ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 221-240

 ตอนที่ 221 จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ 


 


 


ไม่ได้การแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋สีหน้าเคร่งขรึม อะไรที่เขาวางแผนไว้แล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ “เชื่อข้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยส่งเจ้ากลับไป” 


 


 


เฉินยางยังคงไม่ค่อยเข้าใจเฝิงเยี่ยไป๋ ตอนนี้เขายังพูดดีๆ ด้วยอยู่ถือว่าเขาใจเย็นมากแล้ว ถ้านางยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไรอีก หากเขาโกรธขึ้นมาก็คงยากที่จะจัดการได้ 


 


 


เว่ยหมิ่นสีหน้าเฉลียวฉลาด รีบไปไกล่เกลี่ยก่อนที่เฉินยางจะพูดกับเขา “นานๆ ทีพวกเราจะได้ออกมา ทางด้านหลังไม่แน่ใจว่ามีสายตากี่คู่ที่กำลังมองมาที่พวกเราอยู่ ในเมื่ออุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที ถ้าไม่เล่นให้สุดๆ ก็จะไม่ได้กลับมาเล่นอย่างนี้อีกแล้วนะ เหล้าผลไม้ของที่นี่ขึ้นชื่อนัก ไทเฮาไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ แม้ว่าไทเฮาจะอยากลงโทษเจ้าเท่าไร อย่างไรเสียสามีของเจ้าก็ต้องช่วย” 


 


 


เฉินยางยังกลัวเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ ย่อมดูออกว่าสีหน้าของเขาแปลกไป ถ้ายังคงดื้อรั้นต่อไปจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง แล้วจะต้องรั้นไปทำไม นางไม่อยากจะทะเลาะกับเขาแล้ว ช่างเถอะ นี่ก็เสียเวลามามากแล้ว อย่างมากพรุ่งนี้กลับไปก็แค่โดนหงอวี้ ‘ใช้ไม้ไผ่ผัดเนื้อ’ ทนเอาหน่อยเดี๋ยวมันก็ผ่านไป 


 


 


นางพยักหน้า เดินตามไปพร้อมดึงแขนเสื้อของเฝิงเยี่ยไป๋ “ถ้าอย่างนั้นท่านอย่าลืมนะ พรุ่งนี้เช้าตรู่รีบพาข้ากลับไป‘’ 


 


 


ยากมากที่จะได้เห็นนางออดอ้อนเขากลับ ทำอย่างนี้ชวนให้เขาจะหยุดก็หยุดไม่ได้ ส่วนสำคัญอยู่ที่คืนนี้ เขาลูบศีรษะตัวเองอย่างงุนงง ไม่ได้สิ ถ้ายอมอ่อนข้อให้นางอีก ตนคงต้องลำบากเป็นแน่ 


 


 


“ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อไหร่กัน สบายใจเถอะ พรุ่งนี้เช้าตรู่ พอฟ้าสางข้าจะส่งเจ้ากลับ” 


 


 


ตอนพูดก็พูดอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้นางตื่นได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าตื่นไม่ไหว กลับไปสาย จะมาว่าเขาผิดคำพูดไม่ได้นะ อย่างไรก็โทษเขาไม่ได้อยู่ดี 


 


 


ในใจของเฝิงเยี่ยไป๋มีแผนอยู่แผนหนึ่ง ลูกคิดรางแก้วในมโนสำนึกส่งเสียงดังต๊อกแต๊ก ทั้งสี่คนไปหาอะไรทาน คนขายเข้ามาถามว่ารับเหล้าหรือไม่ เขามองไปที่เฉินยางแล้วบอกว่ารับ 


 


 


ถ้าเขาจะดื่มเหล้าแม้แต่เฉินยางเองก็ห้ามไม่อยู่ นางกลุ้มใจว่าคืนนี้จะนอนอย่างไร ครั้งก่อนหลังจากที่ดื่มเหล้ากับอิ๋งโจวเสร็จแล้ว พอกลับมาก็เมามาก ครั้งนั้นทำให้นางตกใจแทบตาย วันนี้บนรถม้าไม่ได้ดื่มเหล้าก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนที่ดื่มเหล้าเลย 


 


 


คนขายนำเหล้าไหหนึ่งมาวาง สะบัดผ้าบนบ่าออกแล้วพูดขึ้นว่า “พวกท่านดูเหมือนมาจากราชสำนักเลย พวกท่านวางใจได้ เหล้าที่นี่ของเราเป็นเหล้าที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแล้ว โดยเฉพาะเหล้าผลไม้ที่ทางเราหมักเอง” จากนั้นหันไปมองผู้หญิงสองคนที่โต๊ะ “เหมาะกับท่านสุภาพสตรีโดยเฉพาะ อย่าว่าแต่สีสันสวยงามเลย ยังอร่อยอีกด้วย คนที่เคยดื่มล้วนบอกว่าดี มาครั้งใดก็จะนำขึ้นรถม้ากลับไปด้วย” 


 


 


เว่ยหมิ่นก็พูดตอบว่า “เหล้าของพวกเขาเป็นเหล้าที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง แต่ว่าเหล้านี้ดื่มแล้วเมาง่าย แต่ข้อดีของมันก็อยู่ที่เมาง่ายนี่แหละ ถ้าหากเมาแล้วตื่นมาวันรุ่งขึ้นก็ยังไม่รู้สึกปวดหัว” 


 


 


เมา? เมาก็ดีสิ เฝิงเยี่ยไป๋ตบโต๊ะแล้วพูดขึ้นว่า“ได้ เอาอันนี้” 


 


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินหยางแตะต้องเหล้า ตอนเป็นเด็กตอนที่บิดาของนางดื่มเหล้า บิดานางจะเอาตะเกียบจิ้มเหล้าแล้วให้นางชิม เหล้าทั้งเผ็ดทั้งฉุน นางเอาลิ้นไปแตะนิดหน่อยก็ฉุนจนทนไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าเหล้าดีอย่างไร พอติดแล้วก็เลิกไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ชอบดื่มเหล้า จึงเลื่อนไหเหล้าไปทางเหลียงอู๋เย่ว์พลางส่ายหน้า “พวกท่านดื่มเถอะ ข้าไม่ดื่ม” 


 


 


ไม่ดื่มได้อย่างไรกัน เฝิงเยี่ยไป๋นำกระบวยตักเหล้ามาตักให้นางถ้วยหนึ่ง “เหล้าผลไม้ เจ้าลองดื่มดูก่อน” 


 


 


มองไปก็เหมือนน้ำเย็น แต่กลิ่นเหล้าแรงมาก นางไม่ได้รับ ยังคงส่ายหน้า “ข้าไม่ดื่ม เหล้าอร่อยตรงไหนกัน” 


 


 


—— 


ตอนที่ 222 ดื่มจนเมา 


 


 


เพื่อที่กล่อมให้เฉินยางดื่ม เว่ยหมิ่นจึงตักให้ตัวเองหนึ่งถ้วย จิบไปอึกหนึ่งแล้วเลียปาก อร่อยจนหาที่ติมิได้ “ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ เจ้าลองชิมดู หวาน เหมือน…เหมือนรสชาติของบัวลอยเหล้าหมัก รับรองว่าถ้าเจ้าดื่มถ้วยหนึ่งแล้วต้องมีอีกถ้วยหนึ่งแน่นอน ” 


 


 


เว่ยหมิ่นแค่อยากสอนให้เฉินยางดื่มเป็นอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีแผนอื่นใดแอบแฝง ให้นางลองชิมดูสักคำ อย่างน้อยก็ได้รู้ความสามารถในการดื่มเหล้าว่าดื่มได้มากน้อยขนาดไหน ไม่ได้มีข้อเสียอะไรเลย แต่สำหรับเฝิงเยี่ยไป๋แล้วนั้นกลับเป็นเรื่องดีที่ทำให้เขาไม่ต้องออกแรงกล่อมนาง เว่ยหมิ่นไม่ต้องบอกอะไรมาก ถ้าเป็นปกติ หากนางกล้าที่จะกล่อมให้เฉินยางดื่มเหล้าอย่างเปิดเผยต่อหน้าเขา ทำให้นางเสียผู้เสียคน เขาคงไม่เต็มใจเท่าไร แต่เวลานี้ไม่เหมือนกัน ให้นางทำไปก่อน นับว่านางช่วยให้เขาได้สมปรารถนาแล้ว 


 


 


เฉินยางเอาจมูกเข้าไปใกล้แล้วลองดมดู ยกถ้วยขึ้นมาจ่อปาก ถ้วยถึงริมฝีปากแล้ว กระนั้นก็ยังลังเล “ถ้าดื่มแล้วเมาจะทำอย่างไร”  


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์รู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋คิดอะไรอยู่ ลำบากเขาแล้ว อยากนอนห้องเดียวกันกับภรรยาก็ยังต้องทำให้ภรรยาเมาเสียก่อน แต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร พอมองไปที่เว่ยหมิ่นแล้ว ใจก็คิดว่าอย่าไปยุ่งเรื่องสามีภรรยาคนอื่นเขาเลย 


 


 


“มีสามีของเจ้าอยู่ทั้งคน เจ้ายังจะต้องกลัวเมาอีกหรือ” เว่ยหมิ่นชนแก้วกับนาง “มีคนตั้งเยอะแยะ เจ้ายังจะต้องกลัวว่าพวกข้าจะจับเจ้าไปขายอีกหรือ” 


 


 


นางไม่ได้กลัวว่าจะถูกเอาไปขาย นางกลัวอย่างอื่น…นางนิ่วหน้า มองไปที่เฝิงเยี่ยไป๋อย่างระมัดระวัง ในใจบอกว่า เหล้านี้ถึงแม้จะแรงอย่างไรก็ไม่สามารถดื่มจนเมาได้ในถ้วยเดียว เอาลิ้นแตะๆ ดูก่อนก็แล้วกัน  


 


 


ไม่ได้มีรสชาติเผ็ดอะไร พอรู้สึกว่าไม่ได้ฝืนใจเท่าไรนักนางก็อ้าปากแล้วดื่มลงไป ลองชิมด้วยตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไร นางรู้สึกว่าก็อร่อยดี เหมือนบัวลอยเหล้าหมัก รสชาติไม่ต่างกันมาก ใบหน้าจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง ยิ้มตาหยีออกมาพร้อมกับบอกว่า “ไม่เผ็ดและไม่ฉุน อร่อยดี” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋มองเห็นนางยิ้มก็ยิ่งดีใจ คีบอาหารแล้วป้อนเข้าปากนาง “ดื่มเหล้าหมดค่อยทานอาหาร ค่อยๆกิน อย่ามัวแต่คิดว่าอร่อยแล้วก็ตั้งใจดื่ม แม้จะบอกว่าเหล้านี้ดื่มแล้วไม่ปวดหัว แต่ถ้าเมาแล้วอาเจียนออกมาก็ทรมานเจ้าได้เหมือนกัน” 


 


 


เฉินยางโคลงศีรษะไปมา ตอนที่เคี้ยวอาหาร ไม่ทันระวังก็กัดถูกลิ้นตัวเองเข้า นางปิดปากแล้วร้องว่าเจ็บ เฝิงเยี่ยไป๋จึงกดแก้มนางทั้งสองข้างให้นางอ้าปาก ทว่าเฉินยางไม่ยอมอ้าปาก กลืนอาหารลงไปรวดเดียวหมด ข้างมือไม่มีน้ำ นางถือโอกาสยกถ้วยเหล้ากระดกลงท้องไป ตอนที่ค่อยๆ เอาถ้วยวางนั้นก็คิด เจ้ามันตัวดีนัก ดื่มเหล้าจนหมดแล้ว 


 


 


เว่ยหมิ่นตกใจ “เจ้าดื่มหมดเลยหรือ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง เจ้าดื่มอย่างนี้ไหวหรือ” 


 


 


ผู้ชายเองยังไม่กล้าดื่มเช่นนี้เลย นางกลับดื่มจนหมด ท่าทางอย่างนี้ ช่างเหมือนลูกวัวที่เพิ่งคลอดไม่กลัวเสือ ตอนนี้ดื่มจนติดแล้ว ประเดี๋ยวนางได้ทรมานแน่ 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คราวนี้พอดีเลย เดิมทีวางแผนว่าให้นางดื่มพอให้รู้ว่าเมาก็พอแล้ว ดื่มมากไปจะทรมาน ตอนอาเจียนจะลำบากเอามาก ถ้าทำลายร่างกายก็คงไม่ดีนัก แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ มือของนางเทไวมาก ยังไม่ทันที่จะเทชาให้นาง นางก็ดื่มจนหมดแก้วอีกแล้ว 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ถอนหายใจ “ดูเองเถอะ ไม่นานเดี๋ยวคงได้เซเป็นแน่ คนที่ดื่มเป็นครั้งแรกยังไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง” 


 


 


เฉินยางเพิ่งจะสำลัก ไหนเลยจะไปคิดอะไรมากขนาดนั้น มีให้ดื่มก็ดื่มไป นางคิดแค่ว่าดื่มพอให้รู้สึกสบายก็พอแล้ว แต่เมื่อเหล้าลงคอยิ่งดื่มก็ยิ่งหอม อย่างไรเสียดื่มอึกหนึ่งก็คือดื่ม ดื่มสองอึกก็คือดื่มเหมือนกัน ดื่มๆ ให้หมดไปเสียก็สิ้นเรื่อง 


 


 


หลังจากที่ดื่มจนหมดนางก็เริ่มล่องลอย ภาพตรงหน้าเหมือนโลกหมุน ความรู้สึกนี้ช่างดีจริง แต่นางรู้ตัวว่าตนเองเมาเสียแล้ว 


ตอนที่ 223 ขี้เหล้า 


 


 


เมื่อเฉินยางไม่เคยดื่มเหล้าเลย นอกเสียจากตอนที่พ่อนางเอาตะเกียบจิ้มเหล้าป้อนให้นางครั้งนั้นแล้ว นับได้ว่าไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน ครั้งนี้นางเมาหนักมาก ตอนที่วางถ้วยเหล้าวางลงนั้น หน้าแดงมาก ตาสองข้างเหม่อลอย มองไปรอบๆ พูดจาไม่ชัด คนเซไปเซมานั่งไม่นิ่ง ดูออกเลยว่าเมา 


 


 


“เหล้านี้อร่อยเหลือเกิน” นางเอามืออุ้มไหเหล้าไว้ ไม่ต้องใช้ถ้วยอะไรแล้ว ไหเหล้าไหนี้ทำให้สบายใจ เพราะไหใหญ่ขนาดนั้น นางจึงเอากระบวยตักดื่มเลย เหมือนคนทุกคนที่ดื่มเหล้าจนเมาไปแล้ว ด้านหนึ่งตะโกนบอกว่าตัวเองไม่ได้เมา ด้านหนึ่งยังตักเหล้าซดเข้าปากไม่หยุด  


 


 


นี่ไม่เรียกว่าขี้เหล้าแล้วจะเรียกว่าอะไร เฝิงเยี่ยไป๋แย่งกระบวยตักเหล้าจากมือนางแล้วพูดว่า “เมาแล้ว ดื่มต่อไม่ได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าบอกเจ้าของร้านให้ทำข้าวเหนียวปั้นให้เจ้าทานดีหรือไม่” 


 


 


ตอนที่ยังดีอยู่นางก็ชอบกิน พอได้ยินว่ามีของกินก็เดินต่อไม่ไหว ถ้ายังดื่มอย่างนี้ต่อไป กลางดึกจะนอนได้อย่างไรกัน ยกมือรอความทรมานเสียเถอะ วันนี้แผนที่เขาวางไว้คิดผิดไป วันข้างหน้าจะไม่ให้นางดื่มเหล้าอีกแล้ว มองดูสารรูปตอนเมาเข้าสิ ถ้าให้ไทเฮาเห็นเข้า ระเบียบก่อนหน้านี้เท่ากับว่าไม่มีประโยชน์เลย 


 


 


เฉินยางชิมจนรู้รสชาติของเหล้าแล้ว ขณะเดียวกันก็รับรู้ถึงข้อดีของเหล้าอีกด้วย ในที่สุดนางก็รู้ว่าทำไมพ่อของนางถึงชอบดื่มเหล้ามาก เหล้าเป็นสิ่งที่เทพหมัก ยิ่งดื่มยิ่งติด ในเมื่อคืนนี้ไม่ต้องกลับวัง ถ้าอย่างนั้นยังนั่งทำอะไร“ทำไมพวกเจ้าไม่ดื่ม ไม่เมาไม่กลับ มาๆๆ…ดื่มสิ” 


 


 


เว่ยหมิ่นยังไม่ได้สติกลับมา ได้ยินนางตะโกนบอกให้ดื่ม ฉับพลันก็ดึงสติกลับมาได้ พูดว่า “ไหนบอกว่าตัวเองดื่มเหล้าไม่ได้ไง แท้ที่จริงแล้วตอนเมาก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” 


 


 


“ใครบอกว่าข้าดื่มไม่ได้ เอิ๊ก! ข้าดื่มได้” พอดื่มเหล้าเมาจนกล้า นางเงยหน้าขึ้นมา หลับตาแล้วพูดกับเฝิงเยี่ยไป๋ “ท่านพี่ ดื่มด้วยกันสิ แล้วเราก็เอาเหล้าใส่รถม้ากลับไปด้วย ฝัง… เอิ๊ก! อา ฝังไว้ที่ลานตำหนัก ค่อยๆ ดื่ม” 


 


 


พูดได้ครึ่งเดียวนางก็เรอออกมาใส่หน้าเฝิงเยี่ยไป๋ เฝิงเยี่ยไป๋แกล้งทำเป็นรังเกียจนาง จับหน้านางหันไปอีกทางหนึ่ง “อยากดื่มเราก็ซื้อ มีแค่นิดเดียว วันนี้พอแค่นี้ก่อน ดื่มต่อไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้จะตื่นไม่ทันกลับวัง” 


 


 


“กลับวังหรือ ข้าไม่กลับหรอก” นางตบโต๊ะดังปัง ยืนขึ้นอย่างสง่า เท้าเอว สีหน้าดูโมโหมาก “กลับไปจะได้รับการลงโทษ ให้ข้ายืนอยู่กลางแดดทั้งวัน” นางจับมือของเฝิงเยี่ยไป๋ไปจิ้มหน้าตัวเอง “ท่านดูสิ มืดแล้ว พวกนางนึกว่าข้าไม่รู้ ความจริงแล้วข้า…ไม่ได้โง่ คนอื่นตอนพักช่วงบ่ายนอนกลางวันได้…และ…เอิ๊ก! ทำให้เดือดร้อนแล้วยังจะพักอีก มีแค่ข้าที่พักไม่ได้ ไม่ใช่แค่ไม่ได้ ยังชอบตีข้าอีกด้วย” 


 


 


ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกน้อยใจ ครั้งนี้นางเมาจนไม่รู้เรื่อง พูดอะไรออกมาโดยไม่คิดเลยสักนิด ทำอะไรก็ไม่ได้ไตร่ตรองดู ขณะพูดนางตั้งท่าจะถลกเสื้อขึ้นมาเพื่อจะยืนยันคำพูดของตัวเอง ต่อหน้าสาธารณะเช่นนี้ เฝิ่งเยี่ยไป๋รีบเข้าไปห้ามนาง กอดไว้ในอ้อมกอด จับมือสองข้างของนางไว้แน่น ป้องกันไม่ให้นาง ‘ทำเรื่องไม่งาม’ อีกครั้ง สีหน้าเขาแลดูไม่สู้ดีนัก มองไปรอบๆ “มีเรื่องอะไรค่อยกลับไปคุยกันดีหรือไม่” 


 


 


ตอนแรกนางปฏิเสธ แต่เขากลับยังยุให้นางดื่มเหล้าต่ออีก ครั้งนี้เหมือนโดนตบหน้า ใครจะคิดว่าการดื่มเหล้าของนางจะแย่อย่างนี้ อยู่ต่อหน้าคนมากมายยังกล้าถอดเสื้อผ้า ยังดีที่ห้ามไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้น เขาจะต้องไปควักลูกตาทีละคนถึงจะสามารถระงับความโมโหได้ 


ตอนที่ 224 หญิงงามประดุจอสรพิษ 


 


 


น่าอวี้นั่งอยู่เยื้องโต๊ะของเฝิ่งเยี่ยไป๋ที่นั่งติดกับเสา หลังจากนางกลับไปกินยาแล้ว เวลานี้นางรู้สึกดีขึ้นมาก นึกถึงว่าเวลาอาหารเย็นอาจได้เจอกับเฝิงเยี่ยไป๋ ก็เลยนั่งอยู่ตรงนี่้ตั้งนานแล้ว การปล่อยไก่ของโต๊ะพวกเขานั้นนางเห็นหมดแล้ว โดยเฉพาะเฉินยาง นางตอนก่อนดื่มเหล้ากับหลังดื่มเหล้าราวกับเป็นคนละคน ช่างน่าขบขันยิ่งนัก  


 


 


อวี๋เอ๋อร์เติมชาไปด้วยบ่นไปด้วย“ในบ้านพักบนภูเขาตอนเย็นอากาศจะเย็น บ่าวบอกท่านไปหลายครั้งแล้วท่านไม่ฟังบ่าวเลย ถ้ายังถูกลมอีก คนที่ทรมานไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นท่านเองต่างหาก ถ้าท่านอยากจะขอบใจท่านอ๋อง เชิญดื่มเหล้าสักมื้อ หรือมอบของกำนัลสื่อความหมาย ทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมาแอบดูอยู่ที่นี่ ” 


 


 


น่าอวี้ยกมือแล้วดีดไปที่ศีรษะของอวี๋เอ๋อร์ “เราสองคนใครเป็นเจ้านายกันแน่ ข้าให้เจ้ามาสั่งสอนข้าตั้งแต่เมื่อไร” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์จับศีรษะ ไม่ได้กลัวนางเลยสักนิด “ใช่เจ้าค่ะ บ่าวไม่กล้า เป็นเพราะบ่าวเป็นห่วงท่านมากเกินไป ถ้าทำให้ฮูหยินรู้เข้า แล้วไปบอกนายท่าน นายท่านจะต้องลงโทษท่านอีกแน่ๆ เลย” 


 


 


น่าอวี้หน้าเข้ม พูดขึ้นมา “เขา? ไม่ใช่เป็นเพราะเขาให้ข้าทำเช่นนี้หรือ ถ้ายังมาโทษข้าอีก ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าไปพูดได้ที่ไหน” 


 


 


เจี่ยงเหว่ยเขาชาตินี้ทำชั่วมากเกินไป จะอย่างไรก็ไม่สามารถมีลูกสาวอย่างนางได้อีกแล้ว นางบอกเขาว่าพ่อนั้นเป็นความโชคดีของเขาแล้ว ตระกูลเจี่ยงของเขา ไม่มีอะไรดีเลย เจี่ยงอี้ที่ตายไปคนนั้นไม่ใช่ เจี่ยงเหว่ยถึงใช่ ฮูหยินเจียงคนนั้นที่กินเจสวดมนต์ทั้งวัน คนเลวทั้งสิ้น ตอนนี้พบเจอคนถามก็ยังบอกว่าตัวเองเป็นลูกสาวตระกูลเจี่ยง ช่างไม่อายคนเสียจริง 


 


 


อวี๋เอ๋อร์ยืนอยู่อีกทางหนึ่ง ถอนหายใจกลัดกลุ้มยิ่งกว่านางเสียอีก “นั่นก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออก เบื้องบนสั่งมา ทำดีได้รางวัล ทำไม่ดี ทั้งหมดก็ต้องลงมาไปหายมบาลแล้ว” 


 


 


น่าอวี้หันกลับมาปลอบใจนาง แล้วหันไปมองเฝิงเยี่ยไป๋ “พวกเจ้าสองคนอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็ต้องหาต้นไม้ใหญ่พักพิง คนที่จะทำให้สวรรค์กลัวได้ อย่างเขาน่าจะมีจุดที่เหนือมนุษย์”  


 


 


“ที่ท่านคิดคือ…” อวี๋เอ๋อร์รีบปฏิเสธความคิดที่อยู่ในหัวนางออกไป“ไม่ได้ๆ ชีวิตน้อยๆ ของเราอยู่ในกำมือฝ่าบาทหมดแล้ว ท่านลืมความเจ็บไข้ได้ปวดของท่านไปแล้วหรือ ไม่ได้ บ่าวจะไม่รับปาก ถ้าท่านเป็นอะไรไป ไม่ได้มีเจตนาให้บ่าวต้องจบชีวิตนี้หรือ” 


 


 


“พวกเขามองว่าเป็นคนป่วย ไม่ออกไปไหนเลยไม่รู้เรื่องอะไร แต่กระดาษห่อไฟไว้ไม่ได้ สิ่งที่ไอ้สารเลวเจี่ยงเหว่ยทำไว้ ข้าจดจำแทนยมบาลแล้ว ลูกชายของเขาตายไปแล้ว เขายังจะเล่นอยู่อีกหรือ” 


 


 


เจี่ยงอี้ก็เป็นเหมือนกระเป๋าฟางใบหนึ่ง นอกจากจะกินเล่นเที่ยวไปวันๆก็ทำอะไรไม่เป็นเลย ไม่เพียงแต่เท่านี้ ยังทำให้แผนของนางล้มมาหลายครั้งแล้ว ฮูหยินของเจี่ยงเหว่ยคนนั้นรักลูกชายคนนี้มาก นางจะไม่มีวันลงมือทำเจี่ยงเหว่ย แต่นางทำไม่ได้ มีบางคนกลับอยากจะฆ่าเขากับมือตัวเอง นางก็แค่มีน้ำใจตามสถานการณ์ก็แค่นั้น 


 


 


ถ้าจะจับจุดอ่อนของเจี่ยงเหว่ยก็ช่างง่ายเสียจริง มอมเหล้าเขาไม่กี่แก้ว นั่งที่ตัก พูดคำหวานกับเขาไม่กี่คำ อย่างไรก็ผู้ชาย ทนไม่ได้กับคำหวาน โดยเฉพาะกับคำพูดหวานๆของผู้หญิง สองสามประโยคก็ทำให้เขามึนไปได้ ไม่รู้จักทิศทาง หลังจากนั้นจะถามอะไรก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว มีอะไรให้เป่าก็เป่าอันนั้น ไม่ต้องใกล้ชิดมากก็หาได้ ทั้งเรื่องการทหาร ไม่ต้องรอให้นางถาม ตัวเขาเองก็บอกมาจนหมด 


 


 


ในเมื่อแม้แต่เขาเองก็ไม่รักชีวิตตัวเองง ถ้าอย่างนั้นมีอะไรที่นางจะต้องอ่อนข้อให้ ข่าวสารกระจายไปทั่ว ยืมมือคนอื่นฆ่า ทำให้ตัวเองขาวสะอาดสะอ้าน ก่อนหน้านั้นนางยังเป็นกังวลว่าตัวเองจะสั่น แต่ว่าเจี่ยงเหว่ยผู้ซึ่งมุทะลุคนนี้ แก้แค้นอย่างใจร้อน ไม่นานก็ฆ่าคนตาย ก็ดี ทำให้นางสะดวกไปเยอะ


ตอนที่ 225 ตกลงเห็นนางมีอะไรดี 


 


 


ที่จริงแล้วเรื่องในวันนี้ เป็นความบังเอิญและก็ไม่ใช่ความบังเอิญ บังเอิญคือนางก็นึกไม่ถึงว่าโรคของตัวเองจะกำเริบขึ้นมา แถมยังบังเอิญเจอเฝิงเยี่ยไป๋ผ่านตรงนี้ไป ที่ไม่บังเอิญคือนางได้รู้ข่าวอยู่ก่อนแล้วว่าเฝิงเยี่ยไป๋จะมาที่นี่ จึงได้ตามมา ก็เพื่อจะได้สร้างความบังเอิญ 


 


 


ความฉลาดของอวี๋เอ๋อร์นี้ ให้นางช่วยทำงานพอไหว แต่หากจะให้นางใช้สมองวางแผนเหล่านั้นนางทำไม่ได้ แต่แม้นางจะไม่ได้เก่งเรื่องวางแผนนักก็ยังดูออก ในเมื่อคราวนี้ได้พบเจอแล้ว ก็ควรจะขึ้นไปแสดงความในใจเสียหน่อย นี่เรียกว่าตีเหล็กตอนยังร้อนไม่ใช่หรือ หนึ่งวันได้พบกันถึงสองครั้งนั่นก็คือบุพเพสันนิวาส วันหลังก็จะได้มีเรื่องคุยได้อีก ภาพลักษณ์ครั้งแรกดี บวกกับใบหน้าคุณหนูของนางอีก เช่นนั้นแล้วหลังจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาไม่ใช่เป็นไปตามเหตุผลหรือ 


 


 


น่าอวี้รู้ว่าในใจอวี๋เอ๋อร์คิดอะไรอยู่ เพียงแต่ในใจนางมีแผนอยู่แล้ว นางจึงโบกมือเรียกให้อวี๋เอ๋อร์นั่งลง ย้อนถามว่า “ที่ดื่มจนเมาคนนั้นชื่อว่าเว่ยเฉินยาง เป็นภรรยาที่เฝิงเยี่ยไป๋แต่งอยู่ที่เมืองหรู่หนาน ได้ยินว่าเมื่อก่อนเป็นคนโง่ เพีงแต่ตอนนี้รักษาหายแล้ว ตอนนี้อยู่ในวังเรียนระเบียบกับไทเฮาอยู่” น่าอวี้ยกมือชี้ให้นางดู “เจ้าเห็นหรือไม่ หากผู้ชายได้มอบหัวใจให้ผู้หญิง สายตานั่นไม่เคยละไปเลยไม่ว่าเวลาใด หน้าตาดีเป็นข้อได้เปรียบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ชายทั้งหมดจะรักหญิงงาม เรื่องความรักนี้อธิบายยากนัก หากฝากใจไว้ที่ใครแล้ว ไม่ว่าคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ฐานะยากจนเพียงใด หลุดไม่พ้นก็คือหลุดไม่พ้นแล้ว” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์บ่นขึ้นมาว่า “ไฉนข้าถึงมองไม่ออกว่าเว่ยเฉินยางนั่นมีอะไรดี ตกลงเฝิงเยี่ยไป๋เห็นนางมีอะไรดีกันแน่” 


 


 


น่าอวี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากรู้ทุกเรื่องละก็ เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าความรักแล้ว” บนโต๊ะมีชากาหนึ่งอุ่นอยู่ เมื่อครู่ยังร้อน ตอนนี้ความร้อนกำลังพอดี นางเติมให้ตัวเองแก้วหนึ่ง พอดื่มเสร็จ ก็เรียกอวี๋เอ๋อร์กลับห้องไป 


 


 


“คุณหนู พวกเราก็… ก็ไปเช่นนี้เลยหรือ” อวี๋เอ๋อร์ยังคงไม่ยอมแพ้ 


 


 


“เจ้าดู ฝั่งนั้นวุ่นวายกันเช่นนี้ ตอนนี้ถ้าเข้าไปพูดอะไรที่จะตอบแทนพระคุณอยู่ ไม่ใช่จงใจสร้างความวุ่นวายเพิ่มขึ้นอีกหรือ เช่นนั้นแล้วเจอครั้งที่สองคนเขาจะเกลียดเอาได้ ไม่รีบ เวลายังมีอีกยาวไกล จะช้าจะเร็วก็ต้องได้เจอกันอีก” 


 


 


ผู้หญิงที่ฉลาด รู้จักรุกรู้จักถอย ตอนนี้ในใจของเขามีเพียงหญิงผู้นั้นผู้เดียว นางไปตอนนี้ นอกจากจะสร้างความรำคาญให้เขาแล้วยังสร้างความไม่สบายให้ตัวเองอีกด้วย ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย ดูกันไปก่อนเถอะ รักมียาวมีสั้น ดูเพียงว่าพวกเขาจะจบสิ้นเมื่อใด 


 


 


ฝั่นนั้นเฉินยางยังวุ่นวายอยู่ คนที่มามุงดูก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ได้เพียงมองอยู่ไกลๆ เฝิงเยี่ยไป๋พวกเขารู้จัก เป็นท่านอ๋องที่ฮ่องเต้พระราชทานใหม่ มีเพียงชื่อแต่ไร้อำนาจ ไม่มีอะไรต้องกลัว เวลาเช่นนี้ไปเหยียบย่ำสองทีก็ควรจะทำ เพียงแต่โต๊ะนั้นนอกจากเฝิงเยี่ยไป๋แล้วยังมีท่านหญิงนั่งอยู่ แม้ว่าตอนนี้ท่านหญิงจะมีจวิ้นหม่าแล้ว แต่ความสำคัญของนางที่อยู่ในพระทัยของฮ่องเต้นั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย คำพูดนี้ยังเป็นขันทีปรนนิบัติพระองค์ที่เตือนพวกเขามา บอกว่าบนโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ จนถึงตอนนี้ก็ยังมีรูปวาดของท่านหญิงวางอยู่ ความรักเดียวใจเดียว จะมีใครเทียบได้หรือ แม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่ช่วงนี้ได้รับความสนใจคนนั้น ได้ยินว่าก็สังเกตนิสัยของท่านหญิงมาอย่างละเอียด แล้วจงใจเรียนรู้เพื่อไปแสดงต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ถึงได้รับความสนใจเช่นวันนี้ ความรักที่ลึกซึ้งของฮ่องเต้นั้น แม้นางจะไม่ใช่ท่านหญิงแล้ว ยังมีใครกล้าแตะต้องนางอีก ตอนนี้ไปพูดจาไม่ดีใส่ เกรงว่าตัวเองจะมีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว 


 


 


เจ้าเด็กนี่ ดื่มเหล้าเสร็จทั้งร้องทั้งวุ่นวาย เพิ่งจะเล่าความทุกข์ออกไป ก็กอดเฝิงเยี่ยไป๋ปาดน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง ปากบ่นพึมพำไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ข้าวกินไปได้ไม่ถึงสองคำ ก็ต้องกลับเสียแล้ว


ตอนที่ 226 หาท่านหมออิ๋งโจว 


 


 


ที่ซานจวงมีห้องพัก ไม่แบ่งชนชั้น ล้วนหรูหราทั้งหมด เพียงแต่เช่นนี้ก็ดี ไม่ต้องมีความวุ่นวาย ผู้ที่มาล้วนมีหน้ามีตา หากห้องพักยังแบ่งชนชั้นอีก ซานจวงนี้ก็คงไม่ต้องอยู่แล้ว 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋อุ่มเฉินยางกลับไปที่ห้อง ระหว่างทางเฉินยางเตะขาไปมาถูกใบหน้าของเขา แถมยังถูกหมัดของนางอีก พอฟังนางร้องอู้อี้ราวกับแสดงละครอยู่นั้น เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือหัวเราะดี 


 


 


“เจ้าอยู่สงบหน่อย วันนี้ข้าไม่ควรให้เจ้าดื่มเหล้าเลย เพียงครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งต่อไปหากแตะเหล้าอีก ข้าจะเย็บปากเจ้า” เขาวางนางไว้บนเตียงแล้วถอดรองเท้าหาหมอนให้นางนั่งพิง “หิวน้ำหรือไม่ จะดื่มน้ำหรือไม่” 


 


 


เฉินยางส่ายหน้า “ไม่ดื่มน้ำ จะดื่มเหล้า หวานดี… ดื่มเสร็จแล้วเหมือนบินอยู่บนฟ้าเลย” 


 


 


“ยังคิดจะดื่มเหล้าอีก ไม่ให้ดื่ม ข้าจะไปรินน้ำให้เจ้า ดื่มเสร็จแล้วก็นอน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็จะดีขึ้นแล้ว” 


 


 


น้ำที่อยู่บนโต๊ะยังอุ่นอยู่ เขารินไปแก้วหนึ่งแล้วป้อนนางดื่มลงไป จับสองมือที่แกว่งไปมาไม่หยุด แล้วนึกถึงที่นางฟ้องเมื่อครู่ เหมือนมีใครมาทุบที่อกเขาเช่นนั้น จึงถามอีกว่า “เจ้าถูกตีอยู่ในวังหรือ เป็นใครที่ตีเจ้า” 


 


 


เฉินยางส่ายศีรษะไปมา นางเบะปากถอดเสื้อนอกออก จะเปิดเสื้อด้านในให้เขาดู “อยู่ข้างหลัง ตีข้าหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ตีหลายที เจ็บมาก แต่ข้าไม่ร้อง นางโกรธ ก็ยิ่งตีแรงมากขึ้นอีก” 


 


 


มือนางไร้เรี่ยวแรง บอกว่าจะเปิดเสื้อก็เพียงแค่ทำท่าทางเท่านั้น นางเมาเช่นนี้ ในหัวก็วุ่นวายไปหมด นึกถึงอะไรก็พูดเช่นนั้น หลังเมาพูดความจริง เฝิงเยี่ยไป๋ให้นางนอนคว่ำลง แล้วเปิดเสื้อด้านในของนาง ว่าแล้วก็เป็นอย่างที่คิด เห็นรอยที่ถูกตีสลับไขว้กันไปมา รอยแดงมีสีม่วงเป็นจ้ำอยู่ ไม่เห็นเลือด ดูเหมือนว่าจงใจไม่ให้เขาสังเกต จึงได้ใช้วิธีการลงโทษที่ไม่ให้เป็นแผลเลือดออก 


 


 


นี่คือคนที่เขารักที่สุด! เขาโกรธเพียงใดก็ไม่กล้าแตะต้อง ทีนี้เป็นเรื่องแล้ว คนอื่นมาตีจนเป็นแผลอยู่เต็มตัว เนื้อเนียนละเอียดถูกตีจนเป็นเช่นนี้ ในใจเขาเหมือนดั่งถูกมีดกรีด ทั้งเจ็บทั้งโกรธ โกรธคนที่อยู่ตำหนักไทเฮา และก็โกรธนาง เจอหน้าแล้วกลับไม่ยอมเล่าให้เขาฟัง ตอนนั้นเขายังเอามือวางอยู่บนหลังนาง เห็นนางสีหน้าผิดปกติ ยังคิดว่านางหน้าบางเขินอาย พอคิดโยงเข้าด้วยกัน ที่แท้ก็อดทนกับความเจ็บปวดอยู่ 


 


 


เขากัดฟัน ประคองนางขึ้นมาแล้วหยิกแก้มนาง ทั้งสงสารและเสียใจ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ถูกตีต้องตีคืน ถูกด่าต้องด่าคืน ใครกล้ากร่างใส่เจ้า เจ้าก็เถียงเขากลับ ทุกเรื่องมีข้าอยู่ ก่อเรื่องใหญ่เพียงใดก็มีข้าปกป้องเจ้า ไฉนถึงยังปล่อยให้คนอื่นตีเจ้าอีก” 


 


 


“ข้าไม่ได้ปล่อย” นางเบะปากด้วยความน้อยใจ “ข้าเถียงคืนแล้ว” 


 


 


“ไฉนถึงยังถูกตีจนเป็นเช่นนี้” 


 


 


“ก็เพราะเถียงคืนถึงได้ถูกตี” 


 


 


นางหมอบอยู่บนเตียงพูดเสียงอู้อี้ “จะกลับไปหาท่านหมออิ๋งโจว… หาท่านหมออิ๋งโจว… ท่านหมออิ๋งโจวรักษาโรคเป็น เขาฝังเข็มไม่เจ็บเลย…” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋จับนางขึ้นมา “เจ้าพูดอะไร ไปหาใคร” 


 


 


ตอนนี้นางยังมีความคิดอย่างอื่นได้เสียที่ไหน ย่อมคิดอะไรได้ก็พูดเช่นนั้น อิ๋งโจวเป็นหมอ นางบาดเจ็บแล้ว คนแรกที่คิดได้ในหัวก็ย่อมเป็นอิ๋งโจว ปากยังบ่นพึมพำ เรียกชื่ออิ๋งโจวซ้ำไปซ้ำมา 


 


 


แผลของนางอยู่ข้างหลัง หากจะดู ไม่ถอดเสื้อก็ไม่ได้ อิ๋งโจวเป็นผู้ชาย จะให้อิ๋งโจวมองแผ่นหลังภรรยาของเขา คิดว่าเขาตายไปแล้วหรือไร ไม่ใช่ ต่อให้เขาตายไปแล้วก็ไม่ได้


ตอนที่ 227 เจ็บหรือไม่ 


 


 


เฉินยางนอนหงายไม่ได้ ทำได้เพียงนอนคว่ำอยู่บนเตียง คางเกยบนตักเฝิงเยี่ยไป๋ ส่วนปลายนิ้วเขี่ยวนไปมาอยู่บนขาของเขา นางพูดว่า “ไทเฮาเป็นแม่ของท่าน…และก็เป็นท่านแม่ของข้า ท่านพ่อบอกว่าต้องเคารพและกตัญญูต่อท่านแม่…ข้าไม่มีแม่ ข้าเลยอยากกตัญญูต่อนาง เพียงแต่นางไม่ชอบข้า” 


 


 


ตอนนี้นางค่อยๆ สงบลงแล้ว หลังจากเมาแล้วความง่วงก็มาเยือน หนังตาเริ่มหย่อน ปากยังคงบ่นพึมพำไม่หยุด เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจด้วยความจนใจ คิดจะดึงเสื้อนางปิดลงมา ขณะที่มือคลำไปถึงชายเสื้อแล้วกำลังจะดึงลงมาอยู่นั้น นางก็ขยับมาข้างหน้าเล็กน้อย ตัวนางทับบนมือเขาพอดี ทว่าตัวนางเองกลับไม่รู้ตัวเลย มือซุกซนพยายามจะหาอะไรทำให้ได้ จึงกระตุกแขนเสื้อของเขา พูดพึมพำว่า “ข้าก็ไม่ได้โง่แล้ว ไฉนนางถึงยังไม่ชอบข้าอีก” พูดจบก็เอ่ยอย่างโกรธๆ อีกว่า “นางไม่ชอบข้า ข้าก็ไม่ชอบนางแล้วเหมือนกัน แล้วก็จะไม่ทำสีหน้าดีๆ กับนางด้วย!” 


 


 


คำพูดนี้นางตะโกนออกมา เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว ในใจเขาดั่งมีไฟลุกโชน ในหัววุ่นวายไปหมด ไม่ได้มีสติคิดถึงเรื่องอื่นเลย เรื่องอย่างนี้มิใช่ว่าเพิ่งทำครั้งแรก เพียงแต่ความดีใจในตอนนี้กลับมากยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก เขาขยับมือ รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่ในอกอุ่น สั่นสะท้านอยู่ในมือเขา ความอ่อนนิ่มนั้นเหนือกว่าสิ่งอื่นใด 


 


 


จู่ๆ เขาก็เหมือนธาตุไฟเข้าแทรก ตอนนี้จะยังมีสติเสียที่ไหน ล้วนอาศัยมือที่ยังยั้งเอาไว้อยู่ เพียงแต่การยับยั้งนั้นจะยังคงอยู่ได้อีกนานเพียงใด ตัวเขาเองก็ไม่อาจรู้เช่นกัน 


 


 


“ท่านแม่…ท่านแม่…” นางนอนคว่ำอยู่ น้ำหนักกดอยู่ที่อกย่อมรู้สึกไม่สบาย นางหายใจไม่ออก จึงเอียงตัวคิดจะนอนหงาย แต่เพิ่งเอนหลังลงบนผ้าห่ม ก็แตะถูกรอยแผลเหล่านั้นเข้า นางเจ็บจนกัดฟันร้องออกมา เหมือนเต่าที่ถูกจับหงายขาชี้ฟ้า คราวนี้เจ็บอย่างสุดซึ้ง เกือบน้ำตาไหลออกมา 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ถูกเสียงกรีดร้องของนางทำเอาตกใจ วิญญาญกลับเข้าร่าง มือยังคงค้างอยู่ท่าเดิม เพียงแต่ในมือว่างเปล่า บนเตียงมีเว่ยเฉินยางที่ร้องโอดครวญอยู่ 


 


 


เขารีบพลิกตัวนาง ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก มือก็ไม่รู้จะวางที่ใด ด้วยความว้าวุ่นใจจึงคว้ามือนางไว้แล้วถามอย่างร้อนรนว่า “เป็นอะไรไป! แตะถูกแผลเข้าหรือ เจ็บหรือไม่!” 


 


 


ถามจบก็รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองไม่จำเป็นเลย เห็นท่าทางของนางเช่นนี้ก็ไม่เหมือนว่านางจะดีอยู่ ยังต้องถามอีกหรือ ไร้สมองจริงๆ แม้แต่ความฉลาดก็หายไปจนหมดสิ้น “เจ้านอนไปก่อนอย่าเพิ่งขยับ ข้าจะไปเอายาให้เจ้า เมาเช่นนี้แล้ว อย่าได้วิ่งซน เข้าใจหรือไม่!” 


 


 


เมื่อครู่ยังร้องเรียกท่านแม่เสียงอู้อี้อยู่เลย ตอนนี้กลับไม่ตอบเสียแล้ว ดูท่าทางคงจะหลับไปแล้ว ไม่ขยับแม้แต่น้อย เฝิงเยี่ยไป๋ดึงเสื้อขึ้นมาให้นาง แล้วห่มผ้าให้นางเบาๆ ก่อนจะปิดประตูเดินออกไป 


 


 


ในซานจวงต้องมีหมอแน่นอน ไม่เช่นนั้นทางลงเขายาวไกลนัก ผู้ที่มาซานจวงล้วนแต่เป็นผู้มีฐานะ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แม้แต่คนที่ช่วยชีวิตก็ไม่มี ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ออกไปเรียกคนใช้คำเดียว ไม่นานก็ได้ยามาแล้ว เพียงแต่เจี่ยชีตอนบ่ายบอกจะเจอเขา เพราะช่วยแม่นางเจี่ยงอะไรนั่นจึงไม่ได้ไป ตอนนี้ก็ได้โอกาสออกไปเจอพอดี 


 


 


การจะสลัดพวกผู้ติดตามทั้งหลายนั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก ที่เขาเป็นกังวลคือตั๊กแตนจับจักจั่นแล้วมีนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง[1]ต่างหาก 


 


 


นกที่ว่านั้นย่อมเป็นฮ่องเต้ เพียงแค่ไม่รู้ว่ากระบี่ของฮ่องเต้ที่ห้อยอยู่เหรือศีรษะตนนั้นจะร่วงลงมาเมื่อใด 


 


 


—— 


 


 


[1] ตั๊กแตนจับจักจั่นแล้วมีนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง เป็นสำนวนจีน หมายถึง วางแผนทำร้ายคนอื่นแต่กลับมีคนอื่นที่วางแผนทำร้ายเราอีกที 


ตอนที่ 228 อย่างไรก็เจอกันช้าไป  


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เพิ่งออกไป ข้างหลังก็มีน่าอวี้โผล่ออกมา นางเห็นเขาเดินไกลออกไป ความรู้สึกนั้นช่างยากจะอธิบายนัก ราวกับภรรยาเห็นสามีจากไปมิปาน ก็ไม่รู้ว่าความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาได้อย่างไร นางรู้สึกว่าชายผู้นี้ควรจะเป็นของตน คนมักมีความโลภ นางหัวเราะเยาะ มองเข้าไปข้างในประตูที่เขาเพิ่งจากไปแล้วแสร้งทำเป็นเคาะประตู ข้างในไม่มีใครตอบอะไรอย่างที่คิดไว้จริงๆ 


 


 


เฉินยางนอนฟุบอยู่บนเตียง เพิ่งจะดื่มเหล้าไป ตอนนี้ฤทธิ์เหล้าเริ่มมา จึงหลับไปเสียสนิท น่าอวี้เห็นนางนอนคว่ำ ก็เดาว่าแผลคงอยู่ข้างหลัง จึงสั่งให้อวี๋เอ๋อร์ไปเลิกผ้าห่ม 


 


 


อวี๋เอ๋อร์ลังเล “คุณหนู ไฉนพวกเราถึงไม่ส่งยามาต่อหน้า แต่จะต้องรอให้ท่านอ๋องไปแล้วถึงมาเล่าเจ้าคะ” 


 


 


สาวใช้นี้ไม่รู้เล่ห์เหลี่ยม ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องอธิบายให้นางฟัง ไม่เช่นนั้นนางจะไม่สบายใจ ดูท่าแล้วคงหวังพึ่งนางไม่ได้ น่าอวี้จึงได้แต่ลงมือเอง “ตกลงข้าทำกรรมอะไรไว้ในชาติที่แล้ว ชาตินี้ถึงได้มีสาวใช้เช่นเจ้า” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์แลบลิ้นทะเล้นแล้วเข้าไปช่วยนาง “คุณหนูฉลาด อวี๋เอ๋อร์โง่นัก ต้องขอให้คุณหนูชี้แนะแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


น่าอวี้ถอนใจด้วยความเหนื่อยใจว่า “เจ้าก็ติดตามข้ามานาน ไฉนถึงไม่ฉลาดขึ้นมาบ้างเลย” พูดจบก็กล่าวอีกว่า “ความดีที่จงใจแสร้งทำออกมาแม้จะง่ายต่อการซื้อใจคน แต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่เหมือนกัน สายตาของเขานั้นคมกริบ วิธีปกติใช้กับเขาไม่ได้ ก็ย่อมต้องหาวิธีอื่น พวกเราตอบแทนบุญคุณโดยไม่ให้เขารู้สึกตัว วันหลังเจอกันอีกก็จะได้ไม่ต้องอึดอัดใจนัก เขาออกไปหายาแล้ว ไม่นานก็จะกลับมา เจ้าว่าหากเขาเห็นเข้า ในใจจะคิดเช่นไร” 


 


 


คำถามนี้ทำเอาอวี๋เอ๋อร์คิดไม่ออกเลย เริ่มเอียงศีรษะครุ่นคิดขึ้นมา น่าอวี้จึงได้ความสงบคืนมาชั่วคราว ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินยางเมาแล้วเล่าความทุกข์ออกมา นางชี้ไปที่หลังตัวเองแล้วบอกว่าบนตัวมีแผล ตอนนี้เปิดเสื้อของนางออกมาดู สวรรค์! ช่างน่าตกใจเสียจริง ไทเฮาช่างวางแผนดีนัก ด้านหนึ่งก็กลัวว่าลูกชายจะหาเรื่องตัวเองเพื่อภรรยาคนนี้ อีกด้านก็ไม่ถูกชะตาอยากจะลงมือ มักจะได้ยินว่าไทเฮาเป็นผู้มีจิตใจเมตตา นึกไม่ถึงว่าเวลาลงมือจะเ**้ยมโหดเช่นนี้ 


 


 


ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เข้าวังไป การลงโทษทั้งหมดล้วนลงที่เดียวหมดเลย หมัวมัวในวังสั่งสอนนางกำนัล มักจะไม่ให้เห็นเลือด หนึ่งคือไม่น่าดู สองคือกลัวเวลาปรนนิบัติเจ้านายจะทำให้เจ้านายตกใจได้ ฉะนั้นเวลาตีจึงตีที่จุดที่มองไม่เห็น เช่นหลัง แขนขาและสะโพก ทุกส่วนนี้จึงกลายเป็นที่ที่รับการตีได้มากที่สุด ไม้ลงโทษในวังที่ใช้หนาประมาณสองนิ้วมือได้ เวลาฟาดลงบนตัวจะเห็นเพียงรอยแดง ไม่เห็นเลือด และไม่ทิ้งรอยแผล แถมยังเจ็บมากจนทำให้จำขึ้นใจได้อีก ช่างร้ายกาจยิ่งนัก 


 


 


ความเจ็บปวดนี้มากมายเพียงใด นางก็ยังอดทนได้ น่าอวี้เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร ปลายนิ้วเรียวยาวแตะยาแล้วทาบางๆ ที่หลังของนางอย่างแผ่วเบา หลังจากนี้อากาศจะยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ หากยังปิดไว้อีก ผื่นจะต้องขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเนื้อหนังก็เน่าเปื่อยแล้ว อย่าว่าแต่จะดีขึ้นเลย ชีวิตก็ทิ้งไปแล้วเกือบครึ่ง 


 


 


นางมองเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอดสงสารไม่ได้ เรียกอวี๋เอ๋อร์ที่ยังจมอยู่ในความคิดมาทายาให้นาง ตัวเองเดินไปที่หน้าต่างสูดอากาศแล้วก็ถอนหายใจ “อย่างไรก็เจอกันช้าไปอยู่ดี!” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์ยิ่งไม่เข้าใจ “คุณหนู ท่านบ่นอะไรหรือ อะไรที่เจอกันช้าไป” 


 


 


น่าอวี้หันหน้ามา แค่นยิ้มเจื่อน “เจ้าเด็กนี่ยังเป็นเด็กอยู่เลย ข้าทำร้ายนางไม่ลง” 


ตอนที่ 229 ไฉนเจ้าถึงอยู่ที่นี่


 


 


จันทร์เพ็ญงามกระจ่างลอยอยู่บนฟากฟ้า ส่องแสงสีขาวนวลไปยังผืนฟ้าและพื้นดิน น่าอวี้มองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ผ่านไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังจากข้างนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในใจคิดว่าเฝิงเยี่ยไป๋ต้องกลับมาแล้วแน่ๆ จึงไปช่วยอวี๋เอ๋อร์จัดการสวมเสื้อผ้าให้เฉินยาง


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ระวังตัวมาก ตอนที่กลับมาเห็นประตูเปิดแง้มอยู่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ มือที่วางอยู่ข้างตัวกำหมัดแน่น แล้วเดินช้าลง แกล้งเปิดประตูเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสี้ยวเวลาที่เปิดประตูนั้นเขาคิดอยู่มากมาย อาจจะเป็นนักฆ่าฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่มาฆ่าเฉินยาง เพียงแต่ความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก ในเมื่อเขาซื้อมือสังหารเหล่านั้นมา เหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อจะปกป้องเฉินยาง หากนางเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่ข้างนอกจะไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลย และเขาก็คิดอีกว่าจะเป็นเฉินยางที่เมาแล้ววิ่งซนไปทั่วหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็คิดไปมากมาย ในใจเป็นกังวล


 


 


“ช้าหน่อย อย่าแตะถูกหลังของนาง”


 


 


เป็นเสียงของผู้หญิง เสียงนี้ตอนบ่ายเขาเพิ่งเคยได้ยิน ยังไม่ได้ลืมจึงจำได้อย่างแม่นยำ เขาก้าวเข้าไป ในห้องมีภาพที่กำลังวุ่นวายอยู่ เฉินยางนอนนิ่งๆ ให้คนอื่นทำแผล แลดูสบายใจยิ่งนัก


 


 


น่าอวี้และอวี๋เอ๋อร์ทำแผลให้เฉินยางเสร็จ กำลังจะหันหลังจากไป กลับเห็นเฝิงเยี่ยไป๋ขวางอยู่ที่ประตู ก็ตกใจขึ้นมา น่าอวี้ตอบสนองไว จึงย่อตัวลง “คารวะท่านอ๋อง”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตอบรับเบาๆ แล้วประคองน่าอวี้ลุกขึ้นมา ขมวดคิ้วถาม “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”


 


 


น่าอวี้บิดผ้าไปมา โค้งตัวขอโทษว่า “ท่านอ๋องโปรดอภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจเข้ามาโดยพลการ ห้องข้าอยู่ตรงหัวมุมทางใต้ กลางคืนดื่มมากไปหน่อยจึงนอนไม่หลับคิดอยากจะออกมาเดินเล่น นึกไม่ถึงว่าเดินผ่านห้องท่านอ๋อง ก็ได้ยินข้างในมีเสียงของตกพื้น จึงคิดว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปทันที จึงเคาะประตูถาม เพียงแต่เคาะอยู่นานก็ไม่มีใครตอบ ดังนั้นแล้ว…ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจเข้าไป พอเข้าไปแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นห้องของท่านอ๋อง เพราะ…เพราะเห็นพระชายาตกลงมาจากเตียง จึงได้ช่วยประคอง และเห็นว่าบนตัวพระชายามีแผล ถึงได้…ถึงได้…”


 


 


นางเล่าที่มาที่ไปได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ต้นจนจบนางทำหน้ากระวนกระวายระคนกังวล ราวกับกลัวเขาจะเข้าใจผิดเช่นนั้น ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือนางก็ถูกนางบิดไปมาจนยับยู่ยี่ เขาก็อยากจะกล่าวโทษ เพียงแต่เห็นเฉินยางนอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ในห้องก็ไม่มีร่องรอยถูกรื้อค้น ดูไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยจริงๆ บางทีอาจจะเป็นเช่นที่นางพูดก็เป็นไปได้


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกผู้หญิง เพียงแต่หากมองจากวิธีการทำงานของฮ่องเต้แล้ว จะจัดการเขา อย่างไรก็คงไม่เสี่ยงฝากความหวังไว้ที่ผู้หญิงคนหนึ่งแน่


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตอบอืมเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นแล้วข้าก็ต้องขอบคุณแม่นางเจี่ยงด้วย”


 


 


น่าอวี้ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาก็เหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งสติกลับมา ก้มศีรษะพูดว่า “ท่านอ๋องได้ช่วยชีวิตข้าน้อย ข้าน้อยไม่มีความสามารถ ไม่อาจตอบแทนบุญคุณท่านอ๋อง จึงได้แต่ค่อยๆ ตอบแทน วันนี้ช่วยพระชายาเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เทียบกับบุญคุณที่ท่านอ๋องช่วยชีวิตแล้ว ไม่อาจเทียบได้เลย”


 


 


เช่นนี้ก็แสดงถึงความแตกต่างของนางกับคนอื่นแล้ว หากเป็นคนอื่น เมื่อได้เจอหน้าตาของเฝิงเยี่ยไป๋นั้นส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจจะพูดว่า ‘ถวายตัวให้ท่าน’ ไปแล้ว เพียงแต่นางกลับไม่พูดเช่นนั้น เป็นเช่นนี้บางครั้งอาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย เพียงแต่อย่างน้อยหากได้เจอกันอีกครั้งก็จะไม่ทำให้รู้สึกน่ารำคาญนัก


 


ตอนที่ 230 ท่านชอบข้าใช่หรือไม่


 


 


เรื่องสำคัญจะประมาทมิได้ ตอนนี้ทุกๆ คนที่ปรากฏข้างตัวเขาล้วนต้องมองอย่างละเอียด เพียงแต่น่าอวี้คนนี้ก็ดูพิรุธอะไรไม่ออกเลยจริงๆ เขาก็เป็นคนที่ผ่านคนมามากมาย สำหรับผู้หญิง แม้จะไม่ถึงกับมองเพียงครั้งเดียวก็มองออก แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นคนตาบอดที่ปล่อยให้คนอื่นสั่งได้ น่าอวี้นี้ทำให้เขารู้สึกว่านางไม่เลวนัก พอคิดเช่นนี้ท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลง


 


 


“แม่นางเจี่ยงไม่ต้องมากพิธี ข้าก็ไม่ได้คิดจะช่วยเจ้าตั้งแต่แรก เช่นนั้นแล้วแม่นางเจี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจนัก”


 


 


คำพุดนี้พูดออกมาช่างน่าเศร้ายิ่งนัก น่าอวี้ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดเช่นนี้ หน้าอึ้งตะลึงงัน ก่อนจะพูดแก้สถานการณ์ให้ตัวเองว่า “คำพูดของท่านอ๋องนี้น่าอวี้ไม่อาจพูดต่อได้ ท่านกำลังบอกว่าข้าน้อยคิดไปเองอยู่หรือ ช่างเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ได้ช่วยทำแผลให้พระชายาแทนท่านอ๋องแล้ว จะไม่รบกวนมากกว่านี้ ข้าน้อยขอลา”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่รั้งนางไว้ หลีกทางให้นาง แล้วมองส่งนางจากไป


 


 


น่าอวี้ออกจากประตูไป พอเลี้ยวตรงมุม มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างหลังแล้วถึงได้หยุดลง เฝิงเยี่ยไป๋ทั้งตัวล้วนแผ่รัศมีกดดัน คำพูดของตนนั้นแม้จะไม่ใช่คำโกหกเสียทั้งหมด แต่พูดออกไปแล้วก็รู้สึกละอายใจ ถึงขั้นไม่กล้าสบตากับเขา ยังดีที่นางปั้นหน้าไว้ได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะเผยพิรุธอะไรออกไป


 


 


ในใจอวี้เอ๋อร์ไม่ได้มีความคิดมากมายเช่นนั้น กลับแสดงออกได้อย่างสงบนิ่ง นางลูบหลังให้น่าอวี้พลางแล้วเชิญนางเข้าห้องไปพลาง “คุณหนู เมื่อครู่โอกาสดีเช่นนี้ ไฉนท่านถึงไม่เข้าหาเสียอีกหน่อย หากพยายามอีกนิด ไม่แน่ก็อาจสำเร็จไปแล้ว”


 


 


“เจ้าคิดว่าเฝิงเยี่ยไป๋หลอกง่ายเหมือนเด็กสามขวบหรือ” น่าอวี้ถือแก้วชาพูด “ไม่ใช่คนธรรมดาจริงด้วย ช่างรักสุดซึ้งนัก ทั้งเก่งและรักษาหน้าได้ บนโลกนี้หาคนที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”


 


 


ในใจอวี้เอ๋อร์กระตุกพูดกับนางว่า “คุณหนู ท่านอย่าได้ปักใจรักลงไปเลย ท่านอย่าได้ลืมว่าท่านทำเพื่ออะไร”


 


 


เรื่องนี้ช่างยากจะสรุปนัก น่าอวี้จมอยู่ในความคิด หวังอะไรหรือ ตกลงที่ตัวเองทำเช่นนี้หวังอะไรหรือ คนเช่นนั้น ใครบ้างไม่ปักใจไปนานแล้วแถมยังไม่อาจควบคุมได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่รู้คำตอบ ไม่ช้าก็ต้องกลายเป็นหนึ่งในหมื่นพวกนั้น


 


 


…..


 


 


บนโลกนี้ สตรีที่โชคดีแต่ไม่รู้ตัวนั้น เกรงว่าก็คงมีเพียงเว่ยเฉินยางคนเดียวแล้ว


 


 


นี่เป็นชะตาของนาง พ่อนางเป็นคนดี ทำความดีจนพระโพธิสัตว์กวนอิมเห็นถึงได้มอบคู่ครองที่ดีเช่นนี้ให้นาง ดีกว่าการให้เงินทองมากมาย กับสิ่งที่อยู่ไปตราบชั่วชีวิต ทุ่มให้กับเรื่องนี้ก็คุ้มค่า


 


 


เพียงแต่ตกลงนางมีอะไรคู่ควรบ้าง เฉินยางคิดขณะอยู่ในห้วงฝัน แม้นางจะเป็นคนโง่เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่รังเกียจนาง ตอนนี้ยังทำดีต่อนางอย่างหมดใจ เป็นเพราะรักหรือ เพียงแต่นางมีค่าอะไรให้เขารัก คิดไม่ออกเสียจริง แต่ยิ่งเป็นเรื่องที่คิดไม่ออกนางก็ยิ่งคิด ในใจคิดอยู่ตลอด กลางวันเจออะไรกลางคืนก็จะฝันเช่นนั้น ขณะที่นอนอยู่ ปากก็ละเมอออกมาว่า “ท่านชอบข้า…ใช่หรือไม่”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋นอนอยู่ข้างกายนาง สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นางบาดเจ็บนอนหงายไม่ได้ ตัวเองยังต้องคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้นางพลิกตัวตอนหลับไป ตอนแรกเขาหลับตาลงแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงนางพูดดังขึ้นมาข้างหู


 


 


“ท่านชอบข้า…ตรงไหนหรือ”


 


 


ประโยคก่อนหน้านี้ฟังไม่ชัด แต่ประโยคนี้ได้ยินอย่างชัดเจน เขาเขย่าไหล่นางเบาๆ “เจ้าพูดอะไรหรือ”


 


 


ตอนแรกคิดจะให้นางพูดอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้นางไม่ขยับแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋นอนตะแคงมองดูนาง ชอบนางตรงไหนหรือ เขาจะรู้ได้อย่างไรเล่า!


ตอนที่ 231 คนเมา 


 


 


 


 


 


เพราะดื่มเหล้าไป คืนนี้เฉินยางนอนอย่างสงบ เฝิงเยี่ยไป๋เฝ้านางทั้งคืน ยังดีที่ไม่มีท่าทางจะอ้วก เพียงแต่ฟังนางพูดละเมออยู่ทั้งคืน ตอนแรกยังพอฟังเข้าใจอยู่ ตอนหลังที่พูดออกมา ก็เหมือนกัดมะเขือร้อนอยู่ในปากเช่นนั้น บ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์ เพียงแต่ฟังแล้วก็ไม่น่าจะเป็นคำพูดดีๆ ที่สื่อความในใจ 


 


 


วันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมา นางก็เริ่มได้รับบทเรียนแล้ว ในหัวหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินวางอยู่ แถมยังรู้สึกคลื่นไส้ ลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกเวียนหัว หัวไม่ได้ปวด เพียงแต่เป็นเช่นนี้แล้วสู้ปวดหัวไปเลยเสียยังจะดีกว่า นางฝืนลุกขึ้นจากเตียงแล้วมองท้องฟ้าที่อยู่ข้างนอก โอย ดูพระอาทิตย์นั่น ใกล้จะเที่ยงแล้วกระมัง ป่านนี้แล้วนางยังไม่ได้เข้าวังอีก กลับไปแล้วไทเฮาจะไม่ฆ่านางหรือ 


 


 


นางไหนเลยจะยังกล้าชักช้า ต่อให้ไม่สบายเพียงไรก็ต้องฝืนทนเอาไว้ ยังไม่ทันได้วิ่งออกไป เฝิงเยี่ยไป๋ก็กลับมาแล้ว มองนางด้วยสายตาแปลกๆ แล้วลากนางกลับไป พูดว่า “เช้าขนาดนี้เจ้าจะไปไหนกัน” 


 


 


แต่เดิมเฉินยางก็เวียนหัวอยู่ พอถูกเขาลากกลับมาก็หมุนตัวไปรอบหนึ่ง ก้าวเท้าไม่มั่นคง เกือบจะชนเข้ากับมุมโต๊ะ ยังดีที่เฝิงเยี่ยไป๋คว้านางเอาไว้ทัน แล้วออกแรงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก้มศีรษะดมที่ตัวนาง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า “เจ้าดมตัวเองดู เจ้ามีกลิ่นอะไรอยู่บนตัว เหม็นจริงๆ” 


 


 


นางก็ก้มศีรษะลงไปดมจริงๆ กลิ่นเหม็นที่บ่มมาทั้งคืนจะมีกลิ่นที่ดีได้อย่างไร ตัวเองดมแล้วยังรู้สึกรังเกียจเลยด้วยซ้ำ จึงรีบดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา ยืนเหม่อลอยอยู่นานถึงได้พูดว่า “ท่านบอกว่าพอฟ้าสว่างก็จะพาข้ากลับวัง ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว” 


 


 


ความหมายคือนางโทษที่เขาไม่ได้ปลุกนางหรือ เฝิงเยี่ยไป๋เดินทอดน่องไปที่หน้าต่าง แล้วบิดผ้าเปียกส่งให้นาง “เจ้ายังมีหน้ามาบ่นข้าอีกหรือ เมื่อคืนเป็นใครกันที่กอดไหเหล้าไว้แล้วบอกว่าอร่อย กล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ดื่มเสร็จแล้วยังก่อเรื่องไปทั่วอีก เมาจนเละไม่เป็นท่า ตอนเช้าข้าเรียกเจ้าไปแปดร้อยรอบ นอนอุตุเหมือนหมู เจ้าไม่ตื่นเอง ตอนนี้เลยเวลากลับวังแล้วจะมาโทษข้าหรือไร” 


 


 


นางอ้าปากค้าง ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ “ข้าเมาแล้ว แถมยังก่อเรื่องอีกอย่างนั้นหรือ” พูดจบนางก็ทุบศีรษะตัวเอง ถอนหายใจทั้งโกรธทั้งเสียใจว่า “อา…ข้าลืมไปว่าวันนี้ต้องกลับวัง กลับไปตอนนี้คงยังไม่สายกระมัง พวกเรารีบไปเถิด กลับไปขออภัยโทษกับไทเฮาก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว” 


 


 


ลำพังพูดถึงแค่เรื่องที่เมาจนก่อเรื่องนางก็ร้อนรนแล้ว นางจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ และไม่รู้ด้วยว่าได้หลุดพูดอะไรออกไปหรือไม่ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางแตะเหล้า จะรู้ได้อย่างไรว่านางเมาแล้วจะพูดจาเพ้อเจ้อหรือไม่ หากเผลอพูดเรื่องที่ถูกทางไทเฮาตีนั้นออกมาโดยไม่ตั้งใจ เช่นนั้นแล้วความยากลำบากที่ตัวเองฝืนทนมาก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์อะไร ไม่เสียเปล่าหมดเลยหรือ 


 


 


นางสังเกตสีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ด้วยความระมัดระวัง โต๊ะที่อยู่ข้างหน้าต่างนั้นมีกิ่งหลิววางอยู่ ยังมียาที่ผสมฝูหลิง[1]อยู่ไหหนึ่ง นางหยิบกิ่งหลิวจุ่มยาฝูหลิงแปรงฟันอย่างละเอียด แปรงเสร็จแล้วก็ล้างหน้า ยืนตัวสะอาดอยู่หน้าเขา แล้วฉีกยิ้มยิงฟัน เผยฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวอย่างสวยงาม 


 


 


เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่หลงกลนาง ตั้งแต่เช้าก็มีคนใช้มาส่งอาหารเช้า เพียงแต่นางตื่นสาย เขาจึงได้ออกไปเรียกคนนำชุดใหม่มาให้ เขาตักข้าวต้มไปพลางยิ้มอย่างเย็นชาไปพลางว่า “ยังจะกลับไปที่นั่นทำไมอีก กลับไปให้พวกเขาตีต่อหรือ ตัวเจ้าเล็กขนาดนี้ จะมีกี่ชีวิตพอให้พวกเขาทรมานได้” 


 


 


—— 


 


 


[1] ฝูหลิงหรือโป่งรากสน (茯苓) สมุนไพรจีน มีสรรพคุณช่วยขับน้ำ ขับเสมหะ บำรุงม้าม ช่วยในการนอนหลับ รักษาอาการท้องเสียและขับความชื้นได้ดี 


ตอนที่ 232 ท่านถอดเสื้อข้าใช่หรือไม่ 


 


 


 


 


 


เฉินยางฟังคำพูดของเขาก็รู้ว่าเมื่อคืนตัวเองดื่มเหล้าจนพูดออกไปหมดแล้ว มิน่าคนถึงบอกว่าเหล้าเป็นของไม่ดี ดื่มเหล้าเสียการเสียงาน คราวนี้ในสายตาของไทเฮา นางก็จะได้กลายเป็นคนชั่วขี้ฟ้องไปเสียแล้วจริงๆ 


 


 


แต่พอคิดอีกที ก็ไม่ใช่ แผลของนางอยู่ข้างหลัง เช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่า…หน้าของนางแดงขึ้นมาทันที “ท่าน…ท่านถอดชุดข้าใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่ถอดชุดเจ้าแล้วจะดูได้อย่างไร” มุมปากเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย ยิ้มจนชวนให้ขนลุก “เมื่อคืนตอนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน เจ้าโวยวายจะถอดชุดให้ข้าดู หากข้าไม่ห้ามไว้ หน้าของข้าคงถูกเจ้าขายเสียหมดแล้ว” 


 


 


เฉินยางได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก นั่งก็ไม่กล้านั่งแล้ว นางจิ้มนิ้วตัวเองมองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง “ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองเมาแล้วจะเป็นเช่นนั้น เมื่อคืนคงไม่ได้ทำให้ท่านขายหน้ากระมัง เหล้านั่น…ตอนนี้ข้าลืมไปแล้วว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร เมื่อคืนทำอะไรลงไปข้าก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว…ข้า…หลังจากนี้ข้าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว” 


 


 


ที่เขาพูดเช่นนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนินาง เพียงแค่เตือนนางเท่านั้น ให้รู้ว่าตัวเองดื่มได้เท่าไร ใช่ว่าหลังจากนี้จะไม่ให้นางดื่มเลย บางครั้งดื่มสักเล็กน้อยเพื่อสร้างบรรยากาศยังพอได้อยู่ จากนั้นเขาก็นึกถึงกระต่ายที่ถูกถอนขนเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจึงเหลือบมองไปที่อกของนางอย่างควบคุมไม่ได้ น่าเสียดาย หากไม่ใช่ว่าเมื่อคืนนางดื่มมากไป ค่ำคืนแห่งความสุขนั้นก็คงจะลุล่วงไปแล้ว 


 


 


ภรรยาของเขาผู้นี้แต่งมาดีเสียเหลือเกิน แต่งเข้ามาทำให้เขาอดอยาก แต่พอมีความทุกข์ก็ดันพูดไม่ออก อดทนไว้ก็ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ กับเหลียงอู๋เย่ว์ก็พูดไม่ได้ หากให้เขารู้เข้ามีหวังได้หัวเราะเยาะตนแน่ๆ 


 


 


เขาถอนหายใจด้วยความเศร้าหมองแล้วเรียกนางให้มานั่งลง “กินข้าวก่อน กินข้าวเสร็จแล้วข้าจะเข้าวังเป็นเพื่อนเจ้า ไปบอกกับไทเฮาว่าไม่เรียนระเบียบไม่ระเบียบอะไรนั่นแล้ว เจ้าไม่ใช่ลูกสะใภ้ของนางเสียหน่อย ไม่ต้องสนว่ามีระเบียบหรือไม่ ข้ามองแล้วถูกใจเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องให้นางเข้ามายุ่ง” 


 


 


เฉินยางถือชามกินข้าวต้มอยู่ คำพูดนี้ช่างชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก จะมีสักกี่คนที่ฟังแล้วไม่หวั่นไหวบ้าง เพียงแต่รู้สึกอบอุ่นก็คือรู้สึกอบอุ่น ในเมื่อนางบอกว่าจะเรียนระเบียบในวัง เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจล้มเลิกกลางคัน ไม่เช่นนั้นนางถูกคนอื่นนินทาเป็นเรื่องเล็ก แต่จะให้คนอื่นมองเฝิงเยี่ยไป๋อย่างไร เขามีเรื่องวุ่นวายต่างๆ มากพออยู่แล้ว ตัวเองจะสร้างความวุ่นวายให้เขาอีกไม่ได้ เขาปกป้องนาง ในใจนางก็รู้สึกดีใจ ไม่มีหัวใจใครทำด้วยเหล็กกล้า แล้วจะไม่รู้สึกได้อย่างไร นางรู้สึกผิดในใจ คิดว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรให้เขาได้เลย จริงอยู่ ด้วยความสามารถของนางจะสามารถทำอะไรให้เขาได้? ในเมื่อช่วยเขาไม่ได้ เช่นนั้นแล้วก็ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ต้องสร้างปัญหาให้เขาอีก! 


 


 


“ท่านกลับไปกับข้าก็ดี เพียงแต่ว่า ในเมื่อข้ารับปากว่าจะเรียนระเบียบอยู่ในวัง ก็ไม่อาจถอดใจกลางคันได้ อย่างมากก็เพียงเดือนเดียวเท่านั้น พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว ท่านก็อย่าได้ไปวุ่นวายที่ไทเฮานั่นอีกเลย ตอนแรกไทเฮาก็ดูถูกข้าอยู่แล้ว ท่านไปวุ่นวายอีก นางคงจะได้แค้นข้าจนตาย” 


 


 


นิสัยดื้อดึงเช่นนี้ จะว่าอย่างไรดี ทำเอาทั้งโกรธทั้งรัก เจ้าดีกับนาง นางกลับไม่รู้เสียอย่างนั้น ทำมากมายเท่าไรก็ทำได้เพียงวนอยู่นอกหัวใจนาง เข้าไปไม่ได้ ตามเหตุผลแล้วคนหายดีแล้ว ก็ควรจะฉลาดแล้ว ไฉนถึงยังไม่รู้จักความหวังดีอีก ตนเองหวังดีกับนาง นางกลับผลักไสเขาไปอยู่ข้างนอก ต่อให้เป็นคนนิสัยดีปานใดก็ถูกนางทำให้หงุดหงิดได้ 


 


 


ในหัวเฝิงเยี่ยไป๋วุ่นวายไปหมด คิดจะตำหนินางอีก แต่จะพูดอะไรหรือ ที่ควรพูดก็พูดมิได้ขาด ยังจะพูดอะไรได้อีก สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจ พูดด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจว่า “ข้าไม่อาจเห็นเจ้าลำบากได้ เจ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้ข้าโกรธ และสุดท้ายคนที่โชคร้ายก็ต้องเป็นบ่าวไพร่ชั้นต่ำพวกนั้น” 


ตอนที่ 233 ปลาปักเป้าที่โกรธ 


 


 


 


 


 


แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนมีจิตเมตตา หากใครมายุ่งกับเขา ถ้าไม่ใช่มาคุกเข่าขอโทษ ก็คือเชิดหน้าสู้กับเขา และถ้าก่อนตายยังจะมาดิ้นขัดขืนอีก อย่างไรเสียก็มีจุดจบไม่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่คำพูดนี้พอเขาพูดออกมา ฟังอย่างไรก็เหมือนขู่นางอยู่ดี 


 


 


เฉินยางขมวดคิ้ว เขาคิดว่านางจะถูกเขาขู่ได้หรือ คนที่ลงโทษก็เป็นคนสนิทของไทเฮา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางเลย หวังจะให้นางทุกข์ทรมานงั้นหรือ นางแทบอยากจะเอาคืนด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ แต่ว่าถึงอย่างไรเฝิงเยี่ยไป๋ก็ทำเพื่อนาง พอคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ นางก็พูดไม่ออกเสียแล้ว 


 


 


“เจ้าก็อย่าดื้อกับข้านัก เก็บนิสัยดื้อดึงของเจ้าไปเสีย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า อย่าทำตัวไม่รู้เรื่องนักเลย อยู่ในวังไม่เป็นผลดีกับเจ้า รีบๆ กลับบ้านกับข้าดีกว่า” น้ำเสียงยามเขาพูดนั้นไม่ยอมให้ผู้อื่นเถียงได้ เฉินยางไม่ชอบที่เขาใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับนาง นางไม่ใช่คนใช้ของเขาเสียหน่อย อีกอย่างที่นางทำเช่นนี้ก็มีเหตุผล นางไม่อยากให้เขาถูกคนนินทาลับหลัง ปกติเป็นคนฉลาดเพียงใด ไฉนถึงไม่รู้เหตุผลเหล่านี้เลย! 


 


 


เฉินยางก็เป็นพวกพูดไม่เป็นอีก ความคิดในใจเป็นสิ่งที่ดี พูดกับเขาแล้ว ไม่แน่อาจจะทำให้เขายิ้มได้ แต่นางก็ไม่พูด สิ่งที่พูดไม่เคยเห็นผลได้ดีกว่าการกระทำ นางคิดว่าหากตัวเองทำได้แล้ว ทำให้เขาดู ก็ดีกว่าคำพูดเอาใจใดๆ อีกไม่ใช่หรือ 


 


 


ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นมา นางไม่พูดเขาก็ไม่พูด ทั้งสองคนต่างไม่ยอมกัน แต่ละคนในมือก็กำเชือกไว้ด้านหนึ่ง เชือกยิ่งดึงยิ่งตึง จนสุดท้ายเชือกขาดแล้วก็ไม่มีใครยอมปล่อยมือก่อน 


 


 


นางโกรธอยู่ในใจ ไม่อยากสนใจเฝิงเยี่ยไป๋ กินข้าวต้มเสร็จก็ยืนอยู่ที่ประตูรอเขา รอให้เขาเก็บของเสร็จแล้วกลับวังไปด้วยกัน 


 


 


อย่างไรเสียเฝิงเยี่ยไป๋ก็อายุมากกว่าเฉินยางสิบกว่าปี เฉินยางมีนิสัยเป็นเด็ก มีความดื้อดึงก็ไม่ได้เป็นอะไร เขาไม่ได้ ทั้งสองคนหากยังโกรธกันเช่นนี้ คนหนึ่งไม่สนใจอีกคน อีกคนก็ไม่สนใจ เช่นนี้ชีวิตก็ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้แล้ว เด็กต้องกล่อม เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกที่ ‘ลูกสาวไม่เชื่อฟังขึ้นมา’ เขาจึงเข้าไปโอบไหล่นางไว้ พูดอย่างจนใจว่า “โกรธหรือ ไฉนถึงโกรธ” 


 


 


ความโกรธนี้เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลนัก เขาหวังดีต่อนาง แต่ก็ไม่รู้ว่าคำพูดใดที่ขัดใจนาง คราวนี้จึงกลายเป็นเรื่องขึ้นมา นางทำแก้มป่อง เหมือนปลาปักเป้าตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


เฉินยางส่ายหน้าอย่างลังเล “ไม่ได้โกรธ” แล้วถอยออกจากอ้อมกอดของเขา “พวกเราก็รีบกลับวังก่อนเถิด ตอนนี้ไทเฮาคงรอจนร้อนรนแล้ว” 


 


 


“ข้าก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องไปสนใจไทเฮา นางคิดจะให้ข้าหย่ากับภรรยา แถมยังใช้เล่ห์กลบีบบังคับเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลกับนาง” 


 


 


พูดกับนางก็พูดไม่ชัด เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดแล้ว จึงดึงนางเข้ามา เฉินยางถูกเขาดึงจนสะดุด พอยืนนิ่งก็รีบก้าวเท้าเดินตามเขาขึ้นไป พอเลี้ยวตรงหัวมุมก็เจอกับน่าอวี้พอดี 


 


 


เห็นนางตั้งท่าจะไป ทั้งสองคนได้เจอหน้ากัน น่าอวี้ย่อตัวให้เฝิงเยี่ยไป๋ “คารวะท่านอ๋อง” 


 


 


“ไม่ต้องมากพิธี” เฝิงเยี่ยไป๋คลายคิ้วที่ขมวดลง สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเสียจะให้คนนอกเห็นพวกเขาสามีภรรยาทะเลาะกันไม่ได้ 


 


 


เฉินยางเจอน่าอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย “เจ้าเองหรือ!” จากนั้นจึงเข้าไปประคองนางขึ้นมาอย่างสนิมสนม นึกถึงเรื่องเมื่อวานก็พูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เมื่อวานตอนที่เจ้าไปไอรุนแรงนัก ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือไม่” 


 


 


น่าอวี้ก็ยืนขึ้นตามการพยุงของนาง หางตาเหลือบมองไปที่เฝิงเยี่ยไป๋แล้วยิ้มพูดว่า “ขอบพระทัยที่พระชายาเป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้ว” 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 234 อะไรคือได้แล้ว 


 


 


 


 


 


น่าอวี้ไม่พูดถึงเมื่อวานที่เฝิงเยี่ยไป๋ช่วยนาง ต่างคนต่างรู้อยู่ในใจ ต่อหน้าเฉินยางถึงขั้นไม่มองเฝิงเยี่ยไป๋เลย การกระทำทุกอย่างมีมารยาทจนหาจุดผิดพลาดไม่ได้ 


 


 


เฉินยางไม่ชินที่คนอื่นมีมารยาทมากกับนาง สีหน้าจึงเศร้าหมองเล็กน้อย นางเปลี่ยนเรื่องถามน่าอวี้ว่า “แล้วนี่เจ้าจะไปไหน จะกลับแล้วเหมือนกันหรือ” 


 


 


น่าอวี้ตอบ “ใช่ เมื่อวานโรคกำเริบ ผู้เฒ่าในบ้านรู้แล้วไม่วางใจ วันนี้เช้าจึงให้คนมาส่งสาร ต้องกลับไปให้ได้” พูดถึงตรงนี้ก็แลบลิ้นด้วยความขี้เล่น “ที่จริงแล้วข้ายังอยากจะเที่ยวอีกสองวันอยู่เลย เพียงแต่ให้ผู้เฒ่าในบ้านคอยเป็นกังวลก็ออกจะอกตัญญูไปหน่อย รอให้ข้าหายแล้ว จะต้องออกมาเที่ยวให้สนุกไปเลย” 


 


 


น่าอวี้โตกว่าเฉินยางปีสองปี อายุก็ไม่ได้มากมายนัก ความสงบนิ่งของลูกสาวผู้ดีนั้นไม่ได้แสดงตลอด เป็นวัยกำลังซุกซน เฉินยางเห็นนางแล้วรู้สึกสนิทใจ จึงดึงนางไว้แล้วพูดกับเฝิงเยี่ยไป๋ว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปทางเดียวกันพอดี ให้นางไปด้วยกันกับพวกเราเถิด” 


 


 


นั่งรถม้าคันเดียวกัน บนรถมีคนนอก อย่างไรเสียเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่มีทางทำอะไรกับนางต่อหน้าคนอื่นกระมัง! 


 


 


ความเจ้าเล่ห์น้อยๆ ในใจนางจะหลอกเฝิงเยี่ยไป๋ได้อย่างไร สีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ไม่สู้ดีนัก เพียงเม้มปากไม่พูดอะไร ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยและก็ไม่ได้บอกว่าไม่เห็นด้วย เพียงแต่ความหมายนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องบอก 


 


 


น่าอวี้นั้นรู้ใจ มองความหมายของเฝิงเยี่ยไป๋ออก เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ ต้องค่อยๆ อุ่นเหมือนดั่งตุ๋นยา ดูจากตอนนี้แล้วภาพลักษณ์ของนางในสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋นับว่าไม่เลว เช่นนั้นจะรีบร้อนไม่ได้ ต้องผ่อนบ้าง จะแสดงออกว่านางรีบเข้าหาเขาไม่ได้ นางจึงพยักหน้า วางมือลงพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ที่บ้านข้าส่งรถม้ามารับแล้ว อยู่ที่ทางเข้าซานจวง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว” 


 


 


คราวนี้ก็ถูกตัดทางหนีเสียแล้ว เฉินยางยังคิดจะเอ่ยปากรั้งนางไว้อีก เฝิงเยี่ยไป๋กลับชิงพูดก่อนว่า “ในเมื่อแม่นางเจี่ยงมีคนมารับแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ส่ง” 


 


 


น่าอวี้ถอยไปอยู่ข้างๆ แล้วบอกลา และจากไปก่อน 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มนางเบาๆ เผยอปากพูดว่า “ความคิดเจ้าเล่ห์นั้นของเจ้าเก็บเอาไว้ เชื่อฟังแต่โดยดีก็ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก แต่หากไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้า” 


 


 


เฉินยางเบะปากไม่พูดอะไรอีก 


 


 


พอออกจากประตูไปก็เจอเว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ ทั้งสองคนใบหน้าแดงเรื่อ เหมือนอารมณ์ที่ค้างจากอาการหน้าแดง เว่ยหมิ่นฉลาด คิดว่าพวกเขาเห็นแล้วต้องถามแน่ๆ จึงลงมือก่อน ชี้ไปที่เฉินยางด้วยท่าทางเหมือนคนร้ายฟ้องคดีก่อน “เจ้า…เมื่อคืนเจ้าดื่มเหล้ามากมายเช่นนั้น แทบจะเหมือนคนบ้าเลย จะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าทุกคน ข้าล่ะเหลือเชื่อกับเจ้าเลย” 


 


 


เฉินยางหน้าแดง รู้ว่าตัวเองเถียงไม่ได้ จึงเม้มปากไม่พูดอะไร 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ออกมาแก้สถานการณ์ให้นาง เขาเลิกคิ้วมองไปที่เหลียงอู๋เย่ว์ ลากเสียงเล็กน้อยพูดว่า “ได้แล้วหรือ” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ตอนแรกยังนึกไม่ออก เขาถามด้วยความงุนงงว่า “อะไรได้แล้ว” 


 


 


เว่ยหมิ่นหยิกไปที่เอวของเขาอย่างแรง เหลียงอู๋เย่ว์ร้องจ๊ากออกมา เห็นรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ถึงรู้สึกตัว รีบพูดว่า “อะ…อะไรได้แล้ว…อะไรคือได้แล้ว เจ้า…เจ้าไม่มีอะไรก็อย่ายุ่งเรื่องบ้านคนอื่น…ความชอบอะไรของเจ้า…เจ้าสนเรื่องของตัวเองเถอะ” 


 


 


นอกจากเฝิงเยี่ยไป๋ ที่เหลือสามคนล้วนหน้าแดงกันหมด ท่าทางเหมือนเมาแล้วยังไม่สร่าง ช่างเถอะ ต่างคนต่างขึ้นรถของตัวเอง เรื่องของใครปิดประตูแล้วค่อยๆ คุยกัน 



ตอนที่ 235 มีข้าอยู่ไม่มีใครชักสีหน้าใส่เจ้าได้ 


 


 


 


 


 


ระหว่างทางเฉินยางกังวลอยู่ตลอด กลัวว่าจะตอบไทเฮาไม่ได้ และก็กลัวเฝิงเยี่ยไป๋โกรธจนไม่มีสีหน้าดีๆ ให้ นางถูฝ่ามือ ร้อนรนเหมือนดั่งอยู่ในกระทะน้ำมันที่ร้อนจัด 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ก็คร้านจะพูดกับนาง ระหว่างทางก็ไม่ได้พูดคุยกับนางเลย มีเพียงตอนเข้าวังพอใกล้จะถึงประตูตำหนักของไทเฮา เขาก็ดึงมือของนางมากุมไว้  “เข้าไปแล้วเจ้าไม่ต้องพูดอะไร ยืนอยู่นิ่งๆ ก็พอ” 


 


 


“เพิ่งจะเรียนระเบียบการถวายบังคม หากไม่พูดอะไรเลยไม่ใช่ว่าจะต้องให้ไทเฮาสั่งสอนอีกหรือ” เฉินยางถาม 


 


 


เขาตบที่หลังมือนางเบาๆ “ดูข้าให้สบายใจก็พอ มีข้าอยู่ ดูว่าจะมีใครทำอะไรเจ้าได้” 


 


 


นางโกรธเขามาตลอดทาง ตอนแรกยังคิดจะไม่พูดกับเขาไปอีกพักใหญ่ ตอนนี้ถูกเขาพูดจนรู้สึกดีขึ้น จึงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง เอนซบพิงเขา 


 


 


เช่นนี้ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ นางพึ่งพิงเขา ก็ไม่ต้องกังวลอะไร และก็ไม่ต้องทำอะไร ฝากทุกอย่างให้เขาก็พอแล้ว เรื่องใหญ่โตเช่นไรก็มีเขาคอยแบกรับไว้ให้นาง 


 


 


ไทเฮาทรงกำลังกริ้วอยู่ในตำหนักฉือหนิง วันนี้ตอนเช้าหงอวี้ไม่เห็นเว่ยเฉินยาง คิดว่าคงไม่ใช่ว่าเมื่อวานไปเที่ยวกับท่านหญิงจนเลยเถิด วันนี้ถึงกับนอนไม่ตื่น แต่นึกไม่ถึงว่าพอถีบประตูเข้าไป ในห้องกลับว่างเปล่า มีคนเสียที่ไหน ออกไปถามองครักษ์ที่เฝ้ายามอยู่ถึงได้รู้ว่า เมื่อคืนนางไม่ได้กลับมา 


 


 


ดูนางช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้าไม่กลับมาแล้ว หงอวี้กราบทูลรายงานต่อไทเฮา ไทเฮาตอนแรกก็โกรธนางเป็นทุนเดิมแล้ว ตอนนี้ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก ถึงกับไม่เสวยอาหารเช้า รออยู่ที่ตำหนักฉือหนิง หากนางกลับมาก็แล้วกันไป แต่หากไม่กลับมา ก็จะได้ใช้ข้ออ้างนี้สั่งให้นางหย่า จะได้ไม่ต้องเห็นหน้านางทุกวันจนรำคาญ 


 


 


รอใกล้จะถึงเที่ยง คนถึงได้มาถึง ไม่ใช่คนเดียว เป็นสองคน ยังมีเฝิงเยี่ยไป๋มาด้วย 


 


 


ขันทีส่งสารที่รออยู่ข้างล่างรอให้เบื้องบนสั่งการว่าจะส่งสารหรือไม่ส่ง ไทเฮาหันพระเศียรไปถามหงอวี้ว่า “เจ้าไม่ได้ลงแส้กระมัง แผลสะดุดตาหรือไม่” 


 


 


หงอวี้พูดว่า “ไทเฮาวางพระทัยได้ ไม่เห็นเลือด แผลล้วนอยู่ข้างหลัง ที่อื่นล้วนดีอยู่เพคะ” 


 


 


ไทเฮาพยักหน้า ตรัสด้วยความกังวลพระทัยเล็กน้อยว่า “ไฉนเขาถึงมาด้วย ข้าว่าแล้วเจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนจัดการได้ง่ายนัก คงไม่ใช่กลับไปฟ้องกระมัง!” 


 


 


หงอวี้พูดว่า “เรียนระเบียบที่วังมีที่ใดเรียนแล้วได้เลย ผิดแล้วก็ควรลงโทษ ไปดูในตำหนักต่างๆ ได้ บนตัวใครบ้างที่ไม่มีแผล ตอนนั้นพระองค์ก็ไม่ใช่ว่าผ่านมาเช่นนี้เหมือนกันหรอกหรือ นางเป็นเพียงเด็กบ้านนอกจะสูงส่งกว่าพระองค์ได้หรือไร ต่อให้ท่านอ๋องมาเอาเรื่องจริง พวกเราก็เถียงกลับไปได้” 


 


 


เหตุผลนี้ก็จริง ไทเฮาฟังแล้วก็พยักหน้า เชิดคางตรัสกับขันทีน้อยที่รอรับคำสั่งอยู่ว่า “ไปเรียกเข้ามาทั้งหมดเลย!” 


 


 


ขันทีน้อยรับคำสั่งแล้ววิ่งออกไป นางกำนัลที่รอต้อนรับอยู่ที่ประตูย่อตัวทักทาย “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” จากนั้นจึงเดินนำคนเข้ามาในตำหนัก 


 


 


เฉินยางจำระเบียบได้ พอเข้าตำหนักก็ย่อตัวพูดว่า “ถวายบังคมไทเฮา ขอไทเฮาทรงพระเกษมสำราญเพคะ” 


 


 


ไทเฮาแค่นเสียงหึเบาๆ ไม่เรียกให้นางลุกขึ้น ทั้งยังจงใจชักสีหน้าใส่นาง ในใจเฉินยางถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ท่านแม่คนนี้…จริงๆ เลย ตีแล้วด่าแล้วก็ยังไม่พอใจ แถมยังจะแกล้งนางต่อหน้าเฝิงเยี่ยไป๋อีก จะต้องทำเช่นนี้ทำไมกัน ทำเช่นนี้แล้วมีแต่จะทำให้เฝิงเยี่ยไป๋ยิ่งรู้สึกต่อต้านนางมากขึ้น เฉินยางเองก็ไม่สามารถพูดได้ ในเมื่อไทเฮาเชื่อว่านางมีใจเป็นอื่น คำพูดของนางไทเฮาย่อมฟังไม่เข้าหู ระเบียบที่เรียนมาหลายวันนี้ไม่ได้เรียนเปล่า ย่อตัวไม่กี่อึดใจก็ไม่ใช่ปัญหา 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 236 ยุยงให้สามีอกตัญญู 


 


 


 


 


 


ไทเฮาไม่เรียกให้ลุกขึ้น นางก็ต้องย่ออยู่ตลอด จนไทเฮาบอกว่าลุกขึ้นถึงจะลุกได้ ย่อตัวอยู่เช่นนี้ช่างทรมานยิ่งนัก ทนได้ไม่นานก็จะทนไม่ไหว เฝิงเยี่ยไป๋โกรธขึ้นมา ยื่นมือดึงเฉินยางลุกขึ้น ตอนที่เขาอยู่ยังเป็นเช่นนี้ ตอนที่เขาไม่อยู่จะเป็นเช่นไร 


 


 


“ขอถามไทเฮา ตกลงภรรยาข้าทำผิดเรื่องใดในวัง ไทเฮาถึงกับต้องลงโทษอย่างนางเ**้ยมโหดเช่นนี้” 


 


 


พอมาแล้วก็มาหาเรื่อง ว่าแล้วเจ้าเด็กนี่กลับไปฟ้องจริงๆ ไทเฮาแค่นเสียงหึเบาๆ เหลือบมองเฉินยางแล้วตรัส “เมื่อวานเว่ยหมิ่นมายืมตัวเจ้ากับข้าไป ข้าคิดว่าสองวันนี้เจ้าก็ลำบากมากแล้ว จึงใจอ่อนให้เจ้าหยุดพักวันหนึ่ง แต่ดูเจ้าทำสิ ออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เจ้าดูเอาเองเถอะ นี่มันยามใดแล้ว กลับมาแล้วยังให้สามีอยู่เป็นเพื่อนอีก ก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกกับข้าว่ายอมอยู่ในวังเรียนระเบียบล้วนโกหกข้างั้นหรือ” 


 


 


เฉินยางอ้าปากคิดจะอธิบาย แต่ก็ถูกเฝิงเยี่ยไป๋ขัดขวางเอาไว้ “นี่เป็นเรื่องของพวกเราสามีภรรยา ไม่ต้องให้ไทเฮาทรงเป็นกังวล ที่ข้ามาวันนี้ก็คือมาทูลลาแทนภรรยา ภรรยาข้าไม่รู้ระเบียบ กลับไปแล้วข้าย่อมสอนเอง นางไม่ใช่คนในวัง ข้อห้ามในวังต่างๆ นางก็ไม่รู้ เพื่อไม่ให้ทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัย ให้ข้าพานางกลับไปค่อยๆ สอนดีกว่า” 


 


 


ไทเฮาฟังแล้วโกรธจัด ตบโต๊ะเสียงดัง “เจ้า…” นางจะโกรธใส่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ นางเป็นแม่ได้ไม่ดีนัก ด่าลูกชายแล้ว คนที่เศร้าใจกลับยังคงเป็นนางเอง มือไทเฮาจึงชี้ไปที่เฉินยาง “เจ้าช่างเป็นภรรยาที่ดีเสียเหลือเกิน ตอนไม่มีใครก็ยุยงสามีเจ้าให้อกตัญญูเช่นนี้หรือ” 


 


 


เฉินยางรู้สึกน้อยใจนัก นางกระตุกแขนเสื้อเฝิงเยี่ยไป๋เป็นนัยขอร้องเขาว่าอย่าพูดอีกเลย แม่ลูกทะเลาะกันเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างโกรธ ฐานะของนางจะเข้าข้างใครก็ไม่ได้ จะกล่อมก็ไม่ได้ ช่างลำบากใจเสียจริง 


 


 


“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างสามีภรรยาไม่มีอะไรที่ปิดบังได้ แผลที่อยู่เต็มหลังนางก็ปิดบังข้าไม่อยู่ ตีก็ตีเถอะ แต่ยังตีไปที่เดียว นี่คือกลัวว่าข้าจะรู้หรือ” 


 


 


เขาพูดเช่นนี้ไม่ได้ปกป้องเฉินยางตรงๆ แต่กลับเป็นการตบหน้าไทเฮาเช่นนั้น สามีภรรยาต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ไทเฮากลั่นแกล้งนางยังกลัวเขาจะรู้อีก ถูกพูดออกไปเสียหน้าแย่ เป็นถึงไทเฮาของแคว้น ทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้ จะให้ใครไม่หัวเราะได้หรือ! 


 


 


ไทเฮาถูกเขาพูดจนพูดไม่ออก หงอวี้โค้งตัวก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่ง “ท่านอ๋อง เรื่องสอนระเบียบพระชายาล้วนเป็นบ่าวที่ทำคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับไทเฮาเลย อีกอย่างเรื่องระเบียบนี้ หากทำผิดพลาด ถูกลงโทษก็เป็นเรื่องปกติ เหล่านางกำนัลในวังก็ผ่านมาเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นไทเฮาเองตอนแรกที่เรียนระเบียบอยู่นั้นก็ไม่ได้ถูกตีน้อยลงเลย นางกำนัลถูกตีไม่อาจเห็นเลือดได้ บนตัวจะทิ้งบาดแผลก็ไม่ได้ ด้วยกลัวจะเสียผิวพรรณและความงาม บ่าวปฏิบัติกับพระชายาก็เช่นกัน ลงโทษล้วนอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และไม่ให้ให้พระชายาเห็นเลือด บ่าวคิดว่าจะต้องมีการเข้าใจผิด ขอให้ท่านอ๋องไตร่ตรองให้ดีด้วย” 


 


 


หงอวี้เป็นนางกำนัลใหญ่ที่อยู่ข้างกายไทเฮา คำพูดและการกระทำล้วนมีเล่ห์เหลี่ยม ไม่กี่ประโยคก็เถียงเฝิงเยี่ยไป๋กลับไป แม้จะโค้งตัวอยู่ แต่กลับไม่มีท่าทางต่ำต้อยเลย ท่าทางนั้นประหนึ่งว่านางคือเจ้านายคนที่สองของตำหนักฉือหนิง 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กระตุกมุมปากยิ้ม ดูแล้วน่าประหลาดยิ่งนัก 


 


 


“ทำผิดแล้วถูกตีไม่ใช่ไม่ถูก เพียงแต่ทั้งตัวมีที่ตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องตีอยู่ที่เดียวกระมัง แต่ว่าที่ข้ามาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่อง เพียงแค่จะมาบอกไทเฮาว่า คนของข้าข้าจะพากลับแล้ว ภรรยาตระกูลเฝิงไม่ได้มีระเบียบมากมายเช่นนั้น หากไทเฮาว่างจริงๆ ละก็ มิสู้สนใจฮ่องเต้เสียหน่อย อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ วันหลังหากไม่สนใจท่านแล้ว ท่านจะทำเช่นไร” 



ตอนที่ 237 ทะเลาะกับนางเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง


 


 


 


 


ฟังจากน้ำเสียงของเขานั้น ดูเหมือนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะพาคนไป ไม่เห็นหัวคนเป็นแม่เป็นไทเฮาอย่างนางอยู่ในสายตาแล้วหรือ


 


 


เฉินยางตกใจสะดุ้งเฮือก ออกแรงดึงแขนเสื้อเฝิงเยี่ยไป๋ “อย่าพูดอย่างนี้เลย ข้าเคยบอกว่าจะไปเสียเมื่อไหร่ ท่านอย่าทำร้ายข้าเลย”


 


 


นางเริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว คำพูดจึงหลุดออกจากปากโดยไม่ได้ผ่านความคิด เฝิงเยี่ยไป๋ก้มศีรษะมองนาง เหมือนจะยิ่งมุ่งมั่นที่จะพานางไป สายตายังคงมองนางอยู่ เพียงแต่คำพูดกลับพูดกับไทเฮา “ไทเฮาอายุปูนนี้แล้ว ตอนแรกก็ควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ยุ่งเรื่องคนอื่นน้อยๆ หน่อยจะดีกว่า การมีความสุขกับชีวิตที่เหลือดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ควรจะต้องเป็นกังวลตอนแก่เฒ่าอีก ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนที่จากไปแล้วจะนอนตายตาไม่หลับ”


 


 


คำพูดแต่ละประโยคนั้นล้วนแทงใจไทเฮาดุจคมมีด ไทเฮาทนไม่ไหวน้ำตาไหลลงมา เอามือทุบอก เจ็บปวดยิ่งนัก นี่คือลูกชายที่นางคลอดออกมา ตอนนี้ทะเลาะกับนางเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง หลายปีมานี้นางคิดถึงเขาจนล้มป่วย ส่วนเขาเล่า ดี ดีเสียจริงๆ !


 


 


หงอวี้เห็นไทเฮาไม่ไหวแล้ว จึงรีบเข้าไปลูบหลังไทเฮา เฉินยางเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งร้อนรน ไทเฮาเกลียดนาง นางเสียแล้ว กลับทำให้ไทเฮาป่วยหนักกว่าเดิม จึงเริ่มดึงเฝิงเยี่ยไป๋ ออกแรงสุดตัวผลักเขาไปหน้าแท่นประทับของไทเฮาแล้วพูดว่า “อย่างน้อยพระองค์ก็เป็นแม่แท้ๆ ของท่าน จะยืนอยู่เฉยๆ ไม่สนใจได้อย่างไร รีบเข้าไปดู รีบไปเร็ว!”


 


 


ใช่แล้ว นั่นเป็นแม่แท้ๆ ของเขา ในใจแค้นเพียงใด ปากจะร้ายเพียงใด เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกดีนัก เพียงแต่ความแค้นนี้อยู่ในใจสิบกว่าปีแล้ว ในใจเขาเป็นห่วงเพียงใด ก็ไม่อาจเสียหน้าไปดูนางในทันที เฉินยางทั้งดึงทั้งผลัก เท้าของเขาเหมือนดั่งถูกล่ามโซ่เอาไว้ ไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


 


สีหน้าของไทเฮาจู่ๆ ก็ขาวซีดทันที เอามือทาบอก ถึงกับหายใจลำบากเลยทีเดียว องหวี้เรียกนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างๆ ให้ไปตามหมอหลวงมา เฉินยางตกใจ ออกแรงสุดแรงเกิดผลักเขา “ท่านดู ตอนนี้ไทเฮาท่าทางย่ำแย่มาก ท่านรีบไปดูเร็วเข้า! นางคลอดท่านออกมา จะมีความผิดใหญ่หลวงอะไรก็ไม่พอให้ท่านแค้นนางเช่นนี้ ต่อให้ท่านแค้นนาง ก็คงไม่หวังจะให้นางเกิดเรื่องที่อาจเสียชีวิตได้กระมัง ข้าไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก อยากจะมีแม่ก็มีไม่ได้ ท่านเป็นคนที่มีแม่ไฉนถึงยังไม่รู้จักหวงแหนบ้างเลยเล่า”


 


 


นางพูดไปพลางผลักไปพลาง เฝิงเยี่ยไป๋อึ้งไปประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ก็ใช่ เขาแค้นไทเฮามานาน แค้นที่หลายปีมานี้แม้นางมีทั้งโอกาสและวิธีก็ไม่ยอมมาเยี่ยมเขา แต่เขาก็ไม่เคยคิดอยากให้ไทเฮาเกิดเรื่อง จะว่าอย่างไรเป็นแม่ที่คลอดเขามา ลูกชายมองดูแม่ตัวเองเกิดเรื่องขึ้นโดยไม่สนใจเลย เช่นนั้นวันหลังเขาจะต้องเกลียดแค้นตัวเองไปทั้งชาติ แม้แต่ท่านพ่อที่จากไปแล้วหากรู้เข้าก็คงไม่ปล่อยเขาไปแน่


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ เขาไหนเลยจะยังสนใจว่าจะเสียหน้าหรือไม่ ก้าวเท้ายาวๆ พุ่งเข้าไป ปลดกระดุมบนเสื้อไทเฮาหนึ่งเม็ด ไทเฮาก็ยังคงหายใจไม่ออก เฝิงเยี่ยไป๋จึงได้แต่อุ้มนางกลับไปที่ห้องนอน ทั้งป้อนน้ำทั้งลูบหลัง วุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง ไทเฮาถึงได้ดีขึ้นมา


 


 


เฉินยางยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความตึงเครียด นางไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าความรักของแม่เป็นอย่างไร ยิ่งไม่เข้าใจว่าไฉนเฝิงเยี่ยไป๋ถึงได้เกลียดแม่ของเขาเช่นนี้ นางคิดเพียงว่า ระหว่างแม่ลูกจะมีความแค้นใดที่แก้ไม่ได้ จะต้องทะเลาะถึงขั้นนี้ นางรู้สึกเหมือนไม่ใช่คนในครอบครัว ยืนอยู่ข้างๆ ถูมือไปมาด้วยความกังวล แล้วเหลือบมองไปที่เตียงเป็นบางครั้ง นางถึงกับดูหวาดกลัวและกระวนกระวายใจมากกว่าเฝิงเยี่ยไป๋เสียอีก


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 238 ไข้ใจยังต้องใช้ยาใจรักษา


 


 


 


 


โรคที่ไทเฮาเป็นนั้นเป็นโรคเก่า ตามที่หมอหลวงเล่าคือคิดถึงมากจนเป็นโรค ถึงได้เป็นโรคที่เจ็บหน้าอก เพราะเป็นโรคเก่า ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และไม่แน่ว่าจะกำเริบเมื่อใด ดังนั้นหมอหลวงจึงเตรียมยาที่ใช้ประจำอยู่ตลอด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเก็บของหากหมอหลวงถูกเรียก ดังนั้นแล้วไม่นานหมอหลวงก็มาถึง และยังคงทำตามขั้นตอนเดิมๆ จับชีพจร เขียนใบสั่งยา แล้วให้คนไปต้มยา จากนั้นก็กำชับหงอวี้ให้ไทเฮาพักผ่อนมากๆ อย่าได้เป็นกังวลใดๆ นี่เป็นไข้ใจ ไม่ได้มีวิธีอื่น ได้แต่รักษาไปตามอาการ


 


 


ในใจเฝิงเยี่ยไป๋บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร ทั้งที่เขาเกลียดนาง ต่อให้เข้าเมืองหลวงแล้ว อยู่ที่เดียวกับนางก็ทำใจแข็งไว้แล้วว่าไม่อยากพบนาง ความแค้นนี้มาจากที่ใดหรือ ตอนแรกเพียงแค่ไม่พอใจนาง ฮ่องเต้องค์ก่อนจากไปนางมีโอกาสมากมายกลับมาเยี่ยมพวกเขาได้ เพียงแต่นางไม่เคยกลับมาเลย ก่อนที่ท่านพ่อของเขาจะจากไปนั้นท่านพ่อดื่มเหล้าทุกวัน เมื่อก่อนเป็นคนที่แข็งแรงปานใด ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครที่ยิ่งใหญ่ เป็นใต้เท้าเฝิงผู้เลื่องชื่อลือชา แต่สุดท้ายเล่า ผอมจนเหลือเพียงกระดูก ก่อนจะจากไปปากยังร้องเรียกชื่อท่านแม่ของตน ตายไปทั้งที่ตาไม่หลับ ความแค้นนี้เป็นเพราะนางที่ทำให้เพิ่มมากขึ้น


 


 


เฉินยางยืนอยู่ข้างๆ อยู่นาน เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ท่าทางเศร้าหมอง จึงค่อยๆ ขยับเข้าไปหาเขาแล้วกระตุกมือเขาด้วยความระมัดระวัง เห็นเขาไม่ตอบสนอง จึงกุมมือเขาไว้เงียบๆ แล้วเอ่ยว่า “ไฉนท่านถึงมาแล้ว ไทเฮาไม่เป็นไรแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ถึงได้ดึงสติกลับมามองนาง บีบมือนางตอบ แล้วปลอบนางแทน “ข้าไม่เป็นไร ทำเจ้าตกใจแล้วสินะ อีกประเดี๋ยวพวกเรากลับบ้านกัน”


 


 


เรื่องมาถึงตอนนี้เฉินยางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว ไทเฮาโกรธถึงขนาดนี้ หากนางยังอยู่ที่นี่เกะกะสายตาของนาง พูดคำพูดที่ขัดใจนางอีก เกิดเป็นอะไรขึ้นมา นางจะแก้ตัวได้ยาก เช่นนั้นแล้วนางกลับไปเสียดีกว่า อีกอย่าง ไทเฮาก็ไม่ได้มีสีหน้าดีๆ ให้นาง หากอยู่ต่อทั้งสองฝ่ายก็ไม่สบายใจ อย่างไรก็สู้ไม่อยู่ให้เกะกะสายตาของนาง ปล่อยให้นางหายเร็วๆ ดีกว่า


 


 


นางออกแรงพยักหน้า คว้ามือเฝิงเยี่ยไป๋แล้วพูดด้วยความกังวลว่า “ไทเฮาไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เมื่อครู่ทำเอาข้าตกใจหมด โชคดีที่หมอหลวงมาได้ทันเวลา”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋หัวเราะนาง “นางไม่ดีกับเจ้า เจ้าจะเป็นห่วงนางทำไม ไม่โกรธหรือ”


 


 


เฉินยางก้มหน้าบ่นอุบ “แน่นอนว่า… โกรธ ข้ารู้ว่าไทเฮาไม่ชอบข้า แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเล็ก ชีวิตคนสำคัญกว่า มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตคนอีก นางไม่ดีต่อข้า กับคนอื่นก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้ อย่างไรเสียก็ต้องมีคนอยากให้นางดีขึ้น” เฉินยางหยุดเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา “ก็คือท่านไม่ใช่หรือ ท่านคงไม่อยากให้ไทเฮาเป็นอะไรไม่ใช่หรือ”


 


 


นางช่างมีจิตใจที่หาได้ยากนัก เหมือนกับพ่อของนาง จิตใจดี เป็นสตรีที่ดีโดยแท้ มีอะไรก็พูดเช่นนั้น ไทเฮาไม่ชอบนาง นางก็ไม่ชอบไทเฮา มีอะไรเช่นนั้นหรือ ต่อหน้าเขาไม่ต้องหลบซ่อน พูดออกมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ดูแล้วช่างน่าดีใจยิ่งนักที่สตรีที่ดีเช่นนี้เป็นของเขา เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกมีความสุขแล้ว


 


 


หงอวี้ปรนนิบัติไทเฮาให้นอนลง ปล่อยม่านแล้วเดินออกไป โค้งคำนับให้เฝิงเยี่ยไป๋แล้วพูดว่า “ไทเฮาไม่เป็นไรแล้ว เมื่อครู่ได้รับยาไป บรรทมหลับไปแล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นกังวล”


 


 


“ในเมื่อไทเฮาหลับไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็กลับก่อน” เขาดึงเฉินยางก้าวเท้ายาวๆ เดินไปสองก้าวก็หยุดลง หันหลังกลับมากำชับหงอวี้ว่า “ดูแลไทเฮาดีๆ อย่าให้เป็นอะไร อีกสองสามวันข้าจะมาเยี่ยมนางอีก”



ตอนที่ 239 เราเห็นเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ


 


 


 


 


หงอวี้ตอบรับเขาแล้วถามว่า “เช่นนั้นแล้วพระชายาเล่า จะให้เรียนครึ่งๆ กลางๆ แล้วไม่เรียนก็คงไม่ได้กระมัง รอให้ไทเฮาตื่นแล้วค่อยว่ากัน บ่าวเองก็ตอบไม่ได้!”


 


 


เฉินยางตกใจกลัวไปแล้ว ไม่กล้าอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงต่อ พอได้ยินหงอวี้พูดเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด รีบพูดว่า “กูกูก็เห็นแล้ว ไทเฮาไม่ชอบข้า วันนี้ทรงกริ้วมากขนาดนี้ หากตื่นขึ้นมายังเห็นข้ายังอยู่ที่นี่อีก โกรธขึ้นมาอีกครั้งจะทำอย่างไรดี อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่หากไทเฮาทรงกริ้วขึ้นมาอีกจะไม่ดีเอา”


 


 


ด้วยเหตุผลนี้ หงอวี้ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ไม่มีไทเฮาคอยหนุนหลังให้นาง นางก็ไม่กล้าทำตัวยโสต่อหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ คำพูดคำจาก็ไม่กล้าเสียงดัง อย่างไรเสียรอให้ไทเฮาตื่นแล้ว ทุกอย่างให้พระนางตัดสินใจ หากไม่พอใจที่เว่ยเฉินยางกลับไป เพียงหาข้ออ้างขอนางกลับมาเป็นพอ แต่ตอนนี้นางไม่กล้าไปยุ่งกับเฝิงเยี่ยไป๋ ให้หยุดเสียก่อนดีกว่า


 


 


“เช่นนั้นแล้วบ่าวขอส่งเจ้านายทั้งสอง…” นางทำท่าเชิญคนออกไป เพิ่งมาถึงประตู ข้างนอกก็มีเสียงของขันทีตะโกนว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” สิ้นเสียง ก็เห็นฮ่องเต้ถลกชายเสื้อเข้าประตูตำหนัก คนในตำหนักคุกเข่าเป็นกลุ่มใหญ่ เฝิงเยี่ยไป๋คุกเข่าไม่ลง ดึงเฉินยางไว้แล้วเพียงแค่ก้มหน้าโค้งตัว จากนั้นปะปนอยู่กับทุกคนพูดว่าถวายบังคมฝ่าบาท


 


 


ฮ่องเต้สีพระพักตร์เคร่งขรึม ยกพระหัตถ์เรียกให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ไปประคองเฝิงเยี่ยไป๋ด้วยตัวเอง ตรัสด้วยท่าทางราวกับเขาเป็นพี่น้องของพระองค์เช่นนั้น “ไม่ต้องมากพิธี” ตรัสจบก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้ากับเราก็เหมือนดั่งพี่น้องแท้ๆ หลังจากนี้เจอเราก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันให้เหมือนพี่น้องแท้ๆ เลย”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาทฐานะสูงส่ง กระหม่อมมิอาจถือตัวเป็นพี่น้องกับฝ่าบาท”


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะออกมา สายตาหยุดอยู่ที่เฉินยาง พิจารณานางโดยไม่เผยพิรุธออกมา ก่อนจะตรัสด้วยความประหลาดใจว่า “นี่ก็คือชายาของเจ้ากระมัง ดูจากหน้าตาแล้ว แก้มแดงหน้ารูปไข่ แม้จะไม่ได้งามดั่งนางฟ้า แต่ก็เป็นที่จดจำ เป็นหญิงงามคนหนึ่ง”


 


 


เฉินยางได้ยินว่าฝ่าบาทตรัสชมนาง ก็นึกถึงระเบียบที่หงอวี้สอนนาง นางย่อตัวลงแล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วเพคะ”


 


 


นางรู้ว่าต่อพระพักตร์ฝ่าบาทต้องเรียกตัวเองว่าหม่อมฉัน เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋อยู่ที่นี่ เขามีความแค้นกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังคิดจะฆ่าเขาอยู่หลายครั้ง การแสดงความเคารพให้ศัตรูเป็นความอับอายที่ใหญ่หลวงนัก อย่างไรเสียก็ละชื่อฐานะตัวเองเอาไว้ พูดกลบเกลื่อนไป เช่นนี้แล้วก็ไม่ผิดใจกับใคร


 


 


ฮ่องเต้สายตาวาวโรจน์ แล้วยื่นพระเศียรมองเข้าไปในตำหนักพลางถามหงอวี้ว่า “เราได้ยินว่าไทเฮาป่วย หมอหลวงได้มาดูหรือไม่ ว่าอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่”


 


 


ไทเฮาเพิ่งจะป่วย เขาก็ได้ข่าวแล้ว หูตาของฮ่องเต้นี้ช่างซื่อสัตย์ยิ่งนัก เฝิงเยี่ยไป๋เบ้ปากโดยไม่ให้สังเกต ฝ่ายหงอวี้ทูลว่า “ทูลฝ่าบาท หมอหลวงได้มาดูแล้ว ไทเฮาไม่ได้เป็นอะไร ตอนนี้พักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ถึงได้พยักพระพักตร์ด้วยความวางพระทัย “ไม่เป็นไรก็ดี ในเมื่อพักผ่อนแล้ว เช่นนั้นเราค่อยหาวันอื่นมาเยี่ยมไทเฮา”


 


 


หงอวี้อยู่ระหว่างกลางรู้สึกลำบากใจ ปากฮ่องเต้บอกว่าจะไป แต่พระองค์ยืนอยู่ในลานไม่มีทีท่าว่าจะไปเลย จะไล่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ อีกอย่างมองท่าทางที่ฮ่องเต้กับท่านอ๋องตั้งแง่ใส่กันเช่นนี้ ให้พวกเขาอยู่ต่อเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น พอคิดดูแล้วก็จำต้องพูดว่า “ทูลเชิญฝ่าบาทเข้าไปด้านในเถิด ข้างนอกอากาศร้อน อย่าได้ลำบากพระวรกายเลยเพคะ”


 


 


“ไม่ต้อง เราจะไปแล้ว” ฮ่องเต้ยิ้มออกมา “ท่านอ๋องรีบกลับหรือไม่ หากไม่รีบกลับ เราอยากจะพูดคุยกับท่านอ๋องเสียหน่อย”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 240 ไปปรนนิบัติที่หอโฮ่วเซียง


 


 


 


 


สุดท้ายเฝิงเยี่ยไป๋ปั้นหน้ายิ้มออกมา แสร้งทำท่าทางก็ยังต้องทำอยู่ เขาประสานมือยิ้มพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทก็ตรัสแล้ว กระหม่อมมีหรือจะไม่ตอบรับ กระหม่อมน้อมทำตามรับสั่งฝ่าบาท”


 


 


ทั้งสองคนนี้แกล้งแสดงละครล้วนเก่งทั้งสิ้น ในใจแค้นอีกฝ่ายจนไม่รู้เป็นอย่างไร แต่พอยิ้มขึ้นมากลับเหมือนไม่มีอะไรเช่นนั้น เฉินยางชะงักเล็กน้อย ลังเลว่าควรจะตามไปหรือไม่ ขณะที่ยังลังเลอยู่ ก็ได้ยินฮ่องเต้เรียกหลี่เต๋อจิ่ง “พาพระชายาไปปรนนิบัติที่หอโฮ่วเซียงดีๆ อีกเดี๋ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมา ก็เรียกนางไปที่หอโฮ่วเซียง พูดคุยกับพระชายาเสียหน่อย”


 


 


คำพูดของฮ่องเต้นั้น แม้แต่เฝิงเยี่ยไป๋ก็เครียดขึ้นมา หอโฮ่วเซียงเป็นที่ใด ก็คือที่ที่ให้ฮ่องเต้นอนพักผ่อนในตำหนักหย่างซิน หลิ่วกุ้ยเฟยไปเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ให้เว่ยเฉินยางเป็นเรื่องอะไรหรือ อารมณ์ของเฝิงเยี่ยไป๋ตอนนี้เหมือนได้สมบัติล้ำค่าคืนมาชิ้นหนึ่ง มองใครก็รู้สึกว่าคนอื่นคิดไม่ซื่อ กลัวคนจะมาแย่ง กลัวเขาไม่ทันระวังจะทำสมบัติหายไป ที่กลัวยิ่งกว่าคือ หากนางไปครั้งนี้แล้วถูกฮ่องเต้หาข้ออ้างกักขังนางขึ้นมา ถึงตอนนั้นคิดจะขอคนกลับมา ก็ได้แต่ถูกฮ่องเต้ควบคุม จนตายก็ไม่อาจเอาคืนได้


 


 


 เขามักจะเป็นคนหยิ่งผยอง เพียงแต่คำพูดของฮ่องเต้นั้น จู่ๆ เขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ฮ่องเต้อยากให้เขาตาย เขาก็จะสู้กับฮ่องเต้ แม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย เพียงแต่ตอนนี้เขามีจุดอ่อน คนที่แข็งแกร่งเพียงใดก็มีจุดอ่อน เหมือนเผยจุดตายของตัวเองให้คนอื่นดู เช่นนั้นแล้วจะมีโอกาสชนะได้อย่างไร


 


 


“ฝ่าบาท ภรรยากระหม่อมไม่สบาย บวกกับเป็นชาวบ้านมาก่อนไม่รู้ระเบียบ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทกับฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทเรียกคนส่งนางกลับไปที่จวนอ๋องเสียก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถูกงูกัดวันหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปี ตอนนั้นพ่อของเขาก็เพราะพาภรรยาเข้าวังมางานเลี้ยง ถึงได้ถูกพระบิดาของพระองค์สนใจเข้า คนที่ฮ่องเต้เล็งเอาไว้แล้วนั้นจะหนีไปได้หรือ สุดท้ายก็ได้แต่เข้าวังอย่างเชื่อฟัง เฝิงเยี่ยไป๋ก็คงจะกลัวพระองค์จะเดินตามรอยพระบิดามาแย่งภรรยาของเขา แม้ว่าหากทำเช่นนี้แล้วจะแทงเฝิงเยี่ยไป๋ได้อย่างหนัก แต่ผลลัพธ์ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ ยังไม่พูดถึงว่าพระองค์ไม่สนใจเว่ยเฉินยาง ต่อให้สนใจนางจริงๆ เขาเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง เก้าอี้ยังนั่งไม่ทันร้อนเลยด้วยซ้ำ พระองค์ก็คิดจะแย่งภรรยาของขุนนาง จะให้เหล่าขุนนางทั้งหลายคิดอย่างไร ทั้งพ่อทั้งลูกมีนิสัยเดียวกัน วันหลังจะมีใครกล้าพาภรรยาเข้าวังอีก จะเอาอะไรมารักษาความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางกับฮ่องเต้ อีกอย่างหากพูดออกไปก็ดูไม่ดี เสียชื่อเสียงฮ่องเต้ของพระองค์ไปหมดสิ้น เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งแล้วพระบิดาของพระองค์ไม่สนใจแผ่นดินที่ครองอยู่ แต่พระองค์ทำไม่ได้ พระองค์จะต้องสร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตัวเอง


 


 


ความจริงแล้วฮ่องเต้ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพียงแค่อยากจะให้นางไปอยู่ที่หอโฮ่วเซียง พอหลิ่วกุ้ยเฟยมาแล้วก็จะให้นางหลอกล่อเว่ยเฉินยาง ได้ยินว่าโรคปัญญาทึบของเด็กคนนี้รักษาหายแล้ว เพียงแต่ต่อให้หายแล้ว ก็ไม่น่าจะฉลาดไปถึงไหนได้


 


 


พระองค์เคยถามพั่งไห่ คนที่รักษานางคืออิ๋งโจว เป็นลูกชายเจ้าสำนักหมอหลวงอิ๋งฉางที่ทำให้พระมารดาของพระองค์ต้องตายในตอนนั้น ตอนนั้นพระบิดาของพระองค์สั่งประหารเพียงอิ๋งฉางคนเดียวไม่ได้ประหารเจ็ดชั่วโคตร นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่เช่นนี้ก็ดี พ่อของเขาตอนยังมีชีวิตได้ทำร้ายพระมารดาของพระองค์ ตอนนี้เขายังกลับมาช่วยศัตรูของเขาอีก ตัวเองรนหาที่ตาย ก็อย่าได้โทษเขาที่เป็นฮ่องเต้ใจเ**้ยมแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ควรให้เขามีชีวิตอยู่ มีชีวิตมานานหลายปีเช่นนี้ได้ก็ถือว่าพอแล้ว


 


 


สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งหลี่เต๋อจิ่งว่า “เจ้าอยู่ปรนนิบัติ ให้ซ่งอวี๋เหลียงส่งพระชายากลับจวน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม