วาสนาบันดาลรัก 229-234

ตอนที่ 229

 

เจินหนิงเอ่ยเสียงเรียบ เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ผ่านไป เพียงเอ่ยถามไปตามปากว่า “อายุพอๆ กับหยวนหยวนเลย เลี้ยงสองคนพร้อมกันคงไม่ยากนัก”


 


 


หยวนหยวนคือชื่อแรกเกิดของบุตรสาวเจินหนิง


 


 


เคราะห์ดีที่เด็กผู้นั้นเป็นเพศหญิง หากเป็นเพศชาย ย่อมมีฐานะเป็นบุตรคนโตที่เกิดจากอนุ ด้วยฐานะเช่นนี้ย่อมทำให้พี่ใหญ่หรือแม้แต่เด็กผู้นี้ก็ออกจะตะขิดตะขวงใจไม่น้อย


 


 


เจินหนิงคล้ายมองความคิดของเจินเมี่ยวออกจึงอดหยักยกมุมปากขึ้นมิได้


 


 


เพราะเป็นบุตรสาว ดังนั้นมารดาถึงได้คลอดยากจนสิ้นใจไป หากเป็นบุตรชาย…


 


 


หึๆ สตรีคลอดบุตรก็เท่ากับได้ย่างเท้าเข้าสู่ประตูผีไปครึ่งเท้าแล้ว หนึ่งศพสองชีวิตก็มิใช่เรื่องแปลกพิสดารอันใด


 


 


ครั้นนึกถึงว่าสตรีชั่วช้าผู้นั้นลอบปีนขึ้นเตียงนางลับหลังด้วยวิธีการเช่นใด เจินหนิงก็เริ่มข่มกลั้นเพลิงโทสะไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด จึงเอ่ยกับสาวใช้ข้างกายว่า “ไปดูหน่อยเถิดว่าคุณหนูรองเป็นอันใด”


 


 


“เจ้าค่ะ” หลานเตี๋ยรีบรับคำแล้วเดินออกไป


 


 


เจินหนิงยิ้มอย่างพอใจ


 


 


หลังจากเฟยเยียนสิ้นไป นางเองก็เพิ่งคลอดได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลที่มิสะดวกปรนนิบัติสามีจึงยกชุ่ยหนงรับหน้าที่แทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาสาวใช้ก็ยิ่งเคารพนบน้อมนางมากขึ้น


 


 


หึๆ นางเพียงต้องการให้พวกนางรู้ซึ้งว่าหากอยากจะเป็นสาวใช้ทงฝังคอยปรนนิบัติคุณชายนั้นได้ แต่จักต้องให้นางเป็นผู้จัดการ นางพยักหน้าจึงเป็นได้ หากปีนขึ้นเตียงคุณชายเลียนอย่างเฟยเยียน ต่อให้ได้เป็นสาวใช้ทงฝังแล้วอย่างไร มีบุตรแล้วอย่างไร แค่ตาย ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย


 


 


เจินเมี่ยวไม่ทราบเรื่องราวมากมายเพียงนี้ จึงอุ้มหยอกล้อหยวนหยวนต่อไป นิ้วเรียวเล็กนั้นขาวราวกับหยกล้ำค่าไม่ต่างอันใดกับผิวทารกเลย แต่เล็บที่ทาเป็นสีน้ำเงินนั้นสวยงามแปลกตายิ่งจึงดึงดูดสายตาคนไปอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เจินหนิงส่งสายตาให้แม่นมไปรับหยวนหยวนมา แล้วเอ่ยว่า “เล็บของน้องสี่ช่างงามนัก คิดไม่ถึงว่าจะมีสีน้ำเงินเช่นนี้ด้วย”


 


 


“ไท่เฟยทาให้ข้าวันที่ไปเข้าเฝ้าในวังเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวมองนิ้วมือตนแล้วก็รู้สึกว่าสีช่างโดดเด่นดึงดูดสายตาคนไม่น้อย มิทราบจริงๆ ว่าไท่เฟยได้ความคิดอันน่าอัศจรรย์นี้มาจากที่ใด


 


 


“ไท่เฟย? นานแล้วที่ข้ามิได้พบท่านย่าท่านนั้น” สายตาของเจินหนิงร่วงตกไปที่นิ้วมือขาวผ่องนั้น


 


 


เล็บสีน้ำเงินงดงามนั้นดั่งแม่น้ำอันสงบนิ่งกว้างใหญ่ที่ถูกแสงตะวันสาดส่องขับให้ผิวพรรณผ่องดุจน้ำแข็งดั่งหิมะ


 


 


ไท่เฟยจักต้องมอบเคล็ดลับการดูแลผิวให้กับน้องสี่แล้วเป็นแน่


 


 


เจินหนิงรู้สึกอิจฉาโชควาสนาของเจินเมี่ยวยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น


 


 


คนเช่นไท่เฟยหากมิเห็นเจ้าอยู่ในสายตา ต่อให้เจ้าขอร้องอ้อนวอนเท่าใดก็ไม่มีทางเผยสิ่งใดให้เจ้าเก็บไปใช้ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว


 


 


เรื่องนี้แม้นอ้อนวอนขอร้องก็ไม่มีทางได้มา


 


 


น้องสี่นั้นมีรูปโฉมคล้ายกับไท่เฟยยิ่ง หลังจากที่นางให้กำเนิดบุตรสาวแล้วจึงเข้าใจขึ้นมา บางทีไท่เฟยอาจเห็นน้องสี่เป็นองค์หญิงอิ๋งเย่ว์ที่อภิเษกไปอยู่ที่ไกลแสนไกล


 


 


รูปโฉมของคนผู้หนึ่งอยู่ที่โชคชะตาลิขิต นางมิจำเป็นต้องไปอิจฉาลิขิตสวรรค์


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่าทีที่เจินหนิงมีต่อเจินเมี่ยวกลับดูสนิทชิดเชื้อกว่าที่ผ่านมามากขึ้นอีกสักหน่อย


 


 


เจินเมี่ยวอยู่พูดคุยกับฉงสี่เซี่ยนจู่พักใหญ่จึงลากลับ


 


 


เมื่อพ้นประตูมาฉงสี่เซี่ยนจู่ก็พาเจินเมี่ยวไปที่เรือนของนาง


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าสหายสนิท เจินเมี่ยวจึงรู้สึกเป็นอิสระอย่างแท้จริง


 


 


“มีขนมอันใดหรือไม่ เมื่อเช้ากินมาน้อย รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย”


 


 


“มา เรามาประลองฝีมือกันสักคราก่อน” ฉงสี่เซี่ยนจู่นั่งลงอย่างเรียบร้อย


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเจินเมี่ยวแข็งค้างไปโดยพลัน แล้วกระโดดผลุงขึ้นมาทันที ภายใต้แววตาที่แฝงความแปลกใจจางๆ นั้น เจินเมี่ยวก็ยิ้มแห้งๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องที่ต้องทำเล็กน้อย ครั้งหน้าแล้วกัน ครั้งหน้าเถิด”


 


 


พอพบหน้าก็จะเดินหมากรุกท่าเดียว ช่วยเป็นสหายที่ทำเรื่องเบิกบานใจให้กันได้หรือไม่!


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เลื่อนหมากรุกไปไว้ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจินเมี่ว หากเจ้ามิเดินหมากกับข้าตอนนี้ เกรงว่าภายหน้าคงไม่มีโอกาสแล้ว”


 


 


“มีอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวหุบยิ้ม แล้วมองฉงสี่เซี่ยนจู่ด้วยความกังวลใจ


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่สะบัดแขนเสื้อตนคราหนึ่ง สาวใช้ทั้งหลายต่างถอยออกไป แล้วจึงเอ่ยระเรื่อยว่า “ข้าคิดจะหนีงานแต่งงาน”


 


 


“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวเกือบจะพ่นชาที่อยู่ในปากออกมา


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าฉงสี่เซี่ยนจู่ยังคงนิ่งเฉย จึงอดถอนหายใจออกมามิได้ “เซี่ยนจู่ หัวข้ออันน่าตกใจเช่นนี้ ท่านกลับเอ่ยได้หน้าตาเฉยถึงเพียงนี้ มันดีแล้วจริงๆ หรือ?”


 


 


“ข้าพูดจริงๆ” ฉงสี่เซี่ยนจู่นั่งตัวตรง เลิกคิ้วขึ้น “เอาล่ะ ข้ารู้สึกเครียดยิ่ง ทั้งลังเล ทั้งไม่รู้จะทำเช่นใด เช่นนี้พอใจหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวไร้หนทางที่จะไปต่อว่าท่าทีนิ่งเฉยของฉงสี่เซี่ยนจู่แล้ว นางบีบถ้วยชาแน่นพลางถามว่า “เกิดอันใดขึ้นกันแน่?”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่จัดวางหมากลงไปบนกระดาษตามใจ


 


 


เบี้ยสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจนนั้นขับเน้นให้มือเรียวเสลาของนางดูเย็นเยียบดุจน้ำแข็งก็มิปาน


 


 


“ซูเฟยแสดงพระประสงค์ให้ข้าเป็นพระชายาขององค์ชายห้า ทั้งยังพูดคุยกับพระมารดาข้าแล้ว”


 


 


“องค์ชายห้ามีคู่หมายแล้วมิใช่หรือ?” ตั้งแต่เจินเมี่ยวแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงก็พอจะทราบเรื่องในพระบรมวงศานุวงศ์อยู่บ้าง


 


 


องค์ชายที่ทรงเจริญพรรษาแล้วหลายพระองค์มีเพียงองค์ชายห้าและองค์ชายหกที่ยังไม่อภิเษก แต่มีคู่หมายแล้วเรียบร้อย


 


 


คู่หมั้นขององค์ชายหกคือจ้าวเฟยชุ่ย หลานสาวของจ้าวหวงโฮ่ว ส่วนคู่หมั้นขององค์ชายห้าคล้ายว่าจะเป็นบุตรสาวของราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลิน


 


 


สตรีในตระกูลบัณฑิตกับตระกูลผู้มีบรรดาศักดิ์สมาคมกันน้อยยิ่ง นางจึงไม่มีโอกาสได้พบปะ


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่หัวเราะแผ่วเบา “คู่หมั้นของพี่ห้า บังเอิญป่วยตายไปอย่างกะทันหันเมื่อไม่กี่วันนี้เอง”


 


 


หากมิเป็นเช่นนี้จะมาขอหมั้นหมายนางได้อย่างไร


 


 


พระมารดาไม่พูด แต่นางมีหรือจะไม่รู้ รัชทายาทสูญเสียความรักใคร่เอ็นดูจากฮ่องเต้ในเหตุการณ์ที่เป่ยเหอ แม้นยามนี้จะกลับมาเหมือนเดิมแล้วแต่อย่างไรก็ยังมีช่องว่างอยู่ บรรดาองค์ชายและพระมารดาของพวกเขาจะเคลื่อนไหวอันใดบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก


 


 


เมื่อมีใจทะเยอทะยาน บุตรสาวของราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลินซึ่งเป็นขุนนางขั้นหกไหนเลยจะมาเป็นพระชายาขององค์ชายได้


 


 


หากไม่มีโอกาสให้คว้าไว้ คิดเป็นเพียงอ๋องที่มั่งคั่งผู้หนึ่งย่อมต้องการแต่งบุตรสาวตระกูลบัณฑิตที่มีคุณธรรมสูงส่งเป็นธรรมดา แต่เมื่อมีใจคิดชิงตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ย่อมต้องเลือกบุตรสาวของจั่งกงจู่ที่ได้รับการให้เกียรติอย่างยิ่งจากฝ่าบาทจึงจะเหมาะสมกว่า


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่หัวเราะเยาะตน แล้วดื่มชาไปอึกหนึ่ง


 


 


“เช่นนั้นท่านก็มิจำเป็นต้องหนีการแต่งงานเสียหน่อย หากไม่ยินยอมก็ให้จั่งกงจู่ปฏิเสธไปเสีย”


 


 


“พระมารดาคงมิปฏิเสธดอก”


 


 


“เพราะเหตุใด?” เจินเมี่ยวไม่เข้าใจอยู่บ้าง


 


 


จั่งกงจู่มีฐานะสูงส่ง หากบุตรสาวมิยินยอมก็จะบังคับนางให้ได้งั้นหรือ


 


 


“ตอนนี้ข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว หากมิแต่งเสียทีก็คงต้องม้วยมลายในฝ่ามือพระมารดาแน่” ฉงสี่เซี่ยนจู่แบมือออกทั้งสองข้าง


 


 


เจินเมี่ยวมิอาจไม่ยอมรับว่า อายุเท่าฉงสี่เซี่ยนจู่แต่ยังมิแต่งงาน ไม่มีคู่หมั้น นับว่าเป็นสตรีที่อายุมากแล้วจริงๆ


 


 


ก่อนหน้านั้นนางก็มิเคยใส่ใจเรื่องนี้เลย


 


 


อืม…เมื่อมาคิดให้ถี่ถ้วน ตลอดเวลาที่พบปะกับฉงสี่เซี่ยนจู่และชูสยาจวิ้นจู่ หากมิใช่ทำอาหารอยู่ในครัวก็อยู่ระหว่างทางไปห้องครัว


 


 


แค่กๆ หัวข้อสนทนาอื่นๆ จึงไม่มีโอกาสได้พูดถึงเลย


 


 


“เซี่ยนจู่ก็ใช่จะต้องแต่งกับองค์ชายห้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเสียหน่อย”


 


 


ในที่สุดฉงสี่เซี่ยนจู่ก็ถอนหายใจออกมา “ต้องตำหนิที่ตอนยังเยาว์ข้าไม่รู้ความ เอาแต่คิดว่าจะไปกวนอูภาคสตรีแล้วกลายเป็นเซียน ผู้คนเหล่านั้นที่มักมาหาพระมารดาจึงทราบเรื่องนี้เข้า พวกเขาคงกลัวว่าข้าจะดูแลจัดการเรือนไม่ได้กระมัง ทั้งด้วยตำแหน่งของพระมารดาจึงมิกล้าแต่งข้าเข้าเรือน…”


 


 


เจินเมี่ยวเข้าใจในทันที


 


 


“แค่กๆ เมื่อเยาว์วัยผู้ใดไม่เคยคิดฟุ้งซ่านบ้าง หากคนพวกนั้นคิดเล็กคิดน้อยกระทั่งกับวาจาของเด็กน้อยก็คงจะใจแคบเกินไปแล้วกระมัง”


 


 


“อืม แต่มันสำคัญตรงที่ตอนนั้นข้าช่างไม่รู้ความนัก ถึงกับไม่รู้จักปิดบังความคิดตน แต่ตอนนี้ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่”


 


 


เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตน


 


 


ที่แท้คำว่าไม่รู้ความก็หมายความเช่นนี้เองหรือ!


 


 


เมื่อมองใบหน้าอันนิ่งเฉยของฉงสี่เซี่ยนจู่แล้วก็ได้ลอบกลืนโลหิตในปากลงคอไป


 


 


เซี่ยนจู่ ที่แท้ท่านเป็นบุคคลผู้ลุ่มหลงตนอยู่ลึกๆ นี่เอง มิน่าเล่าจั่งกงจู่จึงได้กลัวว่าท่านจะม้วยมลายอยู่ใต้ฝ่ามือตน!


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เป็นผู้เหย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี ฉงสี่เซียนจู่เป็นผู้ลุ่มหลงในตน นางที่เป็นคนปกติธรรมดาเหตุใดจึงมาเป็นสหายกับพวกนางได้เล่า?


 


 


“ในบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหมด ข้าสนิทกับพี่ห้าที่สุดมาตั้งแต่เยาว์ ดังนั้น พระมารดาควรเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างที่สุด”


 


 


“มีความรู้สึกที่ดี อาจจะพัฒนาต่อไปได้มิใช่หรือ? อย่างไรก็ดีกว่าแต่งให้กับคนแปลกหน้ากระมัง?”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่หลุบตาลงทอดถอนใจ “แต่ข้ามีความรู้สึกกับพี่ห้าดั่งพี่น้อง แค่คิดว่าต้องแต่งกับเขา ก็คล้ายกำลังจะแต่งกับพี่ชายแท้ๆ ตนกระนั้น เช่นนี้ไม่สู้แต่งให้คนแปลกหน้าดีกว่า”


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวคล้ายมิอาจเข้าใจนางได้จึงเอ่ยเปรียบเปรยว่า “เจ้าลองคิดดู หากให้เจ้าแต่งกับพี่ใหญ่เจ้า…”


 


 


“อุ๊บ…” เจินเมี่ยวสะอึกขึ้นมาทันที “เซี่ยนจู่ ท่านต้องยกข้าไปเปรียบให้ได้เลยใช่หรือไม่?”


 


 


แต่เช่นนี้นางกลับเข้าใจความรู้สึกของฉงสี่เซี่ยนจู่ได้จริงๆ แล้ว


 


 


“เช่นนั้น มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่?”


 


 


“ไม่มี ข้าเพียงบอกเจ้าไว้ก่อนเท่านั้น เจ้าจะได้มิต้องกังวล”


 


 


เจินเมี่ยว “…”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ค่อยๆ เก็บเบี้ยลงในกล่องไม้ดอกหลี่ทีละชิ้นๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เจินเมี่ยว ครานี้เจ้าคงยังมิได้รับปูนบำเหน็จใดๆ กระมัง?”


 


 


“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า


 


 


“คิดว่าคงต้องรอให้ชูสยากลับมาก่อนกระมัง” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยอย่างมีความคิดอันล้ำลึก


 


 


หลังจากนั้นไม่กี่วันชูสยาก็กลับมาถึงเมืองหลวง เมื่อไปเข้าเฝ้าแล้วก็ตรงมายังจวนเจิ้นกั๋วกงทันที


 


 


เมื่อคนทั้งสองพบหน้ากัน ความครึกครื้นก็เกิดขึ้นอีกครา


 


 


ทั้งสองต่างเล่าเรื่องของตนให้อีกฝ่ายฟัง แล้วเจินเมี่ยวจึงถามว่า “องค์หญิง ข้ามีสาวใช้ผู้หนึ่งนามว่าชิงไต้ ตอนที่คุณชายสามเข้าเมืองหลวงมาก็บอกข้าว่านางตัวไปแล้ว ทั้งตามหามิเจอแล้ว?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่แค่นเสียงเย็น “สาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้นเจ้ากลับจำได้แม่น”


 


 


“แค่ถามไปตามปากเท่านั้นแล” เจินเมี่ยวเอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเล


 


 


กับองค์หญิงพระองค์นี้ นางนับว่ามีประสบการณ์ต่อกรมากขึ้นทุกวันแล้ว


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่จึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วขยับเข้ามาใกล้พลางเอ่ยด้วยท่าทีมีลับลม “คุณหนูสี่สกุลเจิน ข้ามีความลับอยากจะบอกกับเจ้า”


 


 


เจินเมี่ยวใจเต้นขึ้นมา


 


 


อย่าทำเช่นนี้เลย ตอนนี้นางกลัวการได้ฟังความลับมากที่สุด ตั้งแต่ทราบว่าฉงสี่เซี่ยนจู่มีความคิดที่จะหนีการแต่งงาน นางก็คล้ายเกิดความหวาดกลัวกับเรื่องพวกนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ข้าช่วยได้หรือไม่?” เจินเมี่ยวเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ครุ่นคิดคราหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่”


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่ต้องบอกข้าจะดีกว่า” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างไร้ไมตรี


 


 


“ไม่ได้ ข้าคงต้องอึดอัดตายแน่ หากมิได้พูดกับเจ้าจะพูดกับผู้ใดได้เล่า เจ้าต้องฟัง” ชูสยาจวิ้นจู่หยิกแก้มเจินเมี่ยวโดยแรงคราหนึ่ง


 


 


“ท่านว่ามาเถิด” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างไร้หนทางจะต่อต้าน


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงกดต่ำว่า “คุณหนูสี่ ข้าคิดว่าข้าชอบท่านลุงรองของเจ้าเข้าแล้ว”


 


 


เสียงพลั่กดังขึ้น เจินเมี่ยวล้มคว่ำตกลงมาจากเก้าอี้คนงามเสียแล้ว


 


 


นางปีนขึ้นเก้าอี้อย่างอเนจอนาถแล้วจับแขนชูสยาจวิ้นจู่ไว้ “ชู…ชูสยา ลุงรองของข้าอายุจะสี่สิบแล้ว!”


 


 


“ข้ารู้”


 


 


“ญาติผู้น้องของข้าทั้งสองคนก็อายุน้อยกว่าท่านไม่กี่ปี แม้นภรรยาของลุงรองจะตระหนี่และใจแคบแต่สุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งสามารถอยู่กับท่านลุงรองข้าตลอดไปได้อย่างไม่มีปัญหา ท่านคงไม่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในจวนแน่!”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลอกตาไปมา “เรื่องพวกนี้ข้าทราบดี อีกอย่างข้าก็มีคู่หมั้นแล้ว จะไปอยู่ในจวนเจ้าได้อย่างไร? ทั้งข้ายังเป็นองค์หญิง ไปเป็นอนุเช่นนั้นมิใช่เป็นเรื่องน่าขบขันยิ่งหรอกหรือ?”


 


 


“เช่นนั้น…ท่าน…”


 


 


“ข้าแค่ชอบบุรุษท่าทีเช่นลุงรองของเจ้าเท่านั้น มิได้บอกว่าจะไปเป็นอันใดกับเขาเสียหน่อย”


 


 


เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลับแปลกใจขึ้นมา “คุณหนูสี่ เจ้ามิแปลกใจสักนิดว่าเหตุใดข้าจึงชอบท่านลุงรองเจ้า แต่กลับห่วงเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้พวกนี้หรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวหัวเราะแห้งๆ คราหนึ่ง


 


 


เรื่องนี้มีอันใดแปลกประหลาดกัน หากมิใช่ลุงรองของนาง นางก็ชมชอบเช่นกัน!


 


 


ขอเพียงมั่นใจว่าชูสยาจวิ้นจู่มีผู้มีความกล้าสูงเทียบฟ้าจะมิคิดทำเรื่องอันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน นางก็วางใจแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 230

 

ชูสยาจวิ้นจู่หรี่ตามองเจินเมี่ยว


 


 


บุคคลที่มีอุปนิสัยตรงไปตรงมามักเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลม นางอดเบิกตากว้างขึ้นมิได้ “ข้าว่า เจ้า…เจ้าคงมิได้ชมชอบลุงรองของตนเช่นกันกระมัง?”


 


 


“แหะๆ” เจินเมี่ยวหัวเราะแห้งๆ ต่อไป


 


 


‘ไม่ชอบ’ วาจาที่ขัดกับใจตนเช่นนี้ นางพูดไม่ออกจริงๆ


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลับสูดลมหายใจเข้าปาก แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าเป็นเช่นนี้ ซื่อจื่อทราบหรือไม่?”


 


 


เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกังวล “คุณหนูสี่ ข้าเป็นห่วงเหลือเกิน กลัวว่าเมื่อไปถึงดินแดนหมานเว่ยก็จะได้รับข่าวว่าเจ้าถูกขังอยู่ในกรงสุกร…”


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาอย่างไม่รักษาความสง่างามใดๆ ไว้เช่นกัน “ข้าแค่ชอบในฐานะผู้น้อยกับผู้อาวุโส ท่านคิดมากเกินไปแล้ว หรือท่านไม่ใช่?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ที่พูดจาตรงไปตรงมาอยู่เสมอถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ


 


 


ครานี้เจินเมี่ยวเริ่มกังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางเก็บน้ำเสียงเย้าแหย่นั้นไว้แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ชูสยา ข้าเป็นกังวลยิ่ง กลัวว่าท่านชมชอบลุงรองข้าแล้ว ต่อไปหากมิสามารถชมชอบบุรุษอื่นได้อีกจะทำฉันใด? เช่นนั้นตระกูลเจินของข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านยิ่งแล้ว”


 


 


เมื่อได้ฟังประโยคแรกชูสยาจวิ้นจู่ก็รู้สึกเศร้าเสียใจอยู่บ้างแต่เมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายกลับหลุดหัวเราะออกมา “ฮึ พูดประหนึ่งว่าบุรุษดีมีเพียงตระกูลเจินของเจ้ากระนั้น เจ้าวางใจ ข้ามิใช่สตรีที่หากมิได้ในสิ่งที่ต้องการก็จะเป็นจะตายให้ได้เช่นนั้น เติบใหญ่เพียงนี้แล้ว แค่ได้มีโอกาสรับรู้ถึงความรู้สึกชอบใครสักคนอย่างจริงใจสักคราก็เพียงพอแล้ว อีกอย่าง ผู้ใดก็ไม่สามารถกำหนดได้ว่าต่อไปข้าจะชอบบุรุษอื่นมิได้อีก”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เป็นคนเย่อหยิ่งเข้มแข็ง เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยเจินเมี่ยวก็วางใจได้ว่านางจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาอันใดออกมาจึงอดผ่อนลมหายใจออกมามิได้


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลับอดหยิกแก้มเจินเมี่ยวมิได้ “คุณหนูสี่ โชคดีที่ข้ายังพอพูดกับเจ้าได้ เจ้าไม่มีทางขบขันความคิดอันแปลกพิลึกนี้ของข้า”


 


 


“แหะๆ ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็ไม่มีทางทำเช่นนั้นเหมือนกัน”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า “ใช่ นางยังมีความคิดพิสดารกว่าข้าเสียอีก”


 


 


เจินเมี่ยว “…”


 


 


มีสหายเช่นนี้ถึงสองคนก็มากพอแล้วจริงๆ!


 


 


เจินเมี่ยวที่กังวลแทนสหายมาหลายวันก็มีเรื่องที่ทำให้ตนต้องยุ่งยากใจเช่นกัน


 


 


นานมากแล้วที่มิได้พบหน้าซื่อจื่อ


 


 


วันปกติทั่วไปก็มิเป็นไร แต่อย่างไรวันที่ลุงรองและพี่ใหญ่กลับถึงจวนก็ต้องไปเยี่ยมขอบคุณด้วยกัน


 


 


“ไป่หลิงเจ้าไปสอบถามดูสักหน่อยว่าวันนี้ซื่อจื่อกลับมาหรือไม่”


 


 


“เจ้าค่ะ” ไป่หลิงรับคำแล้วหมุนตัวออกจากประตูไปก็พบกับเจี้ยงจูที่อุ้มจิ่นเหยียนเดินเข้ามาพอดี


 


 


ไป่หลิงอดยิ้มขึ้นมามิได้ “เจี้ยงจู ได้เจ้าไปดูแล จิ่นเหยียนนับวันก็ยิ่งรู้ความ”


 


 


แม้นเจี้ยงจูอายุยังน้อยแต่กลับสุขุมยิ่ง นางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พี่ไป่หลิงชมเกินไปแล้ว มันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว”


 


 


คนทั้งสองเดินสวนกันไป เจี้ยงจูย่อกายคารวะ “ต้าไหน่ไหน่”


 


 


เจินเมี่ยวดวงตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วกวักมือเรียก “จิ่นเหยียน มานี่”


 


 


สองสามวันที่มีเวลาว่างนี้นางก็จะไปเล่นกับจิ่นเหยียนทุกวันเพื่อฆ่าเวลา


 


 


เจี้ยงจูส่งจิ่นเหยียนให้นาง แล้วยืนนิ่งเงียบอยู่ในมุมหนึ่งคล้ายมิได้อยู่ที่นั่นก็มิปาน


 


 


นางมารับหน้าที่เป็นสาวใช้ขั้นสามแทนเสี่ยวฉานได้สักพักใหญ่แล้ว กระทำเรื่องราวใดล้วนจริงจังตั้งใจ ไม่มีความลนลานอย่างสาวน้อยทั่วไป เจินเมี่ยวพอใจอย่างยิ่ง จื่อซูเองก็คาดหวังว่าจะฝึกฝนนางเพื่อรับหน้าที่ต่อจากตนในอนาคต


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าจื่อซูอายุมากแล้ว ภายในสองปีนี้ต้องปล่อยนางไปแล้ว ถึงตอนนั้นหนึ่งในสาวใช้ขั้นสองต้องเลื่อนขึ้นมาเป็นขั้นหนึ่งแล้วให้เจี้ยงจูเลื่อนเป็นสาวใช้ขั้นสองแทน


 


 


“แม่นางคนงาม แม่นางคนงาม…” จิ่นเหยี่ยนเอ่ยปากด้วยท่าทีองอาจ


 


 


เจินเมี่ยวคุ้นชินเสียแล้ว นางยิ้มตาหยีแล้วเคาะหัวจิ่นเหยียนคราหนึ่ง “พ่อจอมยุทธหนุ่ม คิดถึงข้าแล้วหรือ?”


 


 


จิ่นเหยียนมิชอบฟังคำนี้จึงพองขนตนขึ้นมาทันใด


 


 


ประจวบเหมาะกับเจี้ยงจูส่งถ้วยชายื่นมาพอดี มันจึงเตะจนถ้วยช้าร่วงตก


 


 


ถ้วยชาร่วงตกลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


เจี้ยงจูหน้าตึงไปทันใด นางรีบคุกเข่าลงเก็บทันที ภายใต้ความโกลาหลนั้นจึงทำเศษกระเบื้องบาดมือตน โลหิตไหลออกมาทันใด


 


 


“ระวังด้วย” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับ


 


 


ภายในห้องนั้นมีจื่อซูคอยปรนนิบัติอยู่ด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


ปกติเจี้ยงจูสุขุมยิ่ง เหตุใดวันนี้จึงสะเพร่าเช่นนี้ได้


 


 


เจินเมี่ยวเห็นบรรยากาศตึงเครียดก็อดต่อว่าด้วยรอยยิ้มมิได้ว่า “จิ่นเหยียน เจ้าดูสิ เจ้าก่อเรื่องอีกแล้ว ทำให้เจี้ยงจูได้รับบาดเจ็บที่มือจนได้ เสียทีที่นางคอยปรนนิบัติเจ้าอยู่ทุกวัน”


 


 


จิ่นเหยียนกลอกตาไปมามิไยดีต่อเจินเมี่ยวสักนิด


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ นางรู้ว่าเจ้านกเอี้ยงก้นลายนี้โกรธที่นางเรียกมันว่า ‘จอมยุทธหนุ่ม’


 


 


ช่างขี้โมโหจริงๆ!


 


 


เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพอดี เมื่อเห็นสภาพห้องก็เอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องตกใจ “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านถึงได้เลียนแบบท่านอาสี่เล่า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลูบหนวดเคราที่ขึ้นเต็มหน้าตนแล้วรู้สึกประหม่าขึ้นมา “แย่มากเลยหรือ? หลายวันมานี่ข้ายุ่งเหลือเกินจึงไม่มีเวลาจัดการมัน”


 


 


แล้วโบกสะบัดมือคราหนึ่ง “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”


 


 


สาวใช้หลายคนได้ยินต่างก็ถอยออกไป อาจเพราะเจี้ยงจูมัวแต่ใส่ใจกับการเก็บเศษถ้วยชาจึงลืมจิ่นเหยียนไป


 


 


ชั่วขณะภายในห้องก็เหลือเพียงคนสองคนกับนกหนึ่งตัว


 


 


หลัวเทียนเฉิงชี้ไปยังจิ่นเหยียนอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าด้วย”


 


 


จิ่นเหยียนกระพือปีกคราหนึ่งแล้วบินขึ้นไปบนคานห้อง มันกลอกตาไปมา ไม่มีท่าทีจะจากไปสักเล็กน้อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องตากับมันไปมาอยู่นาน ในที่สุดก็ปลง


 


 


เขาจะมาทะเลาะอันใดกับสัตว์เดรัจฉานมีปีกตัวหนึ่ง


 


 


“ยุ่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบหน้ากันหลังที่หลัวเทียนเฉิงได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน


 


 


เจินเมี่ยวพบว่าไม่เพียงใบหน้าที่มีแต่หนวดเครา แม้แต่ดวงตายังแดงก่ำ มิทราบว่าเขาผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร


 


 


เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงมิอยากพูดให้มากความ จึงเพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เพิ่งรับตำแหน่งจึงมีเรื่องให้จัดการมากสักหน่อย”


 


 


เจินเมี่ยวทราบดีว่าแม้นจะได้เลื่อนตำแหน่งแต่ก็มิได้ยุ่งถึงขั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะโกนหนวด ทว่านางกลับมิถามให้มากความเช่นกัน


 


 


แม้แต่เรื่องในเรือนหลังนางยังมิทราบละเอียดไปทุกอย่าง นับประสาอันใดกับเรื่องในราชสำนักเล่า


 


 


เมื่อเห็นนางมิไต่ถามอีก หลัวเทียนเฉิงกลับดึงนางเข้าสู้อ้อมอก “อาซื่อ เจ้าตำหนิข้าหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา “จะตำหนิท่านทำไมเล่า ข้ามิอาจแบ่งเบาภาระท่านได้ แต่อย่างน้อยก็ยังเชื่อใจท่านได้มิใช่หรือ”


 


 


มิได้พบกันหลายวัน ทั้งยังยุ่งวุ่นวายอย่างที่สุดในทุกๆ วัน เมื่อได้ยินวาจาเช่นนี้หลัวเทียนเฉิงกลับใจเต้นขึ้นมา จึงกระชับอ้อมกอดตนแล้วก้มหน้าลงอย่างอดมิได้


 


 


“อย่า…” เจินเมี่ยวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที


 


 


“มีอันใดหรือ?”


 


 


“ข้าพาลนึกถึงแต่ท่านอาสี่!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงปล่อยมือด้วยใบหน้าดำคล้ำทันที


 


 


เสียงร้องอันแหลมสูงนั้นดังขึ้น หลัวเทียนเฉิงเงยหน้ามองก็ต้องโกรธจนกัดฟันไว้


 


 


เจ้าสัตว์มีขนนั้น…ดูอย่างไรก็คล้ายกำลังหัวเราะเยาะเขา!


 


 


ความวาบหวามในใจพลันมลายหายไปทันที เขาเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “อาซื่อ เราไปจวนเจี้ยนอานปั๋วด้วยกันเถิด ตอนกลับข้าก็จะไปที่ศาลาว่าการเลย”


 


 


“อ้อ…อืม”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจัดการตนเองให้เป็นคนใหม่อย่างรวดเร็ว เจินเมี่ยวทราบว่าในสองสามวันนี้ต้องได้ไปจวนปั๋ว จึงเตรียมของขวัญทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว คนทั้งสองออกจากจวนทันทีอย่างไม่รอช้า


 


 


ครานี้อาหู่เป็นผู้ควบรถม้าเช่นเดิม อาจเพราะเขามาจากหุบเขากระทำเรื่องใดจึงคล่องแคล่วยิ่ง เขาควบรถม้าเพียงสองคราก็ดูทะมัดทะแมงยิ่งแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงนึกถึงฝีมือการยิงหน้าไม้ของอาหู่แล้วก็เอ่ยว่า “อาหู่ มิสู้ตามข้าไปอยู่หน่วยองครักษ์           จิ่นหลินเถิด”


 


 


หน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นมีชาวบ้านที่แข็งแกร่งกำยำมาเสริมทัพด้วยเช่นกัน ด้วยฐานะของ     หลัวเทียนเฉิงเขาเพียงจัดการเล็กน้อยทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาใดแล้ว


 


 


อาหู่พลันส่ายหน้าโดยแรง “ข้าจะเป็นคนขับรถม้าให้พี่สาว”


 


 


หัวเทียนเฉิงทำหน้าปั้นปึ่ง


 


 


เจ้าเด็กหนุ่มนี่คงมิคิดจะตีท้ายครัวเขากระมัง?


 


 


“ฝีมือเจ้าเพียงเท่านี้ มิได้ดอก รอให้ฝึกจนเชี่ยวชาญกว่านี้ค่อยกลับมา”


 


 


“ข้ายิงหน้าไม้แม่นยำยิ่ง!” อาหู่มีสีหน้ามิยินยอม “ข้าจะติดตามพี่สาว”


 


 


พี่สาวทำอาหารอร่อยเหลือเกิน อร่อยกว่าท่านแม่เสียอีก!


 


 


เส้นโลหิตตรงขมับหลัวเทียนเฉิงกระตุกไม่หยุด


 


 


จักต้องไล่เจ้าเด็กนี่ไปให้ได้!


 


 


เขาเลิกคิ้วแล้วกวาดตามองก็เห็นชิงเกอที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างเจินเมี่ยวจึงอดยิ้มออกมามิได้ “อาหู่ แรงของเจ้าไม่สู้กระทั่งชิงเกอแล้วจะปกป้องพี่สาวได้อย่างไร?”


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร!” อาหู่เพิ่งจะครบสิบสี่ กำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็มิอาจอยู่สุขได้ “นาง นางเป็นสตรีทั้งยังอายุน้อยกว่าข้าอีก!”


 


 


“ชิงเกอ เจ้าไปงัดข้อกับอาหู่สักหน่อย หากชนะข้าจะให้รางวัลเจ้า” หลัวเทียนเฉิงหยิบเบี้ยเงินขึ้นมา


 


 


ชิงเกอเอ่ยด้วยสีหน้าพาซื่อว่า “บ่าวไม่ต้องการเงินเจ้าค่ะ หากชนะบ่าวอยากจะกินหมานโถวไส้เนื้อที่ต้าไหน่ไหน่ทำ”


 


 


เจินเมี่ยวกำลังชมความสนุกอยู่ เมื่อได้ยินก็อึ้งงันไป แต่ก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ได้ ผู้ใดชนะก็จะได้กินหมานโถวไส้เนื้อ ผู้ใดแพ้เอาเงินไป”


 


 


อาหู่กับชิงเกอพลันยกมือขึ้นถูไถหมัดตนไปมา ประกายไฟสว่างวาบไปทั่วทิศ ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ฮึ ข้าต้องชนะแน่!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่บีบเงินไว้อยู่นั้นได้แต่ลอบกระอักโลหิต


 


 


เพื่อการประลองครานี้ อาหู่จึงขับรถม้าไปเทียบไว้ข้างทาง ชิงเกอปีนออกมาจากรถม้ามานั่งลงข้างเขา แล้วยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว


 


 


หนุ่มน้อยเอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “หมายความว่าเช่นใด?”


 


 


“ให้เจ้าใช้สองมือข้าใช้มือเดียว”


 


 


หนุ่มน้อยโมโหขึ้นมาทันที “ข้าใช้สองนิ้วให้เจ้าใช้มือเดียว! ไม่…เจ้าใช้สองมือเลย”


 


 


ครู่หนึ่งชิงเกอจึงถามว่า “ยังจะให้ข้าใช้สองมืออยู่หรือไม่?”


 


 


หนุ่มน้อยกลั้นอาการหน้าแดงตนไว้ เหงื่อซึมทั่วหน้า “ไม่ ใช้มือเดียวแล้วกัน”


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หนุ่มน้อยก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสองนิ้วเป็นหนึ่งฝ่ามือ


 


 


ครั้นผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ชิงเกอจึงเอ่ยหน้าตายว่า “บอกแล้วว่าให้เจ้าใช้สองมือ ข้าใช้สองนิ้ว”


 


 


หนุ่มน้อยที่ใช้สองมืองัดข้อกับผู้อื่นที่ใช้เพียงสองนิ้วก็ยังคงพ่ายแพ้ ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา


 


 


ชิงเกอมุดเข้าไปในรถม้าด้วยความพอใจ


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอคราหนึ่ง “อาหู่ เจ้าไปฝึกฝนฝีมือให้ดีก่อนเถิด แม้แต่แม่นางน้อยผู้หนึ่งเจ้ายังเอาชนะไม่ได้แล้วจะปกป้องพี่สาวได้อย่างไร?”


 


 


อาหู่พยักหน้าด้วยน้ำตานองหน้า


 


 


เขาอ่อนแอถึงเพียงนี้ ช่างรู้สึกมิคู่ควรกับหมานโถวไส้เนื้อของพี่สาวจริงๆ! เขาจักต้องฝึกฝนตนให้ดีแล้วค่อยกลับมาเป็นคนควบรถม้าให้พี่สาว


 


 


“หลัวซื่อจื่อ รถม้าเสียหรือไร?” เสียงหนึ่งดังลอยมา ตามติดด้วยคนผู้หนึ่งที่ควบม้าเข้ามาใกล้


 


 


“องค์ชายหก รถมิได้เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม คนทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มให้กันอย่างรู้ดีแก่ใจ


 


 


ยามนี้เขาจะมีตำแหน่งใหญ่โตยิ่ง ไม่ว่าว่าเขาหรือองค์ชายหกต่างก็ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน มิเช่นนั้นพรุ่งนี้คงมีฎีกาต่อว่าองค์ชายหกยื่นเต็มท้องพระโรงแน่


 


 


ต่อให้คนทั้งสองจะมีสัญญาเป็นการส่วนตัวต่อกันไว้นานแล้ว แต่ต่อหน้าก็ยังคงต้องรักษาระยะห่างกันเอาไว้


 


 


เจินเมี่ยวไม่ทราบลับลมของคนทั้งสองจึงได้แต่แข็งใจเดินเข้าไปถวายพระพรตามกฎระเบียบอย่างเสียมิได้


 


 


ทำอย่างไรได้ แค่เพียงเห็นองค์ชายหกก็ทำให้นางนึกถึงท่าทีโอหังของตนในวันนั้น ฉับพลันความรู้สึกไม่ดีก็วิ่งพล่านไปทั่วร่าง


 


 


องค์ชายหกมองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “วันนี้ฮูหยินดูเกรงอกเกรงใจยิ่ง”


 


 


เขาแปลกใจท่าทีของเจินเมี่ยวที่มีในวันนั้นยิ่ง ถึงกับทำเรื่องที่ตนไม่เคยคิดว่าจะทำด้วยการแอบซ่อนตัวอยู่หน้าประตูตำหนักก็เห็นว่านางเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยสีใกล้เคียงกับชุดเดิมเดินออกมา


 


 


เจินเมี่ยวช่างเคราะห์ร้ายนัก หากเป็นบุรุษอื่นคงมิเป็นอันใด แต่กลับต้องมาพบกับองค์ชายหกผู้ที่มีสตรีอยู่ในจวนเป็นกองพะเนิน เขาครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก็เข้าใจทันที ทั้งประหม่าและแปลกใจ กระทั่งอยากจะพบหน้านางอีกสักคราเพื่อเย้านางดูสักหน่อย


 


 


เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของเจินเมี่ยว องค์ชายหกก็ยิ้มด้วยความพออกพอใจ แล้วตบบ่าหลัวเทียนเฉิง “ใส่อาภรณ์สีสันสดใสเช่นนี้คงกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดากับฮูหยินกระมัง ข้าไม่รบกวนเวลาพวกเจ้าแล้ว” กล่าวจบก็ควบม้าจากไป


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงไปเยี่ยมลุงรองก็พบกับคนผู้หนึ่งอย่างเหนือความคาดหมาย…ชิงไต้สาวใช้ที่หายตัวไปตั้งแต่อยู่เป่ยเหอนั้นเอง 

 

 

 


ตอนที่ 231

 

“ชิงไต้?” เมื่อเห็นชิงไต้แต่งตัวอย่างบ่าวไพร่หนุ่ม เจินเมี่ยวก็ต้องตกใจ


 


 


ชิงไต้คุกเข่าลง “ซื่อจื่อ บ่าวมิได้คุ้มครองฮูหยินให้ดี ขอท่านโปรดลงโทษด้วย”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองสาวใช้ที่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวขึ้นผู้นี้ก็ผลิยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้คงมิอาจตำหนิเจ้า”


 


 


ชิงไต้ลุกขึ้นแล้วเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวอย่างเรียบร้อย


 


 


เจินเมี่ยวทราบดีว่าชิงไต้อย่างไรก็เป็นสาวใช้ของหลัวเทียนเฉิงทั้งมิได้ถือสาที่นางเห็นอีกฝ่ายเป็นที่หนึ่ง จึงทำเพียงส่งยิ้มและย่อเข่าลงเพื่อแสดงความขอบคุณนายท่านรองสกุลเจิน “ลุงรอง ขอบพระคุณท่านมาก ท่านต้องลำบากออกตามหาเราอยู่นาน ทั้งยังพาชิงไต้กลับมาด้วย”


 


 


นายท่านรองสกุลเจินผลิยิ้มอ่อนโยน “พวกเจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์คิดถึงเจ้ายิ่ง วันนี้พวกนางไม่มีเรียน เจ้าไปพูดคุยกับพวกนางสักหน่อยเถิด”


 


 


อาจเพราะคุณหนูทั้งสามคนในจวนปั๋วต่างแต่งออกไปกับตระกูลสูงศักดิ์ มีเพียงบุตรอนุที่เป็นอนุ แต่ก็เป็นอนุขององค์ชาย นางหลี่ที่ชมชอบเอาชนะจึงตั้งใจเชิญอาจารย์ชื่อดังมาอบรมสั่งสอนบุตรสาวสองคนของตนเป็นพิเศษ ด้วยหวังว่าอีกสองปีให้หลังที่บุตรสาวออกเรือนไปจะสามารถโดดเด่นจนกลบความสง่างามของบรรดาพี่สาวจนหมดสิ้น


 


 


“อ้อ เจ้าค่ะ” ภายใต้สายตาอันอบอุ่นอ่อนโยนดุจสายน้ำของลุงรองผู้งดงามดั่งเทพเซียน ทำให้เจินเมี่ยวเดินจากไปอย่างเหม่อลอย


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองแล้วก็ต้องบิดเบ้มุมปากโดยแรง


 


 


สตรีโง่งมผู้นี้ถูกกีดกันให้แยกตัวไปยังไม่รู้ตัวอีก!


 


 


“เทียนเฉิง ตอนที่ชิงไต้ไปพบข้า ยังนำคนผู้หนึ่งมาด้วย นางบังเอิญจับมาได้”


 


 


หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วสีหน้ายังคงนิ่งเฉย “คนอยู่ในเรือนท่านลุงรองหรือไม่?”


 


 


นายท่านรองสกุลเจินยิ้มชื่นชม


 


 


หลานเขยผู้นี้ ช่างหายากยิ่ง มิน่าเล่าอายุยังน้อยแต่กลับได้เป็นถึงขุนนางขั้นสามกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจล้นมือ ควรต้องทราบว่ามีขุนนางมากมายเท่าใดที่อยู่ในราชสำนักมาชั่วชีวิตแต่ก็เป็นได้แค่ขุนนางขั้นสี่เท่านั้น


 


 


ขุนนางขั้นสี่กับสามนั้นดูเหมือนจะห่างกันเพียงขั้นแต่ความต่างของมันกลับไกลกันคนละฟากฟ้า ผู้ที่สามารถข้ามผ่านมาได้นั้นแทบไม่มี ยิ่งในคนอายุเท่าเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีเลย


 


 


แต่ตอนนี้แม้นจะมีคนจำนวนหนึ่งมิยอมรับแต่กลับมิกล้าแสดงออกมาอย่างชัดแจ้ง


 


 


อย่างอื่นมิต้องพูดแค่เพียงความดีที่ช่วยฝ่าบาทไว้ก็เป็นความชอบอันใหญ่หลวงยิ่งแล้ว


 


 


คุณงามความดีใดก็มิเท่าการช่วยชีวิตจักรพรรดิ ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเสบียงอาหารเสียอีก นี้มิใช่เรื่องที่พูดอย่างขอไปที


 


 


หากมีผู้ที่แคลงใจโผล่ขึ้นมา ก็เท่ากับกำลังสงสัยว่ารับสั่งของโอรสสวรรค์นั้นไม่มีค่า แล้วจะมีผู้ใดกล้าพูดจาส่งเดชเล่า


 


 


โชคดีที่หลานเขยแม้นอายุยังน้อยแต่มีตำแหน่งใหญ่โตผู้นี้กลับสามารถเก็บงำท่าทีไว้อย่างดี มิได้กระทำการวู่วามอันใด


 


 


นายท่านรองสกุลเจินไม่ปิดบังต่อไป เขาเอ่ยออกมาตามตรงว่า “ใช่ อยู่ที่นี้”


 


 


ตั้งแต่สาวใช้ที่ชื่อว่าชิงไต้มาหาเขาทั้งยังมอบคนมาไว้ในมือเขาผู้หนึ่ง เขาก็คิดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงดุจดั่งคลองลึกนั้นคงมีน้ำเสียอยู่ไม่น้อย


 


 


สาวใช้จวนกั๋วกงเดินอ้อมนายท่านรองและคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงเพื่อส่งคนมาให้เขา มันช่างทำให้คนต้องคิดวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งจริงๆ


 


 


เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงเข้าใจทุกอย่างดี


 


 


นายท่านรองสกุลเจินหลบเลี่ยงคนพวกนั้นแล้วพาชิงไต้และคนผู้นั้นกลับมาด้วย ทั้งยังใช้การธรรมเนียมการพบปะอันแสนธรรมดานี้มอบคนให้กับเขา คิดดูแล้วคงต้องใช้ความคิดไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกนับถือการเก็บกำกริยาทุกอย่างของนายท่านรองสกุลเจินยิ่ง เขานำคนกลับมาแล้วหลายวันแต่ก็มิส่งข่าวไปบอกเขาที่จวนกั๋วจงก่อน กระทั่งเมื่อครู่ที่พ่อตาและพี่ใหญ่อยู่ด้วยก็มิเผย พิรุธแม้แต่น้อย ทั้งคนผู้นั้นยังอยู่ในเรือนตนอีก


 


 


ความรอบคอบระมัดระวังเช่นนี้เขาควรเรียนรู้ไว้เช่นกัน


 


 


หนึ่งปีกว่ามานี้เขาพบว่า มิใช่ว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อเขาเข้าไปเกี่ยวข้องมันยังเกิดผลลัพธ์ที่ต่างออกไปอีกด้วย


 


 


การระมัดระวังรอบคอบนั้นเชื่อถือได้กว่าความทรงจำอันนานมาแล้วของเขาเสียอีก


 


 


หากเทียบกันแล้ว พ่อตาของเขายังทำให้เขารู้สึกจนใจยิ่ง


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่พูดคุยกับนายท่านรองสกุลเจินมากไปสักหน่อย ครั้นคิดถึงท่าทีสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปของพ่อตาตน หลัวเทียนเฉิงก็ทำได้เพียงส่ายหน้า


 


 


“คนอยู่ห้องลับในห้องตำรา ตามข้ามาเถิด”


 


 


“ทำให้ท่านลุงรองต้องลำบากแล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ


 


 


นายท่านรองสกุลเจินมองเขาแล้วหัวเราะ “ครอบครัวเดียวกันมิจำเป็นต้องเอ่ยวาจาดั่งห่างไกล เทียนเฉิงดีต่อเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าผู้เป็นลุงย่อมต้องเบิกบานใจ”


 


 


กระทั่งเดินเข้าไปในห้องลับแล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งที่ถูกมัดมือเท้าไว้ ในปากมีผ้ายัดไว้ รูปร่างผอมโซเหลือแต่กระดูก


 


 


“พิษที่อยู่ในฟันเขาถูกเอาออกมาแล้ว แต่กลัวว่าเขาจะกัดลิ้นตนตาย จึงเอาผ้ายัดไว้ตลอดนอกจากตอนกินข้าวเท่านั้น”


 


 


การกัดลิ้นปลิดชีพนั้นจักต้องใช้พลังยิ่ง ด้วยเกรงจะเกิดเรื่องจึงให้กินข้าวแค่วันละมื้อ เรื่องกัดลิ้นจึงมิต้องเอ่ยถึงแล้ว


 


 


นายท่านรองสกุลเจินกลับหัวเราะขึ้นมาอีก “ข้ามิได้ถามอันใดเขา เทียนเฉิง เรื่องที่เหลือก็ขอมอบให้เจ้าแล้ว เรื่องที่ข้านำชิงไต้กลับมาด้วยไม่มีผู้ใดในจวนทราบเรื่อง หากมิอยากให้ผู้อื่นทราบว่านางออกไปจากจวนปั๋วก็ให้แต่งตัวอย่างคนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงเถิด”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงคอไป


 


 


ยามนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเกี่ยวข้องกับลี่อ๋อง หรือเผ่าเย่ว์อี๋ กระทั่งอาจเกี่ยวข้องกับรัชทายาทถูกปลดไปตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนก็มิอาจทราบได้ อย่างไรก็ทำความเข้าใจให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากล่าวเถิด


 


 


กับนายท่านรองสกุลเจิน เขานั้นอยากจะร่วมมือด้วยอยู่แล้ว


 


 


ผู้สืบทอดจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นมีใจทะเยอทะยานแต่ตากลับไร้แวว ชาติที่แล้วเขายืนผิดข้างทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วต้องตกต่ำล่มจมลงไป


 


 


แต่ชาตินี้มีนายท่านรองสกุลเจินอยู่ อย่างน้อยก็ช่วยคานกันไว้ หากมิเดินผิดทางก็นับเป็นการช่วยเหลือเขาแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวพาชิงเกอและอาหลวนไปที่สวนเหอเฟิง


 


 


ระหว่างทางก็พบบ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่ในแม่น้ำเล็กๆ ในแม่น้ำมีดอกบัวที่ใบร่วงโรยเ**่ยวเฉาอยู่ ทั้งที่เป็นทัศนียภาพที่ดูเงียบเหงา แต่สาวใช้น้อยวัยขบเผาะที่กำลังเก็บใบไม้ที่แห้งเ**่ยวนั้นกลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน


 


 


“นั้นคุณหนูสี่มิใช่หรือ” สาวใช้ที่ฉลาดหัวไวเห็นเจินเมี่ยวก็รีบทำความเคารพ


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินผ่านไป


 


 


เมื่อนางเดินผ่านไป ความโกลาหลก็เกิดขึ้นที่เบื้องหลังทันที


 


 


“เป็นคุณหนูที่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?” สาวใช้ที่มาใหม่ถาม


 


 


“ใช่ สามีคุณหนูสี่เป็นขุนนางใหญ่เชียวล่ะ หากเทียบกับนายท่านรองจวนเราก็ยังนับว่าเก่งกาจมากกว่า”


 


 


“ได้ยินว่าคุณหนูสี่รูปโฉมงดงามหมดจดนัก”


 


 


“แค่กๆ ” มีเสียงคนผู้หนึ่งเอ่ยเตือนขึ้น


 


 


ต่อมาก็เห็นสาวน้อยผู้หนึ่งสวมเสื้อสีแดงอ่อนเดินมา


 


 


“คุณหนูเวินยาฉี”


 


 


เวินยาฉีพยักหน้าน้อยๆ แล้วยกกระโปรงของตนเดินตามไปอย่างรวดเร็ว


 


 


“ญาติผู้พี่ รอข้าด้วย”


 


 


สาวใช้น้อยทั้งหลายต่างมองเป็นตาเดียวแล้วเอ่ยซุบซิบเสียงแผ่ว


 


 


“คุณหนูที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกลับดูหยิ่งยโสกว่าคุณหนูสี่เสียอีก”


 


 


“เฮ้อจะว่าไปแล้วคุณหนูเวินยาฉีก็ลำบากเช่นกัน ดูคุณหนูห้าและคุณหนูหกไม่สนใจนางเลย นอกจากคุณหนูสี่ที่เคยอยู่สวนเฉินเซียงก็มีแค่ฮูหยินสามแห่งสวนเหอเฟิงเท่านั้น”


 


 


“แต่จากท่าทีของคุณหนูเวินยาฉีแล้ว ดูท่าคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนักกับคุณหนูสี่ อย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”


 


 


“เอาล่ะ เลิกพูดมากได้แล้ว รีบทำงานเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินเสียงคนเรียกจึงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับไปมองก็เห็นเวินยาฉีวิ่งตามมา


 


 


อาจเพราะมิได้พบกันนานมากแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกว่าญาติผู้น้องดูสูงขึ้นไปมากเลย


 


 


“ญาติผู้พี่จะไปหาท่านอาใช่หรือไม่ ไปด้วยกันเถิด”


 


 


มือที่ยื่นไปย่อมมิตบคนยิ้มแย้มให้ เจินเมี่ยวแม้นจะไม่ชอบเรื่องที่เวินยาฉีทำในคราแรก แต่ต่อหน้าบ่าวไพร่ การมิให้เกียรตินางก็เท่ากับมิให้เกียรติมารดาตน อย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน นางจึงพยักหน้ารับ


 


 


วันนี้ที่เจินเมี่ยวมา นางต้องไปคารวะนางเวินก่อน แล้วค่อยไปขอบคุณท่านลุงรอง นางเวินรู้ว่าบุตรสาวต้องมาหาตนอีกแน่ จึงออกมารอที่หน้าประตูนานแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวเห็นแล้วจึงรีบเข้าไปคล้องแขนนางเวิน “ท่านแม่ อากาศหนาว เหตุใดจึงมารอข้างนอกเล่า?”


 


 


เพราะลมหนาวพัดมาทำให้แก้มของนางเวินแดงระเรื่อเล็กน้อยทำให้ดูสาวขึ้นไปอีกไม่น้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “อยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อ”


 


 


แล้วหันไปกวักมือเรียกเวินยาฉี “ยาฉี ยาหันส่งจดหมายและของขึ้นชื่อในพื้นที่มาให้ เจ้ามาดูหน่อยเถิด”


 


 


เวินยาฉีดวงตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วรีบตามนางเวินไปที่ห้องหน่วนเก๋อ


 


 


บนโต๊ะในห้องนั้นมีจดหมายที่เปิดแล้วและกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง ใต้โต๊ะยังมีกล่องไม้อีกสองกล่อง


 


 


“ท่านอา ข้าอ่านจดหมายนี้ได้หรือไม่?”


 


 


“ดูสิ” นางเวินรักใคร่เอ็นดูหลานผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้นเรื่องนั้นจะทำให้นางเสียใจยิ่ง แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นางก็รู้สึกว่าหลานสาวค่อยๆ รู้ความขึ้นมากแล้ว


 


 


เมื่อได้ยินนางเวินกล่าวเช่นนั้น เจินเมี่ยวและเวินยาฉีจึงอ่านจดหมายด้วยกัน


 


 


“เอ๊ะ เวลานี้เป่ยลี่หนาวจนเกิดชั้นน้ำแข็งหนาเป็นจั้งแล้วหรือ? เช่นนั้นคนมิหนาวตายแล้วหรือ? ”


 


 


“ญาติผู้พี่ท่านดูสิ พี่ใหญ่บอกว่านางทำโคมน้ำแข็งมากมาย ทั้งสามารถจุดเทียนได้ด้วย มันดูสวยแวววาวกว่าอัญมณีเสียอีก ท่านว่าจริงหรือไม่?”


 


 


“อากาศหนาวเพียงนั้นแต่กลับกินสาลี่เย็น ลูกพลับเย็น มิกลัวปวดท้องหรือไร?” เวินยาหันยิ่งอ่านยิ่งแปลกใจ


 


 


เจินเมี่ยวก็อ่านอย่างออกรสออกชาติเช่นกัน นางได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก ดูท่าญาติผู้พี่ของนางคงมีชีวิตที่ดีไม่น้อย


 


 


คนผู้หนึ่งมีชีวิตเช่นไรแค่ดูเนื้อหาที่นางถ่ายทอดผ่านอักษรก็ทราบแล้ว ผู้ที่อารมณ์ไม่แจ่มใสเบิกบานไหนเลยจะมีแก่ใจไปมองดูความสำราญในชีวิตได้


 


 


นางเวินหยิบจดหมายอีกฉบับส่งให้เวินยาฉี “ยาฉี นี่เป็นจดหมายที่พี่สาวเขียนถึงเจ้า”


 


 


เวินยาฉีรับมา เมื่อมองอักษรเพียงไม่กี่ตัวที่เขียนว่า ‘ถึงยาฉี น้องสาวพี่’ ตาก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างประหลาด นางเม้มริมฝีปากยิ้ม “ข้ากลับห้องไปค่อยอ่าน ท่านอา ของพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ส่งมาหรือ?”


 


 


“ใช่ ในกล่องนั้นให้เจ้า” นางเวินส่งกล่องที่เหมือนของนางให้เวินยาฉีใบหนึ่ง แล้วส่งสัญญาณให้สาวใช้เปิดกล่องทั้งสองที่วางอยู่บนพื้น


 


 


กล่องใบหนึ่งมีเห็ดป่าชนิดต่างๆ เต็มไปหมด ส่วนอีกใบก็เป็นผ้าขนสัตว์หลายผืน


 


 


“พอดีจะได้ทำเสื้อกันลมให้เจ้าสักตัว” นางเวินพูดกับเวินยาฉี


 


 


เวินยาฉีมองสิ่งเหล่านั้นอย่างอึ้งงัน พลันปิดปากตนไว้ ขอบตาแดงก่ำ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ท่านอาข้าอยากล้างหน้าสักหน่อย”


 


 


“ฮว่าปี้ พาคุณหนูเวินยาฉีไปที”


 


 


รอกระทั่งเวินยาหันออกไปแล้ว นางเวินจึงหันมาเอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบาน “เมี่ยวเอ๋อร์ ข้าคอยมองมาตลอด ระยะเวลาที่ผ่านมานี่ยาฉีเติบโตขึ้นมาก ปีหน้านางก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ถึงตอนนั้นคงต้องให้เจ้าช่วยแล้ว”


 


 


“อืม” หากญาติผู้น้องคนนี้ยินดีที่จะมีชีวิตอย่างมั่นคงสงบสุข นางก็ยินดีที่จะช่วยสักครา ถือว่าทำให้ความปรารถนาของนางเวินเป็นจริง


 


 


“ข้าคิดไม่ถึจริงๆ ว่ายาหันจะมีวาสนาเพียงนี้ สองสามีภรรยาปรองดอง ผู้อาวุโสเอ็นดู ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น เท่านี้แม่ก็วางใจแล้ว”


 


 


สองแม่ลูกพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เวินยาฉีก็เดินเข้ามา จดหมายที่ถูกเปิดออกนั้นถูกซุกไว้ในแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงบอกลานางเวินแล้วไปหาเจินปิงเจินอวี้


 


 


เวินยาฉีก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน


 


 


“ญาติผู้พี่ คนผู้หนึ่งทำผิดแต่ยอมที่จะแก้ไข ท่านว่าเขายังจะมีโอกาสมีชีวิตที่มีความสุขหรือไม่?”


 


 


นางเสียใจจริงๆ


 


 


หากตอนนั้นมิทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้น นางก็อาจจะได้แต่งงานกับบุรุษแสนดีและมีชีวิตที่มีความสุขเช่นเดียวกับพี่สาวใช่หรือไม่?


 


 


เมื่อมองท่าทีเฝ้ารออย่างหวาดหวั่นของเวินยาฉีแล้ว เจินเมี่ยวก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วเอ่ยว่า “มิใช่ทุกคนที่ทำผิดแล้วจะมีโอกาสแก้ไข”


 


 


ประกายในดวงตาของเวินยาฉีค่อยๆ หม่นแสงลง


 


 


“แต่ หากคนผู้หนึ่งยังมีโอกาสแก้ไข ทั้งผู้อื่นก็ยินดีให้โอกาสนางแก้ไข คนผู้นั้นโชคดีกว่าคนอีกมากมายแล้ว ดังนั้นจักต้องถนอมโชควาสนานั้นให้ดีจึงจะถูก” เจินเมี่ยวตบหลังมือเวินยาฉีคราหนึ่ง “ญาติผู้น้อง ข้าไปหาน้องห้ากับน้องหกก่อนล่ะ”


 


 


เวินยาฉียืนกำจดหมายนั้นแน่น ผ่านไปคู่หนึ่งจึงหมุนกายจากไป

 

 

 


ตอนที่ 232

 

“พี่สี่ รีบเข้ามาเถิด” มุมปากเจินปิงเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม ขณะเชื้อเชิญให้เจินเมี่ยวเข้าเรือน


 


 


เจินอวี้ย่อกายเล็กน้อย แล้วเอ่ยทักทายอย่างไม่ชิดเชื้อทั้งไม่ห่างเหิน


 


 


เจินปิงถลึงตาให้นางอย่างจนใจ


 


 


เจ้าเด็กผู้นี้ ทั้งที่ตอนทราบว่าพี่สี่หายตัวไปนั้นร้อนใจไม่น้อย แต่ยามนี้ได้พบตัวคนแล้วกลับเอาแต่วางท่าไม่สนใจ


 


 


สตรีผู้หนึ่งมีท่าทีเฉยชาแต่จิตใจดีนั้นมักมิใคร่เป็นที่ชมชอบของผู้คนสักเท่าใด


 


 


เจินปิงมิเพียงคิดเท่านั้นแต่ยังรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย สามพี่น้องพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งจึงข่มกลั้นความเขินอายถามออกไปว่า “พี่สี่ ท่านเคยพบฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่วนเวยโหวซึ่งคุ้นเคยกับไท่เฟยหรือไม่?”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซุนแห่งหยวนเวยโหวเป็นสหายที่คบกันมายาวนานของเจินไท่เฟย ทั้งยังเคยเป็นประธานหลักในพิธีปักปิ่นของเจินหนิง แต่ตอนนั้นเจินปิงและเจินอวี้ยังเด็กจึงไม่มีโอกาสได้พบ


 


 


ตระกูลหวังถูกใจน้องหก งานหมั้นหมายคล้ายว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้แล้ว


 


 


แต่ว่าทีแม่สามีของน้องหกนั้นคือนางเซียวจากจวนหย่วนเวยโหว เป็นบุตรสาวคนโตของฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่วนเวยโหว


 


 


สตรีผู้หนึ่งออกเรือน นางจะมีชีวิตที่ดีได้หรือไม่ สามีก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่แม่สามีก็เป็นส่วนที่สำคัญเช่นกัน


 


 


หากสอบถามถึงนางเซียวโดยตรง เจินปิงก็กลัวว่าเจินอวี้จะเขินอายจนโกรธเคืองเอา จึงเอ่ยถามอ้อมไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซุนมารดาของนางเซียว


 


 


ต่างกล่าวกันว่าดูบุตรต้องดูที่มารดา หากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซุนเป็นคนใจกว้างน่าชิดใกล้ นางเซียวก็คงไม่แตกต่างกันมากสักเท่าใด


 


 


เจินเมี่ยวไหนเลยจะทราบถึงการเอ่ยถามอันแสนอ้อมค้อมนี่ เมื่อได้ฟังจึงเอ่ยว่า “เคยไปงานเลี้ยงฉลองที่จวนหย่วนเวยโหวคราหนึ่ง เคยพบเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนใจดียิ่ง น้องห้าถามเรื่องนี้ไปไยหรือ?”เจินปิงหน้าแดงไปหมด “เพียงแค่แปลกใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่สนิทสนมกับไท่เฟยเป็นคนเช่นไรเท่านั้น”


 


 


เมื่อนางปิดบังไว้ก็ยิ่งละอายใจ ใบหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ


 


 


กลับเป็นเจินอวี้เสียมากกว่าที่ทนไม่ไหว เอ่ยออกไปว่า “พี่ห้า ท่านจะระมัดระวังเพียงนี้ไปไยกัน?”หลังจากนั้นจึงอธิบายให้เจินเมี่ยวฟังว่า “ตระกูลหวังคิดจะเกี่ยวดองกับจวนปั๋วของเรา”


 


 


แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา


 


 


เจินเมี่ยวจึงมองเจินปิงอย่างจนใจ น้องห้าผู้นี้คิดสิ่งใดละเอียดเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดก็คิดมากไปเสียหมดจะมีความสุขได้อย่างไร จึงเอ่ยเย้าว่า “ที่แท้น้องห้าก็อยากจะสอบถามเรื่องแม่สามีในอนาคต มิน่าเล่าถึงได้เขินอาย”


 


 


ครานี้เจินปิงเขินอายขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางโบกเป็นพัลวันพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้า น้องหกต่างหาก!”


 


 


เจินเมี่ยวมองเจินอวี้ด้วยความตกใจเล็กน้อย


 


 


เจินอวี้ใบหูแดงขึ้นมา แต่กลับเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเอ่ยว่า “เป็นข้าแล้วอย่างไรเล่า สตรีไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องออกเรือน มีอันใดให้เขินอายกัน”


 


 


เมื่อเจ้าตัวมีท่าทีเปิดเผยเช่นนี้ หัวข้อสนทนาจึงมิได้ดูขัดเขินถึงเพียงนั้นแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามไปตามปากว่า “เช่นนั้นงานมงคลของน้องห้าก็ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน?”


 


 


แม้นเจินปิงกับเจินอวี้จะเป็นแฝดกัน แต่ยังคงให้ความสำคัญกับลำดับอายุ อย่างไรก็ไม่มีทางที่เจินอวี้จะหมั้นหมายก่อนพี่สาวได้ นางจึงถามเช่นนี้ออกไป


 


 


“ยังเจ้าค่ะ เพราะข้าแท้ๆ จึงทำให้น้องสาวต้องลำบากไปด้วย” รอยยิ้มที่มุมปากเจินปิงหดหายไปทันที


 


 


ความจริงการพูดคุยเรื่องหมั้นหมายตอนอายุสิบสามนั้นมิใช่ได้ช้าเกินไป ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ จนอายุสิบสี่สิบห้าก็มีอยู่มากมาย เพียงแต่บังเอิญว่าตระกูลหวังถูกใจเจินอวี้เท่านั้น เจินปิงที่เป็นพี่จึงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง


 


 


เจินอวี้หลุดหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยเนิบนาบว่า “พี่ห้า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าระยะนี้ท่านแม่ไปมาหาสู่กับฮูหยินขุนนางสกุลเมิ่งอยู่บ่อยครั้ง”


 


 


“น้องหก!”


 


 


“ดังนั้นถึงบอกว่าท่านมิต้องคิดมาก อีกอย่างเรื่องการแต่งงานก็มิอาจบังคับกันได้ หากตระกูลนั้นรอมิได้ก็แค่ไร้วาสนาต่อกันเท่านั้น เลิกคิดว่าตนเป็นตัวถ่วงเสียที”


 


 


“พอแล้ว เจ้าปากคอเราะราย เลิกพูดได้แล้ว” เจินปิงเอ่ยดุด้วยโทสะ


 


 


อาจเพราะได้พูดคุยถึงความลับที่สุดระหว่างกัน บรรยากาศระหว่างสามพี่น้องจึงดูเป็นกันเองมากขึ้น เจินอวี้พลันกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “พี่สี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ เจินจิ้งกลับมาเยี่ยมจวนด้วย”


 


 


“น้องหก เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าต้องเรียกพี่สาม เจ้าไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ หากผู้อื่นทราบเข้าคงถูกหัวเราะเยาะแน่”


 


 


เจินอวี้แค่นหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง “ข้าไม่มีพี่สามที่หน้าไม่อายจนต้องไปเป็นอนุ!”


 


 


“อ้อ พี่สามกลับมาด้วยหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจขึ้นมา


 


 


ต่อให้ข้าไปอยู่ในตำหนักองค์ชาย แต่อนุก็ยังคงเป็นอนุ หากมิได้เลื่อนขั้นเป็นพระชายารอง ไหนเลยจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ ทั้งหลานอี๋เหนียง มารดาของนางก็มิอยู่แล้ว


 


 


“ใช่ อย่าไปมองว่านางวางท่าชูคอ ข้ามองแค่ครู่เดียวก็ดูออกว่านางภาคภูมิใจในสิ่งใด คล้ายว่าองค์ชายหกทรงโปรดปรานนางมากกระนั้น หึๆ ต่อให้โปรดปรานเท่าใด องค์ชายหกก็มิอาจเสด็จมาเยี่ยมบ้านกับนางได้อยู่ดีมิใช่หรือ?”


 


 


อย่าว่าแต่องค์ชายหกเลย ต่อให้เป็นปุถุชนคนธรรมดา หากบุรุษใดกลับไปเยี่ยมบ้านมารดากับอนุคงได้ถูกคนทั่วหล้าขบขันเป็นแน่


 


 


เจินปิงทอดถอนใจ “น้องหก แต่เจ้าก็มิควรพูดออกไปเช่นนั้น อย่างไรก็เป็นคุณหนูจากจวนเรา หากนางเสียชื่อ เราจะมีเกียรติเหลืออยู่สักเท่าใดเล่า?”


 


 


เจินอวี้พ่นเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา “นางมีอันใดไม่ดีหรือ”


 


 


เพราะนางท่านแม่ถึงกับด่าว่าข้าอยู่เป็นนาน!


 


 


“ท่านแม่ก็ทำเพื่อเจ้า ได้ยินว่าแม้นอนุในตำหนักองค์ชายหกจะมากมาย แต่กลับปฏิบัติต่อพี่สามไม่เหมือนผู้ใด ภายหน้าหากนางมีบุตรก็เป็นเชื้อสายจากจวนปั๋วเรา นางอาจได้เป็นพระชายารองขององค์ชายก็ได้ ถึงยามนั้นทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าเจินเมี่ยว เจินอวี้ก็ยิ่งมิอาจกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้ นางเชิดคางขึ้นเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่พระชายารองเลย ต่อให้เป็นกุ้ยเฟย นางก็มิอาจใส่ชุดสีแดงได้! ถึงตอนนั้นข้าจะใส่ชุดสีแดงทุกวัน ทิ่มแทงให้นางตาบอดไปเลย!”


 


 


เจินปิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที นางยื่นมือไปปิดปากเจินอวี้ไว้ “น้องหก เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”


 


 


อำนาจของพระบรมวงศานุวงศ์ในความคิดของเจินเมี่ยวนั้นมิได้ยิ่งใหญ่อันใด แต่ก็ทราบว่าวาจาเช่นนี้มิอาจให้หลุดรอดออกไปได้ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “พูดถึงอาภรณ์ กลับมาถึงเมืองหลวงยังไม่มีเวลาไปเดินตลาดเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงผู้คนนิยมลวดลายสีสันใดอยู่หรือ?”


 


 


เจินอวี้เองก็รู้ว่าตนกล่าวล่วงเกินไป จึงมิพูดถึงอีก สามพี่น้องจึงหลบเลี่ยงหัวข้ออันสุ่มเสี่ยงนี้ไปพูดเรื่องเครื่องประดับและอาภรณ์แทน


 


 


แต่ในใจเจินเมี่ยวก็ยังรู้สึกแปลกใจกับเจตนาการกลับมาที่จวนปั๋วของเจินจิ้งอยู่ตลอด


 


 


คงมิใช่มาเพื่ออวดอ้างตนเท่านั้นกระมัง?


 


 


ผ้าม่านเนื้อละเอียดถูกแหวกออก สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานว่า “คุณหนูห้า คุณหนูหก ฮูหยินบอกว่าหากพวกท่านมีเวลาว่างให้ไปพบด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


“รู้แล้ว” เจินปิงเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


สาวใช้ผู้นั้นลอบมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วถอยออกไป


 


 


เจินเมี่ยวมิอาจอยู่ได้นาน นั่งอีกสักครู่นางก็ขอตัวกลับ


 


 


เจินปิง เจินอวี้จึงไปที่สวนฟางเฟย


 


 


“ท่านแม่เรียกพวกเรามามีเรื่องใดหรือ?”


 


 


นางหลี่สีหน้าเคร่งขรึม “เหตุใดจึงเพิ่งมา?”


 


 


“ท่านแม่ ท่านไม่ทราบหรือว่าพี่สี่อยู่ที่เรือนเรา?” เจินอวี้เอ่ยบ่น


 


 


“พวกเจ้าออกไปให้หมด!” นางหลี่ชี้ไปที่สาวใช้ในห้องทุกคน


 


 


กระทั่งสาวใช้ทั้งหลายย่อกายแล้วเดินออกไป นางหลี่จึงร้องขึ้นด้วยโทสะ “พวกเจ้าสองคนมันโง่งม อยู่กับนางเช่นนั้น หรือเกรงว่าไออัปมงคลของนางจะติดตัวมาไม่มากพอ!”


 


 


“ท่านแม่ ท่านพูดเช่นนี้หมายความอย่างไร?”


 


 


เจินอวี้ฟังแล้วรู้สึกบาดหูยิ่ง ในขณะเดียวกันก็แปลกใจด้วย


 


 


ก่อนหน้านี้ที่พี่สี่มา ท่านแม่ยังเกรงอกเกรงใจนักหนามิใช่หรือ แล้วจู่ๆ เป็นอันใดไป?


 


 


นางหลี่สะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ข้าเห็นว่านางแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ สามียังมีตำแหน่งใหญ่โต พวกเจ้าสองคนจึงพอได้พึ่งใบบุญสักหน่อย แต่นอกจากจะพึ่งไม่ได้แล้วยังทำลายวาสนาผู้อื่นอีก! ”


 


 


สองพี่น้องสบตากันมิเอ่ยวาจา


 


 


นางหลี่ทนไม่ได้จึงเอ่ยออกมาว่า “ตัวโง่งมเช่นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า เรื่องที่คุยกับตระกูลขุนนางสกุลเมิ่งใกล้จะสำเร็จแล้ว ข้ากับเมิ่งฮูหยินยังนัดกันไปไหว้พระที่วัดต้าฝูอีกด้วย ผู้ใดจะคิดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันฝ่ายนั้นไม่เพียงไม่พูดจา เมื่อครู่ยังส่งเทียบมาแจ้งว่าเมิ่งฮูหยินไม่สบาย มิอาจไปร่วมไหว้พระได้แล้ว”


 


 


“ไม่ไปก็ไม่ไปสิ” เจินอวี้เอ่ยพึมพำขึ้น


 


 


เจินปิงเม้มปากแน่นมิเอ่ยวาจา


 


 


นางหลี่ตบเจินอวี้ไปฉาดหนึ่ง “เจ้ารู้อันใด นี้เป็นการปฏิเสธทางอ้อม งานมงคลของพี่ห้าเจ้ามันจบแล้ว! เป็นเพราะเจ้าสี่นั้นแลที่ทำลายมัน!”


 


 


“ข้ารู้ จบก็จบสิ หรือเราต้องแบกหน้าไปขอร้องให้ได้ เช่นนั้นต่างหากจึงจะเรียกว่าทำร้ายพี่สาว”


 


 


นางหลี่โมโหจนแทบทนไม่ไหว “เจ้าเด็กคนนี้ช่างพูดง่ายดายนัก บุตรสาวคนโตของขุนนางสกุลเมิ่งเป็นพระชายาขององค์ชายสามทีเดียว นี่เป็นตระกูลที่ดีที่สุดตระกูลหนึ่ง ยามนี้ทุกอย่างพังไปแล้ว จะหากตระกูลที่ดีเช่นนี้ได้อีกก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าใด ถึงตอนนั้นหากตระกูลหวังเกิดคิดเปลี่ยนใจอันใดขึ้นมาอีก ข้าไม่ยอมแน่ จะไม่ละเว้นปีศาจจอมทำลายล้างอย่างเจ้าสี่แน่!”


 


 


“ท่านแม่ น้องสาวพูดถูก จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่วาสนา แล้วเกี่ยวอันใดกับพี่สี่เล่า?”


 


 


นางหลี่โมโหจนต้องกลอกตาไปมา “ยามนี้ในเมืองหลวงต่างลือกันว่า เจ้าสี่มิได้รับความโปรดปรานจากไท่โฮ่วและหวงโฮ่ว เพราะเห็นแก่หน้าของหลัวซื่อจื่อนางจึงมิเป็นอันใด ทว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสี่ อาจจะถูกผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายโกรธเคืองเอาได้ มิเช่นนั้นจวนขุนนางสกุลเมิ่งคงไม่มาปฏิเสธเราเอายามนี้ ทั้งที่แต่ก่อนก็มิได้มีท่าทีอันใดดอก”


 


 


“หากปฏิเสธเพราะสาเหตุนี้ ก็มิต้องไปเกี่ยวดองอันใดกับพวกเขาแล้ว” เจินอวี้เอ่ยอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน


 


 


แต่เจินปิงกลับก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ เรื่องขุนนางสกุลเมิ่ง ท่านพ่อทราบหรือไม่?”


 


 


นางหลี่ถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งงันไป แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หลังจากเกิดเรื่องกับเจ้าสี่ บิดาเจ้าก็รีบตามไปที่เหอเป่ยด้วยความร้อนใจดุจไฟเผา เขาไหนเลยจะมาสนใจเรื่องนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าตระกูลจึงเหมาะสมกับบุตรสาวของเขา”


 


 


ตอนนั้นกำลังจะปรึกษาเรื่องงานหมั้นหมายกับตระกูลหวัง นายท่านรองสกุลหลัวก็รีบออกเดินทางไปก่อน นางหลี่กลับนั่งอยู่บนกองเพลิง อยากจะให้บุตรสาวคนโตได้แต่งงานกับตระกูลที่ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะได้เห็นเสียที


 


 


ไหนเลยจะคิดว่าตั้งแต่นายท่านรองสกุลเจินกลับถึงจวน ก็แทบไม่มาเหยียบเรือนหลังเลย เพราะเขานำคนนอกมาด้วยสองคนจึงกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น กระทั่งตอนนี้นางจึงไม่มีโอกาสบอกเขา


 


 


เจินปิงฟังแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ทันที “ท่านแม่ ลูกเข้าใจว่าท่านพ่อทราบเรื่องนี้แล้ว หากท่านพ่อยังไม่ทราบ ตามความเห็นของลูกแล้ว งานมงคลนี้ไม่เกิดขึ้นนั้นดีกว่า”


 


 


แม้นพี่สามจะเป็นเพียงอนุขององค์ชายหก แต่อย่างไรก็มีความเกี่ยวข้องกับจวนเจี้ยนอานปั๋ว หากยังไปเกี่ยวข้องกับตระกูลขุนนางเมิ่งอีก เช่นนั้นก็ย่อมต้องเกี่ยวดองกับองค์ชายสามด้วย


 


 


แม้นนางจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลัง แต่หลักการเหล่านี้นางเข้าใจดี ตระกูลหนึ่งๆ หากเกี่ยวดองกับองค์ชายถึงสองพระองค์ จุดจบย่อมน่าเศร้าและโดดเดี่ยว


 


 


นางคิดว่าบิดาทราบเรื่องนี้จึงมิได้คัดค้าน บางทีอาจมีนัยอันลึกซึ้งที่นางคิดไม่ถึง แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้เป็นท่านแม่กระทำเองโดยพลการ


 


 


“ปิงเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าเช่นใด?”


 


 


นางหลี่ฟังแล้วปวดใจยิ่ง


 


 


อันใดกัน งานมงคลของบุตรสาว นางผู้เป็นมารดามิอาจตัดสินใจได้ มีเพียงบิดาเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินใจได้งั้นหรือ?


 


 


เจินปิงเพียงยิ้ม “ท่านแม่ถามท่านพ่อดูก็จะเข้าใจ”


 


 


เมื่อเห็นว่าบุตรสาวผู้หนึ่งช่างเถียง อีกผู้หนึ่งก็ยากจะคาดเดา นางหลี่จึงปวดใจขึ้นมาคราหนึ่ง นางโมโหจนถามต่อไปไม่ได้แล้ว


 


 


กระทั่งพลบค่ำ นายท่านรองสกุลเจินถึงได้เหยียบย่างไปที่เรือนหลังในที่สุด นางหลี่จึงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้เขาฟัง


 


 


นายท่านรองสกุลเจินฟังแล้ว ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มแฝงอยู่ “ปิงเอ๋อร์พูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”


 


 


สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของเขา


 


 


ทั้งยังมีข่าวลือของเมี่ยวเอ๋อร์ที่ทำให้งานมงคลนี้ถูกล้มเลิกไปโดยปริยาย เขาอยากจะดื่มฉลองสักคราจริงๆ


 


 


ไม่อยากจะคิดจริงๆ ว่าหากนางหลี่ปกปิดเขากระทั่งไม้กลายเป็นเรือ เขาควรจะจัดการอย่างไรดี


 


 


“ท่านพี่ ที่แท้แล้วพวกท่านหมายความว่าเช่นใดกันแน่?”


 


 


นายท่านรองสกุลเจินลอบสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอันใดดอก ในเมื่อจวนขุนนางสกุลเมิ่งยกเลิกเรื่องนี้แล้ว ย่อมแสดงว่าเขามิใช่คู่ที่ดีต่อกัน มิจำเป็นต้องไปเสียดายอีก”


 


 


หากบอกออกไปตามตรงว่าจำต้องหลีกเลี่ยงการเกี่ยวดองกับองค์ชายสาม ด้วยอุปนิสัยของนางหลี่ก็ยากจะรับรองว่าเรื่องนี้จะไม่เล็ดลอดออกไป ถึงตอนนั้นคงมิอาจหลีกเลี่ยงหายนะได้


 


 


“ฮูหยิน จำไว้ว่าต่อไปเรื่องหมั้นหมายของปิงเอ๋อร์ เจ้าต้องปรึกษากับข้าก่อนรู้หรือไม่”


 


 


เมื่อเห็นนายท่านรองสกุลเจินเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน นางหลี่ก็ฝืนพยักหน้ารับไป

 

 

 


ตอนที่ 233

 

หลังจากกลับจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว หลัวเทียนเฉิงก็ตรงกลับไปที่ศาลาว่าการทันที และเจินเมี่ยวก็กลับจวนเจิ้นกั๋วกงไปเพียงลำพัง


 


 


ส่วนชิงไต้ หลัวเทียนเฉิงบอกว่าให้รอสักสองวันค่อยเข้าจวน


 


 


เจินเมี่ยวก็มิได้ถามอันใดมาก


 


 


นางมิใช่คนโง่ ท่านลุงรองให้นางแยกตัวออกไป ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับที่ชิงไต้ปรากฏตัวขึ้นที่จวนเจี้ยนอานปั๋วอย่างประหลาดก็เป็นได้


 


 


แต่นางก็ทราบถึงความสามารถของตนดี ในเมื่อไม่เข้าใจการต่อสู้ภายในราชสำนัก เช่นนั้นก็เชื่อฟังสักหน่อยจะดีกว่า อย่างน้อยก็มิสร้างความเดือดร้อน


 


 


วันต่อมาเจินเมี่ยวก็ได้รับหนังจิ้งจอกหิมะที่นายท่านรองสกุลเจินส่งมาให้ นางดีใจอย่างที่สุด


 


 


ท่านลุงรองของนางช่างเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง ของขวัญที่ส่งมาก็ถูกใจยิ่ง หนังจิ้งจอกหิมะนี้หากนำไปเย็บเข้ากับหมวกทั้งสวยงามและอุ่นยิ่ง มีประโยชน์อย่างที่สุด


 


 


นางนั้นไม่ทราบเลยว่าที่ลุงรองส่งหนังจิ้งจอกหิมะมาให้เป็นเพราะข่าวลืออันประหลาดนั้นได้ช่วยให้จวนปั๋วพ้นวิกฤตครานี้มาได้ เขาจึงยิ่งรักเอ็นดูหลานสาวผู้นี้มากขึ้นไปอีก เดิมเขาคิดจะมอบให้มารดาเพื่อแสดงความกตัญญู แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้จึงส่งไปให้หลานสาวแทน


 


 


เจินเมี่ยวชมชอบอย่างยิ่ง แต่นางหลี่กลับโกรธแทบตาย นางร่ำไห้พลางกล่าวว่า “ท่านพี่ หนังจิ้งจอกหิมะนั้น ท่านไม่ให้ข้ากับลูกของเรา หากมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการแสดงความกตัญญูก็ช่างเถิด แต่ท่านกลับมอบให้เจ้าสี่ หากข้ามิเห็นกับตาว่านางเวินตั้งครรภ์และคลอดนางออกมา คงคิดว่าเจ้าสี่เป็นลูกท่าน ปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์นั้นเก็บมาจากข้างนอกเป็นแน่!”


 


 


นายท่านรองสกุลเจินจนใจยิ่ง แต่ยังคงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ฮูหยิน ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ หนังจิ้งจอกหิมะนั้นมิควรคู่กับเจ้าดอก แต่หากเจ้าชอบ วันหน้าข้าจะหามาให้”


 


 


“ท่านพี่ นี้ไม่ใช่เรื่องหามาให้หรือไม่ แต่ในใจท่านนั้นเห็นเจ้าสี่สำคัญกว่าเราสามแม่ลูกใช่หรือไม่?”


 


 


นายท่านรองสกุลเจินขมวดคิ้วมุ่น แล้วลุกยืนขึ้น “หลานสาวกับบุตรสาวเดิมก็มิต่างกันเท่าใดนัก วันนี้ข้ายังมีเรื่องอีกมาที่ยังจัดการไม่เสร็จ ข้าไปห้องตำราก่อนแล้วกัน ฮูหยินก็รีบพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็เอามือไพล่หลังเดินออกไป


 


 


เหลือไว้เพียงนางหลี่และเจินปิง เจินอวี้ รวมถึงอาหารที่เย็นชืดบนโต๊ะด้วย


 


 


ด้านนอกฟ้ามืดแล้ว แสงดาวริบหรี่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ มีเพียงสายลมที่มุดเข้าไปในคอเสื้อ ไม่นาน ความอบอุ่นภายในห้องก็ถูกขจัดออกไป กระทั่งหัวใจยังเหน็บหนาว


 


 


นายท่านรองสกุลเจินยิ้มบางเบา ปลายจมูกมีควันสีขาวพ่นออกมา


 


 


ดูท่าคงหิมะคงใกล้จะตกแล้ว


 


 


“ท่านพ่อ รอก่อนเจ้าค่ะ” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง


 


 


นายท่านรองสกุลเจินหันกลับไปก็เห็นบุตรสาวสองคนเดินถือโคมออกมาจากเรือน


 


 


นายท่านรองหยุดฝีเท้าลงทันทีแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดปิงเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์จึงออกมาเล่า?”


 


 


เจินอวี้ใจร้อนปากไว นางเม้มปากแล้วตอบว่า “อิ่มแล้ว ข้ากับท่านพี่จะกลับเรือนพอดี จึงถือโอกาสไปส่งท่านพ่อด้วย”


 


 


นายท่านรองจัดผมที่ยุ่งเหยิงเพราะถูกลมพัดนั้นให้เจินอวี้ แล้วเอ่ยว่า “ยิ่งดึกลมยิ่งหนาว พวกเจ้าเดินเร็วเกินไป กลับถึงเรือนอย่าลืมดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลเล่า”


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” เจินอวี้ยิ้มหวาน


 


 


เจินปิงกลับรู้สึกว่าวันนี้บิดาดูเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ขอบตาที่ขาวสะอาดดุจหยกนั้นคล้ายถูกย้อมด้วยคราบสีคล้ำ แม้นจะดูบางเบาจนยากจะสัมผัสได้แต่กลับมิอาจลบออกได้


 


 


เจินปิงพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา นางผู้ซึ่งอ่อนโยนและรู้ความเสมอมากลับอดถามออกไปมิได้ว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ตำหนิท่านแม่…”


 


 


นางหลี่เป็นบุตรของอนุ แม่ใหญ่ที่เลี้ยงดูก็มิได้ใจกว้างอันใด เมื่อเยาว์วัยจึงได้รับความทุกข์ทรมานมาไม่ได้น้อย ไม่แปลกที่นางจะกลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด


 


 


บิดายังเป็นบุรุษที่รูปงามเพียบพร้อมอย่างหาใดเปรียบ เกรงว่าในใจของมารดาคงกลัวว่าจะต้องสูญเสียบิดาให้ผู้อื่นอยู่ทุกเมื่อเป็นแน่ จึงยิ่งคอยจับผิดท่าทีที่บิดามีต่อผู้อื่นอยู่ร่ำไป


 


 


เจินปิงที่เดิมคิดว่ามารดานั้นออกจะโง่เขลาเกินไป ไม่มองเหตุผลที่แท้จริง ทว่าเมื่อเผชิญเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย รับรู้ถึงความยากลำบากต่างๆ กลับรู้สึกว่ามารดานั้นน่าสงสารเหลือเกิน


 


 


เรื่องที่บุตรสาวยังคิดได้ มีหรือที่นายท่านรองจะคิดไม่ได้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา “ปิงเอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ วางใจเถิด พ่อไม่ถือสาดอก”


 


 


หากถือสาเกรงว่าคงไม่ผ่านมีชีวิตข้ามผ่านไปในแต่ละวันได้


 


 


ชีวิตคนเรา เรื่องที่มิสมหวังมีแปดเก้าส่วนในสิบส่วน


 


 


“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงได้ดีกับท่านแม่เพียงนี้เล่า?” เจินอวี้มองใบหน้างดงามดุจหยกของบิดาแล้วก็อดถามออกมามิได้


 


 


นายท่านรองอึ้งงันไปเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “นี่มิเรียกว่าดี แต่พ่อรู้ว่าตนเองควรทำสิ่งใดเท่านั้น วันข้างหน้า พวกเจ้าก็จะเข้าใจเอง”


 


 


เขาไม่มีความรักมอบให้นางหลี่ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาไร้หนทางบังคับใจตน สิ่งที่ให้ได้มีเพียงการให้อภัยและให้เกียรติอันพึงมีต่อภรรยาเท่านั้น


 


 


เมื่อเห็นบุตรสาวทั้งสองดูมึนงง เขาก็ยิ้ม “ถึงห้องตำราแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด ระวังลื่นด้วย”


 


 


เจินปิง เจินอวี้ย่อเข่าคารวะ แล้วเดินถือโคมไฟจากไป


 


 


กระทั่งมองไม่เห็นเงาของบุตรสาวทั้งสองแล้ว นายท่านรองจึงผลักประตูเดินเข้าไปในห้องตำรา


 


 


พริบตาก็ถึงเดือนสิบเอ็ดแล้ว อากาศเริ่มหนาวขึ้นทุกขณะ ทว่าเมืองหลวงกลับปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดีและเป็นสิริมงคล


 


 


วันเฉลิมพระชนมพรรษาใกล้เข้ามาแล้ว ร้านอัญมณีเก่าแก่อันลือชื่อต่างมีคนเดินเข้าออกอย่างล้นหลามทุกวัน


 


 


รัชทายาทกลับบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว เขายักเท้าถีบต้นปะการังที่สูงเกือบเท่าคน


 


 


ขันทีที่มือเท้าว่องไวผู้หนึ่งรีบรุดเข้าไปกอดขารัชทายาทไว้ “รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระทัยเย็นก่อน”


 


 


ปะการังที่สูงเกือบเท่าคนต้นนี้เป็นของหายากยิ่ง ยามนี้รัชทายาททรงกริ้วจึงคิดถีบมันให้พังพินาศ แต่เมื่อนึกเสียดายขึ้นมา ผู้ที่เคราะห์ร้ายกลับเป็นพวกเขาเหล่าบ่าวไพร่


 


 


เสียงหยกกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง ไท่จื่อเฟยซูหยาเดินเข้ามา นางรู้สึกเพียงว่าภายในห้องนั้นดูเหน็บหนาวกว่าด้านนอกเสียอีก


 


 


“ไท่จื่อ มีอันใดหรือเพคะ?” เมื่อมองปะการังที่แสนดึงดูดสายตาคนครู่หนึ่ง ตาก็เป็นประกายขึ้นมา “นี่เป็นปะการังที่พวกเขาส่งมาจากตงอวี๋กระมัง สวยงามจริงๆ เสด็จพ่อทอดพระเนตรแล้วต้องทรงชอบเป็นแน่”


 


 


ปะการังสีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งยังเล่ากันว่าสามารถปัดเป่าความชั่วร้ายได้อีกด้วย แต่การมอบปะการังที่สูงถึงเพียงนี้ให้กับเสด็จพ่อในครานี้ แม้นมินับเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุด แต่ก็คงไม่น้อยหน้าไปกว่าของชิ้นอื่นแน่ และที่สำคัญที่สุดคือมันงดงามยิ่ง อย่างไรก็ไม่มีทางผิดคาดไปได้


 


 


“เสด็จพ่อจะทรงชอบงั้นหรือ? ช่างน่าขำสิ้นดี!” รัชทายาทได้ฟังก็ยิ่งมีโทสะ


 


 


ไท่จื่อเฟยส่งสายตาให้ขันทีและนางกำนัลทุกคนออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงความว่างเปล่าในบัดดล


 


 


“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เพคะ?”


 


 


รัชทายาทสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดโดยแรง แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าน้องสามเตรียมปะการังที่สูงท่วมศีรษะคนเพื่อมอบให้เสด็จพ่อ มีปะการังของเขาอยู่ หากข้ามอบปะการังของข้าออกไป มิใช่เรื่องอันน่าขบขันอย่างที่สุดหรอกหรือ!”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะขึ้นไปอีก


 


 


น้องสามอาศัยความมั่งคั่งของตระกูลมารดา ช่างรังแกกันเกินไปจริงๆ!


 


 


ไท่จื่อเฟยเลิกคิ้ว “หรือน้องสามรู้อยู่แล้วว่าไท่จื่อจะมอบสิ่งใดเป็นของขวัญ?”


 


 


รัชทายาทแค่นหัวเราะเสียงเย็น “มีอันใดน่าแปลกใจเล่า ข้าก็ยังรู้ว่าเขาจะมอบสิ่งใดเป็นของขวัญมิใช่หรือ?”


 


 


ปะการังนี้ส่งมาจากตงอวี๋ ระยะทางแสนไกลจึงยากจะเก็บงำความลับเอาไว้ได้


 


 


“เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับจวนรองเสนาบดีสักครา ดูว่าจวนท่านพ่อจะมีสิ่งของอันใดที่เหมาะสมหรือไม่”


 


 


รัชทายาทกำพร้าพระมารดาตั้งแต่เยาว์วัย สิ่งของที่ได้มาทุกอย่างล้วนมาจากการผู้อาวุโสมอบให้เป็นรางวัล หากเทียบกับองค์ชายที่มีตระกูลพระมารดาคอยหนุนหลังแล้ว รัชทายาทต้องเสียเปรียบในส่วนนี้ไม่น้อยเลย


 


 


เมื่อได้ยินซูหยาเอ่ยเช่นนี้ รัชทายาทก็แค่นเสียงเย็น “มิจำเป็น ข้ามีวิธีของข้า”


 


 


แม้นตระกูลซูจะมิได้ย่ำแย่ แต่อย่างไรก็เกิดมาจากตระกูลยากจน สมบัติจึงมีไม่มาก หากนำทรัพย์สิ้นไปแข่งขันกับผู้อื่นก็ไม่มีอันใดดีเลย


 


 


งานเฉลิมพระชนมพรรษาครานี้ ในเมื่อมิอาจแข่งเรื่องสิ่งของล้ำค่า เช่นนั้นก็แข่งด้วยอุบายแทนรัชทายาทรีบถ่ายทอดคำสั่งที่คิดไว้ แล้วกำชับอีกสองสามประโยค


 


 


ภายในห้องธรรมดา ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง บุรุษสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผู้หนึ่งอาภรณ์สีม่วง ผู้หนึ่งอาภรณ์สีน้ำเงิน ต่างก็องอาจรูปงามด้วยกันทั้งสิ้น


 


 


องค์ชายหกหยิบเล่นถ้วยชาที่หน้าตาธรรมดาใบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “อ้อ เช่นนี้หมายความว่าไท่จื่อก็สืบจนทราบข่าวแล้วงั้นหรือ?”


 


 


ที่อำเภอคายผิงมีไก่ฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลปรากฏตัวขึ้น ช่างบังเอิญเหลือเกินที่นายอำเภอของคายผิงนั้นเป็นลุงของนายท่านผู้สืบทอดจวนมู่เอินโหว


 


 


นายท่านผู้สืบทอดจวนมู่เอินโหวที่สิ้นไปนั้นมิใช่ใครอื่น คือพี่ชายของจ้าวหวงโฮ่วนั้นเอง และเป็นบิดาของจ้าวเฟยชุ่ย เขาตายในเหตุการณ์ลอบสังหารที่จวนหย่งอ๋อง


 


 


หลังจากนั้นพี่ชายของจ้าวเฟยชุ่ยก็ขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแทน แต่เขาต้องไว้ทุกข์สามปี จวนมู่เอินโหวจึงค่อยๆ เงียบหายไปในหมู่ผู้มีบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวง


 


 


นายอำเภออำเภอคายผิงรักเอ็นดูหลานชายยิ่ง จึงเกรงว่าหลานชายที่มิอาจเข้าวังได้จะสูญเสียความโปรดปรานจากจักรพรรดิ ทำให้ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นไม่มั่นคง จึงคิดจะหาสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลนี้ให้หลานชายมาถวายแด่องค์จักรพรรดิจะได้รับความเอ็นดูจากจักรพรรดิ เมื่อได้ไก่ฟ้าตัวนี้มาจึงส่งเข้ามาในเมืองหลวงอย่างเงียบๆ


 


 


แน่นอนว่าข่าวนี้ก็ไปเข้าหูรัชทายาทที่กำลังร้อนใจหาของขวัญอันเหมาะสมอยู่พอดี


 


 


“คิดว่าคนของไท่จื่อคงกำลังเดินทางมาแล้ว” ใบหน้าหลัวเทียนเฉิงเต็มไปด้วยความเคารพ แต่ก็มิสูญเสียความสง่างาม


 


 


องค์ชายหกมองเขาอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าไม่รู้ว่าคุณชายผู้สืบทอดที่มีอนาคตไกลเช่นท่าน เหตุใดจึงยอมมาภักดีกับองค์ชายธรรมดาๆ เช่นข้า?”


 


 


คนทั้งสองติดต่อกันมานาน แต่ก็คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด โดยเฉพาะองค์ชายหก เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากหลัวเทียนเฉิงที่กำลังเป็นที่โปรดปรานกลับยากที่จะไม่เกิดความสงสัยแคลงใจ


 


 


ครานี้นับเป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองพูดคุยถึงหัวข้ออันละเอียดอ่อนเช่นนี้


 


 


หลัวเทียนเฉิงทราบว่าหากผ่านด่านนี้ไปได้ เขาถึงจะถูกยอมรับจากองค์ชายหกเช่นเซียวซื่อจื่อแห่งจวนหย่วนเวยโหว มิเช่นนั้นก็คงเป็นได้เพียงผู้ร่วมมือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายหน้าคงมิพ้นตกอยู่ในสถานการณ์กระต่ายม้วยต้มสุนัขอีกครั้งเป็นแน่


 


 


“หม่อมฉันเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสาม ในสายตาคนมากมายอาจเรียกได้ว่าก้าวเดียวย่างถึงแผ่นฟ้า แต่ผู้ที่คิดว่าถูกหม่อมฉันเหยียบย่ำจนได้ขึ้นสู่สวรรค์ได้นั้นก็คือไท่จื่อ หม่อมฉันเป็นคนรักชีวิตย่อมต้องเลือกวีรบุรุษคอยช่วยเหลือ”


 


 


องค์ชายหกแค่นเสียงเย็นชา “เลือกวีรบุรุษไว้คอยช่วยเหลือหรือ เจ้าช่างตรงไปตรงมาจริงๆ! แล้วใจอันภักดีต่อจักรพรรดิเล่า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันมิใช่คนในตำหนักรัชทายาท ตอนนี้มีใจภักดีต่อฝ่าบาทแต่พระองค์เดียว”


 


 


องค์ชายหกจ้องมองหลัวเทียนเฉิงอยู่นาน แล้วยิ้มออกมาทันใด “หลัวซื่อจื่อ ท่านยังมิได้ตอบว่าเหตุใดจึงเลือกข้า?”


 


 


“องค์ชายไม่เชื่อเสน่ห์ของพระองค์เอง?”


 


 


องค์ชายหกเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่ ข้าไม่เชื่อว่าผู้อื่นจะสายตาเฉียบแหลมถึงเพียงนั้น”


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้ฟังก็ยิ้ม “เผอิญว่าสายตาของหม่อมฉันนั้นเฉียบแหลมยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ในที่สุดคนทั้งสองก็ยิ้มออกมาอย่างรู้กัน


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้ว่าเขากับเซียวซื่อจื่อนั้นไม่เหมือนกัน องค์ชายหกไม่มีทางหมดความแคลงใจต่อเขาไปได้ แต่เขาก็มิได้คิดจะเป็นสหายขององค์ชายหกอยู่แล้ว คนเช่นนั้นยามร่วมสร้างแผ่นดินและรักษาแผ่นดินกลับมิอาจพบจุดจบที่ดีเท่าใดได้


 


 


เขาต้องการจะกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาขององค์ชายหก ต่อให้กังวลเพียงใด เมื่อยามที่ต้องกำจัดเขาจริงๆ ก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดดั่งหัวใจฉีกขาด


 


 


องค์ชายหกเองก็พอใจยิ่ง


 


 


เขามิได้ต้องการหนอนที่เอาแต่รับคำ หากกลัวว่าขุนนางมีความสามารถมากเกินไปจึงมิกล้าใช้ เช่นนั้นเขาก็เป็นคนขี้ขลาดยิ่ง เช่นนั้นก็มิจำเป็นต้องคิดถึงตำแหน่งนั้นจะดีกว่า


 


 


พริบตาก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย ในวันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา หิมะก็ร่วงโปรยลงมา ทุกที่เต็มไปด้วยหิมะสีเงินยวง รถม้าของแต่ละตระกูลค่อยๆ ออกเดินทางไปยังพระราชวังตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง

 

 

 


ตอนที่ 234

 

รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนไปด้านหน้าช้าๆ ดูเรียบง่าย แต่เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงรถม้าคันอื่นๆ ก็รีบหลบทันที 


 


 


ผู้ใดล้วนทราบว่าในรถม้าคันนี้จักต้องมีคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่กำลังเป็นที่โปรดปรานนั่งอยู่แน่ๆ จึงไม่มีใครอยากจะไปแย่งชิงแข่งขันด้วย 


 


 


ในรถม้าปูด้วยพรมสีเงินเทาอันหนาใหญ่ ทั้งยังมีเตาเงินอยู่อันหนึ่งแต่กลับไม่มีควันไฟ มันช่วยเพิ่มความอบอุ่นในรถม้าที่มีม่านผืนหนาคอยกั้นไว้ได้เป็นอย่างดี แม้นด้านนอกจะมีหิมะตกแต่ภายในรถม้ากลับอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่ง จึงใช้สองนิ้วค่อยๆ แหวกผ้ามุมหนึ่งของผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศด้านนอก 


 


 


ไม่นาน หิมะกลับตกหนักขึ้น ปุยหิมะปลิวว่อนลงสู่พื้นดุจขนหงส์ เพิ่มความหนาของหิมะบนพื้นให้มากขึ้น 


 


 


ต้นสนที่อยู่สองข้างทางถูกหิมะปกคลุมไปหมด ไม่เหลือแม้แต่ความเขียวสักน้อยนิด 


 


 


น่าเสียดายที่รถม้าต่างขับเคลื่อนเหยียบย่ำหิมะที่อยู่บนพื้นวุ่นวายไปหมด ทำให้ความงดงามอันเงียบสงบนั้นกลายเป็นโคลนดินอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลัวเทีนยเฉิงหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วนั่งพิงอยู่ในรถม้า เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย ก็อดวางตำราลงมิได้ แล้วเอ่ยว่า “อาซื่อ ข้างนอกหนาว ในรถกลับร้อน อยู่ระหว่างความร้อนกับหนาวเช่นนี้ ระวังไอเย็นเข้าซึมเข้ากาย ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะปวดท้อง” 


 


 


เจินเมี่ยวปล่อยม่านลง แล้วกันไปเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไหนเลยจะอ่อนแอถึงเพียงนั้น” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ข้าสอบถามมาแล้ว หากสตรีร่างกายแข็งแรงจักไม่มีทางปวดท้อง กลับไปข้าจะหาท่านหมอสักคนมาตรวจอาการเจ้า” 


 


 


เจินเมี่ยวมีระดูครั้งแรก ด้วยกลัวว่าท่านอารองและอาสะใภ้จะเกิดความคิดชั่วร้ายจึงได้ปิดบังเอาไว้ หลัวเทียนเฉิงคิดว่าจักต้องหาหมอที่ไว้ใจได้ หากหมอมิน่าเชื่อถือก็อาจทำให้คนตายได้ง่ายๆกแต่เพราะเขายุ่งทั้งวันเรื่องนี้จึงยังมิได้กระทำเสียที 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงกวักมือให้เจินเมี่ยวมานั่งข้างๆ 


 


 


เจินเมี่ยวจึงขยับเข้าไปนั่งใกล้ แล้วเอ่ยว่า “จี้เหนียงจื่อท่านหมอหญิงแห่งสำนักเล่อเหรินเก่งกาจเรื่องโรคสตรี วันใดข้าไปเดินตลาดก็ถือโอกาสให้นางตรวจดูให้ก็สิ้นเรื่อง” 


 


 


“จี้เหนียงจื่อ?” นอกจากท่านหมอที่อยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ท่านหมอที่เชิญมาจากข้างนอกก็ล้วนเป็นหมอในราชสำนัก แต่เบื้องหลังของท่านหมอเหล่านี้นั้นซ้ำซ้อนยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนของผู้มีบรรดาศักดิ์ใดก็ได้ 


 


 


นี่เป็นสาเหตุที่หลัวเทียนเฉิงมิเชิญหมอในราชสำนักมาเลยสักครา 


 


 


ส่วนท่านหมอในจวนก็ถูกนางเถียนดูแลมานานหลายปีแล้ว จึงกลายเป็นคนของนางเรียบร้อยแล้ว 


 


 


แต่ท่านหมอที่ราษฎรทั่วไปใช้ ทั้งยังเป็นสตรี ฝีมือการแพทย์เป็นเช่นใดก็มิอาจทราบได้ 


 


 


“ไม่ต้องร้อนใจไป ข้าไปตรวจสอบก่อนสักหน่อยค่อยว่ากัน” 


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า “อืม” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มแล้วดึงเจินเมี่ยวเข้าสู่อ้อมอก 


 


 


เจินเมี่ยวตกใจรีบผลักเขาออกทันที “ซื่อจื่อ ท่านทำอันใดกัน?” 


 


 


อีกฝ่ายขยับเข้ากระซิบริมหูนางว่า “อาซื่อ วันนี้เป็นวันที่ขุนนางนับร้อยในราชสำนักมาร่วมยินดีต่อฝ่าบาท ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขอให้นิ่งเข้าไว้ อย่าได้แตกตื่น หากทำได้ให้เจ้านั่งข้าองค์หญิงชูสยาไว้จะดีที่สุด” 


 


 


งานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดิ พวกนางซึ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์กับขุนนางนับร้อนนั้นมิได้อยู่ในที่แห่งเดียวกัน 


 


 


ตามหลักแล้วคุณหนูที่ยังมิออกเรือนจะมิอาจเข้าวังมาร่วมยินดีด้วยได้ แต่องค์หญิงชูสยาและฉงสี่เซี่ยนจู่นั้นเป็นหนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์มีสายโลหิตเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิจึงเป็นกรณียกเว้น 


 


 


บางทีอาจเพราะอยู่ใกล้กันกินไป ลมหายใจอันผ่าวร้อนนั้นจึงเป่ารดลงบนแก้มนาง เดิมใบหน้าที่เห่อร้อนอยู่แล้วก็ยิ่งแดงขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกอึดอัดจึงขยับออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ วันนี้ท่านดูแปลกๆ” 


 


 


ท่าทีของนางทำให้หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วเย้าแหย่นาง “แปลกที่ตรงใดหรือ?” 


 


 


หรือเพราะใกล้กันเกินไปนางจึงเกิดเขินอาย? 


 


 


กล่าวไปแล้ว พวกเขาก็ควรจะเป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงกันเสียที 


 


 


เจินเมี่ยวกลับไม่รู้ถึงความคิดของเขาจึงเอ่ยว่า “คล้ายว่าวันนี้จักต้องเกิดเรื่องใดสักอย่างขึ้น ท่านถึงกำชับข้าเช่นนี้” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงใจเต้นตึกตัก แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนสี “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้เล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวแบมือออกอย่างจนใจ “คราที่แล้วที่เหอเป่ย ท่านก็พูดเช่นนี้ สุดท้าย…” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวในใจว่า สตรีผู้นี้ช่างมีความรู้สึกเฉียบไวนัก 


 


 


เจินเมี่ยวหัวเราะออกมาอีก “แต่คราก่อนเรากลับตามหาท่านอาสี่จนเจอ เรียกได้ว่าเพราะมีภัยจึงพบโชค” 


 


 


“เจ้าช่างมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน” หลัวเทียนเฉิงหยิกแก้มที่แดงเรื่อดุจลูกท้อของนาง 


 


 


เจินเมี่ยวยกมือขึ้นตีมือใหญ่นั้นแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มีผู้ใดทำเช่นนี้กับภรรยาตน ประหนึ่งกำลังหยอกแมวตัวหนึ่งก็มิปาน?” 


 


 


“อ้อ เช่นนั้นภรรยาคิดว่า ข้าผู้เป็นสามีควรปฏิบัติเช่นไรต่อเจ้าหรือ?” หลัวเทียนเฉิงโน้มกายเข้าหา คนทั้งสองอยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันกับการกระทำอันกะทันหันนี้ของเขายิ่ง ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง นัยน์ตาใสวาวเป็นประกาย กระทั่งเห็นเงาของอีกฝ่ายที่สะท้อนอยู่ในนั้น 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก็เหม่อลอยไปชั่วขณะเช่นกัน ดั่งภูตบอกเทพสั่ง ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงบนดวงตาคู่นั้นทันที 


 


 


หากจะบอกถึงความต่างอย่างที่สุดของอาซื่อของเขาในชาติก่อนกับชาตินี้ นั้นก็คือดวงตาคู่นี้แล ทั้งที่ยังคงเป็นตาแบบเดียวกัน แต่เมื่อเขาตกอยู่ในความว้าวุ่นใจ ดวงตาคู่นี้ก็จะคอยสะกิดเตือนให้เขามีสติขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี พวกนางไม่เหมือนกัน ชาตินี้กับชาติก่อนไม่เหมือนกันเอาเสียเลย 


 


 


นี่คืออาซื่อของเขาอย่างไรเล่า เขาได้ครอบครองอาซื่อที่อยู่ในช่วงงดงามที่สุด 


 


 


ชาติก่อนนั้นพวกเขาแต่งงานกันช้าไปถึงสามปี บางทีอาจเพราะเวลาสามปีนั้นเองทำให้สาวน้อยผู้ซึ่งต้องแบกคำว่าสตรีไร้มารดาทั้งชื่อเสียงอันเสื่อมเสียมากมาย ดวงตาคู่นี้จึงได้เปลี่ยนสีไปอย่างช้าๆ 


 


 


แต่เขากลับมิได้มีความเห็นใจสักนิด แต่กลับใช้ความเย็นชาดูแคลนนาง และใช้เท้าเหยียบย่ำลงโดยแรง 


 


 


ตั้งแต่นั้นมา คนทั้งสองก็มิอาจหวนคืนอันใดได้อีก 


 


 


โชคดีที่พวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาที่พอเหมาะยิ่ง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเกิดอารมณ์วาบหวามขึ้นมาจึงลืมกระทั่งวันเวลา เขาเพียงกอดนางไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนโยนทั้งยังมอบจุมพิตเร่าร้อนแก่นาง 


 


 


อาการอึ้งงันของเจินเมี่ยวในคราแรกเปลี่ยนเป็นว้าวุ่น แต่การต่อต้านทั้งหมดของนางกลับถูกอีกกำลังของอีกฝ่ายทำลายไปจนสิ้น แต่นางก็มิกล้าส่งเสียงด้วยกลัวว่าคนภายนอกจะได้ยิน แต่ต่อมาในหัวกลับมึนงงไปหมด รู้สึกเพียงล่องลอยอยู่ในความฝันภายใต้รถม้าอันคับแคบนี้ ทั้งไม่ยินยอมที่จะตื่นจากฝันนี้ ล้มเลิกการต่อต้านทุกอย่างแล้วปล่อยให้ตนเคลิบเคลิ้มไปความฝันนั้น 


 


 


เมื่อรู้สึกชัดเจนว่าอีกฝ่ายคล้อยตามตน เขาผู้ซึ่งเป็นบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งพลันละทิ้งสติสัมปชัญญะทั้งหมดลงทันใด หลัวเทียนเฉิงพลิกตัวกดนางไว้ใต้ร่างตน 


 


 


สตรีที่อยู่ใต้ร่างนี้ปิดดวงตาแน่น ขนตาของนางเปียกชื้นจากการถูกจุมพิต สองแก้มแดงระเรื่องดงามกว่าลูกท้อเสียอีก งดงามเสียจนทำให้คนหลงลืมว่าด้านนอกนั้นคือหิมะอันเหน็บหนาว แต่กลับหลงคิดไปว่าที่นี่เป็นกระโจมที่หอมหวนและอบอุ่นที่สุด 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่จู่โจมเข้ามา นางลืมตาขึ้นด้วยความหนาวสั่น จึงพบว่ากระโปรงตนถูกถลกขึ้นมามากกว่าครึ่งแล้ว แต่อาภรณ์ของอีกฝ่ายกลับยังคงเรียบร้อยครบถ้วน ฝ่ามือใหญ่นั้นกำลังเคล้าคลึงวุ่นวาย 


 


 


เจินเมี่ยวร้อนใจขึ้นมา 


 


 


คนเราต้องรักษาหน้าตาและเกียรติยศ หากปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ประเดี๋ยวนางคงมิอาจลงจากรถม้าได้แน่ 


 


 


ภายใต้ความโกรธกรุ่นนั้นนางจึงยกเท้าถีบออกไป แต่กลับถูกหลัวเทียนเฉิงคว้าจับเอาไว้ได้ “เลิกซุกซนได้แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางว่าง่ายเช่นนี้!” 


 


 


“ผู้ใดกันแน่ที่ซุกซน!” เจินเมี่ยวรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ หากผู้คนเกิดความสงสัยอันใดขึ้นมาแล้วข้าจะมีหน้าไปพบผู้อื่นได้อย่างไร?” 


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวกระวนกระวายจนแทบจะร้องไห้ออกมา หลัวเทียนเฉิงก็ทราบว่าตนวู่วามเกินไป จึงพลิกตัวนอนตะแคงแล้วโอบนางเข้ามาปลอบประโลม “เป็นข้าเองที่ซุกซน เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าอย่ากังวลไปเลย ยังมีเวลาอีกครู่กว่าจะถึงประตูวัง” 


 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังสีหน้าก็เริ่มดีขึ้น 


 


 


พลันได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นเราก็กอดกันอีกสักหน่อยเถิด” 


 


 


“หุบปาก!” เจินเมี่ยวกำหมัดทุบเขาไปคราหนึ่ง ในที่สุดโลกก็สงบลงเสียที 


 


 


เมื่อจัดอาภรณ์เข้าที่ และนั่งลงอย่างเรียบร้อยจนถึงประตูวัง เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า “ปิ่นปักผมข้าเอียงหรือไม่?” 


 


 


“ไม่” หลัวเทียนเฉิงหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้ 


 


 


คนทั้งสองจึงลงจากรถม้าและแยกไปคนละที่ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงไปที่ตำหนักหลวงเพื่อถวายพระพรและร่วมแสดงความยินดี ส่วนเจินเมี่ยวก็เปลี่ยนไปนั่งเกี้ยวแทน เกี้ยวของนางถูกหามไปที่ตำหนักในซึ่งมีไว้เพื่อรับรองสตรีสูงศักดิ์โดยเฉพาะ 


 


 


เจินเมี่ยวเดินตามนางกำนัลผู้นำทางเข้าไป บรรยากาศภายในอันคึกคักพลันนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง 


 


 


หลายวันมานี่ จวนเจิ้นกั๋วกงนั้นกลายเป็นหัวข้อสนทนาอันสนุกสนานของคนในเมืองหลวงไปแล้ว คลื่นลูกแรงยังมิสงบคลื่นลูกใหม่ก็ก่อตัวขึ้นอีกแล้ว 


 


 


เดิมหลัวเทียนเฉิงช่วยองค์จักรพรรดิไว้ เขามีความดีความชอบจนได้เลื่อนตำแหน่งกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจยิ่ง ไม่ว่าจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับนางเจินหรือไม่อย่างไร ทุกคนก็ต้องแสดงความเป็นกันเองต่อนางไว้ก่อน ทว่าฮูหยินของผู้สืบทอดเช่นนางซึ่งช่วยชีวิตองค์หญิงไว้กลับมิได้รับรางวัลปูนบำเหน็จอันใดทั้งสิ้น ทั้งยังมีข่าวลือออกไปว่าไท่โฮ่วและหวงโฮ่วมิโปรดนาง 


 


 


สายลมพัดผ่านช่องว่างย่อมมีสาเหตุ หากเป็นยามปกติก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ตำแหน่งรัชทายาทส่อเค้าไม่มั่นคงเสียแล้ว หากมีการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทขึ้นมา เช่นนั้นไท่โฮ่วและหวงโฮ่วผู้ซึ่งไร้บุตรอันเป็นผู้มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งก็กลายเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งแล้ว 


 


 


สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงยังคงเพียงเฝ้ามองเจินเมี่ยวอยู่ห่างๆ เท่านั้น 


 


 


“คุณหนูสี่…” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบไปในทันใด 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้าหาแล้วคว้ามือเจินเมี่ยวไว้ “คุณหนูสี่ ท่านแม่ข้าให้มาเชิญเจ้าไปนั่งด้วย” 


 


 


เจินเมี่ยวจึงเดินตามชูสยาจวิ้นจู่ไป จึงพบฮูหยินผู้มีรูปโฉมงดงาม ใบหน้าห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนนั่งอยู่หลังโต๊ะหยก 


 


 


“หวังเฟย” เจินเมี่ยวทำความเคารพทันที 


 


 


“มานั่งนี่เถิด” หวังเฟยเรียกให้นางไปนั่งด้านข้าง แล้วจึงกะพริบตาเผยรอยยิ้ม “อยากจะกล่าวขอบคุณเจ้านานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “หวังเฟยเกรงใจเกินไปแล้ว องค์หญิงชูสยาเป็นสหายของข้า ข้าย่อมต้องช่วยนางอยู่แล้ว มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เขย่าแขนมารดา “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่ามิต้องขอบคุณ ท่านจะขอบคุณจนเราสองคนตายจากกันเลยเชียวหรือ” 


 


 


“ใช่ บุญคุณใหญ่หลวงมิอาจไม่เอ่ยขอบคุณ” หวังเฟยมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วถอนหายใจอยู่ในอก 


 


 


บุตรสาวผู้นี้ของนางนั้นช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน แม้นตนจะมีศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่การพูดจาเช่นนี้นั้นเกรงว่าจะทำให้ผู้ที่ช่วยชีวิตรู้สึกเสียใจไม่น้อย 


 


 


แต่เมื่อมองไปกลับพบว่าเจินเมี่ยวพยักหน้าตามอย่างเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน 


 


 


เด็กสาวทั้งสองช่างคล้ายกันนัก มิน่าเล่าจึงเป็นสหายกันได้ 


 


 


แต่บุตรสาวนางอุปนิสัยเช่นนี้ แต่ต้องแต่งไปอยู่ต่างแดน นางกังวลเหลือเกินว่าจักต้องลำบาก 


 


 


“ชูสยา แม่บอกเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่า บุญคุณเพียงหยดน้ำตอบแทนเท่าลำธาร ภายหน้าเมื่อไปอยู่ดินแดนหมานเว่ย ก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้จึงจะสามารถผูกสัมพันธ์อันดีได้” 


 


 


“แต่บุญคุณที่คุณหนูสี่มีต่อข้ามิใช่แค่เพียงหยดน้ำ แต่เป็นบุญคุณที่กว้างใหญ่ดุจแม่น้ำ” ชูสยาจวิ้นจู่พลันเอ่ยถามคิดว่าอย่างสนุกสนานว่า “คุณหนูสี่ เจ้าว่า บุญคุณกว้างใหญ่เท่าแม่น้ำควรตอบแทนอย่างไรหรือ?” 


 


 


วาจาที่เอ่ยถามออกไปนี้แม้แต่หวังเฟยเองก็อยากรู้ในคำตอบของเจินเมี่ยวเช่นกัน 


 


 


มิต้องเอ่ยถึงฐานะองค์หญิงของชูสยา ต่อให้เป็นคนธรรมดา แม้นบุญคุณเท่าเม็ดข้าวก็ยังต้องตอบแทนด้วยข้าวหลายสิบกระบุง 


 


 


เจินเมี่ยวมิได้คิดอันใด เพียงตอบออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “บุญคุณเพียงหยดน้ำตอบแทนเท่าลำธาร ดูท่าบุญคุณเท่าแม่น้ำคงไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้” 


 


 


“คริๆ” ชูสยาจวิ้นจู่หัวเราะออกมา 


 


 


หวังเฟยเองก็ลอบพยักหน้า 


 


 


นางเจินช่างมีความคิดล้ำลึกนัก 


 


 


มิใช่นางตระหนี่แต่คนเราก็เป็นเช่นนี้ หากนางเจินทำตนดั่งผู้มีพระคุณของชูสยาจริงๆ เกรงว่าความสัมพันธ์ของพวกนางคงมิอาจยาวนานได้ 


 


 


นางผู้เป็นมารดา ยากนักที่จะเห็นบุตรสาวมีสหายที่สามารถตายแทนกันได้เช่นนี้ หากมิอาจรักษาความสัมพันธ์ให้ยาวนานได้ กลับเป็นนางต่างหากที่เสียดายแทนบุตรสาว 


 


 


หากเจินเมี่ยวมิได้ทำไม่ดี นางจะเห็นแก่ชูสยา ยินยอมช่วยเหลือนางทุกอย่างหากวันหน้ามีเรื่องใดที่สามารถช่วยได้ 


 


 


แต่เมื่อชูสยาได้ยินคำตอบของเจินเมี่ยวแล้วกลับเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ เช่นนั้นมิต้องใช้ร่างกายและความรักตอบแทนหรอกหรือ?” 


 


 


ในบทละครต่างพูดเช่นนี้ทั้งสิ้น 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม