เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 226-232
ตอนที่ 226 ฉันกับเขาไม่มีวันเป็นไปได้
หัวใจเธอกระตุกวูบ ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นใคร เขาไม่เพียงเป็นเจ้านายที่ดีกับเธอมาก แต่ยังเป็นมาเฟียอิตาลีอีกต่างหาก ได้ข่าวว่าพวกเขาก่อกรรมทำชั่วทุกอย่าง แม้แต่รัฐบาลอิตาลียังเกรงกลัวพวกเขา
เมื่อก่อนเธอคิดว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนไร้พิษภัย ทำไมเธอถึงกล้าคิดแบบนั้นนะ?
เธอหวนนึกถึงจิ้นหยวนที่เคยเผชิญหน้ากับเขาจังๆ แถมยังเป็นฝ่ายเหนือกว่าอีกต่างหาก ตอนนี้กลับมาคิดๆ ดูแล้ว จิ้นหยวนก็เจ๋งไม่เบาเหมือนกัน
คริสไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขายังคงยิ้มแย้มคุยกับเธอเรื่อยๆ “ปกติคุณดูแปลกแยกเกินไป คุณควรจะคบค้าสมาคมกับคนอื่นบ้าง สาวๆ ที่นี่ไม่เหมือนคุณเลยสักคน สาวชาวตะวันออกขี้อายเหมือนคุณทุกคนหรือเปล่าครับ?”
“ไม่หรอกค่ะ เป็นเพราะฉันไม่อยากออกจากบ้านเองต่างหาก อีกอย่าง สภาพอากาศแบบนี้ ฉันยอมหมกตัวอยู่บนเตียงกับหนังสือในมือสักเล่ม แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้วค่ะ”
“เหรอครับ งานอดิเรกของคุณฟังดูน่าสนใจดี” หญิงสาวที่รักการอ่านส่วนใหญ่นิสัยไม่เลว
“ก็แค่ความชอบส่วนตัวน่ะค่ะ” เธอยิ้มบางๆ หวนนึกถึงคืนวันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในอดีตที่ผ่านไปนานแสนนาน เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองแทบจะลืมไปแล้วว่าหยางฉี่หน้าตาเป็นอย่างไร
ตรงกันข้าม ใบหน้าของจิ้นหยวนผุดขึ้นมาแทนที่ และชัดเจนมากขึ้นๆ เธอลอบถอนหายใจเบาๆ ส่ายศีรษะน้อยๆ หวังสลัดภาพเขาออกจากสมอง เธอเงยหน้าขึ้นพลันเห็นคริสกำลังมองเธออย่างใช้ความคิด เธอรู้สึกกระดากเล็กน้อย “ทำไมคุณมองฉันแบบนั้นคะ? ฉันแต่งตัวได้แย่มากเหรอคะ?”
“คุณรักเขามากใช่ไหม?”
จู่ๆ เขาก็โยนคำถามนี้มาให้เธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เธอตะลึงนิ่งอึ้งจนพูดไม่ออกอยู่ตั้งนานสองนาน
เขาเห็นปฏิกิริยาของเธอแล้วรีบเอ่ยขอโทษทันที “ผมขอโทษ ผมเห็นสีหน้าคุณแล้วรู้สึกว่าคุณน่าจะกำลังคิดถึงคนรักของตัวเองอยู่ สีหน้าคุณถึงได้ทั้งคิดถึงทั้งเป็นสุขแบบนั้น”
“จริงเหรอคะ?” เธอลูบหน้าตัวเองเบาๆ ด้วยความอาย ความคิดถึงของเธอรุนแรงจนเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือ แม้แต่เขาก็ยังดูออกอย่างนั้นเหรอ?
เธอสงบจิตสงบใจแล้วเอ่ยขึ้น “ก็อาจจะใช่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ แต่ว่า ไม่ว่าฉันจะรู้สึกยังไง ตอนนี้มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะค่ะ” เธอมองสายตาไม่เข้าใจของเขา “ระหว่างฉันกับเขาไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะเขาแต่งงานกับหญิงอื่นแล้ว”
สายตาไม่เข้าใจของคริสแปรเปลี่ยนเป็นเห็นใจทันที “เอ่อ… ขอโทษ ผมไม่รู้ว่า…”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอยิ้มบางๆ พลางเอ่ยแทรกคำขอโทษของเขา เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ส่วนลึกในใจ “นี่แหละค่ะความจริง ฉันไม่อยากหลอกตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะถึงยังไงฉันกับเขาก็ไม่มีวันเป็นไปได้”
“เข้าใจแล้วครับ” เขาละสายตาจากเธอแล้วหันไปตั้งใจขับรถ บรรยากาศภายในรถเงียบลงอีกครั้ง
เธอถอนหายใจในใจเบาๆ นั่งตัวตรง พยายามสลัดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ออกจากสมอง
จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นอีก “ต้องการให้ผมช่วยไหมครับ?”
“อะไรนะคะ?” เธอเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมหมายความว่า ถ้าเขากลับมาหาคุณอีก คุณคิดว่าจะรับมือเขาไหวเหรอครับ? ผมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
เธอเข้าใจความหมายของเขาแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณด้วยนะคะ แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่ใช้ไม้แข็งกับฉันหรอกค่ะ”
“คุณอย่างดูถูกผู้ชายเกินไป ผมเห็นตั้งแต่แรกแล้ว สายตาของเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะต้องเอาตัวคุณไปให้ได้” เขาเอ่ยจริงจัง
เธอได้แต่นั่งเงียบ เธอไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คงต้องคอยดูกันต่อไป
รถยนต์เคลื่อนตัวอยู่ในความมืด ดุจมัจฉาสีนิลเป็นมันที่กำลังแหวกว่ายเข้าสู่มหาสมุทรยานยนต์
ไม่นาน รถของคริสก็เคลื่อนตัวเข้าไปจอดลงตรงหน้าร้านที่ถูกประดับประดาจนสว่างไสว “ถึงแล้ว เลือกชุดที่คุณชอบได้ตามสบายเลยนะครับ” เขาหันไปเอ่ยกับเธอ
เธอมองป้ายหน้าร้านแล้วจำได้ทันทีว่าร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านเสื้อผ้าสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในมิลาน ราคาเสื้อผ้าชุดหนึ่งๆ เทียบเท่ากับเงินเดือนของเธอตั้งหลายเดือนแน่ะ
เธอมองเขาด้วยความลังเล “เปลี่ยนร้านได้ไหมคะ?”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ให้ฉันใส่เสื้อผ้าร้านนี้ฉันคงเกร็งจนก้าวขาไม่ออกแน่ๆ เกิดฉันทำมันเปื้อนหรือสกปรกขึ้นมา ฉันคงไม่มีปัญญาชดใช้หรอกค่ะ”
เขาหัวเราะฮ่าๆ “สบายใจเถอะครับ ผมซื้อให้คุณ คุณไม่ต้องชดใช้หรอกครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเป็นคนใส่ จะให้คุณจ่ายเงินได้ยังไง?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ คุณไปออกงานเป็นเพื่อนผม ผมเป็นเจ้านายคุณ งานนี้จึงถือเป็นงานหลวง และนี่เป็นค่าเครื่องแต่งกายสำหรับออกงานไงครับ”
เธออ้าปากอยากจะแย้ง แต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง แบบนี้ก็ได้เหรอ? เขามีเลขาส่วนตัวไม่ใช่เหรอ?
คริสเห็นสายตาของเธอแล้วเข้าใจทันที “เลขาผมลาคลอดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คุณไม่รู้เหรอครับ?”
เธอชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ภาพหญิงอุ้มท้องผุดขึ้นในสมองทันที
เขาอุดช่องโหว่ทุกช่องทางแบบนี้เธอยังจะทำอะไรได้อีก สุดท้ายทั้งสองก็ลงจากรถ คนหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลังเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าราคาแพง
เธอคงต้องบอกว่า แม้เสื้อผ้าจะราคาแพงลิบลิ่ว แต่คุณภาพการบริการของพนักงานในร้านก็สูงมากเช่นเดียวกัน ยามพนักงานเห็นพวกเขาเดินเข้าไปในร้าน พวกเขาไม่ได้กรูกันเข้าไปหาลูกค้าทันที แต่กลับมีพนักงานสาวยิ้มหวานเดินเข้ามาพวกเขาเพียงคนเดียว จากนั้นเอ่ยต้อนรับพวกเขาด้วยภาษาอิตาลีอย่างสุภาพ เมื่อเห็นว่าลูกค้าสาวสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ เธอจึงเปลี่ยนไปพูดภาษาอังกฤษอย่างลื่นไหลแทนทันที “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้างคะ?”
คริสพยักหน้าให้พนักงานสาวเล็กน้อย “ช่วยเลือกชุดราตรีที่เหมาะกับเธอด้วย”
พนักงานสาวถูกฝึกจนมีสายตาแหลมคม มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนรวยคือชายหนุ่มรูปงามคนนี้ เธอยิ้มหวานยิ่งขึ้น “ได้ค่ะ เชิญคุณผู้หญิงตามมาทางนี้ค่ะ”
เฉียวซือมู่ไม่ได้ถือสาที่พนักงานสาวค่อนข้างเฉยชากับเธอ คริสเป็นเจ้านายของเธอ แม้แต่เธอเองก็ต้องประจบเอาใจเขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเธอ เพียงไม่นาน เธอก็ได้ชุดราตรีสีเหลืองนวลที่เหมาะกับเธอมาก มันเป็นชุดราตรียาวระดับหัวเข่าที่เปิดหน้าอกเล็กน้อยพอสวยงาม ให้ความรู้สึกสง่างามหากแต่แอบเซ็กซี่นิดๆ โดยเฉพาะเนื้อผ้าสีเหลืองนวลช่วยขับผิวเธอให้ผุดผ่องมากยิ่งขึ้น
ชั่ววินาทีที่เขาเห็นเธอเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ พลันสายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งทันที “สวยมาก สวยจนผมตะลึงไปเลย”
เขาเอ่ยชื่นชมพลางจับมือเธอขึ้นมา จากนั้นฝังจุมพิตลงบนหลังมือเธอเบาๆ สายตาร้อนแรงของเขาทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
ขณะที่เธอกำลังจะดึงมือกลับนั้น เขารีบคลายมือออกอย่างรู้ตัว จากนั้นคลี่ยิ้มกว้างให้เธอ “ตามผมมา ผมจะทำให้คุณเป็นผู้หญิงที่สวยจนทุกคนในงานต้องตะลึง”
เธอรู้สึกสับสนปนเปไปหมด จู่ๆ เธอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ดันไปรับปากเขาว่าจะไปงานค็อกเทลเป็นเพื่อนเขาเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
แต่ตอนนี้เธอถอนตัวไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่เขาอยากจะสื่อ แล้วยิ้มซื่อๆ ตามเขาไป
และเป็นไปอย่างที่เธอคาด ทันทีที่เขาและเธอปรากฎกายในงานเลี้ยงค็อกเทล ทั้งสองก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในงานทันที แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะคริส สถานะมาเฟียของเขาทำให้ใครๆ ต่างนึกเกรงกลัวอยู่บ้าง จนกระทั่งแขกเหรื่อในงานมองเขาจนพอใจแล้ว จึงเบนความสนใจมาที่เธอแทน ไม่มีใครในงานรู้จักเธอสักคน หลังจากมองเธอด้วยสายตาสงสัยแล้ว ทุกคนต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบขึ้นมา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดาไปต่างๆ นานาว่าเธอเป็นใคร
ตอนที่ 227 กระทบกระเทียบ
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เฉียวซือมู่ยิ้มค้างเล็กน้อย แต่เธอไม่ตื่นตระหนก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เธอไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เธอเคยร่วมงานประเภทนี้มาไม่น้อย ตอนนี้เธอจึงเผชิญหน้ากับทุกอย่างอย่างสงบเยือกเย็น
คริสเสียอีกที่กลายเป็นฝ่ายกระวนกระวายแทน เขากระซิบกระซาบกับเธอ “ไม่ต้องสนใจพวกเขา เดี๋ยวคุณไปพบคนคนหนึ่งกับผม จากนั้นคุณหาที่นั่งนั่งเล่นไปพลางๆ ก่อน คุณไม่ต้องกังวล ไม่มีใครกล้าดูถูกคุณแน่นอน”
เธอยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าเล็กน้อย ความสง่างามแบบลูกผู้ดีเปล่งประกาย “ค่ะ”
ดวงตาเขาเป็นประกายวาบ กิริยาท่าทางของเธอทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เขาใจเย็นลง ยื่นแขนซ้ายให้เธอพลางยิ้มอย่างสุภาพ เธอลังเลเล็กน้อยแล้วยื่นแขนออกไปควงแขนของเขา เธอยิ้มให้เขาตามมารยาท จากนั้นสองหนุ่มสาวเดินควงแขนมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของเขาในคืนนี้
บรรยากาศในงานน่าเบื่อมาก อย่างน้อยก็สำหรับเธอ ชายหญิงแต่งตัวหรูหรา มือถือแก้วไวน์แดง คุยแต่เรื่องน่าเบื่อ สักพัก เธอสังเกตเห็นว่าไม่มีใครแตะต้องอาหารบนโต๊ะเลย
เธอมองดูอาหารหน้าตาวิจิตรสวยงามพวกนั้นแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างปลงๆ นี่มันเสียของชัดๆ
โชคดีที่วันนี้เธอรับประทานอาหารค่ำไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เธอจึงตักขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ลงบนจานแล้วเริ่มลงมือกินขนมเค้กพวกนั้น ตาเธอเป็นประกายหลังจากกัดขนมเค้กชิ้นเล็กคำแรก รสชาติไม่เลว อร่อยกว่าขนมเค้กที่เธอเคยกินเป็นไหนๆ
ดูเหมือนงานนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น เธอแอบคิดในใจ
เธอใช้ส้อมคันเล็กจิ้มขนมเค้กแล้วใส่ลงบนจานในมืออีกหลายชิ้น จากนั้นเลือกนั่งลงบนที่นั่งที่ค่อนข้างลับตาคน
ดูเหมือนแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจะเป็นพวกไฮโซในพื้นที่ เพราะส่วนใหญ่พูดภาษาอิตาลีที่เธอฟังไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานหลายเดือน เธอพอจะเข้าใจภาษาอิตาลีอยู่บ้าง แต่ถ้าให้ฟังเยอะๆ เธอเองก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน
เธอได้แต่ก้มหน้าก้มตากินขนมเค้กที่อยู่ในจาน จนกระทั่งได้ยินเสียงซุบซิบดังลอยเข้าหูเธอ “เธอดูสิ… กินอย่างกับไม่เคยกินมาก่อนแน่ะ…”
“ได้ยินว่าที่ที่พวกเขาอยู่ล้าหลังมาก ต้องใช้ชีวิตอดๆ อยากๆ ไม่เคยกินอิ่มด้วยซ้ำ…”
“ใช่ๆ แล้วลูกๆ ของพวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือด้วยนะ ต้องออกไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครอบตั้งแต่เด็กแน่ะ…”
“จริงเหรอ น่าสงสารจัง…”
“น่าสงสารอะไรกัน… ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นั่นทำอาชีพแบบนั้นด้วยนะ… เธอดูสิ ผู้หญิงคนนี้ก็คงเหมือนกัน…”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคริสถึงพาผู้หญิงหากินมาด้วย เสียศักดิ์ศรีเปล่าๆ…”
ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นกำลังพูดถึงเธออยู่ เพราะพวกเธอพูดภาษาอังกฤษและนั่งใกล้เธอมาก เธอจึงได้ยินทุกอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอยังคิดอยู่เลยว่าผู้หญิงบนโลกคงชอบนินทาลับหลังคนอื่นเหมือนกันหมด แต่พอได้ยินชื่อๆ หนึ่งที่เธอคุ้นเคย ถึงได้ตระหนักว่า นั่นพวกเธอกำลังพูดถึงเธออยู่อย่างนั้นเหรอ?
ความรู้สึกเธอช้าจนน่าโมโห จนถึงตอนนี้ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าคนพวกนั้นกำลังนินทาเธออยู่
แต่ว่า ที่พวกเธอกล้านินทาเธอในระยะเผาขนแบบนี้ เพราะคิดว่าหูเธอไม่ดีหรืออย่างไร?
เธอเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดหรูหรากลุ่มนั้น หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเงยหน้าขึ้นมาพอดี ทั้งสองประสานสายตาเข้าอย่างจัง เธอเห็นชัดเจนว่าดวงตาของหญิงสาวคนนั้นมีแววตระหนกเล็กน้อย แต่ไม่ทันไร หญิงสาวคนนั้นก็รีบส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอ แววตาประจบเล็กน้อย
เธอเห็นแล้วถึงกับตะลึงนิ่งอึ้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผู้หญิงพวกนั้นเป็นไบโพล่าร์หรืออย่างไร?
เธอยิ้มตอบอย่างอัตโนมัติ ก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย อย่าบอกนะว่าผู้หญิงพวกนั้นคิดว่าเธอไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ? อืม… น่าจะมีความเป็นไปได้สูง เพราะพวกเธอคิดว่าเธอทำอาชีพแบบนั้นนี่เอง มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเธอจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าอกใหญ่ไร้สมองที่ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แต่ที่หญิงสาวคนนั้นส่งยิ้มให้เธอน่าจะเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่คริสพามาด้วยมากกว่า
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าครอบครัวของคริสมีอิทธิพลมากมายขนาดไหน
เธอไม่มีอารมณ์ไปสนใจพวกหน้าไหว้หลังหลอกหรอก หลังจากส่งยิ้มตอบแล้วจึงก้มหน้าลงเหมือนเดิม
แต่ดูเหมือนหญิงสาวกลุ่มนั้นจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ พวกเธอยังคงคิดว่าที่เธอส่งยิ้มตอบเป็นเพราะเธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเธอพูด หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย หญิงสาวคนนั้นจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตีสนิทกับเฉียวซือมู่
เฉียวซือมู่ไม่คิดเลยว่าแค่ยิ้มตามมารยาทจะสามารถดึงดูดคนน่ารำคาญได้ เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนคนพวกนี้มาก เธอตอบคำถามหยั่งเชิงของหญิงสาวคนนั้นเพียงไม่กี่คำ จากนั้นรีบหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากตรงนั้นทันที
เฉียวซือมู่เกิดอคติกับหญิงสาวคนนั้นแล้ว จึงไม่คิดจะไว้หน้าเธอ เมื่อกี้คนพวกนั้นยังนินทาลับหลังว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่าอยู่เลย เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของเธอจึงไม่ได้ฟังดูดีสักเท่าไหร่ แถมยังเป็นข้ออ้างที่ถูกจับโกหกได้ทันทีอีกต่างหาก
หญิงสาวคนนั้นหน้าตึงทันที เธอมองตามหลังเฉียวซือมู่ที่เดินจากไปแล้วสบถออกมา “นังกระหรี่!”
เพื่อนสาวที่คอยดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ เห็นเธอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต่างรีบกรูกันเข้าไปซ้ำเติมเธอด้วยความสะใจ “เป็นไงบ้าง? เอาเธอไม่อยู่หรือไง?”
“เสน่ห์เธอใช้ไม่ได้ผลเหรอเนี่ย…”
“หยุดพูดได้แล้ว!” เธอเอ่ยเสียงเข้ม “เธอจะต้องชดใช้ให้ฉัน เธอชื่ออะไรนะ มีใครรู้ชื่อเธอหรือเปล่า?”
“ดูเหมือนจะชื่อ…เฉียวซือ…อะไรสักอย่าง…” ในที่สุดก็มีคนเอ่ยชื่อเธอออกมา แต่ก็ยังเป็นชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก
เธอฟังแล้วสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น จากนั้นปลีกตัวกลับไปหาคนในครอบครัวตัวเอง ชิ เธอก็แค่อยากจากใช้ผู้หญิงคนนั้นเป็นสะพานเชื่อมไปหาคริสหรอก นังกระหรี่นั่นคิดว่าตัวเองเป็นดาราใหญ่หรืออย่างไร? ฮึ!
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักนิดว่าหลังจากที่เธอจากไปแล้ว มีบริกรคนหนึ่งเดินถือถาดใส่แก้วไวน์เดินผ่านมาพอดี หลังจากได้ยินสิ่งที่พวกเธอคุยกันแล้ว บริกรคนนั้นชะงักเล็กน้อย เขาใช้มือลูบแขนเสื้อตัวเองอย่างแนบเนียน จากนั้นเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มตามหน้าที่
เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กน้อยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเธอในภายหลัง ตอนนี้เธอรู้สึกเบื่อมาก หลังจากสลัดชายหนุ่มหลายคนที่เข้ามาจีบเธอออกแล้ว เธอจึงหนีไปดูดาวตรงระเบียง
ตอนแรกเธอขึ้นไปดูดาวเพราะความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่พอเธอตั้งใจดูดาวอย่างจริงจังถึงพบว่าเธอไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน ดวงดาราเปล่งแสงพร่างพราวเต็มท้องนภากว้างใหญ่ ดุจม่านสีน้ำเงินเข้มผืนใหญ่ปักเพชรเม็ดเล็กๆ มากมาย เป็นภาพที่ทำให้คนหลงใหลและตราตรึงใจ
ตอนอยู่ในประเทศเธอไม่เคยสังเกตดูภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน เธออุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ ความทุกข์ใจทั้งหลายมลายหายไปในพริบตา
“สวยมากใช่ไหม?”
ทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง เธอตกใจเล็กน้อย แต่ก็โล่งอกทันทีที่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคริส เธอเอ่ยเสียงเบา “มาอยู่ที่นี่ตั้งนาน เพิ่งเคยแหงนหน้ามองท้องฟ้าแบบนี้เป็นครั้งแรก”
“ถ้าชอบก็ดูให้พอใจ” เขาเดินไปหยุดยืนข้างหลังเธอพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ
เธอกำลังจะอ้าปากพูด แต่พอได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังอยู่ทางด้านหลังแล้วจึงส่ายศีรษะเบาๆ “ช่างเถอะค่ะ”
“ทำไมครับ เสียงดังเกินไปอย่างนั้นเหรอ? งั้นเราเปลี่ยนที่ดีกว่า”
ตอนที่ 228 อันตรายถึงชีวิต
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง…” ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยจบประโยคก็ถูกเขาจับมือเธอเอาไว้ จากนั้นเดินจูงมือเธอเดินออกไปจากตรงนั้น
เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาก เดินจูงมือต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง แบบนี้คนอื่นก็เข้าใจผิดว่าเธอกับเขาเป็นคู่รักกันนะสิ
เธอใช้แรงดิ้นรน พยายามแกะมือเขาออก แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาจับมือเธอแน่นยิ่งขึ้น ไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยมือเธอแม้แต่น้อย
เธอดึงมือออกอย่างแรง รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก
เขาหันไปมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง เอ่ยขึ้นช้าๆ “ขอโทษที่จูงมือคุณทั้งๆ ที่คุณยังไม่อนุญาต”
“ไม่… ไม่เป็นไรค่ะ” ก็จูงไปแล้วนี่ เธอยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ เธอได้แต่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่อยากจะเช็ดมือให้สะอาดเอาไว้แล้วฝืนยิ้มเต็มที่
เขายิ้มบางๆ นัยน์ตาสีเขียวเข้มเป็นประกายวิบวับใต้แสงไฟ “เดี๋ยวผมพาคุณไปดูดาวที่ที่หนึ่ง วิวที่นั่นสวยกว่าที่นี่เป็นไหนๆ”
“ไม่… ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันง่วงแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อนแล้วล่ะค่ะ” เธอเอ่ยตะกุกตะกักเพราะเขาทำให้เธอตกใจไม่น้อย
เขามองเธอชั่วครู่ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “คุณกลัวผมมากใช่ไหม?”
“เปล่านี่คะ ทำไมฉันต้องกลัวคุณด้วย” เธอยิ้มฝืดเฝื่อน
“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคุณต่อต้านผมมากเลยล่ะ?” จู่ๆ เขาก็เดินเข้าใกล้เธอ
“คุณรู้สึกไปเองต่างหาก” เธอรีบปฏิเสธ
ดวงตาของเขาเผยแววดีใจทันที “ถ้างั้นก็ดี ความจริงผมกำลังจะบอกคุณอยู่พอดี ผมอยากจีบคุณ ถ้าเกิดคุณต่อต้านผม กลัวผม มันคงไม่ดีกับผมแน่”
“อะ… อะไรนะคะ?” เธอตะลึงนิ่งอึ้ง รู้สึกเหมือนเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงดังอยู่เหนือศีรษะตัวเอง “คุณ… คุณล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ?”
“ไม่ได้เหรอครับ? ผมจำได้ว่าคุณยังไม่แต่งงาน ปัจจุบันเป็นโสด เรื่องที่ผมอยากจะจีบคุณมันไม่น่าเชื่อมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ใช่… เอ๊ย ไม่ใช่ คือ… ฉันหมายความว่า ฉันยังไม่พร้อมเปิดใจให้กับความรักครั้งใหม่… เพราะฉะนั้น…” ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนทำให้เธอพูดผิดๆ ถูกๆ ตอนนี้เธอเหงื่อแตกพลั่กจนเหงื่อจะไหลลงหน้าผากอยู่แล้ว
“เท่าที่คุณรู้จักผม ผมก็นึกว่าคุณจะเห็นว่าผมสามารถเป็นแฟนที่ดีมากของคุณได้เสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่า…”
สีหน้าของเขาเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้
เธอเห็นสีหน้าของเขาแล้วรู้สึกผิดไม่น้อย ใช่ เขาดีกับเธอมาก แต่เธอไม่เคยคิดกับเขาในเชิงชู้สาวเลยสักครั้ง ที่สำคัญ เธอคิดว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรที่เป็นการแสดงออกไปในทางนั้นนี่นา แล้วทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงพูดแบบนี้ล่ะ?
“ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรที่ทำให้เข้าใจผิดแน่ๆ” เธอสูดหายใจลึกๆ “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากมีแฟน ฉันเห็นคุณเป็นเพียงแค่เจ้านายเท่านั้น โดยส่วนตัวฉันเห็นคุณเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งก็เท่านั้น ถ้าเกิดฉันเคยทำอะไรที่ทำให้คุณเข้าใจผิด ฉันก็ต้องขอโทษคุณด้วย”
ดูเหมือนคริสจะได้รับบาดเจ็บหนักมากขึ้น “ทำไมล่ะ เฉียว คุณกับผู้ชายคนนั้นเลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับรักผมล่ะ เชื่อผมนะ ผมจะดีกับคุณ และทำให้คุณมีความสุขมากกว่าเขาหลายเท่า”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ…” เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเวลาคริสรุกขึ้นมาจะรับมือยากขนาดนี้ ตอนนี้เธอปวดเศียรเวียนเกล้าเหลือเกิน “เป็นเพราะฉันเอง ความรักที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อฉันมาก ฉันก็เลยยังไม่สามารถเปิดใจให้กับความรักครั้งใหม่ ฉันขอโทษ…”
“ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการลืมรักครั้งเก่าก็คือต้องรีบมีรักครั้งใหม่ คุณเชื่อผมนะ ผมยินดีให้คุณใช้ผมเติมเต็มหัวใจว่างเปล่าที่ได้รับบาดเจ็บของคุณ”
น้ำเสียงเซ็กซี่ของเขาทำให้น้ำคำที่เปล่งออกมาฟังไพเราะจับใจ ไม่ว่าหญิงสาวคนไหนก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์จากดวงตาสีเขียวมรกตหวานหยาดเยิ้มของเขาได้
แต่น่าเสียดาย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้คือเฉียวซือมู่ผู้มีหัวใจเย็นชา คำพูดของเขาจึงไม่อาจก่อเกิดผลลัพธ์ใดๆ หากแต่ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจมากยิ่งขึ้น
เธอเห็นสีหน้าลึกซึ้งของเขาแล้วแทบจะรับมือไม่ไหวอีกต่อไป ได้แต่บ่ายเบี่ยงไปก่อน “ขอโทษค่ะ ตอนนี้สมองฉันสับสนมาก ให้เวลาฉันคิดดูก่อนได้ไหมคะ?”
“ก็ได้ครับ” ท่าทางเขาผิดหวังมาก แต่เขาก็โล่งอกไม่น้อย ขอคิดดูก่อนก็ยังดีกว่าคำปฏิเสธตรงๆ เขาค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวเพราะไม่อยากทำให้เธอรู้สึกกดดันมากเกินไป “ขอบคุณที่คุณรับไว้พิจารณา”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ…” เธอกุมขมับ เขาพูดแบบนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าที่เธอบอกว่าขอคิดดูก่อนนั้น ความจริงเธอแค่ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดที่จะรับรักเขาสักหน่อย
เธอได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วโบกมือไปมา “ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันกลับบ้านได้หรือยังคะ? สมองเธอสับสนไปหมด เธอแสดงให้เขาเห็นว่าเธอตกใจมาก และต้องการกลับไปพักผ่อนเพื่อสงบจิตสงบใจ
“ครับ” เขารู้ว่าคำสารภาพรักของเขาทำให้เธอสับสนจนทำตัวไม่ถูก จึงไม่คิดจะบีบคั้นเธออีก เขาพยักหน้าอย่างว่าง่าย และไม่พูดเรื่องที่จะพาเธอไปชมวิวที่อื่นอีก เขาพาเธอออกจากโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่จัดงานเลี้ยงค็อกเทลทันที
คริสเอ่ยกับเธอ “คุณรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวผมไปขับรถมารับคุณ”
เธอพยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกโล่งอกที่ไม่ต้องอยู่กับเขา ถึงจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ คริสเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อมาก แถมมีเสน่ห์เปี่ยมล้น หลังจากที่เธอมีโอกาสทำความรู้จักกับเขามาระยะหนึ่ง ทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายเอาแต่ใจและไม่เผด็จการ เขาให้เกียรติเธอมาก แถมยังเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอีกต่างหาก เขาเป็นชายหนุ่มที่สาวๆ ใฝ่ฝันถึง แต่เธอกลับไม่ชอบเขา
ที่เธอบอกว่าไม่ชอบเขานั้นเป็นเพราะเธอไม่อยากได้เขามาเป็นแฟน ไม่ใช่เพราะเธอเกลียดเขา เธอรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันก็ดีอยู่แล้ว ถ้าให้เป็นแฟนล่ะก็… ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เวลาที่เธอคิดถึงเรื่องนี้ทีไร เป็นต้องขนลุกขนพองทุกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก
น่าแปลก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ? อย่าว่าแต่คริสเลย แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
ในขณะที่เธอกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น พลันเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนคริสจะขับรถมาถึงแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางที่ไฟหน้ารถสาดส่อง ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไฟหน้ารถสาดแสงสว่างเจิดจ้าจนรอบกายเธอขาวโพลน เธอหรี่ตาแคบ ยกมือขึ้นบังแสงไฟที่แยงตา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ
นี่มันอะไรกัน?
จริงสิ รถคันนี้ขับมาจากถนนใหญ่ ไม่ได้มาจากลานจอดรถ ถ้าเป็นรถของคริสก็ต้องขับมาจากอีกฝั่งถึงจะถูกสิ
ชั่วขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมอง จู่ๆ รถคันนั้นก็เร่งความเร็ว จากนั้นพุ่งทะยานเข้าหาเธอ
ตอนที่ 229 คริสใจเด็ด
เธอพยายามลืมตาสู้แสงไฟเจิดจ้าที่สาดส่องใส่หน้าเธอด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงคนขับรถใส่หมวกปิดบังใบหน้า มุมปากเผยยิ้มชั่วร้าย
คนคนนั้นคิดจะฆ่าเธอ!
เพราะเธอเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรถของคริส ทำให้ตอนนี้รถคันนั้นขับเข้ามาใกล้เธอมาก แถมยังเร่งความเร็วกะทันหันอีก ชั่วพริบตาเดียวรถคันนั้นเกือบจะขับมาถึงตรงหน้าเธอแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เร็วจนเธอหลบไม่ทัน หัวใจเธอเย็นวาบ
เสี้ยววินาทีนั้น จู่ๆ รถอีกคันขับพุ่งออกมาจากทางด้านหลังเธอ รถคันนั้นขับเฉียดตัวเธอไปเพียงนิดเดียว จากนั้นพุ่งเข้าชนรถคันที่หมายจะเอาชีวิตเธออย่างแรง
รถสองคันประสานงากันอย่างจังจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หน้ารถยุบไม่เหลือชิ้นดีทั้งสองคัน
เธอตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นกรีดร้องเสียงแหลมเพราะตกใจสุดขีด
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดึงดูดคนเดินถนนไม่น้อย บวกกับเสียงกรีดร้องหวีดแหลมของเธอ แม้แต่คนที่ความรู้สึกช้าที่สุดยังรู้เลยว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เพียงไม่นาน ผู้คนต่างรุมล้อมอยู่รอบกายพวกเธอ
เธอหวาดผวา ร่างกายสั่นเทา มีคนจะเข้าไปช่วยประคองเธอ แต่เธอดิ้นหนีแล้วพุ่งตัวไปที่รถของคริสทันที เธอใช้กำปั้นเล็กๆ ของตัวเองทุบประตูรถอย่างแรง “คริส คริส!”
คริสเป็นคนขับรถพุ่งเข้าชนรถคันที่หมายจะเอาชีวิตเธอ เขาคงเห็นว่าไม่ทันการณ์แล้ว ถึงได้ตัดสินใจใช้วิธีที่ทำให้บอบช้ำทั้งสองฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
นาทีนี้เธอเห็นคริสหมดสติไปแล้ว เขาฟุบอยู่บนถุงลมนิรภัยไม่ไหวติง ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
เธอร้องเรียกเขาอยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเขาเลย เธอกลัวจับใจ เขาจะไม่ตายใช่ไหม ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอคนเดียว ถ้าเธอระวังตัวมากกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!
เขาจะต้องไม่เป็นอะไร เธอมองคริสที่นอนสลบไสลอยู่ในรถ พยายามเปิดประตูรถด้วยความร้อนใจดั่งในเผา แต่รถสองคันชนกันรุนแรงจนหน้ารถยุบ ประตูรถบิดเบี้ยว เธอพยายามใช้แรงมากแค่ไหนก็เปิดประตูรถไม่ออกเสียที
เธอดึงประตูรถจนมือเลือดไหลซิบแต่ก็ไร้ผล เธอหันไปขอความช่วยเหลือคนที่รุมล้อมอยู่รอบกาย “ขอร้องล่ะ ช่วยเขาด้วย…”
ผู้คนต่างแสดงความเห็นใจ พวกเขาพูดแต่ภาษาอิตาลีที่เธอไม่เข้าใจสักคำ
ในที่สุดก็มีคนดูออกว่าเธอไม่เข้าใจภาษาอิตาลี จึงพูดภาษาอังกฤษกับเธอแทน “ประตูรถถูกชนจนบุบ พวกเขาก็เปิดไม่ออกเหมือนกัน มีคนโทรไปที่สถานีตำรวจแล้ว อีกเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยแล้ว”
“ใช่ สถานีตำรวจ!” ความชุลมุนวุ่นวายทำให้เธอลืมเรื่องแจ้งความไปเลย เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างลนลาน มือสั่นเทาพยายามกดเบอร์โทรศัพท์ของสถานีตำรวจในพื้นที่
อุบัติเหตุครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก รถตำรวจมาถึงสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
เธอเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินลงมาจากรถแล้วเดินตรงเข้ามาหาเธอทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอโล่งอกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงเสียที พลันร่างกายโงนเงนเพราะหมดแรง
ใครบางคนรีบเข้ามาช่วยประคองเธอเอาไว้ และเอ่ยบางอย่างกับเธอ ดูเหมือนจะเป็นคำปลอบใจ เธอหันไปยิ้มให้คนใจดีคนนั้น คนที่ประคองเธอเอาไว้เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอได้แต่ยิ้มให้เธอคนนั้นโดยที่พูดอะไรไม่ออก ภาพน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ทำให้เธอตกใจจนสูญเสียพลังงานไปจนสิ้น
รถกู้ภัยสีแดงตามมาถึงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน คนมุงดูเหตุการณ์พากันก้าวเท้าถอยหลังเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพยุงเธอเอาไว้ ตอนนี้สมองเธอมึนเบลอไปหมด เธอมองคนพวกนั้นแล้วเอ่ยถามขึ้น “พวกเขาจะทำอะไร?”
ถ้าเป็นเวลาปกติเธอต้องรู้อยู่แล้วว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะต้องงัดประตูออกเพื่อนำตัวคนเจ็บออกมา แต่ตอนนี้สมองเธอมึนเบลอจนคิดอะไรไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นมองเธอแวบหนึ่งหากแต่ไม่ได้พูดอะไร
และเธอได้คำตอบอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้เครื่องมือหน้าตาแปลกๆ ที่เธอไม่รู้จักงัดประตูรถให้เปิดออกออก จากนั้นนำตัวคริสออกมาจากตัวรถอย่างระมัดระวัง นายแพทย์สวมชุดกาวน์สีขาวรีบวิ่งเข้ามาตรวจร่างกายของเขา นายแพทย์เอ่ยอะไรบางอย่าง จากนั้นคริสก็ถูกหามขึ้นเตียงรถเข็น
เธอรีบวิ่งถลาเข้าไปจับเสื้อนายแพทย์คนนั้นเอาไว้ “ขอร้องล่ะ คุณหมอ คนคนนั้นอาการเป็นยังไงบ้างคะ?” เธอตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปแล้วเธอจะทำอย่างไร
โชคดีที่คำตอบของนายแพทย์คนนั้นฟังดูดีกว่าที่เธอคิด “เบื้องต้นคนเจ็บไม่มีอันตรายถึงชีวิต ส่วนอาการอื่นๆ ต้องส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลถึงจะรู้”
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ร่างทั้งร่างแทบจะทรุดลงกองกับพื้น
นายแพทย์คนนั้นตอบคำถามแล้วมองเธออีกแวบหนึ่ง “ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนเจ็บเหรอ?”
เธอเอ่ยตอบ “ฉันเป็นเพื่อนเขา เมื่อกี้เขาจะช่วยฉัน ก็เลย…”
เธอพูดไม่ไหวแล้ว หันหน้าไปอีกทางพลันเห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเพิ่งงัดประตูรถอีกคันเปิดออก จากนั้นนำร่างชายเลือดท่วมศีรษะออกมาจากตัวรถ
นายแพทย์คนนั้นรีบเดินเข้าไปตรวจร่างกายของเขา จากนั้นคนคนนั้นก็ถูกหามขึ้นเตียงรถเข็น
เธอร้อนใจมาก รีบตะโกนบอก “เขาเป็นคนร้าย เมื่อกี้เขาจะขับรถชนฉันให้ตาย…”
เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างมองหน้ากัน จากนั้นเดินเข้ามาถามเธอ “เมื่อกี้คุณพูดจริงใช่ไหม?”
เธอรีบพยักหน้าหงึกๆ “เป็นเรื่องจริงค่ะ เมื่อกี้คนคนนั้นคิดจะขับรถชนฉันให้ตายคาที่ แต่เพื่อนฉันเห็นเข้าเสียก่อน ก็เลยขับรถชนรถเขา ไม่อย่างนั้น ป่านนี้คนที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลคงเป็นฉันไปแล้ว”
อาจจะเป็นเพราะอาการของคริสไม่หนักมาก ทำให้เธอมีพลังและความกล้าจนสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณไปกับเราด้วย”
“แล้วเพื่อนฉันล่ะคะ?” เธอไม่อยากไปสถานีตำรวจ เธออยากไปเฝ้าคริสที่โรงพยาบาลมากกว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเอ่ยตอบ “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด คุณจำเป็นต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจก่อน เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงมาก”
เธออยากปฏิเสธไม่ไป แต่ทุกคนต่างจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว เธอจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วตามพวกเขากลับไปที่สถานีตำรวจอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากให้ปากคำเสร็จเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรตกหล่นอีก เธอจึงถูกปล่อยตัวกลับ
ก่อนเธอกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและจริงจัง “จากคำให้การของคุณ มีคนตั้งใจจะฆ่าคุณ คุณต้องระวังตัวให้ดี บางทีคนพวกนั้นอาจจะลงมือกับคุณอีก”
เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขอบคุณเธอ “ขอบคุณค่ะ ฉันจะระวังตัวให้ดี”
เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีใครที่นี่ที่คิดจะเอาชีวิตเธอ เธอไม่เคยล่วงเกินใคร และไม่เคยไปขัดผลประโยชน์ใครด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เธอคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบเสียที เธอเดินออกมาจากสถานีตำรวจ สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านมากระทบใบหน้าเธอเบาๆ หัวใจเธอสั่นสะท้านเพราะความกลัวจับใจ
ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องของคริส เธอสูดหายใจลึกๆ จากนั้นเรียกรถแท็กซี่เพื่อตรงไปยังโรงพยาบาล
คริส คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ
ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เธอกลัวจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเผือด คนขับแท็กซี่ต้องคอยชำเลืองมองเธอตลอดทางเพราะระแวงว่าเธออาจจะเป็นพวกขี้ยาที่กำลังลงแดง แต่เธอไม่สนใจเขา ได้แต่มองอาคารบ้านเรือนนอกหน้าต่างรถไปตลอดทาง
ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ให้ตายเธอก็ไม่มีทางออกจากบ้านเด็ดขาด
ตอนที่ 230 พบกันโดยไม่คาดคิด
เสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าปอดแรงๆ
เธอวิ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์พยาบาลทันทีที่ถึงโรงพยาบาล ใช้ภาษาอังกฤษบวกภาษามือจนเจ้าหน้าที่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อสารและชี้ทางให้เธอ
เธอเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอก
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว เธออยากจะมาที่นี่ไวๆ ใจจะขาด แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนั้นรั้งตัวเอาไว้ จนป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าคริสจะเป็นอย่างไรบ้าง
เธอร้อนใจดั่งไฟลน หลังจากสอบถามจนละเอียด เธอได้ข้อมูลว่าคริสอยู่ในห้องผ่าตัดชั้นสาม เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปในลิฟท์จนเกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
เธอขึ้นไปถึงชั้นสาม จากนั้นรีบวิ่งตรงไปยังหน้าห้องผ่าตัดทันที เธอเห็นมีคนหลายคนนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดแต่ไกล เธอวิ่งเข้าไปแล้วเอ่ยถามทันทีโดยไม่สนใจว่าตัวเองรู้จักพวกเขาหรือเปล่า “เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
เธอได้ยินเสียงสั่นเทาของตัวเอง แต่เธอไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งสิ้น
ใครคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังให้เธอได้ยินเสียงของเธอแล้วหันกลับมามองเธอทันที “มู่มู่”
นั่นมันภาษาจีนนี่ สายตาเธอหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเขา พลันชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “ฉีหย่วนเหิง? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”
ฉีหย่วนเหิงถอนหายใจเบาๆ เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ “คุณไม่ต้องห่วง ตอนนี้คริสพ้นขีดอันตรายแล้ว”
เธอถอนหายใจโล่งอก “เป็นข่าวดีจริงๆ” ไม่ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรก็ตาม แต่ข่าวนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งอกมาก
เธอมองหน้าฉีหย่วนเหิง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม “คุณรู้จักเขาด้วยเหรอคะ?”
ฉีหย่วนเหิงพยักหน้าเล็กน้อย “เขาเป็นเพื่อนสนิทของผม พอผมได้ข่าวว่าเขาประสบอุบัติเหตุก็รีบมาที่นี่ทันที”
สมองเธอสับสนวุ่นวายไปหมด รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องชุลมุนวุ่นวายมากมายจนเธอไม่มีเวลาครุ่นคิด เธอมองหน้าเขาอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยถามออกไปได้ “ทำไมพวกคุณไม่มีใครบอกฉันเลยสักคำ?”
จู่ๆ ฉีหย่วนเหิงก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ “ผมคิดว่าคุณคงไม่อยากเห็นหน้าผม”
เธอส่ายศีรษะเบาๆ ยังคงจ้องเขานิ่ง “คุณกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่ใช่ไหมคะ?”
ฉีหย่วนเหิงใบหน้าแข็งเกร็ง ขณะที่กำลังจะพูดนั้น พลันได้ยินเสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพอดี
ทั้งสองไม่มีเวลาคุยกันอีก รีบวิ่งเข้าไปหานายแพทย์ที่เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดทันที “คุณหมอ เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
“คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?”
ทั้งสองเอ่ยถามพร้อมกัน คุณหมอดึงหน้ากากอนามัยออกด้วยอาการเหนื่อยอ่อน “เขาโชคดีมาก กระดูกซี่โครงหักสองซี่ แต่ไม่ถูกอวัยวะสำคัญภายใน เราต่อกระดูกให้เข้าที่เหมือนเดิมแล้ว คนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง หลังจากนี้ต้องเฝ้าสังเกตอาการในห้องไอซียูอย่างใกล้ชิด”
เขาพ้นขีดอันตรายแล้วจริงๆ ด้วย แต่พอได้ยินว่ากระดูกซี่โครงหักสองซี่ เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีก
เธอมองคริสที่นอนสลบไม่ไหวติงถูกเข็นไปยังห้องไอ.ซี.ยู.อยู่เงียบๆ เท้าของเธอขยับตามโดยอัตโนมัติ แต่ถูกนางพยาบาลขวางเอาไว้
เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เป็นเพราะเธอ คริสถึงบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เธอมันไม่ได้เรื่อง
ฉีหย่วนเหิงเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเธอ “ไม่ต้องห่วง เขาดวงแข็งจะตาย เมื่อก่อนเขาถูกยิงตั้งสามนัดยังไม่เป็นอะไรเลย ตอนนี้แค่สมองกระทบกระเทือนเท่านั้น เขาไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”
เธอมองเขาแวบหนึ่ง “คุณรู้จักเขาดีมากเลยนะคะ”
“ผมบอกแล้วว่าเขาเป็นเพื่อนผม” เขาถอนหายใจเบาๆ “แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกหลุมรักคุณ”
ดูเหมือนจะมีความนัยแฝงอยู่ในคำพูดของเขา เธอมองเขาอีกแวบหนึ่ง ตอนนี้เธอเหนื่อยมากจนไม่อยากจะพูดอะไรอีก
ฉีหย่วนเหิงสังเกตเห็นอาการเหนื่อยล้าของเธอแล้วเอ่ยกับเธอเบาๆ “คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ ถึงคุณอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันอยากอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
เอ่ยจบแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ยาว ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่เงียบๆ
ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่ง “คุณชอบเขาเข้าแล้วเหรอ?”
เธอตกใจเล็กน้อย มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เปล่าค่ะ”
เมื่อเห็นสายตาไม่อยากจะเชื่อของเขาแล้ว เธอจึงเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย “คุณคิดว่าที่ฉันเป็นห่วงเขาเพราะฉันชอบเขาอย่างนั้นเหรอ? ฉันเป็นห่วงในฐานะเพื่อนไม่ได้เหรอคะ?”
สายตาเขาอ่อนโยนขึ้น “ผมขอโทษ ผมไม่ควรถามคุณแบบนั้นเลย”
เธอถอนหายใจ สองมือกุมขมับ “ถ้ารู้ว่ามีคนคิดจะฆ่าฉัน ฉันจะไม่ออกจากบ้านเด็ดขาด เพราะฉัน คริสถึงเดือดร้อนไปด้วย นี่มัน…”
เธออยากจะสบถคำหยาบออกมาเหลือเกิน แต่การอบรมสั่งสอนที่ดีทำให้เธอพูดไม่ออก ได้แต่ทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนเก้าอี้ข้างตัว แต่หน้าเธอเหยเกขึ้นมาทันที
เก้าอี้แข็งมาก เจ็บเป็นบ้า!
ฉีหย่วนเหิงเห็นแล้วอดขำไม่ได้ เขาเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเธอ “มีคนจะฆ่าคุณอย่างนั้นเหรอ?”
“ค่ะ” เธอลูบมือตัวเองป้อย หยาดน้ำตาคลอเบ้า ใครเห็นคงคิดว่าเธอตกใจกลัวจนร้องไห้ แต่ความจริงคือเธอเจ็บมือจนน้ำตาไหลต่างหาก “ฉันกับเขากลับออกมาจากงานเลี้ยงค็อกเทล เขาไปขับรถ ส่วนฉันยืนรออยู่ริมฟุตบาท จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับพุ่งมาที่ฉัน เขาขับรถออกมาเห็นเข้าพอดี เขาก็เลยขับรถชนรถคันนั้นเพื่อช่วยฉัน แล้ว…”
แล้วเขาก็บาดเจ็บสาหัสจนต้องเข้าห้องฉุกเฉิน เธอได้แต่ต่อคำพูดในใจเงียบๆ รู้สึกแย่มากจนพูดไม่ออก
หลังจากเธอปฏิเสธความรักของเขาจนเขาได้รับบาดเจ็บทางใจแล้ว เขายังยอมใช้ชีวิตของตัวเองปกป้องชีวิตเธอเอาไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว
เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ “ฉันเป็นหนี้เขา”
ดวงตาฉีหย่วนเหิงเป็นประกายวูบ “คนคนนั้นทำไมต้องฆ่าคุณด้วย? คุณมีเรื่องบาดหมางกับใครหรือเปล่า?”
“ฉันจะไปได้รู้ได้ยังไงคะ? บางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นบ้าไปแล้วก็ได้” เธอเอ่ยอย่างหัวเสีย ระหว่างทางที่เธอนั่งรถมาที่นี่ เธอคิดเรื่องนี้มาตลอดทางตั้งหลายตลบ เธอไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร ถ้าจะมี ก็คงมีแต่เอลลี่คนเดียวเท่านั้นที่เห็นเธอขวางหูขวางตา แต่อย่างมากก็แค่ต่อปากต่อคำกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเสียหน่อย
แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ตอนให้ปากคำเธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังด้วย และตอนนี้เธอก็เล่าเรื่องนี้ให้ฉีหย่วนเหิงฟังเหมือนกัน “ฉันคิดว่าไม่ใช่ฝีมือเธอหรอกค่ะ เธอไม่ใช่คนใจกล้าขนาดนั้น”
ฉีหย่วนเหิงส่ายศีรษะเล็กน้อย กวักมือเรียกลูกน้องตัวเอง เขาบอกชื่อเอลลี่ให้ลูกน้องคนนั้นรู้ ลูกน้องของเขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเดินจากไปทันที
เธอมองเขาด้วยความสงสัย “สรุปคุณกับเขาเป็นอะไรกันแน่?”
ฉีหย่วนเหิงถอนหายใจอีกระลอก “ผมบอกแล้วว่าเราเป็นเพื่อนกัน”
เธอมุ่นหัวคิ้ว ลูบผมตัวเองเบาๆ “ฉันควรจะถามแบบนี้มากกว่า ที่ฉันได้เข้าไปทำงานที่บริษัทของเขา เพราะฝีมือคุณใช่ไหมคะ?”
ฉีหย่วนเหิงมองเธอด้วยความประหลาดใจ “คุณฉลาดมาก”
หมายความว่ายอมรับแล้วใช่ไหม? เธอโมโหจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นานสองนาน
เธอคิดว่าที่ตัวเองได้งานนี้เพราะประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของเธอเอง ซึ่งเป็นธรรมดาที่คริสเห็นประวัติของเธอแล้วจะรับเธอเข้าทำงานเพราะความสามารถของเธอ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเธอต้องอาศัยเส้นสายถึงได้งานนี้มาอย่างนั้นเหรอ?
มิน่าเล่า เอลลี่ถึงได้ไม่ชอบหน้าเธอ แล้วยังจะสายตาดูถูกดูแคลนของคนอื่นๆ อีก ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเพราะเธอเป็นคนตะวันออกพวกเขาถึงมองเธอแปลกๆ แบบนั้น ที่แท้เธอก็เข้าใจผิดไปเอง
ตอนที่ 231 ความตายที่แสนน่ากลัว
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม การใช้เส้นสายเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด มิน่าเล่า เอลลี่ถึงได้ไม่ชอบเธอมาก
เธอยิ้มขื่นหลังคิดได้ “ที่แท้เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือคุณนี่เอง”
ฉีหย่วนเหิงส่ายศีรษะเบาๆ “เปล่า เป็นเพราะตัวคุณเองต่างหากล่ะครับ ผมแค่ขอให้เขารับคุณเข้าทำงานเท่านั้น หลังจากนั้น ทุกอย่างที่คุณได้มา เกิดจากความพยายามของตัวคุณเอง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
เขารู้จักนิสัยเธอดี เธอเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใคร เรื่องที่เขาเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ทำให้เธอรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขามากพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเขารู้ว่าเธออยากจะหางานทำ เขาจึงคิดวิธีที่ไม่ทำให้เธอรู้ว่าเป็นฝีมือเขา โดยการขอให้เพื่อนตัวเองประกาศรับสมัครพนักงาน จากนั้นรับเธอเข้าทำงานอย่างแนบเนียน
ต่อมาภายหลังเขางานยุ่งมาก และยังต้องบินกลับประเทศด้วย พอกลับมาถึงก็ได้รับข่าวว่าคริสเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนทำให้เขาเจอเธอเข้าอย่างจังโดยไม่ได้คาดคิด และจำต้องบอกความจริงให้เธอรู้
เฉียวซือมู่รู้สึกอึดอัดใจมาก เธอคิดว่าที่เธอได้งานนี้เป็นเพราะความสามารถของตัวเอง ไม่คิดเลยว่าความจริงจะเป็นแบบนี้
ฉีหย่วนเหิงเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเธอแล้วกระวนกระวายขึ้นมาทันที เขารีบอธิบาย “ความจริงผมแค่อยากจะช่วยคุณเท่านั้น…”
เธอส่ายศีรษะแล้วเอ่ยตัดบท “ฉันรู้ค่ะ ขอบคุณคุณมาก แต่ความจริงที่ได้รับรู้มันทำให้ฉันรู้สึก… ผิดหวังนิดหน่อย เพราะฉะนั้น ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ แล้วพบกันค่ะ”
เอ่ยจบพลางลุกขึ้นยืน เธอมองไปยังประตูห้องไอ.ซี.ยู.แวบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ เดินจากไป
ฉีหย่วนเหิงมองเบื้องหลังของเธอที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปด้วยสีหน้าที่ดูแย่มาก
ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่บอกเธอล่ะครับว่าช่วงนี้…”
เขาเอ่ยตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว เธอไม่รู้น่ะดีแล้ว”
ลูกน้องคนนั้นหุบปากทันที ไม่กล้าเอ่ยอะไรกับเขาอีก
เฉียวซือมู่กลับถึงบ้าน กวาดสายตามองห้องที่เงียบเชียบ ความกระวนกระวายใจพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เธออาบน้ำเสร็จแล้วปีนขึ้นเตียงนอนทันที หลับตาลงทีไรก็เห็นภาพใบหน้าซีดเผือดหลับตาแน่นของคริสผุดขึ้นมาทุกที เธอได้แต่ลืมตาจ้องดวงไฟสีเหลืองนวลบนเพดานแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ
หลายวันต่อมา เธอแวะไปเยี่ยมคริสหลังเลิกงานทุกวัน เพื่อนร่วมงานรู้ว่าคริสประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเธอ
วันเวลาล่วงเข้าสู่วันที่ห้า ในที่สุดคริสก็ฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสล
เธอโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันทีที่รับรู้ข่าวดีนี้ เธอรีบวิ่งไปยังห้องคนไข้ทันที
คริสส่งยิ้มให้เธอทันทีที่เห็นเธอวิ่งเข้ามาในห้อง “ไฮ เฉียว ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เธอมองเขานิ่ง น้ำเสียงสั่นเครือ “ในที่สุดคุณก็ฟื้นซะที ฉันนึกว่า… นึกว่าคุณ…”
เธอดีใจมากจนพูดไม่ออก คริสกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องปลอบใจเธอแทน “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว แค่อุบัติเหตุเล็กๆ เอง”
เธอปาดหยาดน้ำตาที่คลอเบ้าออก นั่งลงข้างเตียงผู้ป่วย “ทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย? ถ้าเกิดคุณไม่ฟื้นขึ้นมาจะทำยังไง?”
คริสส่ายศีรษะเบาๆ “ตอนนั้น นอกจากวิธีนี้ก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ถ้าปล่อยให้เขาขับรถชนคุณ คุณคงไม่รอด แต่ถ้าเป็นผม สภาพอาจจะดีกว่าคุณ คุณดูสิ ตอนนี้ผมก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือไง?”
เธอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ค่า คุณเองก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองสลบไปกี่วัน? สลบไปตั้งห้าวันเลยนะคะ!”
เธอโบกมือข้างหนึ่งไปมาเบาๆ ตรงหน้าเขา “รับปากฉันสิคะ ต่อไปคุณจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีก ได้ไหมคะ?”
ดวงตาสีเขียวของเขาเปื้อนยิ้ม “ครับ”
เธอถูกสายตาของเขาจ้องมองจนเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย รีบหันศีรษะไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาเขา “คุณเพิ่งฟื้น ตอนนี้คงเหนื่อยมาก คุณพักผ่อนเถอะค่ะ”
เอ่ยพลางลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นมีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพอดี “ร่างกายคนไข้ยังอ่อนแอมาก อย่าให้คนไข้คุยนานเกินไปนะคะ”
เธอยังคงฟังไม่ออกเหมือนเดิมว่านางพยาบาลคนนั้นพูดว่าอะไร แต่เธอพอจะเดาออกว่าคงกำลังไล่ให้เธอกลับไปเร็วๆ เธอยิ้มแหยๆ แล้วหันไปมองคริสที่กำลังทำหน้าผิดหวัง “พรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่ คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ เข้าใจไหมคะ?”
เอ่ยจบแล้วเดินออกจากห้องทันที เธอรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองถูกสายตาร้อนเป็นไฟของเขาแผดเผาจนเป็นรูสองรูแล้ว
เธอพยายามอดทนเอาไว้ ประตูถูกปิดลง กั้นเธอจากสายตาของเขา ร่างกายที่เคยแข็งเกร็งค่อยๆ ผ่อนคลายลง เธอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวหน้าห้อง ค่อยๆ จัดระบบความคิดในสมองเสียใหม่
ทันใดนั้น เงาดำทอดลงตรงหน้าเธอ เธอเงยหน้าขึ้น เห็นฉีหย่วนเหิงกำลังยืนฉีกยิ้มให้เธอ “คุณจะให้เกียรติผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อไหมครับ?”
เธอจ้องเขานิ่งสักพัก จากนั้นพยักหน้าให้เขาช้าๆ “ได้ค่ะ”
เธอมีเรื่องอยากจะถามเขาอยู่พอดีเหมือนกัน
ร้านอาหารที่ฉีหย่วนเหิงจองเอาไว้ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ได้เปรียบตรงที่เงียบสงบ การบริการดีเยี่ยม เธอยกแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นจิบ “คุณมีธุระอะไรจะคุยกับฉันคะ?”
เขาหัวเราะเบาๆ “ทำไมคุณต้องคิดว่าผมต้องมีธุระถึงจะคุยกับคุณด้วยล่ะ? แค่คุยกันแบบเพื่อนไม่ได้เหรอครับ?”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะ” เธอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ช่วงแรกๆ ที่เธอรู้จักเขา เธอคิดว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนไร้พิษภัย แต่ถ้าตอนนี้เธอยังคิดเหมือนเดิมอยู่อีก เธอก็คงโง่มาก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เขาชิงไหวชิงพริบกับจิ้นหยวนโดยไม่มีใครแพ้ใครชนะ เธอก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนเก่งกาจมากขนาดไหน จิ้นหยวนเป็นประเภทแสดงอำนาจและความต้องการของตัวเองออกมาตรงๆ แต่ฉีหย่วนเหิงเป็นประเภทเสแสร้งและตบตาเก่ง เขาซ่อนความเลือดเย็นและความฉลาดหลักแหลมเอาไว้ภายใต้ภาพลักษณ์อ่อนโยนไร้พิษภัยก็เท่านั้น
“คุณนี่เข้าใจผมดีจริงๆ สมแล้วที่ผม…” เขาหยุดพูดต่อ หากแต่มองเธอนิ่งด้วยสายตาลึกล้ำ
เธอชะงักเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าว รู้สึกว่าช่วงนี้โชคด้านความรักของเธอจะแรงเหลือเกิน
เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของเขา เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นแทน “เรื่องอุบัติเหตุ คุณได้เรื่องอะไรแล้วใช่ไหมคะ?”
ฉีหย่วนเหิงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจนหลังจากเธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายของเขา “ครับ คุณรู้หรือยังว่าคนที่คิดจะขับรถชนคุณตายแล้ว?”
เธอตกใจ “ตายแล้ว? อาการเขาสาหัสมากเลยเหรอคะ?” ตอนที่เขาถูกหามออกมา เธอเห็นว่าใบหน้าของเขามีแต่เลือด ท่าทางอาการของเขาจะหนักกว่าคริสมาก
แต่ฉีหย่วนเหิงกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ “อาการเขาสาหัสมากก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นหนักหนาจนถึงตาย โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองนี้ คนไข้ที่ถูกส่งมารักษาตัวที่นี่ ขอแค่ยังมีลมหายใจ โอกาสรอดชีวิตสูงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
“แล้วทำไม…” เธอไม่เข้าใจ
เขายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย แววตาเคร่งเครียด “การผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก แต่วันที่สอง เขากลับถูกพบเป็นศพอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มีใครรู้สักคนว่าเขาตายยังไง”
เธอตกใจเพราะคาดไม่ถึง เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมเขาถึงหน้าดำคร่ำเครียดขนาดนั้น “คุณหมายความว่าเขา… เขา…”
เขาเอ่ยต่อคำพูดเธอ “หลังจากตรวจสอบเบื้องต้น เราพบว่าเขาตายเพราะยาพิษ ดูเหมือนว่าจะมีคนฉีดยาพิษเข้าไปในสายน้ำเกลือแล้วปล่อยให้เขาตายในขณะที่หมดสติ ทำให้เราไม่มีเบาะแสสืบเรื่องนี้ต่อ”
เธอตัวสั่นไปทั้งร่าง น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
ตอนที่ 232 หมดสติ
ฉีหย่วนเหิงจ้องเธอนิ่งอย่างมีความหมาย “เพราะฉะนั้น ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย ผมขอแนะนำนะ คุณไม่ต้องกลับบ้าน และไม่ต้องไปทำงานแล้ว”
สมองเธอมึนงงสับสนไปหมด ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันรู้ค่ะ ถ้าคุณไม่ให้ฉันกลับบ้าน แล้วฉันควรจะไปที่ไหน…” ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบประโยค พลันเห็นสายตาของเขาแล้วเข้าใจทันที เธอเอ่ยเสียงเบา “ขอโทษ… ฉันไปบ้านคุณไม่ได้หรอกค่ะ”
เขามองเธอแวบหนึ่ง ขณะที่เขากำลังจะพูดนั้น บริกรก็นำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี ฉีหย่วนเหิงสั่งสเต๊กเนื้อ กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยอยู่ในอากาศ ส่วนเฉียวซือมู่สั่งชุดเซ็ทปลาหิมะ เนื้อปลาหิมะขาวอวบชุ่มฉ่ำมาก
ส่วนเครื่องดื่มก็ถูกจัดสรรอย่างพิถีพิถันเช่นเดียวกัน เครื่องดื่มของฉีหย่วนเหิงเป็นไวน์แดงสีสวย ส่วนของเฉียวซือมู่นั้นเป็นไวน์หวานสีอำพันที่ให้ความรู้สึกสดชื่น
บทสนทนาที่ถูกขัดกลางอากาศทำให้ทั้งสองได้แต่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ฉีหย่วนเหิงเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน “ทานอาการเถอะ”
เขายกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ เขาถือแก้วไวน์ในมือ เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “คุณอยากรู้ไหมว่าตอนนี้จิ้นหยวนเป็นยังไงบ้าง?”
ร่างกายเธอกระตุกเล็กน้อย มือที่ถือแก้วไวน์เอาไว้อ่อนยวบจนเกือบทำไวน์หกออกมา เธอสูดหายใจลึก จ้องเขาตาเขม็ง “นี่คุณตั้งใจใช่ไหม?”
เขาหลุดหัวเราะออกมา “ใช่ ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับเขา ดูเหมือนว่าคุณยังแคร์เขามากนะครับ”
เธอขึงตา “ไม่ตลก” เอ่ยจบแล้วยกแก้วไวน์หวานขึ้นจิบเล็กน้อย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเมล็ดอัลมอนด์กำจายอยู่ในปาก เธอปิดเปลือกตาลงอย่างดื่มด่ำกับรสชาติไวน์แสนละมุนลิ้น “ดูเหมือนคุณจะสนใจเรื่องระหว่างฉันกับจิ้นหยวนมากเลยนะคะ”
“แน่นอนสิครับ ผมก็ต้องอยากรู้อยู่แล้วว่าชีวิตรักของคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของผมเป็นยังไงบ้าง ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า” เขาหัวเราะเบาๆ
“หมายความว่ายังไงคะ? ตอนนี้คุณยังเป็นศัตรูกับเขาอยู่อีกเหรอคะ?”
“ผิดแล้ว” เขาวางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะ เริ่มลงมือหั่นสเต๊กเนื้ออย่างบรรจงและละเมียดละไม “ไม่ใช่ยังเป็น แต่เป็นมาตลอดต่างหาก คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงยอมรามือไม่พาตัวคุณกลับไปด้วย?”
เธอนิ่งอึ้ง “คุณเล่นตุกติกอะไรกับเขาอย่างนั้นเหรอ?”
“อย่าพูดซะน่าเกลียดอย่างนั้นสิครับ ผมก็แค่สร้างปัญหาในบริษัทเขานิดหน่อย จากนั้นเขาก็รีบร้อนบินกลับประเทศทันที คุณควรจะขอบคุณผมไม่ใช่เหรอ?”
เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วถอนหายใจเบาๆ “ค่ะ ฉันต้องขอบคุณคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ป่านนี้ฉันคงอยู่ในบ้านของจิ้นหยวน และคงออกไปไหนไม่ได้ด้วย”
“คุณพูดได้ถูกใจผมมาก หวังว่าต่อจากนี้คุณยังจะคิดแบบนี้เหมือนเดิมนะครับ” เขายกแก้วไวน์ขึ้น เอียงแก้วไวน์ไปทางเธอเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ ดื่มไวน์ในแก้วอีกเล็กน้อย
เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มเช่นกัน
ทั้งสองรับประทานอาหารพลางคุยกันพลาง เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเลือกร้านนี้ เพราะอาหารกลิ่นหอมกรุ่น เนื้อนุ่มละมุนลิ้น เป็นมื้ออาหารที่อร่อยมาก
และอาหารหวานตบท้ายมื้ออาหารไม่หวานและไม่จืดจนเกินไป รสชาติกำลังดี
เพียงแต่ ร้านอาหารที่ให้ประสบการณ์น่าประทับใจขนาดนี้ควรมีลูกค้าแน่นร้านสิ แต่ทำไมนอกจากพวกเธอแล้วถึงไม่มีลูกค้าคนอื่นอีกเลยล่ะ?
เธอเอ่ยถามอย่างอดไม่ไหว เขาหัวเราะเบาๆ “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเพราะอะไร?”
เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “คุณเหมาร้านนี้เหรอคะ?”
ถึงเธอจะไม่รู้ราคาอาหารในร้าน แต่จากการตกแต่งจานอาหารจนเหมือนผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมและการตกแต่งร้านอย่างหรูหรา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องแพงมากแน่ และการเหมาร้านคงต้องใช้เงินก้อนใหญ่มากแน่ๆ
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วยคะ? ถ้าคุณไม่อยากถูกรบกวน เราไปร้านที่มีห้องส่วนตัวก็ได้นี่คะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่งไม่อย่างละสายตา “คุณยังไม่เข้าใจความรู้สึกของผมอีกเหรอ?”
“อะไรนะคะ?”
“ผมไม่ต้องการให้มีคนอื่นอยู่เป็นส่วนเกินระหว่างผมกับคุณ ถึงจะเป็นแค่คนแปลกหน้าก็ไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ
ใบหน้าเธอขึ้นสีแดงเรื่อจนรู้สึกร้อนผะผ่าว “คุณพูดบ้าอะไรกัน”
นัยน์ตาเขาเผยยิ้มเป็นประกาย “เคยมีคนบอกคุณหรือเปล่าว่าเวลาคุณหน้าแดงดูน่ารักมาก”
เฉียวซือมู่ที่กำลังหน้าแดงเพราะความเขินอายดูเย็นชาน้อยลง ท่าทางอ่อนโยนและน่ารักมากขึ้นจนทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วและแรงขึ้น
เธอรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน “วันนี้คุณเป็นอะไรไปคะ? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดจาแปลกๆ”
เอ่ยพลางลุกขึ้นพรวด เธอลุกขึ้นเร็วเกินไปจนร่างกายเซเล็กน้อย เขารีบยื่นมือประคองเธอเอาไว้ “คุณเมาแล้วเหรอ?”
เธอยิ้มเก้อๆ พลางจับแขนของเขาเอาไว้แล้วพยุงตัวลุกขึ้นยืน “เปล่าค่ะ ฉันน่าจะเหนื่อยเกินไป…” ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ พลันร่างกายเธออ่อนยวบ ร่างทั้งร่างล้มพับไปทางเขา
ฉีหย่วนเหิงชักหัวคิ้วชนกันแน่นพลางประคองเธอเอาไว้ “ยังจะบอกว่าไม่เมาอีก” เอ่ยจบแล้วชะงักนิ่งอึ้งไป
เธอรู้สึกเวียนศีรษะมาก คิดว่าตัวเองคงเมาจริงๆ แต่เธอดื่มไวน์หวานไปแค่แก้วเดียวเอง แอลกอฮอล์น้อยมากขนาดนั้น ทำไมเธอถึงเมาได้ล่ะ?
เธอเอ่ยขึ้น “คงเป็นเพราะฉันคออ่อนเกินไปน่ะค่ะ น่าอายจัง” เธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะผลักมือเขาออก เธอเห็นสีหน้าเขาแย่มากจึงเอ่ยถาม “คุณเป็นอะไรไปคะ?”
ดวงตาของฉีหย่วนเหิงตื่นตระหนก “ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?” น้ำเสียงเขาวิตกกังวลมาก
เธอชะงักเล็กน้อย “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ปวดหัวน่ะค่ะ” เอ่ยจบพลันรู้สึกหนาวไปทั้งกาย เธอเอ่ยถาม “หนาวจัง ในร้านเปิดแอร์ด้วยเหรอคะ?”
ใบหน้าเขาเผือดซีด ดวงตาจับจ้องเธอนิ่ง “ใช่ ในร้านเปิดแอร์ เดี๋ยวผมพาคุณออกไปข้างนอกนะ”
เธอส่ายศีรษะ พยายามผลักมือเขาออก แต่เธอรู้สึกปวดศีรษะมากขึ้นๆ ร่างกายหนาวสั่นมากขึ้นๆ เธอก้าวเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว พลันทุกสิ่งตรงหน้ามืดลง “ขอโทษนะคะ ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สบาย…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบคอเธอก็พับลงและหมดสติทันที ฉีหย่วนเหิงช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มเอาไว้ เขาก้มลงมองใบหน้าซีดจนเขียวของเธอ สีหน้าเขาถมึงทึงจนดูน่ากลัวมาก
“คนที่อยู่ตรงนั้น” เขาพยายามสะกดกลั้นความหวาดกลัวและความโกรธเอาไว้ “กักตัวทุกคนในร้านเอาไว้ แล้วรีบติดต่อคุณนอร์แมนเดี๋ยวนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้เขาไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด!”
ลูกน้องของเขารับคำสั่งแล้วรีบตามเขาออกจากร้านอาหารอย่างรวดเร็ว รถจอดรออยู่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว
เขาอุ้มเฉียวซือมู่ขึ้นรถแล้วสั่งคนขับรถ “ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด!”
ขณะเดียวกัน เฉียวซือมู่หายใจแผ่วจนเกือบจะไม่รู้สึกว่าเธอกำลังหายใจอยู่ เขาลูบผมดำยาวสลวยของเธออย่างเบามือ ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
ทำไมเขาต้องมาที่นี่ด้วย? ทำไมไม่ดูแลเธอให้ดีกว่านี้? ทำไมตอนที่เธอบอกว่าไม่สบาย เขาถึงดูไม่ออกว่าเธอถูกพิษ?
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาและเธอจะตกเป็นเป้าของไอ้ฆาตกรที่เขาตามล่าแทบเป็นแทบตายเร็วขนาดนี้ แถมยังกล้าวางยาพิษต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“อย่าให้ฉันเจอตัวเชียว ฉันจะสับแกให้เละเป็นหมื่นๆ ชิ้นเลย คอยดู!” เขาให้สัญญากับตัวเองในใจ ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้าด้วยวิตกกังวล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น