เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 225-232

 ตอนที่ 225 ตื่นกลัวแปลกๆ


 


 


คนที่ซย่าเสี่ยวมั่วอยากคิดบัญชีมีมากมายเหลือเกิน คนแรกก็คือเหยียนเค่อ คนที่สองก็คือสวีรั่วชี


 


 


หลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้วก็เห็นสวีรั่วชีนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ในห้องไม่มีใครอื่น


 


 


“เธอสารภาพมาซะดีๆ เธอไปรู้จักคนพวกนั้นได้ยังไง แล้วก็สวีอันหรานเป็นพี่ชายเธอเหรอ?” เธอพอจะรู้แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ตอนนี้เพียงแค่อยากได้รับการยืนยันอีกสักครั้ง


 


 


สวีรั่วชีดึงมือที่บีบคอเธออยู่ออกแล้วพยักหน้า ก่อนจะเล่าให้เธอฟัง “สวีอันหรานเป็นพี่ชายฉันเอง ส่วนเหยียนเค่อรู้จักกับฉันมานานแล้ว ตอนนั้นเหยียนเค่อจะปกปิดตัวตนของตัวเอง ก็เลยทำเป็นไม่รู้จักกัน แต่พวกเราไม่ได้อยากจะปิดบังเธอเลยนะ แต่แค่ไม่มีโอกาสอธิบายเท่านั้น”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ยังไม่ทันจะถามต่อก็ถูกสวีรั่วชีกดให้ล้มนอนลงบนเตียงก่อน “ฉันยังไม่คิดบัญชีกับเธอเลยนะ เรื่องที่ตอนนั้นเธอเมาแล้วบอกว่าฉันชอบพี่ชายตัวเอง ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเลย!”


 


 


“เธอขาดการติดต่อไปตั้งแต่วันนั้นยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ!”


 


 


เด็กสาวสองคนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ไร้ซึ่งความทุกข์ไปชั่วขณะ ไม่ไปคิดว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าจะจัดการแก้ไขเรื่องราวทะเลาะวิวาทหลังจากนี้อย่างไร เพียงมีความสุขกับปัจจุบันเท่านั้น


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วออกไป เหยียนเค่อก็ฝืนไว้ไม่ไหวแล้ว ล้มตัวลงบนพื้น


 


 


สวีอันหรานที่อยู่ด้านหน้ารับตัวเขาไว้แล้วถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “มันเป็นอะไร”


 


 


ฉินซื่อหลานอธิบาย “โดนคนเอาเก้าอี้ฟาดหลัง ซี่โครงน่าจะหัก”


 


 


สวีอันหรานและฉินซื่อหลานพาเหยียนเค่อไปส่งที่โรงพยาบาล ทิ้งให้เซ่าหมิงฟ่านและเสิ่นจิ้งเฉินเก็บงาน


 


 


“ฉันพาพวกเขาสองคนไปส่งก่อนนะ” เสิ่นจิ้งเฉินพูดขึ้น ก่อนจะไปดูซย่าเสี่ยวมั่วกับสวีรั่วชี


 


 


เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นซูอี้และฉินจานอยู่ข้างในด้วยจึงวางใจ ไหว้วานให้ซูอี้พาพวกเขาสองคนไปส่ง ส่วนตนจะอยู่ช่วยงานเซ่าหมิงฟ่านที่นี่ แถมยังกำชับเป็นพิเศษ “ส่งกลับบ้านพ่อแม่เลยนะ อย่าไปบ้านตัวเอง ช่วงสองสามวันนี้ก็คอยระวังหน่อย”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า รู้ว่าพี่ชายเขากลัวว่าคนจะมาแก้แค้นทำร้าย ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ดึงตัว


 


 


สวีรั่วชีและฉินจานกลับไป


 


 


ฉินจานไม่คิดว่าซย่าเสี่ยวมั่วกับสวีรั่วชีจะสนิทกัน จึงไม่ได้ขับไล่สวีรั่วชีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทั้งคู่ก็ถือว่าคุยกันถูกคออยู่ในระดับหนึ่ง


 


 


พาสวีรั่วชีไปส่งที่บ้านตระกูลสวีก่อน จึงจะไปส่งซย่าเสี่ยวมั่วกลับบ้าน


 


 


เมื่อถึงบ้านแล้วซย่าเสี่ยวมั่วก็โทรมารายงานเสิ่นจิ้งเฉินว่าปลอดภัยดี ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนแรกจะไปเซ็นสัญญากับอันหร่าน ทำได้เพียงโทรไปยกเลิกนัดอันหรานแล้วอธิบายให้ฟัง


 


 


ฉากทะเลาะวิวาทในวันนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งขดอยู่บนโซฟาโทรหาคุณแม่ซย่า บอกเธอว่าคืนนี้ตนจะนอนที่บ้าน


 


 


คุณแม่ซย่าเมื่อเลิกเรียนก็กลับไปคอนโดของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วพาหมากลับมาก่อน หลังจากกลับมาถึงบ้านก็เห็นลูกสาวของตนนอนเหม่ออยู่โซฟา จึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “วันนี้แกเป็นอะไรไป”


 


 


“วันนี้เจอเรื่องน่ากลัวมาล่ะ” ฉากเหล่านั้นยังคงผุดขึ้นมาในหัวของซย่าเสี่ยวมั่ว เธอรู้สึกหวาดกลัว แต่บอกไม่ได้ถึงสาเหตุของความกลัวนั้น


 


 


คุณแม่ซย่าลูบหลังเธอ “แกไปเจอเรื่องน่ากลัวมาได้ไง”


 


 


เธอเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังคร่าวๆ นั่งขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของแม่ จู่ๆ ก็คิดถึงเหยียนเค่อขึ้นมา


 


 


ในเวลาแบบนี้ ถ้ามีแฟนจะดีแค่ไหนกันนะ


 


 


คุณแม่ซย่าปลอบโยนซย่าเสี่ยวมั่วอยู่สักพักหนึ่ง รู้สึกกังวลใจ “แกไปพักก่อนเถอะ ถ้าไม่สบายตรงไหนก็โรงพยาบาลนะ”


 


 


“ค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วเบ้ปาก ลูบขนหมาอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ


 


 


สวีรั่วชีไม่เห็นฉากคนตีกัน แล้วเธอก็ยังมีสวีอันหรานอยู่ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอะไรมากนัก


 


 


หลังจากกลับบ้านแล้วก็พูดคุยกับพ่อแม่อย่างเจาะลึก


 


 


แล้วก็…งานหมั้นนี้เพิ่งจบลง งานแต่งของเธอกับสวีอันหรานก็ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 226 โรงพยาบาล


 


 


หลังจากเหยียนเค่อถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก เพียงแต่แผ่นหลังบวมขึ้นมาเท่านั้น บริเวณตั้งแต่ไหล่จนถึงเอวปูดบวมเป็นลูกหมั่นโถว


 


 


หลังจากที่เสิ่นจิ้งเฉินและเซ่าหมิงฟ่านจัดการเรื่องเสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงเหยียนเค่อพูดงึมงำอยู่ในลำคอ


 


 


ฉินซื่อหลานทายาห้ามเลือดให้เขาอย่างกลุ้มใจ แถมยังต้องทนฟังเสียงร้องโหยหวนของเหยียนเค่อ


 


 


“เบาหน่อยไม่ได้หรือไง ไม่อ่อนโยนเลย” ข้อมือของเหยียนเค่อหลุด แต่ฉินซื่อหลานต่อให้แล้ว พันผ้าแล้วนอนห้อยแขนอยู่บนเตียง


 


 


“เป็นยังไงบ้างอะ เจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอ”


 


 


“หนักบ้านแกสิ!” ถึงแม้ว่าเหยียนเค่อจะบาดเจ็บเพราะเขา แต่ถึงตอนนี้ฉินซื่อหลานจะเป็นคนเจ็บเองก็คงไม่ร้องโหยหวนแบบเขาแน่นอน “ข้อมือหลุด เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ หลอดเลือดเสียหาย หัวใจและปอดได้รับการสั่นสะเทือน”


 


 


นักเรียนสายศิลป์อย่างเสิ่นจิ้งเฉินได้ยินเข้าก็แทบลมจับ “หนักขนาดนั้นเลย?!”


 


 


ปฏิกิริยาของเขาทำให้แม้แต่เหยียนเค่อก็อดขำไม่ได้


 


 


เซ่าหมิงฟ่านอธิบาย “ไม่หนักเลยสักนิด ก็แค่เลือดออก”


 


 


“เอ่อ…” เสิ่นจิ้งเฉินยังคิดตามไม่ทัน


 


 


ฉินซื่อหลานหมดคำพูด “มันก็แค่หลังบวม ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก เจ็บแค่นี้มากสุดรักษาอาทิตย์หนึ่งก็หายแล้ว”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินพยักหน้า ก่อนจะค่อนแขวะเหยียนเค่อ “แล้วทำไมมันร้องเสียงแหลมอย่างนั้นล่ะ”


 


 


“ให้ใครมาทายาให้มันก็แหกปากร้องเสียงแหลมเหมือนกันแหละ” ฉินซื่อหลานยักไหล่ “แต่ถ้าเป็น


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก็คงไม่แหกปากร้องไม่รักษาภาพลักษณ์แบบนี้หรอกมั้ง”


 


 


เหยียนเค่อที่ถูกจี้ใจดำกระแอมอย่างขัดเขิน มุดหน้าลงกับเตียง


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินยิ้มหน้าเนื้อใจเสือ “ฝันไปเถอะ ฉันส่งซย่าเสี่ยวมั่วกลับบ้านไปตั้งนานแล้ว”


 


 


เมื่อพวกเขาด่ากันจนพอแล้ว สวีอันหรานจึงเอ่ยเตือน “พวกนายก็ระวังตัวด้วย ตอนนี้ขาหลี่หมิงฉวียังเจ็บอยู่เลย”


 


 


ฉินซื่อหลานยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “กระดูกแตกละเอียด แต่ถ้าต่อแล้วก็ไม่เป็นไร”


 


 


ส่วนคนอื่นที่เหลือมองเหยียนเค่อด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ต้องแค้นขนาดไหนถึงจะเล่นถึงตายขนาดนี้


 


 


ฉินซื่อหลานรายงานอย่างละเอียด “หลี่หมิงฉวีขาข้างหนึ่งกระดูกแตกละเอียด อีกข้างหลุดออกมา ข้อมือกับไหล่หลุด”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินอยู่ใกล้สวีอันหราน ในใจก็หวาดผวา “โชคดีที่ฉันไม่ใช่เขา ปกติไอ้รองยอมฉันจะตาย”


 


 


บริษัทสื่อและความบันเทิงอย่างซิงอี้และฮุยเถิงต่างก็ควบคุมข่าวมือหนึ่งไว้ในมือ จึงนำข่าวที่ตระกูลสวีและตระกูลฉู่ยกเลิกแต่งงานตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์รายใหญ่โดยรวดเร็วที่สุด โจมตีฉู่อวิ๋นที่มาสายในวันหมั้น คุณชายใหญ่ตระกูลสวีโมโหจึงทำร้ายร่างกายเขาจนต้องเข้าโรงพยาบาล


 


 


ส่วนเรื่องที่มีคนตีกันก็ถูกแต่ละตระกูลยับยั้งเอาไว้ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไร ความแค้นส่วนตัวก็ชำระกันโดนส่วนตัว


 


 


สวีอันหรานพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก คิดถึงสวีรั่วชีจึงกลับบ้านไปก่อน


 


 


คนที่เหลืออีกสามคนต่างก็อยู่เฝ้าพี่รองที่โรงพยาบาล


 


 


เหยียนเค่อนอนคว่ำอยู่บนเตียง บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “ตอนแรกบอกให้สวีอันหรานอย่าวู่วาม แต่ตอนนี้ เจ้าของเรื่องปกติดี แต่ทำไมมีแค่ฉันที่ต้องมานอนเป็นผักอยู่บนเตียงด้วย!”


 


 


“นายเป็นคนเริ่มก่อนงั้นเหรอ” เซ่าหมิงฟ่านไม่รู้จะอธิบายอย่างไร


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินแสดงออกว่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่กล้าคุยกับพี่รอง


 


 


ฉินซื่อหลานออกแรงทายาให้เขาอยู่ ไม่ว่างมาตอบปัญหาปัญญาอ่อนของเขา


 


 


“น้องแกสิ เบาหน่อยได้ไหมวะ!” เหยียนเค่อรู้สึกว่าไหล่ขวาปวดจี๊ด ทำให้แขนของเขาอ่อนแรงไปในทันที


 


 


เมื่อพูดถึงน้อง เสิ่นจิ้งเฉินก็นึกถึงซย่าเสี่ยวมั่ว จึงเอ่ยขึ้น “ซย่าเสี่ยวมั่วชอบโซฟาตัวหนึ่งจะให้ฉันซื้อให้ งั้นฉันไม่อยู่ต่อแล้วนะ”


 


 


“หืม?” เหยียนเค่อหันหัวไปมองเขา “ทางที่ดีอย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ กับยายนั่น”


 


 


เพิ่งทำตาขวางใส่ รอยบวมปูดบนกระดูกสันหลังก็โดนกดเข้าอย่างแรง ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที



ตอนที่ 227 ความคิดที่ย้อนแย้ง


 


 


“ทำไมถึงจุ้นจ้านขนาดนี้” เสิ่นจิ้งเฉินจงใจงัดความลับจากปากเขา “นายไม่ชอบซย่าเสี่ยวมั่วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงห้ามไม่ให้คนอื่นชอบซย่าเสี่ยวมั่วทุกทีเลยล่ะ”


 


 


เหยียนเค่อร้องเหอะอย่างแง่งอน “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย!”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเองก็ร้อง เฮอะ ออกมาเหมือนเด็กเช่นกัน “แล้วถ้าฉันไปซื้อโซฟาให้เขาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”


 


 


ฉินซื่อหลานกับเซ่าหมิงฟ่านมองคนนิสัยเด็กทั้งสองโดยไม่พูดอะไร


 


 


ถ้าเจ้าสองคนนี้ทำตัวปัญญาอ่อนขึ้นมา แม้แต่เด็กสามขวบก็สู้ไม่ได้


 


 


“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!”


 


 


“เขาให้ฉันซื้อให้ นายจะให้ฉันบอกมั่วมั่วว่า ‘เหยียนเค่อไม่ให้ฉันซื้อโซฟาให้เธอ’ งั้นเหรอ”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ถ้าสองคนนี้มีใจให้กัน เขาก็ยอมช่วยให้สมหวังได้


 


 


เมื่อสิ้นเสียง ความเงียบก็เข้าปกคลุมอยู่นาน ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา เสิ่นจิ้งเฉินยังนึกว่าวันนี้จะงัดความลับออกมาจากเขาไม่ได้แล้วกำลังจะขอตัวกลับ


 


 


เหยียนเค่อมุดหน้าลงกับหมอนเป็นนกกระจอกเทศอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เดี๋ยวฉันไปซื้อให้เขาเอง”


 


 


“จิ๊”


 


 


แม้แต่เซ่าหมิงฟ่านได้ยินประโยคนี้แล้วก็ประหลาดใจเช่นกัน เสิ่นจิ้งเฉินที่นั่งอยู่ข้างตนกำลังจะลุกขึ้นยืนถึงกับทำหน้าตาไม่อยากจะเชื่อ


 


 


“น…นายจะไปซื้อให้เขาเหรอ”


 


 


“เออ!” เหยียนเค่อตอบกลับน้ำเสียงฉุนเฉียว


 


 


แผนของเสิ่นจิ้งเฉินสำเร็จแล้ว จึงโอบเซ่าหมิงฟ่านแล้วพูดขึ้น “ประหยัดเงินไปได้หนึ่งอย่าง เดี๋ยวไว้ว่างๆ แล้วจะเลี้ยงข้าวแล้วกันนะ มานัดเจอกันหน่อย”


 


 


เซ่าหมิงฟ่านชนหมัดกับเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายเอาเงินจากไอ้รองมาเลี้ยงพวกเราเลย”


 


 


เหยียนเค่อในใจยังคงวุ่นวายสับสน มุดหัวลงกับหมอนไม่สนใจพวกเขา


 


 


วันนี้ตอนที่ได้เห็นซย่าเสี่ยวมั่วอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่น ปฏิกิริยาของเขาก็ผิดแผกไปจากปกติ อยากดึงซย่าเสี่ยวมั่วเข้ามาแล้วสับมือหลี่หมิงฉวีทิ้งเสีย ตอนเดินเข้าไปหาถึงจะควบคุมอารมณ์ไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังดื่มไปเสียเยอะขนาดนั้น ซึ่งผิดปกติเป็นอย่างมาก


 


 


แล้วก็นะ ทำไมซย่าเสี่ยวมั่วถึงยอมให้คนอื่นกอดง่ายขนาดนั้นกันเล่า! ถ้าโดนคนไม่ดีฉุดไปก็คงไม่รู้ตัวเลยมั้ง ยายโง่นั่น!


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกว่าสมองของตนยุ่งเหยิงไปหมด จับจุดไม่ได้เลยสักนิด โบกมือให้พวกเขาอย่างหงุดหงิด “พวกนายจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาเฝ้าฉันแล้ว”


 


 


ฉินซื่อหลานทายาให้เหยียนเค่อเสร็จ ก็ลุกขึ้นยืนผลักเสิ่นจิ้งเฉินกลับไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะลาก


 


 


เซ่าหมิงฟ่านวิ่งออกไป “ถ้าไอ้รองอารมณ์ฉุนเฉียวจะได้มาลงกับนายได้”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองคนทั้งคู่ที่วิ่งหนีหายออกไปแล้ว ก็ยอมนั่งเล่นโทรศัพท์ต่อไป


 


 


คนโง่อย่างซย่าเสี่ยวมั่วยังคงคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้นอย่างหวาดผวา


 


 


คนกลุ่มใหญ่ถูกต่อยตีจนล้มนอนลง บนพื้นเละเทะไปหมด แม้แต่ของตกแต่งที่แขวนอยู่บนฝ้าเพดานก็โดนคนตีจนแตก


 


 


ตอนที่ได้เผชิญหน้ากับฉากนั้นจริงก็รู้สึกสะใจ แต่เมื่อเรื่องจบแล้วก็รู้สึกปวดหัว


 


 


“มั่วมั่ว แกไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวตอนกินข้าวฉันไปเรียก” คุณแม่ซย่าเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเธอแล้วก็โบกมือไล่ ไม่บ่นอะไรเธออีก


 


 


“ค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินขึ้นห้อง ไม่ง่วงเลย แต่รู้สึกไม่สบายใจ ทำได้เพียงวาดรูปเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินนั่งอยู่บนโซฟารู้สึกง่วงนิดหน่อย ดึงผ้าห่มมานอนหลับลงบนโซฟา


 


 


เหยียนเค่ออดกลั้นอยู่นาน ก่อนจะถามขึ้นอย่างกระมิดกระเมี้ยน “นายว่าฉันชอบซย่าเสี่ยวมั่วเหรอ” รออยู่นานก็ไม่มีคนตอบเขา


 


 


“หืม?” เขาหันไปมองเสิ่นจิ้งเฉินปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร เขากลุ้มใจอยู่สักพัก ก่อนจะกอดหมอนแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราเช่นกัน


 


 


‘ยังจำประโยคในเรื่อง ‘Gossip Girl’ ได้ไหม ถ้าคนสองคนถูกกำหนดมาให้อยู่ด้วยกันแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็จะตามหาเส้นทางเพื่อกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งจนเจอ’


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเขียนเกริ่นแนะนำลงบนภาพปกที่เพิ่งวาดเสร็จของหนังสือเล่มนี้ ก่อนจะส่งให้ฉินจาน


 


 


นี่เป็นหนังสือเล่มใหม่ของฉินจาน ที่ให้ซย่าเสี่ยวมั่วช่วยวาดหน้าปกให้


 


 


ฉินจานชื่นชมเธออย่างให้เกียรติ “สไตล์ของภาพเธอสวยมากเลย ตอนที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์แล้วฉันต้องเอารูปนี้มาทำเป็นโปสเตอร์แน่นอน”


 


 


“ขอบคุณนะ” วาดอยู่ค่อนวัน ซย่าเสี่ยวมั่วสบายใจขึ้นไม่น้อย ยืดตัวบิดขี้เกียจ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 228 ตระกูลเสิ่นแห่งเมืองหลวง


 


 


‘เมื่อถูกกำหนดมาให้อยู่ด้วยกันแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็จะตามหาเส้นทางเพื่อกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งจนเจอ’ งั้นเหรอ?


 


 


ถ้าอย่างนั้นเหยียนเค่อกับคู่หมั้นของเขาคือคนที่กำหนดมาให้อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ เธอยังจำผู้หญิงที่วันนั้นใส่ชุดสีเดียวกับเธอ หน้าตาสะสวยคนนั้นได้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นลูกคุณหนูผู้ดี ทุกท่วงท่ากิริยามารยาทเป็นธรรมชาติ รู้จักกาลเทศะ


 


 


ที่แท้เขาก็ชอบผู้หญิงแบบนั้นเองเหรอ


 


 


ก็ใช่ เขาชอบผู้หญิงที่หุ่นเซ็กซี่มีความเป็นผู้หญิงสูงนี่นะ…


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนึกไปถึงหน้าอกของผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มทะลึ่ง แต่เมื่อรอยยิ้มเลือนหายไปแล้ว ก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าหงอยเหงา ผู้หญิงคนนั้นกับเหยียนเค่อเป็นไปได้สวยก็ดี แล้วคู่แท้ของเธออยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย


 


 


เหยียนเค่อที่ถูกอิจฉากำลังฟังคำพูดทักทายอย่างห่วงใยจากคู่หมั้นของตนอยู่


 


 


“นายเป็นยังไงบ้าง คุณน้าคุณอาให้นายกลับบ้านเย็นนี้” สวีอิ๋งอิ๋งแอบหัวเราะในใจ กลับบ้านแล้วต้องโดนดีแน่นอน


 


 


เหยียนเค่อยังไม่ทันตื่นเต็มตาดีก็โดนคนปลุกขึ้นเสียก่อน ขณะกำลังวุ่นวายใจ เห็นสวีอิ๋งอิ๋งแล้วก็รู้สึกเหมือนตาจะบอด คำรามเสียงต่ำตอบกลับ “ใครให้เธอเข้ามา!”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินเสียงก็ตื่นเช่นกัน สะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวออกหน้านิ่ง เห็นเหยียนเฟิงที่ยืนพิงอยู่ที่กรอบประตูกับสวีอิ๋งอิ๋งที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที มองใบหน้าของสวีอิ๋งอิ๋งแล้วแอบเหยียดในใจ ‘ซย่าเสี่ยวมั่วสวยกว่าผู้หญิงคนนี้เยอะเลย’


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินกลัวเหยียนเค่อจะโมโห ก็ตอบแทน “วันนี้ไม่ได้หรอก น่าจะต้องอยู่โรงพยาบาลอีกอาทิตย์หนึ่ง ซี่โครงหักสองท่อน ข้อมือก็หักเหมือนกัน” เขาจงใจพูดให้อาการหนักเข้าไว้ก่อน


 


 


สีหน้าของสวีอิ๋งอิ๋งตื่นตระหนก ถามขึ้นอย่างห่วงใย “สาหัสขนาดนั้นเลยเหรอ นายต้องรักษาตัวดีๆ นะ” แต่แอบสะใจ สมน้ำหน้าที่เจ็บหนักขนาดนั้น


 


 


แต่เสิ่นจิ้งเฉินเห็นว่ามุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นทันทีเมื่อฟังจบ ถึงแม้ว่าจะปกปิดอย่างดีก็ตาม แต่ปฏิกิริยาแรกเป็นสิ่งที่ไม่ได้ปกปิดกันง่ายๆ


 


 


“ขอบใจที่เป็นห่วงนะ เหยียนเค่อต้องการพักผ่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปก่อนเถอะ” เสิ่นจิ้งเฉินเห็นเหยียนเค่อมุดตัวอยู่ในผ้าห่มแสร้งทำเป็น ‘ยังไม่ตื่น’ แล้วก็ยกมุมปากขึ้น ช่วยไล่พวกเขาไปให้


 


 


“ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ” สวีอิ๋งอิ๋งยิ้มให้เสิ่นจิ้งเฉินอย่างมีมารยาท สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกไปกับเหยียนเฟิง


 


 


“แม่ง นั่นพี่ชายนายแท้ๆ หรือเปล่าน่ะ ไม่ถามสักคำ” เสิ่นจิ้งเฉินอดค่อนแคะไม่ได้


 


 


เมื่อครู่เหยียนเฟิงยืนพิงอยู่ตรงนั้นราวกับไม่ใช่เรื่องของตน ไม่แม้แต่ชายตามองเลยสักนิด คิดๆ ดูแล้วเขากับเสิ่นมั่วหลีก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันเสียหน่อย แต่ถ้าพี่ชายเป็นหวัดมีไข้ไม่สบาย เขาก็จะไปเยี่ยมพี่เขาเสมอ เหยียนเค่อเจ็บหนักขนาดนี้ แต่พี่ชายแท้ๆ กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเขาเป็นอย่างมาก


 


 


“เขาคงอยากให้ฉันโดนตีตายจนตัวสั่น” เหยียนเค่อพูดตามตรง


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินลูบหัวเขาแล้วเอ่ยอย่างเห็นใจ “เด็กน้อยผู้น่าสงสาร”


 


 


เหยียนเค่อโมโห “ลูบหาอะไรวะ!”


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งนึกไปถึงหนุ่มหล่อที่คอยดูแลเหยียนเค่อแล้วถามเหยียนเฟิง “ผู้ชายคนนั้นคือใครเหรอคะ ทำไมไม่เคยเจอเลย”


 


 


ตอนที่เหยียนเฟิงเห็นเสิ่นจิ้งเฉินก็ประหลาดใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าคนตระกูลเสิ่นคนนี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไร


 


 


“เขาเป็นลูกชายคนรองของตระกูลเสิ่น”


 


 


“ตระกูลเสิ่น?” สวีอิ๋งอิ๋งกวาดหาข้อมูลในสมองแต่กลับไม่รู้ข้อมูลของบ้านนี้เลย


 


 


“ตระกูลนี้ไม่ทำธุรกิจ เป็นพวกบัณฑิตมีความรู้ มีรากฐานอยู่ที่เมืองหลวง” เหยียนเฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คลื่นอันเ**้ยมโหดนั้นซัดสาดอยู่ในใจมานานแล้ว


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเคยได้ยินมาบ้างนิดหน่อย พยักหน้าแล้วไม่ได้เก็บมาคิดอะไรอีก


 


 


เหยียนเฟิงเห็นเธอฟังจบแล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็รู้ว่าเธอไม่ได้เก็บเรื่องของตระกูลเสิ่นมาคิด


 


 


ตระกูลบัณฑิตที่ไม่รู้ว่าดำรงอยู่มานานกี่ปีแล้วแบบนั้น หนังสือต้นฉบับที่มีอยู่เพียงเล่มเดียวบนโลกสภาพไม่สมบูรณ์สักเล่มก็สามารถเทียบได้กับทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาได้แล้ว แถมยังมีอิทธิพลอยู่ในเมืองหลวงที่สลับซับซ้อนอีก มีแค่ผู้หญิงที่มีแต่เงินในสายตาอย่างสวีอิ๋งอิ๋งเท่านั้นแหละที่ไม่เก็บมาใส่ใจ



ตอนที่ 229 ต้นฉบับ  


 


 


“ลูกคนรวยไม่ทำงานทำการอย่างเหยียนเค่อนั่น รู้จักคบแต่เพื่อนแบบนี้ ไม่มีความทะเยอทะยานเลยสักนิด จะรับผิดชอบภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงอย่างการสืบทอดธุรกิจของเหยียนกรุ๊ปได้ยังไง” สวีอิ๋งอิ๋งม้วนสายกระเป๋า พูดขึ้นอย่างเข้าใจว่าความคิดเห็นของตนถูกต้อง 


 


 


เหยียนเฟิงพยักหน้า ถ้าเธอคิดแบบนี้ได้ก็ดีมากๆ ถือโอกาสเอ่ยขึ้น “ใช่ ฉันสอนเขาหลายทีแล้ว แต่เขาไม่ฟังที่ฉันปรามเลย” 


 


 


หัวใจของสวีอิ๋งอิ๋งเชื่ออย่างหนักแน่นว่าเหยียนเฟิงเป็นคนดี และเหยียนเค่อช่างเลวเกินไป 


 


 


เหยียนเค่อกินแกงฟักรสชาติจืดชืด คิดถึงคราวก่อนที่เข้าโรงพยาบาลก็ได้กินเจ้านี่เช่นกัน แถมเขายังทะเลาะกับซย่าเสี่ยวมั่วด้วย…ทำไมพอไม่มีซย่าเสี่ยวมั่วแล้วแกงฟักถึงรสชาติแย่ลงกว่าเดิมแบบนี้ล่ะ… 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเห็นสีหน้าเศร้าหงอยของเขา ก็เอาน่องไก่ในกล่องของตนยื่นให้เขาเงียบๆ “พี่ เอาเนื้อไปกินเถอะ แล้วช่วยเปลี่ยนสีหน้าหน่อย” 


 


 


“ไม่เปลี่ยน!” เหยียนเค่อไม่มองสักนิด ค่อยๆ ซดน้ำแกงคำเล็กทีละคำ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินก็จนปัญญา ไม่รู้ว่าเทพเจ้าท่านนี้มีเรื่องอะไรให้ไม่พอใจอีก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ววาดรูปอยู่ค่อนวัน ความทรงจำไม่ดีในสมองต่างก็ถูกกำจัดไปบ้างแล้ว ไม่รู้สึกหวาดกลัวเท่าเดิมแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จก็นัดอันหร่านไปเซ็นสัญญาพรุ่งนี้ 


 


 


เพราะว่าเธอมีลางสังหรณ์ ว่าถ้าไม่รีบเซ็นสัญญาให้เร็วที่สุดละก็ จะมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้เธอล้มเลิกการเซ็นสัญญา ดังนั้นก็จัดการให้มันเสร็จไปเลย ถ้าจะต้องมานั่งเสียใจก็ค่อยว่ากันทีหลัง 


 


 


อันหร่านเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง พูดกระตุ้นอีกครั้ง “ถ้าเธอกล้าเทฉันอีกรอบฉันจะไปหาแล้วบังคับให้เธอเซ็นชื่อแล้วนะ” 


 


 


“จ้าๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอาหน้าปกและโปสเตอร์โปรโมตของการ์ตูน ‘ตามหาหงส์ในใต้หล้า’ ส่งให้อันหร่าน “วันนี้ฉันมีไฟเลยวาดเตรียมไว้หมดแล้ว เธอลองดูว่าผ่านไหม” 


 


 


อันหร่านได้รับอีเมลจากเธอก็กดเปิดดู 


 


 


โปสเตอร์การ์ตูนของคนอื่นปกติแล้วถ้าไม่กอดก็ต้องเป็นจูบ ชุดที่ใส่ถ้าไม่ใช่ชุดแต่งงานก็ต้องเป็นชุดคู่ แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับทำแตกต่างจากชาวบ้านเขา 


 


 


บนโปสเตอร์ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ วาดผู้ชายในชุดลำลองใส่อยู่บ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ผู้หญิงอีกคนสวมชุดนอนตัวหลวมโคร่งนั่งกัดแอปเปิลดูโน้ตบุ๊กอยู่บนพื้นตรงปลายเท้าของเขา 


 


 


ความคิดสร้างสรรค์ดี สไตล์ของภาพก็อบอุ่นน่ารัก อันหร่านพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าของสองคนนี้แล้วก็อดจะค่อนแขวะไม่ได้ “ผู้ชายแบบนี้มาชอบเธอได้ยังไงเนี่ย!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจเศร้าๆ “ก็ใช่น่ะสิ เขาไม่ชอบฉัน ดังนั้นตอนจบของการ์ตูนเรื่องนี้น่าจะเป็น หงส์ตัวผู้ตามหาหงส์ตัวเมียไปทั่วทุกทิศ แต่ดันติดเข้ากับกิ่งต้นอู่ถงระหว่างทาง สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องราวความรักที่เงียบสงบแต่งดงามของหงส์ตัวผู้กับกิ่งต้นอู่ถง” 


 


 


อันหร่านหมดคำพูด เอ่ยเตือนขึ้น “โปรโมตให้เป็นความรักอันแสนหวานที่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ถ้าเธอกล้าเขียนให้เป็นโศกนาฏกรรมละก็รอรับมีดจากฉันได้เลย ไม่มีวันได้รับอนุมัติจากฉันแน่นอน!” 


 


 


“ฉันจะหน้าด้านหน้าทนเขียนตอนจบที่ดีให้เธอก็แล้วกันนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วยอมแพ้ “ฉันรับรองว่าคุณจะต้องพอใจแน่นอนค่ะ” 


 


 


อันหร่านได้รับคำตอบรับประกันแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะรายงานสถานการณ์ในสงครามล่าสุดให้ซย่าเสี่ยวมั่วฟัง “เซียวอู๋อี้หมดสัญญาแล้ว แต่บริษัทไม่ได้ต่อสัญญากับเขา ถ้าเธอมาละก็ ตำแหน่งเจ๊ใหญ่เบอร์หนึ่งกำลังรอเธออยู่นะ!” 


 


 


“ฉันไม่สนใจ” 


 


 


“หมูที่ไม่อยากเป็นหมูที่อ้วนที่สุดไม่ใช่หมูที่ดี!” อันหร่านพูดอย่างเกลียดชัง “เขาคบกับคนใหม่ที่มีภูมิหลังยิ่งกว่าหัวหน้าบก.คนนั้นคนหนึ่ง น่าจะตั้งใจเป็นกิ๊กชาวบ้านอย่างเต็มตัวแล้วมั้ง เรื่องขึ้นศาลก่อนหน้านี้เขาขอให้มาปรับความเข้าใจกันโดยส่วนตัว แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยังจำเสียงของเขาในตอนที่เธอโทรไปหาเมื่อก่อนหน้านี้ได้ดี เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “แล้วแต่เธอ แต่อย่าทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาแปดเปื้อนล่ะ” 


 


 


“โอ้โห เธอพูดแบบนี้แล้วดูเป็นผู้ดีมากเลย!” อันหร่านรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องราวอันซับซ้อนนี้ “ฉันไม่บีบคั้นเขาเกินไปหรอก แค่เขายอมขอโทษก็พอ ฉันไม่เชื่อว่าหลายข้อนี้จะไม่มีข้อไหนเลยที่เขาไม่มีความผิดน่ะ!” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 230 การพูดคุยในยามค่ำคืน 


 


 


เมื่อวางสาย เธอกดเปิดเวยปั๋ว ข้อวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตก็ประดังประเดเข้ามาหาเธอทันที 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นพวกคอมเม้นท์ที่ร้ายกาจไม่น่าดู ก็อดโพสต์เวยปั๋วไม่ได้ 


 


 


[โพสต์นี้ไม่เพียงแต่อยากบอกคนที่ด่าฉันเท่านั้นนะคะ แต่อยากบอกคนที่ด่าคนอื่นด้วย ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องการใช้คำและกิริยาท่าทางด้วยค่ะ คนเราต่างก็มีพ่อแม่เลี้ยงดูเหมือนกันนะคะ การด่าคนอื่นไม่ได้ทำให้คุณดูดีโดดเด่นไปกว่าคนอื่นเลย แต่แสดงให้เห็นว่าการอบรมสั่งสอนที่คุณได้รับมันต่ำเอามากๆ] 


 


 


เธอยังจำได้ว่าในตอนนั้นตนเคยถูกคำพูดเหล่านี้ทำร้ายจนเจ็บปวดไปทั้งกายใจ ไม่ว่าจะกับศัตรูหรือกับตัวเธอเองก็ตาม เธอไม่อยากเห็นพูดเหล่านั้นอีก 


 


 


นี่เป็นโพสต์แรกตั้งแต่ที่เธอและเซียวอู๋อี้ทะเลาะกันอีกเป็นครั้งที่สอง นางฟ้าตัวน้อยใต้คอมเม้นท์เห็นโพสต์นี้ต่างก็ฮือฮา พากันเข้ามาชื่นชมในตัวซย่าเสี่ยวมั่ว แน่นอนว่ามีคำพูดที่แอนตี้แฟนบอกว่า 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ว ‘แอ๊บใส’ ’สตอร์เบอร์รี่’ ทำนองนี้อยู่ไม่น้อย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโพสต์อีกครั้งด้วยรูปโปสเตอร์โปรโมทและภาพหน้าปก ก่อนจะไปอาบน้ำนอน 


 


 


เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ถ้าเธอยังนอนไม่หลับอีกแสดงว่าน่าจะเป็นโรคแล้วล่ะ 


 


 


หลังฉินซื่อหลานเลิกงานแล้วก็ไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่ห้องผู้ป่วยสักหน่อย เสิ่นจิ้งเฉินยังนึกว่าตัวเขาจะได้ปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว ก็เห็นว่าฉินซื่อหลานแสร้งทำเป็นขีดๆ เขียนๆ ลงบนบันทึกขึ้นวอร์ด ก่อนจะสั่งกำชับเขาราวกับคนไม่รู้จักกัน “ดูแลผู้ป่วยดีๆ นะครับ ถ้าผู้ป่วยต้องการอะไร ญาติก็ช่วยสนองความต้องการอย่างเต็มที่ด้วยนะครับ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉิน “…” ก็ได้ ตัวเขาก็ถือว่าเป็นญาติไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลานชายของเขายังต้องหวังพึ่งให้ไอ้หมอนี่ผลิตขึ้นมาอยู่ 


 


 


ทำได้เพียงมองฉินซื่อหลานจากไปอย่างสง่างามตาปริบๆ 


 


 


ชายหนุ่มสองคนนอนกลางวันจนอิ่มแล้ว พอถึงตกกลางคืนก็นั่งตาสว่างด้วยกัน 


 


 


“นายว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะมาเยี่ยมฉันไหม” เหยียนเค่อนั่งอยู่บนเตียง จะนอนก็ไม่ได้ เอนพิงก็ไม่ได้ ทำได้เพียงเล่นนิ้วมือตัวเองอย่างเบื่อเซ็ง 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับของเดือนไหนปีไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะตอบเขา “ถ้ามาเยี่ยมนายน่าจะไม่ เขาน่าจะไปเยี่ยมหลี่หมิงฉวีมากกว่า” 


 


 


แล้วเสิ่นจิ้งเฉินก็พูดถูกเสียด้วย ก่อนที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะหลับ ในหัวยังลังเลว่าจะไปเยี่ยมหลี่หมิงฉวีที่โรงพยาบาลสักหน่อยดีไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจเป็นคนไม่มีมารยาทสักครั้ง ทำเป็นว่าเธอไม่รู้เรื่องว่าเขาเข้าโรงพยาบาลแล้วกัน 


 


 


ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นโดยสมบูรณ์แบบ คนที่ไม่อยากมีเรื่องก็ยอมแพ้ไปเอง ส่วนคนที่อยากมีเรื่อง อยากแก้แค้นต่างก็กำลังคิดหาวิธี 


 


 


แต่คนที่น่าจะร้อนใจกว่าใครกลับกำลังทอดถอนใจอย่างโศกเศร้า 


 


 


“ฉันทำไปเพื่อใครวะเนี่ย โคตรใจร้ายเลย” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินร้องเหอะ “ใครจะไปรู้ว่านายทำไปเพื่อใคร นายควรคิดก่อนเถอะว่าจะรับมือกับพี่ชายนายยังไง” 


 


 


ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะถูกใส่สีตีไข่อย่างไรบ้าง 


 


 


เหยียนเค่อมองดูโทรศัพท์ที่ถูกปิดเครื่อง เลียนเสียงพ่อของตน “ไอ้เด็กนั่นคิดว่าตัวเองกี่ขวบกันหา จะสามสิบอยู่แล้วยังก่อความวุ่นวายแบบนี้อีก! ถ้าไม่สั่งสอนมัน มันก็คงไม่รู้ว่าตัวเองใช้นามสกุลอะไรอยู่!” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองคนที่เรียกร้องความสนใจแล้วแอบขำ 


 


 


เหยียนเค่อแบมืออย่างจนปัญญา ถามเองตอบเอง “แต่ผมไม่อยากใช้นามสกุลเหยียนนี่ครับ” หันไปมองเสิ่นจิ้งเฉิน “พ่อนายสอนนายแบบนี้หรือเปล่า” 


 


 


“ฉันไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกเหมือนนายนะ” เสิ่นจิ้งเฉินลูบคางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ปกติแล้วพ่อฉันจะพูดว่า ดูพี่ใหญ่ซิ…แล้วก็พูดข้อดีมาเป็นชุดใหญ่ จากนั้นก็บอกว่า แล้วดูแกซิ…แล้วก็ถล่มข้อเสียใส่เป็นชุดใหญ่” 


 


 


“ก็จริง นายโง่ปานนั้น จะมาเทียบกับฉันได้ยังไง” เหยียนเค่อทอดถอนใจแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม  “ถ้าพระเจ้าประทานพี่ชายฉันมา แล้วทำไมต้องมีฉันขึ้นมาด้วยนะ ฉันไม่อยากแข่งกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ชอบขี้หน้าฉันอยู่ดี” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินโดนเขาด่าเต็มๆ เห็นเรื่องของครอบครัวที่ทำธุรกิจก็ยิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงไม่ออกความเห็น เพียงแต่ฟังเหยียนเค่อบ่นเท่านั้น จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งจึงพูดขัดเขาขึ้น “นายกับซย่าเสี่ยวมั่วไปถึงขั้นไหนกันแล้ว” 


 


 


ไม่พูดถึงจะยังดีกว่า พอพูดขึ้นมาแล้วเหยียนเค่อก็อดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว 


 


 


น้ำเสียงกลัดกลุ้มมากขึ้น “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นแหละ…” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเบาใจ ถ้าเหยียนเค่อกล้าทำเรื่องผิดผีลงไปละก็ เสิ่นมั่วหลีเอาเขาตายแน่นอน 



ตอนที่ 231 เซ็นสัญญา 


 


 


ตึกใหญ่ของฮุยเถิงสูงสง่าและโอ่อ่า ตั้งอยู่ในเขตรุ่งเรืองทางการค้าใจกลางเมือง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วโดนแม่พามาส่งด้วยความหวังดี มองตึกสูงตั้งตระหง่านแล้วก็ตัวสั่น 


 


 


“อันหร่าน ฉันมาถึงด้านล่างตึกแล้ว” 


 


 


“โอเคๆ เดี๋ยวฉันลงไปรับเลย” 


 


 


อันหร่านเพิ่งประชุมตอนเช้าเสร็จ กินบิสกิตรองท้องไปสองชิ้นก่อนจะลงมารับซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


“ฉันอยู่ชั้นหก ต่อไปเธอก็น่าจะอยู่ชั้นเดียวกับฉันเหมือนกัน” 


 


 


“เธอโดนซื้อตัวไปแล้วใช่ไหม ทำไมถึงดูมีมาดแบบนี้ล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า 


 


 


อันหร่านมองคนที่โดนประจบก็ยังไม่รู้ตัวแล้วก็ได้แต่กลอกตา “เดี๋ยวเธอก็รู้เอง มีคนมารอในห้องทำงานฉันด้วย เรารีบเข้าไปกันเถอะ” 


 


 


เมื่ออันหร่านเปิดประตู ซย่าเสี่ยวมั่วก็เห็นคนที่นั่งอยู่ด้านใน ร้อง “อ้าว” ออกมาอย่างประหลาดใจ 


 


 


ฉินจานก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์มามองซย่าเสี่ยวมั่วเช่นกัน แต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ยื่นมือมาหาเธอ 


 


 


“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้” 


 


 


“อีอีให้ฉันมาช่วยเซ็นสัญญาให้น่ะ เขาอยากได้ลิขสิทธิ์หนังสือเล่มที่แล้วของเธอ” 


 


 


“ต้องมานั่งรอฉันเลยเนี่ย ทำไมเธอไม่บอกฉันก่อนล่ะ ฉันเซ็นแล้วจะได้ส่งไปให้” ซย่าเสี่ยวมั่วรับหนังสือสัญญาในมือของเธอมา ยังไม่ทันได้ดูก็เซ็นชื่อลงไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


อันหร่านเห็นว่าเป็นคนรู้จักของซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้ดูเหินห่างเหมือนในตอนแรก นำเอกสารสัญญาที่เตรียมไว้มาวางข้างๆ ซย่าเสี่ยวมั่ว ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อ “อันนี้ก็ไม่ต้องดูแล้ว เซ็นชื่อไปเลย” 


 


 


“เธอไม่กลัวว่าฉันจะเอาเธอไปขายหรือไง” ฉินจานเอาหนังสือสัญญาเคาะหัวเธอเบาๆ 


 


 


“กลัวสิ” ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบสัญญาที่อันหร่านร่างไว้มาดูอย่างละเอียด ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก จึงเซ็นชื่อยินยอม 


 


 


“วันนี้ว่างไหม ถ้าว่างออกไปกินข้าวกัน” ฉินจานเสนอ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ต่อไปฉันต้องอยู่บริษัทยาวแล้ว เอาเวลาว่างวันสุดท้ายให้เธอเลย” 


 


 


อันหร่านพาเธอไปดูห้องทำงานและเรื่องอื่นๆ ที่ต้องระมัดระวังก่อนจะให้ซย่าเสี่ยวมั่วไปพักได้ “เอาล่ะ พรุ่งนี้มาให้ตรงเวลาด้วยล่ะ ตอนนี้ก็ไปได้แล้ว” 


 


 


“ได้เลย” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินถอยออกมาจากห้องของตน ก็เห็นเซียวอู๋อี้ที่เดินลงมาจากบันไดพอดี 


 


 


ทั้งคู่สบตากัน แต่ก็ละสายตาออกราวกับคนไม่รู้จักกัน ก่อนจะพูดกับคนข้างๆ 


 


 


“เรื่องของเซียวอู๋อี้อย่าทำเกินไปนักนะ ถ้าเขายอมขอโทษ ก็ไม่ต้องยื่นฟ้อง” 


 


 


เมื่อกลับไปที่ห้องทำงานของอันหร่าน ซย่าเสี่ยวมั่วก็ยื่นข้อเสนอ 


 


 


อันหร่านยังไม่ทันค้านขึ้น ฉินจานก็ตบโต๊ะเสียก่อน “ไม่ได้! อย่าให้เขารังแกฟรีๆ สิ แต่ช่วงก่อนหน้านี้เขาได้ที่พึ่งเป็นคนของกระทรวงวัฒนธรรม เธอจะทำอะไรก็ปรานีหน่อยแล้วกัน เขาไม่ปล่อยเธอไปดีๆ หรอกนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอึ้งกับอำนาจของเธอ 


 


 


ฉินจานให้ความรู้สึกอ่อนหวานและเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย แต่ตอนนี้กลับจัดการเรื่องราวได้อย่างสงบเยือกเย็นเป็นราชินีไปโดยฉับพลัน 


 


 


“ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วตอบรับอย่างเชื่อฟัง 


 


 


ฉินจานพาเธอไปนั่งคุยกันต่อที่ร้านกาแฟด้านนอก 


 


 


ยามนี้เป็นเวลาเข้างานพอดี คนในร้านจึงไม่เยอะนัก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วปัดเชือกดึงที่แวววาวราวกับคริสทัลตรงขอบหน้าต่างมู่ลี่ไปมาอย่างเลื่อนลอย “ถ้าทำงานก็ไม่มีเวลาว่างแล้ว” 


 


 


ฉินจานสรุปปัจจัยในแต่ละด้านแล้วเตือนสติซย่าเสี่ยวมั่ว “เธออย่าเก็บเรื่องอื่นเอามาใส่ใจนักนะ ระวังการเคลื่อนไหวของเซียวอู๋อี้ให้ดี แล้วก็ระวังศัตรูใกล้ตัวด้วย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมึนงง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงสั่งกำชับตัวเองเช่นนี้ “ฉันระวังอยู่แล้วล่ะน่า” 


 


 


“เธอระวังไว้ก็ดีแล้ว” ฉินจานพูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างคลุมเครือ “อย่าโดนคนจับตัวไปซะล่ะ” 


 


 


“ฉันไม่มีราคาอะไรสักหน่อย” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกแปลกๆ ใครจะว่างถึงขนาดมาจับตัวเธอล่ะ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 232 บังเอิญเจอ 


 


 


“จริงๆ นะ” ฉินจานพูดในสิ่งที่สามีฝากมาบอกหมดแล้ว แต่จู่ๆ จะให้ตนบอกซย่าเสี่ยวมั่วว่า 


 


 


‘เหยียนเค่อชอบเธอ’ เลยก็ไม่ได้ คู่แค้นของเขาจ้องเล่นงานอยู่ ทำได้เพียงยกตัวอย่างมาขู่ให้เธอกลัวเท่านั้น 


 


 


“ก็ได้ๆ ฉันจะจำให้ขึ้นใจเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วรับประกัน 


 


 


หลังของเหยียนเค่อไม่ได้บวมเหมือนวันแรกแล้ว แต่เป็นรอยช้ำเขียวม่วงเต็มไปหมด ดูจากสีแล้วเหมือนว่าจะหนักกว่าตอนแรกเสียอีก 


 


 


ฉินซื่อหลานกลายเป็นเด็กทายาอย่างอดทนอดกลั้น ก่อนจะพูดค่อนแคะ “แล้วนายก็ไม่ให้พยาบาลสาวสวยมาทายาให้อีก ไม่ใช่เรื่องเลย” 


 


 


แต่ก็ไม่มีคนตอบกลับเขา ทั้งคู่ต่างก็นอนฟุบหลับสนิทอยู่บนเตียง 


 


 


สวีอันหรานกำลังวุ่นกับการจัดการเรื่องหลังพิธีหมั้น แถมยังต้องน้อมรับคำพูดเยาะเย้ยอันไพเราะของสวีรั่วชีและคำพูดตำหนิติเตียนของคุณพ่ออีกต่างหาก 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านกำลังบัญชาการ YAN อยู่ เขาจัดการงานทั้งหมดในช่วงหลายวันมานี้ของ 


 


 


เหยียนเค่อให้หมดแล้ว แถมตอนกลางคืนยังต้องสะสางเอกสารของทางอเมริกาอีกด้วย งานยุ่งทั้งวันทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินช่วยงานอะไม่ได้เลย ใช้ชีวิตด้วยการกินแล้วนอน นอนแล้วกินกับเหยียนเค่ออย่างสุขสบาย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วและฉินจานยังคุยกันอยู่ ก็เห็นร่างคนที่คุ้นเคยเดินผ่านไปด้านนอกกระจกร้าน 


 


 


ฉินจานเองก็เห็นเช่นกัน สีหน้าท่าทางไม่ชอบใจ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งมองฉินจานที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างกับผู้หญิงที่ไม่รู้สถานะ เธอจัดผมตัวเองก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน มาจนถึงโต๊ะของพวกเธอแล้วยิ้มให้ฉินจานเบาๆ “สวัสดีค่ะคุณฉิน” 


 


 


“ฉันคือคุณนายซูค่ะ” ฉินจานมือหนึ่งเท้าคาง โปรยยิ้มตอบกลับ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเองก็ไหลไปตามน้ำ “คุณนายซูมาคุยงานที่นี่เหรอคะ” 


 


 


ซูอี้รักภรรยาของเขาคนนี้มาก ตนต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาเสียก่อน 


 


 


“เรื่องส่วนตัวค่ะ” ฉินจานยกมือขึ้นเป็นเชิงให้เขามองมาที่ซย่าเสี่ยวมั่ว “นี่เพื่อนสนิทฉัน” 


 


 


ตอนอยู่ด้านนอกสวีอิ๋งอิ๋งยังไม่มั่นใจนัก แต่ตอนนี้ดูแล้วก็เป็นซย่าเสี่ยวมั่วจริงๆ ปิดปากแสร้งหัวเราะ “นี่คือผู้หญิงคนที่ขึ้นไปบนเวทีกับเหยียนเค่อไม่ใช่เหรอคะ” ก่อนจะยื่นมือออกมาแนะนำตัวเอง “ฉันเป็นคู่หมั้นของเหยียนเค่อ สวีอิ๋งอิ๋งค่ะ ยินดีที่ได้พบ” 


 


 


“สวัสดีค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วจับมือกับเธอเบาๆ ก่อนจะรีบปล่อย รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ 


 


 


ฉินจานคาดว่าเธอคงไม่ได้มีแผนอะไร “ไม่ทราบว่าคุณสวีมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ นัดคนไว้เหรอคะ” 


 


 


“เปล่าค่ะ เห็นคุณนายซูอยู่ที่นี่ก็เลยเข้ามาหา คุณนายซูไม่ต้อนรับฉันเหรอคะ” สวีอิ๋งอิ๋งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ 


 


 


“ฉันไม่ใช่เจ้าของร้านสักหน่อยนี่คะ จะบอกว่าต้อนรับหรือไม่ต้อนรับได้อย่างไรล่ะคะ” ฉินจานคนกาแฟด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้มองสวีอิ๋งอิ๋งใหม่อีกครั้ง ให้ความรู้สึกที่คาดไม่ถึง 


 


 


เมื่อวานมองแล้วก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง รูปร่างไม่เลวเลยทีเดียว แต่วันนี้เธอสวมชุดเดรสกระโปรงยาวที่ทำจากผ้าฝ้าย ทำให้ไม่มีแม้กระทั่งเอว หน้าอกหน้าใจที่เป็นจุดเด่นดูแย่ลงไปทันที เทียบกับฉินจานแล้ว เรียกว่าดูไม่ได้เลย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วละสายตา มองดูชุดเดรสกันลมแขนสั้นยาวเลยเข่าของตนเองแล้ว ก็ถือว่าดูดีใช้ได้อยู่ แอบค่อนแคะในใจ เหยียนเค่อรีบร้อนแต่งงานขนาดที่ว่าไม่ดูรูปลักษณ์ภายนอกเลยหรือไงนะ เสียสติไปแล้วจริงๆ 


 


 


คนที่นอนเจ็บไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ในโรงพยาบาลจามติดกันอยู่หลายที 


 


 


“นายคงไม่ได้เป็นหวัดหรอกนะ” 


 


 


“เปล่า จู่ๆ ก็รู้สึกคันจมูกน่ะ ไปเปิดหน้าต่างให้ที กลิ่นน้ำหอมบนตัวของผู้หญิงคนนั้นฉุนเกินไป”  


 


 


เหยียนเค่อพูดเสียงอู้อี้ 


 


 


ในยามเช้าตรู่วันนี้ เสิ่นจิ้งเฉินก็ได้รู้ว่า พยาบาลสาวสวยใช้วิธีอ่อยผู้ชายแบบเรียบร้อยอย่างไร แม้แต่คนที่ขึ้นวอร์ดยังไม่ซ้ำหน้ากันเลย เข้ามาตรวจเฉลี่ยครึ่งชั่วโมงหนึ่งคน 


 


 


“ให้ฉินซื่อหลานเอาพวกเขาไปเก็บให้หมด” เหยียนเค่ออารมณ์ฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก 


 


 


กลิ่นของน้ำหอมเกรดต่ำลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ทำเอาเขาจามติดต่อกันอีกหลายครั้งจนคอแห้งหมดแล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม