เนตรเซียนทะลุสมบัติ 230-236
ตอนที่ 230 ทำความสะอาดซื่อเหอย่วน
หลังจากที่หยางโปได้บ้านซื่อเหอย่วนแล้ว ตาเฒ่าเว่ยก็โทรให้บริษัทขนของมาย้ายของส่วนตัวของเขาออกไป ในขณะที่หยางโปก็เรียกให้คนเข้ามาทำความสะอาดทันทีเช่นเดียวกัน
ลัวย่าวหัวและเจ้าอ้วนหันมาสบตากันก่อนที่ลัวย่าวหัวจะบ่นขึ้นมาว่า “นายให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแล้วพวกเราออกไปหาของโบราณกันต่อไม่ดีกว่าเหรอ?”
เจ้าอ้วนหลิว “แถมนี้ยังมีบ้านอีกสองสามที่คิดว่าน่าจะมีวัตถุโบราณเจ๋งๆด้วยนะ ฉันว่าพวกเราลองไปดูกันก่อนดีไหม? แล้วค่อยให้ย่าวหัวเรียกคนของเขามาช่วยเฝ้าที่นี่ให้”
หยางโปยิ้ม “ไม่ดีกว่าฉันไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ ที่นี่มีไม้หวงฮัวหลีที่เป็นของปลอมสูงมาก แถมในนี้ยังมีของดีอยู่อีกชิ้นนึงด้วย”
ลัวย่าวหัวได้ยินแบบนั้นก็รีบหันไปมองรอบๆด้วยท่าทางตกใจ “ฉันก็ว่าทำไมนายกล้าจ่ายเงินมากขนาดนั้นเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ขึ้นมา ที่แท้ก็มีของดีนี่เอง แถมของชิ้นนั้นคงจะมีมูลค่าสูงด้วยสินะ?”
หยางโปยิ้ม “ก็ลองหาดูสิ”
เจ้าอ้วนหลิวเองก็หันไปมองรอบๆก่อนที่จะส่ายหน้า เขาเองก็ถูกหยางโปหลอกแล้วเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเห็นว่าหยางโปจะซื้อบ้านหลังนี้เขาเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เพราะที่นี่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เลยแถมคนอย่าง
หยางโปก็สามารถที่จะซื้อบ้านที่ดีกว่านี้ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหยางโปเองคงจะเก็บความลับเอาไว้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่เขาซื้อของชิ้นนี้มาและตอนนี้ก็คงจะถึงเวลาที่เขาจะพูดออกมาแล้วด้วยเช่นเดียวกัน
เจ้าอ้วนหลิวไม่ได้พูดอะไรแต่เขายังคงกวาดตามองไปรอบๆ เขาเองก็สงสัยเช่นกันว่าบ้านหลังนี้มีของดีๆอยู่ที่ไหนกันแน่ถึงทำให้หยางโปตัดสินใจซื้อมันในราคาที่สูงขนาดนี้
หยางโปอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะเจอของดีแล้วแต่เขาก็คิดว่าโอกาสที่อีกสองคนจะเห็นเหมือนกับเขาเป็นไปได้น้อยมาก
จู่ๆลัวย่าวหัวก็นึกถึงทางเดินที่หยางโปเดินผ่านก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้และระหว่างทางก็มีเครื่องพอร์ชเลน เฟอร์นิเจอร์ที่ผ่านตาเขา ทว่าลัวย่าวหัวมั่นใจว่าจะต้องไม่ใช่ของสองอย่างนี้แน่ๆ
หลังจากเดินออกมาจากห้อง ลัวย่าวหัวก็จำขึ้นมาได้ว่าหยางโปอยู่ในห้องนั้นนานที่สุด ถ้าหากเขาเจอของดีจริงๆคงจะต้องเป็นของที่อยู่ด้านในบ้านแน่ๆ แต่หลังจากที่เขาเดินวนไปได้รอบนึงกลับไม่พบอะไรเลย
แต่เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ ลัวย่าวหัวก็หยุดเดินทันใดนั้นลมเบาๆก็พัดผ่านหน้าเขาก่อนที่เสียงจะดังขึ้นข้างหู บนต้นทับทิมต้นนี้มีเชือกสีแดงที่ผูกเหรียญทองเอาไว้มากมายจึงทำให้ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่านมาจึงเกิดเสียงดังขึ้นจนทำให้ลัวย่าวหัวต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หยางโปจึงหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะพบว่าเป็นเบอร์ของหยางหลาง หลังจากที่เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กดปิดเสียงไปในทันที ในเมื่อเขามาหลบอยู่ที่นี่แล้วเขาไม่อยากจะรู้เรื่องราวจากฝั่งนู้นให้รกสมองของเขาอีก เขาจึงเลือกที่จะไม่สนใจมัน
เจ้าอ้วนหลิวเดินหาอยู่นานในที่สุดเขาก็เดินกลับมามือเปล่า “ของล้ำค่ามันอยู่ไหนกันแน่เนี่ย?”
ลัวย่าวหัวส่ายหน้า “จากที่นายพูดของที่นี่มันน่าจะเป็นของปลอมทั้งหมดเลยมั้งเนี่ย”
หยางโปยิ้ม “สมบัติที่พูดถึงก็อยู่ตรงหน้าพวกนายไง แต่พวกนายแค่ไม่เห็นเท่านั้นเอง แบบนี้จะมาโทษฉันได้ยังไงล่ะ?”
พูดจบหยางโปก็เดินตรงไปที่จุดที่ลัวย่าวหัวยืนอยู่
ลัวย่าวหัวหันไปมองเหรียญตรงหน้าก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เห้ยพูดเป็นเล่น? คงไม่ใช่เหรียญโบราณพวกนี้ใช่ไหมเนี่ย? นี่มันเป็นเหรียญโบราณที่มีให้เห็นทั่วไปนิ มันจะไปมีราคากว่าราคาบ้านได้ยังไงกัน?”
หยางโปยิ้ม “ฉันก็ไม่ได้บอกนิว่ามันราคาแพงกว่าราคาบ้าน แต่ถ้าขายของพวกนี้ออกไปก็ยังได้เงินมาจำนวนนึงก็น่าจะสามารถเอามาลดค่าใช้จ่ายได้เยอะอยู่ ถ้าเป็นแบบนี้ฉันต้องได้กำไรอย่างแน่นอน ถ้าฉันขายบ้านหลังนี้ออกไปในวันพรุ่งนี้ก็น่าจะได้เงินอย่างน้อยๆหนึ่งพันสองร้อยล้านอยู่ดีแต่ถึงจะราคานั้นฉันก็ไม่ขายหรอก”
พูดจบหยางโปก็หันไปหาลัวย่าวหัว “มีไฟแช็คไหม?”
ลัวย่าวหัวลูบกระเป๋า ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบออกมาหยางโปก็พูดขึ้นมาว่า “เปลี่ยนใจแล้ว นายมีกรรไกรตัดเล็บหรือว่ามีดเล็กๆไหม?”
“ด้านในห้องโถงมี” เจ้าอ้วนหลิวพูดจบก็เดินเข้าไปเอาทันที
ลัวย่าวหัวจ้องเหรียญตรงหน้า “แล้วมันเหรียญชิ้นไหน? ดูนายกลัวว่าไฟจะทำให้เหรียญโบราณได้รับความเสียหายสินะ เหรียญนั้นต้องมีอายุหลายยุคสมัยแล้วแน่ๆเลย”
หยางโปยิ้มก่อนที่จะรับมีดเล็กมาจากมือของเจ้าอ้วนหลิวพร้อมกับตัดเชือกเพื่อหยิบเหรียญโบราณลงมาก่อนที่จะยื่นให้พวกเขา “พวกนายลองดูเองสิ”
ลัวย่าวหัวรีบรับมา “เหรียญเจี้ยนกว๋อทงป่าว?”
ลัวย่าวหัวมองเหรียญตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนที่จะยื่นมันให้กับเจ้าอ้วนหลิว แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากหยางโปมั่นใจถึงขั้นนี้เหรียญนี้จะต้องเป็นของแท้อย่างแน่นอน
เจ้าอ้วนหลิวเองก็มองด้วยความสงสัย หลังจากที่เห็นด้านบนของเหรียญมีตัวอักษรสีทองแดงสำริด ซึ่งด้านบนมีสนิมเกาะอยู่ แถมยังมีตัวอักษรตัวเล็กๆสี่ตัวเขียนไว้ว่า ‘เจี้ยนกว๋อทงป่าว’ ทันทีที่เห็นมันเขาก็รู้สึกคุ้นเป็นอย่างมากแต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออกจนทำให้เขาต้องหันไปหาหยางโป
“มันเป็นหนึ่งในห้าสิบเหรียญโบราณที่หายากและมีค่ามาก” หยางโปพูด
ลัวย่าวหัวยังคงเงียบทว่าเจ้าอ้วนหลิวทันทีที่ได้ยินคำพูดของหยางโปก็รีบพูดขึ้นมาว่า “แสดงว่าเหรียญนี้เป็นเหรียญโบราณที่สร้างในยุคของจักรพรรดิจ้าวจี๋! มันเป็นสมบัติที่หายากมากเลยนะ!”
“ในช่วงจักรพรรดิจ้าวจี๋มีทั้งหมด 6 ช่วงปี ช่วงแรกคือเจี้ยนจงจิ้งกว๋อมีคนยืนยันแล้วว่าเจี้ยนกว๋อทงป่าวเป็นเหรียญกษาปณ์จากการรวมกันของคำแรกและคำสุดท้ายของสมัยเจี้ยนจงจิ้งกว๋อ แต่เป็นเพราะเกิดความซ้ำซ้อนกันของคำว่าจงของเจี้ยนจงจิ้งกว๋อกับคำว่าเต๋อจงในยุคราชวงศ์ถังก็เลยทำให้เหรียญที่เพิ่งจะถูกสร้างนี้ถูกริบเก็บไปทันที ตอนนี้เหรียญเจี้ยนกว๋อทงป่าวเลยกลายเป็นของหายากแถมมีเพียงแค่สองเหรียญในโลกอีกด้วย”
เจ้าอ้วนหลิวพูดจบสีหน้าของเขาของเต็มไปด้วยอาการตกตะลึงไปในทันที
ลัวย่าวหัว “ของดีๆแบบนี้ทำไมไม่ตกมาอยู่ในมือของฉันบ้างเลย!”
หยางโปส่ายหน้า “นายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจี้ยนกว๋อทงป่าวคืออะไร นายจะได้มันมาได้ยังไงล่ะ?”
ลัวย่าวหัวได้ยินแบบนั้นก็เงียบไป เพราะมันก็จริงอย่างที่หยางโปพูด ยืนอยู่ใต้ต้นไม้เดียวกันแท้ๆแต่เขากลับไม่เห็นอะไรเลย แบบนี้เขาจะครอบครองมันได้ยังไงกัน?
ลัวย่าวหัว “น่าอิจฉาชะมัด ดูเหมือนว่าครั้งต่อไปต้องเดินนำหน้านายแล้วอย่างน้อยๆก็น่าจะเห็นก่อนนายสักก้าวก็ยังดี แต่เหรียญหายากแบบนี้คงจะมีราคาเท่ากับบ้านหลังนี้เลยมั้งเนี่ย?”
“ก็ประมาณนั้น เผลอๆอาจจะสูงกว่าราคาบ้านด้วย” เจ้าอ้วนหลิวพูด
หยางโปยิ้มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ได้ของดีขนาดนี้แถมยังได้บ้านมาในราคาที่ถูกแสนถูกจะไม่ให้เขาดีใจได้ยังไงกันล่ะ
“มิน่าล่ะ! ก็ว่าทำไมนายไม่ยอมไปดูของชิ้นอื่นแล้ว จะว่าไปเดี๋ยวคืนนี้ก็น่าจะเก็บกวาดเสร็จแล้วนายจะเอายังไงต่อ?” ลัวย่าวหัวถาม
หยางโปส่ายหน้า “ไม่รู้สิที่จริงฉันก็ไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งบ่อย ถึงแม้ว่าที่นี่มันจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ถ้าให้อยู่คนเดียวฉันว่ามันก็ยังใหญ่เกินไปอยู่ดี”
“ฉันว่านายปล่อยให้ชั้นล่างว่างแล้วปล่อยเช่าดีไหม แต่ละเดือนนายน่าจะทำเงินได้หลายแสนเลยนะ” ลัวย่าวหัวแนะนำ
หยางโป “อื้ม…เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย!”
ตอนที่ 231 เจราจาต่อรอง
ตอนค่ำหยางโปพาทั้งสองคนไปเลี้ยงอาหารค่ำพร้อมกับมอบหน้าที่ในการสร้างชั้นสองให้กับลัวยาวหัวเป็นคนจัดการและแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ตอบรับกลับมาด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก การที่มอบให้เขาดูแลเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาและไม่มีใครกล้าที่จะฟันราคาของเขาอย่างแน่นอน
ในตอนกลางคืนหลังจากที่หยางโปกลับมาถึงโรงแรมแล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนที่จะพบว่าหยางหลางโทรหาเขาสิบกว่าสายแถมยังส่งข้อความมาหลายสิบบันทึกพร้อมกับพิมพ์ถามว่า “อยู่ไหม?”
หยางโปยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในเมื่อถามว่าอยู่ไหมถ้างั้นก็ขอไม่อยู่ก็แล้วกันนะ อีกอย่างเขาเองก็รู้สึกได้ว่าหยางหลางมาหาเขาจะต้องไม่ใช่เรื่องอื่นนอกจากจะคะยั้นคะยอให้เขาซื้อบ้านให้แน่ๆ
วันรุ่งขึ้นหลูตงซิ่งก็รีบมาปักกิ่งทันที เป็นเพราะเจ้าอ้วนหลิวเองก็อยู่หยางโปเองก็ไม่กล้าที่จะไล่ให้อีกฝ่ายกลับไปก่อนเขาจึงโทรไปหาหลูตงซิ่งเพื่อบอกล่วงหน้าเอาไว้ก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าหลูตงซิ่งและเจ้าอ้วนหลิวจะสนิทกันแถมยังเชื่อใจเจ้าอ้วนหลิวด้วยจึงทำให้หยางโปพาเขาไปด้วยกัน
หลังจากที่มาถึงห้องรับแขกของโรงแรมแล้ว หยางโป ลัวย่าวหัว เจ้าอ้วนหลิวและหลูตงซิ่งก็นัดมาเจอกัน
ลัวย่าวหัวเข้ามาด้านในห้องพร้อมกับยิ้ม “ผมรอตั้งนานแหน่ะ”
หลูตงซิ่งที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาหันมามองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับผายมือเพื่อให้พวกเขานั่งลง “โทษทีนะพอดีฉันมีเรื่องยุ่งๆน่ะ ไม่มีเวลาว่างปลีกตัวออกมาเลย อีกอย่างฉันต้องจัดการเคลียเรื่องให้เรียบร้อย นี่ก็เพิ่งจะมีเวลาว่างเนี่ยแหละ “
หยางโปยิ้ม “เถ้าแก่หลูธุรกิจใหญ่โต การที่จะไม่มีเวลาว่างก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะครับ”
หลูตงซิ่งกำหมัดข้างหนึ่งพร้อมกับใช้มืออีกข้างกุมเอาไว้ “ต้องขอบคุณหยางโปที่เข้าใจนะ ไม่เหมือนใครบางคนที่ขาข้างหนึ่งเข้าสู่สนามธุรกิจแถมกำลังจะต้องยุ่งวุ่นวายเหมือนกันแล้วแท้ๆ แต่กลับมาหัวเราะคนทำธุรกิจแบบฉัน หึหึ”
พูดจบหลูตงซิ่งก็หัวเราะออกมา
ลัวย่าวหัวได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าเจื่อนออกมา “อีกไม่นานก็จะเข้าสู่สนามธุรกิจแล้วผมเองก็เครียดเหมือนกัน นี่ถ้าหยางโปไม่ช่วย หลังจากนี้ผมคงต้องไปเรียนรู้กับบรรพบุรุษอีกเยอะเลย”
หลูตงซิ่ง “ฮ่าๆ ก็จริงอย่างที่นายว่า”
หลังจากที่ทั้งสามคนนั่งลงแล้วก็เริ่มรินน้ำชาใส่แก้วของตัวเอง
เจ้าอ้วนหลิวหันไปพยักหน้าให้หลูตงซิ่ง “เถ้าแก่หลู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
หลูตงซิ่งพยักหน้า “โลกนี้มันช่างกลมจริงๆเลยนะ ไปที่ไหนก็เจอแต่คนรู้จักทั้งนั้นเลย นี่พวกเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”
หยางโปนั่งฟังแต่ละคนสนทนาไปพลางจิบชาในมือไปพลาง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวัตถุประสงค์ที่มารวมตัวกันครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เขาคิดว่ามันคงจะไม่ใช่แค่การมานั่งคุยเพื่อคลายเครียดแน่ๆ ตอนแรกเขาเองก็ถามลัวย่าวหัวแล้วแต่ลัวย่าวหัวไม่ได้บอกอะไร เขาจึงทำได้แค่เงียบและรอดูต่อไปด้วยตนเอง
หลังจากคุยกันครู่นึงแล้ว หลูตรงซิ่งก็วางแก้วในมือลงก่อนที่จะไอกระแอ่มออกมาจนทำให้ทุกคนหันไปมองเขา ดูเหมือนว่าคงจะถึงเวลาที่จะเข้าเรื่องจริงๆแล้วสินะ
“ที่เรียกมาเจอกันครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก คือเพื่อนของฉันเขามีงานอยู่งานนึงอยากให้ฉันไปช่วย ฉันเดาว่าพวกนายคงอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อาจจะอยากไปดูในงาน ฉันก็เลยเรียกทุกคนให้มาน่ะ” หลูตงซิ่งพูด
หยางโปได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงงานอะไรกันแน่ ในขณะที่ลัวย่าวหัวเองก็มองไปที่หลูตงซิ่งด้วยความแปลกใจ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าอ้วนหลินจะพอเดาได้ว่ามันหมายความว่ายังไง
หลูตงซิ่งเองก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคนคงจะไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร เขาจึงยิ้มออกมาก่อนที่จะใช้หยดน้ำที่อยู่ในก้นแก้วเขียนบนโต๊ะว่า “ปล้นหลุมฝังศพ”
หยางโปชะงักไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องนี้เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นงานที่เกี่ยวกับการประเมินวัตถุโบราณหรือไม่ก็อาจจะไปซื้อวัตถุโบราณที่ไหนสักแห่ง แต่งานในครั้งนี้กลับกลายเป็นงานที่เกี่ยวกับหลุมฝังศพ!
หยางโปเริ่มเกิดอาการลังเลขึ้นมา อันที่จริงเขาเองก็เป็นคนที่ขี้ขลาดในระดับหนึ่งเหมือนกัน ครั้งก่อนที่เขากล้าเข้าไปขโมยของในสุสานของหงซิ่วก็เป็นเพราะเขาคำนวนดูแล้วว่าผลประโยชน์จากสุสานหงซิ่วจะตอบแทนเขาได้มากพอ ถ้าหากเป็นหลุมศพธรรมดาแล้วมีความเสี่ยงสูงแถมผลประโยชน์ก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกลังเลเป็นอย่างมาก
ลัวย่าวหัวพยักหน้าโดยไม่เสียเวลาคิดอะไรให้มากมาย “โอเคครับ ผมเองก็อยากรู้เรื่องพวกนี้มากเหมือนกัน ถ้าได้เข้าร่วมคงจะดีมากเลย”
เจ้าอ้วนหลิวเองก็เช่นกัน เป็นเพราะเขารู้เรื่องนี้ก่อนแล้วแถมไหนๆเขาก็มาแล้วแถมยังเป็นครั้งแรกที่จะได้เข้าร่วม ถ้าหากไม่ได้เข้าไปเขาเกรงว่าคงจะไม่สามารถกลับไปอย่างสบายใจได้ เขาจึงรีบพยักหน้าตอบรับกลับไปในทันที
สายตาของทุกคนในเวลานี้มาหยุดที่หยางโปอีกครั้ง ลัวย่าวหัวเองก็พอจะดูออกว่าหยางโปเองก็ลังเล เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “เรื่องเล็กแค่นี้นายจะคิดอะไรอยู่อีกเนี่ย? นายไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันรับประกันความปลอดภัยให้นายได้”
หยางโปยิ้มออกมาทันทีหลังจากที่นึกถึงพ่อของลัวย่าวหัว “อันที่จริงฉันกะว่าจะกลับจินหลิงน่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงต้องไปกับพวกนายก่อนแล้วสิ”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา
….
หยางหลางโทรหาหยางโปสิบกว่าสายแล้วแถมยังส่งข้อความไปนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ากลับไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรับสายของเขาหรือตอบข้อความกลับมาเลยสักนิด จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา
พ่อหยางเองก็ด่าไปพลางสาปแช่งไปพลาง ในเวลาเดียวกันนั้นก็หันไปหาหยางหลางพร้อมกับพูด “ในเมื่อมันไม่กลับมาพวกเราก็นั่งเฉยๆกันแบบนี้ไม่ได้แล้ว! ตอนนี้แกมีเงินอยู่เท่าไหร่?”
หยางหลางชะงักไปก่อนที่จะควักกระเป๋าตังในกระเป๋าออกมาก่อนที่จะพบว่ามันมีเพียงเหรียญเล็กๆอยู่ในกระเป๋าเท่านั้น
พ่อหยางส่งเสียงหึออกมาจากลำคอก่อนที่จะหันไปหาแม่ “ตอนนี้เรามีเงินเหลือยู่เท่าไหร่?”
แม่หยางแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาก่อนที่จะชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
“สองหมื่น?” พ่อหยางถาม
แม่หยางส่ายหน้า
“สองพัน?” พ่อหยางยังคงถามอีกครั้ง
แม่หยางก็ยังคงส่ายหน้า
พ่อหยางหน้าเปลี่ยนสี “ทำไมถึงเหลือเงินแค่สองร้อย?”
“ตอนนี้เหลือแค่ยี่สิบแล้ว ตอนที่เราไปช่วยเสี่ยวหลางไว้ก็จ่ายไปตั้งสามพันกว่าหยวน ตอนนี้เราไม่มีเงินเหลือแล้ว” แม่หยางพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจ
“ใจดำ!” พ่อหยางตะโกนด่าขึ้นมาก่อนที่จะหันไปหาหยางหลาง “ไอ้ลูกบ้านี่ แกไม่คิดจะเก็บเงินเอาไว้เลยรึไง?”
หยางหลาง “ใครจะไปคิดล่ะพ่อว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้”
พูดจบเขาก็ตบหัวตัวเองก่อนที่จะหันไปหาพ่อของเขา “พ่อผมคิดอะไรออกแล้ว! ที่โรงแรมผมยังมีเงินมัดจำอีกห้าร้อยหยวน”
“โรงแรม? แกนอนโรงแรมเหรอ? โรงแรมอะไร?” พ่อหยางถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจปนโมโห
หยางหลางชะงักไปก่อนที่จะแอบเขกหัวตัวเอง พลางด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าพูดออกไปเลย
ทว่าพ่อหยางกลับพอจะเดาอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากด่าออกมาว่า “ไอ้ลูกบ้าเอ้ย! นี่แกคงไปนอนโรงแรมห้าดาวมาสินะ! รีบไปเอาเงินมัดจำออกมาสิ! มีเท่าไหร่ก็ไปเอาออกมาให้หมดเลย!”
หยางหลางรีบตอบรับกลับไปก่อนที่จะวิ่งออกไปเพื่อที่จะไปเอาเงินมัดจำกลับมา ตอนที่เขาวิ่งออกไปก็เผลอสะดุดขาตัวเองจนหน้าคะมำลงกับพื้น แต่เขาก็รีบลุกขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งต่อไปอย่างไม่สนใจสายตาใคร
ฟางหยีเห็นฉากนั้นพอดีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หลังจากที่กลับมาถึงห้องพักของพยาบาลแล้วก็พบว่าเสี่ยวซวนกำลังพักเที่ยงอยู่เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดแซวขึ้นมาว่า “เสี่ยวซวน ทำไมช่วงนี้เธอไม่ไปดูแลลุงหยางแล้วล่ะ?”
เสี่ยวซวนส่ายหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฟางหยีเองก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่กลับพูดพร้อมกับยิ้มออกมา “นี่เธอคงไม่รู้สินะว่าเมื่อกี้ฉันเห็นลูกชายคนโตของลุงหยางวิ่งออกไปข้างนอกแล้วเผลอสะดุดขาตัวเองหน้าคะมำด้วยแหละ โคตรตลกเลย ฉันได้ยินเรื่องของพวกเขามาด้วยนะว่าลูกชายคนโตบ้านนี้ไม่เอาถ่านเลย แถมยังปล่อยให้ลูกชายคนเล็กเป็นคนหาเงินคนเดียว ช่างเป็นครอบครัวที่พิลึกกึกกือชะมัด”
เสี่ยวซวนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงมองไปด้านหน้าด้วยความเหม่อลอย ในเวลานี้ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรในใจอยู่
ตอนที่ 232 ไอ้บ้าหยางโป
หยางหลางรีบกลับมาพร้อมกับยื่นกระเป๋ามาให้พ่อของเขา “ได้มาแค่สามร้อยน่ะพ่อ ตอนที่หลานเยว่ออกไปเธอหยิบไวน์ออกไปขวดนึงด้วย”
พ่อของเขาได้ยินแบบนั้นก็โยนแก้วน้ำในมือลง “บ้าเอ้ย!”
หยางหลางได้ยินแบบนั้นก็เกิดอาการตกใจเช่นเดียวกัน แถมท่าทางของเขาในเวลานี้ก็แตกต่างกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง “พ่อ…ตอนนี้เราไม่มีเงินแล้ว เราจะทำยังไงกันต่อดี?”
“ชิ!” พ่อหยางเปล่งเสียงสบถออกมา “หมอนั่นจ่ายค่าโรงพยาบาลล่วงหน้าเอาไว้แล้วเจ็ดวัน ภายในเจ็ดวันนี้พวกเรากว่าจะได้เงินจำนวนมากคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นหลังจากนี้เราต้องหาเงิน!”
หยางหลางถาม “หายังไงบล่ะพ่อ?”
“แกรู้รึเปล่าว่าร้านขายวัตถุโบราณที่หยางโปไปทำงานอยู่ที่ไหน?”
“รู้ครับ ผมเคยไปกับหยวนซานครั้งนึง”
พ่อของเขาพยักหน้า “คืนนี้แกไปซื้อวัตถุโบราณมาสักชิ้น แต่จำเอาไว้นะว่าต้องซื้อของถูกๆเท่านั้นให้ดีก็หาพวกของที่คล้ายกันกับพวกหยกโบราณ พรุ่งนี้เราจะใช้ประโยชน์จากมัน”
หยางหลางค้างไปทันที “มัน…..”
“ไม่ต้องถามมาก! รอให้ถึงวันพรุ่งนี้เดี๋ยวแกก็รู้เอง!” พ่อหยางพูด
….
หลังจากหยางโปเจรจากันจบแล้วก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี ทุกคนจึงออกไปหาอะไรกินด้วยกัน
ในเวลานั้นเองจู่ๆหลิวเหลียงอวี้ก็โทรมาหาหยางโปจนทำให้เขาอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
“เถ้าแก่หยาง ร้านสืออี๋ถางจะเปิดเมื่อไหร่เนี่ย? นี่ก็หลายวันแล้วนะที่ไม่ได้เปิดร้านน่ะ” อีกฝ่ายพูด
ช่วงนี้หยางโปออกมาข้างนอกตลอดจนไม่มีเวลาทำงาน และแน่นอนว่าเป็นเพราะในร้านของเขาก็แทบจะไม่มีของเหลืออยู่ในร้านแล้วด้วยเขาจึงไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่หลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายถามแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ต้องเปิดอยู่แล้วสิ แต่แค่ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อยน่ะก็เลยไม่มีเวลากลับไปเปิดร้าน”
“นี่ว่าแต่นายรู้จักพ่อลูกคู่นึงไหม เป็นชายผมขาวอายุมากหน่อย ดั้งโด่งๆ ปากกว้างๆ ส่วนลูกชายเขาก็ดูหน้าตาคล้ายๆพอของเขา” หลิวเหลียงอวี้ถาม
หยางโปชะงัก “ถ้าทายไม่ผิดคงจะเป็นพ่อกับพี่ชายของผม”
อีกฝ่ายหัวเราะหึหึ “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง นายรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเขากำลังมาวางแผงลอยอยู่หน้าประตูร้านของนายนะ!”
หยางโปตกใจ “ตั้งแผงลอย? พวกเขามาตั้งแผงลอยหน้าร้านผมได้ยังไงเนี่ย?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เมื่อตอนเช้าฉันได้ยินคนเดินผ่านไปผ่านมาหน้าประตูร้านนายแถมคนเยอะมากเลยนะ ตอนแรกฉันคิดว่ามีขโมยซะอีก ก็เลยรีบวิ่งไปดูแต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเอาเครื่องหยกมาวางขายแถมยังวางโทรโข่งแล้วตะโกนไปทั่วเลยด้วย” หลิวเหลียงอวี้พูด
หยางโปได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแอบบ่นพ่อลูกคู่นั้นที่ทำแบบนี้ “แล้วพวกเขาไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นที่ผิดปกติใช่ไหม?”
หลิวเหลียงอวี้หัวเราะหึหึ “ทำเรื่องออกนอกเส้นทางรึเปล่าฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่คนที่ไปยืนล้อมพวกเขาเยอะมาก เดี๋ยวฉันจะเปิดสปีคเกอร์ให้นายฟังเอาเองก็แล้วกัน”
พูดจบหลิวเหลียงอวี้ก็เปิดสปีคเกอร์ให้หยางโปฟังทันที
ทันใดนั้นหยางโปก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังเข้ามาในสาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนมากที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นเสียงจากโทรโข่งก็ดังขึ้น
“เถ้าแก่หยางโปเจ้าของร้านสืออี้ถางบ้านั่นเสียพนันจนเป็นหนี้ตั้ง 350 ล้านหยวน ตอนนี้หนีไปพร้อมกับกิ๊กของมันแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเอาเครื่องหยกพวกนี้มาขายออก ราคาเดิมของมันคือแปดหมื่น หนึ่งแสนแล้วก็สองแสน ตอนนี้ฉันจะขายมันออกไปแค่สองหมื่นหยวนเท่านั้น! ไอ้บ้าหยางโปนั่นไม่ใช่มนุษย์ พวกเราอุตส่าห์เลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยคิดจะให้เงินค่าเลี้ยงดูสักเหรียญเดียว นอกจากจะไม่ให้แล้วยังมาขูดรีดเงินฉันอีก!”
หยางโปได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็แทบจะกระอักเลือดออกมา คำพูดพวกนี้มันน่าเกียจเกินไปจริงๆ อันที่จริงเขาเองก็เคยได้ยินคำพูดเกินจริงเวลาต้องการจะขายของออกจากปากของพวกคนขายแพงลอย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกพ่อและพี่ชายของตัวเองใช้เอาเป็นเครื่องมือเพื่อขายของแบบนี้!
ในเวลานั้นหลิวเหลียงอวี้ก็ปิดสปีคเกอร์ก่อนที่จะถามหยางโปว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
หยางโปเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่การที่พ่อและพี่ชายของเขามาพูดให้เขาเสียๆหายๆแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกโกรธมากจริงๆ
“พี่หลิว ขอบคุณมากนะที่มาบอก หลังจากนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเอง” หยางโปพูด
อีกฝ่ายได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีก “โอเค ถ้านายจัดการเองได้ก็โอเค”
หยางโปเดินออกมารับโทรศัพท์ด้านนอกระเบียงและเขาเองก็ไม่รู้ว่าทางฝั่งจินหลิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อวานหยางหลางโทรหาเขาหลายสายมากและมีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แต่ยังไงเขาก็ไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งหยางโปก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ได้…ยังไงก็ปล่อยให้หยางหลางกับพ่อวางแผงลอยหน้าร้านของเขาไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากโทรรายงานแล้ว หยางโปก็เดินกลับเข้าไปด้านใน เขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาเสียเวลาอะไรมากมายนัก บางทีอาจจะวุ่นวายแค่วันสองวัน หลังจากนั้นก็อาจจะสงบลงแล้ว
“รัฐมนตรีชุย!”
หยางโปที่กำลังเปิดประตู จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากไกลๆ หยางโปจึงรีบหันไปก่อนที่จะเห็นชายวัยกลางคนหน้าแดงก่ำที่กำลังมองมา
ชายวัยกลางคนมองมาที่หยางโปก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “โทษทีนะเพื่อน ฉันจำคนผิดน่ะ”
หยางโปส่ายหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้อง
ในเวลานั้นเองทุกคนก็ดูเหมือนว่าจะกินกันเกือบเสร็จหมดแล้ว หลังจากที่เห็นหยางโปเดินเข้ามาหลูตงซิ่งก็ถามขึ้นมาว่า “นายจะกินอะไรเพิ่มอีกไหม?”
หยางโปที่ตอนแรกรู้สึกหิวมาก แต่หลังจากที่ได้รับสายจากหลิวเหลียงอวี้แล้วเขาก็ไม่อยากกินอะไรขึ้นมาในทันที เขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป
“โอเค ถ้างั้นพวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า” หลูตงซิ่งพูด
หยางโปพยักหน้าพร้อมกับหยิบเสื้อคลุมก่อนที่จะเดินออกไป
ในเวลานั้นเองชายวัยกลางคนก็กลับมาที่โต๊ะด้วยท่าทางมึนงงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ถึงแม้ว่าเขาจะเดินไปอ้วกมาแล้วแต่เขาก็ยังยกแก้วพร้อมกับหันไปทางผู้ชายที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานพร้อมกับพูด “รัฐมนตรีชุย ผมขอดื่มให้กับท่านเป็นการขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ การทำงานของพวกเราเป็นไปอย่างยากลำบากมากจริงๆ การที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านยิ่งทำให้ความยากในการทำงานของพวกเราลดน้อยลง แก้วนี้ผมจะดื่มหมดแก้วให้กับท่านเพื่อเป็นการขอบคุณจากใจครับ! “
พูดจบเขาก็ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอายุราวๆห้าสิบปียิ้มพร้อมกับพูดอย่างสุภาพ “เลขานุการจี้ก็พูดเกินไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนยกแก้วในมือขึ้นมาก่อนที่จะกินจนหมดแก้ว หลังจากหมดแก้วแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “วันนี้รู้สึกมึนหัวจนตาลายเหมือนกัน เมื่อกี้ตอนออกไปห้องน้ำเห็นคนยืนอยู่ข้างทางเดินเห็นจากด้านข้างรูปร่างเหมือนท่านรัฐมนตรีชุยเลย ผมสีดำขลับเหมือนกันด้วย ผมเองก็เผลอตะโกนเรียกไป แต่พอเห็นหน้าจริงๆที่ยังดูเป็นเด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ แต่เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนท่านมากเลยนะครับ เหมือนจนน่าประหลาดใจจริงๆ”
ชายวัยกลางคนพูดปนขำแต่รัฐมันตรีชุยกลับชะงักไปพร้อมกับจ้องอีกฝ่าย “เลขานุการจี้…คุณแน่ใจเหรอครับว่าด้านนอกมีคนหน้าตาเหมือนกับผมจริงๆ?”
“เหมือนมากเลยครับ เหมือนกันอย่างกับแกะเลยด้วย ถ้าไม่ใช่ว่ารัฐมนตรีชุย…เอ่อะ…” ชายวัยกลางคนชะงักไปก่อนที่จะตบปากตัวเอง “ขอโทษครับรัฐมนตรีชุย ผมพูดผิดไปแล้ว”
ชุยซื่อหยวนไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแต่ยังคงถามต่อว่า “เมื่อกี้ที่คุณพูดคือเรื่องจริงใช่ไหม? มีคนหน้าคล้ายผมจริงๆใช่ไหม? รีบพาผมไปหาคนๆนั้นหน่อย!”
ชายวัยกลางคนชะงักไปก่อนที่จะรีบพยักหน้า “คะ…ครับครับ!”
ตอนที่ 233 หาข้อมูลใหม่
ชุยซื่อหยวนออกมาข้างนอกพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้นั้นในขณะที่หยางโปและคนอื่นๆได้เดินหายออกไปจากมุมตึกแล้ว
ชายวัยกลางคนเดินนำชุยซื่อหยวนมาด้านหน้าประตูห้อง ชุยซื่อหยวนชี้ “ห้องนี้เหรอ?”
อีกฝ่ายพยักหน้า “ใช่ครับ ห้องนี้แหละ”
ชุยซื่อหยวนยื่นมือออกไปเพื่อที่จะเคาะประตู จู่ๆเขาก็หันมาหาชายวัยกลางคน “เรื่องวันนี้ห้ามเอาไปบอกคนนอกเด็ดขาด”
อีกฝ่ายรู้สึกได้ว่าเหมือนมีน้ำมันถูกเทลงในใจของเขาจนเกิดประกายไฟขึ้น เขาพอจะเดาได้ว่าจนถึงตอนนี้ชุยซื่อหยวนก็ยังไม่มีทายาท และเขาเองก็สงสัยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับชุยซื่อหยวน และจากท่าทางของเขาในเวลานี้บางทีมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆก็เป็นได้
ชุยซื่อหยวนพูดจบก็หันกลับมาเคาะประตู ทว่าด้านในกลับไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเคาะประตูอีกครั้งแต่ก็ยังคงเงียบเช่นเคย
ชุยซื่อหยวนหมุนลูกบิดก่อนที่จะมองเข้าไปด้านในก็พบว่าในห้องไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว เขาจึงหันกลับไปหาชายวัยกลางคนข้างๆ
“น่าจะกลับไปแล้วมั้งครับ น้ำในแก้วยังมีควันออกมาอยู่เลย” ชายวัยกลางคนพูด
ชุยซื่อหยวนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มาถึงห้องโถงก็พบว่าไม่มีแม้แต่เหงาของหยางโป จึงทำให้เขาต้องเดินกลับมาด้วยความผิดหวัง
หลังจากเดินกลับมาถึงโต๊ะอาหารแล้ว ชุยซื่อหยวนก็ไม่มีกระจิตกระใจจะกินต่อ หลังจากเรียกเช็คบิลเขาก็เดินออกจากห้องไปในทันที
ระหว่างที่นั่งรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน ชุยซื่อหยวนก็นึกถึงเรื่องที่หลานชายของเขาเคยพูดกับเขาว่าเขาเจอคนที่หน้าคล้ายกับตนเอง หลังจากที่เขาให้ชุยอี้ผิงไปสอบถามดูและได้คำตอบกลับมาก็ยังทำให้เขาไม่พอใจอยู่ดี
วันนี้เขาได้ยินเรื่องนี้จากปากของเลขานุการจี้อย่างกระทันหันและเขาเองก็พอจะเดาได้และมั่นใจมากว่า เขารู้สึกได้ว่าคนๆนั้นจะต้องเป็นลูกชายของเขา! ลูกชายแท้ๆของเขา!
หลังจากเข้ามาในบ้านแล้ว ท่ามกลางความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาตลอดทั้งวันอีกทั้งยังดื่มเหล้าเข้าไปด้วย ยิ่งทำให้เขาไม่สามารถเด้งตัวขึ้นจากโซฟาได้เลย
หลีหมิ่นได้ยินเสียงเปิดประตูจึงเดินออกมาจากห้องนอนก่อนที่จะพบท่าทางของชุยซื่อหยวนที่นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาว่า “ทำไมดื่มเยอะขนาดนี้เนี่ย?”
ชุยซื่อหยวนส่งเสียงอื้อในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
หลีหมิ่นนั่งลงข้างๆก่อนที่จะหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดโทรทัศน์
ชุยซื่อหยวนหันมามองแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมา เขากับเธอแต่งงานเป็นสามีภรรยากันมายี่สิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีลูก ช่วงไม่กี่ปีนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อยๆห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อนึกถึงเด็กคนนั้นที่อาจจะเป็นลูกชายของตัวเอง เขาก็รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมา ถ้าหากเขามีลูกชายได้สักคนมันคงจะดีมากแน่ๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นเขาก็หันไปมองหลีหมิ่นพร้อมกับพูด “เราไปรับเด็กมาเลี้ยงสักคนเถอะ”
หลีหมิ่นยังคงจ้องหน้าจอโทรทัศน์โดยไม่ได้หันมามองอีกฝ่าย “ไม่เห็นคุณจะเคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงเพิ่งจะอยากมามีลูกตอนแก่?”
“อย่างน้อยๆถ้าแก่ตัวลงก็จะได้ไม่เหงาไง” ชุยซื่อหยวนพูด
หลีหมิ่นชะงักไป อันที่จริงชุยซื่อหยวนเพิ่งจะเคยประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนจนทำให้เขามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและทำให้เขาไม่สามารถมีลูกได้ อันที่จริงเธอเองก็แอบร้องไห้มาตั้งหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่มันจะทำยังไงได้ล่ะ ทั้งสถานะของพวกเธอ ความเกี่ยวข้องและความสัมพันธ์ของพวกเธอ ยังไงก็ไม่สามารถที่จะหย่าขาดจากกันได้อยู่ดี
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ส่ายหน้า “อย่าเลย พวกเราอายุมากขนาดนี้แล้ว อันที่จริงคุณก็ดีกับอี้ผิงมาก ถึงเวลานั้นค่อยให้เขาช่วยดูแลพวกเราก็ได้นิ”
ชุยซื่อหยวนชะงักไปก่อนที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “แต่เขาก็ยังไม่ใช่ลูกแท้ๆอยู่ดี”
หลีหมิ่นเองก็เริ่มจะสงสัยและประหลาดใจกับท่าทีของชุยซื่อหยวนเช่นเดียวกันแต่เธอไม่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชุยซื่อหยวนนั่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นมา “คืนนี้ผมจะไปอยู่ในห้องหนังสือนะ”
หลีหมิ่นชะงักไปแต่ก็ยังคงจ้องมองไปที่หน้าจอโทรทัศน์โดยไม่ตอบอะไรกลับมา
หลังจากที่ชุยซื่อหยวนเดินเข้าไปในห้องหนังสือแล้วเขาก็ดึงผ้าม่านเพื่อปิดพร้อมกับปิดไฟในห้องแล้วนั่งลงเงียบๆบนเก้าอี้ เขาสูบบุหรี่ในมือระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่เป็นเพราะเขาไม่ทันได้ระวังจึงถูกก้นบุหรี่ลวกนิ้วจนเขาสะดุ้งและเรียกสติกลับมาอีกครั้ง
เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาก่อนที่จะกดโทรออกไปยังสายหนึ่ง
“อี้ผิง…นายช่วยบอกเรื่องที่เธอไปตรวจสอบให้ฉันฟังอีกสักครั้งสิ”
….
หลังจากชุยอี้ผิงพูดจบ ชุยซื่อหยวนก็ถามขึ้นมาว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เธอถามมาได้งั้นเหรอ? เธอไม่ได้ไปตรวจสอบหรือหาข้อมูลจากสถานีตำรวจงั้นสิ? แล้วก็ไม่ได้ดูประวัติการเลี้ยงดูด้วย?”
“เอ่อ…ครับ”
ชุยซื่อหยวนเอนตัวลงบนเก้าอี้ก่อนที่จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา “โอเคฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”
พูดจบเขาก็ตัดสายไปก่อนที่จะกดโทรหาใครอีกคน
“ฮัลโหล เหล่าอู๋ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? “
“เหล่าชุย ดึกมากแล้วนะ นายโทรมาหาฉันทำไมเนี่ย?” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงหัวเราะ
ชุยซื่อหยวนยิ้ม “ทำไม เดี๋ยวนี้โทรหานายกลางคืนไม่ได้แล้วเหรอ? นี่คงจะรบกวนเวลาแสนสุขในช่วงค่ำคืนของนายอยู่สินะ?”
“พูดบ้าอะไรของนายห๊ะ?” อีกฝ่ายด่า “ทำโอทีอยู่เนี่ย เหนื่อยจนอยากจะตายแล้ว! นายทำงานองค์กรระดับสูงแบบนั้นไม่มีทางเข้าใจความทุกข์ยากของชาวบ้านเขาหรอก ชิ!”
ชุยซื่อหยวนหัวเราะออกมาทว่าในใจก็นึกถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆน้ำเสียงของเขาก็เกิดการสั่นเล็กน้อย “เหล่าอู๋ไหนๆนายก็ทำโอทีแล้ว นายช่วยเข้าระบบแล้วช่วยหาข้อมูลของคนๆนึงให้ฉันหน่อยได้ไหม”
เหล่าอู๋เงียบไปครู่หนึ่ง “เหล่าชุย…ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยนายนะ แต่นายเองก็รู้ว่าที่ทำงานของพวกเรามีกฎ……”
ยังไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ชุยซื่อหยวนก็พูดขึ้นมาว่า “เหล่าอู๋…ลูกที่ฉันตามหาอายุครบ 20 ปีในปีนี้ เขาเป็นคนจินหลิง ทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอลี่สุ่ย นายคงจะเข้าใจนะว่าฉันหมายความว่าอะไร “
เหล่าอู๋ชะงักไป “นายหาเจอแล้วเหรอ?”
“ฉันยังไม่แน่ใจ แต่ฉันอยากจะหาว่าเขามีคนไปเลี้ยงดูแล้วรึยัง” ชุยซื่อหยวนพูด
เหล่าอู๋ชะงักไป เขาเองก็รู้เกี่ยวกับเรื่องของชุยซื่อหยวนเหมือนกันตอนที่เขาไปเป็นทหารพร้อมกันกับชุยซื่อหยวน เขาก็ได้ฟังเรื่องของเด็กคนนั้นด้วยเช่นเดียวกัน “เหล่าชุยถ้าเรื่องนี้ฉันจะจัดการให้ นายรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันจะเอาข้อมูลให้ รอฉันเปิดคอมป๊บ”
“เหล่าอู๋ขอบใจนะ ขอบใจมากจริงๆ” ชุนซือหยวนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก เรื่องอื่นฉันอาจจะช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันต้องช่วยนายแน่! นายไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจัดการให้เอง!” เหล่าอู๋พูดพร้อมกับตบอกตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจ
พูดจบเหล่าอู๋ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “นี่เหล่าชุยฉันบอกนายเอาไว้ก่อนนะ ตอนนั้นเวลาทำเรื่องลงทะเบียนย้ายเข้ามันไม่ได้มีกฎเกณฑ์เหมือนกับตอนนี้ มันมีบางส่วนที่ไม่มีบัตรประชาชนแต่ก็สามารถที่จะทำเรื่องย้ายเข้าบ้านได้ แถมมันก็ไม่ใช่บัตรสำหรับการรับเลี้ยงเด็กด้วย นายเข้าใจนะ?”
“เหล่าอู๋นายไม่ต้องห่วง ฉันเข้าใจดี ถ้าเรื่องนี้เรียบร้อยดีแล้วและถ้าเป็นลูกชายของฉันจริงๆ นายมาที่ปักกิ่งได้เลยฉันเลี้ยงนายไม่อั้นแน่!” ชุยซื่อหยวนพูด
“ฮ่าๆๆ เออๆโอเค ฉันรอมายี่สิบกว่าปีแล้วเนี่ย” เหล่าอู๋พูดพร้อมกับยิ้ม
ในเวลาอันรวดเร็วเหล่าอู๋ก็ค้นหาข้อมูลจากที่อีกฝ่ายแจ้งไว้
ชุยซื่อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆราวกับกำลังตื่นเต้น “เหล่าอู๋เป็นไงบ้าง?”
เหล่าอู๋เสียงเคร่งขรึมลง “ไม่ใช่รับเลี้ยง”
“หา?” อีกฝ่ายตรงตะลึงกับคำตอบของเพื่อนตนเอง ครั้งนี้เขาเต็มไปด้วยความหวังและเขาก็คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
“แล้ววันเกิดล่ะ?” ชุยซื่อหยวนรีบถาม
ตอนที่ 234 แผนดำเนินการห้าปี
“เกิดวันที่ 8 พฤศจิกายน” เหล่าอู๋พูด
ชุยซื่อหยวนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีกพร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า “8 พฤศจิกายน…8 พฤศจิกายน…”
“เหล่าชุยอย่าเพิ่ง… เด็กในรูปนี้ตอนที่ยังเป็นเด็กๆ หน้ากับจมูกคล้ายกับนายเลยว่ะ!” เหล่าอู๋ไม่ทันได้ยินเสียงที่ประหลาดใจของชุยซื่อหยวนก็พูดแทรกขึ้นมา
ชุยซื่อหยวนก้มหน้ามองสมุดบันทึก ตอนที่หลานชายของเขาไปหาข้อมูลมา แม่แท้ๆของหยางโปบอกว่าเขาเกิดเดือนกุมภาพันธ์ อีกอย่างเขาคิดว่าถ้าหากหยางโปเกิดจริงๆควรจะเป็นเดือนกรกฎาคม อีกอย่างตอนที่พวกเขาทิ้งหยางโปไปก็เป็นเดือนพฤศจิกายนด้วย ถ้าดูจากข้อมูลพวกนี้วันเกิดที่ระบุเอาไว้ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามันเป็นวันที่เขาถูกรับไปเลี้ยง
แต่ทำไมแม่ของหยางโปต้องโกหกเขาด้วย หรือว่าเป็นเพราะต้องการจะปิดบังเรื่องที่หยางโปถูกเลี้ยงดู? ถ้าเป็นแบบนี้การที่หลานของเขาไม่เคยเห็นข้อมูลส่วนตัวของหยางโปมาก่อนและหาข้อมูลยังไม่ละเอียดพอคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ชุยซื่อหยวนก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “เหล่าอู๋นายช่วยส่งข้อมูลของเด็กคนนั้นมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เหล่าอู๋แปลกใจ “เหล่าชุยนี่นายมั่นใจแล้วเหรอ?”
ชุยซื่อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตื่นเต้น “ก็เกือบจะมั่นใจ แต่ฉันคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นเขา”
เหล่าอู๋พยักหน้า “โอเคเดี๋ยวฉันส่งไปให้ แต่ทางนี้ไม่มีไฟล์ของเขานะ ฉันว่านายไปหาไฟล์แฟ้มประวัติของเขาหน่อยก็ดี อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสิน ฐานะกับสถานะของนายตอนนี้ ฉันคิดว่าถ้าหากเด็กคนนั้นเป็นหุ่นเชิดของใครอยู่ นายควรจะค่อยๆแอบช่วยเขาน่าจะดีกว่าที่จะเปิดตัวออกไปโพล่งๆ”
“อื้อ ฉันจะตรวจสอบอย่างละเอียด” เขาพยักหน้า ตอนนี้เขาอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายมาก แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นเวลาที่สมควรและดีที่สุดแล้วหรือยัง อีกอย่างเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าการที่จู่ๆจะมีลูกโผล่มาอีกคนผู้หญิงที่นั่งอยู่ห้องรับแขกคนนั้นจะรับได้หรือไม่
หลังจากได้ข้อมูลของหยางโปมาแล้ว ทันทีที่เขาเห็นรูปเขาก็ชะงักไปในทันที ภายในใจของเขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกมากมายที่พลั่งพรูออกมา เขามั่นใจมากว่าเด็กชายคนนี้จะต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแน่ๆ
ระหว่างที่เขากำลังอ่านข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆใบหน้าของเขาก็อาบไปด้วยน้ำตา
เสียนหยางตั้งอยู่ในเขตชนบทของฉินชวนซึ่งอยู่ห่างออกไป 800 ไมล์ ข้ามไปทางทิศใต้ก็จะเป็นแม่น้ำ ส่วนทางตอนเหนือก็จะเป็นภูเขาการที่มีภูเขาและแม่น้ำประกบทั้งสองฝั่งจึงทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าเสียนหยาง
เป็นเพราะเสียนหยางอยู่ใกล้กับเมืองโบราณฉางอานจึงทำให้พบอิฐและกระเบื้องได้ทุกที่ ดังนั้นจึงสามารถพบวัตถุโบราณซึ่งเป็นของในราชวงศ์ฉินได้ทั่วทุกพื้นที่ อีกทั้งยังมีจุดชมวิวทางวัฒนธรรมมากกว่า 4,900 จุด ห้าภูเขาบนที่ราบสูงมีสุสานของจักรพรรดิห้านกาวแห่งราชวงศ์ฮั่น สุสานหยางหลิงของจักรพรรดิจิ่งแห่งราชวงศ์ฮั่น สุสานของจักรพรรดิอู๋แห่งรางวงศ์ฮั่น สุสานจ้าวของจักรพรรดิไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง สุสานจักรพรรดิกาวจงแห่งราชวงศ์ถังและสุสานของจักรพรรดิเฉียนหลิงรวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งฮั่นและถาง 28 องค์เป็นที่รู้จักกันในนาม ปีรามิดแห่งเมืองหลวงของจีน
หยางโปและคนอื่นๆรีบเดินทางมายังเสียนหยาง หลังจากที่เดินทางมาถึงที่นี่ก็มีคนมาต้อนรับโดยพาไปทานมื้อเที่ยง หลังจากทานทุกอย่างแล้วพวกเขาก็นั่งรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังชานเมืองทันที
หลังจากที่รถมาจอดที่โรงงานที่อยู่ใกล้ชานเมืองแล้วทุกคนก็เดินลงมาจากรถก่อนที่จะขึ้นไปนั่งบนรถตู้อีกคันนึง
ระหว่างที่ขับไปตามเส้นทางด้านนอกหน้าต่างก็เริ่มเงียบลงเรื่อยๆ หลูตงซิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะกดปิดเครื่องพร้อมกับหันมาบอกกับทุกคน “เดี๋ยวอาจจะมีคนมาเก็บโทรศัพท์ของพวกนายนะ ไม่ต้องตกใจ”
หยางโปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังจากไม่เห็นว่ามีข้อความส่งมาเขาก็ปิดเครื่องด้วยความสบายใจ อันที่จริงเขาเองก็พอจะเดาได้แล้วว่า’งาน’ ในครั้งนี้ไม่ใช่งานที่หลูตงซิ่งเป็นคนจัดขึ้นมา แต่อีกฝ่ายก็คงจะไว้ใจเขา ในขณะที่พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถสร้างความไว้ใจให้กับอีกฝ่ายได้จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเก็บโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ติดต่อสื่อสารหรือบันทึกภาพใดๆภายในงานซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
จู่ๆหยางโปก็นึกถึงเหตุผลที่หลูตรงซิ่งพาพวกเขามาที่นี่ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ากำไรที่จะได้รับจากสุสานนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถจับต้องได้ มากที่สุดก็คงจะเป็นได้แค่ผู้ชม แต่เมื่อเขานึกขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพวกเขาเป็นผู้ซื้อ และเมื่อมาที่นี่เหตุผลที่มีความเป็นไปได้ก็อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายอยากจะขายมันออกไปเร็วๆ
หลังจากที่รถมาจอดลงตรงบ้านซึ่งอยู่ตรงเชิงเขาแล้วทุกคนก็เดินลงจากรถ หลังจากที่เดินลงมาหยางโปก็กวาดตามองไปรอบๆ ที่จริงเขาเองก็เคยเห็นข่าวที่พูดว่าพวกโจรขโมยหลุมศพจะอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นเชิงเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเจาะรูภายในบ้านเพื่อเชื่อมกับเขาใหญ่โดยตรง
หลังจากที่เดินลงมาจากรถแล้วภายในบ้านก็มีชายชราที่มีหนวดเขลาเดินออกมา ท่าทางของเขาดูผอมและซีดเซียวมากทว่าดวงตากลับเป็นประกายและดูมีไหวพริบมาก ชายคนนั้นเดินออกมาพร้อมกับจับมือทักทายหลูตงซิ่ง “เถ้าแก่หลูรักษาสัญญาจริงๆด้วย ยินดีต้อนรับนะ”
หลูตงซิ่งยิ้ม “ฉินโถวอุตส่าห์เชิญจะไม่มาได้ยังไงกันล่ะ”
พูดจบหลูตงซิ่งก็หันมาแนะนำคนที่อยู่ด้านหลังของเขา
ฉินโถว “ผู้ที่มาที่นี่ถือเป็นแขกทุกคน แต่ธุรกิจของเราเป็นแบบพิเศษอาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องระวัง หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะ”
หยางโปและคนอื่นๆยื่นมือไปทักทายอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็มีผู้ชายเดินเข้ามาสองคนซึ่งมีท่าทางกำยำและสูงยาว ส่วนอีกคนนึงเป็นชายร่างเล็ก ทั้งสองคนเดินมาพร้อมกับซองเอกสารพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “รบกวนปิดโทรศัพท์แล้วใส่เอาไว้ในซองนี้ด้วยครับ หลังจากจบงานแล้วพวกเราจะคืนให้”
ก่อนหน้านี้หยางโปและคนอื่นๆได้ยินหลูตงซิ่งเตือนแล้วพวกเขาจึงปิดเครื่องพร้อมกับส่งมอบให้อีกฝ่ายแต่โดยดี
ชายร่างผอมบางถือเครื่องตรวจจับโลหะเอาไว้ในมือพร้อมกับกำมือเพื่อแสดงความเคารพ “ขอประทานโทษนะครับทั้งสามท่าน รบกวนช่วยนำเครื่องโลหะต่างๆมาวางตรงนี้ด้วยครับ ผมขออนุญาตตรวจสักครู่ครับ”
ทั้งสามคนได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่ก็หยิบกุญแจและเหรียญในกระเป๋าออกมา
ชายร่างบางหยิบของเหล่านั้นมาตรวจสอบอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งกลับไป
เขาหันไปพยักหน้าให้กับฉิวโถว ทันใดนั้นฉิวโถวก็หันมาพูดกับทุกคนว่า “ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะ”
หลูตงซิ่งยิ้ม “ฉินโถวเกรงใจเกินไปแล้ว”
ฉินโถวหันไปด้านในห้องก่อนที่จะผายมือ “เชิญเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ”
พูดจบทุกคนก็เดินตามฉิวโถวเข้าไปด้านใน หยางโปมองไปรอบๆก็พบว่าภายในนี้มีการตกแต่งครบครัน หลังจากที่นั่งลงแล้ว หลูตงซิ่งก็ถามขึ้นมาว่า “บ้านนี้คุณเช่ามาจากคนอื่นอีกทีเหรอ?”
“เปล่า เป็นบ้านที่ฉันสร้างเองน่ะ” ฉิวโถวพูด
หยางโปและคนอื่นๆรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ เพราะพวกเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าการสร้างบ้านขึ้นมาที่นี่เขาไม่กลัวว่าจะถูกสงสัยบ้างเลยรึไงกันนะ?
ฉินโถวดูเหมือนว่าจะอ่านสายตาของทุกคนออกเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันมาสำรวจภูมิประเทศที่นี่เมื่อห้าปีก่อนน่ะ แต่เป็นเพราะมีช่วงวันหยุดด้วย ฉันก็เลยซื้อที่ดินที่นี่แล้วก็สร้างบ้านขึ้นมา ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมาทุกๆต้นฤดูหนาวฉันจะมาพักที่นี่ และแต่ละปีฉันก็จะขับรถคันเดิมมาที่นี่และใช้เส้นทางเดิมมาโดยตลอดแถมยังทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆ”
“ระยะเวลาห้าปีมันทำให้ฉันสามารถเตรียมทุกอย่างได้เรียบร้อย ตอนนี้ก็ใช้เวลาขุดพื้นไปได้ครึ่งเดือนแล้ว ถ้าหากการคำนวณไม่ผิดพลาดอะไรคิดว่าคือนี้ก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ”
ทุกคนมองหน้ากัน มีเพียงหลูตงซิ่งคนเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจกับคำพูดของเขา ทว่าอีกสามคนที่เหลือกลับดูเหมือนจะไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก
หยางโปเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความขยันมากถึงขนาดนี้ เขาใช้เวลาถึงห้าปีเพื่อขุดสุสานบนเขา ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นบนเขานั้นคงจะต้องมีประวัติความเป็นมาอะไรแน่ๆ
หลูตงซิ่งเองก็นึกถึงเรื่องนี้เขาจึงหันไปมองฉินโถว “หลังจากนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อ?”
“พวกนายไปพักกันก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวมากินข้าวเย็นตอนสี่โมงเย็น สี่โมงครึ่งพวกเราค่อยออกเดินทางเพื่อขึ้นไปด้านบนเขากัน” ฉินโถวพูด
ตอนที่ 235 เหวยเสียวป่าวแห่งราชวงศ์ถัง
ระหว่างทางบนเขาได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยที่จะไปบรรจบกันตรงบริเวณไหล่เขา ระหว่างทางพวกเขาไม่พบใครเลย ตรงบริเวณใกล้ๆมีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่งแต่พวกคนหนุ่มสาวที่อยู่ภายในหมู่บ้านต้องออกเดินทางไปทำงานข้างนอก ส่วนเด็กๆก็ออกไปเรียนหนังสือกันหมด คนแก่ๆที่อยู่ในบ้านก็ไม่มีใครกล้าออกมาข้างนอก
ฉินโถวเดินนำคนที่เหลือขึ้นไปบนเขา เขาลูกนี้มีพื้นผิวค่อนข้างเรียบและเป็นทางราบแต่รอบๆมีพืชรายล้อมอยู่จนทั่ว เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนเขาแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครพบเห็น
ช่วงต้นฤดูหนาวพระอาทิตย์จะตกดินเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาห้าโมงเย็นท้องฟ้าก็เริ่มมืดหมดแล้ว ทว่าพวกเขาที่เดินตามหลังฉินโถวก็ไม่มีใครคิดที่จะเปิดไฟฉายเพื่อส่องทาง
หลังจากเดินมาจนถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรงทุกคนก็เดินขึ้นมาบนเขาแล้วและกำลังเดินมาอยู่อีกด้านนึงของเขา จู่ๆหยางโปก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่พวกเขาเริ่มเดินทางพวกเขาเริ่มต้นจากทางฝั่งเหนือ และจากการเลือกตำแหน่งหลุมฝังศพแล้วฮวงจุ้ยน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่หลบซ่อนลมและอากาศ ทางฝั่งใต้ห่างออกไปไม่ไกลก็พบว่ามีแม่น้ำสายหนึ่งที่กำลังไหลไปตามกระแสน้ำอยู่
ในที่สุดฉินโถวก็หยุดเดิน สถานที่แห่งนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดีจนหยางโปเองก็ยังมองไม่เห็นร่องรอยของการขุดเจาะแม้แต่น้อย
เจี่ยงเอ้อที่ร่างกายกำยำก้าวเท้าไปด้านหน้าก่อนที่จะแหวกหญ้ากองหนึ่งออกซึ่งด้านล่างเผยให้เห็นหลุมดำหลุมหนึ่ง โหยวเสียวอู่ชายร่างผอมบางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็รีบขยับตัวก่อนที่จะลงไปด้านล่างทันที
ลัวย่าวหัวที่ตามมาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เขาย่อตัวลงเพื่อที่จะลงไปด้านล่าง จู่ๆฉินโถวก็ห้ามขึ้นมา “ไม่ต้องลงไป!”
ลัวย่าวหัวเงยหน้ามองด้วยความสงสัย
ฉินโถวส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าบรรยากาศก็เริ่มอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิม
หลูตงซิ่งยิ้ม “ฟังที่ฉินโถวพูดแหละดีแล้วอย่าทำอะไรผลีผลาม ฉินโถวเป็นคนเปิดสุสานยังไงเขาก็ต้องรู้มากกว่าพวกเราอยู่แล้ว”
ในเวลาเพียงไม่นานภายในถ้ำนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นพร้อมกับร่างของคนๆนึงที่ปีนขึ้นมา ทว่ากลับไม่ใช่โหยวเสียวอู่ เขาออกมาก่อนที่จะกวาดตามองทุกคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปกระซิบข้างๆฉินโถว “ด้านในมีอิฐเหล็ก!”
ฉินโถวขมวดคิ้วเข้าหากัน “ขุดเจอตอนไหน?”
“เมื่อกี้นี้เองครับ” คนนั้นตอบ
ฉินโถวพยักหน้า “เรียกทุกคนให้ออกมา”
ฉินโถวพูดจบคนที่อยู่ด้านในก็ต่างพากันออกมาด้านนอก ซึ่งนับรวมๆกันแล้วมีทั้งหมดสามคนและเหลือเพียงโหยวเสียวอู่คนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกมา
หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่งโหยวเสียวอู่ก็ปีนออกมา ฉินโถวจึงหันไปถามเขาว่า “เห็นรึยัง?”
เขาพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะเป็นอิฐเหล็กครับ นี่ไม่ใช่สุสานคิดว่าคงจะมีไม่กี่ชั้น”
ฉินโถวส่ายหน้า “ต้องวางแผนให้ดีๆ ดินบนที่ราบสูงนี้กลวงมาก ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมา ที่เราลงแรงกันจนเลือดตาแทบกระเด็นถึงสองเดือนกว่าได้จบเห่แน่”
โหยวเสียวอู่พยักหน้า “งั้นผมลองใช้วิธีเจาะดูก่อนก็แล้วกัน”
“โอเค ลองดู” ฉินโถวพูด
พูดจบโหยวเสียวอู่ก็หยิบสว่านไฟฟ้าก่อนที่จะกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันคนอื่นๆก็ยืนรออยู่ด้านนอก
กลางคืนมีความมืดมาก ระหว่างที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ด้านนอกลมหนาวก็พัดผ่านเข้ามาจนทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกเพราะความหนาว
หยางโปเดินก้าวเท้าไปด้านหน้าสองก้าวก่อนที่จะถามหลูตงซิ่ง “ที่นี่คงจะเป็นสุสานใหญ่แน่เลยสินะครับ? ผมคิดว่าฮวงจุ้ยในนี้ถือว่าไม่เลวเลย ด้านหลังเป็นเขาด้านหน้าเป็นแม่น้ำ แถมเขายังสูงตระหง่าน คิดว่าคงถูกล็อคฮวงจุ้ยเอาไว้แน่ๆ”
หลูตงซิ่งยิ้มออกมาก่อนที่จะอธิบาย “ฮวงจุ้ยที่นี่เทียบไม่ได้กับสุสานของจักรพรรดิหรอกนะ แต่มันเป็นสุสานของพวกตระกูลคนรวยน่ะ อันที่จริงที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวแล้วนะ ใกล้ๆที่นี่คงจะต้องมีพื้นที่สำหรับระบบศักดินาแน่ๆ แต่แค่พวกเราไม่ได้สังเกตเห็น แต่นายไม่ต้องห่วงหรอก อาจารย์ฉินโถวเข้าใจเรื่องพวกนี้มากกว่าเรามากเลยล่ะ”
การที่เขาเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นอาจารย์ก็เพื่อที่จะพูดยกย่องผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุสาน และเขาเก่งในการดูฮวงจุ้ยต่างๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็ต้องมีการตรวจสอบภูมิประเทศก่อนและดูว่าสุสานเหล่านั้นมีชั้นหินอยู่ในระดับไหน
และจากการอธิบายแล้วถ้าหากเป็นฮวงจุ้ยทำเลทองจริงๆก็คงจะต้องมีสุสานขนาดใหญ่อยู่แน่ๆ สุสานที่มีคุณสมบัติสูงมักจะมีสมบัติล้ำค่าและศพจำนวนมากอยู่ในนั้น นอกจากนี้ก็คงจะมีสมบัติและของของประเทศอยู่ในนั้นด้วย หยางโปไม่รู้ว่าระดับของฉินโถวอยู่ในระดับไหน แต่การที่เขาถูกหลูตงซิ่งเรียกว่า “อาจารย์” ได้ มันคงจะต้องสูงในระดับนึงอย่างแน่นอน
ฉินโถวมองมาที่เขาก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “พ่อหนุ่ม เขานี้ค่อนข้างสูงแต่ฮวงจุ้ยที่นี่พวกเราเรียกมันว่าเป็นฮวงจุ้ยมังกรเลยล่ะ อย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้อาจจะเรียกว่าเฉยๆ ถึงแม้ว่ารูปแบบมันอาจจะสู้ถ้ำมังกรไม่ได้ แต่มันก็ถือว่ายากมากนะที่จะพบเห็นได้ และที่สำคัญเลยก็คือฮวงจุ้ยนี้เข้ากันได้ดีกับสุสานของเจ้าของเลยล่ะ”
“เจ้าของสุสานคือใครเหรอครับ?” หยางโปถาม
ฉินโถวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตอบกลับมาว่า “ต้าวหวยไท่จื่อ”
หยางโปชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเขารู้สึกคุ้นชื่อนี้มากแต่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน
“ใช่หลีผู่บุตรชายของจักรพรรดิจิ้งจงของราชวงศ์ถังรึเปล่า?” หลูตงซิ่งถามขึ้นมา
ฉินโถวพยักหน้า
หยางโปได้ยินคำถามของหลูตงซิ่งก็นึกขึ้นมาได้ ในยุคราชวงศ์ถังตอนปลายในยุคนั้นถือว่ามีความเสื่อมโทรมแถมวงในยังเกิดความวุ่นวายและยุ่งเหยิงไปหมด จิ้งจงพ่อของหลีผู่เป็นจักรพรรดิในยุคราชวงศ์ถังได้แค่สองปีเท่านั้น ชื่อของหลีผู่ที่ปรากฎขึ้นในหนังสือประวัติศาสตร์นั้นถูกบันทึกเอาไว้เพียงสองประโยคเท่านั้น “ต้าวหวยไท่จื่อหรือหลีผู่อยู่ในช่วงป่าวลี่ซึ่งเป็นยุคของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์คนที่สิบสาม เขาเป็นคนเชื่อฟังและอ่อนน้อมจึงทำให้เหวินจงชอบหลานชายคนนี้มากจึงเลี้ยงดูเขาเหมือนกับลูกของตนเองและอยากให้เขาเป็นทายาท แต่สุดท้ายเขาก็เสียชีวิตลงจึงทำให้เหวินจงโศกเศร้าและเสียใจมาก เขาจึงตั้งชื่อให้กับหลีผู่ว่าต้าวหวยไท่จื้อ(ไว้ทุกข์ให้กับเจ้าชาย)เพื่อเป็นการระลึกถึง”
ลัวย่าวหัวไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่นักก็พูดขึ้นมาว่า “เป็นเจ้าชายสินะ ถ้างั้นที่นี่คงจะไม่ใช่เล่นๆแล้วน่ะสิ ถึงแม้ว่าเจ้าชายจะเสียแล้วแต่พ่อของเขาก็คงจะไม่ขี้งกกับลูกชายของเขาหรอก”
“จักรพรรดิจิ้งจงพ่อของเขาตายก่อนเขาอีกนะ” หยางโปพูดขึ้น
“หา?” ลัวย่าวหัวประหลาดใจ “ถ้าพ่อตายก่อนในฐานะของเจ้าชายเขาก็ไม่ควรจะได้สืบบัลลังก์สิ ทำไมเขาถึงยังเป็นเจ้าชายอีกล่ะ?”
“ก็เพราะว่าการตายของจักรพรรดิจิ้งจงไม่ใช่การตายแบบปกติน่ะสิ เขาถูกขันทีฆ่าตายน่ะ” เจ้าอ้วนหลิวพูด
“ทำไมพวกนายถึงรู้เรื่องพวกนี้กันหมดเลยเนี่ย?” ลัวย่าวหัวพูดด้วยความแปลกใจ เพราะเขารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถังแค่ช่วงแรกก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายเท่านั้นและหลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
“ก็เพราะว่าจักรพรรดิองค์นี้ตายแต่ก็สร้างความเดือดร้อนน่ะสิ จักรพรรดิจิ้งจงเป็นจักรพรรดิตอนอายุสิบหกปี ตอนนั้นเขาเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เล่นไปหมด ไม่ได้สนใจเรื่องในวังเลยสักนิด
ขันทีหลิวเค้อหมิงมีความสัมพันธ์กับขันทีหลิวกวาง แถมยังไม่ทันได้มีการตัดอัณฑะก็สามารถเข้าไปอยู่ในวังหลังได้”
ลัวย่าวหัวเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“หลิวเค้อหมิงเองก็ใช้เวลาเป็นเพื่อนเล่นอยู่กับจักรพรรดิ แต่พอเขาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเรื่องวังหลังเขาก็เลยเริ่มไปเกี้ยวพาราสีกับหญิงสาวที่อยู่วังหลังด้วยความเหิมเกริม หลังจากนั้นเขาก็เริ่มลุกลานไปยุ่งกับนางสนม ตอนแรกจักรพรรดิจิ้งจงก็ไม่เคยจะเข้ามาสนใจเรื่องพวกนี้แถมก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังถูกสวมเขา ตอนกลางคืนเขาก็จะนำคนไปไล่ล่าสัตว์โดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ มีอยู่ครั้งนึงเขาไม่ทันได้ระวังก็เผลอยิงธนูใส่ขาของหลิวเค้อหมิง หลิวเค้อหมิงเข้าใจว่าความลับของตัวเองถูกเปิดเผยออกมาแล้ว และจักรพรรดิจิ้งจงตั้งใจที่จะเล็งเพื่อฆ่าเขา เขาเลยหวาดระแวงมากขึ้นเรื่อยๆจนตัดสินใจก่อกบฏ”
“หลังจากนั้นเขาก็เรียกขันทีที่มักจะถูกจักรพรรดิจิ้งจงด่าอยู่บ่อยๆออกมาแล้วบอกให้พาจักรพรรดิไปดื่มให้เมาหลังจากที่กลับมาจากการล่าสัตว์หลังจากนั้นก็จัดการฆ่าเขา หลังจากนั้นหลิวเค้อหมิงเองก็คิดจะตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาเองก็จะถูกขันทีอีกกลุ่มหนึ่งฆ่าจนหัวกระเด็นหลุดออกจากบ่า”
“เชี่ย…” ลัวย่าวหัวสบถออกมา “ที่แท้เรื่องเหวยเสียวป่าวนั่นก็เป็นเรื่องจริงสิเนี่ย!”
หยางโปส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ อันที่จริงเรื่องหลังราชวงศ์ถังถือว่าวุ่นวายมากจริงๆ
ในเวลานั้นเองโหยวเสียวอู่ก็ปีนออกมา
ตอนที่ 236 กับดักกระดานกรวยหนาม
ทุกคนหันไปมองโหยวเสียวอู่เป็นตาเดียว
“เป็นยังไงบ้าง?” ฉินโถวถามทันทีที่เห็นเขา
“เครื่องเกาะนี่เจาะเข้าไปถึงแค่ช่วงกลางเท่านั้นครับ ด้านในมันมีการหลอมรวมของเหล็กซึ่งมันไม่สามารถที่จะเอาอิฐออกมาได้” โหยวเสียวอู่พูด
หยางโปหันไปมอง ตอนที่เขาได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าเป็นชั้นอิฐเหล็กเขาก็เผลอเข้าใจว่ามันเป็นภาษาของพวกผู้เชี่ยวชาญพูดคุยกัน แต่หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองฝ่าย หยางโปก็เกิดอาการตกตะลึงตาค้างขึ้นมาในทันที เพราะชั้นอิฐเหล็กเป็นการเทเหล็กหลอมเหลวที่ร้อนมากลงไป! จากที่เขารู้มาหลุมศพของอู่เจ๋อเทียนเป็นการนำเหล็กหลอมเหลวเทลงไปตรงกลางของก้อนหิน จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะสามารถเข้าไปที่หลุมฝังศพได้ อีกอย่างร่างของเจ้าชายหลีผู่เองก็ต้องถูกเหล็กหลอมเหลวนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในช่วงสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงจากสงครามในตอนนั้น เหล็กเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญมาก
ตอนที่ฉินโถวพูดว่ารูปแบบของที่นี่เป็นแบบมังกรจำศีลและมันมีความสอดคล้องเป็นอย่างมากกับเจ้าของหลุมศพอีกทั้งยังสามารถเห็นสภาพของเจ้าชายหลีผู่ได้ด้วย เป็นมังกรจำศีลที่ไม่มีการออกมาข้างนอกอีกทั้งยังเป็นการอยู่ตลอดกาล! การที่ฐานะของเจ้าชายได้รับการดูแลเป็นอย่างดีราวกับจักรพรรดินั้นยิ่งทำให้หยางโปมั่นใจแล้วว่าสุสานแห่งนี้จะต้องมีสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน!
ฉินโถวเกิดอาการลังเลเล็กน้อย “ที่ราบสูงดินเหลืองที่นี่มีดินทรายร่วน”
ฉินโถวหันไปมองโหยวเสียวอู่โดยไม่ได้พูดอะไร
โหยวเสียวอู่รีบพูด “คุณไม่ต้องห่วงครับ ถ้าหากใช้การระเบิดคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหา”
ฉินโถวพยักหน้า “ระวังตัวด้วย”
โหยวเสียวอู่ยิ้มก่อนที่จะเดินไปหยิบพลั่วพร้อมกับสายพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลัง
เจี่ยงเอ้อตบบ่าโหยวเสียวอู่พร้อมกับพูด “ระวังตัวด้วยนะ”
โหยวเสียวอู่พยักหน้าก่อนที่จะเดินหายเข้าไปด้านในอีกครั้ง
หยางโปเกิดอาการตกตะลึงขึ้นมาในทันที การระเบิดดินถือว่าเป็นอุปกรณ์กองทัพที่ทันสมัยที่สุดในกลุ่มกองทัพต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บปวดจากการขุดสนามเพราะในช่วงสงคราม ตอนที่เกิดสงครามนั้นถ้าหากทิ้งระเบิดไปด้านหน้าเพียงไม่กี่เมตรก็จะสามารถขุดเจาะจนกลายเป็นหลุมลึกหลายเมตรได้ง่ายๆและดินที่อยู่ด้านในนั้นก็จะกระจายขึ้นมาด้านบน และด้วยแรงระเบิดที่เกิดขึ้นจะทำให้พื้นที่รอบๆถูกกดลงไปจนทรุดตัว และหลังจากที่มีการระเบิดแล้วภายในหลุมนั้นก็จะไม่พบดินที่อยู่ในนั้นแม้แต่นิดเดียว
ฉินโถวคนที่หยางโปไม่เคยรู้จักมาก่อนคนนี้ได้ทำการเตรียมอาวุธระดับสงครามมาในครั้งนี้ด้วย แต่เมื่อนึกถึงตอนที่พวกเขาใช้พลั่วขุดมาโดยตลอดเขาก็รู้ทันทีว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีระเบิดเยอะมากมายเท่าไหร่นัก
“ถอยออกไปก่อน” ฉิวโถวพูด
ทุกคนรีบเดินตามฉินโถวเพื่อเดินออกจากจุดนี้ ในขณะที่ทุกคนต่างจ้องมองไปด้วยสายตาที่รอคอย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งหยางโปก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา แต่เมื่อเห็นฉินโถวและคนอื่นๆยังไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรออกมาเขาจึงทำได้เพียงแค่รออย่างใจเย็นเท่านั้น
หลังจากผ่านไปได้อีกครู่หนึ่งจู่ๆภายในหลุมถ้ำนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจนพื้นสั่นสะเทือนแถมสายตาของทุกคนก็ยังจ้องไปที่ปากทางเข้าของถ้ำแห่งนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งถ้ำนั้นยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ และคนที่อยู่ด้านนอกก็ไม่มีใครขยับเขยื้อนไปไหนด้วย
ผ่านไปอีกหลายนาทีในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้หยางโปรู้สึกได้ว่าพื้นที่ที่เขายืนอยู่เกิดการสั่นสะเทือน ก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานโหยวเสียวอู่ที่สวมใส่หน้ากากป้องกันพิษก็ปีนขึ้นมาด้านบน
เจี่ยงเอ้อรีบวิ่งเข้าไปช่วยดึงเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“โชคดีที่ภารกิจไม่ล้มเหลวนะครับ” โหยวเสียวอู่ถอดหน้ากากออกมาพร้อมกับพูด
“เยี่ยม!” ฉินโถวแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา “ทำได้ดีมาก!”
“เอ้อหนิวนายอยู่นี่ดูแลเสียวอู่ด้วยนะจะได้มีอากาศหายใจ ส่วนคนอื่นๆตามฉันลงไปด้านล่าง” ฉินโถวพูด
ทุกคนพยักหน้าก่อนที่จะรับหน้ากากป้องกันพิษจากเอ้อหนิว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนก็เริ่มทยอยเดินลงไปด้านล่าง
หลังจากเดินลงมาถึงด้านล่างแล้วหยางโปก็รู้สึกได้ถึงความลื่นที่พื้นจนทำให้เขาต้องใช้ขาของตัวเองในการทรงตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองก้นจ้ำเบ้าไปนั่งกองอยู่ที่พื้น
ภายในถ้ำสุสานแห่งนี้มืดมากจึงต้องพึ่งพาแสงไฟที่อยู่บนหมวกของตัวเองพร้อมกับเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง นี่เป็นครั้งแรกที่หยางโปได้มาทำอะไรแบบนี้ เป็นเพราะเขาเดินตามคนอื่นๆอยู่ด้านหลัง เขาจึงมองไม่เห็นว่าด้านหน้าเป็นยังไง แต่เขารู้เพียงแค่เจี่ยงเอ้อเป็นคนเดินนำทางส่วนฉินโถวเป็นคนที่ตามมาเป็นคนที่สอง
ฉินโถวถือเป็นแกนหลักของกลุ่มและเขาก็เป็นผู้ออกคำสั่งด้วย ทุกคนจึงต้องฟังคำสั่งจากเขาเพียงผู้เดียว
ในเวลาอันรวดเร็วหยางโปก็ปีนมาถึงจุดที่เป็นทางโค้ง ซึ่งตรงนั้นมีหลุมที่สามารถซ่อนคนได้หนึ่งคน หลังจากที่หยางโปคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตอนที่เสียวอู่ทำการระเบิดที่แห่งนี้เขาจะต้องวิ่งมาหลบอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
จู่ๆคนที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดเดินพร้อมกับเสียงร้องที่ดังขึ้นมาจากด้านใน เขารู้สึกตกใจขึ้นมาในทันที เพราะเขามั่นใจว่าเสียงร้องเมื่อกี้เป็นเสียงของเจี่ยงเอ้อชายร่างกำยำคนนั้น!
“หนิวต้ามานี่เร็วเข้า!”
หลังจากนั้นหยางโปก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นเวลาเดียวกันกับตอนที่เขารู้สึกได้ว่ามีโคลนตกลงมาบนเสื้อของเขา
“คนที่เหลือรีบออกไปตอนนี้เลยแล้วเรียกให้หนิวเอ้อลงมา” ฉินโถวพูด
ด้านหน้าของหยางโปคือเจ้าอ้วนหลิว เป็นเพราะเจ้าอ้วนหลิวไม่สามารถหมุนตัวได้เขาจึงเลือกที่จะเดินถอยหลังแทน ส่วนหยางโปทันทีที่ได้ยินเสียงของฉินโถวเขาก็รีบปีนออกไปด้านนอกทันทีโดยมีเจ้าอ้วนหลิว ลัวย่าวหัวและหลูตงซิ่งที่ตามออกมาติดๆ
หยางโปออกมาก็รีบหันไปพูดกับหนิวเอ้อ “หนิวเอ้อด้านล่างเกิดเรื่องแล้ว อาจารย์บอกให้นายลงไปตอนนี้เลย!”
หนิวเอ้อตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น?”
“ผมอยู่ด้านหลังสุดมองไม่เห็นเหมือนกัน!” หยางโปตอบ
เสียวอู่ที่เอนตัวอยู่ที่พื้นก็รีบลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับมองมาที่หยางโปด้วยท่าทางระมัดระวัง
หยางโปไม่ได้พูดอะไรและเขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้คนพวกนั้นมากเท่าไหร่นัก หลังจากที่หลูตงซิ่งออกมาเขาก็หันไปถามหลูตงซิ่งว่า “เถ้าแก่หลูเกิดอะไรขึ้นครับ?”
“มีกับดักกระดานกรวยหนามอยู่ด้านล่างตรงที่ทางที่พวกเราลงไปตรงปากทางเข้าพอดี” หลูตงซิ่งพูด
หลิวเอ้อไม่ได้เร่งรีบลงไปด้านล่างทันทีแต่หันไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างก่อนที่จะปีนลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
หยางโปได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไป เขานึกถึงก่อนหน้านี้ตอนที่หงซิ่วฉวนเจอกับดักที่อยู่ด้านในสุสานตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่หลังจากที่กลับไปหาข้อมูลแล้วเขาถึงได้เข้าใจว่ามันยังมีกับดักที่ร้ายแรงที่เรียกว่ากับดักกระดานกรวยหนามที่อยู่ด้านล่างอีก
กับดักกระดานกรวยหนามเป็นกับดักที่มักจะพบเจอได้บ่อยภายในสุสาน ซึ่งมันมีรูปร่างเหมือนกับกรวยที่มีความยาวราวๆ 10 เซนซึ่งมีการวางกระจัดกระจายอยู่ภายในนั้นโดยจะถูกปกคลุมด้วยแผ่นไม้อีกหนึ่งชั้น โดยจะมีเพลาวางอยู่ตรงจุดกลางและมีกรวยขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้างเพื่อสร้างความสมดุลให้กับแผ่นไม้ และถ้าหากมีคนลงไปด้านล่างแผ่นไม้ที่สร้างความสมดุลนั้นก็จะไม่สามารถวางให้ตรงได้อีกต่อไปแต่มันจะทำให้แผ่นไม้เอนไปข้างใดข้างหนึ่งก่อนที่จะส่งร่างของคนผู้นั้นให้ไหลลงไปบนกรวยมีด!
หลังจากที่คนตกไปแล้วแผ่นไม้ที่เกิดเป็นทางราดนั้นก็จะกลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้งและเมื่อเป็นแบบนี้มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวแห่งความตายไปในทันที!
“กับดักกระดานกรวยหนาม!” เสียวอู่หน้าถอดสีในทันที เป็นเพราะเขาต้องอยู่บนเส้นทางที่ต้องเจอกับความเป็นความตายมาหลายปีจึงทำให้เขาเข้าใจดีว่ากับดักกระดานกรวยหนามน่ากลัวขนาดไหน
“คนที่เดินอยู่หน้าสุดคือใคร?” เสียวอู่ถาม
“เจี่ยงเอ้อ” หลูตงซิ่งตอบ
คนที่อยู่ด้านนอกเริ่มลุกขึ้นยืนและตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าด้านในตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ลัวย่าวหัวหันมาปลอบใจ “ใบมีดของราชวงศ์ถางน่าจะเสื่อมสภาพแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก”
เจ้าอ้วนหลิวที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ เขาเป็นคนกลางโดยปกติแล้วเขาก็มักจะคิดถึงเรื่องการกดราคาเกี่ยวกับของในสุสานอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยต้องมาเจอเรื่องที่อันตรายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
หยางโปเองก็เริ่มเดินไปเดินมาเช่นเดียวกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งด้านในก็เกิดเสียงขึ้น
หยางโปและคนอื่นรีบเดินไปดูก็พบว่าหลิวเอ้อกำลังใช้เชือกดึงอยู่ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกันหยางโปและคนอื่นๆก็รีบเข้าไปช่วยดึงเชือกนั้นกันอย่างสุดแรง จนในที่สุดก็สามารถลากกระดานไม้ขึ้นมาได้สำเร็จ
แต่ทันทีที่เห็นร่างของเจี่ยงเอ้อ หยางโปก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจทันที เพราะบนร่างของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยเลือดสดๆที่กำลังไหลอาบไปทั่วทั้งตัว!!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น