พันธกานต์ปราณอัคคี 223-229
ตอนที่ 223 สี่เจินจวินร่วมสืบสวน
“อาจารย์?” มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าสงบของกู้หลี
“ชิงเฉิน เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” กู้หลีหดมือกลับ เอ่ยอย่างสงบราบเรียบ
มั่วชิงเฉินร้อนตัว อยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้นางจะไม่รู้ได้อย่างไร ทุกครั้งที่กู้หลีเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
การสนทนาของทั้งสองคนเข้าไปในหูของอีกสามคน นักพรตซานอินและนักพรตจื่อซีเก็บพลานุภาพกลับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วเดินมาทางมั่วชิงเฉิน
นักพรตฟางเหยาแอบโล่งอก
“นางหนูชิงเฉิน เจ้าฟื้นได้เวลาพอดี รีบบอกพวกเรามา เจ้าเด็กเถียนหยวนใช่ถูกเจ้าฆ่าหรือไม่?” นักพรตจื่อซีถาม
มั่วชิงเฉินมองกู้หลีและนักพรตจื่อซี แล้วมองนักพรตฟางเหยาที่หน้าตาลำบากใจอยู่ข้างๆ อีก สุดท้ายสายตาตกไปที่นักพรตซานอินนั่น
เห็นเพียงนักพรตซานอินสีหน้าอึมครึม ดวงตาใต้คิ้วขาวหรี่ลง กลับปิดไอเข่นฆ่าที่โจ๋งครึ่มไม่มิด
เพียงปราดนี้ มั่วชิงเฉินก็เข้าใจ เขาต้องกุมหลักฐานสำคัญไว้แน่นอน มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นพวกเขานี้ ไม่มีทางทำอะไรไม่ไว้หน้าต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน
เพียงแต่ยามนี้ นางกลับไม่ทันได้คิดให้ชัดเจนว่าตกลงเกิดช่องโหว่ที่ตรงไหนกันแน่
ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของผู้บำเพ็ญเพียรไม่เพียงแต่สามารถสะท้อนความเป็นตายของผู้บำเพ็ญเพียร ยังสามารถเห็นถึงสภาพร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ผ่านไส้ตะเกียงว่าลุกไหม้ได้โชติช่วงหรือไม่ ดังนั้นตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาเป็นของที่เร้นลับที่สุดของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่เอาออกมาให้คนอื่นเห็นง่ายๆ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรบางคนหลังจากเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อกำเนิดแล้วจะดึงดวงจิตสายนั้นออกจากตะเกียง ไม่ให้ตะเกียงลุกไหม้อีก
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้เห็นตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาเลย ความเข้าใจต่อตะเกียงดวงจิตก็จำกัดอยู่เพียงความรู้ที่ว่าสามารถแสดงความเป็นตายของผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น โดยไม่รู้ถึงประโยชน์ของสุคนธ์ล่าวิญญาณ
มั่วชิงเฉินก็เช่นกันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ นางพลิกดูคัมภีร์เท่าที่หาได้ ก็เพียงแค่เข้าใจถึงความมีอยู่ของตะเกียงนี้โดยประมาณเท่านั้น ส่วนรายละเอียดที่ลึกลงไปกลับไม่อาจรู้ได้ ยิ่งไม่กล้าไปถามคนอื่น รวมทั้งอาจารย์
ผลที่แย่ที่สุด ก็คือคนอื่นรู้ว่าเถียนหยวนถูกนางฆ่า ทว่าจะให้คนอื่นมองเงื่อนงำออกว่านางตั้งใจวางแผนไว้ไม่ได้เด็ดขาด
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ เถียนหยวนถูกชิงเฉินฆ่าเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินหลุบตาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“หา!” นักพรตจื่อซีปิดปากร้องเสียงเบา ในใจบ่นว่า เด็กโชคร้ายคนนี้ จะสัตย์จริงเกินไปหรือไม่ ก็เหมือนกับศิษย์น้องเล็ก ปกติดูแล้วฉลาดเฉลียวทีเดียว มีบางเวลากลับซื่อบื้อเป็นพิเศษ
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุกทีหนึ่ง หัวเราะเย้ยว่า “ดี ดี นางหนู นับว่ายังมีความกล้าอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ข้าก็ไม่ให้นางต้องทรมาน ก็ให้นางรับโทษด้วยวิธีที่สบายที่สุดเถอะ”
นักพรตฟางเหยาที่มีฝีมือช่องทางในการจัดการเรื่องต่างๆ เสมอมาร้อนใจจนตัวหมุน ในใจแอบว่า เหตุใดเจอเรื่องของนางหนูนี่ทีไรก็รับมือยากเช่นนี้นะ เรื่องในวันนี้ตกลงต้องประนีประนอมเช่นไรกันแน่นะ?
“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก…” นักพรตซานอินเรียกชัดถ้อยชัดคำ
ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มีพลังความสามารถระดับหนึ่งระดับสองของเขาโฮ่วเต๋อ นักพรตซานอินมีอิทธิพลต่อนักพรตฟางเหยาไม่น้อยจริงๆ
ได้ยินเขาพูดอีกครั้งนักพรตฟางเหยาจะแกล้งทำไม่ได้ยินอีกก็ไม่ได้ จึงไอแห้งๆ สองทีว่า “ศิษย์พี่ซานอิน อย่างไรก็ต้องถามที่มาที่ไปให้รู้เรื่อง ท่านว่าใช่หรือไม่ล่ะ?”
นักพรตซานอินสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเข้มว่า “นางหนูนั่นยอมรับกับปากแล้วว่านางฆ่าเถียนหยวน ยังต้องถามให้ชัดเจนปานใดอีก? ศิษย์น้องเจ้าสำนัก หรือว่าเจ้าในฐานะเจ้าสำนัก กลับจะปกป้องศิษย์ผู้กระทำผิด?”
ในใจแอบแค้นว่า เจ้าฟางเหยาคนนี้ ต่อให้ปกป้อง เจ้าก็ควรปกป้องเขาโฮ่วเต๋อของเราสิ หรือว่าเห็นท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอายุขัยเหลือไม่มาก หลิวซางเจินจวินเขาชิงมู่ก็เลื่อนขั้นระดับก่อกำเนิดระยะปลายอีก จึงคิดเอาใจออกหาก?
ไม่ได้ เห็นทีวันไหนได้เจออาจารย์ ตนต้องคุยด้วยดีๆ สักหน่อย
กู้หลีกลับไม่สนใจการบีบคั้นของนักพรตซานอิน ถามอย่างเฉยเมยว่า “ชิงเฉิน เหตุใจเจ้าถึงฆ่าเถียนหยวน?”
มั่วชิงเฉินก้มหน้านิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ กัดริมฝีปาก พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ชิงเฉินฆ่าเขา ย่อมเพราะเขาสมควรตายเจ้าค่ะ!”
“เพี๊ยะ” เสียงหนึ่ง นักพรตจื่อซีตบมืออย่างไม่รู้ตัว เห็นทุกคนมองมา กลับยืดตัวขึ้น เอ่ยอย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่า “ดูเอาเถอะ ข้าพูดไว้ไม่ผิดสินะ?”
“จื่อซี เจ้านางปีศาจเฒ่า อย่าคิดว่าอาศัยที่หลิวซางเจินจวินเอ็นดูก็จะทำอะไรตามใจได้ ไม่เห็นเขาโฮ่วเต๋อข้าในสายตาเกินไปแล้ว อย่าลืมว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งยังอยู่นะ!” นักพรตซานอินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตะโกนว่า
ได้ยิน ‘นางปีศาจเฒ่า’ สามคำ นักพรตจื่อซีกระโดดขึ้นมาโดยพลัน สองมือเท้าเอวด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ซานอิน เจ้าปีศาจเฒ่า ก็ไม่เอากระจกส่องเสียหน่อย มีใครเหมือนเจ้าบ้างมีใบหน้าของคุณชายหนุ่มน้อย กลับดันมีคิ้วขาวคู่หนึ่ง? แตงกวาแก่ทาสีเขียว[1]ไม่เป็นไร คนที่อยู่มาหลายร้อยปีเช่นพวกเรานี่มีคนไหนไม่ได้เป็นเช่นนี้บ้าง ทว่าเหมือนเจ้านี่ทาครึ่งค่อนวันยังทาไม่ติด ช่างน่าขันสิ้นดี เจ้ายังมีหน้าออกมาอีก!”
“เจ้า!” นักพรตซานอินโกรธจนคำพูดติดอยู่ในลำคอ เสื้อตัวหลวมพองขึ้นมา
นักพรตจื่อซีค้อนควักหนึ่งแล้วเบือนหน้าไป มองดูมั่วชิงเฉินที่เหลอหลาอยู่ว่า “เฮ้อ คำพูดพวกนี้อัดอั้นอยู่ในใจข้ามาหลายร้อยปีแล้ว บัดนี้ในที่สุดก็พูดออกมาแล้ว ฮ่าๆ ช่างสะใจจริงๆ พูดไปแล้วยังเป็นนางหนูเจ้าที่ให้โอกาสนี้กับข้านะ” พูดพลางยื่นมือหยิกหน้ามั่วชิงเฉินทีหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ
“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก เจ้าก็ยืนดูทั้งเช่นนี้หรือ รังแกกันเกินไป รังแกกันเกินไปจริงๆ พวกเขาเขาชิงมู่ไม่เห็นเขาโฮ่วเต๋อของเราในสายตาเลยแม้แต่น้อย! อาจารย์ล่ะ? หากเจ้าไม่กล้าล่วงเกินคนอื่น ข้าก็จะเชิญอาจารย์ออกมาตัดสิน” นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุกจนจะตกลงมาอยู่แล้ว
นักพรตจื่อซีได้ยินแล้วไม่ยอมอ่อนข้อว่า “อ้าว เพิ่งพูดไปก็ลืมเสียแล้วหรือ? อะไรเรียกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งยังอยู่ ความหมายของเจ้าคือรู้สึกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งควรไม่อยู่นานแล้วสินะ? จิ๊ๆ จิตใจช่างอำมหิตนัก! ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งล่ะ จื่อซีจะไปเชิญท่านออกมาตัดสินเดี๋ยวนี้แหละ”
น่าสงสารนักพรตฟางเหยาได้กลายเป็นหินไปแล้ว ซ้ายถูกนักพรตซานอินลากทีหนึ่ง ขวาถูกนักพรตจื่อซีกระชากทีหนึ่ง ครึ่งค่อนวันยังไม่ได้สติกลับมา
เมื่อเป็นเช่นนี้กู้หลีและมั่วชิงเฉินกลับอยู่ข้างๆ ดูความครึกครื้นขึ้นมาเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน
เหลือบมองใบหน้าสบายอารมณ์ของกู้หลี มั่วชิงเฉินแอบคิดว่า อาจารย์เอ๋ยท่านต้องตั้งใจพาอาจารย์ลุงใหญ่มาด้วยแน่ๆ สินะ ต้องใช่แน่ๆ สินะ?
“ชิงเฉิน เจ้ายังกล้ายิ้มอีก!” กู้หลีกวาดไปเห็นรอยยิ้มที่มุมตาของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็อดส่งเสียงทางจิตเอ็ดไม่ได้
มั่วชิงเฉินรีบนั่งตัวตรง ตอบว่า “ชิงเฉินไม่กล้าเจ้าค่ะ”
กู้หลีถอนใจ ส่งเสียงทางจิตอีกว่า “ชิงเฉิน ข้าจำได้ว่ายามเด็กเจ้าว่าง่ายยิ่งนัก เหตุใดอายุยิ่งมาก ยิ่งใจกล้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นนี้แล้ว?”
“อาจารย์ ดูท่าท่านจะรังเกียจที่ชิงเฉินมักก่อเรื่องให้ท่าน เสียใจที่รับชิงเฉินเป็นศิษย์แล้วหรือเจ้าคะ? เช่นนี้ก็ดี รออีกสักครู่ยามที่ท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักลงโทษชิงเฉินท่านก็ไม่ต้องสนใจศิษย์ก็แล้วกัน หากว่า หากว่าท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักขับชิงเฉินออกจากสำนักหรือลงโทษตาย จะได้ไม่ต้องเป็นศิษย์ของท่านพอดี” น้ำเสียงออดอ้อนของมั่วชิงเฉินได้รับการถ่ายทอดจากนักพรตจื่อซีมาอย่างครบถ้วน
กู้หลีชะงัก ความโกรธที่พุ่งขึ้นในใจกลับกลายเป็นความลนลานยามที่เห็นความทำอะไรไม่ถูกและความอ่อนโยนดุจสายน้ำในดวงตากระจ่างใสของมั่วชิงเฉิน แล้วรีบเบือนสายตาไป
มั่วชิงเฉินหลุบตาแอบยิ้ม
“ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่าง…อันดับหนึ่งกักตนแล้ว ทว่าข้าได้…เชิญท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างท่านอื่นที่เหลือมาแล้ว…” ท่ามกลางการกระชากลากถูของนักพรตซานอินและนักพรตจื่อซี นักพรตฟางเหยาเอ่ยเหมือนจะขาดใจ
เพิ่งสิ้นเสียงพลานุภาพอันน่าตกใจหลายสายก็พุ่งตรงมายังโถงใหญ่ เขาโล่งอกขึ้นทันที
“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ลงโทษศิษย์ระดับสร้างรากฐานกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง เจ้าถึงกับรบกวนไปถึงท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างทั้งหลาย ข้าว่าเจ้าสำนักของเจ้านี่ยิ่งเป็นยิ่งมีอนาคตแล้ว” นักพรตซานอินเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม
ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งกักตน ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างสี่ท่านที่เหลือหลิวซางเจินจวินต้องยืนอยู่ข้างเขาชิงมู่แน่นอน ที่เหลืออีกสามคนต่อให้ไม่ยืนอยู่ข้างนั้น เกรงว่าก็ไม่มีทางยืนที่ข้างตนนี่ นักพรตซานอินยิ่งคิดยิ่งโกรธ
นักพรตฟางเหยาใบหน้ายิ้มแย้ม กลับแอบค้อนตาคว่ำ ศิษย์ระดับสร้างรากฐานกระจ้อยร่อย?
ศิษย์หลานชิงเฉินเป็นศิษย์ระดับสร้างรากฐานไม่ผิด ทว่าอาจารย์นางคือนักพรตเหอกวงที่พรสวรรค์โดดเด่นที่สุดในพรรคเหยากวง อาจารย์ปู่คือหลิวซางเจินจวินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายที่อยู่รองเพียงท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งเท่านั้น
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ข้างๆ ยังมีคนที่ขี้ปกป้องเป็นที่สุด เป็นหนึ่งในสองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ได้ชื่อว่าไม่ควรตอแยด้วยที่สุดแห่งพรรคเหยากวงคู่กับนักพรตรั่วซีแห่งเขารั่วสุ่ยนักพรตจื่อซี
ยิ่งกว่านั้น ได้ยินมาว่าศิษย์หลานชิงเฉินเป็นนางในดวงใจของศิษย์หลานเทียนหยวนเชียวนะ ไม่ว่าจริงหรือเท็จ สำหรับเสวียนหั่วเจินจวินที่มีความสุขกับการเป็นพ่อสื่อให้ศิษย์หลานเทียนหยวนแล้วละก็ เกรงว่าเห็นนางเป็นตัวเก็งสะใภ้ตระกูลเยี่ยมานานแล้ว
หากตนลงโทษศิษย์หลานชิงเฉินโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงจริง เกรงว่าเขาชิงมู่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยา เสวียนหั่วเจินจวินก็จะใช้พัดกกขาดๆ เล่มนั้นของเขาเคาะศีรษะตนจนปูดไปหมดก่อนแล้ว ตำแหน่งเจ้าสำนักนี่เกรงว่าก็คงไม่ได้เป็นต่อแล้ว
นักพรตฟางเหยายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รับมือยากยิ่งนัก กำลังครุ่นคิดอยู่พลานุภาพที่น่าตกใจหลายสายนั้นก็ร่อนลงกลางโถงใหญ่แล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวซางเจินจวินเหลือบมองทุกคนปราดหนึ่ง ถามเสียงเข้ม พูดพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งกลางโถง
เจินจวินที่เหลือสามท่านก็นั่งลงใต้หลิวซางเจินจวิน เสวียนหั่วเจินจวินเปิดปากว่า “เป็นอันใด เป็นอันใด เจ้าเด็กพวกนี้นี่ เรื่องใหญ่อะไรหนักหนา ถึงต้องระดมคนมามากมายเพียงนี้?”
เรื่องใหญ่อะไรหนักหนา? นักพรตซานอินโกรธจนตัวสั่น คำนับทีหนึ่งว่า “เรียนเจินจวินทั้งสี่ ลื่อของข้าเถียนหยวนถูกศิษย์ของศิษย์น้องเหอกวงฆ่า ซานอินเชิญเจินจวินทั้งสี่ให้ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”
เรื่องเกี่ยวพันถึงเขาชิงมู่ หลิวซางเจินจวินไม่เปิดปาก หรูอวี้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์หลายซานอิน ฆ่าศิษย์ร่วมสำนักเป็นโทษหนักนะ ไม่อาจพูดส่งเดชได้ ไม่รู้เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
นักพรตซานอินหยิบตะเกียงน้ำมันแก้วออกจากแขนเสื้อดวงหนึ่ง ยกขึ้นสูงเหนือศีรษะอย่างนอบน้อมว่า “เชิญเจินจวินทั้งสี่ตรวจดู นี่คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนลื่อของข้า วันนี้ยามที่กุมารในตระกูลปัดกวาดโถงลับ เห็นตะเกียงดวงนี้ดับพอดี ซานอินหาสถานที่ลื่อสิ้นชีพพบผ่านตะเกียงนี้ วิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของลื่อจุดติดตะเกียงนี้เร่งสุคนธ์ล่าวิญญาณออกมา ซานอินไล่ล่าตามสุคนธ์ล่าวิญญาณ จึงจับศิษย์ของศิษย์น้องเหอกวงได้ขอรับ”
หรูอวี้เจินจวินโบกมือหนึ่งที ตะเกียงน้ำมันแก้วก็บินร่อนลงบนมือนางอย่างช้าๆ เห็นเพียงนางหรี่ตาแผ่วเบาแล้วลืมขึ้นอีก ถึงพยักหน้าให้สามคนที่เหลือ
นักพรตซานอินเห็นท่าก็ดีใจ รีบคำนับครั้งหนึ่งว่า “หลักฐานมัดตัว เชิญเจินจวินทั้งสี่ตัดสินด้วยขอรับ”
หรูอวี้เจินจวินมองทั้งสามคนปราดหนึ่ง ทั้งสามคนบอกเป็นนัยให้นางออกหน้า
หรูอวี้เจินจวินกระดกมุมปากขึ้น เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ตามหลักแล้วเรื่องนี้ควรให้ศิษย์หลานฟางเหยาตัดสิน…”
นักพรตฟางเหยามือสั่น
หรูอวี้เจินจวินน้ำเสียงเปลี่ยนว่า “ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นจะนิ่งดูดายก็ไม่ดี ศิษย์หลานซานอินเจ้าถอยไปข้างๆ ก่อน ข้าจะถามศิษย์ที่ทำผิดเสียหน่อย”
“เจินจวิน?” นักพรตซานอินตะโกนเสียงหนึ่ง
หรูอวี้เจินจวินสีหน้าบึ้งเล็กน้อย “ศิษย์หลานซานอิน การตัดสินคดีแต่โบราณ ไม่มีเหตุผลไม่ให้ฝ่ายถูกกล่าวโทษอธิบาย”
นักพรตซานอินถอยไปข้างๆ อย่างเจี๋ยมเจี้ยม
หรูอวี้เจินจวินนี่ถึงเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ดูอารมณ์ไม่ออกว่า “นางหนู ระยะนี้เจ้าดูเหมือนก่อเรื่องไม่ได้ขาดนะ?”
——
[1] แตงกวาแก่ทาสีเขียว เปรียบเทียบคนที่มีอายุแล้วชอบทำตัวเด็ก
ตอนที่ 224 ตกลงใครปลิ้นปล้อน
คำพูดนี้ไม่หนักไม่เบา ไม่ยินดียินร้าย มั่วชิงเฉินกลับพบอย่างเฉียบไวว่าหรูอวี้เจินจวินที่งามดุจชาวสวรรค์ท่านนี้ไม่ได้มีความรู้สึกดีให้ตน
นางเดินไปกลางโถงใหญ่ทันที คุกเข่าลงดังตึ้ง แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เป็นความผิดของผู้น้อย ที่มักสร้างปัญหาให้อาจารย์เจ้าค่ะ”
หรูอวี้เจินจวินมองหลิวซางเจินจวินปราดหนึ่ง เห็นหลิวซางเจินจวินพยักหน้าแผ่วเบา ถึงถามต่อว่า “ชิงเฉิน เรื่องที่เจ้าฆ่าเถียนหยวน นักพรตซานอินมีหลักฐานมัดตัวแล้ว เจ้ามีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงกังวานว่า “ผู้น้อยไม่มีข้อโต้แย้งเจ้าค่ะ”
นักพรตซานอินกระดกมุมปาก
“ในเมื่อไม่มีข้อโต้แย้งต่อผลลัพธ์ในเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ลองว่าสาเหตุมาดีๆ เถอะ เจ้าและเถียนหยวนมีความบาดหมางอันใด ถึงขนาดต้องลงมือฆ่าเขา?” หรูอวี้เจินจวินถามด้วยเสียงราบเรียบ
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงกัดริมฝีปาก สถานการณ์นิ่งเงียบลงมาทันที
หรูอวี้เจินจวินขมวดคิ้วว่า “มั่วชิงเฉิน หากเจ้าไม่มีสาเหตุ เช่นนั้นก็ได้เพียงลงโทษตามกฎสำนักแล้ว!”
“เจินจวิน นางไม่มีอะไรพูดได้ชัดๆ” นักพรตซานอินเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ อดพูดขึ้นไม่ได้
เพิ่งสิ้นเสียงก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินกวาดสายตามา “อ้าว เจ้าเด็กซานอิน ผู้ใหญ่คุยกันเจ้าแทรกอะไรด้วย”
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุก กลับไม่กล้าต่อปากต่อคำ ใครไม่รู้บ้างว่าเสวียนหั่วเจินจวินท่านนี้ไม่แบไพ่ตามหลักการทั่วไป เกิดบ้าขึ้นมาแม้แต่ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งก็ปวดศีรษะ หากทำให้เขาโกรธ อัดตนเองขึ้นมาต่อหน้าผู้คนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกทั้งยังได้แต่ยอมรับว่าโชคร้ายอีกต่างหาก
ใครจะรู้ว่ายามที่เสวียนหั่วเจินจวินเบือนสายตาไปบนตัวมั่วชิงเฉิน กลับสีหน้ารื่นรมย์ขึ้นมาทันทีว่า “นางหนูชิงเฉินเอ๋ยรีบบอกข้ามา เจ้าเด็กเถียนหยวนนั่นทำเรื่องอะไรถึงทำให้เจ้าต้องลงมือฆ่าเขา? อย่ากลัว ขอเพียงเจ้าพูดความจริง พวกเราต้องตัดสินอย่างเที่ยงธรรมแน่นอน”
ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม? นักพรตซานอินสูดหายใจเข้าอย่างแรงอึดหนึ่งถึงทนไม่ให้บุ่มบ่ามด่ากราดออกมา
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกตามองทุกคน สายตาแอบกวาดผ่านกู้หลี
ไม่ใช่นางแสร้งปล่อยเพื่อจับ เพียงแต่เมื่อถึงยามนี้จริงๆ ถึงพบว่า การที่ต้องพูดเรื่องพวกนั้นออกมาต่อหน้าเขา ช่างลำบากใจเหลือเกินจริงๆ
เห็นหรูอวี้เจินจวินหน้านิ่งดุจสายน้ำ มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “เรียนเจินจวิน ที่ผู้น้อยฆ่าเถียนหยวน เพราะว่า…เพราะว่าเขาล่วงเกินข้าเจ้าค่ะ!”
คำพูดนี้เมื่อพูดออกไปทุกคนต่างตกใจกันถ้วนหน้า บนใบหน้ากู้หลีวาบแววโกรธพาดผ่าน เมื่อมองไปที่นักพรตซานอินอีกครั้ง ไอเย็นจู่โจมเข้ามา
หรูอวี้เจินจวินยกมือขึ้น บอกให้ทุกคนอย่างตระหนก จากนั้นพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าเล่าเรื่องอย่างละเอียดมา ห้ามปิดบังแม้ครึ่งส่วน”
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบอย่างนอบน้อม ถึงได้เริ่มเล่าตั้งแต่ที่ไปส่งน้ำผึ้งดอกท้อให้ต้วนชิงเกอที่เขารั่วสุ่ยเจอกับเถียนหยวนโดยบังเอิญ เล่าจนถึงฆ่าไก่หงอนแดงขาเดียวสองตัวที่เขาลั่วเยี่ยนยามที่กำลังตั้งค่ายกลฟื้นฟูพลังวิญญาณเถียนหยวนจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
ต่อจากนั้นการกระทำของเถียนหยวนแม้จะไม่ได้เล่าอย่างละเอียด แต่กลับเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ออกมาโดยไม่เว้นเลยแม้แต่น้อย
เล่าถึงสุดท้ายสีหน้ามั่วชิงเฉินเศร้าและโกรธผสานกัน เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ผู้น้อยรู้ว่าฆ่าศิษย์ร่วมสำนักมีโทษมหันต์ จนถึงสุดท้ายยังพูดกับเจ้าสารเลวนั่นว่า ขอเพียงเขารามือแค่นี้ ก็ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าเขา เขากลับไม่มีความคิดจะกลับตัวแม้แต่น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกย่ำยี ผู้น้อยจึงได้แต่สั่งอสูรวิญญาณอีกาไฟใช้ระเบิดสะท้านฟ้าระเบิดเขาตายเจ้าค่ะ”
หลังจากพูดจบมองดูสีหน้าต่างๆ กันไปของทุกคน แล้วเอ่ยอีกว่า “เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ หากเริ่มใหม่อีกครั้งผู้น้อยยังคงจะเลือกเช่นนี้ จะลงโทษเช่นไรขอเชิญท่านเจินจวินตัดสินใจ ผู้น้อยไม่อิดออดเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉิน นักพรตจื่อซีก็พูดเสียงดังว่า “เป็นเช่นไร ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าหากนางหนูชิงเฉินฆ่าเถียนหยวน นั่นต้องเพราะเจ้าเด็กนั่นต้องมีส่วนที่สมควรตายใช่หรือไม่ อาจารย์อาหรูอวี้ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับชิงเฉินของเรานะเจ้าคะ…”
ยังไม่รอหรูอวี้เจินจวินพูด ก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินล้วงคัมภีร์ออกมาเล่มหนึ่ง พลิกๆ ดูแล้วว่า “กฎสำนักเหยากวงข้อที่สี่ ศิษย์ชายห้ามเกี้ยวพาราสี ดูแคลนศิษย์หญิงโดยที่ศิษย์หญิงไม่เต็มใจ หากใช้กำลังบังคับ…” อ่านกฎสำนักข้อสี่ออกมารอบหนึ่งโดยไม่ตกหล่นสักคำ
นักพรตซานอินโกรธยิ่งนัก ในที่สุดก็ทนไม่ไหวว่า “ท่านอาจารย์อาเสวียนหั่ว ซูจื่อซีก็พูดแทรก!” ระหว่างที่โกรธเกรี้ยวไม่คิดเลยว่าแม้แต่ชื่อแซ่ฆราวาสของนักพรตจื่อซีก็เอาออกมาแล้ว
เสวียนหั่วเจินจวินกวาดมองเขาปราดหนึ่ง โบกพัดกกทีหนึ่งว่า “นางหนูจื่อซีพูดแทรกตั้งแต่เมื่อไรแล้ว ไม่เห็นพวกเราโต้ตอบกันอยู่หรือ? เจ้าเด็กซานอิน ลื่อของเจ้าประพฤติตนชั่วช้าเช่นนี้ เจ้าในฐานะผู้อาวุโสมีความรับผิดชอบที่บอกปัดไม่ได้นะ”
เสวียนหั่วเจินจวินภายนอกพูดได้อย่างองอาจผึ่งผาย ในใจกลับร้องอย่างบ้าคลั่งว่า โชคดีนะ โชคดีที่เทียนหยวนไม่อยู่ในสำนัก หากเขารู้เรื่องนี้เข้า คิดว่าคนที่เชือดลื่อของเจ้าคนนั้นคงไม่ใช่นางหนูชิงเฉินแล้ว
นักพรตซานอินสีหน้าบึ้งตึง แทบจะอยากตบตนเองสักฉาด ตนปากพล่อยน่ะสิ พูดเหตุผลกับเจินจวินที่ไม่จริงจังท่านนี้
“ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ลื่อข้าคนนั้นประพฤติตัวไม่เหมาะสม มีชื่อด้านเจ้าชู้เป็นที่รู้กัน ทว่ากลับสายตาค่อนข้างสูง สตรีทั่วไปไม่เข้าตาเขาเอาเสียเลย ตามที่ศิษย์เข้าใจ ระยะนี้เขาพึงใจต่อศิษย์รักคนสุดท้ายของศิษย์น้องรั่วซีที่เขาของท่าน ได้รายงานต่อบิดามารดาแล้วว่าจะสู่ขอศิษย์หลานต้วนเพื่อเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ ไม่ทราบศิษย์หลานมั่วใช้วิธีอันใดถึงทำให้เขาเปลี่ยนใจได้เร็วปานนี้ ตามที่ศิษย์เห็น ต้องเป็นนางหนูคนนี้ปลิ้นปล้อนเพื่อหนีการลงโทษเท่านั้น ยังหวังให้อาจารย์หรูอวี้สืบให้แน่ชัดด้วย” นักพรตซานอินค่อยๆ พูด พูดจบยังกวาดมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาดูแคลน
“ใช้วิธีอันใด?” หรูอวี้เจินจวินพึมพำพลางกวาดสายตาไปที่มั่วชิงเฉิน สุดท้ายมองไปที่ผมหน้าหนาๆ ของนาง
ทันใดนั้น หรูอวี้เจินจวินโบกแขนเสื้อทีหนึ่ง ลมสายหนึ่งรวมตัวขึ้น พัดไปที่หน้ามั่วชิงเฉินตรงๆ ผมหนาข้างหน้าของนางถูกพัดกระจายออกในพริบตา เผยให้เห็นรูปโฉมที่โลกตะลึง
ต่อให้คนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกระทั่งถึงระดับก่อกำเนิด เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินแล้วยังคงอดสูดลมเข้าไม่ได้ ทว่าเพียงอึดใจให้หลังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่ท่านก็ฟื้นคืนความสงบ
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามคนแม้ใบหน้าแฝงความตะลึงกลับทำตัวดังปกติ ในใจคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่จิตใจไม่แน่วแน่ภายใต้ความตกตะลึงพรึงเพริดจะเสียกิริยาไปบ้างก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้นะ มิน่าเถียนหยวนถึงได้…
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่มั่วชิงเฉินพูดน่าจะเป็นความจริง” หรูอวี้เจินจวินมองนักพรตซานอินเป็นพิเศษแล้วเอ่ยนิ่งเรียบ
ในใจแอบถอนใจ หน้าตาเช่นนี้ก็คือรากเหง้าแห่งเคราะห์กรรม อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่จิตใจยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงขั้น ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบางคนที่รักในด้านนี้เป็นพิเศษเห็นแล้วก็เกรงว่ายากจะหักห้ามใจได้
นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็นึกถึงตนเองยามเยาว์วัย ไม่รู้ต้องกลัดกลุ้มเพราะรูปโฉมเช่นนี้มาเท่าไร หลังจากก่อแก่นปราณแล้วแม้ดีขึ้นมาบ้าง ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่กล้ามาตอแยฐานะตำแหน่งก็สูงขึ้นเช่นกัน จนกระทั่งตนก่อกำเนิด ถึงได้สงบในที่สุด
คิดเช่นนี้ เมื่อมองมั่วชิงเฉินที่คุกเข่าอย่างเงียบๆ อีกทีก็รู้สึกสงสารขึ้นมา หนทางการบำเพ็ญเพียรของสตรีหน้าตางดงามเดิมทีก็ลำเค็ญกว่าคนธรรมดาเป็นร้อยเท่า เฮ้อ รสชาติในนี้ มีแต่ตนเองที่รู้
หรูอวี้เจินจวินที่จู่ๆ ก็เงียบงันทำให้สถานการณ์สงบลงมาครู่หนึ่ง สีหน้าของนักพรตซานอินดูไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่ยอมว่า “ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ นางหนูนี่หน้าตาเช่นนี้กลับถึงวันนี้ถึงให้คนเห็น เหตุใดดันถูกลื่อของข้าคนนั้นเห็นเข้า ไม่แน่อาจเพราะนางตั้งใจยั่วยวน…”
“หุบปาก!” กู้หลีตะคอกอย่างเย็นชา กระบี่ชิงมู่ในมือปรากฏขึ้น
“คำพูดนี้ของศิษย์หลานซานอินก็มีเหตุผล” หรูอวี้เจินจวินพยักหน้า แล้วมองไปที่นักพรตฟางเหยา “ศิษย์หลานเจ้าสำนัก เรื่องจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
นักพรตฟางเหยาเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว “ท่านเจินจวิน ศิษย์น้องฝูหมิงได้รออยู่ข้างนอกแล้วขอรับ”
หรูอวิ้เจินจวินสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้น เกิดม่านบังตาโปร่งใสขึ้นหน้าทุกคน แล้วพูดกับนักพรตฟางเหยาว่า “ศิษย์หลานเจ้าสำนัก ก็ให้เจ้ามาสืบสวนเถอะ”
นักพรตฟางเหยารับคำ เบิกตัวนักพรตฝูหมิงว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง ให้คนพวกนั้นเข้ามาตามลำดับ”
ไม่นานนัก ต้วนชิงเกอก้าวเข้ามา ในสายตานางในโถงใหญ่นี้ก็มีเพียงนักพรตฟางเหยาคนเดียวเท่านั้น
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” ต้วนชิงเกอคำนับว่า
นักพรตฟางเหยายกมือขึ้น “ศิษย์หลานต้วนมิต้องมากพิธี ครั้งนี้เรียกเจ้ามาเพียงเพื่อถามเจ้าประโยคหนึ่ง เช้าวันนี้ ศิษย์หลานมั่วได้ไปที่เจ้านั่นหรือไม่?”
ต้วนชิงเกอชะงัก ในใจแอบมีลางไม่ดี ใบหน้ากลับเอ่ยอย่างสงบว่า “เจ้าค่ะ เช้านี้ชิงเฉินส่งน้ำผึ้งดอกท้อมาให้ศิษย์ เอ่อ ที่ตามนางมายังมีสาวใช้ใกล้ชิดสองคน เพราะว่าชิงเฉินบอกว่าจะไปรับภารกิจ จึงมิได้อยู่นาน อยู่เพียงชั่วครู่ก็กลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ่อ ในเมื่อเพื่อรับภารกิจ ศิษย์หลานมั่วจะพาสาวใช้สองคนไปไย?” นักพรตฟางเหยาถามอีก
ต้วนชิงเกอลังเลชั่วครู่ถึงว่า “ไม่กล้าปิดบังท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ระยะนี้ศิษย์ไม่สะดวกออกไปข้างนอก กลับชื่นชอบน้ำผึ้งดอกท้อของชิงเฉินยิ่งนัก นางพาสาวใช้สองคนมา เป็นเพราะสาวใช้สองคนนั้นมาจากที่อื่น ไม่คุ้นเคยที่ทางในสำนัก ครั้งนี้มาก็เพื่อจำทาง วันหลังการไปมาหาสู่ของศิษย์และชิงเฉินก็จะได้สะดวกสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นักพรตฟางเหยาพยักหน้า “เอาล่ะ ศิษย์หลานต้วน เจ้าออกไปทางนี้เถอะ” พูดพลางชี้ประตูลับที่อยู่อีกข้างหนึ่ง
ต้วนชิงเกอถอยออกไปแล้ว สาวใช้ฝาแฝดคู่หนึ่งเดินเข้ามา
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเห็นนักพรตฟางเหยา ก็คุกเข่าลงตรงๆ
“เจ้าสองคนไม่ต้องกลัว เพียงเล่าเรื่องที่พวกเจ้าเห็นมาตามจริงก็พอแล้ว เช้าวันนี้พวกเจ้าตามมั่วชิงเฉินร่ำลาต้วนชิงเกอแล้ว พบเจอใครบ้าง จากนั้นทำอะไรอีก?” นักพรตฟางเหยาถามอย่างใจดี
เหลียงเฉินทำใจกล้าว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก พวกเราตามคุณหนูไปถึงเชิงเขาก็พบกับผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่ง เขาขวางคุณหนูของข้าไว้บอกจะเชิญคุณหนูรับประทานอาหาร คุณหนูไม่รับปาก แล้วพาพวกเราย้อนกลับเขาชิงมู่ จากนั้นคุณหนูปล่อยพวกเราลงบอกว่าจะไปรับภารกิจ จึงจากไปเจ้าค่ะ”
หลังจากเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถอยลงไป ศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่เวรที่โถงปฏิบัติงานวันนี้เดินเข้ามา หลังจากถอยลงไปแล้วก็เข้ามาอีกหลายคนตามลำดับ รวมทั้งจางซันหลี่ซื่อสองคนที่คิดจะขัดขวางเถียนหยวนในยามนั้น
รอถามคนทั้งหมดแล้ว หรูอวี้เจินจวินสะบัดแขนเสื้อ ม่านบังตาสลายไป กลางโถงเงียบงันชั่วสั้นๆ
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เถียนหยวนต้องเป็นดังที่มั่วชิงเฉินเอ่ยมาเป็นแน่ ตามนางไปเขาลั่วเยี่ยน” หรูอวี้เจินจวินเอ่ยอย่างสงบ
ทุกคนพยักหน้า
นัยน์ตานักพรตซานอินแสงอำมหิตพาดผ่าน เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเถียนหยวนเสียมารยาทต่อนางอยู่ก่อน ไม่แน่มั่วชิงเฉินเมื่อเห็นเถียนหยวนปุ๊บก็ลงมือฆ่าแล้วก็ได้นะ”
“เจ้ามันปลิ้นปล้อนชัดๆ!” นักพรตจื่อซีโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
นักพรตซานอินกลับเหมือนไม่ได้ยินว่า “ไม่ว่าเช่นไร ศิษย์ก็มีหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเถียนหยวนถูกมั่วชิงเฉินฆ่า ทว่าอาศัยเพียงคำพูดของศิษย์พวกนั้นกลับไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาลั่วเยี่ยนจะเป็นไปตามที่มั่วชิงเฉินพูด ท่านอาจารย์หรูอวี้ ตกลงฝ่ายไหนปลิ้นปล้อนกันแน่ยังหวังให้ท่านตัดสิน”
หรูอวี้เจินจวินเงียบงันไปครึ่งค่อนวัน ลังเลว่า “ไม่ว่าเป็นเช่นไร คำพูดของศิษย์พวกนั้นแสดงให้เห็นว่าเถียนหยวนมีใจคิดคดต่อมั่วชิงเฉินอยู่ก่อน ในเมื่อมีสาเหตุเช่นนี้อยู่ การตายของเถียนหยวนมั่วชิงเฉินสามารถเลี่ยงโทษตายหรือขับออกจากสำนักได้ ก็เฆี่ยนสักเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดแส้ ศิษย์พี่ทั้งสามเห็นว่าเป็นเช่นไร?”
เพิ่งสิ้นเสียงนักพรตฟางเหยากลับเดินขึ้นหน้าไปว่า “ท่านเจินจวิน เมื่อครู่ศิษย์น้องฝูหมิงส่งสารมา ยังมีศิษย์คนหนึ่งไม่ได้ไต่ถามขอรับ”
ตอนที่ 225 ร่วมแบกรับพร้อมเจ้า
“ยังมีคนหนึ่ง?” หรูอวี้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “เช่นนั้นก็ให้เขาเข้ามาเถอะ”
นักพรตซานอินแสยะมุมปาก พยานเช่นนี้เกรงว่าในสำนักไม่มีถึงร้อยก็มีหลายสิบ ต่อให้ถามแล้วอย่างไรอีก เอาเป็นว่าการลงโทษเฆี่ยนแส้เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดทีเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็แล้วกัน
เมื่อนึกถึงว่าถูกแส้เทพเฆี่ยนเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดที ต่อให้นักพรตซานอินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะหลัง ก็รู้สึกกลัว เหลือบเห็นรูปร่างบอบบางของมั่วชิงเฉินอีก แล้วอดหัวเราะไม่ได้
แปดสิบเอ็ดแส้นี่เฆี่ยนลงไป แม้เลี่ยงความตายได้ กลับต้องลิ้มรสชาติการอยู่ยังทรมานยิ่งกว่าตายอีกถึงแปดสิบเอ็ดครั้ง ภายในสิบปีอย่าคิดจะฟื้นฟูดวงจิตได้เลย
เคยพูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว การเฆี่ยนแส้เทพไม่ว่าจะต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับใด ล้วนเป็นการลงโทษที่รุนแรง อาจมีคนรู้สึกว่าขอเพียงคนมีตาก็รู้ว่าเถียนหยวนทำผิดอยู่ก่อน มั่วชิงเฉินเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น ไยต้องรับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ด้วยล่ะ
ก่อนอื่นเลยก็คือหลักฐาน มั่วชิงเฉินแม้มีพยาน กลับล้วนอยู่ในสำนัก ส่วนที่เขาลั่วเยี่ยนตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ไม่มีคนรู้เอาเสียเลย แม้ทุกคนสามารถสันนิษฐานได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด การสันนิษฐานพวกนั้นทำได้เพียงลดโทษให้เบาลงเล็กน้อยตามดุลยพินิจเท่านั้น
ยังมีอีกจุดหนึ่ง ก็คือป้องกันคนใช้ช่องโหว่จงใจวางอุบายลวงคนอื่น ขอเพียงเข่นฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก โทษที่ต่ำที่สุดก็คือเฆี่ยนแส้เทพ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แทบจะไม่มีคนยอมช่วยวางอุบายลวงคนอื่น
พูดถึงที่สุด ก็นับว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้เรื่องนี้ชัดแจ้งดี สามารถล้างแค้นได้ นางยินดีรับโทษเฆี่ยนแส้เทพด้วยความเต็มใจ
เพียงแต่หากคนคนนั้นยอมเป็นพยาน สามารถลดโทษได้บ้าง ก็นับว่าตนโชคดีแล้ว
ม่านบังตาปรากฏขึ้นอีกครั้งปกปิดการอยู่ของทุกคน เพียงชั่วครู่ผู้บำเพ็ญเพียรตัวยืดตรง สีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งเดินเข้ามา
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานธรรมดาพวกนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นหรูอวี้เจินจวินนี้จำไม่ครบเอาเสียเลย ส่วนนักพรตฟางเหยาในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักเหยากวง กลับรู้ชื่อเสียงเรียงนามที่มา นิสัยส่วนตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนับพันคนเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะคนที่เข้ามาเดิมทีก็เป็นศิษย์ผู้ดูแลของเขาโฮ่วเต๋ออยู่แล้ว เขาคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋คารวะอย่างนอบน้อมหนึ่งที ตาไม่ว่อกแว่ก
นักพรตฟางเหยาสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ศิษย์หลานอู๋ ไม่ต้องมากพิธี เจ้ามานี่เพราะมีเรื่องอะไรจะพูดใช่หรือไม่?”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋สีหน้าสงบว่า “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก วันนี้ศิษย์ไปเขาลั่วเยี่ยนมาขอรับ”
“อะไรนะ!” นักพรตฟางเหยาชะงักงัน นักพรตซานอินกลับตกใจร้องออกมา
ได้ยินเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถึงกวาดสายตาไปข้างหลัง แล้วเบือนสายตากลับมาที่ปลายเท้าตนอย่างรวดเร็ว
หรูอวี้เจินจวินถลึงตาใส่นักพรตซานอินปราดหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ ม่านบังตาที่มองไม่เห็นหายไป ทุกคนปรากฏกายออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ชะงักแผ่วเบา จากนั้นคารวะอีกครั้งอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์ขอคารวะท่านเจินจวิน นักพรตทุกท่าน” สายตากลับแม้แต่มองก็ไม่มองมั่วชิงเฉิน
นักพรตฟางเหยาเห็นดังนั้นจึงถอยไปอยู่ข้างๆ
หรูอวี้เจินจวินสายตาจ้องผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เขม็ง พลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทำให้เขาหายใจไม่ค่อยออกขึ้นมาทันที “เจ้าไปเขาลั่วเยี่ยนเห็นอะไรบ้าง ห้ามปิดบัง จงว่ามาตามจริง”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ชะงักทีหนึ่ง ถึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์อยู่เขาลั่วเยี่ยนเห็นศิษย์น้องมั่วฆ่าไก่หงอนแดงขาเดียวสองตัวแล้วยามที่กำลังตั้งค่าย จู่ๆ ศิษย์น้องเถียนก็ปรากฏตัวขึ้นใช้เชือกมัดเซียนขัดจังหวะการตั้งค่ายของศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องเถียนเขา…เขาคิดจะทำอัปยศอดสูต่อศิษย์น้องมั่ว สองคนจึงสู้กันขึ้นมา ต่อมาศิษย์น้องมั่วสู้ไม่ได้ถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้ ศิษย์น้องเถียนก็จะทำเรื่องอัปยศอดสู ณ ตรงนั้น ศิษย์น้องมั่วเตือนอยู่หลายครั้งศิษย์น้องเถียนกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน…ศิษย์น้องมั่วด้วยความจำใจจึงสั่งอสูรวิญญาณฆ่าศิษย์น้องเถียนเสีย ท่านเจินจวิน ที่ศิษย์เห็นก็คือพวกนี้ขอรับ”
“ศิษย์หลานอู๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!” นักพรตซานอินสีหน้าอึมครึม จ้องผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เขม็ง
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กลับก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ที่ศิษย์กล่าวมาเป็นความจริงทุกประการ ไม่กล้าพูดเหลวไหลขอรับ”
“ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ท่านจะเชื่อคำพูดเขาเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้นะขอรับ เหตุใดเขาถึงบังเอิญไปเขาลั่วเยี่ยน ในเมื่อไปแล้ว เมื่อครู่ไยมั่วชิงเฉินจึงไม่ได้พูดถึงคนคนนี้? ในเมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ในยามนั้น ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักไยไม่ขัดขวาง หากแต่นิ่งดูดาย?” นักพรตซานอินถามติดๆ กัน
นักพรตซานอินถามติดต่อกันสามคำถาม เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่พูดถึงสองข้อข้างหน้า เฉพาะข้อสามเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย แม้จะบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องของตนเอง ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องรู้อยู่แก่ใจเท่านั้น วางไว้บนผิวหน้า โดยเฉพาะต่อให้คนระดับสูงในสำนัก เช่นนั้นก็ไม่ค่อยน่าดูแล้ว
หรูอวี้เจินจวินเหลือบสายตาไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กลับหน้าไม่เปลี่ยนสี กอบมือเอ่ยอย่างสุขุมว่า “เรียนท่านเจินจวิน ศิษย์ไปเขาลั่วเยี่ยน เพื่อรับภารกิจ ‘เก็บขนมรกตของไก่หงอนแดงขาเดียว’ ส่วนเหตุใดศิษย์น้องมั่วไม่ได้พูดถึงศิษย์นั้น…เป็นเพราะยามที่ศิษย์น้องมั่วไป ศิษย์พลังวิญญาณไม่เพียงพอพอดี ตั้งค่ายฟื้นฟูพลังวิญญาณอยู่ รอถึงยามที่พลังวิญญาณฟื้นฟูคิดจะทักทายศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องเถียนก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี ดังนั้นศิษย์น้องมั่วจึงไม่รู้ว่าศิษย์อยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง ย่อมไม่ได้พูดถึงเป็นธรรมดา”
นักพรตฟางเหยาพยักหน้า “ท่านเจินจวิน ศิษย์ได้ส่งสารให้ศิษย์น้องฝูหมิงไปตรวจสอบดูแล้ว ศิษย์หลานอู๋รับภารกิจนั้นจริง”
ส่วนเหตุผลที่ผู้บำเพ็ญเพียรอู๋พูดตอนหลัง ทุกคนไม่อาจวิจารณ์ได้ ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรพลังวิญญาณไม่พอแล้วพบคนอื่นข้างนอก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเดียวกัน ก็จำเป็นต้องรอให้พลังวิญญาณฟื้นฟูก่อนถึงทักทายกัน เพราะอย่างไรเสียใจระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด
“ส่วนที่ว่าไยศิษย์ถึงนิ่งดูดาย…ว่าไปแล้วละอายใจนัก ยามนั้นศิษย์ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่แน่ใจว่าปรากฏตัวขึ้นยามนั้นก็จะสามารถห้ามศิษย์น้องเถียนได้ เห็นศิษย์น้องเถียนสู้กับศิษย์น้องมั่วขึ้นมา จึงคอยดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ เงียบๆ จนกระทั่งศิษย์น้องเถียนมัดศิษย์น้องมั่วไว้ ยามที่ศิษย์น้องมั่วเกลี้ยกล่อมไร้ผล เดิมทีศิษย์คิดจะฉวยโอกาสห้าม กลับเห็นอสูรวิญญาณของศิษย์น้องมั่วจู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา อุ้มก้อนกลมสีดำสองสามลูกระเบิดศิษย์น้องเถียนตาย นี่เป็นความผิดพลาดของศิษย์ ยามนั้นไม่คิดว่าก้อนกลมสีดำที่อสูรวิญญาณอุ้มไว้จะมีอานุภาพปานนั้น สามารถระเบิดศิษย์น้องเถียนตายได้ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เอ่ยเนิบๆ น้ำเสียงสุขุม ฟังแล้วน่าเชื่อถือ
นักพรตฟางเหยามองไปที่หรูอวี้เจินจวินว่า “ท่านเจินจวิน ศิษย์หลานอู๋ทำอะไรสุขุมมาตลอด ไม่ใช่คนพูดเหลวไหลขอรับ”
นักพรตซานอินโกรธว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนัก รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ ไยเจ้าถึงกล้ายืนยันว่าเขาไม่ได้พูดปด? ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ไม่แน่เจ้าเด็กนี่อาจพึงใจต่อมั่วชิงเฉินนานแล้ว ถึงได้ช่วยเป็นพยานให้นาง!”
มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน นักพรตซานอินคนนี้ เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหตุใดไม่ว่าคำพูดอะไรก็พูดออกมาได้ ช่างน่าดูถูกเสียจริง มิน่าถึงฟูมฟักเดนคนเช่นเถียนหยวนออกมาได้
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กลับสีหน้าสงบ เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์และศิษย์น้องมั่วปกติไม่เคยไปมาหาสู่กันขอรับ คำพูดของท่านอาจารย์อาซานอินทำให้ศิษย์ลำบากใจนัก”
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุกว่า “ไม่ว่าจะพูดเช่นไร คำพูดฝ่ายเดียวเชื่อไม่ได้ นอกเสียจากยามนั้นยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ที่นั่น ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเจ้าทั้งสองคน คำพูดของพวกเจ้าถึงนับว่าเป็นความจริง!”
“ซานอิน เจ้าเถียงข้างๆคูๆ!” นักพรตจื่อซีโกรธว่า
นักพรตซานอินกลับไม่แม้แต่จะสนใจ หลับตาครึ่งหนึ่ง ในใจแอบคิดว่า คิดจะหนีการเฆี่ยนแปดสิบเอ็ดทีนั้น ฝันไปเถอะ!
“ท่านเจินจวิน ท่านว่า…” ต่อให้ในใจเชื่อคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเน้นว่าคนเดียวเป็นพยานไม่ได้ตลอดมา นักพรตฟางเหยาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอดูการตัดสินใจของเจินจวินทั้งสี่
หรูอวี้เจินจวินก็ลำบากใจแล้ว หากบอกว่าคนที่ตายคือศิษย์ธรรมดา มีคำพูดนี้ของศิษย์คนนี้ ก็ยอมรับว่าความจริงเป็นเช่นนี้ไปโดยปริยายแล้ว จัดการไปตามนี้แล้วก็แล้วกันไป
ทว่าเถียนหยวนนั่นอย่างไรเสียก็เป็นลื่อของซานอิน ส่วนซานอินก็เป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง หากตนจัดการเช่นนี้ยามที่ศิษย์พี่โส่วเต๋อกักตน หลังจากศิษย์พี่โส่วเต๋อออกจากกักตนรับรู้เรื่องนี้เข้าเกรงว่าจะไม่พอใจน่ะสิ
เพราะอย่างไรเสียบัดนี้ศิษย์พี่โส่วเต๋ออายุขัยไม่มาก ดันบังเอิญศิษย์พี่หลิวซางเลื่อนขั้นระยะปลาย ในเวลาละเอียดอ่อนเช่นนี้ ยากจะรับรองว่าศิษย์พี่จะไม่คิดมาก จนเกิดความรู้สึกว่าคนยังไม่ไปชาก็เย็นเสียแล้ว[1]
ในชั่วอึดใจ ความลดเลี้ยวเคี้ยวคดในนั้นหรูอวี้เจินจวินก็คิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
นางต่างจากเจินจวินอีกสามท่าน เดิมนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง อีกทั้งยังโฉมงามน่าตะลึง สามารถปฏิเสธแมลงภู่ผึ้งพวกนั้นไว้ข้างนอก ไม่เพียงไม่ได้ล่วงเกินคน ยังสามารถทำให้คนพวกนั้นคิดถึงมิลืมเลือน ยามที่ลำบากมักมีคนคอยช่วยเหลือ บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิดโดยสวัสดิภาพราบรื่นเช่นนี้ จะไม่มีหัวใจที่ปราดเปรื่องได้อย่างไรกัน
คิดใคร่ครวญไตร่ตรองมากเข้าไว้ ได้กลายเป็นสัญชาตญาณของนางไปแล้ว
“ศิษย์พี่ทั้งสอม พวกท่านว่า…” หรูอวี้เจินจวินหันหน้าไป
“กราบเรียนท่านเจินจวิน ที่ศิษย์กล่าวมาเป็นความจริงทุกประการ แม้หาบุคคลที่สองออกมาไม่ได้ กลับมีสิ่งนี้เป็นพยานขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยื่นมือออกมา ของขนาดเท่าถั่วลิสงสิ่งหนึ่งจะว่าหยกก็ไม่ใช่หยกจะว่าหินก็ไม่ใช่หินปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา
“หยกย้อนอดีต!”คนที่อยู่ที่นี่ย่อมปราดเดียวก็จำของในมือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ได้
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ขนตาสั่นไหว
ตนช่างโชคดีจริงๆ เลย เดิมทีศิษย์พี่อู๋สามารถเป็นพยานให้ตนได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ไม่คิดว่าในมือเขาจะมีหยกย้อนอดีตอยู่!
หรือว่าความประพฤติของเจ้าสารเลวเถียนหยวนนั่นแม้แต่สวรรค์ก็ทนดูไม่ไหวแล้ว พอใจเป็นพิเศษที่ตนกระทำการแทนฟ้า นี่ถึงช่วยเหลือกันเช่นนี้? มั่วชิงเฉินคิดอย่างหน้าไม่แดงแม้แต่น้อย
นักพรตฟางเหยาโยนหยกย้อนอดีตขึ้นฟ้า ทันใดนั้นก็เห็นหมอกควันคละคลุ้งกลางอากาศ ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นกำแพงเมฆ จากนั้นก็เห็นบนกำแพงเมฆเทือกเขาเขียวขจี ปักษาบินแมลงขับขาน ทิวทัศน์ในนั้น คือเขาลั่วเยี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อจากนั้นอีกก็ปรากฏเงาร่างของมั่วชิงเฉิน ตามติดด้วยเถียนหยวนใช้เชือกมัดเซียนลอบโจมตี การสนทนาต่างๆ ราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง
ถึงสุดท้ายเถียนหยวนวางมั่วชิงเฉินไว้บนพื้นหญ้า ยามที่ยื่นมือดึงชายเสื้อของนางออกแล้วทับลงไปทั้งตัว มั่วชิงเฉินก็อับอายจนหน้าแดง แล้วมองไปที่กู้หลีอย่างไม่รู้ตัว
กลับเห็นกู้หลีหน้านิ่งดุจน้ำ เอ็นบนมือปูดขึ้น เห็นชัดว่าโกรธจนพูดไม่ออกแล้ว
ภาพเหตุการณ์สุดท้าย ก็คืออีกาที่อ้วนจนเกือบเดินไม่ไหวตัวหนึ่ง อุ้มก้อนกลมสีดำสามลูกอย่างเปลืองแรงโยนไปที่เถียนหยวนอย่างแรง จากนั้นก็เห็นมั่วชิงเฉินเหม่อลอยน้ำตาตก เก็บกวาดสนามรบกับอสูรวิญญาณอย่างรีบเร่งแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ถึงตรงนี้ เห็นเพียงกำแพงเมฆสั่นไหว จากนั้นหมอกควันสลาย หยกย้อนอดีตตกลงสู่มือนักพรตฟางเหยาอีกครั้ง
นักพรตซานอินหน้าถอดสี พูดไม่ออกแล้ว
หรูอวี้เจินจวินเหลือบมองเขาอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่ง แล้วปรึกษากับเจินจวินทั้งสามท่านอย่างลับๆ สุดท้ายว่า “บัดนี้ความจริงกระจ่าง ถอนการลงโทษเฆี่ยนแส้เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดทีต่อมั่วชิงเฉินกลับ เปลี่ยนเป็นการลงโทษต่ำสุดเฆี่ยนแส้สิบที มั่วชิงเฉิน เจ้ายอมหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินกราบไหว้ลงไปช้าๆ “ศิษย์ยอมทั้งกายทั้งใจเจ้าค่ะ”
“ศิษย์หลานเจ้าสำนัก เชิญเฆี่ยนแส้เทพได้” หรูอวี้เจินจวินกล่าว
นักพรตฟางเหยาปล่อยยันต์ส่งสารออกไป ไม่นานนักก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเข้ามาคนหนึ่ง สองมือเทิดแส้ยาวสีทองเส้นหนึ่งไว้ เชิญเจินจวินทั้งสี่และเจ้าสำนักตรวจดู จากนั้นจึงเดินไปที่มั่วชิงเฉิน
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ก็คือเจ้าโถงโถงลงทัณฑ์นักพรตเจิ้นผิง
“ช้าก่อน” ในยามนี้เองกู้หลีพูดขึ้นมาอย่างนิ่งเรียบ
ทุกคนมองไป ก็เห็นกู้หลีตวัดชุดยาวสีเทาคุกเข่าขาข้างเดียวลงพื้น เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์ก่อเรื่อง เหอกวงยากจะปัดความรับผิดชอบในการสอนสั่งได้ การเฆี่ยนแส้เทพสิบทียินยอมขอร่วมแบกรับพร้อมศิษย์”
——
[1] คนยังไม่ไปชาก็เย็นเสียแล้ว เปรียบเทียบว่า เมื่อคนหมดอำนาจ คนที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็ตีตัวออกหาก
ตอนที่ 226 ผลของการลงโทษ
“อาจารย์…” เพิ่งสิ้นเสียงกู้หลี คนที่หน้าถอดสีกลับเป็นมั่วชิงเฉิน
กู้หลีเหลือบมองมั่วชิงเฉินอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่ง
มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว กัดริมฝีปากว่า “อาจารย์ เรื่องนี้เดิมทีชิงเฉินก็ทำคนเดียวอยู่แล้ว ท่านจะร่วมรับโทษเฆี่ยนแส้เทพกับข้าได้อย่างไรกัน?”
กู้หลีมองมั่วชิงเฉิน อารมณ์สลัวๆ ในดวงตาอ่านไม่ออก น้ำเสียงกลับสงบจนเกือบเย็นชาว่า “ชิงเฉิน เจ้ายังเห็นข้าเป็นอาจารย์เจ้าหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน เหมือนมีค้อนอันเล็กๆ ทุบลงบนหัวใจ ไม่นับว่าหนัก กลับเจ็บอย่างชัดเจน ในที่สุดก็ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าซีดเซียว ไม่พูดสิ่งใดอีก
“ทางแห่งการเป็นอาจารย์ ความรับผิดชอบในการสอนคน หากเหอกวงตั้งมั่นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” เสียงของหรูอวี้เจินจวินดังขึ้น ในโถงใหญ่ที่เงียบสงบทำให้ได้ยินอย่างชัดเจนยิ่งนัก พูดจบสายตากวาดไปที่นักพรตเจิ้นผิง “เจิ้นผิง เฆี่ยนแส้เทพสิบที เหอกวงรับเจ็ดที มั่วชิงเฉินรับสามที บัดนี้ก็ให้เจ้ามาปฏิบัติเถอะ”
“ขอรับ” นักพรตเจิ้นผิงคารวะหนึ่งที มองๆ กู้หลีแล้ว กลับเดินไปที่มั่วชิงเฉินก่อน
มั่วชิงเฉินคุกเข่าอยู่บนพื้น ครึ่งตัวบนยืดตรง ตากลับปิดลงเบาๆ ขนตาสั่นไหวแผ่วเบา
นักพรตเจิ้นผิงยกแส้ทองในมือขึ้นช้าๆ
ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “ช้าก่อน”
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงนักพรตซานอินแสยะมุมปาก เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ถุงเก็บวัตถุของเถียนหยวนถูกมั่วชิงเฉินเก็บไปสินะ ขอให้ส่งคืนด้วย”
มั่วชิงเฉินเม้มมุมปาก ล้วงของสิ่งหนึ่งออกจากอกอย่างไม่ลังเลแล้วโยนไปที่นักพรตซานอิน
นักพรตซานอินรับไว้ทันที ใช้จิตตระหนักกวาดดูแล้วถึงว่า “พัดหยินหยางของเถียนหยวนล่ะ?”
“ไม่ทราบ คิดว่าคงถูกระเบิดเป็นผุยผงแล้ว” อารมณ์หวาดกลัวและตื่นเต้นที่เกิดจากการต้องถูกเฆี่ยนแส้เทพของมั่วชิงเฉินแต่เดิม กลับถูกพัดสลายไปเพราะการกระทำนี้ของนักพรตซานอิน
นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุก “ระเบิดเป็นผุยผงแล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไร…”
“เอาล่ะ ซานอิน พัดหยินหยางที่เถียนหยวนใช้เดิมก็เป็นของนอกลู่นอกทางอยู่แล้ว ต่อให้มั่วชิงเฉินเอาไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด แม้แต่ฆ่าเถียนหยวนนางยังยอมรับแล้ว ยังจะโลภพัดของเขาเพียงเล่มเดียวหรือ? เจ้าก็อย่าต่อความยาวสาวความยืดอีกเลย” หรูอวิ้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบ
นักพรตซานอินหลุบตาลงอย่างไม่ยอม
พัดหยินหยางเล่มนั้นเมื่อนานมาแล้วด้วยโอกาสวาสนานำพาเขาแลกมาจากผู้บำเพ็ญเพียรผีผู้หนึ่ง ระดับของสิ่งนั้นไม่อาจแบ่งแยกเช่นอาวุธเวทธรรมดา สามารถพูดได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรใช้ไปตลอดถึงระดับก่อแก่นปราณหรือกระทั่งก่อกำเนิดก็ไม่เป็นปัญหา
เดิมเขายังคิดจะเก็บไว้ใช้เอง เสียดายยามนั้นตนก่อแก่นปราณแล้ว มีสมบัติวิเศษเจ้าชะตาแล้ว จึงเกิดการต่อต้านสมบัติวิเศษประเภทนี้ ต่อให้หลอมพัดหยินหยางแล้วก็ยากจะสำแดงอานุภาพของมันออกมาได้อยู่ดี จึงเก็บไว้เสมอมา ต่อมาได้มอบให้เถียนหยวน
บัดนี้ยัยเด็กบ้านั่นกลับบอกว่าพัดหยินหยางถูกระเบิดเป็นผุยผงแล้ว เขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ได้แต่ยอมรับ วันหลังหากมีโอกาส ต้องให้ยัยเด็กบ้านั่นลำบากสักครั้งให้ได้ เฆี่ยนแส้เทพสามทีช่างสบายนางเกินไปแล้วจริงๆ!
ไม่พูดถึงความคิดลับๆ ในใจของนักพรตซานอิน ทางด้านนี้นักพรตเจิ้นผิงได้ยกแส้เทพสีทองขึ้นสูงแล้ว มองดูสาวน้อยที่คุกเขาอยู่เงียบๆ บอบบางเหมือนต้นหลิว สุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ต้องเตือนว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมนะ”
เพิ่งสิ้นเสียง แส้ยาวสีทองในมือก็ตวัดขึ้นทันที วาดแสงทองสายหนึ่งกลางอากาศ ตวัดแส้ออก เพี๊ยะเสียงหนึ่งฟาดลงบนตัวมั่วชิงเฉิน
ร่างมั่วชิงเฉินสั่นเทิ้มทันที ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เดิมทีนางคิดว่าตนเตรียมตัวพร้อมสำหรับการต้อนรับความเจ็บปวดแล้ว ทว่ามีเพียงยามที่แส้เทพเฆี่ยนลง ถึงรู้ว่ารสชาติของการที่ดวงจิตถูกฟาดเป็นเช่นไร
ความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่อาจใช้คำพูดมาพรรณนาได้แล้ว กระทั่งตกลงเจ็บที่ตรงไหนก็พูดไม่ถูก รู้สึกเพียงว่าความเจ็บปวดเช่นนี้เกินระดับการทนได้ของมนุษย์ไปแล้ว กลับดันไม่อาจสลบได้ ได้แต่รับรู้อย่างมีสติและชัดเจนถึงรสชาติความเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นนั้น
นี่ก็คือส่วนที่ร้ายกาจของการเฆี่ยนแส้เทพ มันเฆี่ยนลงโดยตรงบนดวงจิตที่อยู่ในส่วนลึกของความตระหนัก ความเจ็บปวดเช่นนั้นรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดของร่างเนื้อที่ต้องทนรับการขาดสะบั้นของชีพจรหลักและการขยายตัวอย่างรุนแรงของตันเถียนยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรทะลวงด่านใหญ่ระดับสร้างรากฐาน ระดับก่อแก่นปราณนับไม่ถ้วนเท่า
ที่ยิ่งน่ากลัวคือ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งไม่ว่าถูกเฆี่ยนหนึ่งที หรือว่าเฆี่ยนหนึ่งร้อยที จะรักษาสติไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งมีสติชัดเจนยิ่งกว่ายามปกติเสียอีก
และยังมีอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งหลังจากถูกเฆี่ยนแล้วร่างกายจะไม่ทิ้งร่องรอยบาดเจ็บไว้แม้แต่น้อย ส่วนดวงจิตกลับต้องบำรุงรักษาเป็นเวลานานกว่าจะฟื้นฟูได้
หากจะว่าการลงโทษเช่นนี้น่าหวาดกลัวรุนแรง ที่จริงก็มิใช่ไม่มีประโยชน์เสียทีเดียว ผู้บำเพ็ญเพียรหากรับการลงโทษเฆี่ยนแส้เทพ เช่นนั้นต่อไปเมื่อเลื่อนขั้นความสามารถในการอดทนต่อความเจ็บปวดของร่างเนื้อจะสูงขึ้นมาก ยิ่งกว่านั้นหากยามที่พบเจอสมบัติวิเศษหรือคาถาที่ใช้โจมตีดวงจิตโดยเฉพาะ ภูมิต้านทานก็จะแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
ดีและร้าย บุญและเคราะห์ เดิมทีในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ยากจะพูดได้ชัดเจนอยู่แล้ว
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีคนเต็มใจรับการเฆี่ยนตีของแส้เทพ
เพียงทีเดียวนี้ มั่วชิงเฉินก็เหงื่อโทรมไปทั้งกายในพริบตา
เดิมทีนางนึกว่าความเจ็บปวดทีแรกได้เกินระดับการทนได้ของมนุษย์แล้ว ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดควรด้านชาแล้วกระมัง ทว่าเมื่อทีที่สอง ทีที่สามมาตามกำหนดถึงรู้ตัวว่าตนเองผิดเสียแล้ว
ความเจ็บปวดของแต่ละทีล้วนชัดเจนถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่ด้านชาเลย นางกระทั่งรู้สึกว่าแต่ละทีเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ทีสุดท้ายเจ็บจนนางสามารถรับรู้ได้ว่าวิญญาณสั่นเทาอยู่อย่างชัดเจน
ในพริบตานั้น นางกระทั่งมีความรู้สึกเหมือนหลุดออกจากความเป็นความตาย
เฆี่ยนแส้เทพสามทีเฆี่ยนเสร็จ มั่วชิงเฉินยังลำตัวตั้งตรงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น มิใช่นางอวดเก่ง หากแต่ความเจ็บปวดของดวงจิตในยามนี้ทำให้นางสูญเสียสัญชาตญาณทางร่างกาย หลุดจากการควบคุมที่มีต่อร่างกาย ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง แต่กลับรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนจนไม่รู้จะชัดเจนอย่างไรแล้ว
นักพรตเจิ้นผิงเดินไปที่กู้หลี
การเฆี่ยนแส้เทพเฆี่ยนลงบนร่างกู้หลีทีแล้วทีเล่า เขากลับไม่ส่งเสียงสักแอะ สายตามองตรงไปข้างหน้า
คนอื่นต่อให้รู้สึกเข้าใจอย่างลึกซึ้ง กลับเทียบไม่ได้กับมั่วชิงเฉินที่ร่วมชะตาเดียวกัน
เพียงเพราะนางคือคนที่เพิ่งถูกเฆี่ยนแส้เทพ ไม่มีใครเข้าใจชัดเจนไปกว่านางว่าการถูกเฆี่ยนตีดวงจิตนั้นรสชาติเป็นเช่นไร
ส่วนความเจ็บปวดที่กู้หลีได้รับในยามนี้ ก็ไม่บางเบาลงเพราะเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ กระทั่งเพราะดวงจิตของเขาแข็งแกร่งกว่า การรับรู้ต่อความเจ็บปวดจึงยิ่งเฉียบไวกว่า
และความทรมานที่เขาได้รับ ตนเป็นคนสร้างไว้
มั่วชิงเฉินสายตาจับจ้องกู้หลีเขม็ง ในใจเจ็บปวดสุดที่จะทนได้
อาจารย์ นี่ท่านลงโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่? ไม่คิดว่าจะใจร้ายถึงเพียงนี้! มั่วชิงเฉินหลับตาลง แล้วถอนใจลึกๆ
“เรียนท่านเจินจวิน ศิษย์ลงโทษเสร็จสิ้นแล้วขอรับ เฆี่ยนแส้เทพสิบทีนักพรตเหอกวงรับเจ็ดที มั่วชิงเฉินรับสามที” นักพรตเจิ้นผิงเดินถึงตรงกลางโถงใหญ่ สองมือยกแสทองขึ้นสูง เอ่ยด้วยเสียงมั่นคง
หรูอวี้เจินจวินมองดูกู้หลีศิษย์อาจารย์สองคน แล้วถอนใจเสียงหนึ่งว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้นผิงเจ้าถอยลงไปเถอะ”
“ขอรับ” นักพรตเจิ้นผิงเทิดแส้เทพไว้ด้วยสองมือ ถอยหลังไปช้าๆ
“ช้าก่อน” กู้หลีใช้นิ้วมือเรียวยาวเช็ดเลือดที่มุมปากทิ้งไป แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า
หรูอวี้เจินจวินกวาดสายตามา “เป็นอะไรหรือ เหอกวง เจ้ายังมีอะไรจะพูดเช่นนั้นหรือ”
กู้หลียิ้มแผ่วเบาว่า “ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ ‘ทางแห่งการเป็นอาจารย์ ความรับผิดชอบของการสอนคน’ เถียนหยวนในฐานะศิษย์ก้นกุฏิของศิษย์พี่ซานอิน กลับประพฤติตนต่ำช้า ย่ำยีศิษย์น้องร่วมสำนัก บัดนี้แม้ต้องตัวตายก็เพราะเหตุจากอดีตส่งผลในวันนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ซานอินในฐานะอาจารย์ ควรรับผิดชอบเช่นไรอีก?”
สิ้นเสียงกู้หลี กลางโถงเงียบงันก่อน จากนั้นก็มีเสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
“ไอยา บัดนี้ข้าถึงพบว่าศิษย์น้องเล็กปกติแกล้งเป็นหมูกินเสือหรือนี่…โอ๊ย ศิษย์น้องสาม เจ้าเหยียบข้าไปไย?” นี่คือเสียงนักพรตจื่อซีอย่างไม่ต้องสงสัย
นักพรตหมิงจ้าวได้ยินนักพรตจื่อซีพูดความในใจออกมาอย่างลืมตัว เกิดร้อนรนขึ้นมาจึงเหยียบนางไปทีหนึ่ง กลับถูกนักพรตจื่อซีเปิดโปงอีก กระอักกระอ่วนอย่างมากขึ้นมาทันที แล้วรีบหันหน้าไปอีกข้างหนึ่งแกล้งทำเป็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตจื่อซี แต่กลับลืมหดเท้ายักษ์ที่เหยียบอยู่บนรองเท้าปักลายของนักพรตจื่อซี กระทั่งถูกนักพรตจื่อซีเหยียบทีหนึ่งอย่างแรง จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“กู้เหอกวง เจ้าอย่ารังแกกันเกินไป ศิษย์เจ้าฆ่าลื่อของข้า หรือว่าสุดท้ายยังกลายเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นหรือ?” นี่คือเสียงโหวกเหวกของนักพรตซานอินที่โมโหยากจะทน
เพราะว่าสามคนนี้ออกเสียงพร้อมกัน โถงใหญ่อื้ออึงขึ้นมาทันที
เจินจวินทั้งสี่ท่านมองหน้ากันปราดหนึ่ง ต่างรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“หุบปาก!” หรูอวี้เจินจวินตะคอกว่า
ในโถงสงบลงมา
หรูอวี้เจินจวินถึงมองทุกคนว่า “ที่เหอกวงพูด ก็ไม่ผิด”
“ท่านเจินจวิน!” นักพรตซานอินเรียกเสียงหลง “ท่านจะฟังคำพูดข้างๆ คูๆ ของกู้เหอกวงไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ เถียนหยวนตายไปแล้ว ยังมีการลงโทษที่รุนแรงกว่านี้หรืออย่างไร? อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้ย่ำยีมั่วชิงเฉินนี่นา!”
นักพรตจื่อซีหัวเราะเย้ยออกเสียงว่า “การตายของเถียนหยวนเพราะเขารนหาที่เอง เขาไม่ได้ย่ำยีศิษย์หลานชิงเฉิน ไม่ใช่เขาไม่อยาก หากแต่เพราะเขาไม่มีปัญญา นี่คือแบบฉบับของการขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ หากเปลี่ยนเป็นศิษย์หญิงคนอื่น ผลจะเป็นเช่นไรไม่ต้องคิดก็รู้!”
กู้หลีกลับพูดเสียงไม่ช้าไม่เร็วว่า “ศิษย์พี่ซานอินพูดชอบกลนัก การตายของเถียนหยวนคือผลการลงโทษต่อการกระทำของตัวเขาเอง ก็เหมือนกับศิษย์ข้าถูกเฆี่ยนแส้เทพเป็นผลการลงโทษจากการที่นางทำอะไรบุ่มบ่าม เหอกวงสอนสั่งไม่เหมาะสม ก็ยากจะหนีความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน เช่นนั้นความรับผิดชอบในการสอนสั่งของศิษย์พี่ซานอินควรรับผิดชอบเช่นไร?”
“เจ้า เจ้า…” นักพรตซานอินโกรธจนพูดไม่ออก เขารู้สึกรางๆ ว่าคำพูดของกู้หลีค่อนข้างผิดปกติ ทว่าเนื่องจากความโกรธบดบังจิตใจกลับคิดไม่เข้าใจ
“ท่านอาจารย์อาหรูอวี้ขอรับ ศิษย์ข้าได้รับการลงโทษแม้เป็นเรื่องสมควร เรื่องนี้สำหรับนางแล้วกลับเป็นเคราะห์ที่เกิดโดยไม่ได้คาดคิด ขอให้ท่านให้ความเป็นธรรมด้วย” กู้หลีมองไปที่หรูอวี้เจินจวิน
หรูอวี้เจินจวินพยักหน้า “ที่เหอกวงพูดมาก็มีเหตุผล เพียงแต่อย่างไรเสียเถียนหยวนก็ตายไปแล้ว จึงให้เว้นโทษเฆี่ยนแส้เทพซานอิน ไปอยู่โถงลงทัณฑ์สักสามปีเถอะ”
นักพรตซานอินได้ยินว่าไม่ใช่โดนเฆี่ยนแส้เทพ ในที่สุดก็โล่งใจ เทียบกันแล้วการไปอยู่โถงลงทัณฑ์สามปีต้องดีกว่ามาก เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจที่มีต่อเขาชิงมู่ยิ่งเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง
“เอาล่ะ ถอยลงไปให้หมดเถอะ” หรูอวี้เจินจวินกุมขมับ ในที่สุดก็จบเรื่องเสียที
หลิวซางเจินจวินนำพวกกู้หลีกลับเขาหลักเขาชิงมู่ แล้วสั่งให้นักพรตหมิงจ้าวส่งกู้หลีศิษย์อาจารย์กลับเขาป่าไผ่
นักพรตจื่อซีขลุกอยู่ยอดเขาหลักไม่ยอมไป คล้องแขนหลิวซางเจินจวินว่า “อาจารย์ จื่อซีรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กนับวันยิ่งฉลาดขึ้นแล้ว”
หลิวซางเจินจวินกลับกึ่งหรี่ตา เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “จื่อซี เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเหอกวงเห็นความสำคัญศิษย์ของเขาเกินไปสักหน่อย?”
นักพรตจื่อซีตกใจ รีบเอ่ยว่า “ไม่หรอกกระมัง ยามเรายังเยาว์วัย อาจารย์ก็ปฏิบัติกับพวกเราเช่นนี้มิใช่หรือเจ้าคะ?”
หลิวซางเจินจวินถึงได้พยักหน้าแล้วย้อนกลับที่พำนัก
อีกด้านหนึ่งนักพรตซานอินเพิ่งถูกขังเข้าโถงลงทัณฑ์ กลับจู่ๆ โหวกเหวกโวยวายขึ้นมา “กู้เหอกวง เจ้าสารเลว ข้าก็ว่าตรงไหนมันผิดปกติ แส้เจ็ดทีของเจ้านั่นเจ้าโดนแทนศิษย์เจ้าชัดๆ เกี่ยวกับความรับผิดชอบในการสอนสั่งตรงไหนกัน!”
เพียแต่ที่ตอบรับเขา มีเพียงประตูหินที่ปิดสนิท
ตอนที่ 227 วิญญาณเอยกลับสู่ที่ใด
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าและศิษย์หลานชิงเฉินรักษาตัวให้ดี ข้าไปก่อนแล้ว” นักพรตหมิงจ้างหลังจากส่งพวกกู้หลีสองคนกลับเขาป่าไผ่ ก็ร่ำลาจากไป
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเดินเข้ามา เห็นกู้หลีและมั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียวทั้งคู่ เสื้อผ้าที่ใส่เปียกชุ่ม แล้วอดตกใจยกใหญ่ไม่ได้ เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
มั่วชิงเฉินแม้แต่เรี่ยวแรงจะโบกมือยังไม่มี เอ่ยอย่างเปลืองแรงว่า “รีบพยุงข้าและอาจารย์เข้าไป”
“เจ้าค่ะ” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนรับคำพยุงสองคนเข้าไป
“ท่านนักพรต คุณหนู มีเรื่องอันใดจะสั่งบ่าวหรือไม่เจ้าคะ?” เหม่ยจิ่งถามอย่างระมัดระวัง
กู้หลีเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องยุ่งยากแล้ว ถอยไปก่อนเถอะ”
หลังจากเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถอยลงไป ในห้องจึงเหลือเพียงศิษย์อาจารย์สองคน
“อาจารย์…” เห็นกู้หลีไม่เปิดปาก มั่วชิงเฉินเรียกด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เสียงหนึ่ง
กู้หลีเม้มริมฝีปากบางไว้แน่น มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งด้วยแววตาอธิบายไม่ถูก
มั่วชิงเฉินกระตุกชายเสื้อกู้หลีว่า “อาจารย์ ท่าน หรือว่าท่านโกรธอยู่หรือเจ้าคะ?”
กู้หลีดึงแขนเสื้อกลับอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “อาจารย์มีเรื่องอันใดให้โกรธ?” พูดจบสายตาเบือนไปทางอื่น ไม่มองมั่วชิงเฉินอีก
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ในใจขัดแย้งกัน ผ่านไปครึ่งค่อนวันจู่ๆ ก็คุกเข่าลงมา เอ่ยเสียงกังวานว่า “อาจารย์ ชิงเฉินผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
กู้หลีถึงได้หันหน้ามา ถามนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉินเจ้าผิดที่ตรงไหน?”
“ชิงเฉิน ชิงเฉินไม่ควรฆ่าเถียนหยวนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา
กู้หลีสีหน้าสงบ กลับไม่พูดอะไรสักแอะ
มั่วชิงเฉินมองไปที่กู้หลี
นัยน์ตาสีดำที่สะอาดบริสุทธิ์ในดวงตาเขาดูเหมือนมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงแต่ในแววตาที่กระจ่างใสนั่นกลับเจือปนด้วยความจำใจและความโกรธบางเบาสายหนึ่ง
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจ กัดฟันว่า “ชิงเฉินไม่ควรใช้ตัวเป็นเหยื่อ ใช้อุบายฆ่าเถียนหยวนเจ้าค่ะ!”
นางควรคิดได้ตั้งนานแล้ว การกระทำของตนอาจปิดบังทุกคนได้ ทว่าจะปิดบังอาจารย์ที่พบหน้ากันเช้าเย็นได้เช่นไรกัน
วันนี้หากตนไม่พูด เขาต้องไม่ซักไซ้แน่นอน ทว่าระหว่างสองคนต้องเกิดช่องว่างขึ้นแน่ และนี่กลับเป็นสิ่งที่นางไม่ยอมเห็นเป็นอันขาด
“เพราะเหตุใด?” กู้หลีถามเสียงเบา
เขารู้ว่าปกติศิษย์ตนกระทำการสิ่งใดแม้มีหลักการขีดจำกัดของตนเอง กลับก็ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เถียนหยวนคนนั้นแม้มีชื่อเสียงไม่ดีในด้านผู้หญิง กลับยังไม่ถึงขั้นต้องให้คนรักคุณธรรมออกหน้าขจัดภัยให้ชาวบ้าน
เมื่อพูดออกมาแล้ว มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในใจราวกับวางก้อนหินก้อนใหญ่ลง คำพูดกลับคล่องขึ้นมา “เพราะชิงเฉินมีแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับเขาได้ เขาฆ่าท่านปู่ของข้า! ปีนั้นชิงเฉินเพิ่งถึงเมืองเทียนเหยา อายุเพียงแปดขวบ พึ่งพาอาศัยกับท่านปู่…”
มั่วชิงเฉินเริ่มเล่าตั้งแต่ที่เพิ่งเข้าเมืองเทียนเหยาในปีนั้น เล่าจนกระทั่งถึงพบว่าท่านปู่ถูกเถียนหยวนฆ่า ตนเพื่อแก้แค้นจึงมาเป็นศิษย์จิปาถะที่เหยากวง เสียงสงบนุ่มนวลราวกับกำลังเล่านิทานที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดากว่านี้ได้อีก กลับทำให้กู้หลีสัมผัสถึงความเศร้าที่ยากจะเอ่ยเป็นคำพูดจากส่วนลึกของหัวใจของคนพูดได้
กู้หลีฟังมั่วชิงเฉินเล่าจบ แล้วถอนใจเบาๆ อึดหนึ่ง มองใบหน้านางที่ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อยว่า “ชิงเฉิน เจ้ามีความแค้นเช่นนี้กับเถียนหยวน ฆ่าเขาแก้แค้นก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่การกระทำของเจ้าในวันนี้กลับไม่เหมาะสมเกินไป อย่าลืมสิ เจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสตรี…”
นึกถึงการกระทำของเถียนหยวนถูกกู้หลีเห็นจนหมดเพราะอานุภาพของหยกย้อนอดีต มั่วชิงเฉินแก้มแดงเรื่อ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านโกรธ โกรธที่ชิงเฉินเอาแต่ใจไม่สนใจสวัสดิภาพของตน ทว่าหากย้อนกลับมาได้อีกครั้ง ชิงเฉินยังคงจะทำเช่นนี้ สามารถฆ่าศัตรูกับมือ ต่อให้ถูกเฆี่ยนมากกว่านี้ชิงเฉินก็ดีใจ เพียงแต่ เพียงแต่ทำให้อาจารย์ต้องโดนเฆี่ยนไปด้วย กลับเป็นความผิดของชิงเฉิน”
กู้หลีหยิบขวดหยกใบหนึ่งให้มั่วชิงเฉินว่า “นี่คือโอสถเลี้ยงดวงจิต ทุกสามวันกินเม็ดหนึ่ง ก่อนที่ดวงจิตจะเลี้ยงกลับมาได้ดังเดิมอย่าใช้ความคิดมากเกินไป การบำเพ็ญเพียรต่างๆ ยิ่งต้องหยุดลงชั่วคราว จำได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างว่าง่าย
กู้หลีถึงลุกขึ้น ยามที่เดินไปถึงหน้าประตูหยุดฝีเท้า หันหน้ามาเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ เถียนหยวนเป็นศิษย์สายตรงของนักพรตซานอิน ความประพฤติแม้น่ารังเกียจ ทว่าจะเป็นคนไม่เอาถ่านจริงๆ ได้เช่นไรกัน? หากด้วยความประมาทของเจ้าแก้แค้นไม่สำเร็จกลับต้องแลกด้วยตนเอง ความเจ็บปวดที่ต้องรับของคนที่เป็นห่วงเจ้าเหล่านั้น ต้องไม่น้อยกว่าการถูกเฆี่ยนแส้เทพแน่นอน”
เมื่อพูดจบ กู้หลีก็ผลักประตูออกไป
มั่วชิงเฉินเหม่อมองประตูห้องที่ยังส่ายอยู่ เม้มปากยิ้ม กินโอสถเลี้ยงดวงจิตเข้าไปเม็ดหนึ่ง แล้วหลับตาเอนลงบนเตียง
นอนตื่นหนึ่งตื่นมา มั่วชิงเฉินที่รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้างแล้วนอนคิดอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหยิบพัดหยินหยางของเถียนหยวนเล่มนั้นออกจากกำไลเก็บวัตถุ ถือไว้ในมือแล้วพิจารณาอย่างละเอียด
นี่คือพัดพับเล่มหนึ่ง ด้ามพัดเป็นกระดูก มิใช่สีขาวที่กระจ่างใส หากแต่เป็นสีขาวซีดเล็กน้อย ปนด้วยสีเขียวเล็กน้อย
นิ้วมือมั่วชิงเฉินวาดผ่านด้ามพัด ปลายนิ้วเย็นเยียบ ในใจอดใจหายไม่ได้ หรือว่าด้ามพัดนี้จะทำจากกระดูกมนุษย์จริงๆ?
หน้าพัดคล้ายกระดาษทว่าไม่ใช่กระดาษ คล้ายผ้าไหมทว่าไม่ใช่ผ้าไหม ดูไม่ออกว่าเป็นวัสดุอะไรกันแน่ สีที่ปรากฏออกมาเป็นสีเทาขาว สิ่งที่วาดอยู่ด้านบนนั้นไม่ใช่ภาพทิวทัศน์บุคคลที่พบได้บ่อยๆ ในพัดพับทั่วไป
ด้านหน้าของพัดคือแม่น้ำยาวสายหนึ่ง น้ำในแม่น้ำลึกล้ำ ข้างบนแขวนจันทร์เสี้ยวสีซีดไว้เสี้ยวหนึ่ง ด้านหลังกลับว่างเปล่า มีเพียงมุมขวาล่างมีเครื่องหมายกะโหลกเล็กๆ อันหนึ่ง
มั่วชิงเฉินลูบไล้พัดหยินหยางด้ามนี้ ราวกับสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องของวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วน นางทนไม่ไหวยื่นจิตตระหนักเข้าไปสายหนึ่ง ในสมองกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด
แย่แล้ว ประมาทไปชั่วขณะไม่คิดเลยว่าจะลืมว่าดวงจิตได้รับบาดเจ็บ! เดิมทีจิตตระหนักก็คือหนวดสัมผัสที่ยืดออกไปจากดวงจิต การเคลื่อนย้ายเช่นนี้ไม่ปวดก็แปลกแล้ว
มั่วชิงเฉินเก็บจิตตระหนักกลับมาอย่างไม่ยินยอม กลับทำใจเก็บพัดหยินหยางนี้กลับไปไม่ได้ นางอยากรู้เหลือเกินว่าตกลงพัดนี้ซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่
วิญญาณของท่านปู่ถูกกักไวในพัดนี้ใช่หรือไม่?”
หากวิญญาณของท่านปู่ไม่ได้กลับสู่ยมโลก หากแต่อยู่ในพัดนี้ นี่มิหมายความว่า ตนกระทั่งจะมีโอกาสได้คุยกับท่านปู่?
ไม่แน่ ท่านปู่ยังสามารถหันมาบำเพ็ญเพียรผี?
ความคิดพวกนี้ม้วนทะยานอยู่ในสมองมั่วชิงเฉิน จนกระทั่งปวดศีรษะทนไม่ไหว นางถึงเก็บพัดเข้ากำไลเก็บวัตถุด้วยความแค้นใจ หลับตาพักสายตา
โอสถเลี้ยงดวงจิตที่กู้หลีให้มั่วชิงเฉินคุณภาพชั้นเลิศ นางกินหนึ่งเม็ดทุกสามวัน พริบตาเดียวผ่านไปหลายเดือนในที่สุดก็สามารถเคลื่อนจิตตระหนักได้แล้ว
ในวันนี้ มั่วชิงเฉินกินโจ๊กทิพย์เข้าไปชามหนึ่ง รอเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถอยออกไปแล้วปิดประตูให้เรียบร้อย ตั้งค่ายป้องกันและค่ายสะกดวิญญาณ ถึงนั่งขัดสมาธิลงกลางค่าย หยิบพัดหยินหยางที่คิดถึงทุกวันคืนออกมา แล้วเคลื่อนจิตตระหนักเข้าไปอย่างระมัดระวัง
เจ้าของเดิมของพัดหยินหยางตายแล้ว ตราการจำเจ้าของสลายไปจนพอประมาณตั้งนานแล้ว มั่วชิงเฉินลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งไปอย่างง่ายดาย แล้วยื่นจิตตระหนักเข้าไป
เพียงแต่นางต้องถอยกลับมาอย่างรวดเร็วอีก หอบเบาๆ สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
นางรู้ตั้งนานแล้วว่าพัดหยินหยางนี้จัดเป็นของประหลาด กลับไม่คิดว่าสภาพในนั้นจะน่าสยดสยองปานนี้
แม่น้ำสายยาวในพัดนั้น น้ำสีดำที่ม้วนทลายปนด้วยสีเลือดรางๆ มีร่างคนยื่นมือหรือศีรษะออกจากน้ำเป็นระยะ ร่างคนพวกนั้นบ้างขาดแขนขาดขา บ้างเลือดออกเจ็ดทวาร บ้างเหลือเพียงหนังแผ่นหนึ่งติดอยู่บนหัวกะโหลก เสียงร่ำไห้ระงม ลมพัดเย็นยะเยือก เป็นภาพของนรกอย่างไม่ต้องสงสัย
มั่วชิงเฉินสงบจิตใจ ถึงยื่นจิตตระหนักเข้าไปใหม่ ค้นหาอย่างละเอียดขึ้นมา
วิญญาณแค้นในพัดมีจำนวนนับไม่ถ้วน มั่วชิงเฉินหาอยู่นานก็ไม่พบเงาของมั่วต้าเหนียน จนกระทั่งเหนื่อยล้า ถึงถอยออกจากพัดอย่างจำใจ
ติดต่อกันหลายวัน มั่วชิงเฉินรอให้กระปรี้กระเปร่าแล้วก็ยื่นจิตตระหนักเข้าค้นหาในพัดหยินหยาง จนถึงวันที่เจ็ด นางพบเงาร่างที่คุ้นเคยเงาหนึ่งกลายแม่น้ำอย่างไม่คาดคิด ในใจตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วรีบใช้จิตตระหนักนำทาง ดึงเงาร่างนั้นเข้าฝั่ง
เพียงแต่เมื่อเงาร่างนั้นเข้าใกล้ฝั่ง ก็ดูเหมือนถูกพลังอะไรขวางไว้ ถูกดีดกลับเข้าในน้ำอีกครั้ง เพราะมั่วชิงเฉินไม่ทันตั้งตัวเงาร่างนั้นจึงเกือบหายไปในน้ำสีดำอันกว้างใหญ่นั้นอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นท่วมกาย ใช้จิตตระหนักนำทางเงาร่างของมั่วต้าเหนียนแต่กลับต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผ่านไปพักใหญ่ถึงเกิดความคิดขึ้นมา อัดพลังวิญญาณเข้าไปในพัดสายหนึ่ง คิดจะใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มเงาร่างของมั่วต้าเหนียนไว้แล้วค่อยพาเขาขึ้นฝั่งมา
เพียงแต่พลังวิญญาณสายนั้นเมื่อแตะถูกเงาร่างของมั่วต้าเหนียน เงาร่างนั้นก็ราวกับถูกเหล็กที่เผาจนแดงลวกก็ไม่ปาน ส่งเสียงร้องอนาถออกมาเสียงหนึ่ง ควันขึ้นทั้งตัวอย่างคาดไม่ถึง
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี รีบถอนพลังวิญญาณออกมา
มองดูมั่วต้าเหนียนที่ทรมานสุดจะทนในแม่น้ำ มั่วชิงเฉินเจ็บปวดในใจกลับทำอะไรไม่ได้อีก ร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ ในสมองวาบผ่านข้อมูลเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรผีที่ได้จากม้วนคัมภีร์หยกในหลายวันนี้อย่างรวดเร็ว
มีม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งพูดไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรผีคือทางแห่งการบำเพ็ญเพียรของวิญญาณที่สูญเสียร่างเนื้อไป หนทางการเลื่อนขั้นแม้คล้ายกับมนุษย์ กลับแบ่งเป็นเก้าขั้นเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า และผู้บำเพ็ญเพียรมาร จาก ร่างผี พลทหารผี แม่ทัพผี แม่ทัพใหญ่ผี เจ้าผี จักรพรรดิผี กุ่ยจุน กุ่ยจวิน กุ่ยเซิ่ง เทียบได้กับระดับหลอมลมปราณถึงระดับมหายานในผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์
ผู้บำเพ็ญเพียรผีเลื่อนขั้นเช่นไรในม้วนคัมภีร์หยกไม่ได้อธิบายละเอียด กลับพูดถึงข้อหนึ่ง แก่นแท้ของมนุษย์เป็นของบำรุงสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรผี
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินคิดอะไรขึ้นมาได้ บีบปราณแห่งแก่นแท้ของตนออกมาสองสามหยดลองแตะเงาร่างของมั่วต้าเหนียนดู พบว่าเขาไม่เพียงไม่หลบและกรีดร้อง สีหน้ายังเผยให้เห็นความสบายตามคาด
มั่วชิงเฉินดีใจใหญ่ รีบใช้แก่นแท้ห่อเงาร่างของมั่วต้าเหนียนไว้ แล้วใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มอีกรอบ ในที่สุดก็ลากเขาขึ้นฝั่งมาได้
มาถึงฝั่ง มั่วชิงเฉินลากวิญญาณของมั่วต้าเหนียนออกจากพัดหยินหยางอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในม้วนคัมภีร์หยกเคยพูดไว้ สมบัติวิเศษที่สามารถหลอมวิญญาณแค้นเช่นพัดหยินหยางนี้ วิญญาณแค้นอยู่ข้างในมากขึ้นหนึ่งวัน ก็เหมือนถูกเผาอยู่บนไฟ ทรมานยิ่งนัก อีกทั้งยังค่อยๆ สูญเสียพลังดวงวิญญาณ รอพลังดวงวิญญาณมลายไปสิ้น วิญญาณแค้นนี้ก็จะแตกดับ ไม่มีโอกาสเข้าวัฏสงสารอีก
มองดูวิญญาณขของมั่วต้าเหนียนที่อยู่ในฝ่ามือ มั่วชิงเฉินสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่นานนักก็น้ำตานองหน้า
นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาส่งเดช หยิบมุกสีดำออกมาเม็ดหนึ่งเล็งวิญญาณของมั่วต้าเหนียนไว้ เม็ดมุกก็เปล่งแสงสีดำสายหนึ่งดูดวิญญาณของมั่วต้าเหนียนเข้าไป
ลูบมุกสีดำอย่างนุ่มนวล จิตใจที่ตึงเครียดของมั่วชิงเฉินในที่สุดก็คลายลง พิงเตียงไว้ครุ่นคิดถึงแผนการในวันหน้า
วิญญาณของมั่วต้าเหนียนหลุดออกจากพัดแล้วนางถึงมองออก ว่าวิญญาณกึ่งโปร่งใส แฝงสีชมพูเข้มรางๆ อย่างไม่คาดคิด ก็หมายความว่า วิญญาณในมือนางเป็นเพียงวิญญาณที่เหลืออยู่ของมั่วต้าเหนียน มีเพียงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณเท่านั้น
คนมีสามจิตเจ็ดวิญญาณ สองจิตหกวิญญาณที่เหลือของมั่วต้าเหนียนน่าจะกลับสู่ยมโลกแล้ว ก็คือโลกผีที่เล่าลือกัน
ทว่าวิญญาณไม่ครบก็ไม่อาจกลับชาติเป็นคน ได้เพียงอยู่ในโลกผีตลอดกาล กระทั่งเพราะขาดไปหนึ่งวิญญาณ วิญญาณที่เหลืออยู่ที่โลกผีจะมึนๆ งง ไม่มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ไม่อาจเข้าสู่ทางบำเพ็ญเพียรผีได้เลย!
นึกถึงสภาพของท่านปู่ ใจมั่วชิงเฉินเหมือนถูกมีดกรีด ทว่านางยังมีเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งกว่า นั่นก็คือวิญญาณที่เหลืออยู่ในมุกสีดำสายนั้นของท่านปู่!
ตอนที่ 228 ไฝแดงกลางดวงใจ
มุกสีดำในมือมั่วชิงเฉินเม็ดนั้นเรียกว่ามุกหยิน เป็นของที่จัดว่าค่อนข้างนอกลู่นอกทาง ทว่าไม่นับว่าล้ำค่า ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่ฝึกคาถานอกลู่นอกทางบางคนก็อาจจะได้ใช้มุกนี้
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมุกหยิน ก็คือสามารถเก็บวิญญาณที่ไม่มีร่างเนื้อประเภทวิญญาณผีนี้ รับประกันว่าพวกมันจะไม่สลายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราณหยางมากเกินไปเป็นเวลานาน
แน่นอน มีมุกหยินแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณนั้นจะสามารถไม่สลายไปตลอดกาลได้ ว่ากันตามปกติแล้วที่ไปของวิญญาณมีสาม หนึ่งคือเข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติเป็นคน สองคือกลับคือยมโลกหันไปบำเพ็ญเพียรผี ยังมีที่หนึ่งก็คือถูกผู้บำเพ็ญเพียรบางคนในโลกหยางใช้คาถาหรือสมบัติวิเศษกักไว้ ทำให้ต้องอยู่ในโลกหยาง
แน่นอน ที่ไปของวิญญาณส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทที่หนึ่ง สองประเภทข้างหลังล้วนจัดอยู่ในส่วนน้อยมาก ประเภทที่สองจัดอยู่ในส่วนน้อยมากที่ข้อแม้ดี ก็คล้ายคลึงกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณในโลกมนุษย์ ส่วนประเภทที่สามไม่ต้องพูดมาก นั่นจัดอยู่ในส่วนที่โชคร้ายมาก…
ยังมีที่ยิ่งโชคร้ายกว่าอีก ก็คือสถานการณ์ของมั่วต้าเหนียนนี่ วิญญาณแยกออกจากกัน ส่วนหนึ่งเหลืออยู่ในโลกหยาง อีกส่วนหนึ่งกลับคืนยมโลก
ว่ากันตามปกติ วิญญาณอยู่ในมุกหยิน เพียงแค่ลดความเร็วในการสลายของพลังดวงวิญญาณของมันเท่านั้น หากปล่อยไว้ไม่เหลียวแล นานวันเข้าวิญญาณยังคงสลายไปได้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่หลอมผีน้อยเพื่อใช้สำหรับการโจมตี ก็จะใช้ของสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือไม้สะกดวิญญาณ
หากมีไม้สะกดวิญญาณนี้แล้ว วางมันไว้ในมุกหยิน วิญญาณที่อยู่บนไม้สะกดวิญญาณพลังดวงวิญญาณที่แฝงไว้ไม่เพียงแต่ไม่สลายไป กระทั่งยังค่อยๆ รวมตัวแข็งแกร่งขึ้น
แผนการแต่เดิมของมั่วชิงเฉิน ก็คือเก็บวิญญาณของท่านปู่เข้าในมุกหยินก่อน ค่อยไปตามหาไม้สะกดวิญญาณ ทว่ายามที่นางพบว่าวิญญาณของมั่วต้าเหนียนเป็นวิญญาณที่เหลืออยู่นั้น ใจก็ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เวลาที่วิญญาณที่เหลืออยู่สามารถประคับประคองในมุกหยิน ต้องน้อยกว่าวิญญาณที่สมบูรณ์กว่าครึ่ง ต่อให้มีไม้สะกดวิญญาณแล้ว ก็ทำได้เพียงชะลอความเร็วในการสลายของพลังดวงวิญญาณเท่านั้น
มั่วชิงเฉินลูบไล้มุกหยินไปพลาง นิ้วมือก็หยุดชะงัก จากนั้นรื้อม้วนคัมภีร์หยกออกจากกำไลเก็บวัตถุม้วนหนึ่ง อ่านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ในที่สุดก็หาวิธีแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้เจอในมุมหนึ่งของหน้าสุดท้าย
อันว่าวิญญาณกลับสู่มาตุภูมิ หากวิญญาณที่อยู่ที่โลกหยางเป็นวิญญาณที่เหลืออยู่ เอาดินสามเฉียนจากสถานที่ที่เขาถือกำเนิดแล้วอยู่เป็นเวลานานที่สุด สาดไว้บนไม้สะกดวิญญาณ ค่อยวางวิญญาณไว้ข้างบน แม้ไม่อาจค่อยๆ รวมตัวกันขึ้นเฉกเช่นวิญญาณที่สมบูรณ์ได้ กลับสามารถรับประกันว่าพลังดวงวิญญาณจะไม่สลายไปอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเวลาที่ตนต้องกลับตระกูลมั่วแล้ว
มั่วชิงเฉินทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง แล้วถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง
ปีนั้นตระกูลมั่วประสบภัย การที่เห็นคนที่คุ้นเคยตายอย่างอนาถต่อหน้าต่อตาทีละคนๆ สถานที่ที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายปีถูกย้อมไปทั่วด้วยเลือดสดๆในทันที ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทิ้งเงาไว้ในใจนางหรอกนะ
ไม่ว่าทำเพื่อแก้แค้นให้ตระกูล หรือว่าตามหาผู้รอดชีวิตของตระกูลมั่ว เมืองลั่วหยางก็เป็นสถานที่ที่นางจำเป็นต้องกลับไปสักครา
เพียงแต่ในแผนการแต่แรกของมั่วชิงเฉิน คือคิดจะรอให้ก่อแก่นปราณก่อนแล้วค่อยไป
ลึกเข้าไปในความทรงจำคนชุดแดงที่ฆ่าคนเหมือนผักปลาคนนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสมชื่อ หรือพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่ง พลังความสามารถต้องแข็งกร้าวกว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าทั่วไป
ดังนั้นหากคิดจะกลับไป มีเพียงถึงระดับก่อแก่นปราณถึงนับว่ามีความมั่นใจสักหน่อย ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานของนางในยามนี้ แอบกลับไปดูสักหน่อยก็ยังมีพลังในการป้องกันตัว ทว่าหากมีใจคิดแก้แค้น เช่นนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับไปรนหาที่ตายแล้ว
ปีนั้นท่านปู่ไม่เสียดายที่ทำให้ตนเองบาดเจ็บขับเคลื่อนยันต์ลี้หมื่นลี้พานางหนีเอาชีวิต ไม่ใช่ทำเพื่อให้นางกลับไปรนหาที่ตายแต่เนิ่นๆ หรอกนะ
นี่ก็เป็นสาเหตุที่มั่วชิงเฉินทั้งที่รู้ดีว่ามั่วเฟยเยียนอยู่สำนักลั่วสยา กลับไม่เคยคิดจะไปหานางมาก่อน
ใครจะรู้ว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต เรื่องถึงบัดนี้นางไม่กลับไปเมืองลั่วหยางสักครั้งไม่ได้เสียแล้ว
รักษาตัวอย่างเงียบๆ อีกหลายเดือน มั่วชิงเฉินกลับสำนักได้เกือบปีแล้ว นางที่รู้สึกตัวว่าทั้งร่างกายและจิตใจฟื้นฟูถึงสภาวะยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตัดสินใจบอกกู้หลีว่าจะออกไปท่องเที่ยวฝึกตน
เพียงแต่เห็นนักพรตจื่อซีที่คุ้นที่คุ้นทาง เหยียบดอกบัวลอยเข้าป่าไผ่มาเหมือนผีสางแล้ว มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก
ระยะนี้ ไม่ว่ากู้หลีหรือมั่วชิงเฉิน เพราะอาการบาดเจ็บของดวงจิตจึงต่างปล่อยวางการบำเพ็ญเพียร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเวลาว่างของศิษย์อาจารย์สองคนก็มากขึ้นมา
บางทีมั่วชิงเฉินจะขอคำชี้แนะจากกู้หลีเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างในการบำเพ็ญเพียร บางทีกู้หลีก็จะเป็นฝ่ายเริ่มบรรยายเคล็ดลับของเขาเอง ยังมีบางที ศิษย์อาจารย์สองคนจะจัดระเบียบสวนใหญ่มหึมาผืนนั้นพร้อมสาวใช้สองคน ในเวลาเช่นนั้น กู้หลีก็จะชี้แนะพวกมั่วชิงเฉินสามคนอย่างอดทนและอ่อนโยนถึงลักษณะและประโยชน์ใช้สอยของหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์แต่ละชนิด ทำให้พวกนางสามคนได้ประโยชน์ไม่น้อย
แน่นอนในเวลาส่วนใหญ่ ศิษย์อาจารย์ต่างคนต่างทำเรื่องของตนเอง ในวันหนึ่งก็ไม่เห็นจะได้คุยกันสักประโยค
มั่วชิงเฉินกลับพึงพอใจยิ่งนัก หากไม่เพราะมีเรื่องของท่านปู่ทับอยู่ในใจ นี่ก็คือชีวิตที่นางอยากใช้ที่สุดชัดๆ
เพียงแต่ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ ไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไร ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ก็เริ่มมาเยือนแล้ว บางทีก็มาพร้อมท่านอาจารย์ลุงสาม บางทีก็มาคนเดียว
ที่ยิ่งทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคือ ทุกครั้งที่นักพรตจื่อซีมาคนเดียว ยามที่หาอาจารย์น้อย ยามที่ลากตนเองคุยเล่นมีมากกว่า ทำให้นางแอบสงสัยว่าสาเหตุเพราะศิษย์หญิงในเขาชิงมู่มีน้อยเกินไปใช่หรือไม่
“เฮ้อ นางหนูชิงเฉิน เจ้าเหม่อลอยอีกแล้วหรือ?” นักพรตจื่อซีโบกมือที่งามดั่งหยก
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา รีบชี้เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
นักพรตจื่อซีนั่งลงไปเต็มก้นอย่างไม่เกรงใจ นั่งไขว่ห้างอย่างไม่มีภาพพจน์ว่า “ศิษย์หลานชิงเฉิน รีบเอาน้ำผึ้งดอกท้อของเจ้าออกมาไวๆ”
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่นทีหนึ่ง มอบน้ำผึ้งดอกท้อที่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเพิ่งบ่มออกมาใหม่เมื่อวานอย่างยอมรับชะตา
นางน่าจะคิดได้นานแล้ว ที่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้มาบ่อยๆ เห็นชัดว่าก็เพื่อน้ำผึ้งดอกท้อของนางนั่นเอง เดิมทีเมื่อเว้นไม่กี่วันตนยังสามารถสะสมได้ขวดเล็กๆ บัดนี้กลับดีแล้ว นอกจากที่ตนกินทุกวัน ที่เหลือล้วนลงไปในท้องท่านอาจารย์ลุงใหญ่จนหมด
ระยะนี้มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอส่งยันต์ส่งสารมาขอหลายครั้ง มั่วชิงเฉินก็ทำได้เพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหลอหลา
นักพรตจื่อซีใช้ช้อนเงินเล็กๆ ตักน้ำผึ้งวิญญาณช้อนหนึ่งส่งเข้าปาก แล้วหรี่ตาอย่างเพลิดเพลิน พักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยว่า “เฮ้อ ศิษย์หลานชิงเฉินเอ๋ยเจ้าไปจากสำนักครั้งนี้ ข้าอยากกินน้ำผึ้งวิญญาณที่ดีปานนี้อีกก็ยากแล้ว”
มั่วชิงเฉินชะงัก “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ไยจึงรู้ว่าชิงเฉินจะไปจากสำนัก?”
นักพรตจื่อซีเหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง จะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “สัญชาตญาณ สัญชาตญาณล้วนๆ หากข้าเดาไม่ผิดละก็ หากไม่เพราะข้ามาเร็วเกรงว่าป่านนี้เจ้าคงร่ำลาเหอกวงแล้วสินะ?”
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ช่างคาดการณ์ดั่งเทพจริงๆ” มั่วชิงเฉินยิ้มว่า
นักพรตจื่อซียิ้มอย่างได้ใจ มีลักษณะของผู้อาวุโสขึ้นมาบ้างอย่างไม่คาดคิด กำชับมั่วชิงเฉินถึงเรื่องที่ควรระวังเมื่อออกจากสำนัก ทำให้มั่วชิงเฉินตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึง อีกทั้งในใจรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย อาจจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ ไม่เหมือนคนเช่นนี้นี่นา
“เอาล่ะ นางหนูเจ้าเฉลียวฉลาด เรื่องพวกนี้ที่จริงก็ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก ทว่าข้าเดาว่า คำพูดพวกนี้อาจารย์ของเจ้าคนนั้นต้องพูดไม่ออกแน่ๆ ข้าจึงพูดแทนเขาแล้วกัน” นักพรตจื่อซีหัวเราะว่า
น้ำเสียงที่นักพรตจื่อซีพูดถึงกู้หลี ไม่รู้เพราะเหตุใดทำให้มั่วชิงเฉินไม่ค่อยสบายใจ ได้แต่หัวเราะโง่ๆ ว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ลุงใหญ่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
นักพรตจื่อซีกลับจู่ๆ ก็เขยิบไปใกล้หน้าของมั่วชิงเฉิน จ้องอย่างตั้งใจ
มั่วชิงเฉินอดทนไม่ให้ทำตาเหลือก ถามว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ เป็นอันใดเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร” นักพรตจื่อซีหดตัวกลับมา แล้วส่ายศีรษะ น้ำเสียงกลับเปลี่ยนอีกว่า “ทว่า…ชิงเฉินเอ๋ยข้าดูโหงวเฮ้งของเจ้า ดูเหมือนดาวหงหลวนเคลื่อนที่แล้ว โยงกับการที่เจ้ากำลังจะออกจากสำนักท่องเที่ยวฝึกตน เกรงว่าจะได้พบกับคนในดวงใจในการท่องเที่ยวฝึกตนครั้งนี้แล้วกระมัง?”
มั่วชิงเฉินหน้าแดง ในใจกลับตกใจ ไม่ค่อยแน่ใจว่าคำพูดของนักพรตจื่อซีนี้เป็นคำพูดล้อเล่นล้วนๆ หรือเพราะเชี่ยวชาญการดูโหงวเฮ้ง ดูอะไรบางอย่างออกจริงๆ
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่พูดเล่นแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
ตาหงส์เรียวยาวของนักพรตจื่อซีเหล่มา ยิ้มว่า “นางหนูน้อยอายอะไร ใครไม่เคยเยาว์วัยมาก่อน บัดนี้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว หากพบคนที่พึงใจบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยกัน ก็เป็นเรื่องโชคดีเรื่องหนึ่ง แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักเช่นพวกข้าก็ดีใจที่เห็นเช่นนั้น”
มั่วชิงเฉินอมยิ้มฟังไว้ กลับฟังความหมายออกเล็กน้อย ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ดูเหมือนในคำพูดแฝงไว้ด้วยคำพูด
เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้านิ่งเรียบ นักพรตจื่อซีไม่แยแส ล้อเล่นอีกว่า “พวกเราโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรพิธีรีตองไม่มากเหมือนโลกฆราวาส ในเรื่องชายหญิงก็เน้นที่จิตใจสื่อถึงกัน อะไรอายุเอย รุ่นเอย กระทั่งเต๋ามารต่างกันบ้างล่ะ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่านะ ชิงเฉิน เจ้าต้องจำไว้ มีความรักสองประเภทกลับเป็นสิ่งที่โลกนี้ยอมรับไม่ได้ ประเภทที่หนึ่งน่ะก็คือความรักของคนและปีศาจ ประเภทที่สองก็คือความรักของศิษย์อาจารย์! ดังนั้นเจ้าออกจากสำนักอยู่ข้างนอกต้องควบคุมตนเองไว้ให้ดี มิเช่นนั้นถึงสุดท้ายเกรงว่าจะทำร้ายคนอื่นทำร้ายตนเอง”
พูดถึงตรงนี้นักพรตจื่อซีหยุดทีหนึ่ง มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งแล้วโยนคำพูดเบาหวิวออกมาอีกประโยคหนึ่ง “อาจารย์เจ้าน่ะ ปีนั้นก็เสียใจเพราะเรื่องนี้แหละ!”
คำพูดนี้อยู่ในใจมั่วชิงเฉินไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าฟาดสายหนึ่ง หลุดปากออกมาว่า “ท่านอาจารย์ปู่เป็นผู้ชายมิใช่หรือ…”
พูดถึงตรงนี้รู้ว่าตนพูดพลั้งปาก แก้มแดงเรื่อขึ้นปื้นหนึ่งทันที
นักพรตจื่อซีหัวเราะฟู่ว่า “นางหนูนี่เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว หากอาจารย์ปู่เจ้าอยู่นี่ เกรงว่าต้องโมโหเจ้าจนหนวดกระดิกแล้ว”
มั่วชิงเฉินทำเจี๋ยมเจี้ยมไม่พูด นึกถึงความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่งในใจก็รู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมาเช่นกัน กลับอยากรู้อยากเห็นเรื่องในปีนั้นของกู้หลีนัก ในที่สุดก็ทนไม่ไหวว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ อาจารย์เขา…เขาเคยรักกับสตรีเผ่าปีศาจหรือเจ้าคะ?”
นักพรตจื่อซีกลับกระแอมสองทีว่า “ชิงเฉินเอ๋ยอาจารย์ลุงเช่นข้าถกกับเจ้าเรื่องความรักในอดีตของอาจารย์เจ้า มันไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ นะ”
มั่วชิงเฉินกลับดูออกนานแล้ว คำพูดของนักพรตจื่อซีในวันนี้เดิมทีก็มีเจตนาพูดให้ตนฟังอยู่แล้ว บวกกับหลายวันมานี้สองคนคุยเล่นกันบ่อยๆ ความสัมพันธ์ก็สนิทชิดเชื้อกันขึ้นมากมาย จึงลากแขนเสื้อของนักพรตจื่อซีว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่…”
นักพรตจื่อซีถึงเอ่ยว่า “ก็คงจะเป็นเคราะห์ในชะตาของอาจารย์เจ้าด้วยกระมัง ปีนั้นยามที่เขายังไม่ก่อแก่นทอง ด้วยโอกาสวาสนาได้พบกับสตรีเผ่าปีศาจคนหนึ่ง เหตุการณ์อย่างเป็นรูปธรรมที่ทั้งสองคนรู้จักคบหากันคนนอกเช่นพวกเราไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่ปีนั้นหลังจากเขาก่อแก่นปราณก็พาสตรีคนนั้นกลับมา ขอให้อาจารย์ออกหน้า อนุญาตให้ทั้งสองคนแต่งเป็นสามีภรรยากัน เจ้าคิดดูสิ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ผู้บำเพ็ญเพียรมาร หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรพระ ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรผี อย่างน้อยรากเหง้าก็ล้วนเป็นคนนะ เหอกวงพาใครไม่พามา ดันพาสตรีเผ่าปีศาจที่เลื่อนขั้นจำแลงเป็นคนสำเร็จจากอสูรปีศาจกลับมา อย่าว่าแต่อาจารย์เลย แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักก็ไม่มีทางรับปากนะ”
“ต่อมาล่ะ?” มั่วชิงเฉินพึมพำถามว่า
“ต่อมา ต่อมาก็พอดีเกิดวิกฤตอสูรน่ะสิ พวกเขาย่อมไม่สมหวัง ดีที่อาจารย์เจ้านิสัยค้อมต่ำ คนในสำนักที่รู้เรื่องนี้แทบจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปทั้งหมด ถึงบัดนี้ก็ไม่มีคนพูดถึงแล้ว” นักพรตจื่อซีเอ่ยนิ่งเรียบ
มั่วชิงเฉินรู้ว่า นักพรตจื่อซีแม้พูดเหมือนไม่มีอะไร ทว่านิสัยเช่นอาจารย์นั้น หากต้องแยกจากสตรีที่รักเพราะถูกคนรอบข้างขัดขวางบังคับ ก็ไม่รู้ต้องทนทุกข์ทรมานมามากขนาดไหน
ชั่วเวลาหนึ่งนางพูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกเช่นไร จึงถามอย่างไม่เจียมตัวว่า “เช่นนั้นสตรีผู้นั้นล่ะเจ้าคะ?”
“ตายแล้ว” นักพรตจื่อซีเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกแม้แต่น้อย
ตอนที่ 229 ท่านเกิดข้ายังไม่เกิด
นักพรตจื่อซีเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งงัน จึงยิ้มหวาน ตบไหล่มั่วชิงเฉินว่า “เอาล่ะ เรื่องเก่ากะโหลกกะลาพวกนี้ไม่ต้องไปพูดถึงหรอก เจ้าเพียงแต่อย่าเอาเยี่ยงอย่างในเรื่องนี้ก็พอ เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ารีบไปร่ำลาเหอกวงเถอะ ข้าไปก่อนแล้ว” พูดพลางยังไม่ลืมหยิบน้ำผึ้งดอกท้อที่ยังกินไม่หมด เท้าเหยียบดอกบัวจากไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
มั่วชิงเฉินมองดูเงาหลังสีขาวที่ไกลออกไปของนักพรตจื่อซี หลุบตาลงแล้วยิ้มนิ่งเรียบ
ดูท่า วันนี้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่จะมาตักเตือนตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ นาง หมายความว่านางดูความรู้สึกที่ตนมีต่ออาจารย์ออกใช่หรือไม่?
หรืออาจเพราะท่านอาจารย์ลุงใหญ่นึกว่า การที่รู้ว่าใจอาจารย์มีเจ้าของ ยิ่งกว่านั้นคนในดวงใจของเขายังตายไปแล้วอีก ตนเองก็ควรยอมแพ้เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง
อย่างไรเสียคนคนหนึ่งเคยมีความรักนั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือคนที่รักไม่อยู่แล้ว จึงกลายเป็นนิรันดร์
เพียงแต่ ใครให้ตนเกิดช้าตั้งหลายปีเพียงนี้ เจอเขาสายตั้งหลายปีเพียงนี้ล่ะ
อดีตของเขาตนไม่อาจมีส่วนร่วมได้ หากเขายินยอม ก็ขอเพียงในอนาคตสามารถจูงมือเดินไปด้วยกัน
ถึงที่สุดแล้วความคิดของมั่วชิงเฉินก็ต่างจากสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ทว่านางก็เข้าใจเจตนาดีในการเตือนครั้งนี้ของนักพรตจื่อซีดี ในใจย่อมเกิดซาบซึ้งเป็นธรรมดา
มาถึงหน้าเรือนของกู้หลี มั่วชิงเฉินมองลอดผ่านหน้าต่างที่ค้ำเปิดอยู่ ก็เห็นกู้หลีกำลังนั่งเขียนอักษรอย่างเงียบๆ หน้าโต๊ะหนังสือ แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้าทางหน้าต่าง สาดลงบนใบหน้าที่ตั้งใจ แสงและเงาประสานกันอย่างอัศจรรย์ ขับจนเขาดูไม่เหมือนมนุษย์เดินดิน
มั่วชิงเฉินมองอย่างเงียบๆ เช่นนี้ เหม่อลอยไปช่วงสั้นๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหากสามารถจัดวางท่านปู่ได้อย่างเหมาะสมและแก้แค้นให้ตระกูลมั่วแล้ว ต่อไปต่อให้เขาไม่มีทางตอบสนองตนตลอดไป สองคนก็อยู่เป็นเพื่อนกันอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลเช่นนี้ใช้ชีวิตบำเพ็ญเพียรไป ที่จริงก็เป็นเรื่องดีทีเดียว
“ชิงเฉิน เจ้ามาแล้ว เช้าปานนี้มีเรื่องอันใดหรือ?” กู้หลีวางพู่กันลง ลุกขึ้นมาผลักประตูออก แล้วเดินออกมา
มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “อาจารย์เดาได้ถูกต้อง วันนี้ชิงเฉินมาเพื่อร่ำลาท่านเจ้าค่ะ”
กู้หลีชะงักเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงยิ้มว่า “อาจารย์ ชิงเฉินอยากออกไปท่องเที่ยวแล้ว”
กู้หลีสีหน้ากลับมาสงบดังเดิม แล้วพยักหน้าแผ่วเบาว่า “เมื่อสงบถึงที่สุดก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เจ้ารักษาตัวมาหลายเดือนอาการบาดเจ็บดีขึ้นมากแล้ว อยากออกไปท่องเที่ยวก็ไม่ผิด เพียงแต่ปีที่แล้วหลังจากเจ้ากลับสำนักก็สร้างศัตรูไว้ไม่น้อย ออกไปครั้งนี้ต้องระวังให้มาก เดินทางอยู่ข้างนอกไม่ว่าพบเจอผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนหรือคนตระกูลเถียน จำไว้ว่าไม่ควรทำอะไรด้วยอารมณ์”
ฟังการกำชับอย่างนิ่งเรียบของกู้หลีไปพลาง มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ แล้วยิ้มหวานว่า “ศิษย์จำไว้แล้วเจ้าค่ะ” พูดจบหยิบขวดน้ำเต้าออกจากถุงเก็บวัตถุหลายสิบใบว่า “อาจารย์ นี่คือสุราทิพย์ที่ชิงเฉินหมักเสร็จแล้ว ในขวดน้ำเต้าสีเทาเงินคือ ‘คลาดโลกีย์’ ที่ท่านดื่มบ่อยๆ ในขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มคือ ‘น้ำค้างลั่วเหมย’ ในขวดน้ำเต้าสีเหลืองนี้ก็คือสุราทิพย์ชนิดที่สองที่ท่านดื่มวันนั้น ดื่มประหยัดหน่อยนะเจ้าคะ รอชิงเฉินกลับมา”
พูดจบกระโดดลงในเรือเมฆา ก้มตัวลงโบกมือให้กู้หลีอีกครั้ง
กู้หลีแกว่งๆ ขวดน้ำเต้าสีเหลืองในมือ “สุรานี่ชื่ออะไร?”
มั่วชิงเฉินขยิบตาอย่างซุกซนว่า “ไม่มีชื่อหรอกเจ้าค่ะ หากอาจารย์ชอบก็ตั้งชื่อให้มันเองแล้วกัน” พูดจบหันหน้ากลับไปใช้พลังวิญญาณเร่งเรือเมฆา จากไปอย่างสง่างาม
กู้หลีก้มหน้ามองดูขวดน้ำเต้าสีเหลืองในมือ กระดกมุมปากขึ้นยิ้มๆ แล้ววกกลับเข้าเรือน เพียงแต่เมื่อมองไปที่เรือนไม้ไผ่ที่อาศัยอยู่ทุกวันอีกที ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับรู้สึกโหรงเหรงขึ้นมา
มั่วชิงเฉินจากไปครั้งนี้เพื่อกลับเมืองลั่วหยาง เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากอาจารย์และนักพรตจื่อซีที่มาโดยบังเอิญ นางไม่ได้พูดถึงกับใครอื่นอีก เพียงแต่เข้าไปดำเนินขั้นตอนการออกจากสำนักที่โถงปฏิบัติงานเงียบๆ แล้วก็เดินมุ่งหน้าสู่ประตูสำนัก
ตลอดทางที่เดิน จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าศิษย์ที่เดินทางผ่านสีหน้าล้วนแปลกๆ
ที่จริงตั้งแต่เหตุการณ์ ‘เยือนสำนัก’ ชื่อเสียงของมั่วชิงเฉินก็กระฉ่อนไปทั่วพรรคเหยากวงนานแล้ว ปกตินางเดินอยู่ในสำนักได้รับสายตาจับจ้องจากคนอื่นจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว บางทีเจอศิษย์ที่ร่าเริงใจกล้าบางคน กระทั่งยังเขยิบเข้ามาทักทายอย่างตื่นเต้น
เพียงแต่ศิษย์ที่อยู่ระหว่างทางวันนี้กลับต่างจากปกติ เป็นสายตาไล่ตามนางเช่นกัน กลับขาดความโจ่งแจ้งดังปกติ กระทั่งยามที่นางกวาดสายตาไป ศิษย์พวกนั้นยังหดศีรษะอย่างไม่รู้ตัว ไม่ก็หันหน้าไปแสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่ก็ยิ้มอย่างประจบประแจง ในความประจบประแจงดันยังแฝงด้วยความหวาดกลัวอีก
มั่วชิงเฉินก็ไม่มีเวลาว่างคาดเดาความคิดของศิษย์พวกนี้ ก้าวอย่างเร็วเดินไปถึงประตูสำนักยังไม่ทันพูด ศิษย์ที่เฝ้าประตูก็รีบเปิดประตูสำนักอย่างรวดเร็ว
บังเอิญในยามนี้นอกประตูสำนักมีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนเพิ่งส่งสารกำลังจะเข้ามา เมื่อประตูสำนักเปิดออกคนใจร้อนคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางทันที หลบไปข้างๆ ถึงหลีกเลี่ยงการชนกับคนคนนั้นได้ ยกตามองไปกลับพบว่าชุดที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นใส่ไม่ใช่ชุดของพรรคเหยากวงอย่างไม่คาดไม่ถึง
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงอดมองเพิ่งสองสามปราดไม่ได้
คนคนนั้นเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เดินเข้ามาคนหนึ่งหลบไปข้างๆ อย่างคล่องแคล่วสง่างามก้าวย่างอ่อนช้อย เดิมก็แอบคิดว่าแปลก สายตาไม่ห่างจากตรงนั้นตลอดเวลา เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นมองมาเช่นกันจึงยืดตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว กำลังจะออกเสียงกลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวคนหนึ่งดึงไว้อย่างแรง
“ศิษย์น้องมั่ว ต้องขออภัยจริงๆ นะ ศิษย์น้องคนนี้อารมณ์ร้อน เขาไม่ได้เจตนาหรอก เจ้าอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวพูดพลางยิ้มให้มั่วชิงเฉิน ส่งสัญญาณทางสายตาให้สองสามคนข้างกาย แล้วแทบจะใช้ความเร็วปานบินทะยานจากไป
มั่วชิงเฉินงงเป็นไก่ตาแตกมองผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนนั้นวิ่งไปดั่งลม รู้สึกแปลกใจต่อคำพูดของศิษย์พี่ร่วมสำนักคนนั้น อะไรเรียกว่าตนเองอย่างเข้าใจผิดล่ะ? ช่างน่าประหลาดเสียจริง
ยิ่งกว่านั้นในผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนนั้นมีสองคนที่ใส่ชุดคลุมเต๋าสีเหลือง หากนางจำไม่ผิด น่าจะเป็นชุดสำนักของสำนักไท่ซวีผู้นำแห่งสี่สำนักแปดนิกาย อยู่ดีๆ ไยพวกเขาถึงวิ่งมาเหยากวงแล้วล่ะ?
คิดไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะแล้วกระโดดขึ้นเรือเล็กบินไปทางทิศตะวันตก
ส่วนด้านนี้ผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนที่เข้ามาในพรรคเหยากวงแล้วในที่สุดก็ชะลอฝีเท้าลงมา
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองที่เกือบชนถูกมั่วชิงเฉินคนนั้นว่า “ศิษย์พี่หลิว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน? แค่กๆ ศิษย์น้องคนเมื่อครู่แม้ไม่นับว่าสะดุดตา ทว่าพิจารณาอย่างละเอียดกลับสะสวยยิ่งนัก นี่เจ้าไม่ใช่ทำลายเรื่องดีๆ ของพี่น้องหรอกหรือ”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ ใส่ชุดเหลืองเหมือนกันล้อเล่นว่า “นั่นน่ะสิ ศิษย์พี่หลิว เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าสำนักไท่ซวีเราศิษย์หญิงน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ช่างน่าสงสารใครบางคนแล้ว โอกาสดีเช่นนี้เจ้าก็ขวางเสียได้ หรือว่าไม่ให้เรือไปล่มในหนองคนอื่น?”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ใส่ชุดเขียวไม่กี่คนมองหน้ากันปราดหนึ่ง สีหน้าต่างประหลาดนัก
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หลิวว่า “ศิษย์น้องทั้งสอง พวกเราคบหากันมาหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งพวกเจ้าได้รับการเชื้อเชิญจากข้ามาเป็นแขกเหยากวง อย่างไรเสียข้าก็ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของพวกเจ้าน่ะสิ”
“อืม ศิษย์พี่หลิวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองคนแรกเอ่ยด้วยความสงสัย
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวมองไปรอบๆ ถึงกดเสียงให้เบาว่า “แค่กๆ ศิษย์น้องสองคนไม่รู้น่ะสิ ศิษย์น้องคนเมื่อครู่นั่นอย่าว่าแต่หน้าตาธรรมดา ต่อให้นางสวยหยาดฟ้ามาดิน เกรงว่าก็เป็นศิษย์หญิงที่ศิษย์ชายทั้งหมดของเหยากวงเราไม่กล้าตอแยด้วยที่สุดแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวข้างๆ พยักหน้าตามว่า “ใช่ ใช่ ไม่กล้าตอแยด้วยที่สุด ไม่มีใครเทียบได้แล้ว”
“เพราะเหตุใดล่ะ?” ทีนี้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองอีกคนหนึ่งก็สนใจขึ้นมาแล้ว จึงถามอย่างแปลกใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวพูดด้วยสีหน้าประหลาดว่า “จะบอกให้ศิษย์น้องทั้งสองได้รู้ ศิษย์น้องคนนั้นอยู่ในสำนักมายี่สิบกว่าปี จนถึงบัดนี้ได้ยินเพียงว่ามีศิษย์ร่วมสำนักสองคนตามขอความรักมาก่อน”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองคนแรกถอนใจว่า “นี่ นี่มิสิ้นเปลืองหรอกหรือ พวกเจ้าเหยากวงทรัพยากรอุดมสมบูรณ์จริงๆ เลย รอพวกเจ้าไปอยู่ที่สำนักไท่ซวีข้าสักระยะก็จะเข้าใจ อย่าว่าแต่ศิษย์น้องคนเมื่อครู่นั่นเลย ต่อให้เป็นยุงตัวเมียตัวหนึ่งพวกเราก็มองว่าน่ามองนะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวอีกคนหนึ่งบุ้ยปากว่า “ศิษย์พี่หยาง ไยเจ้าไม่ลองถามจุดจบของผู้ขอความรักสองคนนั้นล่ะ?”
“จุดจบ? หรือว่าถูกปฏิเสธแล้ว?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางพูดถึงตรงนี้ส่ายศีรษะอย่างหมั่นไส้ว่า “นี่มีอะไรล่ะ ในสำนักไท่ซวีเรา ศิษย์ชายคนไหนไม่มีประสบการณ์ถูกปฏิเสธสักสิบครั้งแปดครั้งบ้าง หากไม่เคยถูกปฏิเสธ จะออกไปข้างนอกเจ้ายังต้องอายเลย!”
“ศิษย์พี่หลิว พวกเจ้าก็อย่าเล่นตัวเลย รีบพูดเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองอีกคนหนึ่งว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางปราดหนึ่ง ถึงว่า “ศิษย์น้องคนนั้นน่ะน่ะ มีอาวุธเวทเป็นก้อนอิฐ ผู้ขอความรักคนแรกถูกนางตบสลบต่อหน้าผู้คน คนที่สอง…ดูเหมือนว่าจะถูกตบตายแล้ว…”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองทั้งสองชะงักงันพร้อมกัน มองหน้ากันปราดหนึ่ง เพียงใช้แววตาสื่อสารกลับแสดงความหมายที่เหมือนกันออกมา ‘เหยากวงอันตรายเกินไป พวกเรากลับสำนักไท่ซวีดีกว่านะ’
เรื่องที่มั่วชิงเฉินฆ่าเถียนหยวน วันนั้นมีศิษย์ไม่น้อยถูกเรียกไปไต่ถาม แม้พวกเขาไม่รู้ว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทว่าหลังเกิดเหตุกลับแสดงจิตวิญญาณแห่งการซุบซิบที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดออกมาเต็มที่ ผสานนี่นิดนั่นหน่อยแล้วลือออกมา นั่นก็คือเถียนหยวนเกี้ยวพาราสีมั่วชิงเฉินไม่สำเร็จ กลับถูกนางใช้ก้อนอิฐตบตายแล้ว
เรื่องนี้จริงหรือเท็จไม่มีคนกล้ายืนยัน ทว่ายามที่นัดเจอกันเป็นการส่วนตัวเหมือนพวกผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลิวนี้ ศิษย์ที่ใช้เรื่องนี้เป็นแหล่งพูดคุยนั้นมีมากมาย
มั่วชิงเฉินไม่รู้หรอกนะว่าในพรรคเหยากวงนางเป็นที่ยอมรับอย่างเงียบๆในบรรดาศิษย์ ว่าเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ออกเรือนยากที่สุดคนหนึ่งเสียแล้ว
หลังจากบินติดต่อกันหลายสิบวัน มองดูแผนที่ในมือแล้ว มั่วชิงเฉินก็บังคับเรือเล็กให้ร่อนลงมาช้าๆ เงยหน้ามองตัวอักษร ‘เมืองจงอวี๋’ ที่สลักอยู่บนประตูเมืองสามคำแล้วเดินเข้าไป
เมืองจงอวี๋นี้แม้ฟังแล้วธรรมดา กลับชื่อเสียงกระฉ่อนในดินแดนเทียนหยวน เพราะว่าเมืองเมืองนี้หาได้ยากที่ไม่ถูกสำนักนิกายใดๆ ควบคุมไว้ ตรงกันข้ามกลับถูกพันธมิตรผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักควบคุม สามารถนับได้ว่าเป็นเมืองอิสระ
และก็เพราะจุดนี้ ตลาดของเมืองจงอวี๋กลับครึกครื้นรุ่งเรืองที่สุด ที่นี่เจ้าสามารถหาของใดๆ ที่หายากที่อื่น หากโชคดี กระทั่งยังซื้อของที่หาที่อื่นไม่ได้มาตลอดได้ในราคาต่ำมาก
ดังนั้นเมืองจงอวี๋แทบจะเป็นสถานที่ที่จำเป็นต้องแวะยามผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่เดินทางผ่าน
ที่มั่วชิงเฉินเข้าเมืองครั้งนี้ก็เพื่อไม้สะกดวิญญาณ
ไม้สะกดวิญญาณเกิดในสถานที่ที่ความเป็นหยินถึงขีดสุด ทว่านอกจากสถานที่ที่ความเป็นหยินถึงขีดสุดไม่กี่ที่ที่ถูกครอบครองโดยบางสำนักนิกายแล้ว ที่เหลือล้วนไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
ไม้สะกดวิญญาณจัดเป็นของนอกลู่นอกทาง ดังนั้นขายไม่ได้ราคา ทว่าสำหรับคนที่ต้องการมันก็เป็นของล้ำค่ามาก ด้วยเหตุนี้จะได้มาหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่บุญวาสนา
เสี่ยงดวงดู ดูว่าจะหาไม้สะกดวิญญาณที่นี่ได้หรือไม่ หากไม่ได้ เช่นนั้นก็ได้เพียงรอหลังจากได้ดินในบ้านเกิดสามเฉียนแล้วค่อยไปลองดูที่สำนักนิกายที่อาจจะมีไม้สะกดวิญญาณอยู่
เมืองจงอวี๋ต่างจากเมืองอื่นจริงๆ เมื่อเข้าประตูเมือง มั่วชิงเฉินก็สัมผัสความครึกครื้นที่ต่างจากปกติได้
โดยไม่ได้หยุดนิ่ง นางเดินตรงไปยังตลาด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น