ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 223-229

ตอนที่ 223 คนสามรุ่น

 

ถังซีเดินเข้าไปในตัวอาคาร และสิ่งที่เธอเห็นก็คือ ที่นี่ได้รับการตกแต่งในแบบที่เธอชอบ เธอหันไปมองเฉียวเหลียงด้วยความประหลาดใจ “คุณจัดการทั้งหมดนี้ได้ยังไงคะ ไม่ง่ายเลยที่จะหาสถานที่ที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ใช่ไหม” 


 


 


เมื่อนึกถึงคำร้องอุทธรณ์อย่างน่าสงสารและน้ำตาของอาห้า เขาก็พยักหน้ารับหน้าตาเฉย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย” จากนั้นก็เสริมว่า “ตราบใดที่คุณมีความสุข” 


 


 


ถังซีวิ่งเข้าไปดูทั่วทุกซอกมุมของสำนักงานของเธอ หลังจากได้เห็นหมดแล้วทั้งสามชั้น ถังซีก็วิ่งไปหาเฉียวเหลียงด้วยรอยยิ้ม ยืนเขย่งขึ้นบนปลายเท้าจูบเขาที่ริมฝีปาก “ฉันไม่รู้จะพอใจยังไงให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว ขอบคุณนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณทำให้ฉัน” 


 


 


“นี่คือสิ่งที่ผมควรทำ” เฉียวเหลียงเอนกายพิงเคาน์เตอร์บาร์ มีความสุขกับรสจูบจากถังซี ในนาทีนั้นนั่นเองประตูห้องก็เปิดออก จินฮั่นกับหลี่ม่านหยางเดินเข้ามา ถังซีบอกพวกเขาด้วยท่าทางร่าเริง ให้ไปเลือกห้องทำงานของตัวเอง แล้วอธิบายอย่างตื่นเต้นว่าเธอจะทำชั้นหนึ่งเป็นส่วนต้อนรับและพักผ่อนหย่อนใจ ความคิดทั้งหมดพรั่งพรูจากปากเธอไม่หยุดหย่อน 


 


 


ก่อนหน้านี้ถังซีไม่เคยพูดถึงความคิดต่างๆ เหล่านี้กับเฉียวเหลียง ตอนนี้ขณะฟังเธอเขาก็แอบจดจำไว้ในใจ เมื่อถังซีพูดจบเฉียวเหลียงก็จำได้หมดทุกอย่าง 


 


 


ค่ำแล้วกว่าถังซีจะดูสำนักงานของเธอเสร็จ และกลับไปที่บ้านครอบครัวเซียว เธอต้องประหลาดใจที่เซียวหงอี้ยังไม่ได้ทานอาหารค่ำ แต่นั่งรอเธออยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อมองดูจานอาหารบนโต๊ะแล้วหันไปมองเซียวหงอี้ที่นั่งอยู่ที่โซฟา ถังซีก็ขมวดคิ้วเดินเข้าไปหา “พ่อคะ… รอหนูอยู่เหรอคะ” 


 


 


เซียวหงอี้กำลังดูข่าว เมื่อได้ยินเสียงเธอเขาก็หันหลังไปมองและยิ้มให้ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นและบอกเธอว่า “พี่ชายของลูกยังอยู่ที่บริษัท และคนขับรถกำลังไปรับคุณปู่มาทานอาหารค่ำกับเรา เป็นครั้งแรกที่คนสามรุ่นของครอบครัวเราจะได้นั่งทานอาหารค่ำพร้อมหน้ากัน” 


 


 


เมื่อได้ยินว่าคุณปู่กำลังจะมาดวงตาถังซีก็เป็นประกาย “คุณปู่จะมาพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งด้วยหรือเปล่าคะ” 


 


 


เซียวหงอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พ่อคิดว่าคุณปู่ของลูกต้องมีความสุขที่เห็นลูกย้ายกลับมา เพราะอย่างนั้นพ่อจึงอยากไปรับท่านมาอยู่ที่นี่สักพัก…” เขาดูท่าทางลังเล “เอ้อ ลูกจะว่าอะไรไหม ที่พ่อไปรับคุณปู่มาอยู่ที่นี่” 


 


 


ราวกับกลัวว่าเธออาจเข้าใจเขาผิด เขารีบเสริมว่า “โหรวโหรว อย่าเข้าใจพ่อผิดนะ พ่อไม่ได้มีความตั้งใจที่ไม่ดี พ่อแค่อยากให้คุณปู่มีความสุข ลูกก็รู้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินที่ผ่านมา และคุณปู่ก็เพิ่งกลับมาจากการไปพักฟื้นที่ต่างประเทศ เราไม่…” 


 


 


“หนูเข้าใจค่ะ” ถังซีขัดจังหวะเซียวหงอี้ เธอยิ้มและกล่าวเบาๆ ว่า “หนูรู้ค่ะ ว่าพ่อมีความตั้งใจยังไง หนูไม่เข้าใจพ่อผิดหรอก ดีซะอีกสิคะที่คุณปู่มาอยู่ที่นี่ หนูไม่ได้เจอคุณปู่นานแล้ว” 


 


 


เซียวหงอี้พยักหน้า ยิ้มด้วยความยินดี “เอ้อ แล้วพรุ่งนี้ลูกจะกลับไปเรียนแล้วหรือ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำถามนี้ถังซีก็ขมวดคิ้ว โอ… ตอนนี้เธอธุระยุ่งมากๆ ต้องไปโรงเรียน บริหารบริษัท จัดการกับปัญหาต่างๆ และรักษาอาการเจ็บป่วยของหลินรู… เอาเถอะ ทำใจให้สบาย ทุกอย่างจะค่อยๆ ลงเอยด้วยดีในที่สุด 


 


 


ถังซีพยักหน้า “ใช่ค่ะ พรุ่งนี้วันจันทร์ หนูต้องไปโรงเรียน พรุ่งนี้หนูจะตื่นแต่เช้ามาฝังเข็มให้แม่ก่อน แล้วถึงจะไป และตอนเย็นจะกลับบ้านช้าหน่อยค่ะ” 


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้เซียวหงอี้ก็รีบพยักหน้า “ได้สิ ได้ พ่อจะให้คนขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนพรุ่งนี้เช้า แล้วไปรับลูกตอนเย็น” 


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ…” ถังซีไม่รู้จะพูดอย่างไรดี คุณเจ้านายแฟนหนุ่มของเธอจะทำทุกอย่างทั้งหมดนี้เอง… เธอจำได้ว่าเฉียวเหลียงบอกไว้ว่า ‘หลังจากคุณย้ายไปอยู่บ้านเซียวหงอี้ ผมจะไปรับคุณที่นั่นไปส่งที่โรงเรียน’ 


 


 


“เอ้อ…” เธอต้องหาเหตุผลอื่น 


 


 


“…พี่จิ่งจะมารับหนูไปส่งที่โรงเรียน” ถังซีเม้มริมฝีปาก “เพราะว่าหนูต้องมาอยู่ที่นี่สักพัก พี่ๆ คงคิดถึงหนู หนูก็เลยเห็นด้วยกับเขาว่าให้เขามารับหนูได้ทุกเช้าค่ะ” 


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้เซียวหงอี้ก็ไม่พูดอะไรอีก 


 


 


ถังซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เซียวหงอี้เลิกถาม 


 


 


ถังซีไปที่ห้องหลินหรู ตรวจสภาพร่างกายมารดา เมื่อกลับออกมาก็มานั่งดูทีวีกับเซียวหงอี้ไปเรื่อยๆ ที่โซฟา ถังซีเฝ้าวนดูนาฬิกาข้อมือ แต่คุณปู่เซียวก็ยังมาไม่ถึงซักที ถังซีอดหันไปมองประตูบ่อยๆ ไม่ได้ ทำไมคุณปู่ถึงยังไม่มาสักทีนะ! 


 


 


ไม่นานหลังจากวนเวียนมองอย่างใจจดใจจ่อ คุณปู่เซียวก็ปรากฏตัวให้ถังซีเห็น คุณปู่เดินเข้ามาโดยมีคนขับรถคอยพยุง ถังซีรีบเข้าไปทักทายท่านอย่างมีความสุข คุณปู่เซียวดีใจเหมือนเด็กๆ เมื่อท่านเห็นถังซี “ฮ่าๆ หลานรักของปู่ ไหนมาให้ปู่ดูให้ชัดๆ ซิว่าหลานเป็นยังไงบ้างแล้วตอนนี้” 


 


 


ถังซีวิ่งเข้าไปหาแล้วจับมือท่านพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างน่ารักว่า “หนูดูดีมากเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ดูแลหนูดีมาก ตอนเที่ยงวันนี้คุณแม่ต้มซุปคากิให้หนูด้วย หนูน้ำหนักขึ้นเยอะเลย! ดูสิคะคุณปู่ หน้าหนูกลมไปหมดแล้วใช่ไหมคะ” 


 


 


ขณะมองหน้าถังซีคุณปู่เซียวก็พยักหน้าอย่างกระฉับกระเฉง “ใช่ ใช่ โหรวโหรวสวยขึ้นเยอะ ปู่จำหนูเกือบไม่ได้” 


 


 


ถังซีพยุงท่านขณะพาท่านเดินเข้าไป เซียวหงอี้รออยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาเขาก็เดินเข้าไปช่วยพยุงคุณปู่เซียวอีกคน “คุณพ่อครับ มาทานอาหารกันเถอะครับ” 


 


 


คุณปู่เซียวเย็นชาต่อเซียวหงอี้ ท่านส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอด้วยสีหน้าเฉยเมย และดึงมือท่านกลับมา ท่านตบหลังมือถังซีเบาๆ แล้วถอนหายใจ “ปู่รอให้หนูไปเยี่ยมปู่ตลอดเวลา” 


 


 


เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้กลับไปหาคุณปู่เซียวเลย ถังซีก็รู้สึกผิด เธอกล่าวกับคุณปู่เซียวว่า “ขอโทษนะคะคุณปู่ หนูควรกลับไปเยี่ยมคุณปู่ แต่หนูสัญญานะคะ ว่าหนูจะอยู่เคียงข้างคุณปู่เสมอตลอดไปในอนาคต ดีไหมคะ” 


 


 


คุณปู่เซียวหัวเราะขำเธอ “ดี ดี หลังจากที่หนูมีสามีแล้ว ทั้งสองคนต้องมาอยู่เคียงข้างปู่นะ” 


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ และเขินเล็กน้อย สงสัยอยู่ในใจว่าเฉียวเหลียงจะยอมมาอยู่บ้านเธอไหม หลังจากแต่งงาน 


 


 


เธอคิดว่าเฉียวเหลียงน่าจะเลือกข้อแรก ถ้าเธอขอให้เขาเลือกระหว่างเลิกกับเธอ กับย้ายมาอยู่บ้านเธอหลังจากแต่งงาน… 


 


 


เมื่อเห็นถังซีเงียบไปคุณปู่เซียวก็ถามว่า “หนูมาอยู่บ้านนี้ด้วยความเต็มใจหรือถูกบังคับ” ขณะกล่าวเช่นนี้น้ำเสียงท่านเย็นชา และจ้องหน้าเซียวหงอี้อย่างดุดัน “ถ้าใครบังคับหนู บอกปู่ ปู่จะปกป้องหนูเอง ปู่จะดูซิว่าใครกันที่กล้าบังคับให้หนูทำในสิ่งที่หนูไม่อยากทำ!” 


 


 


ถังซีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ คุณปู่เซียวมาที่นี่ในเวลาค่ำคืนแบบนี้ เพราะท่านเป็นห่วงเธอ  

 

 


ตอนที่ 224 คุณปู่เซียว

 

“ไม่มีหรอกค่ะ คุณปู่ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มีใครบังคับหนูค่ะ หนูมาอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจ และจะอยู่ประมาณสองเดือน หลังจากนั้นหนูก็จะกลับบ้านค่ะ” 


 


 


คุณปู่เซียวหยุดนิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของถังซี สองวินาทีผ่านไปกว่าท่านจะพยักหน้า และตบหลังมือ ถังซี “ตกลง หนูอยู่ที่ไหนก็ได้ตามที่หนูต้องการ ไม่สมเหตุสมผลเลยที่ใครจะโยนอะไรบางอย่างทิ้งเมื่อเขาไม่ต้องการ แล้วพอทันทีที่ต้องการก็จะนำกลับคืนมา โหรวโหรว ไม่ว่าหนูจะตัดสินใจยังไงก็ตาม ปู่สนับสนุนหนูเสมอ” 


 


 


ถังซียิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ คุณปู่” 


 


 


เซียวหงอี้ซึ่งยืนอึ้งอย่างกระอักกระอ่วน กล่าวกับคุณปู่เซียวว่า “คุณพ่อครับ อาหารเย็นชืดหมดแล้ว ไปทานกันเถอะครับ” 


 


 


คุณปู่เซียวทำเสียงฮึดฮัดเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเซียวหงอี้และกล่าวอย่างเฉยเมย “เธอยังมีหน้าจะทานอาหารค่ำอีกหรือ ทำเรื่องยุ่งยากมากมายให้กับตระกูล ยังมีหน้าจะทานอาหารค่ำอีกหรือ” 


 


 


ถังซีซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทำปากยื่นขณะที่ท้องเธอร้อง เธอคิดอย่างเศร้าใจว่าดูท่าทางเธอจะไม่ได้ทานอาหารค่ำเสียแล้ววันนี้ คุณปู่มาที่นี่เพื่อจะไม่ทานอาหารค่ำ แต่กลับมาดุลูกชายคนโตแทน 


 


 


ก็เข้าใจได้ ในฐานะผู้นำตระกูลเซียว ท่านตกที่นั่งลำบาก และทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเกิดเหตุการณ์มากมายขึ้นกับตระกูลเซียว ส่งผลให้ราคาหุ้นเซียวกรุปผันผวน ไม่แปลกใจเลยที่คุณปู่จะโกรธ 


 


 


เซียวหงอี้อับอายและพยายามหลีกเลี่ยงไม่สบตาบิดา “จะมาโทษผมได้ยังไงครับ อาหรูกับผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าพ่อแม่เธอจะบ้าขนาดนี้…” 


 


 


ปัง… คุณปู่เซียวทุบโต๊ะอาหารดังสนั่น จ้องหน้าเซียวหงอี้และถามอย่างขุ่นเคือง “เธอยังจะกล้าพูดแบบนี้อีกหรือ ไม่รู้เลยได้ยังไงว่าลูกสาวเธอสลับตัวกับเด็กอีกคน แล้วยังจะแก้ตัวอีกว่าที่ไม่รู้ว่าลูกสาวถูกสับเปลี่ยนตัวเพราะเธอมัวยุ่งอยู่กับธุรกิจ ไม่มีเวลาไปโรงพยาบาล ตอนนี้ภรรยาเธอถูกคนพวกนั้นผลักตกบันได ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เธอยังจะมาพูดอีกหรือ ว่าเธอคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าพวกเขาจะทำแบบนี้ เธอรู้อะไรบ้างบนโลกใบนี้!” 


 


 


ถังซียืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ เซียวหงอี้ก้มหน้านิ่งด้วยความละอาย แต่ก็ยังพยายามปกป้องตัวเองอยู่ “ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่ครับ ผมจะรู้ได้ยังไงว่ายายแก่นั่นไม่ใช่แม่แท้ๆ ของอาหรู และกล้าทำร้ายเธอ แถมยังสลับตัว โหรวโหรวกับลูกของลูกสาวแกอีก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แกจงใจทำร้ายอาโหรวเพื่อเด็กเลวคนนั้น” 


 


 


ขณะกล่าวเช่นนี้เซียวหงอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองคุณปู่เซียว และเม้มริมฝีปาก “ทีแรกอาหรูไม่ได้เป็นอัมพาต แต่ที่เธอตกเตียงเพราะเธอเป็นห่วงเมื่อได้ยินว่าโหรวโหรวถูกเซียวจิ้นหนิงทำร้ายในห้องสอบสวน อาการเธอก็เลยแย่ลง เป็นไปไม่ได้เลยนี่ครับ ที่ผมจะรู้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น และยับยั้งไม่ให้เกิด จริงไหมครับ” 


 


 


ปัง… 


 


 


คุณปู่เซียวทุบโต๊ะอีกครั้ง ท่านชี้หน้าเซียวหงอี้ด้วยนิ้วมือสั่นเทา ถังซีรีบเข้ามาหาท่าน ลูบหลังปลอบโยนท่าน “คุณปู่ อย่าโมโหนะคะ จริงๆ แล้วก็ไม่ควรตำหนิพ่อหรอกค่ะ…” ถังซีมองเซียวหงอี้และกล่าวต่อไป “เราตำหนิพ่อไม่ได้หรอกค่ะเรื่องนี้ เราทุกคนรวมทั้งแม่ด้วย จะคาดคิดได้อย่างไรคะ ว่าพ่อแม่ที่เธออยู่ด้วยมาหลายสิบปีไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเธอ และที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่านั้นคือ ผู้หญิงคนนั้นสับเปลี่ยนลูกของแม่หนูกับหลานของตัวเอง แม่คิดไม่ถึงหรอกค่ะว่าคนที่แม่คิดว่าเป็นแม่จะโหดร้ายได้อย่างนั้น” 


 


 


คุณปู่เซียวมองหน้าถังซี เธอยังคงลูบหลังท่านและยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม่คิดไม่ถึงเพราะนึกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่แท้ๆ ของแม่ แม่ไม่ได้ระแวงเถาเยี่ยน เพราะไม่มีใครที่จะระแวงแม่ตัวเองหรอก จริงไหมคะ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงตกใจและเสียใจมาก เมื่อหนูบอกความจริงกับแม่ค่ะ” 


 


 


“ใช่ครับ คุณพ่อ” เซียวหงอี้พยักหน้า “พวกเราไม่มีใครคาดคิดว่าเถาเยี่ยนกับครอบครัวจะไร้ยางอายขนาดนี้” 


 


 


คุณปู่เซียวจ้องหน้าเซียวหงอี้และกล่าวอย่างเย็นชา “หุบปาก!” 


 


 


เซียวหงอี้หุบปากทันที ถังซีนั่งลงข้างคุณปู่เซียวและมองหน้าท่าน “คุณปู่คะ แต่ตอนนี้คนพวกนั้นถูกจับขังคุกหมดแล้วค่ะ เราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาหนีรอดไปได้ และจะดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลอะไรแล้วค่ะ ทุกอย่างจะคลี่คลาย ตระกูลเซียวจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ” 


 


 


“แต่ปู่เสียใจกับหลานมาก ทุกครั้งที่ปู่คิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้” คุณปู่เซียวตบหลังมือเธอเบาๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ปู่ได้ดูข่าวแล้ว ปู่รู้ว่าวิดีโอที่ถูกส่งไปทางอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นของจริง ไม่อย่างนั้นหนูจะไม่เลือกไปอยู่บ้านอาของหนูหรอก ต้องมีคนทำร้ายหนูอย่างรุนแรงจนหนูกลัว และไม่อยากทนอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับผู้หญิงคนนั้น… 


 


 


…หนูคงต้องเผชิญความยากลำบากอย่างมาก” ดวงตาคุณปู่เซียวเริ่มแดงเรื่อ “แต่ผู้หญิงนั้นก็ถูกไล่ออกจากบ้านไปแล้ว และหนู…” 


 


 


ดวงตาถังซีก็เริ่มแดงขึ้นมาเช่นกัน การได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้เธอค้นพบข้อเท็จจริงมากมายที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ได้เข้าใจความจริงมากมายที่เธอไม่เคยเข้าใจมาก่อน และสิ่งสำคัญที่สุดที่เธอได้เรียนรู้คือ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัว… 


 


 


เพราะทุกคนเป็นครอบครัว พวกเขาอาจโกรธกัน ทะเลาะกันเอง แต่จะช่วยกันประคับประคอง เติบโตไปด้วยกัน และค้นหาความจริงของชีวิตไปด้วยกัน ที่คุณปู่เซียวพูดมาทั้งหมดก็ด้วยความหวังว่า เธอจะกลับมายอมรับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและพี่ชายแท้ๆ ของเธอ 


 


 


“คุณปู่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ ที่นี่คือบ้านเซียวโหรวและนั่นคือบ้านของหนูค่ะ” ถ้าเพื่อหัวใจเซียวโหรว เธออยากกลับมา แต่เธอในฐานะถังซี ต้องการเพียงมีครอบครัวเซียวหงลี่เป็นครอบครัวของเธอ เป็นครอบครัวที่รักของเธอ 


 


 


คุณปู่เซียวพยักหน้าด้วยความดีใจ และมีน้ำตาไหลรินจากดวงตาท่าน “โหรวโหรวโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เด็กดี เด็กดี…” 


 


 


ในที่สุดถังซีก็ได้ทานอาหารค่ำแสนอร่อย หลังอาหารเธอกล่าวกับคุณปู่เซียวอย่างร่าเริงว่าเธอจะไปดูหลินหรูก่อน คุณปู่เซียวบอกว่าท่านอยากไปเยี่ยมมารดาของเธอด้วย ถังซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร เธอพยุงคุณปู่เซียวไปที่ห้องหลินหรูกับเซียวหงอี้ หลินหรูเห็นคุณปู่เซียวเข้ามาน้ำตาก็ไหลพราก 


 


 


เมื่อเห็นเธอร้องไห้คุณปู่เซียวก็ถอนหายใจ “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้ ตอนนี้เธอก็ได้รู้ความจริงมากมายที่ไม่เคยรู้มาก่อนแล้ว เธอควรพยายามลุกขึ้นยืนให้ได้อีกครั้งด้วยพละกำลังของตัวเอง ฉันให้สัญญาอะไรกับเธอได้ไม่มากนัก แต่ฉันสัญญาได้ว่าตระกูลเซียวของเราจะไม่ทอดทิ้งเธอ” 


 


 


เซียวหงอี้รีบแย้งทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของท่าน “คุณพ่อครับ คุณพ่อพูดอะไรแบบนั้น ผมบอกแล้วว่าผมจะดูแลอาหรูอย่างดี คุณพ่อหมายความว่าผมเป็นสามีที่ขาดความรับผิดชอบหรือครับ!” 


 


 


“ขอบคุณพระเจ้า ที่เธอรู้ว่าควรปฏิบัติต่อภรรยาของเธออย่างดี!” คุณปู่เซียวทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันไปมองหลินหรู “ที่นี่คือบ้านของเธอ ฉันจะช่วยเหลือเธอทุกอย่าง เธอคือสมาชิกตระกูลเซียวเสมอ อย่าคิดมากจนเกินไป จะไม่ดีต่อการฟื้นตัวของเธอ” 


 


 


ถังซีเลิกคิ้วมองดูคุณปู่เซียวด้วยความประหลาดใจ พูดตามจริงเธอไม่ได้คาดหวังเลยว่าคุณปู่เซียวจะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้กับหลินหรู  

 

 


ตอนที่ 225 ข่าวดี

 

หลินหรูพยักหน้าด้วยความพยายามอย่างหนัก และขยับริมฝีปากกล่าวว่า “คุณพ่อ…” ด้วยความยากลำบากอย่างมาก


 


 


ถังซีตัวนิ่งแข็ง ขณะคุณปู่เซียวและเซียวหงอี้ยังคงตกตะลึง เธอรีบเปิดใช้งาน 008 และเดินไปที่เตียงหลินหรูอย่างรวดเร็ว เธอนั่งลงเอื้อมมือไปจับชีพจรหลินหรู เมื่อเซียวหงอี้ได้สติกลับคืนมาเขาก็เห็นถังซีกำลังจับชีพจรหลินหรู เขาลืมประหลาดใจไปเลยว่าเธอไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร ได้แต่ถามว่า “แม่เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


 


 


ถังซียิ้มมองหน้าเซียวหงอี้ “อาจเป็นเพราะคำพูดของคุณปู่ ปาฏิหาริย์ถึงได้เกิดขึ้นกับแม่ ตอนนี้เราพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ตรวจอาการให้แน่ใจ”


 


 


คุณปู่เซียวไม่คาดคิดว่าหลินหรูซึ่งพูดไม่ได้ จะเรียกท่านออกมาว่า “คุณพ่อ” เพียงเพราะคำพูดของท่าน ด้วยความตกใจท่านรีบกล่าวทันที “เร็วสิ รีบพาเธอไปโรงพยาบาล ไปโรงพยาบาลหลินอัน บอกหมอให้เตรียมพร้อม สามารถตรวจร่างกายเธอได้ทันทีที่เราไปถึง!”


 


 


เซียวหงอี้รีบรับคำ “ครับ” แล้วโทรไปโรงพยาบาล ถังซีเข็นรถเข็นเข้ามา หลังจากเซียวหงอี้อุ้มหลินหรูนั่งลงบนรถเข็น เธอก็หยิบผ้าห่มมาคลุมให้หลินหรู เมื่อเห็นน้ำตาหลินหรูไหลเอ่อ ถังซีก็ยิ้ม นั่งลงตรงหน้ามารดา จับมือเธอไว้และกระซิบว่า “แม่จะหายในไม่ช้านี้ค่ะ แม่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดูสิคะ วันนี้แม่พูดได้แล้ว แม่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันค่ะ”


 


 


ทั้งหมดรีบไปโรงพยาบาล เมื่อไปถึงก็เห็นคุณหมอรออยู่ที่ประตู ก่อนที่ทุกคนจะลงจากรถหมอก็พาหลินหรูเข้าไปข้างในแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่เซียวเจี่ยนมาถึงพอดี เมื่อเห็นถังซีกับบิดาและคุณปู่ เขาก็วิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลทันทีพร้อมกับถามว่า “แม่เป็นยังไงบ้างครับ แม่พูดได้แล้วจริงๆ เหรอ”


 


 


ถังซีหันไปมองเซียวเจี่ยนซึ่งดูท่าทางอ่อนล้าแล้วพยักหน้า “จริงๆ ค่ะ แม่พูดได้แล้ว เราได้ยินกันทุกคน เรากำลังคอยดูว่าหมอจะว่ายังไงต่อไป”


 


 


หลังจากรออยู่นาน คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ออกมาจากห้องตรวจ ทั้งหมดรีบเข้าไปหาคณะแพทย์ เซียวหงอี้ถามแพทย์คนหนึ่งด้วยท่าทางกังวลใจ “ศาสตราจารย์เฉิน ภรรยาผมเป็นยังไงบ้าง”


 


 


ศาสตราจารย์เฉินมองใบหน้าวิตกกังวลของเซียวหงอี้แล้วหัวเราะ “ท่านประธานเซียว คุณไม่เห็นหรือผมหัวเราะด้วยความยินดี นี่ก็หมายความว่าอาการของภรรยาคุณดีขึ้น และเธออาจสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง!”


 


 


เซียวหงอี้หันไปมองถังซีอย่างไม่อยากเชื่อ ตอนที่เซียวโหรวบอกว่าอาหรูจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งนั้นเขาไม่เชื่อเลย แต่สิ่งที่เธอพูดกลับกลายเป็นความจริงในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ!


 


 


อาหรูจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งจริงๆ ใช่ไหม


 


 


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าไร้ความรู้สึกของเซียวเจี่ยน


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางไม่อยากเชื่อของเซียวหงอี้ หมออีกคนก็กล่าวว่า “ไม่เพียงแค่นั้นนะครับ แต่เราพบว่าเส้นลมปราณของภรรยาคุณดูเหมือนจะปลอดโปร่งดีมาก แม้แต่จุดดำในสมองก็หายไปด้วย”


 


 


“ใช่! มหัศจรรย์มาก! ตอนที่เราตรวจร่างกายเธอเมื่อเช้านี้ ไม่มีสัญญาณว่าอาการเธอจะดีขึ้นเลย แต่นี่ยังไม่ถึงยี่สิบชั่วโมงด้วยซ้ำปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เหลือเชื่อจริงๆ!”


 


 


เซียวหงอี้มองถังซีด้วยสายตาประหลาดใจ เขามั่นใจว่าเป็นเพราะการฝังเข็มรักษาของถังซี ที่ทำให้อาหรูฟื้นตัวได้รวดเร็วเช่นนี้


 


 


ถังซีมองหน้าคณะแพทย์เหล่านั้น และถามอย่างใจเย็น “นั่นก็หมายความว่าแม่ฉันจะหายเป็นปกติเร็วๆ นี้ใช่ไหมคะ”


 


 


ศาสตราจารย์เฉินมองหน้าถังซีด้วยความชื่นชม เธอคนนี้สงบมากมาตั้งแต่แรก ซึ่งหาได้ยากจริงๆ เขาพยักหน้า “ใช่ครับ คุณแม่คุณจะสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ตราบใดที่เธอพักอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อเข้ารับการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายทุกวัน ไม่ช้าร่างกายเธอก็จะหายเป็นปกติ”


 


 


ถังซีเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามหน่อยค่ะ จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าแม่จะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง”


 


 


ศาสตราจารย์เฉินยิ้ม “ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปีเป็นอย่างเร็ว หรืออย่างช้าไม่เกินหนึ่งปี”


 


 


เซียวหงอี้หันไปหาถังซี ถามเบาๆ ว่า “โหรวโหรว นี่หมายความว่า…”


 


 


ถังซีขอบคุณศาสตราจารย์เฉิน แล้วกล่าวว่า “ดึกมากแล้ว ขอโทษนะคะที่มารบกวน ฉันจะพาแม่กลับบ้านแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”


 


 


ศาสตราจารย์เฉินกล่าวกับถังซีอีกครั้ง “คุณหนูเซียว ควรให้คุณแม่ของคุณพักที่โรงพยาบาลนะครับ เธอจะฟื้นตัวเร็วขึ้น ถ้าเธอได้รับการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพร่างกายทุกวันที่นี่”


 


 


ถังซีปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจนะคะ แต่ฉันอยากพาแม่กลับบ้าน”


 


 


“ที่นี่จะมีพยาบาลมืออาชีพคอยดูแลเธอ พวกคุณจะไม่ต้องยากลำบากใดๆ เลย และการรักษาเยียวยาคุณแม่ของคุณจะเป็นไปอย่างมืออาชีพ ผมหวังว่าคุณจะพิจารณาตามคำแนะนำของศาสตราจารย์เฉินนะครับ คุณหนูเซียว” นายแพทย์อีกคนเสริม


 


 


ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ แต่ฉันต้องการพาแม่กลับบ้าน”


 


 


เมื่อจบคำพูดถังซีก็หันไปมองเซียวหงอี้ เขารีบกล่าวขึ้นทันที “ใช่ครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโหรวโหรว ให้เรากลับบ้านดีกว่า ขอบคุณนะครับ คุณหมอ”


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว คณะแพทย์ก็ยอมแพ้ และกล่าวลาพวกเขา


 


 


เมื่อหลินหรูเห็นถังซีเข้ามา เธอมองลูกสาวด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง ถังซียิ้มให้ “คุณหมอบอกว่าแม่จะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งเร็วๆ นี้ค่ะ บางทีแม่อาจลุกขึ้นยืนได้ภายในหนึ่งเดือน ภายใต้การดูแลของหนู… หมอที่รักษาได้อย่างมหัศจรรย์”


 


 


หลินหรูยิ้ม ยกมือขึ้นจับมือถังซี ถังซีเบิกตาโตด้วยความตกใจ ชี้ไปที่มือมารดา “แม่คะ… แม่ยกมือขึ้นได้!”


 


 


หลินหรูดูท่าทางท้อแท้ เธอจ้องมองถังซีและพยายามขยับริมฝีปากอยู่นาน กว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ “โหรว…”


 


 


ถังซียิ้ม หันกลับไปมองเซียวหงอี้และเซียวเจี่ยน “ดูเหมือนว่าปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ค่ะ”


 


 


อารมณ์เซียวเจี่ยนที่ถูกทำลายจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เซียวกรุปวันนี้ดีขึ้นมาก เพราะคำพูดที่หลินหรูเพิ่งเอ่ยออกมา เขายิ้มขณะเข็นหลินหรูออกมาข้างนอกโดยมีถังซีเดินอยู่ข้างๆ เขาเริ่มบทสนทนากับเธอ “ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเพราะเธอกลับมา”


 


 


ถังซียิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ใช่หรอกค่ะ พี่เข้าใจผิดแล้ว ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับแม่เพราะคุณปู่มาเยี่ยมแม่คืนนี้ คุณปู่พูดอะไรอย่างหนึ่งกับแม่ และแม่รู้สึกประทับใจในคำพูดของคุณปู่ แม่อยากพูดอะไรบางอย่าง ปาฏิหาริย์ก็เลยเกิดขึ้น”


 


 


เซียวเจียนหันไปมองถังซีด้วยความประหลาดใจ “คุณปู่พูดว่าอะไรหรือ”


 


 


เขาจำได้ว่าตั้งแต่เขายังเด็ก คุณปู่ไม่ชอบมารดาเขา และบ่นอยู่เสมอว่าเธอสนใจแต่งาน คุณปู่ซึ่งไม่ชอบแม่พูดอะไร ถึงทำให้แม่ประทับใจมากจนเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้ 

 

 


ตอนที่ 226 พวกเธอทำเรื่องเอง

 

ดึกมากแล้วเมื่อทั้งหมดกลับถึงบ้าน เซียวหงอี้บอกให้เซียวเจี่ยนกับถังซีไปนอน “พวกลูกต้องไปทำงานและไปโรงเรียนพรุ่งนี้ ไปนอนเถอะ พ่อจะดูแลแม่เอง”


 


 


ถังซีพยักหน้า พูดกันตามตรงเธอไม่สนิทกับเซียวหงอี้และครอบครัวมากพอที่จะเสียสละความเป็นส่วนตัวในความต้องการปัจจัยพื้นฐานเพื่อพวกเขา เธอมองหลินหรูแล้วกล่าวว่า “ตกลงค่ะ หนูจะไปนอนแล้ว อย่านอนดึกเกินไปนะคะพ่อ”


 


 


ถังซีตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมาตามเวลาที่เคยชินเหมือนมีนาฬิกาปลุกส่วนตัว เธอลงไปเล่นโยคะที่สนามตามปกติ แต่เช้านี้เธอเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ไม่รู้สึกเส้นตึงอย่างที่เป็นในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นไม่นานคุณปู่เซียวก็เดินออกมา เมื่อเห็นถังซีเล่นโยคะอยู่ที่สนามหญ้าท่านก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “ทำไมไม่นอนต่ออีกสักหน่อยล่ะ เมื่อคืนนี้หนูกลับดึกมาก”


 


 


ถังซีหยุดชั่วครู่ “หนูเคยตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายเป็นประจำค่ะ”


 


 


ในขณะนั้นนั่นเองเซียวเจี่ยนก็เดินออกมาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นคุณปู่เซียวเขาก็รีบหยุดทักทายท่านด้วยความเคารพ “คุณปู่ครับ”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าคุณปู่เซียวจางหายไป เมื่อเห็นเซียวเจี่ยนในชุดสูท คุณปู่เซียวขมวดคิ้วหน้าเข้มเขม้นมองเขา “นี่หลานกำลังจะไปทำงานใช่ไหม”


 


 


เซียวเจี่ยนยิ้ม “โรงงานของเราที่เมือง W มีปัญหาครับ ผมต้องไปดูที่นั่น”


 


 


“เธอต้องไปเองแต่เช้าเลยหรือ รองประธานล่ะ ทำอะไรอยู่” คุณปู่เซียวกระแทกไม้เท้าลงกับพื้น ขณะมองหน้าเซียวเจี่ยน “นานๆ ปู่จะมาค้างที่นี่สักที จะไม่กินอาหารเช้ากับปู่ก่อนหรือ”


 


 


เซียวเจี่ยนมีท่าทางกระอักกระอ่วน มองหน้าถังซีเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ถังซียังคงเล่นโยคะต่อไป เขาจึงทำได้แค่ขยับเข้าไปใกล้คุณปู่เซียว แล้วกล่าวกับท่านเบาๆ ว่า “คุณปู่ครับ เกิดอุบัติเหตุขึ้นในโรงงานครับ จู่ๆ คนงานคนหนึ่งก็หายใจไม่ออกและเสียชีวิต หลังจากออกมาจากโรงงานหลังที่เขาทำงานอยู่ ผมจึงต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง”


 


 


คุณปู่เซียวขมวดคิ้ว ผงะก้าวถอยหลังแล้วถามว่า “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้”


 


 


“ผมยังไม่แน่ใจว่าสาเหตุเกิดจากอะไรครับ ถึงต้องไปดูด้วยตัวเอง และเพื่อไปปลอบใจครอบครัวของคนตายด้วยครับ” เซียวเจี่ยนมองดูนาฬิกาข้อมือและกล่าวต่อไปว่า “คุณปู่ครับ ผมต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวเก้าโมงเช้า คนขับรถมารอรับแล้ว ผมไปก่อนนะครับ…”


 


 


“ไปเถอะ อย่าลืมดูแลครอบครัวคนงานให้ดีด้วยนะ” คุณปู่เซียวไม่ห้ามเขาอีกต่อไป


 


 


เซียวเจี่ยนมองไปทางถังซี “ขอโทษนะโหรวโหรว เธอเพิ่งมาอยู่วันแรก พี่ก็ไปส่งเธอที่โรงเรียนไม่ได้ซะแล้ว”


 


 


ถังซียิ้ม “งานมาก่อนค่ะ พี่ไปทำงานของพี่เถอะ” เธอได้ยินเรื่องที่เซียวเจี่ยนพูดกับคุณปู่เซียวเมื่อกี้หมดแล้ว เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเซียวเจี่ยนจะเป็นท่านประธานที่มีศักยภาพเช่นนี้


 


 


หลังจากเซียวเจี่ยนไปแล้ว ถังซียังคงเล่นโยคะและคุยกับคุณปู่เซียว ก่อนจะไปทานอาหารเช้า หลังอาหารเธอได้ยินเสียงรถยนต์บีบแตรอยู่นอกบ้าน ถังซีรีบหยิบกระเป๋านักเรียนแล้วรีบออกไป พร้อมกับกล่าวลา “คุณปู่คะ หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ เจอกันเย็นนี้ค่ะ” ก่อนกล่าวจบเธอก็วิ่งออกจากบ้านไปแล้ว


 


 


เซียวหงอี้มองตามร่างลูกสาวที่วิ่งห่างออกไป แล้วเม้มริมฝีปาก “เธอมีความสุขเสมอ เมื่อได้เห็นอากับครอบครัวของอา”


 


 


คุณปู่เซียวส่งเสียงคำรามเบาๆ “ก็ใครล่ะ เป็นคนทำให้เป็นแบบนี้ พวกเธอทำเรื่องเอง จะโทษใคร”


 


 


เซียวหงอี้ไม่สามารถหาคำใดมาปฏิเสธ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารเช้า “ผมไม่ได้โทษใครเลย ผมแค่พูดความจริง”


 


 


“ถ้าพวกเธอไม่อยุติธรรมกับลูกก่อน สถานการณ์ก็จะไม่เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเธอควรหุบปากเรื่องนี้ และระมัดระวังคำพูดด้วย!” คุณปู่เซียวซดข้าวต้มในถ้วย มองหน้าเซียวหงอี้ แล้วกล่าวต่อไป “และถ้าโหรวโหรวต้องการกลับไปหาครอบครัวหงลี่ เธอก็ต้องไม่ห้าม ไม่อย่างนั้นฉันจะหักขาเธอ!”


 


 


“คุณพ่อ!” เซียวหงอี้เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ และกล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณพ่อเข้าข้างหงลี่ขนาดนี้ได้ยังไง! ผมก็เป็นลูกคุณพ่อเหมือนกัน! โหรวโหรวเป็นลูกสาวผม เธอก็ควรอยู่บ้านผมสิครับ!”


 


 


“เข้าข้างหรือ” คุณปู่เซียวคำรามใส่เขาอย่างแรง จ้องหน้าเซียวหงอี้ด้วยความโกรธ “ฉันเข้าข้างหงลี่เมื่อไหร่ ฉันเป็นคนบอกให้แกประกาศว่าโหรวโหรวเป็นเพียงลูกสาวบุญธรรมของแกอย่างนั้นหรือ ฉันขอให้แกรับยายหนูเป็นลูกสาว แต่แกปฏิเสธ และแทบรอไม่ไหวที่จะโยนเธอให้หงลี่ ตอนนี้โหรวโหรวกลายเป็นลูกสาวหงลี่ไปแล้ว และเธอก็จดจำไปแล้วว่าบ้านของเธอคือบ้านหงลี่ แล้วแกจะอยากให้เธอกลับมาได้ยังไง แกคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ”


 


 


“คุณพ่อครับ! แต่โหรวโหรวกลับมาอยู่บ้านเราแล้ว ทำไมผมต้องส่งเธอกลับไปให้หงลี่ด้วยล่ะครับ” เซียวหงอี้กล่าวด้วยความโกรธ “แล้วอีกอย่างเราก็เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเธอ เธอไม่ควรอยู่กับเราหรอกหรือครับ เราจะปฏิบัติต่อเธออย่างดีมากๆ!”


 


 


“แต่ยายหนูไม่ต้องการอยู่กับแก!” คุณปู่เซียวมองเขาด้วยความโกรธ กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะมาพูดกันเรื่องนี้ ต้องขึ้นอยู่กับโหรวโหรว เธอมีสิทธิ์เลือกเองว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่มีใครบังคับเธอได้ ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษฉัน ถ้าฉันใจร้าย”


 


 


เซียวหงอี้พูดไม่ออก ทำได้แค่ลดความมุ่งมั่นในความคิดลงและเปลี่ยนไปเรื่องใหม่ “แต่โหรวโหรวหมั้นไว้กับหลิวเฉิงอวี่แล้วนะครับ และเฉิงอวี่ก็ชอบเธอมาก เราปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ จริงไหมครับ”


 


 


“ฝันไปเถอะ!” คุณปู่เซียวผุดลุกขึ้นทันที และจ้องมองเซียวหงอี้ “แกใช้เซียวจิ้นหนิงไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็เลยหันมาใช้โหรวโหรวแทนอย่างนั้นหรือ ฉันจะบอกแกให้นะ ถ้าแกกล้าบังคับหรือสร้างความลำบากใจให้โหรวโหรว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฉันจะหักขาแกทั้งสองข้าง!”


 


 


เซียวหงอี้รู้สึกว่าเขาผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง “คุณพ่อ! เซียวโหรวเป็นลูกสาวผมนะครับ! ผมทำอย่างนี้ก็เพื่อเธอ! ถึงแม้เธอจะเป็นคุณหนูตระกูลเซียวของเรา แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนอกมาตลอดยี่สิบสามปี นอกจากเฉิงอวี่แล้ว จะมีชายหนุ่มจากตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลคนไหนยอมรับเธอ…


 


 


…ตอนนี้เธอยังเรียนหนังสืออยู่ก็จริง แต่ในอนาคตล่ะครับ” เซียวหงอี้กล่าวต่อไปอย่างไม่สนใจ “ผมจะวางแผนอนาคตให้เธอ!”


 


 


“ฉันเลี้ยงหลานสาวของฉันได้ ถ้าไม่มีใครอยากแต่งงานกับเธอ!” คุณปู่เซียวหันหลัง เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันไม่อยากได้ยินแกพูดเรื่องนี้อีก!”


 


 


เซียวหงอี้ลุกขึ้นยืน มองตามหลังคุณปู่เซียวและขมวดคิ้วกล่าวอย่างเย็นชา “ทำไมคุณพ่อถึงได้คิดสั้นๆ แบบนี้!”


 


 


สำหรับตระกูลเซียวของเขา ตระกูลหลิวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด! เซียวโหรวจะมีชีวิตที่สุขสบายหลังจากแต่งงานกับหลิวเฉิงอวี่! 

 

 


ตอนที่ 227 อาสี่ สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

 

ประการแรก ตระกูลหลิวมีฐานะร่ำรวยและมีอิทธิพลเท่าเทียมกับตระกูลเซียว ประการที่สอง พวกเขาเห็นว่าหลิวเฉิงอวี่ชอบเซียวโหรวมาก ดังนั้นหลิวเฉิงอวี่จะไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อเธอหลังจากทั้งสองแต่งงานกัน ประการที่สาม ซีลั่วเสียนและหลิวกงหวามีสัมพันธภาพที่ดีกับหลินหรู เซียวโหรวไม่ต้องกังวลใดๆ เรื่องการปรับตัวเข้ากับครอบครัวหลิวเฉิงอวี่ หลังจากที่เธอแต่งงานเข้าไปอยู่ตระกูลหลิว ทำไมคนอื่นๆ ถึงไม่เข้าใจเรื่องนี้ 


 


 


ทุกคนคิดว่าเขาเลือกหลิวเฉิงอวี่ให้เซียวโหรว เพียงเพราะตระกูลหลิวร่ำรวยอย่างนั้นหรือ ด้วยความสัตย์จริง โหรวโหรวคือคนที่จะแต่งงานกับหลิวเฉิงอวี่ ไม่ใช่เขา เขาจะได้ประโยชน์อะไรหรือ เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของลูกสาว! 


 


 


ด้วยความสัตย์จริง ก่อนหน้านี้เขามีแรงจูงใจซ่อนเร้นบางอย่าง แต่หลังจากเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เขาเพียงแค่อยากเห็นเซียวโหรวมีอนาคตที่ดี! 


 


 


เธออายุยี่สิบสามปีแต่ยังอยู่โรงเรียนมัธยม แม้คนในครอบครัวจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ แต่ผู้คนที่มองจากภายนอกต้องนินทาเธออย่างแน่นอน 


 


 


เซียวหงอี้รู้สึกหงุดหงิดด้วยความผิดหวัง และในเวลาเดียวกันถังซีก็ไม่ได้อารมณ์ดีไปกว่ากัน เมื่อเธอเห็นรอยคล้ำใต้ตาเฉียวเหลียง เธอโมโหขึ้นมาทันที “เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับเหรอ” 


 


 


เฉียวเหลียงสตาร์ทรถและกล่าวว่า “ผมโอเค เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่โรงเรียนก่อน” 


 


 


“ไม่โอเค” ถังซีจ้องหน้าเฉียวเหลียงและกล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณจะมารับฉันไปโรงเรียนได้ยังไง ถ้าคุณไม่ได้นอนทั้งคืนเมื่อคืนนี้ คุณไม่รู้หรือ การขับรถในขณะง่วงนอนเป็นอันตราย ถ้าคุณประสบอุบัติเหตุขึ้นมาจะเป็นยังไง” 


 


 


“ผมจะไม่เป็นอะไร” เฉียวเหลียงหันไปมองถังซี เขาอาจดีใจที่ถังซีเป็นห่วง เพราะมีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าเขา “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไม่ได้นอนเลยสามวันสามคืน แต่ผมก็ไม่มีอุบัติเหตุอะไร เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


“ฉันจะไม่ห่วงได้ยังไง” ถังซีจ้องหน้าเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันจะพาคุณไปที่โรงแรมใกล้ๆ โรงเรียน เมื่อไปถึงคุณก็เปิดห้องพักและนอนพักที่นั่น” 


 


 


“ไม่” 


 


 


ถังซีจ้องหน้าเขา เฉียวเหลียงกล่าวว่า “ผมนอนไม่หลับหรอก ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย ผมไปนอนที่บริษัทได้ ขอผมส่งคุณไปโรงเรียนก่อน” 


 


 


ถังซีโกรธมากจนไม่อยากคุยกับเขา เธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ไม่ยอมหันมามองเฉียวเหลียงเลย เมื่อเห็นเธอหันหน้าหนี เฉียวเหลียงก็ยิ้ม “อย่าเพิ่งโกรธสิ งานผมยุ่งเหลือเกินช่วงที่ผ่านมา ผมทำงานดึกมากเมื่อคืน ผมดื่มกาแฟมากไปก็เลยนอนไม่หลับ แต่ทุกวันนี้ผมนอนหลับสนิทกว่าเมื่อก่อนนะ” 


 


 


“คุณโกหก” ดวงตาถังซีแดงเรื่อขึ้นมา ขณะถามตัวเองอยู่ในใจ ‘ทำไมเธอต้องใส่ใจกับเรื่องนี้’ เธอพยายามกลั้นน้ำตา ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวกับเฉียวเหลียงว่า “ไม่ต้องไปบริษัท หลังจากส่งฉันที่โรงเรียนคุณต้องกลับบ้านทันที หลังเลิกเรียนฉันจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง” 


 


 


เฉียวเหลียงมองถังซีด้วยสายตาลึกซึ้ง จับมือเธอไว้และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าโกรธเลยนะ เดี๋ยวผมจะให้กู้อวิ๋นมารับหลังจากส่งคุณที่โรงเรียนแล้ว ผมจะไม่ขับรถเอง ไม่ต้องห่วง”  


 


 


ถังซีโล่งใจในที่สุดเมื่อได้ยินแบบนี้ เธอเม้มปาก “คุณทานอาหารเช้าหรือยัง” 


 


 


เฉียวเหลียงตอบว่า “ผมจะให้กู้อวิ๋นซื้ออาหารเช้ามาให้ และผมจะทานในรถ”  


 


 


กู้อวิ๋นนั่งอยู่ในห้องทำงาน เกือบจะถูกกองแฟ้มเอกสารทับอยู่แล้ว จู่ๆ ก็จามขึ้นมา เขาดึงกระดาษทิชชูมาซับจมูก ขณะที่ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เอ่ยขึ้นว่า “อาอวิ๋น สาวคนไหนน๊าที่คิดถึงนาย ดูสิ นายทำงานล่วงเวลามาตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่เสร็จซักที นายลืมวันลืมคืนไปเลยใช่ไหม อยากให้ฉันไปเดทกับนายไหม”  


 


 


“ไปไกลๆ เลย!” กู้อวิ๋นเตะขาเก้าอี้ชายหนุ่มคนนั้นและไล่เขาออกไป จากนั้นก็ดึงกระดาษทิชชูอีกแผ่นมาซับเช็ดจมูก “ฉันจะขอให้เจ้านายจ่ายค่าล่วงเวลาให้ฉัน ถ้าเขาปฏิเสธ ฉันจะไม่ทำงานอื่นนอกเหนือจากหน้าที่ของฉัน ที่กองเป็นตั้งอยู่นี่! บ้าชะมัด!”  


 


 


ชายหนุ่มคนเดิมกล่าวอีก “นายต้องโทษตัวเอง นายเลือกนายน้อย ไม่ยอมเลือกคุณเจ็ด แล้วทีนี้รู้หรือยังว่านายน้อยน่ะโหดแค่ไหน” เมื่อจบคำพูดเขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่ผู้ชายเก่งๆ มักงานยุ่งเสมอ เราถูกย้ายมาที่นี่เพราะเราคือพวกหัวกะทิ แต่ตอนนี้เราได้นั่งอยู่ที่นี่แบบสบายๆ อิจฉานายจริงๆ นะนี่ ที่นายงานยุ่งมาก” 


 


 


กู้อวิ๋นเหลือบมองชายหนุ่มคนนั้นพร้อมกับยิ้ม แล้วทันใดนั้นก็โยนแฟ้มตรงหน้าเขากองหนึ่งให้ชายหนุ่ม และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นายไม่ต้องกินข้าวกลางวัน ถ้าจัดการงานในแฟ้มกองนี้ไม่เสร็จ” จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ และกล่าวอย่างดุดัน “ถ้าใครกล้าเอาอาหารกลางวันมาให้อาไฮ้กิน ฉันจะทำให้เขาต้องหิวไปตลอดกาล! ทุกคนได้ยินที่ฉันพูดไหม”  


 


 


ทุกคนตอบพร้อมกัน “ได้ยินครับ คุณสี่!” 


 


 


อาไฮ้ยอมจำนนและขออภัยทันที “คุณสี่ ผมผิดไปแล้ว คุณสี่ตีผมก็ได้! เตะผมก็ได้! ตีผมให้ตาย! แต่โปรดอย่าทำอย่างนี้กับผม! ผมอยู่ไม่ได้ถ้าต้องอดอาหาร! ผมทนหิวไม่ได้! ได้โปรดเถอะ!” 


 


 


กู้อวิ๋นยิ้ม “อ้าว ก็นายเรียกฉันว่าอาอวิ๋นไม่ใช่หรือ นายใหญ่ ผมจะกล้าตีนายใหญ่ได้ยังไง”  


 


 


อาไฮ้หน้าสลด “คุณสี่ผมผิดไปแล้วจริงๆ โปรดยกโทษให้ผมด้วย!” เขาสามารถจัดการกับแฟ้มเหล่านี้ได้ทั้งหมด เขาทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง แต่เขาทนหิวไม่ได้! ทันใดนั้นอาไฮ้ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาเขาเป็นประกายทันที เขารีบอาสา “คุณสี่ เอาอย่างนี้ไหม ผมจะจัดการกับแฟ้มบนโต๊ะให้ทั้งหมดเลย ได้โปรดให้ผมกินอาหารกลางวันด้วย!” 


 


 


กู้อวิ๋นเลิกคิ้ว มองดูกองแฟ้มเอกสารบนโต๊ะที่สูงเป็นภูเขา แล้วกล่าวเสียงแข็ง “ทั้งหมด?!”  


 


 


อาไฮ้มองดูกองแฟ้มแล้วกลืนน้ำลาย แต่ในที่สุดก็พยักหน้า หลังจากถกเถียงกับตัวเองในใจอย่างหนักอยู่ครู่ใหญ่ “ใช่ครับ! ตราบใดที่ผมได้กินข้าว!” 


 


 


กู้อวิ๋นยิ้ม เลิกคิ้วขึ้น “จัดการเลย” จากนั้นเขาก็มองอาไฮ้ซึ่งหน้าจ๋อยไปทันที “นายเป็นคนมีความสามารถ ฉันเชื่อว่านายจะทำงานให้เสร็จได้ในคืนนี้ ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย อาไฮ้” 


 


 


อาไฮ้รู้สึกราวกับว่าเขายกก้อนหินขึ้นเพียงเพื่อวางทับเท้าตัวเอง ขณะนั้นนั่นเองอาห้าก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นกู้อวิ๋นยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ และอาไฮ้มีสีหน้าซีดสลด เขาก็เลิกคิ้วมองหน้ากู้อวิ๋น “อาสี่ เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


กู้อวิ๋นยิ้ม “ไม่มีอะไร อาไฮ้เขาใจดี เขาสัญญาว่าจะทำงานในแฟ้มทั้งหมดนี้ให้เสร็จคืนนี้ ฉันก็แค่ให้โอกาสเขาแสดงความสามารถ” 


 


 


หางตาอาห้าหรี่ลง มองหน้าอาไฮ้ซึ่งเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว “ผมจะไม่ล้อเลียนคุณสี่อีก! ผมสาบาน!” 


 


 


อาห้าหัวเราะ “ฉันรู้ว่าฉันจะไม่ทำแบบนั้นมานานแล้ว นายไม่เคยรู้ความจริงข้อนี้มาก่อนหรือไง” เมื่อกล่าวจบเขาก็หันไปมองกู้อวิ๋น “กู้อวิ๋นดูเป็นคนไม่น่ากลัว แต่นายจะต้องเสียใจถ้าทำให้เขาขุ่นเคือง นายซื่อเกินไปเด็กน้อย นายต้องฉลาดกว่านี้ อย่าพลาดแบบเดิมอีก” 


 


 


กู้อวิ๋นยิ้มไม่พูดอะไร อาไฮ้กล่าวอย่างขมขื่น “มีใครบ้างไหมที่จะปราบเขาได้” 


 


 


“มี” 


 


 


“ใครหรือ” 


 


 


อาห้ายิ้ม “นายน้อยไงล่ะ”  

 

 


ตอนที่ 228 ประธานเฉียวผู้ภาคภูมิใจ

 

จากนั้นอาห้าก็มองดูกองแฟ้มที่สูงเป็นภูเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ คนอื่นๆ เข้าใจในความหมายทันที ใช่แล้ว มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่ทำให้กู้อวิ๋นเชื่องเหมือนสุนัขได้! ไม่ว่านายน้อยบอกให้ทำอะไร เขาก็จะทำโดยปราศจากคำอุทธรณ์ใดๆ … อ้อ… ไม่ใช่สิ เขาจะทำแม้ว่าเขาจะอยากอุทธรณ์ก็ตาม!


 


 


กู้อวิ๋นกำลังจะโต้กลับเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขามองดูชื่อผู้โทรและยืนตัวตรงทันทีโดยอัตโนมัติ เขารับโทรศัพท์แล้วกล่าวว่า “ครับ นายน้อย”


 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง ถังซีนั่งอยู่ข้างเฉียวเหลียง มองดูเขาโทรศัพท์ เฉียวเหลียงอดลูบผมเธอเล่นไม่ได้ “นั่งแท็กซี่มารับฉันที่โรงเรียนมัธยมตี้อี ซื้ออาหารเช้ามาด้วยฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย” เฉียวเหลียงมองดูถังซี กระแอม และหยุดไปครู่หนึ่ง “ต้องเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วยนะ ฉันจะรอนายอยู่ที่นี่”


 


 


จากนั้นเขาก็วางสายโทรศัพท์


 


 


กู้อวิ๋นตกตะลึงถือโทรศัพท์ค้างในมือ ใครช่วยบอกเขาทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจำได้ว่านายน้อยขับรถออกไปนี่ ทำไมถึงบอกให้เขาไปรับจากโรงเรียนมัธยมตี้อีล่ะ และนายน้อยผู้ไม่เคยทานอาหารเช้า บอกให้เขาซื้อ ‘อาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการ’ ไปให้ด้วย


 


 


กู้อวิ๋นวางสายโทรศัพท์แล้วมองหน้าอาห้า ถามด้วยสีหน้างุนงง “แล้วนายรู้ไหมว่าใครปราบนายน้อยได้”


 


 


อาห้าเลิกคิ้ว “นายน้อยโทรมาหรือ”


 


 


กู้อวิ๋นพยักหน้า อาห้ามองสีหน้าสับสนของกู้อวิ๋น และถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เขาสั่งให้นายทำอะไร”


 


 


กู้อวิ๋นมองโทรศัพท์ในมือเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝันไป แล้วมองอาห้า “เขาสั่งให้ฉันนั่งแท็กซี่ไปรับเขา”


 


 


“ฮะ?” อาห้างุนงง “แต่เขาขับรถไปไม่ใช่หรือ”


 


 


กู้อวิ๋นพยักหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าและกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่นั้น เขายังสั่งให้ฉันซื้ออาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการไปให้เขาด้วย…”


 


 


อาห้าอ้าปากค้าง “นายน้อยน่ะหรือ อาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างนั้นหรือ นายได้ยินไม่ผิดแน่นะ”


 


 


กู้อวิ๋นประชด “นายก็โทรไปเช็กกับเขาดูสิ”


 


 


พูดจบเขาก็เดินออกไป ลงบันไดไปชั้นล่าง ข้ามถนนไปซื้ออาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ซุ้มขายอาหารฝั่งตรงกันข้ามกับบริษัท จากนั้นก็ขึ้นแท็กซี่ มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนมัธยมตี้อี


 


 


ถังซียังไม่ลงจากรถเข้าไปในโรงเรียนจนกระทั่งเฉียวเหลียงวางสาย ก่อนลงไปเธอยังเน้นย้ำให้เฉียวเหลียงกลับบ้านไปนอนและทานอาหารเช้า เฉียวเหลียงพยักหน้า ท้ายที่สุดเขาก็อดพูดไม่ได้ว่า “อีกแค่ห้านาทีโรงเรียนก็จะเข้าแล้วนะ คุณยังมัวพูดกับผมอยู่ได้”


 


 


ถังซีเพิ่งรู้ว่าตอนนี้แปดโมงยี่สิบห้านาทีแล้ว เธออุทานแล้วโวยวายเสียงดัง “โอย ตายละ! นี่เป็นความผิดของคุณ ฉันต้องคอยเป็นห่วงคุณตลอดเวลา! ฉันเข้าเรียนสายเพราะคุณ! นี่คุณไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไง ที่ทำให้เด็กผู้หญิงอย่างฉันต้องคอยเป็นห่วงแบบนี้น่ะ ฮึ คุณลุง!”


 


 


เฉียวเหลียงตกตะลึงกับคำพูดของเธอ เขามองตามหลังถังซีซึ่งอยู่ในชุดนักเรียน วิ่งเข้าไปในโรงเรียนพร้อมกับกระเป๋านักเรียน จากนั้นก็ค่อยๆ มองตัวเองในกระจกมองหลัง ด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ กะพริบตาปริบๆ “คุณลุงเหรอ”


 


 


“บ้าชะมัด!” เฉียวเหลียงผู้สงบนิ่งเอ่ยคำสบถเป็นครั้งแรกในชีวิต “เธอมาเรียกฉันว่าคุณลุงได้ยังไง!” ขณะมองดูใบหน้าไร้ที่ติในกระจก เฉียวเหลียงก็สงสัยว่าทำไมถังซีถึงเรียกชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างเขาว่าคุณลุง


 


 


ก็ทั้งคู่อายุเท่ากัน… บ้าที่สุด! เธอลืมไปหรือเปล่าว่าเธอก็อายุยี่สิบเจ็ดเท่ากับเขา


 


 


กู้อวิ๋นลงจากรถแท็กซี่พร้อมด้วยอาหารเช้าชุดใหญ่ แล้วก็เห็นรถคันหรูจอดอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมตี้อี เขาเข้าไปเคาะหน้าต่างรถ และรีบเปิดประตูออก…


 


 


แล้วทันทีนั้นเขาก็ต้องเสียใจ ทำไมนายน้อยดูหน้าตาบูดบึ้งถมึงทึงขนาดนั้น มีใครสร้างความระคายเคืองให้หรือ นี่เขามาผิดเวลาหรือเปล่า


 


 


ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เฉียวเหลียงก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นี่นายเดินเท้ามาหรือไง”


 


 


กู้อวิ๋นมองดูนาฬิกาข้อมือ เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาที รีบมาที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


 


“นายน้อยครับ ผมนั่งแท็กซี่มา นี่อาหารเช้าของนายน้อยครับ” กู้อวิ๋นส่งอาหารเช้าให้เฉียวเหลียง เฉียวเหลียงมองดูอาหารเช้าแล้วขมวดคิ้ว กล่าวด้วยความโกรธ “มันเย็นหมดแล้ว!”


 


 


กู้อวิ๋นอึ้ง “…” บ้าไปแล้ว! อาหารยังร้อนอยู่เลยตอนผมลงจากรถ รังสีเย็นเยือกของนายน้อยนั่นแหละที่ทำให้อาหารเย็น! จะมาโทษผมได้ยังไง!


 


 



 


 


“เอ้อ นายน้อยครับ… เราจะไปไหนกันครับ” กู้อวิ๋นหันกลับไปมองเฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง กำลังทานอาหารเช้าที่เขาซื้อมา ในขณะที่ท้องเขาก็เกือบจะว่างเปล่าเหมือนกัน


 


 


“บ้านฉัน” ตอบแล้วเฉียวเหลียงก็ทานต่อไป หลังจากได้ทานอาหารเช้าร้อนๆ เฉียวเหลียงก็รู้สึกดีขึ้นมาก


 


 


เขาเลิกคิ้วด้วยความพึงพอใจเมื่อทานอาหารเสร็จ กู้อวิ๋นซึ่งถูกเย้ายวนด้วยกลิ่นหอมของอาหารกลืนน้ำลาย และพยายามปลอบใจตัวเอง นายกินขนมปังยัดไส้ไปสองก้อนแล้วระหว่างทาง เพราะฉะนั้นนายไม่หิวเลย


 


 


ทันใดนั้นเฉียวเหลียงซึ่งอิ่มแล้ว จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองกู้อวิ๋น “กินบ้างไหม”


 


 


กู้อวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งใจมาก กล่าวว่า “ขอบคุณครับ นายน้อย” แล้วเอื้อมมือไปหยิบอาหารเช้าที่เหลือ แต่เฉียวเหลียงคว้าไปวางอีกทางหนึ่งเสียก่อน “อันตรายนะ นายขับรถอยู่ ค่อยกินทีหลังก็แล้วกัน”


 


 


กู้อวิ๋นอึ้ง “…” นี่นายน้อยล้อผมเล่นหรือ


 


 


ในขณะนั้นรถก็แล่นผ่านศูนย์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพอดี จู่ๆ เฉียวเหลียงก็บอกให้กู้อวิ๋นเลี้ยวรถเข้าไปจอด กู้อวิ๋นเหยียบเบรกแทบไม่ทัน หันกลับไปมองเฉียวเหลียงด้วยสายตาเป็นคำถาม และถามว่า “นายน้อย มีอะไรหรือครับ”


 


 


เฉียวเหลียงยังคงไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็มองหน้ากู้อวิ๋นด้วยสายตาจริงจัง กู้อวิ๋นรู้สึกว่าหัวใจหล่นวูบอย่างกะทันหัน ‘พระเจ้า มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับนายน้อยวันนี้ ทำไมเขาดูแปลกจัง’ เฉียวเหลียงถามหลังจากหยุดนิ่งอยู่ประมาณสองนาที “นายคิดว่าฉันเหมือนคุณลุงไหม”


 


 


“อะไรนะครับ” กู้อวิ๋นตกตะลึง นายน้อยครับ ถ้าคุณเป็นคุณลุงแล้วพวกผมล่ะครับคืออะไร คุณปู่หรือ


 


 


เฉียวเหลียงกล่าวต่อไป “ฉันคิดว่าช่วงนี้สภาพผิวหน้าฉันไม่ค่อยดี นายคิดว่าฉันควรดูแลรักษาผิวพรรณเป็นประจำบ้างไหม ฉันดูแก่ไหม”


 


 


“ไม่เลยครับ.. ผมไม่คิดอย่างนั้นเลย…” กู้อวิ๋นร้องอยู่ในใจ เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยครับ! นายน้อยไม่เคยใส่ใจกับผิวพรรณตัวเองมาก่อน ทำไมอยู่ๆ ถึงต้องการดูแลผิวพรรณขึ้นมา!


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “ฉันคิดว่าสภาพผิวฉันไม่ค่อยดีจริงๆ ช่วงที่ผ่านมา” เขาเงยหน้าขึ้นมองกู้อวิ๋น “เข้าไปในร้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซื้อมาสก์มาให้ฉัน แล้วก็ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชนิดอื่นๆ ด้วย”


 


 


กู้อวิ๋นอึ้ง “… นาย… นายน้อย… แน่ใจหรือครับ”


 


 


เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่คุณเก้าบอกให้นายน้อยดูแลผิวอย่างจริงจังก่อนหน้านี้ นายน้อยมองหน้าคุณเก้าด้วยสายตารังเกียจ และเรียกเขาว่า ‘คุณชายผิวบาง’ นี่นายน้อยผีเข้าหรือเปล่า


 


 


เมื่อเห็นกู้อวิ๋นขมวดคิ้วและท่าทางเป็นกังวล เฉียวเหลียงก็ถามว่า “มีปัญหาหรือ”


 


 


“ไม่มีปัญหาครับ!” กู้อวิ๋นเปิดประตูรถ “ผมจะรีบไปซื้อทุกอย่างเดี๋ยวนี้! นายน้อยอยากได้มาสก์แบบไหนครับ”


 


 


“มาสก์แบบที่เป็นที่นิยมที่สุด… ในบรรดาเด็กหนุ่ม!” เฉียวเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย และคิดอยู่คนเดียวอย่างภาคภูมิใจ ฉันก็ยังเป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน! 

 

 


ตอนที่ 229 แฟนคลับรุ่นเด็ก

 

กู้อวิ๋นอึ้ง “…”


 


 


สิบนาทีต่อมากู้อวิ๋นก็เดินถือกล่องใบใหญ่ออกมาจากร้าน เฉียวเหลียงมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อเห็นกู้อวิ๋นค่อยๆ เดินมาที่รถอย่างยากลำบาก ในมืออุ้มกล่องขนาดใหญ่มาด้วย มีคนขายของในร้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสองคนมองตามออกมาด้วยท่าทางร่าเริงเบิกบาน เขาก็ขมวดคิ้วและคิดว่า “ไอ้บ้านี้ซื้อมาสก์ไว้ใช้ทั้งปีเลยหรือไง”


 


 


กู้อวิ๋นวางกล่องไว้ที่ท้ายรถ แล้วขึ้นมานั่งที่นั่งคนขับพร้อมกับยกมือกุมขมับ จากนั้นก็หันไปหาเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “นายน้อยครับ ผมซื้อมาสก์เรียบร้อยแล้วครับ”


 


 


เฉียวเหลียงบ่นในใจว่า ‘นี่นายซื้อมาสก์มาหมดทั้งร้านเลยใช่ไหม สภาพผิวฉันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันต้องใช้มาสก์มากมายอย่างนี้เลยหรือ!’ แต่เขายังคงนิ่งเฉยอยู่ หลังจากกู้อวิ๋นเริ่มสตาร์ทรถ เขาจึง ถามขึ้น “นายซื้อมาสก์อะไรมา”


 


 


กู้อวิ๋นมองเฉียวเหลียงจากทางกระจกมองหลัง และรู้สึกเย็นกระดูกสันหลังวาบ เขากล่าวเสียงต่ำ “ผมซื้อมาสก์ชนิดยอดนิยมที่สุดในช่วงนี้ ตามที่นายน้อยสั่ง…”


 


 


เฉียวเหลียงคำรามเบาๆ และหลบสายตา กู้อวิ๋นสตาร์ทรถขณะที่เฉียวเหลียงถามว่า “นายคิดว่าสภาพผิวฉันเลวร้ายมากใช่ไหม”


 


 


กู้อวิ๋นสะดุ้งกับคำถาม เขาถอนเท้าจากคลัตช์กะทันหันจนรถกระตุก โชคดีที่ประสิทธิภาพของรถดีมาก จึงไม่มีอาการสั่นไหว หัวใจกู้อวิ๋นหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาจับพวงมาลัยแน่นแล้วกลืนน้ำลาย “ไม่เลยครับนายน้อย! ผิวนายน้อยดูอ่อนเยาว์นวลเนียนยิ่งกว่าเต้าหู้เสียอีก ผมจะคิดแบบนั้นได้ยังไง! ไม่ใช่ผิวนายน้อยหรอกครับที่แย่ แต่ผิวผมสิแย่มากๆ!”


 


 


“นายหมายถึงฉันดูเหมือนผู้หญิงอย่างนั้นหรือ”


 


 


กู้อวิ๋น “…” นายน้อยครับ ได้โปรดอย่าบิดเบือนความหมายของผมอย่างนั้นสิ!


 


 


ขณะที่กู้อวิ๋นไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรดี โทรศัพท์เฉียวเหลียงก็ดังขึ้น เฉียวเหลียงขมวดคิ้วหยิบโทรศัพท์ออกมา อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทางเขาอ่อนโยนลงทันทีเมื่อเห็นชื่อผู้โทร เมื่อเห็นอย่างนั้นจากทางกระจกมองหลัง กู้อวิ๋นก็สตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง และรีบออกรถทันที


 


 


เฉียวเหลียงรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ใช่ ผมทานอาหารเช้าแล้ว มีอาหารเยอะแยะเลย” เขากล่าวขณะเปิดถุงที่วางอยู่บนที่นั่งข้างๆ และบอกเธอว่าเขาทานอะไรบ้าง “มีข้าวโอ๊ต เกี๊ยวเนื้อ ไข่ลวก แล้วก็แซนด์วิชด้วย”


 


 


ถังซีแทบน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเขาบอกว่าเขาทานอะไรบ้างเป็นอาหารเช้า เธอไม่ได้ทานแซนวิชมานานมาก! แล้วยังเกี๊ยวเนื้ออีก… โอ เธออยากทานเหลือเกิน!


 


 


“อาหารเช้าของคุณมีมากมายหลายอย่างกว่าของฉันอีก…” เจ้าแห่งการกินกล่าวด้วยความอิจฉา


 


 


เฉียวเหลียงถึงกับอึ้ง “…”


 


 


กู้อวิ๋นคิดว่าเขาต้องกำลังเห็นภาพหลอนอยู่แน่ๆ ขณะฟังเจ้านายหนุ่มคุยเรื่องอาหารเช้ากับใครบางคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นายน้อยครับ คุณเป็นคนเงียบอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนเจรจาธุรกิจไม่ใช่เหรอครับ คุณเป็นคนพูดน้อยไม่ใช่หรือ ทำไมคุณถึงได้ถือถุงอาหารเช้าคุยเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ล่ะ


 


 


ราวกับรู้ว่ากู้อวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ เฉียวเหลียงหันไปมองกู้อวิ๋น กู้อวิ๋นนั่งตัวตรงทันที แล้วจ้องตรงไปข้างหน้า ขับรถอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าถังซีจะถามอะไรเฉียวเหลียง เขาวางถุงอาหารเช้าลง แล้วยันข้อศอกขวาลงบนขอบหน้าต่าง รองรับศีรษะที่เอนพิงด้วยท่าทางสบายใจ และหลับตาลง “ใช่ ผมกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน”


 


 


“ตกลง ไปเข้าห้องเรียนเถอะ”


 


 


เฉียวเหลียงวางสายโทรศัพท์ และกู้อวิ๋นก็กลับมาตัวเกร็งอีกครั้ง โชคดีที่เฉียวเหลียงไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย ได้แต่หลับตาลง งีบหลับด้วยท่าทางพึงพอใจ


 


 


กู้อวิ๋นรู้สึกว่าท่าทางนายน้อยเหมือนถูกผีเข้า หรือคนที่สามารถปราบนายน้อยได้คือคุณหนูเซียว


 


 



 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง ถังซีวางสายโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ฝ่ายวิชาการ คุณครูเหอสังเกตเธออยู่ข้างหลังนานแล้ว เมื่อเห็นเธอเดินไปที่ห้องฝ่ายวิชาการเขาก็รีบตามไปจนทัน แล้วถามว่า “เซียวโหรว เธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ หรือ เธอเพิ่งเข้ามาเรียนในโรงเรียนได้ไม่ถึงเดือนเลย เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น”


 


 


ถังซีหันหันกลับไปมองคุณครูเหอ จากนั้นก็มองดูบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่มองออกมาจากทางหน้าต่างและยิ้มให้ “ทั้งคุณครูเหอและเพื่อนๆ ทุกคนก็รู้สถานการณ์ของหนูดีแล้ว หนูต้องรีบสอบโดยเร็วที่สุดค่ะ ไม่อย่างนั้นหนูจะแก่เกินไปที่จะเข้ามหาวิทยาลัย หนูจะไปปรึกษาท่านผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการเรื่องการสอบค่ะ ถ้าเป็นไปได้หนูหวังว่าจะสามารถข้ามชั้นขึ้นไประดับสามได้หลังจากวันชาตินี้”


 


 


“เซียวโหรว โรงเรียนของเรากำลังจะจัดแสดงผลงานทางศิลปะ ครูหวังว่าเธอจะเข้าร่วมแสดงในนามชั้นเรียนเรา เธอก็รู้ว่าชั้นเรียนของเรา…”


 


 


ถังซียิ้มและถามว่า “การแสดงผลงานทางศิลปะจะจัดขึ้นเมื่อไหร่คะ”


 


 


เธอไม่เคยดูการแสดงผลงานทางศิลปะใดๆ มาก่อนเลยตอนที่เรียนอยู่ในเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมแสดง เธอเกือบลืมไปเลยว่าการแสดงผลงานทางศิลปะคืออะไร แต่ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสเธอจึงไม่อยากพลาด ถึงแม้เธอจะไม่ได้ร่วมแสดงงานศิลปะบนเวที แต่เธอก็จะได้ดูคนอื่นแสดง


 


 


“เธอคิดว่าเธอจะเข้าร่วมได้ไหม” คุณครูเหอมองเธอด้วยความปลาบปลื้มและรีบกล่าวว่า “งานจะจัดขึ้นวันที่สิบตุลา เธอเข้าร่วมด้วยได้ไหม”


 


 


“นักเรียนชั้นเราเตรียมการแสดงละครเวทีเรื่อง ‘ซินเดอเรลลา’ เป็นการแสดงบัลเล่ต์และขับร้องเพลง เธอจะเข้าร่วมกับกลุ่มไหน” คุณครูเหอดวงตาเป็นประกาย


 


 


ถังซีหันไปมองเพื่อนร่วมชั้น ทุกคนมองมาที่เธอด้วยความคาดหวังเช่นเดียวกัน เธอยิ้ม “เมื่อมองตาทุกคนแล้ว ฉันต้องรู้สึกผิดแน่ ถ้าไม่เข้าร่วม”


 


 


คุณครูเหอยิ้มแล้วมองกลับไปที่นักเรียนชั้น A นักเรียนเกือบทุกคนตะโกนว่า “เซียวโหรว เธอเข้าร่วมการแสดงศิลปะก่อนนะ แล้วค่อยสอบข้ามเกรด!” ในสายตาพวกเขา เซียวโหรวมีพลังในการทำอะไรก็ตามแทบจะทุกอย่าง แม้เธอจะเติบโตมาในชนบท แต่ผลการเรียนของเธอนั้นยอดเยี่ยมและดีกว่านักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียน รวมถึงหนิงเคอด้วย เพราะหนิงเคอไม่รู้วิธีแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์บางข้อ และยังต้องใช้ความพยายามในการทำแบบฝึกหัดภาษาฝรั่งเศส แต่ถังซีแตกต่าง เธอเรียนเก่งราวกับเธอเคยเรียนทุกวิชามาก่อนแล้ว


 


 


ถังซีมองไปตามใบหน้าที่คาดหวังแล้วยิ้ม “ในเมื่อทุกคนมั่นใจในตัวฉัน ฉันก็จะเข้าร่วมการแสดงงานศิลปะ” เธอหันไปมองคุณครูเหอ “หนูจะเล่นเปียโนค่ะ”


 


 


ทุกคนมองถังซีด้วยสายตาทึ่ง หนิงเคอซึ่งยืนอยู่บนทางเดินมองหน้าเธอ “เธอเล่นเปียโนได้ด้วยเหรอ”


 


 


หนิงเคอเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาตั้งแต่เด็ก ทว่าอย่างไรก็ตามเขาไร้ความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีโดยสิ้นเชิง นี่เป็นความเจ็บปวดอันใหญ่หลวง พี่ๆ มักล้อเขาเสมอในข้อบกพร่องนี้ เขาจึงนับถือผู้ที่มีความสามารถในการเล่นเปียโนเป็นอย่างยิ่ง…


 


 


เมื่อเห็นท่าทางหนิงเคอ ถังซีก็คิดในใจว่า ‘เด็กคนนี้กำลังจะกลายเป็นแฟนคลับรุ่นเด็กของฉันใช่ไหม’

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม