รักเล่ห์เร้นใจ 221-227

ตอนที่ 221 แก้ข่าว

 

ผู้กำกับสั่งให้ผู้ช่วยคนหนึ่งไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนอินเสี่ยวเสี่ยว อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งออกจากกองถ่าย อี้อวิ๋นฉังก็ส่งคลิปที่เธอเพิ่งถ่ายไว้ลงเน็ต


 


 


อี้อวิ๋นฉังจงใจตั้งชื่อหัวข้อให้เกิดข้อพิพาทโต้เถียงได้ง่ายอย่าง ‘ตัวแสดงแทนหลินหว่านตกจากลวดสลิงค์ ปฏิเสธไม่ยอมแสดงแทนอีก’


 


 


ในคลิปนี้อี้อวิ๋นฉังไม่ได้ถ่ายให้เห็นตอนที่อินเสี่ยวเสี่ยวร่วงลงมา ดังนั้นในคลิป จึงมีแค่ภาพอินเสี่ยวเสี่ยวหลังจากตกลงมาแล้ว เกิดข้อโต้แย้งกับผู้กำกับเพราะเกิดความกลัวขึ้นจึงไม่อยากถ่ายทำต่อ


 


 


ภาพคลิปเพิ่งโพสต์ลงเน็ตก็ดึงความสนใจจากชาวเน็ตให้มาเข้าชมได้เป็นจำนวนมาก


 


 


พอได้เห็นภาพคลิปที่ตัดหัวตัดหางแล้ว พวกชาวเน็ตก็ไม่สนใจที่มาที่ไปอะไรทั้งนั้น เกิดกระแสรุมด่าอี้อวิ๋นฉังขึ้น


 


 


‘สมัยนี้สตั๊นท์นี่ใหญ่มากขนาดนี้แล้วเหรอ? นึกจะไม่แสดงก็ไม่แสดง คิดว่าเธอเป็นใครกัน! ก็แค่หน้าตาเหมือนหลินหว่าน เป็นตัวแสดงแทนของหลินหว่านเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวจริงซะหน่อย’


 


 


‘หึๆ ตัวแสดงแทนแค่ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยยังต้องไปโรงพยาบาล ไม่สนคิวกองถ่ายว่าจะเป็นยังไงเลยเหรอ? แค่หน้าเหมือนหลินหว่านแล้วจะคิดว่าตัวเองเป็นหลินหว่านได้งั้นสิ! นี่ก็อีกคนไม่ได้เป็นเจ้าหญิง แต่คิดจะทำตัวเป็นเจ้าหญิง ไม่รู้จักดูเงาหัวตัวเองเลยว่าก็แค่คนเดินดินกินข้าวแกงเท่านั้น! ’


 


 


‘แม่นี่ไม่มีฝีมือแสดงแถมไม่รับผิดชอบอีก ยังได้เป็นสตั๊นท์ของหลินหว่าน? ขอเสนอคนแรกให้กองถ่ายเปลี่ยนตัวแม่สตั๊นท์นี่ไปเลย! อย่าปล่อยให้คนแบบนี้มาเป็นตัวถ่วงกองถ่ายอีก! ’


 


 


‘เห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างบน! สองเสียง เปลี่ยนเลย! ’


 


 


‘สามเสียง เปลี่ยนตัวเลย! ’


 


 


‘หมื่นเสียง! ’


 


 


……


 


 


ภายในโรงพยาบาล “คุณครับ หัวเข่าคุณทำไมเป็นอย่างนี้ครับ?” คุณหมอเห็นหัวเข่าอินเสี่ยวเสี่ยวเขียวช้ำปนม่วงเป็นแถบก็ร้องอย่างตกใจว่า “คุณอย่าขยับนะครับ ทนหน่อย ผมจะใส่ยาให้ครับ”


 


 


พูดจบ คุณหมอก็ทายาที่หัวเข่าให้อินเสี่ยวเสี่ยว จากนั้นพันผ้าพันแผลไว้ สั่งย้ำกับเธอว่าระยะนี้ต้องระวังการเคลื่อนไหว ห้ามออกกำลังกายอะไรทั้งนั้น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไปแผนกสมองตรวจอาการบาดเจ็บภายนอกที่ศีรษะ คุณหมอบอกว่า “คุณครับ อาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะของคุณไม่เป็นอะไรมาก แต่จะกระทบกระเทือนสมองหรือไม่นั้น จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการสักสองสามวัน”


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวจึงแอดมิดเข้าโรงพยาบาล ส่วนผู้ช่วยที่มาโรงพยาบาลกับเธอนั้นไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเป็นอย่างไร พออินเสี่ยวเสี่ยวแอดมิดอยู่โรงพยาบาลเธอก็แวบหายตัวไป


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ในห้องพักผู้ป่วยเบื่อๆ จึงเปิดมือถือขึ้นมาอ่านดูข่าวสารในเวยปั๋ว


 


 


ตอนนั้นเอง คลิปที่อี้อวิ๋นฉังโพสต์ขึ้นเน็ตก็ถูกกระแสแรงด่าจากชาวเน็ตทั้งหลายดันขึ้นเป็นอันดับหนึ่งข่าวฮอตในเวยปั๋ว แฮชแท็กว่า ‘ตัวแสดงแทนหลินหว่าน’ เต้นหราฮอตติดชาร์ตอยู่อันดับต้นๆ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นคลิปที่ตัดหัวตัดท้ายนั่นแล้วก็เข้าไปดูคอมเมนต์ เห็นว่าในกล่องความคิดเห็นพวกชาวเน็ตต่างพากันรุมด่าเธอ ก็รู้สึกเสียใจมาก


 


 


แม้ว่าเธอจะหน้าเหมือนหลินหว่าน แต่ไม่เคยทำตัวเป็นหลินหว่าน เธอเป็นตัวเองมาตลอด แต่ดูเหมือนในสายตาคนอื่น ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ล้วนแต่เป็นการเลียนแบบหลินหว่านไปทั้งนั้น


 


 


พอมาคิดดูแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็โพสต์ข้อความหนึ่งลงเวยปั๋ว ‘ฉันไม่เคยพูดสักคำว่าตัวเองเป็นหลินหว่าน และไม่เคยเลียนแบบหลินหว่าน ฉันแค่เป็นตัวเอง หวังว่าทุกคนจะทำความเข้าใจความจริงของเรื่องเสียก่อน จะได้ไม่กล่าวให้ร้ายฉันอีก’


 


 


ไม่นานนักโพสต์นี้ก็ถูกชาวเน็ตโจมตี ‘เฮอะ ถ้าไม่ใช่เพราะหลินหว่านใครจะไปรู้จักเธอ! ’


 


 


‘เธอจะมาเทียบชั้นเปรียบกับหลินหว่านได้ไง? เธอมันแค่สตั๊นท์ของหลินหว่าน! แค่ตัวแสดงแทน รู้ไว้ซะ! ’


 


 


‘ทุกคนไม่ต้องไปสนหล่อน หล่อนตั้งใจใช้หลินหว่านมาเรียกความสนใจ! พี่น้องอย่าไปหลงกลล่ะ! ’


 


 


……


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นคอมเมนต์พวกนี้แล้ว ยิ่งเศร้าใจหนักขึ้นอีก


 


 


ที่กองถ่าย หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวไปแล้ว ผู้กำกับก็เริ่มถ่ายฉากที่สอง ฉากที่สองเป็นฉากของอี้อวิ๋นฉัง คนที่แสดงร่วมกับเธอเป็นตัวประกอบชายอันดับN


 


 


เดิมทีเป็นฉากที่ง่ายมากฉากหนึ่ง แต่อี้อวิ๋นฉังกลับเทคไปสามรอบก็ยังไม่ผ่าน


 


 


ผู้กำกับรำคาญขึ้นมาบ้าง ไหนบอกว่าหลินหว่านฝีมือการแสดงดีมากไง? นี่มันอะไรกัน


 


 


ดังนั้น ผู้กำกับจึงได้แต่พูดปลอบอี้อวิ๋นฉังอย่างอดทน “คุณหลิน คุณผ่อนคลายหน่อย เข้าให้ถึงบทแล้วเรามาเริ่มกันใหม่อีกครั้ง”


 


 


อี้อวิ๋นฉังฟังแล้ว สีหน้าค้างแข็งไปชั่ววูบ แม้เธอจะเคยไปเรียนต่อด้านการแสดงจากต่างประเทศ แต่ไม่ได้มีประสบการณ์แสดงจริงมาก่อน จึงไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร เธอพูดว่า “ขอโทษนะคะผู้กำกับ วันนี้ฉันไม่ค่อยสบายน่ะ เลยพลอยทำให้ทุกคนเสียเวลาไปด้วยเลย”


 


 


ยังดีที่ ต่อจากนั้นอี้อวิ๋นฉังแสดงอีกครั้งแล้วผ่านไปได้ แม้ว่าฉากนี้จะผ่านแล้ว แต่อี้อวิ๋นฉังรู้ว่า ปัญหาเรื่องฝีมือการแสดงของเธอจะเผยพิรุธออกมาไม่ช้าก็เร็ว


 


 


ถ้าหากเธอยังแสดงต่อไป พอถึงตอนหนังออกฉาย เธอต้องถูกพวกผู้ชมด่าว่าฝีมือการแสดงห่วยแน่


 


 


เนื่องด้วยปัญหานี้ ตอนบ่าย อี้อวิ๋นฉังจึงมาที่โรงพยาบาลเพื่อมาหาอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


พอมาถึงห้องพักของอินเสี่ยวเสี่ยว ก็พบว่าภายในห้องมีแค่อินเสี่ยวเสี่ยวเพียงลำพัง อี้อวิ๋นฉังล็อกประตูห้องฉับ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นอี้อวิ๋นฉังเข้ามา ก็ถามอย่างระวังตัวว่า “หลินหว่าน คุณมานี่ทำไม?”


 


 


อี้อวิ๋นฉังเดินเข้ามาหา มองสำรวจอินเสี่ยวเสี่ยวรอบหนึ่ง บาดแผลบนศีรษะของอินเสี่ยวเสี่ยวดูแล้วไม่หนักหนานัก แค่แต่งหน้าทับก็ดูไม่ออกแล้ว ส่วนอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ตอนถ่ายทำชุดแสดงที่สวมล้วนแต่เป็นชุดสมัยโบราณ ปิดหมดไม่มีใครเห็นหรอก


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ อี้อวิ๋นฉังก็ถามจูงใจอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว เธออยากเล่นหนังไหม? ไม่ใช่เป็นตัวแสดงแทน แต่แสดงเป็นนางเอกหนังเรื่องนี้”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งงันไป แล้วพูดว่า “คุณหลิน คุณหมายความว่ายังไง? ฉันไม่เข้าใจ”


 


 


อี้อวิ๋นฉังพูดตรงๆ ว่า “ความหมายของฉันก็คือ พอดีฉันมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกระยะหนึ่ง จึงอยากให้เธอมาแสดงบทนางเอกแทนฉัน”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่เข้าใจว่าทำไมอี้อวิ๋นฉังต้องให้เธอแสดงแทนด้วย เข้าใจว่าเธอคงมีแผนร้ายอะไรอีก จึงปฏิเสธไปว่า “ไม่ละค่ะ คุณหลิน ฉันรู้ตัวเองดี ฉันมันแค่สตั๊นท์ จะไปแสดงบทของคุณหลินได้ยังไงกัน?”


 


 


“ฮึ เธอมันรู้ตัวเองดี เพียงแต่บทนางเอกเรื่องนี้ ถ้าไม่เพราะฉันมีเรื่องต้องไปทำละก็ จะยอมยกให้เธอเปล่าๆ งั้นเหรอ?” อี้อวิ๋นฉังพูด


 


 


“อินเสี่ยวเสี่ยว แค่เธอแสดงหนังเรื่องนี้ให้ดีๆ ฉันจะให้คนเอาคอมเมนต์บนเน็ตพวกนั้นออกให้ แล้วต่อไปก็จะไม่เล่นงานเธออีก ว่าไง” อี้อวิ๋นฉังทั้งข่มขู่และหลอกล่อต่อไป


 


 


ถึงแม้อินเสี่ยวเสี่ยวจะอยากรับปากมาก แต่พอเห็นท่าทางคุกคามแกมบีบบังคับของอี้อวิ๋นฉังแล้วก็ตอบไปเสียงเย็นชาว่า “คุณหลิน หนังของคุณคุณก็แสดงเองสิ ฉันไม่สนหรอก”


 


 


พอเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ตกลงอีก อี้อวิ๋นฉังก็ใช้วิธียั่วยุ “อินเสี่ยวเสี่ยว ตอนนี้มีโอกาสดีขนาดนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว เธอไม่ต้องการแน่นะ? หรือว่าเธอไม่เชื่อในฝีมือการแสดงของตัวเอง?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่พูดอะไร อี้อวิ๋นฉังก็พูดเยาะเย้ยไปอีกว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ถ้าเป็นฉันนะ ฉันต้องแสดงอยู่แล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากแสดงเป็นตัวแสดงแทนที่ไม่มีโอกาสโผล่หน้ากล้องไปชั่วชีวิตหรอก”


 


 


คำพูดของอี้อวิ๋นฉังได้ผล อินเสี่ยวเสี่ยวตอบรับว่า “คุณหลิน คุณไม่ต้องพูดแล้ว ฉันแสดงก็แล้วกัน!” 

 

 


ตอนที่ 222 ตำหนิ

 

หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวรับปากอี้อวิ๋นฉังว่าจะแสดงบทนางเอกแล้ว ผ่านไปอีกสองสามวัน อินเสี่ยวเสี่ยวก็สลับตัวกับอี้อวิ๋นฉัง เธอปรากฏตัวในกองถ่ายด้วยสถานะ ‘หลินหว่าน’


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวกับ ‘หลินหว่าน’ หน้าเหมือนกันเป๊ะ ทุกคนจึงไม่สงสัย เข้าใจว่าเธอคืออี้อวิ๋นฉัง ซึ่งก็คือ ‘หลินหว่าน’


 


 


วันนั้นเอง ลูกน้องของเซียวจิ่งสือรายงานเรื่องนี้ให้เขาทราบ


 


 


ตั้งแต่เซียวจิ่งสือรู้ว่าหลินหว่านที่อยู่กับเขาเป็นตัวปลอม เขาก็สั่งกำกับมาเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่ต้องการให้อินเสี่ยวเสี่ยวเกิดเหตุอันตรายอีก และไม่ต้องการให้คนอื่นสวมรอยแอบอ้างใช้ตัวตนของเธออีก


 


 


“ท่านประธานเซียว วันนี้คุณอินเข้ากองถ่ายไปเข้ากล้องในฐานะของหลินหว่าน ส่วนคุณหลินตัวปลอมนั่นไม่ได้ไปปรากฏตัว” คนของเซียวจิ่งสือรายงาน


 


 


เซียวจิ่งสือฟังแล้ว คิดอยู่ครู่หนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวใช้ตัวตนหลินหว่านมาปรากฏตัวในกองถ่ายได้ หลินหว่านตัวปลอมต้องรู้และเห็นด้วยแล้วอย่างแน่นอน


 


 


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลินหว่านตัวปลอมถึงให้อินเสี่ยวเสี่ยวแสดงแทนเธอ เกรงว่าจะมีแผนการร้ายอะไรอีก จึงถามว่า “งั้นหลินหว่านตัวปลอมนั่นไปไหนแล้ว? พวกนายสืบได้รึยัง?”


 


 


“ท่านประธานเซียว พวกเราส่งคนตามรอยเธอไปแล้วครับ ตอนนี้เธอยังไม่ได้ทำอะไรครับ” ลูกน้องพูด


 


 


เซียวจิ่งสือสั่งการว่า “พวกนายส่งคนไปตามรอยเธอมาให้ได้นะ ดูว่าเธอไปที่ไหนเป็นประจำ แล้วคอยสังเกตดูว่าเธอมีแผนอะไรอีก”


 


 


“ครับ ท่านประธานเซียว” ลูกน้องตอบรับแล้วถามว่า “ท่านประธานเซียวครับ งั้นคุณอินเข้ากองถ่ายไปแล้ว พวกเรายังต้องส่งคนไปคอยจับตาดูเธอต่อไหมครับ?”


 


 


เซียวจิ่งสือคิดดูแล้ว ฉุกคิดขึ้นได้ว่า บางทีอาจเป็นเพราะหลินหว่านตัวปลอมแสดงไม่ได้จึงให้อินเสี่ยวเสี่ยวมาแทนเธอ ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็สมเหตุสมผล


 


 


เขานึกดูอีกว่า อินเสี่ยวเสี่ยวไปแสดงหนัง ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์ก็คือหลินหว่าน ไม่ใช่คนอื่น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือขัดขวาง และพูดว่า “ส่งคนไปจับตาดูไว้ ห้ามไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนคราวที่ตกลงมาจากลวดสลิงค์อีกเด็ดขาด!”


 


 


คราวที่แล้วพอรู้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวตกจากลวดสลิงค์ เซียวจิ่งสือก็อาละวาดด้วยความโมโหไปชุดใหญ่ ทั้งแอบให้คนไล่ช่างที่ดูแลเส้นลวดสลิงค์ออกไปแล้ว


 


 


“ทราบแล้วครับ ท่านประธานเซียว ผมจะให้คนดูแลรักษาความปลอดภัยให้คุณอินอย่างดีแน่ครับ” คนของเซียวจิ่งสือฟังแล้ว นึกถึงอาการปรอทแตกของเซียวจิ่งสือเมื่อคราวก่อน รีบรับรองแข็งขัน


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมาถึงกองถ่ายแล้ว ฉากแรกก็คือฉากต่อสู้นั่นอีกแล้ว และยังห้อยลวดสลิงค์อีกด้วย


 


 


พอนึกถึงคราวที่แล้วตอนเธอตกลงมาจากลวดสลิงค์ อินเสี่ยวเสี่ยวก็อดเครียดขึ้นมาบ้างไม่ได้ แต่เธอยังกัดฟันทำไป


 


 


แต่ที่ต่างไปคือ คราวนี้เธอไม่ได้เป็นเพียงสตั๊นท์ที่ถ่ายแค่เงาหลังกับภาพถ่ายระยะไกลเท่านั้น แต่แสดงในบทบาทของนางเอกอย่างเต็มตัว ดังนั้น ในฉากนี้เธอจึงมีการแสดงอารมณ์ มีบทพูด


 


 


ฉากนี้เป็นการปะทะบทบาทของนางเอกกับพระรองและฉากการต่อสู้ ตอนที่คนงานเข้ามาติดลวดสลิงค์ให้อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรอง ช่างดูแลอุปกรณ์คอยสั่งการอยู่ด้านข้าง อินเสี่ยวเสี่ยวพบว่าช่างคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเดียวกันกับคราวที่แล้ว


 


 


ทั้งสองยึดลวดสลิงค์แล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม ผู้กำกับสั่ง “แอ๊กชั่น” กล้องเริ่มเดินแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรองก็ถูกดึงตัวขึ้นไปกลางอากาศ


 


 


แต่พออินเสี่ยวเสี่ยวถูกดึงขึ้นไปกลางอากาศแล้ว เธอนึกถึงภาพที่ร่วงลงมาจากลวดสลิงค์คราวก่อนแล้วเกิดรู้สึกหวาดกลัววูบขึ้นมา สมองเธอกลายเป็นว่างเปล่าไปทันที


 


 


จู่ๆ อินเสี่ยวเสี่ยวก็หลงลืมบทพูดและท่าทางการเคลื่อนไหวที่เธอเตรียมไว้อย่างดีทั้งหมด เธอไม่รู้ว่าต่อไปตัวเองควรจะทำอะไร จิตใจมีแต่ความกลัวว่าเธอจะร่วงลงมาจากลวดสลิงค์อีกครั้ง


 


 


ดังนั้น ผู้กำกับมองผ่านจอมอนิเตอร์พอเห็นหลินหว่านท่าทางตัวเกร็งแววตาแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่ขยับตัวเลยสักนิด บทพูดสักคำก็พูดไม่ออก ก็รู้สึกโมโหมาก พร้อมกันนั้นก็สงสัยมากด้วย


 


 


ไหนว่ากันว่าหลินหว่านแสดงดีนักหนาไม่ใช่รึไง? ทำไมหลายวันที่เขาทำงานกับหลินหว่าน ไม่เห็นเลยว่าหลินหว่านแสดงได้ดีที่ตรงไหน?


 


 


โดยเฉพาะตอนเข้ากล้องเมื่อหลายวันก่อน ขนาดเป็นฉากง่ายมากๆ ‘หลินหว่าน’ ยังต้องเทคไปสามสี่รอบ ทำให้การถ่ายทำล่าช้า ตอนนี้ พอขึ้นห้อยสลิงค์ก็ยิ่งแข็งทื่อเป็นหุ่นไม้อย่างนั้นเลย แสดงไม่เป็นแล้ว บทพูดก็พูดไม่เป็นอีก


 


 


กลับกลายเป็นว่าพระรองแสดงได้ดีหน่อย ในฉากบทของเขาได้รู้จักกับนางเอกจากการต่อสู้ นี่จึงเป็นฉากที่พวกเขาได้พบกันเป็นครั้งแรก พระรองแสดงท่าต่อสู้ที่แผ่วพลิ้วชุดหนึ่งอย่างสบายๆ จากนั้นถึงคราวของหลินหว่าน


 


 


แต่ว่าหลินหว่านไม่รู้ทำไม นิ่งไม่ขยับสักนิด ไม่มีท่าทีจะต่อคิวการแสดงเลย


 


 


ตอนนั้นเอง ผู้กำกับรีบตะโกนว่า “คัท! หลินหว่าน คุณทำอะไรนะ? รวบรวมสมาธิหน่อย เอาใหม่!”


 


 


หลังเสียงตีสเลททีหนึ่ง เริ่มถ่ายฉากนี้อีกครั้ง แต่ที่ไหนได้ หลินหว่านยังคงทำท่าแข็งทื่อดวงตาไร้แววอยู่ดี ไม่เหมือนกับคนที่สวมบทบาทของตัวละครนั้นได้เลย


 


 


ผู้กำกับเห็นแล้ว ตะโกนลั่นอย่างโมโหว่า “คัท! คัท!”


 


 


ผู้กำกับร้องคัทแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้คนงานปล่อยสลิงค์ลงมา


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรองลงมาแล้ว ผู้กำกับก็ตวาดอย่างเดือดจัดเข้าใส่หลินหว่าน “หลินหว่าน คุณทำอะไรน่ะ การเคลื่อนไหวของคุณล่ะ? บทพูดล่ะ? เมื่อครู่คุณไม่ได้ทำอะไรเลย นี่จงใจจะถ่วงเวลาคนอื่นงั้นรึ?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำของผู้กำกับแล้ว ตอบกลับตะกุกตะกักว่า “ม…ไม่ใช่ค่ะผู้กำกับ ฉันไม่ได้ตั้งใจถ่วงเวลานะคะ”


 


 


“งั้นคุณทำอะไร? นิ่งไม่ขยับสักนิด บทพูดก็พูดไม่เป็น คุณไม่ได้ถ่วงเวลาแล้วกำลังทำอะไร?”


 


 


ก่อนหน้านี้ ผู้กำกับยังเห็นแก่กองหนุนของหลินหว่านจึงเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง ตอนนี้ เขาโพล่งออกมาอย่างเดือดดาลว่า “ถ้าคุณแสดงไม่เป็นก็ไม่ต้องแสดงแล้ว คนที่อยากแสดงและมีฝีมือแสดงหนังเรื่องนี้ยังเข้าคิวรอกันอยู่นะ!”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรีบพูดว่า “ขอโทษค่ะ ผู้กำกับ เมื่อครู่ฉันตื่นเต้นเกินไปเลยลืมบทพูดกับท่าทางการเคลื่อนไหว ผู้กำกับคะ คุณให้โอกาสฉันอีกสักครั้งนะคะ!”


 


 


พระรองที่ด้านข้างไม่ได้ช่วยหลินหว่านพูดสักคำ เพราะเขาไม่ชอบหน้า ‘หลินหว่าน’ ที่เหวี่ยงวีนไปทั่วและวางก้ามอหังการ์ในกองถ่ายเมื่อหลายวันก่อน


 


 


ผู้กำกับฟังคำพูดของหลินหว่านแล้ว ยังสวดต่อไปว่า “บทพูดกับท่าทางการเคลื่อนไหวยังจำไม่ได้ พื้นฐานอาชีพนักแสดงคุณอยู่ตรงไหนกัน?”


 


 


“ขอโทษค่ะ ผู้กำกับ ฉันสำนึกผิดแล้ว คราวหน้าฉันจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวรีบพูดแสดงความเสียใจ


 


 


พอเห็นว่าท่าทีหลินหว่านยังนับว่าจริงใจ ผู้กำกับก็หายโกรธไปไม่น้อย เขาพูดอีกว่า “ช่างเถอะ ทั้งกองพักสิบนาที หลินหว่าน คุณไปฝึกบทพูดกับการเคลื่อนไหวให้แม่น จำไว้นะ อย่าให้คนทั้งกองถ่ายต้องเสียเวลาเพราะคุณคนเดียว ทำให้ตารางการถ่ายทำล่าช้า!”


 


 


เสียงผู้กำกับเพิ่งเงียบไป จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มลึกของชายคนหนึ่งดังใกล้เข้ามา “หว่านหว่าน พักนี้คุณอยู่ในกองถ่ายเป็นไงบ้าง?”


 


 


ไม่แค่อินเสี่ยวเสี่ยว แม้แต่ผู้กำกับและคนทำงานในกองถ่ายทั้งหมดพากันหันไปทางต้นเสียง แล้วก็เห็นเซียวจิ่งสือที่จู่ๆ ก็โผล่มากองถ่าย 

 

 


ตอนที่ 223 ฝีมือการแสดง

 

เซียวจิ่งสือเดินเข้ามาหาอินเสี่ยวเสี่ยว ถามว่า “หว่านหว่าน คุณกำลังทำอะไรน่ะ? เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”


 


 


ตอนที่เซียวจิ่งสือเพิ่งมาถึง เห็นว่ามีสายตาคนไม่น้อยพากันมองไปทางอินเสี่ยวเสี่ยวกับผู้กำกับ แล้วยังได้ยินเสียงตวาดดังลั่นของผู้กำกับ เหมือนเกิดการทะเลาะกัน


 


 


“ไม่…” อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งอ้าปาก ก็ถูกผู้กำกับที่อยู่ด้านข้างพูดขัดขึ้น


 


 


“ประธานเซียว วันนี้ทำไมคุณมีเวลามากองถ่ายได้? มีเรื่องสำคัญอะไรหรือครับ?” ผู้กำกับรีบเข้ามาทักทายต้อนรับเซียวจิ่งสือ


 


 


“ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก ผมแค่มาดูหว่านหว่าน” เซียวจิ่งสือพูดเสียงเรียบ แล้วเลยถามว่า “เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”


 


 


ผู้กำกับรีบพูดว่า “ประธานเซียว คุณรู้ไหมว่าระยะนี้คุณหลินอาจไม่พร้อมนัก อย่างเมื่อครู่นี้ ฉากที่เพิ่งเริ่มถ่ายทำ คุณหลินยังจำบทพูดกับท่าเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้ ผมจึงต้องให้คุณหลินพักสักครู่ค่อยเริ่มใหม่”


 


 


“แต่ว่าท่านประธานเซียว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะเสียเวลามาก ไม่ทราบว่าต้องดึงตารางถ่ายทำล่าช้าไปอีกแค่ไหน…” ผู้กำกับรีบแย่งเข้ามาพูดกับเซียวจิ่งสือ เขาจะให้เซียวจิ่งสือรู้ไม่ได้ว่าเขาเพิ่งจะด่าหลินหว่านไป


 


 


“งั้นเหรอ?” เซียวจิ่งสือฟังคำพูดของผู้กำกับแล้ว ขมวดคิ้ว หันมาถามหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน จริงเหรอ?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วกลับไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี


 


 


ดูท่าทีของเซียวจิ่งสือ เขาเห็นเธอเป็นหลินหว่านตัวจริง แต่เธอไม่ใช่ ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงนั่นซะหน่อย เธอเล่นละครไม่เป็น ไม่ได้รับความนิยมจากชาวเน็ต ทั้งไม่ได้เป็นที่รักของเซียวจิ่งสือ


 


 


“บอกผมสิ หว่านหว่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เซียวจิ่งสือถามย้ำ


 


 


อินสี่ยวเสี่ยวนึกดูแล้ว ก้มหน้าพูดว่า “ฉ…ฉันวันนี้ไม่ค่อยสบายนัก ทำให้ทุกคนเสียเวลา แล้วยังทำให้ตารางถ่ายทำต้องเลื่อนไปอีก…”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดเรื่องที่เธอกลัวการตกจากลวดสลิงค์ออกมา เพราะคนที่ตกจากลวดสลิงค์คือตัวแสดงแทนที่ชื่ออี้อวิ๋นฉัง ส่วนเธอในตอนนี้เป็นหลินหว่านตัวจริง


 


 


เซียวจิ่งสือจ้องอินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งอยู่ เขาเห็นความไม่เชื่อมั่นในตัวเองจากสายตาของอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


ทำไมหว่านหว่านจึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้นะ? เขาจำได้ว่าก่อนสูญเสียความทรงจำ หลินหว่านรักการแสดงมาก ตอนเข้ากล้องหนังทุกเรื่อง เธอไม่เคยมีสีหน้าที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเลยแม้แต่น้อยนิด


 


 


เซียวจิ่งสือคิดดูแล้วพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “ทำไมอย่างนี้ล่ะ หว่านหว่าน คุณรักการแสดงมากไม่ใช่หรือไง? เมื่อก่อนคุณเคยพูดว่าวิธีที่จะแสดงให้ดีที่สุดก็คือรักที่จะแสดง แล้วมีความสุขระหว่างที่แสดงไม่ใช่หรือไง?”


 


 


“หา…” อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งงันไปบ้าง เธอไม่ได้เป็นคนพูด นั่นน่าจะเป็นหลินหว่านพูดไว้กระมัง


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “หว่านหว่าน ผ่อนคลายนะ ตอนนี้คุณควรจะมองการแสดงให้เป็นงานอดิเรกยามว่างชนิดหนึ่ง ไม่ใช่งานที่ต้องทำ”


 


 


พูดจบ เซียวจิ่งสือก็ส่งสายตาปลุกปลอบให้กำลังใจอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างเปี่ยมล้น อินเสี่ยวเสี่ยวพบว่าดวงตาของเซียวจิ่งสือดำสนิทราวกับสีของหมึก ดวงตาพราวระยับคู่นั้นยามยิ้มออกมาโค้งราวกับจันทร์เสี้ยว แต่ตอนนี้เมื่อเขาตั้งใจมองดูเธอ ดวงตาของเขาเหมือนดวงดาว ระยิบระยับราวกับมีชีวิต แต่กลับไม่สูญเสียความเข้มแข็งหนักแน่นของชายหนุ่ม ซึ่งทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างมากโดยไม่รู้สาเหตุ


 


 


“ฉ…ฉันเหมือนจะเข้าใจคำพูดของคุณแล้วค่ะ เซียวจิ่งสือ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดเหมือนปรุโปร่งอะไรบางอย่าง


 


 


เซียวจิ่งสือหัวเราะออกมา สมกับที่เป็นหลินหว่าน ยังฉลาดปานนั้น พูดแค่นี้ก็เข้าใจได้ เขาพูดอีกว่า “จำไว้นะ หว่านหว่าน คุณอย่าตื่นเต้นเกินไป และอย่ากดดันตัวเองเกินไปด้วย มองว่ามันเป็นงานอดิเรกที่คุณชอบอย่างหนึ่ง ทำให้เต็มที่แล้วมีความสุขกับมันก็พอแล้ว”


 


 


“ขอบคุณค่ะผู้กำกับ ขอบคุณค่ะท่านประธานเซียว ฉันเข้าใจแล้วค่ะ!” อินเสี่ยวเสี่ยวคิดใคร่ครวญดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นเหมือนได้เข้าใจอะไรบางอย่าง


 


 


สิบนาทีต่อมา ฉากนี้เริ่มถ่ายทำอีกครั้ง อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรองถูกห้อยขึ้นบนลวดสลิงค์อีกครั้ง แต่คราวนี้ ตอนที่อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่กลางอากาศ ความว้าวุ่นและหวาดกลัวในใจเธอไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งสติมั่น นึกถึงคำพูดของเซียวจิ่งสือ นึกว่าการแสดงเป็นเพียงงานอดิเรกที่เธอชอบอย่างหนึ่ง ไม่นานนักเธอก็หลอมรวมเข้ากับบทบาทได้จริงๆ


 


 


พอผู้กำกับขานว่า “แอ๊กชั่น” พระรองก็เคลื่อนไหวอย่างคราวก่อน แต่ครั้งนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวกวัดแกว่งกระบี่ด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่ลนลานสักนิด เคลื่อนไหวตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้า สอดรับกับการแสดงของพระรอง


 


 


ผู้กำกับมองผ่านจอมอนิเตอร์ดูการแสดงคราวนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยว เขาพบว่า อินเสี่ยวเสี่ยวไม่เพียงจะแสดงท่าทางการเคลื่อนไหวได้อย่างดีเท่านั้น แม้แต่การแสดงออกทางอารมณ์ของเธอก็แสดงได้อย่างถึงบทบาท พอเหมาะพอดีเป๊ะ


 


 


“คัท!” ฉากนี้ผ่านไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะครั้งนี้ผ่านในเทคเดียว ไม่มีหยุดพักกลางครัน


 


 


หลังถ่ายฉากนี้แล้ว ผู้กำกับต้องประเมินอินเสี่ยวเสี่ยวใหม่ ดูท่าว่าก่อนหน้านี้หลินหว่านทำได้ไม่ดีอาจเป็นเพราะอยู่ในสภาพไม่พร้อมจริงๆ ก็ได้ เพราะดูจากฉากนี้ เธอเป็นคนมีฝีมือทีเดียว ส่วนท่าทีของพระรองต่ออินเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว


 


 


“หลินหว่าน ครั้งนี้คุณแสดงได้ยอดมาก! ทำให้ได้แบบนี้ต่อไปล่ะ” พออินเสี่ยวเสี่ยวลงมาจากสลิงค์ ผู้กำกับก็เอ่ยชมหลินหว่าน


 


 


“ขอบคุณค่ะผู้กำกับ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด แล้วเธอก็เห็นว่าเซียวจิ่งสือยังอยู่ไม่ไกลนัก เขาไม่ได้ออกไป เธอจึงเดินเข้ามาหาเขาอย่างดีใจ ถามอย่างเขินอายว่า “เซียวจิ่งสือ เมื่อกี้คุณดูฉันแสดงตลอดเลยหรือคะ”


 


 


“แน่นอนครับ ผมมาเยี่ยมกองถ่าย ถ้าไม่มาดูคุณแสดงแล้วผมจะมาทำไมกันล่ะ?” เซียวจิ่งสือพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


“งั้นเมื่อครู่ฉันแสดงเป็นยังไงบ้างคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างขัดเขินอยู่บ้าง


 


 


“เมื่อกี้คุณแสดงได้สุดยอดมากเลย เริ่ดสุดติ่ง เจ๋งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก สู้ๆ ต่อไปนะ!” เซียวจิ่งสือชมอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างเวอร์วังอลังการ แน่นอนว่ามีการให้กำลังใจอยู่ด้วยเช่นกัน


 


 


ส่วนอินเสี่ยวเสี่ยวละเอียดพอที่จะจับคำพูดของเซียวจิ่งสือที่ว่า ‘เมื่อก่อน’ ได้ ชั่ววูบนั้นเธอรู้สึกห่อเ**่ยวอยู่บ้าง เมื่อนึกถึงว่าเซียวจิ่งสือเห็นเธอเป็น ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง


 


 


นิ่งไปครู่หนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวก็รวบรวมความกล้าถามเซียวจิ่งสืออีกว่า “เซียวจิ่งสือคะ ฉันขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหมคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเองก็สังเกตได้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เขาขมวดคิ้ว พูดว่า “คุณถามเถอะ หว่านหว่าน”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่งสือ พอเห็นเงาร่างของตัวเองอยู่ในดวงตาของเขา พอแน่ใจว่าตัวเองอยู่ในสายตาของเซียวจิ่งสือ เหมือนกับที่เขาอยู่ในสายตาเธอเช่นกัน ครอบครองทุกพื้นที่ไว้เต็ม อินเสี่ยวเสี่ยวถามเสียงเบาว่า “เซียวจิ่งสือคะ ถ้า…ฉันหมายถึงว่าถ้าหากมีคนสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบมาอยู่ตรงหน้าคุณ คนหนึ่งเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับคุณ ค…คุณจะจำผิดไหมคะ?” 

 

 


ตอนที่ 224 งามซึ้งใจ

 

เซียวจิ่งสือพอฟังคำถามของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว ก็นิ่งงันไปวูบ แล้วคิดว่า ที่อินเสี่ยวเสี่ยวพูดว่าสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบนั้นคงไม่ได้หมายถึงเธอกับหลินหว่านตัวปลอมนั่นกระมัง เซียวจิ่งสือจึงรู้สึกใจเต้นระทึกขึ้นมา หรือว่าอินเสี่ยวเสี่ยวนึกอะไรออกแล้ว?


 


 


“งั้นที่คุณบอกว่าคนสำคัญนั้นสำคัญแค่ไหนกันล่ะ?” เซียวจิ่งสือถาม


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวกระพริบตา พูดว่า “บ…แบบว่าสำคัญมากๆ เลยไง สรุปก็คือ เซียวจิ่งสือ ถ้าหากมีสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบจริงๆ คุณจะจำผิดไหมคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือฟังแล้วใจเต้นระทึก เขามองตาอินเสี่ยวเสี่ยว แล้วตอบอย่างตั้งใจว่า “ไม่หรอก คนที่สำคัญกับผมคนนั้น ถ้าผมเป็นคนที่ผมรัก ผมไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด”


 


 


“งั้นหรือคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วกลับรู้สึกติดใจอยู่บ้าง งั้นเซียวจิ่งสือจำเธอกับหลินหว่านผิดไปหรือเปล่ากันแน่ ยังมีอีก ที่เขาบอกว่าคนที่รักก็น่าจะเป็น ‘หลินหว่าน’ สิ งั้นเธอ…


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว หว่านว่าน คุณไม่เชื่อหรือ?” เซียจิ่งสือมองอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วพูดขึ้น


 


 


เพียงแต่ พอเขาเห็นท่าทีห่อเ**่ยวลงไปอย่างเห็นได้ชัดของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว เซียวจิ่งสือก็เข้าใจความในใจของอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างทะลุปรุโปร่ง


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกสงสารเธออยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็อยากบอกความจริงทั้งหมดกับอินเสี่ยวเสี่ยว แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็มีเสียงของผู้กำกับดังมาไกลๆ


 


 


“หลินหว่าน! หลินหว่านล่ะ? ฉากต่อไปจะเริ่มถ่ายแล้ว ทำไมยังหาตัวเธอไม่เจอนะ?”


 


 


เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางกองถ่ายเสียเวลาไปไม่น้อย พอผู้กำกับเห็นว่าวันนี้หลินหว่านมีความพร้อมไม่เลว จึงคิดจะเร่งถ่ายชดเชยเวลาที่เสียไป เขาจึงออกตามหาตัวหลินหว่านไปทั่วกองถ่าย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนั้นแน่นอนว่าได้ยินเสียงผู้กำกับ เธอรีบโยนความคิดสับสนอลหม่านที่อยู่ในหัวทิ้งไป พูดกับเซียวจิ่งสือว่า “เอาล่ะคะ เซียวจิ่งสือ ขอบคุณนะคะที่ตอบคำถามเมื่อครู่ของฉัน ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะไปเข้ากล้องแล้วค่ะ”


 


 


พูดจบ อินเสี่ยวเสี่ยวก็หมุนตัวจะจากไป เพียงแต่ วินาทีที่เธอหมุนตัวไปนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกฝาดขมในคออยู่บ้าง คนที่เซียวจิ่งสือพูดว่า ‘ถ้าเป็นคนที่รัก’ นั้นเป็นใครกันแน่? เป็นหลินหว่านหรือเปล่า?


 


 


งั้นเขาจำเธอกับ ‘หลินหว่าน’ ผิดไปหรือเปล่ากันแน่นะ?


 


 


ระหว่างเข้ากล้อง อินเสี่ยวเสี่ยวมองไปทางทิศที่เมื่อครู่เธอกับเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยกัน พอเห็นว่าที่ตรงนั้นไม่มีเงาร่างของเซียวจิ่งสือ หัวใจเธอก็เกิดความรู้สึกขมฝาดจนพูดไม่ออก


 


 


ผู้กำกับเห็นแล้วก็เตือนให้อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งใจแสดง อินเสี่ยวเสี่ยวจึงได้แต่โยนอารมณ์พวกนี้ทิ้งไป หันมาทุ่มเทให้กับการแสดง


 


 


เซียวจิ่งสือยังคิดจะอยู่จนอินเสี่ยวเสี่ยวแสดงเสร็จ แต่คาดไม่ถึงว่า เลขาจะโทรมาด้วยเรื่องสำคัญ เขาจึงจำต้องรีบกลับบริษัทไปโดยด่วน


 


 


หลังจากนั้นอีกหลายวัน พอเซียวจิ่งสือมีเวลาก็จะมาเยี่ยมอินเสี่ยวเสี่ยว แต่เขาหาโอกาสเหมาะที่จะบอกความจริงกับอินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เสียที


 


 


จนกระทั่งวันนี้ อี้อวิ๋นฉังมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง


 


 


อี้อวิ๋นฉังกลับมาเพื่อจะดูว่าหนังถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าเธอจะให้คนในกองถ่ายรายงานความคืบหน้าในกองถ่ายกับเธอทุกวัน รวมทั้งความเคลื่อนไหวของอินเสี่ยวเสี่ยว แต่พร้อมกันนั้นเธอก็มักจะได้รับรายงานว่าเซียวจิ่งสือสนิทสนมกับอินเสี่ยวเสี่ยวมาก เป็นข่าวที่หวานชื่นมาก


 


 


เธอเพิ่งไปจากกองถ่าย อินเสี่ยวเสี่ยวก็คิดจะเข้ามาคว้าตัวเซียวจิ่งสือหรือยังไง? อี้อวิ๋นฉังโมโหซะไม่มี จึงกลับมาที่กองถ่ายอีก


 


 


วันนี้อินเสี่ยวเสี่ยวถ่ายเสร็จแล้ว เตรียมจะออกไปทานข้าวกับเซียวจิ่งสือ แต่คิดไม่ถึงว่าก่อนที่จะออกไปนั้น มือถือของเซียวจิ่งสือดังขึ้น


 


 


เซียวจิ่งสือหยิบมือถือขึ้น พอเห็นสัญญาณที่หน้าจอ อินเสี่ยวเสี่ยวก็พบว่าเซียวจิ่งสือสีหน้าไม่ดีนัก เซียวจิ่งสือพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “ผมขอไปรับสายก่อนนะครับ”


 


 


“อื้อ” อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง เมื่อครู่เธอปรายตาแวบหนึ่งไปที่มือถือของเซียวจิ่งสือ เห็นชื่อ ‘หลินหว่าน’ เข้าโดยไม่ตั้งใจ ดูท่าว่าข้าวมื้อนี้พวกเขาคงไม่ได้ทานแล้ว


 


 


แล้วก็จริงซะด้วย ผ่านไปไม่นาน เซียวจิ่งสือรับสายกลับมา ก็พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างลำบากใจว่า “หว่านหว่าน ผมมีธุระด่วนน่ะ วันนี้คงไปทานข้าวกับคุณไม่ได้แล้ว เอาไว้คราวหน้าเราค่อยทานข้าวด้วยกันนะครับ”


 


 


“ค่ะ คุณมีธุระก็รีบไปก่อนเถอะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างใจกว้าง


 


 


เซียวจิ่งสือพูดจบก็ขมวดคิ้วหมุนตัวจากไป อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูเงาร่างของเซียวจิ่งสือที่ค่อยๆ เลือนหายไป รู้สึกอับจนสิ้นหนทาง ทั้งยังขมขื่นใจอยู่บ้าง เธอถอนใจยาวเตรียมจะกลับไปกองถ่าย แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างหนึ่งขวางทางเธอเอาไว้


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูผู้หญิงที่ขวางเธอไว้ เธอสวมแว่นดำ สีหน้าหยิ่งยโส ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ


 


 


ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าตาของเธอแต่ความรู้สึกของอินเสี่ยวเสี่ยวบอกเธอว่าคนตรงหน้านี้ก็คือ ‘หลินหว่าน’


 


 


แล้วก็จริงซะด้วย อี้อวิ๋นฉังถอดแว่นดำออก พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวด้วยท่าทางถือดีว่า “ทำไม จำฉันไม่ได้แล้วรึ อินเสี่ยวเสี่ยว?”


 


 


“หลินหว่าน ทำไมเธอมาอยู่นี่?” อินเสี่ยวเสี่ยวถาม ในใจนึกถึงโทรศัพท์เมื่อครู่ของเซียวจิ่งสือ


 


 


“ฉันมาอยู่นี่ไม่ได้หรือไง?” อี้อวิ๋นฉังย้อมถาม แล้วพูดอย่างโมโหว่า “เฮอะ ฉันไม่กลับมา จะรู้ได้ยังไงว่าเธอเกาะติดเซียวจิ่งสือได้เร็วขนาดนี้!”


 


 


“ธ…เธออย่ามาพูดจาใส่ร้ายฉันนะ! ฉันกับเซียวจิ่งสือไม่ได้มีอะไรกันแบบที่เธอคิดหรอก!” อินเสี่ยวเสี่ยวอธิบายแก้ต่างให้ตัวเอง


 


 


“ไม่ใช่ก็ดี!” อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเย็น จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาที่ข้างกายอินเสี่ยวเสี่ยว พูดที่ข้างหูเธอว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ฉันจะบอกให้นะ ฉันต่างหากที่เป็นหลินหว่าน เซียวจิ่งสือเป็นของฉัน เธอมันแค่ตัวสำรอง อย่าคิดนะว่าแสดงแทนฉันแค่ไม่กี่วันก็จะลืมสถานะของตัวเอง! บอกเธอไว้เลยว่าชาตินี้ทั้งชาติเซียวจิ่งสือก็เป็นของเธอไปไม่ได้หรอก!”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างประหลาด เธอแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง พูดว่า “ฉันทราบแล้วค่ะ คุณหลิน ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันจะกลับไปกองถ่ายแล้วค่ะ”


 


 


อี้อวิ๋นฉังไม่สนใจคำพูดของอินเสี่ยวเสี่ยว เธอพูดต่อว่า “เมื่อกี้เธออยู่กับเซียวจิ่งสือ คงจะรู้แล้วสินะว่าฉันเป็นคนโทรหาเขาเอง”


 


 


“บอกเธอก็ได้ เซียวจิ่งสือรับสายฉัน พอได้ยินว่าฉันจะทานข้าวกับเขาก็รีบตอบตกลงทันทีเลย” สีหน้าของอี้อวิ๋นฉังบอกว่าโอ้อวดเต็มที่


 


 


“เป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกที่เพิ่งถูกเซียวจิ่งสือทอดทิ้งน่ะ?” อี้อวิ๋นฉังถามอย่างถือดีไม่มีเกรงใจ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วเจ็บแปลบเหมือนคมมีดกรีด เธอเจ็บปวดจนพูดไม่ออก


 


 


“เอาล่ะ ไม่คุยกับเธอแล้ว ฉันยังต้องไปทานข้าวกับเซียวจิ่งสืออีกแน่ะ” สุดท้าย อี้อวิ๋นฉังเหมือนกับผู้หญิงที่ชนะศึกคนหนึ่ง เธอเงยหน้าเชิดอกเดินออกไปจากที่นี่ ทิ้งอินเสี่ยวเสี่ยวให้อยู่ที่นี่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว


 


 


ภายในห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง เซียวจิ่งสือนั่งประจันหน้ากับอี้อวิ๋นฉัง บรรยากาศทั้งเย็นชาและอึดอัดกระจายอยู่โดยรอบคนทั้งสอง


 


 


เซียวจิ่งสือมอง ‘หลินหว่าน’ ที่ตรงหน้าอย่างเย็นชา พูดว่า “หว่านหว่าน คุณไม่คิดจะอธิบายอะไรกับผมสักหน่อยรึ?” 

 

 


ตอนที่ 225 ข่าวลือ...อีกแล้ว

 

เซียวจิ่งสือรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หลินหว่าน แต่ตอนเขารับสายยังรับปากมาพบเธอ เพราะเขาอยากรู้เป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่าย


 


 


อี้อวิ๋นฉังอธิบายหน้าตาเฉยว่า “จิ่งสือคะ เมื่อหลายวันก่อนฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย เลยให้อี้อวิ๋นฉัง อ้อ แสตนอินนั่นช่วยแสดงแทนฉันไปพลางๆ นะค่ะ ฉันไม่ทันได้บอกคุณก่อน คุณคงไม่โกรธนะคะ?”


 


 


“จะโกรธได้ยังไงกัน ก็คุณมีธุระนี่ ให้แสตนอินแสดงแทนก็ไม่เป็นไรหรอก ผมจะโกรธคุณได้ไงกัน?” เซียวจิ่งสือพูดเสียงเรียบ ถ้าหากเธอให้อินเสี่ยวเสี่ยวแสดงแทนเพราะเธอเล่นหนังไม่เป็น เซียวจิ่งสือก็ยินดีที่จะให้มันเป็นไป เพราะสุดท้ายแล้วชื่อเสียงก็จะตกเป็นของหลินหว่านอยู่ดี


 


 


จากนั้นเขาก็ถามหยั่งเชิงเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร “แต่เมื่อหลายวันก่อนคุณมีธุระอะไรเหรอ ไปไหนมาล่ะ?”


 


 


เมื่อหลายวันก่อนเขาให้เลขาไปตามรอยหลินหว่านตัวปลอมนี่ แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย เขาจึงลองถามดู


 


 


“นี่…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูดปัดไป แล้วเปลี่ยนเรื่องถามว่า “จิ่งสือคะ บ่ายนี้ตอนฉันโทรหาคุณ คุณทำอะไรอยู่คะ?”


 


 


เซียวจิ่งสือหรุบตาลง พูดว่า “ไม่ได้ทำอะไรหรอก” จากนั้นเขาก็มองนาฬิกาข้อมือ พูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “สายแล้ว บริษัทยังมีงานต้องทำอีก คุณทานข้าวไปก่อนเถอะ”


 


 


พูดจบ เซียวจิ่งสือก็ก้าวยาวๆ จากไป ก่อนที่จะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเธอ เซียวจิ่งสือตัดสินใจว่าจะยังไม่เปิดโปงสถานะตัวปลอมของเธอ


 


 


“เอ๊ะ จิ่งสือคะ!” ส่วนอี้อวิ๋นฉังที่มองเงาหลังของเซียวจิ่งสือที่จากไป รู้สึกขัดเคืองใจขึ้นมา ทำไมเซียวจิ่งสือจึงไม่ยอมแม้แต่จะทานข้าวกับเธอสักมื้อนะ?


 


 


ต้องเป็นเพราะอินเสี่ยวเสี่ยวแน่!


 


 


เฮอะ เธอจะต้องทำลายอินเสี่ยวเสี่ยวให้ย่อยยับ!


 


 


ช่วงเวลาต่อจากนั้น อี้อวิ๋นฉังก็คอยพัวพันเซียวจิ่งสือทุกวัน ขณะที่เซียวจิ่งสือก็ไม่คิดจะฉีกหน้ากากเธอ จึงได้แต่รักษาท่าทีเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็งขั้วโลกกับเธออยู่ทุกวัน และไม่ได้ห้ามที่อี้อวิ๋นฉังมาปรากฏตัวที่บริษัทเขาตรงเวลาทุกวัน


 


 


เซียวจิ่งสือรับมือกับอี้อวิ๋นฉังทุกวัน จึงไปเยี่ยมอินเสี่ยวเสี่ยวที่กองถ่ายน้อยมาก อินเสี่ยวเสี่ยวนั้นแม้ผิดหวังท้อแท้มาก แต่กลับตั้งใจแสดงอย่างเอาจริงเอาจังทุกวัน


 


 


หนึ่งเดือนผ่านไป หนังของอินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะปิดกล้องแล้ว อี้อวิ๋นฉังพอรู้ข่าวก็ดีใจมาก ในที่สุดวันที่เธอรอคอยก็มาถึง


 


 


วันปิดกล้อง เนื่องจากอินเสี่ยวเสี่ยวแสดงเป็นนางเอก ทางกองถ่ายจึงจัดงานเลี้ยงฉลองที่ไม่เล็กนักให้เธอ


 


 


ในงานเลี้ยง อินเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงเซียวจิ่งสือที่ติดต่อกับเธอน้อยลงไปทุกที ทำให้อดคิดมากไม่ได้ ด้วยมีความในใจเธอจึงไม่ปฏิเสธเหล้าที่เสนอเข้ามา สุดท้าย อินเสี่ยวเสี่ยวจึงดื่มจนเมาอย่างเลี่ยงไม่ได้


 


 


แต่นึกไม่ถึงว่า พออินเสี่ยวเสี่ยวตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น บนเน็ตก็มีกระแสข่าวลือเรื่องของเธอพร่างพรูกันเข้ามา


 


 


เนื่องจาก สถานะ “อี้อวิ๋นฉัง” นี้ เป็นตัวตนที่อี้อวิ๋นฉังสร้างขึ้นเพื่อเหยียบย่ำอินเสี่ยวเสี่ยว ให้เธอใช้ตอนแสดงเป็นแสตนอินของเธอ ดังนั้นตอนนี้ในสายตาฝูงชนที่ไม่รู้ความจริงทั้งหลายบนเน็ตอินเสี่ยวเสี่ยวก็ยังเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ดี


 


 


ส่วนอี้อวิ๋นฉังในสายตาคนอื่นก็คือ “หลินหว่าน” ดังนั้น บนเน็ตและในสายตาของแฟนคลับหลินหว่าน อินเสี่ยวเสี่ยวยังเป็นแค่ตัวสำรองที่หน้าเหมือนเธอทุกประการ แทรกตัวเข้าหาเซียวจิ่งสือช่วงที่หลินหว่านตกลงไปในทะเล


 


 


นอกจากนี้ ความจริงเกี่ยวกับตัวตนของหลินหว่าน ก็มีแค่เซียวจิ่งสือกับเลขาของเขา ฮั่วเทียนอวี่และอี้อวิ๋นฉังไม่กี่คนนี้ที่รู้เท่านั้น


 


 


บนเน็ตวันนี้จู่ๆ ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อินเสี่ยวเสี่ยวเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


 


ตอนเช้า ชื่อของอินเสี่ยวเสี่ยวขึ้นไปเป็นชื่อฮอตติดชาร์ต ด้านหลังยังตามมาด้วยแฮชแท็กประเภท ‘ตัวตนที่แท้จริง’ อีก


 


 


พอคลิ๊กเข้าไปดู ที่แท้มีคนขุดคุ้ยเรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยวก่อนเข้าวงการแสดงมาเปิดโปงว่า เธอเป็นแค่สาวบ้านนอกจากบนเขา ต่อมาเธอไปทำศัลยกรรมใบหน้าให้เหมือนกับหลินหว่านเพื่อให้ตัวเองโด่งดังเป็นที่รู้จักขึ้นมา ขณะที่เซียวจิ่งสือไม่ทราบเรื่องนี้ จึงเข้าใจว่าเธอเป็นหลินหว่าน ภายหลังเป็นไปตามที่อินเสี่ยวเสี่ยวคาดหวังไว้ เธอใช้ใบหน้าและท่าทางที่คล้ายกับหลินหว่านค่อยๆ เป็นที่รู้จักกันในวงการบันเทิง กลายเป็นตัวแสดงแทนของหลินหว่าน


 


 


ในเวยปั๋วมีหลายแอคเคาน์ธุรกิจที่เปิดพื้นที่ให้กับข่าวแฉชิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลังเพื่อมุ่งร้ายต่ออินเสี่ยวเสี่ยว แต่ชาวเน็ตทั้งหลายกลับไม่คิดเช่นนี้ โดยเฉพาะเหล่าแฟนคลับของหลินหว่าน


 


 


พวกเขาพากันเฮโลไปที่เวยปั๋วของอินเสี่ยวเสี่ยว ด่าอินเสี่ยวเสี่ยวลงในกล่องแสดงความคิดเห็น


 


 


‘แหวะ ที่แท้ก็เป็นสาวบ้านนอกออกมาจากร่องเขานี่เอง เคยได้ยินนิทานเรื่องตงซือเสี้ยวผิน [1] ไหม? ต่อให้โบ๊ะหน้าเหมือนหลินหว่านหล่อนก็ไม่ใช่หลินหว่านอยู่ดี ไสหัวกลับหลังเขาไปเรียนหนังสืออีกหลายปีเถอะ! ’


 


 


‘เข้าวงการบันเทิงอยากจะดังก็ไม่ผิดหรอก อยากดังจนต้องพึ่งมีดหมอก็ไม่เห็นเป็นไร แต่หล่อนไม่ควรทำหน้าเหมือนหลินหว่าน มันแปดเปื้อนยอดหญิงของฉัน! จงรีบไสหัวไปจากวงการซะ กลับบ้านนอกไปซะเถอะ! อย่าโผล่หน้าออกมาให้เสียสายตาอีก! ’


 


 


……


 


 


ด้วยมีอี้อวิ๋นฉังคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง ข่าวแฉอินเสี่ยวเสี่ยวจึงขึ้นเป็นข่าวฮิตติดชาร์ตครองอันดับหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว เธออ่านดูข้อความก่นด่าอินเสี่ยวเสี่ยวในกล่องคอมเมนต์ รู้สึกสาแก่ใจสุดๆ


 


 


ใช่เลย ข่าวฉาวของอินเสี่ยวเสี่ยวคราวนี้เป็นฝีมือของเธอเอง เธอตั้งใจไว้แต่แรกว่าต้องทำลายอินเสี่ยวเสี่ยวทิ้งซะ และตอนนี้ก็ปิดกล้องแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เธอรอวันนี้มานานแล้ว


 


 


ไม่นานนัก ดูเหมือนทุกคนบนเวยปั๋วจะรู้ ‘ตัวตนที่แท้จริง’ และ ‘ข่าวสวยด้วยมีดหมอ’ ของอินเสี่ยวเสี่ยวกันหมด อย่างน้อยก็ก่อนที่อินเสี่ยวเสี่ยวจะสร่างเมา


 


 


หลังพลิกดูข่าวแฉที่ว่าบนเวยปั๋ว อินเสี่ยวเสี่ยวจะดูไม่ออกได้ยังไงว่ามีคนสาดโคลนเธออยู่เบื้องหลัง? ส่วนใครเป็นคนทำนั้น ไม่ต้องคิดเลย มีแค่ ‘หลินหว่าน’ คนเดียวเท่านั้น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่เข้าใจว่าทำไม ‘หลินหว่าน’ ต้องสาดโคลนให้เธอเสียชื่อด้วย หรือว่าแค่ต้องการละเลงสีชาติกำเนิดของเธอเท่านั้น?


 


 


เรื่องในอดีต อินเสี่ยวเสี่ยวจำไม่ได้แล้วจริงๆ มีเพียงฮั่วเทียนอวี่บอกกับเธอว่าเธอเติบโตมาจากบนเขา แต่อินเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจว่า ชาติกำเนิดของคนๆ หนึ่งไม่อาจเป็นจุดด่างของคนเราได้หรอก


 


 


ส่วนเรื่องทำศัลยกรรมผ่าหน้า อินเสี่ยวเสี่ยวกล้าสาบานเลยว่าเธอไม่เคยไปทำหน้ามาก่อน ดังนั้นเธอจึงแก้ข่าวในเน็ตว่าเธอไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อน


 


 


แต่เธอไม่รู้เลยว่า การกระทำของเธอพอดีตกหลุมพรางของอี้อวิ๋นฉัง


 


 


ตอนแรกเพื่อทำความเข้าใจหลินหว่าน อี้อวิ๋นฉังอุตส่าห์ให้คนไปสืบเรื่องราวต่างๆ ของหลินหว่านมาทั้งหมด


 


 


เท่าที่อี้อวิ๋นฉังรู้มา หลินหว่านกับบ้านตระกูลอันดูเหมือนจะมีปัญหาขัดแย้งที่พูดไม่ได้อยู่บ้าง เพราะเมื่อก่อนบ้านตระกูลอันเคยให้คนไปทำลายหลินหว่านให้เสียโฉม และนั่นก็คือใบหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


ต่อมา ก่อนหลินหว่านเข้าวงการ เคยไปทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้ามาก่อน


 


 


เพียงแต่ว่า ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงพูดอย่างมั่นใจบนเน็ตว่าตัวเองไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อน


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตงซือเสี้ยวผิน เป็นนิทานสุภาษิตจีน เรื่องมีอยู่ว่า หญิงงามไซซีไม่สบาย จึงขมวดคิ้วยกมือกุมอก ตงซือหญิงข้างบ้านรู้สึกว่านางไซซีงามมาก จึงเลียนแบบท่าทางของนาง ปรากฏว่ายิ่งดูน่าเกลียดมากขึ้น ภายหลังใช้เปรียบเชิงเย้ยหยันคนที่เลียนแบบคนอื่นแต่ทำได้ไม่ดี กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้อื่นไป 

 

 


ตอนที่ 226 ตรวจพิสูจน์

 

ด้านนี้ อี้อวิ๋นฉังนั่งจมอยู่ในโซฟา ในมือถือโน๊ตบุ๊กเครื่องหนึ่ง กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เธอเปิดหน้าเว็บเพจ ที่กำลังเป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมื่อเร็วๆ นี้ เรื่องที่อินเสี่ยวเสี่ยวทำศัลยกรรมใบหน้าเพื่อแอบอ้างเป็นหลินหว่าน


 


 


เธอยกมุมปากยิ้มหยัน พลางคิดในใจว่าในตอนนี้ผู้หญิงคนนี้เธอคิดเหยียบให้จมดินก็สามารถทำได้ดังใจ ดูซิว่ายังจะมีใครเชื่อเธออีก ถึงตอนนี้ได้เวลากลบฝังเธอแล้ว ดูซิว่าเธอยังจะกล้ามายั่วยวนพี่เซียวของเธออีกรึเปล่า


 


 


ความคิดในหัวของอี้อวิ๋นฉังโลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องที่จะทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวถึงตายได้เลย อี้อวิ๋นฉังพิมพ์บางอย่างบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว พอเสร็จก็ยกแก้วทรงก้านยาวบนโต๊ะขึ้น ดื่มรวดเดียวอย่างรื่นรมย์


 


 


ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น ผู้ช่วยถามอย่างร้อนรนว่า “คุณหลิน ตอนนี้พวกเราเตรียมมือโพสต์จำนวนมากพร้อมแล้ว อีกทั้งจัดเตรียมบทความของคุณหมอไว้หลายฉบับวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยว เป็นพาดหัวข่าวกับข่าวฮอตในสื่อออนไลน์แต่ละแห่ง คุณว่าพวกเราจะเริ่มลงมือกันเมื่อไหร่ครับ?”


 


 


อี้อวิ๋นฉังรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาทันที ถามว่า “ฉันบอกแต่แรกแล้วไงว่า เรื่องแบบนี้ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี แกไม่รีบทำ พวกมันก็อาจมีเวลาพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ไม่ต้องให้ฉันย้ำอีกเป็นครั้งที่สองทุกครั้งหรอก ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไสหัวไปซะ”


 


 


ผู้ช่วยเข้าใจว่าตัวเองทำได้ดีมากแล้วเชียว คิดไม่ถึงว่ายังถูกด่าอีก จึงตอบว่า “ได้ครับ คุณหลิน พวกเราจะเริ่มลงมือทันที”


 


 


จู่ๆ อี้อวิ๋นฉังก็ขมวดคิ้ว “รอเดี๋ยว เขียนบทความดึงอารมณ์คนอีกหน่อยด้วย แล้วให้พวกเว็บกูรูที่สนิทกับพวกเราแชร์ออกไป แล้วก็พวกที่ต้องจ่ายเงินนั่นด้วย เรียกมาให้หมด”


 


 


ผู้ช่วยตอบรับท่าทางจริงจัง “ครับ”


 


 


อี้อวิ๋นฉังยังไม่วางใจ ย้ำอีกว่า “คราวนี้ต้องถล่มให้ยับอย่าให้มันมีเวลาหายใจได้อีก บีบให้มันไปตรวจที่โรงพยาบาล เข้าใจไหม? ฉันกลัวว่ามันจะไม่ดูเน็ต จัดคนไปก่อกวนที่ด้านล่างตึกที่พักของมัน”


 


 


สั่งการพวกนี้จบ อี้อวิ๋นฉังก็รู้สึกชื่นมื่นทั้งกายใจ


 


 


พอเห็นว่าท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้ว อี้อวิ๋นฉังนึกขึ้นมาได้ว่าระยะนี้เซียวจิ่งสือคอยดูแลเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ แม้ว่าจะขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่พอมาคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรคนที่เป็นคู่รักกับเซียวจิ่งสือในตอนนี้ คือเธอ…หลินหว่าน (เนื้อหาท่อนนี้รูปประโยคขัดกัน หัวท้ายไม่มีอะไรให้อี้อวิ๋นฉังโกรธได้เลย … จู่ๆ ก็จบประโยค? – ผู้แปล)


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวจะทำอะไรได้ เธอเป็นแค่ผู้หญิงจากบ้านนอกคนหนึ่ง เพราะความหลงใหลใฝ่สูงถึงกับยอมทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าเป็นตัวเธอก็เท่านั้น


 


 


หลายวันมานี้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนเน็ตอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอ ทุกอย่างราบรื่นมาก อี้อวิ๋นฉังคิดว่าตอนนี้สถานะและอำนาจของหลินหว่านตกอยู่ในมือเธอแล้วทั้งหมด รอให้ผ่านเรื่องนี้ไปก่อน เซียวจิ่งสือก็จะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอินเสี่ยวเสี่ยว และเขาก็จะเป็นของเธอโดยสิ้นเชิง


 


 


ต่อจากนี้ไป เธอจะไม่ใช่เป็นแค่ดาราชั้นนำที่มีอนาคตไกล อาจเป็นถึงคุณนายเซียวของเครือกิจการบ้านตระกูลเซียว มีสามีที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จถึงปานนี้


 


 


ตอนที่อี้อวิ๋นฉังคิดถึงตรงนี้ เธอยืนอยู่ข้างผนังกระจกใสชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน รถราวิ่งอยู่บนถนนไม่ขาดสาย แสงไฟหลากสีสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง อี้อวิ๋นฉังยกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้มเย็นชา คล้ายกับจะบอกว่าเธอนี่ล่ะคือผู้ชนะของเมืองนี้


 


 


ยามค่ำคืน คนกลุ่มหนึ่งนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เวลาค่ำคืนหนึ่งในเมืองที่เงียบสงบและยุ่งเหยิงผ่านไป ไม่ทราบว่าอรุณรุ่งที่จะตามมาจะเกิดความพลิกผันครั้งใหญ่อย่างไร


 


 


แผงขายอาหารเช้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาตั้งขาย รถราผู้คนเดินทางไปมาขวักไขว่กลับคืนสู่สภาพเร่งรีบวุ่นวาย กระแสผู้ชมบนอินเตอร์เน็ตก็เริ่มคึกคักขึ้นมาเช่นกัน


 


 


เพียงชั่วข้ามคืน บทความนับไม่ถ้วน ผุดขึ้นมาบนหน้าเวยปั๋ว มีผู้คนอยากรู้ความจริงนับไม่ถ้วนที่ออกมากระโดดโลดเต้นปลุกกระแส พวกเขาล้วนมุ่งไปที่อินเสี่ยวเสี่ยว กล่าวโดยสรุปก็คือ ให้เธอไปโรงพยาบาลตรวจพิสูจน์ใบหน้าตัวเองว่ามีร่องรอยศัลยกรรมมาก่อนหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุติธรรมมาก


 


 


นอกจากนี้ยังมีพวกแฟนพันธุ์แท้ของหลินหว่าน ไปรออยู่แถวบ้านของอินเสี่ยวเสี่ยวแต่เช้า ร้องตะโกนอยู่ด้านล่างตึกโดยถือป้ายที่เขียนคำว่า ‘ไปตรวจพิสูจน์ซะ’


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าทำไมแค่คืนเดียวก็มีคนตั้งมากมายขนาดนี้เรียกร้องให้เธอไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาล แต่ก็รู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ถึงยังไงเธอก็ไม่เคยไปทำศัลยกรรมมาก่อน พอผลตรวจออกมา ความจริงย่อมจะเปิดเผยเอง


 


 


เพื่อแสดงความโปร่งใส เธอเลือกคนที่มาก่อกวนที่ด้านล่างสองคน ให้ติดตามถ่ายทอดสดเธอตั้งแต่ออกจากบ้านไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ไปตรวจก็เลือกโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงมากด้านศัลยกรรมของที่นั่น


 


 


ฮั่วเทียนอวี่อยากไปกับเธอด้วย แต่ถูกเธอปฏิเสธ เธอเห็นว่าถึงยังไงตัวเองก็ไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อน จึงไม่รู้สึกกลัวเลย อีกทั้งปกติฮั่วเทียนอวี่ช่วยเหลือเธอมามากแล้ว เธอไม่อยากติดค้างมากไปกว่านี้ จึงตัดสินใจว่าจะไปตรวจด้วยตัวเองคนเดียว


 


 


คลิปถ่ายทอดสดของอินเสี่ยวเสี่ยวที่ไปโรงพยาบาลศัลยกรรมเพื่อตรวจพิสูจน์ได้รับการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต สร้างกระแสฮือฮาได้ไม่น้อย มีผู้คนแห่กันเข้ามาชมการถ่ายทอดสดจนเน็ตแทบล่ม


 


 


หน้าประตูโรงพยาบาลศัลยกรรมแออัดไปด้วยผู้คน บ้างก็เป็นนักข่าว บ้างก็เป็นแฟนคลับของหลินหว่าน บ้างก็มาเชียร์อินเสี่ยวเสี่ยว และก็คนที่มาดูเพื่อความสนุกสนาน


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่ยังปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วเข้าไป


 


 


ตอนอยู่ที่หน้าประตู มีคนขวางไว้แล้วถามว่า “คุณอิน ทำไมคุณถึงกล้ามาตรวจที่โรงพยาบาลล่ะ? คุณซื้อตัวหมอไว้ก่อนหรือเปล่า?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะตอบ ก็มีนักข่าวยื่นไมโครโฟนมาตรงหน้าเธอ ถามว่า “คุณเชื่อมั่นขนาดนี้ ถ้าหากคุณไม่ได้ทำศัลยกรรมจริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าคุณกับซุปตาร์หลินหว่านจะมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันอะไรทำนองนี้รึเปล่า?”


 


 


ชั่วขณะนั้นเสียงพูดแข่งกันดังเซ็งแซ่ไปหมด อินเสี่ยวเสี่ยวฟังไม่รู้เรื่องแล้วว่าใครพูดอะไรบ้าง พอดีกับตอนนั้น ยามรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลออกมาบอกให้ผู้คนสลายตัว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเดินเข้าไปคว้าไมค์จากมือนักข่าวคนหนึ่ง ขึ้นไปยืนบนขั้นบันได มองดูผู้คนเหล่านี้ด้วยท่าทางแน่วแน่ พูดว่า “ทุกท่าน ฉันกล้ามาตรวจก็เพราะฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่ได้ทำศัลยกรรมจริงๆ โรงพยาบาลที่มาในวันนี้ เพิ่งตัดสินใจระหว่างการถ่ายทอดสดเมื่อตอนเช้านี้เอง แฟนๆ ของคุณหลินหว่านที่ข้างหลังฉันเป็นพยานได้”


 


 


หลายคนที่ติดตามอินเสี่ยวเสี่ยวมาแต่เช้าพากันผงกศีรษะรับ อินเสี่ยวเสี่ยวพูดต่อว่า “ส่วนที่พวกคุณพูดถึงปัญหายัดเงินนั้น เดี๋ยวเข้าไปตรวจทุกกระบวนการมีการถ่ายทอดสด ฉันไม่รู้มาก่อนว่าคุณหมอคนไหนจะเป็นคนตรวจให้ฉัน”


 


 


จากนั้นอินเสี่ยวเสี่ยวก็เดินเข้าไป ลงทะเบียน รอพบแพทย์ตามลำดับ


 


 


หลังจากคุณหมอตรวจใบหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยวเบื้องต้นเสร็จก็ไม่ได้พูดว่าอะไร แต่ให้เธอไปเข้าเครื่องตรวจอีกหลายอย่าง ทุกขั้นตอนการตรวจ เปิดเผยโปร่งใส


 


 


หลังตรวจเสร็จ คุณหมอนั่งอ่านผลตรวจและตรวจดูใบหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยวโดยละเอียด คนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดสดหลายคนนั้นก็อยากรู้ผลมาก อินเสี่ยวเสี่ยวที่เข้าใจว่าตัวเองไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อนกลับนิ่งมาก


 


 


เธอถามคุณหมอว่า “คุณหมอคะ คุณดูหน้าฉันสิ ไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อนใช่ไหมคะ?”


 


 


คุณหมอขมวดคิ้วถอนหายใจ แล้วพูดช้าๆ ว่า “โครงหน้าไม่มีร่องรอยอะไร แต่ร่องรอยบนใบหน้ามีความเป็นไปได้ว่าเคยผ่านการผ่าตัดมาก่อน”


 


 


ชั่วขณะนั้นทุกคนพากันตื่นเต้น คุณหมอพูดเสริมว่า “ตอนนี้เทคโนโลยีในการทำศัลยกรรมเจริญมาก ผมว่าคุณน่าจะเคยทำศัลยกรรมใบหน้ามาก่อน”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกเหลือเชื่อ เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นไปไม่ได้ที่จะทำศัลยกรรมมาก่อน อินเสี่ยวเสี่ยวเดินทื่อออกจากห้องตรวจ พอมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ก็มีผู้คนจำนวนมากยืนรออยู่แล้ว เสียงก่นด่าหยาบคายลอยมาเข้าหู ด่าว่าเธอทำหน้าใหม่เพื่อหวังจะได้ชูคอกลายเป็นนางหงส์ หน้าด้านไร้ยางอาย ฯลฯ 

 

 


ตอนที่ 227 บรรลุข้อตกลง

 

อินเสี่ยวเสี่ยวยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ทำอะไรไม่ถูก ภาพนี้ประจวบกับฮั่วเทียนอวี่ที่ตามมาเห็นเข้าพอดี


 


 


“อีนังบัวขาว สวยด้วยมีดหมอ ไสหัวไปจากวงการซะ”


 


 


“ยัยบ้าเอ้ย แอบอ้างเป็นหลินหว่านยอดหญิงของฉัง หน้าด้าน”


 


 


“บอยคอตหล่อนจากวงการ หล่อนไม่สมควรจะเป็นศิลปิน ไปให้ห่างจากยอดหญิงของฉัน”


 


 


ระยะนี้อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่บ้านว่างๆ จึงเข้าไปดูเวยปั๋ว แล้วก็พบว่าตัวเองกลายเป็นชื่อติดชาร์ตฮอตบนเวยปั๋วซะแล้ว ในกล่องคอมเมนต์มีแต่คำก่นด่า ถึงกับมีรูปภาพที่จงใจให้เธอดูหน้าเกลียดหลายรูปอีกด้วย เธอรู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ เริ่มตั้งแต่ผลการตรวจพิสูจน์มาจนถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนี้ เป็นไปตามแผนที่เธอวางเอาไว้ เพียงแต่แผนที่เธอวางไว้อย่างดีทั้งหมดนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวที่คำนวณไปไม่ถึง คือ ตัวเธอเองไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ที่เธอสนใจคือทำไมคุณหมอจึงบอกว่าเธอทำศัลยกรรมมาก่อนนะ? เพราะเขารับเงินมา หรือว่าเรื่องนี้มีความลับที่เธอยังไม่รู้อีก หรือว่า…เกี่ยวข้องกับที่เธอสูญเสียความทรงจำ?


 


 


วันนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวจะออกไปเทสต์หน้ากล้อง บทที่เธอจะไปเทสต์หน้ากล้องนี้ เซียวจิ่งสือต้องใช้เรี่ยวแรงไม่น้อยกว่าจะช่วงชิงมาได้ เธอจึงพลาดไม่ได้ ตอนนี้เธอกำลังตกเป็นข่าวกระแส เซียวจิ่งสือยอมยื่นมาเข้ามาช่วยในตอนนี้ก็ถือว่าส่งถ่านกลางหิมะ [1] แล้ว เธอจะทำให้บริษัทของเซียวจิ่งสือตกเป็นขี้ปากคำนินทาเพราะเธอไม่ได้ ดังนั้นอินเสี่ยวเสี่ยวจึงสวมชุดเต็มยศ ห่อหุ้มทุกส่วนไว้หมด ต่อให้ทำเช่นนี้แล้วก็ยังถูกพวกที่ตั้งตาคอยจับผิดอยู่พบเข้าจนได้


 


 


“เธอดูสิ นั่นผู้หญิงที่แอบอ้างเป็นหลินหว่านใช่ป่ะ ยังกล้าออกมานอกบ้านอีก”


 


 


“เอ๋งั้นเหรอ? เธอปิดซะขนาดนั้นคุณจำเธอได้ยังไงกันน่ะ”


 


 


“ยังต้องพูดอีกรึไง บนเน็ตมีทั้งที่อยู่เธอ บ้านเกิดภูมิหลังสารพัดถูกคนขุดออกมาแฉบนเน็ตหมดแล้ว นี่ไง ทั้งที่อยู่รูปร่างใช่หมดเลย อีกอย่างนะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรใครจะปิดซะมิดขนาดนี้ ต้องเป็นพวกโจรใจหวาดไม่กล้าสู้หน้าคนแหละ”


 


 


เสียงพูดคุยกันของสองคนนี้ไม่ดังนักแต่ก็ไม่เบา พอดีที่จะทำให้คนที่ผ่านไปมาได้ยินกันทั่ว คนที่มาห้อมล้อมมุงดูค่อยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ทำอะไร ทางข้างหน้าของเธอถูกล้อมปิดจนผ่านไปไม่ได้ อินเสี่ยวเสี่ยวมองผู้คนรอบข้างที่พูดตำหนิเธอผ่านแว่นดำ เธอเข้าใจคนพวกนี้ว่าที่โกรธและรุมด่าเพราะเรื่องนี้ส่งผลในเชิงลบต่อสังคมโดยรวม แต่ใครจะมาเข้าใจเธอเล่า? เธอยังไม่รู้เลยว่าทำไมผลตรวจของเธอจึงออกมาว่าเคยทำศัลยกรรมมาก่อน เธอไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาหลายปีที่สูญเสียความทรงจำไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอเป็นผู้เสียหายเช่นกัน แต่ใครจะมาสงสารเห็นใจเธอ ใครจะก้าวออกมาพูดแทนเธอได้บ้าง?


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก คนพวกนี้ยังคงตามเธอมาอย่างไม่ลดละเดินไปด่าไป นี่คือภาพที่ฮั่วเทียนอวี่ลงจากตึกมาเห็นเข้า เดิมเขามีธุระต้องไปทำ แต่ที่ไหนได้เขาเพิ่งลงมาจากตึกก็พบว่าอินเสี่ยวเสี่ยวที่ออกมาแล้วแต่เช้ายังอยู่ที่หน้าประตูบ้านอยู่เลย และยังถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมกักตัวไว้ด้วย นั่นทำให้ฮั่วเทียนอวี่ที่รู้ความจริงแต่เลือกที่จะปกปิดไว้ รู้สึกผิดและตั้งข้อสงสัยต่อการกระทำที่เห็นแก่ตัวของตัวเองเป็นครั้งแรก


 


 


เขาทำแบบนี้มันถูกหรือผิดกันแน่? เพื่อรั้งเธอไว้กลับทำให้เธอต้องมาเจอกับความทุกข์และความกดดันขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ หรือ?


 


 


จะถูกหรือผิดฮั่วเทียนอวี่ยังไม่ทันได้ตัดสิน เขาแค่รู้ว่าเขาจะช่วยอินเสี่ยวเสี่ยวให้ออกจากปัญหาตรงหน้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ขณะที่เขาล้วงมือถือออกมาจะโทรออกนั้น จู่ๆ มือคู่หนึ่งก็มาแย่งมือถือไปจากเขา


 


 


“ทำไม? คิดจะช่วยเธอรึ? ให้ฉันทายไหมว่าคุณจะโทรหาใคร?” นิ้วมือที่ทาเล็บสีแดงแจ๊ดเคาะกับมือถือเป็นจังหวะ ทำท่าว่าลำบากใจเอามาก


 


 


“ทำไมเป็นคุณ?”


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เห็นตรงหน้าเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าแทบจะเหมือนกับอินเสี่ยวเสี่ยวก็ถามออกมาอย่างประหลาดใจ


 


 


“วันนี้คงไม่ใช่แผนคุณกระมัง หาคนมาแกล้งเสี่ยวเสี่ยว”


 


 


ดูจากเวลาและสถานที่ที่อี้อวิ๋นฉังปรากฏตัวแล้ว ไม่มีทางเลยที่ฮั่วเทียนอวี่จะไม่นึกเชื่อมเรื่องราวเข้าด้วยกัน


 


 


“เก็บความอยากรู้ของคุณไว้เถอะ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะ แค่ผ่านทางมาพอดีหรอก แต่เห็นเธอโดนรุมซะขนาดนี้ แค่นี้ฉันก็ว่าคุ้มที่มาคราวนี้แล้ว” อี้อวิ๋นฉังปรายหางตามองสถานการณ์หลังพิงฝาของอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างสะใจ


 


 


“บอกมาสิ เมื่อครู่คุณคิดจะโทรหาใครให้มาช่วยกันนะ?”


 


 


อี้อวิ๋นฉังยังไม่ลืมว่าเมื่อครู่เธอขัดขวางไม่ให้ฮั่วเทียนอวี่โทรศัพท์


 


 


“ผมจะแฉแผนการร้ายของคุณ บอกสื่อว่าคุณต่างหากที่เป็นคนทำศัลยกรรมหน้าใช้ทุกวิถีทางเพื่อถีบตัวเองขึ้นสู่ที่สูง บอกพวกเขาว่าคุณต่างหากที่แอบอ้างเป็นหลินหว่าน บอกพวกเขาว่าคุณต่างหากที่เป็นคน โกหกหลอกลวงเจ้าเล่ห์มายาวางแผนการร้ายสารพัด”


 


 


ฮั่วเทียนอวี่อยากจะเข้าไปฉีกหน้ากากจอมปลอมนี่ซะจริง ใบหน้าที่เหมือนกับเสี่ยวเสี่ยวแต่กลับทำเรื่องชั่วร้ายปานนี้ได้ ช่างน่าเกลียดน่าชังเหลือทน


 


 


“ได้เลย คุณไปสิ บอกพวกเขาว่าฉันต่างหากที่เป็นตัวสำรอง อย่างนี้แล้วเสี่ยวเสี่ยวของคุณคงต้องอยากรู้มากแน่เรื่องความทรงจำที่ว่างเปล่าพวกนั้น ถึงยังไงซะพอประกาศทุกอย่างออกมาแล้ว เซียวจิ่งสือก็สามารถอยู่ร่วมกับเสี่ยวเสี่ยวของคุณอย่างเปิดเผยซะที ถึงตอนนั้น เสี่ยวเสี่ยวของคุณก็จะกลายเป็นของคนอื่น แต่ถ้าไม่พูด เมื่อไหร่ที่เธอจำได้ขึ้นมาก็จะโกรธแค้นคุณ ถึงตอนนั้นคุณก็จะไม่มีโอกาสแม้แต่จะเห็นหน้าเธอ คุณไปสิ ถึงยังไงสำหรับฉันมันก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้งเท่านั้น ฉันยอมรับได้ คุณล่ะ” อี้อวิ๋นฉังยัดมือถือกลับคืนให้ฮั่วเทียนอวี่ เชยคางเขาขึ้นเบาๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูเขา


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ฟังคำพวกนี้จนจบ เก็บมือถือลงในกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบงัน


 


 


“อ้าว? ทำไมล่ะ ไม่โทรแล้วเหรอ? ไม่ไปช่วยสาวงามแล้วรึไง?”


 


 


อี้อวิ๋นฉังเห็นความเคลื่อนไหวของฮั่วเทียนอวี่ก็ยิ้มออกมาอย่างหยาดเยิ้ม “นี่สิถึงจะถูก”


 


 


“พูดมา คุณต้องการอะไรกันแน่?”


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ไม่เชื่อหรอกว่าอี้อวิ๋นฉังพูดมาตั้งมากมายขนาดนี้ เพียงเพื่อคิดแทนเขาด้วยความหวังดี


 


 


“อยากจะได้อินเสี่ยวเสี่ยวไหมล่ะ? ฉันหมายถึง ‘ตลอดไป’ นะ” อี้อวิ๋นฉังพูดความคิดแท้จริงซึ่งอยู่ในใจฮั่วเทียนอวี่ออกมา


 


 


“หมายความว่าไง”


 


 


ฮั่วเทียนอวี่มองอี้อวิ๋นฉังอย่างระแวดระวัง จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าจะร่วมมือกับคนเลวไม่ได้


 


 


“หมายความอย่างที่บอกนั่นล่ะ ฉันช่วยคุณให้ได้ตัวอินเสี่ยวเสี่ยว ให้เธอไปจากเซียวจิ่งสือตลอดกาล และที่ฉันให้คุณทำ ก็แค่เก็บความลับนี้ไว้ให้ดี กลืนมันลงท้องไปซะ อย่าคิดที่จะเปิดเผยมันออกมาอีก”


 


 


อี้อวิ๋นฉังยืดตัวขึ้น ไม่เล่นเกมยั่วเย้าฮั่วเทียนอวี่อีก เธอถอยห่างออกมาตั้งหลักก้าวหนึ่งแล้วพูดออกมาตรงๆ


 


 


“เป็นไง ข้อแลกเปลี่ยนนี้มันไม่ยากสำหรับคุณกระมัง คุณเองก็ทำแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่ แค่รักษามันต่อไปก็เท่านั้น”


 


 


อี้อวิ๋นฉังรู้ว่าแม้ฮั่วเทียนอวี่จะแสดงออกว่าเขาใจกว้างพร้อมให้การสนับสนุนอินเสี่ยวเสี่ยวกับเซียวจิ่งสือ และดูถูกการแลกเปลี่ยนแบบนี้มาก แต่ภายในใจเขาแล้วสิ่งที่อยากได้จริงๆ นั้น เขาก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิดเหมือนกัน และเธอก็พอดีใช้จุดนี้ เผยตัวตนที่แท้จริงของเขา ให้เขาปลดปล่อยความต้องการจากส่วนลึกในใจออกมา เพื่อบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้


 


 


“ได้” ฮั่วเทียนอวี่แค่คิดดูครึ่งนาทีก็ตกลงรับปากข้อเสนอของอี้อวิ๋นฉัง


 


 


“ในเมื่อบรรลุข้อตกลงแล้ว งั้นก็ไปเถอะ ส่วนที่นี่ก็ให้เธอแก้ปัญหาเอาเองก็แล้วกัน”


 


 


อี้อวิ๋นฉังตวัดสายตาไปทางอินเสี่ยวเสี่ยวที่ถูกฝูงชนรุมล้อมจนมองไม่เห็นตัว เธอแค่นเสียงเฮอะคำหนึ่งแล้วจากไปพร้อมกับฮั่วเทียนอวี่


 


 


 


 


——


 


 


[1] ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึง ให้ความช่วยเหลือ ยามขัดสนหรือจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม