ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 225-232

 ตอนที่ 225 แผนสกปรก ทุ่มลูกไม้ที่มีทั้งหมดลงไป


 


 


ซูจิ่วซานที่มีแผนอยู่ในใจแล้วรีบเดินตามผู้จัดการหลี่ว์ไป เมื่อเห็นว่าผู้จัดการหลี่ว์มีสีหน้าที่ตึงเครียด จึงทำทีเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง “ผู้จัดการหลี่ว์เป็นอะไรไปคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์คลี่ยิ้ม “มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ คุณหมอซูพอมีเวลาว่างไหม ช่วยผมตรวจคนไข้คนหนึ่งได้หรือเปล่า”


 


 


ในเมื่อเชิญผู้อาวุโสหวงไม่สำเร็จ เขาก็จำใจต้องหาคนอื่น ในปักกิ่งหมอซูก็ถือว่าพอมีชื่อเสียงเรียงนามอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะยินยอมไหม


 


 


ซูจิ่วซ่านคลี่ยิ้มบางๆ “ต้องโทษผู้จัดการหลี่ว์ด้วยนะคะ วันนี้พอดีฉันมีธุระ เดี๋ยวก็ต้องกลับโรงพยาบาลแล้วน่ะค่ะ…”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์หัวเราะแหะๆ สองที หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม คิดอยู่ในหัว ติดธุระอะไร คงได้ยินชื่อเสียงของเยี่ยซีมาบ้างแล้วก็เลยไม่ยอมไปน่ะสิไม่ว่า หลายวันนี้มานี้เขาเจอคำปฏิเสธแนวนี้มาเยอะแล้ว


 


 


ซูจิ่วซานมองหน้าผู้จัดการหลี่ว์แล้วกล่าว “แต่ว่า ฉันสามารถแนะนำคนคนหนึ่งให้ผู้จัดการหลี่ว์ได้นะคะ เธอคนนั้นต้องว่างไปช่วยแน่นอนค่ะ”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์ถามกลับทันที “ใคร”


 


 


“ก็ต้องเป็นหมออวี๋ของพวกเราอยู่แล้วน่ะสิคะ คลิบที่กำลังโด่งดังอยู่ในอินเทอร์เน็ตผู้จัดการหลี่ว์ยังไม่ได้ดูเหรอคะ คุณหมออวี๋ของพวกเราน่ะ วิชาแพทย์ล้ำเลิศ ไม่เป็นสองรองใครในงานสัมมนา” ซูจิ่วซานพูดยกยอปอปั้นอวี๋กานกานรัวเป็นชุด เนื่องจากกลัวว่าผู้จัดการหลี่ว์จะไม่เชื่อ


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์เป็นพนักงานสายงานด้านบริหาร ไม่มีความรู้เรื่องแพทย์ เขาต้องการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเยี่ย จึงพยายามออกหน้าแนะนำแพทย์ให้ แต่เขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับปีศาจอย่างเยี่ยซี เขาเชิญแพทย์มาหลายต่อหลายคน แต่สุดท้ายก็โดนเยี่ยซีไล่ตะเพิดออกมาหมดทุกราย  แม้แต่แพทย์อาวุโสก็ยังจนปัญญา หมออวี๋จะมีวิธีหรือ


 


 


ซูจิ่วซานพูดเสริม “คุณหมออวี๋ทั้งสาวทั้งสวย ปกติเด็กผู้ชายมักจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว ฉะนั้นย่อมคุยกันได้ง่ายขึ้น ไม่ยุ่งยากแล้วล่ะค่ะ”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์ขบคิด ก็ถูกอย่างที่ซูจิ่วซานกล่าวมา แต่ว่าเยี่ยซีคนนี้มีข่าวลือว่าเขาเป็นเสือผู้หญิง มักมากในกาม ถ้าหากคุณหมออวี๋ถูกคุกคามขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่คุณหมอวี๋ก็ไม่ได้ไปคนเดียวนี่นา มีเขาเป็นคนนำอยู่ทั้งคน


 


 


เมื่อเห็นว่าผู้จัดการหลี่ว์เริ่มเทใจมาทางนี้แล้ว ซูจิ่วซานจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหมุนตัวแล้วเดินออกมา หันหลังให้ผู้จัดการหลี่ว์ ฉีกยิ้มโหดเ**้ยม


 


 


ไม่ว่ายัยอวี๋กานกานจะมีความสามารถหรือไม่มี การที่ต้องไปเผชิญหน้ากับเยี่ยซี ย่อมไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่ามันจะรักษาย่าเยี่ยได้หรือไม่ คนอสุจิขึ้นสมอง[1]อย่างเยี่ยซี ต้องถูกใจหน้าตายัยอวี๋กานกานแน่


 


 


รอยัยอวี๋กานกานกลายเป็นบุปผามีตำหนิ[2] ดูสิว่ามันจะยั่วยวนรุ่นพี่ซย่าอยู่อีกไหม


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาอวี๋กานกานเพื่อเชิญไปตระกูลเยี่ย


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างประหลาดใจที่ผู้จัดการหลี่ว์จู่ๆ ก็มาตามเธออย่างกะทันหัน เธอหยุดฝีเท้าแล้วกล่าว “สวัสดีค่ะ ผู้จัดการหลี่ว์”


 


 


สายตาของอวี๋กานกานมองผู้จัดการหลี่ว์ด้วยความแปลกประหลาดใจ ราวกับกำลังถามว่าเขามีธุระอะไรหรือเปล่า


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์กลั้วหัวเราะ กล่าว “คุณหมออวี๋ แผ่นผับโฆษณาที่คุณถ่ายกับหมอซย่าผมได้ดูรูปที่ยังไม่แต่งแล้วนะ นางแบบสวย รูปก็งาม”


 


 


“เสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ” อวี๋กานกานนึกว่าคงต้องรออีกหลายวัน


 


 


ทีแรกเธอคิดว่าผู้จัดการหลี่ว์คงมาหาเธอเพื่อบอกเรื่องนี้ แต่หลังจากพูดจบแล้วเขาก็ยังไม่เดินไปไหน ทั้งยังชวนเธอคุยเรื่องอื่นต่อ “คุณหมออวี๋เป็นคนไป๋หยางสินะ มาปักกิ่งก็คงไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร ปักกิ่งหนาวกว่าไป๋หยางเยอะ”


 


 


“ก็ยังพอไหวค่ะ เมื่อก่อนฉันตามอาจารย์มาศึกษาวิชาที่ปังกิ่งเป็นบางครั้งน่ะค่ะ ก็เลยพอทนหนาวได้อยู่ ขอบคุณผู้จัดการหลี่ว์ที่อุส่าเป็นห่วงนะคะ”


 


 


“ไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่ถามๆ ดูน่ะ” ผู้จัดการหลี่ว์หัวเราะชอบใจ เขารู้สึกว่าอวี๋กานกานคุยง่ายกว่าพวกแพทย์อาวุโสเยอะ


 


 


ถึงแม้คนมีความสามารถมักจะทะนงตน ทว่าความทะนงตนของอวี๋กานกานกลับให้ความรู้สึกที่ไม่อึดอัดกดดัน


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] อสุจิขึ้นสมอง หมายถึง บ้ากาม


 


 


[2] บุปผามีตำหนิ อุปมาถึง หญิงสาวที่ถูกผู้ชายย่ำยีศักดิ์ศรี  


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 226 นัดบอดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง


 


 


หลังจากที่ไถ่ถามทุกข์สุขไปได้สองสามประโยค ผู้จัดการหลี่ว์ถูฝ่ามือไปมา กล่าวด้วยท่าทีที่ค่อนข้างเกรงใจ “คุณหมออวี๋ มีเรื่องเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะรบกวนคุณหน่อย ไม่ทราบว่าคุณพอจะช่วยได้ไหม”        


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มให้ผู้จัดการหลี่ว์ ตอบ “ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกนะคะ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันช่วยได้ฉันจะช่วยอย่างสุดความสามารถค่ะ”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์กล่าวต่อ “คุณหมอรู้จักตระกูลเยี่ยไหมครับ”


 


 


อวี๋กานกานกระพริบตาปริบๆ เธอไม่รู้จักตระกูลเยี่ย


 


 


“ผมรู้จักกับประธานเยี่ย เขารู้ว่าผมทำงานอยู่ในสมาคมแพทย์แผนจีน ก็เลยให้ผมช่วยเชิญแพทย์แผนจีนที่มีฝีมือมาช่วยรักษาภรรยาของเขา ผมเลยอยากถามว่าคุณหมออวี๋พอจะมีเวลาว่างไหม…”


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกไม่ชอบมาพากล ในสมาคมมีแพทย์แผนจีนที่มีฝีมือตั้งมากมาย ทำไมถึงมาเชิญเธอ อวี๋กานกานตอบกลับเสียงเรียบ “ผู้จัดการหลี่ว์ มีแพทย์อาวุโสมากมายที่เข้าร่วมงานสัมมนา คุณควรไปเชิญพวกเขามากกว่านะคะ พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าฉันเยอะ”


 


 


“ผมลองเชิญดูแล้ว แต่พวกเขาไม่มีใครว่างเลยน่ะสิ”


 


 


บางคนไม่ว่าง บางคนไปแล้วโดนไล่ออกมา บางคนรู้นิสัยของเยี่ยซีจึงไม่อยากไป เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานมีท่าทีที่ลังเล เหมือนกับจะปฏิเสธ ผู้จัดการหลี่ว์พูดด้วยสีหน้าทนทุกข์ “คุณหมออวี๋ ช่วยผมหน่อยเถอะนะ”


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิด ตอบ “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะลองไปตรวจดู คุณก็รู้ว่าฉันอายุยังน้อย ฉะนั้นวิชาแพทย์อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรฉันจะทำให้สุดความสามารถที่มีค่ะ”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์พยักหน้า “ไม่เป็นไร แค่คุณยินดีไปก็พอแล้ว”


 


 


แค่ยินดีไปเขาก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ถ้าคุณหมออวี๋โดนไล่ไปอีกคนก็พอกันที เขาจะล้มเลิกความหวังที่จะผูกมิตรกับตระกูลเยี่ยซะ


 


 


เด็กสาวยินดีที่จะช่วยเขา ผู้จัดการหลี่ว์รู้สึกว่าเขาควรจะอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดเจน “คุณหมออวี๋ ภรรยาตระกูลเยี่ยป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ว่าเข้ารับการผ่าตัดไม่ได้เนื่องจากแพ้ยาชาและยาสลบ ทำได้แค่ประคับประครองอาการไปเท่านั้น แพทย์แผนจีนเองก็เคยไปตรวจและเขียนเทียบยาให้ แต่ผลการรักษาก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ไม่ว่าหมอคนไหนก็บอกว่าต้องใช้เวลา แต่ว่าหลานชายของภรรยายตระกูลเยี่ยมีนิสัยที่ค่อนข้างมุทะลุ เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ต้องตั้งเสาเห็นเงาเท่านั้น ก็เลย…”


 


 


อวี๋กานกานฟังแล้วพยักศีรษะ “การตรวจคนไข้จำเป็นต้องจับชีพจร ตอนนี้ฉันยังไม่รู้อาการโดยรวม ยังวินิจฉัยอะไรมากไม่ได้”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์คลี่ยิ้ม “งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมรถ”


 


 


อวี๋กานกานหยิบโทรศัพท์ออกมาเหลือบดูเวลา ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้เหรอคะ คือเดี๋ยวฉันต้องไปรับเพื่อนที่สนามบินน่ะค่ะ ขอไปรับเพื่อนก่อนแล้วค่อยตามไปได้ไหมคะ”


 


 


“ไม่มีปัญญา เดี๋ยวผมจัดหารถให้คุณหมอนั่งไปรับเพื่อน จะได้จองโรงแรมให้ด้วยเลย”


 


 


อวี๋กานกานรีบยกมือขึ้นปราม “ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนฉันมีที่พักอยู่ที่ปักกิ่งอยู่แล้ว”


 


 


เพื่อนที่อวี๋กานกานจะไปรับก็คือหลินจยาอวี่ จริงๆ หลินจยาอวี่ปฏิเสธไปแล้ว แต่อวี๋กานกานรู้สึกว่าหลินจยาอวี่ตั้งท้องอยู่ จัดการอะไรคนเดียวคงไม่สะดวกเท่าไรก็เลยตัดสินใจไปรับที่สนามบินดีกว่า


 


 


อวี๋กานกานมาถึงสนามบินตรงกับหลินจยาอวี่กำลังเดินออกมาพอดี ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน เธอพบว่าหลินจยาอวี่อ้วนขึ้น เธอถามหลินจยาอวี่ว่าครั้งนี้มาทำอะไรที่ปักกิ่ง ความจริงในใจของอวี๋กานกานค่อนข้างหวาดกลัว กลัวว่าหลินจยาอวี่จะมาหาแฟนเก่าที่ชื่อหนานเซิงอะไรนั่น


 


 


ใบหน้าที่งดงามของหลินจยาอวี่ยังคงเป็นอัมพาต แสดงอารมณ์ไม่ค่อยได้ ทว่าสายตาที่มองมายังอวี๋กานกานกลับสดใสและอบอุ่น “ฉันมานัดบอดน่ะ”


 


 


อวี๋กานกานตกใจ “เธอว่าไงนะ นัดบอด?”


 


 


หญิงสาวหน้าตาสะสวย ท่วงท่าสง่างาม ชาติตระกูลดีเลิศอย่างหลินจยาอวี่เนี่ยนะ ทำไมถึงมานัดบอดได้ ในขณะเดียวกันอวี๋กานกานพลันนึกถึงลู่เสวี่ยเฉิน รายนั้นก็เหมือนกัน สวยชนิดที่ยากจะแยกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ผลสุดท้ายก็ยังต้องนัดบอด


 


 


ในเมื่อพวกเขาทั้งสองต้องการหาคู่ งั้นเธอก็จัดแจงนัดแนะให้พวกเขามาดูตัวกันและกันก็สิ้นเรื่องแล้วนี่


ตอนที่ 227 บทพูดแสนคลาสสิคในนิยายซีอีโอจอมเผด็จการ


 


 


อวี๋กานกานมาส่งหลินจยาอวี่ถึงที่บ้าน จากนั้นก็ขอตัวกลับทันที หลินจยาอวี่จำได้ว่าวันนี้อวี๋กานกานไม่มีสัมมนา อวี๋กานกานจึงอธิบายให้เธอฟังว่าก่อนหน้าที่จะไปรับหลินจยาอวี่ ผู้จัดการหลี่ว์ได้มาขอให้เธอช่วยไปตรวจคนไข้คนหนึ่ง


 


 


ทั้งสองพูดคุยกันอยู่หลายประโยค เมื่อหลินจยาอวี่ได้ยินว่าสถานที่ที่อวี๋กานกานจะไปคือตระกูลเยี่ย เธอชะงักไปเล็กน้อย อดีตเพื่อนสาวคนสนิทของเธอเป็นเซเลบของปักกิ่ง ย่อมรู้ถึงชื่อเสียงของปีศาจตระกูลเยี่ย


 


 


คิ้วของหลินจยาอวี่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน สีหน้าเริ่มปรากฏความกังวล เธอครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “เยี่ยซีจากตระกูลเยี่ยมีข่าวลือไม่ค่อยดี เธอไปตรวจก็ไปตรวจอย่างเดียวพอนะ พยายามอยู่ห่างๆ หมอนั่นไว้”


 


 


อวี๋กานกานถามหลินจยาอวี่เกี่ยวกับข่าวลือของเยี่ยซี เธอช็อกไปในทันทีหลังจากที่ได้ฟัง ที่นี่คือเมืองหลวงนะ หมอนั่นเหิมเกริมเกินไปแล้ว ไม่มีใครเอาเรื่องเขาได้เลยเหรอ หรือว่าลือกันปากต่อปากจนผิดเพี้ยนไปหมด โดนยัดเยียดภาพลักษณ์แย่ๆ ให้ แต่เธอก็แค่ไปตรวจอาการให้แม่เฒ่าตระกูลเยี่ย ไม่น่าจะเจอปีศาจเยี่ยซีอะไรนั่น ต่อให้เจอหน้ากัน เธอก็มาเพื่อดูอาการให้ย่าของเขา อีกฝ่ายก็คงไม่น่าจะเข้ามาหาเรื่อง


 


 


อวี๋กานกานและผู้จัดการหลี่ว์มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเยี่ย ในขณะที่กำลังลงจากรถ ทันใดนั้นมีลัมโบกินี่สีขาวขับเข้ามาด้วยความเร็วสูง ตามมาด้วยปอร์เช่สีแดงฉูดฉาดและสปายเกอร์สีดำ รถยนต์แบรนด์หรูคละสีทั้งสามคันจอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าตระกูลเยี่ยอย่างอล่างฉ่าง เด็กวัยรุ่นสามคน อายุราวๆ สิบเก้าถึงยี่สิบปีเดินลงจากรถ


 


 


เด็กผู้ชายหนึ่งในนั้นสังเกตเห็นอวี๋กานกานที่ปล่อยผมยาวสลวย ในมือถือกล่องอุปกรณ์ พลันผิวปากส่งเสียงหวีดหวิว “โย่ว คนสวย” จากนั้นส่งเสียงหัวเราะชอบใจ พร้อมกับยื่นมือออกไปตบบ่าเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า พูดหยอกล้อ “ว้าว พี่ซี มีผู้หญิงมาถวายตัวให้ถึงที่อีกแล้ว”


 


 


เด็กผู้ชายอีกคนหัวเราะร่า กล่าว “นายก็หัดดูซะบ้างว่าพี่ซีของพวกเราเป็นใคร เขาคือหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของปัก…”


 


 


เยี่ยซีหันควับไปมองพวกเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก


 


 


เด็กผู้ชายที่เพิ่งชมเยี่ยซีว่าหล่อ ระเบิดหัวเราะออกมาทันที “ใช่ใช่ใช่ ไอดอลของนายหล่อที่สุด นายหล่อเป็นอันดับสอง”


 


 


เยี่ยซีเก๊กหล่อปัดมือที่วางอยู่บนไหล่ออก มองอวี๋กานกานด้วยสายตาแพรวพราว ผู้หญิงคนนี้นับกันเรื่องหน้าอกจัดอยู่ในเกณฑ์ห่วยแตก แทบจะไม่มีอะไรนูนออกมาด้วยซ้ำ แบนเกินมนุษย์มนาปกติเสียอีก แต่ถ้าดูที่หน้าตาก็ยังถือว่าพอไปวัดไปวาได้อยู่ ถึงแม้ไม่ใช่สไตล์สวยหยาดเยิ้มงามล่มเมือง แต่พอมองดูแล้วกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับแสงแดดและบรรยากาศในฤดูใบไม้ผลิที่ทุกสรรพสิ่งเบ่งบานมีชีวิตชีวา


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์มองหน้าเด็กหนุ่มทั้งสาม ยิ้มแล้วกล่าวทักทาย “คุณชายเยี่ย คุณชายเฉิน คุณชายเสิ่น มากันแล้วเหรอครับ”


 


 


พวกเขาก็คือสามวีรบุรุษแห่งปักกิ่ง คนที่ดูแสบซ่าไม่อยู่ในกฎระเบียบคือเยี่ยซี คนที่เรียกอวี๋กานกานว่าคนสวยคือเฉินมั่ว ส่วนอีกคนที่ชมเยี่ยซีว่าหล่อคือเสิ่นตงชิง


 


 


เยี่ยซีมองผู้จัดการหลี่ว์ด้วยหางตา พูดอย่างรำคาญใจ “ทำไมคุณถึงยังมาอีก อยากประจบตระกูลฉันขนาดนั้นเชียว เห็นว่าหาหมอเก่งๆ มาให้ไม่ได้ก็เลยเอาผู้หญิงมาปลอบใจฉันแทน?”


 


 


เสิ่นตงชิงกล่าว “แม้ว่าพี่ซีของพวกเราจะชอบผู้หญิงทุกคนที่หน้าตาสวย แต่ทรวดทรงก็เป็นสิ่งสำคัญ สาวคนนี้แบ๊นแบน คุณก็ยังกล้าพามา”


 


 


เยี่ยซีชำเลืองมองอวี๋กานกานด้วยสายตาที่เดาความหมายไม่ออก เหมือนกับกำลังพิจารณาคุณภาพสินค้า เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานจ้องมองมาที่ตนเอง ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้น หัวเราะในลำคอ พูดถากถาง “หล่อถูกใจคุณไหม”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


คำพูดนี้ทำไมเหมือนหลุดออกมาจากประโยคแสนคลาสสิคในนิยายซีอีโอจอมเผด็จการ


 


 


อวี๋กานกานไม่รู้ว่าสามคนนี้เป็นใคร เธอหันไปมองหน้าผู้จัดการหลี่ว์เป็นนัยขอให้เขาช่วยแนะนำบุคคลเหล่านี้หน่อย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 228 ถ้าไม่ตรวจก็ไสหัวออกไปซะ


 


 


ประโยคเมื่อครู่ที่เยี่ยซีพูดออกมาทำให้ผู้จัดการหลี่ว์โกรธจนหน้าขึ้นสี จริงอยู่ที่เขาต้องการผูกสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ย แต่เขาก็อยากช่วยแม่เฒ่าตระกูลเยี่ยให้หายป่วยโดยเร็ววันจากใจจริง


 


 


เขาน่าจะถอดใจไม่ยุ่งเรื่องบ้าบอนี้อีกตั้งแต่ที่เยี่ยซีไล่ตะเพิดผู้อาวุโสหวง


 


 


อวี๋กานกานไม่ได้มองหน้าเยี่ยซีอีกเลยหลังจากนั้น เยี่ยซีที่จู่ๆ ก็ถูกเมิน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอน่ะ ท่าทีแบบนั้น จงใจยั่วโมโหฉันเหรอ”


 


 


พรื่ด ! เด็กผู้ชายคนนี้นี่จูนิเบียว[1]จริงๆ คำพูดทุกประโยคลิเก้ลิเกอย่างกับนิยายซีอีโอเผด็จการ อวี๋กานกานหันไปตอบ “เปล่า”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์มองเยี่ยซีด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก กล่าว “คุณชายเยี่ย คนนี้คือคุณหมออวี๋ ผมเชิญมาช่วยดูอาการให้คุณย่าของคุณ”


 


 


เยี่ยซีฉีกยิ้มชั่วร้ายมองมาที่อวี๋กานกาน ทั้งยังเดินวนรอบอวี๋กานกานหนึ่งรอบ


 


 


เพื่อนทั้งสองคนของเขา เฉินมั่วและเสิ่นตงชิงก็เผยสันดานเสียๆ ออกมาเช่นกัน


 


 


คนหนึ่งส่งเสียงโห่ร้อง “วะ วะ วะ ว้าววว”


 


 


ส่วนอีกคนผิวปากหวีดหวิว


 


 


“มาส่งถึงที่แล้วคุณก็ไสหัวไปซะสิ อยากไปทางไหนก็เชิญ…” ในขณะที่กำลังพูดอยู่ เยี่ยซีเพิ่งตระหนักได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ฝีเท้าชะงักกึก หันควับมาทางผู้จัดการหลี่ว์ สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง “คุณบอกว่าอะไรนะ คุณบอกว่าเธอเป็นใคร”


 


 


 ผู้จัดการหลี่ว์ข่มความโกรธในใจไว้ ฉีกยิ้มแล้วกล่าว “คนนี้คือคุณหมออวี๋แพทย์สาวอายุน้อยมากความสามารถจากสมาคมแพทย์แผนจีนของพวกเรา”


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยทักทายไปตามมารยาท “สวัสดีค่ะ”


 


 


เยี่ยซีตะลึงงัน ความโกรธพวงพุ่งขึ้นมาโดยพลัน สายตาแฝงไอสังหาร หันไปตวาดใส่ผู้จัดการหลี่ว์ “นี่คุณ พ่อผมให้คุณช่วยหาแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง คุณหลอกพ่อผมแบบนี้เหรอ” เขาชี้หน้าผู้จัดการหลี่ว์ พูดอย่างโหดเ**้ยม “เชื่อไหมว่าผมจะฆ่าคุณซะ!”


 


 


เฉินมั่วเองก็ทำหน้าเหลือเชือ “นี่น่ะนะแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง คุณจะหลอกพวกเราที่ผลการเรียนห่วยแตก ความรู้เท่าหางอึ่งสินะ”


 


 


“โอโห เลือกผู้หญิงสุ่มๆ จากข้างถนนมา แล้วอ้างว่าเป็นแพทย์แผนจีน แถมยังอายุน้อยมากความสามารถอะไรนั้นอีก ทำไมคุณไม่ลองให้เธอรักษาโรคสมองกลวงของตัวเองดูก่อนเล่า” หลังจากที่เสิ่นตงชิงด่ากราดจบ เขาเตะถังขยะที่อยู่ข้างๆ ใส่ผู้จัดการหลี่ว์


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์สะดุ้งโหยง ถึงแม้จะหลบได้ แต่สีหน้าของเขาโกรธจนเป็นสีเขียวปี๋ พวกเด็กปีศาจพวกนี้ มากเกินไปแล้ว! หลายวันมานี้เขาเชิญแพทย์แผนจีนเลื่องชื่อมามากมาย คำขอบคุณสักคำไม่มีไม่พอ ยังต้องมาโดนดูถูก โดนด่าสาดเสียเทเสียให้อับอายขายหน้าอีก เขานี่มันรนหาเรื่อง แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ


 


 


คิดผิด !


 


 


ผิดมหันต์ !


 


 


อวี๋กานกานเข้าใจหลินจยาอวี่ได้ในทันทีว่าทำไมถึงเตือนเธอให้อยู่ห่างๆ เยี่ยซีไว้


 


 


ไม่ว่าคนที่ผู้จัดการหลี่ว์เชิญมาจะเป็นใคร จะรักษาอาการของแม่เฒ่าตระกูลเยี่ยได้หรือไม่ ที่ผู้จัดการหลี่ว์ทำไปก็มาจากความปารถนาดีทั้งนั้น ทำไมพวกนั้นถึงได้ทำตัวถ่อยต่ำ ใช้วาจาหยาบช้าแบบนี้ เด็กกลุ่มนี้จูนิเบียวจริงๆ


 


 


ความคิดไม่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปในตระกูลเยี่ยปรากฏขึ้นในหัวของอวี๋กานกานโดยพลัน


 


 


เยี่ยซีเดินมาหยุดลงตรงหน้าอวี๋กานกาน เย้าหยอกโดยการใช้นิ้วมือเชยคางอวี๋กานกานขึ้น “ถ้าคุณคือหมอเทวดา ผมก็คือแด๊ดดี้ของหมอเทวดา”


 


 


จากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่อวี๋กานกานเกือบถูกลักพาตัว เธอคิดหาวิธีอยู่นานว่าหากต้องเจอสถานการณ์อันตรายอีก เธอต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถปกป้องตัวเองได้


 


 


เข็มสามารถรักษาโรคได้ ทว่าก็สามารถเป็นอาวุธได้เช่นกัน


 


 


ในตอนที่เยี่ยซียื่นมือออกมา มือของอวี๋กานกานสอดเข้ากระเป๋าเสื้อหยิบเข็มเตรียมพร้อม รอจนกระทั้งนิ้วมือของเยี่ยซีสัมผัสโดนปลายคางของเธอ อวี๋กานกานออกท่าอย่างรวดเร็ว เข็มเงินทิ่มลงตรงจุดชีพจรบนมือของเยี่ยซี


 


 


เยี่ยซีรู้สึกว่าฝ่ามือของตนชาแปลบ การเคลื่อนไหวชะงักลงกะทันหัน เขาส่งเสียงร้องดัง “โอ้ย” แขนหมดแรงล่วงลงมาทันที ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกเหน็บชาเบาบาง


 


 


เยี่ยซีตกใจ “เมื่อกี้คุณทำอะไร”


 


 


ลมหนาวพัดโชยเบาๆ ปอยผมบริเวณหน้าผากของอวี๋กานกานแตกออก เผยให้เห็นถึงแววตาเย็นยะเยือกคมกริบ อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเย็น “ถ้าไม่ตรวจก็ไสหัวออกไปซะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] จูนิเบียว หรือ โรคเด็กม.2 อาการของผู้เป็นจูนิเบียวคือ มักจะพยายามทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเท่ แต่ในสายตาของคนทั่วไปมองว่ามันขัดกับหลักตรรกะ ดูไม่เข้าท่า แปลกประหลาด อาการดังกล่าวมักจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงอายุ 13-15 หรือประมาณม.2 ตามที่มาของชื่อ แต่ถึงจะถูกเรียกว่าโรคเด็กม.2 แต่จูนิเบียวไม่ใช่โรคทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนในช่วงวัยรุ่นตอนต้น โดยในปัจจุบันมักถูกนำมาเป็นคำเรียกคนทำตัวเพ้อเจ้อ


ตอนที่ 229 ผู้หญิงคนนี้เท่ดีแฮะ


 


 


ทันทีที่อวี๋กานกานพูดประโยคนี้ออกมา เด็กหนุ่มทั้งสามถึงกับตะลึงงัน


 


 


เสิ่นตงชิงและเฉินมั่วเดินเข้ามาขนาบข้างเยี่ยซีอย่างรวดเร็ว พึมพำเสียงเบา


 


 


“ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เท่ดีแฮะ”


 


 


“หรือจะเป็นพวกคมในฝัก[1]จริงๆ”


 


 


หลังจากที่เยี่ยซีหายตกใจแล้ว ใบหน้าหล่อเหล่าแสดงอาการโกรธเกรี้ยว ขบฟันกรามกรอด พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เท่ตรงไหน พวกนายเป็นมาโซคิสม์[2]หรือไง คมในฝักอะไรนั่นอีก ฉันว่าซ่อนคม[3]มากกว่า”


 


 


เฉินมั่วเกาท้ายทอย “พี่ซี เหมือนว่าความหมายของสองคำนี้จะไม่ต่างกันนะ”


 


 


เยี่ยซีถลึงตาใส่เฉินมั่ว “ฉันรู้อยู่แล้วหน่า ฉันเล่นคำนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยรึไง”


 


 


เสิ่นตงชิงมองเยี่ยซีด้วยสีหน้าเลื่อมใส “พี่ซีบอกว่าความหมายเหมือนกันก็คือเหมือนกัน บอกว่าความหมายไม่เหมือนกันก็คือไม่เหมือนกัน”


 


 


เฉินมั่วยกมือขึ้นมาป้องปาก พูดเสียงเบา “ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นสำคัญคือเหมือนว่าเมื่อกี้ผู้หญิงคนนี้ทำร้ายพี่ซีของพวกเรา”


 


 


เยี่ยซีตระหนักได้ว่าหัวข้อที่กำลังคุยกันเริ่มจะออกทะเลแล้ว เขาหันไปตวาดใส่อวี๋กานกาน “เธอน่ะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ หึ~ สาวสวย เธอเรียกร้องความสนใจจากฉันได้เต็มๆ !”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์ “…”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


บรรยากาศระหว่างทั้งสามกระอักกระอวนถึงขีดสุด


 


 


ทันใดนั้นเอง ประตูห้องถูกเปิดออก พ่อบ้านเดินออกมาเห็นผู้จัดการหลี่ว์จึงยิ้มแล้วเดินมาต้อนรับทันที “ผู้จัดการหลี่ว์ในที่สุดคุณก็มา หมอ…”


 


 


สายตาของพ่อบ้านสาดส่องไปรอบๆ ไม่เห็นหมอสักคน เมื่อสายตากวาดไปถึงเยี่ยซี เขาพูดอย่างหนักใจ “คุณหนูของบ่าว ทำไมคุณหนูไล่หมอไปอีกแล้วล่ะ”


 


 


ชายวัยกลางคนสวมแว่นตาเดินตามออกมา เมื่อได้ยินประโยคนี้ของพ่อบ้าน ความโกรธพุ่งพรวดขึ้นมาทันที เขามองซ้ายแลขวา เหมือนกับกำลังมองหาของบางอย่างที่สามารถนำมาทุบศีรษะคนได้ แต่กลับพบว่าโดยรอบไม่มีสิ่งของอะไรที่พอจะหยิบติดมือได้เลย เขาเดินพุ่งตรงเข้ามาหมายจะถีบเยี่ยซี


 


 


เยี่ยซีวิ่งหนีเหมือนกับลิง “ผมไม่ได้ไล่ซะหน่อย หมอก็อยู่ตรงนั้นไง” เหล่าบรรดาแพทย์ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนไล่จริง แต่พวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหมอกำมะลอ เขาได้ไปเชิญแพทย์ทางเดินอาหารที่เก่งที่สุดจากต่างประเทศแล้ว


 


 


เสิ่นตงชิงและเฉินมั่วรีบพูดอธิบายทันควัน “คุณลุง ครั้งนี้พวกผมไม่ได้ไล่นะครับ พวกผมแค่คุยเล่นขำๆ กับคุณหมอ”


 


 


ชาววัยกลางคนตัวสูงใหญ่คนนี้คือบิดาของเยี่ยซี หรือก็คือประธานเยี่ย เยี่ยจยาเซิงผู้ไหว้วานให้ผู้จัดการหลี่ว์ช่วยหาแพทย์แผนจีน


 


 


เยี่ยจยาเซิงเลื่อนสายตามองไปทางเดียวกับเสิ่นตงชิงและเฉินมั่ว สะดุดเข้ากับอวี๋กานกาน หมอที่เจ้าพวกนี้พูดคือเด็กผู้หญิงคนนี้เหรอ เยี่ยจยาเซิงสบถคำว่า ‘แย่แล้ว’ ในใจ ดูเหมือนเจ้าเด็กปีศาจพวกนี้จะล่วงเกินแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงครบหมดทุกรายแล้ว ไม่มีใครกล้ามาตรวจที่ตระกูลเยี่ยอีก ดังนั้นผู้จัดการหลี่ว์ก็เลยเชิญเด็กสาวคนนี้มาช่วยรับหน้าไปก่อน


 


 


ที่เรื่องเป็นแบบนี้จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้


 


 


เยี่ยจยาเซิงเดินเข้ามาเช็คแฮนด์ทักทายผู้จัดการหลี่ว์ พูดด้วยสีหน้าซาบซึ้งในน้ำใจ “ผู้จัดการหลี่ว์ ช่วงนี้รบกวนคุณมากจริงๆ ผมซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าคุณช่วย…” เชิญแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมาอีกสักคนได้ไหม


 


 


ประโยคหลังยังไม่ทันได้พูดออกมา ทว่าความหมายก็ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว


 


 


เมื่อเห็นว่าท่าทีของประธานเยี่ยยังคงเป็นมิตร ความขุ่นเคืองในใจของผู้จัดการหลี่ว์ก็ลดลงไปหลายส่วน เขารู้ดีว่าเยี่ยจยาเซิงกำลังจะพูดอะไร แต่ว่า…เขาค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวคุณหมออวี๋


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์คลี่ยิ้ม “ประธานเยี่ยไม่ต้องเกรงใจไปหรอกครับ นี่คือคุณหมออวี๋ แพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงของสมาคมพวกเรา ถึงแม้เธอจะยังวัยรุ่น แต่วิชาแพทย์ยอดเยี่ยมมาก”


 


 


เยี่ยจยาเซิงยิ้มให้อวี๋กานกานอย่างมีมารยาท “รบกวนด้วยนะครับ คุณหมออวี๋”


 


 


เออออห่อหมกไปก่อน เยี่ยจยาเซิงไม่คิดว่าเด็กสาวคนนี้จะมีวิธีอะไรที่ตั้งเสาเห็นเงา อีกเดี๋ยวก็คงโดนเจ้าพวกเด็กปีศาจไล่ตะเพิดไปอีกราย


 


 


เฮ้อ เขาต้องรบกวนผู้จัดการหลี่ว์เชิญแพทย์เลื่องชื่อมาอีกคนแล้วสิท่า


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] คมในฝัก ใช้พูดเปรียบเทียบคุณลักษณะของคนที่เก่ง แต่ไม่แสดงออกให้ใครรู้ และก็ดูไม่ออกว่าเป็นคนเก่ง จะรู้ก็ต่อเมื่อลงมือทำจริง


 


 


[2] มาโซคิสม์ หมายถึง บุคคลที่ได้รับความพึงพอใจจากการถูกทำให้เจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางวาจาหรือร่างกาย


 


 


[3] ซ่อนคม หมายถึง ซ่อนความฉลาดไว้ ไม่อวดตัว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 230 เกี่ยวกับโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ


 


 


เยี่ยจยาเซิงเดินนำอวี๋กานกานและผู้จัดการหลี่ว์เข้ามายังคฤหาสน์ ทิ้งเยี่ยซี เสิ่นตงชิงและเฉินมั่วที่ยืนซุบซิบกันอยู่สามคนไว้ที่เดิม


 


 


“ผู้หญิงคนนี้รักษาคนได้จริงๆ เหรอ”


 


 


หัวคิ้วของเยี่ยซีมุ่นเข้าหากัน ใครจะรู้ว่าอวี๋กานกานรู้วิชาแพทย์จริงไม่จริง อย่างไรเสียถ้ายัยนั่นรักษาไม่ได้เรื่อง ก็คอยดูแล้วกันว่าเขาจะจัดการกับยัยนั่นยังไง เยี่ยซีหัวเราะเสียงเย็น ย่างเท้าก้าวเข้าไปในคฤหาสน์


 


 


ภายในห้องรับแขกมีเพียงอวี๋กานกานแค่คนเดียว ประธานเยี่ยและผู้จัดการหลี่ว์กำลังไปเชิญแม่เฒ่าลงมา เยี่ยซีเดินมานั่งลงตรงข้ามกับอวี๋กานกาน จ้องหน้าอวี๋กานกานด้วยแววตาหาเรื่อง “ถ้าเธอรู้วิชาแพทย์จริง งั้นก็ลองรักษาฉันก่อน”


 


 


อวี๋กานกานมองเจ้าพวกสามหน่อไม่เอาไหน จะบอกว่าเข้าวัยหนุ่มแล้ว ก็เหมือนเด็กน้อยมากกว่า แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่วัยหนุ่ม ก็บรรลุนิติภาวะกันแล้วทั้งนั้น


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานไม่ปริปากพูดอะไร เยี่ยซีจึงพูดต่อ “ฉันเห็นแก่หน้าตาที่พอไปวัดไปวาได้ของเธอหรอกนะ ถ้าเธอยอมรับผิดแต่โดยดี เดี๋ยวฉันจะหยวนๆ ให้”


 


 


เฉินมั่วกล่าว “ใช่ พวกเราทุกคนล้วนเป็นบุรุษผู้รักหยกถนอมบุปผา[1]”


 


 


เสิ่นตงชิงขู่ต่อไม่ให้ขาดช่วง “ไม่งั้นละก็…หึ!”


 


 


ทั้งสามเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย คนหนึ่งไม้แข็งอีกคนไม้อ่อน เหมือนกับต้องการใช้โอกาสนี้ข่มขวัญอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานมองหน้าพวกเขานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ได้ ใครจะเป็นคนแรกล่ะ”


 


 


เอ๋?


 


 


สามวีรบุรุษต๊องชะงักไปครู่หนึ่ง มองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจ


 


 


จะตรวจให้จริงๆ เหรอ…


 


 


พวกเขาส่งสายตากันไปมา สุดท้ายตัดสินใจให้เสิ่นตงชิงตรวจเป็นคนแรก


 


 


เสิ่นตงชิงลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบหน้าอกของตัวเอง “ไหนเธอลองพูดมาสิ ฉันมีปัญหาอะไรตรงไหน”


 


 


อวี๋กานกานไม่ต้องจับชีพจรเสิ่นตงชิงด้วยซ้ำ พูดมาออกทันที “อินพร่องไฟลุกโชน[2] มีอาการเหงื่อลักออก[3]อย่างรุนแรง”


 


 


“ไอพวกนี้มันหมายความว่าอะไร”


 


 


“นายมักจะรู้สึกว่าฝ่ามือฝ่าเท้าร้อยจี๋ ดวงตาแห้งผาก พอตกดึกก็เหงื่ออกท่วมตัว ฤดูหนาวห่มผ้าแล้วเหงื่อออก แต่พอไม่ห่มก็หนาวสั่น ถูกต้องไหม”


 


 


เสิ่นตงชิงมีอาการอย่างที่ว่ามาจริงๆ เขาตกตะลึงจนดวงตาเบิกโพลง เมื่อตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังหาเรื่องอวี๋กานกานอยู่ เสิ่นตงชิงรีบทำเหมือนไม่เป็นอะไร กล่าว “แปลกตรงไหน ร่างกายฉันร้อนเหงื่อออกง่าย”


 


 


อวี๋กานกานอธิบาย “แต่ตอนกลางวันนายไม่ร้อน ร้อนแค่ตอนกลางคืน นี่คือเหงื่อลักออก พลังชี่ไหลเวียนไม่คล่อง อินหยางไม่สมดุล อินพร่องไฟลุกโชน เป็นสาเหตุที่เกิดอาการเหงื่อลักออก”


 


 


เสิ่นตงชิงนั่งเขย่าขา พูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “ก็แค่เหงื่อออก มีอะไรต้องกลัว”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มนิ่งๆ “เหงื่อลักออกระยะแรกส่งผลเสียต่อร่างกายไม่มาก แต่ถ้าอยู่ในขั้นรุนแรงเหมือนอย่างนาย เมื่อใดก็ตามที่ทัวเจิ้ง[4] มันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายหรือชีวิต”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นตงชิงถึงกับใบหน้าซีดเซียว ความรู้สึกหวาดกลัว อับจนหนทางเกิดขึ้นในใจอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว…


 


 


เยี่ยซีเลิกคิ้วขึ้น ถลึงตาใส่เสิ่นตงชิง เขาเชิ่ดคางขึ้น ส่งยิ้มชั่วร้ายให้อวี๋กานกาน “คุณเก่งขนาดนี้ งั้นรักษาผมบ้างสิ ผมหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เครื่องติดช้า จำเป็นต้องให้คุณหมอช่วยรักษา”


 


 


นี่มันลวนลามกันทางคำพูดชัดๆ


 


 


ทว่าอวี๋กานกานไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ทำเพียงแต่ถามคำถาม “งั้นฉันก็ต้องขอสอบถามประวัติสักหน่อย มีส่วนไหนบนร่างกายของนายที่มีอาการบวมไหม มีอาการปัสสาวะติดขัดหรือเปล่า ปัญหาด้านการแข็งตัวมีไหม”


 


 


เด็กหนุ่มทั้งสามคนจ้องอวี๋กานกานอย่างตกตะลึงจนตาโตเป็นไข่ห่าน ราวกับเห็นอวี๋กานกานเป็นอสูรกาย ทว่าสีหน้าของอวี๋กานกานกลับเรียบนิ่งไม่ไหวติง เหมือนกับเรื่องที่พูดเป็นแค่เรื่องดาษดื่นทั่วๆ ไป “อายุเท่านี้แต่กลับเริ่มหย่อนสมรรถภาพ อาจจะเป็นเพราะว่านายเริ่มมีเพศสัมพันธ์ไวเกินไป ทั้งยังใช้งานอย่างหนักหน่วง เปลี่ยนคู่นอนถี่ยิบ เป็นสาเหตุให้สมมรรถภาพทางเพศถดถอย อารมณ์ทางเพศลดลง”


 


 


เยี่ยซีรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองไม่ได้บกพร่องตรงไหน ทว่าฟังไปฟังมาเขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเสื่อมสมรรถภาพขึ้นมาแล้วจริงๆ


 


 


จะร้องไห้แล้วนะ!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] รักหยกถนอมบุปผา หมายถึง ทะนุถนอมและอ่อนโยนต่อสตรี หยกและบุปผา อุปมาถึงสตรี


 


 


[2] อินพร่องไฟลุกโชน  พลังอินอ่อนแอทำให้ไม่สามารถกดพลังหยางได้ ร่างกายเสียสมดุล เกิดความร้อนในร่างกาย


 


 


[3] เหงื่อลักออก เหงื่อที่ออกแค่เฉพาะตอนนอน เมื่อตื่นนอนจะไม่มีเหงื่อ


 


 


[4] ทัวเจิ้ง จัดเป็นภาวะพร่อง อินอ่อนแอ หยางสลาย อินหยางแยกออกจากกัน อาการคือหมดสติฉับพลัน ตาปิด ปากอ้า แขนขาไม่มีแรง เหงื่อแตก ปัสสาวะอุจจาระราด หายใจแผ่วเบา 


ตอนที่ 231 ยัยผู้หญิงหน้าไม่อาย


 


 


เยี่ยซีจะร้องไห้อยู่รอมร่อ!


 


 


เขามองอวี๋กานกานอย่างหวาดหวั่น นิ้วมือสั่นเทาชี้ไปที่อวี๋กานกาน “ทะ ทะ ทะ เธอ…” เยี่ยซีติดอ่างพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าแดงแจ๋ “ยัยผู้หญิงหน้าไม่อาย!”


 


 


อวี๋กานกานมองหน้าเยี่ยซี เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คนเราหากตกอยู่ในภาวะอารมณ์สีเทาเป็นระยะเวลานาน ความต้องการทางเพศจะถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเศร้าโศกหรือโมโหฉุนเฉี่ยวถึงขีดสุด หากอาการรุนแรง อาจทำให้สูญเสียความต้องการทางเพศไปอย่างถาวร ดูๆ แล้วนายทั้งโมโหทั้งฉุนเฉี่ยวง่าย เกรงว่าสมรรถภาพคงเสื่อมหมดแล้วล่ะ ถ้าเสื่อมไปหมดแล้วจริงๆ จะรักษาก็…”


 


 


เยี่ยซีหน้าแดงแจ๋ พูดแทรกอวี๋กานกานเสียงดังลั่น “ฉันเปล่า ฉันยังแข็งแรงดี”


 


 


สายตาของอวี๋กานกานจดจ้องมาที่เยี่ยซีนิ่งๆ ไม่พูดอะไร เหมือนกับกำลังสำรวจตรวจสอบ!


 


 


ก่อนหน้านี้ เยี่ยซีคิดว่าที่อวี๋กานกานมองเขานั้นเป็นเพราะเสน่ห์ของตน แต่ว่าสายตาของอวี๋กานกานที่จดจ้องมาที่เขาในตอนนี้ ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนทั่วทั้งร่างกำลังถูกเครื่องจักรแสกนตรวจ อึดอัดและทรมาน


 


 


เยี่ยซีถีบเฉินมั่วที่อยู่ข้างๆ “ตานายแล้ว เร็ว”


 


 


เฉิ่นมั่วเองก็ช็อกอยู่กับคำพูดเมื่อครู่ เมื่อสติคืนกลับมา เขามองหน้าอวี๋กานกานแล้วกล่าว “ฉะ ฉะ ฉะ ฉัน…”


 


 


ยังไม่ทันไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงของเยี่ยจยาเซิงดังแทรกขึ้นมา “ฉะ ฉะ ฉะ ฉันอะไร ฉันเชิญคุณหมออวี๋มาตรวจให้พวกแกหรือยังไง”


 


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเยี่ยจยาเซิงผู้เข้มงวด เฉินมั่วเกาหัวแกรกๆ หัวเราะแห้งๆ สองที เห็นได้ชัดว่ากลัวจนหัวหด


 


 


เยี่ยจยาเซิงหันไปยิ้มให้อวี๋กานกาน “คุณหมออวี๋ รบกวนด้วยนะครับ”


 


 


น้ำเสียงของเยี่ยจยาเซิงนอบน้อมกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด


 


 


ความจริงคือตอนที่เยี่ยจยาเซิงเดินออกมา เขาได้ยินอวี๋กานกานที่กำลังตรวจอาการให้เยี่ยซีกับเสิ่นตงชิงพอดี เขาจงใจไม่เดินออกมาเพื่อจะทดสอบว่าอวี๋กานกานมีความสามารถจริงหรือเปล่า


 


 


ดูท่าแล้วเหมือนจะมีความเป็นมืออาชีพมากทีเดียว คนที่ผู้จัดการหลี่ว์เชิญมา อย่างไรก็น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถ


 


 


อวี๋กานกานลุกขึ้นยืนตัวตรง มือถือกล่องอุปกรณ์ คลี่ยิ้มบางๆ “ค่ะ”


 


 


แม้ว่าเมื่อครู่เยี่ยจยาเซิงจะยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร พูดกับเธอว่ารบกวนด้วยนะ แต่อวี๋กานกานก็มองออกถึงความถือตัวและสายตาดูถูกที่เยี่ยจยาเซิงมีต่อเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ อวี๋กานกานรู้ดีว่าตนเองอายุยังน้อย และเนื่องจากอายุน้อย เธอมักจะถูกต่อต้านจากบรรดาญาติๆ ของคนไข้อยู่บ่อยๆ แต่จะโทษญาติคนไข้ก็ไม่ได้ อวี๋กานกานเข้าใจว่าพวกเขาเป็นห่วงคนที่ตนเองรัก ลองเปลี่ยนมุมมอง ให้เธอมอบคนที่รักที่สุดสนิทที่สุดของเธอไว้ภายใต้เงื้อมือของแพทย์ที่เธอไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของเขาเป็นอย่างไร เธอเองก็คงหวาดระแวงไม่ไว้วางใจ


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานเดินไปกับเยี่ยจยาเซิง สามหน่อต๊องกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง


 


 


เสิ่นตงชิงพูด “ฉันรู้สึกว่ายัยนั่นเก่งสุดๆ ไปเลย”


 


 


เฉินมั่วพยักหน้า “เอ่อพี่ซี นายไม่มีน้ำยาแล้วจริงๆ เหรอ”


 


 


เยี่ยซีมะเหงกหัวเฉินมั่วอย่างแรง ความโกรธพุ่งพรวด “เมื่อกี้ยัยนั่นจงใจยั่วโมโหฉันก็เพื่อเรียกร้องความสนใจ ยัยนั่นโดนความหล่อเหลาของฉันสะกดไว้แล้ว พวกนายดูไม่ออกหรือไง”


 


 


เฉินมั่ว “…”


 


 


เสิ่นตงชิง “…”


 


 


ดูไม่ออกสักกะนิด! ทั้งคู่คิดตรงกัน แต่ไม่มีใครพูดออกมา พวกเขารีบเดินตามเยี่ยซี เข้าไปดูอวี๋กานกานที่กำลังจะตรวจอาการให้แม่เฒ่าเยี่ย


 


 


แม่เฒ่าเยี่ยนอนขดร่างกายที่ค่อนข้างอวบอยู่บนเตียงผู้ป่วย สีหน้าซีดเซียว คิ้วขมวดแน่นเป็นปม ท่าทางเหมือนกำลังอดทนอดกลั้น


 


 


อวี๋กานกานไม่รีบร้อนตรวจชีพจร เธอเปิดอ่านผลการตรวจร่างกายเป็นสิ่งแรก


 


 


เยี่ยจยาเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างถามอย่างร้อนรน “คุณหมออวี๋ เป็นไงครับ ต้องทานยาอะไรถึงจะหายได้เร็วที่สุด”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 232 แพทย์แผนบูรณาการ[1]


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานอ่านผลตรวจเสร็จแล้ว เธอหันไปมองแม่เฒ่าเยี่ย ถาม “ถึงแม้จะรับประทานยาไปแล้ว แต่บางครั้งก็จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาเป็นระยะๆ อย่างไม่มีสาเหตุใช่ไหมคะ”


 


 


แม่เฒ่าเยี่ยไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่พยักใบหน้าที่ซีดเซียว


 


 


อวี๋กานกานไม่ได้ตรวจชีพจร เธอยื่นผลการตรวจส่งคืนให้เยี่ยจยาเซิง กล่าว “อาการของแม่เฒ่าหนักมาก ทางรักษาที่ดีและรวดเร็วที่สุดคือการผ่าตัดค่ะ”


 


 


เยี่ยจยาเซิงอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาเชื่อว่าก่อนหน้าจะมาที่นี่ ผู้จัดการหลี่ว์ต้องเล่าอาการของแม่เฒ่าให้อวี๋กานกานฟังแล้วอย่างแน่นอน แล้วทำไมถึงยังแนะนำให้ผ่าตัด ถ้าหากสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ กับอีแค่ไส้ติ่งอักเสบเขาจะเชิญแพทย์แผนจีนมาที่คฤหาสน์ตั้งมากมายทำไม ตกลงว่าเด็กสาวหญิงคนนี้เป็นแพทย์แผนจีนจริงหรือเปล่า ทำไมถึงไม่ตรวจชีพจรดูสักนิด เมื่อครู่ที่อธิบายอาการให้เจ้าเด็กสองคนนั่น หลงนึกว่าจะพอมีวิชาอยู่บ้าง


 


 


ที่แท้ก็…


 


 


ดูๆ แล้วสิ่งที่เด็กสาวคนนี้พูดไปเมื่อครู่ ทั้งหมดก็แค่เป็นการพูดคาดเดาไปมั่วซั่ว


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์พูดอย่างอึกๆ อักๆ “คุณหมออวี๋ ผมแจ้งคุณหมอแล้วไม่ใช่หรือว่าแม่เฒ่าแพ้ยาชาและยาสลบ ถ้าใช้…”


 


 


อวี๋กานกานพูดตัดบท “แทนที่จะหยุดน้ำเดือดโดยการตักฟอง มิสู้หยิบฟืนใต้เตาออกเสีย[2] อาการของแม่เฒ่าหนักมาก หากรักษาแบบแพทย์แผนจีนต้องใช้เวลานาน อายุของแม่เฒ่าก็มากแล้ว การฟื้นตัวของร่างกายก็จะยิ่งช้าเข้าไปอีก ฉันทราบค่ะว่าแม่เฒ่าแพ้ยาชาและยาสลบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเข้ารับการผ่าตัดไม่ได้”


 


 


เยี่ยจยาเซิง “ทำยังไง ไม่ใช่ยาชาหรือยาสลบในการผ่าตัดเจ็บตายพอดี”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “สมัยนี้ใช้วิธีแบบแพทย์แผนบูรณาการกันหมดแล้วค่ะ ใช้การฝังเข็มเชิงวิสัญญี[3]ร่วมกับการผ่าตัดเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ไม่มีปัญหาค่ะ”


 


 


เยี่ยจยาเซิงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก เขาหันไปมองผู้จัดการหลี่ว์


 


 


แม้ว่าผู้จัดการหลี่ว์จะทำงานอยู่ในสมาคมแพทย์แผนจีน แต่เขาก็เป็นแค่พนักงานฝ่ายบริหารคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าฝังเข็มเชิงวิสัญญีคืออะไร


 


 


เนื่องจากอาการป่วยของคุณย่า ช่วงนี้เยี่ยซีจึงอ่านข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาไม่น้อย แน่นอนว่าเขาเคยค้นหาฝังเข็มเชิงวิสัญญี เยี่ยซีโกรธจนใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นสีเขียว “ฝังเข็มเชิงวิสัญญีเป็นเรื่องหลอกหลวง ระงับความเจ็บปวดไม่ได้ด้วยซ้ำ ใครๆ ก็บอกว่าเหมือนกับผู้หญิงกัดท่อนไม้ไว้ในปากตอนคลอดลูก ประสิทธิภาพพอมีอยู่หรอก แต่สิ่งสำคัญคือความสามารถในการทนเจ็บของคนไข้” พูดพลางใช้นิ้วมือชี้หน้าอวี๋กานกาน “ออกไปเลยนะ ไม่งั้นเธอเจอดีแน่!”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์หน้าซีด ภาพเหตุการณ์นี้ ขอให้อย่าคุ้นตาไปมากกว่านี้เลย เขารีบเดินเข้ามา กล่าว “คุณชายเยี่ย คุณหมออวี๋ไม่มีทางพูดสุดสี่สุดห้าหรอก เธอ…”


 


 


ไม่ต้องรอให้ผู้จัดการหลี่ว์พูดจบ เยี่ยซีถีบเขาเข้าไปเต็มบาทา “คุณก็ไสหัวไป”


 


 


เยี่ยจยาเซิงมองหน้าลูกชายอย่างเหนื่อยหน่าย “เจ้าเด็กบ้านี่สร้างเรื่องอีกแล้ว”


 


 


ทว่าเขาก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับลูกชายของตัวเอง


 


 


อวี๋กานกานถามผู้จัดการหลี่ว์ว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ผู้จัดการหลี่ว์ส่ายหน้า เธอกล่าว “’งั้นพวกเรากลับเถอะค่ะ”


 


 


จะรับฟังหรือไม่ก็ตามใจของพวกเขา


 


 


แม่เฒ่าที่นอนซมอยู่บนเตียง มองหน้าหลานชายด้วยความรักใคร่เอ็นดู เหมือนกับอยากจะบอกหลานชายว่าอย่าโกรธไปเลย ปรากฏว่าขยับร่างกายเพียงนิดเดียวความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมา ทนไม่ไหวจนหลุดร้องโอ้ยออกมา


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยซีเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขานั่งยองๆ ลงข้างเตียง จับมือของย่าไว้ พูดอย่างเจ็บปวด “ย่า ทนอีกวันนะครับ ผมไปเชิญหมอทางเดินอาหารที่เก่งที่สุดมาแล้ว เขาจะมาถึงวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่เจ็บแล้วนะครับ”


 


 


แม่เฒ่ายิ้มอย่างอ่อนแรงให้เยี่ยซี “ย่าไม่เจ็บหรอก”


 


 


เยี่ยซีจีบแขนของคุณย่า พร้อมกับนวดเบาๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายเพื่อบรรเทาความปวด 


 


 


อวี๋กานกานมองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้า ค่อนข้างประหลาดใจ


 


 


 


 


——


 


 


[1] แพทย์แผนบูรณาการ คือ การผสมผสานกันของวิธีการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนปัจจุบัน


 


 


[2] แทนที่จะหยุดน้ำเดือดโดยการตักฟอง มิสู้หยิบฟืนใต้เตาออกเสีย หมายถึง ให้จัดการปัญหาที่ต้นตอ


 


 


[3] การฝังเข็มเชิงวิสัญญี หมายถึง การฝังเข็มให้เกิดอาการชาเพื่อระงับอาการปวดในการผ่าตัด โดยฝังเข็มลงจุดที่เลือกตามแนวเส้นลมปราณ จุดที่เลือกจะอิงจากการวิเคราะห์อาการของโรคและจุดใกล้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม