เนตรเซียนทะลุสมบัติ 216-229

 ตอนที่ 216 เยี่ยมเยียน


ออกจากชางล่างเก๋อแล้ว หยางโปก็กล่าวกับกู้ฉางซุ่นว่า “ยินดีด้วยครับ เถ้าแก่กู้!”


กู้ฉางซุ่นหัวเราะ “ขอบคุณ ขอบคุณ!”


ตาอ้วนหลิวก็หัวเราะ “เงินห่อทองหายากมากจริงๆ วันนี้เถ้าแก่กู้โชคดีมาก โชคสูงเสียดฟ้าจริงๆ!”


ทั้งสามยกยอกันและกันอยู่รอบหนึ่ง ก็ถึงตอนบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เวลานี้รีบกลับไปจิ่งเฉิงก็ยังทัน


แต่หยางโปในเมื่อมาถึงชางโจวแล้ว ย่อมไม่อาจทำงานจนละเลยเรื่องส่วนตัว เขากล่าวกับกู้ฉางซุ่นว่า


“เถ้าแก่กู้ ผมยังมีเพื่อนอยู่ที่นี่ วันนี้ผมจะไปเยี่ยม พวกคุณจะว่าอะไรไหมครับ?”


กู้ฉางซุ่นลังเลเล็กน้อย ตาอ้วนหลิวเอ่ยถามอยู่ด้านข้าง “นายจะไปเยี่ยมใคร? เป็นคนในวงการไหม


ไม่แน่ฉันอาจรู้จัก”


 


หยางโปส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไร เขาแซ่เยว่ ชื่อว่าเยว่เหยี่ยน”


“อ้อ ฉันรู้จัก” ตาอ้วนหลิวพยักหน้ากล่าวทันที


หยางโปมองไปอย่างประหลาดใจมาก ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะ “นายก็จริงๆ เลย ในเมื่อถึงขนาดเข้าสำนักไปเยี่ยมเยียนได้ ถึงกับไม่รู้ฐานะของอีกฝ่าย ชื่อเสียงของตาเฒ่าเยว่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ เขามีชื่อเกือบค่อนเมืองชางโจว แทบจะทั้งเมืองชางโจวเรียกเขาว่าตาเฒ่าเยว่!”


หยางโปตกตะลึง ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายเคยติดต่อกัน เขาก็ยกย่องว่าเป็นชนรุ่นหลังของเยว่เผิงจิ่วถึงได้มอบกระบี่เป็นของขวัญไป ต่อมาทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ติดต่อกันมาก เขาจะรู้ว่าเยว่เหยี่ยนถึงกับมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ได้ยังไง?


 


เวลานี้ กู้ฉางซุ่นก็มองไปทางตาอ้วนหลิว “เขาร่ำรวยที่สุดเหรอ?”


“เปล่า เขาไม่นับว่าร่ำรวยที่สุด เพราะว่าตาเฒ่าเยว่เป็นลูกหลานของสกุลเยว่ในปัจจุบัน ในทางศิลปะป้องกันตัวถึงระดับสูงที่สุด ศิษย์หลายสิบคนภายใต้การชี้แนะของเขา ส่วนมากก็ได้แชมป์ในศิลปะการต่อสู้ระดับประเทศ​ ตอนนี้ในทุกสำนักศิลปะป้องกันตัวภายในเมืองชางโจว ผู้ก่อตั้งโรงเรียนศิลปะป้องกันตัว หัวหน้าครูฝึกสอน มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วทั้งเมือง รวมกับผู้ที่ทำงานการกุศล ผู้ที่สูงส่งตำแหน่งใหญ่อีก ดังนั้นเรียกได้ว่ามีถึงครึ่งเมืองชางโจวเลย”


ตาอ้วนหลิวกล่าวแนะนำ หยางโปจึงได้จินตนาการถึงตอนนี้ที่เขาติดต่อกับเยว่เหยี่ยนได้ลงรอยกันแบบนี้ เขาก็ประหลาดใจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าสังคมในยุคสมัยนี้จะยังคงมีสำนักศิลปะป้องกันตัวขนาดใหญ่แบบนี้อยู่


 


กู้ฉางซุ่นกล่าวกับหยางโป “เธอไม่โทรไปถามที่อยู่ของเขาล่ะ?”


หยางโปพยักหน้า “ผมจะโทรตอนนี้เลย”


“ไม่ต้องโทรหรอก ฉันรู้ที่อยู่ของเขา พวกเราไปกันเลยก็ได้” ตาอ้วนหลิวเอ่ยอธิบาย “ตาเฒ่าเยว่เปิดโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เมื่อหลายปีก่อน เขาอยู่ที่นั่นตลอด ในเมืองชางโจวสุ่มดึงมาถามสักคนต่างก็รู้ที่อยู่ของเขา แค่ว่าถ้าหากนายไม่ระวังไปดึงเอาลูกศิษย์ลูกหาเขาเข้าก็จะถูกสอบสวนเอาได้!”


กล่าวจบ ตาอ้วนหลิวก็หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา


หยางโปประหลาดใจอีกครั้ง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชื่อเสียงของเยว่เหยี่ยนจะถึงระดับนี้ เขาหันหน้ามองไปทางตาอ้วนหลิว “ทำไมคุณรู้จักเขาได้?”


 


“เพราะว่าตาเฒ่าเยว่ไม่ใช่แค่เป็นสำนักศิลปะป้องกันตัวขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีชื่อเสียงในฐานะปรมาจารย์ตีกระบี่คนหนึ่ง!” ตาอ้วนหลิวกล่าว


หยางโปตกตะลึง “อย่าบอกนะว่าตีกระบี่จ้านหลูปลอม?”


“เฮ้ย นายรู้ได้ยังไง?” ตาอ้วนหลิวมองมาอย่างตกตะลึง แต่เขาก็เอ่ยตอบในทันทีว่า “ใช่แล้ว ฉันรู้จักเขาน่าจะเพราะเรื่องกระบี่สมบัติจ้านหลู”


หยางโปพยักหน้า


ภายใต้การนำทางของตาอ้วนหลิว ทั้งกลุ่มมาถึงด้านหน้าลานบ้านสีเขียวเข้มอิฐดำหลังหนึ่ง ประตูใหญ่ทาด้วยสีแดง ธรณีประตูสูงลิบ รวมกับสิงโตหินคู่หนึ่งด้านนอก ลานบ้านโบราณแบบนี้ ภายในลานแว่วเสียงตะโกน “ฮึบฮะ ฮึบฮะ” ออกมา


 


หยางโปยืนอยู่ด้านนอกลานบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนแบบนี้ก็ตื่นเต้นมาก เพราะว่าง่ายมากที่จะตัดสินได้ว่านี่คือเสียงฝึกศิลปะป้องกันตัว


ตอนหยางโปเป็นเด็กก็เคยจินตาการว่าจะไปเรียนวรยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน แต่ว่าเขาก็ไม่มีโอกาสร่ำเรียนศิลปะป้องกันตัว ยิ่งรวมกับไม่มีอาจารย์ลึกลับสั่งสอนมวยปากว้าระดับสุดยอดให้ ตอนนี้เมื่อได้เห็นศิลปะป้องกันตัวของจริงแล้ว เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา


เคาะประตูใหญ่ เด็กอายุสิบสามสิบสี่เปิดประตู เขาสวมชุดฝึกยุทธ์สีขาว มองมาหาหยางโป “นายเป็นใคร มาที่นี่ทำไม?”


“ผมชื่อหยางโป มาหาตาเฒ่าเยว่” หยางโปกล่าว


 


เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว กำลังจะปลายวัยฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อุณหภูมิลดต่ำลงแล้ว เขาสวมชุดฝึกยุทธ์เบาบางทั้งตัว ราวกับไม่รู้สึกหนาว แต่กลับเหงื่อออกที่หน้าผาก “ทุกวันคนมาหาอาจารย์ปู่ไม่พันคนก็แปดร้อย ถ้าหากนายไม่มีเหตุผลอะไร ฉันจะปิดประตูแล้วนะ!”


หยางโปชะงักไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าธรณีประตูของตาเฒ่าเยว่จะสูงถึงขนาดนี้ เขารีบหัวเราะกล่าวว่า “เธอรอเดี๋ยว ฉันโทรหาตาเฒ่าสักครู่”


เด็กหนุ่มส่ายหน้า “คุณออกไปโทรเถอะ!”


กล่าวจบ เด็กหนุ่มก็จะปิดประตูแดงชาด มืออ้วนๆ ข้างหนึ่งก็ยื่นเข้าไปจากด้านนอก “เฮ้ เฮ้ พ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ!”


 


ตาอ้วนหลิวหัวเราะ ท่าทีใจดี


คิ้วตกของเด็กหนุ่มเลิกขึ้น กระอักกระอวนมาก “ผมจะปิดประดูแล้ว คุณอย่ามาขวาง”


ตาอ้วนหลิวยังคงหัวเราะอย่างรื่นรมย์ “น้องชาย อย่ารีบร้อน รอเขาโทรศัพท์เสร็จก่อนก็ได้”


“รอเขาโทรเสร็จแล้วก็มาเคาะประตูอีกทีแล้วกัน!” เด็กหนุ่มตอบ


กล่าวจบ มือหนึ่งของเด็กหนุ่มก็ผลักไปด้านหน้าเต็มแรง สองมือของตาอ้วนหลิวดันอยู่นอกประตู ออกแรงผลักเข้าไปด้านใน


เสียง “ปัง!” ดังขึ้น ประตูสีแดงชาดปิดลง พวกของหยางโปถูกกันไว้ด้านนอก


ตาอ้วนหลิวดิ้นรนครู่หนึ่ง เกือบจะล้มลงไป เขาสะบัดมืออย่างอดไม่ได้ “ไอ้เด็กนี่แรงเยอะมากจริงๆ!”


 


หยางโปโทรศัพท์อยู่ทางนี้ก็ได้ยินเสียงอันอบอุ่นแว่วมาจากอีกฝ่าย “เถ้าแก่หยาง สวัสดี สวัสดี!”


“ตาเฒ่าคุณเกรงใจไปแล้ว” หยางโปหัวเราะ “ผมมาถึงชางโจวแล้ว”


“ดีเลย ดีมากจริงๆ ตอนแรกฉันก็คิดว่าอีกสองวันจะเชิญเธอมาพักที่นี่สักหลายวัน ตอนนี้เธอมาแล้ว ถ้างั้นก็ยิ่งดี!” เยว่เหยียนกระตือรือร้นมาก “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ฉันจะส่งคนไปรับเธอ”


หยางโปตอบ “ตอนนี้ผมอยู่ด้านนอกสำนักศิลปะป้องกันตัว!”


“ด้านนอก?” เยว่เหยี่ยนชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะ “ดี รอเดี๋ยว รอเดี๋ยว!”


หยางโปยังไม่ทันพูดจา อีกฝ่ายก็ถึงกับวางสายไปแล้ว อย่างรวดเร็วภายในลานบ้านก็ได้ยินเสียงตะโกนหยุดชะงักลง ทุกคนตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาจารย์ปู่!”


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ประตูสีแดงชาดก็เปิดดัง “เคร้ง” ขึ้น


“เถ้าแก่หยาง สวัสดี!” เยว่เหยี่ยนเดินเข้ามาก่อน


หยางโปรีบเดินขึ้นหน้าไป “ตาเฒ่าเยว่”


ทั้งสองจับมือกัน ดูกระตือรือร้นอย่างมาก เยว่เหยี่ยนหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา “ในเมื่อมาชางโจวก็โทรบอกฉันเร็วสักหน่อยสิ ฉันไปรับเธอได้นะ!”


หยางโปโบกมือ “ผมก็ตัดสินใจมาอย่างกะทันหัน ถ้าหากวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วจะไม่มาหาคุณได้ยังไงกัน?”


เยว่เหยี่ยนดึงหยางโปเดินไปข้างใน “ไป พวกเราเข้าไปแล้วค่อยพูดกัน”


 


เด็กหนุ่มที่เปิดประตูเมื่อครู่คนนั้นตกใจกลัวจนตัวสั่น โชคดีที่สังเกตเห็นว่าหยางโปไม่ได้มองเขาถึงได้คลายใจลงเล็กน้อย


หยางโปชี้ไปทางด้านหลัง “นี่คือเพื่อนของผมสองคน พวกเรามาด้วยกัน ท่านนี้คือกู้ฉางซุ่น เถ้าแก่กู้”


เยว่เหยี่ยนเหลือบมอง “โอ้ นั่นเจ้าอ้วนน้อยนี่!”


ตาอ้วนหลิวเร่งเดินขึ้นหน้ามา “ตาเฒ่า คุณยังจำผมได้อีกนะ!”


ตอนที่ 217 ตาแก่ไร้ยางอาย


เยว่เหยี่ยนพยักหน้า “ทำไมจะจำไม่ได้ ฉันจำได้ชัดเจนมากเชียวล่ะ สิบห้าปีก่อนนายปีนขึ้นมาหาที่หน้าบ้านของฉัน อยากช่วยแนะนำราคาตลาดให้กับฉันแล้วถูกฉันปฏิเสธไป”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะขึ้น


“ผลคือสิบปีก่อนหน้านี้ นายมาอีกครั้งหนึ่งก็ยังถูกฉันปฏิเสธไป” เยว่เหยี่ยนจ้องตาอ้วนหลิว “เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสามปีก่อนหน้านี้ นายจะพาคนมาทันที อยากซื้อกระบี่เล่มหนึ่ง ตอนนั้นฉันกำลังขาดเงิน นับว่านายช่วยฉันไว้ครั้งใหญ่”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะ “ผมสิที่ควรขอบคุณคุณ ยังดีที่คุณไม่ได้ปฏิเสธ”


เยว่เหยี่ยนหัวเราะ “เอาล่ะ พวกเราเข้าไปคุยกัน เข้าไปแล้วค่อยคุยกัน”


 


ทั้งกลุ่มเดินตามกันเข้าไป หยางโปถึงค่อยสังเกตเห็นว่าที่ลานบ้านนี้มันใหญ่ถึงขนาดหนึ่งสนามบาสเก็ตบอลเต็มๆ บริเวณใจกลางปรากฏลานประลองอยู่ลานหนึ่ง เด็กหนุ่มสิบกว่าคนยืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดฝึกศิลปะการต่อสู้ชุดขาวมาที่ตำแหน่ง พวกของหยางโปเดินเข้ามาแล้ว พวกเด็กหนุ่มก็อดมองมาไม่ได้


เยว่เหยี่ยนกล่าว “อย่าวอกแวก!”


เหล่าเด็กหนุ่มร้อนจนเหงื่อท่วมตัว แล้วถอนสายตากลับมา


เข้าไปนั่งในห้องรับแขก ตาเฒ่าเหยี่ยนดึงหยางโปนั่งลงที่นั่งประธาน หยางโปรีบร้อนปฏิเสธ ปฏิเสธพัลวันอยู่ครู่หนึ่ง ตาเฒ่าเยว่ถึงได้นั่งลงไป


“เมื่อสองวันก่อนเยว่เหยายังพูดถึงนายอยู่เลย ถ้ารู้ว่านายมาแล้วเธอจะต้องดีใจมากแน่ๆ!” ตาเฒ่าเยว่กล่าว


 


หยางโปหัวเราะ “เยว่เหยาอายุน้อยขนาดนี้ อยู่ในโรงเรียนถึงจะดีที่สุด”


เยว่เหยี่ยนพยักหน้า สบายอกสบายใจมาก “ใช่แล้ว เธอร่างกายอ่อนแอมากมาตั้งแต่เด็ก ฉันเลยต้องส่งเธอไปบนเขาเอ๋อเหมย ตอนนี้ลงเขามาแล้ว ฉันก็ส่งเธอเข้าโรงเรียน ตอนนี้ยังไม่เลิกเรียน รออีกเดี๋ยวก็น่าจะกลับมาแล้ว”


หยางโปประหลาดใจเล็กน้อย “เยว่เหยาโตบนเขามาตั้งแต่เด็กจะเรียนทันไหม? อายุอย่างเธอนี่น่าจะเรียนมัธยมปลายใช่ไหม?”


“เรียนมัธยมปลายปีสามแล้ว ปีหน้าก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธออยู่บนเขาก็เรียนนะ ฉันเชิญครูส่วนตัวขึ้นไปสอนบนเขา ดังนั้นการศึกษาของเธอจึงไม่ด้อยเลยแม้แต่น้อย” ตาเฒ่าเยว่กล่าวพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ


 


หยางโปจ้องมอง ในใจคิดว่าคุณสมบัตินี้ไม่ธรรมดาเลย


ต่อมาทั้งสองคนก็เริ่มสนทนากัน พูดคุยสัพเพเหระไม่มีสาระอะไร


ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดตาอ้วนหลิวก็ได้โอกาส เอ่ยแทรกว่า “ตาเฒ่า คุณได้ข่าวคราวของกระบี่จ้านหลูบ้างไหม?”


ตาเฒ่าเยว่ส่ายหน้า “ตั้งแต่บรรพบุรุษทำกระบี่จ้านหลูหายไปก็ไม่ได้มีบันทึกเอาไว้อีก สองปีก่อนฉันสืบค้นดูก็เจอว่าต่อมากระบี่จ้านหลูเคยปรากฏขึ้น ในการครอบครองของแม่ทัพชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิงหยวนฉงฮ่วน แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวหลังจากนั้นอีกเลย”


ในใจหยางโปไม่มีหวังว่าจะหากระบี่จ้านหลูเจอสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังเอ่ยปลอบว่า “ตาเฒ่าวางใจเถอะ สวรรค์จะต้องเห็นถึงความจริงใจของตระกูลเยว่แน่ กระบี่ล้ำค่าจ้านหลูจะต้องปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน”


 


ตาอ้วนหลิวก็พยักหน้า เขาหัวเราะคิกคักหันไปกล่าวกับเยว่เหยี่ยนว่า “ตาเฒ่า ผมก็คิดว่ากระบี่จ้านหลูอาจจะยังปรากฏขึ้นได้ แต่ว่าถ้าหากถึงเวลานั้นแล้วในมือคุณมีเงินไม่พอ เกรงว่าจะเอามาไม่ได้นะ!”


เยว่เหยี่ยนชะงัก ถึงแม้เขาจะเข้าใจเจตนาของตาอ้วนหลิวดี แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้ปฏิเสธ เพราะว่าที่ตาอ้วนหลิวกล่าวก็มีเหตุผลมากจริงๆ


ผ่านไปครู่หนึ่ง เยว่เหยี่ยนเอ่ยปากอย่างขึงขังว่า “งั้นดีล่ะ ในมือฉันยังมีกระบี่ประมาณห้าเล่ม ต่อไปก็ช่วยฉันขายไปทีนะ!”


กล่าวจบ เยว่เหยี่ยนก็ถอนหายใจเบาๆ “หลายปีนี้ฉันไม่สนใจเรื่องเงินทองมาตลอด กระบี่ล้ำค่าส่งออกไปหมดแล้ว ตอนนี้ดูท่าฉันจำเป็นต้องรวบรวมเงินแล้ว”


 


ตาอ้วนหลิวน่าจะคิดไม่ถึงว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ เขารู้สึกดีใจอย่างคาดไม่ถึง “ไม่รีบ ไม่รีบ กระบี่ห้าเล่มนี้ของคุณจะขายออกไปพร้อมกันไม่ได้ แยกขายออกไป ราคาก็จะยิ่งสูง”


เยว่เหยี่ยนพยักหน้า “เรื่องนี้นายมาจัดการเถอะ”


ขณะที่กล่าว ทันใดนั้นก็มีเด็กหนุ่มรุ่นวัยยี่สิบกว่าปีเดินเข้ามา กล่าวข้างใบหูของเยว่เหยี่ยนประโยคหนึ่ง เยว่เหยี่ยนพยักหน้า “รีบไปพักผ่อนเถอะ ช่วงนี้ลำบากเธอแล้ว”


เยว่เหยี่ยนหันหน้ามามองหยางโป “ต้องขออภัยจริงๆ ช่วงนี้ฉันยุ่งมากมาตลอด ตอนนี้ที่ไปรับจวิ้นเหยาก็รีบไปรีบกลับ เป็นเพราะว่าตระกูลเยว่ปรับปรุงซ่อมแซมศาลบรรพชนมาตลอด ยุ่งมากจริงๆ พรุ่งนี้ปรับปรุงศาลบรรพชนเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำพิธีเปิด ฉันขอเชิญทั้งสามท่านให้มาเป็นสักขีพยานด้วยนะ!”


 


พวกหยางโปสามคนสบตากัน ต่างก็ประหลาดใจมาก แต่ว่าสำหรับเรื่องแบบนี้ทุกคนไม่มีทางปฏิเสธ


“ได้เป็นสักขีพยานก็เป็นเกียรติอย่างมากจริงๆ!” กู้ฉางซุ่นกล่าวอย่างสุภาพ


หยางโปกับตาอ้วนหลิวก็พยักหน้า “ตกลงครับ!”


ต้อนรับกันรอบหนึ่ง เยว่เหยี่ยนก็ออกไปจัดการธุระ รอจนท้องฟ้ามืดหม่นลงไป เยว่เหยาก็สะพายกระเป๋าหนังสือกลับมาแล้ว


มองเห็นหยางโปนั่งอยู่ในห้องรับแขก เยว่เหยาก็เลิกคิ้วอย่างน่ามอง “หยางโป นายมาแล้ว!”


หยางโปหัวเราะ “ฉันมาแล้ว”


เยว่เหยาส่ายหน้า “นานขนาดนี้ถึงค่อยมาหาฉัน นายคงไม่ได้ไปค้นคว้าสุสานของฉินฮุ่ยมานะ?”


 


หยางโปส่ายหน้า “อย่าพูดจาเหลวไหล ฉันไปช่วยเธอเฆี่ยนศพมาแล้ว”


เยว่เหยาหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนแรกเธอก็ไม่ได้พูดมาก สนทนากับหยางโปไปหลายประโยคนี้ก็ไม่เลวแล้ว


ตาอ้วนหลิวมองเงาร่างที่จากไปของเยว่เหยา หันมายักคิ้วหลิ่วตากับหยางโป “แม่สาวน้อยสวยมาก หยางโป นายไม่มีรสนิยมจริงๆ สาวน้อยที่โตขนาดนี้นายก็ไม่ปล่อยไป!”


หยางโปมองเขาอย่างดูแคลน “แก่แล้วไร้ยางอายจริงๆ”


จากนั้น จู่ๆ หยางโปก็ได้ยินเสียง “แคร้ง” เก้าอี้ของตาอ้วนหลิวทันใดนั้นก็ร่วงลงไปกับพื้น กระทั่งพาตาอ้วนหลิวหน้าคะมำไปด้วย


 


หยางโปหันหน้ามามอง มองเห็นเท้าของเยว่เหยายังไม่ได้เก็บกลับไป ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเธอ “ตาแก่ไร้ยางอาย!”


มองเงาร่างที่จากไปของเยว่เหยา ตาอ้วนหลิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เดิมทีเขาล้อเล่น ไม่คิดเลยว่าแม่สาวน้อยจะถึงกับดุดันแบบนี้


หยางโปเอ่ยเตือนเสียงเบา “ลัวย่าวหัวตอนแรกก็ถูกเตะไปทีหนึ่ง เกือบจะฟ้าใส”


“ฟ้าใส? หมายความว่าอะไร?” ตาอ้วนหลิวปาดหน้าผาก ยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ


“ถ้านายนกเขาไม่ขันก็คือฟ้าใส” หยางโปกล่าว


“เชี้ย!” ตาอ้วนหลิวอดที่จะสบถออกมาสักคำไม่ได้


 


กู้ฉางซุ่นนั่งดื่มชาอยู่ด้านข้าง “คนหนุ่มพูดจาหยาบคายจริงๆ “


หยางโปส่ายหน้าแล้วหัวเราะขึ้นมา


ถึงเวลามื้อค่ำ กู้ฉางซุ่นหยิบหินเถียนหวงขึ้นมาสำรวจกับเยว่เหยี่ยน เยว่เหยี่ยนศึกษาเรื่องหินเถียนหวงไว้มาก ทั้งสองคนสนทนากันอย่างออกรส ตาอ้วนหลิวหันมากล่าวกับหยางโปเสียงเบา “ในมือนายยังมีหินดิบอีกสามก้อนไม่ใช่เหรอ?​ เอามาดูกันก่อนแล้วค่อยกลับเอาไปตัดหินออกมา”


เยว่เหยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ก็มองมา “หยางโป นายมีหินดิบเถียนหวงเหรอ?”


หยางโปพยักหน้า “ซื้อมาสามก้อน แต่เป็นหินเล็กที่ดูไม่เข้าตา หน้าตาดูไม่ดีเลย เถ้าแก้โยนเอาไว้ทางหนึ่งผมก็เลยหยิบกลับมา”


 


“หยิบออกมาดูหน่อย” เยว่เหยี่ยนกล่าว


หยางโปจำต้องหยิบออกมา เยว่เหยี่ยนมองดูอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยยิ้มให้หยางโปแล้วกล่าว “พรุ่งนี้นะ ค่ำพรุ่งนี้ฉันจะมาช่วยนายตัดหิน คืนนี้ก็พักผ่อนให้ดี เก็บแรงเอาไว้รับสถานการณ์วันพรุ่งนี้ด้วย”


หยางโปหัวเราะ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่หวังว่าจะได้หินดีสักนิด “โอเคครับ”


ตอนที่ 218 ภาพจงรักภักดีต่อประเทศชาติ


ศาลของเยว่เฟยตั้งอยู่ที่หมู่บ้านไป๋หยางเฉียวแห่งจื่อฝางโถวเซียงในอำเภอชาง เริ่มก่อสร้างขึ้นในสมัยเจิ้ง


เต๋อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นประวัติศาสตร์ห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้แล้ว ภายในอารามจัดวางพระพุทธรูปสามศักดิ์สิทธิ์ ตรงกลางคือวีรบุรุษแห่งชาติ เยว่เฟย ทั้งสองท่านด้านข้างคือลูกชายสองคนของเยว่เฟย เยว่อวิ๋นและเยว่เหลย


ตอนที่กลุ่มของหยางโปมาถึง มองเห็นศาลบรรพชนของเยว่เฟยปรับปรุงใหม่ทั้งหมดแล้ว เยว่เหยี่ยนยุ่งวุ่นวายไปหมด เยว่เหยาก็ไม่ได้ไปเรียน ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ คนหนุ่นมาช่วยงานเป็นจำนวนมาก มองเห็นเธอต่างก็เอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ !”


วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดครบ 900 ปีของเยว่เฟย เพื่อต้อนรับกับวันพิเศษนี้ ชนรุ่นหลังตระกูลเยว่เมื่อหนึ่งปีก่อนก็ได้รวมตัวกันยื่นคำร้องปรับปรุงศาลบรรพชนของเยว่เฟยและก่อสร้างลานศาลบรรพชนของ


เยว่เฟยกับกรมอนุรักษ์วัตถุวัฒนธรรมแล้ว


 


คนหนุ่มที่มารายงานเมื่อวานนั้นยืนอยู่ข้างกายหยางโป เพราะว่าเยว่หมินยุ่งมาก จำต้องจัดการให้ศิษย์คนสุดท้องจี้เฉียงมารับรองเป็นพิเศษ


“เรื่องการซ่อมแซมศาลบรรพชน เป็นการจัดการของท่านอาจารย์มาโดยตลอด ท่านอาจารย์เพิ่งจะเริ่มหาเงินทุน ชนรุ่นหลังของตระกูลเยว่สายหลักก็อาสาบริจาค สามแสนห้าหมื่นหยวน ใช้เวลาแค่ 6 เดือน งานโครงสร้างหลักและงานซ่อมแซมรูปปั้นในอารามก็เสร็จเรียบร้อย การก่อสร้างในตอนนี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว”


จี้เฉียงมองผู้คนที่ขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง แล้วเริ่มเอ่ยอธิบายขึ้นมา


“พอบอกว่าบริจาคเงิน ทุกคนก็กระตือรืนร้นเป็นพิเศษ มีผู้เฒ่าอายุ 80 กว่าที่เอาเงินเก็บของตนเองออกมา มีเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบที่เอาเงินใช้จ่ายที่เก็บออมไว้ออกมา ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะทำให้บรรพชนผิดหวังไม่ได้ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเพื่อหลงเหลือความทรงจำทางประวัติศาสตร์ให้กับลูกหลาน ให้ลูกหลานจดจำความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ”


 


หยางโปได้ฟังก็รู้สึกทั้งหวั่นไหวทั้งประหลาดใจ โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นรอยยิ้มจากใจที่แขวนไว้บนใบหน้าของผู้คนในศาลบรรพชนตระกูลเยว่ เขาก็อดรู้สึกยินดีขึ้นมาไม่ได้


เดินรอบศาลบรรพชนตระกูลเยว่ไปรอบหนึ่ง หยางโปก็สังเกตเห็นภาพวาดที่ตกแต่งไว้ภายในอย่างประณีต บรรยายถึงเหตุการณ์สำคัญชั่วชีวิตของเยว่เผิงจู่ (อีกชื่อของเยว่เฟย) ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งปรากฏจิตวิญญาณอันจงรักภักดีต่อประเทศชาติไปทั่วทุกที่


หยางโปมองเห็นกระบี่เล่มนั้นที่ตนเองเคยให้เป็นของขวัญวางอยู่ในส่วนจัดแสดงด้านหลัง


กู่ฉางซุ่นมองเห็นภาพฉากเช่นนี้ก็ถอดทอนใจว่า “ในอนาคตถ้าหากมีคนมาตั้งศาลบรรพชนให้ฉันได้ นั่นก็คงเป็นชื่อเสียงดีงามตลาดกาลจริงๆ”


 


เดินอยู่ด้านหน้า จู่ๆ ก็มีเสียงทะเลาะแว่วมา หยางโปเร่งรีบสืบเท้าเข้าไปดู มองเห็นสีหน้าของเยว่เหยี่ยนจริงจัง ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ด้านหน้าตัวเขามีคนสองฝ่ายกำลังทะเลาะอะไรกันอยู่


เยว่เหยี่ยนมองเห็นหยางโปเดินเข้ามาก็เร่งรีบกวักมือให้กับเขา


รอจนหยางโปเดินเข้าไปอีกหน่อย เยว่เหยี่ยนก็เอ่ยแนะนำว่า “หยางโปคือนักประเมินวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงในประเทศ​ เรื่องนี้ให้เขามาตัดสินเถอะ!”


หยางโปมองไปอย่างสับสนงุนงนเล็กน้อย เห็นฝั่งหนึ่งวางภาพภาพหนึ่งเอาไว้ จุดสนใจของทุกคนก็ล้วนอยู่ที่ภาพนี้ แล้วก็อดที่จะมองไปทางทั้งสองฝ่ายอย่างสงสัยไม่ได้


 


“ฉันจะพูด!”


“ฉันจะพูด!”


ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร เยว่เหยี่ยนขมวดคิ้วแล้วตำหนิ “หุบปากให้หมด เยว่ปินพูดก่อน !”


เยว่ปินคือชายวัยสามสิบกว่าปี คางมีไฝเม็ดหนึ่ง “ภาพนี้พ่อของผมนำกลับมาจากอเมริกา ตอนที่ซื้อมาทีแรก คนขายบอกกับพ่อผมเองว่าภาพนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา”


“ที่สำคัญคือ พ่อของผมเพื่อพิสูจน์ว่าภาพนี้เป็นของจริงหรือของปลอมก็ได้ไปประเมินกระดาษมาโดยเฉพาะ ผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่ากระดาษที่ใช้วาดภาพนี้เป็นกระดาษสมัยราชวงศ์ซ่ง อย่าบอกนะว่าแบบนี้แล้วจะยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าภาพนี้เป็นของจริงอีก?”


 


ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกลับคัดค้านเขา แค่นเสียงคำหนึ่ง “ปล่อยให้นายพูดพล่ามไร้สาระ แต่นายไม่รู้ใช่ไหม ภาพนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิง ภาพเหมือนกันทุกกระเบียด หรือว่านายคิดจะพูดว่าภาพนั้นที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงเป็นของปลอม?”


“ฉันไม่ได้จะพูดแบบนี้”


ทั้งสองฝ่ายเสียงดังเจี๊ยวขึ้นมา


หยางโปยืนอยู่ด้านข้าง เขาเร่งรีบคำนับ “ทุกคนอย่าทะเลาะกัน ให้ผมดูก่อนนะ!”


กล่าวจบ หยางโปก็เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ถึงได้สังเกตเห็นรายละเอียดของภาพนี้ นี่คือภาพจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ดูจากคำบรรยายแล้วน่าจะเป็นภาพวาดของหวางเมิง จิตรกรชื่อดังสมัยราชวงศ์หยวน


 


จิตรกรหวางเมิงมีชีวิตอยู่ในยุคปลายราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง ในช่วงต้นราชวงศ์หมิงเขาเคยเป็นขุนนางระดับสูงในเมืองไท่อัน ต่อมาเพราะไปเกี่ยวข้องกับคดีของหูเหวยยงจึงตกตายในคุกไป


ตัวของหวางเมิงเองก็เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก และชื่อเสียงของเขายิ่งใหญ่กว่าตาของเขาเล็กน้อย ตาของเขาคือเจ้าเมิ่งฝู่ นักอักษรชื่อดังในสมัยราชวงศ์หยวน สร้างแบบอักษรเจ้าถี่ขึ้นมาด้วยตนเอง


หยางโปจำได้อย่างชัดเจน ภาพนี้ถูกแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิง ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นของปลอมสูงมาก แต่ว่าคิดถึงว่าภาพนี้ได้ซื้อกลับมาจากประเทศ​ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หยางโปจึงเริ่มจ้องมองภาพนี้


สองคนที่อยู่ด้านข้าง ยังคงถกเถียงกันไม่รู้จบ


“ภาพนี้พ่อของฉันซื้อกลับมาบริจาคจากต่างประเทศตั้งไกล ฉันจะต้องแขวนภาพนี้ให้ได้”


 


“ไม่ได้ ภาพนี้ต้องเป็นของปลอมแน่ ของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิง เมื่อวานฉันเอาเอกสารให้นายดูแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าหากแขวนภาพปลอมนี้ขึ้นไปจริงๆ ก็ขายหน้าคนตระกูลเยว่เราแล้ว!”


“จะเป็นของปลอมไปได้ยังไง? ฉันก็เอารายงานการประเมินให้นายดูแล้ว ภาพนี้เป็นภาพของหวางเมิง เป็นงานของเขาจริงๆ!”


“จะไม่ใช่ของปลอมไปได้ยังไง อย่าบอกนะว่าบนโลกนี้ยังมีภาพที่เหมือนกันทุกกระเบียดได้?”


….


เยว่เหยี่ยนยืนอยู่ด้านหนึ่งและก็ไม่ได้ห้ามการทะเลาะของทั้งสองคน แต่กลับส่งสายตามาทางหยางโป


หยางโปได้ยินการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขาทั้งสองคน ประกายแสงตรงหน้าก็วาบขึ้น ประกายแสงรวมตัวกัน ไม่นานก็ก่อร่างเป็นลำแสง!


 


หยางโปประหลาดใจขึ้นมา เพราะว่าเขาถึงกับพบยุคสมัยที่วาดภาพนี้นั้นเป็นยุคต้นราชวงศ์หมิง!


ภาพนั้นในเชินเฉิง หยางโปไม่เคยเห็นกับตาของตัวเองเลย ทว่าความเป็นไปได้ที่ภาพนั้นจะเป็นของจริงนั้นเป็นไปได้มาก ถ้าหากตอนนี้หยางโปบอกว่าภาพตรงหน้านี้เป็นของจริง ภาพในพิพิธภัณฑ์เป็นของปลอม ทุกคนก็จะต้องสงสัยว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ!


เยว่เหยี่ยนมองเห็นหยางโปยิ่งนิ่งไม่พูดจา ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “หยางโป เป็นยังไงบ้าง?”


หยางโปส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยคำ


“นายพูดมาตามตรงๆเถอะ ฉันคิดว่าพวกเขายอมรับได้” เยว่เหยี่ยนกล่าว เขาร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเพราะว่าเรื่องนี้แล้วต้องยื้ดเยื้อออกไป เขาก็เป็นคนบาปของตระกูลเยว่แล้ว!


 


“ผมขอดูอีกที” หยางโปกล่าว เขาไม่กล้ายืนยัน ถึงขนาดไม่กล้าให้บทสรุปไปโดยง่าย


ตาอ้วนหลิวเดินเข้ามาอย่างประหลาดใจมาก เขาเอ่ยถามเสียงเบากับหยางโปว่า “เป็นยังไง?”


หยางโปส่ายหน้า “คุณลองมาดูสิ”


ตาอ้วนหลิวดูอยู่ครู่นึงแล้วก็ส่ายหน้าอย่างประหลาดใจ เขาก็ไม่กล้าให้บทสรุป เพราะว่าภาพนี้อ้างอิงจากลักษณะเฉพาะในผลงานของหวางเมิงแล้ว ถึงขนาดแทบไม่แตกต่างกับภาพนั้นที่อยู่ในเชินเฉิงเลย


ตาอ้วนหลิวกล่าว “ภาพนี้ถึงกับเหมือนกันทุกกระเบียด ภาพนี้น่าจะเป็นของจริงนะ”


“ภาพนั้นในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงเป็นของปลอมเหรอ?” อีกคนหนึ่งเอ่ยค้าน


ตาอ้วนหลิวมองหยางโป “เรื่องนี้…”


 


“ภาพนี้น่าจะเป็นของจริง!” หยางโปถูกประโยคหนึ่งของตาอ้วนหลิวเรียกสติ ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมา


คนผู้นั้นไม่ยอมปล่อย “ถ้างั้นความหมายที่จะนายจะบอกก็คือ ผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงล้วนตาบอด ใช้ของปลอมภาพหนึ่งมาหลอกลวงประชาชนทั้งประเทศเหรอ?”


หยางโปส่ายหน้า “ผมไม่ได้จะพูดแบบนี้”


“ก็นายหมายความแบบนี้!”


“แล้วถ้าผมพูดว่าทั้งสองภาพนี้เป็นของจริงล่ะ?”


หยางโปกล่าวออกไปหนึ่งประโยค รอบด้านพลันเงียบสนิท ทุกคนต่างก็ตกใจจนสะดุ้ง


ตอนที่ 219 พิธีกรรม


“จะเป็นไปได้ยังไง? จะมีภาพของจริงสองอันไปได้ยังไง?”


คนนั้นตะโกนขึ้นมาทันที


เยว่เหยี่ยนจ้องเขม็งไป “เยว่หย่ง ไม่ต้องพูด ให้คุณหยางพูดให้จบก่อน!”


หยางโปพยักหน้า เขามองไปทางเยว่เหยี่ยน “ตาเฒ่าเยว่ ไม่รู้ว่าคุณได้ศึกษาเรื่องภาพวาดไหม?”


เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ฉันไม่ได้ศึกษา นายเป็นคนตัดสิน นายว่ามาเลย นายพูดว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น!”


ทุกคนมองหน้ากันและกัน ไม่มีใครคาดคิดถึงว่าเยว่เหยี่ยนจะถึงกับเชื่อมั่นในหยางโปขนาดนี้


หยางโปจนปัญญา จำต้องมองไปทางตาอ้วนหลิว “นายมาสัมผัสกระดาษดู”


ตาอ้วนหลิวประหลาดใจมาก เดินขึ้นหน้าไป เขายื่นมือไปหยิบถุงมือ กำลังจะสวม หยางโปก็เอ่ยห้าม “ไม่ต้องสวมถุงมือ”


 


ตาอ้วนหลิวงุนงงเล็กน้อย เขายื่นมือไปสัมผัสขอบกระดาษ เยว่ปินที่ยืนอยู่ด้านข้างร้อนใจมาก เพราะว่าอายุของภาพนี้ยาวนานมาก ตามหลักเหตุผลแล้วไม่สามารถเอามือสัมผัสได้โดยตรง เพราะว่าบนฝ่ามือมีเหงื่อ ง่ายมากที่เหงื่อจะซึมเข้าไปในกระดาษและทำให้อายุขัยของภาพหดสั้นลง


หลังจากตาอ้วนหลิวสัมผัสแล้ว ก็เงยหน้ามองมาทางหยางโปอย่างสงสัยมาก


“คุณคิดว่าระดับความหนาของภาพนี้เป็นยังไง?” หยางโปเอ่ยเตือน


ตาอ้วนหลิวตกใจมาก ยื่นมือไปสัมผัสอย่างระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ค้อมกายลงไปจ้องมองกระดาษ ไม่นานเขาก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “อย่าบอกนะว่านี่คือการเปิดภาพ?”


“เปิดภาพ?” เยว่เหยี่ยนมองมาอย่างสงสัย ชัดเจนว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของการเปิดภาพเลยแม้แต่น้อย


ตาอ้วนหลิวกล่าวอธิบาย “ก็คือการนำภาพหนึ่งมาตัดออกเป็นสองภาพ!”


 


“ตัดออกเป็นสองภาพ?” เยว่เหยี่ยนมองมาอย่างตกตะลึง


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “ใช่แล้ว ตัดจากหน้ากระดาษออกมา คนธรรมดายากที่จะมองออกแต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญแล้ว การเปิดภาพไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น”


เยว่เหยี่ยนมองไปทางหยางโป หยางโปพยักหน้าแล้วกล่าวอธิบายว่า “ภาพนั้นในพิพิธภัณฑ์เชินเฉิงเป็นยังไง ฉันก็ไม่เคยเห็น แต่ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมกลับยืนยันได้ว่าภาพนี้เป็นของจริง!”


กล่าวตอบ หยางโปก็ชี้ไปที่ไปที่ขอบมุมของกระดาษที่ใช้วาดภาพ “ช่างฝีมือผู้ที่เปิดภาพนี้มีทักษะสูงมาก ทุกคนดูตรงนี้ รอยตัดราบเรียบมาก ความหนาแทบจะเสมอกัน แต่ว่ามีตำแหน่งของหมึกที่ดูอ่อนบางไปเล็กน้อยเพราะความชุ่มของน้ำหมึก”


 


เยว่หย่งจ้องเขม็ง “นี่ก็เป็นได้ว่าคุณภาพกระดาษแย่ เดิมทีก็หนาไม่เท่ากันอยู่แล้ว!”


หยางโปพยักหน้า “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล”


กล่าวจบ หยางโปชี้ไปบริเวณแสงไฟที่อยู่ตรงกลางของภาพแล้วกล่าว “หวางเมิงเป็นจิตรกรดังปลายสมัยราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง ฝีมือวาดภาพของเขาประณีตมาก ทั้งมีรูปแบบที่เป็นอิสระเบาสบาย แต่ว่าจุดนี้ แท่งเทียนมีตำหนิอย่างเห็นได้ชัด แสงไฟก็ปรากฏช่องว่าง นี่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!”


“ปรากฏเรื่องแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่าภาพนี้เป็นชั้นล่างของการเปิดภาพ ความชุ่มของน้ำหมึกเติมเต็มไม่พอ ถึงได้เกิดรอยตำหนิของน้ำหมึก ถึงขนาดเกิดขึ้นหลายครั้งในภาพ!”


ขณะที่กล่าวอยู่ หยางโปก็ชี้ไปที่หลายตำแหน่ง ทุกคนก็มองออกว่าบริเวณเหล่านั้นน้ำหมึกอ่อนจาง ถึงขนาดเหลือจุดขาวที่ไม่ควรปรากฏไว้


 


เยว่หย่งโง่งมไปเล็กน้อย เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมิณ เรื่องภาพวาดเดิมทีก็รู้แค่หางอึ่ง หยางโปอธิบายมาสองประโยค เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับยังไงแล้ว


ขณะที่เยว่เหยี่ยนก้มหน้ามองดูนั้นก็หันไปทางหยางโป “หยางโป ตอนนี้เวลากระชั้นชิด ฉันขอถามนายแค่ประโยคเดียว ภาพนี้ที่จริงแล้วนับเป็นของจริงไหม!”


หยางโปพยักหน้า “นับ!”


เยว่เหยี่ยนเอ่ยปากทันที “งั้นก็ดี ตอนนี้ก็แขวนขึ้นไปเลย! ไม่ต้องโต้เถียงกันแล้ว ทุกคนรีบกลับไปที่นั่งของตนเอง อีกเดี๋ยวอย่าได้ทำให้เกิดอะไรผิดพลาด!”


ทุกคนตอบรับแล้วจากไป เยว่ปินขอบคุณหยางโป หยางโปกล่าวถ่อมตนหลายประโยคแล้วจึงค่อยจากมา


 


ศาลบรรพชนตระกูลเยว่ก่อสร้างปรับปรุงใหม่ เพิ่มโซนจัดแสดงเข้ามาใหม่ ชนรุ่นหลังตระกูลเยว่บริจาคของโบราณที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อย ทำให้ศาลบรรพชนตระกูลเยว่คุ้มค่าในการเที่ยวชม


พวกหยางโปสามคนเดินวนรอบหนึ่ง ตอนที่มาถึงอาราม พิธีการก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว


ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันมาก แต่ก็ไม่มีใครสนใจดูแลพวกเขาทั้งสามคน ทั้งสามคนจึงหาที่หนึ่งแล้วยืนนิ่ง มองทุกคนเดินนำไปที่เวทีด้านหน้า


พิธีกรถือไมโครโฟน “ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงาน นี่คือพิธีการเปิดศาลบรรพชนของตระกูลเยว่และการรำลึกเฉลิมฉลองวันครบรอบวันเกิดปีที่ 910 ของเยว่เฟย!”


….


 


“ต่อไปขอเชิญแขกจากสภาเมืองชางโจวของพรรคคอมมิวนิสต์…สหายกล่าวปาฐกถา!”


“ต่อไปขอเชิญ…”


หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองท่านกล่าวเปิดเสร็จสิ้นแล้ว สุดท้ายก็เป็นคราวของเยว่เหยี่ยน ถ้าหากเสียงปรบมือของการกล่าวเมื่อครู่ยังเบาบางไปสักหน่อย พอเยว่เหยี่ยนขึ้นเวทีแล้วเสียงปรบมือก็ดังสนั่นทำให้ผู้ใหญ่มีสีหน้าเปลี่ยนสี


เยว่เหยี่ยนอยู่ในชางโจวมาทั้งชีวิต มีฉายาไปกว่าครึ่งชางโจว แน่นอนว่าไม่กลัวเรื่องเล็กแค่นี้ เขายืนบนเวทีอย่างมั่นคงแล้วมีท่วงท่าแบบนักยุทธ์ด้วยตนเอง!


เยว่เหยี่ยนถือไมโครโฟนแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้ใหญ่ทุกท่าน ขอบคุณชนรุ่นหลังของตระกูลเยว่ ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาเข้าร่วมเฉลิมฉลองกับพวกเรา ณ ที่นี่! ขอบคุณทุกท่าน!”


 


เยว่เหยี่ยนกล่าวจบแล้วก็คำนับ เรียกเสียงปรบมือก็ดังเซ็งแซ่อีกครั้ง


“เซ่าซิง วันที่ 29 เดือนธันวาคม ปีที่ 11 ฉินฮุ่ยตั้งข้อหาอุกฉกรรจ์ว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ บรรพบุรุษเยว่เฟยวางยาพิษเฟิงป๋อถิงที่หลินอัน จางเสี้ยน นายทหารให้บัญชาการของเยว่เฟย รวมทั้งลูกชายเยว่อวิ๋นถูกหั่นร่างที่หน้าประตูเมือง ก่อนที่จะตายเยว่เฟยได้สารภาพไว้ว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง เข้าใจแจ่มแจ้ง แปดคำ”


“ข่าวร้ายมาถึง ลูกคนชายคนที่ห้าของเยว่เฟย เยว่ถิงลอบไปที่แม่น้ำฉางเจียงในคืนเดียวกัน เปลี่ยนเป็นแซ่เอ้อ หลีกหนีจากสังคมอยู่ในเมืองริมแม่น้ำใหญ่หวงโฮ ต่อมาเขาได้ย้ายเข้าไปตระกูลเนี่ย 21 ปีให้หลัง จักรพรรดิเสี้ยวซงเพื่อชดเชยให้กับความไม่เป็นธรรมของบรรพบุรุษเยว่เฟยและลูก เยว่ถิงจึงได้คืนกลับเป็นแซ่เยว่ ได้ตำแหน่งในราชสำนักเป็นเจ้ากรม ดูแลถานโจวเพื่อป้องกันชายแดนจงเจิ้ง”


 


“ปลายราชวงศ์ซ่งต้นราชวงศ์หยวน ภัยแล้งและภัยสงคราม ลูกหลานของเยว่ถิงฉวยโอกาสอพยพร่อนเร่ไปถึงฮั่นชวน และเริ่มตั้งรกรากสร้างครอบครัวที่นี่ สืบทอดมาจนถึงลูกหลานรุ่นที่สิบเอ็ด มีสี่พี่น้องเยว่ทง เยว่ฉวน เยว่ต๋า เยว่เป่ย”


“เยว่ทงเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊ มีความชอบในการรบหลายครั้ง ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพเมืองเจียงหนิงแห่งเจียงเฉิง เขากำลังจะจัดงานเลี้ยงกองทัพของหวางจูตี้ก็บุกตะลุยทั้งเหนือใต้ ละทิ้งความโปรดปรานของจักรพรรดิและตั้งตนครองบัลลังก์ ย้ายเมืองหลวงไปที่ปักกิ่ง เยว่ทงรับใช้จักรพรรดิอย่างเต็มกำลัง


จากนั้นปีหย่งเล่อที่สองก็ติดตามจักรพรรดิไปที่งานเลี้ยง ตั้งรกรากที่จิ้งไห่ ตั้งตนเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหว่าจือ”


“เนื่องจากผู้คนจำนวนมากอพยพขึ้นเหนือ น้องชายคนที่สองของเยว่ถง เยว่ฉวนจึงย้ายมาถึงชางโจว น้องชายคนที่สามเยว่ต๋าตั้งรกรากที่ซานตง เยว่เป่ยน้องชายคนที่สี่ตั้งถิ่นฐานที่อวี้เซิ่ง พวกเราสายชางโจวนี้ก็คือลูกหลานของเยว่ฉวน! และเป็นเลือดเนื้อของตระกูลเยว่!”


 


“ร่างกายผิวพรรณได้รับมาจากพ่อแม่ ไม่กล้าทำร้าย ทั้งต้องกตัญญู สามสิบกว่าปีก่อน ฉันก็เริ่มค้นหาสิ่งของประจำตระกูลของตระกูลเยว่ ติดต่อชนรุ่นหลังของตระกูลทั่วทั้งประเทศ”


“เพียงแต่เวลาผ่านไป ประวัติศาสตร์พื้นที่มากมายของตระกูลไม่อาจสืบค้นได้ มีเพียงสายของเยว่ถงที่เหลืออยู่ที่จิ่งเฉิงยังคงหลงเหลือผังตระกูลสืบลงมา แต่ทว่าจากนั้นก็เชื่อมต่อไม่ติดแล้ว”


“ในเมื่อปีนี้ ฉันได้วิ่งวุ่นไปหลายทาง ท้ายสุดแล้วก็สามารถซ่อมแซมศาลบรรพชนตระกูลเยว่ได้ ทุกสายให้การร่วมมืออาสาบริจาคเงินทองข้าวของอย่างแข็งขัน ฉันขอขอบคุณทุกคนมา ณ ที่นี้ ขณะเดียวกันก็ขอขอบคุณแขกผู้ใหญ่ทุกท่านที่เมตตาและให้การสนับสนุนอีกด้วย!”


 


“ศาลบรรพชนตระกูลเยว่วันนี้ได้เปิดออกแล้ว นี่คือปฐมบท ความสัมพันธ์ของทุกแขนงทุกสายก็จะยิ่งแน่นแฟ้น! ตระกูลเยว่ก็จะยิ่งเป็นปึกแผ่น! ฉันหวังว่าชนรุ่นหลังของตระกูลเยว่จะยิ่งยอดเยี่ยม!”


เสียงปรบมือด้านล่างเวทีดังราวกับสายฟ้า หลังจากนั้นเสียงประทัดก็ดังสนั่นขึ้นจนหูแทบหนวกอย่างรวดเร็ว!


ตอนที่ 220 ดาบล้ำค่าซ่อนในรูปสลักหิน


พิธีการเริ่มต้นขึ้น เยว่เหยี่ยนพาแขกผู้ใหญ่เดินเยี่ยมชม เยว่เหยามาหาหยางโป “เห็นพวกนายยังไม่มีใครพาไป ให้ฉันพาพวกนายไปเยี่ยมชมไหม?”


หยางโปไม่ได้ตอบกลับ ทั้งยังเอ่ยถามว่า “เมื่อกี้เธอวิ่งไปที่ไหนมา?”


เยว่เหยาก็ไม่ได้ตอบ เปิดปากเอ่ยว่า “นายจะไปเยี่ยมชมไหม?”


หยางโปส่ายหน้า “ช่างเถอะ พวกเราเดินดูไปรอบหนึ่งแล้ว”


เยว่เหยาลังเลเล็กน้อย “ทางนั้นมีรูปสลักของฉินฮุ่ย นายเห็นหรือยัง?”


หยางโปนึกคิดถึงได้คิดออกว่าทางนั้นมีรูปสลักของฉินฮุ่ยอยู่ตัวหนึ่งจริงๆ แต่ใบหน้าบนรูปสลักด่างดำเล็กน้อยแล้ว รอยสลักก็พร่าเลือน


“เคยเห็นแล้ว ทำไมเหรอ?”


 


“ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ ตรุษจีนของทุกปี คุณปู่จะพาฉันมาเยี่ยมชมที่นี่ คุณปู่จะชี้ไปที่ฉินฮุ่ยแล้วเล่าตำนานของเยว่เฟยให้ฉันฟัง ตอนนั้นทุกปีพวกเราจะใช้ไม้ตีไปที่ตัวของฉินฮุ่ย” เยว่เหยาตอบ


หยางโปตกตะลึงเล็กน้อย “ไม่แปลกเลยที่หน้าตาของรูปสลักหินของฉินฮุ่ยนั่นจะแตกยับเยิน!”


“ตอนนี้รูปสลักหินใช้จัดแสดงแล้ว เกรงว่าจะไปทุบตีไม่ได้แล้ว” เยว่เหยากล่าว


หยางโปกล่าวอย่างสงสัยเล็กน้อย “เป็นไปได้ยังไง รูปสลักหินไม่ใช่โบราณวัตถุอะไร น่าจะทำขึ้นไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”


หยางโปเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงขนาดไม่ได้พินิจมอง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ยุคสมัยของรูปสลักหิน


เยว่เหยาส่ายหน้า “คุณปู่บอกฉันบอกว่า รูปสลักหินมีมานานแล้ว มันถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษหลายปีมากแล้ว!”


 


หยางโปก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้ เขามองอีกฝ่าย “ความหมายของเธอคือ?”


“ฉันมีข้อเสนอ ก็แค่เอารูปสลักหินตัวนั้นออกมาให้ทุกคนทุบตี นี่ก็นับเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง มันดึงดูดแขกได้ไม่น้อย” เยว่เหยากล่าว


หยางโปเข้าใจขึ้นมาทันที เยว่เหยาจะต้องเสนอเรื่องนี้ไปแล้วแน่ๆ แต่ว่าคำพูดของเธอไม่มีน้ำหนัก


เยว่เหยี่ยนไม่ฟังคำเสนอแนะของเธอเลย ดังนั้นเธอพูดมาพักหนึ่งแล้วก็แค่อยากจะดึงหยางโปให้มาสนับสนุนเธอ จะให้ดีก็คือเขาอาจจะโน้มน้าวเยว่เหยี่ยนให้ได้ด้วย


หยางโปหัวเราะ ไม่ได้ตอบตกลงไปในทันที “ฉันว่าแบบนี้แล้วกัน พวกเราไปดูกันก่อน ฉันอยากดูว่ารูปสลักหินที่จริงแล้วสลักขึ้นในยุคสมัยไหน ถ้าหากยุคสมัยไม่นานจริงๆ ฉันจะช่วยเธอพูด!”


เยว่เหยาเงยหน้า เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา “ถ้าหากเป็นของโบราณจริงๆ ล่ะ?”


 


“ถ้าเป็นของโบราณจริงๆ ถ้างั้นก็ต้องบอกว่าหมดโอกาสแล้ว” หยางโปกล่าว


“ตกลง!” เยว่เหยาตอบตกลงทันที


พวกตาอ้วนหลิวสองคนมองหยางโปสนทนากับเยว่จวิ้นเหยาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะไปออกความคิดเห็น หยางโปก็ไม่ได้บีบบังคับ


รูปสลักหินของฉินฮุ่ยตั้งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด ด้านข้างของรูปสลักหินมีป้ายข้อมูลที่ใช้บรรยายรูปสลักหินด้วย


หยางโปหันหน้ามองไปทางเยว่จวิ้นเหยา “ชิ้นนี้เหรอ?”


เยว่เหยาพยักหน้า “ใช่!”


หยางโปมองรูปสลักหินตัวที่อยู่ตรงหน้า แกะรูปสลักเป็นรูปร่างของฉินฮุ่ยถูกเชือกมัดเอาไว้แล้วคุกเข่าอยู่กับพื้น นี่ก็คืออิทธิพลทางศิลปะที่แพร่หลายที่สุดของฉินฮุ่ย แต่ฝีมือการแกะรูปสลักตรงหน้าธรรมดามาก เส้นสายหยาบดิบ ดูแล้วแม้ว่าจะเป็นของโบราณ มูลค่าก็ไม่สูงนัก


 


หยางโปมองปัญหาในฝีมือแกะสลักไม่ออก ประกายแสงตรงหน้าวาบขึ้น ประกายแสงเส้นเล็กบางลอยออกมาจากในรูปสลักหิน ค่อยๆ ควบรวมบนตัวรูปสลัก หยางโปจ้องมองการเปลี่ยนแปลงตรงหน้า ไม่นานก็ตกตะลึง รูปสลักหินตัวนี้ถึงกับสลักขึ้นปลายสมัยราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง


ภายใต้อารมณ์ตกตะลึง สายตาของหยางโปเลื่อนผ่านไป ตรงหน้าจู่ๆ ก็มีประกายแสงสว่างขึ้น เขามองผ่านไป มองเห็นรูปสลักหินกลายเป็นโปร่งแสงขึ้นมา ตรงกลางของรูปสลักหินมีกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งใส่อยู่!


หยางโปตกตะลึง จนอ้าปากค้างพูดไม่ออก


เยว่เหยามองหยางโป เห็นเขามองรูปสลักหินนิ่งค้างไม่พูดจา ในใจก็ยากที่จะไม่ให้สงสัยขึ้นมา


“หยางโป รูปสลักหินนี้โบราณมากเหรอ?” เยว่เหยาสุดท้ายก็อดทนไว้ไม่ไหว จับบ่าของหยางโปเบาๆ แล้วเอ่ยถาม


 


หยางโปได้สติคืนกลับมา หันหน้าไปมองเยว่เหยา “เธอช่วยไปเรียกคุณปู่ของเธอมาหน่อย”


เยว่เหยามองหยางโป ไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่ว่าเธอมีนิสัยเชื่อฟัง รู้ว่าหยางโปไม่น่าจะใช้ส่งข่าวตามใจชอบ จำต้องบุ้ยปากกล่าว “ฉันไปเรียกเขามา นายจะต้องช่วยฉันพูดนะ!”


หยางโปหัวเราะ “ได้ ได้ เธอวางใจเถอะนะ!”


เยว่เหยาถึงได้จากไปอย่างสบายใจ


ไม่นาน เยว่เหยี่ยนก็ถูกเชิญมา เขาเร่งรีบเดินเข้ามา เขาเดินเร็วราวกับสายลม!


“หยางโป ที่จริงแล้วมีเรื่องอะไรกัน​? ถึงรีบร้อนขนาดนี้?” เยว่เหยี่ยนเอ่ยถาม


 


หยางโปหันหน้ามองไปรอบด้าน เห็นว่ารอบกายไม่มีคนถึงได้มองไปทางเยว่เหยี่ยน “ตาเฒ่า พวกเรามาพูดความจริงกันเถอะ กระบี่ล้ำค่าจ้านหลูไม่อยู่ในบันทึกของตระกูลเยว่จริงๆ เหรอ?”


เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีจริงๆ ถ้าหากมีฉันต้องบอกนายอย่างแน่นอน!”


หยางโปขมวดคิ้ว “ถ้าหากผมบอกว่า ผมมีเบาะแสล่ะ? คุณจะพูดความจริงได้ไหม?”


สีหน้าของเยว่เหยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณค้นพบอะไร?”


หยางโปจ้องมองเยว่เหยี่ยน เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงก็รู้ว่าเขาปกปิดบางอย่างเอาไว้ “ครั้งก่อนคุณบอกว่าในปลายสมัยราชวงศ์หมิง หยวนฉงฮ่วนเคยใช้ดาบจ้านหลูครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีบันทึกอยู่ในบันทึกของตระกูลไหม?”


 


เยว่เหยี่ยนมองหยางโป ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยว่า “หยางโป เธออย่าได้โทษว่าฉันปิดบังเลยนะ เรื่องพวกนี้ส่งต่อมาหลายร้อยปี ควบคุมอยู่แค่ภายในตระกูลมาตลอด ถึงจะให้รู้ข้อมูลพวกนี้ได้”


หยางโปหัวเราะ “ถ้างั้นให้ผมเดาแล้วกันนะ!”


“กระบี่จ้านหลูอยู่ในตระกูลเยว่มาตลอด ถึงแม้เยว่เผิงจู่จะตกตายไป กระบี่ล้ำค่าก็ยังซ่อนอยู่ในตระกูลเยว่ ต่อมาประสบการเปลี่ยนผ่านสองราชวงศ์หยวนหมิง ตระกูลเยว่ทุ่มเทตีกระบี่จ้านหลูจำลองขึ้นมา เมื่อเป็นแบบนี้ ภาพจำของคนนอกก็คือ กระบี่ล้ำค่าจ้านได้หลูหายไป แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือกระบี่ล้ำค่ายังคงอยู่ที่นี่มาตลอด!”


 


หยางโปจ้องมองเยว่เหยี่ยน มองเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงราวเมฆฝน ในใจพลันหัวเราะ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ช่วงปลายราชวงศ์หมิง หยวนฉงฮ่วนต่อต้านราชวงศ์จินในยุคหลัง มีคนนำกนะบี่จ้านหลูไปฝากเอาไว้กับเขา หวังว่าจะสามารถทำเพื่อราชวงศ์หมิงจนกำลังเฮือกสุดท้าย แต่ว่าในท้ายที่สุดหยวนฉงฮ่วนเพราะว่าความยโสโอหังเขาแอบซ่อนความคิดอันตรายแอบแฝงเอาไว้จึงถูกจักรพรรดิฉงเจินสั่งประหาร เมื่อเป็นแบบนี้ กระบี่ล้ำค่าจ้านหลูก็ได้นำกลับมาแล้ว!”


หยางโปกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดมากอีก


เยว่เหยี่ยนจ้องมองหยางโป ครู่หนึ่งถึงได้ส่ายหน้าฝืนยิ้ม “หยางโป นายเป็นคนฉลาดจริงๆ แต่ว่าทั้งหมดเป็นแค่การคาดการณ์ของนายเท่านั้น ว่ากันตามตรงฉันก็ไม่เคยเห็นกระบี่ล้ำค่าจ้านหลูเลยจริงๆ ทั้งหมดนี้เป็นแค่คำบอกเล่าเท่านั้นเอง”


 


หยางโปหัวเราะขึ้นมา ชี้ไปทางรูปสลักหินฉินฮุ่ยภายในรั้วเล็กๆ “ตาเฒ่า ผมคิดว่ารูปสลักหินตัวนี้น่าจะมีชีวิตชีวาไม่เพียงพอ ทั้งยังดูเหมือนด่างดำแล้ว ไม่สู้ให้พวกเราเปลี่ยนเป็นรูปสลักหินตัวใหม่เถอะ!”


“ไม่ต้อง ไม่ต้อง รูปสลักหินตัวนี้อยู่มานานหลายปีแล้ว ดำก็ไม่เป็นไร!” เยว่เหยี่ยนกล่าว


“คุณวางใจเถอะนะ ผมจ่ายเงินไม่กี่หมื่นหยวนก็จะส่งตัวที่ดีกว่ามาให้คุณ” หยางโปกล่าวพลางยิ้มเต็มหน้า


เยว่เหยี่ยนจนปัญญา ส่ายหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อเธอรู้แล้ว ก็ไม่ต้องล้อเล่นแล้วนะ”


หยางโปหัวเราะ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถึงกับเป็นเรื่องแบบนี้”


เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ช่วยไม่ได้นี่ แบบนี้ปลอดภัยมากที่สุด แต่ว่าตอนนี้ดูท่าจะต้องนำมันออกมาแล้ว”


เยว่จวิ้นเหยาได้ยินแล้วก็งุนงง “พวกนายกำลังคุยอะไรกันน่ะ?”


ตอนที่ 221 การแยกชั้นหิน


นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเยว่เหยาพาหยางโปมาจนทำให้เขาสังเกตเห็นหินแกะสลักฉินกุ้ยหยางโปคงจะคิดไม่ถึงแน่ๆว่าในหินแกะสลักนั้นจะมีความลับซ่อนอยู่ด้านใน ที่แท้กระบี่จ้านหลูที่เยว่เหยี่ยนตามหามาโดยตลอดกลับถูกซ่อนอยู่ในหินแกะสลักที่คาดไม่ถึงนี้นี่เอง!


หยางโปเองก็ถึงขั้นกับอึ้งไปนานพอสมควร


ถึงแม้ว่าเยว่เหยี่ยนจะไม่เข้าใจว่าทำไมหยางโปถึงเดาเรื่องนี้ได้ แต่ทันทีที่รู้เขาก็รีบให้คนนำรูปแกะสลักนั้นส่งออกไปทันที หลังจากหายไปไม่นานเขาก็ส่งรูปแกะสลักนั้นกลับมาอีกครั้ง


แต่หยางโปรู้ดีว่ากระบี่นั้นจะต้องถูกนำออกไปแล้วแน่ๆ หลังจากที่ตรวจสอบดูมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ


 


หลังจากถึงช่วงบ่าย หยางโปก็กลับมาถึงโรงฝึกศิลปะการต่อสู้ก็พบว่าเจ้าอ้วนหลิวกับกู้จ่างซุ่นกำลังยืนอยู่ด้านนอกและดูเหมือนว่าจะออกไปที่ไหนสักแห่ง


หยางโปเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเขาจึงไปยืนดูเด็กผู้ชายอายุราวๆ 13-14 ปีที่กำลังฝึกศิลปะการต่อสู้กันอยู่ด้านนอก หลังจากที่หยางโปเจอกับคนที่ช่วยเปิดประตูให้พวกเขาเมื่อคืนนี้ก็ขอให้เขาช่วยสอนให้ด้วยความสนใจ


ตอนที่เด็กชายคนนั้นเจอหยางโปเขาก็รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อยแต่หลังจากที่เห็นว่าหยางโปดูจริงใจ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นแถมยังสอนเขาอย่างตั้งใจ


“วิชาที่ผมฝึกมาเป็นวิชาหมัดไท่จู๋จ่างเฉวียนเป็นกระบวนท่าในการชกที่ให้ความสนใจกับการต่อสู้และการป้องกันตัว การโจมตีรวดเร็วราวกับกระแสไฟฟ้า หมัดทั้งสองข้างสลับข้างในการโจมตีภายในครั้งเดียว”


 


พูดจบอีกฝ่ายก็แสดงท่าทางให้เขาดู


หยางโปจ้องอีกฝ่ายที่กำลังขยับเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว ท่าทางของเขากลับดูผ่อนคลายและอ่อนโยนแต่กลับทรงพลังเป็นอย่างมาก


เป็นเพราะหยางโปไม่เคยมีความรู้หรือฝึกฝนกระบวนท่าเหล่านี้มาก่อนจึงทำให้เวลาที่เขาทำตามจึงดูไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก


ท่าทางของหยางโปที่ดูอ่อนปวกเปียกทำให้เด็กคนอื่นๆต่างพากันหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน


เด็กเหล่านี้ยังอายุน้อยอยู่แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าหยางโปเป็นแขกวีไอพีของอาจารย์ของพวกเขา พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะหัวเราะเยาะออกมา แถมยังมีคนเดินมาพร้อมกับช่วยจับบ่าหยางโปเพื่อสอนให้เขาเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกัน


 


เป็นเพราะหยางโปไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่นักจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขายังดูเก้ๆกังๆแม้ว่าจะมีคนช่วยเหลือก็ตาม


“ออกแรงจากบ่าทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง ลำตัวตั้งตรงให้ดูสง่าเหมือนกับเสือ การเคลื่อนไหวให้เป็นเหมือนกับมังกรและรวดเร็วเหมือนสายฟ้า นี่แหละกระบวนท่าของหมัดไท่จู๋จ่างเฉวียน ” เยว่เหยาเดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้น


“อาจารย์พี่!” ทันทีที่คนพวกนั้นเห็นเยว่เหยาทุกคนก็รีบโค้งตัวทันที


เยว่เหยาพยักหน้า “ไปฝึกกันต่อเถอะ เดี๋ยวฉันสอนเขาเอง”


หยางโปที่กำลังก้าวเท้าได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆบ่าของเขาก็ถูกตบอย่างแรงจนทำให้เขาลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น


 


ขาทั้งคู่ของเขาเกิดอาการชาขึ้นมาจนทำให้ไม่มีแรงที่จะเคลื่อนไหว เมื่อครู่เขารู้สึกราวกับว่ามีหมัดพุ่งเข้ามาใส่บ่าของเขา จนทำให้เขาเสียการทรงตัวไปในทันที


ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองเยว่เหยาก็พบว่าเธอกำลังยืนนิ่งราวกับเป็นเทพธิดา “ทักษะพวกนี้ไม่จำเป็นต้องมาใช้กับฉันก็ได้มั้ง?”


เยว่เหยายิ้ม “ฉันไปใช้ตอนไหนเหรอ? มันเป็นเพราะร่างกายของนายอ่อนแอต่างหากล่ะ!” หยางโปส่ายหน้าก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เออนี่ ตอนที่เธอเรียนอยู่บนเขาเอ๋อเหมยซานเธอเรียนศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดเลยเหรอ?”


“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ฉันก็แค่กินมังสวิรัติแล้วก็บำเพ็ญตบะ ฝึกวิชาดาบเอ๋อเหมยก็แค่นั้นแหละ” เยว่เหยาพูด


 


“แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าวิชาศิลปะการต่อสู้ของเธอถึงได้สุดยอดมากขนาดนี้ล่ะ?” หยางโปถาม


“มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเป็นคนมีพรสวรรค์อะนะ!” เยว่เหยาพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ


ในเวลาเพียงครู่เดียวเจ้าอ้วนหลิวและกู้ฉางซุ่นก็กลับมาพร้อมกับเยว่เหยี่ยน


ทันทีที่พวกเขากลับมาเยว่เหยาก็รีบเดินไปช่วยเยว่เหยี่ยนถือของทันทีก่อนที่จะรีบใช้มือของเธอบีบนวดไหล่ของเขา


เยว่เหยี่ยนยิ้ม “นี่คงไม่อยากจะได้อะไรใช่ไหมเนี่ย?”


“เปล่าค่ะ วันนี้ไม่มี” เยว่เหยาพูด


 


หยางโปหันไปมองกู้ฉางซุ่น “ไปไหนมาเหรอครับ?”


“ก็ไปกู่ว่านเฉิงมาน่ะสิ” กู้ฉางซุ่นพูด


พูดจบเขาก็หยิบจักจั่นหยกขึ้นมาก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะ


หยางโปมองของชิ้นนั้น “ไม่เลวเลยนะครับ เป็นจักจั่นหยกของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกซะด้วย”


กู้ฉางซุ่นยิ้ม “ฉันได้มาในราคาสองพันหยวน ถือว่าได้ของดีมาสินะเนี่ย”


“สิบเท่าเลยล่ะครับ” หยางโปยิ้ม


กู้ฉางซุ่นหัวเราะหึหึออกมา สำหรับเขาแล้วเรื่องเงินไม่ได้สำคัญอะไรแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เขาได้ของดีมาครอบครองและการที่เขาได้รู้ว่าเขาสามารถได้ของเหล่านี้มายิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปอีก


 


เจ้าอ้วนหลิวหันมาหาหยางโป “จะว่าไปนายเอาหินเถียนหวงของนายออกมาดูหน่อยสิ”


หยางโป “ได้สิ”


พูดจบ หยางโปก็หยิบหินเถียนหวงออกมาจากกระเป๋าสามชิ้นก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะ


เจ้าอ้วนหลินหัวเราะออกมา “เทคนิคเรื่องพวกนี้ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ จะให้ฉันเรียกเถ้าแก่เถียนมาไหม ?”


“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เยว่เหยี่ยนพูด


“ตาเฒ่า…แต่….” เจ้าอ้วนหลิวหันมามอง


“ฉันยังไม่แก่ ฉันยังขยับได้อยู่!”


 


หินทั้งสามก้อนมีขนาดเล็กมาก หลังจากที่เยว่เหยี่ยนจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หยิบชิ้นแรกที่อยู่ทางซ้ายมือขึ้นมา “ของชิ้นนี้ด้านนอกดูเป็นสีเหลืองไข่ไก่มันวาว ฉันคิดว่าการที่จะได้เห็นสีเหลืองไข่ไก่จากด้านในมีสูงมาก อย่างน้อยๆภายนอกของมันก็ดูแข็งแรงมากกว่าสองชิ้นที่เหลือ”


หลังจากเครื่องเจียรถูกนำออกมาแล้วก็ยังมีโต๊ะไม้เล็กๆอีกโต๊ะนึงซึ่งมันถูกวางพอดีกับระดับสายตาของ


เยว่เหยี่ยนพอดี


เยว่เหยี่ยนหยิบแว่นที่ใช้สำหรับอ่านหนังสือของเขาขึ้นมาก่อนที่จะใช้มือของเขาจับวัสดุเอาไว้


ด้านในหินเถียนหวงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ทว่าการเปลี่ยนแปลงโดยปกติแล้วจะไม่ได้เปลี่ยนมากมายเท่าไหร่นักและประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์หินจะเป็นแบบเดียวกันทั้งภายในและภายนอก ดังนั้นหลังจากที่เห็นเศษหินที่อยู่ด้านนอกแล้ว ทุกคนต่างก็คิดว่ามันไม่มีอะไรแปลกตาไปมากกว่านี้


 


หินเถียนหวงเป็นหินอ่อน จึงทำให้สามารถกรอออกมาได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เครื่องเจียรยังคงทำงานอยู่นั้นเศษหินก็กระจายตกลงสู่พื้นราวกับเกล็ดหิมะ


ในเวลาเพียงอึดใจเดียวเยว่เหยี่ยนก็ปิดเครื่องเจียรในมือของเขาพร้อมกับใช้มือของเขาปัดไปรอบๆตัวหินเพื่อปัดเศษหินที่เกาะอยู่ออกไปจนเห็นสีเหลืองไข่ไก่ที่มันวาวอีกชั้น


เยว่เหยี่ยนชะงักไปก่อนที่จะยิ้มออกมา “วัสดุชิ้นนี้ไม่เลวเลยนะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ด้วย หยางโปนายนี่โชคดีชะมัดเลยนะเนี่ย บางทีวัสดุที่อยู่ด้านล่างอาจจะมีเงินหุ้มทองอยู่ก็ได้นะ”


หยางโป “ผมก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นแหละครับ แต่จากที่เห็นตอนนี้การที่มันจะมีเงินหุ้มทองดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนะครับ”


 


เยว่เหยี่ยนยิ้มก่อนที่จะเริ่มเจียรหินอีกครั้ง


เจ้าอ้วนหลิว “ให้ตายเถอะตาดีขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? วัสดุชิ้นนี้เป็นแค่ของที่มีรูปร่างเล็กๆแต่กลับมีอะไรแบบนี้ด้วย ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!”


หลังจากผ่านไปได้ห้านาที ในที่สุดเยว่เหยี่ยนก็หยุดการกรอของเขาลงพร้อมกับหินเถียนหวงที่ถูกแกะออกมา


ตราประทับหินเถียนหวงปรากฎขึ้นตรงหน้าทุกคน หยางโปเองก็รีบหยิบขึ้นมาพร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าและแววตาที่ตื่นเต้น “ไม่ผิดจริงๆด้วย!”


 


กู้ฉางซุ่นเอ่ยปากบ่น “ให้ตายเถอะของเล็กๆแค่นี้ นี่ถ้ารู้เร็วกว่านี้คงจะพานายไปโซ่วซานแล้ว ไม่ต้องซื้อตราประทับหรอกแค่ไปซื้อวัสดุก็พอ บางทีอาจจะได้เงินหุ้มทองก็ได้นะคงจะประหยัดเงินไปเยอะเลย!”


เยว่เหยี่ยน “ใจเย็นก่อน ไม่แน่ถ้าหลังจากนี้ถูกกรอจนเปิดออกมา นายอาจจะเสียใจมากกว่านี้อีกก็ได้ใครจะไปรู้”


พูดจบเยว่เหยี่ยนก็หัวเราะออกมา



ตอนที่ 222 หินเถียนหวงต้งสือ


เยว่เหยี่ยนหยิบวัสดุชิ้นตรงกลางขึ้นมาพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับหยางโป “ชิ้นนี้ถ้ากรอแล้วจะมีเถียนหวงดีๆด้านในรึเปล่า?”


หยางโปรู้ดีว่าของชิ้นนี้เป็นเป็นแค่เศษหินเท่านั้น เขาจึงพูดตอบกลับไปว่า “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่เลือกก็เลือกตามความรู้สึกแค่นั้นแหละครับ”


เยว่เหยี่ยนยิ้มออกมา อันที่จริงเขาเองก็รู้ดีว่าหยางโปคงจะไม่ได้ของดีอะไร ตอนที่ปรากฏหินสีเหลืองไข่ไก่เมื่อครู่ สำหรับทุกคนแล้วมันเป็นแค่เรื่องน่าประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ตราประทับหินสีเหลืองไข่ไก่นั้นสามารถใช้เงินซื้อมาได้แถมมันก็ยังเป็นวัสดุระดับกลางด้วย ถ้าหากพวกเขาเจอเงินหุ้มทองนั่นแหละพวกเขาถึงจะรู้สึกประหลาดใจ


 


เจ้าอ้วนหลิวรับของชิ้นนั้นมาดูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจกับของตรงหน้าเท่าไหร่นัก “ของชิ้นนี้ก็ไม่เลวนะแต่ฉันว่ามันดูธรรมดาไปหน่อย เกรงว่ามันคงจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นน่ะสิ”


เยว่เหยี่ยนได้ยินแบบนั้นก็วางหินเถียนหวงลงก่อนที่จะใช้เครื่องเจียรหินเริ่มเจียรอีกครั้ง เสียงที่ดังจนแสบแก้วหูทำให้เยว่เหยาต้องรีบเดินออกไปในทันที


หลังจากผ่านไปได้ไม่กี่นาที เยว่เหยี่ยนก็หยิบหินขึ้นมาเป่าเพื่อเอาฝุ่นที่เกาะอยู่บนนั้นออกไป หลังจากที่หินในมือเริ่มกลับมาสะอาดอีกครั้งพวกเขาก็พบว่ามีหินสีเทาอยู่ด้านใน เยว่เหยี่ยนจึงส่ายหน้าพร้อมกับพูด “แค่เศษหินเท่านั้น”


พูดจบเยว่เหยี่ยนก็นำหินเถียนหวงวางเอาไว้ข้างๆก่อนที่จะหยิบหินอีกก้อนขึ้นมา


 


ทุกคนไม่ได้พูดอะไรและหยางโปเองก็ไม่คิดที่จะหยุดอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน


หลังจากที่หยิบหินชิ้นสุดท้ายขึ้นมาหยางโปก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับมองไปที่หินชิ้นนั้น แต่หลังจากที่เห็นท่าทางของเยว่เหยี่ยนที่ดูไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไหร่นัก เขาก็รู้สึกไม่สบายใจจนอยากจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาทว่าเขาก็ตัดสินใจที่จะเงียบเสียงโดยไม่พูดอะไรออกมา


หลังจากเศษหินฟุ้งกระจายอีกครั้งพร้อมกับชิ้นหินที่ถูกเจียรออกไป เยว่เหยี่ยนก็หยุดการเจียรก่อนที่จะหยิบหินเถียนหวงขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม “ชิ้นนี้ก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน งั้นฉันไม่ต้องเจียรต่อแล้วนะ”


หยางโปมองหินในมือของอีกฝ่ายก่อนที่จะพบว่าด้านในนั้นเป็นหินสีเทาที่ปรากฏออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะเขาเองก็มองออกว่าด้านในนั้นยังมีอีกชั้นแถมมันยังมีสีเหลืองสะท้อนออกมาด้วย


 


หยางโปลุกขึ้นก่อนที่จะหยิบหินมาไว้ในมือเขา “งั้นผมขอลองหน่อย”


เยว่เหยี่ยนยิ้มโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร “นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว นายรีบหน่อยก็แล้วกัน มันถึงเวลากินข้าวแล้ว”


กู้ฉางซุ่น “นี่ถ้านายได้หินจีโหย๋วหวงอีกชิ้นฉันยอมให้นายแปดแสนเลยแลกกับของสองชิ้นนี้ “


หยางโปส่ายหน้า “ผมไม่ได้อยากได้เงินแปดแสนของคุณซะหน่อย”


หินที่อยู่ในมือของเขามีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น และจากที่เห็นด้วยตาเปล่าอันที่จริงหินชิ้นนี้ก็แทบจะไม่สามารถที่จะปรากฏหินเถียนหวงได้แน่ๆ


 


เจ้าอ้วนหลินเองก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันเห็นแต่แรกแล้วแหละแต่เห็นว่านายสนใจฉันก็เลยไม่ได้พูดอะไร หินของนายชิ้นนี้เป็นชิ้นส่วนที่มาจากหินก้อนใหญ่แถมอยู่ท่ามกลางทะเลทราย มันเป็นเถียนหวงที่ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ แถมมันยังซ่อนอยู่ในดินที่มีความชื้นด้วย ความสวยของมันก็ใกล้เคียงกับเถียนหวงนั่นแหละ ความมันวาวแล้วก็ความสว่างของมันก็ไม่ได้ต่างกับเถียนหวงเท่าไหร่”


“แต่เนื่องจากกรดทำให้มันมีความโปร่งมากขึ้นจึงทำให้มันมีความคล้ายคลึงกันกับเถียนหวง มันมีลักษณะคล้ายกับรูปทรงของหัวไชเท้า พื้นผิวของมันก็ดูบอบบางมากกว่าด้วย มากสุดก็คงจะขายได้ในราคาของหินระดับต่ำๆนั่นแหละ”


หยางโปยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก”


 


พูดจบหยางโปก็ย่อตัวลงก่อนที่จะเปิดเครื่องเจียรพร้อมกับเริ่มเจียรหินอีกครั้ง หลังจากที่เริ่มเจียรก็พบว่ายังมีอีกชั้นที่ยังไม่ถูกเจียรให้เปิดออก หยางโปจึงใช้แรงเพื่อเจียรมันให้เผยอีกชั้นนึงออกมา


ในเวลานี้ทุกคนต่างมองหยางโปพร้อมกับหัวเราะออกมาราวกับมองว่ามันเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์


หลังจากที่หยางโปพยายามจะเจียรต่อไปในเวลาอันรวดเร็วเขาก็พบแสงสีเหลืองที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า จนทำให้ใบหน้าของหยางโปเริ่มมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมาด้วยความดีใจ


เยว่เหยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงข้ามหยางโปเองก็เห็นแสงสีเหลืองเช่นเดียวกัน จนทำให้เขาต้องรีบก้มลงไปดูก่อนที่จะพบว่ามันมีหินสีเหลืองทองที่ดูเหมือนกับน้ำผึ้งที่แข็งตัว ในเวลานี้เองที่ทุกคนต่างพากันตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง


 


“นี่มันหินเถียนหวงต้งสือหนิ!” เยว่เหยี่ยนพูดขึ้น


พูดจบเขาก็รีบแย่งหินในมือของหยางโปมา “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”


หยางโปรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถที่จะทำมันได้อย่างช่ำชองเพราะเขาไม่ได้ถนัดเรื่องนี้และเขาเองก็กลัวว่าจะทำให้หินในมือเสีย เขาจึงปล่อยให้เยว่เหยี่ยนเป็นคนรับช่วงต่อ


เจ้าอ้วนหลิวได้ยินคำพูดของเยว่เหยี่ยนก็ตกตะลึงขึ้นมาในทันทีก่อนที่จะรีบวิ่งเข้ามาดู


เจ้าอ้วนหลิว “หยางโปรีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่านายรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้แต่แรกแล้วใช่ไหม?”


หยางโปส่ายหน้า “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน?”


 


“นี่เป็นหินเถียนหวงต้งสือเป็นหินเถียนหวงระดับสูงสุดเลยนะ!” เจ้าอ้วนหลิวรีบพูดขึ้น


แม้ว่ากู้ฉางซุ่นจะไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้แต่หลังจากที่เห็นท่าทางของเจ้าอ้วนหลิวและเยว่เหยี่ยนแล้วเขาก็พอจะรู้ได้ว่าครั้งนี้คงมีเรื่องประหลาดใจอย่างมากแน่ๆ เขาจึงรีบเดินเข้ามา “หินเถียนหวงต้งสือกับเงินหุ้มทองต่างกันยังไง?”


เจ้าอ้วนหลิวพูด “หินเงินหุ้มทองเป็นหินระดับกลางที่ดีที่สุด แต่ก็ยังมีของที่ดีกว่าหินเงินหุ้มทองก็คือหิน


เถียนหวงต้งสือเนี่ยแหละครับ”


กู้ฉางซุ่นหันไปมองหยางโปพร้อมกับยิ้ม “หยางโปพวกเรามาทำการแลกเปลี่ยนกันเถอะ”


 


หยางโปส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าครับ ของชิ้นนี้เป็นหินที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นจากทั่วทั้งประเทศ ผมกะว่าจะเก็บมันไว้น่ะครับ”


“ฉันให้นายสามสิบล้านเลยก็ได้แลกกับของชิ้นนี้” กู้ฉางซุ่นเสนอราคาขึ้นมา


หยางโปส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าครับ”


“ห้าสิบล้านล่ะ?” กู้จ่างซุ่นยังคงไม่ลดละความพยายามของเขา


หยางโปได้ยินแบบนั้นก็แอบลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็ตัดสินใจที่จะส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง อันที่จริงในมือของเขาก็ยังพอจะมีเงินอยู่และตอนนี้เขาก็ไม่ได้ร้อนเงินอะไร อีกอย่างหินนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น แถมโอกาสที่จะได้มันอีกในอนาคตก็แทบจะเป็นศูนย์ ถ้าหากเอาหินชิ้นนี้ไปขายที่ตลาดก็คงจะไม่ได้ราคาสูงขนาดนี้ แต่หลังจากนี้อาจจะยังมีโอกาสที่จะเพิ่มราคาให้สูงได้ เขาจึงไม่คิดที่จะรีบร้อนอะไร


 


เยว่เหยี่ยนยังคงเจียรหินอย่างระมัดระวังและดูเหมือนว่าจะระวังมากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีกเพราะหากเขาประมาทมันอาจจะทำให้ของที่อยู่ด้านในเสียรูปได้ในทันที


เขาใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะเจียรมันให้สมบูรณ์ ในขณะที่หินเถียงจีโหยวหวงก่อนหน้านี้เขาใช้เวลาเพียงแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น


หินเถียนหวงต้งสือถูกวางอยู่ตรงหน้าทุกคนพร้อมกับส่องแสงราวกับสีของน้ำผึ้ง ยิ่งอยู่ภายใต้แสงไฟยิ่งทำให้มันส่องแสงแวววาวออกมามากกว่าปกติ


ทั้งสี่คนนั่งมองหินตรงหน้าครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร


 


ในที่สุดเจ้าอ้วนหลิวก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องไปติดต่อเหล่าเถียนตอนนี้เลย ฉันจะซื้อเศษหินที่เหลืออยู่ให้หมด ถ้าหากได้หินจีโหยวหวงสักชิ้นก็น่าจะคืนทุนอยู่นะ”


เยว่เหยี่ยนส่ายหน้า “ที่นายพูดหมายถึงเหล่าเถียนของชางหลางเก๋อนั่นน่ะเหรอ?”


เจ้าอ้วนหลิวพยักหน้า ทว่าเยว่เหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ฉันเองก็เคยไปห้องสะสมวัตถุโบราณของเขามาก่อนเหมือนกันแถมยังเห็นเศษหินกองนั้นที่อยู่ตรงมุมห้องด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในกองเศษหินพวกนั้นจะมีของดีๆซ่อนอยู่ในนั้นด้วย น่าทึ่งชะมัด นี่ถ้าฉันซื้อมันมาคงจะไม่ได้โชคดีเหมือนหยางโปหรอก”


 


กู่ฉางซุ่นหยิบหินเงินเคลือบทองออกมาก่อนที่จะวางลงข้างๆหินเถียนหวงต้งสือพร้อมกับพูด “น่าโมโหชะมัดของที่ฉันอุตส่าห์ซื้อมายังเทียบกับเศษหินแค่ชิ้นเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจของฉันถูกฟาดแล้วก็กระแทกอย่างแรงเลยนะเนี่ย นี่หยางโป นายขายหินนี่ให้ฉันได้ไหม? “


ตอนที่ 223 สนทนา


หลานเยว่นอนเอนตัวอยู่ในอ้อมกอดของหยางหลางพร้อมกับพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย


หยางหลางใช้เวลาหนึ่งคืนนอนอยู่ในโรงพยาบาลถึงแม้ว่าเขาจะหลับไปตลอดทั้งคืนแต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยมากอยู่ดี


“น้องชายของนายดูเหมือนว่าจะหายไปสองวันแล้วนะ?” หลานเยว่ถาม


หลางหยางขมวดคิ้วเข้าหากัน ตอนนี้เขาเกลียดน้องชายของเขาเข้าไส้เพราะอีกฝ่ายไม่เชื่อฟังคำพูดของเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว แถมเขายังรู้สึกว่าหยางโปเองก็มักจะหักหน้าแถมยังทำตัวเหนือกว่าเขาจนทำให้เขาต้องอับอาย นี่สินะข้อดีของคนมีเงิน


“แล้วเธอจะพูดถึงหมอนั่นทำไม?”


 


หลายเยว่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายในเวลานี้เธอจึงยิ้มออกมา “ครั้งก่อนที่พวกนายคุยกันได้เรื่องว่ายังไงบ้าง? หรือว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมออกเงินให้?”


หยางหลางส่ายหน้า “เขาไม่ยอมออกเงินให้แต่ฉันก็ต้องหาวิธีให้ได้ พวกเราขายบ้านไปแล้วหลังจากนี้จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ฉันว่าให้เขาออกเงินให้แล้วค่อยซื้อใหม่ดีกว่าไหม?”


หลานเยว่ยิ้ม “ใช่ ควรจะให้เขาเป็นคนซื้อ”


ระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลานเยว่ก็ใช้มือข้างนึงของเธอลูบเข้าไปในเสื้อของเขาพร้อมกับลูบไล้ไปเรื่อยๆ


หลางหยางกระตุก “อย่าลูบมั่วๆสิ”


หลานเยว่ยิ้ม “ครั้งก่อนที่ขายบ้านไปยังเหลือเงินอีกห้าแสน ฉันว่านายเอามาให้ฉันดีกว่าน่า”


 


หยางหลางชะงักไปทว่าเขาก็ยิ้มออกมาแต่กลับเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆราวกับว่าไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร


หลานเยว่ยิ้มก่อนที่จะใช้มือของเธอลูบไปที่เอวของหยางหลางพร้อมกับยิ้ม “นายคิดว่าฉันอยากจะขโมยเงินแค่เล็กน้อยพวกนั้นจากนายเหรอ? ฉันก็แค่อยากจะเก็บเงินให้ไม่อยากให้นายไปเจ้าชู้ใช้เงินกับคนอื่นต่างหากล่ะ”


หยางหลางยิ้ม “เธอไม่ยอมให้ฉัน ยังจะมาห้ามไม่ให้ฉันเจ้าชู้อีกเหรอ?”


หลานเยว่ใช้มือเขกหัวเขาพร้อมกับพูด “มันยังไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ฉันจะทำให้นายลืมไม่ลงเลยล่ะ”


หยางหลางยิ้มขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในทันที


หลังจากนอนพักไปจนถึงช่วงเที่ยง หยางหลางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะออกไปกินข้าวพร้อมกับนำอาหารไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง


 


หลังจากพ่อของหยางหลางกินข้าวเสร็จแล้วเขาก็นอนอยู่บนเตียงโดยไม่ยอมขยับตัวไปไหน


หยางหลางลากเก้าอี้สำหรับเอนนอนมาข้างๆก่อนที่จะเอนตัวนอน ซึ่งมันเป็นเก้าอี้ที่เขาเพิ่งจะซื้อมาเมื่อวานนี้และเขารู้ดีว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน ถ้าหากหยางโปไม่ยอมออกเงินให้เขาเขาก็คงจะต้องอดทนและพยายามต่อไป


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งพ่อของหยางหลางก็พูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวหลาง ช่วงสองวันนี้มานี้ไม่เห็นหยางโปเลยเหรอว่าเขาไปไหน?”


หยางหลางส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ผมก็ไม่ได้เห็นเขามาสองวันแล้วเหมือนกัน เขาเองก็ไม่ได้ติดต่อพ่อมาเหมือนกันเหรอ?”


 


“ไม่ได้มา เอ๊ะว่าแต่เขาทำงานอยู่ที่ร้านขายวัตถุโบราณนิบางทีเขาอาจจะไปทำงานก็ได้ ไม่ได้ไปทำงานตั้งหลายวันแล้วเถ้าแกคงจะหักเงินไปเยอะเลย! เฮ้อ ผู้ชายก็งี้แหละต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ลูกชายเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ” พ่อหยางพูด


หยางหลางพยักหน้า “ครับ”


แม่ของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆที่นั่งฟังบทสนทนาของพวกเขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับหันไปพูดกับหยางหลาง “ลูกชายควรจะเลี้ยงพ่อแม่ หรือว่าลูกจะไม่เลี้ยงพวกเรา?”


“แม่! มันไม่เหมือนกันซะหน่อย! ผมไม่ได้มีเงินนิ ถ้าผมมีเงินเยอะๆแบบเสี่ยวหยางแบบนั้นผมก็ต้องส่งเงินเดือนของผมมาให้ที่บ้านใช้อยู่แล้ว”


 


“ใช่! นี่แหละลูกชายสุดที่รักของฉัน” พ่อของหยางพูด


หยางหลางยิ้ม


ในเวลานั้นเองจู่ๆหยางหลางก็ก็เงยหน้าขึ้นมา “พ่อ ผมว่าหยางโปดูเหมือนว่ากำลังโกหกพวกเราอยู่นะ”


“ทำไม? แกไปรู้อะไรมา?”


“คราวก่อนตอนที่ผมกับหลานเยว่ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน เห็นหยางโปกำลังคุยเรื่องเงินๆทองๆกับคนอื่นอยู่ ดูเหมือนว่าจะเอาเครื่องพอร์ชเลนมาขายแถมราคาก็อยู่ที่ 2-3 ล้านเลยนะ อีกอย่างเถ้าแก่อีกคนก็พูดด้วยว่าของชิ้นนั้นเป็นของหยางโป”


 


“ว่าไงนะ? มันมีของมีราคาขนาดนั้นเลยเหรอ?” พ่อหยางลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ แต่จู่ๆเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง “แต่ไม่แน่มันอาจจะเป็นของจากที่ร้านก็ได้”


“พ่อ ผมมั่นใจว่าของมันแน่ๆ”


“ตอนนี้ไม่ต้องสนใจหรอกว่ามันจะมีเงินไหม แต่ตอนนี้ฉันต้องคิดก่อนว่าครั้งหน้าพวกเราจะขอเงินจากมันเท่าไหร่ดี”


หยางหลางพูด “ต้องขอให้เยอะๆเลยนะพ่อ อย่างน้อยๆก็ต้องพอที่จะซื้อบ้านได้สองหลัง ถ้าให้ดีต้องแถมเงินให้อีกสักสองล้าน ถึงเวลานั้นพวกเราต้องมาแบ่งกันนะ”


 


“ถุ้ย! ไสหัวไปเลย!” พ่อของเขาพูดคนจนทำให้หยางหลางสะดุ้งตกใจขึ้นมาจนต้องรีบลุกขึ้น


“แกมันโลภเกินไป! จะไปขอเยอะแบบนั้นได้ยังไงกัน ถ้าขอขนาดนั้นแล้วเกิดหยางโปหนีไปพวกเราจะไปหาตัวมันจากที่ไหน?”


“ถ้าไม่อยู่จินหลิงมันจะมีปัญญาไปอยู่ที่ไหนอีกล่ะพ่อ?” หยางหลางพูด


“ไอ้เด็กบ้า! แกคิดว่าคนอื่นเขาจะเป็นแบบแกเหรอ? คนแบบมันไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนอยากได้ทั้งนั้นแหละ!” พ่อหยางพูด


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดพ่อของเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะขอให้มันยกบ้านในเมืองนั่นให้พวกเราแล้วให้มันเช่าร้านวัตถุโบราณให้สักร้านให้พวกเราทำธุรกิจกัน”


 


พูดจบพ่อหยางก็หัวเราะออกมาด้วยความดีใจ


หยางหลาง “พ่อ บ้านในเมืองนั่นผมพอเข้าใจนะ แต่ที่พ่อบอกว่าจะให้เช่าร้าน พวกเราไม่ได้มีความรู้พวกนั้นซะหน่อย”


“นี่แกแกล้งโง่หรือว่าแกโง่กันแน่ห๊ะ! พวกเราก็ไปเอาของพวกนั้นมาจากร้านของหยางโปสิ! ได้เงินมาง่ายๆแถมยังไม่ต้องออกเงินสักหยวนเดียว”


หยางหลางได้ยินแบบนั้นก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที


ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่นั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แม่ของหยางหลางจึงรีบเดินไปเปิดทันที


 


“อ้าวเสี่ยวซวน ไม่เจอกันนานเลยนะ” แม่ของหยางพูดด้วยท่าทางดีใจ


หยางหลางหันไปมองก่อนที่จะพบพยาบาลสาวเดินเข้ามา เขาจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่เห็นแม่ของเขากำลังแสดงท่าทางกระตือรือร้นแถมยังต้อนรับอย่างดีเขาจึงหันไปมองพ่อของเขาราวกับกำลังสงสัย


เสี่ยวซวนยิ้ม “ต้องขอโทษจริงๆนะคะคุณป้า ก่อนหน้านี้หนูหยุดงานน่ะค่ะ แต่พอกลับมาทำงานก็เพิ่งรู้ว่าคุณลุงมาพักอยู่ที่นี่ ก็รีบมาดูเลยต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า”


แม่ของหยางหลางรีบพูด “อย่าพูดแบบนั้นสิลูก คุณลุงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”


 


เสี่ยวซวนหันมามองพ่อของหยางหลางแต่หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหันไปอีกฝั่งเธอก็เข้าใจว่าพ่อของเขากำลังหลับอยู่จึงกระซิบขึ้นมาว่า “คุณลุงหลับอยู่ใช่ไหมคะ? งั้นให้คุณลุงพักก่อนก็แล้วกันไว้หนูค่อยมาใหม่นะคะ”


 


“ฉันยังไม่หลับ” พ่อของหยางหลางหันมาก่อนที่จะถาม “เด็กนอกคอกนั่นให้เธอมาใช่ไหม?”


เสี่ยวซวนหันมาถามด้วยความสงสัย “เด็กนอกคอก?”


แม่หยางรีบพูด “คุณลุงหมายถึงหยางโปน่ะจ้ะ”


เสี่ยวซวนเองก็เคยได้ยินเรื่องที่บ้านของหยางโปมาก่อนแต่หลังจากที่ได้ยินพ่อหยางพูดแบบนั้นเธอเองก็อดโกรธแทนไม่ได้ “คุณลุงคะ หยางโปกตัญญูกับคุณลุงขนาดนี้ หนูว่าที่คุณลุงพูดก็ไม่ถูกนะคะ”


“กตัญญู? ชิ! น่าตลกสิ้นดี!”


“คุณลุงคะ ก่อนหน้านี้หยางโปเองก็ออกเงินไปตั้งเยอะเพื่อที่จะรักษาคุณลุง แบบนั้นยังไม่เรียกว่ากตัญญูอีกเหรอคะ?”


 


“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทน! เธอเองก็ไม่ได้รู้จักเขาดีสักเท่าไหร่หรอก ดูตอนนี้สิไอ้เด็กนั่นหายหัวไปไหนแล้ว? พ่อตัวเองป่วยอยู่แท้ๆแต่กลับหายหัวไปไม่โผล่หน้ามาเยี่ยมเลยสักนิด!”


เสี่ยวซวน “แต่เขาต้องหาเงินมารักษาคุณลุงนี่คะ แถมเขาเองก็จ่ายเงินค่ารักษาล่วงหน้าให้ตั้งสิบวันแล้วด้วย”


“ว่าไงนะ?” พ่อหยางตกตะลึงพร้อมกับดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง



ตอนที่ 224 หลงกล


พ่อของหยางหลางหันมาถามเสี่ยวซวนด้วยน้ำเสียงตกใจ “เธอกำลังจะบอกว่าหยางโปไม่ได้อยู่จินหลิงเหรอ?”


เสี่ยวซวนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเธอก็รู้ทันทีว่าตัวเองพูดผิดไป หลังจากที่เธอกลับมาก็ได้ยินเพื่อร่วมงานของเธอพูดว่าหยางโปจ่ายเงินค่ารักษาล่วงหน้ามาแล้วสิบวัน เธอเองก็เดาว่าหยางโปอาจจะออกไปที่อื่นแล้ว แต่ที่คาดไม่ถึงคือแม้แต่พ่อแม่ของเขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้


เสี่ยวซวนส่ายหน้า “หนูแค่ได้ยินมาว่าเขาจ่ายเงินค่ารักษาล่วงหน้า แต่เรื่องอื่นหนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”


พูดจบเธอก็พูดต่อว่า “คุณลุงพักผ่อนเถอะค่ะ หนูขอตัวกลับไปทำงานก่อน”


 


หลังจากที่เธอออกจากห้องไป พ่อของหยางโปก็เขวี้ยงแก้วในมือของเขาลงที่พื้นพร้อมกับพูดด้วยความโมโห “ไอ้เด็กเลี้ยงไม่เชื่อง! ไอ้เด็กนอกคอก! นี่มันกำลังหลบหน้าอยู่ฉันงั้นสิ!”


หยางหลางที่อยู่ข้างๆพูดแทรกขึ้นมา “นั่นซิ หมอนั่นคงจะพยายามจะหลบหน้าเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย!”


“ชิ! ต่อให้มันจะหลบไปอยู่มุมไหนของโลกมันก็ต้องเลี้ยงดูฉัน! ไอ้งูพิษ ฉันเลี้ยงมันมาตั้งหลายปีก็เพราะจะให้มันมาเลี้ยงดูฉันตอนแก่เถ้า แต่มันกลับหลบหน้าหลบตาไม่โผล่มาให้เห็นหน้า นี่มันคิดจะลองดีกับฉันสินะ!”


พ่อของหยางหลางพูดด้วยความโมโห ในขณะที่แม่หยางยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร


หลังจากถึงช่วงค่ำหยางหลางก็ได้รับข้อความจากหลานเยว่ที่ส่งมาบอกให้เขากลับไปหาเธอ


 


อันที่จริงเขาไม่ได้มีแพลนไว้ว่าจะกลับวันนี้ แต่หลังจากที่เห็นข้อความจากหญิงสาวเขาก็ใจอ่อนขึ้นมาในทันที


หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็บอกพ่อแม่ของเขาก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาลไป อันที่จริงร่างกายพ่อของเขาก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่หลังจากที่ลุงและเขากลับไป ก็ยังมีแม่ของเขาที่สามารถดูแลพ่อของเขาได้อยู่


โรงแรมอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก หยางหลางจึงกลับมาถึงโรงแรมได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น


โรงแรมที่พวกเขาอยู่เป็นโรงแรมห้าดาว หลังจากที่เข้ามาด้านในห้องหยางหลางก็ต้องชะงักไปในทันทีเพราะภายในห้องเวลานี้มืดสนิท มีเพียงแค่แสงไฟสลัวเท่านั้น และเขาก็เห็นว่าภายในห้องมีการตกแต่งใหม่แถมบนฝาผนังก็ยังมีดอกไม้หลากสีแขวนอยู่


 


หลังจากเดินเข้าไปด้านในห้องก็พบว่าหลานเยว่กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะแถมบนโต๊ะยังมีเทียนที่ถูกจุดเอาไว้จนทำให้เห็นภาพสลัวตรงหน้า


หยางหลางได้กลิ่นเทียนหอมก็เผลอยิ้มออกมา “นี่เธอเป็นคนจัดทั้งหมดเลยเหรอ?”


หลานเยว่ขยับตัวเล็กน้อยจนทำให้กระโปรงสีแดงของเธอเลิกขึ้นมาจนเผยให้เห็นขาที่ขาวนวลราวกับหิมะ ก่อนที่จะค่อยๆก้าวเท้ามาหาเขาพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบคอของเขา “ชอบไหม?”


หยางหลางที่ถูกอีกฝ่ายรุกจนเกิดอาการงุนงง แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจกับของพวกนี้สักเท่าไหร่นักแต่การที่เห็นหลานเยว่ทำแบบนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


 


“ชอบสิ ชอบมากเลยล่ะ” หยางหลางยิ้ม


หลานเยว่ยิ้มพร้อมกับลากเขาให้นั่งลง “แล้วชอบของพวกนี้ไหม?”


หยางหลางนั่งลงพร้อมกับมองดูอาหารที่อยู่บนโต๊ะที่มีทั้งซี่โครงวัว ปลาอบซอส เป็ดย่างแถมยังมีไวน์แดงที่ถูกรินลงในแก้วแชมเปญอีกสองแก้ว


หลานเยว่กระซิบด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยวนแต่แผ่วเบาว่า “สามีที่รัก เรามาทานอาหารกันเถอะ!”


ทันทีที่หยางหลางได้ยินคำว่า ‘สามี’ ออกมาจากปากของอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที “อื้อๆๆๆ”


หยางหลางนั่งลงทว่าสายตาของเขายังคงจ้องหลานเยว่


หลานเยว่เองก็มองมาที่เขาพร้อมกับส่งสายตายั่วยวนไปที่อีกฝ่าย


 


หลังจากทานอาหารตรงหน้าแล้ว หยางหลางก็ถามขึ้นมาว่า “นี่คือเซอร์ไพรส์เหรอ?”


หลานเยว่จับแขนหยางหลางก่อนที่จะดึงให้เขาเดินไปที่ห้องน้ำ “รีบเข้าไปอาบน้ำก่อนสิ”


หยางหลางชะงักไปในทันทีพร้อมกับถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอ?”


หลานเยว่มองมาที่เขาด้วยสายตาเป็นประกายจนทำให้หยางหลางรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาจนอดใจไว้ไม่อยู่ เขาจึงรีบถอดเสื้อก่อนที่จะเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำทันที


หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วหยางหลางก็ออกมาพร้อมกับกอดหลานเยว่ไว้อย่างแนบแน่น…….


เช้าวันรุ่งขึ้นหยางหลางก็รู้สึกเจ็บตรงบริเวณหลังและเอวเป็นอย่างมากแถมเขายังรู้สึกเหนื่อยล้าจนทำให้รู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมาก


 


เขายื่นมือออกไปข้างๆก่อนที่จะควานหาคนที่นอนอยู่ข้างเขา ทว่าเขากลับพบว่าข้างตัวของเขากลับไม่มีใครเลย เป็นเพราะม่านถูกปิดไว้จึงทำให้มองไม่เห็นอะไรภายในห้อง เขาจึงยกมือขึ้นเพื่อหยิบโทรศัพท์แต่กลับไม่พบโทรศัพท์ของตัวเอง


หยางหลางรีบลุกขึ้นมานั่งทว่าเขายังอยู่บนเตียงอยู่พร้อมกับหันไปมองทางฝั่งห้องน้ำ แต่ก็พบว่าในห้องน้ำไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย


หยางหลางรีบเปิดโคมไฟที่อยู่ข้างหัวเตียงก่อนที่จะเดินลงมาจากเตียง “หลานเยว่! หลานเยว่!”


ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย หยางหลางเดินไปที่ห้องน้ำพร้อมกับเปิดประตูออกมาเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าไม่มีเธออยู่ในนั้น และมันก็ไม่มีอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ จนทำให้เขาเริ่มเกิดความสงสัยว่าหลานเยว่ออกไปไหน


 


ทว่าหยางหลางก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากที่เขาเดินกลับมาที่เตียงก็พบว่ากระเป๋าตังของเขาถูกวางอยู่บนหัวเตียง แต่เขาจำไม่ได้เลยว่าเขาหยิบมันมาวางตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่


หยางหลางยิ้มก่อนที่จะหยิบกระเป๋าขึ้นมา ตอนนี้เขามีเงินห้าแสนกว่าหยวน ถ้าหากเขาสามารถพูดให้หยางโปซื้อบ้านให้เขาได้เขาก็น่าจะทำเงินได้อีกหลายแสน แค่นี้เขาก็พอใจมากแล้วเพราะคงจะไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้เขาได้เงินเร็วไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ


ทันทีที่เขาเปิดกระเป๋าเงินเขาก็ต้องผงะไปในทันทีเพราะเขาพบว่าบัตรเอทีเอ็มในกระเป๋าของเขาได้หายไปแล้ว! บัตรเอทีเอ็มสองใบของเขาหายไปแล้ว!


 


หยางหลางเห็นแบบนั้นก็รีบควานหาบัตรของเขาด้วยท่าทางกระวนกระวายใจทั้งบนโต๊ะ ใต้เตียง ที่พื้น และไม่ว่าจะพลิกเปิดดูสักกี่ครั้งเขาก็ไม่พบบัตรเอทีเอ็มของเขาเลย เขาจึงรีบหาโทรศัพท์ภายในห้อง


หลังจากที่เจอโทรศัพท์ที่อยู่ในห้องแล้วเขาก็รีบโทรเข้าหาเบอร์ของตัวเองทันที ก่อนที่จะพบว่ามีเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นซึ่งอยู่บริเวณปลายเตียง


หลังจากหยิบโทรศัพท์แล้วเขาก็รีบโทรหาหลานเยว่ทันที “ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางของท่านได้ในขณะนี้ กรุณติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ!”


หยางหลางรู้สึกช็อกไปในทันที นอกจากจะไม่เจอหลานเยว่แล้ว โทรศัพท์ของเธอก็ปิดสายแถมบัตรเอทีเอ็มของเขาก็หายไปด้วยทว่ายังเหลือบัตรที่ผูกอยู่อีกใบ! หยางหลางแทบจะเป็นบ้าไปในทันทีเพราะเขาแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับเขา


 


เขารีบหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าเงินก่อนที่จะวิ่งออกไปด้านนอกพร้อมกับเดินไปที่ตู้กดเงิน ก่อนที่จะใช้บัตรที่เหลืออยู่อีกใบเสียบเข้าไปในตู้ก่อนที่จะพบว่าเงินที่มีอยู่ได้หายไปหมดแล้ว หยางหลางรู้สึกได้ถึงความมืดมนราวกับโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา


“ห้าแสน! ห้าแสนของฉ๊านนนนนน! อ๊ากกกกกกกกกก! ” หยางหลางตะโกนออกมาราวกับคนเสียสติไปในทันที


“ไม่สิ…ไม่ใช่ห้าแสน! แต่มันคือหนึ่งล้านหยวนต่างหากล่ะ!!!” หยางหลางนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้ให้เงินหลานเยว่อีกห้าแสนด้วยหากรวมกับครั้งนี้มันเป็นมูลค่าเงินถึงหนึ่งล้านหยวน!


นี่เป็นเรื่อง “เซอร์ไพรส์” จริงๆ!


 


หยางหลางเรียกสติขึ้นมาได้อีกครั้งพร้อมกับรู้แล้วว่าตัวเองกำลังถูกหลอก แถมหลานเยว่ก็ใช้ช่วงเวลากลางคืนตอนที่เขาหลับขโมยบัตรเอทีเอ็มของเขาไป มิน่าล่ะทำไมเธอถึงคะยั้นคะยอให้เขาทำเรื่องเชื่อมต่อแบบอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ที่แท้ก็เพราะมันสามารถโอนเงินทั้งหมดออกมาได้ภายในครั้งเดียวยังไงล่ะ!


หยางหลางเปล่งเสียงตะโกนร้องออกมาจนดังลั่นก่อนที่จะล้มหมดสติลงไปที่พื้นพร้อมกับภาพที่ตัดไปในทันที



ตอนที่ 225 ขุดสมบัติบ้านโบราณ


หยางโปไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่ชางโจวนานเท่าไหร่นัก หลังจากจบเรื่องแล้วเขาและเจ้าอ้วนหลิวก็ขอตัวกลับปักกิ่งทันที


ตอนที่พวกเขากำลังจะกลับเยว่เหยาก็ตาแดงขึ้นมาจนทำให้หยางโปต้องปลอบเธอก่อนที่จะบอกเธอว่าถ้ามีเวลาเขาจะกลับมาหาเธออีกแน่นอน


หลังจากกลับมาถึงปักกิ่งแล้ว กู้ฉางซุ่นก็ขอตัวไปทำธุระก่อนในขณะที่เจ้าอ้วนก็ต้องทำธุระต่อที่ปักกิ่งแถมเขายังชวนให้หยางโปอยู่ต่ออีกสองคืน ทว่าหยางโปก็รู้สึกลังเลขึ้นมาถึงแม้ว่าหยางโปจะไม่อยากกลับจินหลิงตอนนี้แต่เขาก็ไม่อยากจะรบกวนคนอื่นเช่นเดียวกัน


ในตอนนั้นเองลัวย่าวหัวก็โทรมาหาเขา


 


“ฮัลโหลนี่ฉันอยู่ปักกิ่งแล้วนะ นายอยู่ไหนเนี่ย?” ลัวย่าวหัวถาม


“ฉันก็อยู่ปักกิ่งเหมือนกัน ว่าแต่เสร็จธุระแล้วเหรอ ? ทำไมถึงมาที่นี่ได้ละเนี่ย?”


“อื้อเรียบร้อยแล้วตอนนี้ขาดแค่รับสมัครคน แต่ฉันรับสมัครผู้จัดการที่เป็นมืออาชีพแล้วนะ ไม่งั้นฉันคงจัดการคนเดียวไม่ได้แน่ๆ ตอนนี้ฉันให้เขาเป็นคนจัดการส่วนอื่นๆต่อให้แล้ว ก็เลยมีเวลามาเนี่ยแหละ”


หยางโปยิ้ม “เอาน่าทำธุรกิจก็งี้แหละไม่ได้มีเวลาว่างมากเท่าไหร่หรอก รอให้เปิดทำการแบบเป็นทางการก็คงจะมีเวลาว่างมากขึ้นกว่านี้ แล้วถ้าต่อไปธุรกิจดันซบเซาขึ้นมานายคงจะไม่อยากมีเวลาว่างแน่ๆเชื่อฉันสิ”


ลัวย่าวหัวยิ้ม “ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะว่ามีธุระนั่นแหละแต่รอให้เจอหน้าก่อนแล้วกันฉันค่อยบอกนาย เออนี่! พรุ่งนี้ยังว่างพวกเราไปชานเมืองกันไหม?”


 


“ไปขุดบ้านเก่าเหรอ?”


ลัวย่าวหัวยิ้ม “ถ้าไม่งั้นจะไปทำไมเล่า”


“แล้วนายมีช่องทางเหรอ?” หยางโปถาม


“ไม่มี ถึงเวลานั้นค่อยไปหาเอาก็แล้วกัน”


หยางโปหันไปมองเจ้าอ้วนหลิว อีกฝ่ายจึงยิ้มพร้อมกับพูด “ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง!”


หยางโปพยักหน้า “ตอนนี้เจ้าอ้วนหลิวอยู่กับฉัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไปกับเขาก็แล้วกันนะ”


“แล้วพวกนายอยู่ไหน? เดี๋ยวฉันจะไปหาตอนนี้เลย” ลัวย่าวหัวพูด


 


หลังจากวางสายไป เจ้าอ้วนหลิวก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่รีบที่จะกลับ หยางโปเองก็ลังเลขึ้นมาเพราะปกติแล้วถ้าหากเจ้าอ้วนหลิวยื้อเวลาแบบนี้เขาก็ต้องจ่ายเงินให้อีกฝ่ายด้วย เช่นเดียวกันกับหลี่เอ้อที่หยางโปก็ต้องจ่ายเงินให้กับเขา แต่หลังจากที่เขามานั่งคิดๆดูแล้วหลังจากนี้ถ้าหากเขามีเวลาค่อยเอาของที่มีราคาสูงตอบแทนเขาสักชิ้นน่าจะดีกว่าการให้เงินแน่ๆ


เพียงไม่นานลัวย่าวหัวก็มาถึงพร้อมกับบ่นขึ้นมา “นายรู้ไหมว่ามันลำบากมากขนาดไหน!”


หยางโปยิ้ม “เอาหน่าเลิกบ่นได้แล้ว นี่นายเป็นคนเลือกเองนะ”


“มันก็ต้องบ่นซิ ทุกครั้งที่มาเจอนายก็ต้องบ่นไม่งั้นนายคงจะไม่รู้ความลำบากของฉันน่ะสิ”


หยางโปส่ายหน้าก่อนที่จะหันไปมองเจ้าอ้วนหลิว “นี่นายกำลังจะเปิดงานประมูลแล้วเหรอ?”


 


ลัวย่าวหัวพยักหน้า “หยางโปยังไม่ได้แนะนำนายใช่ไหม?”


พูดจบลัวย่าวหัวก็หันไปหาหยางโป “เถ้าแก่หยาง นี่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องนะ ทำไมนายถึงไม่รับผิดชอบแบบนี้เนี่ย? ทุกครั้งที่ฉันต้องมาเจอคนรอบตัวนายต้องเป็นหน้าที่ฉันที่ต้องแนะนำทีละคนทุกครั้งเลย”


หยางโปยิ้ม “แต่คนนี้นายเป็นคนเปิดปากอธิบายเองนะ นี่นายลืมไปแล้วเหรอ? ยังจะมาโทษฉันอีก?”


เจ้าอ้วนหลิวได้ยินแบบนั้นก็นึกถึงตอนที่เขาเจอกับลัวย่าวหัว แถมลัวย่าวหัวก็เป็นคนอธิบายให้เขาฟังแล้วรอบนึงด้วย เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเองที่จำไม่ได้”


 


ลัวย่าวหัวส่ายหน้า “ไม่ใช่ความผิดคุณหรอกต้องโทษหยางโปเนี่ยแหละที่ไม่ยอมเตือนให้เร็วกว่านี้”


หยางโปก้มมองเวลา “ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินกัน”


“นายอย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ…”


วันรุ่งขึ้นหยางโปและอีกสองคนที่เหลือก็เริ่มออกเดินทาง หลังจากที่จอดรถไว้ชั้นล่างของอาคารแล้วพวกเขาก็เดินตามเจ้าอ้วนหลิวไปยังซอยที่อยู่ใกล้ๆ


ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเจ้าอ้วนหลิวก็พูดขึ้นมาว่า “เอาเป็นว่าตอนเช้าเราเริ่มหาของจากเขตเมืองฝั่งนี้ก่อนก็แล้วกันนะ ถ้าไม่ได้จริงๆพวกเราค่อยไปที่ชายเมืองกัน”


 


หยางโปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย


เจ้าอ้วนหลิวเลยรีบอธิบายขึ้นมาว่า “ยุค 80 การขุดของจากบ้านเก่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ตอนนั้นทุกคนไม่คิดว่าของโบราณจะมีประโยชน์อะไร แต่หลังจากยุค 90 ทุกคนก็เริ่มรู้แล้วว่าของโบราณพวกนี้สามารถเอาไปขายและทำเงินได้แถมยังสามารถหาซื้อได้อีกด้วย แต่ตอนนั้นราคามันไม่ได้สูงเท่าไหร่ของโบราณก็เลยไม่ได้มีราคามากนัก “


“แต่ตอนนี้ถ้าหากคิดจะมาขุดของจากบ้านโบราณฉันคิดว่ามันสายเกินไปแล้ว เพราะทุกคนต่างก็เก็บของที่มีค่าของตัวเองแถมยังตั้งราคาเอาไว้สูงมากๆ ยิ่งในเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยราคาถูกตั้งเอาไว้สูงมากจริงๆแต่ก็ยังสามารถต่อรองราคาได้บ้างก็ต้องดูความสามารถของคนต่อรองแล้วแหละ แล้วก็ที่อยากจะเตือนก็คือให้ระวังกับดักที่อยู่ในนั้นด้วยนะ”


 


หยางโปพยักหน้า เขาแทบจะไม่เคยได้ไปบ้านโบราณมาก่อนแต่เขาเลือกที่จะไปตลาดผีมากกว่าถึงแม้ว่าในตลาดผีจะมีของแท้อยู่ไม่มากแต่ราคาก็ดูเหมือนว่าจะต่ำกว่าที่อื่นๆ


“ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงเราก็ไม่ได้มีธุระอะไรแค่ไปเดินๆดูก็พอ” หยางโปพูด


เจ้าอ้วนหลิวยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น


ภายในซอยเล็กๆถูกรายล้อมไปด้วยกระเบื้องผนังสีเทา ภายในนี้เงียบสงบมากแถมยังดูกลมกลืนกันไปหมด แต่หยางโปรู้ดีว่าภายในนี้มีบ้านหลายหลังที่ถูกซ่อมแซมมาก่อนแล้ว ที่เห็นอยู่ก็แค่แต่งให้มันยังคงเก่าและดูโบราณเพื่อให้น่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น


ในเวลาไม่นานหลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาเจ้าอ้วนหลิวก็เคาะประตูตรงหน้า


 


ทันใดนั้นก็มีชายชราอายุราวๆ 60 กว่าปีเดินมาเปิดประตู หลังจากเห็นเจ้าอ้วนหลิวเขาก็พูดแซวขึ้นมา “อ้าวเจ้าอ้วน มีลูกค้าอีกแล้วเหรอ? “


เจ้าอ้วนหลิวไม่ได้สนใจ “สวัสดีคุณตา ผมพาเพื่อนมาเดินดูแถวนี้น่ะ”


ชายชราหลบทางให้ก่อนที่จะปล่อยให้ทั้งสามคนเดินเข้ามาด้านใน หลังจากนั้นเจ้าอ้วนก็พูดแนะนำขึ้นมาว่า “คุณตาคนนี้แซ่เว่ยนะ”


หยางโปและลัวย่าวหัวหันไปพยักหน้าให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นการทักทาย ในขณะที่เจ้าอ้วนหลิวไม่ได้คิดที่จะแนะนำอีกสองคนให้อีกฝ่ายรู้จัก


 


แม้ว่าตาเฒ่าเว่ยจะอายุไม่ได้มากแต่เวลาเขาเดินกลับดูเงอะงะเป็นอย่างมาก เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “พอดีเพิ่งผ่าตัดมาน่ะเวลาเดินเลยไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ โทษทีนะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เจ้าอ้วนหลิวยิ้ม


ระหว่างที่พวกเขาเดินตามหลังอยู่นั้นเจ้าอ้วนหลิวก็กระซิบขึ้นมาว่า “ฉันรู้จักกับคนบ้านนี้แต่บ้านอื่นฉันไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ ฉันเลยไม่กล้าพาพวกนายไปเพราะมันมีหลายหลังที่เป็นบ้านโบราณสำหรับเช่าพอขายของได้ก็หนีไปเลย มันดูเชื่อไม่ได้น่ะ”


ลัวย่าวหัว “เรื่องแบบนี้ฉันเองก็พอจะเข้าใจแหละ แต่ถ้าเป็นแบบนี้จะได้ของดีกลับไปเหรอ?”


 


“แต่พวกเขามีแหล่งที่มาของสินค้าไง! นายคิดว่าบ้านโบราณพวกนี้จะเป็นที่ทำเลทองเหมือนกับเมื่อก่อนงั้นสิ? ที่แม้แต่อิฐหรือกระเบื้องแค่แผ่นเดียวก็สามารถขายได้น่ะ ของพวกนั้นโดนคนพวกนั้นกวาดไปหมดเกลี้ยงตั้งนานแล้ว ตอนนี้ที่นี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับร้านขายวัตถุโบราณหรอกที่ต้องมีการนำสินค้าเข้ามาขายน่ะ”


หยางโปตกตะลึง “นั่นก็แปลว่าบ้านโบราณพวกนี้ก็มีการหมุนเวียนวัตถุโบราณเข้ามาน่ะสิ?”


เจ้าอ้วนหลิวพยักหน้า “นายรู้ยังได้ไง?”


“เดาน่ะ เพราะว่าถ้ามันไม่มีการเปลี่ยนแปลงนานๆก็คงจะไม่มีใครมา”


 


การที่เขาจะพูดแบบนี้แต่หยางโปกลับรู้สึกผิดหวังขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่าบ้านโบราณพวกนี้อาจจะมีจุดเด่นกว่าที่อื่นๆ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นแหล่งธุรกิจไปซะแล้ว ดูๆไปแล้วมันก็ไม่ได้ต่างจากร้านขายวัตถุโบราณที่ต่างกันก็แค่ที่นี่ไม่มีใบประกอบการเท่านั้นเอง


แต่ในเมื่อมาถึงที่แล้วหยางโปก็ไม่คิดที่จะปล่อยไปง่ายๆแน่



ตอนที่ 226 ไม้หวงฮัวหลี


หลังจากที่หยางโปและคนอื่นๆเดินเข้าไปด้านในแล้ว หยางโปก็พบว่ามีโซฟาไม้สีแดงวางอยู่ด้านในแถมยังมีโต๊ะชาที่ทำมาจากไม้หวงฮัวหลี แถมยังมีดอกไม้วางอยู่บนนั้นด้วย


หยางโปมองของตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพบว่ามีเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้โรสวู๊ด เขาจึงหันไปถามตาเฒ่าเว่ยว่า “พวกคุณไม่ได้พักอยู่ที่นี่เหรอครับ?”


“อยู่สิ” ตาเฒ่าเว่ยพูดพร้อมกับดึงม่านให้เปิดออกพร้อมกับหันไปหาหยางโป “ห้องนอนพวกเราอยู่ห้องข้างๆนี่แหละ”


หยางโปหันไปมองก่อนที่จะพบว่ามีเตียงไม้เก่าๆแถมด้านบนเตียงยังมีผ้านวมและหมอนที่วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบแถมห้องก็ดูสะอาดมากอีกด้วย


 


หยางโปดูก็รู้แล้วว่าของที่อยู่ในนี้มากกว่าครึ่งเป็นของปลอมแถมเขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ด้วย มีเพียงลัวย่าวหัวเท่านั้นที่ยังไม่เข้าใจแถมยังจ้องมองเครื่องพอร์ชเลนตรงหน้าไม่วางตา


เจ้าอ้วนหลิวที่กำลังเดินอยู่รอบบ้านก็เดินกลับมา


หยางโปหยิบกล่องบุหรี่ออกมาก่อนที่จะยื่นออกมาให้ตาเฒ่าเว่ย “เป็นบ้านของบรรพบุรุษของคุณเหรอครับ?”


ตาเฒ่าเว่ยยิ้ม “ใช่ ก่อนหน้านี้บ้านนี้เป็นบ้านส่วนตัวเนี่ยแหละ แต่หลังจากนั้นมันถูกเอามาใช้เป็นถนนสาธารณะแถมยังมีคนเข้ามาอยู่เยอะมากตอนนั้นในบ้านวุ่นวายไปหมดแถมยังมีการปฏิรูปประเทศฉันก็เลยได้บ้านกลับมา ยังไงก็เป็นบ้านของบรรพบุรุษฉันไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปแน่ๆ”


 


หยางโปยิ้มก่อนที่จะหันไปมองรอบๆ “บ้านนี้พอเข้ามาดูเหมือนว่าจะไม่เกิน 300 ตารางวาเลยนะครับเนี่ย? “


ตาเฒ่าเว่ยพยักหน้า “โฉนดที่ดินมันเขียนไว้ว่ามีขนาดประมาณ 320 ตารางวา รูปแบบของบ้านนี้ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง การตกแต่งภายในนี้ก็เป็นของที่มาจากบรรพบุรุษด้วย”


หยางโปพยักหน้าแต่กลับไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่าย บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองแถมการเดินทางก็ค่อนข้างสะดวก หากได้บ้านหลังนี้มาและใช้เงินเพื่อเพิ่มเติมตกแต่งอีกสักเล็กน้อยคงจะดูดีมากอย่างแน่นอน


ในตอนนั้นเองลัวย่าวหัวก็ดูเหมือนว่าจะสนใจโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าซึ่งมีขนาดราวๆ 1 ตารางวาซึ่งทำมาจากไม้หวงฮัวหลี เขาจึงหันมาหาหยางโปพร้อมกับโบกมือเรียกเพื่อให้หยางโปเข้ามาช่วยดูให้


 


ในเวลานั้นเองตาเฒ่าเว่ยที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยิ้มออกมา


“โต๊ะตัวนี้เป็นยังไงบ้าง?” ลัวย่าวหัวกระซิบ


หยางโปพยักหน้าก่อนที่จะยื่นมือไปลูบ เมื่อนึกได้ว่าหลังจากนี้ลัวย่าวหัวจะเปิดงานประมูลเขาก็พูดขึ้นมาว่า “นายยื่นมือมาลองสัมผัสเหมือนกับฉันสิ นี่เป็นวิธีการประเมินขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว”


ลัวย่าวหัวได้ยินแบบนั้นเขาก็ทำตามทันที


หยางโปอธิบาย “ปกติแล้วไม้หวงฮัวหลีมักจะเป็นไม้หวงฮัวหลีจากไห่หนาน แต่ที่จะเห็นได้บ่อยที่สุดก็จะเป็นไม้หวงฮัวหลีจากเวียดนาม แม้ว่ามันจะอยู่ในละติจูดเดียวกันแต่ไม้จากสองที่นี่มีความต่างกันอย่างมากเลยล่ะ”


 


“ไม้หวงฮัวหลีจากไห่หนานของจริงจะมีความมันวาวแถมยังมีผิวลื่นเหมือนกับผิวเด็ก แต่ไม้ของเวียดนามจะมีความหยาบกว่า เมื่อลองสัมผัสแล้วจะรู้ได้ว่ามันยังมีความสากอยู่”


พูดจบหยางโปก็หันไปมองลัวย่าวหัวเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ทันใดนั้นลัวย่าวหัวก็ชะงักไปเล็กน้อย “แล้วความรู้สึกของความลื่นมันวาวกับความหยาบมันต่างกันยังไงล่ะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าของชิ้นนี้มันก็ลื่นมือแถมยังมันวาวด้วย”


เจ้าอ้วนหลิวที่อยู่ข้างๆได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ย่าวหัวยังไม่มีประสบการณ์ ฉันว่านายอธิบายด้วยวิธีอื่นเถอะ”


หยางโปยิ้มและพยายามที่จะพูดด้วยความใจเย็น “เพราะนายไม่เคยสัมผัสมันหรือเคยเห็นมันมาก่อนไง นายเลยไม่สามารถที่จะแยกความต่างของมันได้ งั้นเราลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการดมแทนก็แล้วกัน”


 


พูดจบหยางโปก็ย่อตัวลงพร้อมกับใช้จมูกของเขาดมไปที่โต๊ะ “ไม้ของเวียนดนามจะมีกลิ่นจางๆ ส่วนของไห่หนานกลิ่นจะแรงกว่า ซึ่งมันเป็นกลิ่นคล้ายๆกันกับตอนที่ดมกลิ่นยาจีนแล้วรู้สึกสดชื่นนั่นแหละ”


ลัวย่าวหัวรีบก้มลงดมก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “ฉันว่าโต๊ะนี้กลิ่นจางๆนะ”


เจ้าอ้วนหลิวยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


หยางโปอธิบายต่อ “เพราะว่าเฟอร์นิเจอร์มีมานานแล้วด้านนอกมีชั้นเคลือบไว้ซึ่งเกิดจากการออกซิเดชั่นเป็นเวลานาน มันเลยทำให้กลิ่นแตกต่างออกไปจากความเป็นจริง ดังนั้นตอนที่เราพิจารณาและตัดสินใจจึงต้องใช้ทั้งสองอย่างมาประกอบกัน”


 


พูดจบหยางโปก็ชี้ไปที่โต๊ะตรงหน้า “สำหรับคนที่มีประสบการณ์แล้วการใช้สายตามองเป็นวิธีการที่ดีที่สุด จุดเด่นของไม้ของไห่หนานคือตรงกลางจะตันมีจุดสีดำๆแล้วก็จะมีทั้งจุดที่เป็นขรุขระและผิวละเอียด แต่สำหรับไม้เวียดนามจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะรอบๆของจุดตรงกลางจะกลวงเป็นโพรง”


ลัวย่าวหัวจ้องอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วสรุปว่าของชิ้นนี้มันตันหรือเป็นโพรงกันแน่? ทำไมฉันดูเหมือนว่ามันจะตันเลย แถมผลที่ออกมามันก็ไม่สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ฉันประเมินด้วย”


หยางโป “นายไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ประเมินวัตถุโบราณเลยนะ สายตาของนายเนี่ย”


ลัวย่าวหัวยิ้ม “ถ้าฉันมีปัญญาประเมินด้วยตัวเองได้ นายคิดว่าฉันเปิดงานประมูลแล้วฉันยังจำเป็นต้องมีนายอีกไหมล่ะ?”


 


เจ้าอ้วนหลิวตกตะลึง “พวกนายหุ้นกันเปิดงานประมูลงั้นเหรอ?”


ลัวย่าวหัวพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเราแบ่งหน้าที่กันคนนึงรับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการทั้งหมด อีกคนเป็นฝ่ายรับผิดชอบเรื่องเทคนิคน่ะ”


พูดจบลัวย่าวหัวก็หันไปหาหยางโป “เอาเป็นว่าฉันรู้แล้วว่าฉันไม่เหมาะกับเรื่องพวกนี้ นายไม่ต้องเวิ่นเว้อให้เสียเวลา ฉันว่านายบอกมาตรงๆเลยดีกว่า”


หยางโป “ที่จริงฉันก็แค่อยากจะสอนเทคนิคติดตัวให้นายเล็กๆน้อยๆ โต๊ะตัวนี้ไม่ใช่ไม้ที่มาจากไห่หนานแล้วก็ไม่ได้มาจากเวียดนามด้วย แต่มันเป็นโต๊ะจากไม้พุทธาจีนที่มีหวงฮัวหลีเคลือบอีกชั้นยังไงล่ะ”


 


ลัวย่าวหัวจ้องโต๊ะเล็กๆตรงหน้าด้วยท่าทางตกตะลึงก่อนที่จะยื่นมือออกไปเคาะ 2 ครั้งจนเกิดเสียงดังขึ้นทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกว่ามันมีความกลวงอยู่ตรงกลาง


ตาเฒ่าเว่ยได้ยินหยางโปพูดแบบนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “โต๊ะตัวนี้แพงมาก เป็นไม้ไห่หวงที่ใช้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ อย่าทำให้มันพังล่ะ”


ลัวย่าวหัวยิ้ม “ถ้ามันเป็นไม้ไห่หวงจริงๆคุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหาย ผมว่าเรามาพนันกันดีไหมล่ะว่าถ้าโต๊ะตัวนี้ไม่ได้ทำมาจากไม้ไห่หวงจริงๆ คุณจะให้ผมเลือกของชิ้นไหนภายในบ้านนี้ก็ได้”


อีกฝ่ายส่ายหน้าทันที “ไม่ฉันไม่พนันอะไรทั้งนั้นแหละ! ที่นี่เป็นที่ของฉันของในนี้ก็เป็นของของฉัน ทำไมฉันต้องมาพนันกับนายด้วย”


 


ลัวย่าวหัวยิ้มหึหึออกมาพร้อมกับรู้สึกได้ว่ามีเรื่องตื่นเต้นกำลังรอเขาอยู่


หยางโปยังคงเงียบพร้อมกับคิดในใจต่อว่าเขาจะสามารถซื้อบ้านนี้ได้ยังไง สำหรับซื่อเหอย่วน(เรือนสี่ประสาน) นั้นเป็นของหายากแถมตอนนี้ที่ปักกิ่งก็ไม่อนุญาตให้สร้างแบบซื่อเหอย่วนแล้วและมีโอกาสที่จะถูกย้ายและรื้อถอนออกได้ตลอดเวลา จึงทำให้จำนวนของซื่อเหอย่วนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ


ถ้าหากเขาสามารถใช้ซื่อเหอย่วนในการลงทุนได้ก็สามารถที่จะนำมาพักอาศัยเองหรือไม่ก็อาจจะปล่อยเช่า มันคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีมากแน่ๆ แต่ตอนนี้ปัญหาติดอยู่ตรงที่ว่าตาเฒ่าเว่ยที่อยู่ตรงหน้าอาจจะไม่ยินยอมขายมันให้กับเขา



ตอนที่ 227 วางแผน


หยางโปยังคงเงียบเสียงและเดินไปรอบๆเพื่อสำรวจบรรยากาศที่อยู่ด้านใน


ภายในนี้มีลานดอกไม้แต่ถ้าหากอยู่ในช่วงต้นฤดูหนาวต้นไม้และดอกไม้เหล่านั้นจะเหี่ยวแห้ง ทว่าบรรยากาศตรงหน้านี้กลับทำให้หยางโปรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างมาก


หยางโปเดินไปทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ภายในนี้มีต้นทับทิมอยู่ต้นนึงซึ่งมีลำต้นหนาและดูเหมือนว่าจะถูกตัดแต่งกิ่งอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นความสูงของมันจึงไม่ได้สูงมากนัก และด้านบนก็ยังผลไม้ทับทิมห้อยอยู่ด้วย


หยางโปหันไปหาเจ้าอ้วนหลิวก่อนที่จะโบกมือเรียกเขา “คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ไหม?”


 


เจ้าอ้วนหลิว “นายจะซื้อมันเหรอ?”


หยางโปพยักหน้า “ผมมาที่ปักกิ่งบ่อยแต่ก็ยังไม่มีที่พักดีๆเลย ตอนนี้ราคาบ้านซื่อเหอย่วนสูงขึ้นเรื่อยๆแถมยังปรับราคาเร็วมากด้วย ผมคิดว่าถ้าผมสามารถซื้อมันได้คงจะดีมากแน่ๆ”


เจ้าอ้วนหลิวพยักหน้า “ฉันเห็นด้วยกับความคิดของนายนะ เพราะหลังจากนี้ราคาคงปรับขึ้นสูงกว่านี้อย่างแน่นอน”


พูดจบเจ้าอ้วนหลิวก็หันไปหาตาเฒ่าเว่ย “ตาเฒ่าเว่ยมีลูกชายแค่คนเดียวแต่ตอนนี้เขาอยู่อเมริกา ช่วงนี้อาจจะกำลังทำเรื่องขอกรีนการ์ดอยู่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง แต่ตอนนี้ที่นี่ก็เหลือเขาแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ ไม่รู้ว่าเขาเองเคยคิดอยากจะไปอยู่กับลูกชายของเขาที่เมืองนอกรึเปล่า”


 


หยางโป “ลูกชายของเขาเรียนอยู่ที่ไหนเหรอ?”


เจ้าอ้วนหลิวส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ฉันรู้แค่ว่าตาเฒ่าเว่ยทำงานหาเงินอย่างยากลำบากเพื่อส่งลูกชายไปเรียนต่างประเทศตลอดทั้งชีวิต แต่ได้ยินว่าโรงเรียนที่เขาอยู่ก็ไม่ได้ว่าจะดีสักเท่าไหร่หรอก”


หยางโปพยักหน้า “ถ้าเป็นแบบนี้โอกาสที่เขาจะผ่านการขออนุมัติกรีนการ์ดคงจะไม่ได้สูงมาก และมันก็ตรงกับที่ผมหวังเอาไว้พอดี”


หยางโปตื่นเต้นขึ้นมาก่อนที่จะเดินวนไปรอบๆต้นทับทิม “ต้นทับทิมต้นนี้หนามากและคิดว่าคงจะมีอายุหลายสิบปี ไม่รู้ว่าถ้าซื้อที่นี่ได้แล้วจะโค่นมันออกได้รึเปล่า”


 


“ฉันว่ารอให้นายซื้อมันให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาว่ากัน”


หยางโปยิ้มก่อนที่จะหันไปหาตาเฒ่าเว่ย


“คุณตาครับ บ้านนี้ใหญ่โตขนาดนี้แต่คุณตาอยู่แค่คนเดียวเหรอ?”


ตาเฒ่าเว่ยเองก็เห็นว่าหยางโปและเจ้าอ้วนหลิวแอบไปยืนคุยกันอยู่ที่มุมบ้าน “ใช่ ลูกชายของฉันไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ตอนนี้ก็เหลือฉันคนเดียวแต่ฉันก็อยากจะเฝ้าและดูแลที่นี่ต่อไป”


“แล้วคุณตาไม่คิดจะไปอยู่เป็นเพื่อนลูกชายที่นู้นบ้างเหรอครับ?” หยางโปถาม


ตาเฒ่าเว่ยส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากจะไปรบกวนเขา”


 


หยางโปยิ้ม “ทำไมคุณตาถึงยอมให้ลูกชายคนเดียวของคุณตาย้ายถิ่นฐานล่ะครับ? ที่จริงอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรแถมยังได้อยู่ใกล้ๆคุณตาด้วย”


“ลูกฉันโตเป็นหนุ่มแล้วยังไงก็ต้องให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ตอนที่เขาไปอยู่ต่างประเทศแล้วกลับมาที่นี่ เขาก็บอกว่าตัวเองไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่นี่ก็เลยอยากจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่นู้นแทน ในเมื่อเขาตัดสินใจแบบนั้นแล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะก็ต้องยอมให้เขาทำตามที่เขาอยากจะทำนั่นแหละ”


“เขาตัดสินใจที่จะย้ายถิ่นฐาน การยื่นทำเรื่องกรีนการ์ดก็น่าจะราบรื่นแล้วสินะครับ?” หยางโปหันไปถามพร้อมกับความรู้สึกที่เริ่มกังวลขึ้นมาเพราะกลัวว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด


 


ทว่าอีกฝ่ายกลับชะงักไป “การทำเรื่องขอกรีนการ์ดเป็นเรื่องที่ยากมา ตอนเขาอยู่ที่มหาลัยที่นู้นก็ไม่ใช่มหาลัยดีอะไรเลยถูกปฏิเสธกลับมาตั้งหลายครั้ง นี่ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ผลลัพธ์จะเป็นยังไง”


“ผมมีอยู่วิธีนึงครับและคิดว่ามันสามารถทำให้ได้รับอนุมัติกรีนการ์ดแน่ๆ” หยางโปพูดขึ้น


อีกฝ่ายเงยหน้ามองหยางโป อันที่จริงเขาเองก็พอจะรู้วัตถุประสงค์ของหยางโปอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่เขาก็ถามกลับไปว่า “วิธีไหน?”


“เป็นวิธีที่คุณอาจจะต้องยอมเสียสละสักหน่อยน่ะครับ” หยางโปพูด “ที่อเมริกามีนโยบายการเข้าเมืองอยู่คือเป็นการลงทุนในการย้ายเข้าเมือง ไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจมันรึเปล่านะครับ”


“ฉันไม่เข้าใจ”


 


“คือมันเป็นการลงทุนการเคลื่อนย้ายเงินเข้าเมืองด้วยเงินห้าแสนดอลล่าสหรัฐ เป็นการสร้างโอกาสในการสร้างงานโดยตรงหรืออาจจะเป็นทางอ้อมก็ได้ และมันก็สามารถทำให้ได้รับกรีนการ์ดของอเมริกาได้เร็วที่สุดด้วย แต่เงินจำนวนนั้นสามารถลงทุนในสหรัฐและพื้นที่ชนบทที่มีอัตราการว่างงานสูงเท่านั้น แต่มันก็ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะทำแบบนั้น ส่วนอีกอย่างนึงก็คือการลงทุนด้วยเงินหนึ่งล้านดอลล่าสหรัฐซึ่งนโยบาลนี้ไม่ได้มีข้อจำกัดมากเหมือนกับข้อแรก”


หยางโปพูดต่อว่า “การเคลื่อนย้ายก็ต้องมีการใช้เงินก้อนนึงด้วยเหมือนกันในการที่จะเคลื่อนย้ายเงินไป ถ้าไม่ใช่คนที่มีความสามารถจริงๆ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะได้รับกรีนการ์ดจากประเทศนั้น”


 


อีกฝ่ายหน้าขาวซีดขึ้นมาในทันที ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหยางโปต้องการที่จะซื้อบ้านของเขาแน่ๆ! ถึงแม้ว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาจะสามารถทำเงินได้เยอะแต่มากกว่าครึ่งก็หมดไปกับการส่งไปให้กับลูกชายของเขา และเขาก็ไม่มีเงินที่จะนำไปลงทุนมากมายขนาดนั้นด้วย


นอกจากขายบ้านแล้วเขายังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?


เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปหาหยางโป “ถ้าหากลงทุนจริงๆจะสามารถรับประกันได้ไหมว่าลูกชายของฉันจะได้กรีนการ์ด”


“ขอแค่ลงทุนด้วยจำนวนเงินหนึ่งล้านไม่เพียงแค่ลูกชายของคุณเท่านั้นแม้แต่ตัวคุณเองก็จะได้กรีนการ์ดด้วยเช่นกัน แค่ใช้ชื่อของคุณก็สามารถที่จะย้ายเป็นประชากรของที่นั่นได้แล้ว”


 


อีกฝ่ายจ้องหยางโปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา


หยางโปรู้ดีว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดแล้ว “ผมชอบบ้านที่นี่และผมอยากจะซื้อมันด้วย”


อีกฝ่ายยังไม่ได้รีบร้อนที่จะตอบกลับไป ก่อนหน้านี้เขาสาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่ยอมขายซื่อเหอ


ย่วนหลังนี้แน่ๆ แต่เป็นเพราะเรื่องของลูกชายของเขาในเวลานี้เขาจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา


“ฉันขอโทรศัพท์ไปปรึกษากับลูกของฉันก่อนแล้วกัน” อีกฝ่ายพูด


พูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในห้อง หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาหันมาถาม “แล้วนายจะให้ฉันเท่าไหร่ล่ะถ้าฉันขายบ้านหลังนี้?”


 


หยางโปหันไปมองรอบๆ “แปดร้อยล้าน!”


“น้อยไปหน่อยรึเปล่า ฉันขอไปคิดดูก่อนก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในห้อง


หยางโปยิ้มออกมาเพราะเขารู้ดีว่าราคาที่เขาพูดออกไปเมื่อกี้มันเพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะได้แล้ว แม้ว่าเขาจะสาบานเอาไว้ว่าจะไม่ขายมันแต่เมื่อต้องมาชั่งน้ำหนักกับเรื่องของลูกชายของเขาแล้ว อีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะเกิดอาการลังเลขึ้น


ในเวลาอันรวดเร็วเสียงจากในห้องก็ดังขึ้น


“พ่อโทรมามีอะไรเนี่ย?”


 


“เสี่ยนหลง เมื่อสองวันก่อนลูกคุยกับพ่อเรื่องยื่นเรื่องขอกรีนการ์ดใช่ไหม? ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” ตาเฒ่าเว่ยถาม


อีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมาว่า “พ่อ…เรื่องนี้พ่อไม่ต้องมายุ่งหรอกผมจัดการของผมเองได้ ตอนนี้ก็แค่กำลังรอคิวอยู่ ยังห่างจากกระบวนการตรวจสอบอยู่ช่วงนึงด้วย พ่อไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวถ้าผมจัดการได้เมื่อไหร่ผมจะไปรับพ่อมาเที่ยวที่นี่นะ”


อีกฝ่ายพยักหน้าแต่เขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ครั้งก่อนที่เขายื่นเรื่องไม่ผ่าน ครั้งนี้ก็คงจะไม่ได้ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้แน่ๆ “เสี่ยนหลงพ่อได้ยินมาว่าที่อเมริกามีนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อขอกรีนการ์ดเหรอ?”


 


“ใช่ มันเป็นนโยบายในการลงทุนเนี่ยแหละ แต่ว่ามันเป็นเกมของพวกมีเงินต้องมีเงินลงทุนอย่างน้อยๆห้าแสนดอลล่า ถ้าเป็นเงินหยวนก็ประมาณสี่ล้านกว่าหยวนนั่นแหละ เงินเยอะขนาดนี้พวกเราจะมีปัญญาจ่ายได้ยังไง”


“เสี่ยนหลงไม่ต้องห่วง พ่อมีวิธี”


พูดจบตาเฒ่าเว่ยก็หันไปหาหยางโป…เพื่อลูกชายของเขาที่จะได้ใช้ชีวิตที่อเมริกา ทำไมเขาจะขายซื่อเหอย่วนหลังนี้ไปไม่ได้ล่ะ?



ตอนที่ 228 แลกเปลี่ยน


ระหว่างที่หยางโปเดินไปรอบๆบ้าน ลัวย่าวหัวที่รู้ว่าหยางโปต้องการจะซื้อที่นี่เขาก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ที่นี่มันไม่ได้ใหญ่นะ อย่างน้อยๆซื่อเหอย่วนก็ต้องมีสองสามขั้นแหละถึงจะโอเค”


หยางโป “นายนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย บ้านหลังนี้มีราคาอย่างน้อยๆหนึ่งพันล้านเลยนะ ถ้าหากเป็นบ้านสองชั้นอาจจะมีราคามากกว่าสองพันล้านด้วยซ้ำ ส่วนถ้าเป็นสามชั้นคงจะห้าพันล้านนู้นแหละ”


ลัวย่าวหัว “นายก็รีบบอกสิว่านายยังขาดเหลือเท่าไหร่ฉันจะได้ให้นายยืม”


หยางโปมองไปรอบๆ “ที่นี่ไม่เลวเลยฉันว่าฉันจะซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้หลังจากนี้ถ้าหากเจอบ้านที่มีสองสามชั้นที่ดูเหมาะสมกับราคาแล้วก็ถูกใจฉันอาจจะยืมเงินนายอีกที”


 


ลัวย่าวหัวกรอกตาไปมา “นายเอาเงินฉันไปลงทุนนั่นแหละเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุดแล้ว”


หยางโปยิ้มก่อนที่จะหันไปมองตาเฒ่าเว่ย “เป็นยังไงบ้างครับ?”


อีกฝ่ายหันมา “เข้ามาคุยด้านในก่อนสิ”


หยางโปพยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้อง ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกเพราะดูเหมือนว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีมากกว่าครึ่งแล้ว และบ้านซื่อเหอย่วนเองก็ไม่ได้หาซื้อได้ง่ายๆอย่างที่ลัวย่าวหัวพูดและมันก็มีจำนวนจำกัดด้วย มีคนจำนวนมากที่ไม่มีทางยอมขายบ้านพวกนี้เด็ดขาดต่อให้ยอมจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม


หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งลงแล้วตาเฒ่าเว่ยก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหยางครับผมคิดว่าถ้าหากคุณสามารถให้ราคาที่เหมาะสมได้เราน่าจะสามารถทำการแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ”


 


หยางโป “งั้นคุณก็ลองเสนอราคามาดูสิครับ”


“หนึ่งพันแปดร้อยล้าน!”


หยางโปขมวดคิ้วเข้าหากันถึงแม้ว่าบ้านพวกนี้จะมีราคาสูงมากแถมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ราคาที่อีกฝ่ายเสนอมามันยังสูงเกินไปแถมยังสูงกว่าราคาตลาดมากอีกด้วย อีกอย่างหยางโปก็คิดว่ามากสุดบ้านหลังนี้คงได้แค่หนึ่งพันล้านหยวนเท่านั้น


“ถ้าราคาหนึ่งพันแปดร้อยล้านหยวนก็ตกเฉลี่ยอยู่ที่หกหมื่น แต่ผมคิดว่ามันควรจะอยู่ที่ประมาณสามหมื่นก็น่าจะพอแล้วนะครับ ถ้าเป็นราคาเก้าร้อยห้าสิบล้านหยวนผมคิดว่าน่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมกว่า”


 


อีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีหลังจากที่ได้ยินราคาของอีกฝ่ายอันที่จริงหากยึดตามที่หยางโปพูดอย่างน้อยๆก็ต้องใช้เงินลงทุนอยู่ที่แปดร้อยกว่าล้านถึงจะสามารถขอกรีนการ์ดได้ ถ้าหากเขาสามารถขายออกได้หนึ่งพันแปดร้อยล้านเขาก็จะยังเหลือเงินเก็บอีกพันล้านหยวนซึ่งมันสามารถนำไปใช้เพื่อเลี้ยงชีพพวกเขาได้ตลอดชีวิต


“คุณหยางครับ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าบ้านที่นี่เป็นสิ่งที่ผมรักษาเท่าชีวิตแถมยังเป็นแหล่งทำเงินของผมอีกด้วย ถ้าหากผมขายมันไปผมก็ไม่มีที่ไปแล้ว…ผมหวังว่าคุณหยางเองก็น่าจะเข้าใจเหตุผลของผมนะครับ”


หยางโปนั่งลง “แต่ราคาที่คุณพูดมามันสูงเกินไป เอาเป็นว่าผมให้คุณได้แค่หนึ่งพันสองร้อยล้าน ถ้าหากคุณยังไม่พอใจอีกผมก็หมดทางเลือกแล้วล่ะครับ”


 


อีกฝ่ายชี้ไปที่เครื่องพอร์ชเลนที่ถูกวางอยู่เต็มห้อง”เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งพวกนี้สามารถทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะครับ”


หยางโปมองไปที่โต๊ะวางน้ำชา “พวกเรารู้ดีครับว่าของที่อยู่ในนี้ทำเงินได้เท่าไหร่ แค่มองด้วยตาก็รู้แล้วครับ”


ตาเฒ่าเว่ยลังเล “งั้นฉันขอโทรศัพท์แป๊บนึงนะ”


หยางโปพยักหน้า “ตามสบายครับ”


หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็เดินออกมา “หนึ่งพันสองร้อยล้านก็ได้ครับ”


ลัวย่าวหัวเห็นทั้งสองจับมือตกลงกันก่อนที่จะเริ่มเซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเวลาอันรวดเร็ว


 


หลังจากจ่ายเงินแล้วหยางโปก็ได้กุญแจบ้านมา ในขณะที่ตาเฒ่าเว่ยเองก็ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพราะอันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ทุกวันส่วนใหญ่ก็มักจะไปอยู่ที่ชานเมืองที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก


หลังจากที่ตาเฒ่าเว่ยเก็บของทุกอย่างไปแล้วทั้งสองคนก็ไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นของหยางโปทันที


เจ้าอ้วนหลิว “ตอนแรกฉันกะว่าจะแนะนำแหล่งวัตถุโบราณจากบ้านโบราณพวกนี้ให้ คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะได้มาเจอบ้านโบราณแล้วจะได้ซื้อมันเก็บเอาไว้ซะเอง”


“ต้องขอบใจนายนะเนี่ยที่ทำให้ฉันได้บ้านหลังนี้ เอาเป็นว่าขากลับเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการตอบแทนเอง” หยางโปพูด


 


ลัวย่าวหัวยังคงพูด “แต่มันก็ยังเล็กไปหน่อยอยู่ดี นี่ถ้าคนเยอะๆคงเบียดกันจนอึดอัดแย่”


ลัวย่าวหัว “พ่อนายก็ยังอยู่ใช่ไหม?”


“อยู่ซิ ทำไมเหรอ?”


“ก็เพราะว่าเขายังอยู่ไงเวลามีการรวมตัวกันคนเลยเยอะ แถมทุกคนก็ต้องกลับมาบ้านกันหมด ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ต้องอึดอัดอยู่แล้ว แต่ของฉันไม่เหมือนกับนายเพราะฉันไม่ได้มีญาติเยอะเท่ากับนายนิ”


หยางโป “ก็จริงของนาย “


หลังจากที่กลับมาถึงที่บ้าน หยางโปก็กลายเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และแน่นอนว่ามันทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก


….


 


แม่ของหยางหลางรับสายซึ่งโทรมาจากโรงพยาบาลก่อนที่จะชะงักไป “หยางหลางเป็นลมเหรอคะ?”


พ่อหยางที่นอนอยู่บนเตียงที่กำลังรู้สึกโมโหอยู่ว่าการบริการของที่นี่นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ แต่ทันทีที่ได้ยินแม่หยางพูดก็เกิดอาการตกใจขึ้นมา “ว่าไงนะ? หยางหลางเป็นลม? เกิดอะไรขึ้น? แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”


“ตอนนี้อยู่ห้องผู้ป่วย” แม่หยางตอบ


“อยู่โรงพยาบาลอะไรล่ะ รีบบอกมาสิ!” พ่อหยางเกิดความร้อนรนใจขึ้น


“อยู่ชั้นล่างนี้เอง” แม่หยางตอบ


 


“ยังจะอึ้งอะไรของเธออยู่อีก! รีบลงไปดูลูกสิ!” พ่อหยางพูดด้วยความร้อนใจก่อนที่จะลงมาจากเตียงพร้อมกับเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับตะโกน “หยางหลาง โถ่! ลูกชายของฉัน ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”


หลังจากนั้นไม่นานพ่อหยางก็เดินมาถึงหน้าเตียงของลูกชายของเขา ก็พบว่าหยางหลางตื่นแล้วแต่สายตาของเขายังคงว่างเปล่าแถมดูไร้วิญญาณและไม่ได้สนใจพ่อแม่ของเขาเลยแม้แต่น้อย


พ่อหยางเขย่าตัว “เสี่ยวหลางลูกเป็นอะไรไป? ตอบพ่อสิ”


แต่เมื่อเห็นว่าหยางหลางไม่ตอบ พ่อหยางก็รีบเขย่าตัวแรงขึ้น “เสี่ยวหลาง! ทำไมจู่ๆถึงเป็นลมไปล่ะลูก?”


หยางหลางยังคงจ้องไปด้านหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเหมือนเดิม


 


แม่หยางวิ่งเข้ามาแต่หลังจากที่เห็นท่าทางของลูกชายแม่หยางก็เกิดอาการตกตะลึงขึ้นพร้อมกับรีบเข้าไปประคองลูกพร้อมกับร้องไห้ “เสี่ยวหยางลูกเป็นอะไรตอบแม่สิลูก ฮืออออ”


“ไม่ต้องร้อง!” พ่อหยางพูดขึ้น “ตอนนี้ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


พ่อหยางเห็นว่าหยางหลางไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงยกมือขวาขึ้นก่อนที่จะตบไปที่หน้าของหยางหลางอย่างแรงจนเกิดรอยนิ้วมือ


ทว่าหยางหลางยังคงนิ่งราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร พ่อหยางก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาจนหันไปถามพยาบาลที่เดินตรวจคนไข้อยู่ “คุณพยาบาล นี่ลูกผมเป็นอะไรไป?”


 


พยาบาล “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คิดว่าน่าจะตกใจจนเกิดอาการช็อกน่ะค่ะ”


“แล้วผมต้องทำยังไงถึงจะเรียกให้เขาตื่น?” พ่อหยางถาม


“ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกค่ะ ตอนนี้เขาน่าจะตื่นแล้วคุณลองหาทางดูนะคะ” พยาบาลตอบ


พ่อหยางพยักหน้าก่อนที่จะหันไปหาหยางหลางอีกครั้งพร้อมกับตบไปที่หน้าของหยางหลางอย่างแรงจนทำให้หน้าของเขาแดงขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะแดงกว่าครั้งก่อนหลายเท่า



ตอนที่ 229 แจ้งความ


พ่อหยางจ้องลูกชายตัวเองที่ยังไม่โต้ตอบกลับมา “เสี่ยวหลาง! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!”


ความหวังของพ่อหยางอยู่ที่หยางหลางทั้งหมด แต่ในเวลานี้กลับต้องมาเจอลูกชายของตัวเองในสภาพแบบนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจจนสติแทบจะหลุดออกจากร่าง


แม่หยางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแต่หลังจากที่เธอเริ่มได้สติแล้วเธอก็หันไปหานางพยาบาลข้างๆ “ลูกชายของฉันเป็นอะไรกันแน่คะ? หรือว่าเขาจะหัวใจวาย?”


นางพยาบาลเห็นหยางหลางนั่งเหม่อลอยแถมยังไม่มีการโต้ตอบกลับมาเธอเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เพราะเธอจำได้ว่าเมื่อสักครู่หมอที่ดูอาการของเขาบอกว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร หรือคนไข้คนนี้จะเป็นโรคประสาท? แต่ดูจากพ่อแม่ของเขาแล้วดูเหมือนว่าน่าจะไม่ใช่ เธอจึงยื่นแก้วน้ำให้พ่อของหยางหลางก่อนที่จะพูด “ลองสาดน้ำดูสิคะ”


 


พ่อหยางรับน้ำมาก่อนที่จะลูบแก้วเพื่อดูอุณหภูมิของน้ำแต่หลังจากที่เห็นว่าน้ำในแก้วเย็นมาก เขาก็เกิดอาการลังเลขึ้นมาแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสาดใส่ลูกชายของตัวเอง


หลังจากที่น้ำถูกสาดใส่หน้าของเขาจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว หยางหลางก็สะดุ้งขึ้นมาในทันที


ทันทีที่เขาเห็นพ่อกับแม่ตัวเองเขาก็พูดขึ้นมา “พ่อ! แม่!”


เพี๊ยะ! ทันใดนั้นพ่อหยางก็ตบไปที่หน้าของลูกชายตัวเองอีกครั้ง “แกทำบ้าอะไรของแกห๊ะ! ทำไมแกถึงกลายเป็นสภาพแบบนี้!”


หยางหลางมองพ่อด้วยท่าทางตกตะลึงก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าหดหู่ “พ่อ! หลานเยว่ขโมยเงินของผมไปหมดเลย”


 


พ่อหยางช็อคไปในทันที เพราะเขารู้ดีว่าหยางหลางขายบ้านไปแล้วแถมเขายังมีเงินอยู่ในมือไม่น้อย ช่วงนี้เป็นเพราะพ่อหยางต้องการเงินจากหยางโป พ่อหยางจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่ทันทีที่ได้ยินว่าเงินของลูกชายหายไปจนหมดเกลี้ยง เขาก็เกิดอาการช็อกขึ้นมาในทันที


“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน? นั่นแฟนแกไม่ใช่เหรอ? เงินนั่นอาจจะเป็นเงินที่แกให้แฟนแกไปรึเปล่า?” พ่อหยางยังคงไม่เชื่อ


“พ่อ! นั่นมันเงินล้านหยวนเลยนะ เงินล้านหยวนที่ได้มาจากการขายบ้านนั่นโดนหลานเยว่ขโมยไปหมดแล้ว เธอใช้อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งโอนเงินจากบัตรไปจนหมดเกลี้ยงเลย!”


 


พ่อหยางรู้สึกเลือดขึ้นหน้าในทันทีก่อนที่จะรู้สึกภาพตรงหน้าดับวูบไป เงินล้านหยวนนั้นเป็นเงินที่เขาอุตส่าห์บากหน้าไปขอหยางโป และถ้าไม่ใช่เพราะเงินล้านหยวนนี่เขากับหยางโปคงจะไม่เป็นแบบนี้


“พ่อ!” หยางโปเห็นพ่อของตัวเองเป็นลมไปที่พื้นเขาก็รีบลงจากเตียงไปประคองพ่อของเขาทันที


เป็นเพราะการช่วยเหลือของพยาบาลจึงทำให้พ่อหยางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่พ่อหยางตื่นขึ้นสิ่งแรกที่เขาทำคือรีบพูดขึ้นมาด้วยความโมโหว่า “จะยืนเซ่อทำบ้าอะไรของแก! รีบไปแจ้งความเซ่!”


“ครับๆ” หยางหลางตอบกลับมาก่อนที่จะรีบไปโทรแจ้งความทันที


 


เพียงไม่นานตำรวจก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล หยางหลางเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงวันที่เจอกันล่าสุดให้กับตำรวจฟังต่อหน้าพ่อแม่ของเขาด้วย


ทันทีที่พ่อหยางได้ยินสิ่งที่ลูกชายของตัวเองเล่าให้ตำรวจฟังเขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าหยางหลางจะเจอกับหลานเยว่ในสถานที่ที่ดีกว่านี้แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าเขาสองคนจะไปเจอกันที่ร้านเหล้า! แถมที่สำคัญไปกว่านั้นคือตอนที่หยางหลางพาหลานเยว่กลับมาก็ประกาศว่าหลานเยว่คือแฟนของเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลูกชายของเขาจะไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายดีเท่าที่ควร!


ตำรวจถามเขา “ก่อนหน้านี้หลังจากที่คุณขายบ้านไปได้มีเหตุการณ์อื่นๆอีกไหมครับ อย่างเช่นเคยมีการเขียนหนังสือหรืออาจจะเป็นการสัญญาปากเปล่าว่าจะยกเงินให้กับอีกฝ่าย?”


 


พ่อหยางที่นั่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นด้วยความโมโห “มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน! หยางหลางไม่ใช่คนโง่ซะหน่อย เขาจะทำแบบนั้นได้ยังไง!”


ตำรวจยังคงจ้องหยางหลางโดยไม่คิดที่จะสนใจคำพูดของพ่อหยาง


หยางหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาพูดกับตำรวจว่า “ผมเคยให้เงินเธอไปห้าแสนครับ…”


พ่อหยางที่นั่งอยู่ข้างๆชะงักไปในทันที ก่อนหน้านี้เขาจำได้ดีว่าหยางหลางพูดว่าให้เอาเงินทั้งหมดที่มีไปไว้ที่เขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากขายบ้านไปแล้วหยางหลางจะเอาเงินครึ่งนึงไปให้กับผู้หญิงคนนั้น!


“นางมาร! นางจิ้งจอก! ต้องเป็นเพราะยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์นั่นที่หลอกลูกชายของฉัน หลอกให้เขาเชื่อใจแล้วก็ขโมยของทั้งหมดของพวกเราไปจนหมด คุณตำรวจต้องช่วยพวกเราให้ได้นะ!” พ่อหยางพูด


 


ตำรวจพยักหน้าพร้อมกับถามรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด อันที่จริงเขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ถึงแม้ว่าหยางหลางจะถูกหลอกแต่เขาเองก็น่าจะต้องมีขีดจำกัดด้วย การที่เขาประมาทแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถูกอีกฝ่ายหลอก


“โอเคครับ ผมลงบันทึกประจำวันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ตำรวจพูดขึ้นพร้อมกับปิดสมุดลง


หยางหลางรีบลุกขึ้น “คุณตำรวจครับ เงินพวกนั้นจะได้คืนเมื่อไหร่ครับ? คุณดูสิครับตอนนี้พ่อของผมก็อยู่ที่โรงพยาบาล เงินค่ารักษาก็ไม่มี ถ้าปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นหนีไปได้ โรคที่พ่อป่วยจะรักษาต่อยังไงล่ะครับ?”


พ่อของหยางโปที่กำลังโมโหอยู่แต่ทันทีที่ได้ยินหยางหลางพูดแบบนั้นจู่ๆเขาก็ซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหลออกมา “ฮือ ในที่สุดลูกชายของฉันก็โตสักที ในที่สุดก็เข้าใจความลำบากของครอบครัว”


 


ตำรวจหันไปมองพ่อหยางด้วยความแปลกใจก่อนที่จะหันมาหาหยางหลาง “แล้วก่อนหน้านี้คุณไปทำอะไรมา? การป้องกันไว้ดีกว่าแก้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด! ตอนที่คุณไปรู้จักกับเขาที่ร้านเหล้าทำไมคุณถึงไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ตอนที่คุณคุยกันคุณไม่มีสัญชาตญาณบอกคุณเลยเหรอ? “


พูดจบตำรวจก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “รอไปก่อนเถอะครับ จากการตัดสินของผมผมคิดว่าคนๆนี้น่าจะเป็นสิบแปดมงกุฎที่ค่อนข้างชำนาญและมีโอกาสว่าหลังจากได้เงินไปเธอน่าจะเอาไปทำศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนใบหน้าใหม่และหลังจากนี้หากคุณเจอเธอไม่แน่คุณอาจจะจำเธอไม่ได้แล้วก็ได้”


หยางหลางชะงักไปในทันทีพร้อมกับมองหน้าตำรวจราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? เธอไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก!”


 


ตำรวจหันมามองเขา “รูปคดีแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกหลอกแต่ไม่เชื่อว่าตัวเองถูกหลอก คุณเองก็ไม่เคยเห็นแม้แต่บัตรประชาชนของอีกฝ่ายด้วยถูกต้องไหมครับ? พวกสิบแปดมงกุฎเหล่านี้ต่างก็ต้องผ่านการทำศัลยกรรมมาก่อนทั้งนั้น บางคนก็อาจจะปลอมแปลงตัวเองจากผู้ชายแล้วแต่งให้กลายเป็นหญิงก็มี มีคนที่ถูกหลอกส่วนหนึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่หลอกพวกเขาเป็นผู้ชาย!”


พูดจบตำรวจคนนั้นก็เดินออกไปทิ้งไว้ให้หยางหลางยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น เมื่อเขานึกถึงสัดส่วนรูปร่างที่เพรียวบางและใบหน้าที่สวยงามของเธอที่เกิดขึ้นมาเพราะการศัลยกรรมแต่แท้จริงซ่อนความอัปลักษณ์ของเธอเอาไว้ หยางหลางก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาในทันที


 


พ่อหยางหันมาหาหยางหลางด้วยสีหน้าแปลกๆ “เสี่ยวหลาง แกแน่ใจใช่ไหมว่าหลานเยว่เป็นผู้หญิง?”


“พ่อ เธอเป็นผู้หญิงจริงๆนะ” หยางหลางตอบกลับไปแต่ในใจของเขาก็ยังสงสัยแถมเขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาในเวลานี้ขนลุกไปหมด ตอนนี้เองที่เขาย้อนนึกกลับไปตอนที่นั่งอยู่บนเครื่องบินตอนที่กำลังไปปักกิ่ง หลานเยว่เองก็เหมือนว่าจะตอบคำถามคนตรวจและเคาเตอร์ที่ออกบัตรโดยสารด้วยเหมือนกัน แต่ตอนนั้นหลานเยว่เอาแต่แอบบัตรประชาชนของเธอเอาไว้เขาจึงมองไม่เห็นรายละเอียดบนนั้น


ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหยางหลางก็หน้าเจื่อนไปในทันที แม้แต่ความสุขที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นเดียวกัน และมันก็ไม่เหลือความทรงจำที่สวยงามในสมองของเขาอีกเลย


 


พ่อหยางมองลูกชายตัวเองด้วยความสงสัย และเขาเองก็หวังว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นเรื่องดีได้ แต่ตอนนี้ถึงเขาจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ครอบครัวของพวกเขาก็แทบไม่เหลืออะไรเลย


“ไป! โทรหาหยางโปซะ ให้หมอนั่นโอนเงินมาให้พวกเรา!” พ่อหยางพูด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม