รักเล่ห์เร้นใจ 228-234
ตอนที่ 228 วางแผน
ทั้งสองจากไปด้วยกัน ฮั่วเทียนอวี่นึกคำนวณผลดีร้ายไปตลอดทาง นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของอี้อวิ๋นฉัง
ทั้งสองนิ่งเงียบมาตลอดทาง ฮั่วเทียนอวี่ได้ยินแต่เสียงรองเท้าส้นสูงของอี้อวิ๋นฉังดังบาดหูสะท้อนมา
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าฮั่วเทียนอวี่ยังก้มหน้าคิดไม่เลิก ก็ไม่ได้รบกวนเขาอีก อี้อวิ๋นฉังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ดูท่าว่าแผนของเธอจะสำเร็จแล้ว ฮั่วเทียนอวี่ดูเหมือนจะยังคิดเรื่องนี้อยู่ แม้ว่าเมื่อครู่เขาตกลงรับปากแล้ว แต่อี้อวิ๋นฉังยังเกรงว่าเขาจะกลับคำทีหลัง
“คุณอยากให้หลินหว่านไปจากคุณจริงๆ หรือไง?” เสียงของอี้อวิ๋นฉังดังแทรกขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน ชายหนุ่มตรงหน้าเธอเงยหน้าขึ้น “มันแน่อยู่แล้วว่าผมไม่ต้องการ”
ที่แท้ฮั่วเทียนอวี่ยังคิดว่าไม่ต้องทำถึงขนาดที่อี้อวิ๋นฉังบอก แต่เขาก็คิดไปถึงสถานการณ์อีกมากมาย รู้สึกว่ายังไม่ค่อยวางใจนัก “แต่ถ้าผมพูดแล้วเธอคงต้อง…”
แม้ว่าฮั่วเทียนอวี่จะไม่ได้พูดต่อ อี้อวิ๋นฉังก็เข้าใจดีว่าเขายังติดเรื่องอะไรอยู่ ดังนั้นอี้อวิ๋นฉังจึงพูดขัดขึ้นว่า “คุณกลัวว่าเธอจะโกรธจนไม่อยากจะแลคุณอีกกระมัง”
อี้อวิ๋นฉังเบิกตากว้างจ้องมองฮั่วเทียนอวี่อย่างพินิจพิจารณา “ต่อให้คุณกลัวเรื่องพวกนี้ แต่ก็ยังดีกว่าให้เธอไปจากคุณ คิดดูดีๆ สิ” อี้อวิ๋นฉังยกมือกอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นมุมโค้งพอดีเป๊ะ
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าตัวเองเปิดอกให้เขาพูดในสิ่งที่กังวลใจออกมา แต่ฮั่วเทียนอวี่ยังอึกๆ อักๆ อยู่ อันที่จริงอี้อวิ๋นฉังเองก็ร้อนใจมาก รู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อครู้จนถึงตอนนี้เธอเปลืองน้ำลายไปมากแล้ว
“แต่ถ้าเธอโกรธขึ้นมาจริงๆ งั้นจะกลับหรือไม่กลับไปกับผมก็ไม่มีความหมายเลย!” ฮั่วเทียนอวี่ฟังคำพูดของหญิงสาวแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่ แต่เขายังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี
อี้อวิ๋นฉังฟังคำเขาแล้ว ตวัดสายตาค้อนประหลับประเหลือก คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะหัวดื้ออยู่บ้าง ทั้งที่เมื่อครู่เธอพูดจนเขาใจอ่อนแล้วเชียว
ตอนนี้กลับคิดจะถอนตัว เธอจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน? อี้อวิ๋นฉังคิดพลาง พูดจาโน้มน้าวฮั่วเทียนอวี่ต่อไปอย่างอดทน “คุณก็เอาแต่คิดแบบนี้ ต่อไปพวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันไปนานๆ แล้ว ยังกลัวเธอจะไม่อภัยให้คุณอีกรึไง?”
พอเห็นฮั่วเทียนอวี่มีท่าทีหวั่นไหว อี้อวิ๋นฉังก็รีบตีเหล็กเมื่อยังร้อน พูดต่อไปว่า “นั่นน่ะยังไงก็ดีกว่าที่พวกคุณสองคนไม่ได้เจอหน้ากัน ความรู้สึกก็ย่อมจะห่างเหินกันไป” คำพูดนี้ของอี้อวิ๋นฉังกระทบเข้ากลางใจฮั่วเทียนอวี่พอดี
เรื่องของหลินหว่านในตอนนี้ ลือสะพัดไปทั่วทั้งสังคมออนไลน์ หลินหว่านก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันไม่เหมือนกับที่พวกเขาพูดกันเลย
เรื่องนี้ทำให้เธอปวดหัวมากในตอนนี้ หลินหว่านนั่งอยู่ภายในห้อง แม้ว่าเธอจะกลุ้มใจกับเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังไม่แสดงออกมา
ตอนนี้คอมเมนต์พวกนั้นทิ่มแทงสายตาเธอเอามาก แม้ว่าจะเดาที่มาของเรื่องราวได้พอควรแล้ว แต่ก่อนที่ได้ทราบผลแน่นอน หลินหว่านก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ก่อนหลินหว่านจะออกจากบ้าน ต้องสวมชุดที่ห่อหุ้มตัวเองจนมิดชิด ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะจำได้ นาทีที่ก้าวออกจากประตูบ้าน หลินหว่านก็เห็นว่าหน้าประตูมีนักข่าวรออยู่มากมาย
ในมือของพวกเขามีทั้งไมโครโฟนและกล้องรอเธอปรากฏตัวออกมา ตอนนี้สื่อทุกค่ายและชาวเน็ตต่างพากันถือเอาผลตรวจจากโรงพยาบาลนั้นเป็นหลักฐาน ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ไม่มีใครรับฟังอีก
หลินหว่านคาดเดาได้ไม่ผิดเลย เธอดื้อไม่ฟังคำทัดทานของคนรอบข้าง ไม่ยอมออกไปทางประตูหลัง เพราะเธอรู้สึกว่าการหลบเลี่ยงแบบนี้จะยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเธอไม่กล้าสู้หน้า
หลินหว่านแค่สวมแว่นดำ นาทีที่เธอเดินออกไปไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางพิเศษอะไร และไม่ได้ทำท่าลำบากใจด้วย ถึงแม้ในใจจะตึงเครียดขนาดไหน แต่เธอก็อดกลั้นเอาไว้ได้
“ไม่ทราบว่าเรื่องที่คุณทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นความจริงหรือไม่ครับ”
“เป็นแค่ข่าวลือหรือเป็นความจริงคะ”
“คุณหมอบอกว่าคุณมีร่องรอยว่าทำศัลยกรรมมาก่อน เรื่องนี้จริงหรือเปล่าคะ”
พวกนักข่าวพากันฮือมาข้างหน้า ด้วยกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ถาม เพียงชั่วขณะ รอบกายหลินหว่านก็รายล้อมด้วยหญิงชายมากมาย
เป็นอย่างที่คิด พวกเขาไม่มีเรื่องอื่น แม้จะคาดเดาได้แต่แรก แต่หลินหว่านยังหัวใจตกวูบ
“ฉันขอย้ำว่าฉันไม่ได้ทำศัลยกรรมใบหน้า ส่วนผลตรวจของทางโรงพยาบาลนั้น ฉันไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร” น้ำเสียงของหลินหว่านหนักแน่นจริงจัง เรื่องนี้ไม่ควรที่เธอจะต้องเจอแบบนี้ ทำไมต้องทนด้วย เธอตอบนักข่าวไปตรงๆ เมื่อต้องสู้กับแสงแฟรชวูบวาบถี่ยิบที่ด้านข้างหลินหว่านยังคงสงบนิ่งมาก
ทางด้านนี้หลินหว่านอดทนกับการถูกพวกนักข่าวล้อมกรอบ เวลาเดียวกัน ฮั่วเทียนอวี่กับอี้อวิ๋นฉังก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยกัน อี้อวิ๋นฉังเสนอให้มาที่ร้านอาหารแห่งนี้เอง
ไม่ใช่เพราะเพื่อเรื่องอื่นใดเลย ยังเป็นเรื่องเมื่อครู่ “คุณอย่าคิดสิว่าที่ฉันทำเป็นการทำร้ายหลินหว่าน ฉันก็ช่วยเธออยู่เหมือนกัน” เสียงพูดของอี้อวิ๋นฉังนุ่มนวลอ่อนโยนมาก พูดราวกับว่าตัวเองอุตส่าห์ลำบากแทบแย่
พูดพลาง อี้อวิ๋นฉังก็วางแก้วน้ำในมือลง เธอดูท่าทางเขาแล้ว ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีก “นี่ก็ครึ่งค่อนวันแล้วนะ คุณน่าจะตัดสินใจได้ซะทีสิ!”
อี้อวิ๋นฉังรู้สึกว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่ช่างปอดแหก/ขี้ขลาด/ไม่มีความกล้าได้กล้าเสียเอาซะเลย ถึงตอนนี้แล้วยังมัวคิดกังวลห่วงนั่นพะวงนี่อยู่อีก
ฮั่วเทียนอวี่พอฟังอี้อวิ๋นฉังสะกิดเตือนเขาอีกครั้ง ก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกตื่นเต้นตึงเครียดอยู่มาก แต่นี่ก็เป็นโอกาสหนึ่งเช่นกัน ฮั่วเทียนอวี่ผงกศีรษะ “ได้ ผมรับปากคุณ ผมจะไปหาสื่อ”
เพื่อตัดความสงสัยของฮั่วเทียนอวี่ให้เด็ดขาดไป เธอขยับเข้ามาบอกเขาว่า “แค่อยากจะให้คุณบอกหลินหว่านผ่านสื่อว่าหลินหว่านแค่ทำเพื่อสนองความต้องการอยากดังของเธอ อย่างนี้แล้วเธอย่อมจะถูกกระแสวิจารณ์บีบจนต้องออกจากวงการไปเอง”
“ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว” พูดพลาง อี้อวิ๋นฉังก็ลุกขึ้นยืน ข้าวก็กินแล้ว พูดก็พูดแล้ว ต่อไปก็รอให้ฮั่วเทียนอวี่จัดการ ทุกอย่างก็จะสำเร็จสมบูรณ์!
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าฮั่วเทียนอวี่คล้อยตามเธอในที่สุด ก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ คราวนี้ต่อให้เธอพูดยังไงก็ไม่มีใครเชื่อเธออีก ถึงตอนนั้นต่อให้หลินหว่านมีสิบปากก็ทำอะไรไม่ได้ (เธอในที่นี้คือหลินหว่าน –ผู้แปล)
ตอนนี้พูดอะไรก็เอาแน่ไม่ได้ แต่ขอเพียงฮั่วเทียนอวี่ยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าสื่อ เรื่องนี้ก็จะถือได้ว่าฟันธงแน่นอนแล้วสำหรับเธอ
ฮั่วเทียนอวี่ไปหาสื่ออีกครั้ง ต่อหน้าสื่อ เขายังแสดงท่าทีสำรวมระวังอย่างมาก ขณะที่ในใจท่องบทที่เตรียมมารอบหนึ่ง คิดไว้เสร็จว่าตัวเองควรจะพูดอย่างไร
เขานึกหาวิธีพูดไว้สารพัดวิธี และฝึกซ้อมมาหลายครั้งมาก เขามักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลินหว่าน
“คุณฮั่ว คุณมีคำพูดอะไรก็พูดออกมาต่อหน้าพวกเราได้เลย” คนที่นั่งตรงข้ามท่าทางเหมือนนักข่าว ทั้งสองนั่งอยู่บนโซฟา ด้านข้างยังมีอีกคนถือกล้องบันทึกภาพไว้
ฮั่วเทียนอวี่กระแอมในลำคอ สองมือประสานตรงหน้าอก “วันนี้เรื่องที่ผมอยากจะพูดค่อนข้างลำบากใจอยู่บ้างที่จะพูดออกมา”
ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกว่าตัวเองต้องบิวท์อารมณ์ซักหน่อยก่อน ถ้าพูดออกมารวดเดียวเลยจะดูเหมือนตั้งใจมากเกินไป
ตอนที่ 229 ยังไม่รู้สำนึกตัว
“คุณฮั่ว คุณไม่ต้องเกร็งมากหรอกค่ะ มีคำพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” นักข่าวสาวที่สัมภาษณ์เขาอยู่ด้านข้างก็ร้อนใจขึ้นมาบ้าง เธอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายยังกระบิดกระบวนไปมาอยู่นั่น
“ที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมอยากให้หลินหว่านอย่าได้หลงลืมตัวอีกต่อไปเลย” ตอนเขาพูดคำนี้ออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวดใจนัก ร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาสั่นระริกอยู่บ้าง สายตาก็บอกชัดว่าอับจนใจซะจริงๆ
แม้แต่ช่างกล้องยังรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้มันสุดยอดมาก พอได้ฟังคำพูดเปิดเผยแบบนี้ยังอดสะดุ้งไม่ได้เลย นักข่าวสาวที่นั่งอยู่ข้างฮั่วเทียนอวี่ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าอีก
ดูเหมือนพวกเขาจะได้เรื่องไปรายงานแล้ว และต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ “งั้นเอาอย่างนี้นะ วันนี้ถ้าคุณมีคำพูดอะไรก็พูดกับกล้องของเราได้เลย”
พูดพลาง นักข่าวสาวก็ชี้ไปที่กล้องถ่ายภาพ ชักจูงให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “กล้องอยู่ข้างหน้านี่เอง เธอต้องได้ดูแน่”
พอได้ยินนักข่าวสาวพูดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งมีคำพูดจะพูดต่อ “ผมกับเธอรู้จักกันมาก่อน ผมบอกได้เลยว่า เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก” ฮั่วเทียนอวี่โบกไม้โบกมือทั้งสองข้าง พูดออกมาอย่างมีเหตุมีผลเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนกับจะช่วยแก้ตัวให้หลินหว่าน
“คุณฮั่วคะ ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด งั้นทำไมหลินหว่านจึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้คะ?” นักข่าวถือไมโครโฟน แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้ตัดต่อภาพที่ถ่ายไว้ แต่เธออยากจะฟังเรื่องราวเบื้องลึกให้มากยิ่งขึ้น อย่างนี้พวกเขาก็จะมีเนื้อเรื่องให้เขียน
ถึงแม้ฮั่วเทียนอวี่จะรู้ว่าคำพูดในตอนนี้ของเขาไม่ใช่ความจริงเลย ซึ่งที่จริงเขาก็กลัวอยู่บ้าง แต่เขาเริ่มต้นไปแล้ว หยุดไม่ได้แล้ว และสำหรับเขาแล้วนี่เป็นวิธีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“เมื่อก่อนตอนผมกับเธออยู่ด้วยกัน ไม่ได้อยู่ในวงการเหมือนตอนนี้ แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มีแต่ชีวิตที่สงบสุข” พูดไปพลางฮั่วเทียนอวี่ก็เริ่มแต่งเรื่องเอง พูดราวกับว่าตัวเองเป็นเหยื่อผู้ถูกทำร้ายอย่างนั้น
คนที่ด้านข้างยังฟังจนเคลิ้ม “เมื่อก่อนพวกเรามีความสุขกันมาก ทำกับข้าวด้วยกัน เดินเล่น พูดเล่นหยอกเย้ากัน” พูดพลาง เสียงของฮั่วเทียนอวี่ก็ติดก้อนสะอื้นขึ้นมาบ้าง เหมือนกับอีกนาทีหนึ่งจะร้องไห้ออกมาอย่างนั้น
ยังดีที่ด้านข้างเขาเตรียมของมาครบ เขาหยิบกระดาษทิชชูมาแผ่นหนึ่ง คอยปาดเช็ดดวงตาอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกับว่าร้องไห้ออกมาจริงๆ อย่างนั้น
“คุณบอกว่าพวกคุณมีความสุขขนาดนั้น ใกล้ชิดกันขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอยังจะไปจากคุณอีก” ดูท่าว่าตอนนี้เรื่องราวได้พัฒนาการไปในทิศทางที่อี้อวิ๋นฉังต้องการแล้ว
ความผิดทั้งหมดล้วนชี้ไปที่หลินหว่าน ดูเหมือนเธอเป็นคนเนรคุณคนเลย นักข่าวรับฟังอยู่ด้านข้าง ส่ายศีรษะด้วยความระอาใจ ทอดถอนใจว่าวงการบันเทิงนี้หนาช่างลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง
“อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ก็เพราะผมไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้” ฟังคำพูดแบบนี้ ไม่ว่าใครที่ไม่รู้ความจริงก็ต้องรู้สึกสงสารฮั่วเทียนอวี่ เขาพูดด้วยเสียงที่ติดก้อนสะอื้นหนักกว่าเดิม
นักข่าวเห็นว่าอารมณ์เขาพลุ่งพล่านเกินไปบ้างจึงสั่งหยุดพักการบันทึกเทปไว้ครู่หนึ่ง ฮั่วเทียนอวี่นั่งอยู่ที่นั่นเหมือนกับครุ่นคิดอะไรอยู่
เมื่อครู่เป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นล้วนๆ เขาเห็นได้เลยว่าท่าทางของนักข่าวเชื่อในคำพูดของเขาโดยไม่นึกสงสัยเลย
พักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว การสัมภาษณ์ก็ดำเนินต่อไป “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกคุณแยกกันแล้วหรือว่ายังมีการติดต่อกันอยู่คะ?”
“การติดต่อก็ยังมีครับ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเจอผมอีกแล้ว” ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ ตอนที่เขาพูดก็คอยก้มศีรษะตลอด
“ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเซียวจิ่งสือ! หลินหว่านหลงไปกับข้อเสนอพวกนั้นของเขา” พอพูดถึงตรงนี้ ฮั่วเทียนอวี่ก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นไปอีก
ถ้าหากจะบอกว่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ของเขาล้วนเป็นการแสดงตามน้ำ นาทีนี้ เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ พอเขานึกถึงเซียวจิ่งสือ ก็รู้สึกโมโหเดือดขึ้นมา
สำหรับเขาแล้ว เขาโยนความผิดพลาดทั้งหมดทั้งมวลไปที่เซียวจิ่งสือ ขณะที่เห็นว่าปฏิกิริยาของหลินหว่านที่มีต่อเขาเป็นความเฉยชาไม่สนใจ เขารู้สึกว่าต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะเซียวจิ่งสือ
ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางตบโต๊ะไม่หยุด “เป็นเพราะเขาล่อลวงหลินหว่าน ทำให้เธอยอมเชื่อเขาไปหมด!” นักข่าวได้ฟังก็ผงกศีรษะ พูดว่า “ตามที่พวกเราทราบมา เซียวจิ่งสือเป็นถึงทายาทของวั่นหย่ากรุ๊ป คำพูดแบบนี้คุณคงเอ่ยอ้างง่ายๆ ไม่ได้” นักข่าวสาวก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นใคร ดังนั้นตอนที่เขาพูดเช่นนี้ออกมาจึงไม่ได้พูดรับเชิงเห็นด้วย
ขณะที่นักข่าวสาวพูดสะกิดเตือนเขาว่าอย่าพูดเปะปะ แต่ฮั่วเทียนอวี่ไม่สนอะไรอีก ยังพูดต่อไปว่า “เป็นเพราะเขาล่อลวงเธอ หรือน่าจะพูดว่าเงินของเขาล่อลวงเธอ หลินหว่านคงหลงลมไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น”
ระหว่างที่พูดนั้น ฮั่วเทียนอวี่ยังพูดเหมือนหวังดีกับหลินหว่านตลอด จนถึงนาทีนี้ เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองเอาคืนหลินหว่านเพราะโกรธเกลียดเธอหรือว่าอยากจะอยู่ร่วมกันเธอจริงๆ!
“เป็นเพราะเขามีอำนาจล้นฟ้าแล้วยังมีเงินอีก หลินหว่านจึงหลงลืมตัวไป พอจนมุมเข้าจึงไปทำศัลยกรรม” เมื่อครู่ฮั่วเทียนอวี่ยังคิดอยู่เลยว่าควรจะพูดเรื่องนี้หรือไม่
นักข่าวสาวผงกศีรษะ พูดว่า “คุณฮั่วจะบอกว่ากระแสข่าวช่วงนี้ที่หลินหว่านไปทำหน้ามา เรื่องนี้เป็นความจริงสินะคะ” นักข่าวสาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
อันที่จริงตอนนี้สื่อทุกค่ายกับชาวเน็ตต่างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจอยากจะรู้ความจริง แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดนี้จะได้ข้อสรุปซะที
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ฮั่วเทียนอวี่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะพูดกับนักข่าวถึงสองสามชั่วโมง ตอนที่ออกมานั้นคิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นฉังจะอยู่ที่นี่ด้วย
“เป็นยังไงบ้าง คำพูดนั่นคุณพูดรึยัง?” สีหน้าของอี้อวิ๋นฉังดูจะอยากรู้คำตอบอยู่บ้าง เมื่อครู่พอทั้งสองทานข้าวเสร็จ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้กลับไป ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบที่แน่นอนของฮั่วอวี่เทียน เธอยังไม่ค่อยวางใจนัก
“ที่ต้องพูดผมก็พูดไปหมดแล้ว” ตอนฮั่วเทียนอวี่พูดคำนี้ เขารู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง อี้อวิ๋นฉังได้ฟังแล้ว มุมปากก็หยักยิ้มขึ้น มือที่จับกระเป๋าถือก็ปล่อยคลายลง “คราวนี้คุณก็ไม่ต้องห่วงแล้ว”
ชั่วไม่ทันข้ามคืน คำให้สัมภาษณ์ของฮั่วเทียนอวี่ก็ถูกโพสต์ขึ้นเน็ต เป็นที่ฮือฮาไปทั้งสังคมออนไลน์ ชั่วเวลานั้น หลินหว่านถูกผู้คนนับหมื่นรุมทึ้ง
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าหล่อนไปทำหน้ามา ตอนนี้พูดไม่ออกแล้วสิ”
“น่าตกใจจริงๆ พักก่อนยังเห็นเธอพูดซะเป็นจริงเป็นจังว่าตัวเองไม่ได้ทำศัลยกรรมอยู่เลย”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมั่นใจนัก คิดไม่ถึงว่านอกจากจะทำหน้ามาแล้วยังหน้ามืดตามัวได้ขนาดนี้”
“ดูสิ ผู้ชายที่ให้สัมภาษณ์นั่นเสียใจจนร้องไห้ซะ ที่พูดมาก็น่าจะจริงนะ”
ถึงแม้หลินหว่านจะเปิดคอมเมนต์ของพวกชาวเน็ตขึ้นมาอ่านโดยไม่ตั้งใจ ด้วยเธอรู้สึกว่าเธอใจแข็งพอ แต่พอเห็นว่าบนเน็ตมีแต่เสียงก่นด่าเธอเป็นเสียงเดียว
ถ้าจะบอกว่าเมื่อก่อนยังมีคนส่วนน้อยที่ยังเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำศัลยกรรม งั้นตอนนี้ก็แทบไม่เหลือเลยก็ว่าได้
หลินหว่านรู้สึกว่าตัวเองไม่มีปัญญาจะเชื่อว่าฮั่วเทียนอวี่จะพูดถึงเธอในรายการแบบนี้ เธอดูคลิปนั้นจนจบรอบหนึ่ง ได้แต่นั่งนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นเอง
“คืนวันแห่งความสุข! ฉันชอบเงิน!” หลินหว่านนั่งพึมพำกับตัวเองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ย้ำซ้ำไปมากับคำพูดให้สัมภาษณ์ของฮั่วเทียนอวี่
ตอนที่ 230 ขี้ปากชาวบ้าน
เดิมทีเรื่องศัลยกรรมในช่วงหลายวันมานี้ก็ทำให้หลินหว่านตกอยู่ในสถานการณ์เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เพราะเรื่องที่ฮั่วเทียนอวี่ออกมาให้สัมภาษณ์ทำให้เรื่องยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก
เมื่อก่อนผู้คนแค่คาดเดาเรื่องของเธอ ตอนนี้เธอเหมือนกลายเป็นคนโกหกหลอกลวงไปแล้ว หลินหว่านหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง
ถึงแม้ชื่อเสียงของเธอจะกลายเป็นแบบนี้แล้ว แต่ชีวิตยังต้องดิ้นต่อไป หลินหว่านได้แต่ทอดถอนใจกับตัวเอง บางทีเธอคงเจอมาเยอะเกินไปก็ได้ แต่เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เธอก็ยังรู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก
อาจเป็นเพราะคิดมากเรื่องนี้ หลินหว่านรู้สึกว่าตัวเองมีไข้รุมๆ แม้จะทานยาไปบ้างแล้ว แต่ยังรู้สึกเนื้อตัวอ่อนล้าไม่มีแรง
หลินหว่านนอนซมทั้งวันอยู่อย่างนี้ ตอนนี้เธอไม่ดูโทรทัศน์หรือเข้าอินเทอร์เน็ตอีก เธอไข้ขึ้นสูงจนมึนงงไปหมด แต่ยังฝันถึงเรื่องพวกนี้อยู่ดี
“ฉันไม่ได้ทำจริงๆ นะ!” หลินหว่านเพ้อออกมา ในฝัน ดูเหมือนเธอจะอยู่ด้วยตอนที่ฮั่วเทียนอวี่ให้สัมภาษณ์ พอได้ฟังคำพูดของเขา เธอโพล่งออกมาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
หลินหว่านลุกพรวดขึ้นนั่ง น้ำตาร่วงพรูออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ตอนนี้เธอเหมือนตกเป็นขี้ปากของคนทั้งเมือง ร่างกายยังคงไม่สบายอยู่เหมือนเดิม
ทานยาก็ยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไร หลินหว่านรู้ว่าตัวเองควรต้องไปหาหมอแล้ว เธอห่อหุ้มร่างกายจนมิดชิด ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด
คนขับรถแท็กซี่ดูเหมือนจะจำเธอไม่ได้ เธอรีบร้อนมาถึงโรงพยาบาล แต่ยังต้องลงทะเบียนคนไข้ รอคิวอีกชั่วครู่
หลินหว่านรู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย แม้ว่าตอนนี้เธอจะสวมแว่นดำและหน้ากากอนามัย เธอรู้สึกตัวว่ากำลังจะจามออกมา หลินหว่านรีบปลดหน้ากากอนามัยออก
ภายในโรงพยาบาลมีคนเดินเข้าเดินออกไปมา บางคนก็หันมามองเธอ ใช้สายตาเหมือนเลเซอร์มองสำรวจเธอ คิดหรือว่าเธออยากจะให้หูได้ยินเสียงของคนข้างๆ พวกนั้นพูดกัน
ผู้หญิงสองนางที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลนักดูเหมือนจะจำเธอได้ ยังแอบมองเธออยู่เรื่อย “ดูสิ เธอใช่หลินหว่านไหมน่ะ” เสียงของผู้หญิงแม้จะไม่ดังนัก แต่หลินหว่านก็ได้ยิน
คนที่นั่งข้างผู้หญิงนั้นเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง “ใช่เธอจริงๆ ด้วย เธอทำไมยังมาโรงพยาบาลนี่อีก น่าจะไปโรงพยาบาลทำศัลยกรรมไม่ใช่เหรอ?” ทั้งสองแอบกระซิบกระซาบกัน และยังหัวเราะไม่หยุดอีก
เป็นอย่างที่คิดไว้เลย หลินหว่านถอนหายใจเฮือก ผู้หญิงสองคนนั้นยังพูดไม่หยุด แซะหลินหว่านอยู่นั่น “แค่ดูก็รู้ว่าทำหน้ามา” พูดพลางปรายตามองหลินหว่านเหยียดๆ
หลินหว่านคิดจะไปจากที่นี่ ยังดีที่คิวต่อไปถึงเธอพอดี ชั่ววูบหนึ่งหลินหว่านนึกอยากจะเข้าไปอธิบาย แต่เธอรู้ว่าทำแบบนี้ก็เหมือนยิ่งระบายก็ยิ่งเลอะไปกันใหญ่
หลินหว่านทานยาลงไป ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว พอหายจากไข้ สิ่งแรกที่หลินหว่านทำคือไปหาฮั่วเทียนอวี่
หลินหว่านนัดฮั่วเทียนอวี่มาพบในที่สงบลับตาคน ตอนนี้หลินหว่านรู้สึกโกรธมาก พอนึกว่าตอนนี้ที่ทุกคนพากันพูดว่าเธอไปทำศัลยกรรมหน้ามา ล้วนเป็นเพราะฮั่วเทียนอวี่ทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นต่อให้พวกเขาก่นด่าเธอยังไง เธอก็ได้แต่กลืนลงท้องไป
ฮั่วเทียนอวี่มาถึงสถานที่นัดหมายกับหลินหว่านตามเวลา “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องรอนาน เมื่อครู่รถติดน่ะเลยมาช้าไปหน่อย” ฮั่วเทียนอวี่ยังมองดูหลินหว่านด้วยท่าทางเหมือนเมื่อก่อน
อันที่จริงเขาเห็นสีหน้าหลินหว่านไม่ค่อยดีนัก แต่ยังจงใจเปิดประเด็นอีก “ที่นี่เงียบสงบมาก ทำไมจึงคิดจะมานี่ล่ะ” นับแต่ฮั่วเทียนอวี่มาถึงก็พูดไม่หยุด
“คุณคิดว่าทำไมถึงมาที่นี่เหรอคะ?” หลินหว่านรู้สึกเดือดดาลเอามากๆ จนเสียงที่พูดสั่นระริก แต่เธอไม่อยากให้ตัวเองร้องไห้อยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นเช่นนี้เธอก็ยังบอกตัวเองให้เข้มแข็งเข้าไว้
ฮั่วเทียนอวี่ก็ไม่อ้อมค้อมอีก ในเมื่อหลินหว่านเปิดอกพูดกันตรงๆ เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีก “ผมรู้ว่าเรื่องนี้ทำให้คุณต้องลำบาก”
“ในเมื่อคุณรู้แล้วทำไมยังทำแบบนี้อีก?” เสียงพูดของหลินหว่านราบเรียบมาก เธอนั่งอยู่ตรงหน้าฮั่วเทียนอวี่ นิ่งไม่ขยับ สายตาก็ไม่บอกอารมณ์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย
พอเห็นหลินหว่านเช่นนี้ ฮั่วเทียนอวี่ก็รู้ว่าเรื่องที่เขากังวลที่สุดเกิดขึ้นจนได้ “ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ” ฮั่วเทียนอวี่มองหลินหว่านอย่างลำบากใจ เหมือนกับตัวเองต่างหากที่เป็นผู้ถูกทำร้าย
“งั้นคุณบอกฉันได้ไหมคะว่ามันเรื่องอะไรกันแน่?” หลินหว่านยังไม่สามารถคุมอารมณ์ตัวเองได้ในที่สุด เธอเริ่มเค้นถามฮั่วเทียนอวี่
“ผมพูดแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับคุณนะ” นาทีนี้แม้ว่าฮั่วเทียนอวี่จะไม่ได้ยืนขึ้น แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอยู่บ้าง
หลินหว่านส่ายหน้า จ้องหน้าเขา พูดว่า “คุณบอกว่าทำเพื่อฉัน เพื่อฉัน คุณถึงพูดแบบนี้ พูดว่าฉันเห็นแก่เงิน ทำหน้าเพื่อเซียวจิ่งสือ ดังนั้นจนถึงตอนนี้พวกเขาพากันบอกว่าฉันไปทำหน้ามา!” หลินหว่านตบโต๊ะ
ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องแยกเฉพาะส่วน ผนังกั้นเสียงก็ใช้ได้ดีทีเดียว ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าหลินหว่านแทบจะปรอทแตกอยู่แล้ว เขาถอนใจเฮือก พูดว่า “ผมทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้คุณเหนื่อยเกินไป จึงจงใจพูดแบบนั้นออกไป”
อันที่จริง ตอนแรกฮั่วเทียนอวี่ก็คิดแบบนี้ สำหรับเขา หลินหว่านอยู่กับผู้ชายคนนั้นไม่มีทางมีความสุขไปได้หรอก
เขาต่างหากที่เหมาะสมกับเธอที่สุด ทำไมหลินหว่านจึงมองไม่เห็นความดีของเขานะ ฮั่วเทียนอวี่คิดจะเข้าไปโอบกอดหลินหว่าน แต่ถูกหลินหว่านหลบรอดไปได้
“คุณทำแบบนี้ไปแล้ว ยังจะมาบอกว่าทำเพื่อฉันอีก คุณไม่รู้สึกว่าคำพูดของคุณมันขัดแย้งกันเองหรือไง?” หลินหว่านปรับสภาพอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง ไม่เดือดปุดแบบเมื่อครู่นี้อีก
“ทำไมคุณถึงไม่เห็นความหวังดีที่ผมมีให้คุณนะ ผมรักคุณด้วยใจจริงนะ” ฮั่วเทียนอวี่เริ่มทำท่าเจ็บปวดรวดร้าวใจของเขาอีก หวังจะใช้อารมณ์โน้มน้าวใจเธอเพื่อจะไม่ต้องพูดเหตุผล
แต่หลินหว่านได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ จะใช้วิธีการอะไรก็ไม่เป็นผลทั้งนั้น
“อีกอย่างตอนนี้คนข้างนอกนั่นต่างพากันพูดถึงคุณแบบนั้นแล้ว คุณยังจะอยู่ที่นี่เพื่ออะไรอีก?” นี่ต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริงของฮั่วเทียนอวี่ เขายังพูดชักจูงหลินหว่านอยู่อีก
ในเมื่อตอนนี้คนข้างนอกล้วนแต่มองเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าตัวเองบรรลุจุดหมายแล้ว เมื่อครู่หลินหว่านก็บอกว่าตอนนี้เธอลำบากมาก งั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะชักชวนให้เธอไปจากที่นี่
“คุณต้องการให้ฉันไป คุณก็เลยทำแบบนี้” ความคิดของหลินหว่านแจ่มชัดมาก ทำไมเธอจะไม่เข้าใจว่าฮั่วเทียนอวี่คิดอะไรอยู่
ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นี่ในสภาพตึงเครียดจนพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ หลินหว่านคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองจะมีวันที่ถูกคนอื่นให้ร้าย และคนนั้นยังเป็นฮั่วเทียนอวี่อีกด้วย! ภายใต้จิตใจส่วนลึกของเธอ เธอยังยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เลย
เธอรู้สึกว่าการที่ฮั่วเทียนอวี่ทำแบบนี้มันน่าขันสิ้นดี สร้างแรงกดดันแบบนี้ให้เธอไปจากที่นี่ “ตอนนี้คุณคงไม่ได้คิดถึงเซียวจิ่งสือกระมัง”
เขาพอฟังความหมายของหลินหว่านได้ว่า เธอยังไม่อยากจากไปนัก หลินหว่านหันมามองเขา สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึก
ตอนที่ 231 หลังสัมภาษณ์
“คุณอย่ามัวหลงละเมอเพ้อพกอยู่อีกเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณหรอก” ฮั่วเทียนอวี่ยังพร่ำพูดอย่างพยายาม
“ฉันหลงผิดที่ไหนกัน ฉันเป็นคนอย่างที่คุณพูดงั้นเหรอ!” หลินหว่านเริ่มเดือดขึ้นมาอีก เข่นเขี้ยวเอากับฮั่วเทียนอวี่
ฮั่วเทียนอวี่มองดูหลินหว่าน เห็นว่าทำยังไงเธอก็คงไม่กลับไป เมื่อหลายวันก่อนอี้อวิ๋นฉังชักจูงให้เขาเปิดปากให้สัมภาษณ์ ตอนนี้ถึงแม้จะบรรลุผลแล้ว แต่หลินหว่านกลับไม่ได้เป็นอย่างที่อี้อวิ๋นฉังพูดไว้เลย
“คุณคงไม่ได้ยังมีใจให้กับเซียวจิ่งสือกระมัง” อันที่จริงฮั่วเทียนอวี่เริ่มรู้สึกกระวนกระวายแล้ว เขากลัวว่าหลินหว่านจะไม่รับปากเขา
ตั้งแต่นั่งอยู่ที่นี่ ฮั่วเทียนอวี่ก็พูดถึงชื่อนี้กับเธอไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง หลินหว่านจ้องเขา ไม่พูดอะไรอีก ฮั่วเทียนอวี่เข้าใจผิดว่าหลินหว่านใจอ่อนกับเขาแล้ว จึงคิดว่าเขาควรจะรุกไล่ตีเหล็กเมื่อยังร้อน
“คุณคิดว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ รึไง! เขาก็แค่สนใจคุณชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เขาเป็นคนแบบไหนคุณยังไม่รู้อีกรึไง?” ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกเหมือนตัวเองแทบจะบินขึ้นมา เขานึกหวังจริงๆ ว่าหลินหว่านจะยอมรับปากกลับไปกับเขาในอีกวินาทีต่อมา
“คุณอย่าพูดแบบนี้ได้ไหม” หลินหว่านเริ่มขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าฮั่วเทียนอวี่จะพูดแบบนี้ เธอรู้ใจตัวเองดี การที่ฮั่วเทียนอวี่พูดแบบนี้เหมือนเธอเป็นคนไร้ค่า
ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าหลินหว่านไม่ยอมรับฟังเขา ถ้าหากตอนนี้เขาพาตัวหลินหว่านกลับไปได้ เขาคงพาตัวเธอไปแน่
“หลินหว่าน ไปกันเถอะ เซียวจิ่งสือแค่เห็นคุณเป็นของเล่นเท่านั้น พอเขาหมดสนุก คุณก็จะถูกทิ้ง” ฮั่วเทียนอวี่เหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว คราวนี้เขาเข้าไปสวมกอดหลินหว่านเอาไว้โดยไม่สนว่าหลินหว่านจะดิ้นรนอย่างไรบ้าง
พอรู้สึกตัวว่าบ่าไหล่และเอวของตัวเองถูกรัดรึงเอาไว้ หลินหว่านก็ผลักออกไปสุดแรงเกิด “ปล่อยนะ อย่าทำแบบนี้นะ ฮั่วเทียนอวี่” หลินหว่านดิ้นสุดแรง แต่แรงของเธอจะไปสู้แรงผู้ชายคนนี้ได้ยังไง
“ปล่อยฉันนะ อย่าทำแบบนี้” สุดท้าย หลินหว่านยกสองมือยันไหล่เขาออกไปอย่างแรง จนฮั่วเทียนอวี่หลุดออกไป รองเท้าส้นสูงที่สวมมาเกือบจะหลุดออกมา
พอเห็นว่าหลินหว่านมีสีหน้าเจ็บปวด ฮั่วเทียนอวี่ก็รีบส่ายหน้า “ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ ทำไม ผมมีอะไรไม่ดีรึไง?” เขาอดไม่ได้ ถามโพล่งออกมา แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมรับว่าตัวเองทำผิดไป
ต่อให้เขารู้ว่าตอนนี้หลินหว่านเกลียดเขาเพราะเรื่องนี้ ถ้าให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาก็ยังไม่อาจรับรองได้ว่าตัวเองจะไม่ไปให้สัมภาษณ์
ทั้งๆ ที่เขาแค่อยากให้หลินหว่านไปกับเขาเท่านั้นเอง! แต่ทำไมถึงได้ยากเย็นนักนะ? ฮั่วเทียนอวี่อ้าปากหายใจหอบถี่
ผมของเขายุ่งเหยิงอยู่บ้าง หลินหว่านลุกขึ้นยืน จัดผมที่หน้าผาก พูดว่า “คุณบอกว่าฉันเปลี่ยนไป ที่แท้ใครกันแน่ที่เปลี่ยน?”
พูดพลาง ฮั่วเทียนอวี่คิดจะสงบสติอารมณ์ลงก่อน จึงยกกาน้ำบนโต๊ะขึ้นมาเทให้ตัวเองแก้วหนึ่ง หลินหว่านได้ยินเสียงดื่มน้ำของฮั่วเทียนอวี่อย่างชัดเจน
“คุณกลับหมู่บ้านกับผมเถอะ พวกเราต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากเลย” ตอนนี้ฮั่วเทียนอวี่ทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือพูดชักจูงเธอ
เขาไม่เชื่อว่าใจของหลินหว่านจะไม่หวั่นไหวตลอดกาล หลินหว่านหันหลังให้ฮั่วเทียนอวี่ เธอหยิบกระเป๋าถือบนโต๊ะขึ้นมา ฮั่วเทียนอวี่ดูออกว่าเธอกำลังจะไป
“คุณจะฟังผมพูดจนจบไม่ได้รึไง” ฮั่วเทียนอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นวิงวอน เขาทำถึงขนาดนี้แล้ว นาทีนี้ยิ่งจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
พอฟังคำพูดเขา เสียงรองเท้าส้นสูงบดกับพื้นหยุดกึก มือของหลินหว่านที่กำลังจะเปิดประตูไม่ขยับ เธอกลั้นไม่อยู่น้ำตาร่วงพรูออกมาจนได้
“มีอะไรคุณก็พูดมาสิ” ตอนนี้ถึงแม้หลินหว่านจะหันหลังให้เขา แต่เขารู้สึกได้ว่าเสียงของเธอมีก้อนสะอื้น
งั้นก็เหลือแค่เวลานี้เท่านั้น เขารู้ว่าการให้สัมภาษณ์ของเขาทำร้ายหลินหว่าน เป็นเรื่องที่ผิด แต่ความคิดแบบนี้จนถึงบัดนี้ยังโผล่มาแวบเดียวก็หายวับไป
“คุณไม่เคยลองคิดดูจริงๆ รึเปล่าว่าคุณกับเขาจะลงเอยกันได้ยังไง” ตอนฮั่วเทียนอวี่พูดคำพูดนี้เขาเค้นมันรอดออกมาตามไรฟัน ตั้งแต่เมื่อครู่จนตอนนี้ เขาพูดกับหลินหว่านมาหลายครั้ง แต่หลินหว่านไม่เคยเห็นด้วยเลย
ที่จริงถ้าเป็นเมื่อก่อน หลินหว่านได้ยินเขาพูดแบบนี้คงต้องโอ่นอ่อนตามเขาแล้ว ต่อให้ไม่รับปากก็คงจะลองคิดดูให้ดี
แต่ความจริงในตอนนี้ทำให้เธอรับไม่ได้ คนเดียวที่เธอไว้วางใจ กลับแทงข้างหลังเธอ
เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวจนถึงตอนนี้ ต่อให้เธอถูกคนจำนวนมากรังเกียจ ก็ไม่คิดจะจากไปแบบนี้ เพราะไม่ควรที่เธอจะต้องเป็นฝ่ายรองรับเรื่องทั้งหมดนี้
ผู้ชายคนนี้เคยได้รับความเชื่อถือจากเธอ แต่ตอนนี้เธอตาสว่างแล้ว หลินหว่านพยายามแหงนขึ้นมองเพดานเพื่อหวังจะเก็บน้ำตากลับไป
แต่ขอบตาของเธอยังแดงก่ำ “คุณบอกว่าคุณอยากให้ฉันจากไป คุณจึงทำเรื่องแบบนี้ แล้วบอกว่าทำเพื่อฉันงั้นเหรอ?” หลินหว่านอดไม่ได้ถามยันกลับไป ฮั่วเทียนอวี่ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
“ต่อไปพวกเราไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว” ตอนหลินหว่านพูดคำนี้ออกมาเธอตัดใจเด็ดขาดมาก เพราะพอเธอนึกถึงคำพูดตอนฮั่วเทียนอวี่บันทึกเทปนั่น เธอผิดหวังมาก “บิลน่ะฉันจ่ายให้แล้ว ต่อไปพวกเราไม่ต้องมาเจอกันอีก”
เห็นได้ชัดว่าฮั่วเทียนอวี่คิดไม่ถึงว่าผลจะเป็นแบบนี้ เมื่อครู่เขายังเข้าใจว่าพูดให้หลินหว่านเชื่อได้แล้วซะอีก หลินหว่านปิดประตู จากไปแล้ว
นาทีนั้นฮั่วเทียนอวี่พูดไม่ออก ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ
“ทำไม? ทำไมผมมีอะไรที่สู้เขาไม่ได้?” ฮั่วเทียนอวี่ตบโต๊ะที่ด้านข้างติดต่อกัน น้ำเสียงที่พูดล้วนแต่เค้นเสียงพูดออกมา สีหน้าออกจะบิดเบี้ยวอยู่บ้าง
หลินหว่านจากไปไม่นาน ฮั่วเทียนอวี่ก็ออกมาจากห้อง ตลอดทางเขายังคิดอยู่แต่คำพูดเมื่อครู่ของหลินหว่าน
คำพูดที่หลินหว่านพูดเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ฟัง แต่เขารู้สึกว่านั่นเป็นเหตุผลที่หลินหว่านใช้เป็นข้ออ้าง
ที่แท้เธอก็ใช้ฮั่วเทียนอวี่เป็นตัวหลอก ฮั่วเทียนอวี่เข้าใจว่าวันนี้ที่หลินหว่านตัดขาดเขาอย่างไร้เยื่อใยถึงขนาดนี้ ไม่ยอมกลับไปกับเขา ก็เพราะเธอถูกเสน่ห์หน้าตาและเงินทองของเซียวจิ่งสือล่อหลอกไว้
ตอนนี้เขาถูกผลักให้มาอยู่ริมขอบหน้าผาบ้าง ในฐานะเป็นคนที่รู้เรื่องหลินหว่านไปทำศัลยกรรมหน้า จึงมีนักข่าวจำนวนหนึ่งมาขอสัมภาษณ์เขา
จวบกระทั่งนักข่าวคนหนึ่งมาสัมภาษณ์ฮั่วเทียนอวี่ คราวนี้ฮั่วเทียนอวี่เหมือนกับไม่คิดอะไรเลย แค่พูดไปเรื่อยๆ
“ผมรู้ว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น เธอทำหน้าก็เพียงเพราะเงิน รอให้เธอคิดได้แล้วก็จะไม่เป็นแบบนี้” เขายังใช้ท่าทีเหมือนเดิม เปลือกนอกเหมือนจะพูดแก้ตัวให้หลินหว่าน แต่ความจริงกลับขยายว่าเธอเห็นแก่ยศศักดิ์เงินทอง
“ผมยังรักเธอเหมือนเดิม ผมหวังว่าเธอจะกลับไปแต่งงานกับผม” เขามองกล้อง เหมือนกับตัวเองต่างหากที่เป็นผู้ถูกทำร้ายตัวจริง
ตอนที่ 232 ปฏิเสธ
หลังจากฮั่วเทียนอวี่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว คลิปการให้สัมภาษณ์ของเขาก็เผยแพร่ไปทั่วเน็ต พออินเสี่ยวเสี่ยวดูคลิปนี้จบก็รู้สึกเสียใจอยู่พักหนึ่ง
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าฮั่วเทียนอวี่จะเป็นคนแบบนี้ อ้างว่าทำเพื่อเธอมาพูดให้ร้ายเธอต่อหน้านักข่าวแบบนี้ แถมยังทำท่าว่าเป็นห่วงเป็นใย ทำด้วยความจำใจซะอีก
แต่เขาทำแบบนี้ ได้นึกถึงผลที่จะตามมารึเปล่า ได้คำนึงถึงความรู้สึกของเธอไหม?
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พอคลิปเผยแพร่สู่สังคมออนไลน์ ก็มีคนเกลียดอินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่มขึ้นอีกกลุ่มใหญ่
ตอนนั้น มือถือของอินเสี่ยวเสี่ยวดังขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นดู เป็นสายของฮั่วเทียนอวี่
อินเสี่ยวเสี่ยวสะกดกลั้นความโกรธไว้ รับสาย “ฮั่วเทียนอวี่ คุณทำอะไรน่ะ”
“เสี่ยวเสี่ยว คุณเห็นคลิปที่ผมให้สัมภาษณ์แล้วใช่ไหม? ผมอยากจะบอกคุณว่า ที่ผมพูดนั่นมาจากใจจริงทั้งนั้น ผมคิดดูดีแล้ว ผมอยากให้คุณออกจากวงการบันเทิง กลับไปแต่งงานกับผม คุณวางใจได้ คุณไม่มีงานทำก็ไม่เป็นไร ผมจะหาเงินเลี้ยงคุณเอง ผมจะดีกับคุณให้มากๆ ” ฮั่วเทียนอวี่พูดพล่ามไม่หยุดถึงแผนการในอนาคตของเขา เขาเชื่อว่าจะทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวใจอ่อนได้แน่
“ฮั่วเทียนอวี่ คุณพอได้แล้ว!” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วโพล่งแทรกขึ้นอย่างโมโหว่า “ฉันไม่มีทางแต่งงานกับคุณหรอก คุณไม่ต้องหวังอีกแล้ว!”
“ทำไมล่ะ? เสี่ยวเสี่ยว ผมรักคุณนะ คุณเชื่อผมสิ ผมจะดีกับคุณให้มากๆ เลย ไม่ยอมให้คุณลำบากเด็ดขาด…” ฮั่วเทียนอวี่ยังไม่ยอมตายใจ
“แต่ฮั่วเทียนอวี่คะ ฉันไม่ชอบคุณ อย่าว่าแต่จะแต่งงานกับคุณเลย” อินเสี่ยวเสี่ยวกำมือถือไว้ พูดปฏิเสธเขาไปอย่างเฉยชา
“วันนี้เราพูดกันให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างเลย ถึงแม้ก่อนฉันจะสูญเสียความทรงจำ พวกเราเคยเป็นคู่รักกัน แต่ตอนนี้ ฉันไม่รู้สึกอะไรกับคุณอีกแล้ว ต่อไปพวกเราไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว!”
ฮั่วเทียนอวี่ได้ฟังคำพูดของอินเสี่ยวเสี่ยวก็โกรธมากเช่นกัน “อินเสี่ยวเสี่ยว ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายนัก!”
“งั้นหรือ ฮั่วเทียนอวี่ งั้นคุณก็คิดซะว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน เมื่อก่อนคุณคอยดูแลฉัน ฉันซาบซึ้งใจมาก แต่ตอนนี้สิ่งที่คุณทำโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฉัน แค่คิดถึงแต่ตัวคุณเอง เรื่องของพวกเราก็จบกันแค่นี้ แยกจากกันด้วยดีเถอะค่ะ คุณเป็นผู้ชายที่ดี แต่เราไม่เหมาะสมกัน ต่อไปขอให้คุณได้พบกับผู้หญิงที่เหมาะสมกับคุณก็แล้วกัน” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ได้ฟื้นฟูความทรงจำ ในความคิดของเธอแล้ว ความสัมพันธ์คู่รักของเธอกับฮั่วเทียนอวี่ก่อนเธอสูญเสียความทรงจำ และหลังจากเธอสูญเสียความทรงจำแล้วฮั่วเทียนอวี่ก็ยังดีกับเธอมาก ดังนั้นตอนนี้เธอพูดตัดรอนน้ำใจเช่นนี้ ตัวเองก็รู้สึกไม่ดีเอามากๆ เหมือนกัน แต่เธอกลับเห็นว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด
ที่ไหนได้ฮั่วเทียนอวี่พอฟังคำพูดของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วกลับโมโหเดือดขึ้นมา เขายอมอ่อนข้อวิงวอนขอร้องอินเสี่ยวเสี่ยวขนาดนี้แล้ว เธอยังปฏิเสธเขาอีก!
เขาหัวเราะหยัน พูดว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว คุณกล้าปฏิเสธผมเหรอ? คุณบอกผมมานะ คุณชอบไอ้เด็กเซียวจิ่งสือนั่นใช่ไหม! เขามีอะไรดีกว่าผม? จุดไหนที่สู้ผมได้บ้าง? เขาแค่มีเงินมีบริษัทเท่านั้นเอง เขาดีกับคุณได้เท่ากับผมไหม? คุณอย่าลืมสิ เขาแค่เห็นคุณเป็นตัวสำรองของหลินหว่านเท่านั้น คุณเข้าใจว่าเขาชอบคุณจริงๆ หรือไง คุณเข้าใจว่าคุณจะได้แต่งงานกับเขาจริงๆ เหรอ?”
“ฮั่วเทียนอวี่!” อินเสี่ยวเสี่ยวทนฟังต่อไปไม่ไหว พูดตัดบทฮั่วเทียนอวี่ว่า “เซียวจิ่งสือเป็นอย่างไรกับฉันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันชอบหรือไม่ชอบเขาก็ไม่เกี่ยวกับคุณ! ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของฉัน ซึ่งก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเหมือนกัน! สรุปก็คือ ต่อไปคุณไม่ต้องโทรมาอีก และไม่ต้องโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าด้วย!”
พูดจบ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ตัดสายฉับ
อินเสี่ยวเสี่ยวยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เดิมทีเธอมีความรู้สึกที่ดีต่อฮั่วเทียนอวี่ แต่ก็เพียงเพราะว่าเขาเป็นคนที่เธอเห็นเป็นคนแรกหลังจากสูญเสียความทรงจำ เธอจึงเชื่อถือเขามาตลอด
แต่พฤติกรรมของฮั่วเทียนอวี่ระยะนี้ ได้ทำลายความเชื่อถือและความรู้สึกซาบซึ้งใจที่เธอมีต่อเขาไปจนหมดสิ้น
ขณะที่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเซียวจิ่งสือกลับเพิ่มพูนขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ ควบคุมก็ไม่ได้
เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับฮั่วเทียนอวี่ เธอชอบเขาอย่างยั้งใจไม่อยู่ และบังคับตัวเองให้เลิกรักเขาก็ไม่ได้ด้วย เธอเป็นเหมือนคนขโมยเงา มีแต่ในความมืดจึงกล้ามองลึกเข้าภายในจิตใจของตัวเอง
พอคิดดูแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยล้า บางทีเธอกับฮั่วเทียนอวี่ก็คงไม่ต่างกันกระมัง กับคนที่ตัวเองรักกลับไม่อาจได้มา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ทำแบบฮั่วเทียนอวี่ ที่เอ่ยอ้างความหวังดีต่อเขามาทำเรื่องที่ทำร้ายเขา
แต่จะว่าไปแล้ว หลายวันมานี้ เรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยวก็สร้างกระแสฮือฮาบนเน็ตได้ครั้งแล้วครั้งเล่า อินเสี่ยวเสี่ยวจึงฮอตไม่เลิก เธอจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคนจับตามอง
ภายในห้องทำงานของตึกเซวี่ยนจื่อ อันจี๋ถิงแทบจะโมโหเดือดกับข่าวในช่วงหลายวันนี้ บนเน็ตถึงกับมีดาราชั้นปลายแถวไม่รู้โผล่มาจากไหนกล้าทำศัลยกรรมหน้ามาแอบอ้างเป็นลูกสาวของเธอ…หลินหว่าน!
อันจี๋ถิงไล่อ่านปูมหลังดำมืดของอินเสี่ยวเสี่ยวไปทีละแถว รู้สึกยิ่งโกรธขึ้นไปทุกที เธอต้องทำให้ผู้หญิงที่แอบอ้างเป็นลูกสาวเธออยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้!
ผ่านไปครู่หนึ่ง พอผู้ช่วยมาส่งเอกสาร อันจี๋ถิงทำเหมือนไม่ตั้งใจ พูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าระยะนี้วงการบันเทิงมีคนชื่ออินเสี่ยวเสี่ยวรึ?”
“ใช่ค่ะ ผอ.” ผู้ช่วยได้ยินคำพูดของอันจี๋ถิงก็นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตอบรับ
เธอติดตามอยู่ข้างกายอันจี๋ถิงมาหลายปี เป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนนักที่รู้ว่าอันจี๋ถิงยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ระยะนี้เรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยวบนเน็ตเล่าลือกันให้สะพัด ‘เด่นดัง’ ไม่มีใครเกิน เธอเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์ในวงการบันเทิง ทำไมจะไม่ได้ยินเรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยว
แต่อันจี๋ถิงยังรู้มาอีกเรื่องหนึ่ง คงเป็นเรื่องที่เธอแอบอ้างเป็นหลินหว่านกระมัง ด้วยปกติอันจี๋ถิงไม่ถามข่าวคราวโลกภายนอกทั้งหมดทั้งมวล แค่สนใจเรื่องที่เกี่ยวกับหลินหว่านทุกเรื่องอย่างมากเท่านั้น
แล้วก็ใช่จริงๆ ผู้ช่วยได้ยินอันจี๋ถิงพูดกับเธอว่า “เธอติดตามข้างกายฉันมาก็หลายปีแล้ว น่าจะรู้ว่าฉันไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหลินหว่านเด็ดขาด หรือแม้แต่แอบอ้างเป็นเธอก็ไม่ได้ ตอนนี้ฉันจะมอบหมายหน้าที่ให้เธอ ฉันจะให้เธอใช้ทุกวิถีทาง ไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไรและต้องทำอะไรบ้าง ตัดสายส่งงานในวงการบันเทิงของอินเสี่ยวเสี่ยวทั้งหมด ให้เธอไม่มีที่ยืนในวงการอีก!”
ยิ่งพูด น้ำเสียงของอันจี๋ถิงก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้น สีหน้าเธอฉายแววดุดันออกมา
ผู้ช่วยรีบพูดปลอบเธอ “คุณอันคะ คุณวางใจเถอะ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง ฉันจะทำตามที่คุณพูด ทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ในวงการนี้ต่อไปไม่ได้” เธอเป็นคนสนิทของอันจี๋ถิง หลายปีมานี้รู้จักเส้นสายภายในวงการบันเทิงไม่น้อย คิดจะจัดการกับดาราตัวเล็กๆ อย่างอินเสี่ยวเสี่ยวไม่น่าจะมีปัญหา
อันจี๋ถิงมองผู้ช่วยนิ่งอยู่ แล้วพูดว่า “อืม เธอไปเถอะ เรื่องนี้ต้องจัดการให้ได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี จำไว้นะ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไร ต้องทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ในวงการต่อไปอีกไม่ได้!”
ตอนที่ 233 อยู่ในวงการบันเทิง
เรื่องจัดการกับอินเสี่ยวเสี่ยวนั้นง่ายกว่าที่อันจี๋ถิงคิดไว้ซะอีก
ถึงยังไงอินเสี่ยวเสี่ยวก็เข้าวงการได้ไม่นานนัก เป็นเด็กใหม่ที่แสดงหนังไปไม่กี่เรื่อง อีกทั้งตอนนี้เธอมีชื่อเสียงเลวร้ายขนาดนี้อีก ขอเพียงเป็นหนังที่เธอเล่นล้วนถูกรังเกียจจากผู้ชมจำนวนหนึ่ง
บวกกับตู้เซวี่ยนได้ยินว่าอันจี๋ถิงต้องการจัดการอินเสี่ยวเสี่ยว เขาจึงใช้สถานะประธานกรรมการเครือบริษัทเซวี่ยนจื่อบอยคอตอินเสี่ยวเสี่ยว ดังนั้นบริษัทภาพยนตร์หลายแห่งจึงไม่ต้องการร่วมงานกับอินเสี่ยวเสี่ยวอีก
ผู้ช่วยของอันจี๋ถิงลงมืออย่างเฉียบขาดมาก เพียงสองวันเท่านั้น ชื่อเสียงของอินเสี่ยวเสี่ยวบนเน็ตก็ยิ่งย่ำแย่หนัก เธอหาบริษัทหรือผู้จัดละครที่ยอมรับเธอเข้าร่วมงานไม่ได้อีกเลยแม้แต่แห่งเดียว
“ขอโทษด้วย คุณอิน คนทำงานของกองถ่ายเราเต็มแล้ว คราวหน้าพวกเราค่อยร่วมมือกันนะคะ…ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด…”
อินเสี่ยวเสี่ยวถือมือถือไว้ ฟังเสียงอีกฝ่ายรีบวางสายไป รู้สึกอับจนใจอย่างมาก
ท่าทีแบบนี้ยังนับว่าดีแล้ว เธอยังเคยเจอเสียงก่นด่าอย่างระคายหูทุกรูปแบบกับเสียงที่ไล่ให้เธอออกจากวงการบันเทิง อินเสี่ยวเสี่ยวเริ่มสงสัยว่า เธอได้ทำเรื่องเลวร้ายจนไม่น่าให้อภัยจริงๆ กระมัง?
จากที่คนในวงการที่รังเกียจเธอกับผู้ชมที่ไม่ชอบเธอ เธอยังจะอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปอีกจริงๆ หรือ?
อินเสี่ยวเสี่ยวคิดดูอย่างจริงจัง เธอไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายใคร คนที่จะให้เธอออกจากวงการบันเทิงล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่รู้ความจริงเท่านั้น
ดังนั้น ไม่ว่าชื่อเสียงจะฉาวโฉ่ขนาดไหน เธอก็ยังไม่ยอมถอนตัวจากวงการบันเทิง เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องสนใจและกลัวกับคำเล่าลือบนเน็ตด้วย?
พอนึกถึงตรงนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็หยิบมือถือขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ตั้งท่าจะติดต่อหางานต่อไป หวังว่าจะมีบริษัทหรือกองถ่ายสักแห่งที่ยอมรับเธอเข้าทำงาน
อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งหยิบมือถือขึ้น ก็มีสายเรียกเข้าจากเบอร์แปลกหน้า
ในเวลาแบบนี้ ยังจะมีใครโทรหาเธออีก? อินเสี่ยวเสี่ยวรับสายด้วยความอยากรู้ “สวัสดีค่ะ?”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณอินเสี่ยวเสี่ยวหรือเปล่าคะ?” ปลายสายอีกด้านเป็นเสียงนุ่มนวลของผู้หญิง
อินเสี่ยวเสี่ยวอึ้งไปวูบ “ช…ใช่ค่ะ คุณเป็นใครคะ?”
“คุณอินคะ สวัสดีค่ะ คืออย่างนี้นะคะ เราเป็นบริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ บอสของเราชื่นชมคุณมาก วางแผนจะปั้นคุณให้เป็นซุปตาร์จอเงินแห่งยุครุ่นต่อไป จึงอยากจะขอเชิญคุณเข้าร่วมกับบริษัทของเราค่ะ คุณวางใจได้นะคะ บริษัทเรามีศักยภาพ มีฝีมือเป็นบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ระดับแนวหน้าที่ไม่ค่อยเป็นข่าวนัก ขอเพียงคุณเข้าร่วมกับเรา เราจะจัดหางานที่ดีที่สุดให้คุณ การประชาสัมพันธ์ระดับสุดยอดมือโปร…”
อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี นี่มันอะไรกันน่ะ? บริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์? ทำไมเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ?
แล้วยังมีอีก ในเมื่ออีกฝ่ายมีแหล่งงานที่ดีขนาดนี้ ทำไมถึงมาหาเธอล่ะ? คงไม่ใช่ตั้งใจจะแกล้งกันใช่ไหมนะ?
“ขอโทษนะคะ รอเดี๋ยวนะคะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดขัดร่ายยาวของอีกฝ่าย “พวกคุณแน่ใจว่าไม่ได้โทรผิดนะคะ? คุณแน่ใจนะว่าคนที่จะหาคือฉัน อินเสี่ยวเสี่ยวนะค่ะ?”
“แน่นอนค่ะ เราแน่ใจว่าคนที่เราต้องการหาก็คือคุณค่ะ คุณอิน” คนของบริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ตอบ
อันที่จริงพวกเขามีแหล่งงานดีขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า พวกเขาก็แค่คิดจะใช้ชื่อเสียงในวงการบันเทิงของอินเสี่ยวเสี่ยวมาทำเงินก็เท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าจะชื่อเสียงไม่ดี แต่ก็ดังพอตัวทีเดียว วงการบันเทิงก็เป็นอย่างนี้เอง ขอเพียงคุณฮอต มีคนเข้ามาดู มีคนสนใจ จะสนไปทำไมว่าชื่อดีหรือชื่อเสีย มีคนยอมจ่ายแน่อยู่แล้ว
อินเสี่ยวเสี่ยวยังตะลึงอยู่ ก็ได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดอีกว่า “แน่นอนค่ะ คุณอิน คุณจะทบทวนดูข้อเสนอของบริษัทก่อนก็ได้นะคะ ถ้าหากคุณสนใจจะร่วมงานกับบริษัทของเรา คุณก็มาดูที่บริษัทเราได้ ถ้าคุณพอใจเราค่อยเซ็นสัญญากันก็ได้ค่ะ”
หลังจากวางสายไปแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวยังประหลาดใจไม่หาย อยู่ดีๆ ก็มีคุกกี้หล่นลงมาจากฟ้า [1] รึไงกัน?
เธอเข้าเน็ตตรวจสอบดูก็พบว่า บริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ห่างกันไกลกับความดีเลิศอย่างที่คนในสายโฆษณาไว้ เป็นแค่บริษัทภาพยนตร์ระดับปลายแถวเท่านั้น
แต่อินเสี่ยวเสี่ยวก็พิจารณาอย่างจริงจัง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ของเธอ มีบริษัทสักแห่งยอมรับเธอก็ไม่เลวแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปได้ยังไง
ตอนบ่าย อินเสี่ยวเสี่ยวมาที่บริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ตามที่อยู่ที่อีกฝ่ายให้ไว้ เธอกะจะสำรวจดูสักรอบ เธอคิดว่าถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องเซ็นสัญญาเท่านั้นเอง ถึงยังไงดูๆ ไว้ก็ไม่เสียหลาย
แต่พอมาถึงบริษัทแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็นึกเสียใจที่มา บริษัทนี้เป็นบริษัทภาพยนตร์ที่…เกรงว่าพูดออกไปก็ไม่มีใครยอมเชื่อ
ที่ตั้งของบริษัทอยู่ไกลปืนเที่ยงเอามากๆ เธอหาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาเจอ บริษัทไม่ได้มีล้อบบี้ห้องรับแขกอะไรเลย ทั้งในนอกบริษัทดูสับสนวุ่นวายไปหมด
แต่ยังดีที่ท่าทีของพนักงานไม่เลวนัก พอเธอเข้ามาแล้ว ก็มีผู้หญิงรูปร่างค่อนข้างท้วมคนหนึ่งรีบออกมาต้อนรับเธอ “คุณอินคะ ฉันรู้ว่าคุณต้องมาแน่! คุณคิดดูแล้วเป็นยังไงบ้าง? บริษัทของเรามีศักยภาพมากนะคะ อ้อ คุณอย่าเห็นว่าบริษัทเราดูสมถะไปหน่อย เป็นเพราะเจ้านายของเราเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวมาก…”
ฟังเสียงของเธอแล้ว น่าจะเป็นผู้หญิงคนที่โทรหาเธอเมื่อตอนเช้ากระมัง
อินเสี่ยวเสี่ยวฉวยโอกาสตอนเธอเริ่มพล่ามไม่หยุดนั้น มองสำรวจบริษัทที่ว่า ‘มีศักยภาพ’ นี้ บริษัทไม่ใช่แค่สมถะ อาจกล่าวได้ว่าซอมซ่อเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ นับแต่อินเสี่ยวเสี่ยวเดินเข้าบริษัทมา ก็เห็นแค่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น หรือว่าบริษัทนี้จะมีเธอเป็นพนักงานเพียงคนเดียว?
อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้ถามเพิ่ม เธอรู้สึกว่าตัวเองมาที่นี่ช่างเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเวลา ดังนั้นเธอจึงพูดกับหญิงอ้วนนั้นไปตรงๆ “ขอโทษนะคะที่มารบกวน บริษัทของคุณพิเศษมาก แต่ยังหวังว่าถ้ามีโอกาสจะได้ร่วมงานกันในครั้งหน้าค่ะ”
พูดจบ อินเสี่ยวเสี่ยวก็จะหมุนตัวจากไป ตอนนั้นเอง หญิงอ้วนนั่นเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวปฏิเสธก็รีบรั้งเธอไว้ “คุณอินคะ คุณอย่าเพิ่งรีบไปสิคะ คุณรู้ไหมว่าเจ้าของบริษัทของเราเป็นใคร?”
ขณะที่หญิงอ้วนพูด เธอทำท่าเหมือนเป็นความลับ อินเสี่ยวเสี่ยวชะงักเท้าที่กำลังจะจากไป ถามอย่างอยากรู้ว่า “ใครคะ”
หญิงอ้วนนั้นรีบยักคิ้วหลิ่วตา ท่าทางภาคภูมิใจเมื่อตอบว่า “คุณอิน คุณไม่รู้สินะคะว่าบริษัทของเราอยู่ภายใต้เครือบริษัทของตระกูลเซียว บอสใหญ่ก็คือเซียวจิ่งสือ!”
อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจสุดๆ หญิงอ้วนรีบฉวยโอกาสชักจูงอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “ดังนั้น คุณอินคะ คุณจะไปจริงๆ หรือคะ? จะไม่พิจารณาบริษัทของเราสักหน่อยหรือคะ? ถ้าหากคุณเข้าร่วมกับบริษัทของเรา ต่อไปจะได้มีโอกาสเจอท่านประธานเซียวบ่อยๆ ยังไงคะ!”
“ฉัน…” ขณะอินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะพิจารณาใหม่นั้นเอง หญิงอ้วนไม่รู้ว่าไปหยิบสัญญาที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาจากที่ไหน เธอพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “คุณอินคะ คุณยังจะลังเลไปทำไมอีก? เข้าร่วมกับบริษัทเรา ไม่แน่ว่าคุณจะได้รับความสนใจจากท่านประธานเซียวมากยิ่งขึ้น! มา คุณอิน เซ็นสัญญาซะเลยนะคะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวพอฟังว่าเป็นบริษัทของเซียวจิ่งสือ หัวสมองก็เหมือนถูกกรอกด้วยยากล่อมประสาท ถึงกับยอมเซ็นสัญญาที่อยู่ในมือของหญิงคนนี้ไปซะอย่างนั้น
——
[1] คุกกี้หล่นลงมาจากฟ้า หมายถึง มีโชคหล่นทับ
ตอนที่ 234 ผู้จัดการคนใหม่
หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวเซ็นสัญญาแล้ว หญิงอ้วนที่ต้อนรับเธอก็หยิบสัญญาที่อินเสี่ยวเสี่ยวเซ็นมาอ่านดูอย่างตั้งใจ จากนั้นเก็บขึ้นอย่างดีใจ
“คุณอินคะ ยินดีด้วย นับแต่นี้ไป คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์แล้ว ต่อไปพวกเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว!” หญิงอ้วนจับมืออินเสี่ยวเสี่ยวพลางพูดอย่างอย่างดีใจ ราวกับเก็บได้พลอยอย่างนั้น
“ขอบคุณค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวยังอยู่ในอาการมึนงงที่เพิ่งเซ็นสัญญาไป ยังไม่ทันตั้งสติ พูดตอบอย่างใจลอย
ตอนนั้นเอง หญิงอ้วนก็หันไปร้องเรียกคนในบริษัทว่า “หลินจิ้ง รีบออกมาเร็ว เรามีแขกมา อ๊า ไม่ใช่สิ มีศิลปินแล้ว!”
เสียงหญิงอ้วนเพิ่งขาดคำ ด้านในบริษัทก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา ใบหน้ารูปแตง ผมดัดยาว ใบหน้าเธอแต่งไว้หนาเตอะ แต่ยังปกปิดร่องรอยแห่งกาลเวลาและท่าทีเฉียบคมไว้ไม่ได้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอ อินเสี่ยวเสี่ยวยังเข้าใจว่าบริษัทนี้คงมีแค่หญิงอ้วนเป็นพนักงานเพียงคนเดียว
หญิงอ้วนแนะนำอินเสี่ยวเสี่ยวให้รู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อหลินจิ้ง “คุณอิน เธอชื่อหลินจิ้ง เป็นผู้จัดการที่ทางบริษัทจัดหามาให้คุณ ใช่แล้ว เพื่อเป็นการรับประกันว่าแผนปั้นคุณเป็นซุปตาร์จอแก้วของทางบริษัทจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น ต่อไปคุณต้องเชื่อฟังเธอทุกอย่าง เข้าใจไหมคะ คุณอิน?”
ตอนหญิงอ้วนแนะนำหลินจิ้งนั้น หลินจิ้งกับอินเสี่ยวเสี่ยวต่างก็มองสำรวจอีกฝ่ายไปพร้อมกัน
หญิงอ้วนเพิ่งพูดจบ หลินจิ้งก็เดินเข้ามาอีกหลายก้าวจนมายืนตรงหน้าอินเสี่ยวเสี่ยว มือข้างหนึ่งเชยคางอินเสี่ยวเสี่ยวขึ้น พูดอย่างชื่นชมว่า “หน้าตาไม่เลวนี่ มีคุณลักษณะที่จะเป็นซุปตาร์ได้”
“คุณทำอะไรน่ะ? ปล่อยฉันนะ!” อินเสี่ยวเสี่ยงถูกหลินจิ้งบีบคางจนเจ็บ รีบสะบัดหลุดแล้วถอยไปก้าวหนึ่ง ลูบคางตัวเอง
หลินจิ้งปล่อยมา เลิกคิ้วพูดว่า “ดูท่าว่าเป็นหน้าจริงนะนี่ ไม่ใช่ทำหน้ามาหรอก” พูดจบ สายตาก็มองกวาดอย่างสำรวจใบหน้าอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างไม่เกรงใจกว่าเดิม
อินเสี่ยวเสี่ยวโมโหกับพฤติกรรมของหลินจิ้งอย่างมาก ขณะจะโต้กลับไปหญิงอ้วนก็พูดจาไกล่เกลี่ยขึ้นว่า “คุณอิน คุณอย่าโกรธไปเลยค่ะ ปกติหลินจิ้งเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ การกระทำเมื่อครู่ของเธอไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่พูดจาตรงเผงไปหน่อย คุณก็อย่าไปถือสาเลยนะคะ”
“ฉัน…” อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นว่าหลินจิ้งเหมือนกับเปลี่ยนท่าทีไปเลย เธอก้าวเข้ามาหาเธอ ใบหน้ายิ้มแย้ม พูดกับเธอว่า “คุณอิน เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยที่ล่วงเกินคุณ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ค…คุณ เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก อย่าให้มีครั้งหน้าอีกล่ะ!” ด้วยคำกล่าวที่ว่าเงื้อมือไม่ตบหน้าคนยิ้ม อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าในเมื่อหลินจิ้งขอโทษเธอแล้วก็ได้แต่ข่มความโมโหพูดขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว คุณอิน คุณหน้าตาสวยขนาดนี้ เกิดมาเป็นซุปตาร์ชัดๆ ฉันจะกล้าล่วงเกินคุณอีกได้ไง” หลินจิ้งยิ้มประจบอินเสี่ยวเสี่ยว “ถ้าคุณอินได้เป็นซุปตาร์จริงๆ ก็อย่าลืมฉันก็แล้วกันนะคะ”
“ค…คุณอย่าพูดเป็นเล่นไปเลยค่ะ คุณหลิน” อินเสี่ยวเสี่ยวไม่เข้าใจว่าทำไมท่าทีของหลินจิ้งที่มีต่อเธอจึงเปลี่ยนไปทันควันได้มากมายขนาดนี้ ท่าทางที่เธอพูดก็ดูไม่เหมือนเสียดสีกระแทกแดกดัน ถ้างั้นมันหมายความว่ายังไงกันแน่?
อินเสี่ยวเสี่ยวฉุกคิดขึ้นได้ เมื่อครู่พวกเธอพูดว่า ‘แผนปั้นซุปตาร์’ คงไม่ได้พูดจริงกระมัง? เธอยังเข้าใจว่าพวกเธอพูดเล่นกันซะอีกแน่ะ
จู่ๆ อินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกว่าบริษัทนี้มีบรรยากาศแปลกๆ อย่างหนึ่ง เธอนึกเสียใจอยู่บ้างที่มาบริษัทนี้แล้ว
พูดถึงตรงนี้ เธอนึกขึ้นได้อีกว่าเมื่อครู่เธอไม่ได้อ่านสัญญาที่ตัวเองเซ็นไปอย่างละเอียด ไม่รู้ว่ามีเนื้อหาว่าอย่างไรบ้างสิ
แต่ว่าแผนในตอนนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวยังรู้สึกว่าไปจากที่นี่ยิ่งเร็วเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี เธอพูดกับหลินจิ้งและหญิงอ้วนว่า “ใช่แล้ว นี่ก็สายแล้ว ฉันเพิ่งนึกได้ว่ายังมีธุระต้องไปทำอีก ขอตัวก่อนนะคะ”
“รอสักครู่ค่ะ คุณอิน!” หลินจิ้งเรียกอินเสี่ยวเสี่ยวที่กำลังหมุนตัวจะจากไปเอาไว้
“มีอะไรอีกหรือคะ” อินเสี่ยวเสี่ยวถามเธออย่างสงสัยและระวังตัวขึ้นมาอยู่บ้าง
“คุณอิน นี่คือนามบัตรของฉันค่ะ บนนั้นมีเบอร์โทรติดต่อของฉัน ต่อไปฉันจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณค่ะ” พูดพลาง หลินจิ้งยื่นนามบัตรให้อินเสี่ยวเสี่ยวใบหนึ่ง
อินเสี่ยวเสี่ยวรับนามบัตรมา ได้ยินหญิงอ้วนพูดว่า “คุณอินคะ ในเมื่อคุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเราแล้ว ต่อไปเรื่องของบริษัทก็เป็นเรื่องของคุณเช่นกัน หวังว่าคุณจะปล่อยสายโทรศัพท์ให้ว่างไว้นะคะ มีปัญหาอะไรพวกเราจะติดต่อคุณทันที”
หลังออกจากบริษัทภาพยนตร์เชียนอวี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์มาได้ อินเสี่ยวเสี่ยวยังรู้สึกเหมือนเมื่อครู่เธอหลงเข้าแดนสนธยามาอย่างนั้น แล้วเธอก็เซ็นสัญญากับบริษัทภาพยนตร์ชั้นปลายแถวที่ดูไม่ค่อยปกตินักแล้วด้วย?
แต่ด้วยความคิดบวกของเธอพอมาคิดดูแล้วก็ไม่ค่อยจะเสียใจนัก ถึงยังไงก็ยังดีกว่าที่เธอถูกบอยคอตจากวงการบันเทิง ไม่มีบริษัทไหนสักแห่งยอมรับเธอไว้
อินเสี่ยวเสี่ยวจากไปแล้ว หญิงอ้วนมองดูเงาหลังอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วถามหลินจิ้งว่า “หลินจิ้ง เธอว่าบริษัทเซ็นกับเธอ มันดีแล้วจริงเหรอ?”
หลินจิ้งยิ้มพลางพูดว่า “ฉันว่าดีออก ใบหน้าเธอนั่นมันโหงวเฮ้งซุปตาร์ชัดๆ สง่าราศีก็ไม่เลว ถ้าเราใช้มันให้ดี ต้องดังเปรี้ยงได้แน่”
หญิงอ้วนถามอย่างไม่เข้าใจ “พวกเราจะทำให้เธอดังเปรี้ยงได้ยังไงน่ะ”
หลินจิ้งตอบสวนมาอย่างไม่ลังเลว่า “ให้งานเธอ ปั้นเธอ”
หญิงอ้วนแปลกใจมาก มองหลินจิ้งเหมือนเธอเป็นบ้าไปแล้ว “แต่บริษัทเราจะไปมีงานจากที่ไหนกันเล่า?”
หลินจิ้งหัวเราะ พูดว่า “งานเหรอ ก็ใช้ของบางอย่างไปแลกมานะสิ ต้องดูว่าเธอจะยอมสู้รึเปล่า”
หญิงอ้วนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “ถ้าอินเสี่ยวเสี่ยวไม่เต็มใจจะทำยังไง?”
หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ “ทำไมเธอจะไม่ยอม? เธอถูกวงการบันเทิงบอยคอต ถ้าหาไม่ยอมสู้ นอกซะจากเธอไม่คิดจะอยู่ในวงการบันเทิงอีก”
พูดจบ หลินจิ้งก็หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดขึ้นมวนหนึ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้น ทางหนึ่งพ่นควันอีกทางหนึ่งโทรหาคนที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงที่อยู่ในมือถือของเธอ
อินเสี่ยวเสี่ยวกลับไปไม่นาน ก็ได้รับสายจากหลินจิ้ง
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ…” อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นมีสายเรียกเข้า ยังเข้าใจว่าเป็นคนแปลกหน้าโทรมาเสียอีก
“เสี่ยวเสี่ยว ฉันเอง หลินจิ้ง ผู้จัดการของคุณไง” หลินจิ้งทักอย่างเป็นกันเองเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับอินเสี่ยวเสี่ยว
“ค…คุณหลิน คุณโทรมา มีธุระอะไรหรือคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวค้นหาคำเรียกที่เหมาะกับหลินจิ้ง
“อึ่ม คืองี้นะ เสี่ยวเสี่ยว ค่ำนี้ฉันมีงานเลี้ยงหนึ่ง คนที่มาในงานล้วนแต่เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของวงการทั้งนั้น ฉันคิดว่าในเมื่อเธอเป็นคนของบริษัทแล้ว ช่วงนี้ก็ไม่มีงานแสดงอะไร เย็นนี้ก็ไปงานเลี้ยงกับฉันดูโลกภายนอกบ้าง ฉันจะแนะนำเธอให้พวกผู้กำกับรู้จัก ไม่แน่ว่าจะมีผู้กำกับถูกตาเธอ ให้บทมาแสดงสักสองสามบท เป็นยังไง?” หลินจิ้งพูดจาโน้มน้าวเป็นฉากๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น