เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 233-240

 ตอนที่ 233 แสดงพลัง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วฟังบทสนทนาอันเปลือกปลอมของฉินจานและคู่หมั้นเหยียนเค่อแล้วรู้สึกง่วงนิดหน่อย 


 


 


“นี่เป็นของที่เหยียนเค่อซื้อมาฝากฉันจากอเมริกาค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งเอากระเป๋าในมือวางลงบนโต๊ะให้พวกเธอดู โปรยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง 


 


 


“ไม่เลวนี่คะ เหยียนเค่อรู้จักซื้อของมาฝากคุณด้วย ฉันก็ได้แบบนี้เหมือนกัน” น้ำเสียงของฉินจานดูสรรเสริญ แต่เนื้อหาที่พูดทำคนฟังแทบกระอักเลือด ก่อนเธอจะแสร้งถามซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไม่ใส่ใจนัก “เธอก็ได้รับของขวัญเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เธอได้อะไรล่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองกระเป๋าบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ หัวใจเหมือนฟองน้ำที่ถูกคนบิดจนเต็มไปด้วยน้ำแล้วขยายตัวขึ้น เธอไม่ได้รับอะไรเลย ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันทำไมต้องให้ของขวัญเธอด้วย 


 


 


“เขาจะให้ของฉันได้ไงล่ะ คุณสวีเป็นคู่หมั้นเขา แต่ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ซย่าเสี่ยวมั่วหั่นเค้กตรงหน้า มีความคิดอยากจะหั่นให้จานแตกไปเลย 


 


 


“ไม่สิ ฉันจำได้ว่าเขาถือกล่องเล็กๆ มาใบหนึ่งบอกว่าจะให้เธอ น่าจะงานยุ่งเกินจนลืมล่ะมั้ง”  


 


 


ฉินจานเตะเข้าที่ขาเธอหนึ่งที ทำไมต้องดับความกล้าหาญของตัวเอง แล้วให้คนอื่นมาเบ่งข่มด้วยเล่า 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแฟนเก็บที่ต้องแย่งความรักอย่างไรอย่างนั้น แถมตนยังไม่รู้แม้แต่ตัวตนที่แท้จริงของเหยียนเค่อเลยด้วยซ้ำ จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นได้อย่างไร 


 


 


“คงงั้นมั้ง” เธอตอบฝืนๆ 


 


 


เมื่อสวีอิ๋งอิ๋งได้ยินว่าของขวัญของฉินจานเหมือนกับของตน สีหน้าก็เจื่อนลงเล็กน้อย ต่อมาตอนได้ยินซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าเขาไม่ได้รับของขวัญ สีหน้าจึงจะดีขึ้นมาหน่อย 


 


 


ต่อให้เธอไม่ได้รับการยอมรับแค่ไหน แต่ก็ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามคนนี้ 


 


 


“เมื่อวานไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่โรงพยาบาลมา เขาเจ็บหนักมากเลยค่ะ โตขนาดนี้แล้วยังตีกันอยู่อีก ทำตัวให้กลุ้มใจอยู่เรื่อย” 


 


 


มุมปากของซย่าเสี่ยวมั่วกระตุกหนึ่งที เธอมาพูดถึงคู่หมั้นตัวเองแบบนี้ต่อหน้าคนไม่คุ้นเคย ไม่ค่อยดีเท่าไรมั้ง 


 


 


“ซี่โครงหักด้วย แถมหลังยังเขียวช้ำไปหมด” 


 


 


หัวใจของซย่าเสี่ยวมั่วก็หนักอึ้ง เมื่อวานเห็นเหยียนเค่อยังดีๆ อยู่ๆ เลย ทำไมถึงเจ็บหนักได้ล่ะ แถมคู่หมั้นเขาเจ็บหนักสาหัสขนาดนั้นแล้วผู้หญิงคนนี้ยังไม่ไปดูแล แต่มานั่งปล่อยเวลาทิ้งอยู่ที่นี่ทำไม? แถมยังกล้าบอกคนอื่นว่าเขากับคู่หมั้นความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเอาแต่พูดถึงเหยียนเค่อไม่หยุด คนฟังอย่างซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ 


 


 


ตำหนิในใจ ‘รู้แล้วจ้าว่าเหยียนเค่อเป็นของเธอ แต่ช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่นได้ไหม’ 


 


 


ฉินจานดื่มกาแฟไปสามแก้วแล้ว อยากไปเข้าห้องน้ำแต่ก็ไม่กล้าทิ้งซย่าเสี่ยวมั่วไว้ที่นี่ สุดท้ายอั้นไม่ไหวจริงๆ จึงไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเองก่อน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนิทกับสวีอิ๋งอิ๋ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร 


 


 


พอฉินจานเดินออกไป สวีอิ๋งอิ๋งก็เริ่มวางมาดทันที 


 


 


“เฮ้อ พวกตระกูลนักธุรกิจรายใหญ่เนี่ยนะ ผู้ชายคนไหนบ้างที่มีภรรยาอยู่แล้วแต่ไม่ออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน เห็นว่าคุณเป็นคนดีหรอกนะคะฉันถึงเตือน อยู่ให้ห่างจากเหยียนเค่อหน่อย จะได้ไม่เจ็บตัวเจ็บใจ” 


 


 


“ขอบคุณที่เตือนนะคะ แต่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหยียนเค่อเลย” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเห็นเห็นท่าทางไม่ใส่ใจนั่นแล้วก็กำหมัดแน่น เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ายายปีศาจจิ้งจอกนี่ดูมีเสน่ห์ยั่วยวน ตอนแรกยังนึกว่าเป็นเพราะการแต่งหน้า พอวันนี้ได้เห็นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ที่แท้พวกกิ๊กชาวบ้านนี่เปลี่ยนหน้ากันเก่งขนาดนี้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโดนเขาจ้องก็รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัว ตักเค้กเข้าปากอีกก้อนหนึ่ง 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเห็นเธอกินดื่มได้อย่างไม่กังวลเรื่องรูปร่างก็ถามขึ้นด้วยคำพูดที่คลุมเครือ “คุณซย่าระวังหน่อยก็ดีนะคะ พวกผู้ชายน่ะชอบหุ่นผอมๆ กันไม่ใช่เหรอคะ ถ้ากินจนอ้วนแล้วจะขายไม่ออกเอานะคะ” 


 


 


“เหอะๆ” เธอพูดถึงตัวเองอยู่ล่ะสิ…ปกติเธอก็เป็นคนที่กินไม่อ้วนอยู่แล้ว ตอนนี้กินให้อิ่ม ข้าวเย็นก็ ประหยัดไปได้อีกมื้อ 


 


 


เมื่อฉินจานกลับมาก็มีเพียงซย่าเสี่ยวมั่วนั่งอยู่ตรงนั้น จึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ “แล้วเขาล่ะ?” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไปจ่ายเงิน เอ่ยอย่างเอือมระอา “กลับไปแล้ว” 


 


 


เธอแค่พูดไปแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเอง “คุณสวีดูตัวเองให้ดีก่อนจะดีกว่านะคะ” จากนั้นเขาก็โมโหแล้วเดินออกไปเลย 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 234 ใส่สีตีไข่ 


 


 


คุณพ่อเหยียนสั่งไม่ให้คุณแม่เหยียนไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่โรงพยาบาล คุณแม่เหยียนทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างสวีอิ๋งอิ๋งเท่านั้น 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเที่ยวเล่นอยู่นอกบ้านทั้งวัน ไม่ได้เหยียบเข้าไปในโรงพยาบาลเลยแม้แต่ก้าวเดียว ก่อนจะกลับบ้านไปรายงานผล 


 


 


“คุณน้าคะ สบายใจได้ค่ะ เหยียนเค่อดีขึ้นแล้ว วันนี้ไม่เจ็บแล้วค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งปลอบโยนคุณแม่ 


 


 


เหยียน คุณพ่อเหยียนที่นั่งอยู่อีกฝั่งอยากฟังข่าวคราวแต่ก็แสร้งทำเป็นโมโห ไม่สนใจว่าเหยียนเค่อจะเป็นจะตายอย่างไร แต่ลอบมองไปทางด้านนั้น 


 


 


“เหยียนเค่อไอ้ลูกคนนี้ โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด โตขนาดนี้แล้วยังไปตีกับเขาอีก น่าขายหน้าจริงๆ” คุณแม่เหยียนโทรหาเหยียนเค่อกี่ทีๆ ก็ปิดเครื่อง 


 


 


คุณพ่อเหยียนกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะดัง ปั่ก “ให้ไอ้ลูกบ้านั่นแต่งงานให้เร็วที่สุด! จะได้สำรวมใจบ้าง! ยิ่งโตก็ยิ่งก่อเรื่องวุ่นวาย!” 


 


 


“คุณเงียบไปเถอะค่ะ! เลี้ยงดูแต่ไม่สั่งสอนก็เป็นความผิดของคนเป็นพ่อเหมือนกันนะคะ!” คุณแม่เหยียนโยนหมอนอิงใส่คุณพ่อเหยียนด้วยความโมโหไม่แพ้กัน 


 


 


คุณพ่อเหยียนอดกลั้นจนหน้าแดงไปหมด คำรามขึ้น “คุณให้ท้ายลูกจนเสียคนน่ะสิไม่ว่า!” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งห้ามคุณแม่เหยียนไว้ก่อนจะเอ่ยปลอบ “เอาเถอะค่ะๆ คุณน้า อย่าโกรธไปเลยนะคะ ต่อไปเหยียนเค่อจะไม่ทำให้พวกคุณน้าคุณอาต้องเป็นห่วงแน่นอนค่ะ แต่หนูได้ยินมาว่า หลานชายของตระกูล 


 


 


หลี่เจ็บหนักมากเลย คือ…” 


 


 


“แล้วแต่หนูแล้วกัน รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน หนูก็หมั้นกับเหยียนเค่อซะ คอยคุมเขาหน่อย ให้เขาสำรวมใจเสียบ้าง!” คุณแม่เหยียนลูบมือสวีอิ๋งอิ๋ง ใบหน้าอ่อนหวานอบอุ่นที่มีริ้วรอยของวัยฉายแววเอือมระอาและจนปัญญา 


 


 


“คุณน้าสบายใจเถอะค่ะ จะว่าไปก็น่าอายจังเลยนะคะที่หนูยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับวงการงานของ 


 


 


เหยียนเค่อเท่าไรเลย หนูยังไม่เคยไปบริษัทเขาเลยด้วยซ้ำ” สวีอิ๋งอิ๋งปั้นหน้าได้ดีเยี่ยม ดวงตาหลุบต่ำและ 


 


 


สีหน้าหงอยเหงา ทำให้คุณแม่เหยียนเห็นแล้วก็รู้สึกทนไม่ได้ 


 


 


“ให้เหยียนเค่อรีบกลับมาเหยียนกรุ๊ปซะ เลี้ยงให้ไปโตเมืองนอกจนบ้าไปกันใหญ่แล้ว! นึกว่าตัวเองเก่งมาก แต่ความจริงแล้วเทียบกับเหยียนกรุ๊ปไม่ได้เลย!” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งได้ยินเช่นนี้ก็หน้าตึง จะให้เหยียนเค่อกลับเหยียนกรุ๊ปง่ายดายแบบนี้ไม่ได้ 


 


 


คุณพ่อเหยียนโมโหจนไอโขลก ดื่มชาให้ชุ่มคอ “อิ๋งอิ๋ง หนูแต่งเข้ามาได้อย่างไม่ต้องกังวลเลยนะ บ้านเหยียนไม่ใจร้ายกับหนูแน่นอน ต่อไปจะไม่ให้เหยียนเค่อมาแกล้งหนูอีกแล้ว” 


 


 


คุณพ่อเหยียนเสนอเงื่อนไขให้เธอล่วงหน้าทั้งหมดไม่ได้ ที่พูดเช่นนี้ไปก็เพราะว่าสวีอิ๋งอิ๋งจะได้ไม่มากังวลทีหลัง 


 


 


“หนูก็อยากแต่งให้เร็วที่สุดเหมือนกัน ก็คงต้องแล้วแต่เหยียนเค่อแล้วค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งแสร้งทำท่าเขินอายเป็นสาวน้อยแล้วเปลี่ยนประเด็น “แต่ฉันคิดว่าผู้ชายตอนหนุ่มๆ ออกไปตรากตรำทำงานอยู่ข้างนอกก็ดีนะคะ เขาจะได้รู้ว่าบ้านตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว รอให้เขาลำบากก่อนก็เข้าใจเองแหละค่ะ” 


 


 


“อิ๋งอิ๋งพูดถูก มีลูกสะใภ้แบบนี้อาก็วางใจ” คุณพ่อเหยียนทอดถอนใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นบ้านไป “อิ๋งอิ๋งก็อยู่คุยเป็นเพื่อนน้าเขาหน่อยนะ เที่ยงนี้ก็อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน” 


 


 


“ค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งรู้ว่าแต่งงานเข้าบ้านตระกูลเหยียนนั้นได้สินสอดไม่น้อยแน่นอน แต่ที่เธอต้องการคือตำแหน่งคุณนายใหญ่ของบ้านตระกูลเหยียน เงินมากมายเท่าไรก็ไม่สามารถเทียบได้ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งและคุณแม่เหยียนไม่ได้คุยกันอย่างสนุกสนาน ก็แค่ไม่ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาก็เท่านั้น 


 


 


คุณแม่เหยียนเองก็ไม่ได้พอใจในลูกสะใภ้คนนี้มากมายนัก ก็แค่รู้สึกว่าเหมาะสมกับลูกชายตนเท่านั้น 


 


 


บนโลกนี้ คนต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง เธอก็อยากให้เหยียนเค่อหาผู้หญิงที่ตรงใจเขาเช่นกัน แต่โลกใบนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ การตามหาใครคนนั้นยากลำบากเพียงไหนกัน ทำได้เพียงกล้ำกลืน หาคนอื่นมาทดแทน 


 


 


เหยียนเฟิงกลับบ้านตอนเที่ยงก็เห็นสวีอิ๋งอิ๋งนั่งอยู่บนโซฟาในบ้าน ส่วนแม่ของตนทำอาหารอยู่ในครัว 


 


 


“อิ๋งอิ๋งมาบ้านเหรอ” 


 


 


“ค่ะ พี่ใหญ่กลับมาแล้วเหรอคะ งานยุ่งขนาดนี้แต่ก็ยังกลับมากินข้าวที่บ้านด้วย” สวีอิ๋งอิ๋งหลบสายตาอันร้อนแรงของเหยียนเฟิง พูดหยอกล้อกับเขาอย่างขวยเขิน 


 


 


“ใช่ สวรรค์บอกกับฉันว่ามีสามงามมาทานมื้อเที่ยงกับฉันน่ะ” เหยียนเฟิงเอาเสื้อคลุมตัวนอกพาดแขนไว้ แล้วก้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชายหนุ่มที่อบอวลอยู่ด้านหลัง ทำเอาใบหน้าแดงซ่าน เอ่ยเบาๆ อย่างแง่งอน “พูดอะไรคะเนี่ย” 


 


 


“ทำไม ไม่ชอบเหรอ” 


 


 


เหยียนเค่อเอ่ยหยอกล้อเธอไปพลางดูลาดเลาเผื่อว่าจู่ๆ แม่เขาจะโผล่ออกมา 


 


 


“ชอบค่ะ” สวีอิ๋งอิ๋งพูดเสียงเบา มองใบหน้าด้านข้างอันงดงามของเหยียนเฟิงแล้ว หัวใจก็เต้นตึกตัก 


ตอนที่ 235 เยี่ยม 


 


 


ฉินจานและซย่าเสี่ยวมั่วออกมาจากร้านกาแฟ แสงอาทิตย์ด้านนอกกำลังดี 


 


 


“ฉันจะไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่โรงพยาบาล เธอจะไปกับฉันไหม” ฉินจานถามขึ้นอย่าง ‘หวังดี’ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะปฏิเสธ ก็ถูกฉินจานขัดขึ้นเสียก่อน 


 


 


“เหมือนเธอจะบอกว่าจะยกเวลาว่างวันนี้ให้ฉันหมดเลยนี่ ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราก็ไปด้วยกันเถอะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ว “…” คุณพี่ก็ตัดสินใจง่ายเกิน 


 


 


เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกฉินจานกำหนดกิจกรรมในตอนบ่ายของวันนี้ให้เสร็จสรรพแล้ว ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วไปซื้อดอกไม้สองช่อที่ร้านดอกไม้ข้างกัน 


 


 


“ว้าว มั่วมั่ว เธอซื้อช่อดอกไม้ให้ฉันด้วยเหรอ ขอบคุณนะ” ฉินจานรับดอกลิลลี่ในมือของซย่าเสี่ยวมั่วมาช่อหนึ่ง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ “ช่อนั้นฉันจะให้หลี่หมิงฉวีน่ะ” ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่ก็เอาช่อดอกไม้ให้ฉินจาน 


 


 


ฉินจานถือดอกไม้ช่อนี้ในมือแล้วยิ้มอย่างสดใส เธอทำร้ายจิตใจเหยียนเค่อเข้าอีกครั้งแล้ว คราวนี้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วคงไม่ไปเยี่ยมหลี่หมิงฉวีอะไรนั่นแล้วล่ะนะ 


 


 


เหยียนเค่อนอนราบได้แล้ว เพียงแต่ยังขยับตัวได้ไม่คล่องแคล่วนัก 


 


 


ตนอยู่กับเสิ่นจิ้งเฉินมานานแล้ว เห็นหน้าเขาแล้วก็รู้สึกรำคาญ 


 


 


“นี่ นายออกไปนั่งข้างนอกได้ไหม เห็นนายแล้วฉันรำคาญ” 


 


 


คนที่เพิ่งโดนเรียกกลับเข้ามาเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ๊ก “นายอย่างหาเรื่องได้ไหม ฉันย้ายที่นั่งสี่รอบภายในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ ทำไมนายถึงเรื่องมากแบบนี้” 


 


 


เหยียนเค่อมองเขาปราดหนึ่ง รู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก “ไหงมีแค่นายคนเดียวล่ะ ฉันเห็นหน้านายแล้วเอียนจนจะอ้วกอยู่แล้ว ไม่เป็นผลดีต่อการสมานแผลเลย” 


 


 


“แผลนายอยู่ตรงไหนเหรอฮะ” เสิ่นจิ้งเฉินกำลังวุ่นอยู่กับการเขียนรายงาน อีกสองสามวันก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว “นายอย่ามากวนฉัน ต่อไปถ้าอยากเจอฉันก็คงไม่โผล่หัวมาเจอนายแล้วนะ” 


 


 


เพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู 


 


 


รออยู่นานก็ไม่มีคนมาเปิดประตู ฉินจานบ่นพึมพำกับซย่าเสี่ยวมั่ว “คงไม่ได้จู๋จี๋กกบน้องพยาบาลอยู่ข้างในหรอกนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา ยกนิ้วโป้งให้เธอ “จินตนาการยอดเยี่ยม” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเดินมาเปิดประตู เห็นฉินจานก่อนจึงหลีกทางให้ “สวัสดีพี่สะใภ้” 


 


 


“นายอยู่นี่เหรอ” ตาของฉินจานเบิกโพลง 


 


 


เมื่อเหยียนเค่อที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงฉินจานก็นั่งเล่นโทรศัพท์ต่อไปอย่างเบื่อหน่าย 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ใช่สิ ไม่ใช่ฉันแล้วจะใครล่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ยืนอยู่ข้างหลังหลุดหัวเราะออกมา เธอรู้ว่าฉินจานคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เอาภาพพยาบาลสาวมาแทนที่ด้วยเสิ่นจิ้งเฉิน 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเห็นน้องสาวตนก็ยกมือขึ้นลูบหัว “แล้วทำไมเธอถึงมาด้วยล่ะเนี่ย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะเรียกเขา ก็ได้ยินเสิ่นจิ้งเฉินกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเธอ “อย่าเรียกฉันว่าพี่” 


 


 


“ก็มาหานายไง” ซย่าเสี่ยวมั่วเอาดอกยิปโซในมือยัดให้เสิ่นจิ้งเฉินแล้วว่าไปตามน้ำ 


 


 


เหยียนเค่อได้ยินเสียงของซย่าเสี่ยวมั่วก็มือกระตุก โทรศัพท์กระแทกเข้าที่โหนกคิ้ว 


 


 


ด้านหลังโทรศัพท์ของเขาฝังเพชรแท้ จึงหนักกว่าโทรศัพท์แบบอื่น แถมขอบโทรศัพท์ยังกระแทกเข้าที่กระดูกของเขาพอดีอีก เจ็บจนต้องครวญครางออกมา 


 


 


ฉินจานที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดเงียบๆ หัวเราะออกมาอย่างสะใจ 


 


 


“เป็นอะไรอีกล่ะ” เมื่อเสิ่นจิ้งเฉินกับซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้ามาก็เห็นเหยียนเค่อนอนตัวแข็งอยู่บนเตียง 


 


 


เหยียนเค่อเจ็บจนต้องมุดหน้า แล้วดันไปกระทบกับกล้ามเนื้อบริเวณหลังเข้าพอดี ทันใดนั้นจึงนอนตัวแข็งอยู่ในท่าทางแปลกประหลาด เก้ๆ กังๆ 


 


 


“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ฉินจานรีบกดกริ่งเรียกหมอ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินยังมีอารมณ์เอาดอกไม้ไปวางไว้บนโซฟา 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าตนควรจะเข้าไปปลอบใจสักหน่อยหรือไม่ 


 


 


หางตาของเหยียนเค่อเหลือบไปเห็นซย่าเสี่ยวมั่วยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก เขาเจ็บจะตายอยู่แล้ว เธอยังมีกะจิตกะใจมายืนเหม่ออยู่อีกเหรอ! 


 


 


“นายไม่ไปดูหน่อยเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วดึงปลายเสื้อของเสิ่นจิ้งเฉิน มองดูเหยียนเค่อที่เจ็บปวดทรมาน 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 236 เผลอทำตัวเองบาดเจ็บ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันกลัวว่าถ้าเขาเห็นฉันแล้วจะอ้วกออกมาน่ะสิ ฉันก็ไม่อยากไปทำให้อาการหนักกว่าเดิม” 


 


 


ในใจของเหยียนเค่อราวกับมีพายุหิมะพัดพา เพื่อนคือคนที่เหยียบซ้ำในเวลาสำคัญเสมอ 


 


 


เมื่อฉินซื่อหลานเข้ามาเห็นว่าในห้องผู้ป่วยคึกคักเช่นนี้ก็แสร้งทำเป็นเอ่ยเสียงขรึม “คนไข้ต้องการพักผ่อน เยี่ยมเสร็จแล้วก็กลับได้แล้วครับ” 


 


 


ฉินจานเหลือบมองเขาหนึ่งที “นายมีปัญหาอะไรไหม” 


 


 


พอฉินซื่อหลานเห็นพี่สาวตน ก็กลัวหัวหดทันที “อ้าว พี่สาวสุดสวยของผมทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ข้าน้อยควรจะไปต้อนรับพี่สิ” 


 


 


เหยียนเค่อที่นั่งง่อยมองพวกเขาคุยกันสนุกสนานก็คำรามขึ้นอย่างเดือดดาล “ฉินซื่อหลาน!” 


 


 


ฉินซื่อหลานเยินยอพี่สาวตนจนเธอพอใจแล้วจึงมาจัดการเหยียนเค่อ 


 


 


“นายเอามือออก” เขามองโทรศัพท์อันเลิศหรูนั่นปราดหนึ่งก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


เหยียนเค่อปาดน้ำตาที่ไหลออกมาตามธรรมชาติแล้วเอามือออก “ฉันรู้สึกว่ากระดูกฉันจะปูดออกมาเลย” 


 


 


ฉินซื่อหลานจัดท่าทางที่ถูกต้องให้เขา ถึงแม้ว่าเหยียนเค่อจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้โอดครวญอย่างเมื่อก่อน 


 


 


ฉินซื่อหลานเอ่ยหยอกล้อ “มีสาวสวยนั่งบังคับบัญชาแล้วแตกต่างออกไปเลยนะ ในที่สุดก็ทำให้โรงเชือดกลายเป็นโรงพยาบาลได้สักที” 


 


 


เหยียนเค่อปวดร้าวไปทั้งตัว เบะปาก รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก 


 


 


“นั่นสิ เมื่อวานเขาโอดครวญทั้งวัน วันนี้เช้าก็หาเรื่องไม่หยุด” เสิ่นจิ้งเฉินดึงซย่าเสี่ยวมั่วให้นั่งลงบนโซฟา 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดวงตาแดงก่ำของเขาที่ไม่กล้าแม้แต่จะลืมขึ้นมองก็ใจกระตุก ท่าทางจะเจ็บมาก 


 


 


ฉินซื่อหลานหยิบถุงน้ำแข็งมาประคบให้เขาเพื่อคลายอาการบวม “อย่าขยับตัวมากเกินล่ะ ถ้าถุงน้ำแข็งกระแทกตาอีกฉันก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ” 


 


 


“ไอ้หมอไม่ได้เรื่อง!” เหยียนเค่อใช้ดวงตาที่ยังอยู่ดีเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง 


 


 


ฉินจานนั่งน้ำลายไหลอยู่ข้างๆ “เมื่อไรนายจะทายาให้เขาล่ะ ฉันอยากเห็น” 


 


 


เหยียนเค่อรับไม่ได้กับการให้ผู้หญิงคนอื่นมาเห็นเนื้อหนังของตน “หยุดคิดไปเลย!” 


 


 


ฉินซื่อหลานโดนพี่สาวตนคาดคั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่า ‘ไม่’ ก็เอ่ยอย่างประจบเอาใจ “พี่อยากเห็นตอนไหนผมก็จะทาให้เขาตอนนั้น” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเหยียนเค่อเจ็บหนักขนาดนั้นแล้วยังต้องมาโดนแกล้งอีกก็ทนดูไม่ได้ ดึงเสิ่นจิ้งเฉินไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา “เขาเจ็บหนักมากไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกพี่ทำแบบนี้ล่ะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองน้องสาวตนที่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกับเหยียนเค่อแต่ก็เข้าข้างเขาเช่นนี้แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ “ตอนเขาแกล้งพวกเราเธอรู้ไหม? เธอควรจะเข้าข้างพี่ชายเธออย่างฉันสิ!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นท่าทางรับไม่ได้ของเขา ทำได้เพียงพูดประจบ “ค่ะๆๆ พี่พูดถูกทุกอย่างเลย” 


 


 


เหยียนเค่อเห็นซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มให้เสิ่นจิ้งเฉินอย่างประจบเอาใจผ่านร่องประตู ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ หรือว่าเธอจะชอบเสิ่นจิ้งเฉินจริงๆ 


 


 


ฉินจานเอาดอกลิลลี่ในมือไปวางไว้บนอกของเหยียนเค่อ “นี่ดอกไม้ที่ซื้อมาให้นาย ขอให้นายหายไวๆ นะ” 


 


 


ดอกลิลลี่มีกลิ่นน้ำหอมที่แปลกประหลาดฉีดพ่นอยู่ด้านบน เหยียนเค่อได้กลิ่นแล้วก็อยากจาม หยิบขึ้นมาโบกแล้วโยนไปไว้อีกด้าน “ขอบใจนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกสงสารเขาจากใจจริง นึกเสียใจที่มาเยี่ยมเขา 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเห็นสีหน้าเจ็บปวดของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็หมดคำจะพูด ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะเนี่ยทำไมถึงสงสารกันขนาดนี้แล้วล่ะ ถ้าต่อไปคบกันแล้ว ไม่รู้เลยว่าน้องสาวตนจะเข้าข้างเขาขนาดไหน 


 


 


“เอาล่ะๆ ไม่ต้องทำหน้าสงสารแล้ว เธอเห็นวิทยานิพนธ์ของฉันแล้วเธอควรจะสงสารฉันมากกว่านะ” เสิ่นจิ้งเฉินยกโน้ตบุ๊กของตนมาวางไว้ที่ขาของเธอ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นหัวข้อแล้วก็ไม่อยากเลื่อนดูต่อไป “ฉันไม่สนใจหรอก ดูมีความรู้มากเกิน” แถมยังลอบมองเหยียนเค่อผ่านร่องประตูต่อด้วย 


ตอนที่ 237 ยุยงให้สารภาพรัก 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินใช้สายตามองซย่าเสี่ยวมั่วราวกับจะยิงกันให้ตาย 


 


 


“ถ้าเธอชอบเขาก็ไปสารภาพรักซะสิ” เสิ่นจิ้งเฉินพูดจี้จุดทันที 


 


 


“ใครชอบเขากัน” สีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วไม่มีความเขินอายใดๆ ตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็แค่มาเยี่ยมเพราะเห็นแก่มิตรภาพอันน้อยนิดนั่นเท่านั้นแหละ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินนึกสงสัยขึ้นมา นี่ไม่ชอบจริงๆ น่ะเหรอ? 


 


 


“แล้วสีหน้าเมื่อกี้ของเธอหมายความว่ายังไง” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บสายตากลับมา แล้วพูดคุยกับเสิ่นจิ้งเฉินอย่างผ่อนคลาย “ก็ฉันเป็นคนมีความเมตตา พอไม่ทันระวัง ความรู้สึกนั้นก็จะท่วมท้นออกมาไงล่ะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินไม่เห็นว่ามีความผิดปกติอะไร นึกว่าตนจะคิดมากเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องปิดบังตัวตนของซย่าเสี่ยวมั่วไปอีกสักพัก ถ้าเปิดเผยออกไปกลัวว่าจะมีคนมาหลอกใช้ เหยียนเค่อเองก็ไม่มีท่าทางอะไรเช่นกัน ตนเองถูกหนีบอยู่ตรงกลางก็ทำตัวไม่ถูก 


 


 


ทั้งสองคนต่างก็ก้มหน้าขบคิด ฉินจานเอ่ยขึ้น “เหยียนเค่อจะทายาแล้ว ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานต้องหลบออกไปใช่ไหม” 


 


 


“ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วควรจะหลบออกไปมากกว่าอีก!” เหยียนเค่อดึงชายเสื้อของตนไว้ไม่ให้ 


 


 


ฉินซื่อหลานถอดมันออก 


 


 


ฉินจานยกเก้าอี้มาแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว “ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ไม่ต้องหลบเลี่ยงแล้ว ใช่ว่าไม่เคยเห็นสักหน่อย ฉันแค่จะดูว่าอาการนายเป็นยังไงบ้างเท่านั้น วันนี้ยายสวีอิ๋งอิ๋งนั่นบอกว่านายเจ็บสาหัสเลยนี่” 


 


 


“ถ้าบอกสวีอิ๋งอิ๋งก็ต้องบอกว่าสาหัสไว้ก่อน” เสิ่นจิ้งเฉินอธิบาย “ฉันสงสัยว่าเขากับเหยียนเฟิงกิ๊กกันอยู่ เมื่อวานก็เลยบอกว่าอาการหนัก พวกนายก็คิดหน่อย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” 


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เธอจะพูดอะไรที่มันน่าฟังหน่อยไม่ได้หรือไง 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเดินนำซย่าเสี่ยวมั่วออกไปที่ห้องเล็กด้านนอก ทิ้งพวกเขาทั้งสามคนไว้ในห้องด้านใน 


 


 


ฉินจานเห็นว่าพวกเขาออกไปแล้วก็ปิดประตู เหยียนเค่อจึงเก็บสายตาที่มองตาแผ่นหลังของซย่าเสี่ยวมั่วกลับมา ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก “เธอคงไม่ได้อยากจะดูจริงๆ หรอกใช่ไหม” 


 


 


“ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย ให้ฉินซื่อหลานทายาเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย” 


 


 


เมื่อฉินซื่อหลานลงมือทายา เหยียนเค่อก็สะอึก แรงเยอะกว่าเมื่อก่อนเสียอีก แล้วเขาก็ไม่กล้าแหกปากร้องครวญครางด้วย 


 


 


ฉินซื่อหลานทายาให้เขาระบายความโกรธ ให้เขาบ่นพึมพำไป ส่วนตนก็ได้แก้แค้นภายในครั้งเดียว 


 


 


“ถ้านายชอบซย่าเสี่ยวมั่วก็รีบสารภาพรักซะ อย่ามัวแต่ชักช้าลีลา ถ้าพ่อแม่นายบังคับให้นายกับ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งหมั้นกัน นายก็ไปนั่งร้องไห้กับกำแพงได้เลย ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ชายตามองนายอีกต่อไปแน่” 


 


 


“ตอนนี้เขาก็ไม่ชายตามองฉันเหมือนกัน โอ๊ะ! โอ๊ยๆ” เหยียนเค่อเพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ แรงที่มือของฉินซื่อหลานก็เพิ่มขึ้น เจ็บจะตายอยู่แล้ว 


 


 


ฉินจานไม่เข้าใจ ว่าอีคิวของนายเหยียนหายไปไหนเสียแล้ว “นายเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย รอให้นายหมั้นแล้ว ทุกอย่างลงตัวแล้ว แต่นายเพิ่งมารู้ตัวว่าคนที่นายชอบคือเขา นายประสาทหรือเปล่า” 


 


 


“ฉันไม่ได้ชอบเขา!” เหยียนเค่อพูดอย่างหงุดหงิด 


 


 


ฉินจานขบฟัน “ใส่แรงกว่านี้อีก ทำไมเขายังมีแรงพูดได้อยู่!” 


 


 


“ได้ครับ” มือของฉินซื่อหลานทั้งสามารถผ่าตัดได้อย่างเบามือ ทั้งยังสามารถต่อและถอดกระดูกได้อย่างรุนแรงอีกด้วย 


 


 


เหยียนเค่อเจ็บจนทนไม่ไหว ร้องครวญครางออกมา “ฉินซื่อหลานนายจะฆ่าฉันหรือไง!” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินนั่งคุยสารทุกข์สุกดิบกับซย่าเสี่ยวมั่วอย่างใจเย็น ได้ยินเสียงจากด้านในก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด 


 


 


“พวกพี่ไม่ถูกกันเหรอ ทำไมไม่สนใจเขาเลยล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงโอดครวญราวกับหมูโดนเชือดก็มุมปากกระตุก 


 


 


“วันนี้เช้าเขาบอกว่าเห็นหน้าฉันแล้วอยากจะอ้วก” ผู้ชายใบหน้าอ่อนหวาน ท่าทางทรงภูมิอย่างเสิ่นจิ้งเฉินจ้องซย่าเสี่ยวมั่วอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วบอกเล่าคำพูดเมื่อเช้านี้ของเหยียนเค่ออีกครั้ง 


 


 


เอาเถอะ สมน้ำหน้าแล้วล่ะ ซย่าเสี่ยวมั่วก็อดซ้ำเติมไม่ได้เช่นกัน 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 238 ของขวัญ 


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วและเสิ่นจิ้งเฉินเข้ามา เหยียนเค่อก็กำลังติดกระดุมชุดผู้ป่วยของตนอย่างน้อยอกน้อยใจอยู่พอดี 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นอกแกร่งของเขาแล้ว ก็แอบเบือนสายตาหนี หุ่นดีขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย…นึกไปถึงสวีอิ๋งอิ๋ง แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ทำไมรู้สึกเหมือนเห็นดอกไม้งามเสียบอยู่บนปุ๋ยคอกอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“ซย่าเสี่ยวมั่วเธอไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเลยเหรอ” เหยียนเค่อจ้องคนเหม่อลอยอยู่ข้างเตียงของตน 


 


 


ความคิดของซย่าเสี่ยวมั่วถูกขัด เอ่ยปากตอบโดยไม่รู้ตัว “ขอให้นายโชคดี อายุยืนหมื่นปีนะ” 


 


 


เมื่อดึงสติกลับมาได้เธอก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี้เธอเผลอพูดอะไรออกไป แต่สีหน้าของเหยียนเค่อก็ดูประหลาดยิ่งกว่าเดิม 


 


 


ฉินจานและอีกสองคนกลั้นขำ ไม่มีใครเข้ามาแก้หน้าให้เลยสักคน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกระแอม “หมายถึง…ขอให้นายหายเร็วๆ” 


 


 


“แล้วมีอะไรอีก?” เหยียนเค่อมองสายตาที่เบี่ยงหลบ ไม่มองมาที่ตนแล้วก็เริ่มโมโหขึ้นมาอย่างประหลาด 


 


 


“แล้ว…” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดตามแล้วมองเขาอย่างงุนงง “แล้วมีอะไรอีกล่ะ?” 


 


 


เหยียนเค่อก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะพูดอะไรสวยหรูออกมาหรอก หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงใต้หมอนออกมาโยน “ฉันให้” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยกมือขึ้นรับไว้ ร้อง “เฮ้ย” อย่างตื่นตกใจ 


 


 


เหยียนเค่อพกมันติดตัวไว้ว่าจะให้เธอตั้งแต่วันหมั้นสวีรั่วชีแล้ว แต่เพราะตอนนั้นรีบร้อนเกินไป แถมในใจยังโมโหที่เธอกับหลี่หมิงฉวีไปเดินใกล้ชิดกันอีกจึงลืมไป ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้ให้แล้วซะอีก ให้เธอตอนนี้ก็ประจวบเหมาะพอดี 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อ “ขอบคุณนะ” 


 


 


“ชิ” เหยียนเค่อเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วจินตนาการสิ่งที่เขาคิดในใจได้ทั้งหมด ถ้าตรงนี้ไม่มีคนอยู่ละก็คนขี้เก๊กอย่าง 


 


 


เหยียนเค่อต้องอาละวาดแน่นอน 


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ เธอไม่แม้แต่จะดูมันเลย และไม่รู้ด้วยว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบละก็เธอตายแน่! 


 


 


เพียงแต่เพราะว่ามีคนอยู่ที่นี่เขาจึงทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงเอาคำที่อยากพูดเก็บไว้ในใจ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นสีหน้าของเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่พอใจกับปฏิกิริยาของตนเองจึงเอ่ยขึ้น “ฉันชอบมาก ขอบคุณนะ” 


 


 


ไม่รู้ว่าควรจะเติมคำอะไรข้างหน้าคำว่า ‘ฉันชอบมาก’ หรือเปล่า 


 


 


หัวใจของเหยียนเค่อรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เชิดหน้าอย่างขัดเขิน “ก็ฉันเป็นคนให้นี่นะ” 


 


 


ฉินจานขัดขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก “นายรู้ไหมว่ากระเป๋าที่ซื้อให้ฉันกับสวีอิ๋งอิ๋งมันเหมือนกันน่ะ” 


 


 


“เธอไปถามเซ่าหมิงฟ่านละกัน ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อสักหน่อย” เหยียนเค่อตอบกลับราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ 


 


 


“อ๋อ” ฉินจานยิ้มบางๆ “แล้วนายรู้ไหมว่าให้อะไรซย่าเสี่ยวมั่ว” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วลูบกล่องกำมะหยี่ในกระเป๋าของตนเอง รู้สึกหดหู่ในใจ ที่แท้เขาก็ไม่ได้เป็นคนซื้อเองหรอกหรือเนี่ย 


 


 


เหยียนเค่อมองฉินจานปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง “ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย” แต่ก็กลัวว่า 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วจะคิดมากจึงเอ่ยเสริม “ฉันไม่สนใจพวกกระเป๋า ก็เลยให้คนอื่นไปซื้อให้ นอกนั้นฉันเป็นคนซื้อเอง” 


 


 


ฉินจานกระอักเลือด ใครจะรู้ว่าของขวัญที่ให้คนอื่นล้วนเป็นกระเป๋าทั้งหมด 


 


 


เหยียนเค่อลำพองใจ นอกจากของขวัญของซย่าเสี่ยวมั่วที่เขาเป็นคนเลือกเองแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นของที่ผู้ช่วยพิเศษของเขาเป็นคนซื้อทั้งหมด 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเขาอธิบายก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นึกไปถึงหลี่หมิงฉวี ก็ถามเสิ่นจิ้งเฉิน “ฉันต้องไปเยี่ยมหลี่หมิงฉวีหน่อยไหม” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินยังไม่ทันพูดอะไร เหยียนเค่อก็โวยวายขึ้นมาก่อน “ห้ามไป! ไม่ว่าจะหลี่หยาง หลี่กังหรือว่าหลี่ซวงเจียงก็ตาม คนสกุลหลี่เลวหมดทุกคน!” 


 


 


“เอ่อ…” จู่ๆ ก็รู้สึกตลกจนอยากจะหัวเราะออกมา ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเองก็ไม่เห็นงามด้วย “ต่อไปอยู่ห่างๆ พวกนั้นหน่อย คนของเฉิงซีเลวทุกคน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้าต่อ “ค่ะ” 


 


 


หลังจากโดนแต่ละคนผลัดกันพูดล้างสมองว่าพวกของหลี่หมิงฉวีขี้ขลาดแค่ไหน กระจอกเพียงใดแล้ว ความรู้สึกเป็นมิตรกับหลี่หมิงฉวีในฐานะเพื่อนนักเรียนที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของซย่าเสี่ยวมั่วต่างก็สลายหายไปจนหมด 


ตอนที่ 239 สร้อยข้อมือ 


 


 


ทุกครั้งที่เหยียนเค่อจะพูดอะไรกับซย่าเสี่ยวมั่วสักหน่อยก็โดนคนพูดขัดขึ้นตลอด สุดท้ายจึงไล่พวกเขาออกไปให้หมด “พวกเธอกลับไปเถอะ ฉันจะนอน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้าอย่างสบายอกสบายใจ “งั้นนายพักผ่อนเยอะๆ พวกเราไปก่อนนะ” ก่อนจะเดินนำออกไป 


 


 


เหยียนเค่อดึงผ้าห่มมาคลุมโปง ไม่อยากเห็นแผ่นหลังบอบบางนั่น คลุมตัวเองอยู่ในนั้น เก็บงำความโมโหเอาไว้ในใจ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเดินไปส่งพวกเธอกลับ แต่ก็สั่งกำชับซย่าเสี่ยวมั่วอีกครั้งอย่างไม่วางใจ “ระวังตัวหน่อยนะ อยู่ให้ห่างจากพวกเฉิงซีหน่อย” 


 


 


“ได้ค่ะ พูดมากจนจะเป็นแม่อยู่แล้ว” 


 


 


“แล้วที่ฉันพูดมากขนาดนี้เพื่อใครกันล่ะ” เสิ่นจิ้งเฉินที่โดนบ่นจิ้มกะโหลกเธอ “ทำตัวดีๆ ถ้าฉันกลับเมืองหลวงถึงเธออยากฟังฉันบ่นก็ไม่ได้ฟังแล้วนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วดึงแขนเขามาคล้องไว้ “แล้วเมื่อไรพี่จะกลับมาอีกล่ะ ให้ฉันไปส่งไหม” 


 


 


“เอาสิ เดี๋ยวถึงวันนั้นแล้วฉันจะบอกล่วงหน้านะ” เสิ่นจิ้งเฉินยิ่งมองน้องสาวตัวเองก็ยิ่งชอบใจ ไม่ว่าไปไหนก็อยากจะพาไปด้วย “เธอกลับเมืองหลวงไปกับฉันไหมล่ะ จะพาเธอไปดูที่ทำงานของฉันกับมั่วหลี” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้รับการชื่นชอบขนาดนี้ก็ดีใจ ยิ้มจนตาหยีเป็นขีดเดียว “เอาสิ ฉันอยากไปแน่นอน แต่ช่วงนี้เพิ่งเซ็นสัญญาไป รอให้ฉันมีวันหยุดก่อน จะรีบไปหาพวกพี่ทันทีเลย” 


 


 


“อื้ม” เสิ่นจิ้งเฉินลูบหัวเธออีกสองสามทีจึงจะปล่อยตัวไป 


 


 


ฉินจานเห็นท่าทางของพวกเขาสองคนก็ซุบซิบ “พวกเธอสองคนคงไม่ได้คบกันจริงๆ หรอกใช่ไหม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัว ใช้ประโยคหนึ่งสรุปความสัมพันธ์ของเธอกับเสิ่นจิ้งเฉิน “ถึงเพิ่งเจอกันไม่นานแต่ก็เหมือนเพื่อนสนิทเลยล่ะ” 


 


 


ฉินจานถอนหายใจยาวเหยียด “เฮ้อ เธอรู้ไหมว่าเพื่อนสนิทผู้ชายทุกคนคือตัวสำรองน่ะ แบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย” 


 


 


“ฉันก็อยากให้เขามาเป็นแฟนฉันเหมือนกัน แต่ว่าเป็นไปไม่ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วอารมณ์ดี โอบไหล่เธอแล้วเดินออกไปด้านนอก “ไปกันเถอะๆ อย่าใส่ใจเรื่องของฉันเลย” 


 


 


ซูอี้มารับทั้งสองคนด้วยตัวเอง ก่อนจะไปส่งซย่าเสี่ยวมั่วถึงหน้าบ้าน 


 


 


ทุกครั้งซย่าเสี่ยวมั่วต้องเห็นสองสามีภรรยานี่โชว์สวีตกันจนไม่อยากขึ้นรถแล้ว “คราวหน้าถ้าไปในที่ที่มีพวกเธอสองคนอยู่ด้วย ฉันไม่ไปแล้วนะ” 


 


 


ฉินจานไม่สำนึกสักนิด หาช่องโหว่ในคำพูดนั้นแล้วเหน็บแนมเธอ “แล้วงานแต่งของเธอ เธอจะไม่ไปเหรอ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแสร้งปาดน้ำตา “ก็พวกเธอสองคนสวีตกันจนฉันจะเป็นเบาหวานอยู่แล้วนี่นา” 


 


 


ตอนซย่าเสี่ยวมั่วจะลงจากรถ ฉินจานก็ชะโงกหัวมากวักมือเรียกเธอเข้าไปใกล้ “ต่อไปถ้าเธอมีเรื่องอะไร ถ้าไม่สะดวกหาคนอื่นก็มาหาซูอี้ได้นะ” 


 


 


ซูอี้เห็นภรรยาตัวเองยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนั้นก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วเป็นเพื่อนด้วย จึงตอบรับ “มาหาฉันได้ทุกเรื่องเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” 


 


 


“ขอบคุณนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วรับเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนด้วยมือแล้วลงจากรถ ย่อตัวแล้วโบกมือลา 


 


 


ฉินจาน “กลับดีๆ ล่ะ” 


 


 


ที่บ้านไม่มีใครอยู่อีกแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วเอากระดาษใส่ในกระเป๋าเสื้อก็สัมผัสเข้ากับกล่องใบนั้น ใช้เล็บเขี่ยกำมะหยี่นุ่มนิ่มด้านบนเบาๆ หันตัวเดินขึ้นห้องตัวเองแล้วจึงโยนกล่องใบนั้นลงบนเตียง 


 


 


เธอสะกดความอยากเปิดกล่องนั้นไว้ก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงมานั่งที่เตียงแล้วคว้ากล่องใบนั้นขึ้นมา 


 


 


วางอยู่ในมือ ครุ่นคิดอยู่นานจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดกล่องออก 


 


 


ด้านในกล่องเป็นสร้อยข้อมือเพชรรูปกลีบดอกไม้ เหมือนกับดอกไม้ที่ปลิดปลิว ขนาดเล็กใหญ่เรียงร้อยเข้าด้วยกัน หกกลีบต่อหนึ่งกลุ่ม ในส่วนตรงปลายตะขอยังแขวนเพชรไว้อีกเม็ดหนึ่ง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วชอบมาก ชอบมากจริงๆ หลังจากสวมให้ตัวเองแล้วก็ชูข้อมืออย่างตื่นเต้นดีใจ มองดูแสงสะท้อนแยงตาของเพชรภายใต้แสงอาทิตย์แล้วหัวใจก็เหมือนกลีบดอกไม้ที่ปลิดปลิวนั้น ล่องลอยไปตามสายลม อิสระและเบิกบานใจ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 240 สวมเขา 


 


 


เป็นครั้งแรกที่ซย่าเสี่ยวมั่ว @ เหยียนเค่อ โพสต์รูปตัวเองสวมสร้อยข้อมือนั้น [ฉันชอบมากจริงๆ ขอบคุณนะ] 


 


 


คนที่กำลังหาเรื่องเสิ่นจิ้งเฉินอยู่ ได้รับข้อความก็ดีใจจนลืมว่าตัวเองเจ็บโหนกคิ้วอยู่ พอยิ้มก็เจ็บกล้ามเนื้อหางตาจนต้องสะดุ้ง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้รับข้อความตอบกลับจากเขา [ก็ถือว่ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง] 


 


 


หลังจากคุณแม่ซย่าเลิกงานกลับมาบ้านแล้วก็พบลูกสาวตัวเองนั่งอยู่บนโซฟายกแขนขึ้นมาดูข้อมือตัวเอง 


 


 


“แกไปโดนกระตุ้นมาจากไหนฮะ อย่างกับคนบ้า” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วให้แม่ดูสร้อยข้อมือก่อนจะอวด “สวยไหมแม่” 


 


 


คุณแม่ซย่าจับมือของเธอมามองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะมองอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ทำไมแกถึงยอมเสียเงินซื้อสร้อยข้อมือที่แพงขนาดนี้ให้ตัวเองล่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บมือกลับ ยิ้มแป้นราวกับดอกไม้บาน “เพื่อนให้น่ะ หนูชอบมากเลย” 


 


 


คุณแม่ซย่าเองก็ไม่พูดอะไรมาก “แกรับของแพงขนาดนี้มาก็อย่าลืมให้กลับบ้างล่ะ” 


 


 


“อื้ม!” ซย่าเสี่ยวมั่วตอบลากเสียงยาว ก่อนจะเข้าครัวไปทำอาหาร 


 


 


“วันอาทิตย์นี้แกต้องไปนัดดูตัวนะ” 


 


 


“ฮะ? ฮือ…” ซย่าเสี่ยวมั่วเสียงเปลี่ยนทันที ทำได้เพียงยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ “เข้าใจแล้วค่ะ” 


 


 


“ทำไมจู่ๆ ก็ว่าง่ายขนาดนี้ล่ะ” คุณแม่ซย่านึกว่าเธอจะต่อต้านเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะตอบรับอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ 


 


 


“ก็ความจริงมันโหดร้ายนี่นา หนูจะทำยังไงได้อีก” ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่สนใจแล้ว อย่างไรเสียก็คงไม่สำเร็จ ทำตามใจแม่ตัวเองก็พอ 


 


 


เธอตัดสินใจจะเป็นโสดตลอดชาติ แล้วไปใช้ชีวิตอยู่กับพี่ชายของตน 


 


 


คุณแม่ซย่าไม่รู้ว่าเธอคิดอย่างไรกันแน่ แต่ในเมื่อรับปากแล้วก็ดี อย่างไรเสีย ‘การเริ่มต้นที่ดีคือครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ’ 


 


 


เหยียนเค่อกำลังนอนแผ่หราอยู่บนเตียง บีบน้ำแข็งเล่นอย่างเบื่อหน่าย ผู้ช่วยหวังเป็นตัวแทนของพนักงานมาเยี่ยมเขา 


 


 


“คุณจะมาทำไม” เหยียนเค่อไม่พอใจกับผู้ชายทุกคนที่มาเยี่ยม 


 


 


ผู้ช่วยหวังเอาของที่พวกพี่สาวในแต่ละแผนกให้มาวางไว้บนเตียงของเหยียนเค่อ “บอสครับ บอสเข้าโรงพยาบาลทีก็รู้หมดเลยว่าสาวๆ บริษัทเราชอบท่านขนาดไหน” 


 


 


เหยียนเค่อมองของกองนั้นแล้วบีบก้อนน้ำแข็งเล่นต่อ “ชอบผมขนาดไหนกันล่ะ?” 


 


 


ผู้ช่วยหวังหยิบเอาผลงานแฮนด์เมดของลูกสาวผู้จัดการแผนกบัญชีให้เหยียนเค่อ ก่อนจะเอ่ยแนะนำ “นี่คือความรักที่เด็กสาวอายุห้าขวบมอบให้ท่านครับ” 


 


 


เอาเถอะ เด็กน้อยให้กระดาษพับแฮนด์เมดรูปหมา แถมหมาตัวนั้นยังดูเหมือนกำลังแลบลิ้นและน้ำลายไหลอีกต่างหาก 


 


 


เหยียนเค่อประทับใจในตัวสาวน้อยคนนั้น รับมาแล้วดึงลิ้นหมาเล่นด้วยท่าทางสนอกสนใจ “ก็ไม่เลว ต่อไปต้องมีลูกสาวเสียแล้ว ช่างรู้ใจจริงๆ” 


 


 


“เธอให้ผมฝากบอกท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้เสียโฉมเธอก็ยินดีที่จะเลี้ยงดูท่านครับ เพราะพ่อเธอรวย” 


 


 


เหยียนเค่ออดขำไม่ได้ “ถูกต้อง เธอพูดถูก” 


 


 


ผู้ช่วยหวังเห็นว่าเขาอารมณ์ดีจึงพูดเข้าประเด็นหลัก “ช่วงนี้เหยียนกรุ๊ปกำลังร่วมมือกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบ้านตระกูลสวี สวีอิ๋งอิ๋งเข้าไปที่เหยียนกรุ๊ปหลายครั้ง แต่ล้วนเดินจากลานจอดรถเข้าไปในห้องทำงานของประธานเหยียนกรุ๊ป ปกติแล้ว…” ผู้ช่วยหวังลังเล 


 


 


“ปกติแล้วอะไรครับ?” เหยียนเค่อกำลังจับน้องหมาแยกร่างแล้วพับเป็นรูปทรงอย่างอื่น 


 


 


ผู้ช่วยหวังรู้สึกว่าการพูดออกไปช่างยากเย็นนัก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นภรรยาของเจ้านาย พินิจพิเคราะห์อย่างดีแล้วแต่ก็หาคำมาแทนไม่ได้จริงๆ “อยู่ที่นั่นหนึ่งวันครับ” 


 


 


เหยียนเค่อขำพรืด เสิ่นจิ้งเฉินเองก็กลอกตาแล้วส่งเสียงหัวเราะ 


 


 


“พี่ใหญ่นายนี่โคตรสุดยอดเลย” 


 


 


“ฉันก็ว่างั้น” เหยียนเค่อยิ้มร้าย ก่อนจะถาม “ประธานเซ่ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า” 


 


 


“รู้ครับ” ผู้ช่วยหวังปาดเหงื่อ ประธานเซ่านั่งหัวเราะอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน “ประธานเซ่าให้ผมมาบอกท่าน” 


 


 


“ชิ” เหยียนเค่อรู้ว่าเซ่าหมิงฟ่านไม่ได้หวังดี แต่เขาก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนี้ จะไปมั่วกับใครก็ไป เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนสวมเขาเลยสักนิด 


 


 


“ให้ประธานเซ่ารับผิดชอบงานต่ออีกสองสามวันแล้วกัน ผมออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปหลบอยู่ที่ฮุยเถิงสักหน่อย” 


 


 


ผู้ช่วยหวังชินเสียแล้วกับการที่เขาจะไปบริษัทสาขาย่อยตามใจตัวเองเช่นนี้ แต่ตอนนี้ยังดีกว่าเมื่อก่อนที่มีเซ่าหมิงฟ่านคอยบัญชาการงานอยู่ เขาจึงไม่มีความเห็นอะไร พยักหน้าก่อนจะถือเอกสารที่เหยียนเค่อเซ็นเรียบร้อยแล้วออกมา ไม่ไปรบกวนการ ‘พักฟื้น’ ของเขาอีก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม