พันธกานต์ปราณอัคคี 230-236

ตอนที่ 230 เสียไม้สะกดวิญญาณอย่างน่าเ...

 

มั่วชิงเฉินเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่ปูด้วยหยกเหลือง สองข้างคือร้านค้าที่เรียงกันอย่างแน่นหนาและเรียบร้อย หน้าร้านแขวนไว้ด้วยธงผ้าสีต่างๆ ธงพลิ้วไหวตามลม สีสันตระการตา ชื่อของร้านค้าก็แสดงต่อหน้าผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างสะดุดตา


 


 


มั่วชิงเฉินเพ่งพิศซ้ายขวา ร้านค้าประเภทร้านสมบัติวิเศษ ร้านโอสถพวกนี้ข้ามไปอย่างรวดเร็ว สนใจเพียงร้านขายของจิปาถะและหน้าร้านขนาดใหญ่


 


 


เดินได้พักหนึ่ง ร้านค้าขนาดใหญ่ที่บนป้ายยี่ห้อเขียนว่า ‘หอหมื่นสมบัติ’ ปรากฏขึ้นตรงหน้า มั่วชิงเฉินหยุดเดินแล้วพิจารณาขึ้นมาทันที


 


 


“อ้าว ท่านเซียน รีบเชิญข้างในขอรับ” เห็นมั่วชิงเฉินหยุดเดินชมดู หนึ่งในสองคนงานที่แยกกันยืนอยู่สองข้างนอกร้านเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงกระตือรือร้นกลับควบคุมระดับได้พอเหมาะพอเจาะ ทำให้คนฟังแล้วสบายยิ่งนัก


 


 


เพียงอาศัยข้อนี้ มั่วชิงเฉินก็มองฝีมือในการดำเนินกิจการของ ‘หอหมื่นสมบัติ’ นี้สูงขึ้นระดับหนึ่ง ในใจอดคาดหวังไม่ได้ว่าจะหาไม้สะกดวิญญาณพบ จึงยิ้มให้ลูกจ้างคนนั้น แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป


 


 


วันนี้นางใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม บนศีรษะนอกจากปลายเพียงเล็กน้อยของปิ่นหยกจันทร์เสี้ยวสีน้ำแข็งที่โผล่พ้นออกจากผมที่เกล้าอยู่ ก็มีเพียงดอกไม้มุกสีฟ้าดอกหนึ่งอยู่ด้านบน


 


 


การแต่งตัวที่สะอาดเรียบง่ายแม้ขับจนสีผิวของนางยิ่งขาวสะอาดขึ้น กลับกดบุคลิกที่แฝงด้วยความเยาว์วัยซุกซนยามปกติลงไปหลายส่วน ดูแล้วสุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น


 


 


เช่นนี้แล้วหากไม่ตั้งใจพิจารณาเป็นพิเศษ ในสายตาคนอื่นกลับไม่เป็นที่สะดุดตาขึ้นมาก เพราะอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่เดินทางอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่ล้วนมีตบะระยะต้น ระยะกลางเช่นนี้


 


 


หลังจากมั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ในโถงใหญ่ที่ครึกครื้นไม่มีใครมองนาง มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่แต่งตัวเป็นสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาว่า “ท่านเซียน ท่านต้องการสินค้าประเภทใดเจ้าคะ บ่าวสามารถแนะนำให้ท่านได้”


 


 


เมืองจงอวี๋นี้แม้ถูกขนานนามว่าเมืองเสรี ตกลงในนั้นมีกฎเกณฑ์ลู่ทางอะไรบ้างมั่วชิงเฉินกลับสองตามืดมน นางไม่สะดวกพูดจุดประสงค์ออกมาโดยตรง จึงว่า “ข้าไม่มีอะไรอยากซื้อเป็นพิเศษ เพียงแค่ลองดูก่อน”


 


 


สาวใช้ฟังแล้วยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้บ่าวก็ไม่รบกวนท่านเซียนแล้ว ท่านเซียนเชิญตามสบายเจ้าค่ะ ใช่แล้ว หากท่านเซียนไม่มีเป้าหมายเป็นพิเศษ สามารถไปดูที่โถงตะวันตกชั้นสองได้ สิ่งที่ขายที่นั่นเป็นสินค้าร้อยแปดพันเก้าที่จัดเข้าพวกไม่ได้ ไม่แน่ท่านเซียนอาจเจอของที่พึงใจก็ได้”


 


 


มั่วชิงเฉินมองสาวใช้ปราดหนึ่ง เห็นเพียงรอยยิ้มที่พอเหมาะพอเจาะของนาง แอบคิดว่าสาวใช้คนนี้จับความคิดของลูกค้าได้แม่นยำจริงๆ หลังจากพยักหน้าขอบคุณแล้วก็เดินไปชั้นสอง


 


 


ชั้นสองแบ่งเป็นตะวันออกตะวันตกสองโถง มั่วชิงเฉินตรงเข้าโถงตะวันตกไป


 


 


ด้านในโถงตะวันตกกว้างขวางมาก ชั้นวางของมากมายวางไว้อย่างกระจัดกระจายแต่ไม่ยุ่งเหยิง ชั้นวางของพวกนี้มีกลมมีเหลี่ยม มีสูงมีต่ำ สิ่งที่เหมือนกันคือนอกจากด้านที่อยู่ล่างสุด ด้านอื่นโปร่งใสหมด ในชั้นวางของแบ่งจัดประเภทของสินค้าหลากหลายอย่างไว้ คนซื้อเดินสักรอบหนึ่ง ก็สามารถเห็นหน้าตาของสินค้าและการแนะนำจนหมด


 


 


การเลือกสินค้าเช่นนี้ช่างสะดวกโดยแท้ มั่วชิงเฉินแอบพยักหน้า พิจารณาไปทีละชั้นๆ พบว่าสินค้าในชั้นวางของพวกนี้ร้อยแปดพันเก้าจริงๆ มีของมากมายหากนางไม่ดูการแนะนำสินค้าที่อยู่ข้างๆ จะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดเลย


 


 


และมีสินค้าบางอย่าง กระทั่งทางร้านก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ไว้ มั่วชิงเฉินดูจนงงไปหมด


 


 


ค้นหาเดินดูเช่นนี้เกือบหนึ่งชั่วยาม มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย แล้วหยุดลงที่หน้าชั้นวางของชั้นหนึ่ง


 


 


ชั้นวางของนี้ไม่ใหญ่นัก ด้านล่างกลับเป็นหยกดำ เพียงเข้าใกล้เช่นนี้ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกเป็นสายกระจายออกจากด้านใน และมุมหนึ่งของชั้นวางของนี้มีถาดที่ทำจากไม้ใบหนึ่ง ด้านบนวางขอนไม้สีม่วงดำยาวครึ่งฉื่อไว้ชิ้นหนึ่ง ป้ายเล็กๆ แผ่นหนึ่งในถาดวางเขียนไว้อย่างสะดุดตาว่า ‘ไม้สะกดวิญญาณ’ และอธิบายคุณสมบัติของสิ่งนี้ไว้อย่างง่ายๆ


 


 


มั่วชิงเฉินอดดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้ นี่ช่างย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา หาไม้สะกดวิญญาณได้ที่นี่ก็นับว่าจัดการเรื่องในใจได้เรื่องหนึ่งแล้ว


 


 


มองไปรอบๆ มั่วชิงเฉินพบว่าแต่ละมุมของโถงใหญ่ล้วนมีสาวใช้ส่วนหนึ่งยืนอยู่ มีผู้บำเพ็ญเพียรกวักมือเรียกสาวใช้พวกนั้นเป็นระยะ สาวใช้พวกนั้นก็จะเดินอย่างมีมารยาทเข้าไปแนะนำสินค้าที่ลูกค้าสนใจให้พวกเขา


 


 


มั่วชิงเฉินรีบเลียนแบบกวักมือเรียกสาวใช้ที่อยู่ใกล้ที่สุดคนหนึ่ง จากนั้นดึงสายตากลับมามองไปที่ไม้สะกดวิญญาณใหม่


 


 


ทว่าที่ทำให้นางต้องงงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ไม่คิดเลยว่าไม้สะกดวิญญาณจะหายไปในพริบตาต่อหน้าต่อตานางทั้งเช่นนี้ เหลือไว้เพียงถาดวางอันว่างเปล่า จากนั้นป้ายเล็กๆ บนถาดวางก็ล้มดัง ‘แปะ’ ลงมา ด้านที่สลักตัวอักษรไว้คว่ำลง ด้านที่หงายขึ้นเขียนไว้ว่า ‘ขายแล้ว’ สองคำ


 


 


“หา?” มั่วชิงเฉินออกแรงขยี้ตา


 


 


ในยามนี้เองก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งว่า “ไม่ทราบท่านเซียนต้องการสิ่งใดเจ้าคะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ทันได้สนใจสิ่งอื่นอีกแล้ว นิ้วชี้ที่ถาดไม้นั่นว่า “สินค้าบนถาดวางนั่นเหตุใดจู่ๆ ก็ไม่เห็นแล้ว?”


 


 


สาวใช้เม้มปากยิ้มว่า “ท่านเซียนไม่รู้อะไร ที่เรานี่หากลูกค้าท่านใดถูกใจสิ่งใดเข้า ก็จะซัดปราณวิญญาณของตนเข้ารูเล็กๆ นี้ รอยามที่ลูกค้าไปคิดเงินที่ตู้ที่อยู่ที่ทางออก สินค้าที่เขาถูกใจก็จะหายจากตรงนี้ไปปรากฏบนตู้นั้นเจ้าค่ะ”


 


 


เช่นนี้แล้ว คนที่ซื้อไม้สะกดวิญญาณไปเกรงว่ายังไม่ออกจากที่นี่! มั่วชิงเฉินรีบกล่าวขอบคุณสาวใช้ แล้วรีบเดินไปที่ทางออก


 


 


ทางออกตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของโถงตะวันตก ที่นั่นมีตู้ขนาดสูงครึ่งตัวคนใบหนึ่ง หลังตู้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่ท่าทางเหมือนสาวใช้ยืนอยู่สองคน หน้าตู้กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งยืนอยู่


 


 


มั่วชิงเฉินรีบเดินเข้าไป


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นจู่ๆ ก็หันหน้ามา กวาดมั่วชิงเฉินอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง และในยามนี้เองมั่วชิงเฉินดูเหมือนชนเข้ากับกำแพงขวางกั้นที่มองไม่เห็น ถูกดีดจนถอยกลับมาก้าวหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาว่า “ท่านเซียน ขอให้ท่านนั่งทางนี้สักครู่เจ้าค่ะ รอท่านเซียนข้างหน้าจากไปท่านค่อยเข้าไป” พูดพลางชี้ไปที่ที่นั่งที่อยู่ข้างๆ


 


 


มั่วชิงเฉินถึงเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน ที่แท้ในขอบเขตที่กำหนดไว้ใกล้ๆ ตู้ล้วนตั้งค่ายกลอันแยบยลไว้ เมื่อมีคนคิดเงินคนข้างหลังจะไม่สามารถเข้าใกล้ได้ เช่นนี้แล้วก็เป็นการยกระดับความปลอดภัยของลูกค้าอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ข้างๆ เพียงชั่วครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นก็จากไปเงียบๆ มองไม่เห็นของที่นางซื้อว่าคือสิ่งใดโดยสิ้นเชิง


 


 


ทว่ามั่วชิงเฉินกลับมีลางสังหรณ์บางอย่าง คนที่ซื้อไม้สะกดวิญญาณไปต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน


 


 


มั่วชิงเฉินลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ ที่อัศจรรย์คือกำแพงขวางกั้นที่มองไม่เห็นกลับสัมผัสไม่ได้แล้ว


 


 


“ท่านเซียนไม่มีของที่ถูกใจสามารถจากไปได้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งพูดกับมั่วชิงเฉินที่เดินเข้ามาว่า


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แล้วเดินลงบันไดไปโดยตรง


 


 


รอมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นเดินออกจากประตูร้านพอดี เหลือเพียงเงาหลังสีเขียว


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมากรีบเดินตามไป แล้วเรียกเสียงกังวานว่า “สหายเต๋าโปรดรอสักครู่”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่อยู่ข้างหน้าหยุดเดิน แล้วหมุนตัวมา มองดูมั่วชิงเฉินที่ไล่ตามมา ด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “มีเรื่องอันใด?”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้ว่าการที่ตนทำเช่นนี้เสียมารยาทมาก ทว่าไม้สะกดวิญญาณสำหรับนางแล้วสำคัญมากเหลือเกินจริงๆ จึงทนทำหน้าหนาว่า “สหายเต๋า ขอคุยด้วยสักครู่ได้หรือไม่?”


 


 


“ข้าและสหายเต๋าไม่รู้จักกัน น่าจะไม่มีสิ่งใดต้องพูด ขออภัย!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานน้ำเสียงเย็นชาพูดจบก็จะหมุนตัวจากไป


 


 


มั่วชิงเฉินร้อนใจยิ่งนัก รีบเดินเร็วๆ สองก้าวว่า “สหายเต๋า น้องรู้ว่าการทำเช่นนี้เสียมารยาทยิ่งนัก ทว่าน้องต้องการของที่เจ้าซื้อเป็นการเร่งด่วนจริงๆ หากสหายเต๋ายอมตัดใจ น้องต้องขอขอบคุณอย่างหนักแน่นอน”


 


 


พอคำพูดนี้หลุดออกไปผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานก็สีหน้าเปลี่ยนทันที สายตาที่มองมั่วชิงเฉินยิ่งเย็นชาขึ้น คำพูดดังน้ำแข็งว่า “สหายเต๋าล้อเล่นแล้ว ข้าซื้อสิ่งใดและเจ้าต้องการสิ่งใดไม่เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย ขอให้สหายเต๋าให้เกียรติตนเองด้วย!”


 


 


พูดจบ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งเหมือนตักเตือน จากนั้นจากไปอย่างสง่างาม


 


 


มั่วชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม แล้วยิ้มอย่างขมขื่น


 


 


การกระทำในวันนี้ของตนบุ่มบ่ามไปแล้วจริงๆ ทำผิดสิ่งต้องห้ามของผู้บำเพ็ญเพียร มิน่าคนเขาถึงชักสีหน้าใส่ตน


 


 


หึๆ ดูแล้วสภาพจิตใจของตนยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงขั้น ปกติเห็นโอสถยาวิเศษ ดอกไม้มหัศจรรย์หญ้าประหลาดแล้วจิตใจไร้เกลียวคลื่นเพียงเพราะตนมีขวดน้ำเต้าเซียน สามารถเร่งสมุนไพรทิพย์ต่างๆ ให้โตได้เท่านั้น ทว่าเมื่อพบของที่ปรารถนา ก็สูญเสียสภาพจิตใจที่สงบ


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะตนเอง พูดถึงที่สุดแล้ว ที่ปกติตนไม่แยแสต่อของนอกกายพวกนี้ก็เป็นเพราะได้มาง่ายเกินไปเท่านั้น แต่ไม่ใช่ควบคุมความปรารถนาได้ดังใจได้อย่างแท้จริง ดูท่าหนทางแห่งการฝึกฝนจิตใจของตนยังอีกยาวไกลนัก


 


 


คิดเช่นนี้ไปพลาง มั่วชิงเฉินก็สงบใจลงมา แม้รู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่คลาดกันกับไม้สะกดวิญญาณแต่ก็ไม่คิดมากอีก หากแต่เดินดูของต่อขึ้นมา


 


 


น่าเสียดายที่เดินทั่วร้านค้าที่อาจมีไม้สะกดวิญญาณอยู่กลับหาเงาของไม้สะกดวิญญาณไม่พบอีกเลย


 


 


มาถึงสุดทางร้านค้าก็คือตลาดใหญ่แห่งหนึ่ง ข้างในมีแผงของขายนับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญเพียรเดินกันขวักไขว่ เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาดสาย มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนหลงเข้ามาในตลาดสดในพริบตา


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้นางยังคงอดทนกวาดสายตามองแผงขายของส่วนใหญ่รอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว รอถึงยามที่ออกจากตลาดก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว กลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ


 


 


แม้เวลาไม่เช้าแล้ว มั่วชิงเฉินกลับไม่คิดจะค้างแรม หลังจากเดินออกจากเมืองจงอวี้โดยไม่หยุดพักก็มุดเข้าชามกระเบื้องใบใหญ่บินสู่ทิศตะวันตกต่อ


 


 


นอกจากไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้ว บัดนี้นางมีอาวุธเวทเหินหาวสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือชามใหญ่ที่ได้มาก่อนนี้นานมากแล้ว อีกชิ้นหนึ่งคือเรือเมฆาที่ได้จากในท้องของปลาประหลาด


 


 


ว่ากันตามความเร็วแล้วเรือเมฆาต้องเร็วกว่าสักหน่อย ทว่าชามใหญ่กลับมีคุณสมบัติในการป้องกันควบคู่ด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางช่วงกลางวันมั่วชิงเฉินก็ใช้เรือเมฆา ถ้ากลางคืนละก็ก็เปลี่ยนเป็นชามใหญ่


 


 


ชามใหญ่อยู่กับมั่วชิงเฉินมาหลายปีมากแล้ว มั่วชิงเฉินควบคุมมันได้ถนัดมือขึ้นมาก ใช้พลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยขับเคลื่อน ชามใหญ่ก็บินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง


 


 


ไม่รู้บินมานานเท่าไร มั่วชิงเฉินที่นั่งขัดสมาธิหลับตาบำเพ็ญเพียรอยู่ในชามใหญ่รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเสียแล้ว


 


 


ทว่าในยามที่นางเอนตัวราบลงไปคิดจะนอนอย่างสบายสักตื่น กลับสัมผัสความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่รุนแรงสายหนึ่งในทันใด


 


 


มั่วชิงเฉินตาสว่างขึ้นในพริบตา ร่อนลงบนพื้นเงียบๆ เก็บชามใหญ่ขึ้น แล้วปล่อยจิตตระหนักตรวจสอบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง


 


 


เก็บจิตตระหนักกลับมา สีหน้านางกลับประหลาดเล็กน้อย ที่แท้ในวัดร้างไม่ห่างออกไปมีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือด คนหนึ่งในนั้นไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่ซื้อไม้สะกดวิญญาณไปคนนั้น


 


 


ไม่รู้จักกัน มั่วชิงเฉินก็ไม่ใช่คนประเภทชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ อย่างไรเสียคนอื่นสู้กันเพราะเหตุอันใด ใครถูกใครผิดตนล้วนเลือนรางไม่รู้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำเป็นไม่เห็น


 


 


ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่สู้อยู่อีกคนหนึ่งกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ตั้งแต่ตระกูลมั่วถูกคนชุดแดงที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารฆ่าล้างตระกูล มั่วชิงเฉินก็ไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้บำเพ็ญเพียรมาร เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงเก็บงำกลิ่นอายของตน ตัดสินใจคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ

 

 

 


ตอนที่ 231 การกระทำที่ขัดแย้งกัน

 

 


 


อาวุธเวทที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารใช้คือดาบวงพระจันทร์เล่มหนึ่ง ดาบวงพระจันทร์ส่องแสงเย็นเยือกแปลบปลาบท่ามกลางแสงจันทร์ ที่ที่วาดผ่านปราณดำพลุ่งพล่านเป็นสายๆ ส่วนในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวกลับเป็นกระบี่ยาวแดงสดทั้งเล่ม เปลวไฟไหลเวียนอยู่บนกระบี่ คลื่นความร้อนแผดเผา


 


 


ทั้งสองคนต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด แสงวิญญาณแดงดำสองสีปะทะพันเกี่ยวกัน ส่องวัดร้างจนสว่างดุจกลางวัน


 


 


มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ข้างๆ เพ่งสมาธิดู กลับดูออกว่าตามที่เวลาผ่านไปผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


 


 


เพียงชั่วครู่ ก็เห็นดาบวงพระจันทร์ในมือผู้บำเพ็ญเพียรมารจู่ๆ ก็บินขึ้นไปหมุนอยู่กลางอากาศ


 


 


ดาบวงพระจันทร์ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว เร็วจนไม่เห็นเงาของดาบวงพระจันทร์แล้ว ตรงกันข้ามกลับเหมือนพระจันทร์สีดำดวงหนึ่งแขวนอยู่กลางฟ้า


 


 


ตามติดมาด้วยพระจันทร์สีดำขยายขึ้นโดยพลัน ชั่วพริบตาก็เอ่อปราณดำปริมาณมากออกมาท่วมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวจนมิด


 


 


เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้น หลังจากปราณดำสลายไปก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวสีหน้าขาวดุจหิมะ กระบี่แดงในมือเสียบลงพื้นพยายามประคองร่างกายไว้


 


 


“หลัวชิงอวี่ เจ้าแพ้แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรมารพูดอย่างเย็นชา ฟังเสียงแล้วท่าทางยังหนุ่มมาก


 


 


ที่แท้นางชื่อหลัวชิงอวี่ ดูท่าทางของทั้งสองคนดูเหมือนรู้จักกัน มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ข้างๆ แอบคิด


 


 


หลัวชิงอวี่ชุดเขียวกระบี่แดง ขับให้สีผิวยิ่งขาวสะอาดดุจหิมะ นางเม้มปากไว้แน่น มองผู้บำเพ็ญเพียรมารที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


“หลัวชิงอวี่ หากเจ้าตามข้ากลับไป เรื่องในอดีตข้าก็ให้แล้วกันไป!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารพูดอีกว่า


 


 


ครั้งนี้ในที่สุดหลัวชิงอวี่ก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว จู่ๆ นางก็ถ่มน้ำลายเบาๆ ทีหนึ่ง หัวเราะเย้ยว่า “คนแซ่จู เจ้าฝันไปเถอะ หากคิดจะให้ข้าตามเจ้ากลับไป ยกเว้นเอาศพของข้ากลับไป!”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารหรี่ตา กลิ่นอายรอบกายยิ่งเย็นเยียบขึ้นทันที ในคำพูดแฝงด้วยความโกรธที่กลั้นไม่อยู่ “หลัวชิงอวี่ อย่าลืมนะตระกูลหลัวของพวกเจ้าได้ยกเจ้าให้ข้าแล้ว เจ้าหนีไปโดยไม่รับผิดชอบเช่นนี้ ก็ไม่กลัวว่าจะนำภัยล้างตระกูลมาให้ตระกูลหลัวของพวกเจ้าหรืออย่างไร?”


 


 


เมื่อพูดออกไป ก็เห็นใบหน้าขาวดุจหิมะของหลัวชิงอวี่แดงก่ำขึ้นทันที กลับเป็นเพราะไฟโกรธ “ตระกูลหลัว? ฮ่าๆๆ ตั้งแต่หัวหน้าตระกูลหลัวยกข้าให้เจ้า นั่นก็ไม่ใช่บ้านข้าแล้ว พวกเขาจะเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? อีกอย่าง พวกเจ้าหากคิดจะล้างตระกูลหลัวก็ล้างไปนานแล้ว ไยต้องรอถึงวันนี้ด้วย? คนแซ่จู เจ้าอย่านึกว่าใต้หล้านี้มีเจ้าฉลาดคนเดียว”


 


 


“พูดถึงที่สุด เจ้าก็ทำเพราะคนคนนั้นใช่หรือไม่ เขาตายไปแล้ว เจ้าอย่าโง่งมงายอีก!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารไฟโกรธยิ่งโหมยิ่งแรง


 


 


หลัวชิงอวี่หัวเราะเย้ยว่า “เป็นแล้วอย่างไร? ตายแล้วอย่างไรอีก? หรือว่าเจ้านึกว่าเขาตายแล้ว ข้าก็จะหันมามองเจ้าเช่นนั้นหรือ?”


 


 


ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรมารก็ทนไม่ไหว พุ่งไปข้างหน้าจับปกเสื้อด้านหน้าของหลัวชิงอวี่ไว้ หัวเราะอย่างชั่วร้ายว่า “เป็นเช่นนั้นหรือ? วันนี้ข้าจะลองดูว่าเจ้ายังจะแสร้งทำสูงส่งอย่างไรอีก!”


 


 


พูดจบก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรมารหิ้วหลัวชิงอวี่ลอยขึ้น แล้วโยนไปบนกองฟางที่อยู่ด้านในสุดของวัดร้างอย่างไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อย


 


 


ว่ากันตามหลักแล้วในถุงเก็บวัตถุของผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางอยู่ข้างนอกล้วนเก็บของใช้ประจำวันไว้ รวมทั้งพวกผ้าห่มที่นอน ไม่รู้ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้ตั้งใจจะระบายหรือว่าชอบอะไรไม่เหมือนใคร แล้วก็ทับขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอันชั่วร้ายทั้งอย่างนี้อย่างไม่คาดคิด มือหนึ่งกดหลัวชิงอวี่ที่ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตไว้อย่างแน่นหนา มือหนึ่งฉีกชุดเขียวบนตัวนางอย่างหยาบโลน


 


 


จู่ๆ มั่วชิงเฉินที่หลบที่ในที่ลับก็รู้สึกเสียใจในความอยากรู้อยากเห็นของตนแล้ว หากยามนั้นจากไปโดยตรงนางก็จะไม่รู้สึกผิด ทว่าบัดนี้จะให้นางมองสตรีคนหนึ่งถูกผู้ชายใช้กำลังต่อหน้าต่อตา นางกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้


 


 


ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ในการรับรู้ของมั่วชิงเฉิน ผู้บำเพ็ญเพียรมารแทบจะเป็นคนอำมหิตทั้งหมด ตนไม่ออกหน้าก็แล้วไป หากปรากฏตัวขึ้นขัดขวางนั่นก็จำเป็นต้องฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้เสีย ถึงเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดตามมาได้


 


 


มั่วชิงเฉินต่อสู้ในใจเพียงชั่วครู่ กระโปรงสีเขียวของหลัวชิงอวี่ก็เหมือนผีเสื้อสีเขียวมากมายหล่นเต็มพื้นไปหมด แสงจันทร์อันเย็นชาสาดอยู่บนร่างขาวสะอาดดั่งหยกของนาง กลับทำให้รู้สึกถึงความลี้ลับอันศักดิ์สิทธิ์และหรุบรู่


 


 


แววตาของผู้บำเพ็ญเพียรมารร้อนแรงขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาไม่ย้ายออกจากสตรีตรงหน้าแม้ชั่วครู่ มือกลับขยับเร็วยิ่ง ชั่วพริบตาก็ถอดเสื้อผ้าบนตัวหมดเกลี้ยง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย


 


 


หลัวชิงอวี่ที่นอนอยู่บนพื้นตัวแข็งทื่อเหมือนคนตาก็ไม่ปานไม่ขยับเขยื้อน ความเกลียดแค้นในตากลับพุ่งทะลุฟ้า มองผู้ชายที่ค่อยๆ ก้มตัวลงมาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “จูเสี้ยวอวี่ ขอเพียงข้าหลัวชิงอวี่ไม่ตาย ต้องมีสักวันจะสับเจ้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ถูกเรียกว่าจูเสี้ยวอวี่หัวเราะว่า “เจ้านึกว่าจะมีวันนั้นเช่นนั้นหรือ หลังจากวันนี้เจ้าก็เป็นคนของข้า ข้าอยากทำเช่นไรก็ทำเช่นไร เจ้าทำได้เพียงทนไว้ ก็เฉกเช่นบัดนี้!” พูดถึงตรงนี้จูเสี้ยวอวี้ก็ทับตัวลงไป


 


 


ในเวลานี้เอง!


 


 


มั่วชิงเฉินในที่ลับในตาไม่มีเกลียวคลื่นสักสาย ราวกับสิ่งที่จ้องไม่ใช่ร่างกายสองร่างที่เปล่าเปลือย หากแต่เป็นอสูรปีศาจที่เคยฆ่ามาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ซัดเข็มสีเขียวเข้มในมือกำหนึ่งออกอย่างแรง จู่โจมไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารรวดเร็วดั่งดาวตก


 


 


ที่จริงเข็มสีเขียวเข้มนี้ก็เกิดจากเถาวัลย์สีเขียวเข้มในสวนสมุนไพรมั่วชิงเฉิน ละเอียดแหลมคม ที่หายากคือยามที่ซัดออกการกระเพื่อมของพลังวิญญาณต้องน้อยกว่าอาวุธเวทประเภทเข็มบินมากนัก เหมาะสมยิ่งนักในการลอบจู่โจม


 


 


ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นยังจิตใจจดจ่ออยู่บนร่างสตรีตรงหน้า ภายใต้โอกาสอันยอดเยี่ยมเข็มแหลมสีเขียวเข้มหลายเล่มหายเข้าไปด้านหลังผู้บำเพ็ญเพียรมารอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรมารร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่ง กระโดดตัวขึ้นในบัดดลแล้วล้มลงพื้นกลิ้งไปหลายตลบ พลางกลิ้งพลางอัญเชิญอาวุธเวทดาบวงพระจันทร์ออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารนี่ความตระหนักในการต่อสู้ไม่เลว กลับไม่ได้ให้โอกาสเขาอีก โยนระเบิดสะท้านฟ้าสองลูกที่เตรียมไว้นานแล้วดัง ‘สวบ’ เข้าไป


 


 


หลังเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่ง วัดร้างพังไปครึ่งหนึ่ง


 


 


รอฝุ่นควันกระจายไป มั่วชิงเฉินรีบเดินไปที่ที่หลัวชิงอวี่นอนอยู่ ยังดีด้านนี้ของวัดร้างยังนับว่าสมบูรณ์ดี บนร่างหลัวชิงอวี่หล่นเต็มไปด้วยเศษไม้เศษดิน กำลังไออย่างรุนแรงเพราะสำลัก ร่างกายกลับแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน


 


 


“สหายเต๋า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” การพบกันเช่นนี้ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจริงๆ มั่วชิงเฉินแข็งใจทักทาย


 


 


“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ…” หลัวชิงอวี่ไอพลางพูดว่า เมื่อเห็นหน้าของมั่วชิงเฉินแล้วชะงักในทันทีทันใด ร้องด้วยความตกใจว่า “เป็นเจ้า!”


 


 


เห็นแววตาหลัวชิงอวี่เต็มไปด้วยความระแวง มั่วชิงเฉินก็ไม่อยากหาเรื่องให้ตนเองลำบากใจ จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “น้องเอง”


 


 


“เจ้าสะกดรอยตามข้า?” หลัวชิงอวี่ถามทันทีว่า


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มมุมปากขึ้น แล้วก้มตัวลงไป


 


 


หลัวชิงอวี่พูดเสียงร้ายกาจว่า “เจ้าจะทำอะไร บนตัวข้าไม่มีของที่เจ้าอยากได้!”


 


 


มั่วชิงเฉินจะยิ้มก็ไม่ยิ้มเหลือบมองหลัวชิงอวี่ปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้ารู้ว่าบนตัวเจ้าไม่มี”


 


 


หลัวชิงอวี่ได้ยินดังนั้นจึงหลุบสายตาลง ถึงรู้สึกตัวถึงนัยในคำพูดของมั่วชิงเฉิน ยามนี้นางเกลี้ยงเกลาจนเกลี้ยงเกลาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว บนตัวมีของอะไรได้ถึงแปลกน่ะสิ


 


 


หลัวชิงอวี่หน้าแดงแปร๊ด ยิ่งมองสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของมั่วชิงเฉินก็ยิ่งอารมณ์เสีย ถลึงตาใส่นางอย่างดุดัน เสียดายที่ขยับเขยื้อนไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมาจับไปที่ข้อมือหลัวชิงอวี่ หลัวชิงอวี่หน้าถอดสี หลุดปากออกมาว่า “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักงัน จากนั้นพูดอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “ข้าไม่คิดจะทำอะไรจริงๆ และก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน สหายเต๋า หากเจ้าคิดจะอยู่แบบขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นนี้ เช่นนั้นน้องก็ขอตัวก่อนแล้ว” พูดพลางยืดตัวตรงขึ้นมาก้าวเท้าเดินไป


 


 


หลัวชิงอวี่กัดริมฝีปากไว้แน่น นางรู้ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อคนที่เพิ่งช่วยตนไว้เกินไปสักหน่อยแล้ว


 


 


ทว่าหญิงสาวคนนี้จู่ๆ ก็ออกมาขวางทางไปของตนในเมืองจงอวี๋ คิดจะซื้อของของตน บัดนี้มาปรากฏตัวในวัดร้างนี้ช่วยตนไว้อย่างทันท่วงทีอีก จะบอกว่าบังเอิญ นางยากจะเชื่อจริงๆ


 


 


หากบอกว่านางมีจุดประสงค์…เช่นนั้นต้องเป็นของที่ตนซื้อที่หอหมื่นสมบัติเป็นแน่!


 


 


นึกถึงตรงนี้หลัวชิงอวี่สีหน้าเย็นชาลง ไม้สะกดวิญญาณชิ้นนั้นกว่าตนจะหาเจอไม่ใช่ง่ายๆ เพื่อซื้อมันไว้แทบจะใช้ของทั้งหมดที่มีอยู่ นางไม่มีทางมอบออกไปเด็ดขาด


 


 


ได้ยินข้างหลังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวหันหน้าไป กลับเห็นหลัวชิงอวี่นอนอยู่บนกองฟางอย่างโดดเดี่ยว บนร่างไม่มีสิ่งปกปิดใดๆ มีเศษไม้เศษดินเต็มไปหมด ตาจ้องข้างหน้าไม่กะพริบ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา


 


 


สุดท้ายมั่วชิงเฉินก็เกิดเวทนาขึ้นมา ส่ายศีรษะแล้ววกกลับไป แล้วยื่นมือจับข้อมือนางไว้ท่ามกลางสายตาระแวงของหลัวชิงอวี่ ส่งพลังวิญญาณเข้าไป


 


 


ที่แท้ชีพจรของหลัวชิงอวี่ถูกปราณมารหยุดไว้ ชีพจรติดขัดพลังวิญญาณไม่หมุน ถึงขยับเขยื้อนไม่ได้


 


 


ได้ความช่วยเหลืองจากพลังภายนอกที่มาจากมั่วชิงเฉิน ปราณมารที่วนเวียนอยู่ที่ชีพจรของหลัวชิงอวี่ในที่สุดก็ถูกพลังวิญญาณกลืนกิน หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หลัวชิงอวี่รีบกระโดดขึ้นมาทันที สายตาสอดส่องไปทั่วเห็นถุงเก็บวัตถุที่อยู่ข้างเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นแล้วตาเป็นประกาย กวักมือทีหนึ่งหยิบถุงเก็บวัตถุไว้ในมือ จากนั้นหยิบชุดกระโปรงสีเขียวออกมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว


 


 


มั่วชิงเฉินไม่แยแส เดินตรงไปด้านที่พังครืนลงของวัดร้าง


 


 


สายตาหลัวชิงอวี่จ้องมั่วชิงเฉินไม่กะพริบ ไม่รู้นางจะทำอะไร มีใจอยากจากไปเสียดายที่พลังวิญญาณในกายไม่พอ เดินทางเช่นนี้มีแต่อันตรายรอบด้าน ทว่าจะอยู่ต่อละก็ก็ไม่กล้านั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ กลัวมั่วชิงเฉินฉวยโอกาสชิงไม้สะกดวิญญาณ


 


 


ชั่วเวลาหนึ่งหลัวชิงอวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา ได้เพียงมองมั่วชิงเฉินอย่างงงงัน


 


 


“เจ้า เจ้าทำอะไรอยู่?” ดูอย่างครึ่งค่อนวัน ในที่สุดหลัวชิงอวี่ก็ทนไม่ไหวถามขึ้นว่า


 


 


มั่วชิงเฉินร่ายคาถาพายุหมุนขนเศษไม้ดินกรวดบางส่วนไป หน้าก็ไม่หันกลับว่า “คุ้ยศพออกมา”


 


 


“ศพ?” หลัวชิงอวี่ได้สติขึ้นมา ใบหน้าฉายแววหายแค้น


 


 


“ใช่น่ะสิ ขุดมันออกมา” มั่วชิงเฉินตอบ


 


 


หลัวชิงอวี่สีหน้าเย็นชาลง “เอาศพของจอมมารนั่นออกมาทำอะไร? หรือว่ายังจะขุดหลุมฝังขึ้นมาหรืออย่างไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินก็เข้าใจจิตใจของหลัวชิงอวี่ ไม่ว่าหญิงคนไหนเกือบถูกผู้ชายทำให้มีมลทิน ก็แทบอยากให้เขาตายไร้ที่ฝังศพทั้งนั้น


 


 


“สหายเต๋า คนคนนี้แม้สมควรตายกลับไม่มีความแค้นกับน้อง น้องฆ่าเขาแล้วแม้ไม่รู้สึกผิด กลับก็ไม่อยากปล่อยให้เขาต้องถูกทิ้งศพไว้ที่นี่ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


“จอมปลอม!” หลัวชิงอวี่หลุดปากออกมา จากนั้นนึกได้ว่าอย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็ต้องฆ่าคนเพราะช่วยตน จึงอดเจี๋ยมเจี้ยมไม่ได้แล้วไม่พูดอะไรอีก


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าก็ไม่หันกลับไป เพียงแต่ยิ้มนิ่งเรียบ ไม่แน่การกระทำของตนในสายตาคนอื่นก็คงจะจอมปลอมจริงๆ กระมัง


 


 


ทว่ายามที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารช่วยหลัวชิงอวี่ในใจตนไม่รู้สึกผิด บัดนี้คิดจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ลงดินสู่สุคติ ในใจก็สงบสุขเช่นกัน นี่ก็เพียงพอแล้ว


 


 


สุดท้ายศพก็ถูกคุ้ยออกมา ดูแล้วน่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้ มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้ดูมาก ขุดหลุมขึ้นตรงนั้นแล้วฝังกลบศพลงไป ถึงปัดๆ เสื้อผ้าบนตัวแล้วหมุนตัวไป


 


 


“สหายเต๋า น้องก็ขอตัวก่อนแล้วนะ” เดิมทีมั่วชิงเฉินก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดจากสตรีคนนี้อยู่แล้ว ดูออกว่านางระแวงไปเสียทุกที่ ย่อมขี้เกียจอยู่ต่อให้ตนเองต้องลำบากใจ


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินอัญเชิญชามกระเบื้องใบใหญ่ออกมาแล้วกระโดดเข้าไป พริบตาเดียวก็บินออกไปไกล สีหน้าของหลัวชิงอวี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอ่านความรู้สึกไม่ออก แล้วลูบที่เอวอย่างไม่รู้ตัว 

 

 


ตอนที่ 232 นกพิราบมายึดรังนกกางเขน

 

มั่วชิงเฉินขลุกอยู่ในชามใหญ่ เจอความเคลื่อนไหวประเภทอะไรผู้บำเพ็ญเพียรตีกัน อสูรปีศาจแก่งแย่งชิงดีกันล้วนอ้อมไปไกลๆ เช่นนี้บินติดต่อกันอีกหลายสิบวัน ค่อยๆ มาถึงมุมหนึ่งที่อยู่สุดทิศตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน


 


 


ในวันนี้ มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดลงจากชามใหญ่ ร่อนลงในป่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เดินออกจากป่าระยะทางเพียงไม่กี่ลี้ ก็เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว จิตตระหนักไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เมืองขนาดเท่านกกระจอกเช่นนี้ นางใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่งก็พบว่าที่นี่ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวของผู้บำเพ็ญเพียรใดๆ น่าจะเป็นเมืองเล็กๆ ของคนธรรมดาเมืองหนึ่ง


 


 


คิดแล้วก็ใช่ ที่นี่ใกล้เมืองลั่วหยางมาก แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ผู้บำเพ็ญเพียรเมืองลั่วหยางในปีนั้นก็แทรกตัวอยู่ตามตัวเมือง ชาวเมืองธรรมดาส่วนใหญ่เพียงแต่ได้ยินคนอื่นลือกันปากต่อปากรู้ว่ามีเซียนอยู่ มีคนไม่น้อยเพียงถือว่าฟังนิทานเท่านั้น เมืองเล็กๆ เช่นนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นเรื่องปกติมาก


 


 


ที่มั่วชิงเฉินไม่ได้ไปเมืองลั่วหยางโดยตรง ก็เพราะพริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสามสิบปีแล้ว สถานการณ์ที่นั่นเป็นเช่นไรกันแน่ก็ยากจะคาดเดาได้จริงๆ ทว่าคิดดูแล้วน่าจะยังคงสภาพเซียนและคนธรรมดาปนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ลองเดินดูที่เมืองเล็กๆ นี่ก่อนทำความคุ้นเคยเสียหน่อย เพื่อสะดวกให้ตนเองปลอมเป็นหญิงธรรมดาปนเข้าเมืองไป


 


 


มั่วชิงเฉินเดินอยู่ในถนนในเมือง พบว่าสตรีที่นี่ส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าป่าน ใช้สีเขียว ฟ้าเป็นหลัก หญิงแต่งงานอายุน้อยที่หน้าตาสะสวยไม่กี่คนใส่สีแดง เขียวที่สดใส เผยให้เห็นความงามที่บริสุทธิ์มีชีวิตชีวา


 


 


ทว่าต่อให้นางใส่เรียบง่ายสักเพียงใด กลับไม่เข้ากันกับที่นี่ เพียงแต่เดินอยู่บนถนนเช่นนี้ก็มีคนไม่น้อยแอบพิจารณา


 


 


มั่วชิงเฉินรีบเดินไปถึงร้านขายเสื้อผ้าเพียงร้านเดียวในเมือง ซื้อเสื้อผ้าผ้าหยาบสองสามชุดเปลี่ยนแล้วรีบไปจากที่นี่


 


 


เพียงครึ่งชั่วยาม มั่วชิงเฉินก็มาถึงนอกเมืองลั่วหยาง มองดู ‘เมืองลั่วหยาง’ สามคำบนประตูเมือง แล้วความรู้สึกในใจร้อยแปดพันเก้า


 


 


นี่เป็นครั้งที่สองที่ตนเห็นประตูเมืองลั่วหยาง ครั้งแรกท่านอาสิบสี่เป็นคนจูงมือตนเข้าจากตรงนี้ นับแต่นั้นเข้าตระกูลมั่วเริ่มชีวิตใหม่โดยสิ้นเชิง ส่วนครั้งที่สองก็คือบัดนี้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าประตูเมืองแล้ว อาศัยความทรงจำวัยเด็กเดินไปตามทิศทางที่ตระกูลมั่วตั้งอยู่อย่างช้าๆ รอถึงยามที่เดินถึงหัวมุมหนึ่งแล้วอ้อมผ่านไปอีกก็สามารถเห็นประตูใหญ่จวนมั่วนั้น กลับหยุดเดินทันที


 


 


จากบ้านเมื่อเยาว์กลับเมื่อแก่ บ้านเกิดไม่เปลี่ยนผมกลับหงอก ต่อให้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วละก็นางยังกำลังอยู่ในวัยที่สวยงาม กลับมีความรู้สึกยิ่งใกล้บ้านเกิดจิตใจก็ยิ่งประหม่าเช่นกัน


 


 


จวนมั่ว บัดนี้กลายมามีสภาพเช่นไรแล้วกันแน่ จะกลายเป็นบ้านร้างเพราะไม่มีคนดูแลหรือไม่? ส่วนศพของคนในตระกูลเหล่านั้น มีคนคอยเก็บหรือไม่?


 


 


แต่ละคำพูดวาดผ่านส่วนลึกในใจมั่วชิงเฉิน ล้วนทำให้เกิดความเสียใจรางๆ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสงบจิตใจ ถึงเลี้ยวผ่านมุมถนนไป


 


 


มองจวนมั่วเพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็ชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอาศัยอยู่ในจวนมั่ว!


 


 


ประตูใหญ่จวนมั่วแม้ปิดสนิท ทว่าคฤหาสน์หลังหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หรือว่ารกร้างมานาน อย่าว่าแต่มั่วชิงเฉินที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเลย ต่อให้คนที่มีความรู้ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเพียงปราดเดียวก็ดูออก


 


 


นางย้ายสายตาขึ้นข้างบน มองไปที่ป้ายประตู ด้านบนเขียนว่า ‘ตระกูลหลัว’ ไว้อย่างโอ่อ่า


 


 


“จวนหลัว?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ นึกถึงหลัวชิงอวี่ที่มีวาสนาได้พบกันสองครั้งอย่างไม่รู้ตัว แอบว่าคงไม่บังเอิญปานนี้ ที่นี่ก็คือตระกูลของนางหรอกนะ?”


 


 


ในใจมั่วชิงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมารางๆ ปีนั้นคนในจวนมั่วแม้ถูกฆ่าอย่างอนาถ ทว่ายังมีหมู่บ้านตระกูลมั่วอยู่ สายโลหิตตระกูลมั่วไม่ได้ขาดเสียหน่อย ไม่ว่าด้วยความรู้สึกหรือด้วยเหตุผลจวนนี้ก็ไม่ถึงคราวของคนแซ่อื่นมาอยู่


 


 


ทว่าเมื่อคิดดูแล้วนางก็เข้าใจขึ้นมาทันที พื้นที่ที่จวนมั่วครอบคลุมแม้ไม่นับว่าใหญ่ กลับสร้างอยู่บนแหล่งปราณวิญญาณขนาดย่อม มีหลายที่ที่ระดับความเข้มข้นของปราณวิญญาณไม่เลวเหมือนโถงเฉาหยาง มีผู้บำเพ็ญเพียรมายึดไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ คนของหมู่บ้านตระกูลมั่วล่ะ ปีนั้นก็ถูกคนชุดแดงตัดรากถอนโคน หรือว่าถูกตระกูลหลัวในยามนี้ไล่ฆ่าจนสิ้น? หรือว่าปีนั้นยังไม่รอให้คนของหมู่บ้านตระกูลมั่วเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ถูกตระกูลหลัวยึดไปแล้ว พวกเขายังคงใช้ชีวิตในหมู่บ้านตระกูลมั่วเงียบๆ อย่างเจียมตัว? อย่างไรเสียคนในตระกูลที่หมู่บ้านตระกูลมั่วแม้เป็นคนธรรมดา พวกเขากลับรู้ฝีมือของผู้บำเพ็ญเพียรดี


 


 


เมื่อความคิดผุดขึ้นมา มั่วชิงเฉินก็คิดจะกลับไปดูที่หมู่บ้านตระกูลมั่ว ทว่าบัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด กลับคือการเข้าไปในจวน กลับลานบ้านที่ปีนั้นปู่หลานสองคนอาศัยอยู่แล้วเอาดินจากบ้านเกิดมาสามเฉียน


 


 


มั่วชิงเฉินคลำไม่ถูกว่าตระกูลหลัวเป็นใหญ่มาจากไหน อีกทั้งไม่กล้าใช้จิตตระหนักตรวจค้นเพื่อเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น คิดๆ ดูแล้ว ตัดสินใจหลบดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก่อน


 


 


กลางวันแสกๆ จวนหลัวในบัดนี้คงไม่ถึงกับปิดประตูใหญ่สนิทตลอดเวลาหรอก


 


 


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หนึ่งชั่วยามให้หลัง ประตูใหญ่จวนหลัวค่อยๆ เปิดออก ชายสองคนเดินออกมา


 


 


ชายคนหนึ่งในนั้นใส่ชุดยาวสีดำ คนทั้งคนดูแล้วผอมซีดอ่อนแอ ส่วนชายที่หันหลังให้นางใส่ชุดยาวสีน้ำเงิน


 


 


ชายสองคนกล่าวลากันหน้าประตู ต่อจากนั้นชายที่ใส่ชุดยาวสีน้ำเงินก็หันหน้ามาเดินออกไป


 


 


มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือก นางจำชายชุดยาวสีน้ำเงินคนนี้ได้!


 


 


ความทรงจำสายหนึ่งวาบผ่านตามั่วชิงเฉิน


 


 


วันที่ห้าเดือนห้าในปีนั้น เป็นเทศกาลบุตรสาวที่มีปีละครั้งของเมืองลั่วหยาง ท่านอาสิบสามและท่านอาสิบสี่พาพวกเขาที่ยังเป็นเด็กไปริมฝั่งแม่น้ำอิ้งสยาเพื่อโยนตะกร้าดอกไม้ที่ใส่บ๊ะจ่างไว้ ล่องเรือขึ้นไป


 


 


ต่อมาพบเซียนเฮ่าเย่ว์ไม่รู้สู้กับใครอยู่กลางเมฆอย่างดุเดือดเป็นเหตุให้เรือของตระกูลมั่ว โอวหยางสองตระกูลส่ายไปมา เบ็ดตกปลาของคนหนุ่มคนหนึ่งเกี่ยวถูกเสื้อผ้าของอวิ๋นซาน คนหนุ่มคนนั้นก็คือชายชุดน้ำเงินตรงหน้า โอวหยางไห่!


 


 


มั่วชิงเฉินปีนั้นอายุแปดขวบ บัดนี้อายุสามสิบห้าเศษแล้ว พริบตาเดียวผ่านไปยี่สิบเจ็ดปีหน้าตาของโอวหยางไห่ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไร สาเหตุไม่มีอื่นใด เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว!


 


 


ไม่นานนักโอวหยางไห่ก็เดินไปไกลแล้ว ชายชุดดำเบือนสายตาที่มองส่งกลับมา จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นรอยยิ้มนี้กับตา ทันใดนั้นมีความรู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก เดิมทีความรู้สึกที่ชายชุดดำคนนี้ให้คือขี้โรคอ่อนแอ รอยยิ้มนี้กลับแฝงไว้ด้วยความดูแคลนสายหนึ่งรางๆ บุคลิกขี้โรคอ่อนแอนั้นกลับกลายเป็นความเลือดเย็นทันที


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้ว ก้าวเท้าเดินไปที่ร้านน้ำชาที่อยู่ใกล้ตระกูลมั่วร้านหนึ่ง


 


 


ปีนั้นยามที่นางและมั่วหนิงโหรวไกวชิงช้าในจวนก็สามารถเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ ที่ติดกับถนนตรงนั้นมีร้านรวงมากมาย ร้านน้ำชานี้กลับเป็นร้านที่ไม่สะดุดตาที่สุด


 


 


จำได้ว่ายามนั้นก็มีท่านลุงที่ผมขาวโพลนคนหนึ่งชงชาฝีมือดีมาก บัดนี้เจ้าของร้านน้ำชานี้และท่านลุงในปีนั้นหน้าตาคล้ายกัน คิดว่าคงเป็นบุตรชายของเขา ไม่แน่อาจรู้อะไรบ้างก็ได้


 


 


“แม่นาง อยากดื่มชาอะไร?” เพิ่งนั่งลง เจ้าของร้านก็เดินเข้ามา


 


 


มั่วชิงเฉินถูมืออย่างเร่อร่าเล็กน้อย ดูแล้วก็เหมือนเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเข้าเมืองครั้งแรก แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ทราบที่ท่านลุงนี่มีชาอะไร?”


 


 


เจ้าของร้านเห็นเรื่องเช่นนี้จนชินแล้วยิ้ม แนะนำว่า “แม่นางอย่าเห็นว่าร้านน้ำชานี่เล็ก อวิ๋นวู่ เหมาเจียน ต้าหงเผามีทุกอย่าง…” เห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินยิ่งตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นกลับเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างธรรมชาติว่า “ทว่าด้วยอากาศยามนี้ แม่นางดื่มชาดอกไม้เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่สู้สั่งชาดอกมะลิสักกา ดับกระหายอีกทั้งยังดับร้อน”


 


 


“เช่นนั้น ก็รบกวนท่านลุงเอาชาดอกมะลิมากาหนึ่งเถอะ” มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ดูเหมือนตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน


 


 


“ได้เลย!” เจ้าของร้านยิ้มตาหยีแล้วหันไป ไม่นานก็ถือชาดอกมะลิขึ้นมากาหนึ่ง ยังวางจานเล็กๆ สีขาวสองใบ ใบหนึ่งข้างในวางของว่างเล็กๆ ไว้สองชิ้น อีกใบหนึ่งข้างในวางน้ำตาลก้อนไว้


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินมองมา เจ้าของร้านรีบเอ่ยว่า “แม่นาง นี่ทางร้านให้”


 


 


“ขอบคุณท่านลุง” มั่วชิงเฉินแย้มยิ้ม ยกชาขึ้นมาถ้วยหนึ่งเริ่มดื่มขึ้นมา จากนั้นยิ้มหวานขึ้นกว่าเดิมว่า “ท่านลุง ชาดอกมะลิของท่านนี่อร่อยจริงๆ คิดว่าฝีมือการชงชาของท่านลุงต้องสูงส่งมาก…”


 


 


เจ้าของร้านตาเป็นประกาย “แม่นางก็รู้เรื่องชา?”


 


 


เดิมทีวันนี้ร้านน้ำชาก็ไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่แล้ว พอมั่วชิงเฉินพูดถึงการชงชาขึ้นมาก็ดูเหมือนดึงความสนใจของเจ้าของร้านขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าจะนั่งลงข้างๆ พูดไม่หยุดขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ช่ำชองวิถีการชงชา เทียบกับการดื่มชาแล้วนางรักการดื่มสุรามากกว่า เพียงแต่ใช้ชีวิตที่เขาป่าไผ่กับอาจารย์มาหลายปีถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นการดื่มโฮกๆ ทุกวัน ก็สามารถพูดเกี่ยวกับวิถีการชงชาออกมาได้บ้าง


 


 


สองคนพูดวนเวียนอยู่กับวิถีการชงชาไปไม่น้อย พูดถึงสุดท้ายสายตาที่เจ้าของร้านมองมั่วชิงเฉินเริ่มมีความรู้สึกเหมือนมองเด็กรุ่นหลังบ้านตนเองขึ้นมารางๆ ในที่สุดก็ถามว่า “แม่นาง ข้าเห็นเจ้าหน้าตาไม่คุ้นเลย มาหาญาติในเมืองใช่หรือไม่ล่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างลังเลว่า “ท่านลุงเดาได้ถูกต้อง ข้ามาจากบ้านนอกที่ห่างไกล มาถึงแล้วกลับไม่ค่อยกล้าเข้าประตูแล้ว”


 


 


“แม่นางมีความรู้ในวิถีการชงชาถึงเพียงนี้ กลับไม่เหมือนเป็น…” พูดถึงตรงนี้เจ้าของร้านรู้ตัวว่าไม่เหมาะสม จึงรีบหยุดปาก


 


 


มั่วชิงเฉินกลับยิ้มอย่างไม่แยแสว่า “ไม่ปิดบังท่านลุง มารดาของข้าเคยเป็นสาวใช้ดูแลการชงชาในจวนนั้น ต่อมาโอกาสวาสนานำพาแต่งงานกับบิดาข้า พริบตาเดียวก็เกือบสามสิบปีแล้ว”


 


 


เห็นทิศทางที่สายตามั่วชิงเฉินมองไป เจ้าของร้านตกตะลึง ครึ่งค่อนวันถึงว่า “หรือว่าแม่นางจะไปพึ่งพิงจวนหลัว?”


 


 


ในตามั่วชิงเฉินฉ่ำวาว “ข้าเกิดมาโชคร้าย เกิดมาไม่นานบิดาก็จากไปแล้ว พี่ชายหลายคนโตกว่าข้ามาก ตั้งแต่เล็กก็ไม่สนิทกัน ตั้งแต่แต่งงานกับพวกพี่สะใภ้แล้วก็ยิ่ง…ก่อนมารดาจะสิ้นใจไม่วางใจ จึงบอกข้าว่าเมื่อก่อนยามที่นางอยู่ในจวนนี้มีสหายรักที่สนิทกันดังพี่น้องคนหนึ่ง กำชับให้ข้ามาพึ่งพิง” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าฉายแววสงสัย “เพียงแต่มารดาบอกว่าที่นี่คือตระกูลมั่ว บัดนี้ไยกลายเป็นตระกูลหลัวไปแล้ว? ข้าเห็นแล้วจึงไม่กล้าเข้าไปเสียที…”


 


 


มั่วชิงเฉินดูท่าทางอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี คำพูดนี้พูดได้น่าสมสางเวทนา เจ้าของร้านจึงอดเห็นใจไม่ได้ เอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นาง จะบอกความจริงให้เจ้ารู้ ที่นี่แต่ก่อนเป็นตระกูลมั่วจริงๆ ทว่าก็ยี่สิบกว่าปีก่อนกระมัง ตระกูลมั่วประสบเคราะห์กรรม คนหลายร้อยคนเพียงชั่วข้ามคืนก็ไม่อยู่แล้ว เหตุการณ์ในปีนั้นน่ะช่างน่าตกใจจริงๆ แม้แต่สิงโตหินบนขั้นบันไดก็ถูกย้อมเป็นสีแดง จิ๊ๆ ยามนั้นข้ายังหนุ่ม จู่ๆ เห็นโลหิตสีแดงเข้มทะลักออกมาตามซอกประตูก็ตกใจจนทรุด ผู้คนในเมืองต่างเดากันว่าจวนมั่วนี่ต่อไปสิบมีแปดเก้าต้องกลายเป็นบ้านวิญญาณแค้นแล้ว ทว่าไม่คิดว่าเพียงครึ่งเดือน ตระกูลหลัวนี่ก็ย้ายเข้าไปแล้ว อยู่มาจนถึงบัดนี้ เฮ้อ บัดนี้น่ะ คนแก่คนเฒ่าที่จำได้ว่ามีจวนมั่วเกรงว่ามีไม่มากแล้ว”


 


 


เจ้าของร้านพูดถึงตรงนี้เห็นแม่นางน้อยตกใจจนสีหน้าซีดเผือด จึงอดกำชับไม่ได้ว่า “แม่นาง ฟังท่านลุงเตือนสักคำ จวนหลัวนั่นไปไม่ได้หรอกนะ”


 


 


“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินดูเหมือนตกใจมาก ถามอย่างงงงันว่า


 


 


เจ้าของร้านมองไปรอบๆ ถึงกดเสียงต่ำว่า “ที่นี่กลางคืนมีผีอาละวาด!” 

 

 


ตอนที่ 233 คืนมืดหมอกหนา

 

“ผีอาละวาด?” มั่วชิงเฉินตกตะลึง


 


 


เจ้าของร้านรีบวางนิ้วมือไว้ที่ริมฝีปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “ชู่ว์ แม่นางเสียงเบาหน่อย เคยมีคนชอบโพนทะนาวิจารณ์เรื่องนี้ขึ้นมาเสียงดัง ใครจะรู้ว่าวันที่สองก็ตายกะทันหันเสียแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินทำสีหน้าหวาดกลัวอีกทั้งอยากรู้อยากเห็นออกมาว่า “ผีจวนหลัวนั่นอาละวาดเช่นไรล่ะ?”


 


 


“ได้ยินว่ามีพ่อลูกคู่หนึ่งกลับบ้านกลางดึกผ่านที่นั่น เห็นเงาผีชุดขาวตัวหนึ่งลอยไปลอยมา ยังได้ยินเสียงร้องไห้ด้วย ยามนั้นบิดาที่มีอายุแล้วก็ตกใจจนทรุดแล้ว เมื่อบุตรชายอาศัยที่ยังหนุ่มใจกล้าจึงเขยิบขึ้นหน้าไป สุดท้ายบิดานั่นก็เห็นศีรษะของบุตรชายหลุดออกอย่างประหลาดกับตา ศีรษะกลิ้งตลอดทางบนพื้นมาถึงหน้าเขา เรื่องนี้น่ะ จริงแท้แน่นอน พ่อลูกคู่นั้นยังเคยมาดื่มน้ำชาที่ข้านี่มาก่อนนะ” เจ้าของร้านถอนใจพลางส่ายศีรษะ


 


 


มั่วชิงเฉินทำสีหน้ากลัวไม่หายว่า “ขอบคุณท่านลุงที่เตือนสติ เมื่อเป็นเช่นนี้ จวนหลัวนี่ข้าไม่กล้าไปแล้วแน่ๆ ท่านลุง นี่เป็นค่าน้ำชาของท่าน” พูดพลางวางเงินไม่กี่อีแปะไว้บนโต๊ะ


 


 


เจ้าของร้านมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าสงสารว่า “เช่นนั้นแม่นางเจ้าจะไปไหนล่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ข้าพอทำงานเย็บปักถักร้อยเป็นบ้าง จะไปลองดูที่หอเย็บปักว่ารับคนหรือไม่”


 


 


มั่วชิงเฉินพูดพลางลุกขึ้นยืน หันหลังจะจากไป


 


 


เจ้าของร้านกลับหยิบเงินไม่กี่อีแปะนั้นขึ้นมายัดกลับเข้ามือมั่วชิงเฉินว่า “แม่นาง น้ำชาวันนี้ก็ถือเสียว่าลุงเลี้ยงเจ้านะ”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินจะปฏิเสธจึงเอ่ยอีกว่า “รอแม่นางตั้งรกรากในเมืองแล้ว มาอุดหนุนการค้าของตาเฒ่าอย่างข้าบ่อยๆ ก็พอแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าคนซื่อสัตย์ใจดีในโลกฆราวาสอย่างไรเสียก็มากกว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาก เห็นเจ้าของร้านสีหน้าจริงใจจึงไม่ปฏิเสธอีก เอ่ยขอบคุณแล้วหันหลังจากไป


 


 


เจ้าของร้านมองเงาหลังที่ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปของมั่วชิงเฉิน แล้วถอนใจพลางส่ายศีรษะ “ทั้งรู้วิถีการชงชา ทั้งทำงานเย็บปักถักร้อยเป็น ช่างเป็นแม่นางที่ดีจริงๆ เพียงแต่เสียดายดวงด้อยไปหน่อย…”


 


 


มั่วชิงเฉินหาที่พักแรมตามมีตามเกิดที่หนึ่ง ตัดสินใจหลังจากฟ้ามืดแล้วเข้าสืบจวนหลัว


 


 


เวลาหลับตาบำเพ็ญเพียรมักผ่านไปเร็วเหมือนบินได้ เพียงโคจรหนึ่งรอบพระอาทิตย์ใหญ่มั่วชิงเฉินก็พบว่าฟ้ามืดมากแล้ว นางลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายทีหนึ่ง ตรวจสอบของที่เกรงว่าจะได้ใช้คืนนี้ทีหนึ่ง แล้วเปลี่ยนชุดคล่องตัวสีดำมุ่งหน้าไปจวนมั่ว


 


 


มองดูป้ายจวนมั่วที่เปลี่ยนเป็นจวนหลัวแล้ว มั่วชิงเฉินกดความไม่สบอารมณ์ในใจลงไปแล้วเดินไปที่ประตูข้างเงียบๆ


 


 


ในเมื่อตระกูลหลัวนี้อาศัยอยู่ในเมืองลั่วหยาง เป็นไปไม่ได้ที่คนมากมายทั้งตระกูลจะมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรเซียน คิดว่าสภาพคงไม่ต่างจากตระกูลมั่วในปีนั้นสักเท่าไร เรื่องในชีวิตประจำวันทั่วไปในจวนล้วนปล่อยให้คนธรรมดาจัดการ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน


 


 


หวาน เสียงกรนแม้เข้าในหูมั่วชิงเฉินเบาๆ กลับเหมือนฟ้าผ่า


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าจวนจากประตูข้างอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง พบว่าในจวนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร ต้นไม้ใบหน้าในนั้น ศาลาตึกหอ ล้วนทับซ้อนกับในความทรงจำ


 


 


มั่วชิงเฉินอดขมวดคิ้วไม่ได้ หากจะบอกว่าเพราะแหล่งปราณวิญญาณที่อยู่ในจวนสายนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาอยู่อาศัยนั้นไม่แปลก ทว่าก็ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรไม่ถือว่าที่นี่เป็นบ้านวิญญาณแค้นเหมือนคนธรรมดา หากคิดจะอาศัยอยู่ต่ออย่างยาวนานละก็อย่างไรก็ไม่น่ารักษารูปลักษณ์เดิมไว้ทั้งเช่นนี้ ว่ากันตามปกติแล้วล้วนต้องตกแต่งใหม่ตามความชอบของตน


 


 


สถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนอธิบายถึงปัญหาข้อหนึ่ง…คนของจวนหลัวไม่เห็นที่นี่เป็นแหล่งพำนักอย่างแท้จริง!


 


 


ทว่าพวกเขาดันพำนักอยู่ที่นี่มาเกือบสามสิบปีแล้ว ตกลงในนี้มีสิ่งใดแอบแฝงกันแน่?


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าบ้านของตนในวัยเด็กบัดนี้ปกคลุมไปด้วยตาข่ายแห่งความสงสัยเป็นชั้นๆ ทำให้นางจับต้นชนปลายไม่ถูก


 


 


มั่วชิงเฉินที่คุ้นเคยที่ทางมากเดินผ่านลานบ้านด้านนอกอย่างรวดเร็ว เดินหน้าอีกก็น่าจะเป็นที่พำนักของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหลัวแล้ว


 


 


มองดูประตูจันทราตรงหน้า มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้า


 


 


นางสัมผัสถึงคลื่นพลังวิญญาณได้รางๆ แล้ว ประตูจันทรานี้ต้องตั้งค่ายกลเพื่อขัดขวางคนนอกเข้าข้างในไว้แน่ เกรงว่านางเพิ่งก้าวเข้าไป ผู้บำเพ็ญเพียรในจวนก็รู้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินแม้แปลกใจในตระกูลหลัวมาก ยิ่งอยากสืบความจริงในปีนั้นให้แน่ชัด กลับรู้ว่าด้วยตบะในยามนี้ของตนแล้วเป็นความเพ้อฝันล้วนๆ บัดนี้สามารถเอาดินในบ้านเกิดสามเฉียนได้อย่างราบรื่นก็โชคดีหนักหนาแล้ว


 


 


ไม่กล้าใช้อาวุธเวทเหินหาว มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ แล้วปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้อาวุธเวทและคาถาใดๆ เพียงแต่เหวี่ยงเชือกเส้นหนึ่งไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง สองมือจับเชือกไว้แล้วลื่นข้ามไปอย่างเบาโหวง


 


 


ในบรรดาสหายสนิทหลายคนของมั่วชิงเฉินมั่วหลีลั่วเชี่ยวชาญค่ายกลยิ่งนัก ยามที่พวกนางแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการบำเพ็ญเพียรบางทีก็จะได้ฟังนางพูดเกี่ยวกับจุดเด่นของค่ายกลแต่ละชนิด


 


 


จำได้ว่ามั่วหลีลั่วเคยพูดไว้ ค่ายกลป้องกันปกติที่ตั้งไว้บนพื้นสามารถขัดขวางการรุกล้ำของสิ่งมีชีวิต ส่วนค่ายกลส่วนใหญ่ที่เกิดผลต่อขอบเขตที่แน่นอนบนฟ้ากลับมีเพียงยามที่สิ่งมีชีวิตที่มีคลื่นพลังวิญญาณเข้ามาเขตอาคมถึงถูกกระตุ้น ยกตัวอย่างเช่นผู้บำเพ็ญเพียรหรืออสูรวิญญาณ ส่วนสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่ไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่น้อย เช่นประเภทปักษาก็ไม่มีปฏิกิริยาแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินพนันได้ถูกต้องตามคาด นางใช้ความช่วยเหลือจากเชือกลื่นจากต้นไม้สูงต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง ซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้หลายครั้งก็เข้าลานบ้านด้านใน แล้วกระโดดลงจากต้นไม้เงียบๆ


 


 


มองดูลานบ้านด้านในที่คุ้นเคย มั่วชิงเฉินยิ้มระทมทีหนึ่ง เกรงว่าคงมีผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนที่จะใช้วิธีโง่ๆ เช่นนี้เข้ามา ทว่าบางเวลา วิธีที่โง่ที่สุดกลับเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด


 


 


ไม่ลังเลใดๆ มั่วชิงเฉินเดินมุ่งไปสวนหย่างอี๋ที่พำนักของท่านปู่ในปีนั้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง


 


 


นายจำเป็นต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ต้องรู้ว่ายามนี้แม้นางไม่ได้แตะถูกเขตอาคม กลับเป็นไปได้มากว่าได้เข้ามาในค่ายกลของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นแล้ว หากถูกพบเมื่อไรนั่นก็ยิ่งเสียเปรียบแล้ว


 


 


ไม่ได้ร่ายคาถาเหยียบลม อีกทั้งยังต้องอ้อมลานบ้านที่เห็นชัดว่ามีคนอาศัยอยู่พวกนั้นอีก มั่วชิงเฉินเดินอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงมาถึงสวนหย่างอี๋


 


 


มองประตูลานบ้านของสวนหย่างอี๋พลาง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหัวตาชื้นเล็กน้อย กลับไม่มีเวลาให้เสียใจ แอบย่องข้าไปอย่างระวัง


 


 


โชคดีที่สวนหย่างอี๋เล็กและเรียบง่าย ปราณวิญญาณก็ทั่วไป ที่นี่ไม่มีคนเข้าอาศัย ก็ประหยัดความยุ่งยากให้นางไม่น้อย


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ ลานบ้าน หินเขียวบนพื้นยังเหมือนเดิม ผลท้อสีชมพูบนต้นท้อเฒ่าข้างกำแพงถ่วงกิ่งท้อจนงอ เก้าอี้โยกสองตัวใต้ต้นไม้ตั้งอยู่ตรงนั้น ปกคลุมไปด้วยฝุ่นดิน


 


 


ทว่าในสายตามั่วชิงเฉินเก้าอี้โยกใหญ่ตัวเล็กตัวนั้นวันเวลากลับไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ราวกับอีกสักครู่ ก็จะมีตาเฒ่าน่ารักที่หน้าตาอิ่มเอิบเสียงหัวเราะกังวานคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้หญิงชุดขาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งขึ้นไป หนึ่งเฒ่าหนึ่งเด็กจิบสุราขึ้นอย่างดีใจ


 


 


มั่วชิงเฉินลูบแก้มดู เมื่อแตะถูกมือแล้วรู้สึกเย็น ที่แท้ในระหว่างที่ไม่ทันรู้ตัวน้ำตาได้นองหน้านานแล้ว


 


 


นางออกแรงกัดริมฝีปาก ถึงหักห้ามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ ค่อยๆ เดินไปข้างต้นท้อก้มตัวหยิบดินกำหนึ่งเก็บเข้าในขวดที่เตรียมไว้แล้ว มองสวนหย่างอี๋ปราดหนึ่งด้วยความอาลัยอาวรณ์แล้วเดินออกไป


 


 


ออกจากสวนหย่างอี๋เดินไม่นานก็คือสวนดอกไม้ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง นี่คือสถานที่ที่มั่วชิงเฉินแอบฝึกพลังสายตาในปีนั้น


 


 


กังวลยิ่งยืดเยื้อปัญหายิ่งมาก มั่วชิงเฉินไม่แวะหยุดไม่ว่าที่ใดๆ เดินหน้าต่อ ทว่าในเวลานี้เองกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรใกล้เข้ามาทางนี้ ยิ่งกว่านี้กลิ่นอายนี้แบ่งเป็นสองชนิด หนึ่งในนั้นแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ! มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี รีบหลบไปใต้ชั้นวางดอกไม้อันหนึ่ง หยิบยันต์ซ่อนวิญญาณออกมาแผ่นหนึ่งตบลงบนตัว


 


 


ยันต์ที่สามารถซ่อนตัวได้มีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือยันต์ล่องหนธรรมดา อีกชนิดหนึ่งคือยันต์ซ่อนวิญญาณ


 


 


ยันต์ล่องหนสามารถซ่อนร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรได้ ทว่ากลับไม่อาจปิดบังคลื่นพลังวิญญาณต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าตนเองหนึ่งเขตแดนใหญ่ได้ ส่วนยันต์ซ่อนวิญญาณไม่เพียงสามารถซ่อนร่างกายได้ ยังสามารถซ่อนคลื่นพลังวิญญาณของตน ต่อให้ผู้ใช้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ ก็สามารถปิดบังการตรวจสอบของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้


 


 


ยันต์ซ่อนวิญญาณนี้มั่วชิงเฉินแลกมาด้วยโอสถรวมจิตสองขวดที่ตลาดในสำนักเหยากวง ยามนั้นในมือศิษย์ร่วมสำนักคนนั้นก็มีเพียงใบเดียวเท่านั้น คิดว่าคงเพราะโอกาสวาสนานำพา จึงตัดใจแลกโอสถที่จำเป็นยิ่งกว่า


 


 


โชคดีที่เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในบ้านตนไม่ว่าใครก็ไม่อยู่ดีๆ ก็กวาดจิตตระหนักไปทั่ว ก่อนมั่วชิงเฉินจะซ่อนตัวก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนนั้น


 


 


เพียงครู่เดียว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนเดินมาถึงในสวนดอกไม้นี้จริงๆ ชายชุดดำคนหนึ่งในนั้นก็คือคนหนุ่มขี้โรคที่นางเห็นที่หน้าประตูยามกลางวัน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าที่ดูท่าทางเหมือนอายุห้าสิบกว่าปีกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ


 


 


“อวี้เฉิง ช่วงนี้มีเบาะแสอันใดหรือไม่?” เสียงที่ยากจะปิดบังความเหนื่อยล้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเข้าหูมั่วชิงเฉิน ฟังจนนางสะดุ้งเฮือก หรือว่าคืนนี้ตนยังสามารถได้ยินความลับอะไรได้ด้วย?


 


 


เงียบไปอึดใจหนึ่ง เสียงของชายชุดดำดังขึ้น “อวี้เฉิงตรวจสอบหลายด้าน ร่องรอยไม่น้อยแสดงให้เห็นว่ากุญแจลับอาจมาจากเมืองลั่วหยาง”


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงถอนใจของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณถึงลอยมาว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นวาสนาของตระกูลหลัวเราแล้ว เพียงแต่เจ้าก็ไม่ควรประมาท อย่าลืมว่านอกจากเมืองลั่วหยางยังมีอีกหลายที่ที่เป็นไปได้มาก หากถึงเวลากุญแจลับปรากฏขึ้นที่อื่นหลายสิบปีของเราก็เสียเปล่าหมด อีกอย่าง ต่อให้มาจากเมืองลั่วหยาง อย่าลืมล่ะว่าเมืองลั่วหยางยังมีตระกูลฮวา เบื้องหลังตระกูลฮวาคือใครพวกเรารู้อยู่แก่ใจ พวกเขาไม่ได้จูงจมูกได้เหมือนตระกูลเฉิน โอวหยางสองตระกูลหรอกนะ”


 


 


ชายชุดดำก้มหน้าแผ่วเบา “ท่านเทียดวางใจได้ ตระกูลเฉินแม้ยังอยู่ระหว่างลังเล ตระกูลโอวหยางกลับมีเจตนาสวามิภักดิ์แล้ว อีกอย่าง ถึงเวลานั้นจริงประโยชน์ของตระกูลเล็กๆ เช่นนี้ก็มีไว้เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากเกินไป หากกุญแจลับปรากฏขึ้นที่อื่น ตระกูลหลัวเราสามสิบปีมานี้ถึงไม่มีผลงานก็ออกแรงมาไม่น้อย อวี้เฉิงคิดว่า ทางนั้นคงไม่ถึงกับแล้งน้ำใจเกินไป”


 


 


ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณพยักหน้า “อวี้เฉิงเจ้าพูดได้ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรเกรงว่าวันที่กุญแจลับนั่นจะปรากฏขึ้นคงอยู่เร็วๆ นี้แล้ว ถึงเวลาพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่ปราณวิญญาณขาดแคลนนี่แล้ว” พูดถึงตรงนี้ยิ้มเยาะออกมาว่า “เสียทีที่สำนักลั่วสยานั่นหลงคิดว่าตนฉลาด ยื่นมือไปถึงทางแดนไท่ไป๋นั่น กลับไม่รู้ว่าสถานที่ที่กุญแจลับน่าจะปรากฏขึ้นที่สุดก็อยู่ใต้ตาพวกเขานี่เอง”


 


 


ชายชุดดำหัวเราะขึ้นเช่นกัน “ที่ยิ่งน่าสนุกคืออวี้เฉิงได้ยินมาว่าทางด้านสำนักลั่วสยาจนบัดนี้ยังปิดเรื่องกุญแจลับไว้อย่างมิดชิด กลัวสามสำนักแปดนิกายที่เหลือรู้เข้าแล้วจะมาขอมีเอี่ยว”


 


 


“ฮึ นี่เรียกว่าคนฉลาดกลับต้องพลาดเพราะความฉลาด เอาล่ะ อวี้เฉิง ดึกมากแล้ว ข้ากลับก่อนแล้ว” ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณพูดจบก็ตบไหล่ชายชุดดำ แล้วลอยพลิ้วไป


 


 


มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ใต้ชั้นวางดอกไม้ฟังจนงงไปหมด กลับรู้สึกรางๆ ว่าเรื่องที่ตนได้ยินเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางมองชายชุดดำนั่น หวังเพียงให้เขารีบจากไปโดยเร็ว


 


 


น่าเสียดายเรื่องขัดกับเจตนา ชายชุดดำนั่นไขว้มือไว้ข้างหลังแหงนหน้ามองจันทราอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หยิบกระบี่ยาวแลบแสงเย็นวังเวงออกมาเล่มนั้น จากนั้นนิ้วดีดกระบี่ส่งเสียงกังวานออกมาเสียงหนึ่ง แล้วเริ่มรำกระบี่ขี้นมา


 


 


กระบี่ยาวร่ายรำ มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าสภาพรอบตัวเย็นลง จันทร์เย็นลมหนาว ต้นไม้ใบหญ้าเศร้าโศก จู่ๆ เสียงร้องไห้เบาๆ เสียงหนึ่งลอยมา ตามติดมาด้วยหญิงชุดขาวสะบัดพลิ้วปรากฏขึ้นกลางอากาศ 

 

 


ตอนที่ 234 พรสวรรค์เกิดแต่ฟ้า

 

ไม่ว่าจะพูดเช่นไรมั่วชิงเฉินก็เดินทางตามลำพังผ่านสถานที่มาไม่น้อย ต่อให้กลางดึกกลางดื่นจู่ๆ มีสตรีชุดขาวพลิ้วไหวโผล่มาเปลือยเท้าลอยอยู่กลางอากาศ ก็ไม่ถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง เพียงแต่สภาพการณ์เช่นนี้ออกจะประหลาดไปสักหน่อยจริงๆ จึงกลั้นหายใจจ้องสตรีกลางอากาศตาไม่กะพริบ


 


 


ลองดูอย่างละเอียด มั่วชิงเฉินหรี่ตาขึ้นมา


 


 


สตรีชุดขาวนี่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด ดูเหมือนลมพัดมาระลอกหนึ่งก็จะถูกพัดกระจายไปได้อย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็ไม่เหมือนมนุษย์


 


 


เพียงแต่หากจะบอกว่านางเป็นวิญญาณ ก็ไม่ค่อยเหมือนอีก


 


 


นี่…ตกลงเป็นตัวอะไรกันแน่?


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าตนเองความรู้ยังน้อยนิดนัก ต่อให้เป็นความรู้บางอย่างเกี่ยวกับทางผียังเพราะเรื่องของท่านปู่จึงไปพลิกคัมภีร์ทั่วเขาป่าไผ่ถึงได้รู้เรื่องบ้างเล็กน้อย


 


 


น่าเสียดายที่หอคัมภีร์ของเหยากวงมีเพียงชั้นสามลงมาที่เปิดให้ศิษย์ระดับสร้างรากฐาน สถานที่เก็บวิชายุทธ์ชั้นสูงและม้วนคัมภีร์หยกที่บันทึกเกี่ยวกับวิชานอกลู่นอกทางล้วนอยู่ชั้นสามขึ้นไป ด้วยตบะในยามนี้ของนางต่อให้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่มีคุณสมบัติขึ้นไป ว่ากันว่ากฎเกณฑ์ข้อนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่จิตใจไม่แน่วแน่พอสัมผัสกับวิชานอกลู่นอกทางเร็วเกินไปจนเกินเดินทางผิด


 


 


มั่วชิงเฉินเดาไม่ออกว่าสตรีชุดขาวที่รูปร่างเหมือนคนนี้คืออะไรกันแน่ จึงได้แต่หลบดูอยู่ข้างๆ แม้แต่หายใจก็ไม่กล้าหายใจแรง ได้เพียงหวังว่าชายชุดดำนี้จะรีบไปโดยเร็ว ตนจะได้ออกไปได้


 


 


ส่วนอะไรกุญแจลับ สำนักลั่วสยาจนถึงแดนไท่ไป๋ ตกลงสามสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันเช่นไรนางไม่สนใจ พูดถึงที่สุดแล้วก็คือเรื่องแย่งชิงผลประโยชน์กันเท่านั้น


 


 


บัดนี้ตนโอสถเพียงพอ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรค่อนข้างเร็ว อีกทั้งได้สมบัติวิเศษเช่นไหมเกล็ดน้ำแข็งอีก บำเพ็ญเพียรจนหมดความอดทนใจร้อนยังสามารถท่องเที่ยวฝึกตนไปทั่ว การชิงผลประโยชน์ระหว่างเต๋าและมารเช่นนี้นอกจากสติไม่ดีถึงเอาตัวไปแปดเปื้อนด้วย


 


 


ก็ได้เพียงแต่บอกว่าดวงของมั่วชิงเฉินบางทีก็ไม่ค่อยดีจริงๆ ในใจนางภาวนาให้ชายชุดดำรีบไปโดยเร็ว ใครจะรู้ว่าคนนั้นกลับดูเหมือนนึกสนุกขึ้นมา ร่ายรำกระบี่ยาวต่อหน้าแสงจันทร์กระจ่างขึ้นมา เข้าสู่เขตแดนลืมตัวตนเสียแล้ว


 


 


ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินจึงตั้งใจดูชายชุดดำฝึกกระบี่ขึ้นมาให้รู้แล้วรู้รอดไป


 


 


นางไม่คิดจะรีบร้อนจากไปแล้ว เมื่อสงบใจลงดูกลับดูเงื่อนงำออกเล็กน้อย


 


 


สภาพรอบๆ ชายชุดดำดูเหมือนต่างจากที่อื่นเสียแล้ว เหมือนสามารถเปลี่ยนไปตามเพลงกระบี่ของเขาได้


 


 


ยามที่กระบี่ยาวร่ายรำรวดเร็วแสงเย็นวิบวับ สภาพรอบๆ ดูเหมือนจะหยุดนิ่งตาม ราวกับถูกน้ำแข็งแช่แข็งไว้ก็ไม่ปาน หลังจากกระบี่ยาวช้าลงลมเย็นพัดพระจันทร์หนาว สรรพสิ่งไร้เสียง สภาพรอบข้างเปลี่ยนตามอีกครั้ง


 


 


กระบี่ยาวในมือชายชุดดำราวกับปกคลุมผืนดินนี้ไว้ภายใต้แสงกระบี่ ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขาก้อนหินรอบๆ ล้วนอยู่ในกำมือของเจ้าของกระบี่


 


 


ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็นึกถึงการสู้ครั้งสุดท้ายกับผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนยาม ‘เยือนสำนัก’ ยามนั้นตนดูเหมือนเข้าสู่แดนมหัศจรรย์ที่ไม่อาจพรรณนาด้วยคำพูดได้ ความรู้สึกในยามนั้นก็เป็นเช่นนี้ ราวกับทุกสิ่งรอบๆ ล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่ก็ร้อยบุปผาร่วงโรย ไม่ก็ร้อยบุปผาสะพรั่ง ภายใต้แสงกระบี่ปกคลุมตนก็คือคนที่สามารถกุมชะตาฟ้าดิน


 


 


นึกได้ดังนั้นมั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ทันใดนั้นไม่ทันได้สนใจการปิดซ่อนอีกแล้ว อัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาแล้วบินขึ้นฟ้าไปอย่างไม่ลังเล


 


 


นางเพิ่งออกไป แสงกระบี่สายหนึ่งก็ฟาดลงที่ที่ซ่อนตัวตามคาด จากนั้นชั้นวางดอกไม้พังลงทันที


 


 


“คนถ่อยที่ไหน?” ชายชุดดำตะโกนเสียงเย็นชาพลางกระโดดตามขึ้นไป


 


 


มั่วชิงเฉินด้านหนึ่งใช้พลังวิญญาณเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งทะยานอย่างบ้าคลั่งในอากาศ ด้านหนึ่งแอบคิดว่าตนเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ ยามที่ชายชุดดำฝึกกระบี่ไม่คิดเลยว่าจะผสานจิตกระบี่ กลายเป็นพลัง สำหรับสภาพรอบกายที่ถูกปกคลุมภายใต้จิตกระบี่ทุกอย่างล้วนกระจ่างแก่ใจ ต่อให้สิ่งที่ตนใช้คือยันต์ซ่อนวิญญาณที่สามารถปิดบังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไร้ประโยชน์


 


 


โชคดีที่ตนตัดสินใจเด็ดขาด มิเช่นนั้นคนนั้นกำลังอยู่ในสภาพลืมตน ในยามที่ร่างกายและกระบี่รวมกันเป็นหนึ่ง แสงกระบี่ที่ปล่อยออกมาต้องพอให้ตนลนลานจนทำอะไรไม่ถูกแน่นอน ถ้าดึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนนั้นมาอีกก็ดับดิ้นตรงนั้นแล้ว


 


 


ส่วนบัดนี้ ต่อให้คนคนนั้นอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ตนมีไหมเกล็ดน้ำแข็งในมือก็ไม่กังวลว่าจะสลัดเขาไม่หลุด


 


 


สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังโฉบผ่านกลางอากาศอย่างเร็ว ลากแสงยาวๆ ออกมาสองสาย


 


 


เมืองลั่วหยางเดิมก็ไม่ใหญ่อยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวนี้จึงรบกวนผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยทันที


 


 


“ท่านอา ท่านดูบนฟ้า!” โอวหยางไห่ที่ใส่ชุดสีน้ำเงินเงยหน้าอยู่ พอดีเห็นลำแสงสองสายวาดผ่านอากาศเหมือนดาวตก หนึ่งเขียวหนึ่งมรกต เจิดจรัสวิจิตรยิ่งนัก


 


 


โอวหยางเยี่ยนซานที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน พึมพำว่า “วิชายุทธ์ธาตุลม?”


 


 


“ท่านอา?” โอวหยางไห่ไม่ค่อยเข้าใจ


 


 


โอวหยางเยี่ยนซานมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กลับสู่ความสงบ ถอนใจว่า “ไห่เอ๋อร์ เมืองลั่วหยางเราตั้งอยู่ในสถานที่เล็กๆ หลายร้อยปีมานี้คลื่นลมสงบเสมอมา ใครจะรู้ว่าหลายสิบปีมานี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้ แม้แต่อาเองก็ดูไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เจ้าเห็นสีของแสงสองสายเมื่อครู่หรือไม่?”


 


 


โอวหยางไห่พยักหน้า “ไห่เอ๋อร์เห็นแล้ว แสงด้านหน้าเป็นสีเขียว แสงด้านหลังเป็นสีมรกต ท่านอา แสงสีเขียนนั่นไห่เอ๋อร์เข้าใจ ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นต้องบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุไม้เป็นแน่ ส่วนแสงสีมรกต หลายปีถึงเพียงนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน”


 


 


“แสงสีมรกต…” โอวหยางเยี่ยนซานครุ่นคิชั่วครู่ถึงว่า “มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุลมถึงเป็นสีมรกต และผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปจะตระหนักรู้คาถาธาตุลมสักคาถาหนึ่งก็ยากเย็นแสนสาหัส คิดบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุลม แสดงว่าคนคนนี้ต้องมี…รากวิญญาณลมแน่นอน!”


 


 


“อะไรนะ รากวิญญาณลมแปรผัน?” โอวหยางไห่ตกใจร้องเสียงหลง


 


 


โอวหยางเยี่ยนซานทอดถอนใจว่า “ถูกต้อง นึกถึงปีนั้นเมืองลั่วหยางของเราปรากฏรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผันขึ้นคนหนึ่ง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นรากวิญญาณลม ไห่เอ๋อร์ ไม่รู้เจ้าสังเกตหรือไม่ พลานุภาพที่กระจายออกจากผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนั้นเห็นชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรด้านหลังก็คือรากวิญญาณลม ไม่แปลกที่ความเร็วสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรข้างหน้าความเร็วไม่ด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นเช่นกัน เช่นนั้นก็ค่อนข้างประหลาดแล้ว”


 


 


ความอิจฉาวาบผ่านตาโอวหยางไห่


 


 


โอวหยางเยี่ยนซานมองโอวหยางไห่ปราดหนึ่ง ถอนใจว่า “เมื่อผิดปกติย่อมต้องมีอะไรแน่ๆ ไห่เอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าก็อ้างการท่องเที่ยวฝึกตน ไปจากเมืองลั่วหยางเถอะ”


 


 


“ท่านอา!” โอวหยางไห่แปลกใจ “ทว่ากลางวันวันนี้ไห่เอ๋อร์นัดแนะกับหลัวอวี้เฉิงแห่งตระกูลหลัวไว้แล้ว…”


 


 


ยังพูดไม่จบก็ถูกโอวหยางเยี่ยนซานพูดแทรก “เอาล่ะ เรื่องนี้ก็ฟังอาแล้วกัน เรื่องของตระกูลหลัวต่อไปก็ให้ข้าออกหน้าเอง”


 


 


เห็นโอวหยางไห่สีหน้าไม่ยินยอม โอวหยางเยี่ยนซานตบไหล่ของโอวหยางไห่ว่า “ไห่เอ๋อร์ อาในฐานะหัวหน้าตระกูลโอวหยาง อย่างไรก็ต้องเหลือผู้สืบสกุลไว้ให้ตระกูลโอวหยางเรา เจ้าอย่าลืมตระกูลมั่วในปีนั้น…”


 


 


โอวหยางไห่ได้ยิน ‘ตระกูลมั่ว’ สองคำแล้วหน้าถอดสีทันที เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอา ไห่เอ๋อร์เข้าใจแล้ว”


 


 


กลางอากาศ ลำแสงสองสายออกจากเขตเมืองลั่วหยางอย่างรวดเร็ว


 


 


อย่างไรเสียไหมเกล็ดน้ำแข็งก็เป็นสมบัติวิเศษ มั่วชิงเฉินฝืนเร่ง จึงค่อยๆ เหนื่อยล้าขึ้นมา


 


 


สัมผัสพลานุภาพที่เปล่งออกจากผู้บำเพ็ญเพียรที่ไล่ตามไม่ลดละข้างหลังพลาง มั่วชิงเฉินเกิดสงสัยขึ้นมา แปลกจริง ไยคนคนนั้นถึงมีความเร็วเช่นนี้ได้? คิดเช่นนี้พลางอดหันกลับไปมองปราดหนึ่งไม่ได้


 


 


เมื่อหันกลับไป มั่วชิงเฉินก็อดตกใจยกใหญ่ไม่ได้ ชายชุดดำคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่ถูกนางสลัดทิ้งไปไกล ไม่คิดเลยว่ากลับมีทีท่าว่าจะไล่ขึ้นมาทัน


 


 


“แสงวิญญาณสีมรกต?” ระหว่างที่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็วมั่วชิงเฉินหนักใจขึ้นมา จากนั้นยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น


 


 


ชาติที่แล้วตนไปล่วงเกินสวรรค์ไว้เช่นไรล่ะนี่ ชาตินี้ท่านถึงเล่นตนเองเช่นนี้


 


 


เดิมทีแผนการหลบหนีที่มั่นใจ ไม่คิดว่าจะพบกับผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมแปรผัน นี่ นี่ต้องโชคร้ายปานใดถึงเจอล่ะนี่!


 


 


ปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ตนฝืนใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งผลาญพลังวิญญาณเร็วเกินไป รอพลังวิญญาณผลาญสิ้นถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นไล่ทัน ก็มีเพียงทางตายทางเดียวเท่านั้นแล้ว


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้แลกกันสักตั้ง!


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็พุ่งลงข้างล่างทันที ร่อนลงบนพื้นอย่างรีบร้อน


 


 


ชายชุดดำกลางอากาศเห็นคนที่ไล่ตามมาตลอดจู่ๆ ก็ร่อนลง จึงตามลงไปอย่างไม่ลังเล


 


 


ยานนี้สถานที่ที่ทั้งสองคนอยู่คือในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ทว่าไม่ว่าใครก็ไม่มีกะจิตกะใจพิจารณารอบด้าน สายตาต่างจ้องอีกฝ่ายเขม็ง


 


 


“เจ้าเป็นใคร?” ชายชุดดำเสียงเย็นดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ในใจกลับประหลาดใจเล็กน้อยไม่คิดว่าคนที่ไล่ตามจะเป็นสตรีอายุน้อยปานนี้


 


 


มั่วชิงเฉินรีบใช้ความคิด ปากเอ่ยว่า “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางผ่านเมืองลั่วหยาง บังเอิญได้ยินว่าในเมืองมีจวนหลัวอยู่แห่งหนึ่งกลางคืนมีผีอาละวาดจึงเกิดแปลกใจขึ้นมา ทนไม่ไหวจึงไปดูสักหน่อย”


 


 


“เจ้านึกว่าข้าจะเชื่อเช่นนั้นหรือ?” ชายชุดดำตาฉายแววเย้ยหยัน


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจว่า “สหายเต๋า ข้าเพียงแต่แปลกใจถึงไปดูจริงๆ หากเจ้าไม่เชื่อข้าก็ช่วยไม่ได้”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าใจเย็นไม่เหมือนแสร้งทำ ชายชุดดำกลับกระดกมุมปากขึ้น หัวเราะนิ่งเรียบว่า “ไม่ว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่ เจ้าต้องได้ยินการสนทนาของเราในคืนนี้แล้วเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เก็บเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียงชายชุดดำ กระบี่ยาวในมือก็ตวัดขึ้นมา สตรีชุดขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ เปลือยเท้าลอยอยู่หลังผู้ชาย


 


 


กระบี่ชิงมู่ในมือมั่วชิงเฉินปรากฏขึ้น ร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขึ้นเช่นกัน


 


 


บุปผามากมายบานสะพรั่งกลางอากาศ เพียงครู่เดียวกลับถูกจิตกระบี่เย็นยะเยือกของอีกฝ่ายกวนจนร่วงกราว ไอเย็นกระหน่ำจู่โจมมาที่นาง


 


 


แม้จะบอกว่าวันก่อนในโถงแสดงยุทธ์มั่วชิงเฉินยังชนะศิษย์พี่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง ทว่าชายตรงหน้าเห็นชัดว่าเป็นผู้ที่โดดเด่นในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ยามนี้ทั้งสองคนประมือกัน ความต่างของตบะก็กลายเป็นช่องว่างที่นางยากจะก้าวข้ามไปได้เสียแล้ว


 


 


ที่ยิ่งทำให้นางลำบากเหลือจะกล่าวก็คืออีกฝ่ายมีจิตกระบี่แล้ว ตามเคล็ดกระบี่ที่ร่ายออกมาตนได้รับผลกระทบกระเทือนจากจิตกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่ใช้ออกมายามนี้กลับมีรูปแต่ไร้จิต อานุภาพเทียบไม่ได้กับยามที่สู้กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวน


 


 


ประมือกันหลายกระบวนท่า มั่วชิงเฉินค่อยๆ รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว


 


 


ชายชุดดำยิ้มเยาะ ปลายกระบี่ปล่อยปราณสีขาวออกมาพุ่งไปที่มั่วชิงเฉินทันที


 


 


ปราณสีขาวชนถูกตัวมั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉินสั่นเทิ้มในทันที ทั้งตัวเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นจนทั่ว หากไม่เพราะนางอยู่ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดมาระยะหนึ่ง ปราณสีขาวสายนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางเย็นจนแข็งแล้ว


 


 


ต่อให้มั่วชิงเฉินไม่ถึงกับขยับตัวไม่ได้ตามที่ชายชุดดำคาดไว้ ความเคลื่อนไหวกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว


 


 


แสงเย็นวาบผ่านตาชายชุดดำ กระบี่ยาวจู่โจมมาเงียบๆ


 


 


ในยามนี้ มั่วชิงเฉินกระทั่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตาย ความกดดันแห่งความเป็นตายจู่โจมมา แล้วก็เห็นเพียงนางตวัดกระบี่ชิงมู่ บุปผามากมายออกมาขวางการโจมตีของกระบี่ยาวไว้ ท่ามกลางกลิ่นผกาอบอวลเสียงนกขับขาน กลิ่นอายเย็นเยียบวังเวงสายนั้นถูกกวาดสลายไปทันที ที่มาแทนคือความมีชีวิตชีวา


 


 


ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เข้าสู่สภาพของวันนั้น เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่มีจิตกระบี่มีชีวิตขึ้นมาทันที อานุภาพเพิ่มขึ้นมากมาย


 


 


ชายชุดดำนัยน์ตาฉายแววตะลึง บนใบหน้ากลับไม่แยแส


 


 


ในยามที่มั่วชิงเฉินประคองอย่างลำบากนั่นเอง จู่ๆ ก็เห็นสตรีชุดขาวที่ลอยอยู่ด้านหลังชายชุดดำร่อนลงบนปลายกระบี่ของเขา กระบี่ยาวปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่ไม่มีอะไรเทียบได้กลืนกินกลิ่นอายมีชีวิตชีวาสายนั้นจนหมด พริบตาเดียวก็ล้อมมั่วชิงเฉินไว้ภายใน


 


 


จากนั้น มั่วชิงเฉินที่ตะลึงว่าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อยมองกระบี่ยาวแทงมาที่ตนกับตา 

 

 


ตอนที่ 235 ตกสู่แดนไร้วิญญาณ

 

ในครั้งนี้ มั่วชิงเฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าความแตกต่างของตบะช่างยากจะก้าวข้ามเพียงใด


 


 


การ ‘เยือนสำนัก’ ก่อนหน้านี้นางชนะคนของนิกายเหอฮวนรวดเดียวเจ็ดคน ต่อให้อาจารย์จะเคยเตือนผ่านๆ ว่าวิชายุทธ์ของนิกายเหอฮวนมีผลต่อการพิชิตผู้ชาย ต่อสตรีละก็ยากจะสำแดงฤทธิ์เดช ทว่าต่อมาการประลองกันหลายครั้งในโถงแสดงยุทธ์ นางยังคงไม่แพ้เลยสักครั้ง กวาดผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันจนราบเรียบ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็เคยชนะมาก่อน


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในจิตใต้สำนึกของมั่วชิงเฉินการประลองข้ามขั้นจึงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้อะไร นางมั่นใจว่าสามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้


 


 


ทว่าเจอชายชุดดำนี้ถึงเข้าใจ ชัยชนะก่อนหน้านี้เป็นเพราะยังไม่เคยเตะถูกของแข็ง ยามใดที่พบกับผู้ที่โดดเด่นในระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ความแตกต่างของตบะก็จะกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามได้


 


 


กระบี่ยาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในขณะนี้ มั่วชิงเฉินประจักษ์แล้วว่าอะไรคืออับจนหนทาง


 


 


‘สวบ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง คือเสียงปลายกระบี่แทงทะลุเสื้อผ้า ทว่าต่อจากนั้นก็เห็นที่หน้าอกของมั่วชิงเฉินเปล่งแสงเจิดจ้า กระบี่ยาวถูกดีดกลับไปทั้งอย่างนั้น


 


 


ในยามที่ชายชุดดำกำลังงงงัน ระเบิดสะท้านฟ้าสามลูกปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน แล้วโยนไปที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลังเล


 


 


เห็นชัดว่าชายชุดดำประสบการณ์สู้รบล้นหลาม ความงงงันในชั่วพริบตาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของเขาแต่อย่างใด ท่ามกลางเสียงดังสนั่นเขาสองเท้าแตะพื้นลอยถอยหลังไปดุจสายลม ขณะเดียวกันก็ตวัดกระบี่ สตรีชุดขาวที่ยืนอยู่บนปลายกระบี่ลอยเบาๆ พุ่งเข้าไปในควันหนาอย่างประหลาด


 


 


สตรีชุดขาวราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากควันหนาที่เกิดจากการระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้าแม้แต่น้อย กางแขนสองข้างออกทะลุควันหนาเข้าไปทั้งตัว โถมไปบนตัวมั่วชิงเฉินโดยตรง


 


 


หากมีผู้ยืนดูก็จะเห็นด้วยความตะลึงว่า ยามที่สตรีชุดขาวโถมไปถึงตัวมั่วชิงเฉิน นางดูเหมือนล่องหนได้หายเข้าไปในกายมั่วชิงเฉินทั้งตัว จากนั้นมุดออกจากหลังมั่วชิงเฉิน ค่อยๆ รวมเป็นร่างคนอีกครั้ง


 


 


ในชั่วพริบตานั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความหนาวเย็นทะลุกระดูก โชคดีที่ยามที่ปล่อยระเบิดสะท้านฟ้าออกมานางได้ส่งเพลิงแก้วใจกระจ่างหย่อมหนึ่งออกมาลอยอยู่บนปลายนิ้วเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เมื่อหลังจากที่สตรีชุดขาวเหมือนควันเขียวที่จับต้องไม่ได้ลอยผ่านไปนางก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ไปทั้งตัว มีเพียงมือที่มีเพลิงแก้วใจกระจ่างที่ปล่อยออกมายังสามารถขยับได้


 


 


มือข้างหนึ่งยังสามารถขยับได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว!


 


 


มั่วชิงเฉินตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ระเบิดสะท้านฟ้าปรากฏขึ้นในมือไม่ได้ขาด ขอเพียงปรากฏขึ้นก็โยนไปที่ที่มีควันหนานั่นทันที


 


 


ชายชุดดำที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเสมอมาภายใต้อานุภาพแรงระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้าในที่สุดก็ทุลักทุเลขึ้นมาเล็กน้อย ขยับตัวหลบหลีกการโจมตีไม่ได้หยุด


 


 


ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ควันหนาที่กระพือขึ้นเพราะการระเบิดติดๆ กันไม่ได้กระจายไปแม้สักนาทีเดียวชัดๆ กระทั่งยังมีทีท่ายิ่งนานยิ่งหนา แต่ระเบิดประหลาดที่หญิงที่อยู่ตรงข้ามโยนมากลับส่วนใหญ่ล้วนพุ่งมาที่ทิศทางที่เขาอยู่


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่าตาของหญิงคนนั้นสามารถมองทะลุหมอกหนาได้?


 


 


ในระหว่างที่หลบหลีกไม่หยุด คำถามต่างๆ นานาพุ่งขึ้นในใจชายชุดดำ


 


 


‘ปัง’ เสียงหนึ่ง ชายชุดดำเพิ่งหลบระเบิดสะท้านฟ้าได้ลูกหนึ่ง ใครจะรู้ว่าที่ที่ร่อนลงปรากฏระเบิดสะท้านฟ้าขึ้นจากไหนก็ไม่รู้ลูกหนึ่งแล้วระเบิดออกทันที กระแสอากาศอันรุนแรงพุ่งเข้ามาดันเขาหงายหลังกับพื้น


 


 


“แค่กๆ” ชายชุดดำไอพลาง สีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา


 


 


สมควรตาย ไม่คิดเลยว่าจะถูกระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บ!


 


 


ชายชุดดำใช้กระบี่ยันตัวยืนขึ้นมา จากนั้นสองมือกอดกระบี่ไว้ที่หน้าอก ในปากร่ายไปสองสามประโยค


 


 


แล้วก็เห็นสตรีชุดขาวกลายเป็นควันสีขาวกลุ่มหนึ่งมุดเข้ากระบี่ กระบี่ยาวทั้งเล่มเปล่งแสงสีขาวจ้าขึ้นทันที กลายเป็นแสงเย็นนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุหมอกหนาไปทางมั่วชิงเฉิน


 


 


เดิมทีมั่วชิงเฉินก็ขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่แล้ว ได้แต่มองแสงเย็นนับไม่ถ้วนจู่โจมมาที่ตนตาปริบๆ


 


 


นางกัดฟันอย่างแรง ระเบิดสะท้านฟ้าสิบกว่าลูกปรากฏขึ้นในพริบตา เหมือนสายสร้อยที่ร้อยขึ้นแน่นขนัดขนาดมหึมา


 


 


“ไป!” มั่วชิงเฉินตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง เปลวไฟสีฟ้าที่ปลายนิ้วหย่อมนั้นตามระเบิดสะท้านฟ้าสิบกว่าลูกบินไปฝั่งตรงข้าม หลังจากบินออกไปหลายจั้งเปลวไฟสีฟ้าก็จุดติดระเบิดสะท้านฟ้า


 


 


ไม่รู้เพราะมีเพลิงแก้วใจกระจ่างเป็นเชื้อเพลิงหรือเพราะจำนวนระเบิดสะท้านฟ้ามีมาก ครั้งนี้หุบเขาที่ทั้งสองคนอยู่เกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวสะเทือนฟ้าดินขึ้นระลอกหนึ่ง


 


 


ตามติดด้วยพื้นดินใต้เท้ามั่วชิงเฉินสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ตามด้วยเสียงก้อนหินยักษ์กลิ้งตก นกและสัตว์นับไม่ถ้วนร้องระงมวิ่งหนี


 


 


ท่ามกลางพื้นดินสะเทือนภูเขาสั่นไหว มั่วชิงเฉินที่ยังคงขยับตัวไม่ได้จู่ๆ ก็รู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า คนทั้งคนตกลงไปข้างล่างทันที


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฟื้นขึ้นมา ลืมตาขึ้นอย่างเปลืองแรง ความเจ็บปวดที่รุนแรงและความหนาวเย็นเกือบทำให้นางหมดสติอีกครั้ง


 


 


“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงเย็นๆ เสียงหนึ่งลอยมา


 


 


มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือกทันที มองไปตามเสียง เห็นเพียงชายชุดดำที่สู้กันเอาเป็นเอาตายกับตนเอียงตัวพิงอยู่บนกำแพงหินไม่ไกลออกไป สายตาสอดส่องมาทางนี้


 


 


เห็นสีหน้าระแวงของสตรีตรงข้าม ชายชุดดำหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “วางใจได้ ข้ายังไม่ฆ่าเจ้าชั่วคราว”


 


 


มั่วชิงเฉินสอดส่ายสายตา กวาดมองชายชุดดำรอบหนึ่ง จากนั้นหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าไม่มีปัญญาฆ่าข้ากระมัง?”


 


 


“เจ้า!” บนใบหน้าชายชุดดำฉายแววโกรธแวบหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินขยับไม่ได้ เพียงแต่ใช้สายตากวาดไปรอบๆ ว่า “อย่าเปลืองแรงเลย บัดนี้พวกเราพอๆ กัน บอกมาดีกว่า ตกลงที่นี่เป็นสถานที่อะไรกันแน่?”


 


 


ชายชุดดำยิ้มเยาะทันทีว่า “สถานที่อะไร? นี่ยังไม่เพราะเรื่องดีที่เจ้าทำไว้หรอกหรือ!”


 


 


“หืม?” มั่วชิงเฉินกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ


 


 


แล้วก็ได้ยินชายชุดดำว่า “ที่เจ้าโยนมันของบ้าอะไรกันแน่ อานุภาพการระเบิดน่ากลัวถึงเพียงนั้น ข้าคาดว่าต้องเป็นการระเบิดครั้งสุดท้ายนั่นระเบิดพื้นผิวดินออกเป็นแน่ พวกเราตกลงมาใต้ดินแล้ว!”


 


 


มั่วชิงเฉินกลับจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาว่า “เฮ้อ ดูท่าข้าทำได้ไม่เลวจริงๆ หากไม่เพราะเช่นนี้ เกรงว่ายามนี้คงไม่มีแม้แต่โอกาสให้ข้าพูดอยู่ที่นี่แล้ว”


 


 


“เจ้านึกว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?” ชายชุดดำพูดชัดถ้อยชัดคำ


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือกตาอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “มีปัญญา เจ้าก็มาฆ่าข้าสิ!”


 


 


น้ำเสียงท้าทายของมั่วชิงเฉินทำให้สีหน้าของชายชุดดำยิ่งซีดเซียวขึ้น ดูแล้วอ่อนแอสุดจะทนพร้อมจะสลบได้ทุกเมื่อ คำพูดที่พูดออกมากลับรังสีอำมหิตคุกรุ่น “วันที่ออกไปจากที่นี่ ก็คือยามที่ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”


 


 


มั่วชิงเฉินแสยะมุมปาก แล้วหลับตาให้รู้แล้วรู้รอดไป


 


 


บัดนี้การที่สองคนคุยกันเช่นนี้มีแต่เปลืองแรงเท่านั้น ไม่ว่าใครก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่เอาเป็นเอาตายกัน ทว่ายามนี้ทั้งสองคนอย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แม้แต่แรงจะขยับยังไม่มี


 


 


ต่อให้ฟื้นฟูเรี่ยวแรงแล้ว ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนไม่ว่าใครก็ไม่มีทางทะเล่อทะล่าลงมือหรอก


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ตนพลิกสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นสถานการณ์เช่นยามนี้ก็นับว่าเป็นชัยชนะที่หายากแล้ว


 


 


อย่างนั้นคนคนนั้นต้องอัดอั้นกว่าตนมาก นึกถึงตรงนี้อารมณ์มั่วชิงเฉินก็อดดีขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้


 


 


นางลองโคจรพลังวิญญาณในกายกลับพบว่าพลังวิญญาณในกายหลังจากผ่านการสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่เกือบแห้งเหือดแล้ว จึงโคจรวิชายุทธ์รวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินรอบๆ ตัวเข้าร่างตามปกติ ทว่าหลังจากนั้นกลับลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ


 


 


มันเรื่องอะไรกัน โคจรวิชายุทธ์แล้วกลับไม่อาจดึงปราณวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างได้?


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ไม่ถูก ไม่ใช่ไม่อาจดูดปราณวิญญาณได้ หากแต่ หากแต่รอบๆ นี้ไม่มีปราณวิญญาณฟ้าดิน!


 


 


ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “เป็นอันใด เจ้าเพิ่งสังเกตหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินมองไป เห็นในตาชายชุดดำฉายแววเยาะเย้ย จึงอดหัวเราะไม่ได้ว่า “เป็นอันใด เจ้าสังเกตได้ก่อนก้าวหนึ่งแล้วก็นึกวิธีอะไรออกมาได้หรืออย่างไร?”


 


 


ชายชุดดำชะงักงัน


 


 


แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “หากไม่มี ยังไม่สู้ประหยัดแรงไว้คิดว่านี่มันเรื่องอะไรกัน พูดจาพิกลเช่นนี้มีความหมายอะไร? ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกำจัดเข้าให้สิ้นเรื่องไป ทว่าอย่างไรเสียนั่นก็เป็นเรื่องภายหลัง แก้ปัญหาตรงหน้าก่อน รอออกไปแล้วค่อยสู้กันดีๆ อีกสักตั้งไม่สะใจกว่าที่เป็นอยู่เช่นนี้หรือ?”


 


 


ชายชุดดำนิ่งเงียบครู่หนึ่ง มองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จากนั้นจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “เจ้าพูดได้ถูกต้อง” ครั้งนี้ ในตาไม่มีแววดูถูกเยาะเย้ยอีก


 


 


หลังจากนั้น ชายชุดดำพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินตกใจยกใหญ่ “เกรงว่าเจ้ายังไม่ได้ลอง ข้าลองแล้ว ถุงเก็บวัตถุเปิดไม่ออก”


 


 


ไม่ทันได้สนใจเรื่องพูดแล้ว มั่วชิงเฉินรีบเคลื่อนพลังวิญญาณที่บางเบาในกายไปเปิดถุงเก็บวัตถุ กลับพบว่าพลังวิญญาณเพิ่งปล่อยออกนอกกายก็สลายไปในพริบตา


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีทันที ถุงเก็บวัตถุเปิดไม่ได้ ก็หมายความว่าสวนสมุนไพรพกพาก็ใช้ไม่ได้ ระเบิดสะท้านฟ้าใช้หมดเกลี้ยงในการสู้เอาเป็นเอาตายเมื่อครู่แล้ว ไม่มีสุราเลิศรสจากขวดน้ำเต้าเซียนเร่งการงอก ในสวนสมุนไพรพุ่มไม้หนามที่เป็นพฤกษาหมื่นปีแล้วกลับไม่อาจงอกระเบิดสะท้านฟ้าออกมาได้อีกในทันที


 


 


ต้องรู้ว่าพุ่มไม้หนามอายุหมื่นปีแล้วแม้ไม่จำเป็นต้องรออีกหมื่นปีถึงงอกระเบิดสะท้านฟ้าได้อีกครั้ง แต่กลับร้อยปีงอกครั้งหนึ่ง ก็หมายความว่าในความเป็นจริงทุกหนึ่งร้อยวันนางถึงเก็บเกี่ยวระเบิดสะท้านฟ้าได้งวดหนึ่ง แต่ละงวดมีเพียงสิบลูกเท่านั้น


 


 


ไม่มีระเบิดสะท้านฟ้าเป็นวิธีรักษาชีวิต ยามที่หลุดออกจากที่นี่ได้นางควรรับมือคนตรงหน้าเช่นไรดีนะ?


 


 


ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องในวันหลัง บัดนี้พวกเขาก็ไม่อาจดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้ พลังวิญญาณในกายปล่อยออกนอกกายก็สลายไปทันทีอีก เช่นนั้นมิหมายความว่าพลังยุทธ์และพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของพวกเขาล้วนหายไปหมด กลายเป็นคนธรรมที่มือปราศจากอาวุธหรอกหรือ?


 


 


“คาถาก็ร่ายไม่ได้ด้วยสินะ?” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า


 


 


ในตาชายชุดดำวาบแววชื่นชมผ่านอย่างหาได้ยากว่า “สมองเจ้าหมุนเร็วดีนี่”


 


 


มั่วชิงเฉินหงุดหงิด คนคนนี้ต้องหลงตนเองปานใดกันแน่ นอกจากเขาแล้วผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าก็ล้วนเป็นคนโง่ใช่หรือไม่?


 


 


จากนั้นคิดถึงพรสวรรค์รากวิญญาณลมแปรผันของเขาก็รู้สึกว่าคนคนนี้มีนิสัยเช่นนี้ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียเขาก็มาจากตระกูลบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่สำนักใหญ่ที่อัจฉริยะบินเต็มฟ้า


 


 


ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป อย่าว่าแต่รากวิญญาณฟ้าและรากวิญญาณแปรผันเลย ต่อให้เป็นรากวิญญาณคู่ มีคนไหนไม่ถูกประคบประหงมบ้าง


 


 


“เจ้าคิดว่าบัดนี้สถานการณ์ของเราเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิง


 


 


ชายชุดดำครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงว่า “ข้าเดาว่า เกรงว่าเราจะตกเข้ามาในแดนไร้วิญญาณแล้ว”


 


 


“แดนไร้วิญญาณ?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ


 


 


“ถูกต้อง เล่าลือกันว่าในแดนไร้วิญญาณ ในฟ้าดินไม่มีปราณวิญญาณเลยแม้แต่น้อย พลังวิญญาณภายในกายผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อออกมาข้างนอกก็จะสลายไปเช่นกัน ดังนั้นคาถาฤทธิ์เดชทั้งหมดของผู้บำเพ็ญเพียรล้วนหายไปสิ้น กลายมาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเอ่ยช้าๆ


 


 


ไม่อาจเติมพลังวิญญาณ ไม่อาจใช้ถุงเก็บวัตถุ บาดแผลเต็มตัวไม่อาจขยับเขยื้อน สิ่งแวดล้อมที่อยู่ไม่รู้จะมีอันตรายอะไรที่ไม่รู้ปรากฏขึ้น คนที่อยู่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวยังเตรียมพร้อมจะฆ่าตนเองได้ทุกเมื่อ


 


 


สวรรค์ ข้ายังโชคร้ายกว่านี้ได้อีกหรือไม่? มั่วชิงเฉินหลับตาแล้วคิดเงียบๆ 

 

 


ตอนที่ 236 มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์

 

ไม่สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้ อีกทั้งเปิดถุงเก็บวัตถุหยิบหินวิญญาณและโอสถออกมาไม่ได้ พลังวิญญาณในกายมั่วชิงเฉินไม่ได้รับการเติมอยู่ที่ริมขอบแห่งการแห้งเหือดตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ ขาดการหล่อเลี้ยงของปราณวิญญาณอาการบาดเจ็บก็ไม่เห็นดีขึ้นเสียที


 


 


ชายชุดดำก็ไม่ดีไปถึงไหนเช่นกัน ระเบิดสะท้านฟ้าที่มั่วชิงเฉินโยนออกไปครั้งสุดท้ายมีสิบกว่าลูกเต็มๆ อานุภาพมหาศาลทำให้อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างหนักเช่นกัน


 


 


เดือนแรก ทั้งสองคนไม่ว่าใครก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ นั่งจ้องตากัน


 


 


เดือนที่สอง มั่วชิงเฉินที่ยังคงขยับเขยื้อนไม่ได้ภายใต้สถานการณ์ที่ว่างจนจะเป็นบ้า ด้วยความบังเอิญใช้จิตตระหนักแตะก้อนหินเล็กๆ กลมกลึงก้อนหนึ่งที่ตกอยู่ข้างกาย ไม่คิดเลยจะพบว่าก้อนหินเล็กๆ นั่นส่ายแผ่วเบาทีหนึ่ง


 


 


ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หาที่ยึดเหนี่ยวเจอ ใช้จิตตระหนักแตะก้อนหินเล็กทั้งวัน แรกสุดก้อนหินเล็กเพียงแค่ส่ายเบาๆ ต่อมาถูกจิตตระหนักผลักจนกลิ้งขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด


 


 


หลังจากนั้นอีกสองเดือน มั่วชิงเฉินสามารถใช้จิตตระหนักผลักก้อนหินขนาดเท่าเหอเถา[1]ได้แล้ว


 


 


สัมผัสได้ถึงสายตาระแวงของชายชุดดำ มั่วชิงเฉินยิ้มเบาๆ ตั้งแต่ที่นางเริ่มใช้วิธีเช่นนี้ฝึกฝนจิตตระหนัก คนคนนั้นก็เลียนแบบขึ้นมา ทว่าจนถึงบัดนี้จิตตระหนักของเขายังคงทำได้เพียงผลักก้อนหินขนาดเท่าเม็ดข้าวเท่านั้น เทียบกับตนแล้วต้องด้อยกว่ามาก


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้ว ไม่รู้ว่าจะยกความดีความชอบของความแตกต่างนี้แก่จิตตระหนักที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิดของตน หรือเพราะเคยถูกแส้เทพเฆี่ยนตีมาก่อน หรืออาจเพราะทั้งสองก็มิอาจรู้ได้


 


 


มั่วชิงเฉินสามารถเข้าใจแววตาระแวงของชายชุดดำได้ ต้องรู้ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว ดวงจิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและก็อ่อนแอที่สุดเช่นกัน เมื่อใดที่ดวงจิตถูกจู่โจม ผลลัพธ์นั้นจะร้ายแรงมาก


 


 


และภายใต้สถานการณ์ทั่วไป นอกจากสมบัติวิเศษที่ใช้จู่โจมดวงจิตโดยเฉพาะที่หายากแล้ว ก็มีเพียงจิตตระหนักของคู่ต่อสู้หลังจากผ่านการฝึกวิชายุทธ์พิเศษที่สามารถสร้างความเสียหายให้ดวงจิตได้


 


 


ทว่าวิชายุทธ์สำหรับฝึกฝนจิตตระหนักโดยเฉพาะไม่เพียงหาได้ยาก อีกทั้งยังเรียกร้องผู้ฝึกฝนไว้สูงมาก ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่หากฝึกฝนอย่างทะเล่อทะล่าละก็ต้องพบจุดจบดวงจิตพลังทลายทั้งนั้น พูดได้ว่าวิชายุทธ์ที่ฝึกฝนจิตตระหนักเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่พูดถึงแล้วต้องหน้าถอดสี


 


 


ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไป จิตตระหนักของผู้บำเพ็ญเพียรนอกจากใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นที่รู้กันดีแล้ว ก็ทำได้เพียงผลักก้อนกลมแนบวิญญาณที่มีจิตตระหนักแนบอยู่โดยเฉพาะ จิตตระหนักในยามนี้ของมั่วชิงเฉินสามารถผลักก้อนหินขนาดเท่าเหอเถาได้ แสดงว่าจิตตระหนักของนางสามารถมีผลต่อของที่จับต้องได้แล้ว และจิตตระหนักที่มีผลต่อของที่จับต้องได้ก็สามารถสร้างความเสียหายให้ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรอื่นๆ ได้เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะไม่หวาดหวั่นได้เช่นไรกัน!


 


 


เวลาผ่านไปอีกสองเดือน ทั้งสองคนอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว อาการบาดเจ็บของแต่ละคนในที่สุดก็ดีขึ้นอย่างช้าๆ กลับมาเคลื่อนไหวได้แล้ว


 


 


ต่างพิจารณาซึ่งกันและกันอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง ชายชุดดำเปิดปากว่า “ไปหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินประสานสายตากับเขา เม้มริมฝีปากว่า “ไป”


 


 


คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าสองคนเป็นสหายที่ผจญภัยด้วยกัน กลับไม่รู้ว่าในขณะที่ทั้งสองคนกลับมาเคลื่อนไหวได้ ความคิดแรกที่วาบผ่านในใจต่างคือการฆ่าอีกฝ่าย


 


 


โดยเฉพาะชายชุดดำ กลิ่นอายเข่นฆ่าในตาแทบจะปิดไม่มิด จนถึงยามที่พูดถึงฝืนกดลงไป


 


 


ในแดนไร้วิญญาณนี้มั่วชิงเฉินกลับไม่กลัวอีกฝ่าย ต้องรู้ว่าบัดนี้ทั้งสองคนต่างไม่อาจใช้ฤทธิ์เดชคาถาได้ อาศัยเพียงหมัดมวยแข้งขาละก็ ก็อาศัยร่างกายที่อ่อนแอลมพัดทีแทบปลิวของอีกฝ่ายนางยังไม่เห็นในสายตาจริงๆ


 


 


อีกฝ่ายไม่มาตอแยก็ช่างเถอะ หากคิดจะลงมือนางไม่ใส่ใจที่จะให้คุณชายคนนี้ลองลิ้มลองรสชาติการถูกอัดหรอกนะ! มั่วชิงเฉินคิดเช่นนี้ แล้วคาดหวังขึ้นมารางๆ อย่างไม่คาดคิด


 


 


สถานที่ที่ทั้งสองคนอยู่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ใต้เท้าคือโคลนที่นิ่มแฉะ พอเดินขึ้นมารองเท้าก็ติดโคลนเต็มไปหมด ยิ่งเดินยิ่งหนัก


 


 


และเงยหน้ามองไป กลับพบว่ารอบด้านล้วนเป็นกำแพงสูงที่คล้ายดินแต่ไม่ใช่ดินคล้ายหินแต่ไม่ใช่หิน มองขึ้นไปอีกก็เห็นไม่ชัดแล้ว มืดไปหมด


 


 


ไม่มีพลังวิญญาณ สภาพร่างกายของทั้งสองคนแม้ดีกว่าคนธรรมดามาก ทว่าเดินอยู่บนถนนเช่นนี้ยังคงทนไม่ไหว ไม่ถึงสามชั่วยามมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าขาหนักแล้ว


 


 


ส่วนชายชุดดำดูเหมือนยิ่งอนาถกว่าสักหน่อย สามารถได้ยินเสียงหายใจที่หนักหน่วงได้อย่างชัดเจน


 


 


เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ในใจมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็สบายใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นยิ่งเดินยิ่งเร็ว สะบัดโคลนจนกระเด็นไปทั่ว


 


 


‘แปะ’ เสียงหนึ่ง โคลนก้อนหนึ่งแปะอยู่บนขากางเกงของชายชุดดำ ร่างกายเขาเซทันที แล้วอดถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างดุดันไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินทำเป็นไม่รู้เรื่อง เดินของตนไป


 


 


ชายชุดดำกระตุกมุมปาก หญิงผู้นี้ตกลงเป็นใครกันแน่ กลายมาไม่ต่างจากคนธรรมดาเหมือนตนชัดๆ เหตุใดเดินมานานเพียงนี้แล้วยังกระปรี้กระเปร่าปานนี้?


 


 


ชายชุดดำรู้สึกเพียงว่าขายิ่งเดินยิ่งหนัก ค่อยๆ ยกไม่ค่อยขึ้นแล้ว ทว่าเห็นมั่วชิงเฉินท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกลับแอบกัดฟัน จะให้เขาบอกสตรีคนหนึ่งให้หยุดพักสักครู่ ช่างอ้าปากพูดไม่ออกจริงๆ!


 


 


มั่วชิงเฉินแอบกระดกมุมปาก เจ้าเป็ดตายปากแข็ง สมน้ำหน้าเหนื่อยให้เจ้าตายไปเลย!


 


 


เดินไปอีกเกือบสองชั่วยาม เสียงหอบหายใจของชายชุดดำในสถานที่เงียบสงัดเช่นนี้ดังเหมือนฟ้าผ่าแล้ว สีหน้าซีดเผือดแต่ฝืนประคองตนเองไว้


 


 


มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว พอดีเห็นที่ที่ผ่านมามีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง จึงหยุดเดินนั่งลงไปเต็มก้น


 


 


“เป็นอันใด?” ชายชุดดำหยุดกึก


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองชายชุดดำปราดหนึ่งว่า “พักผ่อนน่ะสิ ข้าเหนื่อยแล้ว”


 


 


“เจ้า…เจ้าเหนื่อยแล้ว?” ชายชุดดำก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ รู้สึกเพียงว่าในใจอึดอัดอย่างผิดปกติ


 


 


“ใช่น่ะสิ เดินมานานปานนี้จะไม่เหนื่อยได้หรือ หากเจ้าไม่เกี่ยงว่าเหนื่อยก็เดินหน้าไปก่อน” มั่วชิงเฉินพูดจบมองก็ไม่มองชายชุดดำสักปราด กึ่งหลับตาปรับลมหายใจขึ้นมา


 


 


ชายชุดดำอัดอั้นอยู่ในอก ร่างกายโซเซพลางนั่งลงมา พอได้นั่งปุ๊บก็รู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อยไปหมดทันที ขี้เกียจขยับเขยื้อนอีกแล้ว


 


 


ในชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


“โอ๊ย” มั่วชิงเฉินที่หลับตาปรับลมหายใจจู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า จากนั้นความรู้สึกแสบร้อนสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา นางรีบกระโดดขึ้นมาแล้วพับขากางเกงขึ้น เห็นเพียงบนข้อเท้ามีมดแดงไฟขนาดเท่าผึ้งตัวหนึ่งกำลังต่อยตรงนั้นอยู่ ข้อเท้าขาวดุจหิมะบวมแดงขึ้นเป็นลูก


 


 


เสียงร้องของมั่วชิงเฉินย่อมรบกวนชายชุดดำแล้ว เขารีบลุกขึ้นมาทันที สายตาตกลงบนข้อเท้ามั่วชิงเฉิน


 


 


มองมดขนาดเท่าผึ้งตัวหนึ่งหมอบอยู่บนข้อเท้าตนไม่ขยับเขยื้อนกับตา ต่อให้มั่วชิงเฉินที่สุขุมเสมอมาก็รู้สึกขนหัวลุก เสียดายที่เปิดถุงเก็บวัตถุไม่ได้ จึงได้แต่ใช้นิ้วมือไปจับโดยตรง


 


 


หยิบส่วนหลังของมดแดงไฟอย่างระมัดระวัง มั่วชิงเฉินจับมันขึ้นมา ยกมือขึ้นจะโยนออกไป


 


 


กลับได้ยินชายชุดดำตะโกนว่า “อย่าทิ้ง”


 


 


มั่วชิงเฉินมองไป


 


 


สายตาชายชุดดำจ้องมดในมือนางว่า “หากข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์”


 


 


“มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว แสดงให้เห็นว่าไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน


 


 


สีหน้าเย็นชาจนเป็นปกติของชายชุดดำในที่สุดก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ปากก็ว่า “แดนไร้วิญญาณแม้ไม่มีปราณวิญญาณใดๆ กลับกำเนิดมดมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ก็คือมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าอย่าเห็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มีขนาดเพียงเท่าผึ้ง แต่ละตัวกลับเต็มไปด้วยปราณวิญญาณมหาศาล หากผู้บำเพ็ญเพียรกินเข้าไปละก็ตบะจะเพิ่มขึ้นมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือไม่ทำให้รากฐานไม่มั่นคง ก็เหมือนได้มาเพราะตนเองนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร นอกจากนี้ ปราณวิญญาณที่อยู่ในมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ยังทำให้ไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งขึ้น”


 


 


“ไม่คิดเลยว่าจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้? มั่วชิงเฉินมองดูมดแดงไฟในมือแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อ จากนั้นกลับนึกถึงเหตุผลที่ฟ้าดินแบ่งเป็นหยินหยาง สรรพสิ่งส่งเสริมและข่มซึ่งกันและกัน จึงอดเชื่อคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอยู่หลายส่วนไม่ได้


 


 


เพียงแต่ สิ่งที่คนผู้นี้รู้จะมากเกินไปหรือไม่


 


 


ต้องรู้ว่านางอยู่พรรคเหยากวงก็นับว่าจัดอยู่ในแถวของบุตรผู้ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าแล้ว อาจารย์ยิ่งมีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร ทว่าอยู่มาหลายปีถึงเพียงนี้แม้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย กลับไม่เคยได้ยินของตรงหน้านี้มาก่อน


 


 


กระทั่งข้อมูลของแดนไร้วิญญาณก็ได้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำนี้เป็นคนแนะนำให้ เขาผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหนึ่ง เหตุใดความรู้ถึงกว้างไกลเช่นนี้?


 


 


มั่วชิงเฉินมิใช่เพราะเข้าสำนักเลื่องชื่อจึงดูถูกผู้บำเพ็ญเพียรตามตระกูล เพียงแต่รู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนี้ให้ความรู้สึกผิดปกติเหลือเกิน หรือว่า…เขายังมีฐานะอื่นอยู่?


 


 


“เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?” ชายชุดดำเห็นนิ้วมือมั่วชิงเฉินยิ่งบีบมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งแน่น มดตัวอ้วนพีร้องขู่ดิ้นรนขึ้นมา จึงอดถามไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บความคิดกลับมา มองผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ไยเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้?”


 


 


ตรงประเด็นจนทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำชะงักเบาๆ


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ มั่วชิงเฉินนึกว่าเขาจะไม่ส่งเสียงแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำนั่นกลับเปิดปากด้วยเสียงสงบว่า “ในตระกูลเรามีท่านเทียดอยู่ท่านหนึ่งเคยเข้ามาในแดนไร้วิญญาณด้วยโอกาสวาสนานำพา ในบันทึกที่ทิ้งไว้ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ ก็เพียงเท่านี้เอง”


 


 


การอธิบายเช่นนี้ กลับทำให้มั่วชิงเฉินหาช่องโหว่ไม่ได้


 


 


“เช่นนั้นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นี่จะจัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินยกมือขึ้นว่า


 


 


ชายชุดดำเหลือบมองมั่วชิงเฉินนิ่งเรียบปราดหนึ่งว่า “ย่อมต้องกินเข้าไปอยู่แล้ว” เห็นมั่วชิงเฉินชะงักงัน แบะมุมปากเล็กน้อยว่า “หากเจ้าไม่กิน ก็ให้ข้า”


 


 


มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นี่ ควรจะอยู่เป็นฝูงกระมัง?”


 


 


สันนิษฐานตามหลักการทั่วไป ประเภทมดผึ้งที่กลายเป็นอสูรวิญญาณแม้ต่างกับมดผึ้งธรรมดาราวฟ้ากับดิน ทว่านิสัยที่มีมาแต่ดั้งเดิมเช่นนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้


 


 


ในตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำวาบความชื่นชมผ่านสายหนึ่ง “เจ้าเดาได้ถูกต้อง”


 


 


“ถ้ำมดนั่นอยู่ไหน?” ทุกครั้งที่คนคนนี้ชมเชยนาง มั่วชิงเฉินก็ขี้เกียจพูดมากกับเขา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมุมปากอมยิ้มแล้วชี้ก้อนหินใหญ่ที่มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ว่า “น่าจะอยู่ข้างล่างนี้” เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าสงสัย จึงเอ่ยต่อว่า “เดิมทีนี่เป็นหินปิดปากถ้ำของคนเขา กลับไม่คิดว่าถูกเจ้านั่งลงไปเต็มก้น คิดว่าคงส่งลูกกะจ๊อกออกมาดู”


 


 


เต็มก้น? มั่วชิงเฉินหน้าดำ แม้จะบอกว่าจุดยืนของทั้งสองคนเป็นศัตรูกัน การปฏิบัติต่อกันยิ่งไม่มีความคิดเรื่องชายหญิง ทว่าคำพูดนี้จะไม่ตรงเกินไปหน่อยหรือ


 


 


“เจ้าพูดกับสตรี จะอ้อมค้อมสักหน่อยไม่ได้หรือ?” มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวค้อนตาคว่ำทีหนึ่ง


 


 


รับค้อนที่มั่วชิงเฉินโยนมาอย่างใจเย็น ชายชุดดำเลิกคิ้วว่า “ขออภัย ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นสตรี” น้ำเสียงกลับไม่มีความสำนึกผิดสักนิด


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ขี้เกียจพูดมากอีกทันที แล้วชี้ก้อนหินใหญ่ว่า “เจ้าไปหาเองตัวหนึ่ง จากนั้นกินลงไปพร้อมกัน”


 


 


ช่วงเวลาที่ชายชุดดำพูดนี้พละกำลังก็ฟื้นฟูมาเล็กน้อย จึงเดินตรงไปหน้าก้อนหินใหญ่ย่อตัวลง สองมือกอดก้อนหินไว้แล้วออกแรงยก ใครจะรู้ว่าเบ่งจนหน้าแดงไปหมดก้อนหินใหญ่กลับไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


 


เห็นชายชุดดำลองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครึ่งค่อนวัน ใช้พลังวัวเก้าตัวกับเสือสองตัว[2]ก้อนหินกลับไม่ขยับสักนิด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หมดความอดทน โบกมือว่า “เจ้าไปยืนข้างๆ ข้าเอง”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหอเถา คือ ถั่ววอลนัท หรือ มันฮ่อ


 


 


[2] พลังวัวเก้าตัวกับเสือสองตัว หมายถึง พลังมหาศาล

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม