กับดักรักในรอยแค้น 231-248

 ตอนที่ 231 คลื่นใต้น้ำ

 ทั้งคู่มองหน้ากัน สายตาของกงจวิ้นฉือกับเผยหนานเจวี๋ยที่ประสานกันราวกับเป็นดอกไม้ไฟที่รอการปะทุ เพียงชั่วครู่ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนยืนอยู่ข้างกงจวิ้นฉือ เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียด มองแววตาของทั้งสองที่สบประสานกัน ฉู่เจียเสวียนรู้สึกกังวลในใจ 


 


 


           พวกเขาคงไม่ต่อยกันหรอกนะ ริมฝีปากบางของเผยหนานเจวี๋ยเม้มแน่น ดวงตาที่เยือกเย็นมองกงจวิ้นฉือตาไม่กะพริบ กงจวิ้นฉืออบอุ่นแต่แข็งกร้าว สายตาแหลมคม 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนกังวลจริงๆ ว่าพวกเขาจะต่อยกันในวินาทีต่อมา ถึงอย่างไรเดิมทีอารมณ์ของเผยหนานเจวี๋ยแปรปรวนไม่แน่นอนอยู่แล้ว 


 


 


           แต่ขณะที่เธอกำลังกังวลว่าทั้งสองจะต่อยกันอยู่นั้น ในวินาทีต่อมาคำพูดของกงจวิ้นฉือทำให้เธอถอนหายใจโล่งอก 


 


 


           เพียงเห็นรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์อยู่บนใบหน้ากงจวิ้นฉือ มือยาวๆ ยื่นเหยียดออกไปหาเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           “คุณเผยครับ หวังว่าต่อไปบริษัทเราทั้งสองจะร่วมงานกันอย่างราบรื่นนะครับ” มองดูใบหน้าที่หล่อเหล่าเย็นชาของเผยหนานเจวี๋ย รอยยิ้มบนใบหน้าของกงจวิ้นฉือนั้นตรงกันข้ามกับลมหายใจของเขาอย่างสมบูรณ์ 


 


 


           คำพูดของกงจวิ้นฉือทำให้มุมปากบางๆ ของเผยหนานเจวี๋ยยกยิ้ม มองมือของเขาที่ยื่นเหยียดออกมา เขายื่นมือไปจับมือของเขาด้วยความใจกว้าง ในวินาทีที่สองมือจับกัน มือของเผยหนานเจวี๋ยที่กุมกงจวิ้นฉือแอบบีบแน่น มันคือสงครามเย็นระหว่างลูกผู้ชาย 


 


 


           เมื่อรู้สึกว่าเผยหนานเจวี๋ยออกแรง กงจวิ้นฉือก็บีบมือกลับโดยไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว ทั้งสองคนดูภายนอกเหมือนเป็นมิตร แต่ในความจริงมันคือคลื่นใต้น้ำ 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเห็นว่าทั้งสองคนเป็นมิตรอย่างกะทันหันขนาดนี้ อดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย เมื่อครู่เธอยังคิดว่าทั้งสองเกือบจะต่อยกันอยู่เลย ตอนนี้พวกเขาก็จู่ๆ เกรงใจกันขนาดนี้ มันคือเรื่องอะไรกันแน่ 


 


 


           แต่ว่าเธอไม่ได้เอ่ยปากทำลายความเงียบ ดวงตาที่งดงามราวไข่มุกมองทั้งสองคนอยู่เงียบๆ เพียงแต่มือของเธอควงแขนของกงจวิ้นฉือ 


 


 


           “พูดได้ดี คุณกง” เผยหนานเจวี๋ยกล่าว หางตาเหลือบมองฉู่เจียเสวียน จากนั้นก็คลายมือที่ออกแรง 


 


 


           ทันทีที่มือผ่อนแรง กงจวิ้นฉือดึงมือกลับ บนใบหน้ามีรอยยิ้มสงบนิ่ง แววตาอ่อนโยน 


 


 


           “คุณเผย ผมกับเจียเสวียนยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ ไม่รบกวนคุณแล้ว” พูดจบ กงจวิ้นฉือดึงฉู่เจียเสวียนขึ้นรถไป 


 


 


           ริมฝีปากแดงของฉู่เจียเสวียนยกยิ้ม มองเผยหนานเจวี๋ยส่งสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งอยู่เงียบๆ จากนั้นก็ขึ้นรถ กงจวิ้นฉือรอจนฉู่เจียเสวียนนั่งเรียบร้อยแล้วจึงสตาร์ทรถแล้วออกไป 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยยืนอยู่ที่เดิม มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น มองดูรถที่ลับสายตาออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของเขายิ่งรู้สึกโมโห 


 


 


           สายตาแบบนั้นที่ฉู่เจียเสวียนมองเขาเมื่อครู่หมายความว่ายังไงกันนะ ในใจไม่เข้าใจสายตาที่เธอมองเขาก่อนที่จะจากไป เผยหนานเจวี๋ยรู้สึกหงุดหงิดใจ 


 


 


           ระยะนี้อารมณ์ของเขาเหมือนจะหงุดหงิดง่ายมากเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เขาคิดว่าฉู่เจียเสวียนอยู่ด้วยกันกับกงจวิ้นฉือ คิดถึงตอนที่พวกเขาสองคนหัวร่อต่อกระซิกกัน ไฟก็เผาไหม้อยู่ในใจของเขา 


 


 


           ความเยือกเย็นในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้น สูดหายใจลึก เผยหนานเจวี๋ยก้าวเท้าเข้าบ้านฉู่ไป 


 


 


           “คุณหนู คุณผู้หญิง คุณเผยมาแล้วค่ะ” ในห้องรับแขก หวังอวิ๋นไฉ่นั่งอยู่บนโซฟากับฉู่อีอี เมื่อได้ยินคนรับใช้บอกว่าเผยหนานเจวี๋ยมาแล้ว ฉู่อีอีรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           ในวินาทีที่เผชิญหน้ากับเผยหนานเจวี๋ย ความโกรธในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นอาการน้อยใจ หยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตากลมโต 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยเพิ่งจะเดินเข้าห้องรับแขก ยังไม่ทันหยุดยืนก็เห็นฉู่อีอีเดินเข้ามา คิ้วขมวดกันบางเบาจนแทบมองไม่เห็น 


 


 


           “หนานเจวี๋ย คุณมาแล้วเหรอ” ฉู่อีอีโผเข้ากอดเผยหนานเจวี๋ยทันที น้ำเสียงสะอื้น ไหล่สั่นเทาเล็กน้อย ร่างกายสั่นไหวราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น

 

 

 


ตอนที่ 232 สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ

 

  หลังจากหวังอวิ๋นไฉ่ได้ยินว่าเผยหนานเจวี๋ยมาถึงแล้ว น้ำตาในดวงตาเปล่งประกาย มองดูฉู่อีอีที่โผเข้าสู่อ้อมกอดของเผยหนานเจวี๋ย ในใจยิ่งรู้สึกพึงพอใจต่อเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           ลูกสาวช่างตาถึงจริงๆ ผู้ชายดีๆ คนนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ห้ามปล่อยให้ฉู่เจียเสวียนหญิงเลวคนนั้นคว้าตัวไปได้ หวังอวิ๋นไฉ่คิดในใจ 


 


 


           “คุณเป็นอะไรไป” เผยหนานเจวี๋ยมองฉู่อีอีที่ร้องไห้จนใบหน้างดงามเปื้อนน้ำตา ความว้าวุ่นใจก่อตัวขึ้นในดวงตา ยื่นมือลูบผมที่นุ่มสลวยของฉู่อีอี เผยหนานเจวี๋ยผละฉู่อีอีออกจากอ้อมกอดของตัวเอง พาเธอเดินไปยังโซฟา 


 


 


           ฉู่อีอีตามหลังของเขาไป ในใจกำลังคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้เผยหนานเจวี๋ยเกลียดฉู่เจียเสวียนมากกว่าเดิม 


 


 


           พอนั่งลง เผยหนานเจวี๋ยเอื้อมมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของฉู่อีอี มองดูดวงตาทั้งคู่ของเธอที่สวยงามสดใส ความอ่อนโยนก่อตัวขึ้นในดวงตา ไม่ว่าเวลาไหนเขาก็ทนเธอร้องไห้ไม่ได้ 


 


 


           “หนานเจวี๋ย คุณแม่เชิญพี่สาวกลับมากินข้าวด้วยความหวังดี บอกว่าพวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานแล้ว ให้พวกเราได้คุยกัน แต่ว่า…” ยิ่งฉู่อีอีพูดมาถึงตอนสุดท้าย เสียงก็ยิ่งเบาลง เสียงสะอื้นยิ่งดังขึ้น สุดท้ายก็ร้องไห้จนพูดไม่เป็นศัพท์แล้ว 


 


 


           สายตาหลุบลงต่ำ ส่งสายตาให้หวังอวิ๋นไฉ่ในมุมที่เผยหนานเจวี๋ยมองไม่เห็น เมื่อหวังอวิ๋นไฉ่เห็นก็เงยหน้ามองเผยหนานเจวี๋ย จู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาเสียงดัง 


 


 


           เสียงร้องไห้ที่เหมือนหมูถูกเชือดของหวังอวิ๋นไฉ่ทำเอาเผยหนานเจวี๋ยปวดหัว เงยหน้าขึ้นมองหวังหวิ๋นไฉ่เย็นชา ไม่รู้ว่าจู่ๆ เกิดคลั่งอะไรขึ้นมา คิดอยากจะร้องไห้ก็ร้อง 


 


 


           “นั่นสิ ฉันเลี้ยงเขามาจนโตอย่างยากลำบาก คิดว่าง่ายเหรอ คิดไม่ถึงว่าเขาจะว่าอีอีว่าหน้าไม่อาย ยั่วยวนพี่เขย เขาไม่เห็นความดีของอีอีก็ช่างประไร แต่ตอนนี้ยังรังแกฉันอีก ฮือๆ ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายแบบนี้”  


 


 


หวังอวิ๋นไฉ่คล้อยตามคำพูดของฉู่อีอี ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก 


 


 


           มองดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งสองคนร้องไห้เสียใจเกินจริง เผยหนานเจวี๋ยรู้สึกหงุดหงิด 


 


 


           ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่รู้ว่าฉู่อีอีชอบร้องไห้ขนาดนี้นะ 


 


 


           เมื่อก่อนตอนที่ฉู่อีอีร้องไห้ต่อหน้าตัวเอง เขาเพียงรู้สึกว่าเธอเป็นคนสวยที่มีน้ำตา น่าสงสารมาก ในตอนนั้นเขาอดใจไม่ไหวที่จะมอบหัวใจให้กับเธอ 


 


 


           ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาค่อยๆ ด้านชากับการเห็นน้ำตาของเธอ หรือแม้แต่มีอารมณ์เชิงลบ 


 


 


           ในใจรู้สึกไม่พอใจ คิ้วขมวดเข้าหากัน 


 


 


           ทันใดนั้น ในหัวนึกถึงเมื่อครั้งที่ฉู่อีอีอยู่โรงพยาบาลเมื่อสามปีก่อน ฉากที่ฉู่เจียเสวียนถูกหวังอวิ๋นไฉ่ชี้หน้าด่า ในตอนนั้นเธออดกลั้นเอาไว้ โดนหวังอวิ๋นไฉ่ด่าเสียสาดเสียเทเสีย เธอก็แค่ตอบกลับสองสามคำ ท่ามกลางความอ่อนแอของเธอในเวลานั้นมีความดื้อรั้น แตกต่างจากฉู่อีอีในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง 


 


 


           “หนานเจวี๋ย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นพี่สาวเป็นคนผิด เขาทำให้ฉันพรากจากคุณ ตอนนี้เขายังมาบอกว่าฉันยั่วยวนคุณ ฉัน…” ฉู่อีอียิ่งพูดยิ่งร้องไห้เสียใจ เนื้อตัวสั่นเทารุนแรง 


 


 


           เธอไม่เชื่อหรอกว่าเธอร้องไห้เสียใจขนาดนี้ เผยหนานเจวี๋ยจะไม่เชื่อเธอ เธอคือผู้หญิงที่เขารักนะ 


 


 


           “ใช่แล้ว หนานเจวี๋ย เธอดูสิว่าฉู่เจียเสวียนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้กลายเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมเลยสักนิด เมื่อกี้ยังคิดจะลงมือตีฉัน คนชั่วคนนั้นยิ่งไร้การศึกษาลงทุกที” หวังอวิ๋นไฉ่ยิ่งพูดยิ่งได้ใจ สุดท้ายก็เอ่ยปากด่ายกใหญ่ 


 


 


           เมื่อได้ยินว่าหวังอวิ๋นไฉ่ยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ ฉู่อีอีกลัวว่าสักครู่หวังอวิ๋นไฉ่จะทำแผนพัง รีบกล่าวตัดบทเธอ 


 


 


           “แม่คะ แม่ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงเลย” ฉู่อีอีเหลือบสำรวจสีหน้าของเผยหนานเจวี๋ย คิ้วที่ขมวดกันแน่นของเขาในตอนนี้ทำให้ฉู่อีอีไม่แน่ใจ 


 


 


           เธอพบว่าตอนนี้เธอยิ่งเดาความคิดของเผยหนานเจวี๋ยได้ยากขึ้นทุกที เมื่อก่อนเพียงแค่เขาคิดอะไรเธอก็จะรู้ แต่ว่าตอนนี้เธอเดาไม่ออกแล้ว 


 


 


           ถ้าหากเผยหนานเจวี๋ยยืนอยู่ข้างเธอล่ะก็ เช่นนั้นเธอก็จะไม่กลัวคำพูดของหวังอวิ๋นไฉ่ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่มั่นใจเลยสักนิด ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หวังอวิ๋นไฉ่พูดมากและมีข้อผิดพลาดมากจึงเอ่ยปากตัดบท 

 

 

 


ตอนที่ 233 ทำไมรู้สึกไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

ใบหน้าเย็นชาของเผยหนานเจวี๋ยมองสองคนที่พูดโต้ตอบไปมาอยู่ตรงนั้น รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยอย่างประหลาด 


 


 


           เขาดึงๆ เน็กไทที่คอราวกับว่าทำแบบนี้จะสามารถทำให้เขาผ่อนคลายลงมาบ้าง 


 


 


           รู้สึกได้ถึงแววตาที่ผิดปกติของเผยหนานเจวี๋ย ฉู่อีอีตื่นตกใจ 


 


 


           เขาเป็นอะไรไป ทำไมเมื่อเห็นเธอร้องไห้เสียใจขนาดนี้เผยหนานเจวี๋ยกลับเฉยเมยเหลือเกิน? หรือที่พวกเธอร้องไห้และพูดมันจริงจังไม่พอเหรอ? ฉู่อีอีคิดในใจ ความคิดร้อยพันวนเวียนไปมา 


 


 


           ที่จริงสำหรับเผยหนานเจวี๋ยนั้น ระยะหลังนี้ฉู่อีอียิ่งเดาเขาไม่ออกขึ้นทุกที และเพราะว่าแบบนี้ ในใจของเธอจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เธอกลัวว่าสักวันฉู่เจียเสวียนจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของเธอไปจริงๆ 


 


 


           “เอาล่ะ อีอี อย่าร้องไห้เลย พวกเรากลับกันเถอะ” เผยหนานเจวี๋ยมองฉู่อีอีเอ่ยปาก กล่าวกับเธออย่างจนใจ 


 


 


           ที่จริงเขาไม่มีอารมณ์จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป เขาเกรงว่าตัวเองจะข่มความโมโหของตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ 


 


 


           ทั้งๆ ที่อีอีคือผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด ทำไมตอนนี้…เขาถึงมีอารมณ์เชิงลบกับเธอแบบนี้ 


 


 


           หรือว่ามันเป็นอิทธิพลของผู้หญิงฉู่เจียเสวียนคนนั้นจริงๆ เหรอ 


 


 


           คำพูดของเผยหนานเจวี๋ยทำให้ฉู่อีอีตกตะลึง เงยหน้าขึ้น ท่าทางน่าสงสาร แววตาที่มองเขามีความไม่เข้าใจเล็กน้อย 


 


 


           เมื่อครู่เธอได้ยินความไม่พอใจในน้ำเสียงของเผยหนานเจวี๋ยงั้นเหรอ ฉู่อีอีคิดในใจ ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ท่าทีของเผยหนานเจวี๋ยไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เขาควรจะยิ่งเกลียดฉู่เจียเสวียนถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอรู้สึกว่าเผยหนานเจวี๋ยยิ่งหมดความอดทนกับเธอลงไปทุกทีแล้วล่ะ 


 


 


           ในใจคิดแบบนี้ ฉู่อีอีไม่กล้าทำอะไรอีก เดิมทียังคิดที่จะแสดงให้เข้มข้นกว่านี้อีกหน่อย แต่ว่าตอนนี้ดูแล้วเธอไม่สามารถโวยวายต่อไปได้แล้ว มิฉะนั้นจะไม่คุ้มกับการสูญเสีย สำหรับฉู่อีอีแล้ว เขาจะระเบิดความโกรธเมื่อไหร่นั้น เธอรู้ดีที่สุด 


 


 


           “แม่คะ แม่ก็อย่าคิดมากเลย พี่สาวคงจะพูดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ” ฉู่อีอีคิดเช่นนี้ จากนั้นก็หันไปปลอบโยนหวังอวิ๋นไฉ่ ส่งสายตาให้เธอ 


 


 


           ความหมายของสายตานั้นบอกให้เธอหยุดโวยวายได้แล้ว หวังอวิ๋นไฉ่รับรู้ ค่อยๆ หยุดเสียงสะอื้น 


 


 


           “ได้ งั้นเธอกับหนานเจวี๋ยกลับไปก่อนเถอะ นี่หนานเจวี๋ย ถ้าเธอว่างก็พาอีอีมาเที่ยวอีกนะ” อารมณ์บนใบหน้าของหวังอวิ๋นไฉ่นั้นสั่งได้ดั่งใจจริงๆ มองเผยหนานเจวี๋ยแล้วยิ้ม เพียงแต่น้ำตาบนใบหน้าสวนทางกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเป็นอย่างมาก 


 


 


           ฉู่อีอีพยักหน้า ส่งยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยได้ยินว่าฉู่อีอีเห็นด้วยที่จะกลับบ้านกับเขา ลุกขึ้นยืนทันที เมื่อเห็นหน้าของหวังอวิ๋นไฉ่แล้ว เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


           “คุณน้า พวกเรากลับก่อนนะครับ” เผยหนานเจวี๋ยพูดจบ หันหลังเดินออกไปนอกประตู 


 


 


           ฉู่อีอีเพิ่งจะลุกขึ้น เห็นว่าเผยหนานเจวี๋ยไม่รอเธอเลยสักนิดก็ตกใจ จากนั้นความเกลียดชังก็ปรากฏอยู่ในแววตา 


 


 


           เดิมทีเธอให้หวังอวิ๋นไฉ่นัดฉู่เจียเวียนมาเพราะต้องการจะทำให้เธออับอายและข่มเธอ คิดไม่ถึงว่าคืนนี้พวกเธอจะถูกฉู่เจียเสวียนข่มซะเอง ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งโมโห แต่ว่าฉู่อีอีกลับไม่สามารถทำอะไรต่อหน้าเผยหนานเจวี๋ยได้ 


 


 


           รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความไม่พอใจของเผยหนานเจวี๋ย ใจของหวังอวิ๋นไฉ่ร้อนรนเล็กน้อย ยื่นมือดึงมือของฉู่อีอี ถามเธอเงียบๆ 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยคงไม่ได้อ่านแผนของพวกเธอสองคนออกหรอกนะ หวังอวิ๋นไฉ่คิดในใจ 


 


 


           ฉู่อีอีส่ายหน้ากับเธอจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วตามเผยหนานเจวี๋ยไป 


 


 


           “หนานเจวี๋ย คุณอารมณ์ไม่ดีเหรอ?” บนรถ ฉู่อีอีมองดูริมฝีปากบางๆ ของเผยหนานเจวี๋ยที่เม้มแน่น เอ่ยปากอย่างระมัดระวัง ดวงตาดุจไข่มุกดูสำรวจ 


 


 


           อาการของเขาในตอนนี้ เธอเดาความคิดของเขาไม่ออกจริงๆ เลย เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจเขาคิดอย่างไรกันแน่ 

 

 

 


ตอนที่ 234 คุณดีที่สุดเลย

 

   เผยหนานเจวี๋ยได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของฉู่อีอี ทิ้งสายตาที่เย็นชา คำตอบแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน “เปล่า”


 


 


           ฉู่อีอีรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางสีหน้าของเผยหนานเจวี๋ย ในใจถอนหายใจโล่งอก


 


 


           นึกถึงอารมณ์ของเผยหนานเจวี๋ยเมื่อครู่ จากนั้นก็จำไว้ในใจ


 


 


           บังเอิญรถเหยียบก้อนหินเข้าแล้วเด้งขึ้นอย่างแรง


 


 


           ฉู่อีอีอาศัยโอกาสนี้เสแสร้งทำเป็นอ่อนแอ วางสองมือลงบนหน้าอกของเผยหนานเจวี๋ย “โอ๊ย!”


 


 


           “อีอีคุณไม่เป็นไรนะ” เผยหนานเจวี๋ยก้มหน้าจับฉู่อีอีไว้ ดูแลเธออย่างระมัดระวัง


 


 


           “ไม่เป็นไร” ความห่วงใยของเผยหนานเจวี๋ยทำให้ฉู่อีอีอบอุ่นใจ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ทั้งสองคนสบตากัน


 


 


           ฉู่อีอียกมือขึ้นโอบคอของเผยหนานเจววี๋ย ริมฝีปากแดงดุจผลเชอร์รี่อ้าเอ่ยเบาๆ ใช้น้ำเสียงที่ละเอียดอ่อนจนแทบจะมีหยดน้ำร่วงลงมา ตัดพ้อกับเผยหนานเจวี๋ยเล็กน้อย


 


 


           “หนานเจวี๋ย วันนี้แม่อาจจะถูกพี่สาวทำให้โมโห เสียมารยาทไปหน่อย คุณอย่าไปใส่ใจได้หรือเปล่า…”


 


 


           “อืม ไม่เป็นไร” เผยหนานเจวี๋ยลูบหัวของฉู่อีอีเบาๆ กล่าวปลอบโยน


 


 


           ได้ยินประโยคนี้ ฉู่อีอีราวกับว่าได้แก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากได้แล้ว แอบถอนหายใจอยู่ในใจ


 


 


           จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้ม กอดเผยหนานเจวี๋ยแน่น “หนานเจวี๋ย คุณดีที่สุดเลย”


 


 


           วันเวลาดั่งสายน้ำ แต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่หวือหวา


 


 


           ฉู่เจียเสวียนก็ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่ายเช่นกัน แต่ว่าเวลาเดินไปข้างหน้าในแต่ละวันๆ เข้าใกล้วันนั้นเข้าไปทุกที…


 


 


           เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของฉู่เจียเสวียนมีความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก


 


 


           บัตรเชิญสีแดงสดใบนั้นยังคงนอนเงียบๆ ในลิ้นชักด้านล่าง


 


 


           อดีตปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างชัดเจน


 


 


           ฉู่เจียเสวียนถอนหายใจ หยิบบัตรเชิญใบนั้นออกมา


 


 


           ภาพของคนสองคนที่โอบกอดกันปรากฏสู่สายตาของฉู่เจียเสวียน ที่แท้คิดว่าตัวเองเตรียมใจมาดีแล้ว แต่ว่าก็ยังเอาชนะความรู้สึกที่ถูกความจริงโจมตีไม่ได้


 


 


           พี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว คนรักที่ร่วมเรียงเคียงหมอน อะไรกันแน่ที่ทำให้ตอนจบกลายเป็นแบบนี้ บางทีนี่คงเป็นชีวิตล่ะมั้ง


 


 


           “ฉันอยู่อย่างสับสนมาหนึ่งปี เยื้องย่างอยู่บนถนนขรุขระ รอยยิ้มที่เคยสดใส ตอนนี้กลับว่างเปล่า” เสียงเพลงของเริ่นหรานดังอยู่ในหูของฉู่เจียเสวียนอย่างสบายๆ


 


 


           เพลง ‘ว่างเปล่า’ นี้กระทบใจของฉู่เจียเสวียนโดยตรง แม้ว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้าเธอตั้งเพลงนี้เป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ


 


 


           จนกระทั่งเสียงของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเธอจึงดึงสติกลับมา ‘กงจวิ้นฉือ’ ตัวอักษรใหญ่สามตัวกะพริบอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเพิ่งจะหยิบมือถือขึ้นมากำลังจะรับ แต่หน้าจอกลับมืดลงแล้ว


 


 


           ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอกำลังคิดอะไรอีกแน่ ฉู่เจียเสวียนเหนื่อยหน่ายกับตัวเอง ส่ายหัวไล่ภาพที่อยู่ในหัวทั้งหมดออกไป


 


 


           ฉู่เจียเสวียนหามือถือครู่หนึ่งแล้วโทรกลับ


 


 


           “ตู๊ด…” เสียงรอสายในโทรศัพท์เพิ่งจะดังขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้ว


 


 


           “ทำอะไรอยู่เหรอ” น้ำเสียงที่อบอุ่นไม่เหมือนใครทำให้ฉู่อีอีอึ้งไป


 


 


           “เปล่า แค่ใจลอยนิดหน่อยเลยไม่ได้รับสาย” ฉู่เจียเสวียนอธิบาย


 


 


           เมื่อปลายสายได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะ “ทำไมเหรอไม่เจอกันไม่กี่วันก็รู้สึกว่าสติปัญญาลดลงขนาดนี้เลยเหรอ?”


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเขินหน้าแดง และไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร


 


 


           “เอาเถอะๆ ไม่แกล้งคุณแล้ว เวลานี้คุณไม่น่าจะมีงานแล้วสินะ อีกแป๊บผมก็น่าจะถึงชั้นล่างของบริษัทคุณแล้ว จะเลี้ยงข้าวคุณ” กงจวิ้นฉือขับรถอย่างรวดเร็วอยู่บนทางด่วน

 

 

 


ตอนที่ 235 ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่

 

 ฉู่เจียเสวียนมองผ่านหน้าต่างออกไปนอกออฟฟิศ กลุ่มคนสองสามคนกำลังเก็บของ เตรียมตัวจะออกไป


 


 


           ในเวลานี้เธอยกมือขึ้นดูนาฬิกา เข็มชั่วโมงเกือบจะถึงเลขหกแล้วจึงรู้สึกร้อนรน


 


 


           “งั้นฉันเก็บของก่อน คุณถึงแล้วค่อยบอกฉันอีกที” จากนั้นก็วางสายไป


 


 


           ไม่นานฉู่เจียเสวียนก็เก็บของเรียบร้อยและรอคอย มองดูการจราจรขวักไขว่นอกหน้าต่างบานใหญ่ที่ยาวจรดพื้น


 


 


           แสงพลบค่ำปกคลุมเมืองแห่งนี้อย่างละมุนละไล ไฟยามค่ำคืนเริ่มส่องแสง ทำให้ฉู่เจียเสวียนรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ ความรู้สึกตึงเครียดในวันธรรมดานั้นหายไปโดยสิ้นเชิง


 


 


           “ติ๊งต่อง” โทรศัพท์มือถือมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น


 


 


           “ถึงข้างล่างแล้ว” มันคือข้อความที่กงจวิ้นฉือส่งมา


 


 


           ฉู่เจียเสวียนหยิบกระเป๋าขึ้นมา เตรียมจะลงไปข้างล่าง


 


 


           แต่ว่าเมื่อเธอเดินไปถึงลิฟท์ก็ลังเลเล็กน้อย หันหลังกลับเข้าไปในออฟฟิศ หยิบบัตรเชิญแต่งงานออกมาจากลิ้นชักชั้นล่าง ยัดเข้าไปในกระเป๋า


 


 


           “ปล่อยให้คุณรอนานแลย เมื่อกี้ลืมของ ก็เลยกลับไปเอา” หลังจากขึ้นรถ ฉู่เจียเสวียนอธิบายกับ


 


 


กงจวิ้นฉือ


 


 


           “ทำไมขี้ลืมจังเหมือนกับเด็กๆ เลย” กงจวิ้นฉือยิ้มหยอกฉู่เจียเสวียน และเอามือลูบผมของเธอ “อยู่กับผมไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้”


 


 


           กงจวิ้นฉือเหยียบคันเร่งและออกไปจากบริษัทของฉู่เจียเสวียนแล้ว


 


 


           “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเลี้ยงข้าวฉันล่ะ?” ฉู่เจียเสวียนมองดูทิวทัศน์ที่ “วิ่งถอยหลัง” นอกหน้าต่างรถ เอ่ยถาม


 


 


           “บอกตั้งนานแล้วว่าจะพาคุณไปกินร้านพิเศษร้านนั้น แต่ทำไมก่อนหน้านี้คุณถึงยุ่งขนาดนั้นล่ะ ปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย”


 


 


           ฉู่เจียเสวียนครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เธอยุ่งอยู่กับแผนงานหลายอย่างจริงๆ และไม่ได้มีอารมณ์ขนาดนั้น


 


 


           “ก่อนหน้านี้งานเยอะไปหน่อย แหะๆ” ฉู่เจียเสวียนหัวเราะเชิงขอโทษ


 


 


           “นี่เป็นโอกาสที่ผมคว้ามาไม่ได้ง่ายๆ นะ ก็ต้องปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว” กงจวิ้นฉือพูดกึ่งหยอกเย้า เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็หัวเราะแล้ว


 


 


           กงจวิ้นฉือขับรถเร็วมาก หลุดออกมาจากเขตทำงานที่แออัดวุ่นวาย เหมือนสิงโตที่วิ่งไปในทุ่งหญ้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร


 


 


           แสงไฟค่อยๆ ปรากฏขึ้นในความมืด ความเร็วรถก็ค่อยๆ ลดลง


 


 


           ขับต่อมาอีกไม่นานก็มาหยุดอยู่หน้าร้านที่ดูเรียบง่ายร้านหนึ่ง


 


 


           “ถึงแล้ว ลงรถเถอะ” กงจวิ้นฉือปลดเข็มขัดนิรภัยพลางพูดกับฉู่เจียเสวียน


 


 


           หลังจากฉู่เจียเสวียนลงจากรถ มองไปที่ร้านแล้วก็มองกงจวิ้นฉืออีกรอบ เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา อดไม่ได้ที่จะงุนงงเล็กน้อย


 


 


           แต่ยังไม่ทันรอให้ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปาก กงจวิ้นฉือกลับพูดขึ้นก่อน “ไป เข้าไปดูก่อนเถอะ”


 


 


           “ได้” ฉู่เจียเสวียนเดินตามหลังกงจวิ้นฉือเข้าไปแล้ว


 


 


           มองจากภายนอก ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่เมื่อหลังจากเข้าไปแล้ว จึงพบว่ามีโลกอีกใบหนึ่งอยู่ข้างใน


 


 


           การตกแต่งสวยงามต่างจากร้านอื่นๆ และก็ไม่ได้เหมือนร้านอาหารตะวันตกประเภทที่สวยหรูโอ่อ่า แต่ให้ความรู้สึกสดชื่นของธรรมชาติ


 


 


           “จวิ้นฉือ มาแล้วเหรอ?” ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งทักทายกงจวิ้นฉืออย่างกะตือรือร้น


 


 


           “อือ พาเพื่อนมากินข้าวน่ะ” ท่าทางกงจวิ้นฉือจะสนิทกับเถ้าแก่มากทีเดียว


 


 


           ในเวลานี้เถ้าแก่จึงเห็นฉู่เจียเสวียนที่อยู่ด้านหลังกงจวิ้นฉือ รอยยิ้มซุกซนผุดขึ้นบนใบหน้า “ดูท่าทางแล้วคนนี้ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่”


 


 


           ฉู่เจียเสวียนได้ยินถึงตรงนี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย กลัวว่าเถ้าแก่จะคิดไปไกล


 


 


           แต่ไม่ทันรอให้ฉู่เจียเสวียนพูด กงจวิ้นฉือก็แย่งพูดก่อน “งั้นวันนี้ต้องเสิร์ฟอาหารที่อร่อยทุกอย่างให้ผมนะ”


 


 


           จากนั้นก็พาฉู่เจียเสวียนเดินไปที่ห้องส่วนตัว และเถ้าแก่ส่งสายตาประมาณว่า “ผมรู้นะ” ให้ทั้งสองคนตลอดเวลา

 

 

 


ตอนที่ 236 งานแต่งของเขา ยาพิษของเธอ

 

    ภายใต้การนำทางของกงจวิ้นฉือ ฉู่เจียเสวียนเดินตามเขาผ่านทางเดินเล็กๆ ที่มืดมิด และยังมีเสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังอยู่ข้างหน้า


 


 


           เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว ก็เห็นแสงไฟส่องอยู่ที่ประตูทางเข้าในเหลือบของความมืด ในใจของฉู่เจียเสวียนมีความเล็กน้อย


 


 


           จนกระทั่งผลักประตูเข้าไปจึงเข้าใจ


 


 


           ด้านในมีต้นไม้กระถางเขียวขจีที่ถูกจัดอยู่เต็มห้อง ด้านหน้าโต๊ะรับอาหารยังมีลำห้วยเล็กๆ ที่นำไปสู่ห้องครัว น้ำเสียงดังไม่ขาดสาย


 


 


           รอจนทั้งสองคนนั่งลงแล้ว เรือเล็กๆ ลำหนึ่งลอยมาตามลำห้วย และในเรือก็มีอาหารชวนยั่วน้ำลายที่ดูน่าอร่อยเป็นพิเศษภายใต้พื้นหลังของจานเซรามิก


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเห็นดังนี้ สายตาก็ถูกดึงดูดเอาไว้แล้ว


 


 


           “ลูกแมวน้อย อย่ามัวแต่ดูเลย รีบกินเถอะ” เสียงของกงจวิ้นฉือลอยมาแผ่วเบาจากด้านหลังของฉู่เจียเสวียน ทำเอาเธอสะดุ้งโหยง


 


 


           “เป็นอะไรเหม่อเชียว” กงจวิ้นฉือหัวเราะ จากนั้นก็เอาอาหารลงมาจากเรือ


 


 


           หลังจากทั้งสองคนกินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็เริ่มคุยเรื่องสัพเพเสระ ตั้งแต่เป้าหมายการทำงานไปจนถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต


 


 


           จู่ๆ ฉู่เจียเสวียนก็เหม่อลอยเล็กน้อย


 


 


           “เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า?” กงจวิ้นฉือถามด้วยความเป็นห่วง


 


 


           “ไม่มีอะไร” ฉู่เจียเสวียนตอบ หลังจากพิจารณาแล้วก็หยิบมันออกมา


 


 


           กงจวิ้นฉือยังคงสงสัยแต่เมื่อเห็นบัตรเชิญใบนี้ก็เข้าใจแล้ว


 


 


           “ไปกับฉันได้หรือเปล่า?” ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปากถามความคิดเห็นของกงจวิ้นฉือ กงจวิ้นฉือครุ่นคิด “ก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณ”


 


 


——


 


 


           ฉู่เจียเสวียนมาถึงโบสถ์ตรงเวลา สถานที่จัดงานแต่งงานเป็นโบสถ์ที่เป็นจุดสนใจของคนทั้งประเทศ บาทหลวงผู้อบอุ่นกับสาวนักร้องประสานเสียงที่สง่างาม ทั้งหมดล้วนแสดงออกถึงความสำคัญอย่างไม่มีเงื่อนไข


 


 


           แขกเหรื่อที่เข้าร่วมพิธีแต่งงานส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงต่างๆ นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญทางการเมืองและธุรกิจอีกด้วย


 


 


           อีกทั้งการตกแต่งในงานล้วนเป็นในลักษณะที่ฉู่อีอีชอบ ขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ดอกไม้สดที่จัดเข้าด้วยกันก็สมบูรณ์แบบ


 


 


           ดูแล้วเผยหนานเจวี๋ยล้วนทำตามที่ฉู่อีอีชอบ และยังทุ่มเทความคิดลงไปมาก แต่เมื่อเทียบกับเธอแล้ว…เมื่อฉู่อีอีนึกถึงตรงนี้ มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเย็นชา


 


 


           ระหว่างคนสองคนมันช่างเปรียบกันไม่ได้จริงๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่สำคัญแล้ว


 


 


           ฉู่เจียเสวียนกวาดตามอง เพียงแวบเดียวก็เห็นถังถังกำลังพูดคุยกับผู้คนที่ด้านหลังฝูงชน “ถังถัง ทางนี้?”


 


 


           ถังถังได้ยินเสียงของฉู่เจียเสวียน หันหลังมา รีบร่ำลากับคนที่คุยด้วยแล้วเดินไปหาฉู่เจียเสวียน


 


 


           “เจียเสวียน เธอมาจริงๆ เหรอเนี่ย?” ถังถังสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นกงจวิ้นฉือก็ทักทายเขา “คุณกงก็มาด้วยเหรอ”


 


 


           “บัตรเชิญก็ส่งมาแล้ว ก็แวะมาดูหน่อยสิ” ฉู่เจียเสวียนพูดอย่างเฉยเมย ราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง


 


 


           “เธอน่ะโง่ ไม่งั้นจะถูกพวกเขารังแกขนาดนั้นได้ยังไง!” ถังถังพูดอย่างไม่พอใจ


 


 


           “ไม่มีอะไรน่า เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” รอยยิ้มอ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าของฉู่เจียเสวียน


 


 


           กงจวิ้นฉือมองดูคนที่อยู่รอบๆ พร้อมพูดว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราเข้าไปเถอะ”


 


 


           เพื่อนรักสองคนจูงมือกันเดินเข้าไปในโบสถ์


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยยืนอยู่บนเวทีเล็กๆ ของโบสถ์ ชุดสูทสีดำทั้งตัว ทำให้ร่างกายของเขาดูแข็งแรงเป็นอย่างมากและหล่อเหลามากด้วย


 


 


           ขณะที่ฉู่เจียเสวียนเข้าโบสถ์มา สายตาของเผยหนานเจวี๋ยก็พุ่งไปที่ตัวเธอ เห็นว่าเธอพูดคุยกับถังถังอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกถึงความเศร้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


           ผู้หญิงคนนี้…เผยหนานเจวี๋ยก็เห็นกงจวิ้นฉือที่อยู่ข้างกายฉู่เจียเสวียน มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เส้นเลือดสีเขียวปรากฏให้เห็นจางๆ อีกทั้งข้อนิ้วก็กลายเป็นสีขาวเนื่องจากออกแรง


 


 


           “ทุกคนกรุณาเงียบหน่อยครับ พิธีแต่งงานกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว” ทันทีที่บาทหลวงกล่าว ในโบสถ์ก็สงบลงทันที กลายเป็นความสงบนิ่ง


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยก็ละสายตาตามไปด้วย แต่ยังไม่ปล่อยมือที่กำไว้แน่น


 


 


           “ขอเชิญเจ้าสาวเข้าพิธี!”


 


 


           ประตูโบสถ์ที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดออก ฉู่อีอีที่สวมชุดเจ้าสาวสีขาวยืนอยู่ที่ประตู และมีเด็กชายเด็กหญิงคู่หนึ่งอยู่ข้างหลัง


 


 


           แม้แต่ฉู่เจียเสวียนก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ฉู่อีอีสวยมากจริงๆ


 

 

 


ตอนที่ 237 จะไม่ปล่อยเธอไป

 

บนใบหน้าของฉู่อีอีมีรอยยิ้ม สายตามองตรงไปยังเผยหนานเจวี๋ยที่อยู่บนแท่นพิธี ราวกับว่ามีเพียงเขาในสายตา ไม่มีคนอื่นใด


 


 


           เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนดวงดาวที่ทอแสงระยิบระยับ ในเวลานี้เธอคือจุดสนใจของผู้คนนับหมื่น


 


 


           ดีจังเลย พอผ่านวันนี้ไป พวกเราก็จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ แม้แต่ใบหน้าก็สดใสตามไปด้วย


 


 


           เดินเข้าไปหาเผยหนานเจวี๋ยช้าๆ ในใจของเธอดีใจแทบคลั่ง


 


 


           ที่ไม่ไกลนัก เผยหนานเจวี๋ยมองฉู่อีอีที่เดินเข้ามา ในใจกลับไม่รู้สึกดีใจเหมือนฉู่อีอีอย่างนั้น ตรงกันข้าม ในใจของเขากลับมีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ต้องการจะหลบหนี


 


 


           เหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉู่อีอีเห็นฉู่เจียเสวียนที่นั่งอยู่ด้านล่างของโบสถ์ ริมฝีปากแดงยกยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกว้าวุ่นใจ


 


 


           ในใจคิดถึงคำพูดที่ฉู่เจียเสวียนบอกเธอคราวก่อน เธอมีความลับอยู่ในมือของฉู่เจียเสวียน ถ้าหากเธอเอาอดีตของเธอมาเปิดโปงล่ะจะทำยังไง?


 


 


           แม้ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ในใจกลับมีความคิดร้อยพันวนเวียน


 


 


           เดินมาถึงด้านหน้าของเผยหนานเจวี๋ย ฉู่อีอีหยุดยืนอยู่ด้านข้างของเขา มองเขาด้วยรอยยิ้มงดงาม ใบหน้ามีความเขินอายเล็กน้อย


 


 


           เขาปล่อยสองมือที่กำหมัดแน่น ยื่นมือออกไปจูงมือของฉู่อีอี เสียงเชียร์ดังมาจากด้านล่างเวที


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยจูงมือของฉู่อีอี หันหน้าไปหาทุกคนที่นั่งอยู่แล้วเดินผ่านเวทีไปรอหนึ่ง จากนั้นก็ไปเปลี่ยนชุดแต่งงาน


 


 


           “เธอช่วยฉันเรียกฉู่เจียเสวียนเข้ามาที บอกว่าชุดเจ้าสาวของฉันมีปัญหานิดหน่อย” ฉู่อีอีกล่าวกับผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้าง


 


 


           ฉู่อีอีอาศัยช่วงที่เปลี่ยนชุดเจ้าสาวเชิญฉู่เจียเสวียนเข้ามาในห้องพักผ่อน ฉู่อีอีมีความลับที่อยู่ในมือของฉู่เจียเสวียน สำหรับเธอแล้วมันก็คือระเบิดเวลาลูกหนึ่ง เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องหลุดออกไปแน่นอน ไม่เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทุ่มแรงกายแรงใจเพื่อได้มันมาก็จะสูญเปล่า เธอจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน


 


 


           ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูของห้องพักผ่อนดังขึ้น ฉู่อีอีมีสีหน้าดีใจ ส่งสายตาให้กับผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้าง เธอรับรู้และเดินไปเปิดประตู


 


 


           “คุณฉู่” ฉู่เจียเสวียนที่อยู่ด้านนอกมองมายังฉู่อีอี ฉู่อีอีส่งสายตา ผู้ช่วยจึงออกจากห้องพักผ่อนไปแล้วปิดประตู


 


 


           เดินเข้ามาในห้องพักผ่อน ใบหน้าของฉู่เจียเสวียนยิ้มแย้ม “คุณฉู่ ยินดีด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าชุดเจ้าสาวของคุณมีปัญหาตรงไหนเหรอ?”


 


 


           ฉู่เจียเสวียนไม่ได้โง่ ทันทีที่เธอเห็นว่าฉู่อีอีเปลี่ยนชุดเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว ในใจก็เข้าใจ เธอเรียกเธอมาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่


 


 


           สีหน้าที่สับสนเจือปนความไม่พอใจ ฉู่อีอีเม้มปากแดงๆ ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ฉู่เจียเสวียน ฉันจะเตือนเธอนะ วันนี้เป็นวันมงคลของฉัน ถ้าเธอกล้าทำลายพิธีแต่งงานของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปแน่”


 


 


           เมื่อคำข่มขู่หลุดออกมา ใบหน้าของฉู่เจียเสวียนเยือกเย็น จนถึงวันนี้แล้ว เธอก็ยังเป็นแบบนี้


 


 


           “ฉู่อีอี ความรักที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อให้ได้มันมาเหนื่อยมากสินะ? ขนาดวันนี้เป็นวันมงคลของเธอ เธอก็ยังลงแรงมาเตือนฉันเลย”


 


 


           สำหรับคำพูดของฉู่อีอีนั้น ฉู่เจียเสวียนขี้คร้านที่จะใส่ใจแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เธอหย่ากับเผยหนานเจวี๋ยแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันนานแล้ว


 


 


           เธอยอมรับว่าตอนที่เห็นเผยหนานเจวี๋ยเมื่อครู่ ภาพในอดีตทั้งหมดต่างปรากฏอยู่ในหัวของเธอ แต่ว่าแล้วยังไงล่ะ? พวกเธอทั้งสองคนเทียบกันไม่ติดตั้งแต่แรก คนหนึ่งอยู่ในกลางใจของเผยหนานเจวี๋ย อีกคนหนึ่งไม่มีตำแหน่งอะไรในหัวใจของเขาเลย ทำไมเธอต้องทำให้ตัวเองเสียใจด้วย?


 


 


           คำพูดของฉู่เจียเสวียนทำให้ใบหน้าเธอซีดขาว ถ้าหากเธอไม่ได้มีความลับอยู่ในมือของเธอ เธอก็ไม่กลัวเธอหรอก


 


 


           ต่อให้ไม่พอใจฉู่อีอีอีกแค่ไหน แต่ว่าฉู่เจียเสวียนก็รู้ดีว่าวันนี้เป็นวันมงคลของฉู่อีอี แม้ในใจของเธอจะขมขื่น แต่ก็ยังหวังด้วยใจจริงว่าพวกเขาจะมีความสุข

 

 

 


ตอนที่ 238 ผู้หญิงที่ปรากฏตัวกะทันหัน

 

  ใบหน้ายิ้มเยาะ “วางใจเถอะ คนที่เป็นที่รักของเธอไม่ได้เป็นอะไรในใจของฉันนานแล้ว เธอเป็นเจ้าสาวของเธอให้ดีเถอะ”  


 


 


           ไม่อยากอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับฉู่อีอี ฉู่เจียเสวียนพูดจบก็หันหลังจากไป 


 


 


           ด้านนอก กงจวิ้นฉืออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว เมื่อเห็นฉู่เจียเสวียนออกมา ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้ม “คุยเสร็จแล้วเหรอ?” 


 


 


           “อือ เรื่องเล็กน้อย พวกเราออกไปเถอะ ตรงนี้เป็นห้องพักผ่อนของผู้หญิง คุณก็กล้าเดินเข้ามานะ” เอ่ยแซว รอยยิ้มบนใบหน้าฉู่เจียเสวียนสดใส 


 


 


           เธอมองต่ำ ปกปิดความผิดหวังในดวงตาเอาไว้ 


 


 


           “ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ผมก็ต้องไปด้วยสิ” เสียงอบอุ่นลอยเข้าหูของฉู่เจียเสวียน ทำให้ดวงตาเธอร้อนผ่าว 


 


 


           เดิมทีในใจรู้สึกเจ็บปวด แต่คำพูดของกงจวิ้นฉือทำให้หัวใจของเธออบอุ่นอย่างประหลาด 


 


 


           ทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อแล้วกลับไปนั่งในโบสถ์ ถังถังเห็นฉู่เจียเสวียนกลับมา ยื่นมือดึงเธอให้นั่งลง 


 


 


           หลังจากนั่งลงแล้ว ถังถังเอ่ยปากอย่างอดใจรอไม่ไหว “ชุดเจ้าสาวมีปัญหาตรงไหน?” 


 


 


           ถังถังขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าสง่างาม จริงอยู่ที่เธอไม่ชอบฉู่อีอี แต่ว่าถ้าหากมีข่าวหลุดออกไปว่าชุดเจ้าสาวของร้านเธอมีปัญหาล่ะก็ มันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเธอเท่าไร 


 


 


           “ไม่มีอะไร ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว” เอ่ยปากไม่ใส่ใจ ฉู่เจียเสวียนตอบอย่างผ่อนคลาย 


 


 


           “เรียบร้อยแล้ว? งั้นเดี๋ยวพวกเราคอยดูละครสนุกๆ เถอะ” เดิมทีฉู่เจียเสวียนไม่เป็นไรแล้ว ในใจรู้สึกผ่อนคลาย แต่จู่ๆ ถังถังกลับพูดประโยคแบบนี้ออกมา 


 


 


           ละครสนุกๆ? ฉู่เจียเสวียนอึ้งไป “ดูละครสนุกอะไร?” 


 


 


           “ฮาๆ ไม่บอกเธอหรอก” ถังถังจ้องเธอตาไม่กระพริบ 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนหัวเราะเบาๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ถังถังคนนี้คิดจะทำอะไรนะ ถึงได้ลับๆ ล่อๆ แบบนี้ 


 


 


           เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็จะเริ่มพิธีแต่งงานแล้ว ฉู่อีอีกลับเข้ามาในโบสถ์อีกครั้ง 


 


 


           ในเวลานี้ ฉู่อีอีได้เปลี่ยนชุดแต่งงานแบบใหม่ล่าสุดซึ่งเข้ากับใบหน้าของเธอดุจดอกไม้ 


 


 


           บุคลิกองอาจผึ่งผายของเผยหนานเจวี๋ยสะกดผู้คน ท่วงท่าเยือกเย็น ใบหน้าที่เฉยเมยเจือปนลมหายใจที่ชวนให้หัวใจหวั่นไหว ทุกอิริยาบทเผยให้เห็นความสง่างามสูงส่ง 


 


 


           บาทหลวงกล่าว “เจ้าบ่าวคุณเผยหนานเจวี๋ย คุณจะเต็มใจยอมรับคุณฉู่อีอีเป็นภรรยาหรือไม่? ไม่ว่ายากดีมีจนก็จะไม่ทิ้งทอดกันหรือไม่?” 


 


 


           เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเผยหนานเจวี๋ยล้ำลึก 


 


 


           เขาต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือนี้กับฉู่อีอีจริงเหรอ? 


 


 


           ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน การได้มาซึ่งผู้หญิงที่เขารักลึกซึ้ง เขาจะต้องดีใจแทบคลั่ง แต่ว่าทำไมพอมาถึงวันนี้ เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลย? 


 


 


           หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการมาโดยตลอด? 


 


 


           ผ่านไปเนิ่นนาน ฉู่อีอีไม่ได้ยินคำตอบของเผยหนานเจวี๋ย รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน 


 


 


           บาทหลวงรอนานแล้วไม่ได้คำตอบของเผยหนานเจวี๋ย จึงทวนคำถามอีกรอบ 


 


 


           ฉู่อีอีมองเผยหนานเจวี๋ยอย่างตกตะลึง เขาเป็นอะไรไป? เขากำลังลังเลอะไร? 


 


 


           สายตาของฉู่เจียเสวียนจ้องเผยหนานเจวี๋ยเขม็ง เนิ่นนานไม่ได้ยินคำตอบของเขา คิ้วขมวดกัน 


 


 


           เธออยากแต่งงานกับเธอตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้ลังเลนานขนาดนี้? 


 


 


           ในขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึง เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยปาก เสียงที่เปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดดังขึ้น “ผมยอมรับ” 


 


 


           สามคำนี้ทำให้ฉู่อีอีถอนหายใจโล่งอก ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็ถอนหายใจโล่งอก 


 


 


           บาทหลวงกล่าว “เจ้าสาวคุณฉู่อีอี คุณจะเต็มใจยอมรับคุณเผยหนานเจวี๋ยเป็นสามีหรือไม่? ไม่ว่ายากดีมีจนก็จะไม่ทิ้งทอดกันหรือไม่?” 


 


 


           เสียง “ปัง” ดังขึ้น ประตูใหญ่ของโบสถ์ถูกคนเตะออก แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากภายนอก ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในโบสถ์เหมือนดังความฝัน 


 


 


           ด้านนอก เงาร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นที่ประตูโบสถ์ เพียงแต่ท้องที่ป่องขึ้นมาทำเอาทุกคน ณ ที่นั้นประหลาดใจ 


 


 


           มีละครสนุกๆ ให้ดูตรงหน้าแล้ว มีทั้งความสับสนและการคาดเดา 


 


 


           ถังถังมองคนที่อยู่หน้าประตู ริมฝีปากแดงยกยิ้ม ในดวงตามีประกายความเยือกเย็น 

 

 

 


ตอนที่ 239 พวกคุณจะแต่งงานกันไม่ได้!

 

 ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่หน้าประตูเป็นคนที่ถังถังเตรียมการมากับมือ เธอไม่พอใจที่ฉู่อีอีกับเผยหนานเจวี๋ยผีเน่าโล่งผุคู่นี้จะแต่งงานกันได้อย่างราบรื่น พวกเขาทำร้ายฉู่เจียเสวียนสาหัสขนาดนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็อยากช่วยเอาคืนแทนฉู่เจียเสวียน 


 


 


           “พวกคุณจะแต่งงานกันไม่ได้!” เสียงแหลมสูงของผู้หญิงข้างนอกดังขึ้น 


 


 


           เพียงประโยคเดียวปลุกคลื่นนับพัน ในโบสถ์เริ่มวุ่นวาย ทุกคนกระซิบซาบกัน 


 


 


           เห็นท่าทางของผู้หญิงคนนั้น เห็นได้ชัดเจนมากว่ามายับยั้งการแต่งงาน หรือว่าเด็กในท้องของผู้หญิงคนนี้จะเป็น? 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างนอกด้วยสายตาเย็นชา เขามั่นใจว่าเขาไม่รู้จักเธอ 


 


 


           ใบหน้าเหมือนจะมีรอยยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนอบอุ่นในตอนแรก ในขณะนี้ยิ่งเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้อยู่ในแววตาด้วย 


 


 


           มองผู้หญิงคนนั้นที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามา เผยหนานเจวี๋ยส่งสายตาให้ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้าง ผู้ช่วยรับรู้แล้วเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น 


 


 


           เพียงโบกมือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เดินไปที่ประตู แต่ว่าหญิงตั้งครรภ์คนนั้นจู่ๆ ก็เดินเร็วขึ้น เมื่อเดินมาถึงใจกลางโบสถ์ก็ถูกผู้ช่วยขวางไว้ 


 


 


           เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ ทำเอาฉู่อีอีตกตะลึง 


 


 


           ด้านล่างเวที นับตั้งแต่ที่ผู้หญิงปรากฏตัวแล้ว ริมฝีปากแดงๆ ของฉู่เจียเสวียนยกยิ้ม ท่าทางเหมือนกับว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ 


 


 


           “คุณผู้หญิงท่านนี้ รบกวนคุณออกไปจากที่นี่เถอะครับ ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ” มือของผู้ช่วยที่ขวางผู้หญิงไว้ ต้องการจะลากเธอออกไปจากที่นั่น 


 


 


           “ฉันไม่ไป เผยหนานเจวี๋ย คุณมันไร้มนุษธรรม คุณทำฉันท้อง คุณไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง? คุณบอกว่าจะแต่งกับฉันไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


           เธอร่ำไห้พร้อมกล่าวโทษ ด้านล่างเวทีเกิดความโกลาหล เสียงซุบซิบกันยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


           ข่าวพวกนี้เป็นพาดหัวข่าวได้เลยนะ นักข่าวที่อยู่ล้อมรอบ หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายไม่หยุด 


 


 


           ริมฝีปากแดงกัดแน่น ร่างกายฉู่อีอีสั่นเทิ้ม มือเย็นเฉียบ สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่ผู้หญิงที่เรียกร้องว่าตัวเองตั้งครรภ์คนนั้น 


 


 


           ผู้หญิงที่โผล่มาอย่างฉับพลันคนนี้คือเรื่องอะไรกัน? ต่อให้ตีเธอให้ตายเธอก็ไม่เชื่อว่าเผยหนานเจวี๋ยจะแอบไปมีผู้หญิงข้างนอก 


 


 


           “คุณเผยครับ ขอถามหน่อยที่คุณผู้หญิงคนนี้พูดคือเรื่องนี้เหรอครับ? คุณมีลูกกับผู้หญิงคนอื่นจริงหรือเปล่า?” เพียงประโยคเดียวทำให้ทุกสายตาในที่นั้นมองไปที่เผยหนานเจวี๋ยคนแล้วคนเล่า 


 


 


           นั่นสิ พวกเขาก็อยากรู้ ตกลงว่าเผยหนานเจวี๋ยไปทำคนอื่นท้องจริงหรือเปล่า แต่ว่าพวกเขาลืมไปแล้วว่าเผยหนานเจวี๋ยจะตอบได้อย่างไร? 


 


 


           ในบรรดานักข่าว นักข่าวคนหนึ่งถือไมโครโฟนแบบพกพา “คุณเผยหนานเจวี๋ยครับ ได้โปรดตอบคำถามของผมด้วย มันเป็นแบบนี้จริงหรือเปล่า? ถ้าหากไม่จริง แล้วทำไมเขาถึงพูดแบบนี้? หรือว่าเขาตั้งใจมาก่อกวนครับ?” 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองผู้ชายที่ยิงคำถามด้วยสายตาเย็นชา ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ เชื่อว่าคนนั้นคงตายไปไม่ต่ำกว่าครั้งสองครั้งแล้ว 


 


 


           “คุณเป็นนักข่าวจากสำนักไหน?” แน่นอนว่าเผยหนานเจวี๋ยจะไม่ตอบคำถามที่นักข่าวหยิบยกและขยายขึ้นมา นี่ไม่ใช่เรื่องจริง แม้แต่เขาเองก็อยากรู้มากเหมือนกันว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


           สำหรับคำถามที่มีคนถามขึ้นมาฉับพลัน นักข่าวทุกคนก็ต่างตื่นเต้น นี่ต้องเป็นข่าววงในแน่ๆ 


 


 


           ทุกคนในที่นี้ต่างมองไปที่เผยหนานเจวี๋ยกับผู้หญิงคนนั้น ต้องการได้ยินคำตอบ แต่ว่าเผยหนานเจวี๋ยได้แต่เม้มปากแน่น ไม่มีความตั้งใจจะตอบคำถามเลย 


 


 


           หรือว่าจะเป็นแบบที่คนนั้นพูดจริงๆ? เห็นเผยหนานเจวี๋ยที่อยู่บนเวทีไม่หือไม่อือ ทุกคนเดาไปตามๆ กัน 


 


 


           “ผมเป็นนักข่าวจากสำนักไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนี่คือเรื่องจริงหรือเปล่า?” 


 


 


           “นั่นสิครับ คุณเผย” 


 


 


           “คุณเผยตอบหน่อยเถอะครับ” 


 


 


“……” 


 


 


           เสียงถามคำถามของนักข่าวด้านล่างเวทียิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนยิ่งปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


           “แยกย้ายไปให้หมด งานแต่งยกเลิก ถ้าหากเรื่องในวันนี้กระจายออกไปแม้แต่นิดเดียว พวกคุณเตรียมตกงานได้เลย” 

 

 

 


ตอนที่ 240 ใครเป็นคนจัดผู้หญิงคนนั้นมา

 

    ประโยคที่เรียบง่ายตรงตัวไร้ซึ่งความรู้สึกใด กลับทำให้ผู้คนในที่นั้นได้ยินอย่างชัดเจน สายตาแหลมคมกวาดมองนักข่าวเหล่านั้น อากาศเยือกเย็นขึ้นมาฉับพลัน ทุกคนต่างรู้สึกถึงความหนาวเหน็บนั้น ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ 


 


 


           บุคคลที่ไม่ใส่ใจมีเพียงสามคนเท่านั้น บนใบหน้าของฉู่เจียเสวียน กงจวิ้นฉือและถังถังมีรอยยิ้มจางๆ ตลอดเวลา ไม่แยแสกับคำพูดของเผยหนานเจวี๋ยโดยสิ้นเชิง 


 


 


           พวกบอดี้การ์ดรีบไล่นักข่าวออกไป บรรดาแขกเหรื่อได้ยินว่างานแต่งยกเลิกก็จากไปทีละคน เนื่องด้วยหญิงตั้งครรภมาก่อกวนในงาน พิธีแต่งงานก็สิ้นสุดลงเช่นนี้ 


 


 


           และในขณะนี้หญิงตั้งครรภ์ก็อาศัยช่วงชุลมุนจากไปแล้ว หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย 


 


 


           ในห้องพักผ่อน เผยหนานเจวี๋ยมีสีหน้าโมโห หน้าอกกระเพื่อมไม่หยุด ความเยือกเย็นเป็นประกายอยู่ในดวงตา 


 


 


           “สืบให้ละเอียด ว่านี่มันเรื่องอะไร!” เอ่ยปากเยือกเย็น บุคลิกองอาจน่ากลัวของเผยหนานเจวี๋ยเผยให้เห็นความเย็นยะเยือก 


 


 


           กวาดตาไปที่ฉู่อีอีที่นิ่งเงียบอยู่บนโซฟา เห็นใบหน้าของเธอซีดขาว เขารู้สึกปวดใจ เหยียดยื่นแขนออกไปดึงฉู่อีอีมากอดไว้ในอ้อมแขน 


 


 


           “อีอีขอโทษนะ” เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยขอโทษ ในใจยิ่งรู้สึกผิดต่อเธอ 


 


 


           แม้ว่าเขาไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น แต่ว่าถูกผู้หญิงคนนั้นก่อกวนขนาดนั้น ฉู่อีอีจะต้องถูกมองเป็นตัวตลกแน่นอน เธอจะต้องรู้สึกอึดอัดใจ ในใจยิ่งรู้สึกเวทนาฉู่อีอีมากขึ้น 


 


 


           “หนานเจวี๋ย ผู้หญิงคนนั้นไม่เกี่ยวกับคุณจริงเหรอ?” เอ่ยปากสงสัย ฉู่อีอีเงยหน้ามองเขาตาไม่กระพริบ 


 


 


           ที่จริงในใจของเธอโกรธจัด แต่ว่าตอนนี้เธอจำเป็นต้องเข้าใจถึงสถานการณ์โดยรวมถึงจะถูก โวยวายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เผยหนานเจวี๋ยต่อต้านเธอ  


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยรู้สึกว่าถูกคนกลั่นแกล้ง เขาประพฤติตัวดีมาตลอด จะไปมีเล็กมีน้อยข้างนอกเมื่อไรกัน 


 


 


           “คุณไม่เชื่อผมเหรอ” เผยหนานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ย 


 


 


           ฉู่อีอียิ้มเก้ๆ กังๆ จากนั้นพูดอย่างอ่อนโยน “หนานเจวี๋ย ฉันเชื่อคุณ นี่จะต้องเป็นมุขตลกแน่ๆ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว” 


 


 


           พูดจบ ฉู่อีอีพิงบนตัวเผยหนานเจวี๋ยด้วยความอ่อนแอ โอบเอวของเขาไว้ 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยนวดคลึงกลางหว่างคิ้ว “งั้นพวกเรากลับกัน” 


 


 


           พูดพลาง เผยหนานเจวี๋ยก็พาฉู่อีอีเดินออกไปจากโบสถ์ทันที 


 


 


           หลังจากงานแต่งเสร็จสิ้น พวกฉู่เจียเสวียนสามคนกลับไปที่ร้านชุดแต่งงาน ในร้าน ฉู่เจียเสวียนนึกถึงฉากเมื่อครู่ นึกถึงคำพูดประหลาดของถังถังในโบสถ์เมื่อครู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ 


 


 


           ตั้งแต่ที่เผยหนานเจวี๋ยอยู่ด้วยกันกับฉู่อีอี ก็ไม่เคยได้ยินข่าวว่าคบหากับผู้หญิงคนอื่น อีกอย่าง เขารัก 


 


 


ฉู่อีอีมากขนาดนั้น จะอยู่กับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร 


 


 


           เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจจัดฉาก จะใช่เธอหรือเปล่า 


 


 


           หลังจากกงจวิ้นฉือส่งฉู่เจียเสวียนกลับถึงร้านชุดแต่งงานเขาก็จากไปแล้ว เพราะว่าที่บริษัทยังมีงานที่เขาต้องจัดการ ดังนั้นในเวลานี้ก็มีเพียงฉู่เจียเสวียนกับถังถังที่อยู่ในออฟฟิศ 


 


 


           “ถังถัง ผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นคนจัดมาใช่ไหม?” น้ำเสียงที่สดใสดุจไข่มุกดังขึ้น ดวงตาของฉู่เจียเสวียนจ้องเธอไม่กระพริบ 


 


 


           เธอหวังว่าถังถังจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เธอรู้ว่าเธอเป็นเดือดเป็นร้อนในความอยุติธรรมแทนเธอ แต่ว่าเรื่องของเธอกับเผยหนานเจวี๋ยก็ผ่านมาสามปีแล้ว 


 


 


           “เธอรู้แล้วเหรอ” ถังถังไม่ปิดบังเลยสักนิด มองฉู่เจียเสวียน เอ่ยปากยอมรับอย่างสบายอารมณ์ 


 


 


           เพราะเธอเห็นเผยหนานเจวี๋ยกับฉู่อีอีแล้วไม่พอใจไม่ได้เหรอ ใครสั่งให้พวกเขาสองคนทำเหมือนกับว่าคนอื่นเป็นหนี้พวกเขาล่ะ 


 


 


           อีกอย่าง สิ่งที่พวกเขาทำกับฉู่เจียเสวียนเมื่อสามปีก่อน ทำร้ายเธอสาหัสแบบนั้นจนสุดท้ายก็ต้องจากไป เธอเพียงแค่โมโหจนทนไม่ได้ ไม่อยากให้พวกเขาแต่งงานกันอย่างราบรื่น ต้องการจะไว้หน้าสุนัขคู่นั้นจึงต้องทำแบบนี้ ที่เธอทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อออกหน้าแทนฉู่เจียเสวียน 

 

 

 


ตอนที่ 241 ยุ่งไม่เข้าเรื่อง

 

 “ฝีมือเธอจริงเหรอ ถังถัง ตอนนี้เธอกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว คราวหน้าเธออย่าทำแบบนี้อีกนะ กว่าฉันมาถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย ฉันไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้วจริงๆ” รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่เจียเสวียนจางลง กลายเป็นสีหน้าจริงจัง 


 


 


           “ฉันช่วยออกหน้าแทนเธอ ฉันก็แค่อยากให้พวกเขาไม่มีความสุข ฉันรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเธอ ทำไมเธอต้องทนทุกข์ขนาดนั้นด้วย แต่คนเลวคนนั้นกลับได้เสวยสุขกับเกียรติยศและความมั่งคั่งงั้นเหรอ” เธอไม่ต้องการให้พวกเขามีความสุข เธอจงใจทำลายพิธีแต่งงานของพวกเขา ทำให้งานแต่งพวกเขาล้มเหลว 


 


 


           “ถังถัง ฉันรู้ว่าเธอหวังดีกับฉัน แต่ว่าเธอทำแบบนี้ สำหรับฉันแล้วมันไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าตอนนี้พวกเขาไม่สำคัญสำหรับฉันแล้ว” 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปาก เป็นครั้งแรกที่เธอพูดกับถังถังด้วยอารมณ์แบบนี้ ต่อไปไม่ว่าพวกเขาจะอยู่กันอย่างไร ใช้ชีวิตกันแบบไหน ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเธอแล้ว 


 


 


           “ทำไมเธอโง่แบบนี้ สามปีก่อนพวกเขาทำกับเธอยังไง เธอลืมไปแล้วเหรอ” ถังถังไม่เข้าใจฉู่เจียเสวียนเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่เจ็บสาหัสแบบนั้น ตอนนี้ทำเหมือนกับว่าไม่เป็นไร 


 


 


           เธอไม่เข้าใจว่าเธอเดินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ถ้าเธอไม่ได้โง่แล้วเรียกว่าอะไร 


 


 


           “ไม่ว่าฉันจะโง่หรือเปล่า ฉันก็ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา เรื่องของฉันกับเขาตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว เธออย่าไปยุ่งอีกเลย” 


 


 


           “ถ้างั้นความหมายของเธอคือฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องใช่ไหม” ถังถังขึ้นเสียงสูง มองฉู่เจียเสวียนน้ำเสียงไม่พอใจ 


 


 


           เธอลงทุนลงแรงคิดเพื่อเธอ คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดแบบนี้ 


 


 


           “ฉันไม่ได้หมายความแบบนี้ ฉันไม่ได้บอกว่าเธอยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฉันแค่บอกอยากบอกเธอว่าเรื่องของพวกเขาไม่เกี่ยวกับฉัน” 


 


 


           “ฉันมีวันนี้ได้มันไม่ง่ายเลย ฉันไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมอะไรกับพวกเขาอีก ฉันแค่ไม่อยากให้ครั้งหน้าเธอทำเรื่องนี้แบบนี้อีก เพราะว่ามันไม่คุ้ม” 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปากด้วยความจริงใจและปรารถนาดี เห็นอยู่ว่าเธอไม่ได้หมายความแบบนั้น ทำไมเธอต้องคิดแบบนั้นด้วย เธอแค่รู้สึกว่าเรื่องในอดีตตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว 


 


 


           “เธอไม่ได้รู้สึกว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องหรอกเหรอ ฉันหวังดีกับเธอแต่เธอกลับไม่ใส่ใจ” ได้ยินนัยยะแฝงในคำพูดของฉู่เจียเสวียน ถังถังรู้สึกว่าเธอหมายความว่าแบบนั้น 


 


 


           เห็นชัดๆ ว่าเธอกำลังวิพากย์วิจารณ์ว่าเธอยุ่งไม่เข้าเรื่อง คิดยิ่งก็ยิ่งโมโห 


 


 


           “ถ้าเธออยากจะพูดแบบนี้ ฉันก็ช่วยไม่ได้” ริมฝีปากแดงอ้าเอ่ย น้ำเสียงที่โมโหเล็กน้อยปรากฏให้เห็น 


 


 


           “หึ ทำคุณบูชาโทษ!” ถังถังพูดจบก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปนอกประตู 


 


 


           เห็นแผ่นหลังของถังถังที่จากไปไกล ดวงตาของฉู่เจียเสวียนแดงก่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอจากกันไม่ดีนับตั้งแต่ที่รู้จักกันมานาน 


 


 


           สิ่งที่ถังถังทำเพื่อเธอทั้งหมด เธอต่างรู้ดี แต่ว่าตอนนี้เธอมีทุกอย่างได้ด้วยความยากลำบาก เธอลืม 


 


 


เผยหนานเจวี๋ยได้ด้วยความยากลำบาก เธอก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างยากลำบาก กำจัดเรื่องในอดีตออกไปได้อย่างยากลำบาก เธอไม่อยากให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ใดๆ กับพวกเขาอีกแล้วจริงๆ 


 


 


           “ถังถัง ฉันไม่ได้หมายความจะโทษเธอ ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจฉัน” ฉู่เจียเสวียนล้มตัวลงบนโซฟาอย่างเหม่อลอย บ่นพึมพำอยู่ในปาก น้ำเสียงมีความขมขื่น 


 


 


           ออฟฟิศที่กว้างใหญ่เหลือเพียงฉู่เจียเสวียน เธอขดตัวอยู่ในมุมห้อง สองมือกอดตัวเอง ซุกหน้าอยู่ระหว่างมือทั้งสอง 


 


 


           ตกดึก ฉู่เจียเสวียนกลับถึงบ้าน พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนไม่หลับ ในหัวนึกถึงคำพูดที่พูดกับถังถังวันนี้ เธอยากที่จะหลับลง ในใจราวกับถูกคนชก ทรมานจนเธอหายใจไม่ทั่วท้อง 


 


 


           เฮ้อ ช่างเถอะ พรุ่งนี้ก็ไปคุยกับถังถังก็แล้วกัน วันนี้ทั้งสองคนอารมณ์ไม่ดี น้ำเสียงก็วู่วามไปหน่อย ตอนนี้ปล่อยให้ทั้งสองคนเย็นลงก่อนเถอะ  

 

 

 


ตอนที่ 242 เขาเชื่อเธอ

 

ในห้องนอนของวิลล่าบ้านเผย เผยหนานเจวี๋ยนึกว่าฉู่อีอีหลับแล้ว ลุกขึ้นจากเตียงแผ่วเบา ออกไปจากห้องนอน เมื่อประตูปิดลง ฉู่อีอีก็ลืมตาที่สดใสขึ้น 


 


 


           ในห้องที่มืดสนิท ดวงตาของฉู่อีอีทอแสงดังดวงดาว ประกายของดวงตามีความคลุมเครือ 


 


 


           เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉู่อีอีรู้สึกว่ามันแปลกเกินไปแล้ว พอนึกว่างานแต่งงานถูกยกเลิก หัวใจของเธอก็โมโหสุดขีด 


 


 


           การทำให้เผยหนานเจวี๋ยตกลงแต่งงานกับเธอนั้นมันไม่ง่ายเลย คิดไม่ถึงว่าจะมีคนทำพังแบบนี้ 


 


 


           ทั้งหมดที่ลงแรงลงใจไป ในใจคิดว่าหลังจากวันนี้ไป ก็จะได้นั่งตำแหน่งคุณนายเผยอันล้ำค่า แต่ว่าคิดไม่ถึงเลย ริมฝีปากแดงกัดแน่น ฉู่อีอีลุกขึ้นมาจากเตียง 


 


 


           ตกลงว่าเป็นใครกันแน่ ใครที่กล้าทำลายเรื่องดีๆ ของเธอ ฉู่อีอีโมโหในใจ ขุ่นเคืองจนนอนไม่หลับ 


 


 


           เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉู่อีอีตื่นนอนล้างหน้าแปรงฟังแล้วก็ไปที่ออฟฟิศของเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           “หนานเจวี๋ย” ฉู่อีอีมาถึงออฟฟิศของเผยหนานเจวี๋ย ในเวลานี้เขากำลังนั่งอยู่ในออฟฟิศของเขา 


 


 


           เธอจะต้องรู้เรื่องให้ได้ว่าใครกล้าทำลายพิธีแต่งงานของเธอกันแน่ ให้เขาได้รู้ว่าเธอไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน! 


 


 


           “อีอี คุณมาได้ยังไง” เผยหนานเจวี๋ยเห็นใบหน้าของฉู่อีอีที่มีความอ่อนโรยเล็กน้อย ขมวดคิ้ว 


 


 


           เมื่อคืนเธอคงจะนอนไม่หลับสินะ เธอจะต้องไม่สบายใจกับเรื่องเมื่อวานแน่นอน 


 


 


           “หนานเจวี๋ย สืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นได้แล้วยังว่ามันคือเรื่องอะไร” 


 


 


           เพิ่งจะถามพอดี เสียงประตูออฟฟิศเผยหนานเจวี๋ยดังขึ้น “เข้ามา” 


 


 


           เสียงทุ้มต่ำที่เจือปนความขึงขังดังขึ้น เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยปากพูด 


 


 


           ประตูออฟฟิศเปิดออก ผู้ช่วยเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นฉู่อีอี ดวงตามีประกายความเข้าใจชัดเจน 


 


 


           “ประธานครับ สืบเรียบร้อยแล้ว” หลังจากผู้ช่วยเข้ามา มองเผยหนานเจวี๋ยเอ่ยปากอย่างนอบน้อม ไม่รอให้เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยถาม เขาก็พูดถึงเป้าหมายที่เข้ามาแล้ว 


 


 


           “ว่ามา” คำพูดที่เย็นชาดังขึ้น เผยหนานเจวี๋ยเม้มริมฝีปากที่เรียวบาง 


 


 


           คำพูดของผู้ช่วย ทำให้หัวใจของฉู่อีอีตื่นเต้น ดวงตาที่สดใสมองผู้ช่วยไม่กระพริบ 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยนั่งลงข้างฉู่อีอี มือยาวโอบเอวของเธอไว้ เห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอแล้ว มือที่โอบเอวฉู่อีอียิ่งแน่นขึ้น 


 


 


           “ท่านประธานครับ ผู้หญิงคนนั้นล่าสุดมีการติดต่อกับคุณหนูถัง ส่วนจะเป็นคุณหนูถังสั่งหรือเปล่าเราสืบไม่เจอ ตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นหายตัวไปเมื่อคืนก็ไม่เจอตัวแล้ว” ผู้ช่วยเล่าข่าวที่สืบเจอทั้งหมดอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           เมื่อคืนเขาก็เริ่มสืบเรื่องนี้แล้ว แต่ว่าหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นหายไปจากพิธีแต่งงาน ก็ไม่พบร่องรอยของเธออีก 


 


 


           คุณหนูถัง? ถังถัง? คำพูดของผู้ช่วย ทำให้สองมือของฉู่อีอีกำแน่น สายตาที่ก้มต่ำมีประกายความโกรธ 


 


 


           ต้องเป็นฉู่เจียเสวียนแน่นอน ต้องเป็นฉู่เจียเสวียนสั่งการแน่นอน ถังถังเป็นเพื่อนสนิทของฉู่เจียเสวียน เธอจะต้องสอนให้เธอมาวุ่นวายของพิธีแต่งงานของเธอแน่นอน ใช่ มันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน 


 


 


           ในใจยิ่งคิดยิ่งโมโห แต่ว่าใบหน้าของฉู่อีอีกลับไม่แสดงอาการเลยสักนิด 


 


 


           “หนานเจวี๋ย คุณหนูถังคนไหน ใช่ถังถังหรือเปล่า เพื่อนสนิทของพี่สาวเหรอ” เวลาที่ฉู่อีอีพูดคำว่าพี่สาวสองคำนี้ เธอจงใจเน้นเสียง 


 


 


           ดวงตาจับจ้องเผยหนานเจวี๋ยราวกับว่าต้องการคำตอบ 


 


 


           “อีอี ฉู่เจียเสวียนไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก เรื่องนี้ผมจะหาคำอธิบายมาให้คุณ” 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยก้มหน้าอยู่เหนือศีรษะของฉู่อีอี ดมกลิ่นหอมของผมเธอ โล่งอกในใจ เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของฉู่เจียเสวียนแน่นอน จิตใต้สำนึกของเขาคิดเช่นนี้ 


 


 


           ฉู่อีอีคิดไม่ถึงว่าเผยหนานเจวี๋ยจะพูดกับเธอแบบนี้ ความโกรธในใจยิ่งเพิ่มขึ้น 


 


 


           เธอยังไม่ทันพูดอะไรเลย เผยหนานเจวี๋ยก็ช่วยพูดแทนฉู่เจียเสวียนซะแล้ว ทำไมเธอจะไม่ทำแบบนี้ล่ะ เธอจะต้องอยากแก้แค้นเธอแน่ๆ ฉะนั้นจึงสอนให้ถังถังหาคนมาสร้างความปั่นป่วนในพิธีแต่งงานของเธอ ทำให้เธอแต่งงานกับเผยหนานเจวี๋ยไม่สำเร็จ จากนั้นเธอก็จะสามารถอยู่ด้วยกันกับเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           ฉู่อีอีคิดกลับไปกลับมาในใจอยู่ในอ้อมอกของเผยหนานเจวี๋ย ดวงตาราวกับว่าจะมียาพิษหยดออกมาอย่างไรอย่างนั้น 


 

 

 


ตอนที่ 243 ต้องรอไปจนถึงเมื่อไร

 

 “หนานเจวี๋ย ที่คุณพูดคือเรื่องจริงเหรอ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่สาวจริงๆ เหรอ” ฉู่อีอีเอ่ยปากอ่อนแอ ถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยเพียงแต่ยื่นมือลูบหัวของฉู่อีอี ไม่ได้ตอบ 


 


 


           เมื่อไม่ได้ยินคำตอบของเผยหนานเจวี๋ย เธอขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนฉันไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่ เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน 


 


 


           “หนานเจวี๋ย คุณตั้งใจทำงานเถอะ ฉันจะกลับก่อนแล้ว” ฉู่อีอีพูดจบ ลุกขึ้นยืน 


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยลุกขึ้นตาม ริมฝีปากบางๆ อ้าเอ่ย “งั้นคุณระวังตัวหน่อย” 


 


 


           เสียงต่ำที่เปี่ยมด้วยความน่าดึงดูดดังขึ้น บนใบหน้าของเผยหนานเจวี๋ยมีรอยยิ้มจางๆ มองดูฉู่อีอีที่น่ารักเอาใจใส่ตรงหน้า ในใจของเผยหนานเจวี๋ยยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ 


 


 


           ฉู่อีอีพยักหน้า หันหลังต้องการจะจากไป แต่จู่ๆ มือก็ถูกเผยหนานเจวี๋ยรั้งไว้อย่างเหนือความคาดหมาย 


 


 


           หันกลับมามองด้วยความสงสัย มองเผยหนานเจวี๋ยด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย “หนานเจวี๋ย เป็นอะไรไป” 


 


 


           สบสายตาที่เยือกเย็นของเผยหนานเจวี๋ย ฉู่อีอีอึ้งไป ผู้ชายที่โดดเด่นสะดุดตาแบบนี้จะต้องเป็นของเธอฉู่อีอีแต่เพียงผู้เดียว เธอจะไม่ให้โอกาสฉู่เจียเสวียนแม้แต่น้อยแน่นอน 


 


 


           “อีอี คุณอย่าคิดมากเลย” เมื่อมือออกแรงดึง ฉู่อีอีอาศัยจังหวะนี้โผเข้าสู่อ้อมอกของเผยหนานเจวี๋ย 


 


 


           กลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่ในอ้อมแขน เผยหนานเจวี๋ยดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคย ในใจมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก 


 


 


           ดวงตากลอกไปมา ความคิดร้อยพันวนเวียนในใจ สีหน้าของฉู่อีอีเปลี่ยนไป “หนานเจวี๋ย แล้วเรื่องงานแต่งพวกเราจะจัดอีกทีเมื่อไร” 


 


 


           แม้ว่างานแต่งจะถูกทำพังแล้ว เช่นนั้นก็ต้องเลือกฤกษ์ยามอีกครั้ง จะให้งานแต่งเลื่อนไปอีกไม่ได้แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


           “อีอี ตอนนี้เรื่องงานแต่งของเรายังเป็นเรื่องที่คุยกันอย่างสนุกปาก ถึงจะปิดข่าวแล้ว แต่ว่าก็ยังมีผลกระทบไม่น้อย รอจนพ้นช่วงนี้ไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ” 


 


 


           มือที่อยู่ในมือกำแน่น ความโกรธแค้นในใจของฉู่อีอีก่อตัวขึ้น “งั้นต้องรอจนถึงเมื่อไร” 


 


 


           เสียงอ่อนแอดังขึ้น แววตาที่มองเผยหนานเจวี๋ยมีความน้อยใจ ถ้าหากไม่เมื่อวานไม่เกิดเรื่อง วันนี้พวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว 


 


 


           ยิ่งคิดยิ่งโมโห ก้มมองต่ำปิดบังความคมกริบในดวงตา แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บนใบหน้าฉู่อีอีมีความอ่อนแออยู่ตลอดเวลา 


 


 


           ถ้าหากเธอหาผู้หญิงคนนั้นเจอ เธอจะต้องสั่งสอนเธออย่างสาสมแน่นอน! 


 


 


           “อีอี รอจนเรื่องสงบกว่านี้ค่อยคุยกันเถอะ ตอนนี้ผมยังมีเรื่องต้องจัดการ คุณกลับไปก่อนเถอะ” 


 


 


           ไม่ต้องการหารือเรื่องนี้กับเธออีก เผยหนานเจวี๋ยเอ่ยปาก 


 


 


           เมื่อเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเผยหนานเจวี๋ย ฉู่อีอีพยักหน้ารับรู้ 


 


 


           “รู้แล้ว หนานเจวี๋ย” พูดจบ เขย่งปลายเท้าจูบริมฝีปากของเผยหนานเจวี๋ย จากนั้นก็หันหลังจากไป 


 


 


           เมื่อออกไปจากออฟฟิศจนกระทั่งมั่นใจว่าเผยหนานเจวี๋ยมองไม่เห็น ฉู่อีอีจึงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า  


 


 


สีหน้าเย็นชา 


 


 


           ฉู่เจียเสวียน ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปแน่นอน ต่อให้เผยหนานเจวี๋ยจะพูดว่าเธอไม่ได้สั่งให้ถังถังทำ ฉันก็จะคิดบัญชีนี้กับเธอ 


 


 


           เพื่อนสนิทของเธอทำให้ฉันไม่มีความสุข เช่นนั้นเธอก็อย่าคิดจะมีความสุขเลย เธอทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกของเมือง ฉันก็จะทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกของทั้งประเทศ! 


 


 


           ตัดสินใจเช่นนี้ ริมฝีปากของฉู่อีอียกยิ้ม ขึ้นนั่งบนรถแล้วจากไปทันที 


 


 


           แสงอาทิตย์แจ่มใส อากาศที่สดชื่นสวยงามมีลมโชยอ่อน ท้องฟ้าเป็นสีครามยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนมาถึงบริษัทตั้งแต่เช้า เมื่อเธอไม่เห็นเงาของถังถัง ในใจก็ผิดหวัง 


 


 


           ไม่ใช่ว่าเธอยังโกรธอยู่หรอกนะ คิดในใจก็หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาถังถัง 


 


 


           เงียบงันเนิ่นนาน โทรศัพท์ก็ไม่มีคนรับสาย ฉู่เจียเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจ ถังถังยังโกรธเธออยู่ตามคาด 


 


 


           ที่จริงในเวลานี้ถังถังยังคงหลับอยู่ เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับทั้งคืน จนกระทั่งหกโมงเช้าเธอถึงจะหลับลง ฉะนั้นฉู่เจียเสวียนโทรหาเธอครั้งนี้ เธอก็ต้องไม่ได้ยินอยู่แล้ว 


 


 


           ถอนหายใจในใจ ฉู่เจียเสวียนเดินก้าวเข้าไปในออฟฟิศ อีกประเดี๋ยวรอเธอมาค่อยง้อเธอก็ได้ เธอเชื่อว่าถังถังจะไม่โกรธเธอแน่นอน 


 


 


           พวกเธอสองคนเป็นพี่น้องที่ไม่แยกจากแม้ทะเลาะกันนี่นา จะทำสงครามเย็นเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ถังถังก็ไม่ใช่คนขี้น้อยใจด้วย 


 


 


           คิดในใจแบบนี้ ฉู่เจียเสวียนก็สบายใจขึ้นมาบ้าง 

 

 

 


ตอนที่ 244 ใครส่งพวกแกมา

 

       ภายใต้แสงทิตย์ลับขอบฟ้า แสงพลบค่ำสาดส่องอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ ฉู่เจียเสวียนก็ยังไม่เห็นเงาของถังถัง คิ้วขมวดกัน หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็ไม่เห็นถังถังโทรกลับมาหาเธอ คิ้วที่สวยงามของเธอผูกเข้าด้วยกัน 


 


 


           ถังถังเป็นอะไรไป ทำไมไม่โทรกลับมาหาเธอ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกอีกรอบ ก็ยังคงไม่มีคนรับสาย คราวนี้ฉู่เจียเสวียนร้อนใจจริงๆ แล้ว เธอคงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ 


 


 


           ระหว่างที่คิด ฉู่เจียเสวียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หยิบกุญแจรถกับกระเป๋าออกไปจากออฟฟิศแล้ว 


 


 


           ในลานจอดรถ เสียงรองเท้าส้นสูงที่กระทบอยู่บนพื้นได้ยินอย่างชัดเจน เสียงนั้นเจือปนความร้อนรน 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเดินมาถึงรถ ยื่นมือต้องการจะเปิดประตูรถ 


 


 


           แสงรอบตัวฉันมืดลงทันที หนุ่มนักเลงสี่ห้าคนปรากฏตัวขึ้นข้างกายฉู่เจียเสวียน 


 


 


เงยหน้าขึ้น ฉู่เจียเสวียนเห็นผู้ชายพวกนั้นมีรอยยิ้มบนใบหน้า แววตาที่มองเธอมีความคลุมเครือ 


 


 


           พวกเขาต้องการจะทำอะไร ดูท่าทางของพวกเขาแล้วเหมือนรอเธอมานานแล้วสินะ 


 


 


           ริมฝีปากแดงยกยิ้ม สายตาเย็นชาของฉู่เจียเสวียนมองผู้ชายสี่ห้าคนรอบกาย ย้อมผมหลากสี บนใบหน้ามีรอยยิ้มประสงค์ร้าย 


 


 


           เธอกล้าฟันธงว่านักเลงกลุ่มนี้กำลังรอเธออย่างแน่นอน แต่ว่าทำไมล่ะ 


 


 


           “พวกคุณคิดจะทำอะไร” 


 


 


           “ทำอะไร แน่นอนว่าทำคุณไง” 


 


 


           หลังจากผู้ชายพูดจบ ผู้ชายคนอื่นหัวเราะตาม บนใบหน้าของฉู่เจียเสวียนโกรธเคืองยืดเหยียดเท้าออกไปหาผู้ชายคนนั้น 


 


 


           ในเมื่อพวกเขาต้องการหาเรื่อง เช่นนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เธอไม่ทำผิดต่อคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำผิดต่อเธอได้ ไว้ค่อยถามพวกเขาอย่างละเอียดตอนที่พวกเขาคลำพื้นหาฟันตัวเองก็แล้วกัน 


 


 


           เมื่อก่อนตอนที่อยู่ต่างประเทศ เพราะว่าฉู่เจียเสวียนมักจะถูกคนรังแก โดยเฉพาะครั้งนั้นหลังจากที่ 


 


 


กงจวิ้นฉือบาดเจ็บเพราะเธอแล้ว เธอก็ไปเรียนศิลปะป้องกันตัว อีกทั้งยังฝึกได้ไม่เลวทีเดียว แม้แต่อาจารย์ที่ฝึกสอนยังกล่าวว่าความสามารถการป้องกันตัวเองของฉู่เจียเสวียนนั้นไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน 


 


 


           ฉะนั้นเมื่อครู่ตอนที่เธอรู้สึกถึงอันตราย เธอก็ตั้งสตินานแล้ว สำรวจผู้ชายสี่ห้าคนนั้น ฉู่เจียเสวียนมีความมั่นใจว่าคนพวกนั้นไม่สามารถเอาเปรียบเธอได้อย่างแน่นอน 


 


 


           ผู้ชายพวกนั้นดูเหมือนคิดไม่ถึงว่าฉู่เจียเสวียนจะจู่ๆ ลงมือทำร้ายคน หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ดึงสติกลับมา 


 


 


           “แกนังผู้หญิงตัวดี ดูแล้วคงจะไม่สั่งสอนแกแค่นิดเดียว แกคงไม่รู้ว่าคำว่าตายสะกดยังไงสินะ เดี๋ยวฉันจะจับแกให้พี่น้องของพวกเราจะได้สบายตัวกันสักหน่อย!” เสียงกร่นด่าที่เกรี้ยดกราดดังขึ้น ผู้ชายไม่กี่คนพุ่งปรี่ไปที่ฉู่เจียเสวียน 


 


 


           พวกเขาไม่มีใครเห็นฉู่เจียเสวียนในสายตาทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นลักษณะที่อ่อนแอของเธอเช่นนี้ อย่างไรแล้วพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าฉู่เจียเสวียนจะมีวิชาอยู่ในตัว 


 


 


           ผู้ชายพวกนั้นพุ่งเข้าไปพร้อมกัน เห็นเพียงแค่ขาของฉู่เจียเสวียนที่ขยับไม่หยุด เหยียดขาเตะและมือยกต่อยเพียงไม่กี่ครั้ง ผู้ชายที่ยังก้าวร้าวอวดดีเมื่อสักครู่ ในขณะนี้ต่างกำลังร้องครางด้วยความความเจ็บปวดอยู่บนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


           “พูด ใครเป็นคนส่งพวกแกมา” มองคนที่นอนอยู่ด้วยความดูถูก บุคลิกดังเจ้าจอมฉู่เจียเสวียนยิ่งใหญ่อย่างเห็นได้ชัด เท้าที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงเจ็ดนิ้วอยู่นั้นกำลังเหยียบหนึ่งในบรรดาผู้ชาย 


 


 


           ผู้ชายพวกนั้นต่อให้เป็นในฝันก็นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงที่อ่อนแอเช่นนี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้ หนึ่งต่อห้า พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ พวกเขาประมาทเกินไปแล้ว 


 


 


           “จะพูดไม่พูด” รอสักพักหนึ่งแต่ไม่มีคำตอบ ฉู่เจียเสวียนโมโหแล้ว 


 


 


           ที่จริงตอนนี้ในใจของเธอก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร เพียงแค่เธออยากยืนยันด้วยตัวเองว่าเธอทายถูกก็เท่านั้น 


 


 


           ออกแรงเหยียบลงไปอีก ผู้ชายคนนั้นเจ็บปวด สีหน้าทรมาน คิ้วขมวดเข้าด้วยกัน “อย่าทำแล้ว ฉันพูด ฉันพูด” 

 

 

 


ตอนที่ 245 ผู้หญิงหัวใจดุจอสรพิษ

 

 ริมฝีปากแดงยกยิ้ม สายตาที่มองผู้ชายเผยความเยือกเย็น เธอก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขามีคนคอยบงการ ปกติแล้วการรักษาความปลอดภัยสาธารณะของที่นี่ดีมาก 


 


 


           ผู้ชายสี่ห้าคนเสียท่าให้ฉู่เจียเสวียนและไม่กล้าก่อเรื่องอีก พวกเขาไม่ได้ถือเธอเป็นจริงเป็นจังในตอนแรก แต่ว่าตอนนี้พวกเขากลัวฉู่เจียเสวียนจริงๆ แล้ว เพราะว่าบริเวณร่างกายของพวกเขาที่ถูกเธอลงมือนั้นกำลังเจ็บปวดดังถูกไฟแผดเผา 


 


 


           “คุณหนูฉู่ส่งพวกเรามา ให้พวกเราสั่งสอนคุณอย่างงาม” ผู้ชายที่ถูกเหยียบกลัวว่าหากฉู่เจียเสวียนโมโหแล้วรองเท้าส้นสูงของเธอจะแทงทะลุร่างกายของเขา 


 


 


           ตลกน่ะ ส้นสูงเจ็ดนิ้ว ส้นเท้าเรียวเล็กราวกับเข็ม เพียงออกแรงนิดเดียว หน้าอกของเขาจะต้องถูกเหยียบเป็นรูแน่นอน 


 


 


           “คุณหนูฉู่คนไหน” 


 


 


           “คนที่เป็นดาราดัง เขาให้เงินก้อนใหญ่พวกเรา บอกว่าพอเสร็จงานแล้วจะให้พวกเราอีกก้อน” 


 


 


           ที่จริงผู้ชายพวกนั้นดูไม่ค่อยกล้าหาญสักเท่าไร เมื่อเห็นว่าฉู่เจียเสวียนไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปท่าทางน่ากลัวขนาดนั้น ในใจของพวกเขาก็หวาดกลัวเสียแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกเธอทำร้าย ในใจก็ยิ่งหวาดผวา 


 


 


           “ใช่ผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า” หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ยื่นรูปถ่ายของฉู่อีอีไปตรงหน้าของเขา 


 


 


           “ใช่ๆๆ เขานี่แหละ” 


 


 


           เห็นผู้หญิงในโทรศัพท์มือถือ เขาพยักหน้าทันที 


 


 


           ทันใดนั้นความโกรธแค้นก็ก่อตัวขึ้นภายในใจ ดวงตาราวกับว่าจะพ่นไฟออกมา ฉู่อีอีสันดานเธอยังแก้ไม่หายจริงๆ ครั้งนี้กล้าจ้างคนมาทำร้ายฉันแล้วเหรอ 


 


 


           “ไป!” ขาออกแรง น้ำเสียงเย็นชาหลุดออกมาจากปากแดงๆ ของฉู่เจียเสวียน ดวงตาเฉยเมย ลมหายใจเย็นยะเยือก ทำเอาผู้ชายเหล่านั้นหนาวไปทั้งตัว 


 


 


           คำพูดของฉู่เจียเสวียนทำให้ผู้ชายเหล่านั้นราวกับได้รับคำสั่งปลดปล่อย กระเสือกกระสนลุกขึ้นมาแล้วจากไป 


 


 


           ช่างน่าขายหน้าไปจนถึงบรรพบุรุษจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายสูงใหญ่หลายคนยังสู้ผู้หญิงคนเดียวไม่ได้ 


 


 


           สายตามองผู้ชายเหล่านั้นจากไป แววตาเยือกเย็นถึงขีดสุด มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น กัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ใบหน้าที่สวยงามหมดจดยิ่งเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


           ฉู่อีอี หรือว่าเธอไม่กลัวจริงๆ ว่าฉันจะเปิดโปงเรื่องของเธอ เธอนึกว่าฉันยังเป็นคนที่ยอมให้รังแกเหมือนเมื่อสามปีก่อนอีกเหรอ 


 


 


           ขึ้นนั่งบนรถ กดโทรหาฉู่อีอี 


 


 


           ตอนนี้ฉู่อีอีนั่งอยู่บนโซฟา นั่งกระสับกระส่ายรอสายจากคนพวกนั้น ในเวลานี้โทรศัพท์ดังขึ้น เธอรับทันทีโดยไม่ได้คิดอะไร 


 


 


           จะต้องเป็นพวกนั้นที่โทรมาบอกข่าวดีเธอแน่ๆ ฉู่เจียเสวียน ครั้งนี้เธอได้เห็นดีแล้ว ริมฝีปากแดงยกยิ้ม แววตาของฉู่อีอีอาบยาพิษ 


 


 


           “จัดการเรียบร้อยแล้วยัง” 


 


 


           “หึหึ ขอโทษทีนะ ทำให้เธอผิดหวังแล้วล่ะ” 


 


 


           เสียงเย็นชาชัดเจนที่คุ้นเคยลอยเข้าหูของฉู่อีอี เพียงพริบตาเดียว ใบหน้าของเธอซีดไร้เลือด  


 


 


ฉู่เจียเสวียน? เป็นไปได้ยังไง ตอนนี้เธอควรจะมอบความสุขอยู่ใต้ร่างคนพวกนั้นถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงโทรหาเธอได้ 


 


 


           ข้อต่อมือที่กุมโทรศัพท์นั้นซีดขาว ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดจนน่าตกใจ แม้แต่ริมฝีปากแดงก็ไร้สีสันโดยพลัน 


 


 


           “ฉู่…เจียเสวียน?” ไม่กล้าเอ่ยปากมั่นใจ ฉู่อีอีถามด้วยความขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


           “แน่นอน ฉู่อีอีสันดานเธอยังไม่เปลี่ยนจริงๆ เธอทำร้ายฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันจะเปิดโปงเรื่องของเธอ ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าเธอฉู่อีอีเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายเหมือนอสรพิษแค่ไหน ให้ทุกคนได้เห็นว่าภายใต้เปลือกนอกที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา หน้าตาที่แท้จริงของเธอเป็นยังไงกันแน่!” 


 


 


           ฉู่เจียเสวียนโมโหมากจริงๆ เธอไม่ไปกระตุ้นเธอ เธอก็ควรจะดีใจมากแล้ว แต่เธอยังหาเรื่องเธอตลอดเวลา 


 


 


           ยิ่งคิดยิ่งโมโห หน้าอกของฉู่เจียเสวียนกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด แม้แต่คำพูดที่หลุดออกมาก็มีโทสะที่หนักอึ้งเจือปนอยู่ 

 

 

 


ตอนที่ 246 เพิ่มสีสันให้เธอสักหน่อย

 

   ว่าไงนะ สีหน้าซีดเผือดราวกับคนตาย คำพูดของฉู่เจียเสวียนทำให้ฉู่อีอีหวาดกลัว


 


 


           “แกกล้า?”


 


 


           “เธอคอยดูสิว่าฉันกล้าไหม”


 


 


           พูดจบ ฉู่เจียเสียนก็ตัดสาย ใบหน้าที่สดใสมีรอยยิ้มเย็นชา


 


 


           ฉู่อีอีเมื่อก่อนเพราะว่าฉันยอมเธอมากเกินไป ฉะนั้นเธอจึงไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ครั้งนี้ถ้าหากฉันไม่สั่งสอนเธอสักหน่อย ฉันก็ไม่ใช่ฉู่เจียเสวียนแล้ว


 


 


           รถขับผ่านถนนยาว จากนั้นก็เร่งความเร็ว ฉู่เจียเสวียนขับไปยังบ้านของถังถังทันที


 


 


           ครั้งนี้ ฉู่เจียเสวียนกลับรู้สึกว่าการที่ถังถังทำลายงานแต่งของฉู่อีอีนั้นทำได้ดีมาก แม้ว่าในตอนแรกจะโกรธจริงๆ แต่ว่าตอนนี้คิดดูแล้ว การสั่งสอนเธอสักหน่อยก็ไม่เลว


 


 


           คนที่ชั่วช้าอย่างฉู่อีอีนั้น ควรได้รับบทเรียนจริง ๆ ไม่ควรปล่อยให้เธอรู้สึกสบายใจและเพลิดเพลินไปกับทุกสิ่งที่เธอขโมยไปจากคนอื่นเช่นนี้


 


 


           ในพื้นที่วิลล่าหรูหรา


 


 


           หลังจากฉู่เจียเสวียนจอดรถแล้ว เดินผ่านสวนดอกไม้ จากนั้นจึงเดินไปยังประตูบ้าน


 


 


           ฉู่เจียเสวียนเอื้อมมือกดกริ่งนอกประตู “เปิดประตู ถังถัง ถ้ายังไม่เปิดประตูอีกฉันจะแจ้งความนะ”


 


 


           ภายในบ้านเงียบสงัด ไม่ว่าฉู่เจียเสวียนจะทุบประตูอย่างไร ก็ไม่มีการตอบสนอง


 


 


           ถังถังเป็นอะไรกันแน่? หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา โทรหาถังถังพลางกดกริ่งประตูต่อ


 


 


           รับสาย รับสายสิ ฉู่เจียเสวียนร้อนใจ ใบบนหน้าเปี่ยมด้วยความกังวล ถังถังที่เธอรู้จักไม่มีทางไม่รับโทรศัพท์ของเธอ ถังถังจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน คิ้วขมวดกัน


 


 


           การที่ไม่มีคนรับสายเลยทำให้ฉู่เจียเสวียนยิ่งไม่สบายใจ ในขณะที่กำลังกังวลใจอยู่นั้น มีเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากด้านหลัง “เจียเสวียน?”


 


 


           หันหลังไป ถังถังที่หน้าตาสดใสปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเธอ เห็นถังถังตรงหน้าที่ยังครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ใบหน้าฉู่เจียเสวียนยกยิ้ม รีบก้าวเท้าไปหาเธอ จากนั้นก็เอื้อมมือกอดเธอ


 


 


           “ถังถัง ทำไมเธอไม่รับสายฉัน ทำไมที่บริษัทเธอก็ไม่ไป ฉันตกใจแทบแย่ ฉันนึกว่าเธอจะเกิดเรื่องซะแล้ว”


 


 


           เดิมทีถังถังมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เจียเสวียนรู้สึกอบอุ่นใจ เรื่องที่ไม่สบายใจ


 


 


เมื่อวานเธอลืมไปนานแล้ว


 


 


           รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า เอื้อมมือตบๆ แผ่นหลังของฉู่เจียเสวียน ดวงตาโก่งยิ้ม “ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันลืมเอามือถือออกจากบ้าน”


 


 


           เอ่ยปากอธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมถึงไม่รับสายของเธอ คลายมือที่กอดฉู่เจียเสวียน เปิดประตูให้เธอเข้าไป


 


 


           หลังจากฉู่เจียเสวียนเข้าไปแล้ว นั่งลงบนโซฟาทันที เธอนึกว่าถังถังยังโกรธเธออยู่จริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้รับสาย


 


 


           ถังถังเข้าไปในห้องครัว หยิบเครื่องดื่มขวดหนึ่งออกมายื่นให้ฉู่เจียเสวียน แล้วเปิดให้ตัวเองขวดหนึ่ง


 


 


           “ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้”


 


 


           ดวงตาโตสดใสดังไข่มุก มองฉู่เจียเสวียนถามด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม


 


 


           เธอยังจะกล้าถามอีก ฉู่เจียเสวียนมองค้อนถังถัง “เธอยังจะกล้าถามอีกนะ โทรหาเธอก็ไม่รับ ไม่กลับบริษัท ไม่ใช่ว่าเธอยังโกรธฉันหรอกนะ”


 


 


           “ฉันหายโกรธตั้งนานแล้ว ตอนนี้เธอสบายดีอยู่แล้ว ที่จริงก็ไม่ควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก”


 


 


           เธอคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่ามันถูกต้อง ตอนนี้ชีวิตของฉู่เจียเสวียนก็ดีมากอยู่แล้ว ถ้าหากตอนนั้นเธอไม่ได้ถูกพวกเขาทำร้าย ตอนนี้ฉู่เจียเสวียนก็คงไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จะว่าไปก็ยังต้องขอบคุณพวกเขา


 


 


           ฉากตลกของเมื่อวานนั้น ก็ถือซะว่าเป็นของขวัญให้พวกเขาก็แล้วกัน แม้คราวนี้พวกเขาแต่งงานกันไม่ได้ คราวหน้าพวกเขาจะแต่งงานกันอีกก็ได้


 


 


           “ถังถัง เธอเข้าใจก็ดีแล้ว เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ห้ามโกรธฉันเด็ดขาดเข้าใจไหม”


 


 


           “รู้แล้วน่า ไป พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก อย่าไปคิดแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 247 พวกเรามีอะไรน่าคุย

 

 เพียงไม่นานความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดีเหมือนเดิม สองคนนัดกันไปกินข้าวด้วยกัน


 


 


           หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จและไปช้อปปิ้งสักพักแล้ว ก็ต่างคนต่างกลับบ้าน


 


 


           ตอนนี้พิธีแต่งงานของเผยหนานเจวี๋ยกับฉู่อีอีผ่านไปหลายวันแล้ว ช่วงเวลานี้ฉู่อีอีอยู่ในบ้านตลอดเวลา ไม่ได้ไปที่ไหนเลย เธอกลัวว่าฉู่เจียเสวียนจะเปิดโปงเรื่องที่เธอจ้างคนไปรังแกเธอจริงๆ


 


 


           หลังจากครุ่นคิดแล้ว ฉู่อีอีก็ยังรู้สึกอยากนัดฉู่เจียเสวียนออกมาคุย จากนั้นค่อยให้คนจัดการเธอซะ การปล่อยให้ฉู่เจียเสวียนอยู่บนโลกนี้เพิ่มขึ้นหนึ่งวัน ใจคอก็ไม่สงบไปอีกหนึ่งวัน


 


 


           ตัดสินใจแล้ว ฉู่อีอีก็เริ่มลงมือ หลังจากหยิบโทรศัพท์มือถือและโทรไปสั่งการไม่กี่คำแล้ว จากนั้นก็กดโทรหาฉู่เจียเสวียน


 


 


           ในขณะนี้ฉู่เจียเสวียนกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง ถือแก้วทรงสูงอยู่ในมือ ดวงตาเหม่อมองไปยังที่ไกลๆ


 


 


           นึกถึงเรื่องที่ฉู่อีอีส่งคนมาจัดการเธอก่อนหน้านี้ ความเยือกเย็นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาเธอ แม้จะผ่านไปแล้วหลายวัน แต่ว่าในใจของเธอยังคงโมโหมาก


 


 


           เวลาที่ผู้หญิงบ้าคลั่งมันช่างน่ากลัวจริงๆ


 


 


           ระหว่างที่กำลังเหม่อลอย โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดังขึ้น หันหลังเข้าห้องไป เมื่อเห็นชื่อของ “ฉู่อีอี” แสดงบนหน้าจอแล้ว ริมฝีปากแดงยกยิ้ม มือที่ซีดขาวกดปุ่มรับสายอย่างเชื่องช้า


 


 


           “ฮัลโหล”


 


 


           “ฮัลโหล พี่สาว คืนวันพรุ่งนี้พวกเรามาเจอกันหน่อยเถอะ”


 


 


           “เจอกัน? ระหว่างพวกเรามีอะไรน่าคุย”


 


 


           “พี่คะ คืนพรุ่งนี้หกโมง พวกเราเจอกันที่โรงแรมซื่อจี้ กินข้าวกัน”


 


 


           พูดจบ ไม่รอให้ฉู่เจียเสวียนปฏิเสธ วางหูทันที มือที่กำโทรศัพท์มือถือไว้ขาวซีด สีหน้าของฉู่เจียเสวียนกลายเป็นความมืดมนยากจะคาดเดา


 


 


           เผยหนานเจวี๋ยที่เพิ่งอาบน้ำออกมาเห็นสีหน้าของฉู่อีอี สงสัยในใจ “อีอี คุณเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”


 


 


           ดึงสติกลับมา ฉู่อีอีส่ายหัว ริมฝีปากแดงยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหนานเจวี๋ย”


 


 


           เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น ความมืดครึ้มบนใบหน้าตอนนี้หายไปแล้ว กลายเป็นท่าทางอ่อนหวานน่ารัก


 


 


           ฉู่อีอีเดินไปที่ด้านหน้าของเผยหนานเจวี๋ย ยื่นริมฝีปากแดงสดใสเข้าไป


 


 


           แต่เผยหนานเจวี๋ยกลับหลบเลี่ยงโดยไร้ร่องรอยแล้ว


 


 


           ริมฝีปากสัมผัสผ่านใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา


 


 


           “เป็นอะไรไปหนานเจวี๋ย” ฉู่อีอียิ้มอย่างอึดอัด


 


 


           “เปล่า เหนื่อยนิดหน่อย นอนเถอะ” เสียงเผยหนานเจวี๋ยล้ำลึก


 


 


           “อ่อ” ฉู่อีอีซ่อนเร้นท่าทีที่แปลกไปของตัวเอง


 


 


           ทั้งสองคนเข้านอนตามๆ กัน แต่ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ


 


 


           วันรุ่งขึ้นที่โรงแรมซื่อจี้


 


 


           ในขณะนี้ฉู่เจียเสวียนยืนอยู่ด้านนอก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปยังป้ายที่สว่างสดใส ริมฝีปากแดงยกยิ้ม เส้นผมพัดปลิวไปตามสายลม ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน


 


 


           ฉู่อีอีรออยู่ที่นั่นนานแล้ว ตั้งแต่คราวก่อนที่เธอวางยาในโรงแรมนี้ เธอก็ไม่ได้นัดเจอเธออีกเลย เรื่องในคราวก่อนเธออับอายขายหน้าเป็นที่สุด เธอจะไม่ตกหลุมพรางเดียวกันเป็นครั้งที่สอง ยิ่งไม่โง่ถึงขนาดวางยาอีกรอบ


 


 


           “คุณฉู่นั่งตรงไหนคะ” พอเข้าไป ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปากถามพนักงานบริการทันที ตาโตสดใสกำลังสอดส่ายหาอยู่ในห้องโถง


 


 


           โรงแรมซื่อจี้คือโรงแรมชั้นหนึ่งของเมือง แขกทุกคนที่มาที่นี่ต่างต้องจองลั่วหน้า ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีที่นั่งแน่นอน


 


 


           “คุณหนูเชิญตามผมมาครับ” พนักงานบริการนำทางฉู่เจียเสวียนมาถึงโต๊ะของฉู่อีอี


 


 


           เงยหน้าขึ้น ตาของทั้งคู่สบกัน คู่หนึ่งสดใสระคนความเย็นชา อีกคู่เจือปนความอ่อนแอ


 


 


           ละสายตา ไม่รอให้ฉู่อีอีเอ่ยปาก ฉู่เจียเสวียนนั่งลงอย่างสง่างามทันที สองขาไขว่ห้าง นั่งลงตรงข้าม


 


 


ฉู่อีอี


 


 


           ดวงตาโตสดใสที่มองฉู่อีอีนั้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ราวกับกำลังถามฉู่อีอีอยู่เงียบๆ ว่า “เธออยากคุยอะไรกับฉัน”


 


 


           เห็นกลิ่นอายน่าเกรงขามและบุคลิกโดดเด่นของฉู่เจียเสวียนแล้ว ในใจฉู่อีอีโมโหจนแทบทนไม่ไหว


 


 


           ตอนนี้เธอกลายเป็นตัวตลกของเมือง ทำร้ายเธอจนไม่กล้าไปถ่ายหนังจนกระทั่งถึงตอนนี้

 

 

 


ตอนที่ 248 มีแค่คนตายที่พูดไม่ได้

 

 แม้เผยหนานเจวี๋ยจะเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นในงานแต่งเป็นความลับ สื่อไม่ได้รายงานข่าวออกไป แต่ว่าในตอนนั้นมีแขกที่มาร่วมงานมากมาย แม้สื่อจะไม่ได้รายงานข่าว ตอนนี้เธอก็กลายเป็นเรื่องสนุกปากของคนอื่นไปแล้ว หลังมื้ออาหารเธอก็จะคิดบัญชีกับอีกฝ่าย การที่เธอกลายเป็นแบบนี้ทั้งหมดเป็นเพราะฉู่เจียเสวียน


 


 


           “พูดเถอะ เธอนัดฉันออกทำไม” พูดเข้าประเด็น ฉู่เจียเสวียนไม่ต้องการพูดจาอ้อมค้อมกับฉู่อีอี ไม่ต้องการอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเธอหรือหายใจอากาศเดียวกัน เธอรู้สึกรังเกียจ


 


 


           มือที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่น ฉู่อีอีแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โมโหในใจ แต่ว่าบนใบหน้ากลับมีสีหน้าน่าสงสารและน่าเห็นใจ “พี่คะ เรื่องคราวที่แล้ว เพราะฉันผิดเอง ตอนนั้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบฉันถึงได้ทำแบบนั้น พี่ยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า” ฉู่อีอีร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตา


 


 


           หลายวันนี้เธออกสั่นขวัญแขวนมาตลอด กินไม่ได้นอนไม่หลับ เธอกลัวว่าจู่ๆ ฉู่เจียเสวียนจะเปิดโปงเรื่องของเธอ


 


 


           วันคืนแห่งความวิตกกังวลหลายวันนี้ ช่างทรมานมากจริงๆ เธอรู้สึกว่าวิธีที่ทำให้เธอสบายใจได้ก็คือการทำให้ฉู่เจียเสวียนหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์


 


 


           มีแค่คนตายที่พูดไม่ได้


 


 


           “เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเธอเหรอ” ริมฝีปากแดงของฉู่เจียเสวียนอ้าเล็กน้อย แววตาที่มองเธอเผยความเยือกเย็น


 


 


           เธอนึกว่าเพียงคำพูดสำนึกผิดของเธอคำเดียวเธอก็จะเชื่องั้นเหรอ อารมณ์ชั่ววูบ? หึหึ ยิ้มเยาะในใจ


 


 


           “เธอนึกว่าฉันเป็นเด็กสามขวบเหรอ เธอนึกว่าฉันยังเป็นคนนั้นที่ยอมให้เธอรังแกเหมือนสามปีก่อนงั้นเหรอ เธอนึกว่าฉันยังไร้เดียงสาติดกับของเธออีกงั้นเหรอ” ทุกคำพูดของฉู่เจียเสวียนก็เป็นเหมือนมีด ทุกคำพูดทิ่มแทงใจของฉู่อีอี


 


 


           น้ำเสียงคมกริบ ทำให้ใจของฉู่อีอียิ่งเกลียดเธอมากขึ้นเล็กน้อย


 


 


           “พี่สาว ฉันคุกเข่าให้พี่ดีไหม ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ พี่อย่าเอาเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้หรือเปล่า ถ้าหากพี่พูดออกไป งั้นฉันก็จะจบเห่จริงๆ”


 


 


           พูดพลางขยับตัว ฉู่อีอีลุกขึ้นยืนเดินไปยังฉู่เจียเสวียน คุกเข่าลง พิงอยู่บนตัวฉู่เจียเสวียน เดิมทีมือขวานั้นกำแน่นอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอขยับตัวเข้าไปใกล้ฉู่เจียเสวียนมือที่กำแน่นมาตลอดนั้นผ่อนคลาย จากนั้นก็ร้องไห้ต่อไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฉู่เจียเสวียนยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวของฉู่อีอี


 


 


           “ที่ฉันทำแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะฉันกลัวจริงๆ ว่าจะเสียหนานเจวี๋ยไป พี่ก็รู้ว่าหนานเจวี๋ยคือชีวิตของฉัน ฉันไม่มีเขาไม่ได้จริงๆ พี่คะ…”


 


 


           คิดไม่ถึงว่าฉู่อีอีจะคุกเข่าต่อหน้าเธอจริงๆ ฉู่เจียเสวียนตื่นตกใจ แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ว่าเธอกลับคุกเข่าต่อหน้าเธอจริงๆ


 


 


           “เธอกลัวว่าฉันจะเปิดโปงขนาดนั้นเลยเหรอ รู้อยู่แล้วว่าจะมีวันนี้เธอก็ยังทำทำไม” ฉู่เจียเสวียนมองดูหน้าฉู่อีอีที่มีน้ำตาไหลไม่หยุด ทนไม่ไหว


 


 


           แอบกัดฟัน “พี่สาว ฉันสำนึกผิดแล้ว เพราะฉันทำผิดต่อพี่เอง พี่ให้อภัยฉันเถอะ ถ้าพี่ไม่ให้อภัยฉัน ฉันก็จะไม่ลุกขึ้น”


 


 


           ฉู่เจียเสวียนตอนนี้ฉันคุกเข่าต่อหน้าเธอ คืนนี้ฉันจะทำให้เธอทั้งเสียตัวและพ่ายแพ้!


 


 


           เธอเห็นว่าเธอฉู่เจียเสวียนเป็นตัวอะไร เธอนึกว่าหลังจากทำเรื่องเหล่านั้นกับเธอแล้ว คำขอโทษคำนี้ก็จะจบเรื่องงั้นเหรอ เรื่องในอดีตผุดขึ้นในสมอง ฉู่เจียเสวียนมีความรู้สึกเจ็บปวดจนพูดไม่ออก


 


 


           ทันใดนั้นก็รู้สึกระคายเคืองตาเล็กน้อย ความขมขื่นแผ่ซ่านอยู่ในใจ


 


 


           “ฉู่อีอี เธอนึกว่าเธอคือใคร หลังจากที่ฉันกลับมาเธอก็ต่อต้านฉันมาตลอด ตอนนี้เธอนึกว่าท่าทางเธอแบบนี้แล้วฉันจะยกโทษให้เธอเหรอ เธอจะแสดงละครให้ใครดู” เสียงเย็นชาที่แจ่มชัดดังขึ้น ดวงตาของฉู่เจียเสวียนมีความโกรธแค้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม