ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 217-224

 ตอนที่ 217 พี่เจียงในความฝัน


 


 


คุณป้าหูยกอาหารทั้งหมดมาจัดเรียงบนโต๊ะ จากนั้นกล่าวรายงานฟังจือหันสองสามประโยค ก่อนจะขอตัวกลับ


 


 


ตอนที่อวี๋กานกานกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น เธอบอกกับฟังจือหันว่าอีกเดี๋ยวเธอก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ฟังจือหันไม่ขัดข้อง ทำเพียงแค่ให้กุญแจเธอไว้หนึ่งดอก เผื่อเธอมีเวลาว่างจะได้มาเยี่ยมยาจุดกันยุง


 


 


อวี๋กานกานชอบแมว โดยเฉพาะแมวน่ารักๆ แต่เธอไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อนเลย ตอนที่ย้ายบ้านเธอมีความคิดอยากจะเลี้ยงจึงถามเหอสือกุย แต่ว่าเหอสือกุยไม่ชอบแมว ยิ่งไม่ชอบให้ทั่วห้องห้องเต็มไปด้วยขนแมว โครงการนี้จึงถูกวางพักไว้ก่อน ถ้ามีเวลาว่างเธอจะมาหายาจุดกันยุงแน่


 


 


หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟังจือหันเดินเข้าไปในห้องหนังสือ อวี๋กานกานคิดมาตลอดว่าฟังจือหันน่าจะอยู่ว่างๆ ไปวันๆ ไม่ทำอะไร จึงแอบดูจากด้านนอกอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งที่ไปแอบดูกลับพบว่าเขาทำงานอยู่ตลอด นี่ก็สามทุ่มแล้ว แม้ว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะไม่มีสัมมนา แต่เธอก็ควรจะกลับได้แล้ว


 


 


อวี๋กานกานเดินไปแอบดูฟังจือหันอีกครั้ง เขากำลังประชุมออนไลน์ผ่านวิดีโออยู่ซึ่งเธอก็ไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ จึงไปนอนเล่นอยู่บนโซฟาห้องรับแขก ดูทีวีฆ่าเวลารอฟังจือหัน


 


 


เวลาล่วงเลยผ่านไป ความง่วงเริ่มเข้าครอบง่ำ เปลือกตาของอวี๋กานกานค่อยๆ ตกลง ก่อนจะหลับคาโซฟา


 


 


ฟังจือหันสะสางธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกมาก็มองเห็นอวี๋กานกานหลับอยู่บนโซฟา นอนบนโซฟาในห้องรับแขกตอนฤดูหนาว ต่อให้มีฮีตเตอร์ก็ยังเย็นมากอยู่ดี คนที่กลัวหนาวอย่างอวี๋กานกานจึงขดตัวเป็นวงกลม


 


 


ฟังจือหันหรี่สายตาลงมองอย่างไม่พอใจ เดินปรี่เข้าไปอุ้มอวี๋กานกานในท่าเจ้าสาว พาไปยังห้องนอน ตอนที่กำลังผ่านประตูห้องนอนนั้น แขนของอวี๋กานกานห้อยตกลงมากำลังจะฟาดเข้ากับวงกบประตู ฟังจือหันหมุนตัวอย่างรวดเร็วทำให้แขนของอวี๋กานกานไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ทว่าแขนของเขากลับกระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างจังจนเกิดเป็นรอยช้ำหลายรอย


 


 


ฟังจือหันยังคงรักษาสีหน้าได้อย่างเรียบนิ่ง แม้แต่หางคิ้วก็ไม่กระตุก อุ้มอวี๋กานกานไปวางลงบนเตียง หลังจากที่ห่มผ้าให้แล้ว ฟังจือหันไม่ได้ออกจากห้องไปในทันที เขานั่งลงข้างเตียง นัยน์ตาลึกล้ำหลุบลงต่ำ จ้องไปที่ดวงหน้าของอวี๋กานกาน สายตาของเขาเปรียบเหมือนพู่กันและน้ำหมึกที่กำลังขีดเขียนอยู่บนใบหน้าของอวี๋กานกาน


 


 


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฟังจือหันใช้นิ้วมือเรียวยาวเกลี่ยเส้นผมของอวี๋กานกานออกอย่างนุ่มนวล จากนั้นประทับจูบลงไปที่หน้าผากเบาๆ ราวกับแมลงปอบินระน้ำ เหมือนกลัวว่าจะปลุกอวี๋กานกานตื่น


 


 



 


 


อวี๋กานกานดำดิ่งลงไปในห้วงนิทรา เธอฝันอีกแล้ว เป็นฝันที่จะฝันถึงทุกครั้งเมื่อหิมะตก


 


 


ท่ามกลางหิมะ เด็กคนนั้นเอาแต่ตะโกนสั่งเธอ “รีบวิ่งสิ รีบวิ่ง…”


 


 


แต่กลับเธอวิ่งเข้าไปสวมกอดเด็กคนนั้นแน่น ร้องไห้งอแงพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พี่เจียง พี่เจียง…”


 


 


อวี๋กานกานตื่นจากความฝัน รู้สึกคัดจมูกและเวียนศีรษะเล็กน้อย เมื่อวานเธอใส่เสื้อบางไปหน่อย ทั้งยังถ่ายโฆษณาตั้งนาน บวกกับนอนบนโซฟาอีก น่าจะเริ่มจับไข้แล้ว มีสัญญาณที่จะป่วยเป็นหวัด


 


 


อวี๋กานกานพลิกตัว เหลือบไปเห็นยาจุดกันยุงที่นอนขดตัวอยู่ตรงมุมเตียง เธอคลี่ยิ้มออกมาทั้งที่ยังสะลึมสะลือ ยื่นมือไปลูบหัวเจ้ายาจุดกันยุง หิมะตกทีไร เธอมักจะฝันถึงเรื่องแปลกๆ เรื่องนั้นตลอด เวลาก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เธอก็ยังฝันถึงเรื่องนั้นเรื่อยมา


 


 


เธอเคยถามซงฉยาไป๋และเหอสือกุย รวมทั้งคนอื่นๆ ว่าพวกเขายังหลงเหลือความทรงจำเมื่อตอนหกเจ็ดขวบไหม ส่วนใหญ่มักจะตอบว่าจำไม่ได้ คนเราเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นก็จะค่อยๆ ลืมเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว ต่อให้จำได้ก็เป็นเพียงภาพความทรงจำเลือนรางเท่านั้น


 


 


เรื่องราวในวัยเด็กที่เธอจำได้มีน้อยมาก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมเธอถึงยังฝันถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด


 


 


ทุกๆ ปีขอแค่หิมะตกหรือแค่มองเห็นหิมะ มันจะกระตุ้นให้เธอฝันถึงเหตุการณ์นั้น เธอเองก็ไม่รู้ว่าความฝันนั้นซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า เช่น…แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นใคร เพราะเธอเพิ่งมาอยู่กับคุณปู่เมื่อตอนอายุเจ็ดขวบ   


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 218 ทำไม่เป็น เดี๋ยวผมสอน


 


 


รุ่งอรุณของท้องฟ้าฤดูหนาวค่อนข้างอึมครึม ราวกับม่านหมอกยามค่ำคืนยังไม่จางหายไป


 


 


ประตูของนอนของฟังจือหันเปิดทิ้งไว้ อวี๋กานกานยืนอยู่ด้านนอกกำลังจะชะโงกศีรษะเข้าไปดู แต่ฟังจือหันเดินออกมาเสียก่อน “ตื่นแล้วเหรอ”


 


 


เสียงทุ่มต่ำของชายหนุ่มที่เพิ่งตื่นจากนิทราแฝงไว้ด้วยความแหบแห้งเซ็กซี่


 


 


อวี๋กานกานมองฟังจือหันแล้วกล่าว “เอ่อ ฉันจะกลับแล้ว ตอนบ่ายต้องเข้าสัมมนา นายยังไม่คืนโทรศัพท์ฉันเลย” อวี๋กานกานแบมือ


 


 


ฟังจือหันยืนผิงประตูด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เดี๋ยวผมไปส่ง”


 


 


“งั้นนายก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟันซะ” อวี๋กานกานพูดพลางใช้นิ้วมือชี้ไปที่คางของตนเอง


 


 


คางของชายหนุ่มหลังตื่นนอนเริ่มมีไรหนวดเล็กๆ ขึ้น ดูรวมๆ แล้วให้ความรู้สึกดูดีแบบชายหนุ่มขี้เซา


 


 


ฟังจือหันยกมือขึ้นมาลูบคางของตัวเอง จ้องมองมาที่อวี๋กานกานเงียบๆ ด้วยสีหน้าเอื่อยเฉื่อย จากนั้นพูดขึ้นมา “คุณช่วยผมโกนสิ”


 


 


อะไรนะ ช่วยฟังจือหันโกนหนวด? ทีแรกอวี๋กานกานนึกว่าตัวเองฟังผิด เบิกตาโต “…”


 


 


ฟังจือหันยกแขนขึ้น แสดงความอ่อนแอ “แขนผมเจ็บ”


 


 


อวี๋กานกานเลื่อนสายตามองไปยังแขนของฟังจือหัน เหมือนไปขูดกับอะไรบางอย่าง มีรอยจ้ำเลือดอยู่หลายรอยจริงๆ ด้วย แต่นี่ไม่ถึงขั้นที่ทำให้เขาโกนหนวดด้วยตัวเองไม่ได้


 


 


อวี๋กานกานยกมือปฏิเสธ “นายโกนเองเถอะ ฉันทำไม่เป็น”


 


 


“ผมสอน”


 


 


อวี๋กานกานกำลังจะเดินหนี ฟังจือหันคว้าข้อมือของเธอไว้ ลากไปยังห้องอาบน้ำ


 


 


แสงไฟสีเหลืองสลัวๆ ในห้องน้ำส่องลงมาจากบนศีรษะของฟังจือหัน ฟังจือหันหลุบสายตาลงต่ำมองอวี๋กานกาน แววตาลึกซึ้งพราวเสน่ห์


 


 


อวี๋กานกานกระพริบตา เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตรงหน้า ปฏิเสธรอบสอง “ฉันทำไม่เป็นจริงๆ”


 


 


“หัด” ทั้งครีมโกนหนวดและมีดโกนถูกยัดใส่มืออวี๋กานกาน


 


 


“ทำไมฉันต้องหัดด้วย ฉันไม่มีหนวดซะหน่อย”


 


 


“ผมมี”


 


 


“นายมีนายก็โกนเองสิ”


 


 


“แขนผมเจ็บเพราะอุ้มคุณ…” ฟังจือหันเดินไปนั้งลงตรงขอบอ่างอาบน้ำที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเงยคางขึ้นเล็กน้อย รออวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าฟังจือหันน่าจะโกหก เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา เธอบีบครีมโกนหนวดออกมาจากนั้นทาลงบนคางของฟังจือหัน ผ่านครีมโกนหนวดที่คั่นระหว่างกลาง อวี๋กานกานสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทิ่มแทงเบาๆ จากไรหนวด เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับในหัวใจโดนอะไรบางอย่างสะกิดจนเกิดความรู้สึกจั๊กจี้


 


 


หลังจากทาครีมโกนหนวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี๋กานกานกดเปิดเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ถึงเป็นเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า อวี๋กานกานก็ยังไม่กล้าลงมือ “ถ้าบาดโดนนายขึ้นมา อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”


 


 


“อือ”


 


 


ฟังจือหันหลับตา มอบทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกากลั้นหายใจ เคลื่อนใบมีดโกนไปยังตำแหน่ง จากนั้นขยับอย่างระมัดระวัง


 


 


การโกนหนวดน่าจะเป็นเรื่องง่ายดายเรื่องหนึ่ง ทว่าอวี๋กานกานตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นแสนเข็นซะเหลือเกิน แค่ไม่กี่นาทีเหมือนกับหลายเดือน


 


 


หลังจากที่โกนเสร็จ อวี๋กานกานถอนหายใจดังเฮือก เธอเงยหน้าขึ้น สบเข้ากับสายตาลึกซึ้งของฟังจือหันที่กำลังจ้องมาที่เธอ ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ลมหายใจร้อนผ่าวของฟังจือหันรดลงบนริมฝีปากของเธอ หัวใจเต้นสะเปะสะปะขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


 


อวี๋กานกานรีบก้าวถอยหลัง ทว่าเอวกลับถูกโอบเอาไว้ ตามด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลดึงเธอเข้าไป ในตอนที่เธอรู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ตักของฟังจือหันอย่างสุ่มเสี่ยง


 


 


นี่มันเป็นท่าที่ช่างยั่วยวนชวนให้คิดลึกจริงๆ


 


 


ฟังจือหันทั้งอันตรายและเผด็จการ แถมยังเป็นเด็กหวงของ


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงตาของอวี๋กานกานเบิกโพลง ไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า


 


 


ฟังจือหันกอดเธอเอาไว้แน่น จังหวะหายใจร้อนแรงและหนักหน่วง มืออีกข้างวางไว้บนท้ายทอยของเธอ จากนั้นออกแรงดันอย่างไม่ลังเลให้หน้าผากของอวี๋กานกานมาชนกับหน้าผากของตัวเอง


 


 


อวี๋กานกานกลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ รับรู้เพียงแค่ว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวประหนึ่งเสียงท้องฟ้าคำราม…


ตอนที่ 219 เหตุไม่คาดคิด


 


 


อวี๋กานกานกลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ รับรู้เพียงแค่ว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว หัวใจเต้นรัวประหนึ่งเสียงท้องฟ้าคำราม…


 


 


อวี๋กานกานมองชายตรงหน้าด้วยแววตาสับสน นัยน์ตาดำขาวแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน แววตาที่ตลอดมาใสซื่อบริสุทธิ์ ตอนนี้ดูเหมือนถูกเคลือบไว้ด้วยความต้องการลางเลือน ยิ่งชวนให้ใจเตลิด


 


 


หน้าผากของฟังจือหันชนกับหน้าผากของอวี๋กานกาน เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ทำให้ปลายจมูกเฉี่ยวโดนใบหน้าของเธอเบาๆ ตะกอนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ตลบอบอวลไปทั่วอากาศ บรรยากาศละมุนละไม เย้ายวนให้มัวเมา


 


 


ฟังจือหันสบตาอวี๋กานกาน จากนั้นเลื่อนสายตาลงเล็กน้อยหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ


 


 


อวี๋กานกานเองก็จ้องมองไปที่ฟังจือหัน สายตาเลื่อนลอยเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงที่ริมฝีปากบางของเขาเช่นกัน


 


 


ใบหน้าของฟังจือหันเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ เหมือนกับจะประทับจูบลงมา ดวงตาของอวี๋กานกานจู่ๆ ก็อ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน แพขนตาสั่นไหว ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลง


 


 


ทันใดนั้นเองจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังลอดมาจากในห้อง


 


 


ฟังจือหันชะงักไปในทันที จากนั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจข้างหูของอวี๋กานกานอย่างแรง


 


 


อวี๋กานกานเองก็สะดุ้ง ได้สติคืนกลับมา จุมพิตที่คาดเดาเอาไว้ว่าจะเกิดยังไม่ทันได้ประทับลงมา ในขณะเดียวกันเธอเองก็ประหลาดใจที่ภายในใจลึกๆ ของตัวเอง กลับเฝ้ารอจูบของฟังจือหัน


 


 


อวี๋กานกานตกใจ ผลักฟังจือหันแล้วลงมาจากตักของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นหมุนตัววิ่งออกไป เสียงเรียกเข้าดังมาจากโทรศัพท์ของเธอซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงของฟังจือหัน อวี๋กานกานเดินตรงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เป็นสายจางจังซ่า ทันทีอวี๋กานกานกดรับเสียงของจังซ่าก็ดังพรวดขึ้นมา “ปลาน้อย ตอนนี้ว่างไหม”


 


 


อวี๋กานกานรับรู้ถึงความร้อนใจผ่านน้ำเสียงจากโทรศัพท์ เธอรีบสลัดความคิดยุ่งเหยิงต่างๆ ออกจากหัว ถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


จังซ่า “คุณอาของฉันป่วยน่ะ ให้คุณหมอที่โรงพยาบาลฉันตรวจดูแล้ว เขาแนะนำให้ไปแผนกจิตเวช แต่ก่อนหน้านี้คุณอาฉันก็แข็งแรงดี ตอนนี้เธอว่างไหม ช่วยมาดูอาการอาฉันหน่อย”


 


 


แม้ว่าอวี๋กานกานจะเรียกจังซ่าว่ารุ่นพี่ แต่จังซ่ารู้ดีว่าวิชาแพทย์ของเธอสู้อวี๋กานกานไม่ได้ สมัยนั้นที่เธอเรียนแพทย์แผนจีนกับปู่เหอ ที่อวี๋กานกานเรียกเธอว่าศิษย์พี่เป็นเพราะเธออายุมากกว่าจึงต้องเคารพและเรียกตามมารยาท ทั้งที่จริงช่วงเวลาที่ปู่เหอมาสอนด้วยตัวเองนั้นมีน้อยมาก โดยส่วนมากแล้วจะเป็นอวี๋กานกานที่เข้ามาสอนแทนปู่เหอว่าอาการแบบนี้ควรรักษาอย่างไร


 


 


เมื่อโรงพยาบาลแนะนำให้ส่งตัวอาไปแผนกจิตเวช เธอจึงนึกถึงอวี๋กานกานเป็นคนแรก หวังว่าจากมุมมองของแพทย์แผนจีนจะมีวิธีรักษาอาการนี้


 


 


อวี๋กานกานพูดปลอบ “ใจเย็นๆ นะคะพี่ ช่วงเช้าหนูพอมีเวลาว่าง เดี๋ยวหนูไปหาค่ะ พี่ส่งที่อยู่มาในมือถือหนูนะคะ”


 


 


“โอเค”


 


 


หลังจากที่คุยสายเสร็จแล้ว เมื่ออวี๋กานกานหมุนตัวก็เห็นฟังจือหันที่ยืนอยู่พอดี


 


 


ฟังจือหันยืนพิงตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย มองมาที่เธอด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่


 


 


อวี๋กานกานนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จู่ๆ ก็รู้สึกเคอะเขินและกระอักกระอวนขึ้นมา ทั้งแขนและขาเกร็งไปหมด ไม่รู้จะวางตรงไหนดี ทำได้เพียงแค่มองฟังจือหันด้วยสายตาเลิกลั่ก


 


 


ฟังจือหันยกยิ้ม ถาม “เป็นอะไร หืม”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “คุณอาของรุ่นพี่ฉันป่วยน่ะ หมอที่โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าเป็นอาการป่วยทางจิต ฉันจะไปดูซะหน่อย”


 


 


“อือ กินข้าวเช้าก่อน เดี๋ยวผมไปส่ง”


 


 


ฟังจือหันเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อออกมาเปลี่ยน อวี๋กานกานเดินออกมาจากห้องนอนไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า


 


 


อวี๋กานกานทำบะหมี่ทั้งสองถ้วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว จังหวะที่ยกออกมาตรงกับฟังจือหันที่อาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วพอดี


 


 


หลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกเข้าเดินทางไปหอพักของอวี๋กานกานก่อน เนื่องจากกล่องอุปกรณ์ของอวี๋กานกานอยู่ที่นั้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 220 สนิทสนมกับคนไข้ขนาดนี้เชียว


 


 


บ้านของจังซ่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก เพียงแต่ว่าการจราจรในตอนเช้าค่อนข้างติดขัด กว่าอวี๋กานกานจะได้กล่องอุปกรณ์แล้วออกเดินทางจนถึงที่หมาย ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมง


 


 


เมื่อจังซ่าเห็นหน้าอวี๋กานกานก็จับลากเข้าไปในห้องทันที ภายในห้องมีชายวัยกลางคนนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมโซเหลือแต่กระดูก โดยมีอาสะใภ้คอยดูแลอยู่ข้างๆ


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างตกใจ หันไปมองจังซ่า “เกิดอะไรขึ้น ป่วยมานานแล้วเหรอคะ”


 


 


จังซ่าถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ป่วยมาระยะหนึ่ง เพราะเป็นโรคบิดต้องระวังเรื่องอาหารการกิน ก็เลยซูบลงไปเยอะ แต่ร่างกายน่าจะกลับมาเป็นปกติดีแล้วนะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าช่วงนี้เป็นอะไรไปอีก จู่ๆ ก็สติเลอะเลือน บางทีก็จำลูกหลานคนรู้จักไม่ได้ บางครั้งออกไปด้านนอกคนเดียวก็กลับบ้านไม่ถูก เดี๋ยวนี้ก็เลยไม่ให้ออกไปไหนแล้ว แถมบางครั้งยังร้องโหวกเหวกโวยวายขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ถ้าไม่ร้องก็จะนั่งเหม่อลอยไม่พูดไม่จา ก่อนหน้านี้เคยตรวจที่ไป๋หยาง แต่หาสาเหตุไม่ได้ ก็เลยให้ลองมาตรวจที่ปักกิ่ง คุณหมอบอกให้ไปแผนกจิตเวช”


 


 


จังซ่าพูดพลางยื่นประวัติการรักษาที่ผ่านมาทั้งหมดให้อวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานรับมา เปิดออกดู ชื่อคนไข้ที่อยู่ในประวัติทำให้เธอถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย ‘จังหรงเปียว’ เธอเคยเห็นชื่อนี้มาก่อน เป็นหนึ่งในชื่อประวัติคนไข้ที่อาจารย์เก็บไว้


 


 


หลังจากที่ได้อ่านประวัติการรักษาแล้ว อวี๋กานกานนั่งลงข้างๆ เริ่มทำการตรวจชีพจรให้จังหรงเปียว


 


 


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า


 


 


หลังจากที่ตรวจชีพจรแขนด้านนี้เสร็จแล้ว เธอก็เปลี่ยนไปตรวจแขนอีกข้าง บรรยากาศภายในห้องเงียบเชียบ สายตาของอาสะใภ้จดจ้องอยู่ที่อวี๋กานกานโดยไม่ละสายตาแม้แต่น้อย


 


 


จังซ่าลูบไหล่อาสะใภ้ให้เธอผ่อนคลาย จากนั้นเดินไปรินน้ำให้อวี๋กานกาน ในตอนนี้นี่เองที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนุ่มหล่อที่เจอที่ร้านคาราโอเกะเมื่อวันนั้นก็มากับอวี๋กานกานด้วย หมอนั่นนั่งเงียบๆ อยู่บนโซฟา ความหล่อเหลาของเขา เมื่อมองเข้าไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนราวกับว่าวิญญาณกำลังถูกช่วงชิง


 


 


ฟังจือหันสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา เขาปรายตามามองจังซ่าแวบหนึ่ง สัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบบางเบา


 


 


ครั้งก่อนปลาเค็มน้อยบอกว่าหมอนี่เป็นแค่คนไข้คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ จังซ่าไม่เคยเห็นหมอคนไหนที่สนิทสนมกับคนไข้จนถึงขั้นขนาดออกตรวจก็ยังหนีบมาด้วย


 


 


ยัยเด็กแสบ มีแฟนแล้วกับรุ่นพี่ก็ยังปกปิด


 


 


เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋กานกานตรวจชีพจรเสร็จแล้ว เธอถ่างหนังตาของจังหรงเปียวขึ้นเพื่อดูลูกตา ต่อด้วยตรวจดูฝ้าบนลิ้น


 


 


อาสะใภ้รีบเดินเข้ามา ถามด้วยความกังวล “เป็นไงคะ”


 


 


อวี๋กานกานมีสีหน้าเคร่งเครียด ถาม “ก่อนหน้านี้ที่ไป๋หยาง ไม่ทราบว่ารักษาที่โรงพยาบาลอะไรคะ”


 


 


จังซ่ากลัวว่าอาสะใภ้จะพูดได้ไม่ชัดเจนพอ จึงออกตัวพูดแทน “สามเดือนก่อนหน้านี้รักษาที่โรงพยาบาลป๋อจือ ตรวจออกมาว่าเป็นโรคบิด ทั้งยังมีแนวโน้มเป็นมะเร็งด้วย ตอนนั้นใช้ยาที่โรงพยาบาลจ่าย ทานเข้าไปแล้วรู้สึกเวียนหัวตื้อๆ ก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำเมืองไป๋หยางอีกที แต่ผลออกมาว่าไม่มีแนวโน้มของอาการมะเร็ง เป็นแค่โรคบิดธรรมดาที่อาการหนักหน่อยก็เท่านั้น คุณหมอจ่ายยาให้ หลังจากทานยาแล้ว อาการดีขึ้นค่อนข้างมาก ฉันยังจัดยาจีนบำรุงให้สองสามชุดอยู่เลย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ คุณอาก็สติเลอะเลือน หมอที่ไป๋หยางหาสาเหตุไม่เจอ ฉันก็เลยให้พวกเขาลองมาตรวจที่ปักกิ่ง…”


 


 


“เคยตรวจเลือดไหมคะ”


 


 


“เคย ผลตรวจปกติดี” จังซ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถาม “ผลที่เธอตรวจได้คือ?”


 


 


“ไม่เกี่ยวกับโรคบิดเลยค่ะ ทั้งนอกและในอ่อนแอ นอกร้อนในเย็น ลมปราณก่อโรคเข้าจู่โจมโดยตรง น่าจะภาวะเป็นพิษเนื่องจากยา[1]”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ภาวะเป็นพิษเนื่องจากยา (Drug Toxicity) สาเหตุมาจากการรับประทานยาผิดชนิด รับประทานยาเกินขนาด แพ้ยา หรือฤทธิ์ของยาแรงเกินไป


ตอนที่ 221 ให้คุณฟังช่วย


 


 


จังซ่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “ภาวะเป็นพิษเนื่องจากยา?”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า “น่าจะกินยาบางชนิดที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทอย่างรุนแรงเข้าไป ยาจำพวกนี้ส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อระบบประสาท เป็นไปได้ว่าผลข้างเคียงของยามีน้อยมากจึงตรวจไม่พบในเลือด แต่สารพิษเล็กๆ พวกนั้นถูกเก็บสะสมอยู่ในร่างกาย นานวันเข้าก็ส่งผลต่อระบบประสาท”


 


 


จังซ่ารีบถามอาสะใภ้ “คุณอาช่วงนี้ทานยาอะไรบ้างคะ”


 


 


อาสะใภ้ตอบด้วยสีหน้าร้อนรน “มีพวกยาจีนบำรุงที่อาซื้อตามใบสั่งยาที่หนูเขียนให้ ส่วนยาแผนตะวันตกหลังจากที่หายดีแล้วก็ไม่ได้กลับไปกินอีกเลย”


 


 


อวี๋กานกานถาม “ยังมียาเหลืออยู่ไหมคะ”


 


 


อาสะใภ้ส่ายหน้า “ไม่เหลือเลยจะ”


 


 


อวี๋กานกานหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนใบสั่งยาให้จังซ่าสองชุด “ตัวหนึ่งใช้ภายนอกอีกตัวใช้ภายใน เรื่องวิธีใช้พี่น่าจะทราบดีอยู่แล้ว หนูให้ลองเทียบยานี้ดูก่อน พี่คอยมั่นตรวจชีพจรคุณอาด้วยนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรโทรหาหนูได้ทุกเมื่อ”


 


 


จังซ่ารับได้สั่งยามาพร้อมกับพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”


 


 


อวี๋กานกานพูดปลอบ “ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ หนูเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะรักษาให้หายดีเป็นปกติได้ไหม แต่รับรองว่าจะต้องดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่นอน”


 


 


จังซ่าคลี่ยิ้มออกมา


 


 


อาสะใภ้เองก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ


 


 


อวี๋กานกานออกมาจากบ้านของจังซ่าเป็นเวลาเที่ยงพอดี ที่จริงจังซ่าชวนพวกเธออยู่รับประทานอาหารเที่ยงก่อน แต่อวี๋กานกานไม่อยากรบกวน เพราะพวกเขาต้องดูแลคุณอาที่ป่วย เธอจึงปฏิเสธออกไปตรงๆ


 


 


ฟังจือหันพาเธอมายังภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง เขาสั่งสเต็กเนื้อมาสองที่ พร้อมกับของหวานอีกสองที่ บรรยากาศภายในภัตตาคารสงบเงียบ มีเพียงแค่เสียงกระทบกันระหว่างมีด ส้อมและจาน


 


 


โดยปกติแล้วอวี๋กานกานเป็นคนช่างพูด ทว่าตอนนี้กลับเงียบสนิท นั่นเป็นเพราะในหัวของเธอเอาแต่คิดเรื่องอาจารย์ เรื่องประวัติคนไข้และเรื่องคุณอาของรุ่นพี่จังซ่า ทั้งหมดอาจมีความเกี่ยวโยงกัน อวี๋กานกานคิดไม่ถึงเลยว่าประวัติคนไข้ที่อาจารย์เก็บไว้ หนึ่งในนั้นจะเป็นคุณอาของรุ่นพี่จังซ่า


 


 


สาเหตุที่อาจารย์เก็บประวัติพวกนี้เอาไว้คืออะไรกันแน่นะ


 


 


 อาการป่วยของคุณอารุ่นพี่จังซย่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการรักษาในประวัตินั้นก็เป็นได้ เห็นได้ชัดว่าอาการของคุณอาคือโดนพิษจากยาทำลายระบบประสาท อีกทั้งยังค่อนข้างรุนแรงและซับซ้อน ตอนนี้ตัวเธอเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้ไหม หวังแค่ว่าจะสามารถรักษาให้คุณอากลับมามีสติสัมปชัญญะได้


 


 


อวี๋กานกานตกอยู่ในห้วงความคิด เธอหยิบแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ตอนที่วางแก้ว ครึ่งหนึ่งของท้ายแก้วดันชนเขากับขอบจานสเต็กทำให้แก้วน้ำเกือบจะหก


 


 


อวี๋กานกานตกใจ โชคดีที่ฟังจือหันคว้าแก้วเอาไว้ได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “โรคที่คุณอารุ่นพี่ของคุณเป็น รักษายากมากเหรอ”


 


 


ตั้งแต่ออกมา สีหน้าท่าทางของอวี๋กานกานดูกลัดกลุ้ม เหมือนกับกำลังเผชิญเรื่องที่ลำบากยากยิ่ง ฟังจือหันเลยนึกถึงเรื่องอาการป่วยของคุณอาคนนั้นขึ้นมา


 


 


อวี๋กานกานส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก”


 


 


ทันใดนั้นเธอนึกขึ้นมาได้ว่าประวัติคนไข้เหล่านั้นฟังจือหันเองก็เคยเห็นมาก่อน อีกอย่างเขาก็อยากรู้เรื่องการหายตัวไปของอาจารย์ แถมเขายังสามารถตามสืบเรื่องพวกนี้ให้ได้ด้วย


 


 


อวี๋กานกานที่ตอนแรกกลุ้มอกกลุ้มใจ ตอนนี้เธอมองฟังจือหันด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ


 


 


ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้น ราวกับกำลังบอกว่ามีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ


 


 


อวี๋กานกานกระซิบกระซาบ “วันนั้น วันที่ฉันโดนกล่องเก็บของของอาจารย์หล่นใส่หัว ในกล่องนั้นมีประวัติคนไข้อยู่หลายใบ ตอนนั้นนายก็ได้อ่านใช่ไหม”


 


 


ฟังจือหันตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใช่”


 


 


อวี๋กานกานพูดต่อ “ประวัติคนไข้ในนั้นมีคนนึ่งชื่อจังหรงเปียว นายยังจำได้ไหม”


 


 


ฟังจือพยักหน้า ประวัติคนไข้พวกนั้นเขาสั่งให้คนไปสืบหาข้อมูลมาแล้ว ชื่อพวกนี้ย่อมต้องเคยผ่านตามาบ้าง


 


 


สีหน้าของอวี๋กานกานเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง พูดอย่างจริงจัง “อาของรุ่นพี่ฉันก็ชื่อจังหรงเปียว ป่วยเป็นโรคบิด รักษาที่โรงพยาบาลป๋อจือของตระกูลเฉียว รายละเอียดตรงกับประวัติคนไข้ที่อาจารย์ฉันเก็บไว้ทุกอย่าง ชัดเจนว่าพวกเขาคือคนคนเดียวกัน!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 222 ไม่สำเร็จหากไม่มีเขา!


 


 


ฟังจือหันหรี่ตาลงเล็กน้อย จมดิ่งเข้าไปในห้วงความคิด เขาเคยเห็นรูปคนไข้ทุกคนที่อยู่ในประวัติมาหมดแล้ว รูปของจังหรงเปียวกับจังทรงเปียวที่นอนอยู่บนเตียงต่างกันมาก เวลาแค่เดือนกว่า กลับป่วยจนไม่หลงเหลือเค้าเดิม!


 


 


มือของฟังจือหันวางอยู่บนโต๊ะ นิ้วมือเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ แต่จู่ๆ กลับชะงักลงอย่างกะทันหัน…


 


 


อวี๋กานกานจิตใจกระสับกระส่าย ร้อนรน จ้องฟังจือหัน “นึกอะไรออกแล้วเหรอ”


 


 


ดวงตาดำขลับล้ำลึกของฟังจือหันยากที่จะคาดเดา ริมฝีปากเผยอขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ในฐานะแพทย์ ถ้าให้คุณดูประวัติคนไข้เหล่านี้ จากนั้นหาอาการที่ผู้ป่วยทุกคนมีตรงกัน คุณคิดว่าอาการนั้นคืออะไร”


 


 


ฟังจือหันเคยให้คนตรวจสอบประวัติผู้ป่วยอยู่สองสามคน ผู้ป่วยเหล่านั้นทั้งอาการป่วย โรงพยาบาล รวมถึงเพศ ไม่มีจุดไหนที่เหมือนกันเลย การเชื่อมโยงหาจุดที่เกี่ยวข้องกันจึงทำได้ยาก และเพราะหาจุดที่ตรงกันไม่ได้ การจะสืบหาให้ได้เบาะแสสำคัญก็จะยิ่งทำได้อย่างยากลำบาก


 


 


ประวัติคนไข้ถูกเก็บไว้โดยเหอสือกุยอาจารย์ของอวี๋กานกาน ในฐานะที่พวกเขาเป็นแพทย์เหมือนกัน ฟังจือหันอยากรู้ว่าอวี๋กานกานมีความคิดเห็นอย่างไร บางทีอาจจะเจอเบาะแสสำคัญจากความคิดเห็นของอวี๋กานกานก็เป็นได้


 


 


อวี๋กานกานแทบไม่ต้องคิด ตอบออกมาทันที “คนป่วย พวกเขาทุกคนล้วนมีอาการป่วย”


 


 


นี่เป็นจุดเหมือนที่ใหญ่ที่สุด


 


 


ฟังจือหันถามต่อด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ “ยังมีอะไรอีกไหม”


 


 


อวี๋กานกานพูดต่อ “พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนป่วย ฉะนั้นแน่นอนว่าต้องมีการใช้ยา…” ในขณะที่กำลังสาธยาย จู่ๆ อวี๋กานกานก็หยุดลงอย่างกะทันหัน สายตาของฟังจือหันลึกลับซับซ้อนมากขึ้น ราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ มุมปากยกยิ้ม


 


 


อวี๋กานกานจ้องหน้าฟังจือหันนิ่ง ราวกับว่าดวงตาเห็นธรรม เช่นเดียวกับฟังจือหันที่ดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว


 


 


“ยา”


 


 


ทั้งสองพูดออกมาพร้อมๆ กัน ประหนึ่งใจสื่อถึงกัน


 


 


อวี๋กานกานที่จ้องหน้าฟังจือหันอยู่ หัวเราะร่วนออกมา “แม้ว่าอาการจะไม่เหมือนกัน แต่ขอแค่เป็นคนป่วยก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้ยาชนิดเดียวกัน และยาตัวนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นจุดเหมือนที่พวกเขามีตรงกัน”


 


 


ริมฝีปากบางของฟังจือหันยกขึ้น เขาโทรศัพท์หาเลขาสั่งให้ไปตรวจสอบยาทั้งหมดที่ทางโรงพยาบาลจ่ายให้คนไข้ที่อยู่ในประวัติ


 


 


เลขาทำงานได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว หลังจากพวกเขารับประทานอาหารเสร็จ ผลการตรวจถูกส่งเขามายังโทรศัพท์ของฟังจือหัน


 


 


ฟังจือหันยื่นโทรศัพท์ให้อวี๋กานกานดู


 


 


อวี๋กานกานพบว่ามีเพียงพวกยาแก้อักเสบและอาหารเสริมเท่านั้นที่ตรงกัน นอกจากเหนือจากนี้ก็ไม่มียาตัวไหนที่ใช้ตรงกันอีก เธอค่อนข้างผิดหวัง ไหล่ตก ราวกับดอกมะลิที่บานสะพรั่งได้ไม่ทันไรก็เ**่ยวแห้ง


 


 


ฟังจือหันเห็นอวี๋กานกานคอตก หมดอาลัยตายอยากก็นึกขำขึ้นมา “หมดหวังแล้วเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานตอบอย่างซื่อตรง “นิดหน่อย ป่วยคนละโรค ยาคนละชนิด นอกจากจุดที่เป็นคนป่วยเหมือนกัน นอกนั้นพวกเขาไม่มีอะไรตรงกันสักอย่าง ฉันคิดไม่ออกแล้วจริงๆ…” อาจารย์เก็บประวัติคนไข้เหล่านี้ไว้ทำไมกันแน่


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ “ก็ไม่แน่”


 


 


อวี๋กานกานหันควับ มองมาที่ฟังจือหัน “หมายความยังไง”


 


 


สีหน้าของฟังจือหันเรียบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ พูดอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป “ถ้าเบาะแสอยู่ที่ยาที่พวกเขารับประทาน มีความเป็นไปได้สูงที่คนไข้พวกนั้นถูกหลอกให้เป็นหนูลองยา และเผื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น จึงต้องป้องกันไว้ก่อน ชื่อยาก็เลยไม่ปรากฏอยู่บนใบจ่ายยา”


 


 


อวี๋กานกานฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี “แต่ว่า…เรื่องนี้จะสืบได้เหรอ”


 


 


“ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าผมจะสืบไม่มีเรื่องไหนที่สืบไม่ได้”


 


 


อวี๋กานกานจ้องเข้าในดวงตาของฟังจือหัน นัยน์ตาไร้วี่แววของความล้อเล่น ดูสุขุมเยือกเย็น ทั่วร่างกายห้อมล้อมไวด้วยรังสีแข็งกร้าว ราวกับว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้


ตอนที่ 223 เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ


 


 


หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่อวี๋กานกานได้ช่วยชีวิตคนไว้ถูกโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต มีสำนักข่าวหลากหลายแห่งเอาไปทำข่าว ไม่เพียงแค่อวี๋กานกานโด่งดังเป็นที่รู้จัก แพทย์แผนจีนและการฝังเข็มก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน


 


 


เมื่อเหล่าผู้บริหารสมาคมรับรู้เรื่องนี้ พวกเขาโทรศัพท์หาผู้อาวุโสหวง ชมผู้อาวุโสหวงว่ามีสายตาเฉียบแหลม เลือกคนได้เหมาะสมที่สุด อีกอย่างพวกเขายังอยากให้อวี๋กานกานเข้าร่วมรายการแพทย์ทางโทรทัศน์ ต้องการให้อวี๋กานกานเป็นผู้นำแพทย์แผนจีนยุคใหม่ เป็นผู้สืบทอดและส่งเสริมวัฒนธรรมชาติ รวมทั้งเป็นโฆษกแพทย์แผนจีนโบราณ


 


 


ปกติแล้วผู้อาวุโสหวงไม่เล่นอินเทอร์เน็ต เขาอุส่าใช้โทรศัพท์ของลูกสาว เข้าไปดูในเว่ยปั๋วถึงได้ทราบว่ามีข่าวนี้อยู่ ก่อนที่งานสัมมนาช่วงบ่ายจะเริ่ม ผู้อาวุโสหวงเข้าไปพูดกับอวี๋กานกานเรื่องรายการโทรทัศน์


 


 


อวี๋กานกานปฏิเสธพร้อมกับยิ้มขอบคุณ แค่เธอตอบตกลงถ่ายโฆษณาก็รู้สึกพลาดมากแล้ว ไปออกรายการโทรทัศน์ยิ่งไม่ต้องถามถึง


 


 


เธอจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีมาพัฒนาวงการแพทย์แผนจีนอย่างแน่นอน แต่เรื่องตำแหน่งผู้นำแพทย์แผนจีนยุคใหม่อะไรนั้นเธอคงไม่รับไว้


 


 


เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ศาสตร์แพทย์แผนจีนทั้งกว้างขวาง ลึกล้ำ สลับซับซ้อน สำหรับเธอที่ยังฝึกฝนอยู่ควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้


 


 


ผู้อาวุโสหวงเองก็ไม่ตื๊อต่อ ทำเพียงลูบเครา กล่าว “น่าเสียดาย” แต่ในใจของเขากลับรู้สึกปลิ้มปิติเป็นอย่างยิ่ง การจะเป็นแพทย์แผนจีนที่ยอดเยี่ยมได้นั้น อาศัยเพียงแค่ความมุ่งมานะตั้งใจศึกษาน่ะไม่เพียงพอหรอก การจะได้มาซึ่งวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศจำเป็นต้องทลายขีดจำกัดขึ้นไปอีกขั้น และเชาวน์ปัญญาก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ซึ่งคนประเภทนี้มีน้อยมาก


 


 


ทว่าคนที่ทั้งสนใจในแพทย์แผนจีน ตั้งใจศึกษาอย่างหนัก และมีเชาว์ปัญญาที่ดีเลิศนั้นหาได้ยากยิ่งกว่า กว่าจะได้เจอคนประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมอวี๋กานกานยังมีความหนักแน่นมั่นคง ย่อมทำให้ผู้อาวุโสหวงรู้สึกอดดีใจไม่ได้


 


 


แพทย์แผนจีนและยาจีนเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ กว้างขวางและลึกล้ำ จำเป็นต้องศึกษาและวิจัยอย่างจริงจัง จึงจะเป็นแพทย์แผนจีนที่ดีได้


 


 


แพทย์หนุ่มสาวรุ่นหลังมีหน้าอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับระยะทางอันยาวไกลที่ต้องรับผิดชอบ


 


 



 


 


งานสัมมนาวันนี้ อวี๋กานกานนั่งกับหวังไอ้เจิน ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นซย่าเฉิงโจวก็เดินมานั่งลงข้างหวังไอ้เจิน ทั้งยังส่งยิ้มน้อยๆ มาให้อวี๋กานกานโดยผ่านหวังไอ้เจินที่คั่นอยู่ตรงกลาง


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างแปลกใจและงงงวย ยิ้มแล้วพยักหน้าทักทายกลับ


 


 


ซูจิ่วซานเดินเข้ามายังห้องประชุม สายตาควานหาซย่าเฉิงโจวอย่างอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าซย่าเฉิงโจวนั่งอยู่กลับหวังไอ้เจินและอวี๋กานกาน เธอช็อกถึงขีดสุด


 


 


เซียวเสียวอิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงอึ้งทึ่งขึ้น “รุ่นพี่ซย่าแค่ไปถ่ายโฆษณาแผ่นผับแปปเดียวก็สนิทกับอวี๋กานกานถึงขนาดนี้แล้ว…”


 


 


ซูจิ่วซานไม่ได้พูดอะไร ทว่าสีหน้าอมทุกข์ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดทั้งงานสัมมนา ใครบรรยายอะไร แลกเปลี่ยนเรื่องอะไร ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียวที่เข้าหัวเธอ


 


 


วันต่อมายังคงเป็นเช่นเดิม ซย่าเฉิงโจวนั่งอยู่กับอวี๋กานกานและหวังไอ้เจิน


 


 


หลังงานสัมมนาจบ ซูจิ่วซานเห็นว่าหวังไอ้เจินและอวี๋กานกานเดินออกไปก่อนแล้ว จึงรีบตะโกนเรียกซย่าเฉิงโจว “รุ่นพี่ซย่า พอดีว่าฉันมีเคสหนึ่งที่อยากจะปรึกษาพี่หน่อยน่ะค่ะ เอ่อ ตอนนี้พี่สะดวกไหมคะ”


 


 


ซย่าเฉิงโจวชำเลืองมองซูจิ่วซานด้วยสายตาเฉยชา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ไม่ว่าง มีนัดกับเพื่อน”


 


 


คำปฏิเสธของเขา ถึงกับทำให้ซูจิ่วซานกำเอกสารที่อยู่ในมือแน่นจนเส้นเอ็นขึ้นปูดโปน เธอแทบอยากจะฉีกเอกสารให้กระจุยเป็นผุยผง


 


 


ไม่มีเวลา มีนัดกับเพื่อนอะไรกัน แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าโกหก ซย่าเฉิงโจวกำลังหลบหน้าเธอ


 


 


ตอนถ่ายโฆษณา ยัยอวี๋กานกานใช้กลอุบายอะไรกันแน่ ทำไมปฏิกิริยาที่ซย่าเฉิงโจวมีต่ออวี๋กานกานถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ หรือว่าจะเป็นเพราะคลิบวิดีโอที่อวี๋กานกานช่วยชีวิตคนคลิบนั้น


 


 


ทำไมรุ่นพี่ซย่าก็หลงกลเหมือนคนอื่น คลิบวิดีโอนั้นดูอย่างไรก็ปลอมเหตุการณ์ขึ้นมา มีการจัดเตรียมกันมาล่วงหน้า จงใจสร้างภาพ ทำไมคนในโลกอินเทอร์เน็ตถึงไม่มีใครเอะใจว่าอวี๋กานกานกำลังสร้างกระแส สร้างสถานการณ์ตบตา!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 224 หัวโจกของกลุ่มสามวีรบุรุษ


 


 


ยัยอวี๋กานกานนั่นมีความสามารถอะไรที่ไหนกัน นังนั่นมันไร้ความสามารถตั้งแต่แรกแล้ว ก็แค่อาศัยอำนาจเงิน สร้างกระแส ขายภาพลักษณ์ ใช้เส้นสาย


 


 


การถ่ายแผ่นผับโฆษณาเมื่อวาน ต้องโทษตัวเองเธอที่ไม่สามารถแย่งชิงมาได้ เดิมทีนึกว่าเป็นเพียงแค่โฆษณาเล็กๆ จึงไม่อยู่ในสายตา ผลปรากฏว่าชะล่าใจแค่เดี๋ยวเดียว รุ่นพี่ซย่ากลับถูกนังอวี๋กานกานใช้มารยายั่วยวนจนสำเร็จ


 


 


แค้น แค้นเหลือเกิน!


 


 


ซูจิ่วซานโกรธจนลูกตาแทบตะถลนออกจากเบ้า ขบฟันกรอด ถึงขนาดที่ว่ามีความคิดอยากจะฆ่าอวี๋กานกานทิ้งผุดขึ้นมา ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงคนดังมาจากทางด้านหลัง เป็นเสียงของผู้จัดการสมาคมแพทย์ เขากำลังรั้งผู้อาวุโสหวง เอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสหวง คุณไปที่ตระกูลเยี่ยกับผมอีกสักครั้งเถอะนะครับ”


 


 


เมื่อได้ยินคำว่าตระกูลเยี่ย ภายในใจของผู้อาวุโสหวงรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ทว่าไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาทางสีหน้า เขาลูบเคราแล้วกล่าว “ผู้จัดการหลี่ว์ การผ่าตัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาไส้ติ่งอักเสบ”


 


 


“ผมเองก็ทราบดีว่าไส้ติ่งอักเสบแค่ผ่าตัดก็หายดีแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่แม่เฒ่าของตระกูลเยี่ยดันแพ้ยาชา ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ จึงจำเป็นต้องรักษาแบบแพทย์แผนจีนเท่านั้น”


 


 


“ความรู้ความสามารถของฉันตื้นเขิน ผู้จัดการหลี่ว์ไปเชิญคนอื่นเถอะ”


 


 


ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสหวงไม่เคยไปดูอาการของแม่เฒ่าตระกูลเยี่ย ความจริงคือหลานชายตระกูลเยี่ยเยี่ยซีมีนิสัยที่ร้ายกาจมาก เหมือนกับปีศาจน้อยไม่มีผิด ไม่เพียงแค่หาเรื่องลำบากใจต่างๆ นานามาให้ ทั้งยังมีเงื่อนไขว่าต้องเห็นผลทันที หากไม่สามารถตั้งเสาเห็นเงา[1]ได้ ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นหมอกำมะลอ ด่ากราดไม่เลือกหน้า


 


 


อาการไส้ติ่งอักเสบของแม่เฒ่าตระกูลเยี่ยย่ำแย่มาก จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่ดันแพ้ยาชา จำเป็นต้องรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเท่านั้น การรักษาแบบแพทย์แผนจีนต้องการเวลา จะเหมือนกับหญ้าวิเศษที่กินปุบหายปับได้อย่างไร


 


 


ผู้อาวุโสหวงอยู่จนมาถึงอายุปูนนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเด็กที่ดื้อรั้นหัวแข็งขนาดนี้


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์กลั้วหัวเราะ “ผู้อาวุโสหวง คุณเป็นถึงหมอเทวดาเลื่องชื่อ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพทยศาสตร์ ไม่ว่าผมจะรู้จักหมอเก่งๆ อีกสักกี่คน ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโสที่สุด”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์กล่าวสรรเสริญเยินยออย่างน้ำไหลไฟดับ


 


 


ผู้อาวุโสหวงฟังแล้วก็ยิ่งโมโหตึงตัง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องเมื่อวันนั้นคุณก็เห็นแล้วนี่ ผมโดนเด็กปีศาจตระกูลเยี่ยไล่ตะเพิดออกมา อีกอย่างวันนี้ผมยุ่งมาก มีคนไข้ที่ต้องรีบไปตรวจอีกหลายคน คุณไปเชิญคนอื่นที่เก่งกว่าผมเถอะ ขอตัว”


 


 


“ผู้อาวุโสหวง”


 


 


ผู้จัดการหลี่ว์ยังคงเดินตามตื๊อผู้อาวุโสหวง…


 


 


เยี่ยซี? ซูจิ่วซานอ่านทวนชื่อนี้ในใจ ในปักกิ่งเธอก็พอมีหน้ามีตา มีคนรู้จักอยู่ไม่น้อย เคยรักษาให้เหล่าบรรดาเศรษฐี ย่อมรู้จักว่าเยี่ยซีคือใคร ปักกิ่งมีสี่จุฑาเทพสามวีรบุรุษ พวกเขาล้วนมาจากครอบครัวที่มีอำนาจ หากกล่าวว่าสี่จุฑาเทพคือบุคคลอัจฉริยะ งั้นสามวีรบุรุษก็เทียบได้กับลูกหลานผู้ลากมากดีขนานแท้ สี่จุฑาเทพเป็นชื่อเรียกที่คนอื่นตั้งขึ้น แต่สามวีรษุรุษเป็นชื่อที่พวกเขาสามคนตั้งขึ้นมาเอง ว่ากันว่าตั้งขึ้นเพื่อแข่งกับสี่จุฑาเทพ และเยี่ยซีคนนี้ก็คือหัวโจกของกลุ่ม


 


 


ถึงแม้เยี่ยซีจะหน้าตาดี แต่กลับมีชื่อเสียงเหม็นโฉ จีบผู้หญิงไปทั่ว ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ กินไม่เลือกได้ทั้งชายและหญิง หากเขาหมายตาผู้หญิงคนไหนไว้ ไม่ว่าเธอจะแต่งงานแล้วหรือยัง มีแฟนแล้วหรือไม่ เขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้น เคยได้ยินมาว่าตอนที่เขาป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล ได้ลวนลามพยาบาลสาวสวยคนหนึ่งกลางห้องพัก ทั้งยังเกือบข่มขืนพยาบาลคนนั้นคาเตียงผู้ป่วย


 


 


ถึงแม้จะเจ้าชู้และร้ายกาจ แต่ก็ยังมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามารุมล้อม ช่วยไม่ได้น่ะนะ ใครให้เจ้านั้นเกิดมาทั้งหล่อทั้งรวยล่ะ ต่อให้โดนขืนใจ ว่ากันว่าแค่โยนเช็คธนาคารใบเดียวก็จบเรื่องทั้งหมดได้


 


 


สรุปแล้วก็คือเป็นบุคคลที่ทั้งแสนอันตรายและน่ากลัว ใครหาเรื่องเท่ากับวอนหาที่ตาย


 


 


ทันใดนั้นเองมีความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัวสมองของซูจิ่วซาน ถ้าให้อวี๋กานกานไปตระกูลเยี่ยจะเป็นอย่างไรนะ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตั้งเสาเห็นเงา หมายถึง เห็นผลทันที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม