกบุญคุณเรื่องนี้ก็ช่างเถอะ ยังจะพูดจาไร้น้ำจิตน้ำใจออกมาอีก


 


 


ราวกับนางเข้าใจว่าชิงเกอคิดอะไรอยู่


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองเจ้านายกับลูกน้องรอบหนึ่ง เอ่ยปากเสียงเย็นชา “ตามหลักแล้วเวลานี้ข้าสมควรใกล้ถึงชายแดนแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องรั้งให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่ต้องทนรับความหนาวอยู่ตรงนี้ ท่านอ๋องมอบผ้าคลุมขนเตียวให้ข้า ก็ช่วยชดเชยความเสียหายของข้าไปแค่หนึ่งส่วนสองส่วนเท่านั้น หวังให้เยี่ยเม่ยสำนึกบุญคุณ เป็นไปไม่ได้”


 


 


นอกจากว่า เพราะผ้าคลุมขนเตียวนี้ทำให้นางไม่แค้นเคืองมากเกินไปก็เท่านั้น


 


 


เป่ยเฉินอี้ย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ เพียงแต่นางเอ่ยออกมาตามตรงว่า นางไม่ใส่ใจสุขภาพของเขาสักนิด ความจริงแล้วทำร้ายจิตใจคนอยู่บ้าง


 


 


เขาถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว!”


 


 


เยี่ยเม่ยถอนสายตากลับ จากนั้นเดินติดตามเขาต่อไป ทว่าเมื่อเดินไปถึงบริเวณพื้นขรุขระ ขานางเกือบพลิก เวลานั้นเยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย


 


 


ในเวลานี้ ภาพเหตุการณ์หนึ่งโลดแล่นเข้าในสมองนางอย่างรวดเร็ว


 


 


แม่นางน้อยหน้าตาเหมือนนางราวกับแกะกำลังหนีเอาชีวิตรอด คนชุดดำด้านหลังไล่สังหาร นางสะดุดล้มอยู่ที่ขรุขระตรงนี้


 


 


เยี่ยเม่ยหันไปด้านข้าง นางมองเห็นใบหน้าของเป่ยเฉินอี้


 


 


ยามที่มองเห็นเป่ยเฉินอี้ มีภาพเหตุการณ์ฉายวับขึ้นมาให้หัวนางอีกครั้ง นางล้มลงที่พื้น เวลานี้เป่ยเฉินอี้ปรากฏกายยามที่นางตกอยู่ในอันตราย เขาแทงดาบออกไปช่วยชีวิตนางไว้ จากนั้นภาพเหตุการณ์ก็เด่นชัดขึ้นมา นั่นคือภาพทั้งหมดตอนที่เป่ยเฉินอี้ช่วยเหลือนาง


 


 


เยี่ยเม่ยในเวลานี้ชะงักไปเล็กน้อย


 


 


ความรู้สึกไม่ถูกต้องที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นในหัวใจ เป็นไปได้อย่างไร เป่ยเฉินอี้เป็นคนที่เคยช่วยชีวิตนางไว้ ถ้าเป็นเช่นนี้…นางที่รังเกียจเป่ยเฉินอี้อยู่แต่เดิมค่อยๆ ฟื้นฟูความทรงจำขึ้นมาทีละนิดในเวลานี้ เพราะอะไรในจิตใต้สำนึกกลับยิ่งทวีความรังเกียจคนผู้นี้ขึ้นไปอีกกันเล่า


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ยเห็นว่าอย่างไร”


 


 


สายตาของนาง รวมถึงฝีเท้าที่พลันชะงักหยุด ทำให้เป่ยเฉินอี้กลับมามองนางทีหนึ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยถามยังคงนิ่งขรึมดังเดิม ฟังไม่ออกว่าเขากังวลมากน้อยเพียงใด กลับรู้สึกถึงความหยั่งเชิงอยู่ไม่น้อย


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขา แค่นหัวเราะออกมา “ข้าเพียงแค่แปลกใจ คนที่ปราดเปรื่องเช่นอี้อ๋อง ไฉนถึงมีใจมาเดินเล่นอยู่ที่นี่ ที่สุดแล้วท่านต้องการช่วยข้าตามหาเรื่องในอดีต หรือช่วยให้ตัวเองกลับไปสัมผัสในอดีตที่ผ่านมากันแน่


 


 


ในยามที่ตัวเองเกือบเผยพิรุธออกมา ถอยเพื่อรุกก็นับเป็นวิธีที่ดี


 


 


เมื่อไม่อยากให้เป่ยเฉินอี้มองออก อย่างนั้นก็ชิงจู่โจมก่อน ลอบถามอดีตของเป่ยเฉินอี้ ก็ถือเป็นวิธีการปกป้องตนเองเช่นกัน


 


 


เป็นจริงดังคาด


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้กลับชะงักไป ก้มหน้าแค่นหัวเราะ เบือนหน้ามองทิวทัศน์ด้านข้าง เสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ ดังขึ้นว่า “เชื่อว่าจนถึงตอนนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะเข้าใจว่า เป่ยเฉินอี้เห็นเจ้าเป็นคนอีกคนหนึ่ง!”


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น “จำเป็นต้องถึงเวลานี้อย่างนั้นเหรอ วันนั้นในห้องอี้อ๋อง ท่านโพล่งประโยคนั้นออกมา ว่าข้าเป็นคนที่ใครส่งมากันแน่ ก็มากพอพิสูจน์แล้วว่าฐานะข้าในใจของอี้อ๋องไม่ใช่ธรรมดา”


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงเข้ม “แม่นางเยี่ยเม่ยฉลาดจริงๆ อย่างนั้นไม่ทราบว่าเจ้าจะคาดเดาได้หรือไม่ว่า เป่ยเฉินอี้เห็นว่าเจ้าคือใคร”


 


 


 “เกรงว่าจะเป็นสหายเก่าของอี้อ๋องแล้ว!” พูดไปเยี่ยเม่ยหันมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินอี้เสริมขึ้นอีกว่า “บางทีอาจไม่ใช่แค่สหายเก่า แต่ยังเป็นคนที่สำคัญมากคนหนึ่ง”


 


 


สายตาของเป่ยเฉินอี้ทอดยาวออกไปไกล เสียงน่าฟังเอ่ยว่า “เป็นสตรีในดวงใจข้า ทั้งยังเป็นพระชายาอี้อ๋องหนึ่งเดียวในใจข้าด้วย”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันตะลึงงัน


 


 


อารมณ์แปลกประหลาดงอกเงยขึ้นมาในจิตใจ เจ็บปวดคล้ายสุราร้อนแรงที่หมักไว้เป็นเวลาหลายปีไหลผ่านกระเพาะ นี่หาใช่ความรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ กลับเป็นอารมณ์สับสน อธิบายได้ไม่ชัด คิดไม่ออกชนิดหนึ่ง


 


 


เพียงแต่หลังจากนางอึ้งไปแล้ว ก็ได้สติกลับมา แค่นหัวเราะคำหนึ่ง “อี้อ๋องกลับตรงไปตรงมานัก ไม่รู้ไฉนท่านถึงได้คิดว่าข้าคือสตรีนางนั้น”


 


 


ความจริง ในใจนางก็พอมีคำตอบอยู่บ้าง


 


 


อีกทั้งคำพูดของเป่ยเฉินอี้ก็จะพิสูจน์การคาดเดาของนางได้ในไม่ช้า เขาตอบเสียงขรึมว่า “เพราะว่าแม่นางเยี่ยเม่ยมีหน้าตาเหมือนกับนางไม่มีผิดเลย”


 


 


เป็นอย่างที่คาดไว้!


 


 


เยี่ยเม่ยทำหน้าเข้าใจ พยักหน้า “ดังนั้นท่านจึงสงสัยว่าข้าคือนาง ถึงมีการหยั่งเชิงตลอดสองวันนี้อย่างนั้นหรือ”


 


 


นางเข้าใจ นางอาจเป็นคนที่เป่ยเฉินอี้เอ่ยถึง


 


 


แต่นางชัดแจ้งอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ของนางกับเป่ยเฉินอี้ไม่มีธรรมดาง่ายดายอย่างแน่นอน 

 

 


ตอนที่ 237 ยืนอยู่ฝั่งข้า หรือไปตายพร...

 

ต้องไม่เป็นอย่างที่ปากเขาพูดแน่ 


 


 


เป็นเพียงสตรีที่รักธรรมดาๆ เช่นนี้  ต้องมีเรื่องราวภายในอีกมากมายอย่างแน่นอน ก่อนที่จะรู้เรื่องชัดเจน นางไม่มีทางเผยพิรุธออกไปอย่างเด็ดขาด  


 


 


เมื่อพูดกันถึงขั้นนี้ เยี่ยเม่ยถามออกมา เป่ยเฉินอี้ก็คลี่ยิ้ม “ไม่เลว!” 


 


 


เยี่ยเม่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้น ยามนี้อี้อ๋องได้คำตอบแล้วหรือยัง” 


 


 


การถามของนางคล้ายกับยั่วโทสะเป่ยเฉินอี้ เขาพลันมองไปทางเยี่ยเม่ย สายตาเผยแววอำมหิต  


 


 


เยี่ยเม่ยหาใช่โง่งม มองออกว่าเขาทำเพื่ออะไร 


 


 


นางแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่ใส่ใจเลยสักเล็กน้อย กลับเอ่ยเสียงเย็นว่า “ดูจากสีหน้าของอี้อ๋อง คงเข้าใจแล้วว่าเยี่ยเม่ยหาใช่คนในใจท่านผู้นั้นไม่ ส่วนจิตสังหารที่ท่านแผ่ออกมาในเวลานี้ เพราะความผิดหวังอย่างนั้นหรือ แต่ก็ขออี้อ๋องรับรู้ไว้ด้วย การตายของคนรักท่าน เยี่ยเม่ยมิได้เป็นคนก่อขึ้น” 


 


 


ดังนั้น เขามองนางด้วยจิตสังหารเช่นนี้ ไม่ถูกต้องตามเหตุผล 


 


 


ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ชิงเกอที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เริ่มตื่นเต้น เกรงว่าท่านอ๋องจะเกิดโทสะสังหารเยี่ยเม่ย  


 


 


อย่างไรเสียเขาก็เข้าใจสถานการณ์และเป้าหมายที่ท่านอ๋องวางไว้ หากสังหารเยี่ยเม่ยขึ้นมาจริงๆ ทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด ถึงกระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะสังหารท่านอ๋องหรือเปล่าก็ยังไม่อาจบอกได้แน่ อีกอย่างร่างกายของท่านอ๋องยังไม่หายดี ต่อให้สังหารนางก็ไม่สมควรเป็นเวลานี้  


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ย สายตาคมกริบราวใบมีดของเป่ยเฉินอี้ก็จับจ้องที่เยี่ยเม่ยอยู่สักพักหนึ่ง 


 


 


ทว่าในที่สุด เขาก็ถอนสายตากลับ “แม่นางเยี่ยเม่ยดูไม่กลัวเลยสักน้อย” 


 


 


 “ถูกแล้ว!” เยี่ยเม่ยตอบตามตรง “คิดสังหารข้า ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกประการหากข้าเป็นอะไรขึ้นมา เชื่อว่าคู่หมั้นของข้าต้องช่วยล้างแค้นแทนข้าแน่” 


 


 


พูดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หัวใจของเยี่ยเม่ยกลับมีความรู้สึกมั่นคง 


 


 


ระหว่างนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับน่าสนใจมาก นับตั้งแต่รู้จักจนมาถึงวันนี้ ไม่เคยร่วมผ่านอุปสรรคความเป็นตายมาก่อน ทั้งไม่เหมือนคู่รัก เจ้าพึ่งพิงข้า ข้าพึ่งพิงเจ้า วันๆ มีแต่เรื่องน้ำเน่า ใครก็ไม่แยกจากกันพวกนั้น 


 


 


กลับกัน ระหว่างเขาและนางมีการติดต่อกันน้อยมาก แทบไม่จำเป็นต้องพบหน้าทุกวัน ไม่จำเป็นต้องสนทนากัน อีกฝ่ายกลับไม่เคยห่างไปจากใจ คิดแล้วให้ความรู้สึกมั่นคง 


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้ ดูท่าความรักจะยืดยาวมากกว่าพวกรักแรกๆ ร้อนแรง จากนั้นจืดจางกระมัง 


 


 


ระหว่างที่นางใช้ความคิด มุมปากก็เผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงความหวานล้ำยากปิดบัง เห็นได้ชัดว่านางคิดถึงคนที่ทำให้นางดีใจ 


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ย ในเสี้ยวขณะนั้น เขารู้สึกว่าอารมณ์บนใบหน้าของนางช่างขัดตานัก 


 


 


เขาถามเสียงขรึมว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยกับหลานสี่ของข้ามีสัญญาร่วมเป็นร่วมตายกันแล้วหรือ” 


 


 


 “สัญญาร่วมเป็นตายนั่นยังไม่มี แต่มีสัญญาหมั้นหมายกันจริงๆ” เยี่ยเม่ยตอบได้ตรงไปตรงมา ระหว่างนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ถึงขั้นร่วมเป็นร่วมตาย เพียงแต่นางอยากอยู่กับเขา 


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็ถามเป่ยเฉินอี้กลับว่า “เช่นนั้นปีนั้นท่านอ๋องกับคนในดวงใจท่านแต่งงานกันหรือยัง” 


 


 


นางอยากรู้จริงๆ หากความทรงจำสองวันที่ผ่านของนางไม่ผิดพลาด 


 


 


อย่างนั้น ตอนนั้นนางกับเป่ยเฉินอี้มีความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหน เพราะอย่างไรเขาก็พูดถึง พระชายาอี้อ๋อง! 


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงยามนี้ เป่ยเฉินอี้คล้ายกับเยาะเย้ยตัวเอง มองเยี่ยเม่ย ตอบว่า “แต่งงานหรือ แม้แต่หมั้นหมายยังมิได้เลย ก็แค่ เป่ยเฉินอี้ปักใจรักอยู่ฝ่ายเดียว!” 


 


 


คิดถึงเรื่องปีนั้น เป่ยเฉินอี้ยิ่งอารมณ์ดำดิ่งลงหลายส่วน 


 


 


เขาค่อยๆ หลับตาลง เสียงทุ้มต่ำเอ่ย “บางทีหากปีนั้น ราชสำนักจงเจิ้งไม่ล่มสลายเช่นนั้น ข้ากับนางอาจจะเป็นไปได้!” 


 


 


แต่ว่า ความเป็นไปได้ทั้งหมดล้วนถูกเขาทำลายย่อยยับไปกับมือ 


 


 


เมื่อพูดถึงการล่มสลายของราชสำนักจงเจิ้ง เยี่ยเม่ยพลันสั่นสะท้าน หัวใจรัดเกร็งเจ็บปวด ในเวลาเดียวกันนี้เอง ลมกระแสหนึ่งพัดมา เยี่ยเม่ยกระชับผ้าคลุม รู้สึกถึงไอเย็นเยียบสายหนึ่ง 


 


 


นางมองเป่ยเฉินอี้ เสนอว่า “สถานที่ที่สมควรไปก็ไปแล้วมาครบหมดแล้ว อากาศหนาวเหน็บ ไม่สู้พวกเรากลับกันเถอะ” 


 


 


เมื่อนางกล่าวออกมา เป่ยเฉินอี้ไม่ตอบ กลับถามคำถามอีกข้อขึ้นมา “แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่ที่ชายแดน ร่วมต่อสู้ศึก มีข้อเรียกร้องอะไรกันแน่” 


 


 


“ข้อเรียกร้องหรือ” เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น คิดถึงความตั้งใจเริ่มต้น ก็ตอบว่า “ก็แค่ทวงความยุติธรรมเท่านั้น ไม่อยากให้ต้ามั่วใช้เหตุผลในการไล่สังหารข้าโจมตีเป่ยเฉินก็เท่านั้น แต่ว่าตอนนี้…” 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ นางรั้งอยู่ชายแดนก็มีเหตุผลมากขึ้นอีกข้อ 


 


 


นั่นก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


เป่ยเฉินอี้มองนาง ชะงักงันไปเล็กน้อย ถามช้าๆ ว่า “เพื่อทวงความยุติธรรมหรือ” 


 


 


ยังมีสตรีเช่นนี้อยู่จริงๆ  


 


 


ไม่ขอชื่อเสียง ไม่ขอผลประโยชน์ ไม่ขอสมบัติ ไม่ต้องการเกียรติยศหรูหรา ทั้งไม่ต้องการชื่อเสียงจอมปลอม ทำเพื่อผดุงความยุติธรรมเท่านั้นหรือ 


 


 


 “ไม่ผิด!” เยี่ยเม่ยเห็นเขาคล้ายกับจะไม่เชื่อ ก็พยักหน้า เอ่ยต่อ “ดังนั้นอี้อ๋องสมควรเข้าใจได้แล้ว ไม่มีอะไรล่อลวงเยี่ยเม่ยได้ ท่านไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดอีก หากไม่มีอะไร พวกเราก็กลับกันเถอะ!” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ไม่มีทางถามคำถามไร้สาระ เมื่อเขาเอ่ยถามย่อมคิดหลอกใช้นาง 


 


 


แต่ว่า นางก็ต้องตอบไปตามตรง แสดงออกว่าไม่มีทางถูกหลอกล่อแน่ 


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามองนาง เสียงขรึมเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะรู้ว่าฐานะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในราชสำนักเป็นอย่างไร คนอยากให้เขาตายมีมากมาย แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่กับเขา ไม่ช้าก็ต้องประสบเคราะห์กรรม หากเขาเข้าสู่วังวนการแย่งชิงบัลลังก์ อันตรายก็ยิ่งมากขึ้น!” 


 


 


 “อี้อ๋องคิดบอกอะไรกันแน่” เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างสุขุม มุมปากเจือรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มหาได้ออกจากเบื้องลึกของนัยน์ตา 


 


 


เป่ยเฉินอี้มองความไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ยออก เขาหัวเราะเสียงนิ่ง “แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะจำได้ เป่ยเฉินอี้เคยขอเจ้าแต่งงาน!” 


 


 


 “จำได้ แต่อี้อ๋องก็น่าจะจำได้ว่าข้าปฏิเสธแล้ว!” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย 


 


 


เป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เทียบกันแล้วด้านการคาดคำนวนวางแผน เป่ยเฉินอี้เข้าใจว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบเคียงข้าได้ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้า ไม่มีประโยชน์กับเจ้า ไม่ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ดี หรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ช่าง สุดท้ายล้วนต้องตายในเงื้อมมือข้าทั้งสิ้น”  


 


 


 “ดังนั้น” เยี่ยเม่ยฟังคำขู่ในเสียงเขาออก 


 


 


เป่ยเฉินอี้เสียงนิ่ง “ดังนั้นเจ้าควรเข้าใจว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใช่คู่ชีวิตที่เหมาะสมกับเจ้า แต่งงานกับข้าถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาแค่นเสียงออกมา “เยี่ยเม่ย โลกนี้หาได้มีหนทางเส้นที่สามให้เลือก เจ้าสามารถเลือกอยู่ฝั่งข้า หรือว่า…ตายไปพร้อมกับเขา” 


 


 


 “ทำไมไม่ใช่ข้ากับเขาส่งอี้อ๋องลงนรกกันเล่า” ใบหน้านิ่งของเยี่ยเม่ยฉาบด้วยรอยยิ้ม 


 


 


สีหน้ามั่นใจของนาง ทำให้เป่ยเฉินอี้สติสับสน 


 


 


ถัดมา เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “อี้อ๋องก็บอกแล้วว่า พระชายาอี้อ๋องเพียงหนึ่งเดียวในใจท่านคือคนที่เป็นที่รักของท่านผู้นั้น ข้าก็แค่มีหน้าตาเหมือนนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าเป็นคู่หมั้นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ต่อให้ข้าไม่ใช่ ก็ไม่มีทางเลือกท่าน เพราะเยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย ข้าไม่มีทางมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเงาของใคร ทั้งยังไม่ยอมมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นตัวแทนใคร คำพูดเหลวไหลเอ่ยจบแล้ว ไปกันเถอะ!”  

 

 


ตอนที่ 238 คนร้ายตัวจริงที่ต้องการสัง...

 

น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยคมกริบ ท่าทางยืนยันหนักแน่น 


 


 


คำพูดมากมายของเป่ยเฉินอี้ คำขอแต่งงานกลายเป็นวาจาเหลวไหล 


 


 


ชิงเกอที่อยู่ด้านหลังได้ฟัง ก็กังวลว่าเตี้ยนเซี่ยของตนจะเกิดโทสะหรือไม่ 


 


 


เป่ยเฉินอี้หาใช่คนยั่วโมโหได้ง่ายๆ เมื่อเขาฟังคำพูดของ เยี่ยเม่ยจบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะเบาๆ “ไม่อยากเป็นเงาหรือตัวแทนของคนอื่นอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ความจริงคำตอบนี้หาได้อยู่นอกเหนือความคิดเขาไม่ 


 


 


เขาหันกลับไปอีกครั้ง ทอดสายตามองทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนนั้นคล้ายกับจะบอกลาสถานที่นี้เป็นครั้งสุดท้าย 


 


 


ไม่ช้า 


 


 


เป่ยเฉินอี้ก็หลับตาลง เก็บแววตาเย็นชา 


 


 


ไม่รอให้เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก เสียงขรึมของเป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เชิญแม่นางเยี่ยเม่ย วันนี้ข้าบุ่มบ่ามเกินไป ส่วนภายหน้า…” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา ถามเสียงเย็นว่า “ภายหน้า จุดยืนที่เป่ยเฉินอี้เลือกก็คือเป็นศัตรูกับเยี่ยเม่ย ใช่หรือไม่” 


 


 


 “ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้พยักหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังเอ่ยว่า “เดิมทีหนทางของเป่ยเฉินอี้หาได้เป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ย เมื่อแม่นางไม่ยินยอมยืนข้างเดียวกับข้า เช่นนั้นจุดยืนก็ย่อมสลับเปลี่ยนไป” 


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้กลับมองเป่ยเฉินอี้อย่างชื่นชม “เยี่ยเม่ยชื่นชมความตรงไปตรงมาของอี้อ๋องยิ่งนัก!” 


 


 


พูดจบ นางก็หมุนกายชิงเดินกลับไปที่รถม้าก่อน 


 


 


ความจริงทั้งความเข้าใจทั้งการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของเป่ยเฉินอี้ว่าเขาจะเป็นศัตรูกับนาง ย่อมชวนให้คนชื่นชอบมากกว่า พวกที่ต่อหน้าดูอะไรไม่ออก แต่แอบลงมืออยู่ลับหลัง 


 


 


รอจนเยี่ยเม่ยขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินอี้ยังยืนอยู่ด้านนอก ค่อยๆ หลับตาลง คล้ายสัมผัสได้ถึงความอาลัยที่สถานที่แห่งนี้มอบให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ยามนี้เป็นฤดูหนาว สถานที่แห่งนี้กลับยังมีหญ้าเขียวขจี เมื่อถึงเวลานี้เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจได้ว่า ดูท่าสถานที่แห่งนี้คงมีคนตั้งใจดูแล ถึงกระทั่งใช้วิธีการพิเศษ ถึงสามารถรักษาสภาพของที่แห่งนี้ในฤดูหนาวเอาไว้ได้ 


 


 


ส่วนคนที่ทำเช่นนี้ก็มีเพียงคนเดียว นั่นย่อมเป็นเป่ยเฉินอี้  


 


 


ในเวลานี้สายลมพัดผ่านหน้าต่างรถม้า ระหว่างที่เยี่ยเม่ยมองไปก็เห็นภาพแผ่นหลังของเป่ยเฉินอี้ด้านนอกหน้าต่าง 


 


 


แผ่นหลังสูงศักดิ์เกินเปรียบของเขา ท่ามกลางลมหนาวในยามเหมันต์ ชวนให้คนรู้สึกหนาวเหน็บ คล้ายเกล็ดหิมะปลิดปลิว ตกใส่ขนตาเยี่ยเม่ยบดบังการมองเห็นนาง 


 


 


คลับคล้ายกับมีสิ่งของที่เปลี่ยนแปลงไปมากเคยทิ้งไว้อยู่ที่แห่งนี้ และสุดท้ายล่องลอยจากไปตามกระแสลมเสียแล้ว 


 


 


นางถอนสายตากลับมา ปิดตาลง นั่งพิงตัวรถม้า รอเป่ยเฉินอี้อย่างสงบ 


 


 


จิตใจเริ่มใคร่ครวญและพิจารณาความทรงจำที่ฟื้นคืนมาในสองวันนี้ 


 


 


ส่วนความทรงจำเกี่วกับน้องชาย นอกจากภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก ดังนั้นน้องชายของนางเป็นหรือตายกันแน่ หากยังมีชีวิตอยู่ เวลานี้จะอยู่ที่ใด 


 


 


ไฉนเป่ยเฉินอี้ถึงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนาง แล้วทำไมนางถึงเกลียดคนผู้นี้… 


 


 


คำถามมากมายหมุนเคว้งอยู่ในสมองเยี่ยเม่ย  


 


 


นางต้องการเวลาเพื่อไปทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้ให้ชัดเจน 


 


 


ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่นางรออยู่บนรถม้า ลมหนาวพัดเข้ามาอีกครั้ง ไม่นานนักเป่ยเฉินอี้ก็ขึ้นรถม้าแล้ว เยี่ยเม่ยรับรู้ได้ถึงไอเย็นบนร่างของเขาที่ยืนค้างอยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน แต่นางก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมองเขา 


 


 


รถม้าออกเดินทางแล้ว 


 


 


ล้อรถหมุนบดกับพื้นดินจนเกิดเสียง 


 


 


สิ่งที่อยู่ใจของคนทั้งสองก็คือความคิดของตัวเอง 


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้เดี๋ยวก็มองไปที่เยี่ยเม่ยบ้าง เดี๋ยวก็หลับตาลงพักผ่อน เยี่ยเม่ยกลับปิดตาไม่ลืมขึ้นมาเลย  


 


 


ไม่รู้ว่ารถม้าเดินทางไปนานเท่าไหร่แล้ว 


 


 


จู่ๆ เยี่ยเม่ยก็เอ่ยปากถามคำถามเป่ยเฉินอี้คำถามหนึ่ง “อี้อ๋อง ไม่ทราบว่าจะช่วยชี้แนะข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” 


 


 


 “พูดมา!” เป่ยเฉินอี้ไม่ได้เปิดตา สีหน้าดูสูงศักดิ์เรียบเฉย คล้ายเดาได้ว่าเยี่ยเม่ยจะถามคำถามว่าอะไร 


 


 


เยี่ยเม่ยเองก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเช่นเดียวกัน ถามขึ้นมาเหมือนคุยเล่นว่า “อี้อ๋องบอกว่าเรื่องของจิ่วหุนท่านไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง เช่นนั้นดูท่าอี้อ๋องคงรู้ว่าผู้ร้ายตัวจริงคือใคร” 


 


 


 “ถูกแล้ว!” 


 


 


นี่เป็นคำถามที่ชัดเจนง่ายดายมาก 


 


 


เขาเคยรับปากว่า เขาช่วยผู้ร้ายตัวจริงวางแผนการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมรู้ฐานะของผู้ร้ายตัวจริง 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยถาม “อย่างนั้น ไม่ทราบว่าอี้อ๋องจะบอกเยี่ยเม่ยได้หรือไม่ คนผู้นั้นคือใคร อย่างไรเสียสองสามวันที่ผ่านมา ระหว่างอี้อ๋องกับเยี่ยเม่ยก็ผูกความแค้นกันไม่น้อยแล้ว ต่อให้ภายหน้าเป็นศัตรูเชื่อว่าอี้อ๋องก็คงไม่ยินยอมให้ เยี่ยเม่ยจะคิดบัญชีกับท่านเสียเดี๋ยวนี้!“ 


 


 


เมื่อเอ่ยคำนี้ ดวงตาของนางพลันเปิดขึ้น แววตาคมกริบมองใบหน้าเป่ยเฉินอี้ ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความเย็นเยือก ทั้งยังสัมผัสถึงความไม่เป็นมิตรของนาง 


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มออก เปิดตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าบอกแม่นางเยี่ยเม่ยได้!” 


 


 


 “หืม” เยี่ยเม่ยกลับตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเปิดเผยปานนี้ “ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนหรือ” 


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องตานาง เอ่ย “ข้าเคยบอกแล้วว่า จะยอมให้เจ้าสามครั้ง ในเมื่อข้าพูดออกมาก็ต้องทำให้ได้ นี่ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะยอมให้เจ้าแล้ว!” 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “เชื่อว่าท่านคงรู้ว่าข้าไม่มีทางซาบซึ้งบุญคุณท่าน!” 


 


 


 “แน่นอน นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าวางแผนการในใจก็รู้แล้วว่า ไม่มีทางได้รับความซาบซึ้งใจจากแม่นาง อีกอย่างการที่ข้ายอมให้แม่นาง ก็ไม่ใช่เพราะต้องการให้แม่นางตื้นตันใจ!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา สายตาที่มองเยี่ยเม่ยยิ่งทวีความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง 


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะ “ดังนั้น” 


 


 


 “ซือถูเฟิง!” เป่ยเฉินอี้เอ่ยชื่อออกมาอย่างรวดเร็ว กล่าวต่อว่า “หากชื่อนี้แม่นางไม่คุ้นเลย อย่างนั้นชื่อซือถูเฉียง แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะจำได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบไปหลายวินาที ตอบตามสัตย์ “คล้ายจะมีความทรงจำอยู่บ้าง แต่ชื่อนี้เป็นใครกันแน่ข้าจำไม่ได้แล้ว อย่างไรเสีย นอกจากผู้เข้มแข็งที่ควรค่าแก่การสนใจแล้ว คนอื่นๆ ข้าล้วน…อืม หลังจากพบได้สองวัน ข้าก็ลืมไปหมดแล้ว!” 


 


 


หากสมองของคนผู้นี้ต้องจดจำคนหรือเรื่องไม่สำคัญมากมายขนาดนั้น เช่นนั้นสิ่งที่ต้องจำใส่สมองจะมีมากน้อยเพียงใดกันเล่า 


 


 


คำตอบนี้ทำให้เป่ยเฉินอี้แปลกใจอยู่ไม่น้อย 


 


 


แต่เมื่อคิดถึงนิสัยเฉยชาของเยี่ยเม่ย เขาก็เข้าใจได้ “อย่างนั้น…ไม่นานก่อนหน้านี้ ท่านหญิงที่มีเรื่องกับแม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางน่าจะจำได้บ้าง” 


 


 


 “ท่านหมายถึงคนที่ถูกข้าตีที่ชายแดนอย่างนั้นหรือ” คนผู้นี้เยี่ยเม่ยพอจำได้ เพียงแต่ลืมไปตั้งนานแล้ว สตรีนางนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางยังแทบจำไม่ได้ “หรือว่านางคือซือถูเฉียง” 


 


 


เหมือนว่าใช่! 


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า “ถูกต้อง” 


 


 


พูดไปแล้วความจริงเขาอยากถอนใจ นางจำไม่ได้สักนิดว่าซือถูเฉียงคือใคร ราวกับว่าสิ่งที่เขาจำได้เป็นเรื่องบั่นทอนคุณค่าของตนเองลงไปก็ไม่ปาน จากนั้นเมื่อมองสายตาของนาง นางจำไม่ได้จริง หาใช่เรื่องล้อเล่น 


 


 


เขาพลันหัวเราะเบาๆ “แม่นางเยี่ยเม่ยจำซือถูเฉียงไม่ได้ แต่นางกลับเห็นท่านเป็นศัตรูตัวฉกาจ!” 


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ ท่าทางไม่เป็นไร “โลกนี้มักมีพวกไม่รู้จักที่ตาย ข้าชินแล้ว ดังนั้น…”  

 

 


ตอนที่ 239 ขลุ่ยหยกโลหิตคือของหมั้นจา...

 

ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ท่านหญิงผู้นั้นเป็นคนก่อขึ้นอย่างนั้นหรือ


 


 


 “ซือถูเฟิงผู้นั้นคือใคร”


 


 


หลังจากถามออกไป เยี่ยเม่ยกลับฉุกคิดได้อย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอยู่กับจิ่วหุนคล้ายกับว่าเคยถูกแม่ทัพคนหนึ่งล้อมไว้…


 


 


ในขณะคิดนั้น เป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยปากว่า “เขาคือพี่ชายของซือถูเฉียง จากที่ได้ฟังมาเขาเคยนำทหารไล่สังหารเจ้ามาก่อน แต่ถูกจิ่วหุนทำให้ล่าถอยไป!”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้ก็รู้สึกว่าน่าขบขันอยู่บ้าง


 


 


คนที่เกลียดเยี่ยเม่ยเข้ากระดูกพวกนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่อยู่ในสายตานางสักน้อย นางถึงกับไม่คิดจะจดจำด้วยซ้ำไป ‘คนเหล่านี้คือใครกัน’ สำหรับคนพวกนี้แล้วก็คงเป็นการเย้ยหยันอย่างรุนแรงสินะ


 


 


 “อ้อ นึกออกแล้ว!”  ในเมื่อคิดได้ว่าคือใคร เยี่ยเม่ยก็รู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงไม่ชอบนาง


 


 


เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง เสียงขรึมเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งให้สังหารซือถูเฉียง ซือถูเฟิงพาซือถูเฉียงหนีกลับเมืองหลวง แม่ทัพหนีออกจากหน้าที่โดยพลการเป็นความผิดมหันต์ ซือถูเฟิงถูกเนรเทศ เขาเป็นคนรุ่นหลังที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลซือถู ถูกทำลายเพราะเรื่องนี้ไปแล้วคนของตระกูลซือถูย่อมไม่เลิกรากับเจ้าแน่!”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับอยากหัวเราะ พวกเขาว่างมาหาเรื่องนางเอง หาเรื่องไม่สำเร็จ ซ้ำยังถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำจัดอีก สุดท้ายคิดบัญชีแค้นไว้ที่นาง ทั้งยังพลอยลำบากไปถึงจิ่วหุน


 


 


นางมองเป่ยเฉินอี้ ถามด้วยเสียงนิ่งว่า “สิ่งที่พวกเขาขอก็คือทำให้ฐานะของจิ่วหุนถูกเปิดเผย ทำให้จิ่วหุนและข้ากลายเป็นเป้าหมายของคนทั้งหมด ถึงขั้นถูกคนทั่วหล้าไล่สังหาร แล้วยังถูกคนที่ชายแดนขับไล่ นี่คือเป้าหมายของพวกเขาอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้รีบตอบ


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “อี้อ๋องบอกความจริงทั้งหมดกับข้า นั่นมิได้หมายความว่า…”


 


 


ทอดทิ้งซือถูเฟิงแล้วใช่หรือไม่


 


 


ถึงซือถูเฟิงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเขา แต่สามารถใช้หมากตัวหนึ่งอย่างถึงขีดสุดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรู้สึกนับถือเขาจริงๆ


 


 


 “การใช้หมากนั้นอยู่ก็ที่เวลาที่นำออกมาใช้และเวลาที่ถอยหมาก ล้วนต้องใช้ให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ไม่ใช่หรือไง” เป่ยเฉินอี้เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยต้องการเอ่ยอะไร ก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาตามตรง


 


 


เยี่ยเม่ยยิ้มไม่พูดจา


 


 


ก็จริง สำหรับเป่ยเฉินอี้ที่เห็นคนที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดเป็นหมาก เขาย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้


 


 


เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ หัวข้อสนทนานี้ก็นับว่าจบลง


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันมองขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเยี่ยเม่ย สายตาล้ำลึกขึ้นหลายส่วน “ความจริงข้าอยากถามมาตลอด ขลุ่ยหยกโลหิตที่อยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นของที่กูเยว่อู๋เหินกำนัลให้ใช่หรือไม่”


 


 


 “ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองขลุ่ยหยกโลหิตของตัวเองทีหนึ่งเช่นกัน ตัวขลุ่ยทั้งเลาเป็นหยกโลหิตราวเลือดนก ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ แต่คนที่ร่ำรวยมหาศาลอย่างกูเยว่อู๋เหิน นำของชิ้นนี้ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


เป่ยเฉินอี้ถามเสียงนิ่ง “แม่นางรู้หรือไม่ว่าขลุ่ยเลานี้มีเพียงเลาเดียวในโลก”


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว


 


 


ยังไม่ทันตอบคำถาม เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของกูเยว่อู๋เหิน เคยเป็นคู่รักที่โด่งดังมากในยุทธภพ ครั้งแรกที่พวกเขาได้ผูกวาสนาต่อกันก็คืองานเลี้ยงศิลปะทั้งสี่[1] คนทั้งสองชอบเป่าขลุ่ยมาก…”


 


 


 “ท่าน ท่านคงไม่ได้อยากบอกว่า ขลุ่ยเลานี้คือสมบัติตกทอดจากพ่อแม่ของกูเยว่อู๋เหินหรอกกระมัง” เยี่ยเม่ยยกมุมปาก มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


เป่ยเฉินอี้ส่ายหน้า รู้สึกขบขันกับการคาดเดาของนาง “ไม่ใช่!”


 


 


 “อ้อ…” เยี่ยเม่ยค่อยวางใจ


 


 


คิดไม่ถึงว่า นางเพิ่งจะวางใจลง


 


 


ประโยคถัดมาของเป่ยเฉินอี้เกือบทำให้นางสำลักตาย “วันที่พ่อแม่ของกูเยว่อู๋เหินแต่งงานได้รับของขวัญชิ้นหนึ่ง เป็นหยกล้ำค่าสีแดงและสีเขียวสองก้อน พวกเขาสองสามีภรรยาคิดได้ว่าขลุ่ยเป็นสิ่งที่ผูกวาสนาของทั้งคู่ จึงตัดสินใจเอาหยกเขียวและหยกโลหิตทำเป็นขลุ่ย เพื่อมอบให้กับบุตรชายและลูกสะใภ้ของตน!”


 


 


 “แค่ก แค่ก แค่ก” เยี่ยเม่ยสำลักเพราะคำพูดประโยคนี้จนหน้าแดงก่ำแล้ว นางจ้องมองใบหน้าเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ


 


 


จากนั้น


 


 


สายตานางกวาดมองดูสีหน้าเป่ยเฉินอี้ ไม่คล้ายกับล้อเล่นเลยสักน้อย ทั้งไม่มีคล้ายหลอกนางสักนิด ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าหลอกลวง


 


 


นางสำลักอยู่นาน ยามนี้ค่อยรู้สึกว่าขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเหมือนเผือกร้อนลวกมือก็ไม่ปาน นางแทบอยากโยนขลุ่ยหยกโลหิตนี้ทิ้งไปด้วยซ้ำ


 


 


กูเยว่อู๋เหินมอบของสิ่งนี้ให้นางทำไมกัน


 


 


เขาคิดทำอะไรกันแน่


 


 


ไม่ช้า สมองของนางยังฉุกคิดขึ้นมาได้ คำพูดของซ่งอวี้เชวียในยามนั้น บอกว่าคู่หมั้นเอยอะไรเอย ทั้งยังมีการแสดงออกอย่างแปลกประหลาดของซินเยว่เยี่ยนในเวลานั้น เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักได้ เพราะตัวนางมัวแต่กังวลเรื่องของจิ่วหุน ถึงละเลยรายละเอียดปลีกย่อยหลุดรอดไป


 


 


นางกุมขมับ รู้สึกปวดหัว “หลังจากกลับไปแล้วข้าจะถามซินเยว่เยี่ยน!”


 


 


 “บางที แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะใคร่ครวญบ้างว่า ซือหม่าหรุ่ยช่วยเหลือเจ้าก็มีเหตุผล นางก็เหมือนกับข้า เห็นเจ้ามีใบหน้าเหมือนกับจงเจิ้งซี ดังนั้นตัดสินใจรั้งอยู่ข้างกายเจ้า ส่วนซินเยว่เยี่ยนกลับไม่มีเหตุไม่มีผล!” เป่ยเฉินอี้เตือนเยี่ยเม่ย  


 


 


เวลานี้นางค่อยคิดได้


 


 


ก็จริงซือหม่าหรุ่ยช่วยเหลือนาง ประการแรกเพราะเรื่องของราชาดาบ ประการที่สองเกรงว่าเพราะรูปโฉมของนาง ส่วนจงรั่วปิงก็เคยบอกแล้วว่าบิดาของนางส่งมา


 


 


มีเพียงซินเยว่เยี่ยนคนเดียวที่มอบเคล็ดวิชาให้นางอย่างแปลกประหลาด ถึงบอกว่ามีเงื่อนไข แต่ดูท่าแล้วก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไรกับนางภายในระยะเวลาอันสั้น อีกอย่างช่วงนี้อีกฝ่ายช่วยนางไว้ไม่น้อย ดังนั้นซินเยว่เยี่ยนช่วยนางเพราะอะไรกัน


 


 


เกี่ยวข้องกับ กูเยว่อู๋เหินหรือไม่


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกมีเรื่องใหญ่สองเรื่อง ปัญหาเรื่องชาติกำเนิดของตนยังไม่คลี่คลาย ปัญหาแปลกๆ เรื่องของกูเยว่อู๋เหินก็ปะทุออกมาด้วย…


 


 


เวลานี้เป่ยเฉินอี้ยังกังวลว่าเรื่องยังไม่วุ่นวายพอ ช่วยเตือนเยี่ยเม่ยคำหนึ่ง “รับขลุ่ยหยกโลหิตของกูเยว่อู๋เหินเอาไว้ ก็เท่ากับยอมรับการขอแต่งงานของเขาโดยไม่รู้ตัว แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าก่อเรื่องใหญ่เอาไว้เลยทีเดียว!”


 


 


 “อะไรนะ ยังมีความหมายเช่นนี้ด้วยหรือ” เยี่ยเม่ยยิ่งอึ้งไปใหญ่


 


 


ความหมายของเป่ยเฉินอี้คือ คงไม่ใช่คนทั่วหล้าต่างรู้เรื่องนี้หรอกนะ


 


 


เป็นจริงดังคาด


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องหน้านาง “กูเยว่อู๋เหินเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะในยุทธภพ ถึงเขาไม่มีใจเข้าร่วม แต่ทว่าเป็นผู้นำศูนย์รวมจิตใจของเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ เป็นผู้รวบรวมข่าวสารทั่วยุทธภพ เป็นการดำรงอยู่ของเจ้ายุทธภพ คนฝ่ายธรรมะทั้งหมดต่างรู้ว่า ผู้ครอบครองขลุ่ยหยกโลหิตนี้ ก็คือฮูหยินเจ้ายุทธ์ นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งใต้หล้า!”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


เวลานี้นางคิดกลับไป หมู่ตึกกูเยว่เอาขลุ่ยเลานี้คืนเขาไป


 


 


เห็นหน้าตาตะลึงงันของนาง เป่ยเฉินอี้ถามขึ้นว่า “หรือว่ายามที่แม่นางรับขลุ่ยไว้ หาได้รู้เรื่องนี้มาก่อน”


 


 


 “เขาเพียงบอกว่ารับไว้เป็นที่ระลึก…” ของที่ระลึกนี้มีค่าหนักหน่วงไปหรือเปล่า


 


 


เอ๋ ขลุ่ยหยกโลหิตเลานี้คือของหมั้น แล้วคนทั่วหล้ายังรู้ด้วยว่ามันหมายความว่าอะไร นางยังรับเอาไว้อีก สารเลวเอ้ย !


 


 


เรื่องแรกที่นางต้องคิดในเวลานี้คือ จะกลับไปอธิบายกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างไร


 


 


 


 


[1] หมายถึง ฉิน(กู่ฉิน เครื่องดนตรีจีนโบราณ) หมากล้อม การเขียนอักษรจีน และการวาดภาพ 

 

 


ตอนที่ 240 หากกูเยว่อู๋เหินแค้นข้าเพร...

 

ดูจากสีหน้าเยี่ยเม่ยคล้ายมีความแตกตื่นอยู่บ้าง เผยความเจ็บปวดที่ยากจะพูดออกมาได้ 


 


 


เป่ยเฉินอี้เองก็รู้สึกน่าขันไม่น้อย แต่สุดท้ายคนที่จะโมโหก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คนที่จะต่อสู้กันก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับกูเยว่อู๋เหิน เรื่องระหว่างคนทั้งสองคน เขาไม่ต้องสอดมือเข้าไปไปยุ่ง เขาจึงไม่เอ่ย  


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา ถามว่า “ไม่ทราบว่าอี้อ๋องจะใส่ใจหรือไม่ หากพวกเราแยกทางกันตรงนี้” 


 


 


 “เจ้าคิดเอาขลุ่ยหยกโลหิตกลับไปคืนกูเยว่อู๋เหิน” อย่างไรเสียเป่ยเฉินอี้ก็เป็นยอดฝีมือในการเดินหมากที่มีความคิดลุ่มลึก ได้ยินเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ก็เข้าใจว่านางคิดอะไร  


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าตามตรง “ไม่ผิด! ไม่เช่นนั้นข้าจะขอแยกเดินทางกับท่านทำไม ถึงพวกเราจะดูเหมือนรังเกียจกัน แต่ว่าการนั่งบนรถม้าท่าน ก็สบายกว่าข้าขี่ม้า เดินด้วยเท้ามากนัก” 


 


 


ดังนั้น หากจะเดินทางกลับไปย่อมมีเพียงเหตุผลนี้เพียงข้อเดียวเท่านั้นแล้ว 


 


 


นางเชื่อว่าเป่ยเฉินอี้บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว คงไม่รบเร้าพัวพัน เขาควรปล่อยนางไปถึงจะถูก 


 


 


จากนั้น 


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับมองนางอย่างเอาจริงเอาจัง ปอยผมดำขลับกลุ่มหนึ่งปรกลงมาอยู่ที่หน้าอกเขา ยิ่งขับเน้นความสูงศักดิ์ของเขา มุมปากเจือรอยยิ้มสนุกสนานที่หาดูได้ยาก เอ่ยเสียงนิ่งว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเคยคิดหรือไม่ว่า เดินทางกลับไปเพื่อคืนของ กูเยว่อู๋เหินจะรับกลับหรือไม่” 


 


 


 “นี่…” เยี่ยเม่ยนิ่งไป เอ่ยว่า “เขาไม่ยินยอมรับกลับไป หรือว่าข้าจะวางของทิ้งไว้แล้ว กลับมาไม่ได้” 


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้าราวกับเห็นด้วย 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หัวเราะ เสียงขรึมเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไปเถอะ เจ้าจะได้เห็นด้วยว่ากูเยว่อู๋เหินมีนิสัยอย่างไรกันแน่” 


 


 


 “หืม” เยี่ยเม่ยกลับฟังความไม่ปกติในคำพูดออก 


 


 


เป่ยเฉินอี้เป็นจอมวางแผนอันดับหนึ่ง หากบอกว่าเขาเข้าใจวิธีการและนิสัยของกูเยว่อู๋เหินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นคำพูดของเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ 


 


 


หรือว่านางเอาของไปคืนผู้อื่นไม่สำเร็จ ซ้ำยังเสี่ยงโดนอัดกลับมาด้วย กูเยว่อู๋เหินเป็นคนยโสเพียงนั้น คงไม่ลงมือกับสตรีได้ง่ายๆ หรอกกระมัง 


 


 


แววตานิ่งขรึมของเป่ยเฉินอี้กวาดมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงเย็นเยือกเหมือนเคย “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยได้ยาสมุนไพรมาแล้ว ก็เท่ากับติดค้างน้ำใจกูเยว่อู๋เหิน สถานการณ์เช่นนั้นเจ้ายังเอาของไปคืนเขา พานจะยั่วโทสะเขาได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยสะดุดไปเล็กน้อย เอ่ย “แต่ข้าคงไม่อาจรับของของหมั้นของผู้อื่นไว้อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะเหตุผลนี้กระมัง” 


 


 


น้ำใจก็คือน้ำใจ ความรักก็คือความรัก 


 


 


สองสิ่งนี้จะเอามานับรวมกันได้อย่างไร 


 


 


เป่ยเฉินอี้มอง ถามอย่างจริงจัง “กูเยว่อู๋เหินเอ่ยอะไรแล้ว” 


 


 


 “นี่…” คำถามนี้ถามจนเยี่ยเม่ยนิ่งไป ตอนที่กูเยว่อู๋เหินมอบของสิ่งนี้ให้นาง ไม่พูดอะไรสักคำ จู่ๆ ยามนี้นางกลับไปอย่างฉุกละหุก บอกว่าจะเอาของคืนแก่ผู้อื่น ทั้งยังฝืนเข้าใจว่าเป็นการขอแต่งงานของกูเยว่อู๋เหิน ซ้ำนางไม่อาจตกลง… 


 


 


หากกูเยว่อู๋เหินบอกว่า เขาหาได้มีความคิดเช่นนั้นเลยสักน้อย นางจะไม่อึดอัดแย่หรือ อีกทั้งยังแสดงออกว่าคิดเองเออเองอย่างชัดเจนมาก 


 


 


นางลูบคาง เอ่ยเสียงจริงๆว่า “ท่านพูดถูกถึงข้าจะมีเสน่ห์เกินใครจะเปรียบได้ ทำให้กูเยว่อู๋เหินคิดขอข้าแต่งงาน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเขาทำเพื่อรักษาหน้าไม่ให้ถูกปฏิเสธ ฝืนบอกว่าไม่ได้ขอแต่งงาน ข้าจะไม่ยิ่งอึดอัดหรือ” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ “…!” 


 


 


เขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่ หรือการแสดงออกของเขาเมื่อครู่มีปัญหา 


 


 


ชิงเกอที่อยู่ด้านนอก “…” 


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้… 


 


 


หากบอกว่านางมีความเกี่ยวพันกับจงเจิ้งซี ชิงเกอไม่เชื่อเด็ดขาด! จงเจิ้งซีหาใช่คนหลงตัวเองถึงขั้นนี้ หากนางมีความเกี่ยวข้องกับจงเจิ้งซีจริงๆ เขาชิงเกอยอมขายตัวไปในเสี่ยวกวนก่วน[1]เลย 


 


 


ชิงเกอแอบสาบานด้วยคำรุนแรง… 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยวิเคราะห์ออกมาแล้ว ยังมองเป่ยเฉินอี้ทีหนึ่ง ถามจริงจังว่า “ท่านว่าใช่หรือไม่ อีกอย่างหากกูเยว่อู๋เหินเปลี่ยนจากความรักที่มีต่อข้ากลายเป็นความแค้น หักใจสังหารข้า ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข้าก็ไม่ควรกลับไปคืนของเขาแล้ว!” 


 


 


เมื่อนางถามเองตอบเองจบ ก็พรูลมหายใจยาว 


 


 


เป่ยเฉินอี้มองนางราวกับมองสัตว์ประหลาดอยู่นาน พูดตามตรงแล้ว นับตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนมาถึงวันนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่า เยี่ยเม่ยเป็นคน…เช่นนี้นี่เอง  


 


 


คนอย่างกูเยว่อู๋เหิน ไม่มีทางรักใครสักคนหนึ่งแล้วเปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้นไปได้ง่ายดาย นางเข้าใจกูเยว่อู๋เหินผิดไปหรือเปล่า 


 


 


ชิงเกอที่อยู่ด้านนอกรถนิ่งอึ้งไปแล้ว จากท่าทางเย็นชาของเยี่ยเม่ยในยามปกติ ยากนักที่จะคิดได้ว่าความจริงแล้วนางเป็นคนตลกขบขัน 


 


 


เช่นนั้น… 


 


 


หากมิใช่คำพูดตลกหยอกเล่นแล้วล่ะก็ บอกได้เพียงอย่างเดียวว่า คำพูดที่นางเอ่ยมาทั้งหมดนี้คือความจริง ไม่รู้ว่ากูเยว่อู๋เหินสร้างกรรมอะไรเอาไว้ ถึงได้ถูกนางวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ 


 


 


เมื่อถกกันมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็ไม่เอ่ยอะไรอีก หลับตาลงพิงรถม้าพักผ่อน 


 


 


ยังไม่ต้องเอาของไปคืนก่อน มากเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่งไม่สู้ลดเรื่องลงไปเรื่องหนึ่งดีกว่า 


 


 


เป่ยเฉินอี้ใช้สายตาแปลกประหลาดจ้องมองนางอยู่สักพัก ในที่สุดก็ถอนสายตากลับ หลับตาพักผ่อน 


 


 


เขารู้สึกว่าสำหรับโฉมหน้า “เชื่อมั่นในตัวเอง” ที่นางเพิ่งแสดงออกมาเมื่อครู่ บางทีเขาอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อทำความคุ้นเคย 


 


 


…… 


 


 


ชายแดน 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเดินไปเดินมาร้อนรนอยู่ในห้องจิ่วหุน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว หากเยี่ยเม่ยยังนำสมุนไพรกลับมาได้ไม่ทันแล้วล่ะก็ ชีวิตของจิ่วหุนก็รักษาไว้ไม่ได้  


 


 


นางใช้วิธีการที่ช่วยยื้อชีวิตไว้ทั้งหมดไปแล้ว สามารถยืนหยัดได้จนถึงวันนี้ก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็รีบเดินไปหน้าประตู มองทอดสายตายาวออกไป หวังว่าจะได้เห็นเงาร่างของเยี่ยเม่ย  


 


 


สักประเดี๋ยวหนึ่ง นางเห็นจงรั่วปิงถือกล่องผ้าต่วนกลับมา ในเวลานี้ซือหม่าหรุ่ยสายตาวาวโรจน์ รีบเข้าไปรับกล่องผ้าต่วน “สมุนไพรที่ข้าต้องการหรือ” 


 


 


 “ถูกต้อง!” จงรั่วปิงตอบรับ จากนั้นเสริมว่า “ล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว ไม่ขาดสักชนิดเดียว” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหอบสมุนไพร เดินกลับไปเข้าไปในห้อง 


 


 


นางเอาเครื่องบดยาออกมา เริ่มปรุงยาช่วยชีวิตจิ่วหุน ในขณะเดียวกันก็ถามว่า “พวกนางสองคนเล่า” 


 


 


 “เยี่ยเม่ยถูกเป่ยเฉินอี้รั้งไว้ ซินเยว่เยี่ยนถูกคนอีกกลุ่มรั้งไว้ ตอนที่พวกเราถูกสกัดก็พบคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยไว้ ถึงนำยากลับมาได้ทันเวลา!” จงรั่วปิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว  


 


 


เมื่อนางเอ่ยจบ 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลับชะงักมือไปเล็กน้อย เงยหน้ามอง “เจ้าบอกว่าเป่ยเฉินอี้รั้งเยี่ยเม่ยเอาไว้” 


 


 


คำพูดนางเพิ่งเอ่ยออกมา ด้านนอกก็มีน้ำเสียงราวปีศาจแฝงไปด้วยแววโทสะยากปิดบังได้ “เยี่ยเม่ยอยู่กับเป่ยเฉินอี้อย่างนั้นหรือ” 


 


 


สิ้นเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏตัวอยู่ที่ประตู 


 


 


ใบหน้าหล่อร้ายของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ดวงตายิ่งทอประกายมารสีแดง ดูไปแล้วอันตรายยิ่ง 


 


 


 “ใช่…” จงรั่วปิงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ตกใจ ยังพูดตะกุกตะกักว่า “ใช่ ใช่แล้ว แต่ว่าเป่ยเฉินอี้ไม่มีเจตนาทำร้ายเยี่ยเม่ย ดังนั้นไม่ต้องกังวล…” 


 


 


เมื่อนางเอ่ยจบ ก็เห็นบุรุษที่สง่างามราวแมวเปอร์เซียด้านหน้า หมุนกายสาวเท้าสวบๆ เดินออกไป 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] สถานที่ที่ผู้ชายขายบริการ  

 

 


ตอนที่ 241 ฮูหยินถูกแย่งไปแล้ว เยี่ยน...

 

ดูท่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงโมโหมิใช่น้อย


 


 


จงรั่วปิงหันกลับมามองซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ “ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ” นางบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่า เป่ยเฉินอี้ไม่มีทางทำอะไรไม่ดีกับเยี่ยเม่ย  นางไม่มีทางเกิดเรื่อง


 


 


ทำไมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังต้องโมโหปานนี้อีก


 


 


อวี้เหว่ยหันมองจงรั่วปิงด้วยแววตาแตกตื่น “เป่ยเฉินอี้ไม่ทำอะไรไม่ดีต่อแม่นางเยี่ยเม่ย อย่างนั้นเขาจะทำอะไร”


 


 


อวี้เหว่ย แทบจะเห็นสถานการณ์ที่เป่ยเฉินอี้อยู่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย พยายามแสดงความรู้สึกของตนอย่างถึงที่สุด เพื่อดึงความสนใจของแม่นางเยี่ยเม่ย


 


 


ในเมื่อเขายังคิดออก แล้วเตี้ยนเซี่ยยิ่งต้องคิดออก


 


 


สรุปคือขอเพียงเยี่ยเม่ยอยู่กับเป่ยเฉินอี้ ไม่ว่าเป่ยเฉินอี้ทำเพื่อสังหารคน หรือเพื่อร้องขอความรัก สำหรับเตี้ยนเซี่ยแล้วก็เป็นเรื่องที่กระตุ้นความต้องการสังหารคนทั้งสิ้น


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็รีบติดตามฝีเท้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไป


 


 


จงรั่วปิงหันกลับมามองซือหม่าหรุ่ย นางไม่เข้าใจจริงๆ “เป่ยเฉินอี้จะทำอะไรได้ ในเมื่อไม่ทำอะไรไม่ดีกับเยี่ยเม่ย อย่างนั้นก็คงพูดคุยเรื่องการร่วมมือกันสิ พวกเขาไม่เห็นต้องมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้เลย”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยระบายลมหายใจยาว ปรุงยาให้จิ่วหุนต่อ แท้จริงแล้วในใจของนางเริ่มร้อนรน “เจ้าไม่รู้หรอกว่าที่ข้าอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย สาเหตุที่แท้จริงก็คือนางมีใบหน้าเหมือนจงเจิ้งซีไม่มีผิดเพี้ยน ปีนั้นเป่ยเฉินอี้วางแผนเล่นงานอาซีครั้งหนึ่ง ข้าไม่อยากให้เยี่ยเม่ยตกหลุมพรางเป่ยเฉินอี้เลยจริงๆ”


 


 


เมื่อนางอธิบายออกมา จงรั่วปิงอึ้งไปเล็กน้อย เรื่องพวกนี้นางไม่รู้เลยจริงๆ นางกับซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนเป็นสหายที่ดีต่อกัน แต่มิได้หมายความว่านางเคยพบจงเจิ้งซีมากก่อน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเช่นนี้ มองจงรั่วปิงอีกครั้งหนึ่ง อธิบายเสริมว่า “ความรู้สึกที่เป่ยเฉินอี้มีต่ออาซีก็ไม่ได้ธรรมดา เมื่อเห็นใบหน้าเยี่ยเม่ย ไม่แน่ว่าเขาอาจเกิดความคะนึงหา สำหรับเยี่ยเม่ยแล้วก็ถือเป็นปัญหายุ่งยาก!”


 


 


คราวนี้ จงรั่วปิงค่อยเข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว


 


 


เรื่องเหล่านี้นางช่วยอะไรไม่ได้ หันกลับไปมองจิ่วหุน ถามว่า “ยังช่วยเขาทันหรือเปล่า”


 


 


 “ทัน!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า จากนั้งมองจงรั่วปิงอีกครั้ง “หากช้าไปอีกครึ่งวัน เกรงว่าต่อให้เทวดาก็ช่วยไม่ได้แล้ว โชคดีที่สุดท้ายเจ้าก็กลับมาทัน!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ พวกนางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหน้าประตู


 


 


คนทั้งสองหันไปมองที่นอกประตู กลับไม่เห็นคน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยขมวดคิ้ว จงรั่วปิงปรายตามองนาง เอ่ยว่า “ก่อนที่ข้าเพิ่งเข้ามา เห็นคนลับๆ ล่อๆ อยู่ในเรือนของเจ้า คล้ายจะเป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองหลิน ดูท่าคงเป็นนาง!”


 


 


เมื่อนางเอ่ย หลินซูเหย่าที่อยู่ด้านนอกก็ไม่หลบอีก


 


 


นางเดินเข้ามาอย่างผ่าเผย มองแล้วถามด้วยความประหม่าว่า “คือว่าคุณชายเสี่ยวจิ่ว…เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมื่อถามออกมา สายตาของนางมองจิ่วหุนหน้าตาซีดเซียวอยู่บนเตียง เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของชายหนุ่ม หัวใจนางในเวลานี้เจ็บปวด น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตา “เขา…ทำไมไม่พบกันหลายวัน เขาถึงเป็นเช่นนี้ไปแล้ว!”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและจงรั่วปิงจ้องตากัน ดูท่าสตรีนางนี้จริงใจกับจิ่วหุน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองหลินซูเหย่า กล่าวว่า “แม่นาง คนที่คิดเอาชีวิตจิ่วหุนในวันนั้น มีบิดาของเจ้าเป็นหัวหน้า ท่าทางของเจ้าในยามนี้ หากให้บิดาเจ้ารับรู้คงไม่ยินดีแน่!”


 


 


คำพูดนางความจริงแล้วนับว่าทิ่มแทงใจ เพียงแค่คิดถึงว่าสถานการณ์กดดันจิ่วหุนและเยี่ยเม่ยในวันก่อน มีบิดาของหลินซูเหย่าเป็นปัญหาใหญ่ นางก็ไม่ชอบสตรีนางนี้ขึ้นมา


 


 


สีหน้าของหลินซูเหย่าขาวซีดลง


 


 


นางมองซือหม่าหรุ่ย เอ่ยเสียงสั่นว่า “บิดาของข้า เขาเลอะเลือนไปชั่วขณะ หวังว่าเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมาจะไม่เอาความบิดาของข้า!”


 


 


ถึงนางจะไม่พอใจที่บิดาทำเช่นนี้กับจิ่วหุน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของนาง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยปรายตามองนาง เอ่ยตามตรงว่า “เรื่องนี้ ข้าไม่อาจตอบได้ รอเยี่ยเม่ยกลับมาแล้วเจ้าไปบอกนางเถอะ!”


 


 


 “เฮ้อ…” หลินซูเหย่าพรูลมหายใจยาวแสดงออกถึงความจนปัญญา สายตามองจิ่วหุนอีกครั้ง “หวังว่าไม่ว่าอย่างไร แม่นางจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้!”


 


 


 “ไม่ต้องให้แม่นางเอ่ย ซือหม่าหรุ่ยก็ต้องทำอย่างเต็มกำลัง ส่วนตัวจิ่วหุน ความจริงเขากังวลก็แต่เยี่ยเม่ยจะใส่ใจความเป็นตายของเขาหรือไม่เท่านั้น ดังนั้นคำพูดของแม่นางความจริงไม่จำเป็นเลย” ซือหม่าหรุ่ยไม่มองไปที่หลินซูเหย่าอีก


 


 


เมื่อเอ่ยถึงขั้นนี้ รวมถึงท่าทีของซือหม่าหรุ่ยก็เท่ากับเป็นการออกไล่แขกแล้ว คำพูดไม่น่าฟังอย่างมาก หลินซูเหย่าชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย ก็จากไป


 


 


หลังจากนางไป


 


 


จงรั่วปิงมองซือหม่าหรุ่ยด้วยสายตาแปลกใจ “ถึงเจ้าเมืองหลินเล่นงานจิ่วหุนสมควรตายจริงๆ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลินซูเหย่า ต่อให้เจ้าไม่ชอบนางเพราะเรื่องนี้ แต่ไฉนต้องแสดงความเป็นศัตรูกับนางถึงขั้นนั้น!”


 


 


นี่ไม่เหมือนนิสัยของซือหม่าหรุ่ยเลย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองจงรั่วปิง “ข้าอยากให้นางตายใจโดยเร็ววัน จิ่วหุนไม่เหมาะกับนาง!”


 


 


จงรั่วปิงอึ้งไป พยักหน้า “เจ้าพูดถูก! แต่ว่าดูจากท่าทีของหลินซูเหย่า ข้าว่านางน่าจะคิดอะไรได้แล้ว”


 


 


……


 


 


 “เตี้ยนเซี่ย ท่านจะออกจากเมืองเช่นนี้จริงหรือ” อวี้เหว่ยติดตามอยู่ด้านหลัง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงออกว่าแตกตื่นอย่างชัดเจน


 


 


ยามนี้ เตี้ยนเซี่ยเป็นผู้นำทัพในเมือง เมื่อเตี้ยนเซี่ยไปแล้ว คนต้ามั่วนำทัพมาโจมตีจะทำอย่างไร


 


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชาติบ้านเมืองที่เตี้ยนเซี่ยใส่ใจเลยสักน้อย ประเด็นสำคัญก็คือก่อนที่แม่นางเยี่ยเม่ยจะออกจากเมืองไปฝากฝังเมืองนี้ให้เตี้ยนเซี่ย หากมีความผิดพลาดขึ้นมา ก็ยากจะเอ่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยได้


 


 


คิดไปแล้ว เขาก็รีบเอ่ย “หากต้ามั่วฉวยโอกาสนี้โจมตี พวกแม่ทัพเซียวรับมือไม่ไหว แม่นางเยี่ยเม่ยจะโมโหเอาได้!”


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลิกกายขึ้นหลังม้า ตวัดสายตามองเขาทีหนึ่ง น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยช้าๆ ว่า “ฮูหยินถูกคนแย่งไปแล้ว เจ้าคิดว่าเยี่ยนยังมีใจคิดเรื่องพวกนี้อีกหรือ”


 


 


อ้อ…


 


 


 “ไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้นกระมัง…” หนังหน้าอวี้เหว่ยกระตุกอย่างแรง


 


 


ไม่ใช่แค่เป่ยเฉินอี้อยู่กับเยี่ยเม่ยเท่านั้นหรือ อย่างไรซะแม่นางเยี่ยเม่ยก็รับปากแต่งงานกับเตี้ยนเซี่ยแล้ว ช้าเร็วอย่างไรก็เป็นคนของเตี้ยนเซี่ย ไฉนเตี้ยนเซี่ยยังไม่วางใจถึงเพียงนี้


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคร้านจะหยุดรอ ตวัดแส้ม้าออกไป


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเขาดังติดตามมา “เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ต่างกับคนอื่น !”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยเพียงประโยคนี้เท่านั้น ความจริงก็คือประเด็นสำคัญของเรื่องทั้งหมด


 


 


ยามเยี่ยเม่ยมองคนอื่น ไม่เคยทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดความรู้สึกไม่สงบมาก่อน นอกเสียจากครั้งนั้นท่าทางของนางที่มองต่อเป่ยเฉินอี้ยังฉายอยู่ในหัวเขา


 


 


ดังนั้นเขาไม่มีทางยอมให้ เยี่ยเม่ยอยู่กับเป่ยเฉินอี้นานเกินไป


 


 


อวี้เหว่ยไม่พูดมากอีกแล้ว รีบทะยานขึ้นม้า ติดตามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไป


 


 


เซียวเยว่ชิงมองแผ่นหลังจากไปของพวกเขาทั้งสอง ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “ดูท่าความสงบสุขของชายแดน คงได้แต่หวังพึ่งพาแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว!”


 


 


องค์ชายสี่จะไปก็ไป บอกว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจ !


 


 


 “ถูกต้อง เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง ต่อไปพวกเราต้องเชื่อฟังคำสั่งของแม่นางเยี่ยเม่ยอย่างเคร่งครัด” หลูเซียงฮั่วเห็นด้วย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม