หวนแค้นชะตารัก 221-245

 ตอนที่ 221 หัวเราะเหมือนคนโง่ 


 


 


 


 


 


“เอาละ ข้าควรจะกลับได้แล้ว” 


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า ท่าทางเหมือนคนพูดไม่เก่ง เมื่อเอาเชือกถักลายมงคลให้กู้เฉินหรงแล้ว นางก็ควรจะจากไป 


 


 


“เจ้าถักเองหรือ” 


 


 


กู้เฉินหรงรู้สึกว่าเชือกถักลายมงคลนี้ฝีมือไม่ละเอียดนัก ไม่เหมือนผลงานของคนที่ชำนาญ 


 


 


“มือข้าเป็นอย่างนี้ จะถักได้อย่างไร ข้าให้สาวใช้ถักให้ คุณชายกู้คงไม่ชอบ” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่ยอมรับว่าเชือกถักลายมงคลนี้ตนทำกับมือ ไหนๆ กู้เฉินหรงก็จะจากไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนความคิดของเขา จึงปฏิเสธออกมาตรงๆ  


 


 


“ไม่ใช่เจ้าทำก็ดีแล้ว นิ้วมือเจ้าบาดเจ็บอย่างนี้ ถ้าเจ้าถักเอง ข้าคงไม่อาจตัดใจจากเจ้าไปได้ ของที่เจ้ามอบให้ข้าไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครก็ไม่สำคัญ ข้าจะเก็บไว้กับตัว จิ่วซือ ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่จวน” 


 


 


“ไม่จำเป็น รถม้าอยู่ข้างนอก ข้ากลับไปเองได้ เจ้าเดินทางระวังความปลอดภัยด้วย” 


 


 


พอพูดจบ ซูจิ่วซือก็ออกไปจากห้อง นางเดินอย่างรวดเร็ว เอาของให้เขาแล้วก็เรียบร้อย ต่อจากนี้ไป นางกับเขาคงไม่พบหน้ากันอีก 


 


 


กู้เฉินหรงนั่งบนม้านั่ง แบมือออกมา จ้องมองเชือกถักลายมงคลบนมืออย่างเหม่อลอย 


 


 


เขาจำได้ว่าคราวก่อนที่ซูจิ่วซือถักเชือกถักลายมงคลถวายไทเฮา เขาเคยขอซูจิ่วซือ แต่ซูจิ่วซือปฏิเสธ นึกไม่ถึงว่าซูจิ่วซือจะเอามาให้เขา ปกติซูจิ่วซือจะเย็นชากับเขา แต่กลับจำคำพูดของเขาได้  


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ กู้เฉินหรงก็รู้สึกสบายใจมาก เขาหัวเราะเหมือนคนโง่ แล้วอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาทันที เสียดายที่ต้องจากไป เขาไม่มีเวลาอยู่กับซูจิ่วซือนานๆ 


 


 


“เชือกถักลายมงคลอันหนึ่งกลับทำให้เจ้าหัวเราะได้ขนาดนี้เชียวหรือ” 


 


 


เสียงผู้ชายทำให้ความคิดของกู้เฉินหรงสะดุด เขารีบเก็บเชือกถักลายมงคลไว้ในอกเสื้อ กู้หลียวนรู้สึกขำ “มีค่าขนาดนี้เชียว ของนี่ ถ้าให้ข้า ข้าไม่เอาแน่” 


 


 


“ซูเหมยเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“ไม่เรียกท่านแม่แล้วหรือ” 


 


 


กู้หลียวนถามด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“นางคู่ควรเป็นแม่ข้าหรือ” กู้เฉินหรงย้อนถาม เขารู้สึกผิดหวังในตัวซูเหมยนานแล้ว 


 


 


“คู่ควรหรือไม่ไม่เป็นไร แต่ก็เลี้ยงดูเจ้ามาจนโต วันนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าถึงได้ทำร้ายท่านแม่” กู้หลียวนพอกลับถึงจวนก็ได้ยินเรื่องนี้ จึงรีบมาหากู้เฉินหรงที่ห้อง อยากถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


“ข้าแค้นนางอยู่ก่อนแล้ว นางฆ่าพ่อแม่ข้า วันนี้ยังรังแกจิ่วซือ ถ้าข้ามาไม่ทัน จิ่วซือคงมือพิการไปแล้ว” 


 


 


“เชือกถักลายมงคลเมื่อครู่จิ่วซือเป็นคนให้เจ้า ดูแล้วเจ้าคงได้ตัวสาวงามกลับไป พี่ชายนับถือเจ้าแล้วจริงๆ” 


 


 


กู้หลียวนยกหัวแม่มือขึ้น เขารู้สึกมาตลอดว่าตนดีกับผู้หญิงมาก แต่พอเห็นกู้เฉินหรงทำกับซูจิ่วซือ จึงรู้ว่าสิ่งที่ตนทำเป็นแค่เปลือกนอก 


 


 


ซูจิ่วซือได้พบกับกู้เฉินหรงนับเป็นความโชคดีอย่างมาก เวลานี้เขาดีใจกับคนทั้งสอง รู้สึกว่าคู่นี้เหมาะสมกันจริงๆ แม้จะไม่ราบรื่นนักก็ตาม 


 


 


“หลียวน ข้าจะไปจากเมืองหลวงระยะหนึ่ง พอข้าไปแล้ว เจ้าต้องดูแลจิ่วซือให้ดี ข้าขอฝากนางไว้ให้เจ้าด้วย” 


 


 


เมื่อก่อนกู้เฉินหรงเคยรู้สึกหึงและระแวงที่ซูจิ่วซือดีต่อกู้หลียวนมาก เวลานี้พอรู้ฐานะที่แท้จริงของซูจิ่วซือ ความระแวงก็หายไปทันที 


 


 


พอนึกถึงความสัมพันธ์ของกู้หลียวนกับซูจิ่วซือ กู้เฉินหรงก็รู้สึกอยากหัวเราะ ถ้าเขายังมีชีวิตต่อไป บางทีสักวันหนึ่งเขาอาจจะได้เป็นพ่อของกู้หลียวน 


 


 


“เจ้าไม่กลัวจิ่วซือรักข้าหรือ” กู้หลียวนถาม


ตอนที่ 222 ไม่คู่ควรเป็นคนสกุลกู้ 


 


 


 


 


 


“คนอื่นอาจจะเป็นไปได้ มีเจ้าคนเดียวที่เป็นไปไม่ได้” กู้เฉินหรงพูดอย่างหนักแน่น ตบไหล่กู้หลียวน “ข้ารู้ว่าเจ้าถือว่าจิ่วซือเป็นน้องสาวที่แท้จริง วันหลังดูแลน้องสาวคนนี้ให้ดี ข้าจะกลับมาเมื่อไรยังไม่แน่” 


 


 


“เจ้าจะไปทำอะไร” 


 


 


“รอโอกาสมาถึง เจ้าจะรู้เอง” 


 


 


ทั้งสองยิ้มให้กัน จู่ๆ กู้จื่อหยวนก็พรวดพราดเข้ามา สาวเท้าไปหากู้เฉินหรง ทุบโต๊ะหน้ากู้เฉินหรงอย่างแรง “พี่รอง ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่” 


 


 


กู้เฉินหรงสีหน้าผ่อนคลาย เขารู้ว่าหากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ต่อไปคงไม่มีทางเป็นพี่น้องกับกู้จื่อหยวนได้อีก มิตรกลายเป็นศัตรูเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง  


 


 


แม้เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ แต่จำเป็นต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้น  


 


 


เรื่องของซูเหมยเขาไม่มีอะไรจะอธิบาย เรื่องของซูจิ่วซือก็เช่นกัน สองเรื่องนี้กู้จื่อหยวนใส่ใจมาก เขาไม่อาจอธิบายได้ 


 


 


กู้หลียวนกลัวจะเกิดสภาพอย่างนี้ รีบเข้ามาขวางตรงกลาง “จื่อหยวน อย่าใจร้อน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา” 


 


 


“พี่ใหญ่ พี่รองจะฆ่าท่านแม่ เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าจิ่วซือเป็นคู่หมั้นของข้า แต่เขาก็ยังมายุ่ง แล้วตอนนี้ยังจะฆ่าท่านแม่อีกที่ท่านแม่รับเลี้ยงเขาเป็นเรื่องโง่ที่สุดในตอนนั้น เขาไม่รู้จักบุญคุณยังไม่เป็นไร ยังคิดจะฆ่าท่านแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามาถึงพอดี ท่านแม่คงตายด้วยน้ำมือของเขา วันนี้ข้าต้องถามแทนท่านแม่ให้ได้” 


 


 


กู้จื่อหยวนอารมณ์คุกรุ่น เมื่อก่อนเขาเคยโทษกู้เฉินหรง เวลานี้เขาแค้นกู้เฉินหรงแล้ว ในสมองคิดถึงขั้นจะกำจัดกู้เฉินหรง 


 


 


“จื่อหยวน นี่เป็นเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับซูเหมย เจ้าไม่ต้องยุ่ง” 


 


 


“ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำร้ายท่านแม่แน่ เจ้ายังไม่ทันแต่งงานกับองค์หญิงสามก็เรียกชื่อท่านแม่อย่างนี้ พี่รอง เจ้าไม่สมควรเป็นคนสกุลกู้” 


 


 


กู้เฉินหรงสีหน้าเครียด พูดตอบ “เดิมทีข้าก็ไม่ใช่คนสกุลกู้ จื่อหยวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาอยู่ที่สกุลกู้ได้อย่างไร ตอนที่ข้ายังเด็กอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านสกุลหลิว ซูเหมยชิงตัวข้าด้วยการฆ่าคนทั้งหมู่บ้านสกุลหลิว และฆ่าแม่ข้าต่อหน้าข้า เพื่อไม่ให้ข้านึกถึงเรื่องนั้น นางวางยาข้า ทำให้ข้าจำเรื่องราวตอนเด็กไม่ได้” 


 


 


กู้จื่อหยวนไม่เชื่อคำพูดของกู้เฉินหรง เขาตะลึง จากนั้นก็ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ท่านแม่ไม่ใช่คนอย่างนั้น เรื่องนี้เจ้าไปสืบที่ไหน คงเข้าใจผิดแน่” 


 


 


“เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องไปสืบ แค่ฟื้นความจำเท่านั้น ข้านึกถึงบุญคุณสกุลกู้ที่เลี้ยงดูข้า ข้าพยายามทำดีกับนางเต็มที่แล้ว แต่นางไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ทำไมข้าต้องยอมทน” 


 


 


กู้จื่อหยวนหน้าซีด ไม่อยากจะเชื่อว่าที่กู้เฉินหรงพูดเป็นความจริง ในสายตาของเขาซูเหมยมีเล่ห์เหลี่ยมก็จริง แต่ก็ไม่ถึงชั่วร้ายอย่างนี้ เขาจึงรู้สึกว่ากู้เฉินหรงหาข้ออ้าง ไม่เชื่อคำพูดของกู้เฉินหรง  


 


 


“เจ้าอย่าใส่ร้ายท่านแม่ ข้าไม่เชื่อ” 


 


 


“ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด จื่อหยวน เรื่องของซูเหมยไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าไม่เคยคิดจะดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง  


 


 


เจ้าพูดแต่ว่าจิ่วซือเป็นคู่หมั้นของเจ้า เจ้าเคยปกป้องจิ่วซือหรือ เมื่อครู่นี้ถ้าข้ามาไม่ทัน มือทั้งสองของจิ่วซือคงพิการไปแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าซูเหมยจะทำอะไรจิ่วซือ 


 


 


ไม่ต้องพูดถึงว่าจิ่วซือไม่ได้รักเจ้า ถึงนางรักเจ้า เจ้าก็ไม่เหมาะกับจิ่วซือ เจ้าดูแลนางไม่ไหว ปกป้องนางไม่ได้” 


 


 


กู้จื่อหยวนสีหน้าบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ “เรื่องของข้ากับจิ่วซือเจ้าไม่ต้องพูดมาก พี่รอง ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำร้ายท่านแม่แน่ และไม่มีวันปล่อยให้เจ้าแย่งจิ่วซือไปด้วย พี่ใหญ่ พี่พูดอะไรบ้างสิ”


ตอนที่ 223 ความบาดหมางระหว่างพี่น้อง 


 


 


 


 


 


กู้จื่อหยวนเห็นกู้หลียวนไม่พูดไม่จา ก็หันไปมองกู้หลียวน 


 


 


กู้หลียวนสีหน้าจริงจัง ยื่นมือไปตบไหล่กู้จื่อหยวน “เฉินหรงไม่ได้โกหก ท่านแม่เคยสร้างความแค้นให้เฉินหรง เดิมทีเฉินหรงก็อยากแก้แค้น แต่นึกถึงบุญคุณที่เลี้ยงดูมาจึงไม่ได้ลงมือ 


 


 


ไม่ใช่เพราะเฉินหรงไม่สมควรเป็นคนสกุลกู้ แต่สกุลกู้ทำร้ายเฉินหรง จื่อหยวน วันหลังไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก ท่านแม่ทำผิดต่อเฉินหรงเป็นความจริง” 


 


 


“ข้าเกือบลืมไป เวลานี้พี่ใหญ่กับพี่รองต่างก็มีความแค้นเหมือนกันจึงร่วมมือกัน ตั้งแต่วันนี้ไป ความเป็นพี่น้องระหว่างข้ากับเจ้าสิ้นสุดกัน ในเมื่อพี่รองไม่อยากใช้สกุลกู้ ก็ควรจะรีบออกไปจากจวนสกุลกู้ พี่รองจะได้ไม่ลำบากใจ” 


 


 


กู้จื่อหยวนทิ้งคำพูดนี้ไว้ ขณะออกไปจากห้องของกู้เฉินหรง ครั้งนี้เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะตัดพี่ตัดน้องกับกู้เฉินหรง ไม่ว่าจะเป็นเพราะซูจิ่วซือหรือซูเหมย เขาก็ไม่อาจให้อภัยกู้เฉินหรงได้ 


 


 


กู้เฉินหรงไม่ใส่ใจ เขานั่งที่โต๊ะ เทเหล้าให้ตัวเอง กู้หลียวนขมวดคิ้ว “จะตัดขาดกันแล้วหรือ สกุลกู้จะแตกแยกจริงๆ หรือ” 


 


 


“ข้าไม่ใช่คนสกุลกู้” 


 


 


“เจ้ามีทุกสิ่งทุกอย่างก็เพราะเจ้าใช้สกุลกู้ ถ้าไม่ใช่คนสกุลกู้ คุณหนูในเมืองหลวงที่ชอบเจ้าจะลดลงไม่น้อยกว่าครึ่ง” กู้หลียวนพูดเล่น 


 


 


“ถ้าข้าไม่ใช่คนสกุลกู้ ข้าจะมีอะไรมากกว่านี้ บรรดาคุณหนูในเมืองหลวง ข้าไม่สนใจแม้แต่คนเดียว ไม่ชอบข้ายิ่งดี จะได้ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยาก” 


 


 


กู้หลียวนส่ายหน้า “สายตาเจ้ามีแต่ซูจิ่วซือคนเดียว อย่างนี้แล้วไม่เพียงแต่จื่อหยวนที่โกรธเจ้า ข้าก็อีกคนหนึ่ง” 


 


 


“ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นอย่างนี้” 


 


 


กู้เฉินหรงหัวเราะ ว่าไปแล้วกู้หลียวนก็มีความแค้นที่ซูเหมยฆ่ามารดา เพียงแต่ว่าซูจิ่วซือไม่อยากกู้หลียวนรู้เรื่องนี้ ชาตินี้นางคงไม่พูดความจริงให้กู้หลียวนฟังแน่ เรื่องนี้นางอยากเป็นคนเล่าเอง และได้บอกกู้เฉินหรงไว้แล้ว 


 


 


กู้เฉินหรงก็ไม่อยากให้ใครรู้ฐานะของซูจิ่วซือ โดยเฉพาะกู้เหยี่ยน เขาอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับตลอดกาล มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ 


 


 


“เพราะเจ้าทำให้เป็นอย่างนี้ เฝิ่นไต้เจ้าเล่ห์เจ้ากล นึกว่าจื่อหยวนจะซื่อตรง แต่วันนี้ดูแล้วจื่อหยวนก็ไม่ใช่คนซื่อๆ อนาคตของสกุลกู้คงยากที่จะคาดเดา” 


 


 


“เจ้าห่วงทำไม ในเมื่อเจ้าก็ไม่อยากสืบทอดสกุลกู้ พอถึงตอนนั้นก็ออกไปจากสกุลกู้เสีย เมื่อก่อนไม่เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่สังเกตเห็นจุดนี้ 


 


 


เจ้าพูดก็มีเหตุผล  จื่อหยวนไม่ใช่คนซื่อๆ ยังดีที่จิ่วซือไม่ได้รักเขา และไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครรังแก ไม่งั้นข้าคงไปอย่างไม่สบายใจ” 


 


 


 กู้หลียวนเป็นคนเปิดเผย มีมิตรสหายมากมาย และยึดมั่นในมิตรภาพ ทั้งสามเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ตอนเด็กรักกันดี วันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร  


 


 


ถ้ากู้จื่อหยวนไม่เข้าใจเรื่องนี้ และยังดึงดันต่อไป กู้จื่อหยวนจะกลายเป็นคนอย่างไรก็ไม่รู้ แม้เขาไม่ชอบสกุลกู้มาตลอด รู้สึกว่าสกุลกู้ขาดน้ำใจ แต่เขาก็ใช้สกุลกู้ จึงไม่อยากเห็นสกุลกู้แตก 


 


 


“เจ้าจะไปเมื่อไร” 


 


 


“พรุ่งนี้” 


 


 


“ข้าไปส่งเจ้า” 


 


 


“ไม่จำเป็น ดูแลจิ่วซือให้ดีก็แล้วกัน ข้ามอบหมายให้เจ้าช่วยดูแลนาง เจ้าเป็นพี่คนโตก็ต้องทำตัวให้เป็นพี่คนโต” 


 


 


กู้หลียวนพยักหน้า เป็นอันว่ารับปากแล้ว เขาถือว่าซูจิ่วซือเป็นน้องสาวแท้ๆ ถ้าซูจิ่วซือลำบาก เขาคงช่วยแน่  


 


 


ตอนบ่ายกู้เฉินหรงเข้าไปในวัง พอออกมาก็ไปหากู้เหยี่ยน จนกระทั่งมืดจึงออกมาจากห้องหนังสือของกู้เหยี่ยน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น กู้เฉินหรงก็ออกจากเมืองหลวงอย่างเงียบๆ ไม่ได้บอกให้ใครรู้ 


ตอนที่ 224 แผนการของกู้เฝิ่นไต้ 


 


 


 


 


 


หลังจากกู้เฉินหรงออกจากเมืองหลวง กู้เฝิ่นไต้ก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากวังเว่ยยาง 


 


 


ซูจิ่วซือยังคงเข้าวังไปสอนพระสนมวังใน บรรยายรวมบทกวีฉู่ฉือต่อ 


 


 


เพื่ออำนวยความสะดวกให้ซูจิ่วซือในการสอน เสิ่นไทเฮาทรงจัดสถานที่เฉพาะให้ซูจิ่วซือ แต่ละครั้งเสิ่นไทเฮาจะทรงร่วมฟังด้วย เมื่อเสิ่นไทเฮาทรงประทับ บรรดาพระสนมก็ทำตัวเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าฝืนระเบียบ  


 


 


เนื่องจากไทเฮาไม่โปรดให้กู้เฝิ่นไต้เข้าเฝ้า กู้เฝิ่นไต้ซึ่งถูกกักบริเวณจึงไม่ได้มาฟังซูจิ่วซือบรรยาย เวลาว่างก็ไม่ได้ออกมาจากวังเว่ยยาง  


 


 


ช่วงที่ถูกกักบริเวณ กู้เฝิ่นไต้ทรงหงุดหงิดมาก ประทับนั่งบนตั่งอย่างกระสับกระส่าย แม้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงโปรดให้ปล่อยพระนางออกมา แต่ก็ทรงเย็นชาต่อพระนางมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ตำแหน่งฮองเฮาของพระนางก็จะตกอยู่ในอันตราย 


 


 


แผนการที่พระนางวางไว้ครั้งก่อนไม่มีปัญหาอะไร กู้ชิงเฉิงติดกับดัก แต่กลับมีซูจิ่วซือเข้ามายุ่ง และรับผิดเสียเอง 


 


 


พระสนมโหรวกับซูจิ่วซือถึงกับร่วมมือกันขัดขวางพระนาง เมื่อทรงนึกถึงเรื่องนี้ กู้เฝิ่นไต้ก็รู้สึกหงุดหงิด 


 


 


“ฮองเฮาเพคะ พระกระยาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วเพคะ สมควรยกมาถวายหรือไม่เพคะ” 


 


 


อี่ซ่านรู้ว่ากู้เฝิ่นไต้พระอารมณ์ไม่ดี จึงทูลอย่างระวัง เกรงว่าจะทำให้กู้เฝิ่นไต้กริ้ว 


 


 


ยามนี้กู้เฝิ่นไต้เสวยไม่ลง ได้แต่ตรัสถามอย่างไม่ใส่พระทัย “ซูจิ่วซือยังอยู่ในวังหรือ” 


 


 


“ไทเฮาทรงโปรดให้นางกินอาหารมื้อกลางวันที่วังหย่งโซ่ว เวลานี้น่าจะอยู่ที่วังหย่งโซ่วเพคะ” 


 


 


เมื่อทรงสดับเช่นนี้ สีพระพักต์ของกู้เฝิ่นไต้ก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว ทรงออกแรง ปลอกเล็บสีทองก็หักทันที 


 


 


อี่ซ่านตกใจคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวลงไม่กล้าพูด 


 


 


กู้เฝิ่นไต้ถอนพระปัสสาสะ ระงับอารมณ์ ช่วงที่ถูกกักบริเวณพระนางทรงตรึกตรองมาตลอดว่าควรจะตอบโต้อย่างไร พอออกมาได้สองวัน แผนการนี้จึงก่อรูปขึ้นในสมองของพระนางอย่างเงียบๆ 


 


 


ซูจิ่วซือยอมรับโทษแทนกู้ชิงเฉิง นี่แสดงว่านางกับกู้ชิงเฉิงร่วมมือกันแล้ว 


 


 


เดิมทีกู้ชิงเฉิงไม่ใช่คู่ต่อกรกับพระนาง พระนางทรงรู้นิสัยของกู้ชิงเฉิงดี คนอย่างนี้ยากที่จะลุกขึ้นใหม่ แต่เวลานี้มีซูจิ่วซือช่วย ทุกอย่างจึงคาดเดาได้ยาก ถึงอย่างไร พระนางก็ต้องกำจัดซูจิ่วซือที่เป็นอุปสรรคสำคัญ 


 


 


“อี่ซ่าน หยิบขวดเคลือบลายเขียวใน**บเครื่องแป้งมา” 


 


 


“เพคะฮองเฮา” 


 


 


อี่ซ่านขานรับอย่างนอบน้อม ลุกเดินไปยัง**บเครื่องแป้ง หยิบขวดเคลือบลายเขียวออกมาถวายกู้เฝิ่นไต้ 


 


 


“เจ้าไปเชิญองค์หญิงสามมานี่ ข้ามีธุระจะหารือด้วย” 


 


 


อี่ซ่านไม่พูดมาก ค้อมตัวคารวะแล้วออกไป 


 


 


กู้เฝิ่นไต้ทรงจับขวดเคลือบในพระหัตถ์ไว้แน่น พระเนตรฉายแววอำมหิต  


 


 


ซูจิ่วซือ อย่าเพิ่งดีอกดีใจไป เจ้าคิดหรือว่าจะมาต่อกรกับข้าได้ 


 


 


ครั้งก่อนจุดหมายข้าไม่ได้อยู่ที่เจ้า แต่เจ้ากลับมาก่อกวน ทำลายแผนของข้า ครั้งนี้ข้าจะกำจัดเจ้าไปให้พ้น อยากรู้นัก ว่าใครจะช่วยเจ้าได้ 


 


 


ซูจิ่วซือออกจากวังหย่งโซ่ว เตรียมไปจากวังหลวง กลับเห็นเฟิ่งหลิงอวี๋แต่ไกล นางจับตาดูทิศทางที่เฟิ่งหลิงอวี๋ไป แววตาครุ่นคิด 


 


 


จื่อหลานซึ่งอยู่ข้างๆ พูดเบาๆ “คุณหนู องค์หญิงสามไปทางวังเว่ยยางแล้ว บ่าวได้ยินว่าฮองเฮากับองค์หญิงสามไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ทำไมเวลานี้องค์หญิงสามกลับไปหาฮองเฮา 


 


 


“เวลานี้นางกับฮองเฮามีศัตรูคนเดียวกัน การไปมาหาสู่กันไม่ใช่เรื่องแปลก” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่ได้ใส่ใจ มุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างช้าๆ 


 


 


จื่อหลานเตือนอย่างระวัง “ถ้าอย่างนั้นคุณหนูก็ต้องระวัง ฮองเฮาคงไม่ยอมเลิกราแน่ กลัวแต่ว่าจะหาเรื่องกล่าวโทษคุณหนูเรื่องครั้งก่อนอีก” 


 


 


“อะไรจะเกิดหลบอย่างไรก็ไม่พ้น บางครั้งเราจัดการไม่ได้ ปล่อยให้สองคนนี้ลงมือก่อนก็ดี เราจะได้ซ้อนแผน” 


 


 


—— 


ตอนที่ 225 ความลับของพระสนมโหรว 


 


 


 


 


 


ซูจิ่วซือรู้ดีว่ากู้เฝิ่นไต้ไม่มีวันเลิกราแน่ แต่นางไม่หวั่น ถ้าไม่ลงมือก็ไม่มีโอกาส พอลงมือก็จะเจอจุดอ่อน ถึงตอนนั้นจึงค่อยซ้อนแผน  


 


 


นางจะทำให้กู้เฝิ่นไต้ได้ลิ้มรสของการยกหินทุ่มขาตัวเองอีกครั้ง ในมือนางมีป้ายเว้นโทษประหาร เท่ากับมีโอกาสรักษาชีวิต ถ้ากู้เฝิ่นไต้แพ้ ก็จะสูญเสียตำแหน่งฮองเฮา  


 


 


ขณะเดินไป จู่ๆ ซูจิ่วซือก็นึกขึ้นได้ นางหยุดเดิน เอามือตบท้ายทอย “วันก่อนกู้ชิงเฉิงชวนข้าไปเล่นหมากล้อม เกือบลืมไป วันนี้ยังมีเวลา เราไปที่วังจื่อจิงก่อน” 


 


 


จื่อหลานพยักหน้า เวลานี้มีเสิ่นไทเฮาปกป้อง ซูจิ่วซือจึงสามารถไปไหนมาไหนที่วังในได้อย่างอิสระ ไม่มีใครขัดขวาง 


 


 


ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังวังจื่อจิง 


 


 


ขณะผ่านวังร้างแห่งหนึ่ง ซูจิ่วซือได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกจื่อเวย[1] นึกขึ้นได้ว่ากู้ชิงเฉิงชอบดอกนี้ อยากเด็ดไปให้กู้ชิงเฉิง จึงพาจื่อหลานเข้าไปในวังร้าง 


 


 


ซูจิ่วซือก้มลงเด็ดดอกไม้ได้กำหนึ่ง จื่อหลานซึ่งเด็ดดอกไม้อยู่อีกทางหนึ่งจู่ๆ ก็เดินเข้ามาหาซูจิ่วซือ พูดเสียงเบาๆ “คุณหนู ห้องข้างหน้าเหมือนมีคนอยู่” 


 


 


พอได้ยินว่ามีคน ซูจิ่วซือก็ยื่นดอกไม้ในมือให้จื่อหลาน เดินไปยังห้องนั้นอย่างเงียบๆ เอามือแยงกระดาษปิดหน้าต่าง ในห้องมีคนจริงๆ คนในนั้นซูจิ่วซือรู้จัก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนาง 


 


 


พระสนมโหรวสวมชุดนางกำนัล ผู้ชายในชุดทหารองครักษ์กอดนางไว้แน่น ผู้ชายชุดทหารองครักษ์หันหลังให้ซูจิ่วซือ นางจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเขา และไม่รู้ว่าเขาเป็นทหารองครักษ์จริงหรือไม่ 


 


 


พระสนมโหรวใจกล้าจริงๆ บังอาจเล่นชู้กับทหารองครักษ์ในวัง นางจึงรู้ทันทีว่าทำไมพระสนมโหรวจึงยอมเสียลูกในท้อง หรือว่าทหารองครักษ์คนนี้คือพ่อที่แท้จริงของเด็ก 


 


 


“เสี่ยวโหรว ถ้ามีโอกาส ข้าจะพาเจ้าหนี วังในไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัย ไม่ควรจะอยู่นาน” 


 


 


พระสนมโหรวพิงอกผู้ชาย ส่ายหน้า “หลี่เถี่ย ตานเอ๋อร์ยังเล็ก ถ้าข้าไป ตานเอ๋อร์จะทำอย่างไร” 


 


 


นอกจากเหตุผลนี้แล้ว พระสนมโหรวยังมีเหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง แต่นางไม่อาจบอกหลี่เถี่ยถึงเหตุผลดังกล่าว พอเข้ามาอยู่วังใน นางไม่อาจทำอะไรได้อย่างอิสระ จึงไม่มีทางเลือก 


 


 


“องค์หญิงใหญ่เป็นพระธิดาองค์โตของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงดูแลนางแน่ เวลานี้คนที่น่าห่วงก็คือเจ้า เจ้าอยู่ในวังไม่มีความสุข ในใจอยากออกไปอยู่โลกภายนอก ข้ายินดีปกป้องเจ้าชั่วชีวิต หวังว่าเจ้าจะเปิดใจรับ” 


 


 


พระสนมโหรวสีหน้าอ่อนโยนเป็นพิเศษ นางหลับตา “แผ่นดินทั่วหล้าอยู่ใต้พระบัญชา เราไปไหนไม่พ้น ข้าไม่อยากให้พัวพันถึงเจ้า หลี่เถี่ย ช่วงนี้เจ้าอย่ามาหาข้าบ่อย มีสายตาจ้องมองข้ามากเหลือเกิน ถ้ามีคนเห็นเข้า เจ้าต้องตายแน่” 


 


 


“ข้าไม่กลัวตาย” 


 


 


“แต่ข้ากลัว เจ้าเคยรับปากข้า ว่าจะอยู่เคียงข้างข้าไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ รับปากข้า” 


 


 


พอเห็นสีหน้าพระสนมเครียด หลี่เถี่ยก็ปล่อยพระสนมโหรว จูบที่หน้าผากนาง “ได้ ข้ารับปากเจ้า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดกาล ถ้าเจ้าพอใจ ข้าทำได้ทุกอย่าง” 


 


 


“พูดอย่างนี้ดีแล้ว” 


 


 


พระสนมโหรวยิ้มสดใส 


 


 


เรื่องของพระสนมซูจิ่วซือไม่ได้ใส่ใจ แต่กับพระสนมโหรวต่างออกไป ถ้ากุมความลับของพระสนมโหรวได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะทำอะไรกับตนได้อีก หรือว่ากู้เฉินหรงก็กุมความลับของพระสนมโหรวได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ทำไมจึงไม่บอกนาง แล้วยังทำเป็นมีลับลมคมในอีก 


 


 


—— 


 


 


[1] ดอกจื่อเวย (紫薇) คือดอกอินทนิลน้ำ 


ตอนที่ 226 ค้นหาหลี่เถี่ย


 


 


 


 


ซูจิ่วซือพาจื่อหลานออกไปอย่างเงียบๆ หลังจากไปแล้ว นางอยากสืบดูว่าทหารองครักษ์ที่ชื่อหลี่เถี่ยคนนี้เป็นใคร ความคิดของพระสนมโหรวสุดหยั่ง แต่ก็ดูออกว่าพระสนมโหรวจริงใจกับทหารองครักษ์คนนี้ หากกุมความลับได้ นางก็ไม่ต้องกลัวพระสนมโหรว


 


 


พอกลับไปแล้ว ซูจิ่วซือรีบเขียนจดหมายถึงกู้ชิงเฉิง ให้กู้ชิงเฉิงไปสืบดู ในวังมียามรักษาการณ์ชื่อหลี่เถี่ยหรือไม่ ปรากฏว่าพบคนชื่อหลี่เถี่ย และมีถึงสองคน อายุและรูปร่างใกล้เคียงกัน เพียงแต่รักษาการณ์คนละแห่ง


 


 


ซูจิ่วซือเคยได้ยินเสียงของหลี่เถี่ย ถ้าฟังอีกก็จะรู้ว่าเป็นหลี่เถี่ยคนไหน


 


 


สองวันต่อมา ซูจิ่วซือเข้าวังอีกครั้ง หลังจากบรรยายรวมบทกวีฉู่ฉือแล้ว กู้ชิงเฉิงก็พาซูจิ่วซือไปหาหลี่เถี่ย ระหว่างทางกู้ชิงเฉิงบอกว่า “ในวังมีทหารองครักษ์ชื่อหลี่เถี่ยสองคน คนหนึ่งรักษาการณ์ที่ประตูตงหัว บริเวณนี้อยู่ห่างจากวังในมาก อีกคนหนึ่งอยู่ที่ประตูหนานหัว อยู่ใกล้วังใน ทหารองครักษ์จะมาลาดตระเวนที่วังใน จึงมีโอกาสเข้าไปที่วังใน จิ่วซือ ทำไมเจ้าอยากตามหาทหารองครักษ์คนนี้หรือ”


 


 


“วันนั้นตอนที่ข้าไปหาเจ้า เดินผ่านวังร้างแห่งหนึ่ง เห็นพระสนมโหรวกับทหารองครักษ์ชื่อหลี่เถี่ยอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่เสียดายที่เขาหันหลังให้ข้า ข้าเห็นหน้าตาเขาไม่ชัด


 


 


กู้ชิงเฉิงซึ่งเย็นชามาตลอดยังทำท่าตกใจ “พระสนมโหรวใจกล้าขนาดนี้เชียว ถ้าเห็นหลี่เถี่ย เจ้าจะจำได้หรือไม่”


 


 


“ข้าเคยได้ยินเขาพูด จำเสียงของเขาได้”


 


 


กู้ชิงเฉิงกับพระสนมโหรวไม่เคยไปมาหาสู่กัน ครั้งก่อนตอนเกิดเหตุ พระสนมโหรวอยู่ในเหตุการณ์ กู้ชิงเฉิงจึงรู้สึกไม่ดีกับพระสนมโหรว ถ้าพบความลับของพระสนมโหรวก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ


 


 


ทั้งสองเดินไปถึงประตูหนานหัว เสี่ยวเหลียนรายงานเบาๆ “พระสนม องค์หญิง บ่าวสืบมาแล้ว เวลานี้หลี่เถี่ยกำลังรักษาการณ์อยู่ คนที่สองซ้ายมือนั่น”


 


 


เสี่ยวเหลียนชี้ไปยังทหารองครักษ์แถวหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล


 


 


ทั้งสองเดินไปด้วยกัน พอเห็นนางเข้ามา ทหารองครักษ์ก็คารวะ ซูจิ่วซือสังเกตดูหลี่เถี่ยที่อยู่ข้างหน้า กู้ชิงเฉิงยิ้มน้อยๆ พูดขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ!”


 


 


“ขอบพระทัยพระสนม”


 


 


ทุกคนลุกขึ้น


 


 


“เจ้าชื่ออะไร”


 


 


กู้ชิงเฉิงชี้ไปที่หลี่เถี่ย อยากให้เขาพูดขึ้นมาคนเดียว


 


 


“ผู้น้อยหลี่เถี่ยถวายบังคมพระสนม มิทราบว่าพระสนมมีอะไรจะสั่ง” หลี่เถี่ยเสียงต่ำ ตอบคำถามอย่างนอบน้อม


 


 


“เมื่อครู่ข้าเห็นแมวป่าตัวหนึ่งอยู่ทางโน้น พวกเจ้าสองคนไปดูหน่อย”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ พระสนม”


 


 


หลี่เถี่ยขานรับอย่างนอบน้อม แล้วลุกขึ้นถอยออกไปพร้อมกับทหารองครักษ์อีกคนหนึ่ง


 


 


ซูจิ่วซือสั่นหัวให้กู้ชิงเฉิง นางรู้แล้วว่าไม่ใช่คนนี้


 


 


ทั้งสองออกจากประตูหนานหัว กู้ชิงเฉิงพูดขึ้น “ในเมื่อไม่ใช่เขา ถ้าเช่นนั้นหลี่เถี่ยที่อยู่ประตูตะวันออกคนนั้น เจ้าจะไปดูหรือไม่”


 


 


“ไปดูก็ดี ตอนนี้ว่างไม่มีธุระอะไร”


 


 


เดิมทีซูจิ่วซือเป็นคนรอบคอบ ว่าตามเหตุผลควรจะเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้เห็นกับตา นางยังไม่วางใจ


 


 


กู้ชิงเฉิงยิ้มเจื่อนๆ “เจ้ารอบคอบจริงๆ  ไปกันเถอะ ข้าเองก็ไม่มีธุระอะไร ข้าไปกับเจ้า”


 


 


“ดี”


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า ทั้งสองเดินไปที่ประตูตงหัว บังเอิญหลี่เถี่ยกำลังรักษาการณ์พอดี แต่ผลไม่เป็นอย่างที่ซูจิ่วซือคิด หลี่เถี่ยคนนี้ก็ไม่ใช่


 


 


ปัญหาอยู่ที่ไหน เป็นไปไม่ได้ที่นางจำเสียงผิด หลี่เถี่ยสองคนนี้ไม่ใช่คนที่นางพบวันนั้น เสียงไม่เหมือนกัน


 


 


“ชิงเฉิง ทหารองครักษ์ชื่อหลี่เถี่ยมีเพียงสองคนจริงหรือ”


 


 


 


 


——


ตอนที่ 227 ไม่ใช่ทั้งสองคน


 


 


กู้ชิงเฉิงพยักหน้า “มีแค่สองคนนี้จริงๆ เจ้าแน่ใจหรือว่าสองคนนี้ไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการหา”


 


ซูจิ่วซือพยักหน้าอย่างมั่นใจ “แน่ใจ ไม่ใช่สองคนนี้ แม้รูปร่างจะใกล้เคียงกัน แต่ไม่ใช่แน่ คิดให้ดีก็มีความเป็นไปได้อีกทางหนึ่ง ทหารองครักษ์คนนั้นไม่ได้ชื่อหลี่เถี่ย คงเป็นเพราะพระสนมโหรวระมัดระวัง จึงไม่ได้ให้เขาใช้ชื่อจริง แต่ใช้ชื่อคนอื่นแทน”


 


“ถ้าเป็นอย่างนี้ พระสนมโหรวไม่ใช่คนธรรมดาแน่”


 


ซูจิ่วซือรู้สึกเสมอว่าพระสนมโหรวเป็นคนเร้นลับสุดหยั่ง เหตุการณ์ครั้งนี้พิสูจน์ความคิดของนางอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีคิดว่านางสามารถกุมความลับของพระสนมโหรวได้ ปรากฏว่าแม้แต่ชื่อของคนนั้นก็ยังไม่รู้ เสียเวลาเปล่า ทำให้ซูจิ่วซือสงสัย


 


“ถ้าตอนนี้ยังไม่พบเงื่อนงำ ก็ปล่อยไว้ก่อน ไปนั่งพักที่ห้องข้าเถอะ!”


 


ซูจิ่วซือพยักหน้ารับคำ


 


หลังจากฟื้นชีพ ซูจิ่วซือไม่มีเพื่อน กู้ชิงเฉิงจึงเป็นเพื่อนคนหนึ่ง กู้ชิงเฉิงเป็นคนดึงดันและเย่อหยิ่ง คล้ายซูหลิ่วเมื่อก่อน ซูจิ่วซือจึงเข้าใจกู้ชิงเฉิงดี ไม่นานทั้งสองจึงพูดคุยกันอย่างสนิทสนม กลายเป็นเพื่อนสนิท


 


ซูจิ่วซือนึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งตนกับลูกสาวจะกลายเป็นเพื่อนรู้ใจกัน การได้อยู่เคียงข้างลูกสาวในฐานะอย่างนี้ ทำให้นางเข้าใจลูกสาวมากขึ้น


 


ระหว่างทางที่ทั้งสองเดินกลับวังจื่อจิงก็พบกับอวี้ซิ่ว พอเห็นซูจิ่วซือ อวี้ซิ่วก็เข้ามาถวายบังคม


 


องค์หญิงสามเป็นคนเย่อหยิ่งถือตัว ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา นางกำนัลใกล้ชิดก็พลอยติดนิสัยนี้ด้วย น้ำเสียงไม่นอบน้อมเหมือนนางกำนัลคนอื่น “องค์หญิง องค์หญิงสามให้ข้ามาเชิญ เชิญองค์หญิงไปกับข้า”


 


ซูจิ่วซือไม่อยากไปพบเฟิ่งหลิงอวี๋ เวลานี้เฟิ่งหลิงอวี๋ถือนางเป็นคู่แข่งในการชิงกู้เฉินหรง คงต้องการข่มขู่นาง


 


กู้ชิงเฉิงห่วงซูจิ่วซือ นางยิ้มน้อยๆ “ข้าเองก็ไม่ได้พบองค์หญิงสามนานแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไปกับองค์หญิงด้วย”


 


“เอ่อ…”


 


อวี้ซิ่วลำบากใจ เฟิ่งหลิงอวี๋ต้องการพบซูจิ่วซือด้วยจุดหมายบางอย่าง ถ้ากู้ชิงเฉิงอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะทำให้เสียการหรือไม่


 


“ว่าอย่างไร  ข้าไปไม่ได้หรือ”


 


กู้ชิงเฉิงถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ


 


“พระสนม บ่าวไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ถ้าพระสนมไปด้วยองค์หญิงสามคงดีใจแน่ แต่องค์หญิงสามมีเรื่องจะคุยกับองค์หญิงตามลำพัง”


 


“ข้าเองก็มีเรื่องจะคุยกับองค์หญิงสามตามลำพัง ตกลงตามนี้นะ ไปกันเถอะ!”


 


พอกู้ชิงเฉิงยืนยันจะไป อวี้ซิ่วก็ไม่กล้าขัด กู้ชิงเฉิงมีฐานะพิเศษในวังในอยู่แล้ว แม้ไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ใครๆ ก็รู้ว่าฝ่าบาททรงดูแลนางเป็นพิเศษ


 


ซูจิ่วซือดูจากท่าทางของอวี้ซิ่วคาดเดาได้ว่าครั้งนี้เฟิ่งหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาดี ต้องการพบนางตามลำพัง ไม่รู้ว่าจะทำอะไรนาง


 


กู้เฉินหรงไปจากเมืองหลวงแล้ว เฟิ่งหลิงอวี๋ยังระรานนางไม่เลิก น่าปวดหัวจริงๆ


 


อวี้ซิ่วเดินนำหน้า ขณะที่ไปถึงศาลาฟังเสียงฝน ก็มีนางกำนัลเข้ามารายงาน จากนั้นอวี้ซิ่วก็รีบพาทั้งสองไปที่ห้องโถง พอนั่งลง เฟิ่งหลิงอวี๋ในชุดสีแดงก็เข้ามา


 


ข้างนอกอากาศร้อนอบอ้าว ซูจิ่วซือกับกู้ชิงเฉิงเดินมาระยะหนึ่งจึงมีเหงื่อเต็มหน้า ประตูหน้าต่างห้องโถงเปิดโล่ง อากาศดีกว่าข้างนอก แต่ก็ยังร้อน


 


เฟิ่งหลิงอวี๋สวมชุดผ้าโปร่ง หลังจากคารวะทักทายแล้ว นางก็สั่งสาวใช้ “ไปเอาแตงโมแช่เย็นกับน้ำบ๊วยแช่เย็นให้พระสนมกู้กับองค์หญิงอันผิงกินคลายร้อน วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน ระวังจะไม่สบาย”


 


สาวใช้รับคำแล้วออกไปทันที


ตอนที่ 228 องค์หญิงสามไม่เหมือนปกติ


 


 


 


 


บรรดาพระสนมและองค์หญิงวังในพอถึงฤดูร้อนทางกรมวังจะมีน้ำแข็งมาส่งให้ เพื่อใช้คลายร้อน เฟิ่งหลิงอวี๋เป็นคนฟุ่มเฟือยที่สุด วันใดอากาศร้อน นางยังใช้น้ำแข็งวางที่ห้องโถงด้วย แต่วันนี้ไม่ได้เตรียมไว้ ไม่เหมือนปกติจริงๆ


 


 


“องค์หญิงประหยัดตั้งแต่เมื่อไร อากาศร้อนอบอ้าวอย่างนี้ไม่เอาน้ำแข็งมาวาง”


 


 


กู้ชิงเฉิงเป็นคนพูดขึ้น นางอยู่วังในหลายปี รู้จักเฟิ่งหลิงอวี๋ดี


 


 


“ไทเฮาทรงต่อว่าว่าข้าฟุ่มเฟือย ต่อไปข้าจะหัดทำตัวเรียบง่ายบ้าง” เฟิ่งหลิงอวี๋พูดจบ นางกำนัลสองสามคนก็ช่วยกันยกชามน้ำบ๊วยแช่เย็นกับแตงโมแช่เย็นมาอย่างละสามชาม เฟิ่งหลิงอวี๋เอ่ยชวนอย่างกระตือรือร้น “แตงโมนี้ท่านน้าของข้าให้คนเอามาให้เมื่อวานจากหนานเถียน แตงโมที่นั่นอร่อยที่สุดในแคว้นเว่ย ทั้งกรอบทั้งหวาน ลองชิมดู”


 


 


ซูจิ่วซือเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อก่อนเฟิ่งหลิงอวี๋ไม่เคยยิ้มให้นาง วันนี้กลับเชิญมากินแตงโม ไม่เหมือนปกติจริงๆ เฟิ่งหลิงอวี๋มีจุดประสงค์อะไรหรือ


 


 


แม้ในใจจะสงสัย แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงออกมา นางยิ้มน้อยๆ “แตงโมหนานเถียนเป็นของหายาก นับว่าเป็นวาสนาของข้า”


 


 


เมื่อก่อนซูหลิ่วเคยกินแตงโมหนานเถียนบ่อยๆ แตงโมที่นั่นเป็นของกำนัลสำหรับเชื้อพระวงศ์ นอกจากราชตระกูลและขุนนางชั้นสูงแล้ว คนอื่นยากที่จะมีโอกาสลิ้มรส


 


 


ช่วงนี้แตงโมหนานเถียนมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ในวังถ้าไม่ใช่คนมีระดับไม่มีโอกาสได้กิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนชั้นสูง น้าของเฟิ่งหลิงอวี๋สามารถให้คนเอาแตงโมมาส่งที่วังได้ แสดงว่าครอบครัวฝ่ายแม่ของเฟิ่งหลิงอวี๋มีอำนาจบารมีสูงมาก สมกับเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมานาน


 


 


“องค์หญิงคงไม่เคยกินแน่ ลองชิมดู!”  


 


 


เฟิ่งหลิงอวี๋พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง ซูจิ่วซือไม่เคยกินมาก่อนจริงๆ แต่ซูหลิ่วเคยกินไม่น้อย


 


 


กู้ชิงเฉิงไม่ชอบกินแตงโม และไม่ชอบความจองหองของเฟิ่งหลิงอวี๋ จึงยิ้มเจื่อนๆ “องค์หญิงสามเชิญข้าสองคนมาชิมแตงโมหรือ”


 


 


“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าองค์หญิงอันผิงบรรยายรวมบทกวีฉู่ฉื่อคงเหนื่อยแล้ว เมื่อมีของดีก็อยากมอบให้องค์หญิงอันผิง” เฟิ่งหลิงอวี๋พูดจบก็หยิบแตงโมมากินชิ้นหนึ่ง กิริยาสง่างาม ท่วงท่าแสดงความสูงศักดิ์ทระนงตน


 


 


ซูจิ่วซือหยิบมากัดคำหนึ่ง ยี่สิบปีแล้ว รสชาติของแตงโมหนานเถียนเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อก่อนหวานกว่านี้


 


 


กู้ชิงเฉิงไม่ชอบกินผลไม้ นางยกน้ำบ๊วยข้างหน้าขึ้นมา รสชาติเปรี้ยวหวานช่วยคลายร้อน และระยะหลังนางเบื่ออาหาร น้ำบ๊วยช่วยให้เจริญอาหาร


 


 


กู้ชิงเฉิงดื่มน้ำบ๊วยรวดเดียวหมด แล้ววางชามลง ยิ้ม “น้ำบ๊วยที่นี่รสชาติดีมาก ฝีมือทำก็เก่ง”


 


 


“ป้าจางทำน้ำบ๊วยมายี่สิบปี ฝีมือย่อมใช้ได้ ถ้าพระสนมกู้ชอบ ข้าจะให้คนตักมาเพิ่มอีกชามหนึ่ง


 


 


“เจ้ากินชามนี้ ข้าไม่ชอบกินของเปรี้ยว”


 


 


ซูจิ่วซือไม่ชอบกินของเปรี้ยว และไม่คิดจะกินน้ำบ๊วยที่วางข้างหน้า พอได้ยินว่ากู้ชิงเฉิงอยากกินอีก ก็นึกทันทีว่าจะเอาของตนให้กู้ชิงเฉิง


 


 


“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”


 


 


กู้ชิงเฉิงถือซูจิ่วซือเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ อยู่กับซูจิ่วซือจึงไม่เกรงใจ


 


 


พอเห็นกู้ชิงเฉิงจะดื่มน้ำบ๊วยของซูจิ่วซือ เฟิ่งหลิงอวี๋ก็รีบร้องห้าม “พระสนมกู้ถ้าจะดื่ม ข้าให้คนตักมาอีกชามหนึ่ง ในห้องครัวยังมีอีก องค์หญิงเชิญดื่ม”


 


 


 


 


——


 


 


 


 


ตอนที่ 229 พบโดยไม่ต้องหา


 


 


 


 


ซูจิ่วซือเป็นคนรอบคอบอยู่แล้ว พอเห็นเฟิ่งหลิงอวี๋ร้องห้าม ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าน้ำบ๊วยนี้อาจจะมีปัญหา นางยิ้ม “องค์หญิงสามพูดมีเหตุผล ให้คนเอามาให้พระสนมกู้อีกชามหนึ่งดีกว่า ข้าเพียงแต่ไม่ชอบของเปรี้ยว กระนั้นก็ขอขอบใจในน้ำใจขององค์หญิง”


 


 


ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน กู้ชิงเฉิงซึ่งอยู่ข้างๆ ซูจิ่วซือก็เอาน้ำบ๊วยที่วางข้างหน้าซูจิ่วซือมาดื่มอึกใหญ่


 


 


“ชิงเฉิง…”


 


 


พอเห็นกู้ชิงเฉิงดื่มน้ำบ๊วยชามนี้ สีหน้าของซูจิ่วซือก็เปลี่ยนทันที อยากห้ามกู้ชิงเฉิง


 


 


กู้ชิงเฉิงยิ้มเจื่อนๆ “ข้าดื่มชามนี้ก็แล้วกัน”


 


 


พูดจบ ก็ดื่มน้ำบ๊วยจนหมดชาม


 


 


เฟิ่งหลิงอวี๋หน้าเสียราวกับวิตกขึ้นมาทันที เพื่อปกปิดอารมณ์ของตน จึงหลุบตาอย่างรวดเร็ว


 


 


“กินแตงโมไปแล้ว ดื่มน้ำบ๊วยไปแล้ว เราสองคนควรบอกลา ไม่รบกวนองค์หญิงสามแล้ว”


 


 


กู้ชิงเฉิงพูดจบก็ลุกขึ้น ซูจิ่วซือห่วงกู้ชิงเฉิง เวลานี้นางคิดว่าต้องพากู้ชิงเฉิงไปหาหมอหลวงอย่างเร่งด่วน รู้สึกว่าน้ำบ๊วยชามนี้มีปัญหาแน่


 


 


เฟิ่งหลิงอวี๋ขวางหน้าสองคนนี้ไว้ “ถ้าพระสนมกู้มีธุระก็กลับไปก่อน ข้ายังมีอะไรบางอย่างอยากถามองค์หญิงอันผิง”


 


 


“วันนี้ฟ้าจะมืดแล้ว ถ้าองค์หญิงสามมีคำถาม รอข้าเข้าวังครั้งหน้าค่อยถามก็ได้ วันนี้ข้าขอลาไปก่อน ยังต้องไปเข้าเฝ้าไทเฮาอีก”


 


 


ซูจิ่วซือรู้ว่าถ้านางอยู่ต่อไปต้องเกิดเรื่องนี้ แต่นางก็ห่วงกู้ชิงเฉิง จึงอยากออกไปพร้อมกับกู้ชิงเฉิง นางไม่เชื่อว่าเฟิ่งหลิงอวี๋จะกล้าบังคับให้อยู่ต่อ


 


 


พอเห็นว่าแผนการที่วางไว้ล้มเหลว ถ้าบีบบังคับก็จะทำให้ความลับเผยออกมา เฟิ่งหลิงอวี๋จึงไม่ฝืนซูจิ่วซือ ปล่อยซูจิ่วซือกับกู้ชิงเฉิงไป


 


 


ขณะออกไปจากตำหนักขององค์หญิงสาม ซูจิ่วซือจับมือกู้ชิงเฉิง “ชิงเฉิง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”


 


 


“ข้าไม่เป็นไร เจ้าสงสัยว่าองค์หญิงสามวางยาพิษใช่หรือไม่ นางไม่ใจกล้าขนาดนั้นหรอก เฟิ่งหลิงอวี๋แม้จะหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่รู้จักคิด”


 


 


“นางเชิญข้าไปศาลาฟังฝนโดยไม่มีเหตุผล เรื่องนี้ก็น่าสงสัย ต้องระวังไว้ดีกว่า ชิงเฉิง กลับไปแล้วเจ้ารีบให้หมอหลวงมาดูเถอะ”


 


 


ซูจิ่วซือเครียดมาก แต่กู้ชิงเฉิงไม่เครียดสักนิด นางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่ต้องห่วง จิ่วซือ รีบไปเถอะ ข้าจะกลับวังจื่อจิงแล้ว”


 


 


กู้ชิงเฉิงยืนยันว่าตนไม่เป็นไร ซูจิ่วซือแม้จะห่วง แต่ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับกู้ชิงเฉิง จึงไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กำชับกู้ชิงเฉิงให้หมอหลวงมาดู


 


 


กู้ชิงเฉิงรับปาก ไม่คิดว่าจะเรียกหาหมอหลวง แต่รู้สึกว่าซูจิ่วซือเครียดเกินไป


 


 


พอกู้ชิงเฉิงไปแล้ว ซูจิ่วซือคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงไปเข้าเฝ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่างที่ตำหนักหานจาง อยากให้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงดูแลกู้ชิงเฉิง เพราะซูจิ่วซือไม่วางใจ


 


 


แม้นางจะกำชับอย่างไร แต่ไม่เห็นว่ากู้ชิงเฉิงจะรับฟัง นางรู้ว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างคอยดูแลกู้ชิงเฉิงอยู่


 


 


ขณะเดินออกนอกวัง หลี่ซั่วผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์กำลังพาทหารออกลาดตระเวน ซูจิ่วซือช่วงนี้เข้าวังบ่อย เคยเห็นหลี่ซั่วแต่ไกลครั้งสองครั้ง แต่ไม่เคยพูดคุยกัน


 


 


ครั้งนี้เป็นการพบหน้ากันตรงๆ หลี่ซั่วจึงคารวะซูจิ่วซือ


 


 


“ผู้น้อยหลี่ซั่วคารวะองค์หญิงอันผิง”


 


 


หลี่ซั่วร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ผิวค่อนข้างคล้ำ ดูกระฉับกระเฉง พอได้ยินเสียงของหลี่ซั่ว ดวงตาซูจิ่วซือฉายแววสงสัยขึ้นมาทันที แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


นางพยักหน้าให้หลี่ซั่ว “ผู้บัญชาการหลี่เชิญลุกขึ้น อากาศร้อนอย่างนี้ยังต้องลาดตระเวนข้างนอก ลำบากท่านแล้ว”


ตอนที่ 230 สมปรารถนาโดยบังเอิญ  


 


 


 


 


 


“ผู้น้อยอยู่ในหน้าที่ หากองค์หญิงไม่มีอะไรให้รับใช้ ผู้น้อยขอตัวไปลาดตระเวน” 


 


 


ซูจิ่วซือยืนอยู่ข้างๆ หลี่ซั่วนำทหารใต้บัญชาไปแล้ว ซูจิ่วซือไม่ได้ขยับตัว มองตามหลังหลี่ซั่วแล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว นี่เรียกว่าพบโดยไม่ต้องหาอย่างแท้จริง 


 


 


“คุณหนู เป็นอะไรไปหรือ” 


 


 


พอเห็นซูจิ่วซือยิ้ม จื่อหลานก็ถามด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“ไม่มีอะไร แต่มั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง ไปเถอะ กลับจวน” 


 


 


จื่อหลานเห็นว่าซูจิ่วซือไม่ต้องการบอกก็ไม่ได้ถามต่อ ได้แต่เดินตามหลังซูจิ่วซือ หลังจากขึ้นรถม้า จู่ๆ ซูจิ่วซือก็ถามขึ้น “จื่อหลาน ได้ข่าวกู้เฉินหรงหรือไม่” 


 


 


จื่อหลานสั่นหัว “บ่าวส่งคนไปสืบถาม ไม่ได้ข่าวอะไรเลย ไม่รู้ว่าเวลานี้คุณชายกู้ไปถึงไหนแล้ว” 


 


 


ซูจิ่วซือเอนพิงรถม้า ถอนหายใจเบาๆ กู้เฉินหรงจากไปห้าวันแล้ว 


 


 


นางรู้ว่าซิ่นอ๋องตามล่าสังหารกู้เฉินหรงมาตลอด จึงห่วงกู้เฉินหรง ให้จื่อหลานส่งคนไปสืบ ถ้าได้ข่าวว่าเขาไปถึงแคว้นเว่ยอย่างปลอดภัย นางจึงจะวางใจ 


 


 


คาดไม่ถึงว่าพอกู้เฉินหรงออกไปจากเมืองหลวงก็เหมือนสูญหายไปจากโลก ไม่ได้ข่าวคราวเขาเลย ซูจิ่วซือรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี 


 


 


ไม่ทันรู้ตัว นางก็คิดถึงกู้เฉินหรงขึ้นมา ไม่ว่าตนจะปฏิเสธอย่างไร พอถึงตอนนี้นางไม่อาจปฏิเสธได้ กู้เฉินหรงครอบครองหัวใจนางแล้ว และมีความสำคัญมากกว่าที่นางคิด 


 


 


กู้ชิงเฉิงพอกลับถึงวังจื่อจิงก็เข้าไปในห้อง นางรู้สึกง่วง จึงนอนพัก 


 


 


ตอนที่เฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จมาที่วังจื่อจิงโดยไม่ให้กู้ชิงเฉิงรู้ล่วงหน้า เมื่อทรงทราบว่านางหลับอยู่ เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ให้นางกำนัลออกไป แล้วเสด็จเข้าไปในห้องของกู้ชิงเฉิงตามลำพัง นานแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสด็จมาที่ห้องของกู้ชิงเฉิง ยามนี้ทรงปรารถนาจะทอดพระเนตรนางขณะนอนหลับ ถ้ากู้ชิงเฉิงตื่น ก็จะไม่เห็นพระองค์ 


 


 


ขณะเสด็จเข้าไปทรงได้ยินเสียงประหลาด พระองค์เป็นฮ่องเต้ผู้ครอบครองทั้งวังใน จึงทรงรู้ดีว่าเสียงนี้หมายความว่าอย่างไร 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างสีพระพักตร์กริ้ว เสด็จไปที่เตียง ทรงแหวกมุ้งออก เห็นภาพที่ทำให้พระองค์ตกตะลึง 


 


 


กู้ชิงเฉิงหลับตานอนบนเตียง สีหน้าแดงซ่าน ความรู้สึกอึดอัดทำให้นางส่งเสียงครางไม่ขาดระยะ ดึงเสื้อผ้าที่สวมจนกระจุย เผยให้เห็นผิวขาวผ่องราวหิมะ 


 


 


“ชิงเฉิง” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงรู้ว่ากู้ชิงเฉิงเป็นอะไรไป พระทัยรู้สึกกริ้ว ใครหนอที่วางยากู้ชิงเฉิง ทรงนึกขึ้นได้ว่าซูจิ่วซือเป็นคนทูลพระองค์ พระองค์ทรงสงสัยซูจิ่วซือ แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ 


 


 


น้ำเสียงของซูจิ่วซือห่วงใยกู้ชิงเฉิงมาก นางพูดแต่ว่ากู้ชิงเฉิงไม่ค่อยสบาย 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างประทับนั่งข้างเตียงทรงจับมือกู้ชิงเฉิงไว้ มือของนางร้อนผ่าว ให้ความรู้สึกวูบวาบ  


 


 


สัมผัสที่เย็นเยียบทำให้กู้ชิงเฉิงรู้สึกสบาย นางจับพระหัตถ์ของเฟิ่งอวิ๋นหล่างไว้แน่น เอนร่างเข้าแนบชิดเฟิ่งอวิ๋นหล่างมากขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


หลายปีมานี้ เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงควบคุมพระองค์เองไม่ให้เสด็จมาหากู้ชิงเฉิง เวลานี้พระองค์ไม่อาจควบคุมพระองค์ได้ ทรงลูบใบหน้าของกู้ชิงเฉิงอย่างลืมพระองค์  


 


 


“ชิงเฉิง เราดีกันนะ ดีหรือไม่” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างตรัสจบ ก็ทรงก้มลงประทับจูบริมฝีปากกู้ชิงเฉิง กู้ชิงเฉิงไม่รู้สึกตัว รู้แต่ว่าได้อิงแอบความเย็นเยียบ  


 


 


ขณะที่กู้ชิงเฉิงตื่นขึ้นมา ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว นางรู้สึกถึงความผิดปกติทันที พอลืมตาขึ้นก็เห็นเฟิ่งอวิ๋นหล่างบรรทมอยู่ข้างๆ พระหัตถ์วางบนเอวนาง 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 231 ฮ่องเต้ทรงกริ้ว 


 


 


 


 


 


“ตื่นแล้วหรือ” เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงลืมพระเนตรขึ้น ฉายแววแย้มสรวล ขณะทอดพระเนตรกู้ชิงเฉิงด้วยความรัก 


 


 


ในสมองของกู้ชิงเฉิงยังมีความจำเลือนราง แล้วชัดเจนขึ้นทันที เฟิ่งหลิงอวี๋ใส่อะไรบางอย่างลงในน้ำบ๊วยชามนั้น ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นยากระตุ้นสวาท  


 


 


เฟิ่งหลิงอวี๋ต้องการใช้วิธีนี้มาทำลายความบริสุทธิ์ของซูจิ่วซือ โชคดีที่นางเป็นคนดื่มยาชามนั้นเสียเอง ไม่เช่นนั้นซูจิ่วซืออาจจะเสียหาย 


 


 


แต่เฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงลุกขึ้นนั่ง ยื่นพระหัตถ์ไปกอดกู้ชิงเฉิง ทรงดึงนางมาไว้ในอ้อมพระกร “ชิงเฉิง อย่าหมางเมินกับเราเลย สามปีแล้วนะ ปล่อยวางเรื่องนั้นเสียเถอะ ดีหรือไม่” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างพระบารมีสูงส่ง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยตรัสกับพระสนมด้วยพระสุรเสียงเช่นนี้ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ ขอแต่ให้กู้ชิงเฉิงยินยอม พระองค์จะไม่ถือโทษ ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านพ้นไป  


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง กู้ชิงเฉิงอยากรับปาก แต่จู่ๆ นางก็เห็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของจางเฉิง นางรู้จักจางเฉิงตั้งแต่เด็ก ถือเขาเป็นพี่ชาย และรู้สึกผิดต่อการตายของเขามาตลอด เขาฆ่าตัวตายเพื่อนาง 


 


 


กู้ชิงเฉิงหลับตาลง ไม่พูดไม่จา พอทอดพระเนตรเห็นกู้ชิงเฉิงไม่พูด เฟิ่งอวิ๋นหล่างจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นชา “สามปีแล้ว เจ้ายังไม่ลืมจางเฉิงอีกหรือ” 


 


 


พระดำรัสนี้ทำให้กู้ชิงเฉิงผลักเฟิ่งอวิ๋นหล่างออกไปทันที ใช่ สามปีแล้ว แต่เฟิ่งอวิ๋นหล่างยังทรงระแวงเรื่องนางกับจางเฉิง ยังถือว่านางกับจางเฉิงลักลอบเล่นชู้กัน 


 


 


ชั่ววินาทีนี้ นางเข้าใจทันที ความเข้าใจผิดระหว่างนางกับเฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่อาจแก้ไขได้ 


 


 


“ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืมจางเฉิง” 


 


 


เมื่อทรงได้ยินคำนี้ เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงกริ้วจนควบคุมพระองค์ไม่อยู่ ทรงจับคางกู้ชิงเฉิงไว้ สายพระเนตรฉายแววพิโรธ “จางเฉิงเป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ เราเทียบเขาไม่ได้ตรงไหน เจ้าจึงลืมเขาไม่ลง 


 


 


กู้ชิงเฉิง ตอนนั้นถ้าเจ้ารักจางเฉิงปานนี้ ก็ไม่ควรเข้าวัง เราเป็นฮ่องเต้ ไม่คิดจะชิงคนรักของคนอื่น เมื่อเข้าวัง ก็ต้องเป็นผู้หญิงของเรา เป็นตลอดชีวิต เจ้าถือเราเป็นใครกัน 


 


 


เราเลิกพูดถึงจางเฉิงแล้ว แต่เจ้ากลับโทษเรา กู้ชิงเฉิง เจ้าถือตัวว่าเรารักเจ้ากระนั้นหรือ” 


 


 


กู้ชิงเฉิงกอดผ้าห่ม หลบสายพระเนตรเฟิ่งอวิ๋นหล่าง “วังในมีพระสนมมากมาย ในเมื่อหม่อมฉันทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ไยฝ่าบาทจึงทำให้พระองค์ทรงลำบากด้วย” 


 


 


“ได้ ได้ ได้” เฟิ่งอวิ๋นหล่างกริ้วถึงขีดสุดจึงตรัสอย่างต่อเนื่องสามคำ “กู้ชิงเฉิง เราตามใจเจ้า เจ้าคิดถึงจางเฉิงปานนี้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คิดถึงไปตลอดชีวิต ชาตินี้ เราจะไม่เหยียบย่างเข้ามาในวังจื่อจิงอีก เจ้าไม่มีค่าพอให้เราคิดถึง” 


 


 


ตรัสจบ เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ทรงลุกขึ้นทรงฉลองพระองค์ แล้วเสด็จออกจากห้องของกู้ชิงเฉิงโดยไม่หันพระพักตร์กลับมา 


 


 


กู้ชิงเฉิงนอนในผ้าห่ม ดวงตาไร้ประกาย นางไม่เข้าใจว่าทำไมเฟิ่งอวิ๋นหล่างจึงไม่เชื่อใจนาง ทรงรู้สึกเสมอว่านางรักจางเฉิง ไม่เคยเชื่อใจนางเลย 


 


 


“พระสนม ฝ่าบาทเสด็จมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมพระสนมจึงทำเช่นนี้เล่าเพคะ” 


 


 


เสี่ยวเหลียนเห็นเฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จออกไปด้วยสีพระพักตร์โกรธกริ้ว นางรู้สึกว่าครั้งนี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงพิโรธหนัก เกรงว่าวันหลังคงไม่เสด็จมาอีก 


 


 


“อย่างนี้ก็ดี เสี่ยวเหลียน ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า” 


 


 


“ถ้าอย่างนี้ต่อไปพระสนมจะทำอย่างไร  ในใจพระสนมมีฝ่าบาท บ่าวไม่อาจทนดูพระสนมเป็นอย่างนี้ต่อไป” 


 


 


กู้ชิงเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้ายังรู้ว่าหัวใจข้ามีพระองค์ แต่พระองค์ไม่เชื่อเรื่องนี้ เสี่ยวเหลียน เจ้าว่าน่าขันหรือไม่” 


 


 


“พระสนมยอมอ่อนให้ฝ่าบาทดีกว่าเพคะ” 


 


 


“ไม่ต้องพูดมาก อย่างนี้แหละดีแล้ว” 


ตอนที่ 232 ซูเหิงกลับจวน


 


 


 


 


กู้ชิงเฉิงรู้สึกท้อใจ นางรู้ว่าอุปสรรคที่ขวางระหว่างนางกับฮ่องเต้คงจะข้ามไม่ได้ตลอดชีวิต ถ้านางยอมรับเฟิ่งอวิ๋นหล่างเวลานี้ สักวันหนึ่งคงจะเกลียดกัน สุดท้ายก็จะทำลายความงดงามที่ยังเหลืออย่างสิ้นเชิง นางอยากรักษาความทรงจำนี้ตลอดไป


 


 


เสี่ยวเหลียนรู้นิสัยดึงดันของชิงเฉิงดี นางรู้ว่าเรื่องนี้เตือนอย่างไรก็ไม่ได้ผล จึงไม่ได้พูดต่อ เกรงว่าจะทำให้กู้ชิงเฉิงไม่พอใจ


 


 


ปีนี้กู้ชิงเฉิงเพิ่งอายุยี่สิบสองปี ชีวิตยังมีเวลาอีกยาวนาน ไม่มีลูก เวลานี้ยังเป็นที่โปรดปรานของเฟิ่งอวิ๋นหล่างได้ วันหลังถ้าอายุมากขึ้น วังในมีคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ คงไม่มีโอกาสอีก ต่อไปจะอยู่อย่างไร


 


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหลียนก็ห่วงกู้ชิงเฉิง ชีวิตของผู้หญิงที่ไร้ที่พึ่งในวังในช่างอ้างว้างจริงๆ


 


 


รุ่งขึ้นซูเหิงก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่น


 


 


พอรู้ว่าซูเหิงจะกลับมา ซูจิ่วซือกับซูเหลียงอินก็อยู่รอที่หน้าประตูจวนแต่เช้า ทั้งสองรออยู่นานเกือบหนึ่งชั่วยาม รถม้าของซูเหิงจึงมาถึง


 


 


ชั่วขณะที่ซูเหิงลงจากรถม้า ซูจิ่วซือตะลึงงัน ราวกับเห็นซูหมิงก้าวลงมา ซูเหิงเหมือนซูหมิงจริงๆ


 


 


ความทรงจำสุดท้ายของซูจิ่วซือ ซูหมิงเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี พอๆ กับซูเหิง เวลานี้ซูเหิงก็เป็นน้องชายของนาง พอนึกถึงเรื่องนี้ ซูจิ่วซือก็น้ำตาซึม นางรู้สึกว่าเป็นลิขิตฟ้า ฟ้าส่งซูหมิงให้กลับชาติมาเกิด


 


 


ซูเหลียงอินวิ่งเข้าไปหา ร้องเรียกอย่างดีใจ “พี่รอง ในที่สุดพี่ก็กลับมา”


 


 


“เหลียงอิน ไม่เจอกันสามปี เจ้าโตเป็นสาวแล้ว”


 


 


ซูเหิงยื่นมือไปลูบผมซูเหลียงอินเหมือนเมื่อตอนเด็ก ตอนที่เขาจากไปซูเหลียงอินเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี สามปีมานี้นางโตขึ้นมาก แม้ใบหน้ายังไร้เดียงสา แต่เห็นชัดว่าโตแล้ว


 


 


ซูเหลียงอินพึมพำอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”


 


 


“น้องรอง กลับมาก็ดีแล้ว” ซูจิ่วซือเดินไปหาซูเหิง ยิ้มให้ซูเหิง


 


 


“พี่” ซูเหิงเรียกทักทาย รู้สึกว่าพี่สาวที่อยู่ข้างหน้ากับในความจำของเขาไม่เหมือนกัน ตลอดทางเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซูจิ่วซือไม่น้อย รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซูจิ่วซือ นึกไม่ถึงว่าชั่วเวลาเพียงสองปี พี่สาวของเขาจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้


 


 


ซูเหิงผอมกว่าซูหมิง จึงดูคล่องแคล่วกว่า ท่าทางเป็นปัญญาชนผู้นอบน้อม อ่อนโยนมีมารยาท ค่อนข้างขี้อาย เหมือนซูหมิง ซูหมิงก็เป็นคนใจกว้างเช่นกัน


 


 


“เข้ามาเถอะ! มีอะไรก็นั่งลงก่อนค่อยๆ คุยกัน”


 


 


“ข้าอยากไปหาท่านแม่”


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า สองสาวพี่น้องพาซูเหิงไปที่ศาลบรรพชน ป้ายนางหวังตั้งอยู่ในศาลบรรพชน


 


 


หลังจากไหว้แล้ว ซูเหิงก็ลุกขึ้นเดินมาหาซูจิ่วซือ สายตาจ้องมองซูจิ่วซืออย่างแน่วแน่ “พี่ สามปีมานี้พี่คงเหนื่อย เรื่องดูแลครอบครัวควรเป็นหน้าที่ของข้า เวลานี้ข้ากลับมาแล้ว วันหลังข้าจะเป็นคนดูแลครอบครัวเอง ข้าจะแก้แค้นแทนแม่”


 


 


แม้เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็รู้ว่าการตายของนางหวังเกี่ยวข้องกับอารองอย่างเลี่ยงไม่พ้น การกลับมาคราวนี้ เขาไม่คิดจะไปไหนอีก อยากอยู่ที่จวนอันผิงโหว ปกป้องครอบครัวให้ดี


 


 


“เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”


 


 


“พี่ ข้าเป็นผู้ชาย จะให้พี่ทำได้อย่างไร ข้าเป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัว ข้าไปเรียนหนังสือข้างนอกก็เพราะอยากเป็นคนเหนือคน ไม่อยากให้ใครมารังแกเราอีก


 


 


จวนอันผิงโหวเดิมทีก็เป็นของครอบครัวเรา อารองไล่พวกเราออกจากจวนอันผิงโหว ยึดครองจวนมานานหลายปี เวลานี้ยังทำร้ายแม่ ข้าโตแล้ว ข้าไม่มีวันปล่อยอารองแน่”


 


 


 


 


——


 


 


 


 


ตอนที่ 233 เกิดเหตุร้าย


 


 


 


 


ขณะที่ซูเหิงพูดคำนี้ออกมา ดวงตาก็ฉายแววแค้นแวบหนึ่ง


 


 


ปีนี้เขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี เมื่อก่อนเขาเรียนหนังสือในจวน พออายุสิบสี่ปีเขาก็ขอไปเรียนที่สำนักศึกษาหนานซาน ซึ่งเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในแคว้นเว่ย ต้องผ่านการสอบคัดเลือกจึงจะเข้าไปศึกษาได้


 


 


บทความที่ซูเหิงเขียนเป็นที่ชื่นชมของอาจารย์ เขาจึงได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาหนานซาน


 


 


ตลอดสามปีมานี้เขาไม่เคยออกจากสำนักศึกษาหนานซาน เรียนหนังสือในนั้นตลอด ผลการเรียนยอดเยี่ยม ได้รับการส่งเสริมจากอาจารย์ให้เข้ารับราชการ กลับมาคราวนี้เขามีหนังสือแนะนำให้เข้ารับราชการในราชสำนัก


 


 


เขาเป็นผู้ชายคนเดียวของครอบครัว ตั้งแต่เล็กก็เห็นเด็กผู้ใหญ่ในครอบครัวถูกรังแก มารดาอยากให้ลูกๆ อยู่อย่างสงบ จึงอดทนจำยอม ได้รับความลำบากมากมาย ตั้งแต่เล็กเขาก็มีความตั้งใจมั่น อยากจะเป็นคนเหนือคน ให้คนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


 


 


เมื่อก่อนเขาไม่คิดจะกลับจวนอันผิงโหว พอได้ยินว่านางหวังตายในจวนอันผิงโหว เขาจึงเกิดความคิดอยากให้ครอบครัวของซูเหวินได้รับผลตอบแทน พวกนี้รังแกกันเกินไป


 


 


เบื้องหน้าของเขา ซูจิ่วซือมีความคิดแบบผู้อาวุโส ต้องการปกป้องเขากับน้อง


 


 


พอได้ยินคำพูดของซูเหิง ซูจิ่วซือก็รู้สึกทันทีว่าซูเหิงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วันหลังเขาต้องสืบทอดภารกิจครอบครัวจวนอันผิงโหว บางเรื่องจำเป็นต้องให้เขาจัดการ พอคิดอย่างนี้ นางก็ยินดีมาก ซูเหิงเป็นเด็กดี


 


 


“ข้าจะช่วยเจ้า น้องรอง ถ้าท่านแม่ได้ยินอย่างนี้คงดีใจมาก ว่าลูกชายนางโตแล้ว”


 


 


“ยังมีข้าอีกคน เราสามคนรวมกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะอยู่ด้วยกัน


 


 


พี่รอง พี่ไม่รู้ว่าเวลานี้พี่สาวเก่งแค่ไหน เป็นคนโปรดของไทเฮา นี่เพิ่งกลับมา เรื่องราวในเมืองหลวงที่พี่รองไม่รู้ต้องถามพี่สาว เข้าใจหรือไม่”


 


 


ซูเหิงยิ้ม “เวลานี้แม้แต่เจ้าก็ยังสอนข้า”


 


 


“ก็ใช่ ข้าเรียนจากพี่สาวตั้งหลายอย่าง”


 


 


พี่น้องทั้งสามมองหน้ากันแล้วหัวเราะ สำหรับซูจิ่วซือแล้ว ซูเหิงเป็นความหวังของครอบครัวสกุลซู


 


 


น้องชายและน้องสะใภ้ของนางเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวาง สุดท้ายก็ตาย แม้ซูเหิงนิสัยต่างจากซูหมิงบ้าง มีจุดหมายและความทะเยอทะยานที่ชัดเจน นางรู้สึกว่าวันหลังซูเหิงคงจะทำให้จวนอันผิงโหวรุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน


 


 


ซูเหิงกลับมาแล้ว ทำให้ซูคังไม่เป็นอันสงบ เวลานี้เขาอยู่ที่ห้องหนังสือของซูเหวิน พูดด้วยสีหน้าเครียด “ท่านพ่อ รีบคิดหาทางเร็วเข้า ได้ข่าวว่าซูเหิงกลับมาพร้อมด้วยหนังสือแนะนำตัวเข้ารับราชการ ตลอดทาง ข้าส่งคนไปจัดการซูเหิงเพื่อชิงหนังสือแนะนำตัว แต่ก็เอามาไม่ได้ ดูเหมือนจะมีจอมยุทธ์ปกป้องซูเหิงอย่างลับๆ เมื่อมีหนังสือแนะนำตัว ฝ่าบาทคงใส่พระทัยในตัวเขาแน่


 


 


ซูจิ่วซือเป็นองค์หญิงอันผิง ช่วยทูลต่อไทเฮาได้ พอถึงตอนนั้นซูเหิงคงได้ตำแหน่งสูง เป็นภัยคุกคามเรา เจ้าเด็กซูจิ่วซือก็ไม่ธรรมดา ถ้าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป พูดตรงๆ ก็คือ จวนอันผิงโหวอาจจะเปลี่ยนเจ้านาย”


 


 


“หุบปาก เป็นเพราะพวกเจ้าไม่เอาไหนต่างหาก”


 


 


เวลานี้ซูเหวินรู้สึกกลัดกลุ้มใจ ตั้งแต่ซูจิ่วซือกลับจวน เขาก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบ ตอนนี้ซูเหิงยังกลับมาอีกคน และซูเหิงคนนี้ยังเก่งกว่าบรรดาลูกอกตัญญูของตน ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป จวนอันผิงโหวคงได้เปลี่ยนนายแน่


 


 


“พวกเขาไม่เอาไหนได้อย่างไร”


 


 


ซูคังไม่ยอมรับ พูดแก้ตัวว่า “ถ้าไม่มีซูเหิง ก็ไม่มีใครมาคุกคามฐานะของพวกเรา ท่านพ่อ เราต้องหาทางกำจัดซูเหิง ซูจิ่วซือมีน้องชายคนนี้คนเดียว ถ้าซูเหิงตาย นางทำอะไรก็ไม่เกิดประโยชน์”


ตอนที่ 234 แผนใส่ร้าย 


 


 


 


 


 


แต่โบราณมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สืบสกุล ถ้าซูเหิงตาย ซูจิ่วซือแม้เก่งกาจเพียงไร หากนางแต่งงานไป ก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในจวนอันผิงโหว  


 


 


“ตอนบ่ายข้าจะไปปรึกษาท่านอาเรื่องนี้ วันมะรืนหลี่ซูหลานก็จะเข้าจวนแล้ว เจ้าให้เมียเจ้าจัดการให้เรียบร้อย” 


 


 


หลี่ซูหลานเป็นภรรยาใหม่ของซูเหวิน เป็นผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในเมืองหลวง ลูกหลานตระกูลใหญ่ทั่วไปพากันหลีกห่างนาง ทำให้นางอายุยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่ได้แต่งงาน ซูเหวินแต่งนางเข้าจวน เพื่อจัดการกับซูจิ่วซือ ให้นางข่มซูจิ่วซือ 


 


 


ซูคังไม่พอใจที่ซูเหวินแต่งงานใหม่ เขาพูดด้วยสีหน้าวิตก “งานแต่งของท่านพ่อ ท่านพ่อก็จัดการเอง ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน” 


 


 


พูดจบซูคังก็ออกไปจากห้องหนังสือ ซูเหวินโกรธเอากำปั้นทุบกับโต๊ะ ร้องด่า “ไอ้ลูกอกตัญญู” 


 


 


เขาเองก็ไม่อยากรีบร้อนแต่งงานใหม่ แต่ใครใช้ให้ลูกสะใภ้ไร้ความสามารถ ถ้าพอจะทำอะไรเป็นบ้าง เขาก็จะมอบหมายให้ลูกสะใภ้จัดการงานบ้าน ตอนนี้จึงจำเป็นต้องแต่งงานใหม่ แต่ซูคังกับเมียกลับโทษเขา 


 


 


พอซูคังกลับไปที่ห้อง นางเจิ้งก็เข้ามาหา รินชาให้ “ท่านพี่ คิดหาทางเถอะ! หลี่ซูหลานจะมาอยู่นี่แล้ว ข้าได้ยินว่าหลี่ซูหลานเป็นคนใจกล้า และยังสาว เข้าจวนมาต้องมีลูกแน่ ถ้าได้ลูกชาย พอถึงตอนนั้นเราคงโดนหลี่ซูหลานรังแก” 


 


 


ซูคังกำลังหงุดหงิด พอได้ยินนางเจิ้งพูดอย่างนี้ก็ยิ่งโมโห เขารับถ้วยชาที่นางเจิ้งยื่นให้ กระแทกลงบนโต๊ะ “พอแล้ว ไม่ต้องพูดมาก คิดว่าข้ายังไม่ยุ่งพอหรือ ท่านพ่อแต่งงานใหม่ ใครจะขัดได้ ผู้หญิงคนนี้ท่านพ่อเป็นคนเลือกเอง ถ้าเจ้าพอจะทำอะไรเป็นบ้าง ท่านพ่อจะเลือกคนอย่างนี้หรือ” 


 


 


นางเจิ้งสีหน้าน้อยใจ “ท่านพี่ ข้าทำอะไรไม่เป็นจริงๆ  องค์หญิงอันผิงถึงจะเก่งแค่ไหนก็ต้องแต่งออกไป อยู่จวนอันผิงไปตลอดได้อย่างไร แต่หลี่ซูหลานไม่ใช่อย่างนั้น พอเข้าจวนมา นางก็เป็นคนของจวนอันผิงโหว ชาตินี้ต้องอยู่ในจวน เวลานี้ซูเหิงก็กลับมาแล้ว ท่านพี่ต้องคิดหาทาง” 


 


 


“ข้าจะหาทางอะไรได้ หลี่ซูหลานก็ขัดไม่ได้ คงต้องหาโอกาสกำจัดซูเหิง” 


 


 


นางเจิ้งคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ท่านพี่ ท่านพี่เข้าวังไปหาฮองเฮาดีกว่า พระนางฉลาด ไม่ถูกกับองค์หญิงอันผิงมาตลอด ต้องช่วยเราแน่ ไม่แน่อาจจะมีวิธีดีๆ” 


 


 


“บ่ายนี้ท่านพ่อจะไปหาท่านอา ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ตั้งแต่ซูจิ่วซือกลับมา จวนอันผิงก็ไม่เป็นอันสงบ ถ้าไม่มีนาง มีหรือหลี่ซูหลานจะมา 


 


 


กระดูกท่านแม่ยังไม่ทันเย็น ท่านพ่อก็จะแต่งงานใหม่ ไม่รู้ว่าท่านแม่จะเสียใจอยู่ในปรโลกหรือไม่” 


 


 


“ท่านพ่อไม่เห็นท่านพี่อยู่ในสายตา ท่านพี่ เรื่องนี้เราสองคนคิดต้องหาทาง จะนั่งรอความตายอย่างนี้ไม่ได้ อีกไม่กี่เดือนลูกเราก็จะคลอดแล้ว” 


 


 


นางเจิ้งมองซูคังด้วยแววตาขอร้อง นางกลัวว่าวันหลังลูกของตนจะไม่มีฐานะในจวนอันผิงโหว ซูคังเป็นลูกชายคนโต ตามแบบแผนแล้วเขาควรเป็นคนสืบทอดตำแหน่งโหว 


 


 


ถ้าหลี่ซูหลานเข้ามา มีลูกชาย ซูคังอาจจะถูกยกเลิกฐานะผู้สืบทอด ที่สำคัญนางได้ยินมาว่าหลี่ซูหลานเป็นคนใจกล้า นางจึงรู้สึกกลัวหลี่ซูหลาน 


 


 


คำพูดนี้ทำให้ซูคังยิ่งหงุดหงิด เขาออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เตรียมเข้าวังไปปรึกษากู้เฝิ่นไต้ ดูว่ากู้เฝิ่นไต้จะมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้  


 


 


 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 235 ซูเหวินแต่งงานใหม่ 


 


 


 


 


 


ซูจิ่วซือกำลังกินมื้อเย็นกับซูเหิงและซูเหลียงอิน ซูเหลียงอินหยิบน่องไก่ขึ้นมากินพลางพูดขึ้น “พี่ หลี่ซูหลานจะแต่งเข้ามา อารองไม่ได้ให้พี่ช่วยจัดการงานบ้านเล” 


 


 


“ไม่ให้พี่ช่วยก็ดีแล้ว จะได้อยู่อย่างสงบ” 


 


 


ซูจิ่วซือกินน้ำแกง ตอบช้าๆ  


 


 


“แต่ข้าได้ยินมาว่าหลี่ซูหลานเป็นผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในเมืองหลวง อารองแต่งงานกับผู้หญิงอย่างนี้ แสดงว่าตั้งใจจะให้มาจัดการพี่ คงกลัวว่าพี่จะเข้าไปยุ่งกับงานในจวนอันผิงโหว ไม่รู้ว่าพอหลี่ซูหลานมาแล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้ข่าวว่าทั่วเมืองหลวงไม่มีใครกล้าแต่งกับนาง” 


 


 


ซูเหลียงอินสีหน้ากังวล 


 


 


ซูเหิงกลับไม่ทุกข์ร้อน “เหลียงอิน เจ้ากังวลเรื่องนี้ทำไม หลี่ซูหลานเป็นผู้หญิงร้ายกาจแล้วอย่างไร ไม่แน่อาจจะแข็งแต่ภายนอก ภายในไม่มีอะไร ถ้าเป็นคนอย่างนี้ วันหลังอารองก็รับกรรมไป 


 


 


ซูคังอีกคน ก็แต่งงานกับผู้หญิงร้ายกาจ คนที่น่ากลัวจริงๆ น่าจะเป็นซูคัง เขาก็คงไม่อยากให้อารองแต่งงานใหม่ ทางที่ดีคือไม่มีใครเข้ามาอยู่” 


 


 


“น้องรองพูดถูก หลี่ซูหลานเป็นผู้หญิงร้ายกาจหรือไม่สำหรับเราก็ไม่ต่างกัน 


 


 


คนที่จะกลัวนางก็คือซูคัง หลี่ซูหลานยังสาว ซูคังคงกลัวว่านางจะมีลูกชาย 


 


 


ถ้ามีลูกชาย หลี่ซูหลานย่อมนึกถึงอนาคตของลูก พอถึงตอนนั้นเราคงได้ดูเรื่องสนุก น้องรอง เจ้าต้องระวังหน่อย เกรงว่าพวกอารองจะทำอะไรขึ้นมา” 


 


 


ซูเหิงพยักหน้า “พี่ ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำอะไรระมัดระวัง พรุ่งนี้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน รอให้ข้าได้ทำงานแล้วค่อยว่า” 


 


 


ซูเหลียงอินกลืนเนื้อไก่ในปาก แล้วหัวเราะออกมา “ถ้างั้น ข้าก็อยากให้หลี่ซูหลานมาเร็วหน่อย เราจะได้ดูเรื่องสนุก” 


 


 


“เจ้าก็ อย่าให้พี่จิ่วซือเดือดร้อนก็พอแล้ว” 


 


 


“พี่รอง พี่ก็ว่าข้าอย่างนี้หรือ ข้าหาเรื่องที่ไหนกัน” 


 


 


ซูเหลียงอินย้อนถามอย่างไม่ยอมรับ 


 


 


“เอาละ กับข้าวเย็นหมดแล้ว รีบกินเถอะ” พอเห็นซูเหลียงอินชอบกินขาไก่ ซูจิ่วซือก็คีบให้ซูเหลียงอินอีกขาหนึ่ง ในสายตาของนาง ซูเหลียงอินเป็นลูกสาว นางรักหลานสาวคนนี้เหมือนลูก 


 


 


“พี่ พี่รอง กินคนละขา ตอนเล็กข้าอยากให้เราสามคนกินขาไก่ด้วยกันสักวัน” 


 


 


ซูเหลียงอินหัวเราะร่า นึกถึงอดีต เวลานั้นชีวิตความเป็นอยู่ขัดสน ขาไก่ไม่ใช่ของที่จะกินได้บ่อยๆ 


 


 


นานๆ ครั้งที่นางหวังซื้อขาไก่ ซูจิ่วซือกับซูเหิงมักจะยกให้ซูเหลียงอินซึ่งอายุน้อยที่สุด 


 


 


เรื่องนี้ซูเหลียงอินยังมีภาพจำ จึงอยากให้สักวันหนึ่งได้นั่งกินขาไก่ของโปรดด้วยกันสามคน นึกไม่ถึงว่าต้องรอหลายปีจึงมีวันนี้ 


 


 


ซูเหิงก็จำเรื่องราวในอดีตได้ เขายื่นมือไปลูบผมซูเหลียงอิน “เจ้าเก่งขึ้นแล้วนะ ใกล้จะปักปิ่นแล้วแต่ยังเหมือนเด็กนึกถึงเรื่องกินขาไก่” 


 


 


“เหลียงอินเป็นน้องสาวตัวเล็กของเรานี่” 


 


 


ซูจิ่วซือหัวเราะ 


 


 


“ข้าไม่ตัวเล็กแล้ว อายุเท่าไรก็ต้องกินนี่นา” 


 


 


สามพี่น้องพูดคุยล้อเล่นกันสนุกสนาน ซูจิ่วซือรู้สึกอบอุ่น ยังดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้างตัวนางยังมีคนใกล้ชิดอย่างนี้ 


 


 


วันที่หลี่ซูหลานเข้ามา จวนอันผิงโหวครึกครี้นมาก แม้เป็นการแต่งงานใหม่ แต่เพื่อความเป็นสิริมงคล ซูเหวินจึงจัดงานใหญ่ คนชั้นสูงตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต่างมาร่วมงาน 


 


 


ซูจิ่วซือกับซูเหลียงอินสวมชุดสีชมพูอ่อน สีเสื้อผ้ากับท่าทางของคนใส่ไม่ต่างกันนัก แต่กลับให้ความรู้สึกพิเศษ ซูเหลียงอินดูน่ารัก ใบหน้าผุดผ่อง ดูใสซื่อ  


 


 


ส่วนซูจิ่วซือดูหนักแน่นกว่า สีหวานทำให้นางดูอ่อนโยนมากขึ้น  


ตอนที่ 236 เกิดเหตุฆาตกรรม  


 


 


 


 


 


“พี่ดูสิ อารองดีใจ ยิ้มไม่หุบเลย คงลืมอาสะใภ้ไปแล้ว” 


 


 


“หลี่ซูหลานเป็นสาวสวย อารองเป็นผู้ชาย เรื่องรักเรื่องใคร่เป็นธรรมดา” 


 


 


ซูเหลียงอินถอนหายใจ “เสียดายที่พี่รองไม่อยู่ พี่ พี่รองเป็นคนแบบที่ว่านอกจากพี่แล้ว ไม่มองใครอีกเลย พี่รองก็เป็นผู้ชาย ทำไมถึงไม่มองผู้หญิงอื่นเล่า” 


 


 


พอพูดถึงกู้เฉินหรง ซูจิ่วซือก็อาลัยอาวรณ์ นางยังไม่ได้ข่าวคราวจากกู้เฉินหรง และไม่รู้ว่ากู้เฉินหรงไปถึงเมืองหลวงแคว้นเจียงหรือยัง ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ก็ไม่มีข่าวคราวจากกู้เฉินหรงเลย ราวกับหายสาบสูญไป 


 


 


เดิมทีนางยังนึกว่ากู้เฉินหรงจะเขียนจดหมายบอกว่าเดินทางไปถึงอย่างปลอดภัยแล้ว แต่เวลานี้พอคิดให้ดี บางทีนางอาจจะวิตกเกินไป ไม่แน่พอออกจากเมืองหลวง กู้เฉินหรงอาจจะตัดขาดอย่างไร้เยื่อใย เพราะเขาไม่ใช่กู้เฉินหรง เขาชื่อฟู่เฉินหรง 


 


 


พอเห็นซูจิ่วซือเหม่อ ซูเหลียงอินก็กระทุ้งแขนของซูจิ่วซือ “พี่ พี่ไม่รู้ว่าพี่รองไปไหนใช่หรือไม่” 


 


 


“ทำไมข้าต้องรู้ด้วย” 


 


 


“พี่รองก็เกินไปจริงๆ ไม่บอกสักคำก็หายไปเลย ถ้ากลับมาข้าจะต่อว่าแทนพี่” 


 


 


“พอเถอะ เหลียงอิน อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย” ซูจิ่วซือไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ขืนพูดต่อไปจะยิ่งทำให้ไม่สบายใจ นางพยายามข่มตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องของกู้เฉินหรง แต่ก็พบว่าทุกครั้งที่นึกถึงกู้เฉินหรงก็จะรู้สึกปวดร้าวใจ 


 


 


พอถึงตอนนี้นางต้องเผชิญหน้ากับความจริงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ นั่นคือนางรักกู้เฉินหรง  


 


 


นี่เป็นความลับในส่วนลึกของหัวใจ นางไม่มีวันให้ใครรู้เด็ดขาด ได้แต่ซ่อนไว้ในใจ 


 


 


ซูเหงินพาซูคังไปทักทายแขกที่มาร่วมงาน ซูจิ่วซือกับซูเหลียงอินพูดคุยซุบซิบกันอย่างเบื่อหน่าย กู้หลียวนยกถ้วยเหล้าเข้ามา เห็นโต๊ะของซูจิ่วซือมีที่ว่าง จึงนั่งร่วมโต๊ะกับซูจิ่วซือ “ซูเหิงเล่า จะมาชวนเขาดื่ม ไม่เห็นหน้าเขาเลย” 


 


 


“ข้าเองก็ไม่เห็นเขาเหมือนกัน ซูเหิงดื่มไม่เก่ง หลียวน อย่าชวนเขาดื่มจนเมา ถ้าอยากดื่ม ข้าดื่มกับเจ้า” 


 


 


ซูจิ่วซือยกกาเหล้าของตนขึ้นรินใส่ถ้วย 


 


 


“ปกป้องน้องชายอย่างนี้ ข้าเป็นพี่ชายเจ้าอยู่หรือ ข้าดื่มกับซูเหิงไม่ได้หรือ” 


 


 


กู้หลียวนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  


 


 


“พี่ใหญ่ ทำไมพี่ไม่อยู่กับพี่สาม” 


 


 


ซูเหลียงอินเห็นกู้หลียวนอยู่คนเดียว จึงถามด้วยความแปลกใจ 


 


 


“อย่าพูดถึงเลย พูดขึ้นมาแล้วเสียใจ น้องเหลียงอิน เจ้าดื่มเป็นหรือไม่” 


 


 


ซูเหลียงอินกำลังเตรียมจะพูด จู่ๆ จื่อซูก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน น้ำเสียงร้อนรน “คุณหนู แย่แล้ว คุณชายรองเกิดเรื่อง!” 


 


 


“ซูเหิงเกิดเรื่องอะไร” 


 


 


พอได้ยินว่าซูเหิงเกิดเรื่อง สีหน้าของซูจิ่วซือก็เครียดทันที 


 


 


“ฮูหยิที่จะแต่งงานตายในห้องหอ ในห้องนั้นมีคุณชายรองคนเดียว” 


 


 


หลี่ซูหลานตายแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้ซูจิ่วซือตกใจ นางไม่ได้ถามอะไร รีบเข้าไปที่ห้องหอทันที 


 


 


ซูเหลียงอินกับกู้หลียวนเดินตาม ออกไปจากห้องจัดเลี้ยง เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เหลือเชื่อจริงๆ 


 


 


เวลานี้ซูเหมยกับกู้เหยี่ยน และซูเหวินกับซูคังล้วนอยู่ในห้องหอ นอกจากนี้ยังมีสาวใช้ส่วนหนึ่ง ห้องหอใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน  


 


 


ซูเหิงยืนอยู่ที่นั่นท่าทางทำอะไรไม่ถูก บนพื้นมีมีดสั้นเปื้อนเลือดตกอยู่ เขาสวมเสื้อสีเขียว ที่แขนเสื้อกับมือมีรอยเลือดสดๆ และในห้องมีเขาอยู่คนเดียว หลักฐานทุกอย่างล้วนชี้มาที่เขา 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 237 ติดคุก 


 


 


 


 


 


ซูจิ่วซือเชื่อมั่นในตัวซูเหิง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฆ่าหลี่ซูหลาน ชัดเจนว่าเป็นการใส่ร้าย สามารถกำจัดหลี่ซูหลานและยังใส่ร้ายซูเหิงได้ ซูจิ่วซือนึกถึงซูคังเป็นอันดับแรก เรื่องนี้ซูคังได้ประโยชน์มากที่สุด 


 


 


ซูเหวินเพิ่งแต่งงาน เป็นไปไม่ได้ที่ซูเหวินจะลงมือ เพราะกลายเป็นข้อครหา ซูเหวินเป็นคนรักหน้า จึงไม่ทำเรื่องนี้แน่ คิดให้ดีแล้ว คนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือซูคัง 


 


 


ยิงทีเดียวได้นกสองตัว ซูคังคิดได้อย่างนี้เชียวหรือ 


 


 


ซูเหวินในชุดแต่งงานสีแดง โกรธจัดจนหน้าไม่มีสีเลือด เขาเงื้อมือขึ้นตบหน้าซูเหิงทีหนึ่ง “ซูหลานเป็นผู้หญิงอ่อนแอไม่เรี่ยวแรง และเป็นอาสะใภ้ของเจ้า ทำไมเจ้าอกตัญญูอย่างนี้!” 


 


 


“อารอง มีหลักฐานอะไรมาว่าพี่รองของข้า เขาไม่เคยเห็นอาสะใภ้มาก่อน จะทำอาสะใภ้ได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน” 


 


 


ซูเหลียงอินเป็นคนใจร้อน พอได้ยินซูเหวินพูดอย่างนี้ก็รีบเข้าไปปกป้องซูเหิง 


 


 


“ห้องนี้มีซูเหิงอยู่คนเดียว เสื้อผ้าเขาก็มีรอยเลือด ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร 


 


 


ซูเหลียงอิน ซูเหิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าย่อมแก้ตัวแทนเขา แต่เรื่องนี้ใครๆ ก็ดูออก วันนี้เป็นงานมงคลของท่านพ่อ แต่กลับเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ข่าวนี้กระจายออกไปคนอื่นจะมองจวนอันผิงโหวอย่างไร” 


 


 


ซูคังรีบโต้แย้งซูเหลียงอิน 


 


 


ซูเหลียงอินยังจะพูดต่อ แต่ซูเหิงส่ายหน้าให้นาง บอกให้รู้ว่าอย่าพูด เวลานี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ เป็นกับดักที่วางไว้อย่างแยบยล เขาตกลงไปแล้ว แค่คำพูดไม่กี่คำย่อมไม่อาจหลุดออกไปได้ 


 


 


“วันมงคลยังเกิดเรื่องอย่างนี้ น่ากลัวจริงๆ 


 


 


ซูเหวิน เรื่องนี้อาจจะเข้าใจผิด ซูเหิงเป็นคนร่ำเรียนหนังสือ เพิ่งกลับจวน มอบหมายให้เจ้าเมืองไปสอบสวนไม่ดีหรือ จะได้ไม่ทำให้คนในครอบครัวบาดหมางกัน ถ้าซูเหิงถูกใส่ร้าย เจ้าเมืองก็จะจัดการให้” 


 


 


ซูเหมยแสดงสีหน้าเห็นใจ 


 


 


“ถ้างั้นก็ทำตามที่ฮูหยินกู้ว่า” ซูเหวินพูดจบก็เดินมาที่หลี่ซูหลานพยายามสะกดความรู้สึกอย่างเต็มที่ “ซูหลาน เจ้าวางใจ พี่จะคืนความยุติธรรมให้เจ้า ให้คนที่ทำร้ายเจ้าชดใช้ด้วยชีวิต” 


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบซูจิ่วซือไม่พูดไม่จา ซูเหิงเองก็ไม่ได้แก้ตัว เขารู้ดี เวลานี้ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็ไร้ผล ไม่มีใครเชื่อเขาแน่ 


 


 


ครู่หนึ่งคนของเจ้าเมืองก็เข้ามา พาซูเหิงออกไป ซูจิ่วซือเดินมาหาซูเหิง ช่วยเขาจัดเสื้อผ้า พูดเบาๆ “น้องรอง พี่รู้ว่าเจ้าถูกใส่ร้าย วางใจเถอะ พี่จะหาทางช่วยเจ้า เจ้าจำไว้ อย่ายอมรับผิดเด็ดขาด” 


 


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าจะยอมรับผิดได้อย่างไร พี่ ข้าขอโทษ ข้าคิดอะไรง่ายๆ จึงเปิดโอกาสให้คนอื่น” 


 


 


“อย่าชักช้า ไป ไป” 


 


 


เจ้าหน้าที่ผลักซูเหิงอย่างแรง 


 


 


“ข้าไปเองได้” 


 


 


พูดจบซูเหิงก็ตามเจ้าหน้าที่ออกไป 


 


 


“โธ่…” ซูเหลียงอินร้อนใจมาก นางจำได้เมื่อครั้งก่อนตอนที่นางหวังถูกพาตัวไป ไม่นานก็ถึงคราวซูเหิง พอนึกถึงเรื่องนี้ นางเป็นห่วงซูเหิงมาก กลัวว่าซูเหิงจะตายอย่างน่าอนาถเหมือนนางหวัง 


 


 


ซูจิ่วซือจับซูเหลียงอินไว้ ลูบมือให้สงบ คราวนี้นางไม่มีวันปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนางหวังอีก 


 


 


หลังจากซูเหิงถูกพาตัวไปแล้ว ซูเหวินก็พาซูคังออกไปต้อนรับแขกข้างนอก 


 


 


กู้เหยี่ยนเดินเข้ามาหาซูจิ่วซือ พูดปลอบโยน “ถ้าซูเหิงถูกใส่ร้าย เจ้าเมืองต้องให้ความยุติธรรมแก่เขาแน่” 


ตอนที่ 238 พลิกคดีอย่างไร 


 


 


 


 


 


“อาเขยเชื่อจริงหรือว่าเจ้าเมืองจะสืบสวนคดีใส่ร้ายได้” 


 


 


ซูจิ่วซือย้อนถาม 


 


 


“จิ่วซือ ซูเหิงออกจากบ้านตั้งสามปี อาจจะรับนิสัยไม่ดีเข้ามาก็เป็นไปได้ คนเราไม่ควรถือมั่นเกินไป บางครั้งต้องใช้กระบวนการยุติธรรมมาจัดการ เรื่องนี้เจ้าไม่ควรก้าวก่าย เจ้าเมืองคงสืบสวนได้ชัดเจน” 


 


 


ซูเหมยมองซูจิ่วซือแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น 


 


 


“หวังว่าต่อไปท่านอาจะรู้จักใช้กระบวนการยุติธรรมมาจัดการ” ซูจิ่วซือพูดอย่างเย็นชา นางไม่อาจทนดูสีหน้าของซูเหมยได้ 


 


 


“ข้ากลับก่อนละ เชิญอาเขยและท่านอาตามสบาย” ซูจิ่วซือพูดจบ ก็ดึงซูเหลียงอินออกไปจากห้อง 


 


 


พอมาถึงที่ที่ไม่มีคน ซูเหลียงอินก็ร้อนใจจนแทบร้องไห้ “พี่ หลักฐานชัดเจนอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรดี ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเกิดเรื่องขึ้น คงไม่ให้พี่รองกลับมา ข้ากลัวว่าพี่รองจะโดนฆ่าอย่างแม่” 


 


 


“ไม่หรอก ข้ารับรอง ซูเหิงไม่เป็นอะไรแน่” 


 


 


ซูจิ่วซือลูบหลังปลอบใจซูเหลียงอิน  


 


 


“แต่เราจะช่วยพี่รองอย่างไร ในห้องมีเขาอยู่คนเดียว แขนเสื้อก็มีเลือด จะอ้างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น” 


 


 


เรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจนจริงๆ การจะพลิกคดีเป็นเรื่องยากมาก 


 


 


“วิธีปกติคงพลิกคดีไม่ได้” จู่ๆ กู้หลียวนก็พูดขึ้น เขาเดินเข้ามา “ซูเหิงเพิ่งมาไม่กี่วันก็เกิดเรื่อง แสดงว่ามีคนคิดว่าเขาเป็นตัวขัดขวาง เรื่องนี้ต้องเป็นซูคังทำแน่ จิ่วซือ เวลานี้หลักฐานอาจจะไม่เป็นผลดีต่อซูเหิง มีสองคนที่สามารถช่วยซูเหิงได้” 


 


 


“สองคนมีใครบ้าง” 


 


 


ซูเหลียงอินร้อนใจมาก กู้หลียวนพูดจบ นางก็ซักถามทันที 


 


 


“คนหนึ่งคือฝ่าบาท อีกคนหนึ่งคือหลี่ซั่ว” 


 


 


เวลานี้ซูจิ่วซือเองก็ไม่เข้าใจความหมายของกู้หลียวน “หลี่ซั่วทำไมเกี่ยวข้องกับเจ้าเมือง” 


 


 


“จิ่วซือ เจ้าไม่รู้หรือ! หลี่ซั่วเป็นคนที่ใต้เท้าฟางสนับสนุน ทั้งสองมีคบหาสมาคมกันลึกซึ้ง เขาสามารถช่วยพูดกับใต้เท้าฟางได้ 


 


 


ถ้าเขายินดีช่วย แม้ช่วยซูเหิงไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้เขาพูดกับทางคุก อย่าให้ซูเหิงถูกทรมาน โทษโบยตีทรมานสารพัด ซูเหิงเป็นปัญญาชน ข้าเกรงว่าเขาจะทนไม่ไหว อาจจะตายในคุก 


 


 


ข้ากับหลี่ซั่วปกติไม่เคยไปมาหาสู่กัน ข้าจะพยายามลองดู ทางฝ่าบาทให้ชิงเฉิงช่วยทูล คำพูดของนางได้ผลมากกว่า ข้าจะเขียนจดหมายบอกนาง” 


 


 


ซูจิ่วซือปรามกู้หลียวน “ทางฝ่าบาท ข้าไปทูลเอง อย่าทำให้ชิงเฉิงหนักใจ ฝ่าบาทยังติดหนี้ข้าอยู่ ข้าจะไปทูลขอร้องให้ยืดเวลาอีกสักหน่อย” 


 


 


ทางด้านหลี่ซั่ว ซูจิ่วซือก็วิตกว่าเขาจะไม่ช่วย นางรู้แน่ชัดแล้วว่าหลี่ซั่วมีความสัมพันธ์กับพระสนมโหรว นางกุมความลับเรื่องนี้อยู่ จึงไม่กลัวว่าหลี่ซั่วจะไม่ช่วย 


 


 


“ยืดเวลาก็ไม่มีประโยชน์ เราไม่พบหลักฐาน เวลานี้มีแต่ฝ่าบาทเท่านั้นที่จะปล่อยตัวซูเหิงได้ ถ้าจะให้ซูเหิงพ้นเงื้อมมือเจ้าเมือง ก็ต้องไปทูลขอร้องฝ่าบาท เรื่องนี้ชิงเฉิงทำได้” 


 


 


ความจริงกู้หลียวนก็อยากให้กู้ชิงเฉิงถือโอกาสนี้คืนดีกับเฟิ่งอวิ๋นหล่าง ในเมื่อในหัวใจนางยังมีเฟิ่งอวิ๋นหล่าง กู้หลียวนคิดเสมอว่าทั้งสองจำเป็นต้องอาศัยโอกาส 


 


 


“การจะรักษาชีวิตซูเหิงไม่ใช่เรื่องยาก ในมือข้ายังมีป้ายเว้นโทษประหาร ข้าอยากให้เขาออกจากคุกอย่างผู้บริสุทธิ์ เขาเพิ่งเข้ารับราชการ ไม่อาจมีคดีติดตัว ไม่เช่นนั้นชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรเหลือ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 239 แต่ละคนสมัครใจ 


 


 


 


 


 


ซูเหิงเป็นคนมีอุดมการณ์ แต่ถ้าโทษทัณฑ์ครั้งนี้ทำให้รับราชการไม่ได้ นางก็นึกไม่ออกว่าต่อไปซูเหิงจะเป็นอย่างไร  


 


 


เพื่อวันนี้ เขาได้พากเพียรมาเนิ่นนานและทุ่มเทอย่างหนัก เขาคงไม่สามารถรับผลอย่างนี้แน่ 


 


 


“เป็นเรื่องยากจริงๆ” กู้หลียวนถอนหายใจ “เราพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ รักษาชีวิตเขาไว้ก่อนแล้วค่อยว่า ป้ายเว้นโทษประหารในมือเจ้าได้มาจากจื่อหยวนใช่หรือไม่!” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่ได้ปฏิเสธ นางพยักหน้า 


 


 


กู้หลียวนสีหน้าประหลาดใจ “จื่อหยวนมอบป้ายเว้นโทษประหารให้เจ้า ถ้าท่านแม่รู้เรื่องเข้า คงโกรธตายแน่ สาวงามนำเคราะห์จริงๆ” 


 


 


พอได้ยินคำเปรียบเทียบอย่างนี้ ซูจิ่วซือก็ขมวดคิ้ว ไม่พูดไม่จา ซูเหลียงอินรีบปกป้องพี่สาว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร เจ้าต่างหากที่นำเคราะห์ไปให้ผู้หญิงตั้งมากมาย เจ้านั่นแหละที่เป็นหนุ่มงามนำเคราะห์” 


 


 


ซูจิ่วซืออดหัวเราะไม่ได้ “คำนี้เอามาเปรียบหลียวน เหมาะจริงๆ” 


 


 


“ผู้หญิงแต่ละคนสมัครใจทั้งนั้น” 


 


 


กู้หลียวนโต้แย้ง 


 


 


“พูดอย่างกับว่าคนที่ชอบพี่สาวข้าไม่ได้สมัครใจอย่างนั้นแหละ” 


 


 


กู้หลียวนเดิมทีเพียงแต่ล้อเล่น นึกไม่ถึงว่าถูกเด็กสาวโต้แย้งจนไม่รู้จะตอบอย่างไร 


 


 


“เจ้าเด็กน้อยปากดีนัก ข้ากลับก่อนละ จิ่วซือ รอฟังข่าวจากข้า” กู้หลียวนไม่โต้แย้งกับซูเหลียงอิน เขากำชับสองสามคำก็จากไป 


 


 


ซูจิ่วซือกับซูเหลียงอินพากันกลับไปที่เรือน ซูเหลียงอินจับมือซูจิ่วซือ ก้มหน้าตลอดทาง “พี่ ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ พอเกิดเรื่องขึ้นมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้อนใจ ข้าแค้นใจตัวเองจริงๆ” 


 


 


“เจ้าเด็กโง่ เจ้ายังเล็ก เรื่องนี้เดิมทีเป็นเพราะข้าทำให้พวกนั้นไม่พอใจ ว่าไปแล้วพวกเจ้าพลอยเดือดร้อนเพราะข้า ข้าไม่ได้ปกป้องพวกเจ้าให้ดี” 


 


 


ซูเหลียงอินสั่นหัว “พี่ วันหลังอย่าพูดอย่างนี้ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พลอยเดือดร้อนอะไรกัน พี่เพียงแต่ทำเรื่องที่พี่รองอยากทำ ถ้าข้าโตกว่านี้หน่อย ข้าก็จะทำอย่างนี้เหมือนกัน” 


 


 


“ไม่ต้องห่วง ข้ารับรอง คราวนี้ซูเหิงไม่เกิดเรื่องแน่” 


 


 


ซูเหลียงอินพยักหน้า นางรู้ว่าซูจิ่วซือเก่งจริงๆ  บ่อยครั้งนางรู้สึกโทษตัวเอง รู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ ไม่อาจช่วยอะไรได้เลย มีแต่ทำให้ซูจิ่วซือยุ่งยากมากขึ้น  


 


 


เมื่อก่อนนางไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ เวลานี้นางยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าครอบครัวซูเหวินหมดไป พวกนางจึงจะอยู่อย่างสงบ ไม่เช่นนั้นพวกนั้นจะคอยจัดการพวกนางสามพี่น้อง พวกนางกับคนที่เรียกว่าอารองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ถึงขั้นที่ต้องตายไปข้างหนึ่ง 


 


 


รุ่งขึ้น ซูจิ่วซือเข้าเฝ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่างในวังแต่เช้า ราวกับทรงคาดไว้แล้วว่าซูจิ่วซือจะมา หลังจากถวายบังคมแล้ว เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ตรัสขึ้นอย่างช้าๆ “จิ่วซือ คราวก่อนเจ้าเล่นหมากล้อมชนะเรา เรารับปากว่าจะทำตามที่เจ้าขอร้องอย่างหนึ่ง เวลานี้เจ้าจะขอร้องอะไร” 


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า “เรื่องน้องชายของหม่อมฉัน ฝ่าบาทคงทรงทราบมาแล้ว หม่อมฉันเชื่อมั่นในตัวน้องชาย รู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง จึงมาทูลขอให้ฝ่าบาททรงยืดเวลาไปสักระยะ อย่าเพิ่งตัดสินคดี ให้หม่อมฉันสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน” 


 


 


“เจ้าไม่พบซูเหิงสามปีแล้ว ทำไมจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำ” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงเอนพิงพระที่นั่ง ตรัสถามต่อ 


 


 


“หม่อมฉันกับซูเหิงแม้ไม่พบกันสามปี แต่หม่อมฉันกับน้องชายโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก เขาเป็นคนอย่างไรหม่อมฉันรู้ดี ซูเหิงเป็นคนฉลาด ถ้าเขาเป็นคนทำ คงไม่ทิ้งหลักฐานไว้มากมาย” 



ตอนที่ 240 ไม่อยากทำให้ชิงเฉิงเสียใจ 


 


 


 


 


 


ท่าทีของซูจิ่วซือจริงใจ ซูเหิงเป็นศิษย์คนเก่งของสำนักศึกษาหนานซาน ย่อมเป็นคนฉลาด ไม่ว่าจะพูดในแง่ใด คนทำไม่น่าจะใช่ซูเหิง การทำอย่างนี้นอกจากทำลายอนาคตของตนแล้ว ยังไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย 


 


 


“ที่เจ้าพูดเป็นความจริง เราจะขอให้ระงับคดีไว้ก่อน ยังไม่ตัดสิน เจ้าถือโอกาสนี้สืบคดี แต่เรามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง” 


 


 


“ฝ่าบาทโปรดมีพระบัญชา” 


 


 


ถ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่างต้องการเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ซูจิ่วซือก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากทูลรับคำ ไม่มีทางเลือก และที่สำคัญคือไม่อาจโต้แย้งและมีความเห็นขัดแย้งใดๆ  ในเมื่อพระองค์เป็นฮ่องเต้ 


 


 


“เราต้องการชิงเฉิง” 


 


 


ซูจิ่วซือตะลึง แล้วได้สติทันที “พระสนมกู้เป็นผู้หญิงของฝ่าบาทอยู่แล้ว หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าฝ่าบาททรงหมายถึงอะไร” 


 


 


“นิสัยของชิงเฉิงเจ้าคงรู้ดี นางไม่ยอมใกล้ชิดเรา เวลานี้นางเชื่อฟังเจ้า และใกล้ชิดเจ้า เราให้เจ้าช่วยเรื่องนี้” 


 


 


“ฝ่าบาททรงปรารถนาจะให้หม่อมฉันทำอะไรเพคะ” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงลุกขึ้น หยิบขวดเคลือบสีดำออกมาจากที่ลับให้ซูจิ่วซือ “เจ้าเอายานี้ให้ชิงเฉิงกิน พอถึงตอนนั้นเราจะมีคำสั่ง” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่รับยาที่เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงยื่นให้ นางทูลถามต่อ “เป็นยาอะไรหรือเพคะ” 


 


 


“เป็นยาที่จะทำให้เรากับชิงเฉิงเริ่มต้นกันใหม่” 


 


 


ซูจิ่วซือนึกถึงยาสั่งคะนึงหาเป็นอันดับแรก ไม่ว่าอย่างไร นางไม่อาจวางยากู้ชิงเฉิง นางเป็นลูกสาวของตน จะทำร้ายลูกสาวได้อย่างไร 


 


 


เมื่อทอดพระเนตรเห็นซูจิ่วซือไม่รับยาที่พระองค์ทรงยื่นให้ พระเนตรของเฟิ่งอวิ๋นหล่างก็เย็นชาทันที “จิ่วซือ เจ้าคิดให้ดี เราไม่มีวันทำร้ายชิงเฉิง เราเพียงแต่อยากเริ่มต้นใหม่กับชิงเฉิง นี่เป็นหนทางเดียว ขอแต่ลบจางเฉิงออก เรากับชิงเฉิงจึงจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้” 


 


 


“จางเฉิงอาจจะถูกลบออกจากความทรงจำของชิงเฉิง แต่ไม่มีวันถูกลบออกจากพระทัยของฝ่าบาท หม่อมฉันทูลตามตรง ฝ่าบาททรงรำลึกถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


“เราจะลืมได้อย่างไร ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ชิงเฉิงไม่เคยลืมจางเฉิงเลย 


 


 


นางโทษเรามาตลอดว่าเป็นคนบีบคั้นจางเฉิง เดิมทีเราไม่ควรจะไยดีผู้หญิงคนนี้อีก แต่เราลืมนางไม่ลง นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เราเคยรัก จิ่วซือ เราขอถามอีกครั้ง เจ้าจะรับปากเรื่องนี้หรือไม่” 


 


 


ซูจิ่วซือเข้าใจแล้ว ถ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่างจะทำก็ง่ายนิดเดียว แค่มีพระบัญชาก็ได้ แต่พระองค์กลับมอบหมายเรื่องนี้ให้นางทำ คงรู้สึกว่าเรื่องนี้จะทำร้ายจิตใจชิงเฉิง พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะทำด้วยพระองค์เอง จึงให้นางเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่ถึงนางจะปฏิเสธ เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ยังจะทำ 


 


 


ซูจิ่วซือนึกไม่ถึงว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างจะหาทางแก้ปัญหาระหว่างพระองค์กับกู้ชิงเฉิงด้วยวิธีนี้ ถ้ากินยาเข้าไป ชิงเฉิงก็จะลืมเหตุการณ์และผู้คนทั้งหมด พอถึงตอนนั้นในวังในอันเร้นลับ นางอาจจะรักเฟิ่งอวิ๋นหล่าง ความทรงจำมีแต่เฟิ่งอวิ๋นหล่าง แต่ไม่อาจจำนางกับกู้หลียวน และอดีตทั้งหมด  


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างอยากทำให้กู้ชิงเฉิงกลายเป็นชิงเฉิงของพระองค์เอง 


 


 


หลังจากครุ่นคิดแล้ว ซูจิ่วซือก็ไม่ได้ทูลรับปาก “เรื่องนี้หม่อมฉันไม่อาจรับปากได้เพคะ หม่อมฉันไม่อยากทำร้ายชิงเฉิง” 


 


 


“ดีมาก” เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงเก็บขวดเคลือบ “ถ้างั้นเจ้าก็รอเก็บศพซูเหิง เจ้ามีเวลาเพียงสามวัน พอพ้นสามวัน ก็ถือว่าเราได้ทำตามสัญญาแล้ว” 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอพบซูเหิงได้หรือไม่เพคะ”  


 


 


“เราจะให้เจ้าพบเขาครู่หนึ่ง” 


 


 


“ฝ่าบาททรงพระเมตตา” 


 


 


“ไปได้!” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างโบกพระหัตถ์ ให้ซูจิ่วซือออกไป 


 


 


ซูจิ่วซือไม่พูดไม่จา ลุกขึ้นแล้วถอยออกไป 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 241 เยี่ยมซูเหิง 


 


 


 


 


 


พอออกจากตำหนักหานจาง ซูจิ่วซืออยากไปวังจื่อจิง เพื่อเตือนกู้ชิงเฉิง พอใกล้จะถึงวังจื่อจิง นางกลับเดินอ้อมไป ถ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่างจะประทานยาสั่งให้กู้ชิงเฉิง ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร สุดท้ายก็คงห้ามไม่ได้ 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างเป็นฮ่องเต้ หากมีพระประสงค์ ย่อมมีโอกาสมากมาย ไม่มีใครหนีพ้น 


 


 


พอคิดให้ดี กู้ชิงเฉิงใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานมาหลายปี ถ้าลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อไปอาจจะมีความสุขมากขึ้น 


 


 


พอคิดได้อย่างนี้ ซูจิ่วซือก็เลิกคิดที่จะไปบอกกู้ชิงเฉิง  


 


 


กู้ชิงเฉิงไม่คิดจะไปจากวังหลวงตลอดชีวิต และอยากอยู่วังจื่อจิงไปจนตาย ความจริงแล้วซูจิ่วซือก็ไม่อยากเห็นกู้ชิงเฉิงเป็นอย่างนี้ไปทั้งชาติ แต่ก็รู้ว่ากู้ชิงเฉิงมีนิสัยดึงดัน เชื่อในความคิดของตนไม่เปลี่ยนแปลง  


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงทำอย่างนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นโอกาสให้กู้ชิงเฉิงพ้นจากปัญหา ไม่มีหนทางอื่น 


 


 


ถ้ากู้ชิงเฉิงสูญเสียความทรงจำและไม่ได้รักเฟิ่งอวิ๋นหล่าง ซูจิ่วซือก็อยากพานางออกจากวังหลวง เมื่อในใจไม่มีความผูกพันกับใคร นางคงยินดีจากไป วันหลังยังเริ่มต้นใหม่ได้ 


 


 


ปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับซูจิ่วซือคือการช่วยซูเหิง เฟิ่งอวิ๋นหล่างให้เวลานางเพียงสามวัน นางต้องสืบหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของซูเหิงให้ได้ภายในเวลาสามวัน นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 


 


 


หากไม่ได้จริงๆ นางจำเป็นต้องใช้ป้ายเว้นโทษประหาร ไม่ว่าอย่างไร นางต้องรักษาชีวิตของซูเหิงให้ได้ 


 


 


พอออกจากวัง ซูจิ่วซือก็ไปที่คุก เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงมีพระบัญชาไว้แล้ว เจ้าเมืองจึงพาซูจิ่วซือเข้าไปในคุกเอง ท่าทีนอบน้อม “องค์หญิง เชิญทางนี้” 


 


 


“รบกวนใต้เท้าฟางแล้ว” 


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า ตามใต้เท้าฟางเข้าไปในคุก เห็นซูเหิงนั่งบนพื้นในห้องขังในสุด เสื้อผ้าอย่างดีที่สวมอยู่เปลี่ยนเป็นชุดนักโทษ ผมซึ่งเคยมีที่รัดผมเวลานี้สยายลงมา ผมเผ้ารุงรังนั่งอยู่บนพื้น ชุดนักโทษสีขาวมีรอยเลือด แสดงว่าถูกเฆี่ยนด้วยแส้ 


 


 


“องค์หญิง มีอะไรก็พูดคุยกันเร็วหน่อย อีกสักครู่จะมีคนพาองค์หญิงออกไป” 


 


 


“ขอบใจใต้เท้าฟาง” 


 


 


ซูจิ่วซือแสดงมารยาทต่อใต้เท้าฟาง พยักหน้าให้ไต้เท้าฟาง พอใต้เท้าฟางออกไป ก็เหลือแต่ซูจิ่วซืออยู่ในคุก 


 


 


“น้องรอง” 


 


 


ซูจิ่วซือรีบเดินเข้าไปที่หน้าลูกกรง จับลูกกรงไว้แน่น ร้องเรียก 


 


 


พอได้ยินเสียงซูจิ่วซือ ซูเหิงซึ่งนั่งอยู่บนพื้นก็เงยหน้าขึ้นทันที แล้วผุดลุกขึ้น เดินโซเซเข้ามา จับที่ลูกกรง “พี่ เข้ามาได้อย่างไร” 


 


 


“พวกนั้นเฆี่ยนตีเจ้าใช่หรือไม่” 


 


 


ซูจิ่วซือเห็นรอยเฆี่ยนที่ชุดของซูเหิง และมีรอยเลือดชัดเจน บางที่เป็นแผลแตก แสดงว่ามีการลงโทษด้วยการเฆี่ยน  


 


 


ซูเหิงสั่นหัว “พี่ ข้าไม่เป็นไร วางใจเถอะ! ข้าทนไหว ไม่มีวันรับสารภาพแน่” 


 


 


ซูจิ่วซือห่วงมาก แต่เวลานี้ยังไม่สามารถพาซูเหิงออกไปได้ จึงหลีกไม่พ้นการถูกทรมาน เมื่อก่อนตอนที่นางติดคุกวังหลวงก็เคยถูกทรมาน 


 


 


“น้องรอง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น” 


 


 


มีเวลาไม่มาก ซูจิ่วซือจึงต้องรวบรัด พยายามไม่พูดเรื่องที่ไม่จำเป็น ถามตรงๆ 


 


 


“เมื่อคืน ข้าอยู่ในห้องจัดเลี้ยง ซูคังเข้ามาหา บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับข้า ข้าจึงออกไปกับซูคัง นึกไม่ถึงว่าพอเดินไปถึงที่ที่ไม่มีคนก็โดนตีสลบไป 


 


 


พอฟื้นขึ้นมาข้าก็อยู่ในห้องหอ หลี่ซูหลานตายไปแล้ว 


 


 


ข้าตรวจดู เห็นเสื้อผ้าข้ามีรอยเลือด พอจะออกไป พวกนั้นก็เข้ามา ทั้งหมดนี้ซูคังเป็นคนทำ เขากลัวว่าหลี่ซูหลานจะคุกคามฐานะของเขา และรู้สึกว่าข้าเป็นอุปสรรคขัดขวางเขา จึงคิดหาทางยิงทีเดียวได้นกสองตัว” 



ตอนที่ 242 กู้ชิงเฉิงขอพระราชทานอภัยโทษ


 


 


 


 


“ซูคังเป็นคนทำจริงๆ”


 


 


ซูเหิงพูดด้วยสีหน้าละอายใจ “เรื่องนี้คงไม่มีทางสืบได้ จวนอันผิงโหวเป็นที่ของอารองกับซูคัง ถึงอารองจะรู้สึกผิดปกติ ก็ยังจะช่วยปกปิดให้ซูคัง เราคงหาหลักฐานไม่เจอ


 


 


พี่ คราวนี้ข้าคงไม่พ้นผิดแน่ วางใจเถอะ ถึงตาย ข้าก็ไม่มีวันรับสารภาพ


 


 


ข้าเพียงแต่ละอายใจ ไม่ทันทำอะไรก็เป็นอย่างนี้แล้ว ข้ามองพวกเขาธรรมดาเกินไป ความจริงแล้วพี่กำลังเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าต่างหาก”


 


 


“เจ้าเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ไม่เข้าใจสถานการณ์ เมื่อก่อนเจ้าเรียนหนังสืออยู่แต่ในสำนักศึกษา ไม่เคยสัมผัสเรื่องราวเร้นลับในตระกูลใหญ่ ไม่รู้ว่าใจคนร้ายกาจอย่างนี้ น้องรอง อย่าโทษตัวเองเลย พี่มีป้ายเว้นโทษประหาร เจ้าไม่เป็นอะไรแน่ ต้องทนให้ได้”


 


 


ซูเหิงสีหน้าประหลาดใจ “พี่ได้ป้ายเว้นโทษประหารมาจากไหน”


 


 


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องใส่ใจ น้องรอง ต้องทนให้ได้นะ”


 


 


ซูเหิงพยักหน้า “มีอะไรอีกหลายอย่างที่ข้ายังไม่ได้ทำ ข้าจะทนให้ได้”


 


 


“ถ้าไม่สามารถหาหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ได้ น้องรอง เจ้าอย่าดึงดัน เอาชีวิตรอดสำคัญกว่าทุกอย่าง วันหลังยังพลิกคดีได้ ท่านแม่จากไปแล้ว เจ้าอย่าเป็นอะไรอีกคน เรื่องนี้เจ้าต้องรับปากข้า”


 


 


ซูเหิงอยู่ในช่วงที่เชื่อมั่นในตัวเองเต็มที่ ยังไม่ทันรับราชการก็ต้องคดี ผู้ตายเป็นลูกสาวของขุนนางในราชสำนัก แม้เขาจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่อนาคตก็ดับวูบ


 


 


นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ซูเหิงต้องการ เขาพากเพียรสอบเข้าเรียนในสำนักศึกษาหนานซานก็เพื่อให้มีความสามารถเหนือคนอื่น


 


 


พอเห็นแววตาขอร้องของซูจิ่วซือ เขาก็กลืนคำพูดเหล่านี้ลงไป ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาจึงรู้ว่าชีวิตของซูจิ่วซือตกอยู่ในอันตรายเพียงไร การที่นางก้าวมาถึงขั้นนี้ในเวลาอันสั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


“ได้พี่ ข้ารับปาก”


 


 


พอได้ยินซูเหิงรับปาก ซูจิ่วซือจึงวางใจ


 


 


พอถึงตอนนี้ก็มีผู้คุมคุกเข้ามาเตือนซูจิ่วซือ นางกำชับอีกสองสามคำ ก็ออกไปจากคุก


 


 


คืนนั้น จู่ๆ กู้ชิงเฉิงก็มาที่ตำหนักหานจาง


 


 


นอกจากกู้ชิงเฉิงแล้ว เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่เคยอนุญาตให้พระสนมคนอื่นเข้ามาในตำหนักหานจางและไม่เคยให้พระสนมคนใดค้างคืนที่นี่ แม้แต่กู้เฝิ่นไต้ก็ไม่เคย ตำหนักหานจางเตี้ยนจึงเป็นสถานที่ที่เฟิ่งอวิ๋นหล่างประทับตามลำพังพระองค์เอง แต่เมื่อก่อนกู้ชิงเฉิงมักจะมาค้างคืนที่ตำหนักหานจางเตี้ยนบ่อยๆ


 


 


เมื่อทรงทราบว่ากู้ชิงเฉิงขอเข้าเฝ้า เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทรงมีพระบัญชาให้พากู้ชิงเฉิงเข้ามา แล้ววางฎีกาในพระหัตถ์ลง ไม่มีพระทัยจะอ่านต่อ


 


 


กู้ชิงเฉิงในชุดสีกลีบบัวก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้า หลังจากถวายบังคมแล้ว เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ทอดพระเนตรมองกู้ชิงเฉิงด้วยสีพระพักตร์ไร้ความรู้สึก “พระสนมกู้มาหาเราเวลานี้ มีธุระสำคัญอะไร”


 


 


“หม่อมฉันมีธุระสำคัญจริงๆ เพคะ” กู้ชิงเฉิงยังไม่ลุกขึ้น ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น “หม่อมฉันมาด้วยเรื่องซูเหิงเพคะ”


 


 


“ชิงเฉิง เจ้าไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้ เจ้าจะให้เราปล่อยซูเหิงหรือ อย่าลืมว่า ซูเหิงมีความผิดถึงประหารฐานฆ่าคน และหลักฐานก็ชัดแจ้ง เราไม่สามารถปกป้องคนผิดฐานฆ่าคนได้ ไม่เช่นนั้น จะมีกฎหมายไว้ทำไม”


 


 


กู้ชิงเฉิงติดหนี้ชีวิตซูจิ่วซือ และซูเหิงก็เป็นน้องชายคนเดียวของซูจิ่วซือ นางรู้ว่าซูจิ่วซือต้องร้อนใจแน่ พอรู้เรื่องราวของซูเหิงนางจึงเกิดความคิดที่จะมาเข้าเฝ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่าง สามปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางขอเข้าเฝ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่าง


 


 


นางไม่รู้ว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างจะทรงรับปากหรือไม่ แต่นางก็ต้องเสี่ยง ขอไว้ชีวิตซูเหิง


 


 


“ขอให้ฝ่าบาททรงโปรดปล่อยตัวซูเหิง หม่อมฉันเชื่อว่าเขาถูกใส่ร้าย ซูเหิงเพิ่งเข้ารับราชการ อนาคตกำลังจะรุ่ง เขาเป็นคนมีความรู้ จะทำเรื่องเหลวไหลอย่างนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่เพคะ”


 


 


 


 


——


 


 


 


 


ตอนที่ 243 สายไปเสียแล้ว


 


 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงประทับนั่งบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรมองกู้ชิงเฉิงด้วยสีพระพักตร์ไร้ความรู้สึก “เราเชื่อหลักฐานเท่านั้น เรื่องนี้เจ้าเมืองจะเป็นคนสืบสวน เจ้าไม่ต้องห่วง”


 


 


“หากฝ่าบาททรงรับปากว่าจะปล่อยซูเหิง หม่อมฉันยินดีรับผิด ต่อไปหม่อมฉันจะถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิด” คำพูดนี้เป็นเรื่องยากสำหรับกู้ชิงเฉิง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ยอมก้มหัว แต่เพื่อซูเหิงนางกลับรับผิดต่อเฟิ่งอวิ๋นหล่าง


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงปวดพระทัย แย้มพระสรวลขึ้น “ชิงเฉิง เรานึกว่าชาตินี้เจ้าคงไม่ยอมก้มหัวให้เรา เวลานี้เจ้ากลับมารับผิดเพื่อซูเหิง ในสายตาของเจ้า เรายังเทียบกับซูเหิงไม่ได้เชียวหรือ”


 


 


“หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนี้ ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดไปเพคะ”


 


 


กู้ชิงเฉิงรู้สึกเสียใจ พยายามสะกดความคิดที่อยากออกไปให้พ้น คุกเข่าตัวตรงอยู่ที่พื้น รอเฟิ่งอวิ๋นหล่างตรัสอนุญาต


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างวางพระหัตถ์ทั้งสองลงบนโต๊ะ เอนพระวรกายไปข้างหน้า ทรงหยิบขวดยาที่ยังวางบนโต๊ะให้หลี่เซิ่งเต๋อซึ่งอยู่ข้างๆ “เอาให้พระสนมกู้”


 


 


หลี่เซิ่งเต๋อถือขวดเคลือบเดินมาข้างหน้ากู้ชิงเฉิง กู้ชิงเฉิงไม่ลังเล รับขวดเคลือบที่หลี่เซิ่งเต๋อยื่นให้


 


 


“หากเจ้ากินยานี้ ข้าจะปล่อยซูเหิง”


 


 


กู้ชิงเฉิงรู้ว่าพระดำรัสของเฟิ่งอวิ๋นหล่างเชื่อถือได้ นางไม่ได้ทูลถาม เปิดฝาขวด แหงนหน้าดื่มยาน้ำในขวดเคลือบ


 


 


“เจ้าไม่ถามเราหรือ ว่าเป็นอะไร”


 


 


“หม่อมฉันเพียงแต่อยากให้ฝ่าบาททรงปฏิบัติตามสัญญา ปล่อยตัวซูเหิง”


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร เสด็จเข้ามาหากู้ชิงเฉิง ยื่นพระหัตถ์เชยคางกู้ชิงเฉิง “ชิงเฉิง ยานี้เราพากเพียรค้นหาจากหนานเจียง ใครดื่มยานี้แล้วจะลืมคนที่ตนรัก


 


 


ชิงเฉิง หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วยาม จางเฉิงจะเลือนหายไปจากความทรงจำของเจ้า เจ้าจะไม่คิดถึงจางเฉิงอีกต่อไป ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับจางเฉิงจะเลือนหายไป


 


 


หากเจ้าลืมจางเฉิง เจ้าจึงจะกลับมาอยู่เคียงข้างเรา ชิงเฉิง ตั้งแต่วันนี้ไป ระหว่างเราจะไม่มีจางเฉิง”


 


 


พอได้ยินสรรพคุณของยา กู้ชิงเฉิงก็เบิ่งตากว้าง มองเฟิ่งอวิ๋นหล่างอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


“ตัดใจลืมเขาไม่ได้รึ สายไปแล้ว”


 


 


ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นท่าทางของกู้ชิงเฉิง เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ไม่สบายพระทัย นางไม่อยากลืมจางเฉิงหรือ


 


 


กู้ชิงเฉิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ฝ่าบาท คนที่หม่อมฉันจะลืมไม่ใช่จางเฉิง แต่เป็นฝ่าบาทเอง”


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรนะ”


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างคลายพระหัตถ์ ทอดพระเนตรกู้ชิงเฉิงอย่างตื่นตระหนก ไม่เชื่อคำพูดของกู้ชิงเฉิงเมื่อครู่


 


 


“คนที่หม่อมฉันรักตั้งแต่ต้นจนถึงเดี๋ยวนี้ก็คือฝ่าบาท เพียงแต่ฝ่าบาทไม่เชื่อ หม่อมฉันนับถือจางเฉิงเป็นพี่ชาย ไม่รู้เลยว่าเขาจะมีใจให้หม่อมฉันแบบนั้น


 


 


หลายปีมานี้ที่หม่อมฉันไม่ลืมจางเฉิงเพราะรู้สึกผิด รู้สึกว่าหม่อมฉันเป็นคนทำให้เขาตาย เขาไม่มีความผิด


 


 


ฝ่าบาททรงรับปากหม่อมฉันว่าจะทรงเชื่อคำทูลของหม่อมฉัน แต่ฝ่าบาททรงกลับคำ ลืมเสียก็ดี หม่อมฉันจะได้ไม่เจ็บปวดอีก ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงช่วยหม่อมฉัน”


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงคุกเข่าลงกับพื้น ทรงโอบกอดกู้ชิงเฉิงไว้แน่น พระสุรเสียงร้อนรน “ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นอย่างนี้ ชิงเฉิง เจ้าต้องไม่รลืมเรา ลืมไม่ได้เด็ดขาด!”


 


 


“ยานี้ฝ่าบาททรงประทานให้หม่อมฉันเอง”


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างคลายพระหัตถ์ทันที สีพระพักตร์ซีดขาว ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นจางเฉิงรักษาโรคให้กู้ชิงเฉิงมาตลอด พระองค์ยังทรงประทานรางวัลให้จางเฉิง ตั้งแต่พบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นในตัวจางเฉิง เมื่อทรงนึกถึงว่าคนทั้งสองพบหน้ากันประจำ พระองค์ก็กริ้วจัด ทรงคิดจะสังหารจางเฉิง แต่กู้ชิงเฉิงกลับขอชีวิตจางเฉิงมาตลอด ทำให้พระองค์ไม่สบายพระทัย


 


 


หลังจากจางเฉิงฆ่าตัวตายแล้ว กู้ชิงเฉิงก็ไม่เข้าเฝ้าพระองค์อีก เฟิ่งอวิ๋นหล่างยิ่งทรงเชื่ออย่างหนักแน่นว่ากู้ชิงเฉิงรักจางเฉิง



ตอนที่ 244 ไม่มีวันรักพระองค์อีก 


 


 


 


 


 


พระองค์ใช้เวลาสามปีในการค้นหายานี้ แต่กู้ชิงเฉิงกลับทูลว่า คนที่นางรักคือพระองค์ คนที่กู้ชิงเฉิงจะลืมก็คือพระองค์ 


 


 


ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ พระองค์เพียงแต่ไม่อยากสูญเสียกู้ชิงเฉิงไป 


 


 


กู้ชิงเฉิงลุกขึ้นจากพื้น ยืนแทบไม่ติด พยายามทำให้ตัวเองยืนให้มั่น “หม่อมฉันทูลลาเพคะ” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงได้สติรีบจับข้อมือกู้ชิงเฉิงไว้ ทรงกอดกู้ชิงเฉิงแนบพระอุระไว้แน่นอีกครั้ง พระสุรเสียงเสียพระทัย “ชิงเฉิง ขอโทษ เราผิดไปแล้ว ขอโทษ…” 


 


 


“นี่คงเป็นวาสนาระหว่างหม่อมฉันกับฝ่าบาท เป็นลิขิตฟ้า หวังว่าฝ่าบาทคงไม่บังคับ ระหว่างเราคงต้องเป็นเช่นนี้!” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงกอดกู้ชิงเฉิงไว้แน่น “แม้จะลืม เรากับเจ้ายังเริ่มต้นใหม่ได้ ชิงเฉิง เรามาเริ่มต้นกันใหม่” 


 


 


กู้ชิงเฉิงสั่นหัว “หม่อมฉันไม่มีวันรักฝ่าบาทอีก โปรดทรงปล่อยพระหัตถ์เถอะ” 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงมีความคิดอย่างเดียว ไม่ว่าอย่างไรพระองค์จะเริ่มต้นใหม่กับกู้ชิงเฉิง พระองค์จะชดเชยให้กู้ชิงเฉิงอย่างดี ในที่สุดพระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยแล้วว่าทำไมกู้ชิงเฉิงจึงไม่ยอมกลับมาหาพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ได้เชื่อใจกู้ชิงเฉิงอย่างแท้จริง 


 


 


พระองค์ไม่ทราบว่าทำไมเมื่อสามปีก่อนพระองค์จึงทรงมั่นใจว่ากู้ชิงเฉิงกับจางเฉิงลักลอบมีความสัมพันธ์กัน ทรงคิดว่ากู้ชิงเฉิงมีจางเฉิงอยู่ในใจ ทั้งสองคบหากันโดยอาศัยการตรวจโรคเป็นข้ออ้าง  


 


 


เวลานั้นพระองค์ทรงต้องการสังหารจางเฉิง พระองค์ทรงคิดอย่างนี้  


 


 


หากจางเฉิงตาย กู้ชิงเฉิงยอมรับผิด พระองค์จะไม่ทรงถือสาเรื่องนี้ ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นึกไม่ถึงว่ากู้ชิงเฉิงไม่ยอมรับผิด และยังไม่ยอมเข้าเฝ้า ยังโทษพระองค์ที่บีบคั้นจางเฉิงจนฆ่าตัวตาย 


 


 


สามปีมานี้ เมื่อเห็นกู้ชิงเฉิงดึงดันอย่างนี้ พระองค์ทรงคิดว่า จะปล่อยให้กู้ชิงเฉิงเป็นอย่างนี้ตลอดไป 


 


 


แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่ากู้ชิงเฉิงทำอะไร ในพระทัยของพระองค์ยังคงรักกู้ชิงเฉิง ยังคงปรารถนาที่จะให้นางหวนกลับมาอยู่ข้างกาย ทำให้พระองค์ทรงลดพระองค์เบื้องหน้ากู้ชิงเฉิง 


 


 


คนที่ผิดก็คือพระองค์เอง พระองค์ผิดมาตลอด 


 


 


กู้ชิงเฉิงเองก็ปวดร้าวใจ นางยึดความทรงจำระหว่างนางกับพระองค์ไว้ ไม่ยอมปล่อยเฟิ่งอวิ๋นหล่าง เวลานี้ในที่สุดก็ปล่อยได้แล้ว นี่คงเป็นลิขิตฟ้า นางกับเฟิ่งอวิ๋นหล่างมาถึงขั้นนี้แล้ว 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่ปรารถนาที่จะปล่อยนางไป กู้ชิงเฉิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเฟิ่งอวิ๋นหล่าง ได้แต่รอคอยให้เฟิ่งอวิ๋นหล่างค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของนาง ถ้าไม่เหลือเยื่อใย นางคงอยู่ในวังอย่างสบายใจขึ้น กลางคืนไม่กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ  


 


 


นางไม่เสียดายที่ได้รักเฟิ่งอวิ๋นหล่าง แต่หากมีโอกาส นางไม่มีวันรักเฟิ่งอวิ๋นหล่างอีก ยินดีใช้ชีวิตอย่างไร้ความรักความชัง  


 


 


….. 


 


 


กู้หลียวนไปหาหลี่ซั่ว แต่หลี่ซั่วไม่ไว้หน้าเขา กู้หลียวนจึงบอกเรื่องนี้ให้ซูจิ่วซือรู้ 


 


 


เกี่ยวกับหลี่ซั่ว ซูจิ่วซือเคยสืบถามมาแล้ว รู้ว่าหลี่ซั่วเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รู้จักยืดหยุ่น เป็นคนประเภทที่ดึงดัน  


 


 


ซูจิ่วซือจึงต้องไปหาหลี่ซั่วด้วยตัวเอง เฟิ่งอวิ๋นหล่างให้เวลานางเพียงสามวัน นางไม่กล้าเสียเวลาเปล่า หากนานไปวันหนึ่ง ซูเหิงก็ได้รับความทรมานมากขึ้น คืนนั้นนางเปลี่ยนชุดเป็นผู้ชาย ไปเยี่ยมคารวะที่จวนสกุลหลี่ 


 


 


หลี่ซั่วนึกไม่ถึงว่าซูจิ่วซือจะมาหาถึงจวน แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “คุณหนูซู เรื่องน้องชายของคุณหนู ข้าช่วยอะไรไม่ได้ เชิญคุณหนูซูกลับไปเถอะ เขาจะตายหรือรอดล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม” 


 


 


ซูจิ่วซือยิ้มเจื่อนๆ “ผู้บัญชาการหลี่เข้าใจผิด วันนี้ข้าไม่ได้มาคุยเรื่องซูเหิง แต่มาคุยกับผู้บัญชาการหลี่เรื่องพระสนมโหรว” 


 


 


พอได้ยินซูจิ่วซือพูดถึงพระสนมโหรว ดวงตาของหลี่ซั่วก็ฉายแววผิดปกติแวบหนึ่ง แล้วกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว  


 


 


เขาถามอย่างเป็นการเป็นงาน “คุณหนูซูเข้ามาในจวนผู้ชายยามค่ำคืน ไม่เหมาะอยู่แล้ว ยังมาพูดกับข้าเรื่องพระสนมโหรว ไม่รู้ว่าคุณหนูซูต้องการอะไร พูดเหลวไหลเรื่องพระสนมโหรวได้หรือ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 245 ความลับไม่มีในโลก  


 


 


 


 


 


ซูจิ่วซือยังคงไม่ใส่ใจ ยิ้มน้อยๆ  “ผู้บัญชาการหลี่ทำไมเครียดอย่างนี้ ข้าไม่ได้หมายถึงอย่างอื่น เพียงแต่เสียดายแทนผู้บัญชาการหลี่ 


 


 


พระสนมโหรวอยู่วังในเร้นลับ ชาตินี้ต้องเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท ผู้บัญชาการหลี่ปรารถนาในตัวผู้หญิงของฝ่าบาท ไม่รู้ว่าถ้าฝ่าบาททรงรู้เข้าจะจัดการผู้บัญชาการหลี่กับพระสนมโหรวอย่างไร” 


 


 


หลี่ซั่วไม่รู้ว่าซูจิ่วซือรู้เรื่องนี้มาจากไหน ทุกครั้งที่เขาไปพบพระสนมโหรวจะระมัดระวังไม่ทิ้งร่องรอย เปลี่ยนชุดเป็นทหารยาม แม้แต่ชื่อก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริง 


 


 


สถานที่พบกันก็เร้นลับขนาดนั้น ซูจิ่วซือเป็นเพียงคุณหนูตระกูลใหญ่ แม้เข้าออกวังหลวงเป็นประจำ แต่ก็จำกัดเวลา นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ใครเป็นคนบอกนาง เมื่อนางรู้อย่างนี้แล้ว พระสนมโหรวจะเป็นอันตรายหรือไม่ 


 


 


แต่ครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องไม่ยอมรับ พอคิดได้อย่างนี้ หลี่ซั่วก็ทำหน้าบึ้ง “องค์หญิงโปรดระวังคำพูดการกระทำ ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะพูดอะไรอีก หากขืนพูดเหลวไหล อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” 


 


 


“ถ้าไม่มีหลักฐาน ข้าย่อมไม่กล้าพูดออกมาแน่ ข้าจะพูดอะไรผู้บัญชาการหลี่ย่อมรู้ดี ความลับไม่มีในโลก แม้เจ้าจะปลอมชื่อเป็นหลี่เถี่ย แต่ก็ปิดไม่อยู่ ผู้บัญชาการหลี่ยังคิดว่าข้าพูดไม่ชัดเจนหรือ” 


 


 


หลี่ซั่วกำหมัดในแขนเสื้อแน่น ดวงตาฉายแววอำมหิต ชักกระบี่ที่ติดตัวออกมา จ่อที่อกของซูจิ่วซือทันที 


 


 


ซูจิ่วซือยังคงสงบ เหลือบตาขึ้น แววตาเย็นชา ราวกับว่าเบื้องหน้านางเป็นเพียงพัดกระดาษ  


 


 


จื่อหลานซึ่งเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลตึงเครียดมาก หัวใจแทบจะกระโดดออกมาที่คอ แต่นางไม่กล้าร้องออกมา กลัวว่าจะทำให้หลี่ซั่วตกใจ ทำให้คุณหนูของนางยิ่งลำบาก 


 


 


“ผู้บัญชาการหลี่คิดให้ดี ถ้าแทงข้า เรื่องระหว่างเจ้ากับพระสนมโหรวก็จะไปถึงฝ่าบาทอย่างรวดเร็ว อย่างมากเราสามคนก็ตายด้วยกัน ผู้บัญชาการหลี่ยอมตัดใจให้พระสนมโหรวตายหรือ” 


 


 


ซูจิ่วซือพูดน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า ย้อนถาม 


 


 


เมื่อครู่หลี่ซั่วทำลงไปด้วยความกลัว เขารู้ว่าตนไม่อาจฆ่าซูจิ่วซือ ถ้านางกล้ามาหาเขาตามลำพัง คงมีการตระเตรียมไว้แล้ว 


 


 


ถ้าสังหารนางจริง เรื่องนี้กระจายออกไป เขาคงตายแน่ เขาไม่กลัวตาย แต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพระสนมโหรว ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องปกป้องพระสนมโหรว 


 


 


หลี่ซั่วรู้ว่าซูจิ่วซือมีจุดหมาย จึงลดกระบี่ เก็บเข้าฝักไว้ที่เอว ถามด้วยสีหน้าเครียด “องค์หญิงต้องการอะไร” 


 


 


“ข้าต้องการอะไร ผู้บัญชาการหลี่ยังไม่รู้อีกหรือ” 


 


 


“ข้าเป็นเพียงผู้บัญชาการกองทหารราชองครักษ์ ช่วยคุณชายซูไม่ได้”  


 


 


“ผู้บัญชาการหลี่ไม่อาจทำให้ซูเหิงพ้นโทษ แต่ทำให้เขาพ้นจากการถูกทรมาน ถ้าผู้บัญชาการหลี่ช่วยเรื่องนี้ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น เราก็ต้องตายด้วยกัน” 


 


 


ก่อนหน้านี้กู้หลียวนเคยมาหาหลี่ซั่ว แต่หลี่ซั่วไม่อยากยุ่งเกี่ยว เขาดูถูกกู้หลียวนที่ไม่ทำการทำงานมาตลอด จึงปฏิเสธเด็ดขาด ไม่ไว้หน้ากู้หลียวน เวลานี้ซูจิ่วซือมาหาเขาด้วยตัวเอง และยังพูดถึงพระสนมโหรว แม้ไม่อยากช่วยแต่จำเป็นต้องช่วย 


 


 


ซูจิ่วซือกุมความลับสำคัญไว้ในมือ เป็นภัยคุกคามอย่างมาก เขาต้องบอกให้พระสนมโหรวรู้ เพื่อหาทางกำจัดซูจิ่วซือ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่วางใจ 


 


 


“องค์หญิงวางใจ ข้าจะไปหาใต้เท้าฟาง” 


 


 


“รบกวนผู้บัญชาการหลี่ ข้ารอฟังข่าวดีจากผู้บัญชาการหลี่ ฟ้ามืดแล้ว ข้าขอลา”  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม