บุปผาเคียงบัลลังก์ 222-247

 ตอนที่ 222 เป้าหมายของชิงอี๋ 


 


 


คำพูดของเซียงฉือไม่ได้ต่างไปจากที่ชิงอี๋คิดไว้ เพราะว่านางได้พบกับซูเฟย 


 


 


ก่อนหน้านี้ซูเฟยได้ส่งผิงผิงเข้าตำหนักเจิ้งหยางและตอนนี้กำลังเป็นที่โปรดปราน วันนี้ก็ยังได้ยื่นไมตรีจิตมาให้ข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ อย่างนางอีก 


 


 


จากคำพูดของซูเฟยทำให้ชิงอี๋มองออกโดยไม่ยากว่า การที่กุ้ยเฟยอนุญาตให้เซียงฉือสอบข้าราชสำนักสตรีก็เพื่อเตรียมการสำหรับตำแหน่งข้าราชสำนักสตรีด้านอักษร เช่นนี้แล้วจะสามารถช่วยให้นางเสมอภาคกับซูเฟยได้ 


 


 


มิเช่นนั้นนางจะต้องพ่ายในหมากตานี้ ก่อนหน้านี้นางได้อาศัยกระโปรงหิ่งห้อยเรืองแสงทำให้ฝ่าบาทโปรดนางอยู่ระยะหนึ่ง แต่เพราะน้องชายที่ไม่ได้เรื่องของตระกูลนาง ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วและควรถูกพิพากษาโทษประหาร 


 


 


แต่เพราะหรงจิงเห็นแก่หน้ากุ้ยเฟยจึงได้ลงโทษสถานเบา แต่ก็เย็นชากับกุ้ยเฟยไปไม่น้อย 


 


 


เพราะเรื่องของทางบ้านตนทำให้ตัวเองต้องพลอยเดือดร้อน กุ้ยเฟยรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ 


 


 


ช่วงนี้นางจึงเชื่อวิธีการของหวังหมัวหมัวโดยการตั้งใจดูแลร่างกายด้วยใจสงบ แต่ในความเป็นจริงกลับกำลังวางแผนแก้มือกับการกระทำของซูเฟยในครั้งนี้อยู่ 


 


 


และเซียงฉือก็เป็นห่วงโซ่สำคัญอันหนึ่งในแผนการของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าเซียงซือจะเสนอตัวเข้าไปเอง 


 


 


เซียงฉือจึงได้ว่าง แต่เพราะเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้น ซูเฟยย่อมจะยังไม่รู้ ดังนั้นพวกนางจึงยังคิดว่าการสอบข้าราชสำนักสตรีในครั้งนี้ เป้าหมายของอวิ๋นเซียงฉือคือการเป็นข้าราชสำนักสตรีด้านอักษรแน่ 


 


 


ดังนั้นที่ชิงอี๋มานี่ก็เพื่อจะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด 


 


 


เซียงฉือพูดจบไปแล้วแต่เห็นชิงอี๋ยังคงยืนอยู่กับที่อย่างใจลอย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


“ใต้เท้าชิงอี๋?” 


 


 


เซียงฉือเห็นนางไม่พูดไม่จาจึงได้เรียกขึ้นเบาๆ ชิงอี๋รู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว นางมองเซียงฉือแล้วพูดยิ้มๆ 


 


 


“ขอโทษนะเซียงฉือ เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอยู่ว่าตำแหน่งนั้นน่าจะเหมาะสมกับเจ้า อ้อ วันนี้ที่เจ้ามาที่กองคดีก็เพื่อจะมาปรึกษากับใต้เท้าสวี่อี้เกี่ยวกับเรื่องนี้สินะ” 


 


 


ชิงอี๋เมื่อรู้สึกตัวก็รู้สึกผิดต่อเซียงฉือ แต่เซียงฉือไม่ได้ใส่ใจอะไร พอเห็นนางถามจึงตอบไปว่า 


 


 


“เจ้าค่ะ กำลังจะมาขอคำปรึกษาจากใต้เท้าสวี่อี้อยู่ เซียงฉือมีความรอบรู้น้อยไม่อาจเทียบกับพวกใต้เท้าที่รอบรู้กว้างขวางได้ จึงได้มารบกวนใต้เท้าสวี่อี้อีกแล้ว” 


 


 


เซียงฉือยอมรับออกไปหมดสิ้น ชิงอี๋ลอบส่งเสียงฮึอยู่ในใจ กุ้ยเฟยคงบอกเรื่องตำแหน่งข้าราชสำนักสตรีด้านอักษรกับเจ้าแล้วสินะ ถึงได้มาปรึกษาวิธีการกับสวี่อี้ 


 


 


ตำแหน่งดีๆ แบบนั้น มีโอกาสรับผลประโยชน์จากความใกล้ชิด หญิงสาวทั่วไปที่เป็นขุนนางอยู่ในวังนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อสองสิ่ง สิ่งหนึ่งคือการให้ตนเองมีสถานะสูงขึ้นในวัง จะได้ไม่ต้องถูกคนรังแกตามชอบใจ ภายหน้ายังสามารถหาคนดีๆ แต่งงานด้วยได้ 


 


 


ประโยชน์จากความใกล้ชิดอย่างที่สองคือหากเข้าตาฮ่องเต้ ก็จะได้กินดีอยู่ดีสืบไป 


 


 


ชิงอี๋ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น และเพราะแบบนี้ คำพูดของซูเฟยซึ่งมาจากข้าราชสำนักสตรีเช่นกันจึงยิ่งทำให้ชิงอี๋หวั่นไหว 


 


 


ทั้งนางยังเชื่อว่าเซียงฉือก็คิดแบบเดียวกัน แต่ตำแหน่งที่ดียิ่งเช่นนี้ย่อมเป็นที่หมายปองแย่งชิงของทุกคน ถ้าหากคิดจะได้มาในทันที ย่อมไม่อาจละเลยความพยายามที่ต้องทุ่มเทอยู่เบื้องหลัง 


 


 


ชิงอี๋คิดถึงตรงนี้แล้วจึงพูดยิ้มๆ ว่า 


 


 


“อ้อ แต่มาได้ไม่เหมาะเลย เพราะวันนี้ซูเฟยมีธุระต้องการให้ใต้เท้าสวี่อี้ออกนอกวังไปช่วยทำ เกรงว่าวันนี้เจ้าคงจะไม่ได้พบนางแล้ว จะทำอย่างไรดี” 


 


 


น้ำเสียงชิงอี๋ฟังกังวลยิ่ง เซียงฉือเองก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น 


 


 


“จะทำอย่างไรดีเล่าทีนี้?” เซียงฉือเผลอหลุดปากออกไป นางขมวดคิ้วแสดงออกถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีของนางในตอนนี้ 


 


 


ชิงอี๋เห็นแล้วจึงยิ้มและเข้าไปใกล้


ตอนที่ 223 กองงานฝ่ายใน 


 


 


ชิงอี๋เห็นเซียงฉือพูดเช่นนั้น จึงพูดรับต่อเบาๆ 


 


 


“ไม่รู้ว่าฝนจะตกไปถึงเมื่อไหร่ อากาศนี่คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน คนก็เหมือนกันพอจะหาก็หาไม่พบ น้องไม่ต้องกระวนกระวาย มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้นะ” 


 


 


“ถึงข้าจะเทียบกับใต้เท้าสวี่อี้ที่รอบรู้และสามารถในทุกด้านไม่ได้ แต่ในครู่ยามนี้คงยังไปไหนไม่ได้ ไม่สู้มาคุยกันดีกว่า” 


 


 


เมื่อชิงอี๋พูดเช่นนั้น เซียงฉือก็ไม่อาจปฏิเสธจึงเดินเข้าไปหาที่นั่งในเรือนซิ่งฮวาเพื่อคุยกันต่อ 


 


 


“ใต้เท้าชิงอี๋กล่าวอะไรเช่นนี้ ใต้เท้ายินดีให้คำแนะนำกับข้า นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว” 


 


 


เซียงฉือยังคงเกรงใจต่อนางมาก ส่วนชิงอี๋ก็ไม่ได้วางมาดอะไร ทั้งสองคนจึงคุยกันสนิทสนมอย่างรวดเร็ว เซียงฉือถามขึ้นว่า 


 


 


“ใต้เท้าชิงอี๋ ท่านพอทราบหรือไม่ว่าทางกองเย็บปักรับสมัครข้าราชสำนักสตรีในตำแหน่งใดบ้าง ข้าเองไม่มีความสามารถอย่างอื่น มีเพียงงานปักที่ยังพอเชิดหน้าชูตาได้บ้างจึงคิดจะไปลองดู” 


 


 


เดิมชิงอี๋คิดว่าเซียงฉือจะถามเกี่ยวกับเรื่องของข้าราชสำนักสตรีด้านอักษร แต่นางกลับถามถึงกองเย็บปักขึ้น 


 


 


วังหลังแบ่งออกเป็นสามตำหนักหกหมู่เรือน สามตำหนักหมายถึง ตำหนักอวี้หยวน ที่พำนักของจินกุ้ยเฟย ตำหนักจู้เซียง ที่พำนักของซูเฟย และตำหนักเต๋อซิ่วของฮองเฮาที่ยังว่างอยู่ 


 


 


ทั้งสามที่นี้ก็คือสามตำหนัก เป็นที่อยู่ของพระสนมในวังที่มีฐานะสูงสุดสามคน ตามกฎระเบียบจะแบ่งกันควบคุมดูแลฝ่ายใน 


 


 


ฝ่ายในแบ่งออกเป็น กองคดีที่ดูแลด้านกฎหมาย กองราชเลขาดูแลด้านบันทึกและเอกสารของฮ่องเต้ กองโอสถดูแลเรื่องโอสถรักษาโรค กองเครื่องเสวยมีหน้าที่ประกอบเครื่องเสวย กองเย็บปักรับผิดชอบดูแลเครื่องแต่งกาย งานประดับผ้าของสตรีในวังหลัง สุดท้ายเป็นกองบริหารจัดการรวมคอยดูแลเรื่องเสบียงและการคลัง 


 


 


ฝ่ายในเป็นสถานที่ทำงานของข้าราชสำนักสตรี ทุกปีจะมีตำแหน่งว่างอยู่ไม่น้อย เพราะระบบข้าราชสำนักสตรีนั้นยึดถือปฏิบัติตามหลักการด้วยการเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ 


 


 


ดังนั้นจึงมีแต่ต้องดีที่สุดเท่านั้นจึงจะได้รับเลือก โดยเฉพาะกองคดีและกองบริหารจัดการรวม ฮ่องเต้จะทรงสอบคัดและแต่งตั้งเอง ที่เหลืออีกสี่กองส่วนมากแล้วฮองเฮาจะเป็นผู้ชี้ขาด แต่เพราะตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮายังว่างอยู่จึงต้องให้กุ้ยเฟย ซูเฟยและจิ้งเฟยเห็นชอบร่วมกันจึงจะสรุปยืนยันได้ 


 


 


ส่วนกองงานราชเลขานั้น เพราะสามารถรับใช้ฝ่าบาทใกล้ชิดจึงกลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะทำให้ข้าราชสำนักสตรีส่วนใหญ่ได้ก้าวพรวดพราดขึ้นเป็นพระชายา ระยะหลังนี้จึงเป็นที่นิยมตลอดมา 


 


 


การแย่งชิงในแต่ละตำหนักก็ดุเดือด แต่สุดท้ายแล้วยังคงเป็นฮ่องเต้ที่จะเป็นผู้ตัดสินพระทัย 


 


 


ตอนนี้แผนกเย็บปักที่เซียงฉือถามถึงนั้นเป็นกองที่ค่อนข้างจะเงียบเหงา ทั้งมาตรฐานความต้องการในตัวข้าราชสำนักสตรีก็สูงจึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจ 


 


 


ถึงแม้ชิงอี๋จะสงสัยว่าเซียงฉือจงใจพูดแบบนั้น แต่ก็ยังคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับกองเย็บปักแก่นางจนหมดสิ้น 


 


 


“แม่นางเซียงฉือพึงรู้ว่า การสอบรอบที่สองนั้น จะดูจากความชำนาญและความสามารถเฉพาะทางของหญิงสาวที่ผ่านการคัดคุณสมบัติพื้นฐานของข้าราชสำนักสตรีแล้ว จากนั้นจึงจะกำหนดเลือกกองใดกองหนึ่งในหกกองนั้นที่จะทำให้นางได้แสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ ฝีมืองานปักของแม่นางเซียงฉือเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว คนทั้งหลายในวังต่างพากันยกย่อง คิดว่าหากต้องการจะเข้ากองเย็บปักก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก” 


 


 


“แต่ว่าใต้เท้าหวังชิงซิ่วแห่งกองเย็บปักปกครองอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด หากเจ้าเข้าไปในกองเย็บปักโดยไม่รู้นิสัยนางแล้วละก็ คงต้องเผชิญปัญหาไม่น้อย” 


 


 


พอพูดถึงเรื่องนี้ชิงอี๋ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ เซียงฉือได้ฟังแล้วก็พลอยยิ้มขึ้นด้วย แล้วจึงถามต่อ 


 


 


“ใต้เท้าชิงอี๋รอบรู้ยิ่งนัก แต่ถ้ามีผู้บังคับบัญชาที่เข้มงวดสักคนก็น่าจะช่วยกระตุ้นเซียงฉือได้ตลอดเวลา นับเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย” 


 


 


เซียงฉือไม่ได้คิดอะไรมากกับความหมายในคำพูดของชิงอี๋จึงตอบนางเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าชิงอี๋จะยิ่งหลุดหัวเราะหนักขึ้น 


 


 


“โธ่เอ๊ย น้องสาวโง่ของข้า ที่พี่พูดไม่ได้หมายความเช่นนั้น” 


ตอนที่ 224 หอทิงเฟิง 


 


 


เซียงฉือฟังคำพูดชิงอี๋แล้วรู้สึกแปลกใจ จึงได้ถามต่อชิงอี๋จึงไปพูดอยู่ที่ข้างหูของนาง 


 


 


“หวังชิงซิ่วผู้มีอำนาจคุมกองเย็บปักคนนี้มีฝีมือในการปักถุงมือ สูงล้ำเป็นที่ชื่นชอบของพระสนมต่างๆ มาก ทั้งยังเป็นผู้ช่ำชองมีทักษะ เป็นพวกระดับต้นๆ ในวังเลยทีเดียว พอๆ กับเจ้า แต่นางมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร” 


 


 


“หากคิดจะเข้ากองเย็บปักต้องไปหานางก่อนเพื่อชำระเงินมัดจำแล้วรับข้อสอบไป จากนั้นให้ทำข้อสอบไปล่วงหน้าส่วนหนึ่งก่อน เมื่ออยู่ในสนามสอบเพียงแค่แสดงงานฝีมือก็ใช้ได้แล้ว” 


 


 


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจนใจ นอกจากกองเย็บปักแล้วกองอื่นๆ อีกห้ากองในวังล้วนมีปัญหาคนล้น มีก็แต่เพียงกองเย็บปักที่แทบจะไม่มีใครถามหา อีกทั้งในวังยังมีกองเย็บปักอีกแห่งหนึ่งจึงดูเหมือนอยู่ในพื้นที่ชายแดน 


 


 


และตกอยู่ในสภาพนี้ตลอดมา การลดความยากของข้อสอบลงเพื่อง่ายต่อการสอบผ่านของผู้เข้าสอบ ต้องใช้วิธีการนี้เพื่อเพิ่มจำนวนข้าราชสำนักสตรี 


 


 


เสียงฉือฟังเรื่องเหล่านี้แล้วเย็นเยือกขึ้นในใจ 


 


 


นี่หมายถึงว่าต้องให้นางนำเงินไปจ่ายเพื่อซื้อตำแหน่ง! 


 


 


นางดูถูกการกระทำเช่นนี้ แต่สภาพสังคมตกต่ำลง นางรู้ว่าชิงอี๋ไม่ได้มีเจตนาร้ายในการพูดเช่นนี้ เป็นเพียงการชี้ช่องทางให้แก่นางเท่านั้น 


 


 


เซียงฉือยิ้มอาย ไม่รู้จะตอบอย่างไร 


 


 


เมื่อขยับกายแล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อถามใหม่ว่า “ขอบคุณใต้เท้าชิงอี๋ที่แนะนำ เซียงฉือเข้าใจแล้ว ได้ยินมาว่าใต้เท้าได้ศึกษาวิจัยเรื่องเครื่องหอมมามาก ไม่ทราบว่ากลิ่นหอมบนกายในวันนี้คือ? ข้าเป็นผู้รู้น้อย เพียงรู้สึกถึงกลิ่นหอมชวนดมจริงๆ แต่พูดอย่างอื่นไม่เป็น มิสู้ขอความรู้จากใต้เท้าชิงอี๋จะดีกว่า” 


 


 


เซียงฉือสูดลมหายใจเบาๆ แล้วเข้าใกล้ใต้เท้าชิงอี๋เพื่อดมกลิ่นหอมบนกายนาง 


 


 


ชิงอี๋เห็นดังนั้นจึงพูดต่อ 


 


 


“นี่เป็นเรื่องนอกตำรา เพราะเป็นความชื่นชอบส่วนตัวตามปกติ จึงทำขึ้นมาใช้เอง ถ้าแม่นางชอบอีกสักครู่ก็ตามข้ากลับไปที่ห้องเพื่อแบ่งไปใช้บ้าง นี่เป็นกลิ่นหอมที่มาจากหนานหลี่ฮวาเป็นหลัก กลิ่นหอมเย็นจางๆ แต่ถ้ามีไอน้ำมาก กลิ่นก็จะเข้มขึ้น” 


 


 


“กองคดีควบคุมดูแลเรือนจำในวังจึงมักทำงานอยู่ในที่มีความชื้นเป็นส่วนมาก กลิ่นนี้ก็เลยเหมาะอย่างยิ่ง” 


 


 


ชิงอี๋เป็นคนพูดเก่งพูดคล่อง เมื่อมาแนะนำเรื่องกลิ่นหอมที่ตนชื่นชอบจึงคุยได้อย่างฉะฉานยิ่งขึ้น พวกนางคุยกันได้ชั่วครู่ฝนก็หยุดตกแล้ว เซียงฉือจึงขอลาชิงอี๋คิดจะกลับตำหนักอวี้หยวน 


 


 


ชิงอี๋เห็นเซียงฉือหมุนกายจากไป ก็ยิ้มอ่อนโยนที่มุมปากมองตามเบื้องหลังนาง 


 


 


นางกำนัลที่หลบอยู่ด้านหนึ่งรีบเข้ามาหา ชิงอี๋จึงกระซิบสั่งเบาๆ ที่ข้างหู แล้วนางกำนัลคนนั้นก็จากไปทันที 


 


 


เมื่อดูจากเครื่องแต่งกายจึงรู้ว่าเป็นของตำหนักจู้เซียง สาวใช้จากตำหนักซูเฟยนั่นเอง 


 


 


เรื่องลับหลังตนพวกนี้ เซียงฉือไม่ได้รับรู้ด้วยเลย 


 


 


เมื่อรู้ว่าสวี่อี้ออกไปนอกวังนางจึงไม่ได้เข้าไปในกองคดี และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางกลับตำหนักอวี้หยวน นางเดินผ่านพื้นที่ป่าดอกท้อผืนหนึ่ง ที่นั่นคือหอทิงเฟิงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของหรงจิง 


 


 


วันนี้ดูเหมือนหรงจิงจะอารมณ์ไม่ดี เขาสลัดคนรอบข้างออก แม้แต่ซูกงกงก็ยังถูกผลักไสไปด้วย แล้วไปนั่งจิบสุราเพียงลำพังในหอทิงเฟิง สุราดอกท้อเป็นสุราที่ดื่มได้เต็มที่ แต่ยามนี้ดูเหมือนหรงจิงต้องการจะกรอกให้ตัวเองเมามาย ซดดื่มอย่างไม่อดทน 


 


 


หรงจิงมีความเคยชินเช่นนี้ ครั้งก่อนซูเฟยเคยมาที่นี่ แต่หากคนข้างกายได้พบกับหรงจิงในสภาพอารมณ์เช่นนี้ คงไม่ได้รับการโปรดปรานแต่จะต้องถูกลงโทษโบยตีเป็นแน่ 


 


 


วันนี้เซียงฉือโชคไม่ดี นางมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้า ไม่คิดว่าจะเดินไปถึงข้างหน้าหอทิงเฟิง นางเห็นหรงจิงหรือก็คือหรงฉู่ที่ดื่มจนมึนเมานั่งพิงอยู่ข้างประตู


ตอนที่ 225 พบหรงฉู่ 


 


 


เซียงฉือเดินไปถึงใต้ต้นดอกท้อที่อยู่ไม่ห่างจากเบื้องหน้าหรงจิงนัก เงยหน้ามองเห็นหรงจิงแต่ไกล 


 


 


นางตกใจตามสัญชาตญาณเมื่อจู่ๆ พบคนเข้าเช่นนี้และคิดจะรีบผละไป แต่เห็นเป็นหรงจิงที่ดูโดดเดี่ยวอย่างยิ่งกำลังดื่มสุราคลายกลุ้มอยู่เพียงลำพัง 


 


 


ชุดทะมัดทะแมงสีดำ ใบหน้าที่เย็นเยือกเป็นปกติกับกระบี่สีทองที่วางอยู่ข้างกาย 


 


 


สงสัยจะถูกฝ่าบาทตำหนิติโทษมากระมัง เซียงฉือคิดแล้วเกิดความรู้สึกเห็นใจเขา แต่เพราะการอบรมเลี้ยงดูที่ดี ทำให้นางไม่คิดจะไปรบกวนเขา 


 


 


นางจึงเพียงยืนมองอยู่ด้านข้าง เห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขากับมือที่ยกสุราดื่มสั่นระริกไม่หยุด นางส่ายศีรษะ ใช่ว่านางจะเป็นคนไร้น้ำใจ แต่เพราะเรื่องของหลิวชิงทำให้นางรู้ว่าลดการมีเรื่องลงสักเรื่อง ดีกว่าไปเพิ่มให้มากเรื่องขึ้นมาเป็นไหนๆ 


 


 


วันนั้นหากไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเป็นเหตุ นางคงไม่ต้องไปรับความลำบากอยู่ในคุก เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเคยมีความผิดพลาดเป็นครูแล้ว เซียงฉือจึงหมุนกาย 


 


 


แต่ด้านหลังนางมีเสียงฝีเท้าและเสียงกระซิบกระซาบของพวกขันทีหลายคนดังขึ้นมา 


 


 


เซียงฉือตกตะลึงในทันที นางหันไปมองหรงจิงที่หดหู่เศร้าสร้อย ใจไม่คิดอยากยุ่งกับเขา แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้หากต้องเห็นเขาถูกลงโทษอีกครั้ง 


 


 


นางจึงหมุนตัวกลับแล้ววิ่งเข้าไปหาหรงจิง 


 


 


“ชู่ว!” 


 


 


เมื่อวิ่งถึงข้างกายเขา เห็นเขาในสภาพปล่อยตัวแต่ไม่มีเวลาพอให้จัดแจง นางจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากเขา แล้วผลักไสนำเขาเข้าไปในหอทิงเฟิง 


 


 


ขันทีจากข้างๆ พวกนั้นคงเพียงแค่เดินผ่านมา พอเดินไปได้สักหน่อยก็อ้อมออกไปจากหอทิงเฟิง เซียงฉือเบิ่งตาโตมองดูด้านนอกประตู เหลียวมองรอบด้านแล้วจึงได้วางใจ 


 


 


ยังดีที่ไม่เดินเข้ามา มิเช่นนั้นพวกนางคงยากที่จะแก้ตัว โทษทัณฑ์ของการดื่มสุราในวังขณะปฏิบัติหน้าที่ สถานเบาคือการเฆี่ยนสิบห้าแส้  และตีจนพิการหากเป็นโทษสถานหนัก เซียงฉือคลำดูหัวใจ รู้สึกว่าตนเองตกใจไม่น้อย เมื่อปลอบจนตัวเองสงบแล้วจึงหันไปดูหรงจิง 


 


 


“เจ้านั่นเอง? สาวน้อย” 


 


 


บนกายเขามีกลิ่นสุรารุนแรง แต่เซียงฉือไม่ได้รู้สึกรังเกียจกลิ่นนี้นัก แต่กลับรู้สึกหวานเลี่ยน 


 


 


“ท่านนี่นะเหตุใดจึงชอบดื่มสุรานัก เป็นทหารรักษาพระองค์แท้ๆ หากถูกผู้บังคับบัญชาเห็นท่านในสภาพนี้ มีหรือจะไม่ถูกทำโทษ!” 


 


 


หรงจิงถึงจะดื่มไปไม่น้อยแต่ยังไม่ถึงขั้นเมามาย ขันทีพวกนั้นเดินผ่านมาเขาจึงย่อมรู้ แต่เพราะเห็นเซียงฉือฉุดกระฉากแขนเสื้อเขาพาหนีเช่นนั้นแล้วเกิดรู้สึกสนุกขึ้นมาจึงคร้านที่จะแสดงตน 


 


 


เขาไม่รู้ว่าชอบการแสร้งเป็นหรงฉู่ในการพบกับนางครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เมื่อไร 


 


 


“ลงโทษข้า? ก็ถูกลงโทษทุกวันอยู่แล้ว เพิ่มอีกสักครั้งจะเป็นไรไป แต่ว่า เมื่อครู่เจ้าช่วยข้า ใช่ไหม” 


 


 


หรงจิงร่างกายสูงใหญ่ ตอนนี้ฟุบทั้งร่างอยู่บนตัวนาง เซียงฉือเพียงรู้สึกเหมือนเหนือศีรษะเป็นความมืดผืนหนึ่ง คล้ายตะวันที่ถูกเมฆดำบดบัง 


 


 


ต่อเมื่อได้ยินคำพูดของเขานางจึงรีบผลักเขาออกแล้วเหลือบตามองเขา 


 


 


“ข้าน่ะ นับว่าวันนี้ได้ตอบแทนบุณคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าในวันนั้นแล้ว ต่อไปพวกเราก็ไม่ติดค้างกันอีก!” 


 


 


“อ้อ ถ้าท่านเชื่อฟังสักหน่อยผู้บังคับบัญชาคงจะไม่ดุว่าท่าน ตั้งแต่เห็นท่านครั้งแรกก็รู้สึกว่าท่านจะต้องเป็นคนที่ใครว่าอะไรไม่ได้ แต่เพราะท่านจิตใจดีงาม คนดีย่อมได้รับการทำดีตอบ ถูกไหม” 


 


 


หรงจิงมองดูเซียงฉืออารมณ์ดีอย่างยิ่ง เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าตนเองจะมีอารมณ์ดีเช่นนี้ได้หากมีใครมารบกวนการดื่มสุราของตน 


 


 


วันนี้เขาได้รับความอัดอั้นตันใจจากราชสำนักฝ่ายหน้าและรู้สึกไม่ยินยอม ตอนนี้พอได้เห็นรอยยิ้มราวบุปผาของนางแล้วจึงดีขึ้นไม่น้อย 


 


 


“เจ้านี่ร้ายกาจนัก เกลี้ยกล่อมคนก็เก่ง มีวาทะศิลป์ สมควรจะไปเป็นข้าราชสำนักที่ร้ายกาจได้” 


 


 


เขากรอกสุราไปอึกหนึ่ง มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ชี้ไปที่เซียงฉือแล้วจึงพูดออกไป


ตอนที่ 226 วาสนาพานพบ 


 


 


เซียงฉือได้ยินคำพูดของหรงจิง เกิดรู้สึกมีความสุขจึงพูดขึ้น 


 


 


“ก็ไปสอบมาแล้วล่ะ และข้ายังผ่านการสอบรอบแรกมาได้ด้วย พูดจริงๆ นะ ข้าควรจะฉลองสักหน่อย ในเมื่อได้พบกับท่าน เช่นนั้นก็นั่งคุยกันสักหน่อย เพราะข้าอารมณ์ดี!” 


 


 


เซียงฉือเอียงศีรษะมองดูอาหารที่ด้านข้างพวกนั้นอย่างรู้สึกสุขใจ 


 


 


หรงจิงมองตามสายตานาง เขารู้สึกดีใจเช่นกันจึงเดินตรงเข้าไป เซียงฉือก็ไม่เกรงใจ 


 


 


“ที่นี่เป็นที่พักผ่อนของท่านหรือ ดูออกจะไกลหูไกลตาไปหน่อย ทั้งเรือนนี้ถึงจะดูผิดที่ผิดทางไปแต่การตกแต่งล้วนคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะหน้าต่างบานนั้น พอผลักออกไปก็เห็นต้นอิง[1]บานสะพรั่ง ข้างล่างเป็นแอ่งน้ำแร่ร้อน เป็นที่ที่วิเศษจริงๆ” 


 


 


เซียงฉือมองและวิพากษ์วิจารณ์ไปรอบทิศโดยที่หรงจิงไม่ขัดคอ ทั้งยังมองตามสายตานางไปทุกแห่ง 


 


 


ตรงนี้เคยเป็นที่พักอาศัย แต่เพราะตั้งอยู่ห่างไกลโดยเฉพาะห่างจากตำหนักเจิ้งหยางของฮ่องเต้อย่างยิ่ง พวกสนมนางในที่มีความสามารถถึงจะรู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลย แต่ก็ไม่เลือกใช้เป็นที่อยู่ 


 


 


แต่หรงจิงชอบความสุขสงบของที่นี่ จึงใช้เป็นสถานที่ดื่มสุราดีดพิณพักผ่อนหย่อนใจ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบคนรู้ใจเข้าเช่นนี้ 


 


 


“เจ้าก็ชอบที่นี่หรือ ช่างหายากยิ่ง” 


 


 


หรงจิงนั่งลงตามสบายบนที่นั่งผ้าต่วนกำมะหยี่ดิ้นทองหนาๆ มองดูเซียงฉือที่มองดูรอบด้านด้วยความสนใจ 


 


 


เซียงฉือได้ยินที่เขาพูด นางเพียงแต่หัวเราะหึหึ 


 


 


นางหยุดสายตาลงที่พิณโบราณ พิณโบราณปี้หวงคันนี้อยู่ข้างกายเขามานานปี เขาใช้จนชินมือจึงมักจะวางไว้ในนี้ พอเบื่อขึ้นมาก็จะบรรเลงสักเพลง 


 


 


เซียงฉือเดินไปข้างพิณโบราณแล้วนั่งคุกเข่า สายตาที่มองดูพิณโบราณนั้นแผ่ซ่านความลุ่มหลง 


 


 


“หรือว่านี่จะเป็นปี้หวง?” 


 


 


“วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ หรงฉู่ พิณโบราณของท่านนี้ใช่ปี้หวงหรือไม่” 


 


 


เซียงฉืออดใจไม่ไหวยื่นนิ้วออกไปสัมผัสเส้นสายหนึ่งเบาๆ เสียงทุ้มเปี่ยมพลังดังขึ้น นางจึงรู้ว่าต้องเป็นปี้หวงอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


หรงจิงเห็นนางชื่นชอบออกจากใจเช่นนั้นจึงไม่ขัดจังหวะ ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น 


 


 


“สายตาเจ้าแหลมคมมาก สมบัติที่มีค่าที่สุดในหอทิงเฟิงนี้ก็คือเจ้านี่นี่แหละ” 


 


 


หรงจิงจงใจจะหยอกล้อเซียงฉือ แต่เห็นนางปล่อยความคิดทั้งมวลลงไปในพิณโบราณอันนั้นจึงปล่อยเลยตามเลย 


 


 


“ดีดเป็นไหม” 


 


 


พิณโบราณปี้หวงต่างจากพิณโบราณทั่วไป  พิณโบราณทั่วไปจะมีห้าสาย ไล่เสียงจากกง ซัง เจวี๋ย เวย อวี่[2] ทั้งห้าเสียง แต่พิณโบราณปี้หวงมีเจ็ดสาย นักบรรเลงพิณทั่วไปไม่สามารถดีดได้ ซึ่งเซียงฉือก็น่าจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น 


 


 


เซียงฉือในตอนนี้เกิดความสนใจขึ้นมา นางชำนาญการดีดพิณแต่ยังไม่เคยดีดปี้หวงมาก่อน นางเคยได้ยินแต่เสียงเล่าขานถึงมัน ซึ่งทำให้นางเกิดความสนใจยิ่ง 


 


 


เป็นเหมือนดั่งความลับที่บังเอิญวันหนึ่งถูกเซียงฉือพบเห็นเข้าอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้คลายความสงสัยตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีลงทันที สภาพจิตใจที่พิชิตความอยากรู้อยากเห็นลงได้เช่นนี้ ทำให้นางเบิกบานใจ 


 


 


พอได้ยินคำพูดของหรงจิง เซียงฉือก็ส่ายศีรษะ 


 


 


“ถึงจะดีดพิณเป็นแต่ก็ยังไม่เคยดีดพิณโบราณปี้หวงมาก่อน ทั้งยังไม่เคยได้ยินเสียงมาก่อนอีกด้วย” 


 


 


เซียงฉือตอบไปโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับ หรงจิงจึงยิ้ม 


 


 


“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้สนใจขนาดนี้ เรา…” 


 


 


หรงจิงพูดแค่นั้นแล้วรีบหยุดชะงัก เขาดื่มมากเกินไปจนเกือบพลั้งปาก 


 


 


แต่ก็รีบเปลี่ยนคำทันที 


 


 


“แล้วยังพาให้ข้าพลอยดีใจเก้อไปด้วย คิดว่าจะได้ฟังเสียงพิณไพเราะเสนาะโสตก้องดังมิวายเสียอีก” 


 


 


เซียงฉือฟังเขาพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้โกรธ นางหันหน้าไปหาแล้วเลิกคิ้วเจตนาถามยั่วยุว่า 


 


 


“ในเมื่อฝ่าบาทประทานให้กับท่าน หรือว่าท่านจะดีดเป็น” 


 


 


  


 


 


[1] อิงฮวา (樱花)  คือดอกซากุระ 


 


 


[2] กง (宫) ซัง (商) เจวี๋ย (角) เวย (徵) อวี่(羽) เป็นคำเรียกเสียงการไล่ระดับของโน้ตดนตรีที่แตกต่างกันไปของจีนโดย กงจะเทียบเท่ากับ เสียงโด ซังเทียบเท่ากับ เสียงเร เจวี๋ยเทียบเท่ากับ เสียงมี เวยเทียบเท่ากับ เสียงซอล อวี่เทียบเท่ากับ เสียงลา ในโน้ตดนตรีสากล 


ตอนที่ 227 หรงจิงโน้มน้าว 


 


 


หรงจิงได้ยินนางพูดเช่นนั้นและเห็นสายตาที่ยั่วยุของนาง นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังหัวเราะขึ้นเสียงดัง 


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กคนนี้ไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครเลยนะ ตอบโต้ฉะฉานแคล่วคล่องนัก” 


 


 


“ถึงได้ว่าเจ้านี่เหมาะจะไปสอบเป็นข้าราชสำนักสตรี ได้ยินมาว่ากองราชเลขารับข้าราชสำนักสตรีงานอักษรหนึ่งตำแหน่ง เจ้าจะไม่ไปลองดูหรือ” 


 


 


หรงจิงไม่ได้ตอบโต้ด้วย แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเข้าเรื่องที่ตนเองคาดหวัง 


 


 


เขาอยากรู้จริงๆ ว่าหากวันหนึ่งเซียงฉือเห็นเขาสวมชุดมังกรแล้ว จะคบหากับเขาอย่างไร 


 


 


คนที่มีฐานะสูงส่งมักวาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสามัญ เป็นคู่ผัวตัวเมียที่เคียงข้างอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ หรือเลียนแบบการมีสตรีผู้รู้ใจสักคนอย่างคนโบราณ 


 


 


หรงจิงมองดูเซียงฉือ เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ 


 


 


“ถึงข้าจะสอบข้าราชสำนักสตรีรอบแรกผ่าน แต่ว่าคุณสมบัติและประสบการณ์ในวังยังมีน้อยอยู่ ตำแหน่งข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแบบนั้น คิดว่าคงมีไว้ให้สำหรับข้าราชสำนักสตรีที่มีความฉลาดปราดเปรื่องอย่างเหมาะสมมากกว่า ส่วนข้าเป็นพวกใจร้อนวู่วาม” 


 


 


เซียงฉือพูดคำพูดลักษณะนี้ออกมาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งที่พูดแนวความคิดก็แตกต่างกันไป 


 


 


ครั้งนี้เป็นเสียงที่นางพูดออกมาจากใจ นางมักรู้สึกอยู่เสมอว่าการอยู่ใกล้ฮ่องเต้ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ใกล้เสือที่ต้องคอยหวาดหวั่นขวัญผวา นางยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนั้น 


 


 


“ใจร้อนวู่วาม? น่าจะกระฉับกระเฉงเปี่ยมพลังมากกว่ากระมัง ด้วยวัยของเจ้ายังอยู่ในช่วงเถรตรงเอาจริงเอาจัง ถ้าเอามาขัดเกลาให้มนเกลี้ยงสักหน่อย ก็จะใช้ได้คล่องมือขึ้น และจะโยนออกไปได้ไกลกว่า” 


 


 


หรงจิงราวกับกำลังพูดเรื่องสะเทือนใจ สายตาจึงเย็นเยียบลง 


 


 


เซียงฉือจึงเดินเข้าไปถามด้วยความห่วงใย 


 


 


“ท่านพี่หรงฉู่ วันนี้ข้าบุกรุกเข้ามาถึงนี่อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ คงเป็นเพราะมีวาสนากับท่าน ท่านก็ลองคิดว่าข้าเป็นของขวัญที่ฟ้าประทานลงมาให้ท่านก็แล้วกันบอกเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ออกมาให้หมด ถ้าเอาแต่เก็บไว้ในใจก็จะยิ่งหนักหนา พูดออกมาแล้วท่านจะได้สบายขึ้น” 


 


 


“ตอนที่มาถึงแล้วเห็นสภาพของท่านนั้นช่างหดหู่จริงๆ สงสารอย่างบอกไม่ถูก” 


 


 


เซียงฉือเดินเข้าไปใกล้ นางคิดหน้าคิดหลังแล้วเห็นว่าในเมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้วจึงไม่เกี่ยงที่จะถามเพิ่มขึ้นอีก 


 


 


หากสามารถช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเขาได้ก็เท่ากับนางได้ทำความดีอย่างหนึ่ง 


 


 


หรงจิงมองดูดวงตาใสแจ๋วของนางแล้วพลันคิดถึงตนเองเมื่อหลายปีก่อน อดไม่ได้ต้องยื่นมือออกไปลูบศีรษะนาง 


 


 


“ที่บ้านมีเสือร้ายนอนอยู่ข้างกาย อย่างไรก็ไม่อาจหลับได้สนิทใจ” 


 


 


เซียงฉือหลบมือเขาไม่ทัน ในขณะกำลังเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของเขาพอดี ลมหายใจที่เย็นเฉียบแบบนั้นราวกับทำให้อากาศรอบข้างพวกเขาทั้งสองเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง 


 


 


เซียงฉือรู้สึกราวตนเองตกลงสู่นรกเยือกแข็งชั้นที่แปด สั่นสะท้านไปทั้งร่าง 


 


 


สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชิงชังและความไม่ยินยอมอย่างแรงกล้า เซียงฉือมองออกแต่ไม่ได้ขยับ 


 


 


หรงจิงชักมือกลับอย่างรวดเร็วเหมือนจะรู้ว่าท่าทางของตนทำให้เซียงฉือตกใจกลัว แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ 


 


 


“ล้อเจ้าเล่นน่ะ” 


 


 


“เพียงอยากบอกกับเจ้าว่าให้ลองสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีด้านอักษรดู ไม่อย่างนั้นรู้สึกว่าความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศของเจ้าต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์” 


 


 


“มักรู้สึกว่าเจ้าเกิดผิด หากเป็นบุรุษก็จะสามารถเข้าสู่ราชสำนัก จะได้ให้พวกขุนนางใหญ่คร่ำครึพวกนั้นได้เห็นความฉลาดฉะฉานของเจ้าบ้าง” 


 


 


หรงจิงพูดแล้วก็หัวเราะขึ้นมา จู่ๆ เซียงฉือคิดถึงความตั้งใจของกุ้ยเฟย ความคิดของสตรีกับบุรุษช่างแตกต่างกันจริงๆ กุ้ยเฟยเพียงรู้สึกว่าตำแหน่งนี้ได้อยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้ มีโอกาสได้รับข่าวสารสะดวกรวดเร็วกว่า 


 


 


ซึ่งเป็นช่องทางเล็กทางน้อย ส่วนความคิดความเห็นของบุรุษคือปุถุชนทั่วไปที่มีปณิธานความสามารถ 


 


 


เซียงฉือนึกปลง หากคนที่มาโน้มน้าวตนเป็นหรงฉู่ คิดว่าตอนนี้นางคงตอบรับแน่นอนไปแล้ว ตำแหน่งแบบนั้น ถึงแม้จะอันตราย แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมีความเย้ายวนอย่างมาก


ตอนที่ 228 นัดหมาย 


 


 


เซียงฉือคิดปลงอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ายังคงฉาบรอยยิ้มนุ่มนวล 


 


 


หรงจิงยิ้มจางๆ พูดขึ้น 


 


 


“ที่นี่เป็นที่ส่วนตัวของข้า วันนี้ของทุกเดือนเจ้ามาที่นี่ได้ ข้าจะเลี้ยงสุราดอกท้อเจ้าและสอนดีดพิณโบราณปี้หวงให้เจ้า แล้วถือโอกาสฟังเจ้าเล่าตำนานพิณโบราณไปด้วย” 


 


 


“วันนี้ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ข้าจะต้องกลับไปเปลี่ยนเวร ไม่อาจให้ฝ่าบาทรอได้…” 


 


 


เซียงฉือย่อมเข้าใจในความหมายจึงรีบลุกขึ้นจากไป พวกซูกงกงถึงแม้จะถอยออกไปเสียห่างไม่กล้ารบกวนหรงจิง แต่เขาก็ไม่วางใจที่จะปล่อยให้หรงจิงอยู่ในที่นั้นเพียงลำพังจึงไปยืนแอบเฝ้ามองอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ถึงหรงจิงจะยังไม่รู้สถานะของเซียงฉือ แต่ซูกงกงนั้นจดจำได้ 


 


 


นางคือแม่นางที่เขาพบที่กองคดีของใต้เท้าสวี่อี้คนนั้น 


 


 


แต่สภาพการณ์ที่นางอยู่ด้วยกันกับฝ่าบาทเช่นนั้นทำให้ซูกงกงใจเต้นรัว 


 


 


เซียงฉือเดินจากไปก่อน หรงจิงยืนอยู่ในศาลาเฟิงหัวที่วันนั้นซูเฟยใช้เป็นสถานที่เริงระบำดอกไม้ผลิบาน 


 


 


ซูกงกงเห็นท่าทางของหรงจิงแล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปแล้วยืนอยู่ข้างกายด้วยความนบนอบรอให้หรงจิงถาม 


 


 


“เจ้ารู้สถานะตัวตนของนางหรือไม่” 


 


 


รอเพียงไม่นานหรงจิงก็ถามขึ้น ซูกงกงรู้จักประวัติความเป็นมาของเซียงฉืออยู่ก่อนแล้ว เมื่อถูกหรงจิงถามจึงได้ตอบชัดทุกคำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 


 


 


เมื่อหรงจิงได้ยินว่านางเป็นหลานสาวของอวิ๋นเทียนดวงตาก็วาววาบขึ้น ชื่อเสียงความสามารถของอวิ๋นเทียนในสมัยนั้นก้องไปทั้งเมืองหลวง เขาเองก็เป็นผู้ชื่นชอบคนมีความสามารถ 


 


 


พลันเขาคิดถึงผ้าเช็ดหน้าที่ซูกงกงให้เขาในวันนั้นขึ้นมาได้จึงดึงออกมาจากแขนเสื้อ 


 


 


“ซูกงกง ไปเอากระดาษข้อสอบของการสอบรอบแรกของนางมา ข้าจะเทียบดูสักหน่อยว่าเป็นนางจริงหรือไม่!” 


 


 


“หรือว่าจะเป็นพรหมลิขิตที่ฟ้ากำหนดไว้!” 


 


 


หรงจิงยิ้มชั่วร้าย เขามองดูอักษรที่ปักบนผ้าเช็ดหน้า สายตาอ่อนโยนลงเป็นอันมาก 


 


 


ซูกงกงงงงันอยู่ในคราแรก แต่แล้วก็ยิ้มออกมา 


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่ากระหม่อมเกียจคร้าน แต่เรื่องนี้ทำได้ยากนะพ่ะย่ะค่ะ กระดาษข้อสอบของการสอบรอบแรกเมื่อผ่านไปแล้วก็จะเก็บรักษาไว้ในกองราชเลขานอกจากจะมีความจำเป็นมิเช่นนั้นไม่อาจจะนำออกมาดูได้พะย่ะค่ะ หรือไม่…” 


 


 


“พรุ่งนี้เป็นวันสอบข้าราชสำนักสตรีรอบสอง ฝ่าบาททรงคัดเลือกข้าราชสำนักสตรีงานอักษรด้วยพระองค์เองอยู่แล้ว นางคงจะเข้าร่วมด้วย หรือไม่ฝ่าบาทก็เสด็จทอดพระเนตรด้วยองค์เอง” 


 


 


ใบหน้าซูกงกงก็เกลื่อนยิ้ม เขารู้ว่าหรงจิงถูกใจอวิ๋นเซียงฉือเข้าแล้ว 


 


 


ซูกงกงติดตามอยู่ข้างกายหรงจิงมานาน มีความเข้าใจในตัวเขาอย่างดียิ่ง 


 


 


สายตาที่ร้อนแรงอย่างในขณะนี้น้อยครั้งนักที่เขาจะเคยได้เห็น เป็นเพราะข้อบัญญัติของบรรพกษัตริย์ อีกทั้งใต้เท้าราชเลขาในกองราชเลขามีอำนาจล้นหลามและรักษากฎระเบียบเข้มงวด เป็นสตรีที่ไม่รู้จักปรับตัวนามเหอจิ่นเซ่อ 


 


 


แต่นางได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เป็นสตรีทรงภูมิที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในสมัยนั้น ปัจจุบันเป็นขุนนางขั้นที่สาม มีฐานะสูงส่งอยู่ในวัง เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ดีมาก 


 


 


ซูกงกงไม่มีปัญญาจะรับมือนาง ดังนั้นจึงได้แต่ใช้วิธีอ้อมๆ หรงจิงเพียงยิ้มไม่พูดเรื่องนี้อีก 


 


 


ซูกงกงปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วติดตามหรงจิงกลับตำหนักเจิ้งหยาง 


 


 


วันนี้ในราชสำนักหรงจิงตัดสินใจจะผลักดันเรื่องคำสั่งเข้ารับตำแหน่งในทันทีขึ้น ต้าซือหม่า[1]หลัวจงเหิงซึ่งได้รับพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์จากฮ่องเต้พระองค์ก่อนถึงกับนำกระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาข่มขู่หรงจิง 


 


 


ขุนศึกระบือนามแห่งยุคที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงฝากฝังพระโอรสไว้ หรงจิงเองก็เคารพยำเกรงเขาอย่างมาก แต่ว่าเรื่องนี้เพราะความคิดที่คร่ำครึเกินไปของเขาหรือเพราะถูกใครบงการ หรงจิงครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ 


 


 


เขามองดูกระบี่เล่มเล็กด้ามทองที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานให้เขาในมือ ดูแล้วดูเล่า ความโกรธในใจคุขึ้นเป็นระลอก 


 


 


เขาเพิ่งให้เซียงฉือปลีกตัวไป เพราะเขายังต้องเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนาง เขาคือหรงจิง เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเซียวจิ่ง 


 


 


 


 


 


[1] ต้าซือหม่า  (大司马) เป็นตำแหน่งข้าราชการชั้นสูงเทียบเท่าอัครเสนาบดี 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 229 เข้าสอบรอบสอง 


 


 


เซียงฉือกลับถึงตำหนักอวี้หยวน ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่พอเข้าถึงห้องก็รู้สึกง่วงงุนอย่างไม่รู้สาเหตุ เมื่อผลัดเสื้อผ้าแล้วจึงหลับปุ๋ยไป 


 


 


แต่เช้าวันรุ่งขึ้น หลิ่วจุ้ยต้องเขย่าปลุกนางอยู่นานกว่าจะตื่น แต่อวิ๋นเซียงฉือยังคงสะโหลสะเหลและวิงเวียนศีรษะ 


 


 


“พี่หลิ่วจุ้ย? ตอนนี้เวลาอะไรแล้ว” 


 


 


เซียงฉือนวดหน้าผากที่รู้สึกวิงเวียน นางถามขึ้นโดยที่ยังไม่ทันได้ลืมตา 


 


 


จึงถูกหลิ่วจุ้ยหยิกเข้าให้แรงๆ ตรงแถวเนื้อนุ่มๆ ที่เอว 


 


 


“เด็กโง่ ยังไม่รีบลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาอีก จะต้องสอบในยามซื่อ[1] และนี่ก็เลยยามเฉิน[2]มาครึ่งค่อนแล้ว ยังไม่รีบอีก เร็วเข้า” 


 


 


เซียงฉือพอได้ยินคำว่ายามเฉินดวงตาก็เบิกโพลงทันที รีบลุกขึ้นจัดแจงแต่งตัวอย่างลนลาน แม้หลิ่วจุ้ยที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยวุ่นวายไปด้วย 


 


 


นางออกจากห้องอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่ง่ายนักกว่าจะไปถึงตำหนักเหวินอิง แต่แล้วกลับถูกกันไว้ด้านนอกประตู หลิ่วจุ้ยเมื่อถูกข้าราชสำนักสตรีที่เฝ้าประตูอยู่ขวางทางไว้จึงถามขึ้นด้วยความโมโห 


 


 


“ใต้เท้า ท่านช่วยดูให้ชัด นี่เป็นป้ายของนาง เซียงฉือผ่านการสอบรอบแรกมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมให้เข้าไปสอบรอบสองเล่า” 


 


 


ทั้งสองคนเร่งไปตำหนักเหวินอิงอย่างฉุกละหุก แต่แล้วกลับถูกข้าราชสำนักสตรีที่เฝ้าประตูขวางไว้ด้านนอก 


 


 


เซียงฉือไม่เข้าใจเพราะนางไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดจึงไม่ยอมให้นางเข้าไป ถึงจะมาช้าไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับสาย 


 


 


“ข้าจะพูดอีกครั้ง ป้ายของเจ้าอันนี้เป็นป้ายที่ผ่านการสอบรอบแรกมาจริง แต่สตรีที่ผ่านการสอบรอบแรกทั้งหมดก่อนจะถึงเมื่อวานนี้ จะต้องไปยังที่ทำการฝ่ายในเพื่อขอรับป้ายคำสั่งน้อยจึงจะสามารถเข้าสอบได้” 


 


 


“ที่ข้าต้องการคือป้ายคำลั่งน้อยอันนั้น!” 


 


 


ข้าราชสำนักสตรีที่สวมชุดราชสำนักสีเหลืองอ่อนซึ่งเป็นเครื่องแบบของข้าราชสำนักสตรีจากสำนักบริหารจัดการรวม เซียงฉือฟังจนงุนงง เพราะในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกนางควรรู้ไม่ได้พูดถึงป้ายคำสั่งน้อยนี้ 


 


 


แต่ข้าราชสำนักสตรีคนนี้กลับต้องการแต่จะยึดป้ายไม่ยึดคน ปั้นหน้าขึงขังไม่ยอมให้เซียงฉือเข้าไปสอบ 


 


 


หลิ่วจุ้ยกัดฟันแล้วนำไข่มุกพวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ลอบจ้องถมึงทึงไปยังสตรีชุดเหลือง แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว ดึงข้าราชสำนักสตรีคนนั้นเดินออกไปด้านข้าง 


 


 


“ใต้เท้าโปรดอภัยด้วยเถิด เซียงฉือเป็นนางกำนัลอาวุโสรับใช้ข้างกายจินกุ้ยเฟยและเป็นคนโปรดปรานของพระนางมาก ครั้งนี้เป็นเพราะฉุกละหุกเกินไป นี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ขอโปรดรับไว้อย่าได้รังเกียจ” 


 


 


“พวกเรายังคงต้องพบหน้ากัน วันนี้ก็โปรดได้เปิดทางสะดวกให้หน่อยเถิด ข้าจะจดจำความดีของใต้เท้าไว้ บุญคุณนี้จะต้องชดใช้คืนในวันหน้าแน่นอน” 


 


 


หลิ่วจุ้ยคิดว่าพวกข้าราชสำนักสตรีเหล่านี้เจตนากลั่นแกล้งพวกนาง เมื่อเห็นเวลาจวนตัวแล้วจึงได้ใช้ทรัพย์สินติดสินบนพวกนาง 


 


 


ถึงจะรู้สึกเสียดาย แต่หลิ่วจุ้ยก็ยังทำลงไปเช่นนี้ 


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าการกระทำเช่นนี้จะส่งผลเป็นตรงกันข้าม 


 


 


“เจ้าคนสารเลว!” 


 


 


“ถึงกับบังอาจจะเอาของมาติดสินบนข้า ข้าบอกแล้วว่าต้องใช้ป้ายคำสั่งน้อยจึงจะเข้าไปได้ คนอย่างพวกเจ้า วันวันรู้แต่วิ่งเต้นเสาะหาหนทางมิชอบแบบนี้!” 


 


 


“ทหาร จับตัวนางไว้!” 


 


 


ทหารองครักษ์ด้านข้างได้ยินเสียงตวาดของสตรีชุดเหลืองจึงรีบเดินเข้าไป 


 


 


เซียงฉือเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ไม่อาจนิ่งเงียบอยู่ได้ 


 


 


“ใต้เท้า เหตุใดวันนี้จึงได้สร้างความลำบากใจให้ข้าเช่นนี้ ในข้อระเบียบการสอบข้าราชสำนักสตรีไม่ได้ระบุเรื่องป้ายคำสั่งน้อยเลย ท่านกระทำเช่นนี้โดยไม่มีหลักฐานอะไร เป็นการจงใจเหนี่ยวรั้งเวลาของข้า” 


 


 


“ใต้เท้าสวี่อี้แห่งกองคดีเป็นข้าราชสำนักสตรีที่ซื่อสัตย์ยุติธรรม ข้าคบหากับนางมานาน ยังไม่เคยได้ยินนางพูดถึงเรื่องป้ายคำสั่งอะไรเลย ถ้าหากท่านยังจงใจสร้างความลำบากให้กับข้า ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องต่อนาง คิดว่าท่านคงจะรู้ถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ดี” 


 


 


เซียงฉือเห็นหลิ่วจุ้ยถูกคนจับและออกแรงกดอยู่กับพื้นทำให้นางทนไม่ได้ ในเวลานี้จึงได้เอ่ยถึงสวี่อี้ขึ้น หวังจะให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนข้อลงบ้าง 


 


 


 


 


 


[1] ยามซื่อ (巳时)  คือ เวลาเช้าช่วง 9.00 น. – 10.59 น. เป็นการนับเวลาแบบจีนโบราณ ในหนึ่งวันจะมี 12 ชั่วยาม แต่ละชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง 


 


 


[2] ยามเฉิน (辰时) คือ เวลาเช้าช่วง 7.00 น. – 8.59 น. 


ตอนที่ 230 ซูกงกง 


 


 


ดวงตาเซียงฉือแผ่ความเย็นเยียบออกมา สตรีชุดเหลืองเมื่อถูกนางตะโกนใส่เช่นนี้ก็ตกตะลึง มือของทหารข้างๆ ที่กดหลิ่วจุ้ยไว้ก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลงไปมาก 


 


 


แต่เพียงชั่วครู่นางก็สงบลงได้ 


 


 


“เป็นเพียงสาวใช้ปากคอเราะราย ยังไม่ทันสอบได้เป็นข้าราชสำนักสตรี ก็ไม่เห็นผู้อื่นในสายตาถึงเพียงนี้” 


 


 


“การใช้ป้ายคำสั่งน้อยในการสอบครั้งนี้เป็นข้อกำหนดพิเศษของซูเฟย เรื่องนี้ได้แจ้งกับผู้เข้าสอบที่ผ่านรอบแรกทั้งหมดแล้ว ถ้าเจ้าไม่รู้ก็ไปถามข้าราชสำนักสตรีที่ปรึกษาการสอบของเจ้า อย่ามาทำเสียงดังอยู่ที่ตำหนักเหวินอิงนี่!” 


 


 


“ฮึ ไล่พวกนางออกไป!” 


 


 


พอได้ยินเสียงขึ้นจมูกของสตรีคนนั้น ทหารองครักษ์สองคนจึงเริ่มขับไล่คนอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย 


 


 


ในเวลานั้นซูกงกงก็มาถึงที่นี่พอดี เห็นเหตุการณ์เข้าถึงกับตกใจรีบส่งเสียงออกไป 


 


 


“ช้าก่อน!” 


 


 


ซูกงกงพูดลากเสียงยานคาง แต่ในโสตประสาทของเซียงฉือฟังราวเสียงสวรรค์ 


 


 


ข้าราชสำนักสตรีชุดเหลืองที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นซูกงกงมาถึงก็ตกตะลึง วันนี้นางได้รับคำบัญชาจากซูเฟยจริงๆ จึงเจตนาไม่ให้หญิงสาวคนนี้เข้าไป 


 


 


แต่เรื่องป้ายคำสั่งน้อยนั้นไม่ได้จำเพาะเตรียมไว้เพื่อทำความลำบากให้เซียงฉือเพียงคนเดียว สตรีผู้นี้ชื่อว่าเหวินเจวียน เป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่ห้าของกองบริหารจัดการรวม ซึ่งทุกคนในหน่วยงานนั้นต่างล้วนมีฝีมือในการเจาะหาช่องทาง นางเองก็เพราะพันแข้งขาซูเฟยได้จึงได้อยู่ดีในทุกวันนี้ 


 


 


พอเห็นซูกงกงเข้าในตอนนี้ ถึงแม้ในใจนางจะสงสัยแต่ก็ยังให้เกียรติแก่ซูกงกง 


 


 


จึงเดินยิ้มเข้าไปแล้วพูดขึ้น 


 


 


“ตายจริง นี่ไม่ใช่ซูกงกงที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทหรอกหรือ เหตุใดวันนี้จึงว่างพอจะมาทำธุระในตำหนักเหวินอิงได้เจ้าคะ” 


 


 


น้ำเสียงเหวินเจวียนชักกลัดกลุ้ม นางไม่ได้รู้สึกอะไรต่อซูกงกง เพียงแต่เรื่องนี้ซูเฟยสั่งนางมา วันนี้จึงต้องกันไม่ให้เซียงฉือได้เข้าสอบรอบสองอย่างเต็มที่ 


 


 


เมื่อวานซูเฟยจงใจส่งคนให้พาสวี่อี้ออกไปนอกวัง และส่งชิงอี๋ไปคอยสกัดไม่ให้นางได้ไปตามกองงานต่างๆ แล้วฟ้าก็เป็นใจเมื่อเกิดฝนตกหนักลงมา รั้งเซียงฉือกับชิงอี๋เอาไว้ในระหว่างทาง 


 


 


วันนี้นางยังคงป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดด้วยการตั้งใจส่งเหวินเจวียนคนสนิทให้มาเฝ้าที่นี่ 


 


 


ถึงน้ำเสียงเหวินเจวียนจะมีความเกรงใจ แต่ก็ไม่ได้เห็นแก่หน้าซูกงกงสักเท่าไร ทหารองครักษ์ที่ไม่ได้รับคำสั่งของเหวินเจวียนจึงยังคงจับแขนเซียงฉือไว้แน่น กักนางเอาไว้ 


 


 


เซียงฉือหยุดดิ้นรนขัดขืน เพียงจ้องเหวินเจวียนอย่างโกรธแค้น 


 


 


ซูกงกงฟังคำพูดของเหวินเจวียนแล้วรู้แจ้งแก่ใจถึงการสัประยุทธ์ของชาววังหลัง 


 


 


“ข้าคิดว่าท่านนี้คือใต้เท้าเหวินเจวียนจากกองบริหารจัดการรวมกระมัง ใต้เท้าลำบากแล้ว วันนี้เป็นการสอบรอบสองของข้าราชสำนักสตรีมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ให้แม่นางเซียงฉือเข้าไปเล่า” 


 


 


“หรือว่าแม่นางเซียงฉือมาสาย ข้าแก่แล้วสายตาไม่ค่อยจะดี เสี่ยวลี่จื่อ นี่เลยเวลายามซื่อแล้วหรือ” 


 


 


ซูกงกงยืนอยู่กับที่ แม้จะรู้แต่ก็แกล้งถามออกไปเช่นนั้นเอง เจ้าลูกศิษย์น้อยก็แสนรู้ ผสมโรงพูดเสียงดังขึ้นว่า 


 


 


“ท่านอาจารย์ขอรับ ยังเหลือเวลาอีกกว่าจะถึงยามซื่อ พวกนางไม่ได้สายขอรับ!” 


 


 


เสี่ยวลี่จื่อเหลือบสายตามองเซียงฉือ กับหญิงสาวคนนี้เขามีภาพความทรงจำอยู่ เพราะวันนั้นอาจารย์ตั้งใจพาเขาไปเปิดหูเปิดตา ไปให้รู้ความคิดในใจฝ่าบาท 


 


 


เขาเป็นคนมีความคิดรอบคอบ มีปฏิภาณเฉียบคม มิเช่นนั้นซูกงกงคงไม่เห็นค่าและเอาไว้ข้างตัวเช่นนี้ 


 


 


เมื่อเขาพูดจบ และคำพูดนี้ก็เข้าถึงหูของเหวินเจวียน นางจึงยิ้ม 


 


 


“ซูกงกงยังคงไม่ทราบ ปีมีมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่ การจะเข้าสอบรอบสองนอกจากจะต้องมีป้ายหยกจากการสอบรอบแรกแล้ว ยังต้องมีป้ายคำสั่งน้อยของฝ่ายใน ปีนี้มีผู้สมัครสอบจำนวนมาก ซูเฟยทรงรับมือไม่ไหวจึงให้ผู้สมัครที่ประสงค์จะสอบเข้ากองงานไหน ให้ไปทำการสอบครั้งแรกกับกองงานนั้นก่อน” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 231 ป้ายคำสั่ง 


 


 


ซูกงกงฟังคำพูดของนางแล้วไม่ว่าอะไร แต่อดไม่ได้ต้องป้องปากหัวเราะขึ้นเบาๆ เมื่อเหล่ตามองเสี่ยวลี่จื่อที่ข้างกายแล้ว ก็ได้ยินเขาพูดขึ้น 


 


 


“คำพูดของใต้เท้าเหวินเจวียนนี้ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ป้ายคำสั่ง? ใต้เท้าเหวินเจวียนช่างพูดตลกเก่งเสียจริง ถึงเรื่องนี้จะเป็นพระบัญชาซูเฟย แต่ก็ไม่ได้บอกไม่ใช่หรือว่าหากไม่มีมันแล้วจะเข้าไปไม่ได้น่ะ” 


 


 


คำพูดของเสี่ยวลี่จื่อทำให้สีหน้าใต้เท้าเหวินเจวียนเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ก็ยังหนักแน่นพอ ส่วนซูกงกงพอได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็พ่นลมออกจมูก เหลือบตามองฝ่ายตรงข้ามแล้วพูดขึ้น 


 


 


“ใต้เท้าเหวินเจวียนกำลังกลั่นแกล้งแม่นางเซียงฉืออยู่กระมัง” 


 


 


คำพูดของซูกงกงมีน้ำหนัก เหวินเจวียนมองดูนาฬิกาแดดบนพื้น ตอนนี้ห่างจากเวลาสอบอีกไม่มาก นางเพียงถ่วงให้พ้นจากเวลานี้ไปก็ใช้ได้แล้ว 


 


 


ถึงแม้ฟังคำพูดของซูกงกงแล้วจะหวั่นใจอยู่บ้าง แต่เพราะมีความหนักแน่นจากการเป็นขุนนางมานานปีจึงทำให้นางเอ่ยปากขึ้นได้อย่างสงบ 


 


 


“ซูกงกง คำพูดเช่นนี้ไม่อาจเอ่ยสุ่มสี่สุ่มห้าได้ จะอย่างไรข้าก็เป็นขุนนางชั้นที่ห้าในราชสำนัก ทั้งยังพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในวังหลังนี้ กงกงสามารถไปสอบถามเรื่องการทำงานของข้าได้ อีกอย่างข้ากับนางก็ไม่เคยมีความแค้นเคืองต่อกัน เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งนางด้วย” 


 


 


“คำพูดซูกงกงเช่นนี้ไม่อาจพูดเป็นเล่นไปได้” 


 


 


เหวินเจวียนสะบัดมือแล้วหมุนครึ่งตัวดูคล้ายกำลังโกรธ ซูกงกงเป็นคนฉลาดจึงหัวเราะเยาะขึ้น 


 


 


“ในเมื่อใต้เท้าเหวินเจวียนไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง เช่นนั้นก็ให้แม่นางเซียงฉือเข้าไปเถอะ การสอบข้าราชสำนักสตรีสามปีจึงจะมีขึ้นครั้งหนึ่ง วันเวลาของสตรีร่วงโรยง่ายจึงไม่ควรต้องพลาดจากโอกาสครั้งนี้ ขอให้ใต้เท้าเหวินเจวียนเปิดทางสะดวกให้ด้วย” 


 


 


“ใต้เท้าเหวินเจวียนเป็นคนฉลาดย่อมต้องรู้ว่าข้าทำงานถวายฝ่าบาทมาตลอด ถึงจะบอกว่าเรื่องในวังหลังมีกุ้ยเฟยกับซูเฟยทั้งสองพระองค์ดูแลอยู่ แต่วังหลังนี้ก็เป็นวังหลังของฝ่าบาท” 


 


 


“ใครเป็นที่ทรงโปรด คนคนนั้นจึงจะเป็นนาย แม่นางเหวินเจวียนเฉลียวฉลาด คิดว่าคงจะเข้าใจเรื่องพวกนี้กระมัง” 


 


 


เซียงฉือได้ยินคำพูดซูกงกงเช่นกันและเข้าใจเจตนาของเขา ส่วนเหวินเจวียนในตอนนี้กลับสั่นสะท้านขึ้นมา 


 


 


นางมองดูเห็นท่าทีของเซียงฉือเย็นเยือกจึงครุ่นคิดคำนวณในใจอยู่นาน เมื่อมองดูสายตาซูกงกงก็เห็นความหมายลึกซึ้งในนั้น นางไล่สายตาตามซูกงกงไปจนถึงเซียงฉือที่ด้านข้าง 


 


 


ตอนนี้ที่นางคิดคำนวณไม่ใช่คำพูดของซูเฟย แต่ว่าเป็นเซียงฉือที่เป็นนางกำนัลคนหนึ่งในตำหนักอวี้หยวน เหตุใดจึงสามารถถูกซูกงกงเอ่ยขึ้นมาได้ ที่สำคัญที่สุด ซูกงกงนั้นตลอดมาจะไม่ข้องแวะกับเรื่องหยุมหยิมทั้งหลายในวังหลัง 


 


 


หากจะบอกว่าเรื่องครั้งนี้ซูกงกงทำไปเองโดยพลการนางก็ไม่เชื่อเช่นนั้น นอกจากจะได้รับการอนุญาตลับๆ หรือแรงส่งเสริมจากฝ่าบาทเท่านั้น 


 


 


ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่ซูกงกงบอกว่าเป็นที่โปรดปราน? 


 


 


เหวินเจวียนรู้สึกว่าวิธีคิดเช่นนี้เมื่อผ่านสมองไปรอบหนึ่งแล้ว ตนเองจึงได้เข้าใจความหมายข้างใน นางไม่ต้องการให้ตนเองเสียหน้าจึงสะบัดมือให้ทหารทั้งสองปล่อยเซียงฉือกับหลิ่วจุ้ย 


 


 


แล้วพูดออกไปอย่างมีความหมายลึกซึ้ง 


 


 


“คำพูดซูกงกง ออกจะคับแคบไปหน่อยกระมัง” 


 


 


“คำพูดแต่ละคำของซูกงกงเราล้วนเป็นพระประสงค์มิใช่หรือ ข้านี้โง่เขลานัก ต่อไปขอให้ซูกงกงช่วยชี้แนะให้มาก เรื่องในวันนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่เพราะนางกำนัลที่ชื่อหลิ่วจุ้ยคนนั้นจงใจติดสินบนข้า จึงทำให้ข้าโกรธขึ้นมาชั่วขณะ” 


 


 


“ตอนนี้เมื่อเรื่องเข้าใจผิดพวกนี้กระจ่างแล้วและเวลาสอบรอบสองก็ใกล้จะถึงแล้ว แม่นางเซียงฉือรีบเข้าไปเถอะจะได้ไม่ผิดเวลา ใต้เท้าข้างในนั้น คงจะไม่พูดง่ายเช่นนี้หรอกนะ” 


ตอนที่ 232 ผ่านประตูเข้าสอบ 


 


 


เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเพราะคำพูดของซูกงกงจึงได้ทำให้นางเป็นเช่นนี้ 


 


 


เมื่อเห็นว่าสายแล้วจึงรีบทำความเคารพซูกงกง 


 


 


“ขอบคุณซูกงกงที่มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้เซียงฉือ บุญคุณนี้เซียงฉือจะจดจำไว้ตลอดไปเจ้าค่ะ” 


 


 


คำขอบคุณของเซียงฉือกล่าวออกมาจากใจ ไม่ว่าจะเป็นซูกงกงเองที่ช่วยเหลือนาง หรือจะได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ในเวลานี้นางล้วนซาบซึ้งใจทั้งนั้น 


 


 


ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจิตใจคนในวังจะเป็นเช่นนี้ นางเพิ่งได้ฟังคำพูดของคนทั้งคู่มาหยกๆ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าครั้งนี้ถูกแผนการของซูเฟยเล่นงานให้แล้ว เนื่องเพราะไม่ต้องการให้นางเข้าร่วมการสอบ ไม่ต้องการให้นางได้เป็นข้าราชสำนักสตรี 


 


 


แต่ว่าในโลกนี้ เซียงฉือสามารถละทิ้งสิ่งของได้มากมายและไม่ใส่ใจกับเรื่องราวต่างๆ ได้อีกมาก แต่ตอนนี้นางมีสิ่งที่ต้องใส่ใจ มีโอกาสที่จะได้ฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


นางทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อจะกุมโอกาสนี้ไว้ในมือ ยึดไว้ให้แน่นหนา ใครก็ตามที่คิดขัดขวางนาง นางจะไม่เกรงใจ 


 


 


เซียงฉือรู้ว่าซูเฟยคงต้องการกีดขวางไม่ให้นางได้เป็นนางกำนัลด้านอักษรอย่างแน่นอน แต่ว่านางไม่ได้มุ่งมั่นไปในทางนี้ แล้วเหตุใดซูเฟยคอยแต่จะขัดขวางนางเช่นนี้ 


 


 


ซูกงกงถอนใจ ยิ้มจางๆ ตอบกลับไปว่า 


 


 


“แม่นางไฉนต้องมาขอบคุณข้า ข้าไม่ได้ทำอะไร ล้วนเพราะแม่นางบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรอก” 


 


 


ซูกงกงชี้นิ้วไปทางประตูใหญ่เบื้องหน้า เซียงฉือไม่พูดต่อ มองประตูที่โชติช่วงนั้นแล้วเดินเข้าไป เมื่อเดินผ่านเหวินเจวียนจึงหยุดชะงักเท้า 


 


 


“แม่นางกราบทูลซูเฟยด้วยว่าขอให้พระองค์ทรงวางพระทัย เซียงฉือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ข้าราชสำนักสตรีงานอักษร และกุ้ยเฟยได้ทรงคัดเลือกคนอื่นไว้แล้ว ขอให้พระองค์ให้โอกาสกับข้า ให้ข้าได้สอบอย่างสบายใจด้วยเถิด” 


 


 


คำพูดเซียงฉือลอยเข้าไปในหูเหวินเจวียน เซียงฉือเดินเข้าประตูตำหนักเหวินอิงไปอย่างรวดเร็ว ซูกงกงก็ประสานกำปั้นต่อเหวินเจวียนแล้วติดตามเซียงฉือเข้าไป 


 


 


หลังจากเข้าไปแล้วไม่มีใครมาคอยขัดขวางอีก เซียงฉือได้รับป้ายคำสั่งอันสุดท้ายพอดี นางยืนอยู่หลังสุดของแถว 


 


 


มองเห็นเลขบนป้ายนั้นว่าคือห้าสิบสาม 


 


 


ปีนี้มีคนได้เข้าสอบรอบสองรวมห้าสิบสามคน แรงกดดันในปีนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ 


 


 


เซียงฉือยิ้มเยาะตัวเอง ปีก่อนๆ ที่ผ่านการสอบรอบแรกมาได้มีแค่เพียงยี่สิบกว่าคน จากนั้นในวังจะประกาศตำแหน่งงานสิบกว่าอัตรา ครึ่งหนึ่งในบรรดาคนพวกนั้นจะได้รับเลือกเป็นข้าราชสำนักสตรี ที่เหลืออีกครึ่งจะเข้าไปทำงานตามกองงานต่างๆ สถานะเลื่อนสูงขึ้นไม่น้อย 


 


 


ครั้งนี้จำนวนผู้ผ่านรอบแรกเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย มิน่าเล่าจึงต้องให้มีป้ายคำสั่งน้อย หาไม่แล้วเกรงว่าจะมีคนมาปรากฏตัวในที่นี้มากกว่านี้อีก ซึ่งจะทำให้การสอบนั้นยากขึ้น 


 


 


เซียงฉือยืนอยู่ลำดับสุดท้าย ซูกงกงเมื่อเข้าประตูไปแล้วก็ไม่ได้มองเซียงฉือแต่เดินเลยเข้าไปด้านใน 


 


 


แล้วทำความเคารพต่อพระสนมทั้งสามที่นั่งอยู่เบื้องบน 


 


 


“ถวายพระพรกุ้ยเฟย ซูเฟย จิ้งเฟย ขอทรงพระเจริญพันปีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ซูกงกงทำความเคารพอย่างนอบน้อม จินกุ้ยเฟยมองด้านซ้ายและขวา ทุกคนล้วนเข้าใจดี นางถามคำถามสำหรับพวกสาวๆ ที่เข้าสอบข้างล่างว่า 


 


 


“ซูกงกงลุกขึ้นเถิด ใช่นำข้อสอบจากฝ่าบาทมาหรือไม่ ที่ผ่านมาฝ่าบาทจะเสด็จมาเองมิใช่หรือ” 


 


 


จินกุ้ยเฟยวันนี้แต่งกายอย่างตั้งใจ ด้วยคิดจะแสดงออกให้ดีต่อหน้าหรงจิง แต่ไม่คิดว่าซูกงกงจะมาที่ตำหนักเหวินอิงเพียงคนเดียว 


 


 


ในใจอดมิได้ต้องรู้สึกผิดหวัง ความตั้งใจของตนในครั้งนี้เป็นอันสูญเปล่าไป 


 


 


“ทูลกุ้ยเฟย ฝ่าบาทวันนี้ทรงมีราชกิจมากจึงไม่มีเวลาเสด็จมา แต่ฝ่าบาทได้ทรงอักษรด้วยลายพระหัตถ์แล้วทรงมอบข้อสอบนี้แก่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เพื่อเอาไว้ใช้ทดสอบใต้เท้าห้าคนที่มีคะแนนสูงสุดในตอนท้ายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 233 เรื่องในอดีต 


 


 


ซูกงกงพูดพร้อมกับทูนกระดาษข้อสอบที่ผนึกไว้เป็นความลับด้วยสองมือ 


 


 


แต่จินกุ้ยเฟยสะบัดมือพูดว่า 


 


 


“สิ่งนี้ให้ซูกงกงเก็บรักษาไว้จะดีกว่า รอให้เลือกห้าคนนั้นออกมาได้ก่อนแล้วค่อยเปิดก็ไม่สาย” 


 


 


เมื่อจินกุ้ยเฟยพูดเช่นนั้นซูกงกงก็ถอยออกไปช้าๆ แล้วเก็บกระดาษข้อสอบไว้ในมือ มองพวกข้าราชสำนักสตรีเบื้องล่างโดยไม่พูดอะไร ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง 


 


 


“เอาล่ะ ในเมื่อถึงเวลาแล้วก็ตีระฆังเริ่มการสอบรอบสองได้!” 


 


 


เมื่อได้รับคำบัญชาจากจินกุ้ยเฟย ข้าราชสำนักสตรีที่มีหน้าที่จึงแยกย้ายออกมาเบื้องหน้ากุ้ยเฟย ค้อมศีรษะตอบรับแล้วออกไปเพื่อนำพวกผู้สมัครสอบทั้งหลายตามไปเริ่มทำการสอบ 


 


 


การสอบรอบสองมีหกอย่าง เพื่อทดสอบความสามารถในด้านต่างๆ ของผู้สมัครรวมถึงการแสดงออกของพวกนาง แล้วนำคะแนนมารวมกัน สุดท้ายจัดอันดับตามคะแนนหรือตามคำแนะนำของประมุขตำหนักต่างๆ 


 


 


ตอนนี้อวิ๋นเซียงฉือนั่งอยู่ในสนามสอบของกองบริหารจัดการรวม หน้าที่สำคัญที่สุดของกองนี้คือการตรวจนับสินทรัพย์และตรวจสอบยอดบัญชี ทั้งสองรายการนี้ไม่ยากสำหรับเซียงฉือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชำนาญที่สุด การสอบรอบสองนี้เพื่อทดสอบความสามารถรวมและความชำนาญเฉพาะทางของข้าราชสำนักสตรี 


 


 


เซียงฉือขอเพียงให้ผ่านกองบริหารจัดการรวมไปได้เท่านั้นก็พอ แต่เพื่อให้ได้คะแนนที่ดี นางจึงต้องทุ่มเทเต็มที่ 


 


 


เซียงฉือได้รับข้อสอบ เป็นการสะสางเงินรับจ่ายของเดือนนั้น ตรวจเทียบกับรายการในบัญชีว่าตรงกันหรือไม่ 


 


 


สิ่งจำเป็นในกองบริหารจัดการรวมนี้คือความแม่นยำและความเร็ว เซียงฉือตรวจสอบสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็ว การคำนวณก็ตรวจซ้ำสองรอบและหาข้อผิดพลาดอีกทั้งทำการแก้ไขได้สองจุด หลังจากตรวจไม่พบข้อผิดพลาดแล้วจึงลุกขึ้นรายงาน 


 


 


“ผู้เข้าสอบเซียงฉือ หัวข้อตรวจสอบเงินเข้าออกของโอสถล้ำค่าในเดือนสี่โดยเทียบกับรายการบัญชี เมื่อเทียบกับรายการแล้วพบข้อผิดพลาดดังนี้ ข้อหนึ่ง ตังกุยจัดเป็นยาสามัญ ไม่ควรถูกบันทึกลงในรายการนี้ ข้อสอง คำนวณมูลค่าบัวหิมะขาดไปห้าตำลึง รายการรับจ่ายรวมในเดือนนี้ควรเป็นมูลค่าสามร้อยแปดสิบสองตำลึงกับเจ็ดลี้” 


 


 


“ขอจบรายงานการตรวจสอบบัญชี ขอเชิญใต้เท้าทุกท่านตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


เสียงของเซียงฉือไม่ดังนัก ข้าราชสำนักสตรีในกองบริหารจัดการรวมทั้งหลายพากันตรวจเทียบ และเมื่อรวมกับการรายงานของนางทั้งหมดแล้วจึงขานคะแนน 


 


 


“จย่า[1]!” 


 


 


เมื่อผู้คุมสอบขานออกมาคำหนึ่ง ก็มีข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งส่งป้ายให้ เซียงฉือทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วออกจากสนามสอบนี้ไป 


 


 


ลำดับถัดๆ ไปที่ต้องเข้าสอบไล่เรียงกันมีกองเครื่องเสวย กองโอสถ กองราชเลขา กองเย็บปักและสุดท้ายคือกองคดี 


 


 


เซียงฉือผ่านกองเครื่องเสวย กองโอสถในคราเดียวไปจนถึงกองราชเลขา 


 


 


สตรีตรงหน้าก็คือเหอจิ่นเซ่อแห่งกองราชเลขา ดูแล้วอายุราวยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี ใบหน้าเยือกเย็น ผิวเนียนใสผุดผาด เซียงฉือมองนางแล้วรู้สึกถึงคำที่ผู้คนพากันชมนางว่าเป็นเทพีน้ำแข็งนั้นไม่ผิดเพี้ยน 


 


 


เหอจิ่นเซ่อมีความแตกต่างจากสตรีมากมายในวัง ความรู้นางกว้างขวาง มีชื่อเสียงเลื่องระบือ ชำนาญทั้งพิณและหมากรุก และยิ่งคล่องด้านอักษรบทกวี เป็นขุนนางขั้นที่สาม ทั้งฐานะและชื่อเสียงล้วนสูงส่งยิ่ง 


 


 


ได้ยินว่านางมีชะตาชีวิตที่ขื่นขม ชาติกำเนิดนางมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เคยหมั้นหมายกับเซ่าเจียงจวิน[2]สวีเซี่ยงหรงแห่งกองกำลังอวีหลิน แต่ยังไม่ทันออกเรือน สวีเซี่ยงหรงก็ได้พลีชีพในสนามรบ นางจึงตกพุ่มหม้ายตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน 


 


 


บ้านสกุลสวีไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ ยินยอมให้เหอจิ่นเซ่อเลือกหาคนดีอื่น แต่นางเป็นคนหยิ่งทะนง สาบานว่าจะไม่แต่งงานชั่วชีวิต แล้วเข้ามาเป็นข้าราชสำนักสตรีในวัง ถึงเวลานี้ก็สิบปีแล้ว 


 


 


พอได้ฟังเรื่องในอดีตของเหอจิ่นเซ่อแล้วเซียงฉือได้แต่ทอดถอนใจ ชะตาชีวิตนางก็ไม่ราบรื่น ผู้หญิงในยุคนี้ล้วนน่าสงสาร ทั้งชีวิตเพียงแต่งสามีได้เพียงคนเดียวสำหรับเหอจิ่นเซ่อแล้ว เมื่อคนรักแท้ของนางตายในการศึก คิดว่าใจของนางก็คงได้ตายไปพร้อมกันด้วยแล้ว 


 


 


เซียงฉือทอดถอนใจอย่างมาก แต่สุดท้ายก็นั่งลงรอการสอบของเหอจิ่นเซ่อ นางได้ฟังจากข้าราชสำนักสตรีอื่นพูดถึงกองราชเลขาว่าเป็นด่านที่ผ่านยากที่สุด เพราะเหอจิ่นเซ่อตั้งเงื่อนไขไว้โหดมาก 


 


 


  


 


 


[1] จย่า (甲) คืออันดับเกรดสูงสุด หมายถึง เกรดเอ 


 


 


[2] เซ่าเจียงจวิน (少将军) ยศทางทหาร เทียบเท่าพลตรี 


ตอนที่ 234 เหอจิ่นเซ่อ 


 


 


เซียงฉือนั่งลงตรงที่นั่ง เห็นเหอจิ่นเซ่อกำลังอ่านตำราอยู่จึงไม่ได้ไปรบกวน ข้าราชสำนักสตรีอื่นอีกสี่คนที่อยู่ด้านข้างต่างกำลังจิบชาอยู่ราวกับไม่มีใครเห็นเซียงฉือที่นั่งอยู่เบื้องหน้าในที่นั้น 


 


 


เซียงฉือก็ไม่กล้ารบกวน จึงตั้งใจสังเกตดูตำรากับสีชาในมือของข้าราชสำนักสตรีแต่ละคน ดูจนเบื่อจึงเบนสายตาตามการพลิกหน้าตำราของเหอจิ่นเซ่อ ติดตามดูไปทีละหน้าๆ 


 


 


เซียงฉือมีความรู้สึกภายหลังเข้ามาแล้วว่าที่นี่ไม่ได้ง่ายดายนัก ภายในห้องยังมีผู้สมัครสอบอยู่อีกหลายคน ต่างกำลังส่งเสียงกระซิบกระซาบกันอยู่ 


 


 


สภาพสนามสอบที่แตกต่างไม่เหมือนใครในการสอบรอบสองของการสอบข้าราชสำนักสตรีที่คึกคักนั้นปรากฏขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก เซียงฉืออดที่จะสงสัยไม่ได้นางนั่งพิจารณาอย่างถ้วนถี่ หวังว่าจะสามารถหาเบาะแสอะไรได้บ้างจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ 


 


 


ได้ยินมาว่าตั้งแต่เหอจิ่นเซ่อเข้ามารับหน้าที่เป็นข้าราชสำนักสตรีคนแรกในกองราชเลขาเป็นต้นมา การสอบที่ต่อเนื่องกันมาแต่ละครั้งล้วนมีรูปแบบใหม่ไม่ซ้ำใครที่แม้แต่คนข้างๆ ก็ไม่อาจรู้ได้ มีคนจำนวนมากที่ถูกเตะออกจากกองไปโดยที่ยังไม่รู้ว่าตนเองไปทำอะไรเข้า 


 


 


และตอนนี้เซียงฉือก็กำลังน้อมรับการสอนสั่งนี้อยู่ 


 


 


มีแต่ความเงียบไปทั่ว ไม่มีใครลุกขึ้นต้อนรับกระทั่งบอกกับพวกนางว่าจะเริ่มสอบตอนไหนและสิ้นสุดการสอบเมื่อไร 


 


 


เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปครู่หนึ่ง เซียงฉือถูกหนังสือของเหอจิ่นเซ่อดึงดูดเข้าไปแล้ว และแล้วสตรีสวมชุดสีชมพูรากบัวคนหนึ่งที่ด้านข้างรวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้นมา 


 


 


“เรียนถามใต้เท้า ไม่ทราบว่าการสอบของกองราชเลขาจะเริ่มเมื่อไหร่เจ้าคะ” 


 


 


ถึงหญิงสาวคนนี้ออกจะบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ในห้องนี้ต่างมองนางด้วยความขอบคุณ 


 


 


เพราะนางถามเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าถามออกไป 


 


 


เซียงฉือก็ถอนใจโล่งอกด้วยเช่นกัน ในที่สุดก็มีคนถามออกมาจนได้ เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำถามนั้นก็ไม่โกรธ นางขยับมือ บรรดาข้าราชสำนักสตรีที่เกียจคร้านตามสบายเมื่อครู่ต่างรีบพากันเก็บอาการแล้วขยับเครื่องแต่งกายนั่งกันเรียบร้อย 


 


 


ท่าทางดูราวกับกำลังเผชิญหน้ากับข้าศึกหนัก 


 


 


เซียงฉือก็รู้สึกแปลกใจว่าในสถานที่แบบนี้จะสอบอะไรกันแน่ 


 


 


“เจ้าชื่ออะไร เลขที่เท่าไหร่” 


 


 


น้ำเสียงของเหอจิ่นเซ่อช่างสมกับตัวนาง เยือกเย็นอย่างยิ่ง พอถามออกไปเช่นนี้ ทำให้หญิงสาวที่ถามคำถามเมื่อครู่สั่นเทิ้มขึ้น ตอบออกไปอย่างหวั่นเกรง 


 


 


“หลี่ผิงเอ๋อร์ หมายเลขสิบแปดเจ้าค่ะ” 


 


 


นางไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ตอบออกไปอย่างซื่อๆ เหอจิ่นเซ่อเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วยิ้มน้อยๆ คนมากมายในห้องนั้นล้วนได้เห็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าของนาง 


 


 


ดั่งวสันต์น้ำแข็งละลายเป็นสายน้ำ งดงามถึงขั้นล่มเมืองได้ ริมฝีปากบางของนางเผยอขึ้นน้อยๆ มีเสียงเสนาะหูเล็ดลอดออกมา 


 


 


“เช่นนั้นขอแสดงความยินดีด้วย การสอบของเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าสอบไม่ผ่าน หมายเลยสิบแปดหลี่ผิงเอ๋อร์ เชิญออกไปได้!” 


 


 


นางเอ่ยคำพูดโหดร้ายออกมาได้อย่างนุ่มนวล เป็นการตัดอนาคตของหญิงสาวคนนั้นลงในพริบตา หลี่ผิงเอ๋อร์กัดฟันแน่น ยังคิดที่จะพูดอะไรอีก 


 


 


แต่เหอจิ่นเซ่อสะบัดมืออย่างหมดความอดทน ทันใดนั้นข้าราชสำนักสตรีสองคนก็มานำนางออกไปทันที 


 


 


“การสอบของกองราชเลขาเริ่มไปนานแล้ว ตอนนี้ข้าจะถามคำถาม คนที่รู้ก็เชิญตอบ” 


 


 


น้ำเสียงเหอจิ่นเซ่อเย็นลงอีกครา แต่ในใจของเซียงฉือนั้นเริ่มหวั่นไหว เหอจิ่นเซ่อบอกว่าการสอบได้เริ่มไปแล้ว แต่นางเหมือนกับยังไม่รับรู้สิ่งใดเลย 


 


 


สมองนางเริ่มสับสน พยายามฝืนบังคับตัวเองนั่งให้สงบสุขอยู่บนเก้าอี้ ไม่กล้าเคลื่อนไหว 


 


 


“คำถามแรก เมื่อครู่ในห้องนี้มีข้าราชสำนักสตรีอยู่กี่คน แต่ละคนเมื่อครู่ทำอะไรกันอยู่บ้าง” 


 


 


เซียงฉือรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังคิดทบทวนอย่างละเอียด จากนั้นจึงยกมือขึ้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 235 ข้อสอบเหอจิ่นเซ่อ 


 


 


เซียงฉือยกมือ ตามด้วยหญิงสาวข้างๆ บางคนที่พากันยกมือขึ้นช้าๆ แต่ว่าเหอจิ่นเซ่อยังไม่ต้องการให้คนตอบคำถาม นางรออยู่ครู่หนึ่ง 


 


 


“พวกที่ไม่รู้ เชิญออกไปซะ” 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ หญิงสาวที่มีอยู่สิบกว่าคนเมื่อครู่จึงลดลงเหลือเพียงห้าคนในทันที 


 


 


เซียงฉือนึกปลง พวกหญิงสาวที่คิดจะโต้แย้งพอสบเข้ากับสายตาเย็นเยียบของเหอจิ่นเซ่อเข้าก็ต้องพากันออกไปด้วยสีหน้าผิดหวัง 


 


 


เซียงฉือมองดูฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้ว่านางกำลังคิดทำอะไร 


 


 


“ยังเหลืออีกห้าคน จะถามคำถามที่สอง ข้าราชสำนักสตรีสวมกระโปรงผ่าหน้าสีชมพู ปักปิ่นระย้าทอง นับจากด้านซ้ายแล้วเป็นคนที่เท่าไหร่และเมื่อครู่กำลังทำอะไรอยู่ ใครสามารถบรรยายได้บ้าง” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อก็แปลกนัก นางยังไม่ได้ถามคำตอบข้อแรก ก็ถามคำถามที่สองต่อเลย 


 


 


เพราะมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ดังนั้นหญิงสาวที่เหลืออีกสี่คนจึงพากันยกมือ 


 


 


แต่เซียงฉือลังเลจึงค้างมือไว้ครึ่งทาง ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น 


 


 


“ข้าขอบังอาจถามใต้เท้า เมื่อครู่มีใต้เท้าสวมกระโปรงสีชมพูผ่าหน้าอยู่สองท่าน ท่านหนึ่งปักปิ่นหงส์ระย้าทอง อีกท่านปักปิ่นหงส์ระย้าหยกเลี่ยมทอง ไม่ทราบว่าใต้เท้าหมายถึงท่านใดเจ้าคะ” 


 


 


เมื่อเซียงฉือพูดขึ้น เหอจิ่นเซ่อที่ก้มหน้าอยู่พลันเงยหน้าขึ้นมองนาง 


 


 


“เจ้า ชื่ออะไร” 


 


 


เซียงฉือรู้สึกตกใจ หรือว่านางไม่ควรเอ่ยปาก หรือจะเป็นอยากให้ดีแต่กลายเป็นแย่ไปเสียแล้ว 


 


 


นางคิดอย่างสับสน แต่ไม่กล้าที่จะไม่ตอบ 


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือ หมายเลขห้าสิบสามเจ้าค่ะ” 


 


 


เสียงของเซียงฉือไม่ดังนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน หญิงสาวอีกสี่คนข้างหลังพากันกระซิบกระซาบ เหมือนกับคำถามของเซียงฉือมีข้อน่าสงสัย 


 


 


“พวกเจ้าอีกสี่คนรู้หรือไม่” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำตอบนางแล้วก็พยักหน้า จากนั้นถามอู๋เก๋อหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังเซียงฉือ 


 


 


ทั้งสี่คนต่างมองหน้ากันแล้วส่ายศีรษะ ลุกขึ้นเตรียมออกไป 


 


 


“พวกเรารู้สึกละอายใจ ไม่ได้มีความละเอียดลออเหมือนแม่นางเซียงฉือ ใต้เท้าเหอ ใต้เท้าทุกท่าน ลำบากทุกท่านแล้ว” 


 


 


หญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นทำความเคารพอย่างนอบน้อม นางไม่ได้สังเกตให้ละเอียดจริงๆ พอได้ยินเซียงฉือพูดเช่นนั้นจึงรู้ว่าตนเองห่างชั้นกับนางมากนัก จึงไม่มีความจำเป็นต้องรั้งรออยู่ต่อ ส่วนอีกสามคนก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกันจึงพากันลุกขึ้น 


 


 


“พวกข้าขอลาเจ้าค่ะ” 


 


 


แล้วจึงพากันหมุนตัวจะจากไปอย่างหงอยๆ ทว่าจู่ๆ เหอจิ่นเซ่อก็พูดขึ้น “สี่คนนี้สอบผ่าน อวิ๋นเซียงฉืออยู่ก่อน” 


 


 


เซียงฉือไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความเช่นไรจึงได้แต่ยืนงงอยู่ในที่เดิม 


 


 


เหอจิ่นเซ่อเงยหน้า เมื่อเห็นสี่คนเมื่อครู่ออกไปแล้วจึงได้ถามขึ้น 


 


 


“เจ้าคืออวิ๋นเซียงฉือสินะ ข้าขอถามเจ้า จำได้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ข้าอ่านหนังสืออะไรอยู่ เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร” 


 


 


พลันเหอจิ่นเซ่อถามขึ้น เซียงฉือไตร่ตรองสักครู่แล้วจึงเอ่ยปาก 


 


 


“วิถีชาและหมากของอาจารย์ชิ่งหยาง เมื่อครู่ใต้เท้ากำลังอ่านบทความเกี่ยวกับชา ‘ฉาเว่ยซานเซิง’ เจ้าค่ะ” 


 


 


เซียงฉือตอบทีละคำถามอย่างไม่กล้าปิดบัง นางคิดว่าตนเองคงจะปากมากจนทำให้เหอจิ่นเซ่อไม่พอใจ ตอนนี้จึงได้แต่ฝืนต่อสู้ให้ตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย 


 


 


นางรออยู่นานจึงเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเหอจิ่นเซ่อที่มองดูนาง 


 


 


“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะใต้เท้า” 


 


 


อวิ๋นเซียงฉือมองนางอย่างไม่เข้าใจจึงได้ถามขึ้นอย่างสั่นๆ 


 


 


เมื่อเหอจิ่นเซ่อเห็นนางแบบนั้นกลับหัวเราะขึ้นมา 


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือเจ้าเป็นคนฉลาดจริงๆ มิน่าเล่าเหลียนชินอ๋องจึงได้ตั้งใจแนะนำเจ้าไว้กับข้า” 


 


 


“ใช้ได้ ไม่เลวเลย ความคิดอ่านรอบคอบถี่ถ้วน กล้าหาญเฉียบขาด ยากนักที่จะมีหญิงสาวที่ฉลาดและละเอียดรอบคอบอย่างเจ้า” 


 


 


พูดจบนางก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง ดูต่างจากใบหน้าเยือกเย็นอย่างที่เป็นเสมอมา มีอัธยาศัยไมตรีดียิ่ง 


ตอนที่ 236 ถูกขัดขวางอีกครั้ง 


 


 


อวิ๋นเซียงฉือถอนใจ แต่ใช่ว่าจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 


 


 


นางกำกำปั้นประสานมือพูดว่า 


 


 


“เป็นเพราะใต้เท้าไม่รังเกียจข้าเจ้าค่ะ” 


 


 


เซียงฉือไม่กล้าพูดอะไรมาก นางระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง เกรงว่าหากมีคำพูดใดไปล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามเข้า สิ่งที่ทุ่มทำไปแต่ต้นจะต้องล้มเหลวไปทั้งหมด 


 


 


นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นจึงสำรวมอย่างยิ่ง 


 


 


เหอจิ่นเซ่อยิ้มแล้วพูดขึ้น 


 


 


“เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว เจ้าคิดสินะว่าเมื่อครู่ข้าใจร้ายกับหญิงสาวคนนั้นมาก ไม่พูดอะไรสักคำก็ปล่อยให้นางขาดคุณสมบัติไปแบบนั้น” 


 


 


“แต่เจ้าควรรู้ไว้ กองราชเลขาต่างกับกองอื่นๆ ทั้งห้า เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นสภาพที่เป็นอยู่ประจำในตำหนักเจิ้งหยาง และข้าราชสำนักสตรีด้านอักษรที่ต้องรับใช้ฝ่าบาททุกวันจะต้องฉลาด สงบเงียบ มีความละเอียดรอบคอบ มิเช่นนั้นอาจต้องทิ้งชีวิตไปเสียเปล่าๆ” 


 


 


เซียงฉือฟังแล้วจึงเข้าใจวัตถุประสงค์ในวิธีการนี้ของเหอจิ่นเซ่อ 


 


 


อดไม่ได้ต้องทอดถอนใจ เหอจิ่นเซ่อฉลาดหลักแหลมจริงๆ ที่สามารถคิดวิธีการเช่นนี้ได้ 


 


 


เซียงฉือมองดูเหอจิ่นเซ่อในตอนนี้ ชั่วขณะที่เงยหน้า สายตาจะเต็มไปด้วยความมั่นใจและสุขุมเยือกเย็น สตรีเช่นนี้ช่างเป็นที่น่าหลงใหลยิ่งนัก 


 


 


“ใต้เท้าพิจารณาถี่ถ้วนนัก เซียงฉือได้เรียนรู้แล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เซียงฉือพูดได้รอบคอบ เหอจิ่นเซ่อยิ้มแล้วก้มหน้าเขียนอะไรลงในเอกสาร เซียงฉือไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงได้รู้สึกมีความสนิทสนมกับเหอจิ่นเซ่อคนนี้ยิ่งนัก ตัวตนของนางที่เป็นอยู่เหมือนเป็นความเพ้อฝัน 


 


 


เป็นแบบฉบับของผู้หญิงที่เซียงฉือรอคอยหรือจะบอกว่าเป็นท่านปู่ที่รอคอยเสมอมา หากเซียงฉือสามารถเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้สำเร็จ หยิ่งแต่ไม่ลำพอง ฉลาดเฉลียวทั้งยังสง่างามเพียบพร้อม เป็นเหมือนกับตำราที่ใช้ในการเรียนการสอน 


 


 


นางออกจากกองราชเลขา เรื่องราวเมื่อครู่เหมือนอยู่ในความฝัน เซียงฉือได้พบกับเซียงซือที่เดินมาพอดี วันนี้สีหน้านางเปล่งประกาย ท่าทางเฉิดฉายเจิดจ้าด้วยความเชื่อมั่น 


 


 


เซียงฉือจึงเดินเข้าไปคิดจะคุยกับนาง 


 


 


 “เซียงซือ สอบเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


เซียงฉือเดินไปถึงข้างกายเซียงซือ แล้วก็พบว่านางถูกล้อมอยู่ตรงกลางด้วยหญิงสาวจำนวนมากที่กำลังส่งเสียงกันเจี๊ยวจ๊าว 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเซียงฉือ เซียงซือก็หมุนตัวกลับมา เห็นเซียงฉือเข้าก็ดึงมือนางไว้ 


 


 


“อ้าวน้องเซียงฉือ ที่สอบผ่านมาก็ไม่เลวนัก เหลือเพียงกองราชเลขานี่แหละที่สุดท้าย แต่ไม่เป็นไรหรอกเพราะกุ้ยเฟยได้ฝากฝังข้าไว้ล่วงหน้าแล้วก็เลยไม่กังวลแล้วเจ้าล่ะ” 


 


 


“ความสามารถของเจ้าข้าก็รู้อยู่ นี่จะมาสอบด่านราชเลขาเหมือนกันหรือ รออีกสักครู่ข้าจะไปทูลขอกับกุ้ยเฟย ขอให้พระองค์ช่วยพูดให้เจ้าด้วย” 


 


 


คำพูดของเซียงซือทำให้เซียงฉือรู้สึกอบอุ่นใจแต่รู้สึกแปลกใจด้วยในขณะเดียวกัน แต่เพราะเวลารีบเร่งทำให้นางคิดไม่ทัน อีกทั้งเซียงซือก็ถูกสาวๆ พวกนั้นเรียกตัวไปอย่างรวดเร็ว แล้วพากันเข้าไปในกองราชเลขา 


 


 


ขณะเดียวกันเซียงฉือเดินอย่างรู้สึกเกรงใจเพื่อไปทำการสอบยังกองคดีกับกองเย็บปัก มาเสียเวลาอยู่ในกองราชเลขาไม่น้อย ทำให้ช้าไปมาก 


 


 


การสอบในกองคดีสำหรับเซียงฉือแล้วไม่นับว่ายาก ที่สำคัญคือมีสวี่อี้อยู่ด้วย ทำให้นางสบายใจยิ่ง 


 


 


จึงมีเพียงความหวาดแต่ไม่มีภัย แล้วก็ได้รับหลักฐานการสอบผ่าน จึงไปต่อยังกองเย็บปักอันเป็นที่สุดท้าย 


 


 


ไปถึงเพียงแค่หน้าประตูสนามสอบก็ถูกขัดขวางไว้เป็นครั้งที่สองของวันนี้ 


 


 


“ใต้เท้าท่านนี้ เหตุใดจึงไม่ให้ข้าเข้าไปสอบเล่าเจ้าคะ” 


 


 


น้ำเสียงเซียงฉือเริ่มไม่เป็นมิตร ไม่ว่าเป็นใคร หากต้องมาถูกขัดขวางไว้ตรงหน้าประตูถึงสองครั้งภายในวันเดียวเช่นนี้ อารมณ์ย่อมต้องไม่สู้ดีแน่ 


 


 


และพวกนางก็ทั้งป่าเถื่อนทั้งพาล ไม่สามารถให้เหตุผลที่ฟังขึ้นได้สักอย่างเดียว 


 


 


สตรีสวมชุดข้าราชสำนักสีเงินมองดูเซียงฉือด้วยสีหน้าเย้ยหยัน และผลักนางออกนอกประตูอย่างไม่เกรงใจ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 237 เผชิญหน้าหวังชิงซิ่ว 


 


 


“ก็แจ้งไปแล้วว่าจะต้องมีป้ายคำสั่งน้อยจึงจะเข้าไปสอบได้ กองเย็บปักเราเป็นกองเล็กๆ ในกองจะรับเพียงสามคน การปักนั้นเสียเวลาที่สุดจึงต้องให้สอบล่วงหน้าไปก่อน เจ้าเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ ตำแหน่งว่างหมดไปนานแล้วล่ะ” 


 


 


ถึงน้ำเสียงนางจะไม่เป็นมิตรนัก แต่คำพูดก็ไม่ได้แสลงหู เพียงแต่เซียงฉือไม่เข้าใจความหมายที่นางพูด 


 


 


“ท่านหมายความเช่นไร วันนี้เพิ่งจะเปิดการสอบรอบสอง ท่านพูดเช่นนี้ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” 


 


 


น้ำเสียงเซียงฉือไม่ดีเท่าไหร่ สายตานางเย็นเฉียบ เพราะใจนางขณะนี้สับสนจนเกิดความโกรธขึ้นมา 


 


 


“ข้าไม่มีเวลาจะมาพูดไร้สาระกับเจ้า เรื่องป้ายคำสั่งน้อยรู้กันไปทั่วทั้งวัง ในเมื่อเจ้าไม่มีแล้วจะมาที่นี่ให้ได้อายทำไม” 


 


 


น้ำเสียงข้าราชสำนักสตรีคนนั้นเริ่มไม่น่าฟังมากขึ้น นางไม่มีเจตนาสร้างความลำบากให้ แต่เพราะปีนี้มีการใช้รูปแบบการสอบใหม่ การสอบที่ผ่านมาของกองเย็บปักเพราะถูกจำกัดด้วยเวลาทำให้ต้องทดสอบในเวลาสั้นๆ แต่ครั้งนี้เพราะซูเฟยเสนอวิธีให้ใช้ป้ายคำสั่งน้อยนี้ขึ้นมาจึงเป็นโอกาสในการรับคนมีฝีมือของกองเย็บปักมากขึ้น 


 


 


“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรจะทำลายโอกาสของข้า ทำให้ข้าต้องมาชะงักอยู่เพียงเท่านี้ ข้าไม่ยินยอม!” 


 


 


เซียงฉือพูดเอาจริงเอาจัง นางรู้สึกไม่ยินยอมจริงๆ วิชาอื่นๆ ล้วนผ่านมาหมดแล้ว กลับเป็นกองเย็บปักงานที่นางถนัดที่สุดที่มาขวางกั้นนางไว้ที่หน้าประตู 


 


 


เสียงของนางที่หน้าประตูดังเข้าไปถึงด้านในที่ทำการสอบอย่างรวดเร็ว 


 


 


สตรีที่ดูสุภาพเยือกเย็นคนหนึ่งเดินออกมา อายุนางน่าจะประมาณสามสิบห้าปี บนใบหน้าฉาบความโกรธบางๆ เมื่อสตรีที่ด้านหน้าประตูเห็นคนที่มาจึงก้มศีรษะทำความเคารพอย่างนอบน้อม 


 


 


“ใต้เท้าหวัง นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เดี๋ยวข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นหวังชิงซิ่วเดินออกมาจึงเข้าไปรับหน้าอย่างยิ้มแย้ม เซียงฉือเมื่อเห็นคนที่มาก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อมเช่นกัน แล้วยืนตัวตรงมองดูนาง 


 


 


“ใต้เท้าหวัง ข้าชื่ออวิ๋นเซียงฉือ ใต้เท้าท่านนี้ไม่ยอมให้ข้าเข้าไปสอบ บอกแต่เพียงว่าเพราะข้าไม่มีป้ายคำสั่งน้อย แต่ว่ากฎเกณฑ์เรื่องป้ายคำสั่งน้อยนี้ไม่ได้ระบุไว้ในรายการแจ้งล่วงหน้าก่อนสอบ ข้าไม่ทราบมาก่อนจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาลืมแต่อย่างไรเจ้าค่ะ” 


 


 


“วันนี้ก็มาอย่างรีบเร่ง จึงถูกขวางไว้ที่หน้าประตูเพราะเรื่องป้ายคำสั่งน้อยนี้ถึงสองครั้ง ความหวังของข้าคือการได้เข้ากองเย็บปัก กราบเป็นศิษย์ของท่าน ขอใต้เท้าได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้ง ข้าจะสำนึกไม่มีวันลืมเลือนเจ้าค่ะ” 


 


 


ในใจอวิ๋นเซียงฉือคงจะเกลียดเจ้าป้ายคำสั่งน้อยที่ว่านี้เข้ากระดูกเป็นแน่ ถึงจะไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการที่จงใจวางเพื่อนาง แต่ก็ต้องลำบากเพราะมันไม่ใช่น้อย ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรแล้ว เพียงหวังจะได้มีโอกาสครั้งนี้เท่านั้น 


 


 


ขอเพียงให้นางได้มีโอกาส นางมีความมั่นใจว่าตนเองจะสามารถผ่านการสอบได้ 


 


 


เซียงฉือแทบจะถลาไปถึงเบื้องหน้าหวังชิงซิ่ว นางคิดเพียงต้องสู้เพื่อโอกาสสุดท้ายของตัวเอง 


 


 


ถึงแม้วันนั้นชิงอี๋ได้บอกกับนางไว้แล้วถึงเรื่องความหน้าเงินของหวังชิงซิ่ว แต่ตอนนี้บนตัวนางไม่มีสิ่งของอะไร จึงร้อนรนใจอย่างยิ่ง แต่ต้องทดลองสุดชีวิต หวังจะได้โอกาสจากใต้เท้าหวังสักครั้ง 


 


 


การสอบข้าราชสำนักสตรีสำหรับเซียงฉือในครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก นางไม่รู้ว่าต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่นางปฏิเสธซูเฟยในครั้งนั้น ทำให้ซูเฟยเห็นนางเป็นเสมือนเข็มในตา 


 


 


การโต้แย้งของเซียงฉือเป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างที่สุดในสายตาหวังชิงซิ่ว นางดูแลกองเย็บปักมาหลายปี ถึงแม้กองเย็บปักจะเสื่อมโทรมที่สุดในหกกองของวังหลังนี้ แต่นางเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้นมาตลอด 


 


 


ดังนั้นท่าทางชนไม่เลือกของเซียงฉือเช่นนี้จึงทำให้นางเอือมระอาอย่างยิ่ง 


ตอนที่ 238 ดูหมิ่น 


 


 


เซียงฉือปราดเข้าไปเบื้องหน้าหวังชิงซิ่วหวังจะอธิบายกับนางและขอให้เปิดทางให้ 


 


 


แต่หวังชิงซิ่วทำเหมือนนางเป็นตัวเชื้อโรคจึงหลบเดินห่างไปไกล มีแต่ความรังเกียจเซียงฉืออยู่บนใบหน้า 


 


 


“หญิงบ้าคนนี้หลุดมาจากไหน กองเย็บปักของเราไม่รับผู้หญิงที่ไม่มีระเบียบเช่นนี้!” 


 


 


หวังชิงซิ่วมีความสัมพันธ์กับตระกูลเดิมของไทเฮาอยู่บ้าง ดังนั้นถึงกองเย็บปักจะตกต่ำ แต่ตลอดมานางไม่เคยเห็นใครในฝ่ายในนี้อยู่ในสายตาทั้งสิ้น 


 


 


นอกจากจินกุ้ยเฟยแล้ว คนอื่นๆ นางจะมองด้วยความรังเกียจ 


 


 


เซียงฉือถูกนางว่าเสียจนโกรธจัด นี่หรือคือกองเย็บปักที่นางหมายมั่นจะเข้าไป เจ้านายที่หลงอยู่กับเกียรติยศจอมปลอม รู้จักแต่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองเช่นนี้ 


 


 


“ใต้เท้าหวัง ใช่ว่าข้าจะไร้ระเบียบ เพียงแต่ไม่รู้กฎเกณฑ์ของกองเย็บปักเท่านั้น และเพราะท่านพูดเกินไป นี่เป็นกฎเกณฑ์วังหลังตั้งแต่เปิดแคว้นมาหรือไร” 


 


 


เซียงฉือโกรธ เสียงจึงดังขึ้นมากและย้อนถาม แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการไปเหยียบหางของหวังชิงซิ่วเข้า สายตาที่ไม่ใส่ใจแต่แรกตอนนี้กวาดซ้ายแลขวา ชี้แล้วมองเซียงฉือด้วยสายตาดุร้าย 


 


 


“นังคนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีระเบียบวินัย ยังไร้การอบรมสั่งสอนอีกด้วย ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ยังจะล่วงเกินผู้อาวุโส ไม่รู้จักดูตัวเองเสียบ้าง” 


 


 


เซียงฉือเห็นนางเต้นเร่าไปด้วยความโกรธเพราะถูกทำให้อายเช่นนั้นจึงตัดใจลงพลัน นางผิดหวังอย่างสิ้นเชิงกับกองเย็บปักนี้ 


 


 


แม้หากนางเข้าไปได้ก็จะเป็นการสูญเสียเวลาไปเปล่า ทั้งความรู้ความสามารถยังจะถูกลบไปสิ้น แต่ถ้าหากนางคิดจะใช้ชีวิตเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ให้โอกาสนั้นแก่นาง 


 


 


“ทหาร นังคนนี้ล่วงเกินข้า ตัดสิทธิ์การสอบของนางแล้วไล่ออกไปให้พ้นสนามสอบ!” 


 


 


หวังชิงซิ่วคนนั้นชี้นิ้วไปที่เซียงฉือ แล้วสั่งทหารองครักษ์สองคนข้างกาย เซียงฉือได้ยินดังนั้นจึงยิ่งเดือดดาลด้วยรู้สึกไม่เป็นธรรม นางคิดว่าการได้เป็นข้าราชสำนักสตรีจะได้ไม่ต้องทนรับข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมมากมายพวกนั้นอีก แต่ตอนนี้มองดูแล้ว ในวังหลังนี้ยังจะมีที่ใดที่จะหาความสงบสุขได้บ้าง 


 


 


นอกจากคนที่มีอำนาจบาตรใหญ่แล้ว ทุกคนในวังหลังนี้ล้วนไม่ต่างกับมดปลวก สามารถถูกคนเหยียบย่ำได้ตลอดเวลา สิ่งที่ตนเองเทิดทูนให้ความสำคัญล้วนถูกผู้อื่นเหยียบไว้อยู่ใต้ฝ่าเท้าได้เช่นกัน 


 


 


“ใต้เท้าหวัง หวังว่าท่านจะไม่สำนึกเสียใจกับเรื่องในวันนี้!” 


 


 


เซียงฉือยังคงบันดาลโทสะไม่หยุดยั้ง นางไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงต้องรับการกระทำที่ไม่ยุติธรรมมากมายเช่นนี้ นางอาศัยเพียงความสามารถตนเองเพื่อทำเรื่องบางอย่าง เรื่องที่มีความหมายอยู่บ้าง 


 


 


เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องคอยประจบประแจงไร้ศักดิ์ศรีอยู่ทุกวี่วัน ทั้งยังอกสั่นขวัญแขวนว่าจะกลายเป็นหมากเบี้ยที่หมดความสำคัญของเจ้านายและถูกฆ่าทิ้งได้ตลอดเวลา 


 


 


อีกทั้งยังหวังจะให้ตนเองเป็นคนที่มีประโยชน์ สามารถอยู่รอดในวังหลังนี้ได้อย่างเข้มแข็ง สามารถเป็นความหวังให้กับคนข้างกายและมีความหวังให้กับอนาคตของตนเอง 


 


 


“นังเด็กปากกล้าบังอาจลบหลู่ข้า กุ้ยเฟยสั่งความไว้แล้ว ไม่มีใครต้องการรับเจ้าไว้ เจ้ายังบังอาจมาไร้มารยาทต่อหน้าข้าอีก” 


 


 


หวังชิงซิ่วอาศัยความสัมพันธ์ทางไทเฮาจึงวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในวังหลังมาโดยตลอด หัวหน้างานของแต่ละกองงานล้วนต้องไต่เต้าทีละขั้นๆ แต่เพราะนางอาศัยความสัมพันธ์จึงได้มีฐานะในวันนี้ และลำพองไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตาตลอดมา 


 


 


กระทั่งตอนนี้ยังบุ่มบ่าม หัวหน้ากองอื่นถึงแม้จะได้รับการแจ้งของกุ้ยเฟย แต่พวกนางรับรู้อยู่ในใจ ไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับหวังชิงซิ่วที่ทำให้ถูกผู้อื่นจับผิดคำพูดได้ 


 


 


เป็นเพราะตอนนี้นางอับอายจนกลายเป็นโทสะจึงไม่ยอมละเว้นเซียงฉือ 


 


 


เซียงฉือได้รับความอยุติธรรม ความเพียรพยายามของตนกำลังถูกคำพูดเพียงคำเดียวของผู้หญิงคนนี้ทำให้ไร้ค่า ในใจนางจึงราวกับมีกองไฟกำลังเผาไหม้อยู่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 239 สวี่อี้เข้าช่วย 


 


 


สายตาของทั้งสองคนปะทะกันอย่างแรงกลางอากาศ เซียงฉือถูกทหารองครักษ์จับแขนไว้ แล้วหวังชิงซิ่วก็ยกมือขึ้นตบเซียงฉือฉาดหนึ่ง 


 


 


นางตบลงบนซีกหน้าข้างซ้ายของเซียงฉืออย่างเหมาะเหม็ง ผิวพรรณขาวผ่องนั้นจึงปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้าขึ้นอย่างเด่นชัดทันที 


 


 


เลือดซึมออกมาจากมุมปากเซียงฉือ สายตาที่จ้องมองนางนั้นยิ่งดุร้ายขึ้น 


 


 


การวิวาทกันในตำหนักเหวินอิงที่ไม่ใหญ่นักเช่นนี้ทำให้มีคนมามุงดูไม่น้อย ในหมู่คนพากันชี้มือชี้ไม้กระซิบกระซาบแก่กัน คำพูดของผู้คนทำให้หวังชิงซิ่วรู้สึกตัวขึ้นบ้าง 


 


 


นางที่ไม่ยอมจะเลิกราพอเห็นกลุ่มคนข้างๆ ที่แห่กันเข้ามาแล้วจึงรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม จึงส่งสายตาให้ทหารองครักษ์นำเซียงฉือออกไป 


 


 


ขณะนั้นสวี่อี้เดินออกมาจากกลุ่มคน 


 


 


“รอเดี๋ยว ใต้เท้าหวังท่านกำลังทำอะไร ผู้สมัครสอบคนนี้ทำอะไรผิดถึงกับต้องให้ทหารองครักษ์นำตัวนางไป” 


 


 


สวี่อี้เป็นคนน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อเอ่ยขึ้นในที่นี่เวลานี้จึงยิ่งแฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจละเมิดได้ 


 


 


หวังชิงซิ่วเดินไปเบื้องหน้าสวี่อี้ ขวางการเดินเข้าไปของนาง 


 


 


คิ้วที่วาดไว้โก่งงามของนางเลิกขึ้น พูดเสียงเย็นกับสวี่อี้ว่า 


 


 


“นางพูดจาสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และยังทำผิดระเบียบในการสอบ ข้าจะขับไล่นางออกจากสนามสอบ เหตุใดเรื่องนี้ใต้เท้าสวี่ต้องเข้ามาวุ่นวายด้วยเล่า” 


 


 


หวังชิงซิ่วคนนั้นถึงจะชอบวางอำนาจบาตรใหญ่แต่ก็ไม่ได้โง่เขลา นางรู้ฐานะของสวี่อี้ในกองคดีดีจึงไม่ต้องการจะไปผิดใจด้วย แต่นางจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องเสียหน้า 


 


 


สวี่อี้พ่นลมออกจมูก ยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างไม่โกรธว่า 


 


 


“ตามกฎพิธีการของวังหลังข้อที่สามสิบเจ็ด ไม่ว่าสตรีในวังจะทำผิดด้วยเรื่องใด จะต้องส่งให้กองคดีไต่สวนกำหนดโทษ” 


 


 


“เซียงฉือเป็นนางกำนัลในวัง และเป็นผู้ที่ผ่านการสอบรอบแรกมาแล้ว อีกทั้งเหตุเกิดขึ้นในวัง แล้วเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับกองคดีของข้าได้อย่างไร หรือว่าใต้เท้าหวังลืมกฎระเบียบของบรรพชนไปแล้ว” 


 


 


ท่าทีของสวี่อี้เย็นชา เพียงแค่คำพูดเรื่อยๆ ไม่กี่ประโยค ก็ยันหวังชิงซิ่วไว้ได้แล้ว 


 


 


หวังชิงซิ่วมองดูสาวใช้ของกุ้ยเฟยและซูเฟยที่ส่งมาด้านหลัง อีกทั้งยังมีพวกซูกงกงก็กำลังมองดูอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ว่าไม่มีใครเลยที่จะออกมาช่วยนางพูดอะไรบ้าง 


 


 


หวังชิงซิ่วรู้ดีว่าตนไม่มีวาทศิลป์เท่าสวี่อี้ และนางก็ไม่โง่ขนาดเอาตัวเองไปให้ถูกเย้ยหยันอีก 


 


 


เรื่องนี้ทำไปตามคำสั่งของซูเฟย นางเป็นเพียงผู้รับปฏิบัติ ถึงสวี่อี้จะโต้แย้ง แต่เมื่อไปถึงซูเฟยแล้ว นางยังจะทำอะไรได้ 


 


 


“ก็ได้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้ใต้เท้าสวี่อี้ ข้าเข้าวังมานานพอควร ทุกคนในวังนี้ต่างพูดกันว่าใต้เท้าสวี่อี้มีพรสวรรค์สูงส่งในการสืบสวนคดี เป็นเหมือนพระกรซ้ายขวาของฝ่าบาท ข้าก็ควรต้องศึกษาตามให้มาก” 


 


 


“งั้นก็เชิญใต้เท้าสวี่เถิด” 


 


 


เมื่อชิงซิ่วสะบัดมือ ทหารองครักษ์ด้านหลังจึงปล่อยเซียงฉือ 


 


 


“เป็นอะไรไป” 


 


 


พอทหารองครักษ์ปล่อยมือ ร่างของเซียงฉือก็อ่อนยวบทาบไปบนร่างของสวี่อี้ สวี่อี้จึงถามเบาๆ ขึ้นที่ข้างหูนาง 


 


 


แต่เซียงฉือไม่ตอบ พยายามออกแรงสะบัดศีรษะ 


 


 


นางรู้สึกมึนศีรษะตั้งแต่ตื่นเช้าวันนี้ ที่ผ่านมานางพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองต้องสัปหงกในสนามสอบ แต่เมื่อครู่ถูกทหารองครักษ์ฉุดกระชากลากถูอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ในหัวจึงคล้ายดั่งแป้งเปียกกองหนึ่ง 


 


 


“ข้าเวียนหัวเหลือเกิน สวี่อี้ ข้าเวียนหัวมาก” 


 


 


เซียงฉือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่ขณะที่อิงสวี่อี้อยู่นั้น เสมือนได้พบกับที่พึ่งพิงใจ ตอนที่ถูกทหารองครักษ์จับตัวเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าถูกเขาใช้อะไรทิ่มเข้าทีหนึ่งตอนนี้จึงได้วิงเวียนศีรษะ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง 


ตอนที่ 240 หมดสติ


 


 


“เซียงฉือ?”


 


 


“เซียงฉือเจ้าตื่นสิ”


 


 


เมื่อครู่ตอนสวี่อี้รับนางไว้ ร่างของนางก็อ่อนยวบลงมา สวี่อี้ประคองนางไว้อย่างลนลาน เรียกชื่อนาง แต่เซียงฉือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สีหน้าซีดขาวสลบไสลไป


 


 


ความโกลาหลเกิดขึ้นในฝูงชนหลังจากนั้น ข้าราชสำนักสตรีจากกองโอสถหลายคนรีบเข้าไปตรวจชีพจรและการหายใจของนาง


 


 


แล้วพูดกับสวี่อี้ว่า


 


 


“นางเพียงสลบไป แต่โดยรวมแล้วยังควรตรวจให้ละเอียดว่าเป็นอะไร”


 


 


สวี่อี้ได้ยินดังนั้นก็ถอนใจ นางก้มลงมองเซียงฉือแล้วพูดกับข้าราชสำนักสตรีกองโอสถว่า


 


 


“ต้องรบกวนใต้เท้าฉีแล้ว เรื่องสำคัญคือต้องช่วยคนก่อน”


 


 


สวี่อี้เห็นหวังชิงซิ่วหัวเราะอย่างไม่สำรวมอยู่ด้านข้างจึงส่ายศีรษะด้วยความรังเกียจ แล้วปลีกตัวตามไปด้วย


 


 


เซียงฉือฟื้นขึ้นหลังผ่านไปสามชั่วยาม


 


 


แต่ตอนนี้การสอบข้าราชสำนักสตรีรอบสองได้สิ้นสุดลงแล้ว เซียงฉือสอบไม่ผ่านแผนกเย็บปักจึงไร้วาสนาเป็นข้าราชสำนักสตรี


 


 


นางฟื้นขึ้นมาตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว หลิ่วจุ้ยนั่งสีหน้าเป็นทุกข์อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นนางตื่นขึ้นจึงโน้มเข้าไปหา


 


 


“น้องสาวคนดี เจ้าฟื้นแล้ว ข้าตกใจแทบแย่”


 


 


หลิ่วจุ้ยช่วยพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วส่งเสียงดังสั่งออกไปข้างนอก ก็เห็นหงหงเดินหน้างอถือชามยาเข้ามา


 


 


“เอาละๆ อย่าเพิ่งพูดอะไร รีบดื่มยาก่อน ร่างกายสำคัญที่สุด”


 


 


หลิ่วจุ้ยสกัดคำพูดของเซียงฉือทันทีที่เห็นนางขยับริมฝีปาก ไม่ทันให้นางได้อ้าปาก


 


 


“เจ้านี่นะ ไม้ซีกจะไปงัดอะไรกับไม้ซุง ไม่ต้องมาทำเก่ง ดื่มยาซะ”


 


 


หลิ่วจุ้ยมองดูเซียงฉือด้วยความเสียดายเช่นกัน จะว่าไปใจนางก็ไม่รู้สึกยินยอมด้วย เป็นเพราะอย่างน้อยนางก็ได้รู้อะไรมาบ้าง เซียงฉือหลุบตาลง ครุ่นคิดถึงคำพูดของหลิ่วจุ้ยอยู่ในใจ


 


 


เห็นทีคงมีคนจงใจกระทำ


 


 


“ท่านพี่ หรือว่าใต้เท้าสวี่อี้ได้พูดอะไร”


 


 


เซียงฉือจำได้ว่าตอนนางหมดสติสวี่อี้อยู่ข้างกายนาง ที่หลิ่วจุ้ยพูดเช่นนี้ จะต้องเป็นเพราะสวี่อี้บอกอะไรกับนางเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางจะมองออกได้อย่างไร


 


 


“เฮ้อ สอบไม่ได้ก็สอบไม่ได้สิ ไว้ค่อยสอบใหม่ก็แล้วกัน ใต้เท้าสวี่บอกแล้วว่าครั้งนี้ซูเฟยจงใจขัดขวางท่าน ส่วนจินกุ้ยเฟยก็คิดจะรั้งท่านไว้ข้างกาย ปล่อยให้เซียงซือไปอยู่ข้างกายฝ่าบาท เป็นการรับประกันสองชั้น ท่านน่ะไม่มีวาสนาจะได้เป็นขุนนางกับเขา”


 


 


“ยอมรับเสียเถิดนะพี่เซียงฉือ”


 


 


หลิ่วจุ้ยไม่พูดจา เอาแต่นั่งทอดถอนใจอยุ่ข้างๆ แต่เป็นหงหงที่ปากไวใจตรง คงเป็นคำพูดของสวี่อี้ ส่วนนางคิดอะไรได้ก็พูดออกมาแบบนั้น เซียงฉือพอฟังแล้วร่างกายที่เขม็งเกลียวอยู่ก็กลับคลายลง


 


 


นางกระแทกตัวลงพิงหมอนด้านหลังแรงๆ มองดูชามยาสีดำปี๋แล้วหัวเราะเบาๆ รับข้ามมาจากมือของหลิ่วจุ้ย น้ำตาร้อนผ่าวหยดหนึ่งร่วงต๋อมลงไปในชามยา


 


 


เซียงฉือไม่พูดอะไร ยกชามยาขึ้นแล้วกรอกยาน้ำสีดำลงไป


 


 


“อืม ร่างกายสำคัญที่สุดจริงๆ ด้วย มิเช่นนั้นแล้วคงไม่หมดสติไปแบบนี้ ทำให้ท่านพี่ต้องเป็นห่วง”


 


 


เซียงฉือดื่มยาลงไป รสขมเฝื่อนของยาผสมกับความขมขื่นใจ ถูกนางกลืนลงไปอย่างกล้ำกลืนฝืนใจ


 


 


ในขณะที่ความหวังของนางเพิ่งจะจุดติดขึ้น แต่แล้วน้ำเย็นจัดอ่างหนึ่งก็ได้ดับความหวังนางให้มอดลงอย่างโหดร้าย


 


 


ซูเฟย กุ้ยเฟย หวังชิงซิ่ว ระยะนี้นางมัวจมอยู่ในความยินดีปรีดา จมอยู่กับสิ่งที่ตนคิดว่าใช่ กระทั่งลืมเสียสนิทว่าตนนั้นอยู่ในวังลึกล้ำที่มีแต่ความกลับกลอกปกคลุมอยู่แน่นหนา แต่ถึงกับเพ้อฝันจะใช้กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยลำพัง


 


 


ช่างน่าหัวร่อเสียจริงๆ


 


 


 


 


ตอนที่ 241 พลิกสถานการณ์


 


 


เซียงฉือหลังดื่มยาแล้วก็ลงไปซุกตัวใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ใจของนางไม่ยินยอม


 


 


“ข้าราชสำนักสตรีในกองโอสถคนหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทของใต้เท้าสวี่อี้มานาน นางบอกว่าเจ้าถูกยาสลบจากดอกมั่นถัวหลัว[1] ถึงได้หมดสติเช่นนี้ เรื่องนี้มีคนจากเบื้องบนสั่งให้เก็บเป็นความลับ เพียงให้เจ้ารับรู้ไว้ในใจก็พอ”


 


 


หลิ่วจุ้ยเห็นเซียงฉือไร้ชีวิตชีวาจึงใคร่ครวญหลายหนก่อนจะบอกเรื่องนี้แก่นาง


 


 


เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้น พาหงหงออกไปจากห้องของเซียงฉือ กำชับนางพักผ่อนให้เต็มที่


 


 


พลบค่ำนี้เซียงฉือกระสับกระส่ายอยู่ในผ้าห่ม กองไฟร้อนแรงภายในใจยังคงโหมลุกโชน


 


 


ความอัดอั้นตันใจเนื่องเพราะสารพัดวิธีการที่น่ารังเกียจของหวังชิงซิ่วในวันนี้ ทำให้นางเดือดดาลอย่างยิ่ง


 


 


“ข้าอวิ๋นเซียงฉือใช่จะยอมให้รังแกได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่เด็ดขาด!”


 


 


เซียงฉือลุกขึ้นจากใต้ผ้าห่ม จัดแจงเครื่องแต่งกายและตัวเองให้ดูดี นางจะต้องไปหาคนคนหนึ่ง นางเชื่อว่าตนเองยังมีโอกาส


 


 


ในขณะที่ยังคงเลือกได้จะต้องฉกฉวยโอกาสไว้ ในขณะที่ยังฟื้นตัวได้ ย่อมต้องไม่เลือกวิธีการ


 


 


เซียงฉือรู้ว่าแม้ตอนนี้สวี่อี้คิดจะช่วยเหลือนางแต่ก็ไม่มีกำลังเพียงพอ ถึงนางจะมีความสามารถสูง แต่ก็ไม่ใช่หัวหน้าในกอง นางจึงมีใจแต่ก็ไร้กำลัง


 


 


แต่เซียงฉือคิดถึงคนคนหนึ่ง คนคนนั้นต้องช่วยนางได้แน่


 


 


และนางก็กำลังต้องการความช่วยเหลือจากนาง มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้


 


 


นัยน์ตาเซียงฉือมีทั้งความอัดอั้น ความแข็งกร้าว และที่มากที่สุดคือความหวัง


 


 


นางเดินอย่างรวดเร็วจนมาถึงที่นี่ ยืนอยู่ข้างภูเขาจำลองมองดูประตูสูงใหญ่เบื้องหน้า และตัดสินใจ


 


 


“กองราชเลขา!”


 


 


อักษรดิ้นทองพื้นแดงตัวใหญ่แขวนไว้เบื้องบนของซุ้มประตู


 


 


เซียงฉือยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงเดินเข้าไป


 


 


“ใคร? กองราชเลขาเป็นสถานที่สำคัญ ไม่มีป้ายผ่านห้ามเข้า”


 


 


ทหารองครักษ์ขัดขวางเซียงฉือตามหน้าที่เต็มความรับผิดชอบ เซียงฉือไม่โกรธ นางยิ้มน้อยๆ พูดกับพวกเขาว่า


 


 


“ท่านพี่ทหารทั้งสอง ข้าชื่ออวิ๋นเซียงฉือเป็นนางกำนัลของตำหนักอวี้หยวน มีความประสงค์จะขอพบใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อของกองราชเลขานี้ ขอรบกวนช่วยแจ้งท่านให้ด้วย!”


 


 


เซียงฉือพูดและยิ้มให้ทหารองครักษ์ทั้งสองอย่างนุ่มนวล กองราชเลขาเป็นหน่วยงานรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ดังนั้นบุคลากรของที่นี่ล้วนคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน มีการตรวจสอบการเข้าออกอย่างเข้มงวด


 


 


จุดประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีผู้ปองร้ายฮ่องเต้ เซียงฉือรู้ว่านางไม่อาจได้พบเหอจิ่นเซ่ออย่างง่ายดาย


 


 


แต่นางไม่อาจละเลยได้ เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนาง


 


 


เซียงฉือยังจำจดหมายที่เหอเจี่ยนสุยเขียนถึงนางได้ ในจดหมายเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงอนาคต กับความจริงใจที่ร้อนแรงดุจเดียวกับที่นางใฝ่หา


 


 


นางจะละทิ้งเช่นนี้ไม่ได้ ใจที่หยิ่งทะนงไม่ยอมให้นางละทิ้งไปง่ายดายเช่นนี้


 


 


ไม่ว่าจะมีคนมากน้อยเพียงใดคอยขัดขวาง ขอเพียงนางเชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้อง ก็ควรจะยืนหยัดต่อไป


 


 


ทหารองครักษ์ทั้งสองได้ยินคำพูดของเซียงฉือ และเพราะนางเป็นนางกำนัลอาวุโสของตำหนักอวี้หยวนซึ่งย่อมไม่อาจละเลยได้จึงส่งคนหนึ่งเข้าไปรายงาน แล้วก็ได้ข่าวออกมาอย่างรวดเร็ว


 


 


“ใต้เท้าเหอมีงานยุ่งมาก วันนี้จะไม่พบคนนอก ให้เจ้ามาใหม่วันหลัง”


 


 


ทหารองครักษ์คนนั้นตอบเซียงฉืออย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร เซียงฉือมองดูสิ่งปลูกสร้างสองชั้นข้างใน มองดูเงาร่างงดงามข้างหลังร่มไม้ นางเชื่อว่าเวลานี้เหอจิ่นเซ่อจะต้องมองดูนางอยู่จากที่ใดที่หนึ่ง


 


 


และคงยังเสียดายในตัวนางอยู่ แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ของนางดี ถ้าหากรับนางไว้ สำหรับนางแล้วก็จะเป็นการล่วงเกินต่อทั้งกุ้ยเฟยและซูเฟยในคราวเดียวกัน


 


 


ถึงนางจะบอกว่าตนเองเปิดเผยและโปร่งใส แต่หากเซียงฉือไม่คู่ควร เช่นนั้นแล้วนางย่อมไม่มีทางที่จะทำเรื่องโง่ๆ เพื่อนางอย่างเด็ดขาด


 


 


 


 


[1] ดอกมั่นถัวหลัว  (曼陀罗花)  หรือ ดอกลำโพง



ตอนที่ 242 ขอความช่วยเหลือ


 


 


เซียงฉือยังคงยืนอยู่กับที่ แหงนหน้ามองดูแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับหลังเขาอย่างช้าๆ นางรู้ว่าเมื่อมาถึงที่นี่เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกเหอจิ่นเซ่อปิดประตูใส่หน้า แต่นางก็ไม่ได้หวั่นเกรง


 


 


ตอนนี้นางไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกนางต้องการทำลายความหวังทั้งมวลของนางให้ได้ละก็ นางก็คงจะไม่ทุ่มสุดตัวเช่นนี้


 


 


ความจริงนางเป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น เซียงฉือนำจดหมายที่เตรียมไว้แล้วออกมาจากนั้นยัดใส่ในมือขององครักษ์คนนั้น


 


 


“ของสิ่งนี้สำคัญมาก ขอให้ส่งกับใต้เท้าเหอให้ได้ ส่วนเงินพวกนี้เป็นค่าเหนื่อยของพี่ทหาร รบกวนช่วยวิ่งให้อีกสักรอบเถิด”


 


 


เซียงฉือส่งจดหมายให้ทหารองครักษ์และเห็นเขาเก็บถุงเงินอย่างยิ้มแย้มแล้วเข้าไปข้างใน นางแหงนหน้ามองดูอาคารนั้น


 


 


เหอจิ่นเซ่อในชุดราชสำนักสีฟ้าอมเขียวกระโปรงขาว กำลังยืนมองเซียงฉืออยู่บนอาคาร


 


 


ข้างกายนางคือสวี่อี้ สวี่อี้มาที่นี่เพื่อจะกล่อมเหอจิ่นเซ่อเช่นกัน ผู้คนในวังต่างพูดกันว่าเหอจิ่นเซ่อมีนิสัยประหลาด ต่างบอกว่านางเป็นหม้ายก่อนแต่ง นิสัยรุนแรงและยากจะคบหา


 


 


แต่สวี่อี้กับนางพอจะคุ้นเคยกันอยู่ ทั้งคู่มีวัยต่างกันอยู่บ้างแต่มีความชอบแบบเดียวกัน ยามปกติจึงเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาแก่กันได้


 


 


“ใต้เท้าเหอ หวังว่าท่านจะพิจารณาคำพูดเมื่อครู่ของข้าอย่างจริงจัง ให้โอกาสนางสักครั้งเถิด ขอรบกวนท่านด้วย”


 


 


สวี่อี้ได้แต่เพียงอาศัยมิตรภาพในการพูดกับนาง เพราะนางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจะทำได้


 


 


เหอจิ่นเซ่อไม่ปฏิเสธว่านางก็ชื่นชอบความฉลาดปราดเปรื่องของเซียงฉือ แต่นางยังไม่ตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้ สวี่อี้เมื่อพูดเรื่องที่นางจะพูดจบและรู้ว่าเหอจิ่นเซ่อต้องคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบจึงไม่รบกวนนางแล้วเดินออกไป


 


 


เมื่อออกมาถึงหน้าประตูก็พบอวิ๋นเซียงฉือจึงเดินเข้าไปจับมือนาง


 


 


“ข้าทำอะไรไม่ได้มาก ขอโทษด้วย ข้าได้พยายามเต็มที่แล้ว”


 


 


สวี่อี้เห็นท่าทางของเซียงฉือแล้วเจ็บแปลบในใจจึงไม่อาจทนดูต่อไป อีกทั้งรู้ว่าไม่อาจสั่นคลอนการตัดสินใจของนางได้ เมื่อพูดปลอบนางหลายคำแล้วจึงออกจากกองราชเลขาไป


 


 


ในเวลานี้เซียงฉือยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวต้นท้อต้นหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่านเห็นเส้นผมอ่อนนุ่มของนางพลิ้วเบาๆ ไปตามสายลม สายตานางดุจดั่งลำแสงนั้น ทำให้ผู้พบเห็นพากันชื่นชอบ


 


 


สวี่อี้จากไปไม่นาน เหอจิ่นเซ่อก็เรียกนางเข้าไป


 


 


เซียงฉือยิ้ม นางรู้ว่าอย่างน้อยของขวัญของนางคงส่งผลขึ้นบ้าง


 


 


ถึงจะยังไม่รู้ว่าหลังจากเข้าไปแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้นางไม่มีก้าวถอยที่ดีกว่านี้แล้ว


 


 


กองราชเลขานอกจากจะมีประตูเล็กสองบานที่รอบนอกแล้ว ยังเป็นลานสามขั้นประตูเดียว ตั้งอยู่ในกึ่งกลางวังลึกล้ำแห่งนี้ โอบอุ้มตำหนักเจิ้งหยางดุจเดียวกับมารดาอุ้มทารก


 


 


เป็นเช่นเดียวกับบทบาทเป้าหมายของนาง


 


 


เซียงฉือเดินเข้าไปถึงหน้าประตูฮุ่ยอิงโหลวของกองราชเลขาแล้วเดินขึ้นบันไดไป แว่วเสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้กระดานต้นไหวใต้ฝ่าเท้า เซียงฉือเดินเข้าไปถึงเบื้องหน้าเหอจิ่นเซ่อในที่สุด


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือคารวะใต้เท้าเหอ ขอบคุณใต้เท้าที่ให้โอกาสข้าเจ้าค่ะ”


 


 


อวิ๋นเซียงฉือกราบเหอจิ่นเซ่อสามครั้ง เดิมนางสูญสิ้นแรงใจไปแล้ว แต่พอได้ยินนางตอบคำจึงได้มีกำลังวังชาขึ้นมาใหม่


 


 


“ที่ข้าให้โอกาสเจ้า เพราะหวังว่าจะได้ฟังเรื่องของสิ่งนี้จากเจ้า”


 


 


เหอจิ่นเซ่อเปิดกระเป๋าสีชมพูใบเล็กในมือแล้วนำของข้างในออกมา


 


 


“ไม่ทราบใต้เท้าคิดว่ามันเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”


 


 


เซียงฉือดูนางหยิบออกมาด้วยท่าทีสงบแล้วถามขึ้น ทว่าในใจไม่ได้สงบนิ่งนัก


 


 


เหอจิ่นเซ่อมองดูแล้วยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นว่า


 


 


“เกศาผูกรัก!”


 


 


เซียงฉือยิ้มแล้วรับเส้นผมสองปอยที่ถูกมัดรวมกันด้วยด้ายแดงมาจากมือของเหอจิ่นเซ่อ


 


 


เกศาผูกรักร่วมสามีภรรยา เหตุใดเซียงฉือจึงได้นำของสิ่งนี้มาให้เหอจิ่นเซ่อดูได้


 


 


 


 


ตอนที่ 243 เกศาผูกรัก


 


 


เซียงฉือนำของสิ่งนี้ออกมาย่อมต้องมีจุดประสงค์ในการใช้


 


 


เดิมทีเซียงฉือยังลำบากใจอยู่ว่าจะพูดกับเหอจิ่นเซ่ออย่างไร เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนางแล้ว พลันนางคิดถึงเรื่องที่เหอเจี่ยนสุยเคยบอกกับนางได้


 


 


เหอเจี่ยนสุยและเหอจิ่นเซ่อเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ท่านปู่ของทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน เพียงแต่ครอบครัวเหอเจี่ยนสุยลงหลักปักฐานที่อันหลัน ดูแลช่วยเหลือกันและกันกับบ้านสกุลอวิ๋น ซึ่งสนิทสนมราวครอบครัวเดียวกัน ส่วนเหอจิ่นเซ่ออยู่ที่อวิ๋นหยางในเมืองหลวงตลอดมา ดังนั้นเซียงฉือจึงไม่เคยรู้จักเหอจิ่นเซ่อมาก่อน


 


 


แต่จู่ๆ คิดถึงเรื่องที่เหอเจี่ยนสุยบอกกับนางได้ จึงกล้าที่จะมาอย่างผลีผลามเช่นนี้


 


 


เซียงฉือเมื่อรับเกศาผูกรักจากมือนางแล้วจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า


 


 


“สมานใจแล้วผูกรักด้วยเกศา การรบราสิ้นสุดได้วันไหน สิ้นขุนศึกเหลือเพียงร่างห่อไว้ คนอยู่ไซร้มีใครคอยเวทนา”


 


 


“ตอนที่เจี่ยนสุยบอกกับข้าเช่นนี้ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงหลั่งน้ำตา จนกระทั่งวันหนึ่งที่ข้าจำต้องเข้าวัง ส่วนเขาจำต้องมองดูข้าจากไป ข้าจึงได้รู้ว่าคนจากไปนั้นไม่แน่ว่าจะเจ็บปวด แต่คนที่อยู่ต่อนั้นจะต้องปวดร้าวอย่างแน่นอน”


 


 


“ใต้เท้าเหอ พี่เจี่ยนสุยกำลังคอยข้าอยู่”


 


 


เซียงฉือมาถึงนี่อย่างไม่มีแต้มต่อมากนัก นางเพียงเสี่ยงพนันกับความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเหอจิ่นเซ่อเท่านั้น ตอนนี้นางจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนเองเป็นคนใจร้าย เพื่อตัวเองแล้วถึงกับเปิดบาดแผลของเหอจิ่นเซ่อ


 


 


“เจ้าฉลาดมากแล้วก็น่ารังเกียจด้วย เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะช่วยเจ้าเช่นนั้นหรือ ดีไม่ดีจะยิ่งเกลียดเจ้าเสียอีก”


 


 


เหอจิ่นเซ่อยืนอยู่ริมหน้าต่าง รับรู้ถึงลมเย็นที่พัดเข้ามา หลอมใจที่เย็นเฉียบของนางเป็นเส้นบาง แทรกซึมไปบนร่างของเซียงฉือ


 


 


น้ำเสียงเหอจิ่นเซ่อราบเรียบยิ่งนัก แต่ไม่อาจพูดได้ว่าจิตใจของนางไม่ได้กระเพื่อมไปด้วย ตรงกันข้าม ในใจนางตอนนี้มีรอยแผลเต็มไปหมด


 


 


“ข้ารู้ดีว่าตัวเองไร้ยางอาย แต่เพราะข้าต้องการต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง เพราะไม่อยากให้มีวันที่ต้องย้อนสำนึกเสียใจถึงความอ่อนแอของตัวเองในครั้งนั้น”


 


 


“เมื่อไม่มีวิธีและไร้หนทางจึงต้องไปเสี่ยงดวง อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสได้ไขว่คว้าอีกครั้ง!”


 


 


เซียงฉือมองดูแผ่นหลังเหอจิ่นเซ่อ นางรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลของการพยายามยืนหยัด น้อยนักที่นางจะพูดมากเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่อยากทำร้ายคนที่นางนับถือเช่นนี้


 


 


แต่เพราะนางต้องการบรรลุเป้าหมายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการเรียกร้องความสนใจจากนาง และนี่ก็เป็นวิธีเดียวที่นางคิดได้


 


 


เหอจิ่นเซ่อหันหลังให้อวิ๋นเซียงฉือจึงไม่รู้ว่านางมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่แผ่นหลังของนางทำให้เซียงฉือต้องตำหนิตนเอง


 


 


“เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดนักหรือไร ทั้งยังคิดว่าขอเพียงตัวเองฉลาดก็สามารถอยู่ในวังได้ราวกับปลาได้น้ำ ทุกคนจะยอมหลีกทางให้กับความฉลาดเฉลียวของเจ้าโดยไม่ต้องสนใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะเสียใจหรือกล้ำกลืนเพียงใด”


 


 


น้ำเสียงเหอจิ่นเซ่อไม่มีแววตำหนิแม้แต่น้อย แต่เมื่อเซียงฉือได้ยิน ทำให้นางยิ่งตำหนิตนเองยิ่งขึ้น


 


 


นางกัดฟัน ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ


 


 


“ใต้เท้าเหอ ข้ารู้ว่าตัวเองล่วงเกินใต้เท้า แต่เพราะนี่เป็นหนทางอันอับจนของข้า ข้ารู้ว่าในวังมีคนเฉลียวฉลาดมากมาย ส่วนข้าเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ไม่รู้จักปรับตัวเท่านั้น”


 


 


“หากมิใช่เช่นนี้ข้าคงจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพดังเช่นวันนี้เป็นแน่ ใต้เท้าเหอ ข้าขอร้องท่าน ขอร้องท่านให้โอกาสกับข้าสักครั้ง เพราะนี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของข้า”


 


 


“ขอร้องท่านได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้งด้วยเถิด เพื่อเป็นการชดเชยเรื่องที่ท่านไม่สามารถทำได้ในครั้งก่อน ให้โอกาสกับข้า”


 


 


เซียงฉือพูดด้วยน้ำใสใจจริง นิ้วมือแทบจะกำทะลุฝ่ามือ นางรู้ว่าการกระทำของตนเลือดเย็นอย่างยิ่ง คำพูดของนางทำให้เหอจิ่นเซ่อราวถูกทิ่มทะลวงใจ


 


 


เหอจิ่นเซ่อยังไม่ได้หันกลับมามองเซียงฉือเลยตั้งแต่ต้น


 


 


คงให้นางเห็นเพียงภาพแผ่นหลังไร้คลื่นกระเพื่อมที่อวิ๋นเซียงฉือเห็นแล้วหนาวจับใจ




ตอนที่ 244 วาจาหรงจิง


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำพูดของเซียงฉือแล้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ หลายวันก่อนฝ่าบาทบ่นอยู่ตลอดว่ากองราชเลขานั้นดีแต่ชื่อ


 


 


สถานที่ใหญ่โตเช่นนี้ หญิงสาวทุกคนที่จะทำให้เขาพึงพอใจต้องตามข้อเรียกร้องที่สูงยิ่งของหรงจิง สมัยนั้นเพราะเหอจิ่นเซ่อมีลายมืองดงาม ฝีมือการวาดภาพสูงล้ำทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมองเห็นความสามารถ แต่ตอนนี้หรงจิงแตกต่างไปจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน


 


 


เขาไม่ชอบการวาดภาพแต่ชื่นชอบการเขียนหนังสือ และมักจะคิดถึงคำพูดของราชครูขึ้นเสมอว่าลายมือดุจดังเจ้าของ ดังนั้นจึงตั้งความต้องการกับข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาเสียสูงลิบ


 


 


มีการสับเปลี่ยนข้าราชสำนักสตรีไปทั่ว คนที่ตนเห็นว่างดงามมีสง่าล้วนถูกส่งเข้าไปรับใช้ในตำหนักเจิ้งหยาง แต่ไม่ทันถึงเดือน หรงจิงก็จะขอเปลี่ยนคนใหม่


 


 


เหอจิ่นเซ่อถึงกับปวดศีรษะ ลายมือของผู้หญิงพวกนั้นนับว่างามวิจิตรแล้ว ตัวอักษรของผู้หญิงโดยมากจะเป็นตัวบรรจงแบบจานฮวา มีรูปลักษณ์งดงามสะอาดตาบ่งบอกถึงความคิดอ่านของสาวงาม


 


 


หลายวันก่อนฝ่าบาทยังทรงชื่นชมอยู่ แต่ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก็มักจะไม่พอใจ


 


 


คนข้างนอกต่างบอกว่าเหอจิ่นเซ่อเปลี่ยนวิธีการเพิ่มสาวงามแก่ฝ่าบาท  แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ เพราะฝ่าบาทพูดกับนางทุกวันว่าลายมือของหญิงสาวพวกนั้นยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าตา


 


 


นางไม่สามารถป่าวประกาศออกไป ได้แต่ทนแล้วสืบเสาะหาในทางลับ


 


 


ตอนนี้เพิ่งจะได้ผิงผิงมาไม่ทันไร เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว


 


 


‘ฝ่าบาท หม่อมฉันกำลังเสาะหาคนให้ฝ่าบาทอยู่ ตอนนี้จินกุ้ยเฟยได้เสนอนางกำนัลคนหนึ่งชื่อเซียงซือ ลายมือตัวบรรจงของนางนับว่าใช้ได้ รอให้อบรมอีกสักระยะแล้วจะส่งมาถวายเพคะ’


 


 


น้ำเสียงของหรงจิงทำให้เหอจิ่นเซ่อได้ยินแล้วต้องพูดปลอบใจ แต่ไม่คิดว่ากลับทำให้หรงจิงสนใจขึ้นมา สายตาที่เดิมก้มอ่านรายงานอยู่พลันช้อนขึ้น


 


 


‘อ๋อ? เซียงซือ? อยู่ในตำหนักกุ้ยเฟย เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินนางพูดถึงมาก่อน’


 


 


หรงจิงเลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด มองดูเหอจิ่นเซ่อแล้วคิดมากไปกว่านั้น เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ พูดว่า


 


 


‘ใต้เท้าเหอมาดูอะไรนี่แน่ะ ใช่ลายมือของเซียงซือหรือไม่’


 


 


หรงจิงกางผ้าเช็ดหน้าในมือออกส่งให้เหอจิ่นเซ่อ ดวงตาส่งประกายวิบวับ เหอจิ่นเซ่อเข้าใจจึงยิ่งให้ความสำคัญกับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ถือไว้ในมือ มองดูอย่างจริงจัง


 


 


‘ในเมื่อฝ่าบาทมีสตรีทรงภูมิเช่นนี้อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังคงกดดันหม่อมฉันให้ไปหาสาวงามให้ฝ่าบาทเสียทั่วเล่าเพคะ’


 


 


เหอจิ่นเซ่อคืนผ้าเช็ดหน้าถึงมือหรงจิง รอยยิ้มนางเจ้าเล่ห์ แววตาคล้ายโกรธและตัดพ้อ ทำให้หรงจิงนึกขำ รับผ้าเช็ดหน้ากลับแล้วมองตัวอักษรบนนั้น


 


 


‘ไหนใต้เท้าเหอพูดมาซิว่า ลายมือบนผ้าเช็ดหน้านี้กับลายมือของเซียงซือ อันไหนดีกว่ากัน’


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินดังนั้นก็งงงวย เห็นท่าทางของหรงจิงแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ


 


 


‘ต่างก็มีความงามของตนเพคะ บอกไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร ตัวอักษรของเซียงซือเขียนได้เรียบร้อยบรรจง เห็นได้ว่าการอบรมของครอบครัวนั้นดียิ่ง ให้ถวายงานเขียนคัดอักษรดูเหมาะสม แต่หากพูดถึงบุคลิกความสง่างามแล้ว ตัวอักษรบนผ้าเช็ดหน้าดูแล้วสบายตา สบายใจ หาได้ยากยิ่งเพคะ’


 


 


เหอจิ่นเซ่อมีเจตนายกยอสตรีคนนั้นเพิ่มขึ้นสามส่วนเพื่อทำให้หรงจิงดีใจอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับนางแล้ว นางชื่นชอบลายมือของเซียงซือมากกว่า เชื่อฟังอยู่ในแบบแผน ดูเป็นหญิงสาวงดงามที่อ่อนโยนมีสัมมาคารวะ


 


 


แต่เมื่อเป็นสิ่งที่หรงจิงให้ความสำคัญแล้ว นางมีแต่ต้องยกย่องมากขึ้น และเมื่อหรงจิงได้ฟังคำเยินยอของเหอจิ่นเซ่อแล้วก็ยินดีอย่างยิ่ง พูดขึ้นยิ้มๆ


 


 


‘ก็นั่นน่ะสิ ข้าชื่นชอบลักษณะของตัวอักษรในแต่ละบรรทัด อ่อนโยนแต่ไม่ยั่วยวน คล้อยตามและไม่สงสัย’


 


 


 


 


ตอนที่ 245 ลายมือดุจเจ้าของ


 


 


หรงจิงค่อยๆ หยุดลง เขามองดูเหอจิ่นเซ่อแล้วเลิกคิ้ว ตาทอประกายเอ่ยขึ้นว่า


 


 


‘เซียงซืออะไรคนนั้นก็ไม่ต้องแล้ว ฟังจากที่เจ้าพูดดูไม่ต่างจากผิงผิงสักเท่าไร ข้าต้องการนาง’


 


 


หรงจิงชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าบนมืออย่างมีชีวิตชีวา ยามเขายิ้มอสูรเจ้าเสน่ห์ยังไม่อาจเทียบเคียง ใจของเหอจิ่นเซ่อสะดุดลง นางเป็นเหมือนผู้เฒ่าในวังไปเสียแล้ว


 


 


ถึงจะไม่กล้าพูดว่าตนเฝ้ามองหรงจิงเติบโต แต่นางก็อายุมากกว่าเขาหลายปี และอยู่เคียงข้างเสมอมาตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ สำหรับหรงจิงแล้ว นางจึงพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง


 


 


แววตาของเขาในตอนนี้ มีความปรารถนาอยากเป็นเจ้าของอย่างแรงกล้า ทำให้เหอจิ่นเซ่อรู้สึกลนลาน เพราะนี่เป็นการบ่งบอกว่าเมื่อหรงจิงต้องการแล้วเป็นต้องได้


 


 


เหอจิ่นเซ่อยังมีความลังเล นางเห็นลายมือนั้นแล้วคิดถึงเซียงซือ จากนั้นก็คิดไปถึงเซียงฉือ


 


 


ผู้ใหญ่ในบ้านมักกล่าวแก่นางเสมอว่า ลายมือดุจตัวตนคนเขียน


 


 


นางพบเซียงซือและเห็นลายมือของนางแล้ว สมเป็นเจ้าตัวจริงๆ เรียบร้อยเชื่อฟัง ลายมือลื่นไหลเปี่ยมพลังสมตัว และนางก็เคยพบเซียงฉือ ภาพของนางที่ปรากฏขึ้นต่อหน้านั้นเย่อหยิ่งราวนกยูง พร้อมที่จะกางปีกบินขึ้นสูงได้ตลอดเวลา แต่นางมีน้ำใจและรู้กาลเทศะ อยู่ในวังนี้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ให้ความรู้สึกเป็นสตรีอ่อนเยาว์ที่มีรสชาติ


 


 


เหอจิ่นเซ่อคิดจนใจลอย แต่ยังดีที่ว่าหรงจิงยามนี้ก็ใจลอยเช่นกันจึงไม่ทันสังเกตเห็น ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเหอจิ่นเซ่อเห็นสายตาหรงจิงเช่นนั้นก็ยิ้ม


 


 


เดิมนางตั้งใจจะบอกปัดคำขอร้องของเซียงฉือ ถึงแม้นางจะร้อนรนขนาดนั้น กระทั่งทำเรื่องที่นางไม่ปรารถนาจะทำออกมาได้ แล้วยังอ้อนวอนขอร้อง แต่เหอจิ่นเซ่อกลับไม่ต้องการให้นางเข้ากองราชเลขา


 


 


เนื่องเพราะอารมณ์ของนาง นางไม่รู้ว่าทำเช่นนี้แล้วเป็นการดีหรือไม่ จะช่วยให้นางสมปรารถนาได้จริงหรือไม่


 


 


แต่ตอนนี้เหอจิ่นเซ่อเชื่อเรื่องลิขิตสวรรค์แล้ว ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นคงเป็นของอวิ๋นเซียงฉือแน่ แล้วหากวันนี้นางไม่ให้นางได้เป็นข้าราชสำนักสตรี ดูจากความสนใจของหรงจิงในวันนี้แล้ว วันหน้าคงจะต้องสถาปนานางในฐานะพระสนมโดยตรงเป็นแน่


 


 


คิดดังนี้แล้วนางจึงยิ้มออกมา


 


 


‘ไม่ทราบว่าสตรีคนนี้ได้เข้าร่วมการสอบข้าราชสำนักสตรีในครั้งนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันก็ไม่กลัวว่าต้องล่วงเกินต่อกุ้ยเฟย จะต้องหาสตรีคนนี้มาถวายต่อเบื้องพระพักตร์ให้จงได้เพคะ’


 


 


หรงจิงฟังความของเหอจิ่นเซ่อแล้วก็เข้าใจความหมายของนาง


 


 


เขากำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้แล้วยิ้ม


 


 


‘เอาเถอะ เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ซูเฟยจึงส่งผิงผิงมา หากไปปฏิเสธทางฝั่งกุ้ยเฟย นางคงมาอาละวาดเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นก็รับไว้ทั้งคู่ก็แล้วกัน’


 


 


‘ใต้เท้าเหอ ข้าขอพูดไว้ก่อน อย่าได้มีการย้อมแมว ข้าไม่ต้องการให้ตำหนักเจิ้งหยางตกเป็นเป้าสายตาตำหนักอื่นๆ’


 


 


หรงจิงพูดชัดตรงอย่างไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย คงเพราะพูดกับเหอจิ่นเซ่อ เขาจึงคร้านที่จะอ้อมค้อม


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินแล้วก็ยิ้มพูดต่อว่า


 


 


‘พระดำรัสของฝ่าบาทหม่อมฉันจดจำแม่นในใจแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ’


 


 


นางพูดจบเห็นหรงจิงพยักหน้าจึงถอยออกจากตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อออกมาถึงข้างนอกก็ปะเข้ากับซูกงกงที่ยกถ้วยน้ำแกงกำลังจะเข้าไปพอดี


 


 


ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ซูกงกงชะงักแล้วถามว่า


 


 


‘ใต้เท้า เหตุใดจึงหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้ หรือว่าฝ่าบาทตรัสเรื่องยุ่งยากอะไร’ เมื่อเห็นเหอจิ่นเซ่อขมวดคิ้วมุ่นเช่นนั้นซูกงกงจึงได้ถามขึ้น


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำถามก็ชะงัก แล้วพูดเบาๆ กับซูกงกงว่า


 


 


‘ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร สำหรับข้าแล้วคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร จะเป็นโชคหรือวิบากก็ยังมองไม่ออก’


 


 


‘ลำบากกงกงให้เป็นห่วงแล้ว ข้ายังมีธุระต้องไปทำให้ฝ่าบาท เช่นนั้นก็ไม่รบกวนแล้ว’




ตอนที่ 246 วันประกาศผลสอบ


 


 


อวิ๋นเซียงฉืออยู่อย่างซึมกระทือในตำหนักอวี้หยวนมาสามวัน ในที่สุดก็ถึงวันประกาศผลสอบ วันที่เคยรอคอยอย่างที่สุดกลับกลายเป็นวันที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดของเซียงฉือ


 


 


พอตื่นนอนก็นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาสาดส่องใบหน้าเซียงฉือ แต่นางยังคงนั่งอยู่นานโดยไม่พูดจา ในสมองนิ่งสงบอย่างยิ่งทำให้นางรู้สึกเหมือนตนเองถูกสูบพลังออกไปจนหมด


 


 


แม้จะอ่อนล้าแต่ก็ไม่รู้สึกหดหู่ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าตนเองได้สูญเสียสิ่งใดไป เพียงแค่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง


 


 


เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่หน้าประตูดังขึ้นไม่ขาด ระยะนี้เซียงซือกลายเป็นคนดังของตำหนักอวี้หยวน คำพูดคำเดียวของกุ้ยเฟยก็ย้ายนางกลับเข้าตำหนักอวี้หยวนได้ อีกทั้งทุกคนยังรู้ว่านางได้รับความใส่ใจจากกุ้ยเฟย และสามารถสอบผ่านทั้งหกวิชาในการสอบรอบสองได้ วันหน้าต้องได้เป็นข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งอย่างแน่นอน


 


 


การรู้จักปรับตัวตามสภาพการณ์เป็นเรื่องปกติของคนในวัง แม้แต่หลิ่วเหยียนที่เป็นปรปักษ์กับเซียงฉือมาตลอด ตอนนี้ก็ยังสมาคมด้วยอย่างอบอุ่น คิดว่าคงเพราะคำสั่งของกุ้ยเฟย ต่อเบื้องหน้าทั้งคู่จึงดูสมัครสมานสามัคคีกันดี


 


 


ถึงหลิ่วจุ้ยจะสนิทสนมกับเซียงฉือ แต่ก็ไม่ได้เคียดแค้นชิงชังอะไรเซียงซือ ดังนั้นตื่นขึ้นเช้านี้จึงยืนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ริมหน้าต่างข้างนอก


 


 


เซียงฉือปรับสีหน้าแววตาและลอบหัวเราะ


 


 


“เซียงซือมีอนาคตที่ดีเป็นเรื่องที่สมควรยินดี จะมามัวหน้านิ่วคิ้วขมวดทำไมกัน”


 


 


เซียงฉือพูดกับตนเองเช่นนั้นแล้วจึงลุกขึ้นอย่างเปี่ยมพลัง ล้างหน้าล้างตาแล้วแต่นางไม่ได้ไปดูกระดานประกาศผลสอบ แต่ไปเลือกอาภรณ์ให้กุ้ยเฟยตามปกติเมื่อสวมแต่งให้เรียบร้อยแล้วก็อยู่ข้างๆ ช่วยกุ้ยเฟยเลือกแบบ


 


 


หลายวันมานี้กุ้ยเฟยมีอารมณ์อยากจะปักถุงดิ้นเงินดิ้นทองให้ฝ่าบาท เซียงฉือจึงกลายมาเป็นอาจารย์ ทั้งสองคนมักจะนั่งด้วยกันในห้องตลอดบ่าย แต่กุ้ยเฟยไม่ถนัดงานเย็บปักเท่าใดนัก


 


 


ถ้าไม่ใช่เพื่อฝ่าบาทนางคงหมดความอดทนไปนานแล้ว หลายวันมานี้ปักลวดลายได้หลายแบบ แต่กุ้ยเฟยยังรู้สึกไม่พอใจจึงให้เซียงฉือช่วยนางหาลวดลายอยู่ตลอด


 


 


เซียงฉือไม่ยินดียินร้าย ยิ้มอย่างอบอุ่นคุกเข่าอยู่ข้างกายกุ้ยเฟย แต่ละเข็มล้วนปักได้อย่างเหมาะเจาะ วันนี้กุ้ยเฟยเลือกลายดอกท้อเจิดจ้า สีสันก็เข้ากันได้อย่างอบอุ่นหวานละมุน


 


 


กุ้ยเฟยชื่นชอบมังกรทองเสมอมา แต่มักไม่สามารถทำได้ถูกวิธี เซียงฉือก็จนปัญญา นางต้องพูดอยู่หลายวันถึงจะทำให้กุ้ยเฟยยอมละทิ้งได้ และวันนี้นางให้ความสนใจกับแบบดอกท้อ


 


 


ดังนั้นจึงได้ใส่ใจฝึกหัด ในตำหนักสงบเงียบมาได้หลายวันอย่างยากจะเกิดขึ้น คงเป็นเพราะการสอบข้าราชสำนักสตรีครั้งนี้ มีการแบ่งคนที่สอบได้ไปยังกองงานต่างๆ ซึ่งหัวหน้ากองปรึกษากันเป็นที่พอใจยิ่ง จึงได้อยู่กันอย่างสงบสุขไม่มีเรื่องราวใด


 


 


ทั้งยังผิงตาอิ้งที่เป็นเรื่องแสลงที่สุดของกุ้ยเฟยที่อยู่ในตำหนักเจิ้งหยางมาตลอดนั้น ได้ยินว่าฮ่องเต้ยังไม่ได้ร่วมหมอนกับนาง เพียงให้นางอยู่เขียนคัดงานอักษรกุ้ยเฟยจึงได้วางใจลงไปหลายส่วน


 


 


ส่วนเซียงซือที่นางเตรียมไว้ช่วงนี้ยิ่งเป็นที่พอใจ นางคงรู้สึกว่าวันหน้าผิงผิงคนนั้นจะต้องไร้ประโยชน์ เซียงซือสวยหวาน นิสัยฉลาดน่าเอ็นดู หากนางมีใจก็จะส่งเสริมนางสักครั้ง


 


 


ได้กำลังเสริมเช่นนี้ นางย่อมจะอารมณ์ดียิ่ง


 


 


ส่วนซูเฟยเพราะระยะนี้องค์หญิงน้อยป่วยไข้จึงไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นใด ดังนั้นภายในวังจึงสงบราบรื่น


 


 


ในวันประกาศผลสอบ นางกำนัลตำหนักต่างๆ พากันไปดูใบประกาศในตำหนักเหวินอิง ถึงแม้สุดท้ายแล้วคนที่สอบติดจะมีเพียงสิบกว่าคน แต่เพราะในวังยากนักจะมีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ทุกคนจึงต่างเบิกบานรวมตัวกันกระจายข่าวไปมา


 


 


เซียงฉือไม่มีนิสัยเช่นนั้น ตั้งแต่นางกลับมาตำหนักอวี้หยวนก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากใต้เท้าเหอเลย ถึงตอนนี้จึงท้อแท้ใจ นางเคยลองไปหาใต้เท้าเหออีก แต่ก็ถูกทหารองครักษ์ใช้สารพัดวิธีขอร้องแกมผลักไสนางกลับมา


 


 


 


 


ตอนที่ 247 ชื่อติดประกาศ


 


 


เซียงฉือคุกเข่าอยู่ข้างกายกุ้ยเฟยช่วยนางปักกระเป๋า พอได้ยินเสียงเดินกันขวักไขว่าที่ด้านนอกก็รู้ว่าพวกสาวๆ ที่ไปเฮฮากันกลับมาแล้ว


 


 


ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบชื่นชมถึงเซียงซือที่ติดรายชื่อเกียรติยศไม่ขาดปาก เซียงฉือไม่ทันระวังจึงถูกเข็มในมือตำเข้าเนื้อหนัง


 


 


เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากผิวเนื้อขาวผ่อง


 


 


เซียงฉือมองดูขมวดคิ้วแน่น ที่ว่าสิบนิ้วประสานใจนั้น ช่างเจ็บถึงใจจริงๆ


 


 


นางดูดเลือดออกแล้วกุมนิ้วไว้ไม่พูดอะไร หลิ่วจุ้ยที่ปอกเปลือกลิ้นจี้ให้กุ้ยเฟยที่ด้านข้างเห็นเซียงฉือแล้วก็เจ็บปวดเช่นกัน


 


 


กุ้ยเฟยก็ได้ยินเสียงนั้นจึงมองอย่างครุ่นคิดไปที่นอกประตูและรู้สึกไม่พอใจกับเสียงหัวเราะของพวกนาง ขมวดคิ้วถามขึ้น


 


 


“ด้านนอกมีเรื่องอะไรกันอึกทึกคึกโครมเสียจริง ให้พวกนางแยกย้ายไป!”


 


 


กุ้ยเฟยช่วงนี้หมกมุ่นอยู่กับงานปักจนลืมไปว่าวันนี้เป็นวันประกาศผลสอบ พอได้ยินเสียงยินดีอึงมี่ของพวกนางทำให้นางเสียสมาธิจึงไม่พอใจนัก


 


 


เซียงฉือได้ยินคำสั่งแต่ยังไม่ทันลุกขึ้น หลิ่วจุ้ยกลับขานรับขึ้นก่อนแล้วผลักประตูออกไป


 


 


เพียงครู่เดียวบรรดาสาวใช้ด้านนอกก็พากันแยกย้ายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เซียงฉือเห็นหลิ่วจุ้ยหายออกไปนานยังไม่กลับมา ถึงแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ยังคงอยู่กับกุ้ยเฟยต่อไป


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งกุ้ยเฟยเริ่มรู้สึกง่วง เมื่อดูเวลาเห็นว่าเป็นเวลางีบของกุ้ยเฟยแล้ว เซียงฉือจึงเก็บงานที่ยังไม่เสร็จขึ้น แล้วปรนนิบัติให้กุ้ยเฟยเข้านอน


 


 


นางเก็บของเสร็จแล้วคิดจะไปพักผ่อนสักครู่ ก็เห็นหลิ่วจุ้ยกวักมือเรียกนางจากช่องประตู เซียงฉือไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด แต่เมื่อเห็นกุ้ยเฟยหลับแล้วจึงหมุนกายเขย่งเท้าเดินออกนอกห้องไป


 


 


พอพ้นประตูมาได้ก็ถูกหลิ่วจุ้ยดึงแขนไว้พาเดินห่างออกไปด้วยฝีเท้าเบาและเร็ว สีหน้ายินดีปรีดา


 


 


“พี่หลิ่วจุ้ยจะพาข้าไปไหนกัน”


 


 


เซียงฉือถูกหลิ่วจุ้ยดึงแขนจนรู้สึกเจ็บอดไม่ได้ต้องถามออกไป แต่หลิ่วจุ้ยเดินตัวปลิวจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง


 


 


“ไม่ต้องถามแล้ว รีบตามข้ามาไวๆ มีเรื่องดี เรื่องดีมากๆ เลย!”


 


 


เซียงฉือได้ยินนางพูดเช่นนั้นและเห็นหน้าตานางยิ้มแย้มเต็มที่จึงไม่ถามอะไรอีก แล้วรีบวิ่งตามนางไป พระอาทิตย์ตอนเที่ยงในฤดูร้อนลอยขึ้นสูงโด่ง อากาศร้อนอบอ้าวอย่างยิ่ง หากไม่จำเป็นจริงๆ แล้วในเวลาพักเที่ยงเช่นนี้ผู้คนในแต่ละตำหนักมักจะไม่ออกมาเดินกัน


 


 


ดังนั้นบนทางสายเล็กจึงไม่มีใคร แต่หลิ่วจุ้ยยังยิ้มเกลื่อนใบหน้า ราวกับไม่รับรู้ถึงอากาศร้อนดุจไฟเผาจากพระอาทิตย์บนฟ้า


 


 


“พี่หลิ่วจุ้ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดท่านถึงได้ยิ้มเบิกบานใจแบบนี้ โอ๊ย วิ่งแทบจะไม่ไหวแล้วนี่ ท่านจะไปที่ไหนกันแน่”


 


 


เซียงฉือถูกนางลากให้วิ่งตาม แต่ไม่ได้มีกำลังดีเท่ากับหลิ่วจุ้ย เมื่อมาวิ่งอยู่ใต้แสงแดดเช่นนี้จึงรู้สึกร้อนระอุไปทั้งตัว


 


 


“เร็วเข้าๆ!”


 


 


หลิ่วจุ้ยมองนางแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นดึงนางวิ่งขึ้นหน้าต่อไป


 


 


ไปอีกไม่เท่าไรก็มองเห็นตำหนักเหวินอิง เซียงฉือตะลึง ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ


 


 


“พี่หลิ่วจุ้ย?”


 


 


เซียงฉือมองหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างไม่สู้เข้าใจด้วยสายตางงงวย สถานที่นี้นางมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วในความคิดฝันยามตื่นขึ้นกลางดึก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดหวั่น


 


 


“ยังไม่รีบไปอีก เด็กโง่ มีชื่อของเจ้าบนนั้นด้วยนะ!”


 


 


หลิ่วจุ้ยหัวเราะแล้วผลักศีรษะนาง แต่เซียงฉือไม่โกรธสักนิด นางยังคงยืนงงอยู่เช่นนั้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


 


 


“ท่านพูดว่าอะไรนะ”


 


 


“พี่หลิ่วจุ้ย เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ”


 


 


น้ำเสียงเซียงฉือเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางมองดูสิ่งปลูกสร้างโชติช่วงเบื้องหน้า นางหยุดรออย่างน้อยใจอยู่เบื้องหน้าเพื่อรอฟังคำตอบของหลิ่วจุ้ย


 


 


หลิ่วจุ้ยก็ดีใจ จึงพูดออกไปอย่างหนักแน่นจริงจัง


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือ การสอบข้าราชสำนักสตรีมีชื่อของเจ้าถูกประกาศออกมาด้วย เจ้าทำสำเร็จแล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม