ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 230-239

ตอนที่ 230 แฟนคลับรุ่นเด็กอีกคนหนึ่ง

 

ถังซีพยักหน้า “ใช่ แต่เล่นได้นิดหน่อยเท่านั้นนะ ฉันไม่เก่งหรอก”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้นักเรียนทุกคนก็ยิ่งนับถือเธอมากขึ้น ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรีบออกมาจากห้องเรียน และกล่าวกับถังซีว่า “เซียวโหรว เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม ฉันชอบเธอจังเลย! แม่ฉันก็ชอบเธอมากเหมือนกัน แม่หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้! …


 


 


…โอ จริงสิ ฉันลืมไปไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อเฉินจื้อเยี่ยน พ่อแม่ฉันอยู่ที่เมือง W แม่ฉันโทรมาหาฉันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว…”


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” ถังซียิ้มให้เฉินจื้อเยี่ยนด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน และรีบเดินเข้าไปจับมือเธอ “เฉินจื้อเยี่ยน เราเป็นเพื่อนกันได้แน่นอน แต่ฉันแก่กว่าเธอนะ เธอแน่ใจหรือว่าอยากเป็นเพื่อนกับฉัน เธอจะเบื่อไหมกับการใช้เวลาว่างในแบบของฉัน”


 


 


เด็กหญิงและเด็กชายคนอื่นๆ ต่างตกใจกับความกล้าหาญของเฉินจื้อเยี่ยน จริงๆ แล้วเธอเพียงแค่พูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุดว่าเธออยากเป็นเพื่อนกับเซียวโหรว ช่างน่าทึ่งมาก! แม้ทุกคนจะอยากเป็นเพื่อนกับเซียวโหรว แต่ครอบครัวของพวกเขาไม่ต้องการให้พวกเขาเป็นเพื่อนกับเธอ กลัวว่าเธอจะมีอิทธิพลต่อพวกเขาในทางลบ เพราะเธอโตมาในชนบท… พวกเขาอิจฉาเฉินจื้อเยี่ยนจริงๆ ที่มีมารดาใจกว้างอย่างนี้!


 


 


ดวงตาเฉินจื้อเยี่ยนเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของถังซี เธอส่ายศีรษะทันที “ไม่หรอก ฉันไม่เบื่อ ถ้าฉันได้นั่งเรียนกับเธอ ฉันสัญญากับพ่อแม่ไว้ว่าฉันจะต้องเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งเมือง A ให้ได้ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายนั้นฉันต้องเรียนให้หนัก แม่บอกว่าจะเป็นการดีต่อฉัน ถ้าได้อยู่ใกล้กับคนที่มีแรงจูงใจอย่างเธอ! แม่ยังบอกด้วยว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเธอ…”


 


 


“เอาล่ะ จื้อเยี่ยน เอาไว้พูดเรื่องนี้กันเป็นการส่วนตัวดีไหม” ถังซีฝืนยิ้ม ไม่เคยระแคะระคายแก่เธอมาก่อนเลยว่า คาสิโนแห่งนั้นเป็นของพ่อเฉินจื้อเยี่ยน และแม่เฉินจื้อเยี่ยนก็อยูที่นั่นในเวลานั้น สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจมากคือคุณนายเฉินชอบเธอมาก ถึงขนาดบอกกับเซียวจิ่งว่านางยินดีที่จะช่วยเหลือเธอทุกเมื่อที่เธอต้องการ…


 


 


และสิ่งสุดท้ายที่เธอจะคาดคิดคือ คุณนายเฉินเล่าเรื่องพวกนั้นให้ลูกสาวนางฟัง และลูกสาวผู้ ‘ตรงไปตรงมาและไร้เดียงสา’ ของนาง เกือบจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย! เดี๋ยวก่อน จื้อเยี่ยนน้อยผู้น่ารัก ฉันยังอยากรักษาภาพลักษณ์ ‘เด็กดี’ ของฉันไว้! ได้โปรดอย่าทำลายภาพพจน์ของฉัน ตกลงไหม


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ถังซีก็หัวเราะเบาๆ โอบไหล่เฉินจื้อเยี่ยน พาเธอเดินไป เฉินจื้อเยี่ยนมีประกายประหลาดใจในดวงตา เมื่อมาถึงปลายทางเดินเธอก็ถามถังซีด้วยความสงสัยว่า “ทำไมเธอถึงไม่อยากให้คนพวกนั้นรู้ว่าเธอน่ะยอดเยี่ยมมาก”


 


 


ถังซีมองหน้าเฉินจื้อเยี่ยนและกล่าวอย่างอ่อนใจ “จื้อเยี่ยนน้อยที่รักของฉัน เธอรู้ไหมว่าคนอื่นๆ ในโรงเรียนจะกลัวฉันขนาดไหน ถ้าเธอเล่าเรื่องพวกนั้นให้พวกเขาฟัง ถ้าทุกคนพยายามหลบเลี่ยงฉันทุกที่ที่ฉันไป คงเป็นเรื่องเศร้าเหลือเกินสำหรับฉัน!”


 


 


“ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน!” เฉินจื้อเยี่ยนเงยหน้ามองถังซีด้วยความภาคภูมิใจ และกล่าวอย่างมั่นใจ “ฉันแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้น แต่พวกเขาจะนับถือเธอเหมือนกับฉัน เธอยอดเยี่ยมมาก พวกเขาจะไม่กลัวเธอหรอก แต่ทุกคนจะกลายเป็นแฟนคลับของเธอ!”


 


 


ถังซีพูดไม่ออก เอาล่ะ ตอนนี้นอกเหนือจากหนิงเคอแล้ว เธอมีแฟนคลับรุ่นเด็กอีกคนหนึ่งแล้วล่ะ ทำไมจู่ๆ เธอถึงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ดีของเธอยังมาไม่ถึง แม้ว่าเธอกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเดือนตุลาคมนี้อยู่แล้วก็ตาม หรือบางทีเธออาจต้องกลายเป็นหัวหน้าแก๊งก่อน เพราะถูกผลักดันโดยเด็กๆ กลุ่มนี้


 


 


ทันใดนั้นภาพๆ หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด เธอสวมแจ็คเก็ตและกางเกงหนัง ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสมาชิกแก๊งที่มารวมตัวกันจำนวนมาก ถังซีส่ายศีรษะอย่างแรง “เอาล่ะ เสี่ยวจื้อเยี่ยนที่รัก บางทีเราควรยึดเอาความไม่มีตัวตนไว้ เธอก็รู้ว่าฉันอายุยี่สิบสามปีแล้ว ถ้าฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาในโรงเรียนมัธยม คนอื่นๆ จะหัวเราะเยาะฉัน เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากเป็นเพื่อนกับฉัน เธอสัญญาอะไรบางอย่างกับฉันได้ไหม”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนเม้มริมฝีปากมองหน้าถังซี แล้วพยักหน้าในที่สุด “ตกลง ตราบใดที่เธอเต็มใจเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันให้สัญญากับเธอทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากฉันทำไม่ได้ ฉันก็จะขอให้แม่ฉันทำให้!”


 


 


“ฮ่าๆ …” ถังซีหัวเราะอย่างหมดปัญญา “ไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้น”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการยังไง” เฉินจื้อเยี่ยนมองถังซีด้วยดวงตาเป็นประกาย “บอกฉันสิ ฉันทำได้! แม่ฉันจะดีใจมากเลย ถ้ารู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน!”


 


 


“สิ่งที่ฉันจะขอก็คือ อย่าบอกคนอื่นเรื่องที่แม่เธอเล่าให้เธอฟัง สัญญากับฉันได้ไหม”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนคิดอยู่พักหนึ่ง มองหน้าถังซี แล้วพยักหน้า “แล้วให้ฉันนั่งเรียนกับเธอได้ใช่ไหม ฉันเรียนคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่องเลย แล้วฉันก็ต้องทำแบบฝึกหัดภาษาฝรั่งเศสให้ได้ด้วย ไม่อย่างนั้นฉันอาจสอบตกวิชาภาษาฝรั่งเศส เธอช่วยสอนฉันได้ไหม”


 


 


ถังซีอึ้ง “… แล้วตกลงว่า… เสี่ยวจื้อเยี่ยนที่รัก เธอกำลังมองหาเพื่อนหรือครูสอนพิเศษส่วนตัวกันแน่ ถ้าเธออยากให้ฉันเป็นครูสอนพิเศษส่วนตัว เธอต้องจ่ายค่าจ้างฉันแล้วล่ะ!”


 


 


“ไม่มีปัญหา! เธอสอนพิเศษให้ฉันด้วยเลยเวลาเธอทบทวนบทเรียน แล้วฉันจะเลี้ยงเธอมื้อใหญ่ ตกลงไหม” เฉินจื้อเยี่ยนกล่าว “เราเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นฉันต้องไม่ปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นครูสอนพิเศษ ให้ฉันจะเลี้ยงอาหารเธอแทนการจ่ายค่าจ้างดีไหม”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ เด็กคนนี้เอาเรื่องพูดล้อเล่นของเธอมาเป็นเรื่องจริงจังเลยหรือ อย่างไรก็ตาม… ถังซีมองหน้าเฉินจื้อเยี่ยน เม้มปากแล้วถามว่า “ฉันเลือกได้ใช่ไหมว่าฉันอยากทานอะไร”


 


 


ดวงตาเฉินจื้อเยี่ยนเป็นประกายเมื่อได้ยินคำถามของถังซี และพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอน!”


 


 


ถังซียิ้ม กอดคอเฉินจื้อเยี่ยนเดินกลับไปที่ห้องเรียนพร้อมกัน และกล่าวกับคุณครูเหอในขณะที่เดินไป “คุณครูเหอคะ หนูตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าหนูจะเล่นเปียโนในการแสดงผลงานทางศิลปะ และจะเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลางเดือนตุลาคม ขอให้เฉินจื้อเยี่ยนนั่งโต๊ะข้างๆ หนูในห้องเรียนด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”


 


 


ขณะเดินเข้าห้องเรียนถังซีหันไปมองเฉินจื้อเยี่ยนและกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เธอเรียนหนักมาก พวกเราทุกคนควรเอาแบบอย่างเธอ เริ่มกันวันนี้เลย!” จากนั้นก็หยิบกระเป๋านักเรียนของตัวเองแล้วถามเฉินจื้อเยี่ยนว่า “ตรงไหนที่นั่งของเธอ”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนคิดไม่ถึงว่าถังซีจะใจดีกับเธอขนาดนี้ เธอชี้ไปที่ที่นั่งของเธออย่างอายๆ และเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอก็เริ่มเก็บข้าวของของเขา ถังซียิ้มให้เด็กชาย กล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงข้างเฉินจื้อเยี่ยน เธอมองหน้าเฉินจื้อเยี่ยนและบอกว่า “ช่วงพักเที่ยงเราไปทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารทะเลตรงกันข้ามโรงเรียนกันนะ ฉันได้ยินมาว่ากุ้งก้ามกรามและกุ้งทะเลของร้านนี้สดมาก ฉันอยากลองมานานแล้ว แต่ไม่มีเวลา”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนพยักหน้า ตอบโดยไม่อิดออด “ตกลง เราไปทานอาหารกลางวันที่ร้านนั้นกัน”

 

 

 


ตอนที่ 231 ซาบซึ้งใจ

 

ช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น ในที่สุดถังซีก็ได้รับเลี้ยงอาหารทะเลที่เธอทานไม่ได้มานาน… แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ถังซีรู้สึกราวกับเธอไม่ได้พบเจออาหารทะเลมาตลอดครึ่งชีวิต


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ มองถังซีซึ่งมีท่าทางพึงพอใจ ตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดไม่จา แล้วมองดูกองเปลือกกุ้งและกระดองปูกองใหญ่ตรงหน้าเธอ แล้วถามถังซี “เธออิ่มไหม”


 


 


ถังซีไม่สนใจภาพพจน์สาวน้อยน่ารัก เธอเรอออกมาหน้าตาเฉยและพยักหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเฉินจื้อเยี่ยนเธอก็ตะลึงงัน มีท่าทางคิดอะไรบางอย่าง แล้วรีบเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งกุ้งไม้ไผ่เพิ่มครึ่งกิโลกรัม เฉินจื้อเยี่ยนมองเธอด้วยความตกใจ ขยับมือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะแตะกระเป๋าเงิน ไม่แน่ใจว่าเธอนำเงินมาพอจ่ายค่าอาหารหรือเปล่า… แต่ทันทีนั้นเธอก็นึกถึงตอนที่เซียวโหรวคอยสอนเธอในชั่วโมงคณิตศาสตร์เมื่อเช้านี้ ซึ่งช่วยเธอได้มาก เธอสูดลมหายใจลึกๆ … เอาเถอะ ถ้ามีเงินมาไม่พอเธอจะโทรขอความช่วยเหลือจากมารดา!


 


 


“ท้องฉันแน่นไปหมดแล้ว” ถังซีหยิบแก้วน้ำส้มมาจิบ พลางบ่นในใจว่า ‘โอย ต้องโทษศูนย์ ศูนย์ แปด ไม่อย่างนั้นฉันคงได้มานั่งทานกุ้งก้ามกรามจิบไวน์ขาวที่นี่อย่างสบายใจ ถ้าได้อย่างนั้นจะวิเศษขนาดไหน!’


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ ไม่ช้ากุ้งไม้ไผ่ก็มาเสิร์ฟ ดวงตาถังซีเป็นประกาย ขณะเฉินจื้อเยี่ยนกำลังจะรับจานกุ้งจากพนักงานเสิร์ฟ ถังซีก็ยื่นมือมารับไปก่อน เฉินจื้อเยี่ยนมองด้วยความงุนงง ถังซีไม่อยากให้เธอช่วยปอกกุ้งให้หรือ


 


 


ขณะที่เธอกำลังจะถาม ถังซีก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันทานอย่างเดียวเลยในขณะที่เธอปอกเปลือกกุ้งให้ฉัน แต่เธอยังไม่อิ่มใช่ไหม คราวนี้ฉันจะปอกกุ้งให้เธอบ้าง เธอแค่ทานอย่างเดียวนะ”


 


 


ขณะพูดเธอก็ปอกเปลือกกุ้งตัวหนึ่ง ส่งเนื้อกุ้งให้เฉินจื้อเยี่ยนแล้วยิ้มให้ “ทานได้แล้ว”


 


 


ดวงตาเฉินจื้อเยี่ยนแดงเรื่อ เธอไม่คาดคิดว่าเซียวโหรวจะใจดีมากอย่างนี้ เซียวโหรวสั่งกุ้งมาอีกครึ่งกิโลกรัมไม่ใช่เพราะยังไม่อิ่ม แต่เพราะเซียวโหรวคิดว่าเธอยังไม่อิ่ม!


 


 


ถังซีอึ้งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นเฉินจื้อหยานจะร้องไห้ เธอรีบเช็ดมือแล้วหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เฉินจื้อเยี่ยน “เอ้ย เสี่ยวจื้อเยี่ยนที่รัก ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าฉันรังแกเธอหรอก!”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ ติดอยู่ในลำคอ เธอกลืนเนื้อกุ้งแล้วยิ้มให้ถังซีพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันไม่เคยมีเพื่อนแท้สักคนเลย คนที่เมือง W มาเป็นเพื่อนกับฉันเพราะครอบครัวฉัน หรือไม่ก็ถูกพ่อแม่บังคับให้คบฉัน ในเมือง A ฉันก็ไม่มีเพื่อนแท้เลยเหมือนกัน เธอเป็นเพื่อนคนแรกที่ทั้งแม่และฉันชอบจากใจจริง ฉันคิดว่าเธอจะเป็นเหมือนพวกเขา… แต่เธอไม่เหมือน…”


 


 


ถังซีเม้มริมฝีปาก เธอแตกต่างจากคนอื่นไหม เธอยอมคบเฉินจื้อเยี่ยนเป็นเพื่อน เพราะไม่อยากให้เฉินจื้อเยี่ยนบอกคนอื่นๆ ถึงเรื่องที่มารดาของเด็กสาวเล่าให้ฟัง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินจื้อเยี่ยน เธอก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยที่จะคบหาเป็นเพื่อนกับเด็กผู้หญิงคนนี้


 


 


ดวงตาเฉินจื้อเยี่ยนแดงเรื่อ เธอสูดจมูกฟุดฟิดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา “เพื่อนเก่าๆ ของฉันสนใจแค่สิ่งที่ฉันจะให้พวกเขาได้ พวกเขาประจบฉันเวลาอยากได้อะไรจากฉันเท่านั้น พวกเขาไม่เคยสนใจเลยว่าฉันอิ่มหรือเปล่า ไม่เคยถามฉันแบบที่เธอถามเมื่อกี้”


 


 


ขณะเธอพูดถังซีก็ส่งกุ้งให้อีกตัว เฉินจื้อเยี่ยนตัวแข็งแล้วยิ้มพร้อมกับกล่าวต่อไปว่า “แต่เธอแตกต่างจากคนอื่น เธอห่วงใยฉันมาก ใส่ใจว่าฉันอิ่มหรือยัง แล้วก็ปอกเปลือกกุ้งให้ฉันด้วย เธอใจดีจริงๆ ฉันอยากเป็นเพื่อนสนิทของเธอจริงๆ”


 


 


“ฉันคอยแนะนำเรื่องเรียนให้เธอเพราะฉันตัดสินใจที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ” ถังซียิ้ม ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนที่แทบไม่สนใจความคิดของคนอื่น ไม่เคยคิดว่าต้องสนใจด้วยซ้ำ เธอจึงถูกคนเหล่านั้นนินทาว่าร้ายมาตลอด แต่ตอนนี้เธอได้พบแล้วว่าในความเป็นจริง บางครั้งผู้คนจำนวนมากและสิ่งต่างๆ มากมายสมควรได้รับความรัก ตราบใดที่คุณรู้จักเลือกคนที่เหมาะสม คุณจะได้รับรางวัลจากการมอบความรักนั้น


 


 


เมื่อเห็นว่าเฉินจื้อเยี่ยนผู้อ่อนไหวกำลังจะพูดขึ้นอีก ถังซีก็ยิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะ ทานกุ้งก่อน ใกล้จะบ่ายโมงครึ่งแล้ว เดี๋ยวเราต้องกลับไปเรียน”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนพยักหน้า รับกุ้งที่ถังซีส่งให้ด้วยรอยยิ้ม แล้วตั้งหน้าตั้งตาทานพร้อมกับกล่าวว่า “จริงๆ เมื่อกี้ฉันก็ทานไปบ้างแล้ว แต่ตอนนี้เธอแกะกุ้งให้ฉัน ฉันคิดว่าฉันคงทานได้หมดนี่เลย”


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว มองร่างเล็กๆ ของเฉินจื้อเยี่ยน แล้วกล่าวว่า “เธอยังทานได้มากกว่านี้อีกนะ จะดีต่อสุขภาพของเธอ”


 


 



 


 


ตลอดทั้งช่วงบ่ายเป็นชั้นเรียนภาษาต่างประเทศ และถังซีก็ง่วงนอน เธออยากงีบหลับเหลือเกิน เมื่อได้ยินเสียงกระท่อนกระแท่นของครูสอนภาษาฝรั่งเศสและรัสเซีย อย่างไรก็ตาม… เมื่อหันไปเห็นเฉินจื้อเยี่ยนจดบันทึกอย่างขะมักเขม้นเธอก็ถอนหายใจ แล้วชี้ไปที่สมุดจดของเฉินจื้อเยี่ยน กล่าวว่า “คำนี้ ถ้าเธอใช้เพื่อบ่งบอกความรู้สึก เธอจะจำได้ง่ายขึ้น คำคำนี้มีความหมายมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ความรัก…”


 


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายของถังซี ดวงตาเฉินจื้อเยี่ยนก็เป็นประกาย เธอเข้าใจคำอธิบายของถังซีทันที เธอมองหน้าถังซีด้วยสายตารักใคร่ชื่นชมและกระซิบว่า “เธอนี่สุดยอดจริงๆ!”


 


 


ถังซีใช้ปากกาดันศีรษะเฉินจื้อเยี่ยนที่เอียงเข้ามาใกล้ออกไป แล้วบอกอย่างจริงจัง “จดไป”


 


 


เฉินจื้อเยี่ยนยิ้มและจดบันทึกต่อไป เธอถามคำถามถังซีเป็นครั้งคราว ครูสอนภาษาต่างประเทศมองพวกเธอแล้วเม้มปาก แต่ไม่กล้าพูดอะไรเลย เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะถ้าถังซีพูดกับเธอเป็นภาษาต่างประเทศ จะเหมือนเป็นการตบหน้าเธอ! น่าหงุดหงิดใจจริงๆ! ทำไมถึงต้องมีอัจฉริยะทางภาษาต่างประเทศในชั้นเรียนของเธอด้วย!


 


 


เธอได้ยินมาว่านักเรียนคนนี้กำลังจะข้ามเกรด ก็แล้วทำไมถึงไม่สอบข้ามเกรดไปเสียที ไม่น่าจะอยู่ให้เธอท้อแท้ใจนานไปกว่านี้!


 


 


ถังซีไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของคุณครูสอนภาษาต่างประเทศ เธอคอยสอนเฉินจื้อเยี่ยนเพิ่มเติมในขณะที่การสอนในชั้นเรียนดำเนินไป ในไม่ช้าก็ถึงเวลาเลิกเรียน ทันทีที่ระฆังโรงเรียนดังขึ้น หนิงเคอก็รีบเข้ามาหาเธอ “เอ้อ เซียวโหรว…”


 


 


ถังซีหันไปมองเขาและยิ้มให้ “มีอะไรเหรอ หนิงเคอ”


 


 


“วันนี้คนขับรถที่บ้านมารับฉัน ขอให้ฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ เธอ…”


 


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบ ถังซีก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้ฉันก็มีคนมารับเหมือนกัน เธอจะได้ไม่ต้องออกนอกเส้นทางไปส่งฉัน เอาไว้วันอื่นนะ แล้วเจอกัน!”

 

 

 


ตอนที่ 232 การรักษาเริ่มต้น

 

ถังซีรีบวิ่งไปที่ประตูโรงเรียนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อหนิงเคอตามมาทัน เธอก็ขึ้นรถหรูสีดำแล่นออกไปแล้ว 


 


 


หนิงเคอมองตามไปในทิศทางที่ถังซีจากไปด้วยความผิดหวัง แล้วเดินไปที่รถของบ้านเขา เขาเปิดประตูรถ และได้เห็นพี่ชายคนที่สามกำลังมองเขาด้วยสายตาขบขัน เขาขมวดคิ้วถามอย่างขุ่นเคือง “ทำไมพี่ถึงมาเอง ทำไมไม่เป็นคนขับรถของเราตามปกติ” 


 


 


หนิงเหยี่ยนมองตามรถยนต์ที่ลับสายตาไป เบ้ปากแล้วสตาร์ทรถ เขาเหลือบมองน้องชายและกล่าวอย่างเย็นชา “นายคิดว่าฉันอาสามารับนายเองหรือ คุณแม่ให้ฉันมา! ฉันงานยุ่งมาก…” 


 


 


“ผมไม่ได้ขอให้พี่มารับสักหน่อย” หนิงเคอวางกระเป๋าไว้บนเบาะหลังอย่างไม่แยแส คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วหลับตาลงเพื่องีบหลับ 


 


 


หนิงเหยี่ยนมองเขาแล้วส่งเสียงคำรามจากลำคอ เขาเห็นชัดเจนว่าน้องชายผิดหวังมากแค่ไหนเมื่อกี้นี้ แม้จะไม่สนใจ อยากปล่อยให้น้องชายเรียนรู้เป็นบทเรียน แต่ถึงยังไงหนิงเคอก็เป็นน้องชายเขา ถ้าเขาไม่ตักเตือนเด็กโง่คนนี้ เด็กคนนี้ก็จะอกหัก และแม่เขาจะต้องเสียใจ 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ หนิงเหยี่ยนก็เม้มปากก่อนจะกล่าวว่า “เซียวโหรวไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะกับนาย เธออายุมากกว่านายเกือบสิบปี นายควรลืมเธอเสีย และมุ่งมั่นกับการเรียนจะดีกว่า นี่… ได้ยินที่ฉันพูดไหม” 


 


 


“ไม่” หนิงเคอตอบทั้งที่ไม่ลืมตา 


 


 


หนิงเหยี่ยนขมวดคิ้วและกล่าวอย่างจริงจัง “ถ้านายไม่ยอมฟังคำแนะนำของฉัน อย่ามาร้องไห้ให้ฉันเห็นก็แล้วกันตอนที่นายอกหัก อะไรทำให้นายคิดว่าเซียวโหรวจะรักนาย… ฮึ ไอ้หนู อย่างมากที่สุดเธอก็เห็นนายเป็นแค่น้องชาย” 


 


 


“พอแล้ว!” หนิงเคอลืมตาขึ้นจ้องมองหนิงเหยี่ยนทันที “พี่เก็บ ‘คำแนะนำ’ ไว้ใช้กับดาราสาวๆ ของพี่เถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับผม! ผมไม่ได้อยากเป็นดาราในหนังของพี่!” 


 


 


“นายมันเด็กเนรคุณ!” หนิงเหยี่ยนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะกล่าวว่า “อย่ามาร้องไห้ซมซานกับฉัน ตอนผิดหวังก็แล้วกัน!” 


 


 


“ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่!” 


 


 


… 


 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง ถังซีเหนื่อยหอบตั้งแต่ขึ้นรถ เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเมื่อเห็นเธอเหนื่อยจนหมดแรง และถามอย่างอ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องวิ่งเร็วขนาดนั้น” 


 


 


ถังซีหายใจทางปากก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีอะไรค่ะ เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นแฟนรุ่นเด็กของฉัน อยากจะไปส่งฉันกลับบ้าน ฉันเลยต้องวิ่งเร็วกว่าปกติ” 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วหันไปมองเธอ “แฟนรุ่นเด็กเหรอ” 


 


 


ถังซีจับศีรษะเขาหันไปตรงๆ ให้เขามองไปข้างหน้า แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันว่าเป็นแค่ความรักแบบเด็กๆ ของเขาเท่านั้นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ว่าแต่คุณได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านหรือเปล่าวันนี้” 


 


 


เฉียวเหลียงเหลือบมองเธอ แล้วขับรถต่อไปพร้อมกับบอกว่า “ฮื่อ ผมได้งีบหลับหลังอาหารกลางวัน” 


 


 


ถังซียิ้มอย่างมีความสุข “เย็นนี้ฉันจะอยู่กับคุณ ฉันจะฝังเข็มให้คุณป้าเฉียว หลังจากที่คุณหลับไปแล้ว ฉันจะพยายามช่วยให้ท่านได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง” 


 


 


เฉียวเหลียงหันมามองถังซี ถังซีจับศีรษะเขาหันกลับไป แต่เขาก็หันกลับมามองเธออีก “ซีซี…” 


 


 


ถังซีมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าแดงก่ำขณะกล่าวว่า “โอ ฉันรู้ ว่าฉันสวยมีเสน่ห์ แต่ว่าฉันเขิน และเขินมากเวลาคุณมองฉันแบบนี้!” 


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้ว เขารู้สึกว่าหลังจากซีซีกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก จู่ๆ เธอก็เชี่ยวชาญในทักษะมากมายที่ไม่เคยมีมาก่อน 


 


 


ถังซีเหลือบมองเฉียวเหลียงจากทางหางตา รอยยิ้มบนใบหน้าเธอจางหายไป เธอรู้ว่าเฉียวเหลียงคงสงสัย แต่เธอบอกเฉียวเหลียงเรื่องการมีอยู่ของ 008 ไม่ได้ เพราะเขาจะตกใจมากเกินไป! เธอยอมรับการมีอยู่ของ 008 ได้อย่างรวดเร็วในเวลานั้น เพราะเธอเพิ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน และกำลังปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้รับความช่วยเหลือ แต่เฉียวเหลียงแตกต่างออกไป เกินกว่าขีดจำกัดของเขาที่จะยอมรับวิธีการเกิดใหม่ของเธอ เขาจะไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่า เธอได้ครอบครองระบบที่มีอำนาจในทุกด้าน 


 


 


ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งถึงบ้านเฉียวเหลียง ทันทีที่ถังซีลงจากรถเธอก็เห็นเฉียวอวี่ซินและพ่อบ้านมารอรับอยู่ที่หน้าประตู ถังซีรีบเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว และกอดเฉียวอวี่ซินที่นั่งอยู่บนรถเข็น เฉียวอวี่ซินมองหน้าถังซีด้วยความดีใจ “ดีจริงๆ หนูดูหายดีแล้ว หน้าตามีน้ำมีนวล เมื่อมีแก้มมากขึ้นแล้วหนูยิ่งดูน่ารัก ดีมากจริงๆ” 


 


 


ถังซีก็พิจารณาดูเฉียวอวี่ซินขึ้นๆ ลงๆ และกล่าวว่า “ใช่ค่ะ คุณป้าเองก็ดูอารมณ์ดีเหมือนกัน คุณป้าต้องหายดีเร็วๆ นี้ค่ะ ดูเหมือนว่าการที่อาเหลียงกลับบ้านจะดีต่อสุขภาพคุณป้า” 


 


 


เฉียวอวี่ซินยิ้มให้เธอแล้วกล่าวว่า “ป้าก็เป็นของป้าแบบนี้มาตลอด หนูแค่พยายามทำให้ป้ามีความสุขใช่ไหม แต่…” เฉียวอวี่ซินมองไปทางเฉียวเหลียงด้วยรอยยิ้ม ขณะกล่าวว่า “แต่หนูพูดถูก ป้ามีความสุขมากทุกครั้งที่อาเหลียงกลับบ้าน” 


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ เข็นรถเข็นพานางเข้าไปในบ้านพร้อมกับเฉียวเหลียง เฉียวอวี่ซินกล่าวว่า “ป้าเตรียมอาหารทะเลไว้ให้หนูด้วย หนูอยากทานอะไร” 


 


 


“หอยเป๋าฮื้อ! หอยลาย!” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียงแล้วหัวเราะ “กับกุ้งซอสหัวหอมค่ะ!” 


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคุณคุยกับแม่ผมที่นี่ก่อนนะ ผมจะไปทำกุ้งซอสหัวหอมให้” 


 


 


ถังซียิ้ม เข็นรถเข็นพาเฉียวอวี่ซินไปที่สนามหญ้า จากนั้นเธอก็หยุดแล้วนั่งลงบนสนามหญ้าข้างๆ เฉียวอวี่ซิน เงยหน้าขึ้นมองหญิงชราและกล่าวอย่างอ่อนโยน “คุณป้าเฉียวคะ หนูจะเริ่มฝังเข็มและนวดให้คุณป้าตั้งแต่วันนี้ ให้หนูช่วยให้คุณป้าลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ได้ไหมคะ” 


 


 


เมื่อเฉียวอวี่ซินได้ยินเฉียวเหลียงบอกว่าเซียวโหรวจะมาวันนี้ นางก็คิดอยู่ว่าเธอจะมานวดให้นางใช่ไหม เธอจะพยายามทำให้นางลุกขึ้นยืนให้ได้ใช่ไหม แต่ตอนนี้นางรู้สึกไม่แน่ใจ นางจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งจริงๆ หรือ นางจะกลับมาเดินอย่างมั่นใจด้วยรองเท้าคู่โปรดของนางได้หรือเปล่า 


 


 


เฉียวอวี่ซินมองหน้าถังซีด้วยสายตาสับสน “ป้าจะลุกขึ้นยืนได้หรือ” 


 


 


หัวใจถังซีกระตุกอย่างแรงเมื่อได้ยินน้ำเสียงหวาดวิตกนั้น จริงๆ แล้วคุณป้าเฉียวอยากลุกขึ้นยืน นางแค่ไม่กล้าที่จะเชื่อว่าตัวเองจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง นางกลัวว่าจะทำไม่ได้แม้จะพยายามแล้วก็ตาม นางจึงปฏิเสธไม่ยอมคิดถึงเรื่องนี้… 


 


 


เธอจับมือเฉียวอวี่ซินไว้ กล่าวอย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่นว่า “ได้สิคะ ตราบใดที่คุณป้าต้องการ คุณป้าจะสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง หนูจะช่วยคุณป้าเองค่ะ ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อขาของคุณป้าจะมีอาการอ่อนแรงบ้าง แต่หนูยังสามารถทำให้คุณป้าลุกขึ้นยืนได้ค่ะ แล้วอีกอย่างขาของคุณป้าก็ได้รับการบำบัดดูแลอย่างดีในช่วงห้าปีที่ผ่านมา กล้ามเนื้อจึงไม่เสื่อมเลย หนูรับรองว่าคุณป้าต้องลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งอย่างแน่นอน ได้โปรดเชื่อหนูเถอะนะคะ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังซีมั่นใจมาก เฉียวอวี่ซินก็พยักหน้าแต่โดยดี “ตกลงจ้ะ ป้าเชื่อใจหนู” 


 


 


ถังซียิ้ม เข็นรถเข็นพาเฉียวอวี่ซินกลับเข้าไปในบ้าน พานางไปที่ห้องของนาง ช่วยพยุงเฉียวอวี่ซินขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วหยิบเข็มเงินมาลงมือฝังเข็มให้นาง “คุณป้าคะ หนูจะกระตุ้นด้วยการฝังเข็มก่อนนะคะ แล้วค่อยนวดให้คุณป้า คุณป้าจะฟื้นตัวในไม่ช้า หลังจากนั้นคุณป้าจะสามารถลุกขึ้นเดินได้อีกครั้งค่ะ” 

 

 

 


ตอนที่ 233 เธอทั้งสองเหมือนกันมาก

 

หลังจากทานอาหารค่ำที่บ้านเฉียวเหลียงแล้ว ถังซีก็บอกว่าเธอจะไปที่อาคารสำนักงาน การปรับปรุงสถานที่ต้องใช้เวลาพอสมควร ถังซีจึงบอกหลี่ม่านหยางกับจินฮั่นว่ายังไม่ต้องมาทำงานตอนนี้ บริษัทจะยังไม่เริ่มดำเนินกิจการอย่างเป็นทางการ จนกว่าเธอจะคัดเลือกพนักงานเพิ่มเติมเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นเธอจริงจังเรื่องสำนักงานเฉียวเหลียงก็ยิ้ม “ยังเร็วเกินไปที่บริษัทของคุณจะเริ่มดำเนินงาน ใจเย็นๆ ให้ผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อนดีไหม”


 


 


ถังซีส่ายศีรษะ มองดูภาพร่างการออกแบบตกแต่งอาคารของเธอ ขณะกล่าวว่า “ถึงแม้สำนักงานจะตกแต่งต่อเติมเรียบร้อยแล้ว แต่ชั้นหนึ่งกับชั้นสามควรมีการปรับปรุงเพิ่มเติม ฉันต้องการเพิ่มองค์ประกอบหลายอย่างแบบที่ฉันชอบลงไป ฉันจะได้รู้สึกดีที่สุดเมื่อบริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการ”


 


 


เฉียวเหลียงไม่พูดอะไรอีก เมื่อทั้งสองมาถึงอาคารเดอะควีน ถังซีก็สวมหน้ากากและหมวก แล้วเข้าไปในอาคาร เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการปรับปรุงต่อเติม คนงานทำงานตลอดเวลา จึงมีคนงานหลายคนยังอยู่ที่นั่นเมื่อเธอเข้าไป ถังซีมองดูคนงานที่ทำงานหนักเหล่านั้น และเอ่ยเสียงดังว่า “พวกคุณทำได้ดีมาก! ขอบคุณมากนะคะ”


 


 


คนงานทุกคนเงยหน้าขึ้นมองถังซี จากลักษณะท่าทางของเธอ พวกเขาเดาได้ว่าเธอน่าจะเป็นเจ้าของบริษัท พวกเขาจึงหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรครับ นี่คืองานของเรา”


 


 


ถังซียิ้ม “ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงอาหารว่างพวกคุณคืนนี้”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ คนงานก็ยิ่งทำงานอย่างขยันขันแข็งมากขึ้น แม้กระทั่งคนงานหนุ่มน้อยที่กำลังโบกปูนก็ยังเร่งมือเร็วขึ้น


 


 


ถังซีออกมาจากอาคารหลังจากตรวจดูชั้นสามเรียบร้อยแล้ว รองเท้าเธอเต็มไปด้วยฝุ่น เฉียวเหลียงยืนมองเธออยู่หน้ารถ ถังซีเดินเข้าไปหาเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณได้คนงานพวกนี้มาจากไหนคะ พวกเขาทำงานเร็วมาก และทำตามแบบได้ถูกต้องครบถ้วนทุกอย่าง! ไม่มีอะไรให้ตำหนิเลย”


 


 


เธอคิดเผื่อไว้เหมือนกันว่าเธออาจไม่พอใจผลงานของพวกเขา ต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างมากๆ ที่เธอไม่พอใจ แต่หลังจากได้เห็นอาคารสำนักงานทั้งหลัง เธอก็พบว่าไม่มีอะไรต้องกังวลอย่างที่คิด คนงานพวกนี้เก่งมาก


 


 


เฉียวเหลียงเอื้อมมือไปขยี้ผมเธอ แล้วเปิดประตูรถให้ หลังจากถังซีขึ้นรถแล้ว เฉียวเหลียงก็เดินอ้อมด้านหน้ารถไปขึ้นทางอีกด้านหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ผมให้อาห้าหามา เขา…เก่งมากเรื่องการหาคนมาทำงาน”


 


 


ถ้าหญิงสาวรู้ว่า ‘คนงาน’ ในสายตาเธอเหล่านี้ จริงๆ แล้วคือวิศวกรระดับโลก เธอจะต้องตกตะลึง หรือไม่อย่างนั้นจากที่เขารู้จักเธอมา เธออาจอยู่ที่นี่ทั้งคืน เพื่อเรียนรู้ทักษะต่างๆ จากพวกเขาเพื่อเป็นประสบการณ์…


 


 


เฉียวเหลียงขับรถไปส่งถังซีที่บ้านเซียวหงอี้ ถังซีบอกลาเขาแล้วลงจากรถ เมื่อเห็นว่าถังซีลงไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์เขาเลย เฉียวเหลียงก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเข้ม เฝ้ามองเธอเดินเข้าบ้าน เขารออยู่นานแต่หญิงสาวไม่กลับออกมา ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้แค่เหยียบคันเร่งพารถพุ่งออกไป


 


 


ในเวลาเดียวกันนั้นถังซีกำลังมองหน้าเซียวเจี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอเลิกคิ้วขึ้น “พี่มีอะไรเหรอคะ”


 


 


เซียวเจี่ยนจ้องหน้าถังซีอย่างจริงจัง จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ดูเหมือนวันนี้เธอจะกลับบ้านช้ามาก เพราะครูเหรอกักตัวไว้ใช่ไหม”


 


 


ถังซีรู้ดีว่าเซียวเจี่ยนถามเพื่อหยั่งเชิง เธอจึงยิ้ม “พี่คะ ขอให้ฉันมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างไม่ได้เหรอ” แม้จะยิ้มแต่ถังซีกำลังคิดในใจว่า ‘เมื่อกี้เซียวเจี่ยนเห็นเฉียวเหลียงหรือเปล่า ถ้าไม่เห็นทำไมเขาถึงถามเธอแบบนี้”


 


 


เซียวเจี่ยนคิดไม่ถึงว่าถังซีจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่กลับย้อนถามให้เขาตอบ ในฐานะนักธุรกิจแถวหน้า เซียวเจี่ยนไม่สะทกสะท้านสักเท่าไร เขาแค่ส่ายศีรษะอย่างเคอะเขินเล็กน้อย “แน่นอน เธอต้องมีพื้นที่ส่วนตัว แต่พี่ไม่อยากเห็นเธอถูกหลอก”


 


 


ถังซียิ้ม ยืดตัวปลดสายรัดเป้ออก แล้วเงยหน้ามองเซียวเจี่ยน “พี่เจี่ยนคะ พี่ห่วงมากเกินไปแล้วค่ะ ถึงฉันจะไม่ได้เติบโตในเมือง A แต่ฉันอายุยี่สิบสามแล้วนะ ฉันไม่ใช่คนเซ่อซ่า แล้วอีกอย่าง…” ถังซีหยุด ก่อนจะกล่าวต่อไป “แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคุณหนูของตระกูลเซียว ใครจะกล้ามาหลอกฉัน ถ้าใครกล้าทำอย่างนั้นฉันรู้ว่าพี่จะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แน่!”


 


 


เซียวเจี่ยนไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอันเคร่งขรึมทันที เขาพยักหน้า “ใช่ ถ้ามีใครรังแกเธอ บอกพี่ พี่จะเตะก้นมันเอง”


 


 


“ขอบคุณค่ะ” ถังซียิ้ม เดินอ้อมตัวเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่น เธอทักทายคุณปู่เซียวที่กำลังดูทีวีอยู่ และโยนกระเป๋านักเรียนให้ลิลลี่ ซึ่งเดินตามเธอมาตั้งแต่เธอเข้าบ้าน “ฉันจะไปหาแม่ก่อน เอากระเป๋าไปเก็บในห้องให้ฉันหน่อย”


 


 


ลิลลี่รับคำอย่างมีความสุข แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับกระเป๋าของถังซี ส่วนถังซีเดินตรงไปที่ห้องหลินหรู


 


 



 


 


ณ อุทยานเอ็มไพร์ในเมืองหลวง ที่ห้องทำงานถังเจิ้นหวา เจ้าของห้องกำลังอ่านเอกสารในมือพร้อมกับขมวดคิ้ว ถังจงมองเจ้านายด้วยท่าทางเคร่งขรึม กล่าวเบาๆ ว่า “นายท่านครับ ผมคิดว่าคุณเฉียวไม่มีอะไรให้ตำหนิ เขาได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อคุณหนูแล้ว ผมได้ข้อมูลมาว่าคุณเฉียวไม่ได้รู้จักคุณหนูเซียวโหรวคนนี้มาก่อน จนกระทั่งเขากลับมาจากมหาสมุทรแปซิฟิกจึงได้รู้จักกัน ทั้งสองเพิ่งเริ่มคบหากันหลังจากที่เขากลับมาจากมหาสมุทรแปซิฟิกครั้งที่สองแล้วสิบกว่าวัน”


 


 


ถังจงสังเกตท่าทีของถังเจิ้นหวา เขาเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวต่อไป “และนายท่านครับ…”


 


 


“อาจง เธอไม่คิดหรือว่าดวงตาของเด็กผู้หญิงคนนี้สวยงามมาก” ก่อนที่ถังจงจะตอบ ทันใดนั้นท่านก็เงยหน้าขึ้นมองถังจงและกล่าวว่า “เธอไม่คิดหรือว่าดวงตาของเด็กผู้หญิงคนนี้เหมือนซูหวา”


 


 


“ฮึ?” ถังจงมองหน้าเจ้านายด้วยความประหลาดใจ เพราะเหตุใดนายท่านจึงสนใจดวงตาของหญิงสาวคนนี้มาก เขาคิดว่านายท่านจะทำให้คุณหนูเซียวกับคุณเฉียวเผชิญกับปัญหายุ่งยาก เพื่อแก้แค้นให้คุณหนู!


 


 


ถังเจิ้นหวาถามว่า “ทำไมรูปถ่ายทั้งหมดที่เธอหามาได้ถึงมีแต่รูปสวมหน้ากาก เธอไม่มีรูปที่เห็นหน้าเด็กคนนี้เต็มๆ เลยหรือ”


 


 


“นายท่าน…” หัวใจถังจงเหมือนถูกชกอย่างแรง นายท่านตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนนี้ เพราะดวงตาเธอเหมือนดวงตาคุณผู้หญิงซูหวาอย่างนั้นหรือ


 


 


บ้าไปแล้ว! นี่ฉันคิดอะไรอยู่!


 


 


ถังจงรีบตอบว่า “มีครับนายท่าน ผมมีอยู่รูปหนึ่งที่เห็นหน้าเต็มของเธอ ผมถ่ายที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมตี้อีครับ” พูดจบเขาก็ส่งรูปถ่ายให้ถังเจิ้นหวา พร้อมกับเล่าเรื่องของเซียวโหรวให้ท่านฟัง


 


 


เมื่อได้ยินคำบอกเล่าทั้งหมดจากถังจง ถังเจิ้นหวาก็ขมวดคิ้ว จ้องมองเด็กผู้หญิงในภาพแล้วถอนหายใจ “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร” จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองถังจง “หาข้อมูลอย่างละเอียดของเธอมาให้ฉัน รวมถึงข้อมูลสมาชิกในครอบครัวเธอด้วย”


 


 


ถังจงชะงัก มองหน้าถังเจิ้นหวา เมื่อแน่ใจว่าเจ้านายไม่ได้ล้อเล่นเขาก็รีบกล่าวว่า “ได้ครับ” แล้วออกจากห้องไป

 

 

 


ตอนที่ 234 ห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก

 

ถังซีตื่นแต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ลงไปเล่นโยคะที่สนามก่อนเข้าร่วมรับประทานอาหารเช้า ก่อนที่เธอจะทานอาหารเช้าเซียวหงลี่กับครอบครัวก็มาหา เมื่อถังซีเห็นพวกเขาดวงตาเธอเปี่ยมด้วยประกายความตื่นเต้น เธอรีบวิ่งไปหาพวกเขา “คุณพ่อคุณแม่ พี่ส่า… พี่เหยา พี่กลับมาแล้วเหรอคะ”


 


 


เซียวเหยายิ้มให้ถังซี ลูบผมเธอเหมือนปกติ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ใช่จ้ะ พี่ได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณป้าทันทีที่กลับมาจากเมืองหลวง และพี่ประหลาดใจมากที่น้องสาวพี่ไม่อยู่บ้าน! ถ้าเราอยากเจอเธอเราต้องมาที่นี่แต่เช้า ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ทันได้เห็นเธอแม้แต่แวบเดียว”


 


 


ถังซียิ้ม ชวนพวกเขาทานอาหารเช้ากับเธอ เมื่อมาถึงตอนนี้คุณปู่เซียวก็ออกมาจากห้อง ทุกคนทักทายท่านด้วยความเคารพ ท่านพยักหน้าและมองเซียวเหยาด้วยสายตาชื่นชม เซียวเหยายืนตัวตรง ท่านกล่าวกับเขาว่า “ปู่ได้ยินเรื่องการเลื่อนยศของเธอแล้ว เธอคือความภาคภูมิใจของตระกูลเรา ปู่ภูมิใจในตัวเธอมาก”


 


 


เซียวเหยายิ้มและขอบคุณคุณปู่เซียว จากนั้นก็ทักทายเซียวหงอี้ที่เดินอกมาจากห้องทานอาหาร ความตึงเครียดระหว่างสองครอบครัวคลี่คลายลงแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เซียวหงอี้เชิญชวนพวกเขาให้ร่วมทานอาหารเช้าด้วยท่าทางอ่อนโยน แต่เซียวเจี่ยนไม่ชอบใจการมาเยี่ยมของพวกเขา เขารู้ดีว่าน้องสาวเขาใส่ใจครอบครัวนี้มากแค่ไหน ถ้าพวกเขามาเยี่ยมแบบนี้เซียวโหรวจะเห็นแต่พวกเขาเท่านั้นในสายตา


 


 


หยางจิ้งเสียนบอกว่าพวกเขาทานอาหารเช้ามาแล้ว ทุกคนแค่อยากมาเยี่ยมหลินหรูกับเซียวโหรว ถังซีกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูไปทานอาหารเช้าก่อนนะคะ” เซียวเหยาตามเธอไปและกล่าวว่า “ให้พี่ไปส่งเธอไปโรงเรียนนะ”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ มองเซียวเหยา “พี่เหยาจะไปส่งฉันเหรอ”


 


 


เซียวเหยากล่าวว่า “พี่ไม่ได้ไปส่งเธอไปโรงเรียนนานมากแล้ว เดี๋ยวบ่ายวันนี้พี่จะเดินทางไปเม็กซิโก ให้พี่ไปส่งเธอเถอะนะ”


 


 


ถังซีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนี้ “พี่ไปทำไมคะ ที่เม็กซิโก”


 


 


เซียวเหยายิ้ม และขณะที่เขากำลังจะพูดถังซีก็กล่าวขึ้นอีก “พี่ยังไม่หายดี ทำไมหน่วยงานพี่ถึงส่งพี่ไปเม็กซิโกช่วงนี้! เจ้านายพี่คิดว่าพี่เป็นไอรอนแมนเหรอ”


 


 


เซียวเหยารู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อเขาเห็นถังซีเป็นห่วง เขาจ้องมองถังซีและพูดอยู่ในใจว่า ‘นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พี่รักเธอมาเนิ่นนาน เธอใส่ใจพี่เสมอ…’


 


 


เมื่อรู้สึกถึงสายตาเซียวเหยาที่จ้องมองมา ถังซีก็รู้สึกผิดและถามว่า “พี่เหยา กำลังคิดอะไรอยู่คะ”


 


 


เซียวเหยากล่าวว่า “พี่คิดว่าน้องสาวพี่ช่างแสนดี เธอใส่ใจพี่จริงๆ” เขาหยุด มองถังซีที่กำลังทานโจ๊กแล้วกล่าวต่อไป “ไม่ต้องห่วงหรอก ครั้งนี้พี่ไม่ได้ไปจัดการกับผู้ก่อการร้าย แต่ไปตรวจสอบบริษัทแห่งหนึ่ง ไปตรวจสอบเบื้องหลังเป็นการลับ เพราะฉะนั้นพี่จะไม่เป็นอะไร”


 


 


ถังซีพยักหน้า แม้จะเป็นห่วงเซียวเหยามากแค่ไหน แต่เธอไม่สามารถบอกให้เขาลาออกจากงานได้ เธอรู้ว่าเขารักงานของเขามาก ไม่ว่าจะเป็นอันตรายแค่ไหนเขาก็จะไม่เลิกทำงานนี้ ไม่มีทางแม้ว่าจะขอให้ทำเพื่อเธอก็ตาม


 


 


ในขณะนั้นเซียวเจี่ยนก็เดินเข้ามา และเห็นถังซีกับเซียวเหยานั่งอยู่ด้วยกัน พูดคุยกันอย่างสนิทสนม ถังซียิ้มแย้มขณะทานโจ๊ก ดูเหมือนทั้งสองจะมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย เขาขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงตอนที่เขาพยายามคุยกับน้องสาว เธอมักจะตอบเพียงไม่กี่คำ และดูท่าทางจะรำคาญนิดหน่อยด้วยซ้ำ เขากับเธอดูไม่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวแท้ๆ เลย เขายิ้มและกล่าวว่า “โหรวโหรว คุณอาหญิงถามว่าเธอทานอาหารเช้าเสร็จหรือยัง ไปหาคุณอาหน่อยถ้าเธอทานเสร็จแล้ว”


 


 


ถังซีเงยหน้าขึ้นมองเซียวเจี่ยน “คุณแม่เรียกหาฉันเหรอคะ”


 


 


คำว่า ‘คุณแม่’ นั้นเหมือนกับหนามแหลมคมทิ่มแทงหัวใจเซียวเจี่ยน เขาขมวดคิ้วและพยักหน้า “ใช่ ทานข้าวให้เสร็จก่อน พี่ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะระหว่างทางไปโรงเรียน”


 


 


ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วก้มหน้าก้มตาทานโจ๊กให้เสร็จ เซียวเหยาซึ่งนั่งตรงกันข้าม มองดูเธอกลืนโจ๊กแล้วส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีใครแย่งโจ๊กของเธอหรอก ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้น” จากนั้นเขาก็ถามว่า “พวกเขาใจดีกับเธอไหม”


 


 


ถังซีพยักหน้า “ใจดีมากค่ะ บางทีฉันยังรู้สึกด้วยซ้ำว่าพวกเขาเอาใจฉันมากเกินไป คงอยากจะ… ชดเชยให้ฉันมั๊ง เรื่องมาถึงขั้นแล้ว ฉันคิดว่าฉันน่าจะให้โอกาสพวกเขา พี่เหยา…”


 


 


“พี่รู้ พี่เข้าใจเธอ เธอเป็นเด็กดีเสมอ เธอแค่ไม่รู้ว่าจะบอกกับตัวเองยังไงก่อนหน้านี้ ตอนนี้เธออยากทำแบบนี้ เธอก็ควรทำตามหัวใจของเธอ” เซียวเหยามองหน้าถังซีด้วยรอยยิ้ม และกล่าวอย่างอ่อนโยน “เสี่ยว…ซี โปรดจำไว้ว่าเธอไม่ได้เป็นหนี้ใคร เธอเพียงแค่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพวกเราเลย ตกลงไหม”


 


 


ดวงตาถังซีแดงเรื่อ เธอพยักหน้าอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ พี่เหยา ขอบคุณนะคะ”


 


 


เซียวเหยาลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้ถังซี “ไปกันเถอะน้องรัก ให้พี่ไปส่งเธอที่โรงเรียนนะ”


 


 


ถังซีลุกขึ้น ปัดมือเซียวเหยาเบาๆ แล้วเดินออกไป เซียวเหยามองมืออันว่างเปล่าของตัวเอง เลิกคิ้วแล้วดึงมือกลับ ในไม่ช้าเขาก็ปรับสีหน้ากลับสู่ปกติแล้วเดินตามออกไป


 


 


หยางจิ้งเสียนถามถังซีถึงอาการของหลินหรู ถังซีเล่าให้เธอฟังอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “บางทีแม่อาจลุกขึ้นยืนได้ภายในหนึ่งเดือนค่ะ แล้วหนูก็จะได้กลับบ้าน”


 


 


เมื่อหยางจิ้งเสียนได้ยินว่าอีกไม่นานถังซีจะได้กลับบ้าน ดวงตาเธอก็เป็นประกาย “จริงๆ หรือ”


 


 


ถังซีพยักหน้า เซียวหงอี้ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินว่าถังซีจะกลับไปในอีกหนึ่งเดือน หลังจากถังซี เซียวเหยาและเซียวส่าออกไปแล้ว เขาก็กล่าวกับเซียวหงลี่และหยางจิ้งเสียนว่า “น้องรอง จิ้งเสียน เรามาคุยอะไรกันหน่อยสิ”


 


 


เซียวหงลี่ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ และกล่าวอย่างเฉียบขาด “พี่ครับ ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโหรวโหรว ผมคิดว่าพี่ยังจำสิ่งที่พี่พูดในตอนนั้นได้ ใช่ไหมครับ พี่เงียบไปเลยดีกว่า ถ้าไม่อยากทำลายความเป็นพี่น้องของเรา เราสนใจแค่ความรู้สึกของโหรวโหรวเท่านั้น ถ้าเธออยากกลับไปอยู่กับเรา เรายินดีต้อนรับเธออย่างแน่นอน”


 


 


คุณปู่เซียวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มองหน้าเซียวหงอี้แล้วแอบถอนหายใจ จากนั้นท่านก็กระแทกไม้เท้าลงกับพื้นและกล่าวด้วยความโกรธ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่มีใครจะพูดถึงเรื่องนี้อีก! ในเมื่อแกเองเป็นคนที่ไม่ต้องการโหรวโหรวแต่แรก แกจะอยากให้เธอกลับมาอยู่ด้วยตอนนี้ได้ยังไง แกยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกได้ยังไง!”


 


 


“คุณพ่อ!” เซียวหงอี้โวยวาย “แต่โหรวโหรวเป็นลูกสาวของอาหรูกับผมนะครับ คุณพ่อเข้าข้างน้องรองขนาดนี้ ให้เขาแย่งลูกสาวเราไปเป็นลูกเขาได้ยังไง”


 


 


“อะไรนะ” คุณปู่เซียวคำรามอย่างโกรธเคือง “แกขับไล่ลูกสาวของแกออกไปอยู่ข้างถนน และยกลูกสาวให้น้องชายแกเอง! ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าแกกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก ฉันจะไล่แกออกจากตระกูลเซียว!”

 

 

 


ตอนที่ 235 จัดการกับคนทรยศ

 

ถังซีเดินออกมานอกบ้าน แล้วก็เห็นรถเฉียวเหลียงจอดอยู่ข้างนอก เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความถึงเฉียวเหลียง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถเซียวเหยา เซียวเหยามองหน้าถังซีแล้วเลิกคิ้ว มองไปที่รถเฉียวเหลียง ถามเบาๆ ว่า “ไม่ทักทายเขาก่อนไม่เป็นไรเหรอ”


 


 


เขาจำได้รางๆ ว่าเฉียวเหลียงแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของถังซีมากมาย ผู้ชายคนนั้นจะยอมให้ซีซีขึ้นรถผู้ชายอีกคนโดยไม่สนใจเขาเลยได้หรือ


 


 


ในใจถังซีไม่แน่ใจ แต่เธอยังคงยิ้มเหมือนไม่มีอะไร “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันส่งข้อความถึงเขาแล้ว เขามีธุระต้องไปทำเหมือนกัน เขาคงจะกลับไป เราไปกันเถอะค่ะ”


 


 


เซียวเหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สตาร์ทรถแล้วขับออกจากบ้านตระกูลเซียว เฉียวเหลียงนั่งอยู่ในรถกะพริบตาปริบๆ และกำมือแน่น เมื่อคืนนี้เธอลงรถแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเขาเลย แล้วตอนนี้เธอยังไปขึ้นรถผู้ชายอื่นต่อหน้าต่อตาเขา! เขาใจดีกับเธอเกินไปใช่ไหม!


 


 


เฉียวเหลียงสูดลมหายใจลึกๆ หลายครั้ง ทันใดนั้นโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น


 


 


[ที่รัก ฉันขอโทษ แต่คุณพ่อคุณแม่และพี่ชายมาหาฉันวันนี้ ถ้าพวกเขาเห็นคุณ พวกเขาต้องรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราแน่นอน ขอโทษนะคะที่ฉันไม่สนใจคุณเลยเช้าวันนี้ มารับฉันที่โรงเรียนตอนบ่ายนะคะ แล้วเราไปบ้านคุณกัน เป็นเด็กดีนะคะ อย่าโกรธนะ รักคุณค่ะ]


 


 


เฉียวเหลียงนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาคิดว่าเขาตาฝาด แต่หลังจากอ่านข้อความอย่างละเอียดหลายครั้ง เขาก็มั่นใจว่าข้อความนี้ส่งมาจากถังซี ซึ่งไม่เคยพูดคำหวานๆ แบบนี้กับเขามาก่อนเลย


 


 



 


 


ในสำนักงานประธานบริษัทเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เซียวจิ่งนอนค้างที่โซฟาในห้องทำงานเฉียวเหลียงมาหลายวันแล้วในช่วงที่ผ่านมา คางเขาครึ้มไปด้วยหนวดเครา ในมือเขาถือกาแฟถ้วยหนึ่ง เนกไทบิดเบี้ยว เขาไม่ได้สวมรองเท้าหนัง แต่สวมรองเท้าแตะ มองเห็นถุงเท้าสีดำที่เขาสวมอยู่ รอบตัวเขาห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย เขาเดินไปเดินมา ทั่วทั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขามีรหัสที่ลงเครื่องหมายไว้เป็นสีต่างๆ


 


 


เซียวจิ่งเดินวนไปมา แล้วทันใดนั้นก็หยุด พร้อมกับกล่าวว่า “ซื้อหุ้นทั้งหมด! ซื้อทั้งหมดไม่ว่าพวกเขาจะขายแพงเท่าไร!” จากนั้นเขาก็ต่อสายโทรศัพท์ อีกสองวินาทีต่อมาทางปลายสายก็รับ เขาถามว่า “เป็นไงบ้าง พวกเขายอมขายหุ้นหรือเปล่า”


 


 


ปลายสายอีกด้านหนึ่งพูดอะไรบางอย่าง เซียวจิ่งส่งเสียงในลำคอและออกคำสั่ง “จำไว้ว่า ต้องซื้อหุ้นทั้งหมด ถ้าใครปฏิเสธไม่ยอมขายส่วนของเขา ทำให้เขาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา!”


 


 


จบคำพูดเซียวจิ่งก็วางสายโทรศัพท์ จิบกาแฟ และเฝ้าดูความผันผวนของหุ้นต่อไป


 


 


ในขณะนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น “ลู่หงคุนปล่อยขายหุ้นเหยาเหว่ยกรุปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เขาเป็นเจ้าของ”


 


 


เซียวจิ่งกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ซื้อทั้งหมด!”


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นรับคำ และตอบกลับทันที “ซื้อแล้วครับ”


 


 


เซียวจิ่งกล่าวว่า “ปล่อยให้ราคาหุ้นหงคุนอิเล็กทรอนิกส์แตะระดับต่ำสุด เก็บไว้สิบนาที แล้วขายหุ้นหงคุนอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นรายงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่าหงคุนปั่นหุ้น”


 


 


หลังจากเดินวนไปเวียนมาอีกสองรอบ เซียวจิ่งก็กล่าวด้วยความโมโห “เฮ้ย! ทำไมเฉียวเหลียงยังไม่มาอีก! เขาออกจากบริษัทไปตั้งแต่เมื่อเช้าวาน ป่านนี้ยังไม่กลับเข้ามาเลย ฉันจะขายหุ้นเฉียวให้หมดถ้าเขายังไม่เข้ามา!


 


 


ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออก เฉียวเหลียงโยนเสื้อโค้ตไปที่โซฟา เดินไปที่โต๊ะทำงานด้วยใบหน้าเรียบเฉย นั่งลงแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ “นายก็ลองดูสิ”


 


 


เซียวจิ่งจ้องหน้าเขาขณะกล่าวว่า “ตอนนี้เราควบคุมบริษัทบางแห่งที่ลู่กวงสยงเป็นเจ้าของได้แล้ว รวมถึงลู่ซิงกรุป ที่เขาจดทะเบียนในเมืองชิงด้วย เวลานี้เราสามารถคว่ำเขาได้เพียงแค่ผลักเบาๆ”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มเยาะ เงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่ง แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้าอย่างนั้นก็ผลักเขาเบาๆ ฉันอยากเห็นเขาพินาศ”


 


 


เซียวจิ่งเลิกคิ้ว มองกลับไปยังกลุ่มหัวกะทิที่สวมชุดลำลองนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ถามพวกเขาว่า “พวกคุณ ได้ยินคำพูดของนายน้อยของพวกคุณแล้วใช่ไหม เริ่มเลย!”


 


 


เฉียวเหลียงเคยยกโทษให้ลู่กวงสยงไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน เพราะว่าลู่กวงสยงเป็นพ่อเขา แต่ลู่กวงสยงไม่ยอมแพ้ และพยายามครอบครองเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉียวเหลียงมอบอำนาจทั้งหมดของเขาให้เซียวจิ่งและรองประธานอีกคนหนึ่ง ลู่กวงสยงแทบรอไม่ไหวที่จะลงมือ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ลู่กวงสยงไม่รู้ก็คือ ถึงแม้เฉียวเหลียงจะไม่ค่อยอยู่ที่บริษัท แต่ไม่มีอะไรพ้นจากสายตาเขาได้ เฉียวเหลียงเหมือนสุนัขป่าที่นอนหลับ อาจดูไม่เป็นอันตราย หากคุณไม่ทำให้เขาขุ่นเคือง แต่เมื่อคุณเหยียบหางเขา เขาจะกระโจนขึ้นมาทันที แล้วฝังเขี้ยวจมลงไปที่คอของคุณ และฆ่าคุณ!


 


 


เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง ซึ่งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจไม่สนใจอย่างอื่น เขาเลิกคิ้ว แล้วหันกลับไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง…


 


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา สื่อทางการเงินที่สำคัญหลายสื่อก็เริ่มออกอากาศรายงานวิกฤตทางการเงินล่าสุด ตลาดหุ้นพุ่งแตะระดับต่ำสุด แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ถือหุ้นเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปจำนวนมากเทขายหุ้น… และหลังจากนั้นราคาหุ้นของบริษัทอื่นก็แตะระดับต่ำสุด แม้แต่นักลงทุนก็เริ่มขายหุ้นของตัวเอง อย่างไรก็ตามในบรรดาบริษัททั้งหมด มีเพียงลู่ซิงกรุปเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบเลย… เมื่อมาถึงจุดนี้สื่อทางการเงินก็รายงานว่า …ลู่ซิงกรุปแอบปั่นหุ้นในตลาด…


 


 


จากนั้นก็มีข่าวออกมาว่าลู่ซิงกรุปรับสินบนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีรายงานด้วยว่าลู่ซิงกรุปเลี่ยงภาษีเป็นเงินถึงสามร้อยล้านหยวน แล้วทันใดนั้นข่าวก็รายงานว่าลู่ซิงกรุปกำลังเผชิญวิกฤติล้มละลาย


 


 


ตัวแทนทางกฎหมายของลู่ซิงกรุปถูกตรวจสอบโดยองค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริต และถูกจับกุม


 


 


เฉียวเหลียงดูข่าวโดยไร้ความรู้สึก จากนั้นก็หยิบรีโมทขึ้นมาปิดทีวี และลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “นำตลาดหุ้นกลับสู่ภาวะปกติ”


 


 


สามนาทีต่อมาตลาดหุ้นก็กลับคืนสู่ปกติ เซียวจิ่งมองใบหน้าอันเฉยชาของเฉียวเหลียง และถามว่า “นายจะเอาเขาเข้าคุกจริงๆ หรือ”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มหยัน “ใช่ คงเป็นเรื่องดี ถ้าภรรยาเขาเต็มใจจะให้ลูกชายเข้าคุกแทนเขา หรือจะให้ฉันช่วยให้พวกเขาได้อยู่ร่วมกัน ให้เขาเข้าไปอยู่กับลูกชายในคุก”


 


 


เซียวจิ่งชะงักไปชั่วครู่ นิ่งมองเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “แม้เราจะใช้วิธีของเราจัดการกับพวกเขา แต่หลักฐานเล่นงานพวกเขาที่เราส่งไปเป็นของจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นนายมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ในเวลานี้ แล้วนายจะจัดการกับคนทรยศในบริษัทต่อไปยังไง”


 


 


เฉียวเหลียงลุกขึ้น “ในเมื่อพวกเขาทรยศเรา พวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ในบริษัทได้อีกต่อไป คิดบัญชีพวกเขา”


 


 


“แล้วนี่นายจะไปไหน” เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียงซึ่งกำลังเดินไปทางประตู จากนั้นก็ตะโกนว่า “ฉันไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ฉันไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้วนะ ในสภาพอากาศร้อนจัดอย่างนี้ วันนี้ฉันต้องกลับบ้าน!”


 


 


เฉียวเหลียงหันกลับมามอง “ฉันห้ามไม่ให้นายกลับบ้านหรือ” เขากล่าวขณะเดินไป “ทุกคนทำได้ดีมาก พวกคุณได้วันหยุดห้าวัน นับจากวันนี้” จากนั้นเขาก็หันไปหาเซียวจิ่ง “บริษัทจะกลับมาเป็นปกติในอีกห้าวัน นายจัดการกับคนพวกนั้นได้เลย เมื่อกลับมาทำงานหลังจากวันหยุด”

 

 

 


ตอนที่ 236 น้องสาวฉันถูกลักพาตัว

 

เซียวจิ่งตัวแข็งเมื่อได้ยินว่าเขาได้วันหยุดห้าวัน เขานิ่งอึ้งไปสามวินาที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดัง “โอ! ในที่สุดฉันก็ได้กลับบ้านไปอาบน้ำแล้ว! หลังจากใช้ชีวิตเหมือนคนจรจัดมาตลอดทั้งสัปดาห์ ในที่สุดฉันก็ได้เป็นคนปกติแล้ว!” จากนั้นเขาก็คว้าเสื้อโค๊ทจากโซฟาหนังสีดำ เปิดประตูแล้วเดินออกไปพร้อมกับพึมพำว่า “โอ! ฉันจะให้น้องสาวฉันนวดให้อย่างดีเลย!”


 


 


เขาช่วยแฟนเธอปกป้องบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ และทำให้บริษัทศัตรูแฟนเธอพังพินาศ แน่นอนว่าเขาควรได้รางวัลจากน้องสาว อย่างน้อยที่สุดเธอก็ควรบีบนวดให้เขา!


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่ง เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานก็ยิ้มเยาะ แล้วทำงานต่อไป เซียวจิ่งเดินออกจากห้องทำงานรีรอจะให้เฉียวเหลียงโกรธ แต่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เขาจึงผลักประตูเปิดกลับเข้าไปในห้องทำงาน เฉียวเหลียงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเซียวจิ่งยืนอยู่หน้าประตูก็เลิกคิ้วถามว่า “มีอะไรอีกหรือ”


 


 


เซียวจิ่งเลิกคิ้ว ลูบคาง และหรี่ตามองเฉียวเหลียง ราวกับเขาได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่เคร่งเครียด “นายทะเลาะกับน้องสาวฉัน! ทะเลาะกันอย่างร้ายแรง!”


 


 


“ไม่ใช่ธุระของนาย” เฉียวเหลียงก้มหน้าทำงานต่อไป เซียวจิ่งขมวดคิ้วและปิดประตูขณะกล่าวว่า “นายกับเธอต้องทะเลาะกัน หรือมีอะไรกันบางอย่างแน่ๆ ทำไมนายไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เมื่อฉันบอกว่าฉันจะให้น้องสาวฉันนวดให้ ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนายกับน้องสาวฉัน…”


 


 


เฉียวเหลียงทำเสียงฮึดฮัด “ฉันไม่ว่าง ไปให้พ้นหน้าฉันเสียที”


 


 


“จุ๊ๆ อะไรทำให้นายโกรธขนาดนี้” สิ่งที่เซียวจิ่งชอบที่สุดในชีวิตคือ การเห็นเฉียวเหลียงถูกกระทำ เพราะฉะนั้นในขณะนี้เขาไม่รู้สึกง่วงนอนอีกต่อไป เขารีบเดินไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเฉียวเหลียงอย่างรวดเร็ว และนั่งลงมองชายหนุ่มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “ทำไมถึงทะเลาะกัน เพราะนายเกาะติดเธอมากเกินไป น้องสาวฉันก็เลยดุนายใช่ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงชำเลืองมองเซียวจิ่งด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วก้มหน้าอ่านข้อเสนอขอเพิ่มทุนในมือ พร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ “นายยังมีน้องสาวอยู่อีกหรือ”


 


 


เซียวจิ่งหน้าบูดบึ้ง ถามด้วยความโมโห “นายหมายความว่ายังไง ทำไมนายถึงบอกว่า…” แล้วเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะพูดจบ เขาผุดลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ลุงฉันกับครอบครัวมาแย่งโหรวโหรวไปใช่ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงกล่าวโดยไม่เงยหน้า “เธอเป็นคนนะ ไม่มีใครมาแย่งเธอไปได้หรอก”


 


 


“บัดซบ! พวกเขามาลักพาตัวน้องสาวฉันไปในขณะที่ฉันไม่อยู่ได้ยังไง คนพวกนั้นนี่น่ารังเกียจจริงๆ! ฉันจะไปคิดบัญชีกับพวกเขา!” พูดจบเซียวจิ่งก็หันหลังกลับเดินออกไปข้างนอกด้วยความโกรธ เฉียวเหลียงซึ่งกำลังอ่านเอกสารเงยหน้าขึ้นทันที “นายควรกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ตัวนายเหม็นมากจริงๆ”


 


 


“เฉียวเหลียง ไอ้บ้า!” เซียวจิ่งด่า แล้วหันหลังเดินจากไป


 


 


ในที่สุดห้องทำงานเขาก็เงียบสงบลงอีกครั้งหลังจากเซียวจิ่งออกไป เฉียวเหลียงต่อโทรศัพท์ภายในและกล่าวเสียงต่ำ “เข้ามาทำความสะอาดห้องทำงานฉัน จัดการกับสิ่งที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย”


 


 


หลังจากดำเนินการกับเอกสารไปหลายฉบับ เฉียวเหลียงก็มองดูนาฬิกา เปิดคอมพิวเตอร์และต่อสัญญาณวิดีโอคอล สองวินาทีต่อมาชายหนุ่มสองคนก็ปรากฏบนหน้าจอ คนหนึ่งดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจเขา อีกคนหนึ่งดูเป็นผู้ดีมีตระกูล มีรอยยิ้มร้ายกาจอยู่เหนือริมฝีปาก ชายหนุ่มทั้งสองเมื่อรวมตัวกับเฉียวเหลียง สามารถสร้างส่วนผสมที่ผสานกันอย่างลงตัวที่สุดในโลก


 


 


ทั้งสองทักทายเฉียวเหลียงด้วยรอยยิ้ม เฉียวเหลียงถามว่า “เป็นยังไงบ้าง”


 


 


“เราจับตัวตุ่นได้แล้วและจัดการกับเขาเรียบร้อย แต่ฉันไม่เจอฉูหลิง ไม่รู้ว่าช่วงนี้ผู้ชายคนนั้นหายไปไหน ฉันหาเขาไม่เจอเลย ราวกับเขาหายตัวได้ ฉันไม่เจอเขามาสัปดาห์หนึ่งแล้ว” เจสกล่าว


 


 


เฉียวเหลียงยังคงนิ่งเฉย วิลสันกล่าวว่า “คุณมุ่งเน้นกับงานในประเทศจีนมากในช่วงนี้ อยากให้เรามุ่งไปที่จีนมากกว่านี้ไหม เราจะได้ช่วยคุณได้ง่ายขึ้น”


 


 


เฉียวเหลียงส่ายศีรษะ “ไม่ ตอนนี้จุดโฟกัสของเรายังควรอยู่ที่อื่นไม่ใช่จีน ถ้าหลงเซี่ยวมาโผล่ในจีน ในไม่ช้าก็จะปรากฏว่าเราทำผิดกฎของตลาดในประเทศ จากนั้นเราอาจต้องเผชิญกับการประท้วงของบริษัทอื่นๆ มากมาย ถึงแม้จะไม่มีหนทางอื่นแล้ว เราก็ไม่ควรนำหลงเซี่ยวกลับมาที่จีน”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา วิลสันก็มีท่าทางเก้อเขินเล็กน้อย ขณะที่เจสหัวเราะอย่างเบิกบานใจกล่าวว่า “เฮ้ คุณเจ็ด ผมบอกคุณแล้วว่าคุณหลอกเขาไม่ได้ เห็นไหมล่ะ ความคิดคุณมุ่งไปที่ประเทศจีนใช่ไหม ในขณะที่ความคิดเขามุ่งไปที่หลงเซี่ยว ซึ่งความคิดคุณเป็นไปไม่ได้หรอก… เราทุกคนควรขอบคุณเขา เพราะเขาช่วยเราได้เสมอเวลาที่เราไม่มีทางออก”


 


 


วิลสันถามเสียงต่ำ “คุณจะกลับมาที่หลงเซี่ยวได้เร็วที่สุดเมื่อไร”


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว “ผมไม่ได้อยู่ที่หลงเซี่ยวตลอดเวลาหรอกหรือ มีปัญหาใหญ่ครั้งไหนของหลงเซี่ยวที่ผมแก้ไขไม่ได้” ทันทีที่เขากล่าวจบ โทรศัพท์ในห้องทำงานก็ดังขึ้น เฉียวเหลียงรับสาย เสียงอันเฮาดังขึ้น “ท่านประธานเฉียวคะ คุณลู่อยู่ที่ชั้นหนึ่งค่ะ เขาบอกว่าอยากพบท่านประธาน จะให้เขาเข้าพบไหมคะ”


 


 


วิลสันหยุดพูดทันที เจสก็หุบปากเช่นกัน ทั้งสองรอดูปฏิกิริยาของเฉียวเหลียง เวลาผ่านไปสองวินาที ก่อนที่เฉียวเหลียงจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่” จากนั้นเขาก็วางสายโทรศัพท์ หันกลับมาพูดคุยกับ วิลสันและเจสต่อไป


 


 


วิลสันไม่อยากทำให้เฉียวเหลียงเสียอารมณ์จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฝ่ายป้องกันชายแดนซาอุดิฯ สั่งซื้ออาวุธหนักสองหมื่นตันจากเรา และผมตอบตกลง”


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงคำรามในลำคอ และถามง่ายๆ ว่า “ราคาล่ะ”


 


 


“สามเท่าของราคาตลาด” เจสกล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายกาจบนริมฝีปาก “ยังไงก็ตามพวกเขามีเงินเยอะ ราคานี้ไม่ระคายพวกเขาหรอก”


 


 


เฉียวเหลียงหัวเราะ กล่าวว่า “ส่งรายการอาวุธให้ผมด้วย”


 


 


เจสเลิกคิ้ว “คุณจะเอาไปทำไม”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเจส เจสรีบยกมือขึ้นทันที “ได้ๆ ผมจะหุบปาก เอาล่ะ คราวนี้เราคงต้องเพิ่มกำลังการผลิตอาวุธชนิดเดียวกันนี้เป็นพิเศษแล้วใช่ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า “ส่งทั้งหมดไปที่มารีน่าเบย์ เมืองหลวง โทรบอกผมเมื่อของไปถึง ผมจะไปรับของทั้งหมดเอง”


 


 


เจสเม้มริมฝีปาก “กำหนดราคาใหม่อีกครั้งหรือเปล่า”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า “ใช่ คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ เจส ล็อตนี้ต้องเป็นอาวุธที่ดีที่สุด”


 


 


“คุณทุ่มเทให้กับประเทศคุณจริงๆ …” เจสพูดไม่ทันจบ เมื่อเขาเห็นสายตาเฉียวเหลียงที่มองมา เขารีบหุบปากโดยเร็ว “เอาล่ะ ผมไม่ควรถามเรื่องนี้ ในเมื่อคุณขอให้ผมเตรียมการ ผมจะดูแลจัดการให้ดีที่สุด”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มอย่างพอใจ “เป็นการเจรจาต่อรองที่ไม่เลว ด้วยอิทธิพลของประเทศที่หนุนหลังคุณอยู่ ไม่มีใครกล้ากำจัดคุณหรอก ถึงแม้คุณจะรวยที่สุดในโลกก็ตาม แล้วอีกอย่าง ผมไม่มีทางมอบอาวุธให้พวกเขาฟรีๆ”

 

 

 


ตอนที่ 237 มาขอความเมตตาจากเขา

 

เจสมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำตอบของเฉียวเหลียง เขายื่นหน้ามาที่กล้อง ถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง “คุณลงนามในสัญญาบางอย่างที่ไม่เป็นธรรมกับผู้นำในประเทศของคุณหรือ คุณใช้กลอุบายกับใครบางคนอีกแล้วใช่ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองเจส ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก “ท่านเข้าไปไม่ได้นะคะ ท่านประธานไม่ได้อยู่ในห้องทำงานค่ะ”


 


 


“ไปให้พ้น!” เสียงตะโกนดังลั่น “ฉันรู้ว่าไอ้ลูกสารเลวมันอยู่ที่นี่!”


 


 


มีเสียงกรีดร้องดังอยู่ภายนอก ตามมาด้วยเสียงสิ่งของหลายอย่างแตกกระจาย เจสกับวิลสันก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนเช่นกัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งสองคาดเดาได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างมองหน้าเฉียวเหลียงและตัดสายวิดีโอคอล


 


 


หลังจากอันเฮาถูกผลักล้มลงกระแทกกับพื้น ‘คณะเลขานุการ’ ของสำนักงานท่านประธานก็วิ่งกรูกันเข้ามาทันทีอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นช่วยพยุงอันเฮาลุกขึ้น ส่วนคนอื่นๆ ยืนเรียงแถวหน้าห้องทำงานท่านประธาน และจ้องมองเขม็งไปที่ชายสองคนในชุดสูท ในระหว่างสองคนนั้น ชายวัยกลางคนหน้าตาดีแต่ท่าทางไม่เป็นมิตร ส่วนคนหนุ่มดูโกรธเกรี้ยว ทั้งสองหน้าตาคล้ายกันมาก ราวกับถั่วสองเมล็ดในฝักเดียวกัน ชายวัยกลางคนมองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าและตะคอกด้วยความโกรธ “ไปให้พ้น อย่ามาขวางทางฉัน!”


 


 


‘คณะเลขานุการ’ ไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงตะคอกอีกอย่างแค้นเคือง “สุนัขที่ดีไม่อยู่ใต้เท้าใคร ไปให้พ้น! นี่เป็นเรื่องระหว่างเฉียวเหลียงกับพวกเรา เราจะไม่เอาเรื่อง ถ้าพวกเธอหลบไปให้พ้นเสียตอนนี้!”


 


 


คณะเลขานุการมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่ยังคงตั้งขบวนยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ชายทั้งสองไม่มีทางเลือกนอกจากใช้กำลัง พวกเขาช่วยกันผลักคณะเลขานุการสุดแรงให้พ้นทาง แต่ก็ถูกต่อต้านและผลักกลับอย่างแรง จนล้มลงกระแทกพื้นทั้งสองคน คนหนุ่มจ้องมองคณะเลขานุการด้วยดวงตาดุดัน “พวกแกจะหลบไปไหม!”


 


 


แล้วเขาก็รีบหันไปช่วยชายวัยกลางคนให้ลุกขึ้น “พ่อ เป็นไงบ้างครับ”


 


 


ชายวัยกลางคนจ้องหน้าเขาและกล่าวด้วยความโกรธ “ยังไม่ตาย!” เขาสะบัดมือลุกขึ้นยืนและตะโกนอย่างโกรธแค้นไปที่ห้องทำงาน “เฉียวเหลียง ฉันรู้ว่าแกอยู่ข้างใน แกกล้าทำแบบนี้กับฉัน แต่ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้ากับฉันใช่ไหม แกไม่กลัวฟ้าดินลงโทษใช่ไหม ที่อกตัญญูกับพ่อของแก…”


 


 


ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างแรง เฉียวเหลียงร่างสูงหล่อเหลาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลัง ‘เหล่าทหารองครักษ์’ ทันทีที่เขาปรากฏตัว ‘ทหาร’ ก็แยกกันออกเป็นสองฝั่ง เพื่อหลีกทางให้เขา เฉียวเหลียงยืนอยู่ที่ประตู มองไปที่ชายสองคนซึ่งมีสภาพยุ่งเหยิง แล้วส่งเสียงคำราม “ตำรวจเดี๋ยวนี้ไร้ความน่าเชื่อถือขึ้นเรื่อยๆ ผมจำได้ว่าคุณสองคนถูกคุมตัวไปสอบสวนที่สำนักงานตำรวจไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่บริษัทผมได้รวดเร็วขนาดนี้”


 


 


เมื่อลู่กวงสยงเห็นเฉียวเหลียงพูดกับพวกเขาด้วยท่าทางหยิ่งยโส นัยน์ตาเขาก็เป็นประกายด้วยความขุ่นเคือง เขากล่าวอย่างดุดันว่า “เป็นเพราะแก! แกคิดว่าฉันไม่รู้หรือว่าแกใส่ร้ายฉัน”


 


 


ช่วยไม่ได้ที่ลู่หงคุนจะถอยหลังและคอหดเมื่อเห็นเฉียวเหลียง


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าลู่กวงสยงอย่างเย็นชา โดยไม่ชายตามมองลู่หงคุนแม้แต่น้อย เขาหัวเราะเยาะ ลู่กวงสยงด้วยสายตาถากถาง “เป็นเพราะคุณดำเนินงานบริษัทของคุณอย่างไม่ถูกต้อง ผมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าคุณถูกรถชนตาย คุณจะมาบอกว่าเป็นเพราะผมได้ด้วยหรือ”


 


 


“แก!”


 


 


เฉียวเหลียงหันกลับเดินเข้าห้องทำงาน พร้อมกับกล่าวอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อคุณจะมาขอความเมตตาจากผม ก็อย่ามาวางท่าโง่ๆ ใส่ผม ผมคลื่นไส้!”


 


 


“เฉียวเหลียงฉันเป็นพ่อแกนะ!” ลู่กวงสยงตะคอก “พระเจ้าจะลงโทษแก ที่ปฏิบัติกับพ่อของแกแบบนี้!”


 


 


“ฮ่า ฮ่า…” เฉียวเหลียงยืนหัวเราะเยาะลู่กวงสยงอยู่ในห้องทำงาน แล้วหันไปมองลู่กวงสยงอย่างฉับพลัน ประกายความเกลียดชังฉายชัดทั่วใบหน้า เขากล่าวอย่างดุดัน “ลู่กวงสยง คุณไม่รู้หรือว่าการลงโทษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผม คือการเกิดมาเป็นลูกของคุณ!”


 


 


“เฉียวเหลียง!” ลู่กวงสยงโกรธมากจนพูดไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวเหลียง เหล่าองครักษ์รู้สึกว่านายน้อยของพวกเขานี่ช่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ! ในสายตาพวกเขานายน้อยเป็นคนเงียบขรึมตลอดเวลา แต่ในช่วงวิกฤติคุณจะอยากตัดลิ้นเขาเลยทีเดียว เพราะความคมที่เชือดเฉือนเหลือเกินจากลิ้นของเขา!


 


 


“เอาล่ะ ฉันไม่สนหรอก บอกฉันมาว่าทำไมแกถึงทำลายหงคุนกรุป” ลู่กวงสยงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “แกรู้ไหมว่าฉันทำงานหนักแค่ไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างหงคุนกรุป ถ้าหงคุนกรุปพัง ฉันจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง!”


 


 


เฉียวเหลียงเย้ยหยัน “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผมยังไงหรือ”


 


 


เมื่อกล่าวจบเขาก็นั่งลงบนโซฟาหนังสีดำและมองไปที่ ‘เหล่าองครักษ์’ ทั้งหมดแหวกทางออกทันที ลู่กวงสยงกับลู่หงคุนจึงเข้าไปในห้องทำงานเขาได้ในที่สุด ลู่หงคุนรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นห้องทำงานอันกว้างขวาง แต่เขารีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองสำรวจรอบๆ ห้องไปมากกว่านี้ ลู่กวงสยงถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแกอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมแกถึงไล่แมร์รี่กับเลขานุการคนอื่นๆ ออก”


 


 


“ผมมีอิสระที่จะไล่พนักงานของผมออก” เฉียวเหลียงกล่าวเสียงเรียบ และหัวเราะเยาะลู่กวงสยง “หรือคนพวกนั้นเป็นสายลับของคุณ นี่คือเหตุผลที่คุณสนใจ กลัวว่าคนพวกนั้นจะถูกไล่ออกใช่ไหม”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ลู่กวงสยงก็ดูกระวนกระวายใจเล็กน้อย เขากำมือแน่น กระแอมแล้วกล่าวว่า “พวกเธอไม่ใช่สายลับของฉันอย่างแน่นอน! ฉันแค่เป็นห่วงบริษัท ถึงแม้ฉันจะไม่ได้เป็นหุ้นส่วนบริษัทแล้วก็ตาม แต่ฉันก็เคยเป็นประธานบริษัท ฉันผิดหรือที่จะเป็นห่วงเฉียวกรุป”


 


 


เฉียวเหลียงเย้ยหยัน “ใช่ ผิด ลู่กวงสยง คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่ง! ไม่ต้องอ้อมค้อม! ผมไม่มีเวลาฟังเรื่องบัดซบของคุณ” เขาหยุด มองหน้าลู่กวงสยงซึ่งเข้มจัด และกล่าวว่า “คุณกำลังยุ่งอยู่กับเจ้าหน้าที่ปราบปรามการทุจริต ที่กำลังสืบสวนเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีของคุณไม่ใช่หรือ”


 


 


ลู่กวงสยงเดือดดาลขึ้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ “ฉันรู้ว่าแกอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้! เอาเงินมาให้ฉันสองพันล้านหยวน ฉันต้องเอาไปจัดการกับคดี แล้ว…”


 


 


“ฝันไปรึเปล่า” ลู่กวงสยงถูกเฉียวเหลียงขัดจังหวะ ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาด้วยความแปลกใจ เฉียวเหลียงยิ้มอย่างเย็นชากล่าวว่า “ลู่กวงสยง ฟังนะ คุณจะไม่มีวันได้เงินจากผม ไม่ว่าในชีวิตนี้ หรือชีวิตหลังความตาย สองพันล้านหยวนหรือ ฝันไปเถอะ! อดทนรอสักหน่อย เดี๋ยวคุณก็จะได้ติดคุกแล้ว”


 


 


“เฉียวเหลียง แก…” ลู่กวงสยงยกมือกุมหน้าอก ท่าทางดูเหมือนกำลังจะร่วงลงกับพื้น ลู่หงคุนรีบเข้ามาประคองลู่กวงสยง และมองหน้าเฉียวเหลียงด้วยดวงตาแดงเรื่อพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “พี่ครับ ทำไมถึงโหดร้ายกับพวกเราอย่างนี้ พี่จะไม่ช่วยพวกเราจริงๆ หรือ!”

 

 

 


ตอนที่ 238 คุณคือไอดอลของผม

 

“หุบปาก!” ใบหน้าเฉียวเหลียงเข้มขึ้นขณะจ้องหน้าลู่หงคุน “ถ้าแกกล้าเรียกฉันว่า ‘พี่’ อีกครั้ง ฉันจะตัดลิ้นแก!”


 


 


“เฉียวเหลียง เขาเป็นน้องชายแกนะ!” ลู่กวงสยงจับมือลู่หงคุนและจ้องมองเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “น้องชายหรือ ลูกนอกกฎหมายที่เกิดจากผู้หญิงแพศยาไม่สมควรเป็นน้องชายฉัน!”


 


 


นอกห้องทำงานเฉียวเหลียง นอกเหนือจากอันเฮา ‘คณะเลขานุการ’ คนอื่นๆ ดูไม่แปลกใจเลย อันเฮามองเลขานุการคนอื่นๆ ด้วยท่าทางลังเล และถามเบาๆ ว่า “เราจะปิดประตูให้ท่านประธานดีไหม”


 


 


ทุกคนมองไปที่ประตูห้องทำงานท่านประธานที่เปิดกว้างแล้วส่ายศีรษะ “ท่าทางพ่อกับลูกชายน่าจะถูกโยนออกจากบริษัทในนาทีสองนาทีนี้แหละ ไม่ต้องห่วง แล้วอีกอย่างท่านประธานก็ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่าด้วย” เมื่อจบคำพูดนั้น เลขานุการหนุ่มก็ยื่นโทรศัพท์มือถือของเขาให้เข้าไปใกล้ประตูมากกว่าเดิม แล้วถามเบาๆ “คุณเก้าครับ ยังอยากฟังต่อหรือเปล่า”


 


 


มีเสียงดังออกมาจากโทรศัพท์ “อย่าพูด ฉันไม่ได้ยินเสียงอันไพเราะของเสี่ยวเฉียวเลย เวลานายพูด!”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดนี้อันเฮาก็ตัวสั่น เสี่ยวเฉียวเหรอ ผู้ชายคนนั้นเรียกท่านประธานว่าเสี่ยวเฉียวอย่างนั้นเหรอ และเขาแอบฟังท่านประธาน! แล้วยังบอกอีกว่า คำด่าของท่านประธานเป็นเสียงอันไพเราะ พระเจ้า ที่เธอได้ยินเมื่อกี้คืออะไรกัน…


 


 


จู่ๆ อันเฮาก็รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย เธอได้ล่วงรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของท่านประธาน! ถ้าท่านประธานรู้ว่าเธอรู้ความลับของเขา เขาอาจฆ่าปิดปากเธอ!


 


 


ไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงคนนั้นสวมหน้ากากทุกครั้งที่มาพบประธาน! แสดงว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงสาวสวย แต่เป็นผู้ชาย!


 


 


อันเฮาไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านประธานผู้หล่อเหลา และเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว จะรักกับผู้ชาย!


 


 


เธอเพิ่งตาสว่าง!


 


 


ในห้องทำงาน ลู่หงคุนหน้าแดงก่ำ จ้องเฉียวเหลียงเขม็ง เขาโกรธมากทำให้พูดออกมาโดยไม่ยั้งคิด “แกคิดว่าฉันอยากเรียกแกว่าพี่อย่างนั้นหรือ แกมันก็แค่ลูกแม่หม้ายผัวทิ้ง! แกคิดว่าแกดีกว่าฉัน…” ก่อนจะได้พูดจบ เขาก็ถูกเตะออกจากห้องพร้อมด้วยเลือดที่กบปาก


 


 


ลู่กวงสยงรีบวิ่งไปคุกเข่าลงช่วยประคองลู่หงคุนทันที และตะโกนใส่เฉียวเหลียง “เฉียวเหลียง! นี่แกจะทำอะไร!”


 


 


“ในเมื่อคุณไม่รู้จักสั่งสอนลูกชายคุณอย่างถูกต้อง ผมก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนให้เอง!” เฉียวเหลียงเดินไปข้างหน้า ลากลู่กวงสยงออกจากลูกชาย ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงขาไปข้างหลัง แล้วเตะเข้าที่ซี่โครงลู่หงคุนอย่างแรง ลู่หงคุนกลิ้งไปบนพื้น ครวญครางและร้องคร่ำครวญขอวามเมตตา อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงไม่ยอมหยุด เขาเตะกระหน่ำต่อเนื่องไม่หยุด จนกระทั่งรองเท้าหนังสีดำของเขาเปื้อนเลือดที่สาดกระเซ็น เขาเช็ดรองเท้าจนสะอาดบนร่างลู่หงคุน หันไปมองลู่กวงสยงที่พยายามทุบตีเขา และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้าอยากเป็นคนไร้บ้านก็เข้ามาสิ มาล้างแค้นให้ลูกชายคุณ ถ้าอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมีถูกทำลายย่อยยับ ก็ลองดู!”


 


 


อันเฮาปิดตา ไม่กล้ามองฉากความรุนแรงนั้น ในขณะที่เลขานุการคนอื่นๆ มองดูอย่างสนุกสนาน และหนึ่งในนั้นกำลังสนทนาทางวิดีโอคอลกับนายเจส…


 


 


เมื่อเห็นฉากอันสุดบรรยายนี้เจสก็อุทาน “เสี่ยวเฉียว คุณคือไอดอลของผม!”


 


 


เฉียวเหลียงมองไปที่เลขานุการคนนั้น ซึ่งรีบเก็บโทรศัพท์มาถือไว้กับตัว แต่เฉียวเหลียงเดินเข้าไปหาเขา เขาจึงต้องยื่นโทรศัพท์ให้เฉียวเหลียง เฉียวเหลียงรับโทรศัพท์มาและเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเจส เขายิ้มให้เฉียวเหลียงและยกมือขึ้นทักทาย เฉียวเหลียงมองใบหน้านั้นด้วยสายตาดุร้ายและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้าผมได้ยินคุณเรียกผมว่าเสี่ยวเฉียวอีกครั้งเดียว คุณจะได้ลงเอยเหมือนกับเขา!”


 


 


“โอ คุณโหดร้ายกับผมแบบนี้ได้ยังไง! คุณก็รู้ว่าผมรักคุณมาก…”


 


 


น้ำเสียงเฉียวเหลียงเยือกเย็นยิ่งขึ้นไปอีก “ถ้าผมได้ยินคุณพูดแบบนี้อีก ผมจะ…”


 


 


“โธ่ คุณนี่ ไม่มีอารมณ์ขันเลย!” เจสบ่น ดูเหมือนเฉียวเหลียงจะไม่สนใจเลยว่า การสนทนาระหว่างเขากับเจสจะได้ยินไปถึงลู่กวงสยงและลู่หงคุน เขาคำราม “ทำไมผมต้องมีอารมณ์ขันกับคุณ”


 


 


“วู้ว ผมรู้แล้ว อารมณ์ขันของคุณเก็บไว้สำหรับ…” เจสยิ้ม “สำหรับสาวน้อยคนสวยของคุณใช่ไหมล่ะ ฮ่า ฮ่า… ผมรู้นะว่าคุณมีแฟน แต่ไม่ยอมให้ผมรู้! ไม่อย่างนั้นผมอาจอยากขโมยแฟนคุณ!”


 


 


เฉียวเหลียงหรี่ตามอง เจสยักไหล่ “คุณกลัวว่าจะมีใครมาลักพาตัวเธอไปเพื่อข่มขู่คุณ ถ้ามาได้ยินสิ่งที่ผมพูดใช่ไหมล่ะ คุณจะอยู่เฉยๆ เหมือนคนง่อย ปล่อยให้แฟนคุณถูกลักพาตัวไปได้ยังไง…”


 


 


เฉียวเหลียงตัดสายวิดีโอคอลและโยนโทรศัพท์กลับไปที่ ‘เลขานุการ’ จากนั้นก็หันไปมองลู่หงคุน ซึ่งนอนอยู่บนพื้น ลู่กวงสยงจ้องหน้าเขาอย่างไม่พอใจ เฉียวเหลียงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ผมจะให้เวลาห้านาทีเอาไอ้นรกนี่ออกไปจากเฉียวกรุป หรือไม่อย่างนั้นผมจะโยนคุณออกไปเอง”


 


 


“แกไม่กลัวหรือว่าเราจะถูกพวกนักข่าวถ่ายรูป ถ้าปล่อยให้ฉันเดินออกไปแบบนี้” ลู่กวงสยงกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนี้แกก็ซ้อมหงคุนขนาดนี้แล้ว เอามาให้ฉันสองพันล้านหยวน แล้วฉันจะเสแสร้งว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ฉันจะไม่ให้แกต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ จะไม่แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มีวันปล่อยแก! ตายก็ต้องตายด้วยกัน!”


 


 


“ผมไม่รังเกียจหรอกนะที่จะส่งคุณไปลงนรก หากคุณอยากตาย!” เฉียวเหลียงจ้องหน้าลู่กวงสยงเขม็งอย่างดุดัน และกล่าวอย่างเย็นชา “ลู่กวงสยง มีเพียงลู่หงคุนเท่านั้นที่เป็นลูกชายคุณ จำไว้ว่าถ้าคุณไม่อยากตาย ไม่อยากให้ลูกชายคุณตาย ก็ประพฤติตัวให้ดี ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รังเกียจที่จะส่งคุณทั้งสองคนไปลงนรก อย่าได้ทดสอบความแข็งแกร่งของผม เพราะคุณจะต้องเสียใจ”


 


 


เฉียวเหลียงหันหลังกลับ เดินเข้าห้องทำงานโดยไม่ชายตามองลู่กวงสยงและลู่หงคุน ลู่กวงสยงหรี่ตาลง ขณะมองเฉียวเหลียงปิดประตูห้องทำงาน และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เฉียวเหลียง แกไม่เหลือทางเลือกให้ฉันเองนะ!”


 


 


ไม่นานข่าวเฉียวเหลียงซ้อมน้องชายก็เป็นข่าวพาดหัว เซียวจิ่งซึ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จและอ่านข่าวก่อนจะนอนพักรู้สึกตกใจมากกับข่าวนี้ เขาผุดลุกลงจากเตียง รีบไปที่ห้องแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปบริษัท เขาขับรถฝ่าไฟแดง และเร่งความเร็วไปตลอดทางกว่าจะถึงอาคารเฉียว ที่ทางเข้าอาคารมีนักข่าวมากมายมาจับกลุ่มกัน เมื่อเห็นเขาบรรดานักข่าวก็เข้ามาห้อมล้อมทันที “ท่านประธานเซียว จริงไหมครับที่ท่านประธานเฉียวซ้อมลู่หงคุน กรรมการผู้จัดการหงคุนกรุป”


 


 


“ท่านประธานเซียว ได้ยินว่าประธานลู่เป็นคนให้ข่าวเอง และเอารายงานผลการตรวจร่างกายให้สื่อดูด้วย ท่านประธานเฉียวเป็นคนทำจริงๆ หรือเปล่า”


 


 


เซียวจิงยิ้ม “พวกคุณต้องล้อผมเล่นแน่ๆ ท่านประธานของเราจะใช้ความรุนแรงอย่างนั้นได้ยังไง เมื่อดูจากลักษณะนิสัยของพวกเขาที่ปรากฏให้พวกคุณเห็น ทุกคนก็คงบอกได้ว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นประธานลู่มากกว่าที่จะทำแบบนั้น จริงไหม นอกจากนี้ท่านประธานของเราไม่เคยทำอะไรลู่หงคุนเลยเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พ่อเขานอกใจแม่เขาและทิ้งเขาไป แล้วแม่เขายังตกเป็นเหยื่อโดนแม่ลู่หงคุนทำร้ายอีก ไม่ช้าเกินไปหน่อยหรือที่เขาจะมาซ้อมลู่หงคุนตอนนี้”

 

 

 


ตอนที่ 239 ฉันอยากทำ

 

เซียวจิ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาที่มีต่อเฉียวเหลียงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ และยังพลิกคดีทำให้ลู่หงคุนจากเหยื่อกลายเป็นผู้กระทำความผิดได้ คำพูดของเขาดูเป็นเหตุเป็นผลสมจริงกว่า จนนักข่าวทุกคนเชื่อเขา นักข่าวคนหนึ่งพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า” ใช่ ท่านประธานเฉียวดูสุภาพมาก เขาดูไม่เหมือนคนที่จะทำร้ายใครได้ ฉันเคยถ่ายรูปประธานลู่ทำร้ายพนักงานในบาร์ และตีกับคนอื่นมามากมายก่อนหน้านี้ แต่ฉันไม่เคยเห็นท่านประธานเฉียวชกต่อยกับใครเลย”


 


 


“ใช่ ฉันเคยเห็นประธานเฉียวครั้งหนึ่ง เขาดูเหมือนมนุษย์อมตะที่มาจากโลกอื่น เขาแทบไม่พูดคุยกับผู้คน เขาจะซ้อมคนอื่นได้ยังไง! ประธานลู่อาจแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อรีดไถเงินจำนวนมากจากเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เพราะบริษัทเขากำลังจะล้มละลาย”


 


 


นักข่าวทุกคนพยักหน้า “ใช่ ใช่ เพราะถึงยังไงเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปก็เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของจีน หรือในเอเชียด้วยซ้ำ เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะคิดแบบนี้”


 


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนักข่าวเซียวจิ่งก็ยิ้ม จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้น กล่าวอย่างเคร่งขรึม “บริษัทเราจะไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้ายผู้นำของเรา แผนกกฎหมายของเราจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทางกฎหมายต่อการกระทำนี้ ทุกท่านโปรดรอคำตัดสินของศาล ขอบคุณนะครับที่ให้ความสนใจ แล้วเจอกันครับ”


 


 


จบคำพูดเซียวจิ่งก็หันหลังเดินจากไป เมื่อเข้าไปในลิฟต์หน้าเขาบึ้งตึงทันที หลังจากมาถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานของเฉียวเหลียง เขาก็เดินหน้าเข้มไปที่ห้องทำงานเฉียวเหลียง เมื่อเห็นเขาอาห้ารีบเข้ามาหา เซียวจิ่งกล่าวเสียงเครียดว่า “นายตรวจสอบกล้องวงจรปิดของบริษัทหรือยัง มีรูปแสดงให้เห็นว่าลู่หงคุนถูกเฉียวเหลียงทำร้ายไหม”


 


 


“มีครับ” อาห้าพยักหน้า “แต่ผมลบรูปพวกนั้นหมดแล้ว และผมให้อาหกตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของพนักงานด้วย ให้แน่ใจว่าไม่มีคลิปวิดีโอเรื่องนี้อยู่ในโทรศัพท์ใคร คุณเซียวจิ่งวางใจได้ครับ”


 


 


“บ้าชะมัด” เซียวจิ่งขมวดคิ้ว เอามือล้วงกระเป๋า กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ฉันกำลังจะหลับอยู่แล้ว จู่ๆ ก็เห็นข่าว ฉันเกือบตกเตียงแน่ะ! เขาเป็นอะไรไป ทำไมอยู่ดีๆ ถึงลุกขึ้นมาซ้อมลู่หงคุน!”


 


 


เมื่อถึงตอนนี้ประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดออก เซียวจิ่งชะงัก เฉียวเหลียงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองมาที่เขาและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ฉันอยากทำ”


 


 


เซียวจิ่งขยับริมฝีปากฝืนยิ้ม “อ้อ… ดี นายอยากทำ? ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปข้างนอก ไปตอบคำถามนักข่าวพวกนั้นด้วยตัวนายเอง! อย่ารอให้ฉันแก้ปัญหาให้! รับผิดชอบในสิ่งที่นายทำด้วย!”


 


 


“ฉันขอให้นายแก้ปัญหาให้ฉันเหรอ” เฉียวเหลียงกล่าวขณะเดินไปที่ลิฟต์ เซียวจิ่งรีบตามเขาจนทัน “นายจะทำอะไร”


 


 


“ฉันมีธุระต้องไปทำ” ขณะที่เขาพูดประตูลิฟต์ก็ปิดลง เซียวจิ่งมองหน้าอาห้าแล้วตะโกน “เร็วสิ ตามเขาไป นายจะรับผิดชอบไหวไหม ถ้าเขาไปสร้างปัญหา”


 


 


อาห้ารับคำ และพยายามรีบตามเฉียวเหลียงไปให้ทัน แต่ลิฟต์อีกตัวยังคงอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เขาจึงรีบวิ่งลงบันไดไล่ตามเฉียวเหลียงไป เซียวจิ่งยืนอยู่หน้าลิฟต์ มองดูเลขบอกชั้นที่เลื่อนไปเรื่อยๆ พร้อมกับถอนหายใจ “ขอฉันพักหน่อยสิ!”


 


 


เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นของเขาอีกครั้ง เซียวจิ่งเอามือออกจากกระเป๋า และกำลังจะเข้าไปเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา เซียวจิ่งเลิกคิ้ว ไม่ได้สนใจเธอ และกำลังจะเดินเข้าลิฟต์ไป แต่ผู้หญิงคนนั้นจับแขนเขาไว้ เซียวจิ่งเลิกคิ้วขึ้นมองมือเธอที่จับแขนเขา แล้วขมวดคิ้วถามอย่างเย็นชา “มีอะไรหรือ” น้ำเสียงเขาเยือกเย็นและไร้อารมณ์


 


 


ใบหน้าฉินซินหยิ่งนิ่งขึง จากนั้นก็ยิ้มให้เขาในเชิงขอโทษ เธอเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่ง และถามเบาๆ “ประธานเซียว คุณไม่รู้จักฉันเหรอคะ”


 


 


เซียวจิ่งมองหน้าฉินซินหยิ่ง คำรามอย่างหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่ไม่ได้แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมา เขาขมวดคิ้วท่าทางงุนงงและถามว่า “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ผมต้องรู้จักคุณด้วยหรือ”


 


 


“เอ้อ…” ฉินซินหยิ่งตัวแข็ง สาปแช่งเซียวจิ่งอยู่ในใจ คิดว่าคนตระกูลเซียวนี่กวนประสาทเหมือนเซียวโหรวทุกคน โดยเฉพาะเซียวจิ่งคนนี้ เอาไว้เธอได้เป็นภรรยาเฉียวเหลียงเมื่อไร ผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้จะเป็นคนแรกที่เธอไล่ออก!


 


 


เมื่อคิดอย่างนี้เธอจึงยิ้มอ่อนโยน และกล่าวเบาๆ ว่า “เราเจอกันเมื่อหลายวันที่แล้ว ตอนที่ฉันไปหาท่านประธานแต่เขาไม่ได้อยู่ และฉันบังเอิญชนคุณ…” ขณะพูดเธอก้มศีรษะลงด้วยท่าทางเขินอาย


 


 


เมื่อเห็นท่าทางเสแสร้งของเธอ และคิดถึงสิ่งที่เธอทำกับเซียวโหรว เซียวจิ่งก็รู้สึกรังเกียจ และไม่อยากคุยกับเธออีก เขาเลิกคิ้ว พยักหน้าแล้วถามว่า “งั้นหรือ”


 


 


“เอ้อ…” ฉินซินหยิ่งท่าทางเงอะงะ และหยุดชะงักไปสองวินาที ก่อนจะบอกว่า “ฉันทำแฟลชไดรฟ์หายไปวันนั้น จนถึงวันนี้ฉันก็ยังหาไม่เจอ ฉันก็เลยอยากถามคุณว่าคุณเห็นแฟลชไดรฟ์บ้างไหมคะ วันนั้น”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเธอเซียวจิ่งก็นึกดูถูกเหยียดหยามฉินซินหยิ่งมากยิ่งขึ้น สิ่งที่โหรวโหรวพูดนั้นถูกต้อง ผู้หญิงคนนี้มีความสุขกับเกียรติยศทุกอย่างที่ได้มาจากงานของคนอื่น ผู้หญิงไร้ยางอาย! ตอนนี้เธอทำแฟลชไดรฟ์หาย ไม่สามารถขโมยความคิดผู้อื่นได้อีกต่อไป เธอจึงวิตกกังวลถึงกับมาถามเขา ยอมเสี่ยงที่จะถูกจับได้


 


 


“ขอโทษนะ ผมไม่เห็น เกรงว่าจะช่วยคุณไม่ได้” เซียวจิ่งมองหน้าฉินซินหยิ่งแล้วยิ้ม “ผมต้องไปแล้ว ลาก่อน”


 


 


ฉินซินหยิ่งรั้งเขาไว้ กล่าวว่า “แต่วันนั้นฉันเจอคุณแค่คนเดียว”


 


 


เซียวจิ่งมองตอบและยิ้มให้เธอ แต่รอยยิ้มนั้นช่างเยือกเย็น เขากล่าวอย่างเฉยเมย “คุณฉิน กรุณาคิดให้รอบคอบก่อนจะพูดอะไร ลองคิดดูให้ดีว่าคุณเจอแค่ผมจริงๆ หรือในวันนั้น แล้วอีกอย่าง คุณขึ้นไปแค่ชั้นหกสิบสามเท่านั้นหรือ”


 


 


หลังจบคำพูดนั้นเซียวจิ่งก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์


 


 



 


 


อาห้าเหงื่อโชกยืนรออยู่ที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง เมื่อเฉียวเหลียงมาถึงก็เลิกคิ้วมองดูอาห้า แล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีอะไร”


 


 


อาห้ากล่าวว่า “นายน้อยครับ ขอให้ผมขับรถให้นะครับ”


 


 


เฉียวเหลียงไม่พูดอะไร ยังคงล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเดินออกไปข้างนอกต่อไป อาห้ารีบตามเขาไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นกลุ่มนักข่าวที่ยังรออยู่ นักข่าวรีบเข้ามารุมล้อมทันทีและถ่ายรูปเฉียวเหลียงไม่หยุด เฉียวเหลียงหันไปด้วยสีหน้าเย็นชา นักข่าวบางคนลดกล้องลงเมื่อเห็นประกายตาวาววับของเขา ถึงตอนนี้จู่ๆ นักข่าวที่กล้าหาญคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น “ท่านประธานเฉียวครับ ประธานลู่บอกบนอินเทอร์เน็ตว่าคุณใช้ความรุนแรงกับเขา และทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงไหมครับ”


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนั้นเฉียวเหลียงก็หยุด แล้วหันไปหานักข่าวคนนั้น ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณคิดว่ายังไงล่ะ”


 


 


นักข่าวตกใจ กลืนน้ำลายแล้วกล่าวว่า “เอ้อ… ท่านประธานเซียวบอกว่าคุณไม่ได้ทำ ประธานลู่ใส่ร้ายคุณใช่ไหมครับ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม