เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 218-225

ตอนที่ 218 เผชิญหน้า

 

เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เธอยิ้มพลางพยักหน้าแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ น่าจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านค่ะ” 


 


 


หญิงวัยกลางคนมองเธอด้วยความไม่วางใจแวบหนึ่ง แต่ก็ยอมเดินจากไปแต่โดยดี 


 


 


ในต่างประเทศยังมีคนที่มีมิตรจิตมิตรใจอยู่มาก ไม่เหมือนกับในประเทศที่นับวันคนในสังคมจะเย็นชาต่อกันมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นคนไม่สบายจึงมักจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ 


 


 


แต่ไม่รู้เพราะอะไร ถึงที่นี่จะดีกว่า แต่เธอยังคงรู้สึกคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศตัวเอง และแน่นอน รวมถึงเขาด้วย 


 


 


เธอเม้มริมฝีปากแน่น ในสมองคิดถึงแต่เรื่องราวในอดีตมากมายไปตลอดทางจนกระทั่งกลับถึงห้องพักของตัวเอง 


 


 


เธอทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทันใดนั้น เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกลับบ้านมือเปล่าเพราะลืมซื้อของกลับมาด้วย 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าขอเพียงแค่เธอพบเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิ้นหยวน ในสมองเธอก็จะมีแต่ขี้เลื่อยทันที ไม่ว่าจะเป็นสติสัมปชัญญะหรือความนึกคิดต่างๆ ล้วนตีกันจนสับสนยุ่งเหยิงไปหมด 


 


 


เธอย่อตัวลงเปิดตู้เย็นใบเล็กออก ในตู้เย็นเหลือเพียงไข่ไก่ไม่กี่ฟอง ผักใบเขียวหนึ่งกำและบะหมี่อีกครึ่งซอง ตอนนี้เธอขี้เกียจเดินลงไปข้างล่างแล้ว ท่าทางเธอคงต้องต้มบะหมี่กินประทังชีวิตไปก่อนแล้วล่ะ 


 


 


เธอยืดตัวตรงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องรับแขกอีกครั้ง คราวนี้เธอกะจะเข้าไปท่องเว็บเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานวันพรุ่งนี้ 


 


 


แต่เธอท่องเว็บได้เพียงครู่เดียวก็ไพล่คิดไปถึงจิ้นหยวนแทนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่? หรือว่าตระกูลจิ้นเตรียมจะบุกตลาดเสื้อผ้าในประเทศ? ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดไหนกันนะ ถึงทำให้ท่านประธานใหญ่แห่งจิ้นซื่อ กรุ๊ป มาปรากฎกายที่นี่ได้ 


 


 


หรือว่า… 


 


 


ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเธอเงียบๆ แต่เธอต้องรีบสลัดความคิดนั้นออกจากสมองทันที จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ถ้าเขาอยากจะออกตามหาเธอด้วยตัวเอง เขาคงออกตามหาเธอเองตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมต้องรอให้เวลาผ่านไปนานหลายเดือนแบบนี้ด้วย? 


 


 


เฉียวซือมู่หนอเฉียวซือมู่ เธอสำคัญตัวผิดไปแล้ว 


 


 


แต่ว่า… หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แล้วเขามาที่นี่ทำไม? 


 


 


เธอนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟา ร่างกายผอมบางของเธอแทบจะฝังเข้าไปในโซฟาตัวใหญ่อยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ยังคงกัดริมฝีปากล่างแดงระเรื่ออย่างใช้ความคิด 


 


 


ขณะที่เธอกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น พลันเสียงกริ่งดังขึ้น เธอรีบยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์มือถืออย่างอัตโนมัติ แต่กลับพบว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือดำสนิทไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ 


 


 


เธอชะงักเล็กน้อย เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงกริ่งยังคงดังไม่ขาดสาย เธอเพิ่งได้สติว่านั่นมันเสียงกริ่งประตูบ้านนี่นา 


 


 


หรือว่าจะเป็นคริส? แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะมานี่นา หรือว่าเขาอยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าเธอโกหกหรือเปล่า? 


 


 


เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเปิดประตูพลางส่งยิ้มให้แขกผู้มาเยือน “คริส คุณ…” 


 


 


เธอยืนนิ่งตะลึงค้าง เสียงเธอขาดหายในฉับพลัน เธออ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเริ่มสั่นเทา “คุณ… คุณ…” 


 


 


ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูยิ้มสดใส แต่ในดวงตากลับมีเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ “ที่รัก ผมมารับคุณกลับบ้านแล้ว” 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้วแต่กลับไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากเธอเลยสักนิด สีหน้าเขาไม่พอใจเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มอันตรายออกมา เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้มเลยสักนิด “ดูเหมือนคุณจะไม่ยินดีต้อนรับผมเลยนะ?” 


 


 


ในที่สุดเธอก็ได้สติ เธอยกมือขึ้นจะปิดประตู แต่กลับถูกเขาที่เตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้วดันประตูเอาไว้ “ทำไม นี่คุณคิดจะกันไม่ให้ผมเข้าไปอย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


เขาจ้องมองเธอนิ่ง แววตาสลับซับซ้อนยากจะคาดเดาราวกับมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่นคำที่อยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาจ้องจนเฉียวซือมู่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ได้แต่พยายามใช้แรงปิดประตูท่าเดียว 


 


 


แต่แรงเธอน้อยอย่างกับแมว มีหรือที่จะสู้แรงของเขาได้ แววตาของเขาลึกล้ำ แต่มือของเขากลับไม่ออมแรงสักนิด เพียงไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายเปิดประตูออก จากนั้นเดินอกผายไหล่ผึ่งเข้าไปในห้อง ท่าทางของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก เธออยากจะขัดขวางเขาใจจะขาดแต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ 


 


 


ในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้  ได้แต่มองดูเขาเดินเข้าไปในห้องตาละห้อย เขากวาดสายตาเดินดูทุกอย่างในห้องของเธออย่างละเอียดราวกับกำลังเดินอยู่ในห้องของตัวเองอย่างไม่เกรงใจสักนิด 


 


 


 เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “จิ้นหยวน คุณหาฉันเจอได้ยังไง?” 


 


 


จิ้นหยวนหยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆ ขึ้นมา ได้ยินคำถามของเธอแล้วชะงักมือเล็กน้อย จากนั้นตอบไม่ตรงคำถาม “หลายเดือนมานี้คุณพักอยู่ในห้องโทรมๆ ที่เล็กเท่ารูหนูนี่เหรอ? หือ?” 


 


 


คำพูดดูถูกของเขาทำให้ใบหน้าที่ไม่รักดีของเธอแดงแจ๋ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้ว เพราะฉะนั้น เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก” 


 


 


ก้อนเนื้อในอกเธอสั่นอย่างรุนแรง เธอมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยของเขาแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เพื่อให้เขาปลอบใจ แต่ความคิดพวกนั้นมลายหายไปในฉับพลันเหมือนถูกน้ำเย็นจัดราดลงบนศีรษะยามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขากลายเป็นสามีของหญิงอื่นไปแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนหันกลับมามองเธอนิ่ง “จบแล้วงั้นเหรอ? ไม่เกี่ยวข้องกันอีกงั้นเหรอ? คำพูดพวกนี้คุณพูดเองเออเองคนเดียวทั้งนั้น ผมไม่เคยตกลงด้วยสักคำ” 


 


 


ดูเหมือนคำพูดของเธอจะยั่วโทสะเขาเข้าให้แล้ว หรือบางทีเขาอาจจะซ่อนเพลิงโทสะที่รอวันปะทุเอาไว้ในใจมาโดยตลอด เขาจ้ำเท้าพรวดเดียวไปอยู่ตรงหน้าเธอ มองลงมาจากเหนือศีรษะเธอราวผู้เหนือกว่า เขายื่นมือจับคางเล็กๆ ของเธอเอาไว้แน่น บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “คุณมันคนไม่มีหัวใจ ผมรับปากคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนมันจบลงไปแล้ว? แล้วคุณยังกล้าหนีผมไปอีก?” 


ตอนที่ 219 เธอไม่ใช่ภรรยาผม  


 


 


 


 


 


เธอถูกสายตาดุจสัตว์ป่าของเขาจับจ้องจนใจสั่น แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้กล้าโต้ตอบเขากลับไป “คุณแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ และเจ้าสาวก็ไม่ใช่ฉันด้วย ฉันคิดว่าถึงคุณจะไม่ได้เอ่ยปากกับฉันเอง แต่มันก็มีความหมายเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ฉันก็ต้องรู้ตัวและออกไปจากชีวิตคุณเอง ฉันคิดว่าคุณจะดีใจเสียอีกที่เห็นฉันวางตัวได้ถูกกาลเทศะแบบนี้” 


 


 


เธอพยายามปั้นหน้าเฉยเมยเพราะไม่อยากให้เขามีความหวังแม้แต่น้อย จิ้นหยวนจ้องเธอตาเขม็ง ดวงตาคมกริบดุจมีดแหลมคมของเขาจับจ้องเธอนิ่งจนเธอชักหวั่นใจ 


 


 


“นี่คุณกำลังหึงผมอยู่เหรอ?” เขาเอ่ยสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงออกมา เธอยิ้มเยาะ “คุณกำลังพูดเล่นอยู่ใช่ไหม? คุณเป็นเมฆบนฟ้า แต่ฉันเป็นแค่โคลนตม ในที่สุดคุณก็ได้คู่ครองที่คู่ควรกับคุณ แล้วฉันจะไปหึงคุณในฐานะอะไรไม่ทราบ?” 


 


 


คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยถากถาง จนเขารู้สึกเจ็บแปลบในอก “สาวน้อย อย่าพยายามยั่วโทสะผม” 


 


 


แววตาเขาอันตรายเกินไปแล้ว เธอเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


ทันใดนั้น เธอสัมผัสถึงไออุ่นร้อนเหนือศีรษะ เธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย แต่กลับถูกเขาใช้แรงดึงตัวเธออย่างแรง ตัวเธอแนบกับอกแกร่งของเขา เขาฝังจุมพิตลึกซึ้งลงบนศีรษะเธอ 


 


 


“สาวน้อย ความอดทนของผมมีขีดจำกัด ต่อไปห้ามหนีผมไปไหนอีกนะ” เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจอยู่ข้างหูเธอ 


 


 


ไม่มีความโกรธ ไม่มีการทะเลาะ และไม่มีการใช้กำลังใดๆ จิ้นหยวนใช้วิธีที่เธอคาดไม่ถึงละลายหัวใจเธอสำเร็จ 


 


 


เธอยืนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขา ดวงตาร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก 


 


 


“ได้ยินหรือเปล่า คุณต้องเชื่อผม กลับไปกับผม เข้าใจไหม?” 


 


 


เธอค่อยๆ เอ่ยขึ้น “แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ? ให้ฉันเป็นคนรักของคุณ แล้วถูกเรียกว่าเมียน้อยอย่างนั้นเหรอคะ? จากนั้นคอยหลบอยู่แต่ในบ้านเพราะไม่กล้าออกไปไหน หรือไม่ก็ไม่ทันระวังตัวถูกคนอื่นจับได้อย่างนั้นเหรอคะ?” เธอชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ชีวิตแบบนั้นจะไปมีความหมายอะไรล่ะคะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่พูดเรื่องที่ตัวเองอาจจะพบเจอด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจนทำให้แววตาของจิ้นหยวนสงบลงได้สำเร็จ 


 


 


เขาดันกายเธอออกจากอกเพื่อให้เธอมองเขาได้ถนัด “นี่คุณพูดจริงใช่ไหม?” 


 


 


เธอมองเขาอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ?” 


 


 


ฟ้าฝนลมพายุก่อตัวขึ้นในดวงตาของจิ้นหยวนทันที “สาวน้อย ผมคิดว่าหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปนานขนาดนี้แล้วคุณจะเห็นความดีของผมขึ้นมาบ้าง แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิดไป ความรักความทะนุถนอมที่ผมมีให้คุณมันเปล่าประโยชน์จริงๆ” 


 


 


เขากวาดสายตามองห้องโกโรโกโสในสายตาของเขาแวบหนึ่ง “ตอนที่คุณอยู่กับผม คุณอยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ฐานะผมก็ให้คุณได้ แต่คุณกลับหนีผมไป” สีหน้าของเขาเย็นยะเยือก ทันใดนั้น เขานึกถึงชื่อที่เธอเรียกตอนเปิดประตูทันที “อย่าบอกนะว่าคุณมีผู้ชายคนใหม่แล้ว?” 


 


 


เฉียวซือมู่มองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่คุณพูดเหลวไหลอะไรกัน ฉันไปมีผู้ชายคนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” 


 


 


“แล้วเมื่อกี้คุณเรียกชื่อใคร?” จิ้นหยวนบีบคั้นอย่างหนัก 


 


 


“นั่นมันชื่อเจ้านายฉันต่างหากเล่า!” เธอตะโกนใส่หน้าเขา 


 


 


“อย่างนั้นเหรอ?” จิ้นหยวนยิ้มเย็นมุมปาก “แล้วเป็นเจ้านายแบบไหนล่ะ เจ้านายที่บริษัท หรือว่า…” 


 


 


“คุณ… คุณพูดให้มันดีๆ นะ!” เฉียวซือมู่โกรธจนหน้าแดงจัด จ้องเขาตาเขม็ง “จิ้นหยวน คุณแยกแยะให้มันชัดเจนด้วยนะ คุณแต่งงานแล้ว และฉันจะไม่มีวันยอมเป็นเมียน้อยคุณ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ฉันขอเลิกกับคุณอย่างเป็นทางการ ฉันไม่ได้มีผู้ชายคนอื่น หรือต่อให้มีจริง มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!” 


 


 


เฉียวซือมู่สองมือเท้าสะเอว ดวงตาเป็นประกายวูบวาบเพราะความโกรธ ประกายวูบวาบนั้นยั่วใจจิ้นหยวนเหลือเกิน 


 


 


เปลวไฟในใจเขาปะทุขึ้นอีกครั้งจนเขาแทบจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด แต่เขาก็ได้ยิน “คำพูดทรยศหักหลัง” ของเธอเต็มสองหู 


 


 


“คุณพูดว่าอะไรนะ? ไหนพูดอีกครั้งซิ?” เขาหรี่ตาแคบ เอ่ยถามเสียงเย็นยะเยือก 


 


 


“ฉันบอกว่า” เธอเห็นสีหน้าอันตรายของเขาแล้วหดตัวเล็กน้อย แต่ยังคงรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป “บอกว่า ฉันเลิกกับคุณแล้ว คุณกลับไปหาภรรยาของคุณซะ ฉันก็จะไปหาแฟนของฉัน ต่างคนต่างแยกย้าย!” 


 


 


เธอเพิ่งเอ่ยจบพลันเห็นเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ เธอยังไม่ทันได้ตั้งสติ ทันใดนั้น เธอรู้สึกร่างกายเบาหวิว พอก้มหน้าลงดูถึงรู้ว่าเขาช้อนร่างเธอขึ้นอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอน 


 


 


“คุณ… คุณจะทำอะไรน่ะ? ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ!” 


 


 


จิ้นหยวนปั้นหน้าเย็นชา ไม่อยากได้ยินคำพูดบาดหูจากปากเล็กๆ ของเธออีก เขาอธิบายตรงๆ “เธอไม่ใช่ภรรยาผม เพราะผมไม่เคยแตะต้องตัวเธอ” 


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขา เธอเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ พลันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขาด้วยความแปลกใจและความฉงนสนเท่ห์ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 220 เฉียวซือมู่ผู้ไม่ยอมแพ้  


 


 


 


 


 


สำหรับเฉียวซือมู่แล้ว แรงสะเทือนนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงราวกับฝันไป เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


“ตอนนี้กี่โมงแล้ว? โทรศัพท์มือถือของฉันล่ะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่มองไปทางหน้าต่างถึงรู้ว่าตัวเองนอนสายจนตะวันโด่งแล้ว เธอตะลึงนิ่งอึ้งราวถูกสวรรค์ลงโทษ โอ้ พระเจ้า! นี่เธอกับจิ้นหยวนเล่นผีผ้าห่มทั้งคืนจนลืมไปเลยว่าวันนี้ต้องไปทำงาน 


 


 


โทรศัพท์มือถือล่ะ? ต้องรีบโทรศัพท์ไปลางานก่อน 


 


 


เธอกระวีกระวาดคลำหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองบนเตียง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เฉกเช่นเดียวกับร่างกายที่เปล่าเปลือยของตัวเองในยามนี้ ที่ไม่มีอะไรเลย 


 


 


จิ้นหยวนทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขาพลิกตัวหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่บนพื้นเพราะถูกเจ้าของหมางเมินทั้งคืนขึ้นมายื่นให้เธอ “อยู่ตรงนี้” 


 


 


เธอถอนหายใจโล่งอก ยื่นมือรับโทรศัพท์มือถือมาดูแล้วถึงกับหน้าเสีย บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือปรากฎข้อความว่ามีสายที่ไม่ได้รับถึงห้าสาย สองสายจากเอลลี่ อีกสามสายจากคริส 


 


 


คราวนี้เธอตายแน่ 


 


 


เธอกำโทรศัพท์มือถือแน่นพลางสูดหายใจลึก สมองเริ่มประมวลว่าควรจะสรรหาข้ออ้างอะไรมาแก้ตัวดี 


 


 


จิ้นหยวนมองดูเฉียวซือมู่ที่สติแตกกระเจิงแล้วรู้สึกหงุดหงิดมาก 


 


 


เขาชักไม่ชอบขี้หน้าเจ้านายของเธอที่เขายังไม่เคยเห็นหน้าขึ้นมาเสียแล้วสิ จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องพาตัวเธอกลับไปให้ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีงานให้ทำก็ไม่ต้องทำ แบบนี้ตรงใจเขาพอดี 


 


 


เฉียวซือมู่กำลังกัดริมฝีปากแน่นอย่างใช้ความคิด จู่ๆ จิ้นหยวนก็ยื่นมือออกมาแย่งโทรศัพท์มือถือในมือเธอไป จากนั้นวางมันลงบนหัวเตียงราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเอ่ยกับเธอ “นี่คุณคิดจะกลิ้งอยู่บนเตียงทั้งวันหรือไง?” 


 


 


เธออ้าปากอยากจะบอกกับเขาว่าให้เขาคืนโทรศัพท์มือถือให้เธอ แต่พอมองหน้าเขาแล้วกลับพูดอะไรไม่ออกเสียอย่างนั้น 


 


 


 แม้สีหน้าเขาจะเรียบเฉย แต่เธอดูออกว่าเขากำลังไม่พอใจมาก 


 


 


เธอกัดริมฝีปากแน่น ก็ได้ เดี๋ยวเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วค่อยโทรก็ได้ แต่ว่า… 


 


 


เธอถลึงตาใส่จิ้นหยวน “คุณออกไปก่อน ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” 


 


 


“ที่รัก ไม่ต้องอายหรอกน่า คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อคืนเราสองคน…” 


 


 


“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” ใบหน้าเธอร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครา เธอใช้ผ้าห่มห่อตัวเอาไว้แล้วกระโดดลงจากเตียง ขืนยังต่อปากต่อคำกับเขาต่อ มีหวังเธอต้องเป็นโรคหัวใจแน่ 


 


 


เธอรีบวิ่งเท้าเปล่าเข้าไปในห้องน้ำ จิ้นหยวนที่นอนเอนกายอยู่ตรงหัวเตียงได้แต่ส่ายศีรษะน้อยๆ 


 


 


เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาดู เห็นเบอร์โทรศัพท์ของคริสที่ไม่ได้รับสายทันที ชื่อของคนคนนี้คุ้นหูมาก เขาหรี่ตาแคบ หวนนึกถึงชื่อที่เธอเรียกตอนเปิดประตูเมื่อคืน 


 


 


ผู้ชายคนนี้… 


 


 


เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา ติดต่อลูกน้องอย่างรวดเร็ว หลังจากสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองเข้าที่ ขณะเดียวกัน เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพอดี เฉียวซือมู่ที่มีสีหน้าเขินอายเดินออกมาจากห้องน้ำ 


 


 


เธอเอ่ยขึ้น “ฉันจะโทรศัพท์ แล้วเดี๋ยวจะออกไปทำงาน คุณกลับไปได้แล้ว” 


 


 


จิ้นหยวนไม่เพียงไม่กลับ หากแต่ยังเดินเข้าไปหาเธอแล้วจ้องมองเธอนิ่ง “คุณจะกลับไปกับผมดีๆ หรือจะให้ผมมัดตัวคุณกลับไป เลือกเอา” 


 


 


เธอลอบถอนหายใจพลางก้าวเท้าถอยหลังหนีหนึ่งก้าว ชายตามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำแบบนั้นมันผิดกฎหมายนะ ฉันจะแจ้งความข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว!” 


 


 


เอ่ยจบหมายพุ่งตัวชนประตู แต่กลับถูกเขารั้งตัวเธอเอาไว้อย่างง่ายดาย “อย่าไปเลยนะ ที่รัก ผมกล้ารับประกันว่าคุณไม่มีทางออกจากประตูบานนี้ได้หรอก” 


 


 


เธอพยายามดิ้นรนออกจากวงแขนแข็งแรงของเขาแต่กลับไร้ผล จึงได้แต่ตะเบ็งเสียงร้องโวยวาย “จิ้นหยวน คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่กลับไปกับคุณ คุณปล่อยฉันนะ” 


 


 


เธออยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปเป็นนกน้อยในกรงทองของเขาอีก ไม่ไป! 


 


 


จิ้นหยวนจับแขนเธอแน่น สีหน้าถมึงทึง “ผมให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะไม่กลับไปกับผมจริงๆ ใช่ไหม?” 


 


 


เธอกัดฟันกรอด “ใช่ ฉันไม่กลับ ไม่กลับ ฉันไม่อยากเป็นเมียน้อยคุณ ไม่ว่าคุณแต่งงานกับเธอเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม เรื่องที่เธอเป็นภรรยาของคุณมันก็เป็นความจริง ฉันไม่อยากเป็นคนทำลายชีวิตแต่งงานของพวกคุณ”  

 

 


ตอนที่ 221 เข้าใจผิด

 

 


 


 


จิ้นหยวนจ้องเธอตาเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกสับสนปนเป ในขณะเดียวกัน หัวใจของเขาก็เจ็บปวดรวดร้าวราวมีดกรีดแทง ก่อนหน้านี้เขาคิดหาสารพัดเหตุผลที่อาจทำให้เธอไม่ยอมกลับไปกับเขา แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าการแต่งงานของเขาจะส่งผลกระทบต่อเธอมากขนาดนี้ ถ้าเขารู้ตั้งแต่แรก ต่อให้เอามีดมาจ่อคอเขาก็จะไม่มีวันแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงเด็ดขาด 


 


 


มาเสียใจเอาตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้เขาอธิบายว่าตัวเองไม่เคยแตะต้องหร่วนเซียงเซียงแม้แต่ครั้งเดียว แต่มันก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น จู่ๆ เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้… 


 


 


เธอเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเขาแล้วรู้สึกเย็นเยือกถึงขั้วหัวใจ “คุณปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน!” เสียงกรีดร้องหวีดแหลมของเธอคงดังทะลุออกไปนอกกระจกหน้าต่างแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนค่อยๆ ยกมือขึ้น เฉียวซือมู่เหมือนจะเดาออกแล้วว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร นี่เขาคิดจะใช้กำลังพาเธอกลับไปสินะ เธอกลัวจนตัวสั่นเทา “จิ้นหยวน คุณอย่าบังคับให้ฉันต้องเกลียดคุณเลยนะ!” 


 


 


ดวงตาดั่งมหาสมุทรลึกล้ำจ้องมองเธอนิ่ง ราวกับกำลังตัดสินใจครั้งสุดท้าย ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเด็ดขาด ยกมือขึ้นสูง… 


 


 


“ก๊อกๆๆ…” 


 


 


ทั้งสองตัวแข็งทื่อ หันไปมองพร้อมกัน 


 


 


“เฉียว คุณอยู่บ้านหรือเปล่า?” เสียงคริสดังมาจากนอกประตู 


 


 


จิ้นหยวนหน้าดำถมึงทึง ส่วนเฉียวซือมู่รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งหนีรอดจากความตาย เธอถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ 


 


 


เธอกระซิบเสียงเบา “ถ้าอยากให้เขาแจ้งตำรวจ คุณก็ทำต่อเลย” 


 


 


จิ้นหยวนชะงักนิ่งอึ้ง ก้มหน้ามองเธอนิ่ง 


 


 


เธอแกะมือเขาที่กำลังจับแขนเธอแน่นออก ค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากวงแขนของเขา 


 


 


ด้านนอกประตู คริสเคาะประตูอย่างร้อนรน “เฉียว คุณอยู่หรือเปล่า? ถ้าอยู่ก็ตอบผมสักคำ” 


 


 


ในที่สุดเธอก็หลุดจากพันธนาการของเขา เธอถอนหายใจโล่งอกพลางก้าวเท้าถอยหลังสองก้าว “ฉันจะไปเปิดประตู” 


 


 


จิ้นหยวนขยับริมฝีปากเล็กน้อยแต่กลับพูดอะไรไม่ออก 


 


 


เธอหมุนตัวเดินออกไปเปิดประตูออก 


 


 


คริสยืนเป็นห่วงอยู่หน้าประตู พอเห็นเธอยืนอยู่หลังประตูจึงถอนหายใจโล่งอกอย่างไม่ปิดบัง “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมไม่ไปทำงานแล้วยังไม่รับโทรศัพท์อีก?” เอ่ยจบพลางกวาดสายตาสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “ทำไมดูคุณไม่ค่อยเหมือนเดิม?” 


 


 


ความรู้สึกเขาไวใช่เล่น เธอแอบยิ้มในใจ แต่ไม่มีทีท่าจะเชิญเขาเข้ามาในห้องสักนิด เพราะเธอตั้งใจยืนขวางอยู่ตรงประตูโดยไม่ขยับเขยื้อน “ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ พอดีเมื่อคืนสภาพจิตใจฉันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ก็เลยนอนไม่หลับ เพิ่งจะหลับเป็นตายเมื่อเช้านี้เอง ก็เลยไม่ได้รับสายของคุณน่ะค่ะ” 


 


 


“เหรอครับ?” สายตาของเขาเผยแววสงสัย ต้องหลับเป็นตายขนาดไหนถึงไม่ได้ยินเสียงไม่ได้รับสายมากมายขนาดนี้? พลันรู้สึกว่าเธอกำลังปิดบังอะไรเขาอยู่ 


 


 


แต่พอสำรวจสีหน้าเธออย่างละเอียดแล้ว เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเธอมีเลือดฝาด สีหน้าดูดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก ถ้าเช่นนั้น เธอคงสบายดี 


 


 


เขามองดูท่ายืนของเธอแล้วเอ่ยขึ้น “ผมคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเสียอีก ก็เลยรีบมาดูคุณ ถ้าเมื่อกี้คุณยังไม่มาเปิดประตูอีก ผมกะจะแจ้งความแล้วเนี่ย จะว่าไป เห็นแก่ที่ผมเป็นห่วงคุณมากขนาดนี้ คุณไม่คิดจะเชิญผมเข้าไปนั่งหน่อยเหรอครับ?” 


 


 


“ไม่ดีกว่าค่ะ” เธอฝืนยิ้ม ไม่ต้องหันกลับไปมองเธอก็รู้สึกถึงแผ่นหลังของตัวเองที่ร้อนผ่าวราวถูกเปลวเพลิงแผดเผา “อย่าดีกว่าค่ะ ฉันยังไม่ได้เก็บห้อง ตอนนี้ห้องรกมาก เอาไว้คราวหน้าดีกว่าค่ะ” 


 


 


ขืนปล่อยเขาเข้ามา มีหวังจิ้นหยวนจอมขี้หึงต้องอาละวาดบ้านพังแน่ ให้เขาเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด! 


 


 


คริสเห็นรอยยิ้มฝืดฝืนของเธอแล้วยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ เขาครุ่นคิดว่าทำไมเธอถึงดูผิดปกติแบบนี้ จากนั้นเอ่ยถามขึ้นใหม่ “อย่างนั้นเหรอครับ? พรุ่งนี้ก็สุดสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ผมขอให้คุณไปที่บ้านผม คุณคิดไปถึงไหนแล้วครับ? ผมไม่มีรสนิยมแปลกๆ หรอกนะ คุณสบายใจได้” 


 


 


เธอได้ยินคำพูดของเขาแล้วกล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งเกร็งขึ้นมาในบัดดล เจ้านาย จะพูดจะจาอะไรอย่าให้มันคลุมเครือไม่ชัดเจนแบบนี้ได้หรือเปล่า? อะไรคือขอให้ฉันไปที่บ้านคุณ? ทั้งๆ ที่แค่ไปช่วยคุณทำอาหารเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? 


 


 


แล้วแบบนี้จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ? 


 


 


เธอตัดสินใจแล้วว่าต้องรีบไล่เขากลับไปให้เร็วที่สุด เขายังคงพยายามยื่นหน้ามองเข้าไปข้างในห้อง ไม่รู้ว่าเห็นจิ้นหยวนหรือยัง เธอร้อนใจมาก สองมือจับหมับลงบนแขนของเขา “ห้องฉันรกมาก ไม่มีอะไรน่าดูหรอกค่ะ ไปค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่งคุณข้างล่างนะคะ” 


 


 


คริสเหล่มองสองมือของเธอด้วยความประหลาดใจ จากนั้นหันกลับมามองหน้าเธอ “เฉียว นี่เป็นครั้งแรกที่คุณ…” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ทันใดนั้น เงาดำปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาแวบหนึ่ง จากนั้นกำปั้นหนักๆ ลอยเข้าหาเขาอย่างจัง  


 


 


เขาตกใจเล็กน้อย แต่เขาออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ เขารีบก้าวเท้าถอยหลังอย่างว่องไว เบี่ยงกายหลบกำปั้นได้อย่างหวุดหวิด 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกจิ้นหยวนกอดเอวเอาไว้แน่นแล้ว 


 


 


เธอหันหน้าไปมองจิ้นหยวนอย่างเซ็งๆ เพิ่งเห็นว่าเขาหน้าดำถมึงทึงจนดูน่ากลัวมาก เธอได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างปลงๆ “เขาเป็นเจ้านายฉันเอง…” 


 


 


แล้วตอนนี้จะพูดอะไรต่อดีล่ะ? 


 


 


คริสเพิ่งหลบกำปั้นของเขาได้อย่างหวุดหวิดเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดจนเหงื่อแตกพลั่ก “เฉียว ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?” 


 


 


เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ทำไมถึงมีผู้ชายอยู่ในห้องเธอ แล้วยังจะต่อยเขาอีกต่างหาก อย่าบอกนะว่าเป็นคนร้าย? มิน่าเล่า เธอถึงไม่ยอมให้เขาเข้าไปในห้องเสียที 


 


 


ให้ตายสิ เขาควรจะเชื่อคำพูดเธอแล้วรีบแอบไปแจ้งตำรวจ! 


 


 


เขาคิดว่าตัวเองเดาถูกแล้ว ดวงตาสีเขียวเย็นเยียบมองไปยังจิ้นหยวนอย่างไม่เป็นมิตร “คุณผู้ชายท่านนี้ สุภาพบุรุษเขาไม่บังคับข่มขู่สุภาพสตรีแบบนี้หรอกนะ คุณปล่อยเธอเถอะนะ” 


 


 


คำพูดของเขาทำเอาเฉียวซือมู่ตะลึงงัน เธอมองหน้าเขาพลันสังเกตเห็นสีหน้าเขาเคร่งเครียดมาก จึงเอ่ยขึ้น “คริสคะ เขาไม่ใช่…” 


 


 


เธอเอ่ยได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกจิ้นหยวนใช้แรงรัดรึงเอวเธอแน่นขึ้นอีกจนเธอหายใจแทบไม่ออก คำพูดที่เหลือก็พูดไม่ออกแล้วเหมือนกัน 


 


 


เธอหน้าถอดสี นี่จิ้นหยวนคิดจะทำอะไรกันแน่?  

 

 


ตอนที่ 222 คุมเชิง

 

 


 


 


เสียงเย็นชาของจิ้นหยวนเอ่ยขึ้น “ถ้าฉันไม่ปล่อยล่ะ?” เขาพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษาไม่มีผิด ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่คุ้นเคย เฉียวซือมู่อาจจะคิดว่าคนพูดเป็นชาวต่างชาติจริงๆ 


 


 


คริสเข้าใจว่าจิ้นหยวนเป็นคนร้ายหวังชิงทรัพย์ จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป “ฉันขอเตือนเลยนะ รีบปล่อยสุภาพสตรีท่านนี้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นนายจะรับผิดชอบผลที่จะเกิดขึ้นไม่ไหว” 


 


 


“เหรอ?” จิ้นหยวนไม่สนใจคำข่มขู่ของเขาแม้แต่น้อย เขาหรี่ตาแคบ โอบกอดเฉียวซือมู่กับอกแน่นขึ้นอย่างท้าทาย “ตอนนี้ฉันไม่อยากปล่อย แล้วนายจะทำยังไง?” 


 


 


เธอได้แต่กู่ร้องในใจ เข้าใจความคิดของจิ้นหยวนแล้ว 


 


 


ผู้ชายคนนี้หึงจนหน้ามืดขึ้นมาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


คริสมองอย่างไม่เป็นมิตร “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน” 


 


 


เอ่ยจบพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างล่าง ชายฉกรรจ์สวมชุดดำยกโขยงกันวิ่งขึ้นมาชั้นบน 


 


 


เฉียวซือมู่หน้าซีดเผือดในบัดดล ให้ตายสิ นี่เธอลืมตัวตนอีกสถานะของคริสไปได้อย่างไรกัน? เขายังเป็นมาเฟียด้วยนี่! 


 


 


นี่เธอปล่อยให้จิ้นหยวนไปท้าทายคริสได้อย่างไร? ทำไมเธอถึงลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้? 


 


 


จิ้นหยวนกอดเธอแน่นขึ้น เธอหันไปมองเขาแวบหนึ่ง สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม เธอได้แต่แอบนับถือเขาอยู่ในใจ เรื่องดำเนินมาไกลขนาดนี้ เธอไม่เปิดปากพูดอะไรสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว 


 


 


เธอกระแอมเบาๆ และกำลังจะอ้าปากพูด แต่จิ้นหยวนที่ตัวติดอยู่ข้างหลังเธอกลับชิงเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “คิดว่าคนเยอะกว่าแล้วจะแน่กว่าหรือไง แน่จริงก็มาสู้กันตัวต่อตัวสิ ว่ายังไง?” 


 


 


“ขอแค่ปล่อยเธอ นายอยากทำอะไรยังไงก็ได้” คริสเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ พลางจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ 


 


 


“ดี” จิ้นหยวนเอ่ยจบแล้วปล่อยเฉียวซือมู่อย่างที่พูดจริง เขาก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ร่างกายสูงใหญ่ยืนจังก้าต่อหน้าคริส “ตัวต่อตัว บอกให้คนพวกนั้นถอยไป” 


 


 


ตอนนี้คริสชักรู้สึกทะแม่งๆ เหมือนมีอะไรสักอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรมากมายนัก เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขายกมือขึ้นทันที ในมือถืออาวุธที่เป็นกระบอกสีดำเล็งไปที่จิ้นหยวน 


 


 


เฉียวซือมู่ตกใจ ม่านตาของจิ้นหยวนหดลีบลงเล็กน้อย ไอความเย็นยะเยือกแผ่กระจายรอบกาย “นี่นายไม่คิดจะรักษาคำพูดใช่ไหม?” 


 


 


คริสส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางยิ้มเยาะ “ทำไมต้องรักษาคำพูดกับพวกหัวขโมยด้วย เตรียมตัวไปรับกรรมในคุกเถอะ” 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้วหันไปมองเฉียวซือมู่ ใบหน้าที่เคยเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที เขายื่นมือออกไปให้เธอ “มาเถอะ เฉียว มาหาผม” 


 


 


“ไม่ค่ะ” เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะดิกๆ “คริส คุณเข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ใช่หัวขโมย เขาเป็น… เป็นเพื่อนฉัน คุณรีบสั่งให้คนพวกนั้นเก็บปืนเถอะค่ะ” 


 


 


 คริสหรี่ตาแคบลง จ้องมองเธอนิ่ง สักพักจึงคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “นี่คุณไม่เชื่อใจผมเลยเหรอ? ผมควบคุมเขาเอาไว้ได้แล้ว ตอนนี้เขาทำร้ายคุณไม่ได้แล้ว ทำไมคุณถึงยังโกหกเพื่อช่วยเขาอีก? มาหาผมเดี๋ยวนี้!” 


 


 


เฉียวซือมู่ร้อนใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันพูดความจริง เขาไม่ใช่หัวขโมย…” 


 


 


“ดื้อจริงๆ เลย…” คริสเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวหวังดึงตัวเธอให้ไปหาตัวเอง แต่กลับถูกจิ้นหยวนขวางเอาไว้ “หลีกไป!” 


 


 


คริสคิดไม่ถึงว่าเขาถูกปืนหลายกระบอกเล็งศีรษะเอาไว้ยังกล้าดีขนาดนี้ จึงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะ แต่ตอนนี้ ฉันเริ่มจะเชื่อคำพูดเธอซะแล้วสิ” 


 


 


“ฉันพูดจริงนะ ไม่ได้หลอกคุณ เขาเป็นเพื่อนฉันจริงๆ คุณสั่งให้พวกเขาเอาปืนลงเถอะค่ะ!” เธอร้อนใจดั่งไฟลน เธอโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยพบเคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงจิ้นหยวน ป่านนี้เธอคงเป็นลมหมดสติไปนานแล้ว 


 


 


คริสไม่ฟังเธอสักนิด เขาลูบคางเกลี้ยงเกลาของตัวเองเล่นเบาๆ สายตาจับจ้องจิ้นหยวนนิ่ง “ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจนายผิดไปจริงๆ ด้วย แต่ว่า ตอนนี้ฉันเห็นนายขัดลูกตาจนอยากจะยิงสมองนายให้กระจุยไปเลย ทำไงดีล่ะ?” 


 


 


 เขาเอ่ยจบพลันได้ยินเสียงสูดหายใจอย่างแรง และเสียงนั้นมาจากเฉียวซือมู่ 


 


 


ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? เธอทำผิดอะไรตรงไหนหรือเปล่า? เธอยืนหน้าเหยเกอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มสองคนที่กำลังคุมเชิงกันอยู่ ได้แต่เอ่ยขึ้นอย่างหมดแรง “พวกคุณอย่าทำอย่างนี้ได้ไหม คริส ขอร้องล่ะ ช่วยวางปืนลงก่อนได้ไหมคะ” 


 


 


จิ้นหยวนก้มลงมองเธอแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเธอ หัวใจที่ถูกเธอทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสค่อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เขายิ้มให้เธอพลางเอ่ย “ผมไม่เป็นไร คุณวางใจเถอะ” 


 


 


“อะไรนะคะ?” เธอยังคิดไม่ทัน จึงได้แต่มองเขาด้วยความงุนงง 


 


 


จิ้นหยวนมองริมฝีปากแดงระเรื่อที่อ้าน้อยๆ สีหน้าเหลอหลาดูน่ารักมาก เขาฝังจุมพิตลงบนริมฝีปากเธอเบาๆ อย่างห้ามใจไม่ไหว “คนดี ผมไม่เป็นอะไรหรอก” 


 


 


“โอ๊ะ? ฉันอยากรู้เหมือนกันว่านายจะมีทีเด็ดอะไรบ้าง? ดวงตาคริสลุกเป็นไฟยามเห็นปฏิสัมพันธ์ของทั้งสอง เขาจ้องจิ้นหยวนอย่างเอาเรื่อง 


 


 


จิ้นหยวนหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเย็นเยือก “เดี๋ยวนายก็รู้เอง” 


 


 


เขาเอ่ยจบพลันได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่วิ่งขึ้นบันได เพียงชั่วพริบตา ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ก็ปรากฏกายขึ้น 


 


 


ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นถือปืนในมือ ท่าทางดุดันโหดร้ายและน่ากลัว คริสและลูกน้องของเขาตกอยู่ในวงล้อมของพวกเขาทันที 


 


 


คริสหน้าถอดสี จ้องจิ้นหยวนตาเขม็ง “นายเป็นใครกันแน่?” 


 


 


ทำไมชายหนุ่มชาวตะวันออกถึงมีลูกน้องเยอะแยะมากมายขนาดนี้? 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มเยาะ “นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” 


 


 


ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มที่สอง เขาเดินเข้าไปหาจิ้นหยวนแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “พี่ใหญ่ คนของเราพร้อมแล้ว พี่ใหญ่สั่งมาได้เลยครับ” 


 


 


เอ่ยจบแล้วหันไปทักทายเฉียวซือมู่ “คุณเฉียว” 


 


 


เฉียวซือมู่จำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในพี่น้องของจิ้นหยวนที่ชื่อโอวหยางตวน เธอเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย เป็นเพราะเขาอยู่ต่างประเทศตลอดอย่างนั้นเหรอ? 


 


 


เฉียวซือมู่ที่ยังรับไม่ทันกับเหตุการณ์หักมุมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างงงๆ “สวัสดี” 


 


 


โอวหยางตวนยิ้มบางๆ ยืนตัวตรงแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “วางใจเถอะครับ ถึงคนที่ชื่อคริสคนนี้จะเก่งใช้ได้ แต่ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรงของเรา” 


 


 


คริสจำโอวหยางตวนได้ เขากัดฟันกรอด “โอวหยาง ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?” 


 


 


ตอนนี้คริสกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขายกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องถอยทันที จากนั้นหันไปเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะมีเพื่อนแบบนี้ด้วย” เขาชำเลืองมองจิ้นหยวนแวบหนึ่งขณะที่เอ่ยคำว่าเพื่อนออกมา เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขานั้นไม่ธรรมดา “ถ้าอย่างนั้น ผมคงไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้ว” 


 


 


เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที ดูเหมือนโอวหยางตวนจะไม่ถูกกับเขาสักเท่าไหร่ เมื่อเห็นเขาเดินออกจากห้องจึงก้าวเข้าไปขวางทางเอาไว้ แต่ถูกจิ้นหยวนห้ามเอาไว้เสียก่อน “น้องหก ปล่อยเขาไป” 


 


 


โอวหยางตวนชะงักอึ้งไปชั่วครู่ ได้แต่มองดูคริสเดินจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย  

 

 


ตอนที่ 223 ปล่อยมืออย่างคาดไม่ถึง

 

“พี่ใหญ่ ทำไม่พี่ถึง…” โอวหยางตวนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


จิ้นหยวนหลุบตาลงมองเฉียวซือมู่ “กลับไปกับผม!” 


 


 


ไม่ใช่คำถามความสมัครใจ หากแต่เป็นคำบอกกล่าวให้เธอรู้ถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขา เอ่ยจบพลางยื่นมือออกไปจับมือเธอ เธอรีบก้าวเท้าถอยหนีหนึ่งก้าวพลางไพล่มือซ่อนไว้ด้านหลัง “ฉันไม่กลับ!” 


 


 


ดวงตาของจิ้นหยวนเย็นเยือกในบัดดล มันเย็นยะเยือกจนเธอสั่นสะท้าน เขาเอ่ยขึ้นเสียงเย็นเยียบ “คุณจะคบกับผู้ชายคนนั้นเหรอ?” 


 


 


“ไม่ใช่!” เธอปฏิเสธทันควัน “เหตุผลของฉันมีแค่เรื่องเดียว ไม่มีเรื่องอื่นอีก ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจ” เอ่ยจบแล้วก้าวเท้าถอยหนีอีกหลายก้าว หวังจะฉวยโอกาสปิดประตู แต่จิ้นหยวนไม่มีทางให้เธอทำสำเร็จ เขารีบดันประตูเอาไว้ “ผมไม่เชื่อ” แววตาดุดันของเขาจ้องเธอเขม็ง “พิสูจน์สิ” 


 


 


“จะให้พิสูจน์ยังไง? กลับไปกับคุณอย่างนั้นเหรอ?” เขายังคงจับจ้องเธอนิ่ง เธอหัวเราะออกมา “จิ้นหยวน คุณรู้จักคำว่าให้เกียรติกันหรือเปล่า? ฉันบอกเรื่องที่ฉันกังวลตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมเข้าใจสักที?” 


 


 


การต้องเผชิญหน้ากับคนก่อกวนไม่เลิกอย่างเขา ต่อให้เธอนิสัยดีมากแค่ไหนก็ต้องทนไม่ไหวกันบ้างล่ะ 


 


 


จิ้นหยวนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เขามุ่นหัวคิ้วดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปเอ่ยกับโอวหยางตวน “ดูเธอเอาไว้” 


 


 


จากนั้นปลีกตัวออกไปรับสายอีกทาง 


 


 


เธอถอนหายใจโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ใครกันหนอที่ใจดีช่วยเธอเอาไว้ทัน 


 


 


เธอนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าต้องรีบปิดประตูเป็นการด่วน ทันใดนั้น โอวหยางตวนปราดเข้าไปขวางตรงหน้าเธอเอาไว้ “คุณเฉียว ขอโทษครับ ตอนนี้คุณยังปิดประตูไม่ได้” 


 


 


“นาย…” เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดตรงๆ แบบนี้ จึงได้แต่ถลึงตาใส่เขาเพราะไม่ได้ดั่งใจ 


 


 


โอวหยางตวนหลุบตาลง ทำราวกับมองไม่เห็นสายตาไม่พอใจของเธอ 


 


 


บรรยากาศระหว่างทั้งสองอึดอัดขึ้นมาทันที 


 


 


ใบหน้าเธอเรียบเฉย แต่ในใจกลับร้อนเป็นไฟ ท่าทางจิ้นหยวนจะต้องพาเธอกลับไปให้ได้ แล้วตอนนี้เธอจะหนีเขาอย่างไรดี? 


 


 


เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น คิดหาสารพัดวิธีภายในเวลาไม่กี่นาที แต่ละวิธีก็ใช้ไม่ได้สักอย่าง ขณะที่เธอกำลังร้อนใจว่าจะทำอย่างไรดีอยู่นั้น จิ้นหยวนก็เดินกลับมาพอดี 


 


 


เธอสังเกตเห็นว่าแววตาของเขามีแววบางอย่างเพิ่มเข้ามา เหมือนความผิดหวัง เหมือนความเสียใจ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก 


 


 


เธอมองเขาหน้าตาเหลอหลา จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ พลางเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน ผมต้องไปแล้ว” 


 


 


เอ่ยจบแล้วยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้โอวหยางตวน พวกเขารีบถอยออกไปอย่างเงียบเชียบทันที 


 


 


เฉียวซือมู่แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “คุณ… คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?” พระเจ้า คงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกใช่ไหม 


 


 


แววตาของจิ้นหยวนแปลกไป “คุณไม่อยากกลับไปกับผมไม่ใช่เหรอ คุณชนะแล้ว” เอ่ยจบแล้วก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว เขามองเธอนิ่ง “ผมจะกลับมาอีก คราวหน้าคุณจะไม่มีทางปฏิเสธผมได้ง่ายๆ อย่างวันนี้อีก มู่มู่” 


 


 


เขางึมงำชื่อเธออยู่ในปาก เสียงของเขาแหบพร่าหากแต่จับใจ เธอหน้าแดงซ่าน ความคิดเกือบจะหลุดลอยไปถึงเรื่องน่าอายที่ไม่ควรคิด 


 


 


หลังจากเอ่ยจบแล้วจิ้นหยวนก็หมุนตัวอย่างเด็ดเดี่ยว เดินก้าวยาวๆ จากไปทันที 


 


 


ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพาเธอกลับไปด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงยอมปล่อยมือง่ายดายแบบนี้ล่ะ? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ที่เขาเพิ่งรับสายเมื่อครู่นี้? 


 


 


ในสมองเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่น่าเสียดาย คนที่สามารถให้คำตอบเธอจากไปเสียแล้ว 


 


 


เสี้ยววินาทีนั้น ภาพแห่งความสุขที่เธอและเขาเคยใช้ชีวิตร่วมกันผุดขึ้นตรงหน้าเธอเป็นฉากๆ เธออยากจะพุ่งออกไปตะโกนเรียกเขาเอาไว้ แล้วบอกกับเขาว่าเธอยินดีกลับไปกับเขา แต่สติสัมปชัญญะยับยั้งเธอเอาไว้เสียก่อน 


 


 


เธอกำมือแน่น ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อตัวเอง 


 


 


บรรยากาศในห้องกลับมาสงบอีกครั้งจนเธอรู้สึกหวาดหวั่น เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ค่อยๆ ปิดประตูลง 


 


 


วันนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายจนเธอมึนงงไปหมด จนแทบไม่รู้เหนือใต้ออกตกแล้ว 


 


 


เธอยืนเหม่อลอย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอกดรับสาย “เฉียว คุณเป็นยังไงบ้าง?” 


 


 


คริสเป็นคนโทรมา ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าจิ้นหยวนกลับไปแล้ว 


 


 


ตอนนี้เธอมีความในใจอัดแน่นอยู่เต็มอก จึงเอ่ยตอบเสียงเบา “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ยังงงๆ นิดหน่อย” 


 


 


“ผมขอโทษ เป็นเพราะผมหุนหันพลันแล่นเกินไปแท้ๆ “ เธอคิดไม่ถึงว่าคริสจะเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษก่อน 


 


 


เธอรีบเอ่ยตอบทันควัน “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักนิด คุณแค่บังเอิญมาเจอเข้าพอดีก็เท่านั้นเอง” ใครจะไปรู้ว่าแค่เธอไม่ได้รับสายโทรศัพท์แล้วคริสจะบุกมาหาเธอถึงที่บ้าน และเธอก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคริสจะจินตนาการไปไกลจนเข้าใจผิดคิดว่าจิ้นหยวนเป็นหัวขโมย 


 


 


เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างประจวบเหมาะพอดิบพอดี แถมเรื่องราวยังหักมุมอย่างกับละครน้ำเน่าหลังสองทุ่มอีกต่างหาก ทำเอาเธอมึนงงจนถึงตอนนี้ 


 


 


จะว่าไปแล้ว คริสคือคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดต่างหาก ให้ตายเขาก็คิดไม่ถึงว่าชายชาวตะวันออกคนนั้นจะมีลูกน้องมากมายอยู่ในมิลาน แถมยังปรากฎกายอย่างทันท่วงทีอีกต่างหาก ดูเหมือนเขาจะดูถูกชายคนนั้นมากเกินไปเสียแล้ว 


 


 


แต่ว่า ต่อให้เขาเก่งกาจมากแค่ไหนแล้วอย่างไรล่ะ? ตอนนี้เขาก็ต้องจากไปแต่โดยดีไม่ใช่หรือ? 


 


 


เขายิ้มบางๆ พลางเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “คุณตกใจมากขนาดนี้ ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะครับ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปทำงานก็ได้” 


 


 


“ค่ะ” เธอตอบรับความหวังดีของเขา เธอลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะวางสายลง “คริส…” 


 


 


“ว่าไงครับ?” 


 


 


“ความจริงฉันโกหกคุณ เมื่อวานที่ฉันขอลางานก็เพราะเจอเขานี่แหละค่ะ” แม้นี่จะเป็นเรื่องเล็ก แต่เธอรู้สึกว่าถ้าไม่ได้อธิบายให้เข้าใจ เธอคงไม่สบายใจแน่ 


 


 


คริสกลับหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้เรื่องนี้แล้ว” 


 


 


“จริงเหรอคะ?” เธอตกใจเล็กน้อย “คุณรู้แล้วอย่างนั้นเหรอคะ?” 


 


 


“ครับ เมื่อวานหลังจากคุณกลับออกจากงานไปแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็เดินตามคุณออกไปทันที เจนนี่จำเขาได้แม่น กลับมาแล้วยังอุตส่าห์มารายงานให้ผมทราบ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งถึงเมื่อกี้นี้ผมถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น” 


 


 


“อย่างนี้นี่เอง ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ” เธอเอ่ยอย่างจริงใจ 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณอยากจะขอโทษจริงๆ ล่ะก็ คุณเล่าเรื่องของชายตะวันออกคนนั้นให้ผมฟังได้ไหมครับ?” 


 


 


“ได้สิคะ” 


 


 


“คือว่าอย่างนี้ ความจริงเราสองคนเพิ่งจะเลิกกันไม่นาน แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันผ่านไปนานมากแล้ว…” 


 


 


อาจจะเป็นเพราะวันนี้เธอเพิ่งจะผ่านเรื่องราวเยอะแยะมากมายจนเธอวางเกราะป้องกันในใจลง และยอมเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองให้เขาฟัง 


 


 


ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายระหว่างเธอกับจิ้นหยวนเหมือนละครน้ำเน่าไม่มีผิด เธอเลือกเล่าเพียงบางเรื่องที่สำคัญเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็เสียเวลาไม่น้อยในการเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟัง 


 


 


เธอเล่าจนคอแหบแห้ง หน้ามืดตาลาย จนต้องยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น เฉียว คุณยังรักเขาอยู่หรือเปล่า?” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเธอนิ่งอึ้ง  

 

 


ตอนที่ 224 ความในใจของเธอ

 

 หรือว่าคริสไม่ได้ยินคำตอบของเธอ เพราะเขารอคำตอบจากเธออยู่สักพักแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบจากเธอเสียที เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “เฉียว คุณยังฟังอยู่หรือเปล่า?” 


 


 


 “ค่ะ ฉันฟังอยู่” เธอดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยตอบ 


 


 


 “คำถามของผมทำให้คุณลำบากใจหรือเปล่า? ผมขอโทษ…” 


 


 


 “เปล่าค่ะ มันเป็นปัญหาของฉันเอง ความจริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกยังไงกับเขา” เธอยิ้มขมขื่น 


 


 


 เมื่อก่อนเธอเคยรู้สึกหวั่นไหวกับจิ้นหยวนจริง แต่หลังจากรู้ว่าเขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียง ความหวั่นไหวนี้ก็อันตรธานหายไปจนสิ้น อย่างน้อย เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ ก่อนที่เธอจะได้พบกับจิ้นหยวนอีกครั้ง 


 


 


 แต่ว่า เสี้ยววินาทีที่เธอได้พบเขาอีกครั้ง เธอรู้สึกชัดเจนว่าก้อนเนื้อในอกที่ตายไปนานแล้วกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เหมือนเธอที่เดินอยู่ในความมืดอันยาวนานได้พานพบแสงสว่างอีกครั้ง มันทำให้เธอทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ 


 


 


 ณ วินาทีนั้น เธอเพิ่งรู้ตัวว่าเธอไม่เคยลืมเขาเลย แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าเขาเป็นสามีของหญิงอื่นแล้วก็เถอะ และนั่นทำให้เธอรู้สึกกลัวจับใจ เพียงแค่ได้เห็นหน้าเขาเธอก็เกิดความคิดแบบนั้นแล้ว ถ้าเกิดเธอตามเขากลับไปจริงๆ แล้วเธอจะกลายเป็นอย่างไร? 


 


 


 เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ และตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่กลับไปกับเขา เธอไม่อยากถูกใครต่อใครประณามว่าเป็นเมียน้อยคนอื่น ไม่อยากกลายเป็นที่รังเกียจของสังคม 


 


 


 โชคดีที่สวรรค์เมตตา ในที่สุดจิ้นหยวนก็เป็นคนปล่อยมือและจากไปเอง มันทำให้เธอโล่งอกมาก แต่ก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ 


 


 


 ความรู้สึกสลับซับซ้อนเช่นนี้เธอพูดมันออกมาไม่ได้ ได้แต่ตอบเลี่ยงๆ ไป แต่ดูเหมือนคริสจะไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว หลังจากคุยเรื่องงานกันอีกเล็กน้อย เขาก็วางสายไป 


 


 


 หลังจากวันนั้น ชีวิตเธอกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม เธอเข้างานและเลิกงานตรงเวลาทุกวัน ได้ใกล้ชิดคริสบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนเรื่องที่เขาชวนให้เธอไปทำอาหารเย็นสุดสัปดาห์นั้น เธอแสร้งทำเป็นลืมไปแล้ว ส่วนเขาเองก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเช่นกัน 


 


 


 แต่ยังมีอีกเรื่องที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต นั่นคือ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอได้รับสายจากจิ้นหยวนแทบจะทุกวัน บางวันเขาแค่โทรมาทักทายสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ และบางวันเขาก็พูดเรื่องนั่นนู่นนี่ยาวเหยียด เธอได้แต่ฟังเขาอยู่เงียบๆ และพูดน้อยมาก 


 


 


 เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรดี จึงได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ 


 


 


 จิ้นหยวนเข้าใจความคิดเธอดี เขาจึงไม่คิดบังคับใจเธอ ถือว่าดีมากแล้วที่เธอยังรับฟังเขาอย่างเงียบๆ เทียบกับตอนที่เธอปฏิเสธเขาอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว ตอนนี้ดีกว่าตั้งเยอะ 


 


 


 ตอนนี้เขารู้สึกพอใจมากแล้ว เขาอยากจะจัดการงานต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อยเร็วๆ จะได้รับเธอกลับมาไวๆ ดังนั้น ช่วงนี้เขาจึงอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากช่วงก่อนที่เขาเอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียด จนลูกน้องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างพากันแปลกใจเป็นแถว และแอบซุบซิบกันเงียบๆ  


 


 


 แต่… เรื่องที่เขาอารมณ์ดีผิดปกติก็ถูกหร่วนเซียงเซียงรู้เข้าจนได้ 


 


 


 แม้เธอจะถูกจิ้นหยวนลงโทษ แต่เพียงไม่นานจิ้นเฮ่าก็รู้เรื่องเข้าจนได้ จิ้นเฮ่าโดดออกมาขอความเห็นใจจากเขา จิ้นหยวนไม่อาจปฏิเสธ อีกทั้งเขากำลังยุ่งเรื่องไปต่างประเทศ ทำให้เรื่องลงโทษเธอค่อยๆ ถูกละเลยไป 


 


 


 หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าจิ้นหยวนยังคงไม่สนใจไยดีเธอเหมือนเดิม ความกล้าของเธอก็กลับมาอีกครั้ง 


 


 


 เธอคอยจับสังเกตอยู่เงียบๆ เธอฉวยโอกาสที่จิ้นหยวนนานๆ จะกลับบ้านตระกูลจิ้นสักครั้ง แอบฟังเขาคุยโทรศัพท์ ในที่สุด วันหนึ่งเธอก็ได้เห็นจิ้นหยวนยิ้มอย่างอ่อนโยน ซึ่งนั่นเป็นรอยยิ้มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน 


 


 


 เสี้ยววินาทีนั้น เธอรู้ทันทีว่าเฉียวซือมู่กลับมาแล้ว 


 


 


 ไม่มีหลักฐาน มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น เธอยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะแอบติดเครื่องดักฟังจิ้นหยวน อาศัยเพียงบทสนทนากระท่อนกระแท่นและสีหน้าอ่อนโยนของเขา สำหรับคนอื่นถือว่าหลักฐานไม่เพียงพอ แต่สำหรับเธอ มันมากเกินพอแล้ว 


 


 


 เธอครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เพลิงโทสะปะทุขึ้นในใจ เฉียวซือมู่ ทำไมตอนนี้เธอถึงยังทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่อีก? ทำไมเธอไม่ตายๆ ไปซะ? 


 


 


 เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เรื่องที่เธอถูกจิ้นหวนหมางเมินทุกเมื่อเชื่อวันยังไม่มีวิธีแก้ปัญหาด้วยซ้ำ ตอนนี้เฉียวซือมู่ยังกลับมาอีก สำหรับเธอแล้ว นี่เป็นข่าวร้ายที่เธอไม่อยากได้ยินมากที่สุดแล้ว 


 


 


 เฉียวซือมู่ ทำไมเธอยังไม่ตายสักที? 


 


 


 ยิ่งคิดยิ่งโมโห ราวกับถูกผีสิง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออกหาคุณนายหร่วนทันที 


 


 


 คุณนายหร่วนรับฟังเธอระบายความทุกข์แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น “ลูกแน่ใจใช่ไหม?” 


 


 


 ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าจิ้นหยวนแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงโผล่มาอีก? 


 


 


 หร่วนเซียงเซียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หนูแน่ใจค่ะ ต้องเป็นมันแน่ๆ!” 


 


 


 “แล้วลูกจะทำยังไงต่อ?” คณนายหร่วนเอ่ยถามอย่างสงบเยือกเย็น 


 


 


 เธอชะงักนิ่งอึ้ง จริงสิ แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ? เธออยาก… ทำให้เฉียวซือมู่ตายๆ ไปซะ! 


 


 


 คุณนายเฉียวฟังคำตอบของเธอแล้วนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นเอ่ยขึ้นถามหร่วนเซียงเซียงท่ำกำลังหงุดหงิดและกระวนกระวายใจ “ลูกตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหม?” 


 


 


 “ค่ะ” เธอกำโทรศัพท์มือถือแน่นจนข้อนิ้วมือขึ้นสีขาว “หนูคิดได้แล้ว มันเป็นฝันร้ายที่ขวางกั้นหนูกับจิ้นหยวนเอาไว้ มีแต่กำจัดมันทิ้งเท่านั้น หนูกับเขาถึงจะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้น ลูกสาวของคุณแม่คงต้องกลายเป็นหม้ายผัวลืมแน่ๆ” 


 


 


 “ดี แม่จะช่วยลูกเอง แต่ลูกต้องจำเอาไว้ ลูกเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน อย่าทำให้เขาเกลียดลูกต่อไปแบบนี้ เข้าใจหรือยัง?” 


 


 


 “ค่ะ!” 


 


 


 จิ้นหยวนไม่รู้ว่าตัวเองถูกหร่วนเซียงเซียงแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์กับเฉียวซือมู่ ยิ่งไม่รู้ว่าเฉียวซือมู่กำลังตกอยู่ในอันตรายเพราะเขา เพราะยามนี้เขามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานตระกูลฉีที่กำลังยั่วยุเขา 


 


 


 ฉีหย่วนเหิง! เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อย่าได้ตกมาอยู่ในมือฉันเชียว ไม่อย่างนั้น ฉันจะทำให้นายไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย! เขาให้สัญญากับตัวเองอยู่ในใจ 


 


 


 ครั้งก่อนที่เขาจำใจต้องปล่อยเฉียวซือมู่ไปก็เพราะได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องว่าในบริษัทมีหนอนบ่อนไส้ ความลับบริษัทถูกขโมย เรื่องนี้หนักหนาสาหัสมากจนเขาต้องยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อบินกลับประเทศทันที ตอนแรกเขากะว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยให้เร็วที่สุดแล้วกลับไปรับเธอ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหย่วนเหิงกลับมาคราวนี้ ฝีมือเขาจะพัฒนาไปไกลมาก กลยุทธ์แต่ละอย่างที่ฉีหย่วนเหิงสร้างปัญหาให้เขา ทำให้เขารับมือแทบไม่ทัน 


 


 


 แผนการรับตัวเฉียวซือมู่กลับจึงต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด และนี่ทำให้เขาอารมณ์เสียอีกแล้ว ลูกน้องที่รู้ต้นสายปลายเหตุต่างพากันอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอีกระลอก 


 


 


 “พี่ใหญ่ ได้เวลาประชุมแล้วครับ” เสียงหลินจื้อเฉิงดังออกมาจากเครื่องอินเตอร์คอมที่ติดตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของจิ้นหยวน 


 


 


 เขาสูดหายใจลึกๆ ติดกระดุมเสื้อสูทหรูที่สั่งตัดเป็นพิเศษให้เรียบร้อย ผลักประตูเปิดออก ก้าวเท้ายาวๆ เดินไปทางห้องประชุม 


 


 


 ฉีหย่วนเหิง ฉันจะไม่มีวันปล่อยนายไปเด็ดขาด 


 


 


 อีกฟากหนึ่ง เฉียวซือมู่กำลังดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เธอเข้างานและเลิกงานตรงเวลาทุกวัน ชีวิตที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดดีขึ้นไม่น้อย เพราะคริสตั้งใจดูแลเธอเป็นอย่างดี เธอจึงมีเงินเหลือพอซื้อของที่ตัวเองชอบได้เป็นครั้งคราว 


 


 


 ช่วงเวลากระชุ่มกระชวยเช่นนี้ทำให้เธอมีความสุขไม่น้อย 


 


 


 แต่ว่า ทะเลที่ดูเงียบสงบใช่ว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำ และชีวิตที่ดูสงบสุขใช่ว่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิตซ่อนอยู่            


 


 


 วันหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารค่ำฝีมือตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอกำลังจะซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มหนานุ่มเพื่อหนีความเหน็บหนาวในเหมันตฤดู จู่ๆ จิ้นหยวนก็โทรศัพท์หาเธอ “มู่มู่ คุณเลิกงานหรือยัง?”  

 

 


ตอนที่ 225 โกรธแล้ว

 

 


 


 


เสียงทุ้มต่ำเซ็กซี่ของเขาดังลอยเข้าหูเธอปุ๊บ เธอก็ขนลุกซู่ปั๊บ “เลิกงานแล้ว กำลังจะเข้านอนค่ะ” 


 


 


เธอตอบตามจริง 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มมุมปาก “อย่างนั้นเหรอ? แล้วตอนนี้คุณสวมชุดอะไรอยู่?” 


 


 


“ก็ชุดนอนนะสิ” เธอตอบโดยไม่ต้องคิด 


 


 


เขาเอ่ยถามขึ้นอีก “ชุดนอนสีดำชุดนั้นหรือเปล่า?” 


 


 


“ไม่ใช่…” เธอกำลังจะตอบ ภาพชุดนอนสีดำลายลูกไม้ชุดนั้นผุดขึ้นมาในสมองทันที เธอหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอย่างห้ามไม่อยู่ ชุดนอนชุดนั้นเป็นชุดนอนที่เขาตั้งใจซื้อให้เธอเป็นพิเศษระหว่างที่ทั้งเขาและเธอไปเดินช้อปปิ้งด้วยกัน เขาซื้อชุดนอนสีดำลายลูกไม้ชุดนั้นให้เธอโดยไม่ฟังคำทัดทานของเธอเลยสักนิด และเธอมีโอกาสใส่มันเพียงแค่ครั้งเดียวก็ต้องโยนมันทิ้ง เหตุผลง่ายมาก ก็เพราะชุดนอนชุดนั้นเป็นชุดนอนที่ทั้งประหยัดเนื้อผ้า ทั้งเบาบางเพราะผลิตจากเนื้อผ้าซีทรูที่เผยให้เห็นเรือนร่างของผู้สวมใส่ให้ดูเซ็กซี่จนคนเห็นต้องเลือดกำเดาพุ่ง  


 


 


สัตว์ป่าในตัวจิ้นหยวนถูกปลุกให้ตื่นทันทีที่เห็นเธอสวมชุดนอนซีทรูสีดำลายลูกไม้สุดเซ็กซี่ชุดนั้น มันมีโอกาสแนบเนื้อเธอไม่ถึงสามนาทีด้วยซ้ำ จากนั้นก็ถึงกาลสิ้นอายุขัย กลับคืนสู่สภาพเดิมของมัน นั่นคือกองเศษผ้าขาดรุ่งริ่ง 


 


 


“อีตาบ้า!” เธอหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอาย 


 


 


น้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของจิ้นหยวนดังลอดมาอีก “ที่รัก ทำไมอารมณ์เสียจัง ผมพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


 เธอเถียงไม่ออก ได้แต่เอ่ยเสียงเข้ม “คุณรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วนี่ว่าพูดอะไรออกมา” 


 


 


“เหรอ?” เขาหัวเราะเบาๆ “พูดตามตรงนะ ผมล่ะอยากเห็นคุณใส่ชุดนอนชุดนั้นอีกสักครั้งจัง คุณจะต้องมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากกว่าเดิมแน่ๆ คุณว่าจริงไหม?” 


 


 


“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ชุดนอนชุดนั้นถูกคุณฉีกจนเละไปแล้ว คุณลืมไปแล้วหรือไง?” เอ่ยจบแล้วชะงักนิ่งอึ้งไปทันที จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ “คุณจำได้จริงๆ ด้วย!” 


 


 


“เปล่าซะหน่อย ฉันจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” หน้าเธอแดงแจ๋เป็นลูกตำลึง 


 


 


ในขณะที่เธอกำลังถูกจิ้นหยวนยั่วอารมณ์จนอยากจะตัดสายทิ้ง เพราะไม่อยากถูกผู้ชายหน้าไม่อายอย่างเขาทำให้เธอโมโหจนตายนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตกใจของหญิงสาวดังลอดมาตามสาย “ว้าย!” 


 


 


เธอหรี่ตาแคบ “นั่นเสียงใคร?” 


 


 


จิ้นหยวนไม่ตอบ เสียงหญิงสาวคนนั้นดังขึ้นอีก “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ อาหยวน คุณอย่าโกรธเลยนะ เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะคะ” 


 


 


จากนั้นไม่มีเสียงใดๆ ดังลอดออกมาอีก จิ้นหยวนเองก็เงียบไปเช่นเดียวกัน ในโทรศัพท์เงียบเป็นเป่าสาก เฉียวซือมู่กัดฟันกรอด เธอจำเสียงของผู้หญิงคนนั้นได้ นั่นเป็นเสียงของหร่วนเซียงเซียง ภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของจิ้นหยวน ผู้หญิงที่นอนข้างกายเขาได้อย่างเต็มภาคภูมิ! 


 


 


แล้วเธอเป็นใครกัน! 


 


 


ตอนแรกความโกรธปะทุขึ้นมาในใจก่อน จากนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรันทดใจแทน เธอไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว จึงกดตัดสายอย่างเงียบๆ 


 


 


จิ้นหยวนมองหร่วนเซียงเซียงที่แสร้งเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนตัวเขาด้วยสายตาเย็นเยือก สีหน้ารำคาญใจถึงที่สุด “พอแล้ว เธอออกไปได้แล้ว” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงถือกระดาษเช็ดหน้าเอาไว้ในมือ พยายามคลี่ยิ้มสวย ยืดตัวยืนตรง แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินออกไป 


 


 


จิ้นหยวนไม่ชายตาแลเธอแม้เพียงหางตา เขากลับมาให้ความสนใจโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมืออีกครั้ง แต่พอเขาแนบโทรศัพท์มือถือกับหูตัวเอง กลับได้ยินเพียงเสียงดังตู๊ดๆ เท่านั้น 


 


 


สายถูกตัดไปแล้ว 


 


 


เขาชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นกดโทรออกอีกหลายครั้ง แต่กลับไร้คนรับสาย 


 


 


สีหน้าเขาเข้มขึ้น ปรายตามองไปยังทิศทางที่หร่วนเซียงเซียงเพิ่งจะเดินจากไปด้วยสายตาเย็นเยียบ เมื่อครู่เขากำลังคุยสายกับเฉียวซือมู่อยู่ดีๆ จู่ๆ หร่วนเซียงเซียงก็วิ่งเข้ามาพร้อมแก้วน้ำในมือ และน้ำในแก้วก็หกรดลงบนตัวเขาเต็มๆ เธอกระวีกระวาดเช็ดตัวให้เขา เขาไม่คิดเลยว่าเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีจะทำให้หญิงสาวที่อยู่อีกฟากสายโกรธได้ขนาดนี้ 


 


 


ดี คอยดูก็แล้วกัน 


 


 


จิ้นหยวนจดหนี้แค้นนี้เอาไว้ในบัญชีแค้นของหร่วนเซียงเซียงเรียบร้อยแล้ว 


 


 


หลังจากเฉียวซือมู่ตัดสายไปแล้วก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจมาก ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเล่นโทรศัพท์มือถือ เธอจึงปิดเปลือกตาลงหมายจะนอนหลับ แต่พอปิดเปลือกตาลงกลับเห็นแต่ภาพของจิ้นหยวนเต็มไปหมด 


 


 


แบบนี้เธอจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร!  


 


 


เธอกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง จากนั้นผุดลุกขึ้นนั่ง “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีคุณแล้วฉันจะนอนไม่หลับ!” 


 


 


เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เห็นเบอร์โทรศัพท์ของจิ้นหยวนที่เธอไม่ได้รับสายหลายสายแล้วทำเป็นเมินเฉย เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของจิ้นหยวนเสียเลย จากนั้นโทรศัพท์ติดต่อคริส “ฮัลโหล คริส คุณมีอะไรสนุกๆ ให้ทำหรือเปล่าคะ?” 


 


 


คริสชะงักอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาเป็นประกายวาบ “ความจริง ผมมีเรื่องอยากรบกวนคุณอยู่พอดีเลย” 


 


 


“เรื่องอะไรคะ?” เธอกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตอนนี้เธอกลัวแต่ว่าจะไม่มีเรื่องให้เธอทำ เพราะถ้าเธอว่างเมื่อไหร่ เป็นต้องนึกถึงแต่เรื่องของจิ้นหยวนทุกที 


 


 


“คุณช่วยอะไรผมสักอย่างสิครับ” น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยน 


 


 


“ให้ช่วยอะไรเหรอคะ?” เธอค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย เพราะคนอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะเอ่ยขอให้ใครช่วยอะไรง่ายๆ เธอรู้ตั้งนานแล้วว่าเขาเป็นคนประเภทอ่อนนอกแข็งใน 


 


 


“เป็นเรื่องที่ง่ายมาก พอดีผมต้องไปงานเลี้ยงค็อกเทล แต่บังเอิญยังขาดคู่ควงออกงาน ผมก็เลยอยากจะขอให้คุณช่วยสักครั้ง ช่วยไปเป็นคู่ควงให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?” น้ำเสียงของเขาฟังดูสบายๆ ราวกับเรื่องที่กำลังพูดเป็นเพียงเรื่องเล็กกระจ้อยร่อยเท่านั้น  


 


 


“แต่ว่า…” เธอชักจะลังเลขึ้นมาเสียแล้วสิ ความจริงเธอไม่ค่อยชอบงานแบบนั้นสักเท่าไหร่ เพราะคนในงานต่างพยายามเชื่อมสัมพันธ์กันสุดฤทธิ์ เอาแต่ปั้นยิ้มไม่ต่างจากคนบ้า เธอยอมหมกตัวอยู่ในผ้าห่มดูละครรักน้ำเน่ายังดีเสียกว่า 


 


 


รู้อย่างนี้เธอไม่โทรหาเขาหรอก เรื่องสนุกที่เธอพูดถึงไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย 


 


 


“คุณไม่ต้องกังวล งานเลี้ยงค็อกเทลครั้งนี้จัดอย่างเป็นทางการ แขกที่มาร่วมงานเป็นสุภาพบุรุษทุกคน” เขาคิดว่าเธอเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย จึงพยายามอธิบายเพื่อให้เธอคลายกังวล 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ…” เธอยังคงสองจิตสองใจ “ฉันไม่มีชุดที่จะใส่ไปร่วมงานน่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยเสียงร่าเริง “เดี๋ยวผมพาคุณไปซื้อเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ผมรับผิดชอบเอง”  


 


 


 เขาวางสายทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธ 


 


 


เธอมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างงงๆ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะหาเรื่องสนุกๆ ทำไม่ใช่เหรอ นี่ก็สมความปรารถนาของเธอแล้วนี่ 


 


 


เธอพลิกตัวแล้วลุกออกจากเตียง เธอแต่งตัวง่ายๆ ใส่รองเท้าเสร็จก็ได้ยินเสียงรถยนต์ของคริสขับเข้ามาจอดใต้อาคารพอดี 


 


 


เธอปิดประตูวิ่งลงบันได สะพายกระเป๋าแล้วก้าวขึ้นรถ ก่อนขึ้นรถเธอนึกถึงเรื่องที่เธอเพิ่งรู้จักคริสช่วงแรกๆ แล้วถูกแอบถ่ายจนขึ้นพาดหัวข่าวใหญ่ขึ้นมาได้ เธอรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ หันมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง 


 


 


คริสยิ้มบางๆ “กลัวถูกแอบถ่ายอีกเหรอครับ?” 


 


 


“ค่ะ ครั้งก่อนฉันถูกคนแปลกหน้าคอยจับผิดคอยนินทาลับหลังแล้วรู้สึกแย่มาก” เธอตอบตามตรง 


 


 


“เฉียว คุณนี่น่ารักจริงๆ” เขาหัวเราะเสียงดัง “คุณกำลังได้รับความสนใจเหมือนดาราดังเลยนะ ผู้หญิงอีกตั้งเยอะแยะอยากได้รับเกียรตินี้จะแย่ แต่ก็ไม่มีโอกาสเลยนะครับ” เอ่ยจบแล้วยังหันมาขยิบตาให้เธอเป็นนัยๆ อีกต่างหาก 


 


 


“เธอชะงักเล็กน้อยแล้วส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันพอใจที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายธรรมดา เดินอยู่บนถนนจะได้ไม่ต้องมีใครสังเกตเห็น” 


 


 


“ความคิดคุณแปลกมาก” คริสส่ายศีรษะน้อยๆ “วางใจเถอะ เรื่องคราวก่อนเป็นฝีมือของนักข่าวมือใหม่ของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง เขาได้รับบทลงโทษแล้ว เชื่อผมเถอะ ไม่มีใครหน้าไหนในมิลานกล้าแอบถ่ายเราสองคนอีกแล้วล่ะครับ” แม้คำพูดของเขาจะฟังดูราบเรียบ แต่เธอกลับสัมผัสถึงความกระหายเลือดที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาได้อย่างชัดเจน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม