เล่ห์รักกลกาล 221-227

ตอนที่ 221 กูเยว่อยากรู้ว่า แม่นางเอา...

 

หมู่ตึกกูเยว่


 


 


เยี่ยเม่ยนั่งเท้าคางอยู่ในห้อง หลับตาพักผ่อน


 


 


จงรั่วปิงดูร้อนรนเสียยิ่งกว่าเยี่ยเม่ย “เจ้าอย่าได้นั่งครุ่นคิดอยู่ที่นี่อีกเลย รีบหาแผนการออกมาเถอะ หากผ่านคืนนี้ไปจะไม่ทันการณ์แล้วนะ!”


 


 


 “ใครบอกว่าข้ากำลังคิดอยู่” เยี่ยเม่ยหันกลับมามองอีกฝ่าย


 


 


จงรั่วปิงชะงักไปชั่วขณะ ไม่ได้กำลังคิดอยู่ หรือว่า… “เจ้ามีวิธีแล้วหรือ”


 


 


 “ถูกต้อง! วิธีน่ะมีแล้ว แต่ขาดคนไปคนหนึ่ง ทั้งยังขาดโอกาสเหมาะๆ ด้วย” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็มองจงรั่วปิงอีกครั้ง “แม่นางจง เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี สมควรมีสิ่งหาไว้ป้องกันตัวอยู่บ้างใช่หรือไม่ อย่างพวกยาสลบมีหรือเปล่า”


 


 


จงรั่วปิงพยักหน้า “ข้ามีอยู่จริงๆ!”


 


 


ก่อนออกจากบ้านมา ท่านพ่อยัดเยียดใส่มือนาง ถึงนางรู้สึกว่าวรยุทธ์ของตนไม่อาจเสียเปรียบได้ง่ายๆ ในยุทธภพ แต่พอคิดถึงบิดาที่ช่างบ่นอยู่เป็นนิจ เพื่อไม่ให้เขาพูดพร่ำต่อไป นางจึงยอมพกติดตัวไว้แต่โดยดี


 


 


 “อืม!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ข้าขาดก็แต่ลมบูรพาเท่านั้น!”


 


 


 “ลมบูรพาหรือ” จงรั่วปิงงุนงงเป็นอย่างมาก สรุปแล้วกำลังพูดถึงอะไรกันแน่ ตัวนางไม่เข้าใจเลยสักนิด นางเป็นจอมยุทธ์หญิงที่เพียบพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น อย่าได้ล้อเล่นทายปริศนาแบบนี้ ทำให้นางต้องสงสัยว่าแท้จริงแล้วตัวเองมีแต่กำลังแต่ไร้สมองหรือเปล่า


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตบบ่าจงรั่วปิงเบาๆ “ไม่ผิด คอยลมบูรพา เพียงแต่ลมบูรพากระแสนี้ หากไม่ยินยอมมา เกรงว่าพวกเราต้องไปเชิญเองแล้ว!”


 


 


จงรั่วปิงยิ่งเหมือนอยู่ในม่านหมอกทึบ


 


 


เยี่ยเม่ยถามขึ้นอีกว่า “จริงสิ วันนี้ตอนที่เจ้าออกไปเดินเล่น หมู่ตึกกูเยว่นี้มีคนนอกหรือไม่”


 


 


พูดถึงคนนอก เยี่ยเม่ยกลับคิดถึงซ่งอวี้เชวีย ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเขาดื่มสุรากับกูเยว่อู๋เหินอยู่หรืออย่างไร


 


 


เพียงแต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงถูกซินเยว่เยี่ยนไล่ตะเพิดออกไป


 


 


จงรั่วปิงตอบอย่างว่องไวว่า “มี ซ่งอวี้เชวีย เขาถูกซินเยว่เยี่ยนโยนออกไปแล้ว แต่ว่ายังหน้าหนากลับมาอีก!”


 


 


เยี่ยเม่ยลูบคางใช้ความคิด ดวงตากลอกไปมา…


 


 


ในเวลานี้กระแสลมหอบหนึ่งพัดมา เยี่ยเม่ยตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า มีคนมาแล้ว ทว่านางไม่ส่งเสียงออกไป คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นยอดฝีมือในการอำพรางกาย


 


 


นางลูบคางเบาๆ “ข้าว่าลมบูรพามาถึงแล้ว!”


 


 


จงรั่วปิงนิ่งไป หน้าตางุนงง


 


 


……


 


 


ผ่านไปสองชั่วยาม


 


 


เฉิงฉู่เปิดหน้าต่างห้องเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เห็นเยี่ยเม่ยนั่งอยู่บนเตียง หันหลังให้พวกเขา ส่วนจงรั่วปิงนั่งถอนใจอยู่ด้านใน มีท่าทางคิดหาหนทางไม่ออก


 


 


เฉิงฉู่คลายใจลง ปิดหน้าต่าง เวลาผ่านไป ทุกๆ ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปเขาจะเปิดหน้าต่างตรวจสอบเยี่ยเม่ยด้านในทีหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายอยู่ภายในตลอด ดังนั้นคืนนี้คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว


 


 


ภายในหมู่ตึก ซินเยว่เยี่ยนโมโหจนขบฟันแน่น คิดไปช่วยเยี่ยเม่ย


 


 


แต่อู๋เหินเหมือนคิดได้ว่านางจะต้องสอดมือเข้ายุ่งแต่แรก ดังนั้นรอบกายนางล้วนมีคนเฝ้าสังเกตการณ์ นางคิดเข้าไปช่วยก็ไม่ได้


 


 


ในขณะที่กำลังโมโหอยู่นั้น นางก็หันกลับไปมองมุมลับด้านหลังมุมหนึ่ง “ชิงเสวี่ย เจ้าไม่เข้าสุขาบ้างหรือไง เลิกจับตาจ้องข้าสักที ข้าไม่ตายหรอก พวกเราต่างก็เป็นสามผู้อาวุโส เจ้าไม่ไว้หน้าข้าบ้างเชียวหรือ”


 


 


ในมุมลับมีเสียงสตรีตอบกลับมา “แต่หากไม่จับตาจ้องท่านไว้ ข้าน้อยจะตายได้ ลูกพี่…ท่านเป็นพี่สาวบุญธรรมของท่านประมุข มีความสัมพันธ์ปกป้องไว้ แต่ข้าน้อยหาใช่ไม่ ข้ามีแต่ชีวิตที่มีค่าชีวิตเดียวเท่านั้น ต้องปกป้องตัวเองไว้ให้ดี ภักดีกับท่านประมุข!”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมุมปากกระตุก ดังนั้นความต้องการช่วยเหลือเยี่ยเม่ยของนาง ก็คงทำได้แค่ช่วยภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าเยี่ยเม่ยจะทำสำเร็จแล้ว !


 


 


เพียงแต่มีคนมากมายจับตาดูแบบนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร


 


 


ในขณะที่นางกลัดกลุ้ม บนฟ้าพลันมีควันโขมง หมู่ตึกในเวลานี้พลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมา คนทั้งหมดเริ่มวิ่งกันอย่างอลม่าน “แย่แล้ว แย่แล้ว! หอเทียนจีถูกปล้น สมุนไพรล้ำค่าที่ท่านประมุขเก็บรักษาไว้หายไปแล้ว!”


 


 


 “หา” ซินเยว่เยี่ยนได้ฟังข่าว รู้สึกดีใจจนกระโดดตัวลอย “ยอดเยี่ยมไปเลย!”


 


 


หอเทียนจีถูกปล้น อย่างนั้นภารกิจของชิงเสวี่ยก็สำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่ว่าการปล้นจะสำเร็จหรือว่าล้มเหลว ภารกิจจับตามองของอีกฝ่ายถือว่าสิ้นสุดแล้ว


 


 


นางมองซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ในอารมณ์เบิกบาน “ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนของหมู่ตึกกูเยว่ หมู่ตึกถูกปล้น ไฉนท่านถึงยินดีนัก”


 


 


 “หืม ข้ายินดีอย่างนั้นหรือ” ซินเยว่เยี่ยนรีบหุบรอยยิ้มกว้างของตนลงทันที จากนั้นมองไปยังมุมลับ “ข้าไม่ได้ดีใจเลยสักนิด เมื่อครู่เจ้าคิดไปเอง! ขอตัวก่อน”


 


 


พูดจบแล้วก็กระโดดโลดเต้นออกไปยังห้องเยี่ยเม่ยด้วยท่าทางยินดีปรีดาราวกับเก็บเงินได้!


 


 


ชิงเสวี่ยถอนหายใจ ส่ายหน้า เตรียมกลับไปรายงานผลกับประมุข


 


 


เฉิงฉู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย ได้ยินเสียงคนวิ่งไปมาก็ตะลึงไปในบัดดล! เป็นไปได้อย่างไร เยี่ยเม่ยอยู่ในห้องตลอด ตัวเองก็ไม่เคยจากไปเลยสักหน่อย นางไม่มีทางออกไปได้


 


 


ขณะที่กลัดกลุ้มไม่อยากเชื่อ เขาก้าวออกไปยื่นมือเคาะประตู


 


 


ไม่มีคนเปิด


 


 


เขาเองก็เริ่มโมโหแล้ว “แม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางจง หากพวกเจ้ายังไม่เปิดประตู ข้าน้อยจะบุกเข้าไปแล้ว!”


 


 


สิ้นเสียง


 


 


 “ไอ้หยา” ประตูห้องเปิดออกแล้ว


 


 


เฉิงฉู่มองเข้าไป ในห้องมีคนสองคน เยี่ยเม่ยไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกแล้ว แต่ว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือถ้วยชา กำลังดื่มชาอยู่ มองเฉิงฉู่ ถามว่า “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”


 


 


เฉิงฉู่สีหน้าเดี๋ยวขาวซีดเดี๋ยวเขียวคล้ำไม่พูดไม่จา


 


 


หันกลับไปมององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังตน เอ่ยปากว่า “ไปรายงานท่านประมุข ช่างเถอะ ข้าไปเอง!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ เฉิงฉู่ก็วิ่งจากไปแล้ว


 


 


คนอื่นๆ ยังคงเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย


 


 


นางกับจงรั่วปิงสบตากัน แววตาฉายรอยยิ้ม ไม่นานกูเยว่อู๋เหินก็มาถึง


 


 


เขายังคงยืนตัวตรงดูท่าทางสง่างาม


 


 


ที่เอวเหน็บขลุ่ยหยกดำไว้ ใบหน้าเรียบเฉยยังคงจับอารมณ์ใดๆ ไม่ได้ เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง สายตาตวัดมองเข้าไปหาเยี่ยเม่ยด้านใน


 


 


น้ำเสียงราบเรียบถามว่า “แม่นางได้ของมาแล้วหรือ”


 


 


 “ใช่” เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็หยิบกล่องผ้าต่วนสามถุงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างตนขึ้นมาวางบนโต๊ะ “การเดิมพันระหว่างท่านประมุขกับข้า ขอเพียงข้าเอาของออกมาจากหอเทียนจีได้ ก็ถือว่าเป็นของข้าแล้ว ข้าไม่มีเจตนาเป็นโจรน้อยขโมยของ ถึงได้จงใจรั้งรอเพื่อคุยเรื่องการเดิมพันกับคุณชาย ดังนั้นของเหล่านี้ข้าขอรับเอาไว้แล้ว!”


 


 


กูเยว่อู๋เหินกลับหาได้ใส่ใจสิ่งของทั้งสามชิ้นไม่ ทว่าเอ่ยถามด้วยเสียงนิ่ง “กูเยว่แปลกใจมาก แม่นางทำได้อย่างไร หรือว่าเจ้ามีไส้ศึกอยู่ภายใน มีคนอื่นช่วยเหลือแม่นางเอาของมา”


 


 


ไม่เช่นนั้นภายใต้การจับตาอย่างเข้มงวด จะเอาของออกมาได้อย่างไร


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะ “ไม่มี! ข้าไปเอาออกมาเอง!”


 


 


 “หืม” 

 

 


ตอนที่ 222 อู๋เหิน นางไม่ใช่คู่หมั้นข...

 

ไปเอาเองอย่างนั้นหรือ


 


 


กูเยว่อู๋เหินหันกลับไปมองเฉิงฉู่


 


 


เฉิงฉู่สีหน้าแตกตื่นขึ้นมาทันที รีบส่ายหน้า “ท่านประมุข ทุกๆ หนึ่งก้านธูปข้าน้อยเปิดหน้าต่างตรวจดูทุกครั้ง แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่บนเตียงตลอดเวลา หาได้ออกไปไหน!”


 


 


เมื่อเขารายงานจบ เยี่ยเม่ยก็ลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง ลากคนที่ถูกมัดเอาไว้แน่นหนา มีผ้ายัดปากเอาไว้ออกมา


 


 


นั่นก็คือแขกของกูเยว่อู๋เหิน ซ่งอวี้เชวีย


 


 


ซ่งอวี้เชวียดิ้นรนขัดขืน รู้สึกเสียหน้าอย่างถึงที่สุด หากมิใช่ถูกวางยาสลบ หลับไปชั่วครู่ อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีกำลังเลยสักน้อย จะถูก….


 


 


เสี้ยววินาทีที่เห็นซ่งอวี้เชวีย กูเยว่อู๋เหินพลันเข้าใจได้ในทันที


 


 


ฝ่ายเยี่ยเม่ยก็เอ่ยกล่าวว่า “เพราะว่าคุณชายผู้มีวรยุทธ์สูงส่งมาเยี่ยมในยามวิกาล เพื่อยาสมุนไพรแล้ว ข้าได้แต่เชื้อเชิญให้เขาดื่มชาสักแก้ว วางยาสลบไว้ในน้ำชา จากนั้นก็เชิญให้เขาเป็นตัวแทนข้าอยู่ในห้องนี้!”


 


 


 “ไม่ถูกต้อง! ต่อให้เจ้าทำเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ข้ามองเข้ามาทางหน้าต่าง คนบนเตียงสวมเสื้อผ้าของเจ้า ตั้งแต่เขาเข้ามาดื่มชา เปลี่ยนชุด เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปไม่เพียงพอ” เฉิงฉู่เอ่ยออกมา ทุกๆ หนึ่งก้านธูปเขาจะเปิดหน้าต่างมาตรวจสอบดู


 


 


ระยะเวลาหนึ่งก้านธูปสั้นๆ ทำเรื่องพวกนี้เสร็จได้อย่างไร


 


 


เฉิงฉู่เอ่ยต่อว่า “อีกอย่างคุณชายซ่งก็ไม่ใช่โง่งม หากคิดจะหลอกให้เขาดื่มชาที่วางยาสลบไว้หาใช่เรื่องง่ายดาย!”


 


 


หรือว่า…


 


 


ช่วงเวลาที่เฉิงฉู่เบิกตากว้าง เยี่ยเม่ยมองเขา พยักหน้าให้ “ถูกต้อง! เป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา ข้าใช้เวลากว่าหนึ่งก้านถึงหลอกให้เขาดื่มชาลงไปได้ รอจนเจ้าเปิดหน้าต่างตรวจสอบดู ข้าก็เอาเขาซ่อนไว้ใต้เตียง หลังจากตรวจสอบแล้ว ข้าก็เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเขา จับเขานอนบนเตียงแทนข้า ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง!”


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็มองจงรั่วปิง


 


 


จงรั่วปิงรีบช่วยแก้มัดให้ซ่งอวี้เชวียทันที


 


 


ส่วนเฉิงฉู่จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยถามว่า “ดังนั้น เมื่อครู่ตอนที่ข้าเคาะประตูอยู่นานไม่มีคนเปิด ก็เพราะเจ้าเพิ่งกลับมา กำลังเปลี่ยนชุดอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ถูกแล้ว!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ถึงข้าจะทำสำเร็จแล้ว จะเปลี่ยนชุดกลับมาหรือไม่ก็หาใช่เรื่องสำคัญ แต่เพื่อชื่อเสียงของคุณชายซ่งแล้ว ข้าคิดว่าก่อนที่ทุกคนจะพบเห็นเปลี่ยนกลับก่อนจะดีกว่า ชื่อเสียงของบุรุษเป็นเรื่องสำคัญ ถูกคนเข้าใจผิดจะไม่ดีเอา!”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


นางพูดอะไรกลับกันไปหรือเปล่า


 


 


สรุปแล้วนางทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองหรือว่าชื่อเสียงของคุณชายซ่งกันแน่ บุรุษผู้หนึ่งจะเอาชื่อเสียงไปทำอะไร


 


 


แต่เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยมีสีหน้าจริงจัง ไม่คล้ายล้อเล่นเลยสักน้อย คนทั้งหมดจึงเข้าใจว่า สิ่งที่นางพูดคือความจริง นางคิดว่าชื่อเสียงของบุรุษเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ


 


 


ซ่งอวี้เชวียพ่นผ้าที่ถูกยัดไว้ในปากออกมาด้วยสีหน้าโมโห ซินเยว่เยี่ยนที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูได้ฟังคำพูดนี้พอดี อยากตบมือดังๆ ให้กับเยี่ยเม่ย ช่างสนุกสนานนักเชียว!


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งอวี้เชวียที่ขัดหูขัดตานางอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยังมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย


 


 


ทุกอย่างอธิบายไว้ได้ชัดเจนมาก


 


 


กูเยว่อู๋เหินกวาดสายตาเรียบเฉยมองไปที่ร่างของซ่งอวี้เชวีย น้ำเสียงฟังไม่ออกว่าดีใจหรือโมโห ถามออกมาเรียบๆ ว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”


 


 


ซ่งอวี้เชวียสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงก่ำเดี๋ยวขาวซีด หันกลับไปถลึงตามองเยี่ยเม่ยอย่างดุร้าย ชั่วชีวิตเขาไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน เสียหน้าขนาดนี้!


 


 


คิดถึงคำพูดต่างๆ นาๆตอนที่เขาเพิ่งร่อนลงมาจากหลังคาห้องแล้ว เขายิ่งอยากกระอักเลือด…


 


 


เมื่อเห็นกูเยว่อู๋เหินถามเช่นนี้ ซ่งอวี้เชวียมองซินเยว่เยี่ยนด้วยความไม่พอใจ “หากมิใช่เพราะนางเสียมารยาทต่อข้าครั้งแล้วครั้งเล่า โยนข้าออกไปข้างนอก! ดังนั้นพอข้าได้ฟังว่านางพาคู่หมั้นกลับมาให้เจ้าคนหนึ่ง ก็อดรนทนไม่ไหวกลับมาก่อกวน ข้าจะทำให้นางเสียใจบ้าง ใครจะรู้ว่า…”


 


 


ใครจะรู้ว่าก่อกวนไม่สำเร็จ แล้วยังถูกซ้อนแผนอีก


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก มองซ่งอวี้เชวียจากนั้นก็หันไปมองกูเยว่อู๋เหิน ทั้งยังเห็นซินเยว่เยี่ยนด้านข้างที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนถูไม้ถูมือเตรียมหนี นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คู่หมั้นหมายความอย่างไร”


 


 


คำว่าคู่หมั้น สมควรมีความหมายเดียวไม่ผิดแน่!


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยสีหน้าตกตะลึง ซ่งอวี้เชวียมุ่นคิ้ว หันกลับไปมองกูเยว่อู๋เหิน ถามเยี่ยเม่ยว่า “อู๋เหิน นางไม่ใช่คู่หมั้นของเจ้าหรือ”


 


 


กูเยว่อู๋เหินสีหน้าเรียบเฉย เพียงใช้หางตาปรายมองซินเยว่เยี่ยนที่เตรียมหนี


 


 


คราวนี้ซินเยว่เยี่ยนกลายเป็นจุดศูนย์รวมของห้องนี้ทันที ทุกคนต่างหันหน้าไปมองนาง จงรั่วปิงรู้มาตลอดว่าซินเยว่เยี่ยนคิดจับคู่ให้เยี่ยเม่ยและกูเยว่อู๋เหิน แต่คิดไม่ถึงว่า ซินเยว่เยี่ยนผู้นี้จะพัฒนาความสัมพันธ์มาถึงขั้นเป็นคู่หมั้นอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่เป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมด เงยหน้ามองเพดานด้วยความประดักประเดิด สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ ไม่มีเรื่องเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงแต่บอกอู๋เหินว่า เจ้ามาขอยาสมุนไพร!”


 


 


เฉิงฉู่เป็นคนแรกที่เบือนหน้าอย่างไม่ยินยอมมองซินเยว่เยี่ยน ตอนที่ผู้อาวุโสแนะนำเยี่ยเม่ยกับท่านประมุข เขาก็แอบอยู่ด้านข้างด้วย คำพูดพวกนั้นเขาได้ยินอย่างชัดเจนดี!


 


 


จากนั้น เขายังไม่ทันเอ่ยปาก


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรีบเตือนเขาว่า “จริงด้วย เฉิงฉู่ เจ้าใคร่ครวญให้ดี สตรีเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่อาจล่วงเกินได้ เจ้าอยากพูดอะไร เจ้าก็พูดเถอะ!”


 


 


เฉิงฉู่ชะงักไป


 


 


เขาคุ้มกันไม่ดี ปล่อยให้คุณชายซ่งเข้ามาก็ช่างเถอะ ยังปล่อยให้เยี่ยเม่ยหนีออกไป ทั้งยังกลับมาโดยที่เขาไม่รู้อีกด้วย บัญชีนี้นายท่านยังไม่ทันคิดกับเขาเลย


 


 


หากล่วงเกินผู้อาวุโสขึ้นมาอีก เกรงว่าจะย่ำแย่แล้ว! ดังนั้นเขาไม่กล้าส่งเสียงอะไร…


 


 


 “อะไร” ซ่งอวี้เชวียร่ำร้องอย่างไม่เชื่อ ไม่รู้ว่าซินเยว่เยี่ยนกำลังบอกใบ้ส่งสายตาให้เฉิงฉู่


 


 


 “หรือว่าข้าเข้าใจผิดไปเอง”


 


 


ดังนั้นเขากลายเป็นพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เข้ามาเป็นตัวแทนให้เยี่ยเม่ย


 


 


เขาหันกลับไปมองเฉิงฉู่ด้วยความโมโห…


 


 


…….


 


 


เจ้าหนุ่มน่าตายนี่ถึงกับหลอกเขา!


 


 


เฉิงฉู่มีทุกข์แต่ก็พูดไม่ออก…


 


 


เยี่ยเม่ยมีเวลาจำกัด ไม่มีอารมณ์ฟังพวกเขาพูดมากความ “ในเมื่อข้าเอาสิ่งของพวกนี้ออกมาได้ ทั้งยังทำตามกฎของประมุขกูเยว่ คิดว่าท่านประมุขคงไม่มีปัญหาอะไร ชีวิตของน้องชายข้ายังอยู่ในอันตราย เยี่ยเม่ยมีเวลาจำกัดไม่อาจรั้งอยู่นาน! ท่านประมุข ข้าขอตัวก่อน!”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็หยิบกล่องผ้าบนโต๊ะทั้งสามกล่องเตรียมตัวจากไป แล้วมองซินเยว่เยี่ยน “แม่นางซินเจ้าจะไปกับข้า หรือว่าอยู่ที่นี่”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรู้ดีว่าเพราะจิ่วหุน เยี่ยเม่ยจำเป็นต้องจากไป เพื่อหลอกล่อให้นางกลับมาที่นี่อีกครั้ง อีกทั้งนางยังไม่ได้ถอนหมั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจว่า “ข้าไปกับเจ้าด้วย!”


 


 


เมื่อพูดจบแล้ว สตรีทั้งสามก็เตรียมตัวจากไป


 


 


ในเวลานี้ เส้นเสียงเย็นเยียบของกูเยว่อู๋เหินดังขึ้นมา “หยุดก่อน!” 

 

 


ตอนที่ 223 น้ำใจของกูเยว่ มีราคาสูงมาก!

 

เยี่ยเม่ยแววตาเย็นชา


 


 


ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองกูเยว่อู๋เหิน เห็นหน้าอีกฝ่ายไร้อารมณ์ใดๆ เวลานี้นางคาดเดาความคิดของกูเยว่อู๋เหินไม่ออก  


 


 


เยี่ยเม่ยถามเสียงเย็นชา “ท่านประมุขกูเยว่รั้งคนไว้เพราะอะไร หรือท่านเปลี่ยนใจ”


 


 


คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง


 


 


จากกิริยาท่าทางและนิสัยที่เขาแสดงออกมาจนถึงตอนนี้ เขาหาใช่คนที่จะเปลี่ยนใจ


 


 


แต่เมื่อคิดว่าหลังจากตัวเองมาแล้ว ก็กลั่นแกล้งสหายของกูเยว่อู๋เหินรวมถึงปั่นหัวองครักษ์ของหมู่ตึกกูเยว่ทั้งหมด สุดท้ายยังนำยาสมุนไพรจากไปอย่างเอิกเกริก กูเยว่อู๋เหินจะโมโหก็ดูจะไม่แปลก


 


 


จากนั้น


 


 


ถัดมา กูเยว่อู๋เหินหันกลับไปมองเฉิงฉู่ด้านหลัง กำชับเสียงนิ่งว่า “เอาขลุ่ยหยกโลหิตที่แม่นางเคยเป่ามา!”


 


 


คนทั้งหมดฟังแล้วล้วนไม่เข้าใจ


 


 


แต่ว่าเฉิงฉู่ไม่ถามมากความ ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย


 


 


ไม่ช้า ขลุ่ยหยกโลหิตก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน


 


 


กูเยว่อู๋เหินหยิบขลุ่ยขึ้นมา เดินมาเบื้องหน้าเยี่ยเม่ยมอบให้กับนาง “ขลุ่ยหยกโลหิตเลานี้มีหนึ่งเดียวในใต้หล้า ถือว่าเป็นของขวัญให้กับแม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ารับไว้ก่อนค่อยจากไปเถอะ ”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนสายตาวาวโรจน์ รู้ว่าน้องชายตัวเองเริ่มสนใจแล้ว


 


 


เฉิงฉู่มองเจ้านายอย่างไม่เชื่อสายตา ตอนที่นายท่านให้คนเอาขลุ่ยโลหิตให้เยี่ยเม่ยเป่าร่วมกัน เขารู้สึกแปลกใจ มาถึงเวลานี้ยังมอบขลุ่ยออกไปอีก


 


 


นายท่านจริงจังหรือไม่


 


 


เยี่ยเม่ยกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับว่าตัวนางก่อเรื่องที่บ้านของผู้อื่น เอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมา ก่อนจะจากไป เจ้าบ้านยังมอบของขวัญให้นางอีกด้วย


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยไม่เคลื่อนไหว เขาสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงใสกระจ่าง “ทำไม ไม่อยากรับหรือไม่กล้ารับ”


 


 


มีอะไรที่เยี่ยเม่ยไม่กล้ารับบ้าง


 


 


นางยื่นมือออกมารับขลุ่ยหยกโลหิต “นี่เป็นวิธียั่วยุของท่านประมุขอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นข้าจะรับไว้ มีอะไรที่เยี่ยเม่ยไม่กล้ารับไว้ ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจท่านประมุขครั้งหนึ่ง!”


 


 


กูเยว่อู๋เหินสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาเรียบเฉยคู่นั้น มองใบหน้าเย็นชาเบื้องหน้าตน เอ่ยเสียงเรียบว่า “น้ำใจของกูเยว่ มีราคาสูงยิ่งนัก”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไป ไม่เข้าใจความหมายของเขาในทันที แต่เวลามีจำกัด ทั้งเกรงว่าจะถูกคนดักซุ่มโจมตีกลางทาง ดังนั้นนางจึงไม่ชักช้าอีกต่อไป ต้องเร่งเดินทาง “เช่นนี้คุณชายก็จดเอาไว้แล้วกัน เยี่ยเม่ยยังมีธุระสำคัญ ขอตัวก่อน!”


 


 


คราวนี้กูเยว่อู๋เหินไม่รั้ง เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ต้องได้พบกันอีกแน่!”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตัวนางก็เอาข้าวของมาตั้งมาก ซ้ำยังรับของขวัญมาอีก ต้องเอ่ยคำร่ำลากับเขาสักคำ จึงตอบกลับไปอย่างเกรงใจว่า “ไว้พบกันใหม่!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ นาง ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงเดินทางจากไป


 


 


ก่อนที่จงรั่วปิงจะออกจากห้อง ก็หันกลับไปมองซ่งอวี้เชวีย ส่ายหน้าถอนใจ “อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า! เฮ้อ…”


 


 


เอ่ยจบนางก็จากไป


 


 


ซ่งอวี้เชวียเดิมทีสีหน้ายังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ในเวลานี้ก็เขียวคล้ำ คำพูดของสตรีนางนี้หมายความว่าอะไร ดูถูกซ่งอวี้เชวียอัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างนั้นหรือ เห็นทีเขาหลงกลครั้งหนึ่งนี้ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นตัวโง่งมไปแล้วอย่างนั้นหรือ


 


 


เขาเป็นแค่อัจฉริยะอันดับหนึ่ง ถนัดท่องบทกลอนเท่านั้น ไม่ใช่การวางแผน ซ้ำยังไม่ใช่ปราชญ์อันดับหนึ่ง เขาแค่หลงกลครั้งเดียว ไฉนต้องดูแคลนกันด้วย


 


 


รอจนพวกนางทั้งสามจากไป


 


 


กูเยว่อู๋เหินกลอกตามองซ่งอวี้เชวีย ถามเสียงเรียบว่า “เหตุผลที่ดื่มชาคือ”


 


 


ถึงซ่งอวี้เชวียไม่ใช่ปราชญ์อันดับหนึ่ง แต่ไม่มีทางเป็นตัวโง่งมแน่ อัจฉริยะอันดับหนึ่งต้องรู้จักเดินหมาก! ถึงเขาจะถนัดบทโคลงกลอน แต่ก็ยังพอเดินหมากได้


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนเวลาสั้นๆ เพียงชั่วหนึ่งก้านธูปกลับดื่มยาสลบลงไปโดยไม่ป้องกัน


 


 


ท่าทางของซ่งอวี้เชวียในเวลาคล้ายกับม้าที่ไร้ขาหน้า กัดฟันเอ่ยว่า “เยี่ยเม่ยผู้นั้นฉลาดนัก หลังจากข้าเข้ามาก็ถามข้าว่ามาเพราะอะไรก่อน ข้าบอกว่ามาเพื่อพูดคุยกับนางเท่านั้น…”


 


 


…ภาพย้อนอดีต…


 


 


เมื่อซ่งอวี้เชวียว่ามาเพื่อสนทนาจบ เยี่ยเม่ยกลับยิ้มออกแล้วนั่งลง


 


 


ซ่งอวี้เชวียนั่งอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย นางหัวเราะเสียงใสเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายคิดสนทนาเรื่องใด”


 


 


 “ไม่ทราบว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคิดอย่างไรกับเรื่องแต่งงาน” ซ่งอวี้เชวียสีหน้ายิ้มแย้ม จ้องมองหญิงงามเบื้องหน้า ชื่นชมซินเยว่เยี่ยนอยู่ในใจว่า มีสายตาที่ดีนัก หาแม่นางรูปงามนางหนึ่งกลับมาได้


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งใคร่ครวญชั่วครู่ คิดถึงคำที่ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยถึง ซ่งอวี้เชวียก็มีแผนการ


 


 


สีหน้าของนางเรียบเฉย เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “เรื่องการแต่งงาน มีก็แต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่ทำ”


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ หางตาของซ่งอวี้เชวียก็วาวโรจน์


 


 


เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านไม่มีใครเห็นด้วยกับแนวคิดไม่แต่งงานของเขาเลยสักคนเดียว ต่อให้เป็นอู๋เหินก็ทำแค่รักษาความสงบเงียบในเวลาที่เขาพูดไม่หยุดว่าการแต่งงานคือความผิดพลาด


 


 


ไม่เคยมีใครชื่นชมมากก่อน!


 


 


แน่นอนว่าคนอื่นต่างไม่นั่งฟังเงียบๆ รีบนำคำสั่งสอนของบรรพชนออกมาตอบโต้เขา คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยกลับเห็นด้วยว่าการแต่งงานไม่ถูกต้อง!


 


 


 “เช่นนั้นไม่ทราบว่าไฉนแม่นางมีความคิดเห็นเช่นนี้” ซ่งอวี้เชวียสายตาพราวระยับ ไม่รู้ตัวเลยว่าตกสู่หลุมพรางของผู้อื่นแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยตอบเสียงนิ่ง “บนโลกนี้มีคนโดดเด่นมากมาย ยากรับรองว่าหลังจากแต่งงานแล้วจะไม่หลอกลวงต้มตุ๋น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไม่แต่ง กันไม่ติดบ่วงของคุณธรรม!”


 


 


อืม ตอนนั้น ซินเยว่เยี่ยนพูดถึงหลักการของซ่งอวี้เชวียเช่นนี้ใช่หรือเปล่านะ


 


 


 “ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ซ่งอี้เชวียยิ่งตื่นเต้น รีบเอ่ยความคิดของตนออกมาโดยพลัน “ไม่เพียงเช่นนั้น การสืบทอดสกุลคืออะไรกัน สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ หากคลอดลูกที่เชื่อฟังออกมาก็ยังดี หากไม่เชื่อฟัง เติบโตขึ้นมาก็มีแต่ทำให้โมโหเจียนตาย”


 


 


จากนั้นเขาก็เริ่มพรรณนาแนวความคิดของตนเอง


 


 


ทุกครั้งที่เยี่ยเม่ยฟังจุดน่าสนใจในคำพูดเขา ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง แสดงออกว่าชื่นชม “ไม่ผิดเลย ท่านพูดได้ถูกต้อง!”


 


 


คนที่ความคิดไม่เคยได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลก เขาต้องการการยอมรับจากคนนอก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาจะลืมตัว คิดว่าคนตรงหน้าคือสหาย


 


 


เป็นไปดังคาด เวลาผ่านไปสักครู่ เยี่ยเม่ยพยักหน้าติดต่อกัน ซ่งอวี้เชวียก็เห็นนางเป็นผู้รู้ใจแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยรินชาให้เขาจอกหนึ่ง “ท่านดื่มชาเสียก่อน ค่อยๆ พูด! ความคิดของท่านเหมือนกับข้าเลย ข้ารู้สึกว่าพวกเราพบกันครั้งแรกก็เหมือนเป็นสหายมายาวนาน วันนี้สนทนากันให้ถึงเช้าไปเลย!”


 


 


ซ่งอวี้เชวียได้ฟังคำว่าพบกันครั้งแรกก็เหมือนเป็นสหายมายาวนาน ทั้งยังไม่รังเกียจความคิดของเขา ถึงกระทั่งยอมสนทนาด้วยจนฟ้าสาง เวลานี้เขาไม่พูดอะไรอีก ดื่มชาลงไป “ถูกต้อง ผู้รู้ใจยากหาได้พบ…”


 


 


จากนั้น เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกแล้ว


 


 


ซ่งอวี้เชวียเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา สีหน้าเฉยเมยเสริมว่า “รอจนข้าฟื้นขึ้นมา ก็อยู่ใต้เตียงเยี่ยเม่ยแล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าก็เปลี่ยนกลับมา…” 

 

 


ตอนที่ 224 แม่นางเยี่ยเม่ย อยากรู้เรื...

 

 “ไม่!”


 


 


พูดถึงยามนี้ สีหน้าของซ่งอวี้เชวียยิ่งทวีความสิ้นหวัง


 


 


ส่ายหน้า แล้วเอ่ยว่า “หากเมื่อครู่นางไม่พูดออกมา ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองถูกเปลี่ยนเสื้อผ้า!”


 


 


เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ ซ่งอวี้เชวียคล้ายจะหลบหน้าร้องไห้


 


 


เขาเป็นบุรุษ ในยามสลบไสลไร้สติตกหลุมพรางคนก็ช่างเถอะ ยังจะถูกถอดเสื้อผ้าอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนี้มีสตรีสองนาง!


 


 


สวรรค์!


 


 


…..


 


 


คิดถึงตรงนี้ เขากัดฟันหันหน้ากลับมามองเฉิงฉู่ “เฉิงฉู่ล้วนเป็นเพราะเจ้าหลอกข้า! สตรีนางนั้นมาเพื่อขอยาเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องบอกว่านางเป็นคู่หมั้นที่ซินเยว่เยี่ยนพากลับมาให้ประมุขของเจ้าด้วย”


 


 


หากมิใช่เพราะเฉิงฉู่เอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมา จะเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


เฉิงฉู่สีหน้าอมทุกข์ “คุณชายซ่ง ข้ามิได้หลอกลวงท่านจริงๆ! ดูไปแล้วเรื่องคู่หมั้นแม่นางผู้นั้นก็ไม่รู้เรื่องด้วย ล้วนเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสของเราดำเนินการอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อครู่นางถึงตักเตือนข้า ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าไม่กล้าเอ่ยความจริงออกไป!”


 


 


ซ่งอวี้เชวียหาใช่คนโง่งม ไม่ช้าก็คิดถึงคำเตือนของซินเยว่เยี่ยนที่บอกให้เฉิงฉู่สงบปากเสีย


 


 


เขาส่ายหน้าไปมา ถอนหายใจ “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว! ดูท่าฟ้าลิขิตแล้วว่าวันนี้ข้าจะประสบโชคร้าย!”


 


 


ทว่าคิดไม่ถึงเลย


 


 


กูเยว่อู๋เหินในเวลานี้กวาดสายตามองซ่งอวี้เชวีย เอ่ยเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้เจ้าโง่เขลาเกินกว่าความคาดเดาของข้า เฉิงฉู่ส่งแขกเถอะ”


 


 


กูเยว่อู๋เหินเอ่ยจบก็จากไป


 


 


ซ่งอวี้เชวียที่หน้าอมทุกข์อยู่แล้ว ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นอึ้งทึ่ง นี่เขาถูกกูเยว่อู๋เหินรังเกียจที่สติปัญญาอ่อนด้อย …..


 


 


แต่เมื่อคิดๆ ดู ก็เป็นเพราะตัวเองจริงๆ แม่นางผู้นั้นถึงเอายาสมุนไพรไปได้สำเร็จ เขามีส่วนรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ไม่น้อย จึงไม่กล้าเอ่ยมากความ


 


 


ได้แต่ทำหน้าเศร้าเอ่ยว่า “อู๋เหิน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้ว! ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าก็แล้วกัน”


 


 


เมื่อเอ่ยจบเขาก็จากไปภายใต้การส่งแขกของเฉิงฉู่


 


 


……


 


 


หลังจากเฉิงฉู่ส่งซ่งอวี้เชวียไปแล้ว


 


 


กลับมาถึงห้องของกูเยว่อู๋เหิน ก็คุกเข่าลงเอ่ยว่า “นายท่าน เป็นความผิดของข้าน้อย ข้าน้อยเฝ้าเอาไว้ไม่ดี ขอให้นายท่านลงโทษด้วย!”


 


 


เมื่อคิดขึ้นมาเขาก็รู้สึกไม่ยินยอม ตัวเองนำคนตั้งมากมายเฝ้าอยู่หน้าประตู ผลสุดท้ายซ่งอวี้เชวียกับสตรีนางนั้นเข้าๆ ออกๆ ในอาณาเขตของเขา แต่ตนเองกลับไม่รู้อะไรเลยสักกะผีกริ้น ต่อให้นายท่านไม่คิดบัญชีกับเขา เฉิงฉู่ก็ยากจะให้อภัยตัวเอง


 


 


แววตาของกูเยว่อู๋เหินเรียบเฉย เอ่ยด้วยเสียงสงบว่า “ไปรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้”


 


 


 “ขอรับ!”


 


 


เฉิงฉู่รับคำในทันที หมู่ตึกกู่เยว่มีกฎของหมู่ตึกเคร่งครัด ท่านประมุขลงโทษตกรางวัลอย่างชัดเจน


 


 


ถัดมา


 


 


กูเยว่อู๋เหินสั่งการเสียงนิ่งว่า “หากรับโทษแล้วยังไม่ตาย จงไปนำข้อมูลทั้งหมดของสตรีผู้นั้นมาให้ข้าภายในสามวัน!”


 


 


 “เอ๋” เฉิงฉู่หันไปมองด้วยความตกใจ


 


 


กูเยว่อู๋เหินมองเขาด้วยสายตาเฉยชา “ทำไม มีปัญหาหรือ”


 


 


 “ไม่!” เฉิงฉู่รับคำสั่ง “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน!”


 


 


 “อืม”


 


 


 


 


……


 


 


ภายในหอฉางชู


 


 


เซี่ยโหวเฉินอยู่ด้านในเปิดบันทึกราชวงศ์ ยามที่สายตาปราดมองที่หน้าหนึ่ง สีหน้าเขาก็นิ่งขรึมลง ใคร่ครวญถึงความเชื่อมโยงที่อยู่ภายใน “จงเจิ้งซี…”


 


 


ในบันทึกมีการจดไว้ว่า ปีนั้นเป่ยเฉินอี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรวมถึงอดีตฮ่องเต้วางเดิมพันกันเอาไว้


 


 


ส่วนเดิมพันว่าอะไร ภายในบันทึกไม่ได้มีจดเอาไว้ ในบันทึกเพียงบอกว่าหลังจากทำลายราชวงศ์จงเจิ้งได้ การเดิมพันนี้ก็ถูกยกเลิก


 


 


การเดิมพันนี้มีเนื้อหาว่าอะไรกันแน่


 


 


เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เซี่ยโหวเฉินอ่านจบก็ไม่รั้งรอ จากไปอย่างว่องไว


 


 


หลังจากกลับเรือนของตน เรื่องแรกที่เขากระทำก็คือตามตัวองครักษ์ประจำกาย “เหวยซื่อ หาวิธีตามหาคนที่เคยทำงานอยู่ในวังของราชวงศ์จงเจิ้งมา ไม่ก็ขุนนางหรือประชาชนของราชวงศ์จงเจิ้ง ต้องหาภาพเหมือนของจงเจิ้งซีมาให้ได้!”


 


 


เหวยซื่อตะลึงงันไป เอ่ยปากกลับมาอย่างว่องไวว่า “ท่านอ๋องน้อย ยามที่ราชวงศ์จงเจิ้งถูกทำลาย ฝ่าบาทมีท่าทางแปลกจากปกติ ไม่รู้เพราะอะไรถึงมีรับสั่งให้สังหารคนในวังทั้งหมด ดังนั้นคนที่เคยทำงานอยู่วังของราชวงศ์จงเจิ้ง แทบไม่มีใครหนีไปได้เลย ล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น จงเจิ้งซีออกจากวังน้อยครั้ง คนอื่นไม่น่ารู้จักหน้าตาของนาง!”


 


 


เมื่อเขาตอบกลับมาเช่นนี้ เซี่ยโหวเฉินมองหน้าเขา เอ่ยเสียงแข็งว่า “ก็เพราะว่าไม่ง่าย ข้าถึงส่งตัวเจ้าไปหา ต้องมีปลาเล็ดลอดออกจากตาข่ายไปได้สักตัวสองตัวบ้าง ในเมื่อพวกเขาหนีออกมาได้ ก็ย่อมรู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้ไล่สังหาร ดังนั้นย่อมไม่เปิดเผยฐานะของตนออกมาโดยง่าย เจ้าจงไปหาหนทางมา จะบีบคั้นข่มขู่ก็ได้ ลงทัณฑ์ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีไหน สรุปแล้วข้าอยากได้คำตอบ! ”


 


 


 “ขอรับ!” เหวยซื่อรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นงานยาก แต่เมื่อเจ้านายต้องการ ก็ต้องรับเอาไว้


 


 


เซี่ยโหวเฉินหลับตาครุ่นคิดสักครู่ ก็เอ่ยช้าๆ ว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าทำให้ข้าคิดได้ ทำไมปีนั้นฝ่าบาทถึงมีรับสั่งให้สังหารคนในวังจงเจิ้งทั้งหมด ทำเช่นนี้ไม่เข้ากับวิธีการของพระองค์!”


 


 


 “ขอรับ เรื่องนี้ในปีนั้นข้าน้อยยังแปลกใจ อย่างไรพวกเราก็ทำลายราชวงศ์มาตั้งมากมาย มีแค่ครั้งเดียวที่ฝ่าบาทสั่งให้สังหารทั้งหมด เพราะข้าน้อยมีญาติผู้พี่ห่างๆ คนหนึ่ง ปีนั้นทำงานอยู่ในวังจงเจิ้ง ดังนั้นข้าน้อยจำได้อย่างแม่นยำ! ดีที่ข้ามิได้สนิทสนมกับเขามากนัก ในปีนั้นข้าจึงไม่เสียใจมากมาย” เหวยซื่อตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


 


เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า สายตาทวีความลุ่มลึก “ดูท่า ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าการเดิมพันในปีนั้นคืออะไรกันแน่!”


 


 


เพียงแต่ในเมื่อมีเพียงเป่ยเฉินอี้ อดีตฮ่องแต้และฮ่องเต้เท่านั้นที่เดิมพันกัน แล้วใครจะเป็นคนบอกเขาได้เล่า


 


 


เซี่ยโหวเฉินเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด “เจ้าไปจัดการก่อน!”


 


 


 “ขอรับ!”


 


 


เหวยซื่อสาวเท้ายาวจากไปจัดการธุระที่เขาเพิ่งสั่งการ


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยที่กำลังพาคนเดินทางกลับด้วยความรวดเร็ว


 


 


พบกับรถม้าคันหนึ่ง…


 


 


ยามเห็นรถม้าคันนี้ สีหน้าของจงรั่วปิงก็เปลี่ยนไป นางเป็นคุณหนูของต้าซือคง ย่อมเข้าใจว่าอักษร “อี้” สีดำบนรถม้าหมายถึงอะไร


 


 


ตามกฎของเป่ยเฉิน คนที่สามารถสลักตัวอักษรสีดำบนรถม้าได้ก็มีแต่ราชนิกุลเท่านั้น


 


 


ส่วนทั้งราชวงศ์ที่ใช้อักษรนี้ก็มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือ เป่ยเฉินอี้!


 


 


 “ดูท่าพวกเราจะยุ่งยากมากแล้ว” จงรั่วปิงเอ่ยปาก


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว ถึงนางดูตราสัญญาลักษณ์ของราชวงศ์ไม่ออก แต่เมื่อรถม้าเข้าใกล้มา นางรู้สึกได้ถึงความอันตรายและกลิ่นอายไม่เป็นมงคล


 


 


ยามนี้นางมีสีหน้าเคร่งขรึม เตรียมพร้อม แล้วก็เป็นดังคาด รถม้ามาถึงเบื้องหน้านางทั้งสามคน ก็หยุดลง ไม่ช้าคนขับรถก็กระโดดลงพื้น ชิงเกอในรถม้าเปิดม่านออก


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเป่ยเฉินอี้ปรากฏต่อหน้าเยี่ยเม่ย


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก “ท่านอ๋องช่างเหมือนวิญญาณที่ไม่แตกดับไปไหนเสียจริง!”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วไม่เดือดดาล กลับหัวเราะเบาๆ ถามด้วยเสียงนิ่งว่า “ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยอยากทราบอดีตของตัวเองหรือไม่” 

 

 


ตอนที่ 225 พาเยี่ยเม่ยไปค้นหาอดีต!

 

เรื่องในอดีตหรือ


 


 


เยี่ยเม่ยใจเต้นระส่ำ


 


 


นางอยากรู้อดีตของตัวอย่างแน่นอน อยากรู้ว่าก่อนที่ลูกพี่จะเก็บนางมา ชีวิตในอดีตของนางเป็นอย่างไร อยากรู้ช่วงชีวิตที่ไม่เหลืออยู่ในความทรงจำเป็นภาพว่างเปล่าเหล่านั้น


 


 


แต่ว่า…


 


 


เรื่องที่นางจำอดีตไม่ได้ แม้แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนางยังไม่เคยบอก เป่ยเฉินอี้รู้ได้อย่างไร


 


 


คนที่รู้ก็มีแต่ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่อาจารย์ของตนเพียงคนเดียว แต่นางเชื่อว่าอาจารย์คงไม่ว่างงานจนวิ่งไปขายนางให้กับเป่ยเฉินอี้แน่


 


 


ดังนั้น เพราะอะไรเป่ยเฉินอี้ถึงรู้เรื่อง หรือว่าเขาข่มขู่นางกันแน่


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้เยี่ยเม่ยใช้สายตาเย็นชามองเป่ยเฉินอี้ เสียงแข็งเอ่ยว่า “ขอโทษที่เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจว่าท่านอี้อ๋องกำลังพูดถึงอะไร เรื่องในอดีตอันใดกัน อีกอย่างอดีตของข้าข้ารู้ดี จำเป็นต้องให้อี้อ๋องวิ่งมาบอกข้าด้วยหรือ” 


 


 


เป็นไปดั่งคาด เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกไป สายตาของเป่ยเฉินอี้พลันวาวโรจน์ด้วยแววสงสัย


 


 


เยี่ยเม่ยมองเห็นแววแห่งความสิ้นหวังยุ่งเหยิงอยู่ภายในดวงตาอีกฝ่าย นางมองออกว่าความสิ้นหวังนี้หาใช่แค่สิ้นหวังในคำตอบของนางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกของเขาด้วย


 


 


สิ่งนี้ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจ ทั้งยิ่งอ่านใจของบุรุษผู้นี้ไม่ออก


 


 


หลังจากความผิดหวังเพียงเสี้ยวขณะของเป่ยเฉินอี้ผ่านไป เขาก็มองเยี่ยเม่ย เอ่ยด้วยเสียงสุขุมว่า “อย่างนั้น ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะสนใจตามข้าไปสถานที่สามแห่งหรือไม่ บางทีหลังจากไปแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยอาจมีคำตอบที่ต่างออกไป!”


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ สายตาจ้องมองอารมณ์เยี่ยเม่ยตลอดเวลา


 


 


เยี่ยเม่ยรู้ดี คนเบื้องหน้านี้คือศัตรูหาใช่มิตร ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร นางต้องไม่ให้เป่ยเฉินอี้รู้เรื่องที่นางลืมอดีตแน่ ไม่เช่นนั้นจะถูกเขาจับจุดอ่อนอื่นได้


 


 


แต่นางก็มีความประหลาดใจอยู่มาก เป่ยเฉินอี้จะพานางไปที่ไหนกัน ทั้งยังจะ…ทำให้นางคิดอะไรได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


แต่…


 


 


 “ขอบคุณคำเชิญของท่านอ๋อง ในเมื่อเยี่ยเม่ยไม่มีเรื่องในอดีตใดๆ ที่จำเป็นต้องรับรู้ เช่นนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องติดตามท่านอ๋องไปสามสถานที่ที่ท่านเอ่ยถึง ดังนั้นคงทำให้ท่านอ๋องผิดหวังแล้ว!” นางไม่ยินยอมให้บุรุษผู้นี้ พบจุดอ่อนของตนแม้แต่น้อยนิด


 


 


ทว่า…


 


 


นางก้มหน้าลงน้อยๆ ปิดบังความเจ้าเล่ห์ที่ฉายออกมาจากแววตา


 


 


นางมั่นใจว่า เป่ยเฉินอี้ต้องเตรียมตัวมาอย่างดี ต้องบีบให้นางติดตามเขาไปที่เหล่านั้นจนได้ ดังนั้นนางจงใจปฏิเสธ จุดประสงค์ก็คือไม่ให้เป่ยเฉินอี้มองออกว่าความจริงแล้วนางอยากรู้อดีตของตนมาก


 


 


ส่วนเป่ยเฉินอี้ต้องบีบบังคับนางไปแน่…


 


 


เช่นนี้ เป้าหมายในการปิดบังเรื่องความจำเสื่อมของนางก็บรรลุผล และตามหาอดีตของตัวเองก็ทำได้เช่นเดิม


 


 


เป็นจริงดังคาด


 


 


เป่ยเฉินอี้ไม่ชอบใจการปฏิเสธของเยี่ยเม่ย สายตาเย็นเยียบของเขามองไปยังกล่องผ้าต่วนบรรจุยาสมุนไพรในมือของนาง เอ่ยเสียงแข็งว่า “อย่างนั้นแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ลองใคร่ครวญดูสักหน่อยว่า หากเป่ยเฉินอี้ลงมือรั้งแม่นางเยี่ยเม่ยเอาไว้ เจ้าจะรับรองได้อยู่หรือไม่ว่าเจ้าจะนำยากลับไปช่วยชีวิตจิ่วหุนที่ชายแดนได้ทันเวลา!”


 


 


 “ท่าน…” เยี่ยเม่ยจวนเจียนจะเดือดขึ้นมาแล้ว หน้าคล้ำมองเป่ยเฉินอี้


 


 


เป่ยเฉินอี้ข่มขู่ขนาดนี้ ความจริงไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง ทั้งยังตรงกับความคิดของนางมาก ทำเช่นนี้นางก็สามารถแสดงบท ‘คนที่ไม่เคยสูญเสียความทรงจำ แต่เพราะถูกเป่ยเฉินอี้ข่มขู่ด้วยชีวิตจิ่วหุน ถึงต้องเล่นไปตามบทที่เขาต้องการ ’


 


 


เป่ยเฉินอี้รู้อยู่แก่ใจ ไม่ว่าเยี่ยเม่ยจำเรื่องในอดีตได้จริงหรือไม่ เวลานี้เขาจะต้องบรรลุเป้าหมายของตัวเองให้ได้ ดังนั้นภายใต้การแสดงออกของเยี่ยเม่ยจะจริงหรือเท็จ เขาล้วนไม่ใส่ใจ


 


 


สิ่งที่เขาต้องการ ก็คือบรรลุจุดประสงค์ของตัวเองเท่านั้น


 


 


สายตาลุ่มลึกของเขา กวาดมองจงรั่วปิงและซินเยว่เยี่ยนแล้วมองไปยังเยี่ยเม่ย “ขอเพียงแม่นางเยี่ยเม่ยเดินทางไปยังสถานที่ทั้งสามแห่งนั้น ข้าจะปล่อยแม่นางทั้งสองนำยากลับไปยังชายแดน!”


 


 


ยามนี้ซินเยว่เยี่ยนมุ่นคิ้วอย่างไม่วางใจ มองเยี่ยเม่ย “ไม่ได้! หากทิ้งเจ้าไว้คนเดียว เกรงว่าเขาจะทำเรื่องไม่ดีกับเจ้า!”


 


 


สิ้นเสียงของนาง


 


 


น้ำเสียงทุ้มน่าฟังของเป่ยเฉินอี้ดังขึ้นอีกครั้ง “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ ข้าแค่อยากพาเจ้าไปสามที่เท่านั้น เป่ยเฉินอี้รับรองว่าไม่มีทางทำอันตรายให้กับเจ้า อย่างน้อยครั้งนี้จะให้แม่นางเยี่ยเม่ยกลับชายแดนอย่างปลอดภัยอย่างแน่นอน!”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ ทำเป็นถามด้วยความกังวล “ข้าจะเชื่อคำรับรองของท่านได้อย่างไร”


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับไม่รีบร้อนให้คำสาบานร้ายแรง กลับใช้สายตาเจือรอยยิ้มมองเยี่ยเม่ย “ไม่ว่าเชื่อหรือไม่ แม่นางเยี่ยเม่ยคงไม่กล้าเอาชีวิตของจิ่วหุนมาเดิมพันกับข้าใช่หรือไม่”


 


 


เขาพูดออกมา เยี่ยเม่ยพลันหัวเราะเสียงเย็น ท่าทางไม่ยินดีหันหลังไปมองจงรั่วปิงและซินเยว่เยี่ยน “พวกเจ้าสองคนช่วยนำยากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปกับเขา ดูว่ามีลูกไม้อะไรบ้าง!”


 


 


 “เยี่ยเม่ย!” จงรั่วปิงไม่เห็นด้วยเช่นกัน


 


 


อย่างไรก็ตามเป่ยเฉินอี้เป็นคนเช่นไร นางรู้ดีอย่างยิ่ง บิดาของนางเคยบอกว่า ทั่วทั้งราชสำนักเป่ยเฉินคนที่ไม่ควรไปหาเรื่องมากที่สุด นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วก็คือเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยตามเขาไปต้องมีอันตรายแน่


 


 


เยี่ยเม่ยมองปลอบนาง “วางใจเถอะ ในเมื่อเป่ยเฉินอี้เอ่ยเช่นนี้ คงไม่ทำอะไรข้าแน่ อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจู่ๆ เขาจะลงมือสังหารข้า จากนั้นกลับไปทำเรื่องโง่งมอย่างต่อยตีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจนตายไปข้างหนึ่ง อีกอย่างอาศัยความสามารถของข้า เขาจะฆ่าข้าได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่!”


 


 


คำพูดนี้นางจงใจเตือนเป่ยเฉินอี้ ให้เขาอย่าทำเรื่องโง่งม


 


 


กลับคิดไม่ถึงว่า เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วไม่ใส่ใจเลยสักน้อย ถึงกับเอ่ยเห็นด้วย “แม่นางเยี่ยเม่ยพูดไม่ผิด ไม่ขอปิดบัง ข้าถูกพิษ ครั้งก่อนตอนประมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยมองสภาพร่างกายของข้าออก สำหรับข้าแล้ว คิดรั้งแม่นางเอาไว้ง่ายมาก แต่คิดสังหารแม่นางกลับไม่ง่ายเลยจริงๆ!”  


 


 


คำพูดเขาก็เท่ากับทำลายความกังวลของเยี่ยเม่ย ทำให้เยี่ยเม่ยเชื่อมั่นว่าเขาไม่มีแผนทำร้ายนางแน่ แค่ต้องการให้เยี่ยเม่ยค้นหาอดีตเท่านั้น


 


 


นี่ทำให้เยี่ยเม่ยเกิดความสงสัยขึ้นมาในสมอง


 


 


หรือว่าเป่ยเฉินอี้รู้เรื่องในอดีตของนางจริงๆ


 


 


คราวนี้ซินเยว่เยี่ยนเสนอว่า “ไม่อย่างนั้นข้าอยู่นี่เพื่อคุ้มกันเจ้า ให้ปิงปิงเอายาไป”


 


 


 “ไม่ได้!” เยี่ยเม่ยปฏิเสธ “ตอนนี้ทุกอย่างต้องเห็นความปลอดภัยของจิ่วหุนมาเป็นอันดับแรก หากศัตรูของเขารู้ว่าพวกเราได้สมุนไพรมา ลอบจู่โจมระหว่างทาง พวกเจ้าสองคนรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากจงรั่วปิงเดินทางลำพังถูกซุ่มโจมตีขึ้นมาไม่มีคนช่วยรั้งท้าย ไม่อาจส่งยาได้ อย่างนั้นจิ่วหุนก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว! เจ้าไปกับจงรั่วปิงเถอะ เอายากลับไปส่ง ถึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง! วางใจได้ ข้าไม่เกิดเรื่องหรอก!”


 


 


 “คือ…” ถึงซินเยว่เยี่ยนไม่วางใจ แต่เห็นสีหน้าหนักแน่นของเยี่ยเม่ยก็ไม่พูดอะไร “อย่างนั้นก็ดี เจ้าก็ต้องระวังไว้!”


 


 


 “อืม! พวกเจ้าไปเถอะ!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงก็จากไป เยี่ยเม่ยมองส่งพวกนางจากไปไกล ค่อยเดินมาถึงหน้ารถม้าของเป่ยเฉินอี้ “เยี่ยเม่ยขอดูหน่อยว่า ท่านอี้อ๋องมีลูกไม้อะไรกันแน่!” 

 

 


ตอนที่ 226 ข้าเป็นคนค่อนข้างถ่อมตน!

 

น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยไม่ดีนัก บ่งบอกความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็ไม่ใส่ใจ มองเยี่ยเม่ยขึ้นมาบนรถม้า


 


 


คนทั้งสองนั่งกันคนละฝั่ง ในเวลานี้ชิงเกอตัดสินใจออกไปนั่งร่วมกับคนขับรถ


 


 


เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของชิงเกอ สายตาจับจ้องเป่ยเฉินอี้อยู่ตลอด เอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชาว่า “ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ว่าตัวเองมีเสน่ห์มากแค่ไหน ถึงทำให้อี้อ๋องคิดคะนึงไม่ลืมเลือน ชายแดนห่างจากที่นี่ตั้งมาก ท่านถึงกับหอบสังขารที่ถูกพิษรอนแรมมาเป็นพันลี้!”


 


 


คำพูดเสียดสีเอ่ยออกไปอย่างชัดเจน


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับไม่เย้ยหยันว่านางมีความมั่นใจจนเกินเหตุ น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังเพียงเอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยแปลกใจ ไม่สู้คาดเดาจุดประสงค์ของข้าดู!”


 


 


 “ฮี่ๆ…” เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น สายตาเย็นชาประเมินเป่ยเฉินอี้ “ในเมื่ออี้อ๋องสามารถรั้งข้าไว้ที่นี่ได้ ไม่ใช่เพราะท่านมีความมั่นใจว่าผู้อื่นไม่มีความสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของท่านได้หรอกหรือ”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา เป่ยเฉินอี้เปลี่ยนไปนิ่งสงบลง


 


 


ภายในรถม้าเข้าสู่ความสงบเงียบ สายตาไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ยจับจ้องอยู่ที่เป่ยเฉินอี้ สายตาครุ่นคิดของเป่ยเฉินอี้มองมาที่เยี่ยเม่ย…


 


 


เขาพยายามตั้งใจสังเกตอารมณ์ของเยี่ยเม่ย ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ น้ำเสียงในการพูดของนาง ล้วนเป็นความเย็นชา ทั้งยังแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง สิ่งเหล่านี้แตกต่างกับคนในใจเขาโดยสิ้นเชิง


 


 


หรืออาจบอกว่า ไม่มีจุดใดที่คล้ายเคียงกันเลย


 


 


ในเวลานี้ สายตาของเขาพลันเย็นวาบ ใบหน้างดงามคล้ายสลักจากก้อนน้ำแข็งแผ่ไอเย็นเยียบยากปิดบังออกมากระแสหนึ่ง จ้องมองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเข้มว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่อยากคาดเดาจุดประสงค์ของข้าจริงๆ หรือแกล้งเดาไม่ถูก”


 


 


หากนางคืออาซี บางทีในเวลานี้นางสมควรตื่นเต้นบ้างว่าจะพานางไปที่ไหน เป็นกังวลว่าตัวนางจะแกล้งทำต่อไปได้หรือไม่ จนถึงขั้นเผยพิรุธออกมา


 


 


จากนั้น…


 


 


นับตั้งแต่เขาเสนอจะพาตัวนางไป นางก็สงบนิ่งมาตลอด ถึงกระทั่งรู้สึกว่าเขามีการกระทำแปลกพิกล นี่ทำให้เขารู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง หากไม่ใช่นางจริงๆ อย่างนั้นอาซี…


 


 


ก็คงจะตายไปแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยถอนหายใจอีกครั้ง ราวกับว่ามองเขาด้วยความยากลำบาก เอ่ยปากเสียงนิ่ง “อี้อ๋อง ท่านมีอะไรจะเอ่ยก็บอกมาเถิด ไม่ต้องเล่นทายปริศนาตลอดเวลา ข้าฟังไม่เข้าใจ ข้ารู้ว่าปราชญ์อย่างพวกท่านชอบพิรี้พิไร แต่คนอย่างข้าค่อนข้างชอบการสื่อสารแบบง่ายๆ ไม่อยากเหนื่อยเพียงเพราะพูดคุยกับท่านเพียงไม่กี่คำ”


 


 


ตามความจริงแล้ว นิสัยเดิมของเยี่ยเม่ยค่อนข้างเย็นชา หาได้ชอบพูดคุยกับคนอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ชอบเล่นทายคำปริศนาพูดจาไม่ชัดเจน


 


 


นางรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า เป่ยเฉินอี้น่าจะเห็นนางเป็นใครสักคนหนึ่ง ทว่าก็ยังไม่อาจตัดข้อสงสัยว่านางคือคนในดวงใจของเขาผู้นั้น อย่างไรเสียนางก็สูญเสียความทรงจำจริงๆ แต่ว่า จากจุดยืนของพวกนาง นางไม่อาจเอาความคิดในใจและสถานการณ์ในเวลานี้เอ่ยออกไปตามตรง


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยจบ


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มออกมา หากบอกว่ามีส่วนไหนของอาซีที่เหมือนกับเยี่ยเม่ยบ้าง ก็น่าจะมีแค่เรื่องนี้ ในปีนั้นอาซีใสซื่อราวกับกระดาษขาวสะอาด มักฟังความนัยที่เขาลอบบอกไม่ออก นางจึงบอกเขาว่า การพิจารณาคำพูดของเขาเหนื่อยเกินไป บอกให้เขาเอ่ยวาจาตรงไปตรงมา


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ย…เขาคิดว่าส่วนใหญ่นางล้วนฟังคำพูดของเขาเข้าใจ แต่นางก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ยินยอมตอบรับวิธีการพูดคุยของเขา มีความเกียจคร้านเช่นเดียวกันอาซี


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหาจุดที่เหมือนกันจากพวกนางได้หรือไม่ เป่ยเฉินอี้ถึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง บรรยากาศกดดันในตอนแรกบนรถม้า ก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา


 


 


แต่เยี่ยเม่ยยังคงไม่คลายความระวัง สองมือกอดอก หลับตาพิงผนังรถม้าด้านหลัง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าพักผ่อนสักประเดี๋ยว เมื่อถึงที่หมายแล้วท่านเรียกข้าก็พอ! หวังว่าสิ่งที่อี้อ๋องจงใจทำอย่างลับๆ ล่อๆ อย่างน้อยสุดท้ายก็จะทำให้ท่านพอใจได้!”


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้สึกเฝ้ารอเลยสักนิดหรือ” เป่ยเฉินอี้ถามออกไปประโยคหนึ่ง


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ลืมตาขึ้น เพียงแค่ตอบกลับไปเสียงนิ่งว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องในอดีตที่ข้าแสนจะคุ้นเคย อี้อ๋องจะต้องพาข้าไปค้นหาอะไรอีก หวังว่าภายหน้าอี้อ๋องจะทำเรื่องรั้งคนไว้กลางทางให้น้อยลง อย่ามัวแต่สร้างปัญหาให้ผู้อื่น!”


 


 


ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยออกไป


 


 


ปฏิกิริยาของเป่ยเฉินอี้ก็คือจ้องมองนาง แล้วถามขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องราวในอดีตที่แม่นางเยี่ยเม่ยแสนจะคุ้นเคยนั้นเป็นอย่างไร ข้าเคยสืบประวัติของแม่นาง พบแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย”


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา ถามว่า “นับตั้งแต่ตอนที่ข้ายินยอมปกป้องจิ่วหุน ท่านก็สมควรดูออกแล้วว่าข้าเป็นพวกเดียวกับจิ่วหุน ข้าเองก็เป็นนักฆ่า เพียงแต่ข้าค่อนข้างถ่อมตน ดังนั้นไม่มีชื่อเสียงเช่นเขา”


 


 


นักฆ่าผู้หนึ่ง ไม่อาจสืบหาฐานะชัดเจนได้ นักฆ่าส่วนมากเป็นเด็กกำพร้า บ้างก็เป็นเด็กกำพร้าจริงๆ บ้างก็เป็นองค์กรนักฆ่าต้องการให้พวกเขาภักดี จึงจงใจสังหารญาติของพวกเขาทิ้ง


 


 


นักฆ่าในยุคสมัยนี้มีจำนวนไม่น้อย หากคิดจะสืบเบื้องหลังของนักฆ่าคนหนึ่ง เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมีคนพยายามตามหาเบื้องหลังของจิ่วหุน แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ


 


 


ดังนั้นบอกว่านางเป็นนักฆ่า เขาก็ไม่ต้องไปสืบอะไรอีกแล้ว ทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้จู่ๆ ก็โผล่ออกจากพื้นดิน เป็นความจริงที่พอจะตอบออกไปได้


 


 


เพียงแต่หากนางยอมรับว่าเป็นนักฆ่า นั่นก็หมายความว่านางยอมรับว่าตัวไม่เกี่ยวข้องกับจงเจิ้งซีเลย


 


 


คิดถึงจุดนี้


 


 


เป่ยเฉินอี้สายตาเย็นวาบ ลงมือกับเยี่ยเม่ยในทันที ฝ่ามือฟาดใส่เยี่ยเม่ย หญิงสาวเบี่ยงกายเล็กน้อยหลบฝ่ามือนั้นได้


 


 


หลังจากหลบแล้ว นางก็ไม่ขยับอีก


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องลงไปในสายตาของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูดังขึ้นว่า “ไฉนแม่นางถึงไม่ตอบโต้”


 


 


 “เพราะท่านไม่มีจิตสังหารเลย!” เยี่ยเม่ยหาวหวอด หลับตาลงอีกครั้งราวกับว่าง่วงแล้ว “เห็นได้ชัดว่าท่านคิดจะทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของข้าเท่านั้น อยากรู้ว่าข้าเป็นนักฆ่าจริงๆ หรือไม่ คาดว่าท่านคงได้คำตอบแล้วนะ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนข้าต้องเสียเวลาประมือกับท่านด้วย”


 


 


อย่างไรก็ตามจุดประสงค์อันดับหนึ่งของนางในยามนี้ก็คือ ทำให้เป่ยเฉินอี้เชื่อว่านางเป็นเพียงแค่นักฆ่าคนหนึ่ง หาได้มีฐานะอื่น หากประมือกับเขาขึ้นมาจริงๆ พานจะทำให้บรรยากาศดีๆ หายไป เป่ยเฉินอี้จะตัดสินนางอย่างไร ก็ไม่แน่นอนแล้ว


 


 


 “เอาล่ะ ข้าพักผ่อนก่อน!”


 


 


เยี่ยเม่ยรีบจบบทสนทนา แสดงออกว่าไม่คิดจะเอ่ยต่อ


 


 


เป่ยเฉินอี้ก็เงียบสงบลง จ้องมองใบหน้าตรงข้ามเขา ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด ปฏิกิริยาตอบสนองของนาง กอปรกับที่เขาอยู่ในห้องวันนั้น พวกเขาเคยประมือกันชั่วครู่ แทบจะบอกได้เลยว่า…


 


 


นางคือนักฆ่าจริงๆ คนมีวรยุทธ์ทั่วไปยากจะมีการตอบสนองเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในร่างของนางมีกลิ่นอายกำลังภายในเพียงน้อยนิดเท่านั้น 

 

 


ตอนที่ 227 ทัพเสริมของเป่ยเฉินเสียเยี...

 

ดังนั้นเยี่ยเม่ยมีฐานะเดียวอย่างนั้นจริงๆ หรือ


 


 


ในที่สุดเป่ยเฉินอี้ก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อนเช่นกัน ความจริงแล้วเทียบกับเยี่ยเม่ยที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องมาหลายวัน เขาก็ไม่ได้ดีกว่านางเท่าไหร่นัก ใบหน้าเช่นนั้นของหญิงสาว ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นระยะ ปรากฏตัวอยู่ในสมองของเขา เขายังจะรู้สึกดีได้อีกหรือ


 


 


……


 


 


ขณะที่ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงเดินทางนำสมุนไพรกลับ ถูกลอบโจมตีระหว่างทางอย่างที่เยี่ยเม่ยคาดการณ์ไว้


 


 


คนเหล่านี้ล้วนมีท่าทีดุร้าย หาใช่คนกลุ่มเดียวกับที่รั้งพวกนางไว้ในคืนนั้น ดูท่าแล้วคงไม่ใช่คนของเป่ยเฉินอี้


 


 


เวลานี้ซินเยว่เยี่ยนอดขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้าเด็กจิ่วหุนนี่ล่วงเกินคนไปมากน้อยแค่ไหนกันแน่ คนพวกนี้ถึงคิดกำจัดเขาทิ้ง


 


 


เมื่อเห็นว่าคนที่ล้อมเข้ามามีมากขึ้นทุกที ซินเยว่เยี่ยนก็ตัดสินใจทันที มองจงรั่วปิง “เจ้าเอายากลับไป ข้าจะรั้งท้ายให้เอง!”


 


 


ครั้นเอ่ยประโยคนี้ นางก็ถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจ


 


 


นางเองก็ไม่เข้าใจว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ทำไมสามวันห้าวันถึงต้องคอยรั้งท้ายอยู่เสมอ นางกังวลเหลือเกินว่าหากวันใดวันหนึ่งนางระวังหลังไม่สำเร็จ สุดท้ายถูกผู้อื่นตัดหนทางหนีรอด


 


 


จงรั่วปิงเห็นสถานการณ์ก็ไม่บ่ายเบี่ยง


 


 


กอดยาสมุนไพรไว้แน่น กระโดดฝ่าวงล้อมออกไปด้านหนึ่ง ก่อนจากไปยังกำชับว่า “เจ้าระวังให้ดี!”


 


 


 “อืม!”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรับคำ ไม่ทันหันกลับไปมองอีกฝ่าย ผ้าต่วนในมือก็พลิ้วสะบัดออกคลี่คลายสถานการณ์ลำบากตรงหน้า


 


 


เห็นคนวิ่งติดตามแผ่นหลังของจงรั่วปิงไป นางทุ่มเทแรงกายสกัดอยู่ด้านหลัง ตวัดผ้าในมืออีกครั้ง ฟาดใส่คนที่เข้าไปขัดขวางจงรั่วปิง


 


 


มีหลายคนที่ออกจากวงล้อม ติดตามจงรั่วปิงไปอย่างหนักแน่น หญิงสาวหาได้เกรงใจไม่ กระบี่เล่มยาวในมือฟันลงมา หัวคนก็ขาดสะบั้นไปหลายหัว


 


 


นางเอากล่องยาหนีออกไปได้สำเร็จ


 


 


เดิมทีเป้าหมายของคนที่ดักซุ่มเหล่านี้ก็หาใช่พวกนางสองคนไม่ พวกเขามาเพื่อขัดขวางการช่วยชีวิตจิ่วหุน ผู้เป็นหัวหน้ารีบเอ่ยปากว่า “ไม่ต้องรบเร้าพัวพันกับนางคนนี้ พวกเราตาม!”


 


 


 “จะรบเร้าพัวพันกับข้าหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่พวกเจ้า!”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตอบกลับไปเช่นนี้ ก็รีบทะยานออกไปขวางทางคนเหล่านั้นไว้ “ถึงแม้ว่าเอ่ยประโยคนี้ออกไปยามนี้ จะเชยไปเสียหน่อย แต่ข้ายังคงต้องพูด หากพวกเจ้าจะไล่ตามนางไป ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ซินเยว่เยี่ยนเองยังรู้สึกเหน็บหนาว


 


 


อ๊าก ช่างเป็นคำพูดที่ชวนอาเจียนเหลือเกิน


 


 


คำพูดของนางยั่วโทสะของคนชุดดำกลุ่มนั้น สายตามองจงรั่วปิงที่หนีไกลออกไป โทสะในใจยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ซินเยว่เยี่ยนยืนขวางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา เวลานี้พวกเขาต่างจนใจไร้หนทาง


 


 


หัวหน้าคนชุดดำเกิดโทสะแล้ว “กำจัดผู้หญิงคนนี้ก่อน!”


 


 


สิ้นคำพูด คนทั้งหมดพุ่งเข้าสังหารซินเยว่เยี่ยนด้วยความดุดัน เดิมเพียงต้องการแย่งชิงยาสมุนไพร ในเวลานี้กลายเป็นสังหารคน ซินเยว่เยี่ยนดูเหมือนเหลาะแหละ แต่ก็ไม่กล้าชะล่าใจเลยสักน้อย รีบออกกระบวนท่าตั้งรับพวกเขาด้วยแรงทั้งหมด


 


 


ฝ่ายหัวหน้าคนชุดดำเห็นซินเยว่เยี่ยนกระทำเช่นนี้ กลับหัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “ต่อให้เจ้าช่วยปกป้องนางหนีไปได้ชั่วคราวแล้วจะทำไม คนที่ซุ่มอยู่ระหว่างทางไม่ใช่มีแค่กลุ่มเดียว พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าจิ่วหุนล่วงเกินคนไปมากน้อยเพียงไหน เช่นเดียวกับที่ข้าไม่เข้าใจพวกเจ้าว่าทำไมถึงปกป้องปีศาจฆ่าคน การลงมือครั้งนี้ สุดท้ายแล้วพวกเราต้องเป็นฝ่ายชนะ!”


 


 


 “หึ จงรั่วปิงเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง พวกเจ้าคิดรั้งนางก็หาใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น สุดท้ายอาจถูกนางสังหารจนตายหมดก็ได้! ส่วนที่ว่าเพราะอะไรพวกข้าถึงปกป้องจิ่วหุน ปัญหานี้พวกเจ้าอาจต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตครุ่นคิดเอาเองก็แล้วกัน!” ซินเยว่เยี่ยนตอบกลับไปอย่างไร้ความรู้สึก


 


 


ความจริงในใจนางรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว


 


 


หากจงรั่วปิงเจอคนซุ่มโจมตีอีกกลุ่มหนึ่ง จะนำยากลับไปส่งได้ทันหรือไม่ก็ยากจะบอกได้แล้ว


 


 


 “หึ เจ้าก็แค่ปากแข็งเท่านั้น!”


 


 


หัวหน้าคนชุดดำหัวเราะเสียงเย็น ม้วนตัวเข้าสู่วังวนการจู่โจมซินเยว่เยี่ยน


 


 


……


 


 


จงรั่วปิงนำยาหนีออกไปหลายลี้


 


 


พลันรู้สึกถึงจิตสังหาร…


 


 


ชั่วขณะนั้นนางใจเต้นระส่ำ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง แล้วก็เป็นไปดั่งคาด…ถัดมาคนชุดดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากที่ซ่อน มีดกระบี่ในมือร่ายรำเข้าใส่จงรั่วปิง  


 


 


หัวหน้ากลุ่มเอ่ยปากว่า “แม่นางผู้นี้ หากคิดมีชีวิตรอดแนะนำให้เจ้าทิ้งยาไว้ที่นี่ เอาของทิ้งไว้เจ้าก็จากไปได้!”


 


 


 “สหายตัวน้อยของพวกเจ้ากลุ่มก่อนหน้านี้ก็พูดเช่นนี้! พูดจาเหมือนกันราวกับแกะ หรือพวกเจ้าเป็นฝาแฝด” จงรั่วปิงเลิกคิ้วสูง มองอีกฝ่ายโดยไม่ตอบปฏิเสธ


 


 


ท่าทางไม่ใส่ใจของนางยั่วโทสะของหัวหน้าคนชุดดำ เขาเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อสุราเชื้อเชิญแม่นางไม่ดื่ม จะดื่มสุราจับกรอก เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!”


 


 


ครั้นเอ่ยจบ เขากวาดสายตามองกลุ่มคนชุดดำด้านหลัง ไม่ช้าก็พุ่งเข้าไปล้อมจงรั่วปิงไว้


 


 


สีหน้าจงรั่วปิงยังเป็นปกติ ไม่หวั่นเกรงต่อคนพวกนี้เลยสักน้อย แต่ปัญหาในตอนนี้คือ หากนางยังรบเร้าพัวพันกับพวกเขาต่อไป พลอยจะทำให้เสียเวลาไปหมด


 


 


เพียงแต่…


 


 


ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นางแล้ว


 


 


คนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาจู่โจมในทันที จงรั่วปิงหวังว่าจะรีบสู้รีบจบได้ไว รีบนำของออกไปจากที่นี่แต่เนิ่นๆ จากนั้นคล้ายกับว่าคนเหล่านี้คาดเดาความคิดของนางได้ ก็เข้ามาพัวพันอย่างระวังยิ่งขึ้น


 


 


ไม่ปล่อยโอกาสให้นางฉวยโอกาสยามวุ่นวายหนีจากไป


 


 


กลยุทธ์การศึกของนางคือหวังว่าจะหาทางออก รีบหนีออกไปได้ ฝ่ายยุทธวิธีของคนชุดดำเหล่านั้นคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้ ขอเพียงรั้งนางไว้ได้อีกสักวันหนึ่ง ต่อให้นางสามารถนำยากลับไปได้ คิดจะช่วยจิ่วหุนก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว


 


 


การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เวลาผ่านไปแต่ละวินาที ทำให้จิตใจจงรั่วปิงร้อนรนขึ้นมา


 


 


ในขณะนั้นเอง


 


 


คนอีกกลุ่มหนึ่งมุ่งเข้ามา พวกเขาก็สวมชุดดำเช่นเดียวกัน จงรั่วปิงเห็นภาพสีดำเบื้องหน้า ไม่นะ ยังมีคนมาอีกหรือ


 


 


คิดไม่ถึงว่า หลังจากคนกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามา ไม่ช้าก็จำจงรั่วปิงได้


 


 


หัวหน้าคนชุดดำเอ่ยปากว่า “เจ้าคือแม่นางจงหรือ”


 


 


จงรั่วปิงทางหนึ่งก็ต่อสู้ อีกทางหนึ่งก็หันกลับไปตอบ “ถูกแล้ว!” ไม่สนแล้ว อย่างไรก็หนีเภทภัยไม่รอด แต่หากเป็นโชคดีเล่า


 


 


หลังจากคนกกลุ่มนั้นเข้ามาก็เข้าโจมตีคนที่กลุ่มรุมนางอยู่พอดี จงรั่วปิงมองด้วยหางตา ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว


 


 


 “ข้าคือเสี่ยวกวน เป็นคนขององค์ชายสี่ มาตามหาแม่นางเยี่ยเม่ย พวกเจ้ารีบปกป้องแม่นางจง!” เสี่ยวกวนสั่งการทันที


 


 


 “ขอรับ!” องครักษ์เงาด้านหลังเขารีบลงมือทันที…


 


 


……


 


 


ในเวลานี้เอง


 


 


รถม้าของเป่ยเฉินอี้หยุดลง เยี่ยเม่ยเปิดตาออก ถามขึ้นว่า “ถึงแล้วหรือ”


 


 


 “อืม ถึงแล้ว” เป่ยเฉินอี้ตอบรับ


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกผ้าม่านออก “นี่คือที่ไหน”


 


 


 “ที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม