เล่ห์รักกลกาล 228-234

ตอนที่ 228 อี้อ๋อง ข้าอยากเอาไม้กระบอ...

 

แววตาเยี่ยเม่ยทอประกายเย็นวาบ ราชสำนักจงเจิ้งอย่างนั้นหรือ


 


 


ทุกครั้งที่ได้ฟังชื่อนี้ ในใจของนางล้วนเกิดความรู้สึกแปลกอยู่บ้าง รวมถึงครั้งนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ครั้งสองครั้งนางยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ทำเสียว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเอง แต่ว่าครั้งนี้…


 


 


หากนางยังหลงคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดอยู่ อย่างนั้นนางก็โง่เต็มทนแล้ว


 


 


เห็นนางยืนอยู่ที่ประตู มองจ้องอยู่ด้านนอกไม่ขยับ


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้ทอประกายยินดีและเบิกบาน น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังถามออกด้วยความสงสัย “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นอะไรไป หรือว่าเจ้ารู้สึกคุ้นเคยกับที่ตั้งของราชสำนักจงเจิ้ง”


 


 


ใช่แล้ว


 


 


คุ้นเคย คุ้นเคยมากจริงๆ


 


 


คุ้นเคยถึงกระทั่งมีภาพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง ทว่ายามนี้เป่ยเฉินอี้คือศัตรู ต่อให้นางมีความเกี่ยวพันกับสถานที่แห่งนี้จริง ต่อให้วันนี้นางคิดอะไรขึ้นมาได้ ก็ไม่มีทางให้เป่ยเฉินอี้รับรู้ได้แม้แต่น้อย!  


 


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเป่ยเฉินอี้ ถามนิ่งๆ ว่า “ข้าแค่แปลกใจเท่านั้น อยู่ดีๆ ไฉนพวกเราต้องมาที่ตั้งเก่าของราชวงศ์ที่ล่มสลายไปแล้วด้วย เชื่อว่าอี้อ๋องคงรู้ดี ข้าถือตรานำทัพอยู่ในยามนี้ ท่านให้ข้ามาดูสถานที่ประเภทนี้ในเวลานี้ หรือคิดจะแช่งให้ข้าพ่ายแพ้ศึก”


 


 


น้ำเสียงนางไม่เป็นมิตรอย่างมาก สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ยิ่งเจือไปด้วยความเป็นศัตรู


 


 


คราวนี้กลับทำให้เป่ยเฉินอี้มองพิรุธอะไรไม่ออก น้ำเสียงน่าฟังของเขาเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนงมงายอย่างนี้หรือ ถึงกับเชื่อว่าเมื่อมาที่นี่แล้วจะทำให้แพ้ศึก”


 


 


 “ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยทำท่าทางเปิดเผย “ข้างมงายมาก!”


 


 


ชิงเกอ “…”


 


 


ก็ดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนยอมรับว่าตัวเองงมงาย คนทั่วไปต่อให้งมงายก็ไม่มีทางออกมายอมรับ อีกทั้งยังหลงเข้าใจว่าตัวเองมีความเชื่ออย่างธรรมดาเท่านั้น


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้ช่างไม่เหมือนคนทั่วไปเสียจริง


 


 


เป่ยเฉินอี้ถูกคำตอบของเยี่ยเม่ยทำให้สะดุดไป เขานิ่งไปครู่หนึ่ง หัวเราะเสียงนุ่มอีกครั้ง “แต่พวกเรามาถึงแล้ว ต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยงมงาย แต่ก็ขอให้ลงจากรถม้ามาชมดูสักหน่อยเถิด!”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว คล้ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก สีหน้าที่มองเป่ยเฉินอี้ยังเปลี่ยนไปไม่น่าดู ลงรถม้าด้วยท่าทางไม่ยินยอม ทั้งเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านอ๋องรั้งข้าเอาไว้ ไม่รู้ว่าซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงจะรับมือพวกที่ดักซุ่มอยู่ระหว่างทางได้หรือไม่ ขอเตือนท่านไว้คำหนึ่ง หากยาของจิ่วหุนส่งกลับไปไม่ทัน เยี่ยเม่ยจะให้ท่านอ๋องชดใช้ชีวิต!”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับยิ้มออกมา “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ต้องร้อนใจ ในยามนี้เชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงรู้แล้วว่าข้าไม่อยู่ที่ชายแดน ทัพเสริมของเขาไม่มีทางเห็นแม่นางทั้งสองมีภัยแล้วไม่ช่วยเหลืออย่างแน่นอน!”


 


 


ระหว่างเอ่ยคำนี้ เป่ยเฉินอี้ก็ลงจากรถ


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับหัวเราะ เอ่ยปากว่า “ท่านพูดไม่ผิด หากไม่ใช่เพราะตอนเห็นท่าน ข้าก็เดาได้แล้วว่าไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะพบว่าท่านไม่อยู่ชายแดนแล้วส่งคนมาช่วยเหลือ ข้าก็ไม่กล้าเดิมพันง่ายๆ เช่นนี้ อย่างไรเสียหากจงรั่วปิงกับซินเยว่เยี่ยนพบศัตรูจำนวนมากระหว่างทาง เรื่องนี้ก็จะเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ”


 


 


ครั้นเอ่ยถึงจุดนี้เยี่ยเม่ยกวาดตามองเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงทวีความเย็นชา “แต่ว่า! อี้อ๋อง ท่านทำให้คนรังเกียจจนถึงขั้นที่ข้าอยากคว้าไม้กระบองฟาดท่านให้ตายไปเสีย!”


 


 


นางตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชิงเกอเป็นคนแรกที่จับด้ามกระบี่ของตนอย่างระวัง เตรียมตัวคุ้มกันเจ้านาย


 


 


ส่วนเป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็หาได้ใส่ใจไม่ เขากลับเชื่อว่าเยี่ยเม่ยไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอเชิญแม่นางเยี่ยเม่ยเข้าไปชมด้านในกับข้าสักเทียวหนึ่ง ข้าเฝ้ารอเหลือเกินว่า หลังจากแม่นางเยี่ยเม่ยชมเสร็จแล้วจะยิ่งเกลียดข้าขึ้นไปอีก!”


 


 


หากนางคืออาซี หลังจากเข้าไปแล้วต้องยิ่งรังเกียจเขาอย่างแน่นอน


 


 


การถูกนางรังเกียจหาใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ แต่หากอาซียังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นางเกลียด เขาก็ยินดี


 


 


ระหว่างใช้ความคิด เป่ยเฉินอี้ก็สะบัดชายเสื้อเดินนำเข้าไปก่อน


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง มองแผ่นหลังของเขา สองมือกอดอกทำท่าทางไม่เป็นโล้เป็นพายติดตามเขาเข้าไปด้านใน


 


 


เบื้องหน้าคือกำแพงวังสูงตระหง่าน


 


 


เขาบอกว่าที่นี่คือที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง ความจริงหากพูดให้ชัดเจนคือวังหลวงแห่งหนึ่ง ระยะเวลาไม่เก่าแก่มาก เพียงแต่ไม่มีคนปัดกวาดเช็ดถูมานาน ใยแมงมุมอยู่ทั่วสารทิศ


 


 


ยามเมื่อฝีเท้าของเยี่ยเม่ยเดินตามเป่ยเฉินอี้เข้าไปทางประตูใหญ่ของวัง


 


 


นางพลันสัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์คุ้นเคยจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาอยู่ในสมอง ชั่วเวลาพริบตา คล้ายเห็นแม่นางที่เด็กกว่านางไม่กี่ปี หน้าตาเหมือนกับตัวนางไม่มีผิดเพี้ยนผู้หนึ่งสวมชุดขันที กระโดดโลดเต้นผ่านที่แห่งนี้


 


 


แม่นางน้อยผู้นั้นใบหน้าอาบรอยยิ้ม เอ่ยกับสาวใช้ที่สวมชุดขันทีเหมือนตนเองว่า “เร็วเข้า หากไม่รีบกลับไป จะถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่จับได้แล้วว่าข้าแอบหนีออกไปนอกวัง!”


 


 


ความรู้สึกคุ้นเคยจากเบื้องลึกเข้าจู่โจม ในขณะเดียวกันก็ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง จนถึงกระทั่งหวาดกลัว


 


 


หรือว่า…


 


 


เป่ยเฉินอี้จะรู้เรื่องในอดีตของนางจริงๆ


 


 


ทั้งนางคือคนที่เป่ยเฉินอี้คิดถึงผู้นั้นอีกด้วย


 


 


นางรู้สึกขนลุกไปทั้งแขน ยามนี้เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกหวั่นกลัว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้นางหยุดฝีเท้าอย่างห้ามไม่ได้


 


 


เวลาเดียวกับที่นางหยุดฝีเท้า เป่ยเฉินอี้รู้สึกยินดีอยู่ในใจ


 


 


เขาหันไปมองเยี่ยเม่ย ทว่าเห็นใบหน้าของเยี่ยเม่ยไม่มีความคิดคะนึงหรือความโกรธแค้น แต่กลับเย็นเยือกดังเคย ความยินดีในเบื้องลึกของดวงตาเขาแข็งขืนขึ้นมาทันที เขาเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หรือเพราะยินยอมคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยรีบรวบรวมสติกลับมา ยังดีที่ต่อให้นางรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังมีสีหน้าเย็นชา ไม่ทำให้เป่ยเฉินอี้จับพิรุธใดๆ ได้


 


 


นางกวาดสายตามองไปรอบด้านเล็กน้อย จ้องตาเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “ยินยอมคิดอะไรขึ้นได้หรือ ความหมายของอี้อ๋องคือท่านคิดว่าข้านึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ยังหลอกลวงว่าคิดไม่ได้หรือ อี้อ๋องคิดมากไปแล้ว ที่ข้าหยุดก็เพราะเห็นกำแพงฝั่งนี้มีใยแมงมุมจำนวนมาก คิดว่าที่นี่คงไร้คนดูแลมาหลายปี ไม่แน่ว่าจะยิ่งสกปรกเลอะเทอะ ดังนั้นข้าจึงไม่ยินยอมเดินต่อเข้าไป!”


 


 


แววตาของเป่ยเฉินอี้นิ่งขึง น้ำเสียงยังลุ่มลึกเกินหยั่งได้ “เดิมทีที่นี่สมควรมีคนคอยเฝ้า แต่เพราะความดื้อดึงของข้าขอให้ฝ่าบาททรงประทานวังหลังนี้ให้ ข้าจึงปิดมันเอาไว้ ไม่ส่งคนมาดูแล!”


 


 


คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วมองหน้าเขา


 


 


เป็นถึงฮ่องเต้ไฉนถึงประทานวังเก่าผุพังนี้ให้กับขุนนางของตนกัน หากขุนนางย้ายเข้าพักจริงๆ เช่นนั้นวังทั้งสองแห่งล้วนมีคนอาศัยอยู่ สุดท้ายแล้วใครคือฮ่องเต้กันแน่


 


 


นอกจากว่าในยามนั้นฮ่องเต้ถูกบีบคั้น ไม่อาจไม่ทำตาม 

 

 


ตอนที่ 229 เยี่ยเม่ยฟื้นฟูความทรงจำ

 

เห็นท่าทางใช้ความคิดของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้ถามเสียงขรึมว่า “ทำไม แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าแปลกใจเรื่องอะไรหรือเปล่า” 


 


 


 “ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยกลับตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง “ข้าแปลกใจจริงๆ ปีนั้นอี้อ๋องบีบคั้นฝ่าบาทอย่างไร เพราะองค์ถึงยอมประทานวังนี้ให้ท่าน!” 


 


 


คำที่นางใช้คือ ‘บีบคั้น’ 


 


 


ทว่าเป่ยเฉินอี้ไม่คิดถกปัญหาข้อนี้เลยสักน้อย อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่า ยามเยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ความจริงแล้วในใจของเขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่นางแปลกใจในเรื่องนี้ 


 


 


เขาเดินเข้าไปในวังต่อ หัวเราะเสียงแข็ง “ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยต้องขบขันแล้ว ในฐานะปราชญ์ ปีนั้นเป่ยเฉินอี้ก็แค่ใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ปราดเปรื่องเท่านั้นเอง!” 


 


 


ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ปราดเปรื่องหรือ 


 


 


เยี่ยเม่ยอยากหัวเราะอยู่บ้าง ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของคนหลักแหลมแบบเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวพันถึงชีวิตของคนนับหมื่นนับพันเสียกระมัง แต่ว่าเรื่องที่พัวพันถึงชีวิตผู้อื่น เรียกได้ว่าเรื่องความเป็นความตายใหญ่โต ก็เป็นแค่แผนการเล็กๆ หรือว่าการหยอกเล่นสำหรับเป่ยเฉินอี้เท่านั้นเอง 


 


 


นางติดตามเขาเข้าไปด้านในวัง 


 


 


ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งรุนแรงมากขึ้น ชั่วขณะที่เยี่ยเม่ยเงยหน้า ส่งสายตามองไปในจุดต่างๆ คล้ายกับเห็นภาพอันคุ้นเคยฉายขึ้นมา แม่นางน้อยคนเดิมที่อายุอ่อนกว่าตน แต่มีใบหน้าเหมือนนางไม่มีผิดเพี้ยนผู้นั้น  


 


 


ยังคงเป็นนาง… 


 


 


ภายในวังแห่งนี้ ทุกหนทุกแห่งที่นางมองเห็นล้วนมีร่อยรองของแม่นางผู้นั้น 


 


 


เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน 


 


 


เหตุใดในสมองของนางถึงมีภาพพวกนี้ปรากฏขึ้น นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ช่วงเวลาเดียวกับความรู้สึกคุ้นเคย ในใจของเยี่ยเม่ยเกิดความรู้สึกไม่สงบอย่างรุนแรง นางรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมาก หากยังต้องเดินติดตามเป่ยเฉินอี้เข้าไปด้านในอีก ไม่แน่ว่านางอาจจะทนไม่ไหวเผยพิรุธออกมา ทำให้เป่ยเฉินอี้พบว่านางมีความผิดปกติ จนกระทั่งเอาเรื่องในอดีตมาข่มขู่นางได้…  


 


 


 


 


 


ฝีเท้าของนางพลันหยุดชะงักลง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “วังก็เข้ามาแล้ว สิ่งที่สมควรเห็นก็เห็นมากพอประมาณแล้ว อี้อ๋องปล่อยข้าจากไปได้แล้วหรือยัง” 


 


 


 “เหตุใดต้องรีบร้อนด้วยเล่า!” เป่ยเฉินอี้กลอกสายตามองนาง เอ่ยเสียงขรึมว่า “ในวังแห่งนี้มีสถานที่สองแห่งที่แม่นางเยี่ยเม่ยต้องไป ถึงนับได้ว่ามาชมวังแห่งนี้แล้ว!” 


 


 


เมื่อพูดจบ เขาก็นำทางอยู่เบื้องหน้าต่อไป 


 


 


เยี่ยเม่ยกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เดินติดตามอยู่ด้านหลังเขา 


 


 


นางเดินตามเป่ยเฉินอี้ไปก็ยิ่งรู้สึกว่าฝีเท้าตนเองเลื่อนลอยขึ้นทุกที ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านแทบเห็นภาพแม่นางที่หน้าตาเหมือนตนเองหัวเราะวิ่งเล่นอยู่ในวังแห่งนี้ ในเวลานี้นางยังรู้สึกถึงความปวดหนึบรุนแรง 


 


 


เจ็บมาก 


 


 


เจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาจากเบื้องลึกในหัวใจ ทำให้นางไม่เข้าใจเลยว่าความเจ็บปวดนี้มาจากแห่งหนใด ทั้งยังไม่ทันรับมือกับความเจ็บปวดนี้ได้ หัวใจก็มีความเคียดแค้นล้ำลึกถึงกระดูกกระแสหนึ่งปะทุขึ้นมา… 


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน! 


 


 


เรื่องอะไรกันแน่ 


 


 


เหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงทำให้นางมีอารมณ์แปรปรวนได้อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งแค้น แทบจะทำหัวใจคนแตกซ่าน นางเริ่มสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เคยมีอดีตของตน ซ้ำร้ายยังเกี่ยวพันถึงความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากันได้ของตนเองใช่หรือไม่! 


 


 


ภายใต้ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็ตามเป่ยเฉินอี้มาถึงหน้าประตูตำหนักหลังหนึ่ง เยี่ยเม่ยแหงนหน้ามองป้ายชื่อตำหนักนั้น ด้านบนปรากฏอักษรไม่กี่ตัว ‘ตำหนักเฉินซี’ 


 


 


เป่ยเฉินอี้ยู่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย ผลักประตูเข้าไป 


 


 


ความทรงจำพุ่งขึ้นมาค่อยๆ ครอบงำความตระหนักรู้ของเยี่ยเม่ย ช่วงเวลาชั่วขณะคล้ายเห็นแม่นางที่หน้าตาเหมือนตนเอง นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางตำหนักนี้ยิ้มให้กับตน 


 


 


จากนั้นเพียงเสี้ยววินาที ร่างของแม่นางน้อยผู้นั้นโบยบินมาทางนาง แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของนาง 


 


 


ไม่ช้าภาพที่ขาดๆ หายๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏอยู่ในห้วงสมอง ถึงกระทั่งไม่รู้ตัวเลยว่าฝีเท้าของตนเองได้เหยียบเข้ามาในตำหนักแล้ว นับตั้งแต่เรือนหลัก เรือนรอง ไปจนถึงเรือนบรรทม 


 


 


ราวกับว่าเท้าของนางอยู่เหนือการควบคุม เดินอย่างว่องไวไปยังสถานที่ต่างๆ ในตำหนัก ส่วนความทรงจำที่ห่างไกลนั้นก็แทบถูกปลุกขึ้นมาทีละนิดๆ ในเสี้ยวเวลานี้ นางแทบรับรู้ได้แล้วว่าตัวเองเคยอาศัยอยู่ที่นี่ 


 


 


ข้าวของทุกอย่างในที่นี้ล้วนคุ้นเคย เหมือนกับตนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน 


 


 


ระหว่างความสับสน ในสมองนางปรากฏภาพบางอย่างฉายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้นางต้องเร่งฝีเท้า ภายใต้สายตาจับสังเกตของเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยเดินไปอยู่เบื้องหน้าชั้นหนังสือ อาศัยความทรงจำแปลกพิกลในสมองยื่นมือออกไปขยับแท่นฝนหมึกที่ตั้งอยู่ด้านหนึ่งบนตู้หนังสือ 


 


 


ไม่ช้า ตู้หนังสือเปิดออกจากสองด้าน ปรากฏเส้นทางลับสายหนึ่ง 


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั่วทั้งกาย จากความตระหนักรู้อย่างไร้เหตุผลที่ไหลซึมเข้ามาในสมองเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยจดจำได้ว่าที่ตรงนี้เหมือนเคยมีเส้นทางลับสายหนึ่ง เมื่อก่อนยามที่นางลอบออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ก็หนีออกไปด้วยเส้นทางสายนี้… 


 


 


ดังนั้น 


 


 


สิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหลายเหล่านี้ ความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมาในสมองของนาง หาใช่ภาพมายา แต่เป็นความทรงจำจริงๆ อย่างนั้นหรือ 


 


 


ในชั่วขณะที่นางไม่ได้สติ 


 


 


สายตาลุ่มลึกเกินคาดของเป่ยเฉินอี้จับตามองอยู่ที่แผ่นหลังของเยี่ยเม่ย เขาเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ทำไมทันทีที่แม่นางเยี่ยเม่ยเข้ามาถึง ก็พบเส้นทางลับสายนี้ได้เลย” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยที่เหม่อลอยพลันได้สติกลับมา 


 


 


นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังสั่นไหว ทว่านางเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าในเวลานี้ไม่อาจปล่อยให้เป่ยเฉินอี้พบพิรุธใดๆ ได้ทั้งนั้น การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคน นางตามหลังเขาไปหลายก้าวแล้ว หากวันนี้ยังส่งจุดอ่อนของตัวเองออกไปให้เขาอีก 


 


 


กลัวแต่ว่านางต้องจบเห่แน่แล้ว! 


 


 


ด้วยเหตุนี้ไม่อาจให้เขารู้ว่านางจำอะไรบางอย่างได้ เยี่ยเม่ยตีสีหน้าเป็นปกติ สายตายิ่งเย็นชาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหันหลังมองเป่ยเฉินอี้คราหนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ หัวเราะเสียงเย็นอย่างได้ใจ “ข้ารู้จักกลไกอยู่บ้าง หลังจากเข้ามาก็สำรวจไปรอบๆ พบว่ามีกลไกอยู่ตรงนี้อย่างที่คาดไว้ พูดเช่นนี้แล้วข้ายังนึกเลื่อมใสตัวเองไม่น้อยเลย!” 


 


 


สีหน้าของนางเป็นปกติมาก จับพิรุธใดๆ ไม่ได้เลยสักน้อย 


 


 


ทว่าหัวใจเต้นระรัวราวกับกลอง นางรู้ว่าความทรงจำในสถานที่แห่งนี้เกี่ยวพันกับนาง แล้วยังเข้าใจว่าตัวนางเพียงจำภาพความทรงจำไม่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้เท่านั้น ยังมีอีกมากที่นางยังจำไม่ได้ แม้กระทั่ง… 


 


 


ภายใต้ความมืดมิด คล้ายมีเสียงเสียงหนึ่งกำลังบอกนาง แต่นางยังคิดเรื่องสำคัญไม่ออก 


 


 


ยังขาดจุดสำคัญไปอย่างหนึ่ง 


 


 


หากนางเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่นางเคยอาศัยอยู่ อย่างนั้น…เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เพราะอะไรราชสำนักจงเจิ้งถึงถูกทำลาย เพราะอะไรนางต้องหนีออกจากวังหลังนี้ เพราะอะไรนางถึงไปอยู่ข้างกายลูกพี่ได้ 


 


 


จุดสำคัญที่นางยังจำไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วคืออะไรกันแน่! 


 


 


ยามที่เยี่ยเม่ยใคร่ครวญอยู่ เป่ยเฉินอี้กลับจับพิรุธบนใบหน้านางไม่ออก เขาได้แต่เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าไม่เข้าใจเลย แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างจริงๆ หรือว่าเจ้าเล่นละครได้ดีเกินไป!” 


 


 


เยี่ยเม่ยยิ้มออกโดยไม่ปฏิเสธ “อย่างนั้นท่านก็ลองเดาดูแล้วกัน!” 


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับคลี่ยิ้มออกอีกครั้ง เอ่ยว่า “อย่างนั้นออกไปจากที่นี่ก่อน เชื่อว่าสถานที่ถัดไปจะทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยได้พบเรื่องสำคัญอีกมาก!”  

 

 


ตอนที่ 230 จำการตายของพ่อแม่ได้!

 

เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ทีหนึ่ง


 


 


ใบหน้าที่มองอะไรไม่ออกเหมือนดังเคย ทว่าในใจเกิดความสงสัย เอ่ยถามเสียงนิ่งว่า “อย่างนั้นก็ขอให้อี้อ๋องนำทางเถอะ พูดตามตรงข้าก็อยากรู้เหลือเกินว่า สุดท้ายแล้วอี้อ๋องจะมาไม้ไหนอีกกันแน่!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเยี่ยเม่ย ก็จับพิรุธใดๆ ไม่ได้


 


 


เป่ยเฉินอี้หาได้กลัดกลุ้ม


 


 


เขาค่อยๆ สะบัดชายเสื้อหมุนตัว แผ่นหลังเผยให้เห็นความสูงศักดิ์เด่นชัด ยามที่เห็นเขาเดินออกจากห้องไป ความทรงจำส่วนที่ลึกที่สุดของเยี่ยเม่ยคล้ายกับเห็นเขาเมื่อหลายปีก่อนเคยอยู่ในห้องนาง แล้วหมุนตัวจากไปเช่นนี้


 


 


หัวใจของเยี่ยเม่ยสับสนอลหม่าน


 


 


ภาพเช่นนี้ หมายความว่าอะไรกัน


 


 


หมายความว่าเรื่องราวในอดีตของนางมีเป่ยเฉินอี้ร่วมอยู่ด้วย อย่างนั้นเป่ยเฉินอี้ในเวลานั้นเป็นอย่างไรในสายตานาง ยามที่นางพบเป่ยเฉินอี้มีความรู้สึกอย่างไร


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยยืนนิ่งที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน


 


 


เป่ยเฉินอี้ส่งสายตามองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง สีหน้ายังคงลุ่มลึกเกินคาด สายตาล้ำลึกจ้องใบหน้าเยี่ยเม่ย ค่อยๆ เอ่ยว่า “ทำไมกัน หรือคิดอะไรได้แล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว มองหน้าเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าแค่กำลังสงสัยเท่านั้น ว่าเพราะเหตุใดข้าต้องเชื่อฟังทำตามคำสั่งท่านด้วย ท่านต้องการให้ข้าไปที่ไหน ข้าก็ไปที่นั่น”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ นางก้าวเท้าออกเดินตามเป่ยเฉินอี้ออกไป “ช่างเถอะ ในเมื่อติดตามท่านไปสถานที่แห่งหนึ่งแล้ว ที่อื่นๆ ข้าตามไปก็แล้วกัน กันไม่ให้อี้อ๋องที่คิดมากรู้สึกว่าที่ข้าไม่ติดตามท่านไป เพราะมีปัญหาหรือว่าร้อนตัว”


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของเยี่ยเม่ยดูเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่ยินยอม ยืนหยัดมั่นใจว่าตัวเองไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น เป็นเพราะเป่ยเฉินอี้ก่อเรื่องขึ้นมาทั้งสิ้น


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับหัวเราะเสียงต่ำ เอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยมีใจที่เปิดเผยเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็ยิ่งอยากพาแม่นางไปแล้ว อีกทั้งก็เป็นการพิสูจน์ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย หาใช่คนในความทรงจำของข้าจริงๆ”


 


 


 “อ้อ” เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ ลอบถามว่า “สิ่งเหล่านี้ที่แท้เกี่ยวข้องกับอดีตของอี้อ๋องหรือ”


 


 


ดวงตาเรียวยาวของเขามองเยี่ยเม่ย ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยสนใจเรื่องในอดีตของข้าด้วยหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ แค่นเสียงหัวเราะออกมา “ช่างเถอะ จริงอยู่ที่ข้าอยากรู้ แต่หวังว่าอี้อ๋องจะเข้าใจ การเล่าเรื่องในอดีตของตนออกมา ก็เท่ากับท่านเผยจุดอ่อนมาไว้ในมือข้า ข้าคิดว่าท่านคงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ดังนั้น…”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สายตาที่นางมองเป่ยเฉินอี้ก็ลุ่มลึกขึ้นหลายส่วน “ข้าคิดว่า หากวันนี้อี้อ๋องเล่าเรื่องในอดีตของท่านที่ไม่มีคนรู้มาก่อนอย่างหมดเปลือก อย่างนั้นข้าก็ยังต้องพิจารณาว่านี่เป็นเรื่องโกหกที่ท่านอ๋องตั้งใจแต่งขึ้นมาหรือไม่”


 


 


ไม่ว่าอย่างไรบุรุษที่ฉลาดหลักแหลมอย่างนี้ จะยอมเปิดเผยเรื่องในอดีตของตนเองออกมาอย่างไร้เหตุผล เผยจุดอ่อนให้กับเยี่ยเม่ยได้อย่างไร


 


 


หากมิใช่เพราะมีเป้าหมาย ก็ต้องเป็นเพราะตระเตรียมเรื่องโกหกเอาไว้หลอกลวงเยี่ยเม่ย ทำให้นางหลงเข้าใจว่าตนเองจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ จากนั้นค่อยตกหลุมพรางที่เขาวางไว้…..


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ยช่างระมัดระวังยิ่งนัก!” เป่ยเฉินอี้กล่าวออกมา เพียงแต่ในคำวิจารณ์ประโยคนี้ฟังไม่ออกว่า สรุปแล้วเขากำลังชื่นชมหรือว่าเสียดสี


 


 


แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชา “การสนทนากับอี้อ๋อง ระวังเอาไว้หน่อยถึงจะเป็นการกระทำที่มีสมองไม่ใช่หรือ ไม่เช่นนั้นตนเองจะตายไปตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย”


 


 


ครั้นเอ่ยมาถึงเวลานี้ เยี่ยเม่ยคล้ายกับไม่เหลือความอดทนยืดเยื้อติดตามเป่ยเฉินอี้ต่อไปอีกแล้ว


 


 


นางเอ่ยเสียงนิ่งว่า “อี้อ๋องยังคิดพาข้าไปที่ไหนอีก ก็รีบออกเดินทางเถอะ อย่าได้เสียเวลาของเราทั้งคู่เลย เชื่อว่าท่านคงรู้ว่า เยี่ยเม่ยต้องการกลับบ้านแล้ว!”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังคำนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก


 


 


หันกลับไปเดินต่อ เยี่ยเม่ยรีบติดตามไปอย่างว่องไว มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเป่ยเฉินอี้กำหมัดแน่น สีหน้าเย็นชา อยากกลับบ้านอย่างนั้นหรือ


 


 


ความต้องการกลับไปของนางเป็นเพราะว่าจิ่วหุนอยู่ในภาวะอันตรายถึงชีวิต หรือว่าเพราะ…คิดถึง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกันแน่


 


 


ยามคิดถึงตรงนี้ หัวใจของเป่ยเฉินอี้ก็ปรากฏความไม่สบายอย่างแรงกล้า ฝีเท้าก้าวเร็วยิ่งขึ้น ทำให้เยี่ยเม่ยต้องเร่งฝีเท้าเพื่อติดตามเขาให้ทัน


 


 


นางอดสงสัยไม่ได้ว่าสรุปแล้วเขาถูกอะไรกระตุ้นกันแน่ แต่นางไม่มีอารมณ์ใคร่ครวญมากความ


 


 


เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ตามเขามาถึงตำหนักพำนักที่อยู่ใกล้ๆ


 


 


เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้สถานที่แห่งนี้ เยี่ยเม่ยก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือก ยังไม่ทันติดตามเขาเข้าไปด้านใน ในสมองของนางมีเสียงแหลมสูงดังขึ้น “รีบไป! อาซี รีบหนีไป…”


 


 


 “เร็ว! หนีไปทางเส้นทางลับของ… อาซีรีบหนี…”


 


 


 “อาซี รักษาตัวให้ดี จงมีชีวิตต่อไป…”


 


 


 “อาซี…”


 


 


เสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นในหูนางแต่ละครั้ง ค่อยๆ เติมเต็มความทรงจำในสมองของนางทีละน้อย เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าสองเท้าเริ่มอ่อนแรง


 


 


เพียงแต่ศัตรูตัวฉกาจที่สุดอยู่เบื้องหน้า ต่อให้เยี่ยเม่ยรู้สึกไม่สงบ ก็ไม่กล้าแสดงออก รีบจัดการปรับสีหน้าและอารมณ์ของตัวเอง


 


 


นางเดินตามเป่ยเฉินอี้ไปถึงประตูตำหนัก


 


 


ถัดมา เสียงร้องแหลมสูงยิ่งดังมาจากทั่วสารทิศ ราวกับนางติดอยู่ในความทรงจำอันเนิ่นนานนั้น สตรีสวมอาภรณ์สีเหลืองสว่างอยู่ในตำหนักนั้น กอดขาองครักษ์ผู้หนึ่งเอาไว้ รั้งไม่ให้เขาไล่สังหารคน ตะโกนออกมาด้านนอกว่า “อาซี รีบไป อาซี! อย่าหันกลับมา ไป…”


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกทั่วทั้งร่างกายรวมไปถึงหลังศีรษะเย็นวาบเป็นระลอกๆ


 


 


นางเห็นภาพ


 


 


แม่นางน้อยที่หนีออกไปถึงหน้าประตูหันหลังกลับมา เห็นกับตาว่าองครักษ์ถีบสตรีนางนั้นอย่างแรงทีหนึ่ง


 


 


จากนั้นก็หยิบกระบองข้างกายฟาดศีรษะสตรีนางนั้น…


 


 


สตรีนางนั้นแผดเสียงร้อง ล้มลงจมกองเลือดบนพื้น สีหน้านางเย็นเยือก ทั้งยังมองแม่นางน้อยด้วยดวงตาคลอน้ำตา ยังยืนหยัดเอ่ยว่า “ไป รีบไป…”


 


 


สายตาของแม่นางน้อยกวาดไปภายในเรือนนั้นอีกครั้ง จากนั้นเห็นบุรุษสวมชุดเหลืองสว่างผู้นั้น ล้มลงจมกองเลือดอยู่แต่แรก สิ้นลมหายไปนานแล้ว


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด ชั่วขณะนั้นดวงตาเยี่ยเม่ยพลันคลอด้วยน้ำตา


 


 


นั่นคือความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุม ไม่อาจตัดใจได้ และก็เป็นน้ำตาหยดนี้ที่ทำให้นางได้สติกลับมา รีบใช้มือปาดน้ำตาหยดใสออกไปอย่างหมดจด


 


 


เสี้ยวนาทีถัดมา เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองเยี่ยเม่ยที่หน้าประตู ถามด้วยเสียงขรึมว่า “ที่นี้เป็นตำหนักที่ฮ่องเต้และฮองเฮาของราชสำนักจงเจิ้งสิ้นพระชนม์ในปีนั้น ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยรู้สึกคุ้นเคยหรือไม่”


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮาหรือ


 


 


สิ้นพระชนม์?!


 


 


เพราะเหตุใดยามได้ยินคำไม่กี่คำนี้ หัวใจของนางถึงได้เจ็บปวดอย่างสาหัส คล้ายถูกฉีกทึ้งออกทั้งเป็น เลือดสาดกระเซ็นอยู่เบื้องหน้านาง 

 

 


ตอนที่ 231 ถูกเป่ยเฉินอี้จับพิรุธได้

 

หัวใจของเยี่ยเม่ยเจ็บปวดเสียแทบไม่ไหว ซ้ำยังต้องรับมือศัตรูแข็งแกร่งตรงหน้าอีก 


 


 


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางรู้สึกว่ามีกำลังไม่ได้ดั่งใจหวังเอาเสียเลย นางฝืนสงบใจลง สลัดความคิดและความทรงจำแปลกประหลาดพวกนั้น รวมถึงภาพที่ชวนให้หัวใจคนสั่นผวาออกไปจากสมอง ทำให้ตัวเองมีความสงบนิ่งและไร้อารมณ์ความรู้สึกมากที่สุด มองไปที่เป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ฮ่องเต้และฮองเฮาราชสำนักจงเจิ้งหรือ” 


 


 


น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความสนใจอยู่หลายส่วน เส้นเสียงยิ่งทวีความเย็นชามากขึ้น “หรือความหมายของอี้อ๋องคือ ข้ามีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จงเจิ้งในปีนั้น หรือว่าอี้อ๋องต้องการกำจัดข้า ถึงคิดอุบายใหม่ๆ ออกมา อืม…ด้วยการทำให้ข้ากับราชวงศ์จงเจิ้งเกี่ยวพันกัน ข้าเป็นคนของราชวงศ์เก่ามีโทษสถานหนัก เช่นนั้น ท่านก็กำจัดข้าได้อย่างสมเหตุสมผลและง่ายดายขึ้นมาก ใช่หรือไม่” 


 


 


ครั้นนางเอ่ยคำพูดนี้ออกมาก็รู้สึกหัวใจกระตุกเจ็บอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายกับคำพูดไปกระทบถูกอะไรบางอย่าง 


 


 


คล้ายกับ… 


 


 


คำพูดของนางล้วนเป็นความจริง นางมีความสัมพันธ์กับคนของราชวงศ์ก่อนจริงๆ 


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮา… 


 


 


สิ้นพระชนม์แล้ว 


 


 


แม่นางน้อยคนนั้นคือนางจริงหรือ หากเป็นความจริง ถ้าทุกอย่างเป็นดังที่นางคาดไว้ ถ้าหากความเจ็บปวดในหัวใจนางล้วนเป็นความจริง อย่างนั้น… 


 


 


อย่างนั้น… 


 


 


ระหว่างที่นางก้มหน้าปิดตา ความทรงจำอันชัดเจนปรากฏขึ้นมาในสมอง ระหว่างที่บ่าวนำทางแม่นางน้อยที่ใบหน้าเหมือนกับนางไม่มีผิดเพี้ยนหนีออกจากวังหลวง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา  


 


 


แผดเสียงสูงทั้งเต็มไปด้วยความแค้นเคือง “เสด็จแม่! เสด็จพ่อ…” 


 


 


ความแค้นเคือง! 


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ยามนี้สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ทวีความเย็นชา แค้นเคือง ความแค้นนี้เป็นเพราะใครกัน  


 


 


ไฉนยามนั้นนางต้องโกรธแค้นด้วย 


 


 


เพราะเหตุใดถึงได้มีความแค้นเช่นนี้ 


 


 


ไม่ ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงเวลานั้น ถึงกระทั่งตอนนี้ นางก็ยังรับรู้ถึงความโกรธแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกเช่นนั้นได้ มันค่อยๆ ปะทุอยู่ในทรวงอก อัดแน่นไปทั้งหัวใจนาง นอกเสียจากความแค้นแล้ว ไม่เหลือสิ่งอื่นใดอีก เป็นความแค้นที่ราชสำนักเป่ยเฉินทำลายราชวงศ์จงเจิ้ง หรือว่าความแค้น…คนอื่นกันแน่ 


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยก้มหน้าลงอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน สีหน้ากลับเย็นชาเหมือนยามปกติ ไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมา 


 


 


ทำให้เป่ยเฉินอี้เริ่มสงสัย นางอาจจะไม่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์จงเจิ้งเลยแม้แต่น้อยจริงๆ 


 


 


ไม่เช่นนั้น หากเป็นอาซี 


 


 


ปรากฏกายอยู่ที่นี่ คิดถึงเรื่องของเสด็จพ่อเสด็จแม่ของนางตายที่ตรงนี้ โดยเฉพาะนางเห็นพ่อแม่แท้ๆ ที่รักนางมากเป็นพิเศษถูกสังหารต่อหน้าต่อตา นางไม่มีทางสงบนิ่งได้ถึงขั้นนี้ ไม่มีทางที่เขาจะจับพิรุธนางไม่ออก  


 


 


เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของคนปกติ 


 


 


ในขณะครุ่นคิด น้ำเสียงน่าฟังของเขายังคงทุ้มต่ำเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นที่นี่ แม่นางเยี่ยเม่ยก็ยังคิดอะไรไม่ออกเลยหรือ” 


 


 


 “ถูกแล้ว!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า สายตากวาดมองไปรอบด้าน ถามเสียงนิ่งว่า “ข้าควรคิดอะไรออกอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องมองนางที่ชะงักฝีเท้าตรงหน้าประตู ถามเสียงขรึมว่า “เช่นนั้นทำไมแม่นางเยี่ยเม่ยถึงไม่กล้าเข้ามา” 


 


 


 “ข้าไม่กล้าที่ไหนกัน” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบรับด้วยความเย็นชา ก้าวเท้าเดินเข้าไป 


 


 


ในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปนั้นเอง ภาพเหตุการณ์โชกเลือดปรากฏอยู่ในสมองยิ่งเด่นชัดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าตน คล้ายกับว่าเพิ่งเป็นเมื่อวานนี้…  


 


 


ฮ่องเต้และฮองเฮาราชสำนักจงเจิ้งสิ้นพระชนม์ที่นี่ 


 


 


ตอนนั้นนางกรีดร้องเรียกเสด็จแม่ 


 


 


ดังนั้นนางคือใครกันแน่ อาซี อาซีคือใคร ตอนนั้นซือหม่าหรุ่ยเข้าใจผิดว่านางเป็นสหาย นั่นก็คือ ‘อาซี’ คนเดียวกันใช่หรือเปล่า  


 


 


บางทีนางสมควรสืบเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับราชสำนักจงเจิ้งดูเสียหน่อย เช่นนั้นความทรงจำที่นางได้รับกลับมาในวันนี้ บางทีอาจเอามารวมร้อยเรียงกันได้ ทำให้ความทรงจำของนางสมบูรณ์มากขึ้น 


 


 


ระหว่างที่นางใคร่ครวญ เท้าก็ก้าวเข้ามากลางตำหนัก สีหน้าราบเรียบเกินเปรียบ 


 


 


อาศัยแค่จุดนี้ก็จับพิรุธใดๆ ไม่ได้แล้ว เป่ยเฉินอี้เห็นนางเดินไปรอบตำหนักเที่ยวหนึ่ง ในที่สุดก็มาหยุดเบื้องหน้าเขา หัวใจของเขารับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบเล็กน้อย ทั้งยังมี…ความผิดหวัง 


 


 


นางไม่ใช่อาซีจริงใช่ไหม 


 


 


เมื่อเห็นความผิดหวังของเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจได้ว่าตัวเองหลอกเขาสำเร็จ นางเอ่ยปากเสียงเย็นว่า “ดูจบแล้ว อี้อ๋องยังมีลูกไม้อื่นๆ อีกหรือไม่ หากมีก็เชิญแสดงออกมาได้เลย อย่างไรเสียนอกจากวันนี้แล้ว ข้าคิดว่าภายภาคหน้า ข้าคงไม่มีอารมณ์เล่นตามบทของอี้อ๋องอีกต่อไปแล้ว” 


 


 


น้ำเสียงของนางเต็มด้วยความไม่อดทนอีก หาได้มีความรู้สึกอย่างที่เป่ยเฉินอี้รอคอยไม่ 


 


 


เป่ยเฉินอี้ตีหน้าขรึมมองนางเล็กน้อย พลันยิ้มออก ตอบกลับไปว่า “อืม ในเมื่อเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่นางเยี่ยเม่ยจะเล่นตามบทของข้า อย่างนั้นยังเหลือสถานที่สุดท้ายอีกแห่ง ขอให้แม่นางติดตามข้าไปด้วย!” 


 


 


ช่างเถอะ หากนางไม่ใช่อาซีจริงๆ 


 


 


ไปมาอีกกี่ที่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพียงแต่…เขาอยากพานางไปสถานที่ที่เขาได้พบกับอาซีครั้งแรก ต่อให้นางไม่ใช่อาซีก็ตาม เช่นนั้นก็ใช้ประโยชน์จากใบหน้าที่เหมือนกับอาซีไม่มีผิดเพี้ยนพาเขากลับสู่ฝันในอดีตก็แล้วกัน 


 


 


ทำเหมือนว่ากาลเวลาย้อนกลับไปอีกครั้ง ทำเหมือนว่า 


 


 


เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะได้พบอาซีอีก 


 


 


เพียงแต่ว่า…สายตาของเป่ยเฉินอี้พลันเผยประกายครุ่นคิดออกมา บางที…หากไม่พานางไปยังสถานที่ทั้งหมด เขาถึงพิสูจน์ได้ว่า ความสงบนิ่งของนางในยามนี้คือเรื่องจริงหรือเสแสร้ง 


 


 


เยี่ยเม่ยย่อมไม่รู้ความคิดในใจของอีกฝ่าย เพียงตอบเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อี้อ๋องก็รีบนำทางเถอะ ฟ้าจวนเจียนจะมืดแล้ว!” 


 


 


 “เชิญ!” 


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยคำนี้ออกไป ก็หมุนตัวเดินออกจากตำหนัก 


 


 


เยี่ยเม่ยติดตามอยู่ด้านหลังเขา ยามที่เขาหันหลังให้ ไม่ต้องเผชิญกับสายตาที่มองทะลุโลกหล้าคู่นั้นของเขาอีก ก็ทำให้ความตึงเครียดที่มีอยู่แต่เดิมของนางผ่อนคลายลงในฉับพลัน 


 


 


ส่วนเท้าที่อ่อนแรงอยู่แต่แรกก็ซวนเซยืนไม่มั่นอีก 


 


 


ในขณะที่นางเดินตามเขาออกประตูไป พลันสะดุดธรณี ล้มลงไปนั่งที่ข้างประตู ภาพเหตุการณ์นี้ยังคุ้นเคยมากอีกด้วย… 


 


 


ภาพในสมองโลดแล่นขึ้นมาทันที 


 


 


ปีนั้นหลังจากเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ ตอนคนในวังพานางหนีออกจากห้อง นางสะดุดอยู่ที่ตรงนี้ ประตูบานนี้ล้มลงเช่นเดียวกัน 


 


 


ภาพเสมือนเกิดขึ้นจริงๆ ทำให้นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อ คุกเข่าอยู่ที่พื้น ไม่ทันยืนให้มั่นในทันที ทั้งไม่ลุกขึ้นมาอีกด้วย 


 


 


เสด็จแม่ 


 


 


จริงด้วย การล้มครั้งนี้ทำให้นางตระหนักได้อย่างชัดเจน คนที่ตายอย่างน่าเวทนาในภาพนั้นคือเสด็จแม่ของนางอย่างจริงแท้แน่นอน 


 


 


เป่ยเฉินอี้รีบหันกลับมาดู จ้องเยี่ยเม่ยที่นั่งบนพื้น 


 


 


ในใจเขาพลันเกิดอารมณ์ยินดี เป็นนางหรือเปล่า เป็นนางจริงๆ หรือไม่ สุดท้ายแล้วนางก็ทนไม่ได้ เผยพิรุธออกมาแล้ว 


 


 


เขาถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก รู้อยู่ในใจว่าเผยพิรุธออกไป ช้อนตามองเขา…  

 

 


ตอนที่ 232 ประจำเดือนมากะทันหัน!

 

หัวใจเยี่ยเม่ยสับสนว้าวุ่น


 


 


เสี้ยวเวลาเพียงแค่ชั่ววูบ ความคิดต่างๆ นานา ผุดขึ้นในสมอง หากนางคืออาซี หากคนที่ตายคือบิดามารดาของนาง


 


 


เช่นนั้น…


 


 


ทันทีที่เป่ยเฉินอี้รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ไม่แน่ว่านางอาจจะถูกคนของเป่ยเฉินไล่ฆ่า คิดแก้แค้นก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว


 


 


จริงด้วย แก้แค้น


 


 


หากความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตล้วนเป็นความจริง นางจะต้องแก้แค้น ความเจ็บปวดเหมือนใจจะขาดทั้งเป็นนี้ ไม่สมควรมีนางคนเดียวที่รู้สึก


 


 


นางไม่อาจปล่อยให้เป่ยเฉินอี้จับพิรุธได้ แต่จะอธิบายเรื่องที่นางล้มอย่างไร


 


 


เพียงเวลาชั่ววูบ เยี่ยเม่ยครุ่นคิดมากมายถึงขั้นนี้


 


 


เห็นแววยินดีในดวงตาของเป่ยเฉินอี้ นางยิ่งลนลาน หากครั้งนี้กลบเกลื่อนไม่ได้อีก จุดยืนของนางภายภาคหน้าคงลำบากเต็มที


 


 


ในขณะที่สมองสับสนวุ่นวาย นางพลันรับรู้ได้ว่าช่วงล่างของตนมีกระแสอุ่นๆ สายหนึ่งไหลลงมา


 


 


ถัดมา เยี่ยเม่ยใจสั่นสะท้าน


 


 


ก้มหน้ามองอาภรณ์สีดำของตัวเองคล้ายถูกบางสิ่งทำให้ชื้น เพราะว่าชุดสีดำจึงไม่อาจเห็นชัดเจน ยามนี้นางรู้สึกคลายใจ…


 


 


นางเงยหน้ามองเป่ยเฉินอี้ สีหน้ากระอักกระอ่วนคล้ายมีคำพูดยากจะเอ่ย น้ำเสียงยังคงเย็นชาเหมือนเคย “อืม…ข้ารู้สึกว่าวันนี้อ่อนเพลียมาก ที่แท้มีประจำเดือนนี่เอง! ทำเอาเมื่อครู่ข้ายืนไม่มั่นคงเสียเลย…”


 


 


เป่ยเฉินอี้หางตากระตุก


 


 


หัวใจที่แต่เดิมอัดแน่นไปด้วยความยินดี พลันจมดิ่งลง อย่างนั้นที่นางล้มลงไปเมื่อครู่ หาใช่เพราะอารมณ์ที่แปรเปลี่ยน แต่เพราะมีประจำเดือนแล้วหรือ


 


 


สตรีมีประจำเดือน


 


 


นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนไม่ขัดเขินเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้กับตน เขา…


 


 


ในระหว่างที่เขาสงสัย


 


 


เยี่ยเม่ยชี้ที่อาภรณ์ของตัวเอง ให้เขาเห็นผ้าที่เปียกชื้นผืนนั้น เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านก็เห็นแล้ว ข้าเองก็…กระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน ข้าไม่หวังว่าท่านจะมีผ้าซับประจำเดือน ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะไปยังสถานที่แห่งใหม่ ต้องไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็ผ้าซับประจำเดือนด้วย”


 


 


เป่ยเฉินอี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เส้นชีพจรตรงขมับเต้นตุบตับ


 


 


ตั้งแต่ความรู้สึกเบิกบานอย่างคลุ้มคลั่งพลันร่วงดิ่งลงจนถึงที่สุด ทั้งยังจนคำพูด ในความจนปัญญานั้น เขาสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง จ้องใบหน้าเบื้องหน้า เอ่ยเสียงขรึมว่า “ก็ได้ แม่นางเยี่ยเม่ยลุกขึ้นเองไหวหรือไม่”


 


 


 “ข้าไม่กล้ารบกวนท่านอ๋องพยุงหรอก ท่านอ๋องเชิญนำทางเถิด!” น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยยังนับว่าเกรงใจอยู่ พูดจบก็ลุกขึ้น


 


 


เป่ยเฉินอี้ไม่ยินยอมถกเรื่องประจำเดือนกับสตรีนางหนึ่งต่อไปแน่ เมื่อฟังนางเอ่ยจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อเดินนำออกไป


 


 


เสี้ยวเวลาที่เขาหมุนตัวไป


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกคลายใจ หัวใจที่ปวดหนึบ หางตายังคลอด้วยน้ำตา ยังดีที่สวรรค์ยุติธรรมสักครั้งหนึ่ง ช่วยเหลือนาง ไม่เช่นนั้นหากไม่เพราะวันนี้ประจำเดือนมา ยามที่นางได้รับความทรงจำกลับคืนมาได้ ก็ตกอยู่ในสภาพถูกไล่สังหารทันที


 


 


นางไม่อยากตาย


 


 


ทั้งไม่อาจถูกคนไล่ฆ่า


 


 


นางจำเป็นต้องใช้ฐานะเยี่ยเม่ยเพื่อทำความเข้าใจเรื่องในปีนั้นให้แจ่มแจ้ง เพื่อล้างหนี้เลือดของน้องชายและบิดามารดา


 


 


น้องชาย…


 


 


จริงด้วย


 


 


ในเสี้ยวเวลาเดียวกันนี้เอง ในหัวของเยี่ยเม่ยปรากฏภาพมือเล็กๆ นิ่มเด้งของทารกน้อยห่อด้วยผ้าอ้อมจับนิ้วชี้ของนางไว้ ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก


 


 


นั่นคือน้องชายของนาง


 


 


แต่ว่าบิดามารดาตายหมดแล้ว แล้วน้องชายเล่า


 


 


เขาไปที่ไหนแล้ว


 


 


ไม่รู้เป็นเพราะอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันหรือไม่ ยามที่อารมณ์บีบรัด นางพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นอย่างร้ายกาจ สิ้นสติล้มลงไป


 


 


เป่ยเฉินอี้ได้ยินเสียงดังจากด้านหลัง


 


 


ช่วงเวลาที่เขาหันกลับไป ก็เห็นร่างของเยี่ยเม่ยล้มพับลงกับพื้น


 


 


หัวใจเขากระตุก รีบพุ่งไปเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย ส่งสายตามองรอยชื้นบนชุดของนาง


 


 


เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง


 


 


ในเวลานี้นอกจากพวกเขาสองคน ก็ไม่มีใครในสถานที่นี้อีก ชิงเกอและคนขับรถเฝ้าอยู่ด้านนอก


 


 


เมื่อจ้องมองใบหน้าเย็นชาราวถ้ำน้ำแข็งของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้พรูลมหายใจออก


 


 


ก้มตัวลงไปอุ้มนางขึ้นมา เดินออกไปนอกวัง ร่างกายอบอุ่นอ่อนนุ่มอยู่ในอก ทว่าเขากลับรู้สึกเย็นเยียบคล้ายเยี่ยเม่ยผู้นี้มีร่างกายและหัวใจเย็นยะเยือก ถึงได้ไม่อาจสัมผัสความอบอุ่นได้


 


 


เขาก้มหน้าลง จ้องมองใบหน้าที่เหมือนจงเจิ้งซีอย่างเงียบๆ


 


 


หัวใจว้าวุ่นไม่หยุด…


 


 


นางล้มลงไป ซ้ำยังเป็นลมอีกด้วย สรุปแล้วเป็นเพราะประจำเดือนหรือเป็นอย่างที่เขาคาดเดากันแน่


 


 


แต่ใบหน้าของสตรีนางนี้เย็นชาอยู่เป็นนิจ ต่อให้เป็นเขาก็จับพิรุธใดๆ ไม่ออก ในชั่วขณะคิด เขาก็อุ้มเยี่ยเม่ยเดินออกจากวังมาแล้ว


 


 


ชิงเกอเห็นภาพเบื้องหน้า พลันตะลึงงัน


 


 


มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่เชื่อสายตา ถามว่า “ท่านอ๋อง หรือว่าจะเป็น…”


 


 


องค์หญิงซีจริงๆ


 


 


ไม่เช่นนั้นจะเป็นลมไปได้อย่างไร ท่านอ๋องจะอุ้มออกมาได้อย่างไร


 


 


ในขณะที่เขาใช้ความคิด


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเขา น้ำเสียงขรึมดังว่า “นางมีประจำเดือนแล้ว”


 


 


ชิงเกอ “…”


 


 


 “อ้อ!” ชิงเกอหมุนตัวไปเงียบๆ เปิดม่านรถม้าออกอย่างจนคำพูด ในใจก็แอบครุ่นคิด แม่นางเยี่ยเม่ยที่ยามปกติดูแล้วแข็งแกร่งไร้ที่ติ ไฉนวันนี้เป็นลมไปเพราะมีประจำเดือนได้เล่า


 


 


ช่างเถอะ เขาเป็นบุรุษไม่เคยมีประจำเดือนมาก่อน ไม่อาจวิจารณ์ได้


 


 


อย่างไรเสีย ชั่วชีวิตนี้ก็ไร้วาสนาจะรับรู้แล้วว่าอะไรคือการปวดท้องประจำเดือน


 


 


เป่ยเฉินอี้อุ้มเยี่ยเม่ยขึ้นรถ ชิงเกอเห็นฉากนี้ เสี้ยววินาทีนี้สติสัมปชัญญะหมุนคว้างคล้ายย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน ท่านอ๋องกับจงเจิ้งซีพบกันครั้งแรก วันนั้นท่านอ๋องก็อุ้มนางที่หมดสติขึ้นรถม้า


 


 


ระหว่างที่ตื่นตระหนกอยู่นั้น เป่ยเฉินอี้ขึ้นรถม้าไปแล้ว


 


 


ม่านรถม้าร่วงลงมาปิดสายตาของชิงเกอเอาไว้  


 


 


ชิงเกอค่อยได้สติ ถามคนด้านในว่า “ท่านอ๋อง จะไปที่ไหนต่อ”


 


 


 “ไปร้านเสื้อผ้าก่อน อีกอย่างประจำเดือนของนาง…” เป่ยเฉินอี้เอ่ยถึงตรงนี้ คล้ายยากจะเอ่ยปากต่ออีก


 


 


ในฐานะคุณชายสูงศักดิ์ เชื้อพระวงศ์ เขาพูดว่าหาผ้าซับประจำเดือนไม่ออกจริงๆ


 


 


ชิงเกอหาได้โง่งม เข้าใจได้ในบัดดล เขาพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”


 


 


ชิงเกอมองคนขับรถ เอ่ยปากว่า “ไปเถอะ!”


 


 


……


 


 


ฝั่งหุบเขา


 


 


กลุ่มคนที่ไล่สังหารจงรั่วปิง ถูกเสี่ยวกวนกำราบ


 


 


เสี่ยวกวนมองจงรั่วปิงทีหนึ่ง ถามว่า “แม่นางจง พระชายาองค์ชายสี่ของพวกเราเล่า”


 


 


ระยะนี้เสี่ยวกวนทำงานเกิดแต่ข้อผิดพลาด แต่สมองยังนับว่าใช้การได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกเยี่ยเม่ยเป็นพระชายาองค์ชายสี่


 


 


จงรั่วปิงรู้ว่าเขาถามถึงใคร รีบตอบว่า “นางถูกเป่ยเฉินอี้รั้งไว้แล้ว บอกว่าจะพานางไปสถานที่สักสองสามแห่ง…”


 


 


 “อะไรนะ!” เสี่ยวกวนลนลานทันที


 


 


จงรั่วปิงปลอบว่า “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ดูแล้วไม่น่าเกิดเรื่อง”


 


 


 “ข้าจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร! ตระกูลข้าสามชั่วอายุคนมีข้าเสี่ยวกวนเป็นผู้สืบทอดคนเดียว ความหวังของตระกูลข้าล้วนฝากไว้กับแม่นางเยี่ยเม่ย! ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว ขอตัวก่อน!” เสี่ยวกวนเอ่ยจบก็โบกไม้โบกมือ นำคนทั้งหมดจากไป  

 

 


ตอนที่ 233 อ้อมกอดของเป่ยเฉินอี้

 

มุมปากของจงรั่วปิงกระตุก ก็ดี


 


 


หากเยี่ยเม่ยเป็นอะไรไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องจัดการเสี่ยวกวนแน่ ความหวังของทั้งตระกูลฝากฝังไว้ที่เยี่ยเม่ยจริงๆ


 


 


เมื่อมองไปที่ซากศพเกลื่อนพื้น จงรั่วปิงก็ไม่ได้หยุดรั้งรอ นำสมุนไพรมุ่งหน้ากลับเมืองชายแดนอย่างรวดเร็ว


 


 


เสี่ยวกวนที่ออกตระเวนหาเยี่ยเม่ย เวลานี้ใจของเขาแอบคิดว่า ช่วงนี้ทำงานเสี่ยงอันตรายเหลือเกิน เขาสมควรรีบแต่งภรรยา จัดการเรื่องผู้สืบสกุลของตัวเองให้เรียบร้อย กันไม่ให้ครั้งหน้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วต้องมาแตกตื่นเช่นนี้อีก


 


 


แต่ว่าเขาคิดถึงนิสัยขององค์ชายสี่ได้ในไม่ช้า


 


 


เสี่ยวกวนแทบจะร้องไห้น้ำตาไหลนอง ช่างเถอะ ต่อให้มีทายาท แต่เมื่อเกิดเรื่องเกรงว่าเตี้ยนเซี่ยก็คงไม่ปล่อยทายาทผู้น่าสงสารของตนเองไปแน่


 


 


มีชีวิตอยู่ช่างยากเย็นเหลือเกิน


 


 


ชีวิตช่างไม่มีเรื่องน่ายินดีเลยสักน้อย


 


 


……


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยังคงรบเร้าพัวพันกับคนชุดดำ


 


 


ถึงคนเหล่านั้นไม่อาจฆ่านางได้ แต่การปิดล้อมนางไว้ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งร่างของนางยังมีบาดแผลเล็กๆ จำนวนหลายแห่ง การต่อสู้แบบยืดเยื้อผลัดเปลี่ยนกำลังเข้ามาเช่นนี้ พละกำลังของนางมีไม่เพียงพอ


 


 


เมื่อเวลาผ่านพ้นไป นางแทบไม่เหลือพลังอีก


 


 


ยามนี้ใจของซินเยว่เยี่ยนรับรู้ถึงความตื่นเต้น


 


 


คนชุดดำเอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนัก อย่างนั้นวันนี้ก็เป็นวันตายของเจ้า!”


 


 


ระหว่างที่เอ่ย เขาเสือกกระบี่ใส่ซินเยว่เยี่ยนอย่างดุดัน


 


 


ในเวลานี้


 


 


พลันมีเสียงบุรุษคนหนึ่งดังขึ้นมา “กลางวันแสกๆ ปิดล้อมจู่โจมสตรีนางหนึ่ง ช่างเป็นการกระทำที่โฉดช้านัก!”


 


 


เมื่อเอ่ยออกไป


 


 


คนชุดดำกลุ่มนั้นหันกลับไปมอง เห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสองคนเดินเข้ามาก็ตกตะลึง คนชุดดำตวาดก้อง “พวกเจ้าอย่าได้แส่เรื่องชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่!”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหันมอง เห็นผู้มาก็นิ่งอึ้งไปทันที


 


 


“จะให้ข้าตายอยู่ที่นี่ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!” ชายที่เอ่ยชักดาบออกมาทันที คมดาบปักลงบนพื้น ทันใดนั้นพลังดาบอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกไปทั้งสี่ทิศ กระแสพลังกดดันบีบคั้นทำให้คนหายใจไม่ออก


 


 


ผู้มามีพลังยุทธ์เข้มแข็ง ทำให้คนชุดดำกลุ่มนั้นพลันชะงักนิ่งไป


 


 


หัวหน้าคนชุดดำมองดาบบนพื้นเล่มนั้น ด้ามดาบสีเหลืองทองสลักลายมังกร คนชุดดำตกตะลึง “เป็น…เป็นดาบมังกรคำราม ท่านคือ…ราชาดาบ”


 


 


เซียวเซ่อหยางสีหน้านิ่งขรึม กวาดตามองคนทั้งหมด “ข้าไม่อยากลงมือกับพวกเจ้า รีบไปซะ!”


 


 


คนชุดดำทั้งหมดหันมองโอวหยางเทาที่อยู่ข้างเซียวเซ่อหยาง


 


 


เสียงสั่นถามว่า “หรือว่าท่านนี้คือเทพกระบี่”


 


 


พวกเขาเพียงแค่มาจัดการกับซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงเท่านั้น ไฉนถึงพบคนทั้งสองด้วย แค่เจอคนหนึ่งก็มากพอทำให้พวกเขาตายจนหมดสิ้นแล้ว กลับพบถึงสองคน!


 


 


โอวหยางเทาถอนใจ มองคนชุดดำเอ่ยปากว่า “ถึงข้าไม่อยากเอ่ยคำพูดชวนขนลุกเช่นนี้ แต่ว่าเมื่อดาบมังกรคำรามของพี่น้องข้าชักออกมาแล้ว กระบี่มังกรครวญของข้าก็ทนไม่ไหวอีก หากพวกเจ้ายังไม่ไป ก็คงหมดโอกาสแล้ว!”


 


 


คนชุดดำเข้าใจชัดเจน ราชาดาบกับเทพกระบี่ล้วนมีชื่อเสียงโด่งดัง ออกผดุงคุณธรรมในยุทธภพ


 


 


หากบอกกับพวกเขาว่า พวกตนทำไปเพื่อกำจัดจิ่วหุน คนทั้งสองอาจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้


 


 


แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาหาใช่จิ่วหุน แต่เป็นแม่นางผู้หนึ่ง หากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ซินเยว่เยี่ยนคล้ายกับเป็นคู่หมั้นของเซียวเซ่อหยาง…


 


 


คนชุดดำไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ “ขอตัวก่อน!”


 


 


คนทั้งหมดหมุนกาย ทะยานออกไป


 


 


สายตาของเซียวเซ่อหยางมองไปที่ซินเยว่เยี่ยนที่ตกอยู่ในอาการตะลึงงัน เมื่อเห็นเป็นนาง เขาก็อึ้งไป “แม่นางซิน ทำไมถึงเป็นเจ้า”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็รู้สึกประดักประเดิดมาก


 


 


ตามจินตนาการของนาง ครั้งหน้ายามได้พบเซียวเซ่อหยางอีกครั้ง อากัปกิริยาของนางสมควรเฉิดฉายชวนให้คนหลงใหลจนไม่อาจลืมตาได้ จากนั้นนางจะบอกเซียวเซ่อหยางว่านางจะถอนหมั้นอย่างภาคภูมิ อยากเป็นชนชั้นสูงที่ครองตัวเป็นโสด ภายหน้ามีบุรุษในยุทธภพไล่ตามขอความรัก ใช้ชีวิตแบบหม่าลี่ซู[1]


 


 


แต่ว่า…


 


 


แต่ว่านางก้มหน้ามองตัวเองในยามนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกฟันจนขาดวิ่น แม้ไม่ถึงกับเปลือยเปล่า แต่รอยเลือดก็ทำให้เห็นสภาพอนาถเป็นอย่างมาก เมื่อมองผ่านดาบวาวเป็นประกายคล้ายกระจกที่เซียวเซ่อหยางปักอยู่บนพื้น ซินเยว่เยี่ยนยังค้นพบอย่างยากรับไหวว่า หลังจากผ่านการต่อสู้หลายชั่วยาม เหงื่อพรายบนใบหน้ากลายเป็นร่องรอยเลอะเทอะ ทั่วร่างเสมือนคนที่หนีเอาชีวิตรอดก็ไม่ปาน


 


 


เหตุใดความจริงกับจินตนาการมักจะแตกต่างกันนัก


 


 


ในชั่วขณะที่นางเสียใจ โอวหยางเทาก้าวมาด้านหน้ามองซินเยว่เยี่ยน “แม่นางซิน เกิดอะไรขึ้น ยามนี้เจ้าสมควรอยู่ที่ชายแดนมิใช่หรือ”


 


 


“พวกท่านเป็นใครกัน แม่นางซิน แม่นางซินอยู่ที่ไหน พวกท่านจำคนผิดแล้ว!” ซินเยว่เยี่ยนไม่เอ่ยมากความ ปิดหน้าตัวเอง ก้าวเท้าวิ่งหนี นางวิ่งออกด้วยความเร็วราวกับมีหมาป่าวิ่งไล่อยู่ด้านหลัง แม่เจ้าเถอะ! สภาพราวกับผีเช่นนี้ จะไปขอถอนหมั้นได้อย่างไร ขายหน้าคนเกินไปแล้ว


 


 


เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทามองหน้ากันไปมา…


 


 


เซียวเซ่อหยางจ้องโอวหยางเทามุ่นคิ้ว “จำผิดหรือ ถึงข้าจะไม่คุ้นเคยกับแม่นางซินมากนัก อีกทั้งไม่พบกันหลายปี แต่ว่าไม่น่าจะจำผิดนะ!”


 


 


โอวหยางเทายักไหล่ ปรายตามองเซียวเซ่อหยาง “อย่างไรซะข้าก็ไม่คิดว่าจำคนผิด เจ้าเคยพบนางเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งพบนาง ต้องเป็นนางแน่!”


 


 


“เช่นนั้นทำไมนาง…” เซียวเซ่อหยางเป็นชายชาตรีตรงไปตรงมา ขบคิดไม่เข้าใจเลยสักน้อย


 


 


โอวหยางเทาลูบคาง คาดเดาว่า “หรือว่านางคิดว่าตัวเองอยู่ในสภาพน่าอนาถเกินไป เจ้าเป็นคู่หมั้นของนาง นางสู้หน้าเจ้าไม่ไหว!”


 


 


ในสถานการณ์ปกติสมควรเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่


 


 


คราวนี้ สีหน้าเซียวเซ่อหยางยิ่งสับสน ถอนใจออกมา “หากแม่นางซินชอบข้าจากใจ ข้าขอถอนหมั้นกับนาง นางจะไม่เสียใจจนเกินไปหรือ เซียวเซ่อหยางช่างทำผิดเกินให้อภัยแล้ว!”


 


 


“เฮ้อ…” โอวหยางเทาไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เอ่ยว่า “พวกเราหาสมุนไพรชนิดที่สองพบแล้ว ตัวยาที่เหลือเดินทางไปอีกสองที่ก็ได้จนครบหมด ไปทำธุระก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”


 


 


“ดี!”


 


 


……


 


 


ร้านขายเสื้อผ้า


 


 


หลังจากตามตัวเถ้าแก่เนี้ยมาช่วยเยี่ยเม่ยเปลี่ยนชุด ชิงเกอก็หน้าแดงก่ำ เดินออกไปซื้อผ้าซับประจำเดือนด้วยความกระดากอาย เขาพบหญิงที่แต่งงานแล้วนางหนึ่งหน้าประตู มอบเงินให้อีกฝ่ายเล็กน้อยวานให้อีกฝ่ายเข้าไปซื้อของให้เยี่ยเม่ย


 


 


หลังจากหญิงนางนั้นมอบของให้ชิงเกอ เขาก็เดินทางกลับมาสั่งให้เถ้าแก่เนี้ยช่วยเยี่ยเม่ยเปลี่ยนผ้า


 


 


ทั้งยังตามตัวหมอมาช่วยตรวจชีพจรให้เยี่ยเม่ย


 


 


หมอวินิจฉัยว่าเยี่ยเม่ยเพียงแต่ตรากตรำติดต่อกันหลายวันจนเหน็ดเหนื่อยกระทบหัวใจ กอรปกับมีประจำเดือน เลือดลมไม่ไหลเวียน ถึงได้เป็นลมไป นอนพักหลายชั่วยามก็ฟื้นแล้ว ไม่เจ็บป่วยร้ายแรง ทั้งยังกำชับเป่ยเฉินอี้อย่าให้ภรรยาของเขาเหน็ดเหนื่อยเกินไป


 


 


ทำเอาชิงเกอประหม่าส่งสายตามองเป่ยเฉินอี้เป็นระยะ


 


 


เยี่ยเม่ย ท่านอ๋อง…แค่กๆ ฮูหยิน


 


 


คำพูดของท่านหมอก็ทำให้เป่ยเฉินอี้ใบหูแดงก่ำ คิดจะแก้ต่างแต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ยอมรับอย่างเงียบๆ


 


 


ท้องฟ้ามืดลงแล้ว


 


 


บนรถม้า


 


 


เยี่ยเม่ยค่อยๆ ตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเป่ยเฉินอี้


 


 


 


 


 


 


[1] แมรี่ซู หมายถึงผู้หญิงที่เก่งรอบด้าน มีทุกคนมาห้อมล้อมขอความรัก 

 

 


ตอนที่ 234 ชุดของข้าก็เป็นท่านที่เปลี...

 

บนร่างเขามีกลิ่นอำพันทะเล กลิ่นไม่คุ้นเคยทำให้เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว


 


 


เงยหน้าขึ้นมอง ประจวบกับสบตาเขาพอดี นางหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่พูดไม่จาก็รีบลุกขึ้น ผละออกจากอ้อมอกเขา


 


 


เป่ยเฉินอี้ไม่รั้งนางไว้ หลังจากเยี่ยเม่ยนั่งลงตรงข้ามตนอย่างระแวดระวัง เขาเพียงยื่นมือออกไป จัดชุดสูงศักดิ์ของตนที่ถูกนางทับจนเป็นรอยยับย่นให้เรียบร้อย


 


 


ก่อนที่เยี่ยเม่ยเอ่ยซักไซ้เอาความ น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาชิงดังขึ้นก่อน “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นลมไป หากปล่อยเจ้าไว้ในรถ ระหว่างทางล้อรถไปกระแทกอะไรขึ้นมาจะทำให้หัวโขกรถม้าได้ ข้าจึงได้กอดแม่นางเอาไว้โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ขออภัยด้วย!”


 


 


 “ท่านอ๋องสมควรรู้ว่าชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด!” เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา ทว่าสีหน้ายิ่งเย็นเยียบกว่า


 


 


สำหรับเป่ยเฉินอี้ผู้นี้ จากครั้งก่อนมีข้อพิพาทกับจิ่วหุน นางก็ไม่ชอบเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสทางร่างกาย


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับเหลียวมองนางทีหนึ่ง ถามเสียงขรึมว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยรู้ว่าชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด เช่นนั้นไฉนเจ้าถึงได้เป็นลมไปในวังเก่าหลังนั้น เชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคงคาดเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนอุ้มเจ้าออกมา ในเมื่อเคยอุ้มแล้ว เหตุใดต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้อีก ข้ายังไม่เคยพบเจอใครที่ไม่รู้จักน้ำใจคนอย่างแม่นางเยี่ยเม่ยมาก่อน!”


 


 


เยี่ยเม่ยหน้าคล้ำ ยามนี้ไม่อยากถกเถียงอีกแล้ว


 


 


ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตน ไม่ใช่ชุดที่เคยใส่อยู่แต่เดิม ก็ยังไม่เสียใจเท่ารับรู้ได้ว่าร่างกายของตนใส่ผ้าซับประจำเดือนไว้แล้ว


 


 


คราวนี้ เยี่ยเม่ยสีหน้าถมึงทึงจ้องมองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ท่านอ๋องอย่าบอกข้าเชียวว่า เสื้อผ้าบนร่างของข้าถูกท่านเปลี่ยนให้ รวมถึงผ้าซับประจำเดือนท่านก็ช่วยใส่ให้ข้าด้วย!”


 


 


นางถามออกมาเช่นนี้


 


 


เป่ยเฉินอี้ถึงกับสั่นสะท้าน หน้าแดงขึ้นมา สีแดงเรื่อแผ่ซ่านไปทั่วโฉมหน้าสูงสง่าของเขา ยิ่งขับให้ใบหน้าชวนมองดูหล่อเหลาขึ้นอีก


 


 


เป่ยเฉินอี้นิ่งไปเล็กน้อย พูดไม่ออก ทว่าเห็นเยี่ยเม่ยถลึงตาดุร้ายคล้ายกับจะลงไม้ลงมือกับตน เขาก็ถอนหายใจ ในที่สุดก็เอ่ยออกมา “เถ้าแก่เนี้ยร้านเสื้อผ้าเปลี่ยนชุดให้แม่นาง!”


 


 


เขาไม่เข้าใจเสียจริง เรื่องเช่นนี้ในเมื่อผ่านไปแล้ว ต่อให้เป็นเขาที่เปลี่ยนให้นาง ตามปกติแม่นางทั้งหลายไม่สมควรเอ่ยถามอีกเพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัด


 


 


คิดไม่ถึงว่านางไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยง ซ้ำยังมีท่าทีเหมือนกำลังทวงหนี้ คราวนี้ก็ดีเลย เดิมทีคนที่ควรเขินอายอย่างนางกลับไม่ขัดเขินสักนิด กลับกันทำให้บุรุษอย่างเขากระอักกระอ่วน


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำตอบเขา ความไม่พอใจก็หายไปหลายส่วน


 


 


ครั้นคิดถึงตอนที่ตนจะหมดสติไป พลันไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอุ้มหรือไม่อุ้มพวกนี้อีก นางพิงผนังรถม้า ถามเสียงนิ่งว่า “พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อ”


 


 


 “ยามนี้ก็ค่ำแล้ว พรุ่งนี้เช้าจึงจะถึงสถานที่แห่งนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยหลับตาพักผ่อนก่อนเถอะ” เป่ยเฉินอี้ใช้น้ำเสียงขรึมตอบกลับมา


 


 


เมื่อเอ่ยจบ สายตาเขาก็กวาดมองผ้าคลุมขนเตียวที่อยู่ในรถ เขาหยิบขึ้นมายื่นให้เยี่ยเม่ย  เอ่ยว่า “อากาศหนาว แม่นางเยี่ยเม่ยใส่ไว้เถอะ”


 


 


เวลานี้เป็นฤดูเหมันต์ ช่วงเวลาค่ำคืนก็หนาวเหน็บจริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องผ้าคลุมขนเตียวในมือเขา นิ้วเรียวยาวประดุจหยกขาวถือผ้าคลุมเตียวไว้ เนื้อผ้าแวววาวดูออกอย่างง่ายดายว่าราคาไม่ใช่ธรรมดา มือของผู้สูงศักดิ์ถือผ้าคลุมขนเตียวราคาแพง ยื่นให้นางด้วยความห่วงใย


 


 


นางเพียงรู้สึกเหมือนสุนัขจิ้งจอกคารวะปีใหม่ไก่ แมวส่งของขวัญให้หนู[1] ไม่มีเจตนาดี!


 


 


นางตีหน้าเย็นชา มองเป่ยเฉินอี้ เป่ยเฉินอี้รู้อยู่ในใจว่าภาพลักษณ์ของตนในใจนางไม่ดีเลยสักน้อย เขาก็ไม่อยากแก้ตัว เพียงเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ถึงแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่พอใจข้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายร่างกายตัวเอง!”


 


 


ประโยคนี้คือความจริง


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นมือรับผ้าคลุมขนเตียวมาจากเขา  ไม่พูดมากก็คลุมผ้าแล้วจากนั้นก็พิงรถหลับตาลงพักผ่อน


 


 


ยามประจำเดือนมา ถึงนางจะไม่เจ็บปวดท้องเท่าพี่น้องคนอื่นๆ แต่ว่าสภาพจิตใจและร่างกายไม่อาจเทียบยามปกติ


 


 


ยิ่งช่วงนี้นางเหน็ดเหนื่อยตรากตรำจริงๆ เวลานี้ก็ขอพักผ่อนเสียหน่อย


 


 


ส่วนเป่ยเฉินอี้…ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับนางยามที่สลบไป ดังนั้นหลับสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรให้กังวลใจ


 


 


เห็นนางหลับไปอย่างไร้กังวลเบื้องหน้า ผ้าคลุมขนเตียวผืนใหญ่ปกใบหน้าเล็ก เมื่อประดับด้วยผ้าคลุมขนเตียว สีหน้าดูแดงเรื่อขึ้นมา ทอนความเย็นชาลงไปไม่น้อย เป่ยเฉินอี้จ้องมองนางเงียบๆ ถึงกับเหม่อลอย


 


 


สีหน้าอ่อนโยนและสงบของนาง เกรงว่าจะหาดูได้ยากมาก


 


 


เขาพลันหัวเราะเบาๆ ถอนสายตากลับมา จากนั้นหลับตาลงพิงอีกมุมของรถม้าเพื่อพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นนางที่อบอุ่นอ่อนโยนในยามนี้ นางที่เย็นชาในเวลาปกติ นอกจากใบหน้าของนางแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เหมือนอาซีเลยแม้แต่น้อย


 


 


บางทีเขาอาจเรียกร้องมากเกินไปเอง


 


 


คนที่ตายไปเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาตั้งนานแล้ว จะมีชีวิตกลับมาอีกได้อย่างไรกัน


 


 


บางทีหลายปีที่ผ่านมาเขาทุกข์ตรมมากเกินไป โทษตัวเองจนเกินไป ดังนั้นจึงหวังว่าอาซียังไม่ตาย เช่นนั้นความเจ็บปวดในหัวใจ ความผิดในใจก็จะได้ลดลงบ้าง แต่…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน


 


 


ตอนนั้น เขาเป็นคนฝังศพของอาซีเองกับมือ


 


 


ภายในรถม้าสงบลง…


 


 


ด้านนอกรถม้า ชิงเกอหันกลับไปมองด้วยความเป็นห่วง เพราะม่านบดบังอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นสภาพด้านใน ทว่าเขากังวลใจมาก หากท่านอ๋องเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่


 


 


ความจริงแล้ว นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยปรากฏตัว หมากที่วางไว้ในกระดานของท่านอ๋องจำนวนมากล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น


 


 


……


 


 


ค่ายทหารต้ามั่ว


 


 


ราชาต้ามั่วนั่งหารือกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ในกระโจม ราชาต้ามั่วกวาดตามองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ “หลายวันมานี้ข้าใคร่ครวญดีแล้ว การร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้นั้นทำได้! หลายวันก่อน เป่ยเฉินอี้ส่งจดหมายลับมาให้ข้าฉบับหนึ่ง บอกว่าหลายวันนี้จะบีบให้เยี่ยเม่ยออกจากชายแดน จากข่าวที่สายลับส่งมา เขาก็ทำได้จริงๆ อีกทั้งยังได้ยินว่า…”


 


 


 “ได้ยินว่าจิ่วหุนผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดข้างกายเยี่ยเม่ยตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งคนของเป่ยเฉินจำนวนมากคิดสังหารเขา สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ คงไม่ใช่ละครตบตา ดังนั้นท่านข่านคิดว่า เป่ยเฉินอี้คู่ควรเชื่อถือใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เอ่ยต่อ


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้ามองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ “ไม่ผิด ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ! ขุนนางรักเห็นว่าอย่างไร”


 


 


 “ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่พยักหน้า จากนั้นเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินอี้กับฮ่องเต้เป่ยเฉินไม่ดีอย่างมาก เขาไม่จำเป็นต้องจงรักภักดีทำเพื่อฮ่องเต้ ดังนั้นข้าจึงเชื่อเขาตั้งแต่แรก เพียงแต่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยคิดว่าควรจะเผื่อใจไว้บ้าง!”


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้าติดต่อกัน “เจ้าพูดถูก! ข้าให้คนไปตามตัวจิวมั่วเหอมาร่วมกันหารือ”


 


 


 “ข้าน้อยไม่เห็นด้วย!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่รีบลุกขึ้น โค้งคารวะ “ท่านข่าน ข้าน้อยรู้ว่าท่านเชื่อใจท่านแม่ทัพจิวมั่ว แต่ท่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ แม่ทัพจิวมั่วเคยออกบวช สมควรมีจิตใจเมตตา ไม่ยินยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เพราะอะไรในสงครามครั้งนี้เขาถึงยอมเป็นผู้นำทัพ”


 


 


 “เรื่องนี้…” ราชาต้ามั่วนิ่งชะงักไปเล็กน้อย ถูกต้อง ตามหลักแล้วจิวมั่วเหอไม่สมควรรับปากทำสงครามต่อไป


 


 


 


 


 


 


[1] สุภาษิต หมายถึง มีเจตนาไม่ดี

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม