พันธกานต์ปราณอัคคี 216-222
ตอนที่ 216 ความโกรธของกู้หลี
ดินแดนทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้า ดินแดนเทียนหยวนตั้งอยู่ตรงกัน ฝ่ายอำนาจในการบำเพ็ญเพียรมากมายเหมือนดาวบนท้องฟ้า ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ส่วนแดนไท่ไป๋ตั้งอยู่ภาคตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน เป็นสถานที่รวมตัวของผู้บำเพ็ญเพียรมาร
สำนักลั่วสยาในสี่สำนักแปดนิกายอยู่ด้านตะวันตกของดินแดนเทียนหยวน เป็นสำนักใหญ่ที่อยู่ใกล้แดนไท่เป๋าที่สุด
ขณะเดียวกันที่ตั้งอยู่ภาคตะวันตก ยังมีบ้านเกิดของมั่วชิงเฉินเมืองลั่วหยาง
หลิวซางเจินจวินฟังคำพูดของหรูอวี้เจินจวินแล้ว มือที่ลูบหนวดยาวชะงัก เสียงทุ้มลงเล็กน้อยว่า “เหตุการณ์รูปธรรมเป็นเช่นไร?”
หรูอวี้เจินจวินยื่นนิ้วมือขาวดังหยกดันกระดาษสีขาวข้ามไป เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกว่ารู้สึกว่าทางนั้นไม่ค่อยมั่นคง อยากอยู่ดูต่ออีกสักพัก เพียงแต่รั่วซีทำอะไรไว้วางใจได้ เมื่อนางพูดเช่นนี้ ดูท่าทางคนของแดนไท่ไป๋ไม่ยอมเดียวดายอีกแล้ว ศิษย์พี่หลิวซาง ท่านคิดเช่นไรกับเรื่องนี้?”
หลิวซางเจินจวินนิ้วมือเคาะหน้าโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าบอกไม่ถูกว่า “ศิษย์พี่โส่วเต๋อกักตนอีกแล้ว”
หรูอวี้เจินจวินชะงัก จากนั้นถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “ใช่”
ตามหลักแล้วเรื่องนี้ควรปรึกษาท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง ทว่าโส่วเต๋อเจินจวินอายุขัยใกล้เข้ามาแล้ว หลายปีมานี้กักตนบ่อยครั้ง นางถึงมาหาหลิวซางเจินจวิน เพราะอย่างไรเสียนอกจากโส่วเต๋อเจินจวินแล้ว หลิวซางเจินจวินเป็นคนที่มีตบะสูงที่สุดแล้ว
“ในเมื่อบัดนี้สำนักลั่วสยายังไม่มีข่าวอะไรลือออกมา คิดว่าเรื่องราวไม่นับว่าร้ายแรง อีกทั้งรั่วซีทำอะไรสุขุม มีนางอยู่ทางนั้นชั่วคราวคอยสอดส่องปัญหาไม่หนัก หากรั่วซีส่งข่าวมาอีก ไม่ว่าศิษย์พี่โส่วเต๋อออกจากกักตนหรือยัง เราก็ต้องส่งศิษย์กลุ่มหนึ่งไปสืบดู ศิษย์น้องหรูอวี้เห็นว่าเป็นเช่นไร?” หลิวซางเจินจวินเอ่ยเนิบๆ
หรูอวี้เจินจวินพยักหน้า “น้องก็คิดเช่นนี้เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว”
“อืม ถูกแล้ว ทางด้านศิษย์น้องเสวียนหั่วและศิษย์น้องเหิงตั๋วนั่นได้ข่าวหรือยัง?” หลิวซางเจินจวินถาม
หรูอวี้เจินจวินลอยขึ้นฟ้า ก้มหน้าเอ่ยว่า “ก็รบกวนศิษย์พี่หลิวซางบอกศิษย์พี่สองท่านทีเถอะ” พูดจบแขนเสื้อกระพือ ชายกระโปรงพลิ้วไหว ห่มแสงอาทิตย์อัสดงไปตามลมแล้ว
มั่วชิงเฉินบำเพ็ญเพียรอยู่ที่เขาป่าไผ่ทั้งวัน กลับตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พบกู้หลีอีกเลย ผ่นไปครึ่งเดือนจู่ๆ สัมผัสได้ว่าเขตอาคมนอกป่าไผ่ถูกแตะต้อง เห็นคนที่มาคือกัวซุ่นเด็กหลอมอาวุธของศิษย์น้องเหยียนแห่งเขาหลิวหั่ว จึงสำแดงฝีมือเปิดเขตอาคมปล่อยคนเข้ามา
กัวซุ่นเดินสวบๆ เข้ามา ใบหน้าดำจนเขียวรูปร่างกำยำ ลักษณะเหมือนบิดาของเขาในปีนั้นไม่มีผิด
เห็นมั่วชิงเฉินยืนอมยิ้มอยู่ข้างสวนสมุนไพร จึงรีบคารวะอย่างนอบน้อมว่า “ศิย์เขาหลิวหั่วกัวซุ่นคารวะอาจารย์อามั่ว”
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจ ปีนั้นยามที่พบกันครั้งแรก ตนเพียงแค่แปดขวบ เขาก็เพิ่งจะสิบปีเศษ ท่าทางไม่รู้เรื่องโลกภายนอก บัดนี้ใบหน้าแม้ดูหนุ่มอยู่ กลับมีความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาโชกโชน คิดว่าชีวิตของศิษย์จิปาถะคงไม่ดีนัก
“ศิษย์หลานกัวไม่ต้องมากพิธี นี่ช่วยข้าส่งของมาสินะ?” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน
กัวซุ่นยื่นถุงมาใบหนึ่งว่า “อาจารย์อาเหยียนสั่งให้ศิษย์ส่งอาวุธเวทมาให้อาจารย์อามั่ว อาจารย์อามั่วเชิญตรวจดู”
มั่วชิงเฉินหยิบชามกระเบื้องใบใหญ่ออกจากถุง ข้างชามเป็นเงาลื่น มองไม่เห็นรอยสักเส้น ซ่อมได้สมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ กระทั่งดูแล้วยังกระจ่างกว่าเมื่อก่อนหลายส่วน จึงพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ศิษย์น้องเหยียนฝีมือดีจริงๆ ศิษย์หลานกัว หินวิญญาณที่เหลือนี่ก็รบกวนเจ้านำไปให้ศิษย์น้องเหยียนเถอะ ขอบคุณเขาแทนข้าด้วย ต่อไปหากมีความจำเป็นยังต้องไปรบกวนเขาอีกแน่นอน…” พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักทันที ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น “ไม่ ข้าส่งยันต์ส่งสารให้เจ้าดีกว่า เจ้าถึงเวลาก็มาเอาแล้วกัน”
กัวซุ่นกลั้นหัวเราะไว้แล้วพยักหน้า “ศิษย์ทราบแล้ว ศิษย์ขอตัวก่อน”
เห็นกัวซุ่นหันหลังจากไป มั่วชิงเฉินว่า “ช้าก่อน” พูดพลางดันมือไป ยาลูกกลอนรวมวิญญาณขวดหนึ่งก็เข้าไปในมือกัวซุ่น
“นี่…” กัวซุ่นยังไม่ได้สติกลับมา
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “จะให้ศิษย์หลานกัวเป็นธุระให้เปล่าๆ ได้อย่างไรกัน”
กัวซุ่นสีหน้าแดงก่ำทันที รีบเอ่ยว่า “ศิษย์จะรับของของอาจารย์อามั่วได้เช่นไรกัน”
มั่วชิงเฉินพูดอยู่หลายครั้ง เขากลับยืนกรานไม่ยอมรับไว้ ถูกบีบจนร้อนใจแล้วถึงอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ปีนั้นหากไม่ใช่อาจารย์อามั่วออกปากช่วยเหลือ ศิษย์ยังไม่ได้ก้าวเข้าประตูใหญ่พรรคเหยากวงก็ถูกไล่กลับไปแล้ว จะมีวันนี้ที่ไหนกัน บุญคุณใหญ่หลวงในอดีตยังไม่มีโอกาสตอบแทน บัดนี้จะรับบุญคุณจากอาจารย์อามั่วอีกได้เช่นไรกัน”
มั่วชิงเฉินทอดถอนใจในใจอีกครั้ง บางทีเรื่องง่ายแค่พลิกฝ่ามือสำหรับเจ้า ในใจของอีกคนหนึ่งกลับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง ก็เหมือนนางที่มีต่อกัวซุ่น พ่อลูกกัวซุ่นต่อนาง การกินการดื่ม ย่อมมีเหตุและผล
“ท่านอากัวสบายดีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามช้าๆ
กัวซุ่นเบิกตากว้าง มองมั่วชิงเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า เจ้ารู้จักบิดาข้า?” ตกใจจนแม้แต่คำยกย่องก็ลืมใช้แล้ว
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “ยี่สิบกว่าปีก่อนท่านอากัวและเจ้ารับปู่หลานสองคนที่ตกระกำลำบากเข้าเมือง…”
กัวซุ่นสีหน้าฉายแววเลื่อนลอย เวลานานเกินไปแล้วจริงๆ ยามเด็กเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร ความทรงทำในยามนั้นเลอะเลือนไปหมดแล้ว ทว่าเห็นลักยิ้มข้างปากมั่วชิงเฉินแล้วกลับแวบคิดขึ้นมาได้ทันใด หลุดปากออกมาว่า “เจ้า เจ้าคือน้องสาวคนนั้น”
พูดจบชะงักทันที สีหน้าแดงก่ำว่า “ขออาจารย์อามั่วโปรดให้อภัยที่ศิษย์เสียมารยาท”
“ไม่ต้องพิธีรีตองปานนี้ ท่านอากัวบัดนี้สบายดีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามอีก
กัวซุ่นก้มหน้าว่า “บิดาข้าบัดนี้ร่างกายยังแข็งแรง เพียงแต่สามปีก่อนกลับไปเยี่ยมท่าน ท่านก็ไม่อนุญาตให้ข้ากลับไปทุกปีอีก กลัวเสียเวลาการบำเพ็ญเพียรของข้า”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รีบรับยาลูกกลอนรวมวิญญาณเสีย บัดนี้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน โอสถพวกนี้ไว้ในมือจนขึ้นราก็ไม่ได้ใช้ กลับกำลังเหมาะเจาะสำหรับเจ้า”
กัวซุ่นยังอยากพูดอะไรอีก มั่วชิงเฉินกลับเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่ง “ลูกผู้ชายไยถึงจู้จี้เพียงนี้ เจ้ารีบสำเร็จสร้างรากฐาน กลับไปให้ท่านอากัวได้ดีใจเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ”
ในที่สุดกัวซุ่นก็รับยาลูกกลอนรวมวิญญาณไว้ กลับพึมพำว่า “บัดนี้ข้ายังเป็นศิษย์จิปาถะอยู่เลย”
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ปีนั้นข้าก็เป็นศิษย์จิปาถะ พวกเราสองคนยังเข้ามารอบเดียวกันนะ บัดนี้แม้เจ้ายังเป็นศิษย์จิปาถะ ตบะก็อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบแล้ว อีกทั้งยังได้รับการชื่นชมจากศิษย์น้องเหยียน คิดว่าพรสวรรค์ในด้านการหลอมอาวุธคงไม่ธรรมดา ไม่แน่อาจมีทางออกอื่นก็เป็นได้”
คำพูดนี้ช่างปลุกปั่นใจของกัวซุ่นยิ่งนัก คารวะมั่วชิงเฉินอย่างจริงจังอีกครั้งถึงหันหลังจากไป
หลายปีมานี้แม้ลำเค็ญเพียงใด เขาเคยยอมแพ้ที่ไหน กลับเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับเขาว่า เขาดีมาก เขาต้องมีทางออก
มั่วชิงเฉินเก็บชามใหญ่ขึ้นอย่างดี และจัดระเบียบสวนสมุนไพรกับเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งอีก เมื่อชีวิตสงบมากจึงคิดจะหาอะไรทำขึ้นมา ตัดสินใจไปดูที่โถงแสดงยุทธ์เสียหน่อย
โถงแสดงยุทธ์ตั้งอยู่ที่เขาโฮ่วเต๋อ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ในสำนักใช้เพื่อประลองแลกเปลี่ยนเพิ่มพูนประสบการณ์การสู้จริง
ข้างในแบ่งเป็นหลอมลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อแก่นปราณสามลานประลองตามตบะที่ต่างกัน ลานหลอมลมปราณแบ่งเป็นลานเล็กๆ นับร้อยลานอีก ส่วนสร้างรากฐานเพียงแต่แบ่งลานใหญ่ลานเดียวเป็นเก้าเขต สามารถให้ผู้บำเพ็ญเพียรเก้าคู่ประลองพร้อมกันได้ ส่วนก่อแก่นปราณก็มีเพียงลานเดียว ผู้บำเพ็ญเพียรต่ำกว่าระดับก่อแก่นปราณห้ามชมการประลอง
ลานประลองทั้งสามแห่งวางเขตอาคมพิเศษไว้ ปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรสู้กันเพียงไหนก็ไม่ทำให้พื้นที่เสียหายยิ่งไม่ทำให้คนที่มุงดูถูกลูกหลง
ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายยามไม่มีอะไรทำก็จะชอบไปโถงแสดงยุทธ์ ไม่ว่าขึ้นไปสู้สักยกหรือมุงดู ล้วนได้ประโยชน์
มั่วชิงเฉินคิดจะไปโถงแสดงยุทธ์ ก็เพราะวันนั้นยามสู้ครั้งสุดท้ายกับนิกายเหอฮวนการใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ดูเหมือนเข้าสู่เขตแดนมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง การผสานกันของจังหวะและความคิดเช่นนั้นต่อให้หลังจากนั้นนางพยายามลอง กลับไปไม่ถึงเสียที
เดิมทีตั้งใจจะถามอาจารย์ดู ทว่าคงทำให้อาจารย์ตกใจเสียแล้ว หลายวันมานี้ไม่เห็นเงามาตลอด ตนเองก็คิดไม่ออกอีก จึงไปหาคนตีกันสักตั้งให้รู้แล้วรู้รอดไปไม่แน่อาจตระหนักขึ้นมาก็ได้
คิดถึงการที่กู้หลีหลบหน้าไม่พบ อย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็กลัดกลุ้มอยู่บ้าง จึงรีบโยนความคิดที่น่าอารมณ์เสียพวกนี้ทิ้งไป นั่งชามใหญ่มุ่งหน้าไปเขาโฮ่วเต๋อ
ส่วนยามนี้กู้หลีกลับกำลังอยู่เขาหลิวหั่ว กำลังหน้าเขียวมองคนตรงข้าม
ผู้ชายตรงข้ามผมสยายออก ใบหน้าดำจนเขียว คือนักพรตชิงเสอที่มั่วหลีลั่วพูดถึงนั่นเอง
เห็นกู้หลีสีหน้าบึ้งตึง นักพรตชิงเสอกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่า “ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้ไปไย เพื่อหลอมเสื้อวิเศษชุดนั้นให้เจ้า หลายวันมานี้ข้าไม่ได้นอนดีๆ เลย ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ยังชักสีหน้าใส่ข้าอีก เฮ้อ เป็นคนดีนี่ช่างยากจริงๆ เลย!”
ฟังความไม่พอใจของนักพรตชิงเสอ กู้หลีโมโหจนมือสั่นหมดแล้ว กัดฟันแล้วกัดฟันอีกถึงว่า “ศิษย์พี่ชิงเสอ เจ้าอุตส่าห์หลอมอาวุธเวทให้เหอกวงย่อมซาบซึ้งเป็นธรรมดา ทว่า ทว่าไยเจ้าถึงหลอมเสื้อวิเศษออกมาสารรูปเช่นนี้!”
นักพรตชิงเสอเอาแขนเสื้อพัดลม ถึงเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เป็นอันใด ข้าสิ้นเปลืองวัตถุดิบหรืออย่างไร?”
“เปล่า” กู้หลีกัดฟัน
“เช่นนั้นหรือว่าเสื้อวิเศษที่ข้าหลอมออกมาคุณภาพต่ำตม ไม่คู่ควรกับหัวใจผลึกแก้วที่เจ้าหามาอย่างยากลำบาก?” นักพรตชิงเสอถามอีก
“ก็ไม่ใช่ ศิษย์พี่ชิงเสอผสานหนังท้องอสูรทะเลนั้นกับหัวใจผลึกแก้วได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ” กู้หลียังคงสีหน้าดูไม่ได้
นักพรตชิงเสอสะบัดแขนเสื้อที่ใหญ่โต “ก็นั่นน่ะสิ ในเมื่อดีไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะเอาอะไรอีก?”
กู้หลีมือสั่น ฝืนอดกลั้นความบุ่มบ่ามที่จะชักกระบี่ออกมา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ทว่าเจ้าหลอมเสื้อวิเศษออกมาสารรูปเช่นนี้!” พูดพลางยกมือขึ้นเสื้อวิเศษสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หัวใจผลึกแก้วห้าสีส่องประกายวิบวับ
หากมีคนอยู่นี่ก็จะเข้าใจว่ากู้หลีที่ปกติใจเย็นดั่งลมไยโกรธจนเป็นเช่นนี้ ที่แท้เสื้อวิเศษในมือเขา ไม่คิดเลยว่า ไม่คิดเลยว่าจะเป็น…ตู้โตว[1]…ที่สตรีใส่กัน
มองเสื้อวิเศษเพียงปราดเดียวกู้หลีก็รีบเก็บมันกลับไป โคนหูแดงไปหมด
ให้เขาเอาเสื้อวิเศษนี้ให้ศิษย์ ยังไม่สู้ฆ่าเขาโดยตรงดีกว่า
นักพรตชิงเสอกลับทำสีหน้าจริงจัง พูดอย่างมีหลักการว่า “ศิษย์น้องเหอกวงจะตื่นเต้นปานนี้ไปไย สิ่งที่พวกเราคนหลอมอาวุธเน้นก็คือหลอมสิ่งของที่เหมาะสมกับวัตถุดิบที่สุดออกมา แสดงประโยชน์ใช้สอยออกมาให้ถึงที่สุด ส่วนรูปร่างเป็นเช่นไรนั้นสำคัญตรงไหน ยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านั้นหนังปลาที่เจ้าให้ข้าชิ้นนั้นก็ใหญ่เพียงเท่าฝ่ามือ ยังย้ำว่าต้องหลอมเป็นเสื้อผ้า ยังต้องปกป้องส่วนที่อ่อนแอที่สุด ยังต้องใช้หัวใจผลึกแก้วของเจ้าด้วย อะ อะ เจ้าพูดสิ ข้าไม่หลอมเป็นตู้โตว หรือว่าจะให้หลอมเป็นชุดยาวหรืออย่างไร!”
พูดถึงตรงนี้นักพรตชิงเสอก็โกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน
กู้หลีปากสั่นแล้วสั่นอีก สุดท้ายก็ยกตัวกระโดดขึ้นกระบี่บินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ร่อนลงจากฟ้า กู้หลีลังเลอยู่ไม่รู้ควรเดินเข้าไปหรือไม่ อสูรเสือพายุทะลุฟ้ากลับพุ่งเข้ามาแล้ว ถูไถเขาอย่างใกล้ชิด
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งได้ยินความเคลื่อนไหวเดินออกมา แล้วรีบคารวะลงกราบว่า “ท่านนักพรต ท่านกลับมาแล้ว”
กู้หลีใบหน้ากลับมาสงบดังเดิม สายตากลับกวาดไปข้างหลัง “ชิงเฉินล่ะ?”
สองคนประสานสายตากันปราดหนึ่ง ถึงว่า “คุณหนูไปโถงแสดงยุทธ์แล้วเจ้าค่ะ”
กู้หลีถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว กำลังจะเข้าเรือนกลับจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “อาจารย์”
——
[1] ตู้โตว คือ ผ้าปิดหน้าอกของผู้หญิง จะสวมใส่แนบติดตัว ถือเป็นเสื้อชั้นในก็ว่าได้
ตอนที่ 217 สุราทิพย์ลงท้องยามกลุ้ม
กู้หลีตัวแข็งทื่อทันที ขาที่ยกขึ้นมาถึงกับลืมวางลงไป
ภาพลวงตา ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ
“อาจารย์” เสียงเรียกดังขึ้นกว่าเดิมลอยมา ทำลายการปลอบใจตนเองของกู้หลีเสียกระจุย
กู้หลีโยนกระบี่บินออกมาอย่างไม่รู้ตัว ยกเท้าก็จะก้าวขึ้นไป กลับจู่ๆ รู้สึกว่าไม่เหมาะอีก จึงเก็บขากลับมาทั้งเช่นนั้น
มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างหลังเห็นการกระทำทั้งหมดนี้ของกู้หลีจนหมด ในใจเจ็บแปลบ นี่เขาทำอะไร ชั่วชีวิตนี้กะจะไม่พบตนแล้วหรืออย่างไร?
ความรักที่ตนมีต่อเขา ทำให้เขาทนไม่ได้ถึงเพียงนี้หรือ?
นึกถึงที่เขาหลบหน้าไม่พบตนมาหลายวัน และยังท่าทางที่เมื่อได้ยินเสียงตนก็แทบจะวิ่งหนีทันทีนั่นอีก ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ยืนหลุบตาอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
กู้หลีไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลัง เกร็งร่างกายที่แข็งทื่อพลางค่อยๆ หันหน้ามา
สิ่งที่มองเห็นคือเด็กสาวผอมบางยืนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างสงบ เงาไผ่ที่เป็นระเบียบที่อยู่ข้างๆสะท้อนอยู่บนชุดเขียวหลวมโคร่งของนาง ลมพัดมา เงาไผ่แกว่งเอยแกว่งตามชุดเขียว แกว่งจนเขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“ชิงเฉิน เจ้ากลับมาแล้ว” เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูด กู้หลีถามเสียงเบา
มั่วชิงเฉินหน้าก้มเล็กน้อยไม่แม้แต่จะมองกู้หลีสักปราด เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ อาจารย์เพิ่งกลับมาสินะ ก่อนหน้านี้ชิงเฉินหมักสุราทิพย์ใหม่ไว้สองชนิด บัดนี้น่าจะมีกลิ่นสุราบ้างแล้ว กว่าอาจารย์จะกลับมาได้ จะได้ลองลิ้มลองพอดี” พูดพลางก้าวเท้าเร็วๆ เดินไปที่เรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางใช้หมักสุราโดยเฉพาะ
ชุดเขียวหลวมโคร่งยิ่งทำให้นางดูผ่ายผอม ตามการก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว ขอบกระโปรงพลิ้วไหว ยามที่เดินสวนผ่านไปกวาดผ่านชุดเทาของกู้หลี พาให้ชุดเทาของเขาก็พลิ้วไหวตามไปด้วย
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนประสานตากันปราดหนึ่ง แล้วรีบหาเหตุผลหลบไป ถือโอกาสลากพวกอสูรเสือพายุทะลุฟ้าสามตัวที่ไม่เต็มใจไปด้วย
ไม่นานนัก ก็เห็นมั่วชิงเฉินอุ้มไหสุราสองใบเดินเข้ามา วางไว้บนโต๊ะหิน ใช้มือตบเปิดออกไหหนึ่ง กลิ่นหอมสุราจางๆ สายหนึ่งก็ลอยออกมา
สายตาของกู้หลีจึงตกไปอยู่ที่มือมั่วชิงเฉิน
เห็นเพียงนางโบกมือเปล่าทีหนึ่งจอกหยกขายาวสีมรกตสองใบก็ปรากฏขึ้น จากนั้นถือไหสุราขึ้นค่อยๆ รินสุราลงในจอกหยกสีมรกต
สุราเป็นสีขาวนวล แฝงด้วยสีชมพูเข้มรางๆ ใส่อยู่ในจอกหยกสีมรกตแล้วดูมีเสน่ห์อย่างคาดไม่ถึง คลื่นสุรากระเพื่อมแผ่วเบาพาความวิเวกวังเวงออกมาสายหนึ่ง
มั่วชิงเฉินดันจอกหยกขาสูงใบหนึ่งเข้าไป เอ่ยนิ่งเรียบว่า “อาจารย์ เชิญลิ้มลองเจ้าค่ะ”
สายตากระจ่างใสของกู้หลีกวาดผ่านใบหน้ามั่วชิงเฉิน สาวน้องท่าทางไม่สะทกสะท้าน สงบนิ่งอ่อนโยน
กู้หลีหลุบตาลง นิ้วมือเรียวยาวหนีบขาจอกไว้ จิบเบาๆ อึกหนึ่ง
ไอสุราจางๆ มาพร้อมกลิ่นหอมเหมยรางๆ บางเบาดุจแสงจันทร์แท้ๆ เมื่อลงท้องกลับให้หวนระลึกถึงรสชาติไม่รู้จบ ปราณวิญญาณเย็นๆ เป็นสายๆ กระจายออกรอบทิศ อวัยวะภายในสบายอย่างไม่มีสิ่งได้เทียมได้ในทันที
“นี่คือสุราอันใด?” กู้หลียกตาถามว่า
มั่วชิงเฉินเม้มมุมปาก เอ่ยอย่างสงบว่า “น้ำค้างลั่วเหวย หมักจากกลีบดอกเหมยแดงพันปีและน้ำค้างบนเกสร อาจารย์รู้สึกเป็นเช่นไรเจ้าคะ?”
กู้หลีพยักหน้าว่า “สีใสรสจาง กลับแฝงด้วยกลิ่นหอมอบอวลในปาก หวนระลึกรสชาติได้ไม่รู้จบ นับว่าเป็นยอดสุรา”
“เช่นนั้นอาจารย์ก็ดื่มมากๆ หน่อย” มั่วชิงเฉินพูดพลางรินให้เขาจนเต็มอีก จากนั้นตนเองยกจอกหยกขาสูงอีกใบหนึ่งขึ้นมา ดื่มจนเกลี้ยง
ไม่นานนัก น้ำค้างลั่วเหวยไหหนึ่งก็เหลือเพียงครึ่งเดียว มั่วชิงเฉินกลับไม่พูดสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ
กู้หลีเผยอปาก คิดจะพูดอะไร กลับถูกมั่วชิงเฉินขัดขึ้น
“อาจารย์ ท่านลองชิมอันนี้อีกเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพูดพลางเปิดผนึกของสุราอีกไหหนึ่ง กลิ่นหอมสุราเข้มข้นสายหนึ่งพุ่งเข้าจมูก
ต่อจากนั้นบนโต๊ะหินก็ปรากฏจอกหยกขาวใบเล็กขึ้นสองใบ มั่วชิงเฉินเอียงไหสุราในมือ สุราเลิศรสสีทองเหมือนอำพันก็ไหลเข้าจอกหยกขาวใบเล็กอย่างช้าๆ
“อาจารย์” มั่วชิงเฉินสองมือยกจอกเล็กใบหนึ่งส่งไปให้กู้หลี กู้หลีรับมาดื่มจนเกลี้ยง
น้ำสุราเข้มข้นเหมือนวุ้น ไหลผ่านปลายลิ้นทีละนิดๆ ไหลตามคอหอยค่อยๆ ลงท้อง ทิ้งรสขมฝาดไว้เป็นสายๆ
สุราลงท้องปราณวิญญาณก็กระจายออก กลับร้อนแต่ไม่แสบ สบายอย่าบอกใคร รอผ่านไปชั่วครู่ รสขมฝาดที่ปลายลิ้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรสหวาน รสขมฝาดและรสหวานผสานกัน กลับยิ่งทำให้รสชาติของสุรายิ่งเข้มข้นอัศจรรย์ อย่างช้าๆ รสหวานนั้นก็ท่วมผ่านทุกอย่าง อัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก
“สุราดี!” กู้หลีชมว่า สุราเช่นนี้ถูกปากเขากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
มั่วชิงเฉินก็ไม่พูด จอกสุราโล่งแล้วก็รินใหม่จนเต็ม ดื่มจอกแล้วจอกเล่า ไม่นานนักสองแก้มก็แดงเรื่อขึ้นมา
ในที่สุดกู้หลีก็ทำสีหน้าจริงจัง มองนางนิ่งๆ ว่า “ชิงเฉิน เจ้าโกรธหรือ?”
มั่วชิงเฉินสีหน้าราบเรียบว่า “ไม่เจ้าค่ะ” พูดพลางหยิบจอกสุราดื่มอีกจอกหนึ่ง
กู้หลีกดแขนเสื้อของมั่วชิงเฉินไว้ว่า “ชิงเฉิน เจ้าโกรธอาจารย์ใช่หรือไม่? หากในใจกลัดกลุ้ม อย่าดื่มสุราจะดีกว่า”
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างบอกไม่ถูกว่า “ชิงเฉินจะกล้าโกรธอาจารย์ได้อย่างไร และมีคุณสมบัติอะไรที่จะโกรธอาจารย์อีก?” พูดพลางดื่มอีกจอกหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายมองกู้หลี “อาจารย์ไม่เคยดื่มสุรายามที่ในใจกลัดกลุ้มหรือเจ้าคะ?”
พูดจนกู้หลีไม่รู้จะพูดอะไรอีก ได้เพียงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ มองนางดื่มจอกแล้วจอกเล่าอย่างเงียบๆ
เด็กผู้หญิงในอดีตในที่สุดก็เติบใหญ่แล้ว นาง ไยนางถึงมีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาได้นะ?
ความคิดนั้นแวบขึ้นมา กู้หลีเบือนหน้าไปทันที ไม่สบตากับดวงตาที่ยิ่งนานยิ่งเป็นประกายของมั่วชิงเฉินอีก
อาศัยความเมาอาละวาดมั่วชิงเฉินทำไม่ได้ รู้สึกว่าตนเองเริ่มเมากริ่ม จึงดันไหสุราไป แล้วหัวเราะหึๆ ว่า “อาจารย์ ไม่คิดว่าสุรานี่จะเมาง่ายถึงเพียงนี้ ชิงเฉินดื่มอีกไม่ได้แล้ว ท่านจัดการเถอะ” พูดจบลุกขึ้น ยังไม่ลืมอุ้มน้ำค้างลั่วเหมยที่เหลือไหนั้น เดินไปที่เรือนอย่างเอ้อระเหย
เดินไปถึงที่แห่งหนึ่งพอดีมีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่ง เป็นก้อนหินที่อสูรเสือพายุทะลุฟ้าใช้ขัดฟันยามไม่มีอะไรทำ ทั้งเงาทั้งลื่น เดิมทีมั่วชิงเฉินก็ไปโถงแสดงยุทธ์ตีติดกันหลายยก ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ยามนี้ดื่มสุราทิพย์สองชนิดติดกันอีก สุราลงท้องยามกลุ้มยิ่งเมาง่าย ใต้เท้าก็ลอยขึ้นมา เหยียบถูกก้อนหินร่างกายก็บินตรงไปข้างหน้าทันที
“ชิงเฉิน” กู้หลีขยับตัวพยุงมั่วชิงเฉินไว้ทันทีแล้วถอนใจเสียงเบา ฐานะของทั้งสองคนเช่นนี้จะเกิดความคิดอื่นขึ้นได้อย่างไรกัน หากเป็นสตรีอื่นหลบไปให้พ้นก็หมดเรื่องแล้ว ทว่านางกลับเป็นศิษย์ของตน
“อาจารย์ ท่าทางข้าจะดื่มมากไปแล้วจริงๆ” มั่วชิงเฉินมือหนึ่งอุ้มไหสุรามือหนึ่งดึงเสื้อกู้หลีไว้ แล้วแหงนหน้ายิ้ม รอยยิ้มหมดจด กลับปิดความรู้สึกในดวงตาไม่มิด
กู้หลีเหมือนถูกฟ้าผ่ารีบเบือนสายตาออก พยุงมั่วชิงเฉินเข้าเรือน “ชิงเฉิน เจ้าพักผ่อนดีๆ อย่าคิดมากเปลืองสมองอีก” พูดจบก็หันหลังจะออกไป
กลับได้ยินมั่วชิงเฉินข้างหลังพึมพำว่า “อาจารย์ ท่านอย่าหลบข้าอีกเลย หาก หากไม่อยากเห็นชิงเฉินจริงๆ ชิงเฉินพรุ่งนี้ก็ลงเขาไป…”
กู้หลีหันหลังโดยพลัน ไม่ทันได้สนใจอย่างอื่นอีกแล้วว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดมาก เจ้ากลับสำนักยังไม่ครบปี ไม่ใช่เวลาออกไปข้างนอก”
ยิ่งกว่านั้น นางล่วงเกินนิกายเหอฮวนจนไม่เหลือชิ้นดี ปกติอยู่ในสำนักก็ช่างเถอะ หากออกไปพบเจอเข้า ลำพังตัวคนเดียวยากจะเลี่ยงไม่ให้เสียเปรียบได้ รอผ่านไปสักสองปีเรื่องซาลงแล้วคงจะปลอดภัยหน่อย
มั่วชิงเฉินกลับหัวเราะว่า “อาจารย์หลับข้าอยู่ใช่หรือไม่ แม้แต่เขาป่าไผ่ก็ไม่ยอมกลับแล้ว”
กู้หลีชะงัก ระยะนี้เขาไม่อยู่เขาป่าไผ่ ที่จริงคือออกไปตามหาหัวใจผลึกแก้ว เพื่อเสื้อวิเศษตัวนั้น แน่นอนก็มีเจตนาหลบหน้าเช่นกัน อยากให้ลูกศิษย์สงบใจสักหน่อย ด้วยนิสัยเฉลียวฉลาดปรุโปร่งเช่นนางไม่แน่อาจคิดตกก็ได้ใครจะไปรู้
เดิมทีไม่อยากบอกเรื่องนี้แก่นาง ทว่าเห็นนางเป็นเช่นนี้ ปกติภายนอกไม่แสดงออกกลับอัดอั้นอยู่ในใจ หากเกิดจิตมารขึ้นจะเป็นปัญหา จึงว่า “วันนั้นเอาหนังปลาของอสูรทะเลชั้นห้าจากที่เจ้านี่ไปชิ้นหนึ่งมิใช่หรือ ศิษย์พี่ที่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธท่านนั้นบอกหากเพิ่มของบางสิ่งเข้าไปพลังการป้องกันจะดียิ่งขึ้น ข้าจึงออกไปตามหาของสิ่งหนึ่ง ถึงทำให้เสียเวลา”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วความกลัดกลุ้มในใจก็กวาดหายไปครึ่งใหญ่ กลับยังคงถามว่า “เช่นนั้นอาจารย์มิใช่ไม่อยากพบข้า?”
กู้หลีส่ายศีรษะ กลับรู้สึกประหลาดเล็กน้อยอีก
มั่วชิงเฉินแอบยิ้มอยู่ในใจ ถามอีกว่า “เช่นนั้นต่อไปอาจารย์ก็ไม่ออกไปแล้วหรือเจ้าคะ?”
กู้หลีชะงักทีหนึ่งถึงว่า “หากไม่มีธุระย่อมไม่ออกไป”
“เช่นนั้นอาจารย์มีธุระออกไปจะไม่ไปโดยไม่บอกกล่าวอีก?” มั่วชิงเฉินถามต่อ
กู้หลีหลุดปากว่า “ไม่เป็น” พูดจบกลับชะงักงัน เช่นนี้แล้วไยดูเหมือนตนเองต่างหากที่เป็นศิษย์ จะออกไปทั้งทียังต้องบอกกล่าวอีก
ไม่รู้ศิษย์พี่คนอื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่? คิดถึงตรงนี้ก็อดสับสนขึ้นมาไม่ได้
ในยามนี้เอง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าปีนั้นสายตาของอาจารย์หลิวซางเจินจวินที่มองเขา กระทั่งบัดนี้ บางทีอาจารย์ยังใช้แววตาเช่นนั้นมองเขาและศิษย์พี่ใหญ่อยู่ คิดว่าก็คงรู้สึกว่าศิษย์ยุ่งยากและรับมือยากเช่นกัน ยังดันปล่อยมือไม่ได้อีก
เลี้ยงบุตรถึงรู้บุญคุณบุพการี ในใจกู้หลีมีความคิดเช่นนี้ขึ้นอย่างประหลาด แล้วนึกถึงศิษย์ของตนอีก กลับยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเหลวไหล อีกทั้งยังมีความทำอะไรไม่ถูกนอกจากความกระอักกระอ่วนอีก
ศิษย์ของศิษย์พี่คนอื่นหากมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาควรปฏิบัติตนเช่นไร?
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกู้หลีรู้สึกรางๆ ว่าปฏิกิริยาของศิษย์พี่คนอื่นเมื่อเจอเรื่องประเภทนี้ต้องไม่มีทางทำอะไรไม่ถูกเป็นแน่ คิดถึงตรงนี้จู่ๆ ใจก็ไม่กล้าคิดลึกลงไปกว่านี้อีก
ใครจะรู้ว่าเรื่องที่ยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูกมาแล้ว แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินถามอย่างเอ้อระเหยว่า “เช่นนั้นเสื้อวิเศษของชิงเฉินหลอมเสร็จหรือยังเจ้าคะ?”
“อาจารย์…” เห็นจู่ๆ กู้หลีก็ชะงักงัน หน้าค่อยๆ แดงขึ้น มั่วชิงเฉินสงสัยขึ้นมา
“ชิงเฉิน วันนี้เจ้าดื่มสุราไปไม่น้อย วันหลังค่อยว่ากันดีกว่า วันหลังค่อยว่ากันเถอะ” กู้หลีพูดอย่างยากลำบาก แล้วก็จะเดินออกไป
“อาจารย์ สิ่งที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ล้วนปลอบใจข้า ที่จริงท่านหลบชิงเฉินอยู่ตลอดใช่หรือไม่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินน้ำเสียงเคืองขึ้นมา ในใจกลับแอบหัวเราะ ไม่ใช่นางเจตนาหยอกเขานะ แต่การแสดงออกของอาจารย์ช่างตลกเหลือเกินจริงๆ”
“ไม่ใช่ ชิงเฉินเจ้าอย่างคิดเหลวไหล…”
กู้หลีพูดไม่ทันจบก็ถูกมั่วชิงเฉินพูดแทรก “เช่นนั้นเสื้อวิเศษของชิงเฉินละเจ้าคะ?”
เงาสีขาวแวบผ่านของสิ่งหนึ่งโยนมาที่นาง จากนั้นก็เห็นกู้หลีพุ่งออกประตูไปเหมือนลมพายุ
มั่วชิงเฉินถูกสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ทำจนชะงักงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงก้มหน้าลง ใบหน้ากลายเป็นหินทันที
พักใหญ่ๆ นางถึงลูบหน้าผากว่า “ทีนี้ดีแล้ว เกรงว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตอาจารย์ก็ไม่คิดจะเจอตนแล้ว”
เกินความคาดหมายของมั่วชิงเฉิน ไม่คิดว่าวันที่สองกู้หลีจะไม่ได้วิ่งหนี ยังทำอาหารเช้ารอนางมากิน เพียงแต่ทุกครั้งที่สายตานางมองไป สีหน้าก็จะกระอักกระอ่วน โคนหูก็ค่อยๆ แดงขึ้น ไม่มีท่าทางใจเย็นในยามปกติ
มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะอยู่ในใจ ท่าทางเพราะเมื่อวานถูกตนบังคับให้รับปากว่าต่อไปถ้าไม่มีธุระจะไม่ออกไป เขาเป็นคนรักษาคำพูดมาตลอด
เพียงแต่มองดูท่าทางของกู้หลีแล้วสุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ จึงลุกขึ้นว่า “อาจารย์ ชิงเฉินไปโถงแสดงยุทธ์ก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 218 ความอาฆาตมาดร้ายบังเกิดกะท...
“อาจารย์ วันนั้นประลองกับคนสุดท้ายของนิกายเหอฮวน ชิงเฉินดูเหมือนเข้าสู่เขตแดนที่ประหลาดอันหนึ่ง อานุภาพของเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมากมาย ทว่าหลายวันมานี้ไปหาคนแลกเปลี่ยนวิชาที่โถงแสดงยุทธ์ กลับจับความตระหนักเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?” ไปโถงแสดงยุทธ์ติดกันช่วงระยะเวลาหนึ่ง มั่วชิงเฉินกลับหาความรู้สึกเช่นในวันนั้นกลับมาไม่ได้ จึงทนไม่ไหวต้องถามกู้หลี
กู้หลียิ้ม “ชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ไล่ตามมาตลอดชีวิตกลับมีเพียงคนจำนวนน้อยนิดที่กุมไว้ได้คืออะไร?”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่กวาดผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเรียบ ทว่าการเลื่อนขั้นกลับลำบากยากเข็ญยิ่งนัก ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่จึงมีไม่มาก กระทั่งบัดนี้นางยังไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงไม่เข้าใจวิชานั้นนัก เพียงแต่ได้ยินว่าพรรคอู่อี๋ในสี่สำนักแปดนิกายมีผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ค่อนข้างมาก
“จิตแห่งกระบี่ ที่พวกเขาตามหาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาตลอดชีวิตก็คือจิตแห่งกระบี่ เจนจิตแห่งกระบี่จึงรู้ทางสวรรค์ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ที่ตระหนักถึงจิตแห่งกระบี่พลังความสามารถเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันมาก ทว่าคนที่สามารถตระหนักถึงจิตแห่งกระบี่นั้นช่างน้อยนัก ก็เหมือนกับทางสวรรค์ที่อัศจรรย์ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดได้ วันนั้นเจ้าโอกาสวาสนานำพาให้เข้าสู่สภาพใจและจิตรวมเป็นหนึ่ง เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้แฝงไว้ด้วยจิตแห่งกระบี่ จึงก่อให้เกิดอิทธิพลชนิดหนึ่ง คนที่อยู่ในอิทธิพลนั้นก็จะถูกบังคับโดยจิตแห่งกระบี่ ดังนั้นเจ้าถึงรู้สึกว่าเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้อานุภาพเพิ่มขึ้นมาก” กู้หลีเอ่ยอย่างอดทน
มั่วชิงเฉินมือข้างหนึ่งยันแก้ม ขมวดคิ้วแผ่วเบาว่า “อาจารย์ เช่นนั้นต้องทำเช่นไรถึงควบคุมจิตแห่งกระบี่ได้ล่ะเจ้าคะ?”
“พวกเราผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่ ต่อให้ฝึกเคล็ดกระบี่บางอย่าง อีกทั้งโอกาสวาสนานำพาให้ตระหนักถึงจิตแห่งกระบี่ ที่จริงจิตแห่งกระบี่นั้นก็ไม่ใช่จิตแห่งกระบี่เสียทีเดียว หากแต่เป็นจิตแห่งกระบี่ผสานจิตแห่งคาถา เช่นเดียวกันจะก่อให้เกินอิทธิพลชนิดหนึ่งที่ทำให้ปราบศัตรูได้” กู้หลีเอ่ยต่อ
มั่วชิงเฉินตาสว่างขึ้นโดยพลัน จิตแห่งกระบี่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าตระหนักที่จริงคือจิตแห่งกระบี่ผสานกับจิตแห่งคาถาเช่นนั้นหรือ? นางดูเหมือนจะสัมผัสอะไรได้รางๆ กลับพูดไม่ออกว่าอะไรกันแน่
“อาจารย์ เช่นนั้นจิตแห่งกระบี่ที่เกิดจากผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าฝึกเคล็ดกระบี่เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่บริสุทธิ์ อานุภาพจะด้อยกว่าสักหน่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินถามอีก
กู้หลียิ้มอย่างใจเย็นว่า “ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจต่อกระบี่หรือความเข้าใจต่อคาถา สืบสาวแหล่งที่มาแล้วล้วนเป็นความเข้าใจต่อทางสวรรค์”
มั่วชิงเฉินรู้แจ้งว่า “เช่นนี้ก็คือไม่มีการแบ่งสูงต่ำแล้ว?”
กู้หลีพยักหน้า “ต่างมีจุดเด่นเท่านั้น หากวันหลังมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่สักครั้ง เจ้าอาจตระหนักได้ชัดเจนขึ้นก็เป็นได้”
มั่วชิงเฉินกัดปากว่า “อาจารย์ พูดมาครึ่งค่อนวันท่านยังไม่ได้บอกชิงเฉินเลย ว่าจะควบคุมจิตแห่งกระบี่ได้เช่นไร”
“ชิงเฉิน เจ้าว่าจะควบคุมทางสวรรค์ได้เช่นไร?” กู้หลีอมยิ้มถามว่า
มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นว่า “อาจารย์ ชิงเฉินใจร้อนไปแล้ว”
ชีวิตต่อจากนั้น มั่วชิงเฉินกลางวันไปโถงแสดงยุทธ์แลกเปลี่ยนกับคนอื่น กลางคืนบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คาถาและเคล็ดกระบี่หรือการรุดหน้าของตบะ ล้วนพัฒนาขึ้นทุกวัน
ในวันนี้ นางไปลานประลองของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่โถงแสดงยุทธ์อีกครั้ง ที่นั่นกำลังล้อมเต็มไปได้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคู่หนึ่งกำลังสู้กันอย่างดุเดือด
มั่วชิงเฉินยืนจ้องดูเงียบๆ ศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้นางล้วนเคยประมือมาก่อน แม้โชคดีชนะ กลับไม่ยอมรับไม่ได้ว่าพลังความสามารถของสองคนค่อนข้างแข็งแกร่ง ต่างมีความโดดเด่น
“ดี!” เมื่อรู้แพ้ชนะ นอกลานประลองระเบิดเสียงโห่ร้องขึ้น
คนที่แพ้ก็ไม่หดหู่ กอบมือแล้วกระโดดลงจากเวทีอย่างสง่า
คนที่ได้ชัยชนะยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสงบ รอคอคนขึ้นเวทีคนต่อไป
มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ยกตัวกระโดดขึ้นเวทีไป คำนับทีหนึ่งว่า “ศิษย์พี่”
“อ๊า อาจารย์อามั่วมาอีกแล้ว!” ศิษย์ที่ล้อมดูมากมายนอกลานประลองโห่ร้องอย่างคึกคัก
คนที่มาโถงแสดงยุทธ์บ่อยๆ มีใครไม่รู้บ้างว่าช่วงนี้มั่วชิงเฉินมาประลองทุกวัน การประลองแต่ละครั้งล้วนยอดเยี่ยมตระการตา จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่เคยแพ้ กระทั่งชนะนักบำเพ็ญระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง
คนบนเวทีสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญเพียรคนก่อนหน้าว่า “ศิษย์น้องจาง เจ้านัดข้าไปเอาของที่ตลาดมิใช่หรือ ไอยา เกือบลืมไปแล้ว!” พูดพลางกระโดดลงจากเวทีด้วยความเร็วที่เร็วกว่าฟ้าผ่า ลากศิษย์น้องจางที่ยังไม่ได้สติกลับมาคนนั้นวิ่งทะยานไปแล้ว
มั่วชิงเฉินเหลอหลา จากนั้นกวาดสายตาไปลานประลองเล็กอื่น มีเพียงบนลานประลองเล็กสองลานที่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางและระยะปลายลานละคนกำลังรอคู่ต่อสู้อยู่ เห็นมั่วชิงเฉินมองมา จึงกระโดดลงจากเวทีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ได้ยินเพียงคนหนึ่งว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว วันนี้เป็นวันที่นัดศิษย์น้องหลิวไว้ไม่ใช่หรือ ไยข้าถึงลืมได้นะ ทีนี้ศิษย์น้องหลิวต้องโกรธแน่แล้ว”
อีกคนหนึ่งว่า “หมดกัน อาจารย์สั่งข้าไปทำธุระให้ท่านวันนี้ชัดๆ ไยถึงวิ่งมาโถงแสดงยุทธ์ด้วยความเคยชินอีกแล้ว”
ทั้งสองคนไม่เห็นเงาอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินเหลอหลาอีกครั้ง สายตากวาดไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่อยู่ข้างล่างเวที กลับเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานพวกนั้นเหมือนใจสื่อถึงกันได้ก็ไม่ปานเบือนหน้าแล้วก็วิ่ง บางคนอย่างน้อยยังพูดพอเป็นมารยาทสักสองประโยค บางคนไม่พูดสักแอะหนีไปโดยตรงให้รู้แล้วรู้รอดไป
มั่วชิงเฉินยืนอยู่บนเวทีอย่างเดียวดาย เห็นเพียงศิษย์ระดับหลอมลมปราณล้วนๆ ใต้เวทีกำลังจ้องนางตาปริบๆ ยืนต่ออีกครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จึงได้แต่เดินลงเวทีไปอย่างเคอะเขิน
เห็นมั่วชิงเฉินออกจากลานประลอง มีศิษย์ที่เพิ่งมาโถงแสดงยุทธ์เป็นครั้งแรกคนหนึ่งในที่สุดก็ทนไม่ไหวถามว่า “ขอบังอาจถามศิษย์พี่ นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ ไยอาจารย์อาพวกนั้นเห็นอาจารย์อาเมื่อครู่ท่านนั้นแล้วถึงวิ่งหนีไปหมดเลย?”
คนที่อยู่ข้างๆ นั้นเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้จักอาจารย์อาท่านเมื่อครู่? ช่างเถอะช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไปถามเอาเองเถอะ ทว่าเรื่องเมื่อครู่ข้ากลับเล่าให้เจ้าฟังได้ ช่วงนี้อาจารย์อามั่วมาประลองทุกวัน จนถึงบัดนี้ไม่เคยแพ้มาก่อน เจ้าดู อาจารย์อาระดับเดียวกันสู้นางไม่ได้ อาจารย์อาระยะปลายสู้ชนะแล้วไม่น่าภูมิใจ สู้แพ้แล้วขายหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วใครกล้าสู้กับนางอีก หาเรื่องให้ลำบากใจเปล่าๆ”
ศิษย์ที่ถามงงเป็นไก่ตาแตก ผ่านไปพักใหญ่ถึงว่า “จิ๊ๆ ยามที่ศิษย์น้องยังไม่เข้าสำนักก็ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพรรคเหยากวงเราดุดัน บัดนี้ดูแล้วช่างสมคำร่ำลือจริงๆ เลยนะ”
มั่วชิงเฉินที่ออกจากโถงแสดงยุทธ์กลับห่อเ**่ยวเล็กน้อย ดูท่าทางต่อไปคงมาโถงแสดงยุทธ์นี่ไม่ได้แล้ว ไม่ก็ไปรับภารกิจที่โถงปฏิบัติงานเถอะ เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็มุ่งหน้าเดินไปโถงปฏิบัติงาน
ใครจะรู้ว่าเมื่อถึงหน้าประตูโถงปฏิบัติงาน ก็พบกับต้วนชิงเกอเข้าโดยไม่คาดคิด
ผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งกำลังยื้อๆ ยุดๆ เสนอหน้าอยู่ข้างหน้า
มั่วชิงเฉินสายตาเย็นชาลง ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนร้ายที่ฆ่าท่านปู่ของนางเถียนหยวน!
มองดูท่าทางที่ก้อร่อก้อติกต่อต้วนชิงเกออย่างหน้าไม่อาย ความอาฆาตมาดร้ายสายหนึ่งแวบเข้าในตามั่วชิงเฉิน เมื่อยกตาขึ้นอีกครั้งกลับสงบไร้คลื่นลมแล้ว
“ชิงเกอ เจ้ากลับมาแล้ว” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ
ต้วนชิงเกอเหมือนได้รับการปลดปล่อย รีบลากมั่วชิงเฉินไว้ว่า “ชิงเฉิน ข้ากำลังจะไปหาเจ้าพอดีเลย” พูดจบหันหน้าพูดกับเถียนหยวนว่า “ต้องขออภัยด้วย ศิษย์พี่เถียน ข้ายังมีธุระต้องขอตัวก่อน”
มีคนอื่นอยู่ด้วย สุดท้ายเถียนหยวนก็สำรวมขึ้นเล็กน้อย ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างไม่พอใจแล้วสะบัดหน้าจากไป
มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอไม่เจอกันหลายวัน เมื่อพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้นางจึงไม่ได้รับภารกิจเป็นการชั่วคราวหากแต่ตามต้วนชิงเกอไปคุยที่ที่พำนักของนาง
“จังหวะไม่ดีจริงๆ ศิษย์พี่มั่วกักตนแล้ว” ต้วนชิงเกอยิ้มนิ่งเรียบว่า
มั่วชิงเฉินและมั่วหลีลั่วพบกันแล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไร กองของขวัญต่างๆ ไว้เต็มโต๊ะปล่อยให้นางเลือกตามระเบียบ
หลังจากเลือกไปเลือกมารอบหนึ่ง ความซึมเศร้าเล็กน้อยที่หน้าต้วนชิงเกอในที่สุดก็กวาดหายจนหมดเกลี้ยง
มั่วชิงเฉินถึงถามว่า “ชิงเกอ คนคนนี้เป็นใครน่ะ ไยอยู่ดีๆ ก็มาพัวพันเจ้าล่ะ?”
ความแค้นอันใหญ่หลวงกับเถียนหยวนเป็นหินยักษ์ที่ทับอยู่ในใจนางมาตลอด ต่อให้สนิทสนมกันเช่นต้วนชิงเกอ นางก็ไม่กล้าเปิดเผยความสนใจที่มีต่อคนคนนั้นแม้แต่นอ้ย
สีหน้าต้วนชิงเกอประหลาดเล็กน้อย ทอดถอนใจว่า “ชิงเฉิน ยังจำเรื่องที่ปีนั้นเจ้าถูกคนบีบจนไม่อาจไม่ไปทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อได้หรือไม่? คนเมื่อครู่ ก็คือคุณชายเถียนคนนั้น!”
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้าง “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขา ช่างสันดอนขุดง่าย สันดานขุดยากจริงๆ เพียงแต่…ชิงเกอ บัดนี้เจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของนักพรตรั่วซีแล้ว ไยเขายังกล้าคิดมิดีมิร้ายกับเจ้าอีก?”
ใบหน้าต้วนชิงเกอฉายแววอารมณ์เสีย เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “คุณชายเสเพลเช่นนั้นมีอะไรไม่กล้าบ้าง เทียดของเขาคือนักพรตซานอินศิษย์ก้นกุฏิของผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง แม้ไม่ใช่ศิษย์คนแรก ทว่าศิษย์คนแรกของเขาโฮ่วเต๋อดับสูญไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว นักพรตซานอินมีตบะระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย พลังความสามารถไม่ธรรมดา ถือว่าตนเองเป็นศิษย์คนแรกอย่างเงียบๆ มานานแล้ว คุณชายเสเพลคนนั้นแน่นอนต้องเห็นว่าเทียดของเขาเป็นศิษย์คนแรกของเขาโฮ่วเต๋อ นั่นไม่ต่างอะไรกับศิษย์คนแรกของพรรคเหยากวงทั้งพรรค สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเช่นข้านี้แม้ไม่กล้าบีบบังคับกันเกินไป ทว่ากลับหน้าด้านตามตื๊อไม่หยุด ยังทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ”
มั่วชิงเฉินสงสัยเล็กน้อย หลายปีก่อนที่ตลาด นางจำได้ว่าเถียนหยวนเห็นมั่วหลีลั่วก็เหมือนหนูเห็นแมวชัดๆ ไยบัดนี้กลับไม่เกรงกลัวต้วนชิงเกอแม้แต่น้อย พวกนางเป็นศิษย์ของนักพรตรั่วซีเหมือนกันนะ
ก็ได้ยินต้วนชิงเกอเอ่ยอีกว่า “ก็มีแต่ศิษย์พี่มั่วที่เอาเขาอยู่”
“เพราะอะไร?” มั่วชิงเฉินกำลังอยากรู้อยากเห็นข้อนี้พอดี จึงรีบถาม
ต้วนชิงเกอเม้มปากยิ้มว่า “พรรคเหยากวงมีใครไม่รู้บ้างว่าศิษย์พี่มั่วไม่ไว้หน้าผู้บำเพ็ญเพียรชาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าศิษย์พี่มั่วตบะสูงกว่าเขามาตลอด หลายปีก่อนยังเคยสั่งสอนเขามาครั้งหนึ่งนะ ทว่า ชิงเฉิน เจ้ายังจำเรื่องที่ปีนั้นศิษย์พี่มั่วถูกศิษย์ร่วมสำนักไม่กี่คนตามฆ่าในหุบเขาโยวเล่อหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า
ต้วนชิงเกอสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยว่า “ต่อมาศิษย์พี่มั่วแอบบอกข้าว่า สงสัยเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับคุณชายเสเพลคนนั้น เป็นไปได้มากที่เป็นการแก้แค้นนาง ทว่าศิษย์พี่มั่วก็ไม่ใช่คนน่ารังแก ใช้แผนอันแยบยลทำให้เขาถูกลงโทษ ปิดประตูสำนึกผิดอยู่นานมาก สิ้นสุดการสำนึกผิด นักพรตซานอินก็สั่งให้เขาออกจากสำนักไปฝึกตนแล้ว ใครจะคิดว่าข้าดวงไม่ดี ระหว่างทางที่กลับมาดันบังเอิญเจอกับเขาได้”
มั่วชิงเฉินเกิดความคิดในใจ แอบสูดหายใจเข้าอึดหนึ่งถึงถามว่า “ศิษย์พี่มั่วใช้แผนแยบยลอะไร? ชิงเกอเจ้าลอกเลียนแบบมาให้เขาลิ้มลองความลำบากอีกสักครั้งก็ได้แล้ว”
ต้วนชิงเกอส่ายศีรษะว่า “ศิษย์พี่มั่วก็ไม่ได้เล่าละเอียด ดูเหมือนจะวางแผนให้เขายามที่เกี้ยวพาราสีศิษย์หญิงถูกท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งและอาจารย์ปู่ข้าหรูอวี้เจินจวินเจอเข้าอย่างจัง เจ้าก็รู้กฎสำนักของพรรคเหยากวงเรา ในนั้นมีข้อหนึ่งก็คือห้ามเกี้ยวพาราสีดูแคลนศิษย์หญิง ทว่าก็เพียงพูดไปเช่นนั้นเอง นอกจากศิษย์ก้นกุฏิเช่นพวกเรานี้ ศิษย์หญิงคนอื่นเจอคุณชายเสเพลนั่น มีสักกี่คนที่ไม่กล้ำกลืนฝืนทน จะมีคนไหนอีกที่กล้าฟ้องไปถึงหน้าท่านเจินจวินล่ะ”
แต่ละคนต่างมีวิถีในการเอาตัวรอด ศิษย์หญิงธรรมดาเจอเรื่องเช่นนี้ ฟ้องไปถึงหน้าท่านเจินจวินอาจสามารถลงโทษคนคนนั้นได้จริง ทว่าต่อจากนั้นล่ะ ยังไม่รู้จะเจอปัญหาอีกเท่าไร ส่วนเจินจวินระดับก่อกำเนิดพวกนั้น จะมีเวลามาสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ได้เช่นไรกัน
“ดีที่เหยากวงเราก็มีวายร้ายแค่คนนี้คนเดียว สายตาก็ค่อนข้างสูงอีก มิเช่นนั้นยังไม่รู้ว่าจะมีศิษย์หญิงเท่าไรต้องประสบเคราะห์” ต้วนชิงเกอถอนใจว่า
ในใจมั่วชิงเฉินกลับเต้นอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
ตอนที่ 219 ปลาติดเบ็ดแล้ว
ร่ำลาต้วนชิงเกอ มั่วชิงเฉินที่ย้อนกลับเขาป่าไผ่เดินตรงเข้าเรือน กระทั่งไม่เห็นกู้หลี่ที่เดินตรงเข้ามา ทำให้กู้หลีชะงัก
มั่วชิงเฉินรื้อกฎสำนักออกมา แล้วอ่านอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ สายตาตกไปอยู่ข้อที่หนึ่งและข้อที่สี่
ข้อที่หนึ่งมีตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ก็คือห้ามศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเอง ส่วนข้อที่สี่กลับกำหนดไว้ว่า ศิษย์ชายห้ามเกี้ยวพาราสี ดูแคลนศิษย์หญิงโดยที่ศิษย์หญิงไม่เต็มใจ หากใช้กำลังบังคับ ไม่ว่าศิษย์ที่เดินผ่านหรือตัวศิษย์หญิงเองทุกคนสามารถห้ามปรามได้ หากผู้กระทำผิดถูกพลั้งมือฆ่าตาย ศิษย์ที่เดินผ่านหรือศิษย์หญิงสามารถได้รับละเว้นโทษถูกขับออกจากสำนักหรือโทษตาย ทว่าต้องได้รับโทษแส้เทพเฆี่ยนตามสมควร
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ระบายยิ้มเยาะที่มุมปาก
กฎสำนักนี่ดูแล้วยังนับว่ายุติธรรม เพียงแต่หากพบเรื่องเช่นนั้นจริง เกรงว่าก็มีเพียงตัวศิษย์หญิงเองที่สามารถต่อต้านได้ ศิษย์ที่เดินผ่านจะมีสักกี่คนที่ยินยอมให้การช่วยเหลือ อย่าลืมสิเมื่อพลั้งมือฆ่าผู้กระทำผิดเมื่อไร ก็ต้องรับโทษแส้เทพเฆี่ยนตีนะ
แส้เทพเฆี่ยนความหมายดังชื่อ ก็คือสมบัติวิเศษที่เฆี่ยนโดยตรงลงบนดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานหรือว่าก่อแก่นปราณ กระทั่งระดับก่อกำเนิด ความเจ็บปวดที่เกิดจากการเฆี่ยนแส้เทพจะสมน้ำสมเนื้อกับตบะของเจ้า เป็นการลงโทษอันร้ายกาจที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดพูดถึงแล้วหน้าถอดสี ต้องรู้ว่าดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นบอบบางที่สุด
ทว่าเมื่อลองคิดดู การกำหนดเช่นนี้ก็มีเหตุผล เพื่อหลีกเลี่ยงคนบางคนที่ตั้งใจคิดจะฆ่าใครบางคนจึงใช้แผนทุกข์กาย[1]
สายตามั่วชิงเฉินกวาดไปมาระหว่างกฎสำนักข้อที่หนึ่งและข้อที่สี่ ในใจตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
โบราณว่าไว้ต่างเวลาก็ต่างสถานการณ์ ปีนั้นตนตบะต่ำ ฐานะต่ำ หากคิดจะใช้แผนนี้ นั่นก็คือใช้ซาลาเปาเนื้อขว้างสุนัขมีไปไม่มีกลับ ถึงได้พักความคิดไว้แล้วตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียร คิดรอให้การบำเพ็ญเพียรเห็นผลค่อยหาโอกาสแก้แค้น
ทว่าบัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตนอายุสามสิบกว่าปีและอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว อีกทั้งยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของนักพรตเหอกวง และยิ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ที่โดดเด่นในสำนักเช่นมั่วหลีลั่ว ต้วนชิงเกอ มิใช่หมากที่ปล่อยให้คนละทิ้งตามอำเภอใจได้เช่นในตอนนั้นมานานแล้ว
ที่ยิ่งอัศจรรย์คือ เถียนหยวนคนนั้นถูกให้กักตนสำนึกผิดมาตลอด ต่อจากนั้นถูกสั่งให้ออกจากสำนักไปฝึกตนอีก นี่เพิ่งกลับมา คิดว่าคงยังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตนมาก่อน ตัวเขาเองกลับดันเป็นคนมักมากในกามที่ทุกคนต่างรู้ดี ในการณ์นี้ ก็น่าทำทีเดียว
มั่วชิงเฉินตื่นเต้นจนลุกขึ้นมาเดินไปมา แผนการไล่การเปลี่ยนแปลงไม่ทัน โอกาสดีเช่นนี้หากไม่จับไว้ เช่นนั้นไม่เป็นการผิดต่อท่านปู่ ผิดต่อตนเองหรอกหรือ?
หากรอให้ตนบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณค่อยแก้แค้นจริง ด้วยนิสัยของคุณชายเสเพลคนนั้น อวดเบ่งอยู่ในสำนักก็ช่างเถอะ หากไปแหย่ใครอยู่ข้างนอก ไม่ระวังส่งเขาขึ้นสวรรค์ เช่นนั้นตนมิต้องอัดอั้นตันใจตายหรอกหรือ
มั่วชิงเฉินนั่งลงหน้ากระจก ค่อยๆ เปิดผมยาวด้านหน้าออก เผยโฉมเห็นใบหน้างามหยดย้อย
ในยามนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกซาบซึ้งมารดาบังเกิดเกล้าของร่างกายนี้เหลือเกิน ที่ถ่ายทอดความงามอันน่าตะลึงนี้ให้บุตรสาว
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ อยู่ที่ว่าใช้ในยามใด
และในยามนี้ รูปโฉมนี้ก็คืออาวุธที่ดีที่สุดของนาง
มั่วชิงเฉินส่องกระจกลูบหน้าผาก เอาเถอะ มั่วชิงเฉินเอ๊ยมั่วชิงเฉิน เจ้าสามารถคิดใช้แผนคนงามได้อย่างใจเย็นเช่นนี้แล้ว ท่านปู่ที่ปรโลกหากรู้เข้า เกรงว่าจะหนวดกระดิกกระโดดขึ้นมาด่ากราดกระมัง
คิดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินยิ้มจางๆ เช่นนั้นจะเป็นอะไรไปล่ะ สามารถแก้แค้นให้ท่านปู่ได้ก็คือการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เอาเป็นว่าไม่มีทางถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาเพียงเพราะถูกเจ้าสารเลวนั่นเห็นอะไรเข้าก็แล้วกัน
จริงว่ากันด้วยตบะเพียงอย่างเดียว มั่วชิงเฉินมั่นใจว่าสามารถฆ่าเถียนหยวนได้โดยที่ไม่มีใครรู้ เพียงแต่เทียดระดับก่อแก่นปราณระยะปลายที่อยู่เบื้องหลังเขาคนนั้นฝีมือเป็นเช่นไรยากจะรู้ได้ นางจำเป็นต้องมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการฆ่าเขา เช่นนี้ละก็หากไม่มีคนพบว่านางเป็นคนลงมือย่อมทุกอย่างราบรื่น หากถูกท่านเทียดคนนั้นสืบความจริงออกมาได้ อย่างน้อยนางจะไม่ถูกลงโทษตายหรือขับออกจากสำนัก ความเจ็บปวดจากแส้เทพเฆี่ยนตี นางยินดีรับ
หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็ไม่รีบร้อนเคลื่อนไหว กลับคอยสังเกตความเคลื่อนไหวช่วงล่าสุดของเถียนหยวนขึ้นมา
เมื่อสังเกตปุ๊บกลับทำให้นางพูดไม่ค่อยออก เถียนหยวนไม่เสียทีที่เป็นคนเสเพลในหมู่คนเสเพล กลับมาเพียงไม่กี่วัน เรื่องไล่ตามขอความรักจากต้วนชิงเกอก็ลือสะพัดไปทั่ว ยิ่งกว่านั้นยังมีท่าทางว่ายิ่งนานจะยิ่งบ้าคลั่ง
นี่ก็ว่าไม่ได้ ต้วนชิงเกองามผุดผาดบริสุทธิ์ มองไปทั่วพรรคเหยากวงนับได้ว่ารูปโฉมเป็นที่หนึ่งที่สอง ถูกเขาไล่ตามอย่างไม่ลดละก็เป็นเรื่องเข้าใจได้
ทว่าต้วนชิงเกอไม่ใช่ศิษย์จิปาถะเหมือนจอกแหนในวันวานอีกแล้ว หากแต่เป็นศิษย์รักของนักพรตรั่วซี ยิ่งเป็นร่างอินบริสุทธิ์ที่หายากในช่วงพันปี
อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเลย ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั่วไปก็รู้ตัวว่าไม่คู่ควร ไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว
และผู้ขอความรักจากต้วนชิงเกอหลายคนในยามนี้ ฐานะไม่มีคนไหนที่ไม่ใช่ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เทียบกับฐานะเถียนหยวนแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้คนพวกนั้นยังติดที่ฐานะ ยังรักษาการแข่งกันเช่นสุภาพบุรษอย่างสำรวม ถูกเถียนหยวนมาวุ่นวายเช่นนี้ปุ๊บ ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา สั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ได้ยินว่ามีสองคนไล่เลี่ยกันตีกับเถียนหยวนขึ้นมา ในชั่วเวลาหนึ่งจุดรวมความสนใจของศิษย์พรรคเหยากวงในที่สุดก็ย้ายจากเหตุการณ์ที่มั่วชิงเฉินชนะนิกายเหอฮวนไปถึงเรื่องต้วนชิงเกอจะตกเป็นของใคร
ในวันนี้ เถียนหยวนวนเวียนอยู่ใต้เชิงเขาเขารั่วสุ่ยอีกแล้ว และยังแหงนหน้ามองอย่างหลงใหลเป็นระยะ ไม่ใส่ใจสายตาของคนอื่นแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนสงบของหญิงสาว “ชิงเฉิน น้ำผึ้งดอกท้อนั่นอร่อยมาก ชิงเกอเดิมคิดจะทำหน้าหนาไปขออีก แต่ก็กลัวรบกวนอาจารย์อาเหอกวงอีก ไม่คิดว่าเจ้าจะส่งมาด้วยตัวเองแล้ว”
เสียงนุ่มนวลมีชีวิตชีวาพร้อมด้วยความซุกซนสายหนึ่งดังมา “ชิงเกอ บัดนี้ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าออกจากบ้านไม่สะดวก ข้าข้ามมาเที่ยวหนึ่งก็ถือว่ามาสูดอากาศ อีกอย่าง สาวใช้สองคนนี้ของข้าก็พามาจากข้างนอก ทางก็ไม่รู้จัก ต่อให้คิดจะใช้พวกนางมาก็ไม่ได้”
เพิ่งสิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงกังวานร่าเริงเสียงหนึ่งว่า “คุณหนู ท่านล้อพวกเราเล่นอีกแล้ว หากไม่เห็นพวกบ่าวในสายตาจริงๆ ก็มอบพวกเราให้คุณหนูชิงเกอก็แล้วกัน”
เสียงนุ่มนวลมีชีวิตชีวาหัวเราะคิกคักว่า “เช่นนี้ก็ดี หากชิงเกอกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่เถียนคนนั้น พวกเจ้าก็จะได้เป็นอนุพอดี”
แล้วก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนสงบแฝงด้วยความโกรธต่อว่าว่า “ชิงเฉิน เจ้าก็เอาข้าไปล้อเล่นหรือ ข้าโมโหแล้วนะ”
“เอาล่ะ ชิงเกอ เจ้าอย่าไม่พอใจเลย ข้าเพียงแค่ขู่พวกนางสองคนเท่านั้น ไม่เห็นพวกนางอารมณ์ร้ายกว่าข้าอีกหรือ เจ้าไม่ต้องส่งแล้ว ขืนส่งอีกก็จะถึงเชิงเขาแล้ว”
“อืม เช่นนั้นรอวันหลังสะดวกแล้วละก็ข้าไปหาเจ้าที่เขาชิงมู่”
เถียนหยวนกางหูฟังอยู่ สตรีไม่กี่คนเสียงต่างมีจุดเด่น ดันไพเราะเพราะพริ้งอย่างบอกไม่ถูกอีก ยั่วจนเขาในใจคันคะเยอ อยากเห็นหน้าโฉมงามใจแทบขาด
ไม่นานนัก ก็เห็นหญิงสาวชุดเขียวสามคนเดินลงมา
ตรงหน้าคนหนึ่งรูปร่างบอบบาง เสียดายที่เห็นหน้าตาไม่ชัด ดูเหมือนวันนั้นเคยเห็นที่หน้าโถงปฏิบัติงานมาก่อน เถียนหยวนดูเพียงปราดเดียวก็ไม่สนใจแล้ว สายตาตกตรงไปบนตัวสองคนข้างหลัง
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง อายุสิบห้าสิบหกปี หน้าตารูปร่างเหมือนกัน ยิ้มจางๆ งามเหมือนบุปผา
หากพูดว่าพวกนางแม้หน้าตางดงาม ในสายตาเถียนหยวนกลับไม่มีอะไรน่าแปลก ทว่าสตรีสวยงามที่เหมือนกันทุกอย่างสองคนเดินอยู่ด้วยกัน แรงปะทะที่เกิดขึ้นก็ไม่ราบเรียบถึงเพียงนั้นแล้ว
เถียนหยวนรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาทันที หลายวันมานี้เขาตามขอความรักต้วนชิงเกออย่างยากลำบาก นงคราญปิดประตูไม่ยอมออกมา เดิมทีไฟมารก็อัดอั้นไว้เต็มท้องอยู่แล้ว เมื่อเห็นพี่น้องฝาแฝดนี้เข้า ความคิดนอกลู่นอกทางก็เกิดขึ้นทันที
โดยเฉพาะสตรที่เดินอยู่ด้านขวาคนนั้น เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าเสียความเป็นอินไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คงได้มาได้อย่างง่ายดายมากทีเดียว
นึกถึงตรงนี้เถียนหยวนก็มองไปที่สตรีที่เดินอยู่ด้านหน้า สตรีคนนั้นดูแล้วไม่สะดุดตา กลับรูปร่างอ้อนแอ้น เสียงยิ่งไพเราะ พอกล้อมแกล้มเก็บไว้ใช้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ สาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นก็จะกลายเป็นของตนอย่างสมเหตุผล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสตรีนี้ดูเหมือนความสัมพันธ์กับต้วนชิงเกอไม่เลว วันหลังผ่านการช่วยพูดของนางไม่แน่อาจยังตามต้วนชิงเกอมาได้ก็ได้
เถียนหยวนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว จึงเข้าขวางหน้ามั่วชิงเฉิน สะบัดพัดในมือหนึ่งที แล้วทำเป็นสง่างามว่า “ศิษย์น้องคนนี้ช้าก่อน”
มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่เถียนหยวน เอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ศิษย์พี่มีธุระอะไร?”
เถียนหยวนโมโหขึ้นมา หากบอกว่าถูกต้วนชิงเกอปฏิเสธก็ช่างเถอะ เด็กบ้าที่ไม่สะดุดตาเช่นนี้ก็กล้าชักสีหน้าใส่ตน ฮึ หากไม่ใช่เจ้ารู้จักต้วนชิงเกอ สาวใช้ฝาแฝดด้านหลังยังนับว่าเข้าตา ยามปกติต่อให้ขอร้องคุณชายข้าก็ไม่แลเจ้าสักปราด!
“ศิษย์น้อง ในสำนักหลายวันมานี้เปิดห้องอาหารใหม่ขึ้นห้องหนึ่ง รสชาติโดดเด่นยิ่งนัก ไม่ทราบศิษย์น้องให้เกียรติไปลองลิ้มลองกับข้าน้อยได้หรือไม่?” เถียนหยวนแกล้งทำเป็นถามอย่างสุภาพ และยังโบกพัดในมืออีก
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งมองตากันปราดหนึ่ง มองคนขวางทางด้วยสีหน้าประหลาด แล้วคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า คนคนนี้สมองถูกลาเตะแล้วกระมัง ไม่คิดว่าจะกล้าหาเรื่องคุณหนู
“ต้องขออภัยด้วย น้องไม่กินอาหารมานานแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดพลางเดินออกข้างๆ ก้าวหนึ่งคิดจะอ้อมไป
“หยุดนะ!” เถียนหยวนพุ่งเข้าไปขวางทางไว้โดยพลัน
การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วก่อให้เกิดกระแสอากาศระลอกหนึ่ง ผมยาวที่หน้าผากของสตรีตรงหน้าถูกพัดออกทันที
เหลือบมองเพียงปราดเดียวจากโฉมงาม เถียนหยวนก็ตกตะลึงในความงามดุจชาวสวรรค์ทันที
หากบอกว่าความงามของต้วนชิงเกอคืองามบริสุทธิ์ เช่นนั้นสตรีตรงหน้าก็คือบริสุทธิ์และวิจิตร
สุดบริสุทธิ์สุดวิจิตร บุคลิกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงดันรวมกันบนใบหน้านางได้อย่างพอดิบพอดี เกิดเป็นความงามอันน่าตกตะลึงพรึงเพริด โดยเฉพาะดวงตาดอกท้อคู่นั้น แววตาทอประกายแวววาวทำให้คนหลงมัวเมาเคลิบเคลิ้ม อยากจะควบคุมตนเอง
ฉอเลาะแต่กำเนิด! ในโลกนี้จะมีสตรีประเภทนี้อยู่ นางอาจแต่งตัวเรียบง่าย การเดินยืนนั่งนอนไม่มีที่จะไม่เต็มไปด้วยความสง่างาม ดันกลับทำให้คนรู้สึกว่าไม่มีสักที่ที่จะไม่มีเสน่ห์
ในพริบตานั้น พี่น้องฝาแฝด ต้วนชิงเกออะไร ล้วนถูกเขาโยนออกไปนอกเก้าชั้นฟ้า คนที่นึกถึงเต็มหัวใจมีเพียงสตรีตรงหน้า กระทั่งเกิดความรู้สึกว่าหากไม่สามารถใกล้ชิดสาวงามได้ เช่นนั้นชาตนี้ก็อยู่เสียเปล่าแล้ว
ในระหว่างที่เถียนหยวนเหม่อลอยนี่เอง มั่วชิงเฉินเดินถึงเชิงเขาแล้ว จากนั้นโยนเรือเมฆาออก พาสาวใช้ฝาแฝดนั่งขึ้นไป บินสู่ทิศตะวันออก
เถียนหยวนได้สติกลับมา รีบอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวตามไป
ระหว่างทางมีศิษย์เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เข้าอดแปลกใจไม่ได้ ต่างวิจารณ์ขึ้นมา
มั่วชิงเฉินรู้ว่า เมื่อเถียนหยวนติดเบ็ดแล้ว ก็ไม่อาจให้โอกาสเขาสืบถามแน่ชัด มิใช่นั้นหากเกิดใจหวาดกลัวขึ้นมา เรื่องก็จัดการยากแล้ว
นางถึงเขาชิงมู่แล้วก็ปล่อยเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งลง บอกนางสองคนว่าจะไปรับภารกิจ ยังไม่กลับเขาป่าไผ่แล้ว จากนั้นก็กลับหลังบินตรงไปเขาโฮ่วเต๋อ
เห็นมั่วชิงเฉินบินไปเขาโฮ่วเต๋อ เถียนหยวนดีใจมากทันที แอบว่าเขาโฮ่วเต๋อก็คือถิ่นของเขา นี่ไม่ใช่ส่งถึงบ้านหรอกหรือ จึงตามติดไปอย่างไม่ลังเลทันที
——
[1] แผนทุกข์กาย เป็นแผนที่หลอกให้ศัตรูหลงเชื่อโดยการสร้างความเสียหายให้ตนเอง โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไป ย่อมไม่มีผู้ใดยากทำร้ายตนเอง หากบาดเจ็บก็เชื่อว่าคงเกิดจากการถูกทำร้าย หากสามารถทำเท็จให้กลายเป็นจริง โดยไม่ติดใจสงสัย แผนย่อมจะสัมฤทธิ์ผล
ตอนที่ 220 ความตกตะลึงของชิงเฉิน
“ดูเร็ว อาจารย์อามั่ว!” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณบนพื้นแหงนหน้ามองเห็นมั่วชิงเฉินนั่งเรือบินทะยานมาจากบนฟ้า จึงเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“เอ๊ะ ข้างหลังอาจารย์อามั่วมีคน คงไม่ใช่ผู้ตามขอความรักหรอกกระมัง?” ศิษย์อีกคนหนึ่งตะโกนอย่างตื่นเต้นเหมือนพบเรื่องแปลกใหม่
บรรดาศิษย์ค้อนตาคว่ำพร้อมกัน “เชอะ จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“ลางเนื้อชอบลางยาไงล่ะ พูดกันว่าปีนั้นมีอาจารย์อาจ้าวท่านหนึ่งก็เคยตามขอความรักอาจารย์อามั่วบนถนนใหญ่เขาโฮ่วเต๋อเรามิใช่หรือ…” ศิษย์คนนั้นเอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร
มีคนรับคำทันทีว่า “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่หลังจากที่อาจารย์อาจ้าวถูกอาจารย์อามั่วใช้ก้อนอิฐตบสลบแล้ว คนที่ชอบแนวนั้นคาดว่าคงไม่มีแล้วกระมัง…”
บรรดาศิษย์พยักหน้าเหมือนโขลกกระเทียม
ไม่ไกลออกไปมีศิษย์ระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “นั่น นั่นมิใช่คุณชายเถียนหรอกหรือ? เขาไล่ตามศิษย์น้องมั่วไปไย?”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานข้างๆ หัวเราะว่า “ดูเหมือน ท่าทาง คุณชายเถียนยังไม่รู้เรื่องล่าสุดของศิษย์พี่มั่วกระมัง?”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งยิ้มเยาะว่า “ฮึ ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ข้าว่าคุณชายเถียนคนนั้นกำลังจะซวยแล้ว เอาเป็นว่า ข้าไม่มีทางบอกความน่ากลัวของศิษย์พี่มั่วกับเขาก็แล้วกัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกสองคนหัวเราะอย่างชั่วร้ายขึ้นพร้อมกันว่า “ข้าก็เช่นกัน…”
มั่วชิงเฉินร่อนลงหน้าโถงปฏิบัติงานเขาโฮ่วเต๋อโดยตรง จากนั้นก้าวเท้าเดินไปที่โถงปฏิบัติงาน
เห็นมั่วชิงเฉินเข้าไปในโถงปฏิบัติงานแล้ว เถียนหยวนถึงหยุด แล้วหลบรออยู่ที่มุมหนึ่งที่คิดเอาเองว่าไม่มีใครเห็น โดยที่ไม่รู้ว่าเขาโฮ่วเต๋อมีตาแห่งการซุบซิบตั้งกี่คู่กำลังเหล่เขาอยู่
มีศิษย์ชุดเขียวสองคนท่าทางล้วนอยู่ระดับหลอมลมปราณ ขั้นสิบเอ็ดสิบสอง เป็นลูกสมุนของเถียนหยวนมาตลอด ตั้งแต่เขาถูกทำโทษให้กักตนสำนึกผิดตามด้วยออกจากสำนักไปฝึกตน ถึงไม่ได้ไปมาหาสู่กัน บัดนี้เห็นเถียนหยวนหลบอยู่ที่หัวมุมรอมั่วชิงเฉินอย่างลำบาก จึงอดพึมพำไม่ได้ว่า
“หลี่ซื่อ เจ้าว่าคุณชายเถียนรออาจารย์อามั่วไปไยน่ะ?”
“จางซันเอ๋ยตามคุณชายเถียนมานานถึงเพียงนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ เจ้าดูสีหน้าของคุณชายเถียนก็รู้แล้ว เขาต้องถูกตาต้องใจอาจารย์อามั่วแล้วแน่ๆ ดูเร็ว น้ำลายจะไหลออกมาอยู่แล้ว จะทนรอไม่ไหวแล้ว” หลี่ซื่อเอ่ย
จางซันเบิกตากว้าง “ไม่หรอกกระมัง เหตุใดปุบปับคุณชายเถียนถึงเปลี่ยนรสนิยมแล้วล่ะ หรือว่า หรือว่าถูกกักตนจนโง่แล้ว?”
หลี่ซื่อต่อว่าว่า “เจ้าบ้าแล้วหรือ กล้าว่าคุณชายเถียนเช่นนี้ ทว่า…เรื่องราวก็ไม่ค่อยปกติจริงๆ คุณชายเถียนคงไม่ใช่ถูกของสกปกรเข้าหรอกกระมัง ไม่ได้ ข้าต้องไปเตือนสักหน่อย”
“เฮ่ยๆ หลี่ซื่อ เจ้าลืมนิสัยของคุณชายเถียนแล้วหรือ เขากำลังนึกสนุก เกลียดคนรบกวนที่สุดเลย” จางซันลากแขนของหลี่ซื่อไว้
หลี่ซื่อจำใจว่า “เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้นี่นา จะมองดูคุณชายเถียนกระโดดเข้ากองไฟตาปริบๆ คงไม่ได้กระมัง”
กองไฟ…หากมั่วชิงเฉินรู้ว่าการตามของความรักตนสำหรับศิษย์เหยากวงนับพันนับหมื่นแล้วละก็คือการกระโดดกองไฟ คิดว่าคงต้องน้ำตานองหน้าแล้ว
“พวกเจ้าสองคนมาทำอะไร?” เถียนหยวนเห็นจางซันและหลี่ซื่อแถกเข้ามาอย่างสุภาพ หน้าบึ้งแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
จางซันผลักหลี่ซื่อทีหนึ่ง
“คุณชายเถียน ไม่เจอท่านมานานเลย พวกเราพี่น้องเลี้ยง ไปดื่มเป็นเพื่อนท่านสักจอกหนึ่ง?”
เถียนหยวนโบกมือ “ไว้วันหลังไว้วันหลัง ไม่เห็นข้ากำลังยุ่งอยู่หรือไร?”
“คุณชายเถียน ท่านอยู่นี่…รอคนหรือ?” หลี่ซื่อยิ้มถาม
เถียนหยวนถลึงตา “ข้าว่าเจ้าสองคนไม่เจอข้านานเกินไป คันใช่หรือไม่ คุณชายข้าทำอะไรยังต้องรายงานพวกเจ้าหรืออย่างไร?”
“ไม่ใช่ คุณชายเถียน ท่านรออาจารย์อามั่วอยู่ใช่หรือไม่ ไอยา ข้าบอกท่านก็แล้วกัน อาจารย์อามั่วรอไม่ได้หรอกนะ…” จางซันเอ่ยขึ้นตาม
ในยามนี้เองก็เห็นมั่วชิงเฉินเดินออกมาจากโถงปฏิบัติงาน เถียนหยวนที่หลงมัวเมาความงามยังได้ยินคำพูดของคนอื่นที่ไหนกัน เห็นสาวงามออกมาจึงโบกมืออย่างรำคาญว่า “ไปข้างๆ ไปข้างๆ อย่ามากวนเรื่องดีของข้า อะไรรอได้รอไม่ได้ สาวๆ ของพรรคเหยากวง มีสักกี่คนที่ข้ารอไม่ได้บ้าง?”
เห็นเถียนหยวนตรงเข้าโถงปฏิบัติงานไป จางซันเอ่ยเบาๆ ว่า “หลี่ซื่อ นี่จะทำเช่นไรดีล่ะ?”
หลี่ซื่อก็โมโหแล้วเช่นกัน ฮึว่า “อะไรทำเช่นไรดี ไป ดื่มสุรากัน”
“เฮ้ย เช่นนั้นไม่สนใจคุณชายเถียนแล้วหรือ?” จางซันร้อนใจว่า
“รีบเข้าไปให้โดนอัด รั้งก็รั้งไม่อยู่ ไป” หลี่ซื่อหัวเราะเย้ยว่า
เถียนหยวนเข้าไปในโถงปฏิบัติงาน คนที่อยู่เวรสนิทกับเขาพอดี ขึ้นชื่อเรื่องขอเพียงให้หินวิญญาณก็พูดกันง่าย
เถียนหยวนก็ไม่พูดมาก ยัดหินวิญญาณแวววับสิบกว่าก้อนเข้าไปตรงๆ เอ่ยเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องคนเมื่อครู่รับภารกิจอะไร?”
“อ้าว ศิษย์พี่เถียนหรือนี่ ท่านถามถึงศิษย์พี่คนเมื่อครู่หรือ?” สีหน้าของศิษย์ที่อยู่เวรประหลาดเล็กน้อย
เถียนหยวนเอ่ยอย่างรำคาญว่า “รีบบอกมา”
“เอ่อ…”
‘ผลัวะ’ เสียงหนึ่ง หินวิญญาณอีกหลายก้อนตบลงบนโต๊ะอีก
ศิษย์ที่อยู่เวรใจดวงน้อยๆ สั่นระริก คุณชายเสเพล ช่างสมกับเป็นคุณชายเสเพลจริงๆ เลย ที่ตนลังเลมิใช่เพราะจะเอาหินวิญญาณ หากแต่กำลังครุ่นคิดว่าจะเตือนเขาดีหรือไม่
“เป็นอันใด ยังเกี่ยงว่าไม่พอ?” ในที่สุดเถียนหยวนก็ขมวดคิ้วขึ้น
ศิษย์ที่อยู่เวรรีบยิ้มหน้าบานทันทีว่า “ที่ไหนกัน ท่านดู นี่คือข้อมูลภารกิจของศิษย์พี่มั่ว”
เถียนหยวนกวาดมองเพียงปราดเดียว ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ เบือนหน้าทะยานสู่ข้างนอกแล้ว
“เฮ้อ ศิษย์พี่เถียน ศิษย์พี่เถียน ศิษย์น้องยังมีอะไรจะพูด…” ศิษย์ที่อยู่เวรตะโกนเรียก แต่กลับไม่เห็นเงาของเถียนหยวนนานแล้ว
มั่วชิงเฉินเดินสวบๆ บนถนนใหญ่เขาโฮ่วเต๋อที่ไปสู่ประตูสำนัก ศิษย์ที่อยู่ข้างนอกต่างหลบออกข้างๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สายตากลับไล่ตามอย่างไม่ลดละ
เถียนหยวนที่ตามอยู่ข้างหลังแอบได้ใจ นึกว่าความองอาจของตนสะกดคนเหล่านี้ไว้ ทีนี้ยิ่งฮึกเหิมขึ้นมาอีก
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เคยถูกสั่งสอนมาก่อน ไม่กล้าทำอะไรโจ๋งครึ่มอีก เพียงแต่แอบดีใจอยู่ในใจแล้วตามหลังมั่วชิงเฉินเดินสู่ประตูสำนัก
แหะๆ นางหนูนี่แม้จะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางเหมือนตน ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นสตรี อีกทั้งตนได้รับมอบของดีไม่น้อยจากท่านเทียดอีก คิดจะจับนางยังไม่ใช่แค่ยื่นมือก็คว้ามาได้ จิ๊ๆ ถึงเวลากลางป่าเขาพงไพร ยังมิใช่ต้องปล่อยให้ตนทำตามใจหรอกหรือ
มั่วชิงเฉินออกจากประตูสำนัก นั่งเรือบินตรงไปเขาลั่วเยี่ยน กวาดจิตตระหนักไปพบว่าเถียนหยวนไม่ได้ตามมา ตรงกันข้ามกลับโล่งอก
บัดนี้นางมีชื่อเสียงไม่น้อยในสำนัก ใครๆ ก็รู้ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันพลังการต่อสู้ของนางแกร่งมาก หากเจ้าโง่นั่นตามติดตนมา ตนกลับไม่สังเกตตลอดทาง สืบสาวราวเรื่องลงมากลับจะทำให้คนสงสัยได้
ภารกิจที่นางรับครั้งนี้คือส่งมอบขนมรกตส่วนหางของไก่หงอนแดงขาเดียวสิบเส้น ไก่หงอนแดงขาเดียวเป็นอสูรปีศาจชั้นสี่ที่เห็นได้ทั่วไป เทียบเท่ากับระดับสร้างรากฐานระยะปลายในมนุษย์ พบเห็นได้บ่อยๆ ที่เขาลั่วเยี่ยน
ผลตอบแทนของภารกิจอุดมสมบูรณ์มาก ศิษย์ที่รับภารกิจนี้กลับมีไม่กี่คน สาเหตุก็เพราะไก่หงอนแดงขาเดียวใจเสาะมาก นิสัยรอบคอบ หากผู้บำเพ็ญเพียรที่มาเกินกว่าสองคนหรือตบะสูง ก็จะหลบขึ้นมาโดยตรง ไม่โผล่หน้าให้เห็นสักที ทำให้คนทำอะไรไม่ได้
มั่วชิงเฉินเลือกภารกิจนี้ ก็หวังจุดนี้แหละ คนรับภารกิจน้อย ก็จะไม่พบเจอคนอื่นที่เขาลั่วเยี่ยน เจ้าสารเลวนั่นก็กล้าทำอะไรโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด ส่วนที่นางต้องการก็คือให้เขาทำอะไรโดยไม่กลัวสิ่งใดนี่แหละ
ยังมีอีกจุดหนึ่งก็คือ…ยังมีอีกคนหนึ่งรับภารกิจนี้ หากรุดไปได้จังหวะ เขาจะเป็นพยานบุคคลที่ดีที่สุด
ไก่หงอนแดงขาเดียวตัวหนึ่งมีขนมรกตเพียงห้าเส้น มั่วชิงเฉินเสียพลังไปสักหน่อย ในที่สุดก็ฆ่าได้สองตัว ลุล่วงตามภารกิจ และยามนี้พลังวิญญาณในกายนางแม้ยังเหลือครึ่งใหญ่ ภายนอกกลับแสดงให้เห็นว่าหอบแฮ่กๆ พลังวิญญาณไม่พอแล้ว
ส่วนนี่ ก็อยู่ในแผนการของนางแต่แรก
เถียนหยวนที่หลบอยู่ในที่ลับดีใจ แม้เขามักมากในกาม กลับไม่ใช่คนโง่จริงๆ มิเช่นนั้นต่อให้มีท่านเทียดคอยปกปัก ก็ไม่อาจมีชีวิตรอดโดยสวัสดิภาพจนถึงบัดนี้
นางหนูนั่นตบะเทียบเท่ากับตน ต่อให้มีความมั่นใจว่าจะชนะนาง สุดท้ายก็ต้องเปลืองแรงสักครั้ง จะสะดวกสบายคอยเก็บผลประโยชน์เหมือนตาอยู่เช่นนี้ได้อย่างไร
มั่วชิงเฉินล้วงโอสถเติมวิญญาณกลืนลงไป โบกมือเริ่มตั้งค่ายป้องกัน
เถียนหยวนตาทอประกายแวบหนึ่ง
มั่วชิงเฉินที่กำลังตั้งค่ายกลอยู่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงคลื่นพลังวิญญาณระลอกหนึ่งส่งผ่านมา ระหว่างที่รีบถอยออกก็เห็นเชือกขาวเส้นหนึ่ง
เชือกมัดเซียน!
มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสีทันที ในใจแอบคิดว่าเจ้าสารเลวนี่มีของดีจริงๆ กลับทำสีหน้าหวาดกลัวปางตายว่า “ใคร!”
เสียงหัวเราะที่ตั้งใจทำเป็นสง่าลอยมา ตามด้วยเถียนหยวนปรากฏตัว ตาจ้องหน้ามั่วชิงเฉินเขม็งว่า “ศิษย์น้อง ไม่คิดว่าเจ้าจะระแวงถึงเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่ายามที่พลังวิญญาณผลาญสิ้นตั้งใจตั้งค่ายยังสามารถหลบเชือดมัดเซียนของข้าพ้น”
“เจ้าเอง!” มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นดังน้ำแข็ง “เจ้าคิดจะเอาอย่างไร?”
เถียนหยวนส่ายศีรษะ ทำเสียงจิ๊ๆ ว่า “ศิษย์น้องเอ๋ยไม่คิดว่าสาวงามหยดย้อยเช่นเจ้ากลับเหมือนไข่มุกเปื้อนฝุ่นอยู่ในเหยากวง ช่างทำให้ศิษย์พี่ละอายใจจริงๆ วันนี้ก็ให้ศิษย์พี่ทะนุถนอมเจ้าดีๆ ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติขึ้นสวรรค์เป็นเซียนจริงๆ…”
พูดถึงข้างหลัง ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าหู
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น อัญเชิญก้อนอิฐออกมาไว้ในมือ ตบไปที่เถียนหยวนอย่างดุดัน
ไม่เห็นเถียนหยวนขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ก็เห็นเขาพุ่งออกไปไกลในทันใด เร็วกว่าเคลื่อนเงาเลือนรางของตนอย่างคาดไม่ถึง
มั่วชิงเฉินหรี่ตา หรือว่าตนประมาทคู่ต่อสู้เกินไปแล้ว? จากนั้นกวาดสายตาไปบนเท้าเถียนหยวน ก็เห็นเขาใส่รองเท้าเขียวแสงวิญญาณระยิบระยับ
ไม่คิดว่าจะมีอาวุธเวทประเภทรองเท้า คุณชายเสเพลคนนี้ ช่างอาวุธครบครันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจริงๆ เลย!
“ศิษย์น้อง ดูไม่ออกว่าอารมณ์เจ้าร้ายไม่เบาเลยนะ ท่าทางจะไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติความรัก ไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าเป็นหญิงสาวก็ต้องอ่อนโยนดุจน้ำ…” เถียนหยวนพูดอย่างใจเย็น
“ไร้ยางอาย!” มั่วชิงเฉินสีหน้าบึ้งตึง กลับอัญเชิญเถาวัลย์ในมือออก แหฟ้าตาข่ายดินคลุมไปที่ศีรษะเถียนหยวน
แม้ยามนี้เขาพูดยิ่งน่าเกลียดก็ยิ่งมีประโยชน์กับตน ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้จริงๆ ไม่ต้องแสร้งทำก็สามารถทำให้นางโมโหจนควันออกเจ็ดทวารได้
เถียนหยวนหัวเราะ โบกพัดในมือ ทันใดนั้นมังกรไฟหลายสายก็ทะยานออกมา ที่พิเศษคือมังกรไฟพวกนั้นกลับไม่ใช่สีเหลืองที่เห็นได้บ่อยๆ หากแต่เป็นสีเทาขาว
มังกรไฟสีเทาขาวพุ่งทะยานไป แตะถูกแหฟ้าตาข่ายดินตาข่ายยักษ์นั่นก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
ครั้งนี้มั่วชิงเฉินตกใจจริงๆ แล้ว กระบี่ชิงมู่ปรากฏขึ้นในมือ ตวัดกระบี่ร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ บุปผาวิญญาณเป็นดอกๆ บินไปที่เถียนหยวน
เถียนหยวนโบกพัดในมืออีก ลมเย็นสายหนึ่งพุ่งเข้าหน้ามา บุปผาวิญญาณถูกพัดจนกระจายไปรอบๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าร่างกายเย็นวูบ ร่ายรำกระบี่ชิงมู่อีกอย่างไม่ลังเล โซ่ดอกไม้เส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ร่ายรำหมุนวนบินไปที่เถียนหยวน
ครั้งนี้ลมเย็นนั่นไม่ได้พัดโซ่ดอกไม้กระจายอีก ทว่าก็ในยามที่โซ่ดอกไม้จะถึงหน้าเถียนหยวนนั้น จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ดอกไม้วิญญาณนับไม่ถ้วนที่ทอเป็นโซ่ดอกไม้กระจายออกรอบด้านแล้วหายไป
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเอ๋ยไม่มีพลังวิญญาณแล้วสินะ เจ้ายอมศิษย์พี่เสียดีๆ เถอะ ที่จริงศิษย์พี่ก็ทำใจทำร้ายเจ้าไม่ลง” เถียนหยวนหัวเราะอย่างได้ใจ
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชา มองเถียนหยวนอย่างเคียดแค้น โยนมุกสีแดงนับไม่ถ้วนออกจากมือ ดอกไม้สดดอกใหญ่ๆ สะพรั่งออกกลางอากาศ คือดอกไม้ตะกละที่มีในสวนสมุนไพรพกพาของนางเพียงที่เดียว!
ในที่สุดเถียนหยวนก็หมดความอดทน โบกพัดในมืออย่างแรงทีหนึ่ง ทันได้นั้นควันดำนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา กลายเป็นใบหน้าสีหน้าต่างๆ กันกลางอากาศ ไอภูตผีวังเวงร่ำไห้ระงม คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วน
มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษในบัดดล ตาจ้องวิญญาณแค้นกลางอากาศอย่างตะลึง
ใบหน้าวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วน เพียงปราดเดียวนางกลับเห็นคนที่คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรคนนั้น
ท่านปู่ของนาง มั่วต้าเหนียน!
ตอนที่ 221 ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา
ความโกรธและตกใจของมั่วชิงเฉินถูกเถียนหยวนเห็นจนหมด อดหัวเราะอย่างได้ใจไม่ได้ ในใจแอบคิดว่าพัดหยินหยางของตนนี่ช่างใช้ดีจริงๆ ปกติยามที่สู้กับผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อหยิบพัดหยินหยางออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ค่อยได้สัมผัสอาวุธเวทประเภทนี้ก่อนอื่นก็ตกใจจนอ้าปากค้าง ไม่ต้องให้ตนเปลืองแรง เพียงฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังงงงันก็เอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว
และเถียนหยวนในยามนี้ก็ทำเช่นนี้จริงๆ ฉวยโอกาสที่มั่วชิงเฉินกำลังตกตะลึงอยู่ เขาโยนเชือกมัดเซียนในมือออก ว่ายพุ่งมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉินเหมือนงูวิญญาณ ปลายข้างหนึ่งโค้งขึ้น มัดเอวของนางขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว ก้มหน้ามองดูเชือกมัดเซียนบนร่างแล้วดิ้นรนขึ้นมา เพียงแต่พลังวิญญาณในกายถูกเชือดมัดเซียนมัดไว้ ยังเคลื่อนได้ที่ไหนกัน
ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เจ้าสารเลวนี่แม้มีชื่อเสียงด้านเสเพล ยามสู้กันกลับมีฝีมือพอตัว บวกกับสมบัติในตัวมากมาย มิน่าโอหังมานานหลายปีเพียงนี้ยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาโดยสวัสดิภาพจนบัดนี้
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินหนักใจเล็กน้อย แม้ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนการของตน เดิมทีก็คิดจะทำเป็นหมดแรงให้เขาจับไว้ รอยามที่เขาล่วงเกินตนค่อยฉวยโอกาสฆ่าเขาเสีย ทว่าสุดท้ายก็ประมาทศัตรูเกินไปจนได้
ที่จริงคิดๆ ดู ผู้ที่หนุนหลังเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย รับเขาเป็นศิษย์สอนสั่งด้วยตนเอง หากเขาไม่มีที่ที่โดดเด่นแม้แต่น้อย เช่นนั้นจะมีโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องรู้ว่าพวกเขาตระกูลเถียนแม้เป็นเพียงตระกูลระดับกลาง กลับเป็นไปไม่ได้ที่มีเพียงเขาคนเดียวที่มีรากวิญญาณหรอกกระมัง
เรื่องนี้ได้เตือนสติมั่วชิงเฉินอย่างลับๆ วันหลังไม่ว่าเจอศัตรูเช่นไร จะถูกรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายหลอกไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้คนผู้นั้นมีภาพพจน์ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของผู้คนมานานแล้วก็ตาม
เถียนหยวนเห็นมั่วชิงเฉินดิ้นรนสองสามทีก็สงบลง ก็หัวเราะขึ้นอีก เพียงออกแรงที่ข้อมือเชือกมัดเซียนก็พามั่วชิงเฉินบินกลับมา เขากระตุกเชือกสีขาวในมืออีกที ดึงมั่วชิงเฉินเข้ามาในอ้อมกอด แล้วยื่นแขนออกโอบเอวบางของนางไว้ “จิ๊ๆ ศิษย์น้องเอ๋ยรูปร่างเจ้านี่ช่างเอวกิ่วเหมือนหลิว นุ่มนิ่มเหมือนไม่มีกระดูก ศิษย์พี่หลงโอ้อวดว่าหลายปีมานี้ตนสำรวจพุ่มดอกไม้จนทั่ว ที่แท้ก็อยู่มาเสียเปล่าเสียแล้ว”
“เจ้าคนสารเลว!” ดวงตาดอกท้อของมั่วชิงเฉินเบิกโพลง ในตาเต็มไปด้วยความชิงชังเย็นชา
เถียนหยวนยื่นมือออก ปัดผมด้านหน้าของมั่วชิงเฉินออก จากนั้นดอกไม้มุกดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ เสียบไว้หลังหูนาง ปากพูดไม่หยุดว่า “ศิษย์น้อง ท่าทางโมโหของเจ้าช่างมีเสน่ห์จริงๆ ขืนถลึงตาอีก ศิษย์พี่ก็จะเมามายอยู่ในประกายตาของเจ้าแล้ว” พูดพลางใช้นิ้วมือลูบผ่านหน้าของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตากระตุกไม่หยุด ความสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูกสายหนึ่งเกิดขึ้นมาเองอย่างห้ามไม่ได้ ร่างกายสั่นเทิ้ม ในใจแอบคิดว่า เจ้าสารเลวนี่ รออีกสักพักข้าจะสับกีบหมูของเจ้าออกแน่นอน!
“เจ้าและข้าต่างเป็นศิษย์เหยากวงเหมือนกัน หรือว่าก็จะไม่สนใจกฎสำนัก กลางวันแสกๆ คิดจะทำอัปยศอดสูต่อศิษย์น้องร่วมสำนัก?” เสียงมั่วชิงเฉินเย็นดุจน้ำแข็ง กลับมีความรู้สึกกลัวเพิ่มขึ้นมาสายหนึ่ง
“กลางวันแสกๆ? กฎสำนัก?” เถียนหยวนมองไปรอบๆ แล้วหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “เวลานี้แม้จะกลางวันแสกๆ กลับมีเพียงเจ้าและข้าสองคน ศิษย์น้องไม่รู้สึกว่าเทียบกับการดับไฟจนมืดหมดกลับมีอรรถรสเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยหรือ? ส่วนกฎสำนัก ฮึๆ กฎสำนักย่อมมีไว้รักษาในสำนักน่ะสิ ศิษย์น้องช่างไร้เดียงสาจริงๆ”
หากไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้ มั่วชิงเฉินอยากจะโห่ร้องจริงๆ เถียนหยวนคนนี้ช่างเป็นยอดคนจริงๆ อธิบายกฎสำนักได้ตรงประเด็นเช่นนี้
สำนักแต่ละสำนักในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม้มีกฎสำนักไม่น้อย คนที่สามารถรักษาได้จริงจะมีสักกี่คนกันอีก
สำนักใหญ่เช่นพรรคเหยากวงเช่นนี้ยังนับว่าดี ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรต่างๆ ไม่อัตคัดถึงขั้นนั้น ในสำนักยิ่งเอียงไปทางการแข่งขันด้วยเจตนาดีมากกว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงเลี่ยงการกลั่นแกล้งอย่างลับๆ ไม่ได้อยู่ดี
ส่วนสำนักเล็กๆ มากมาย เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่าในการบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นแล้ว ต่างใช้วิธีการต่างๆ ลอบเข่นฆ่ากันเพื่อกำจัดคนที่ไม่ใช่พรรคพวกของตนก็มีให้เห็นบ่อยๆ กฎสำนักที่ว่ากันก็เป็นเพียงผ้าปิดความอายผืนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงอย่าทำเรื่องจนเป็นที่รู้กันทั่ว ก็ไม่มีคนสนใจหรอก
พูดได้ว่า ต่อให้สำนักใหญ่เช่นสี่สำนักแปดนิกายนี้ ศิษย์ที่มีฐานะ พรสวรรค์เยี่ยม ตบะสูงพวกนั้นเก็บเบี้ยตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญสักคนอย่างลับๆ ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงรู้อยู่แก่ใจ ก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงพวกนั้นมีชีวิตมานับร้อยนับพันปี มีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น มีแสงก็มีเงา มีดีก็มีเลว ที่ยังคงอยู่ย่อมมีความหมายของการคงอยู่ พูดถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นเพียงผู้ที่แข็งแกร่งถึงอยู่รอดเท่านั้นเอง
ส่วนการบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็เป็นพฤติกรรมขัดต่อสวรรค์อยู่แล้ว เป็นขั้นตอนการแย่งชิงทรัพยากรการบำเพ็ญเพียรที่มีอยู่น้อยนิดของคนนับไม่ถ้วน ดังนั้นคนคนหนึ่งก้าวขึ้นหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเดินหน้าต่อไปในกฎเกณฑ์ผู้ที่แข็งแกร่งถึงอยู่รอด
เถียนหยวนเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินแล้ว ก็คันคะเยอในใจมาตลอดควบคุมตัวเองไม่ได้ ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกโอบเอวอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้น
มั่วชิงเฉินร้องด้วยความตกใจเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความโกรธว่า “สารเลว เจ้าวางท่านย่าลงมานะ!”
เถียนหยวนกระดกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างคลุมเครือว่า “น้อมรับบัญชา” พูดพลางวางมั่วชิงเฉินราบลงกับพื้นหญ้าอย่างอ่อนโยน
ในที่สุดบนใบหน้ามั่วชิงเฉินก็ฉายแววร้อนรนวาบหนึ่ง กลับฝืนทำใจเย็นว่า “ศิษย์พี่ หากเจ้าปล่อยข้าไป เรื่องในวันนี้ศิษย์น้องจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากว่า หากว่าเจ้ากล้าทำเหลวไหล ข้าจะให้เจ้ารู้ว่าเสียใจภายหลังเป็นเช่นไรแน่นอน!”
เถียนหยวนยื่นมือลูบไล้เส้นผมของมั่วชิงเฉินอย่างอ่อนโยน จากนั้นขยับมือดึงปิ่นหยกจันทร์เสี้ยวสีน้ำแข็งที่เกล้าผมยาวไว้ลงมา ผมดกดำลื่นไหลลงมาในทันใด สยายออกเหมือนน้ำตก
มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที โกรธถึงขีดสุดว่า “สารเลว ห้ามแตะต้องปิ่นหยกของข้า”
เถียนหยวนเหลือบมองปิ่นหยกสีน้ำแข็งปราดหนึ่ง แล้วโยนไว้ข้างๆ ตามสบายพลางยิ้มว่า “ศิษย์น้องวางใจได้ รอสักครู่ศิษย์พี่จะให้เจ้ากำใหญ่ ให้เจ้าเลือกตามสบาย”
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น ยื่นมือตบไปที่หน้าเถียนหยวน ยามเดียวกันก็ยืดขาเตะไปที่รากชีวิตของเขา
เถียนหยวนยื่นมือจับตามสบาย ก็จับมือของมั่วชิงเฉินไว้ได้ อีกมือหนึ่งจับเท้าของนางไว้ แล้วหัวเราะอย่างได้ใจว่า “ศิษย์น้องจะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไย ถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้ เจ้าทำเช่นนี้เพียงแค่ทำให้ศิษย์พี่ยิ่งทนไม่ไหวเท่านั้นเอง”
มั่วชิงเฉินชะงักงันทันที
เถียนหยวนเห็นคนงามนอนราบไม่ขยับเขยื้อนสีหน้าซีดเซียว ฟันกัดริมฝีปากไว้ จนเห็นรอยเลือดนานแล้ว แต่กลับดันเพิ่มความงามที่เศร้าโศกขึ้นส่วนหนึ่ง จึงอดถอนใจแผ่วเบาไม่ได้ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าช่างทำให้ข้าหักห้ามใจไม่ได้จริงๆ เดิมศิษย์พี่คิดจะหาสถานที่ดีๆ ค่อยร่วมหอลงโรงกับศิษย์น้อง ทว่าเวลานี้กลับรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ศิษย์น้องวางใจ หลังเสร็จเรื่องศิษย์พี่ต้องรายงานท่านเทียด แต่งกับเจ้าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่แน่นอน”
“เจ้าฝันไปเถอะ คนถูกหมากัดแล้วไม่ฆ่าหมาตัวนั้น กลับใช้ชีวิตอยู่กับหมาตัวนั้นอย่างนั้นหรือ? ท่านย่ายังไม่คร่ำครึถึงเพียงนั้น! ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ตกลงเจ้าจะปล่อยข้าหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามเย็นชาดุจน้ำแข็ง
เถียนหยวนเบิกตาโตเพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ใบหน้านอกจากไม่เห็นความโกรธกลับยังหัวเราะว่า “ศิษย์น้อง ความคิดของเจ้าช่างพิเศษจริงๆ ทว่าศิษย์พี่กลับชอบยิ่งนัก ฮ่าๆ อย่ารีบร้อน ศิษย์พี่จะปล่อยเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดพลางมือกลับยื่นไปดึงชายเสื้อของมั่วชิงเฉินเบาๆ แล้วทับขึ้นไปทั้งตัว
ในที่ลับ คนคนหนึ่งสีหน้าโกรธเกรี้ยว มองไปทางนั้นตาไม่กะพริบ มือกำหมากรุกเม็ดหนึ่งไว้แน่นกำลังจะซัดออกไป กลับจู่ๆ ก็หยุดลงมา
เห็นเพียงข้างหลังเถียนหยวนจู่ๆ บนฟ้าก็ปรากฏอีการูปร่างอ้วนมากตัวหนึ่งขึ้น ปีกสองข้างอุ้มก้อนกลมสีดำขนาดเท่าผลทับทิมสามสี่ลูกอย่างเปลืองแรง เข้าใกล้เถียนหยวนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
อีกาเขย่งกรงเล็บยิ่งเดินยิ่งใกล้ รอยามที่ห่างจากเถียนหยวนไม่เกินหนึ่งจั้งแล้วหยุดลง จากนั้นปีกสองข้างยกขึ้นสูง โยนลูกก้อนกลมสีดำที่อุ้มอยู่ไปทางเถียนหยวนอย่างแรง
ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาทั้งลูกยังสั่นไหว ก้อนหินนับไม่ถ้วนกลิ้งหลุนๆ ลงมา ทำปักษาตกใจบินหนีไปนับไม่ถ้วน สัตว์สี่เท้ามากมายวิ่งหนีอุตลุด
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในที่ลับเสียบคมมีดในมือลงพื้นดิน บังคับร่างกายไว้อย่างสุดกำลัง สีหน้ากลับซีดเซียว ระหว่างที่เลือดลมพลุ่งพล่านพ่นโลหิตออกมาอึกหนึ่ง
หลังจากควันกรุ่นกระจายไปก็เห็นอีกาอ้วนๆ สะบัดตัว สะบัดจนเถ้าถ่านคละคลุ้ง จากนั้นก้าวขาสั้นๆ รุดไปทางมั่วชิงเฉิน
หญ้าเขียวชอุ่มบนพื้นหายไปไม่เห็นเงานานแล้ว เผยให้เห็นรูลึกบ้างตื้นบ้าง ขรุขระดูแล้วเป็นรูพรุนไปหมด ส่วนมั่วชิงเฉินบนพื้นกลับปลอดภัยไร้กังวล เพียงแต่ดูแล้วทุลักทุเลอยู่บ้าง
ข้างๆ นางกลับไม่มีเงาของเถียนหยวนแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในที่ลับกวาดสายตามองไป ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก เห็นเพียงไกลออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างครึ่งตัวบนของเถียนหยวนแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ส่วนส่วนที่เหลือกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้านายตายแล้ว เชือกมัดเซียนคลายออกด้วยตัวเอง มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นมา สายตาตกไปบนต้นไม้ สีหน้าเหมือนปีติเหมือนโศกเศร้า แล้วน้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างเลื่อนลอย
“เจ้านาย แค่กๆ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” อีกาไฟสำลักควันเข้าไปเต็มคอหอย ไอพลางถามว่า
มั่วชิงเฉินใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งไป ฝืนยิ้มว่า “ข้าไม่เป็นไร อู๋เย่ว์ เผาศพนั่นเสีย จัดการให้เรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไป”
อีกาไฟอ้าปากพ่นลูกไฟออกเผาศพที่มีเพียงครึ่งตัวของเถียนหยวนจนเป็นเถ้าถ่าน มั่วชิงเฉินก้มตัวเก็บปิ่นหยกสีน้ำแข็งขึ้นแล้วเช็ดอย่างทะนุถนอมเกล้าผมขึ้น ต่อจากนั้นเก็บถุงเก็บวัตถุที่นอนอย่างเดียวดายบนพื้นขึ้น แล้วเก็บเชือกมัดเซียนไว้ในถุงเก็บวัตถุใบนั้นอีก ปกปิดร่องรอยสถานที่เกิดเหตุ แล้วพาอีกาไฟนั่งเรือบินจากไป
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในที่ลับสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย มองดูเรื่องทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ คิดๆ ดูแล้ว ในมือมีหินหยกขนาดเท่าถั่วลิสงเพิ่มขึ้นมา หินหยกนั้นลอยขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็ทอแสงสีขาวเจิดจ้าปกคลุมพื้นดินไปทั่วทั้งผืน ต่อจากนั้นตกกลับสู่มือผู้บำเพ็ญเพียรอย่างสงบ ผู้บำเพ็ญเพียรถึงหันหน้าจากไปอย่างไม่ลังเล
ตระกูลเถียนพรรคเหยากวงเป็นตระกูลระดับกลาง ผูกขาดยอดเขาทั้งลูก ห้องหาบบ้านเรือนสร้างแนบแนวภูเขา ดูแล้วก็ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว
กุมารชุดเขียวคนหนึ่งกำลังปัดกวาดอยู่ในโถง สายตามองไปที่ตะเกียงน้ำมันแก้วสิบกว่าดวงที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโถงโดยไม่รู้ตัว
ตะเกียงน้ำมันแก้วเหล่านี้ ก็คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของลูกหลานที่มีอนาคตและฐานะที่สุดจำนวนเพียงน้อยนิดของตระกูลเถียนของพวกเขา
นึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของกุมารชุดเขียววาบแววอิจฉาพาดผ่านไป เมื่อไรที่ตนก็สามารถวางตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาไว้ที่นี่ได้สักดวงก็จะดีไม่น้อย
ทันใดนั้น ไส้ตะเกียงของตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งในนั้นสั่นไหว ต่อจากนั้นก็ดับเองทั้งที่ไม่มีลมแล้ว
กุมารชุดเขียวชะงักงัน ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้สติกลับมาว่านี่หมายความว่าเช่นไร ปากกรีดร้องไม่หยุดพลางวิ่งโซซัดโซเซไปสู่โถงใหญ่
“ท่านหัวหน้าตระกูล ท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ…” กุมารชุดเขียวมือพยุงกรอบประตูไว้ ตะโกนเสียงหลง
“ลุกลี้ลุกลนเหมือนอะไร!” ผู้ชายท่าทางวัยกลางคนคนหนึ่งกลางโถงตะคอกว่า
สตรีวัยกลางคนผู้งดงามข้างๆ กลับเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เป็นอันใด อย่ารีบร้อน ค่อยๆ พูด”
กุมารชุดเขียวมือกุมหน้าอกไว้ ทุบอย่างบ้าคลั่งสองทีถึงพูดออกมาว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล ฮือๆๆ คุณชายสิบ คุณชายสิบเขา…ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเขาดับแล้ว!”
“อะไรนะ!” ชายวัยกลางคนมือตบที่วางมือเก้าอี้แล้วลุกขึ้นยืน กลับได้ยิน ‘ฉัวะ’ เสียงหนึ่ง ที่วางมือถูกตบหักทั้งอย่างนั้นแล้ว
ส่วนสตรีวัยกลางคนผู้งดงามที่อยู่ข้างๆ คนนั้นกลับฮึอย่างอัดอั้นเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบทรุดลงไป
ตอนที่ 222 สุคนธ์ล่าวิญญาณหนึ่งวัน
“เจ้า เจ้าไม่ได้ดูผิด?” ชายวัยกลางคนสีหน้าอึมครึม มือเริ่มสั่นเทาแผ่วเบา กลับยังคงทนไม่ไหวถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
กุมารชุดเขียวพยักหน้าอย่างแรง “ต่อให้ข้าน้อยกล้าเพียงใดก็ไม่กล้ามองเรื่องนี้ผิดขอรับ!”
“ดูแลฮูหยินให้ดี” ชายวัยกลางคนกำชับแค่ประโยคเดียว ก็รีบทะยานออกไปแล้ว
ถึงจุดสูงสุดของยอดเขา ชายวัยกลางคนคุกเข่าลงนอกตำหนัก นิ้วมือขยับแผ่วเบาตีเคล็ดวิชานิ้วออกไปสายหนึ่ง ก็เห็นประตูตำหนักวาบแสงวิญญาณขึ้น
เพียงชั่วครู่ประตูตำหนักเปิดออก ชายท่าทางยังหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าชายวัยกลางคน ที่พิเศษคือชายหนุ่มคนนี้แม้ใบหน้าหนุ่มแน่น คิ้วกลับเป็นสีขาวดุจหิมะ
“บอกแล้วว่าข้ากักตนอยู่ ห้ามรบกวนส่งเดชมิใช่หรือ?” ชายคิ้วขาวหน้าบึ้งว่า
ชายวัยกลางคนหน้าผากจรดพื้น เอ่ยอย่างเศร้าโศกว่า “ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่าง หยวนเอ๋อร์เขา…ดับสูญแล้ว!”
“อะไรนะ!” ชายคิ้วขาวสีหน้าตกตะลึง ยื่นมือจับชายวัยกลางคนขึ้นมา พาเขามาถึงโถงลับที่วางตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาไว้ในพริบตา เห็นดวงหนึ่งในนั้นมืดมิดอับแสงแล้วจริงๆ คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนนั่นเอง
ชายคิ้วขาวโบกมือทีหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันแก้วก็ลอยเข้ามาในมือ แล้วก็เห็นเขาหลับตา เพียงครู่เดียวก็ลืมตาขึ้นว่า “เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน รอข้ากลับมา” พูดจบกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวทะยานไปแล้ว
หลายชั่วยามให้หลัง ชายคิ้วขาวร่อนลงบนเขาลั่วเยี่ยน มองไปทั่วทุกทิศ สายตาตกไปที่สถานที่หนึ่ง
ฮึ ต่อให้ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรเก็บกวาดสนามรบพยายามปกปิดร่องรอย ทว่าจะปิดบังตนไปได้อย่างไร
ชายคิ้วขายหยิบตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนออกมา หลับตาท่องคาถา สิบกว่าอึดใจให้หลังปากตะโกนเบาๆ ว่า “ไป!”
ก็เห็นตะเกียงน้ำมันแก้วบินไปยังสถานที่หนึ่งอย่างมั่นคง จากนั้นลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน หากมั่วชิงเฉินอยู่นี่ต้องตกใจยกใหญ่แน่ ที่ที่ตะเกียงน้ำมันแก้วดวงนี้หยุดอยู่ คือที่ที่เถียนหยวนสิ้นชีพพอดี!
ตะเกียงน้ำมันแก้วเพิ่งหยุดนิ่ง ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกในทันใด ไส้ตะเกียงเต้นระริกสองสามทีแล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็วอีก
“ไม่คิดว่า ไม่คิดว่าเป็นทิศทางของสำนัก! ช่างใจกล้านัก!” ชายคิ้วขาวลืมตาขึ้นในบัดดล นัยน์ตารัศมีพาดผ่าน จากนั้นโบกมือเก็บตะเกียงน้ำมันแก้วที่มืดมนไร้แสงเข้าในแขนเสื้อ แล้วกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวตรงไปพรรคเหยากวงด้วยท่าทีน่ากลัว
จะว่าไปก็เพราะมั่วชิงเฉินโชคร้าย
ว่ากันตามปกติแล้วในสำนักมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงจุดตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา เถียนหยวนมีตบะแค่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ตามหลักแล้วไม่น่ามีตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา
ทว่าเขายังเป็นลูกหลานของตระกูลด้วย ลูกหลานของตระกูลบำเพ็ญเพียรจำนวนไม่ได้หนึ่งในหมื่นของสำนัก ยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับสายเลือด จึงเห็นความสำคัญของลูกหลานที่โดดเด่นในตระกูลเป็นอย่างมาก มีตระกูลบำเพ็ญเพียรบางตระกูลเมื่อลูกหลานเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานก็จะจุดตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาให้เขาแล้ว ตระกูลเถียนก็เป็นเช่นนี้
ความหมายตามชื่อ ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาคือตะเกียงน้ำมันที่จุดขึ้นโดยผสานดวงจิตสายหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียร หากผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ดับสูญ ย่อมดวงจิตสลายตะเกียงมอดเป็นธรรมดา
แสดงถึงความเป็นตายของผู้บำเพ็ญเพียร ก็คือประโยชน์สูงสุดของตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา นอกเหนือจากนี้ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของตะเกียงดวงจิต นั่นก็คือไล่ล่าศัตรู
ในตะเกียงดวงจิตผสานกลิ่นหอมพิเศษไว้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าสุคนธ์ล่าวิญญาณ ภายในเจ็ดวันหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรดับสูญ คนอื่นสามารถรับรู้ถึงสถานที่ที่เขาสิ้นชีพผ่านตะเกียงดวงจิตได้ หากภายในหนึ่งวันมีคนถือตะเกียงดวงจิตที่มอดดับแล้วรุดมาถึงสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรสิ้นชีพ ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาก็จะถูกวิญญาณที่เหลืออยู่จุดขึ้น เร่งประสิทธิภาพของสุคนธ์ล่าวิญญาณออกมา
คนร้ายที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียร บนร่างกายจะส่งกลิ่นหอมรางๆ ที่แม้แต่ตนเองก็ไม่อาจสังเกต ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถือตะเกียงดวงจิตกลับสามารถได้กลิ่นหอมสายนี้ หาคนร้ายจากการนี้ได้
พูดไปแล้ว นี่ก็คือส่วนที่มั่วชิงเฉินยิ่งโชคร้ายแล้ว
โถงลับที่ใช้สำหรับเก็บตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาในตระกูลหนึ่ง เดิมทีสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่เห็นจะมีคนไปเก็บกวาดสักครั้งหนึ่ง กรณีที่ตะเกียงดวงจิตมอดดับไปนานมากถึงถูกพบมีนับไม่ถ้วน
ถอยอีกก้าวหนึ่ง ต่อให้เป็นพรุ่งนี้ที่พบว่าตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนดับแล้ว ตระกูลเถียนอาศัยตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตารับรู้ได้ถึงสถานที่ที่เขาดับสูญ เพราะว่าวิญญาณที่เหลือได้กระจายไปแล้ว ประสิทธิภาพของสุคนธ์ล่าวิญญาณจึงไม่อาจกระตุ้นออกมาได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าใครลงมือแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ละก็ ต่อให้วันหลังเกิดสงสัยในตัวมั่วชิงเฉินขึ้นมากลับไม่มีหลักฐานแล้ว
ดันในยามที่เถียนหยวนดับสูญ บังเอิญเป็นเวลาปัดกวาดของกุมารชุดเขียวของตระกูลเถียน นี่ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้
ความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเร็วว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากนัก ยามที่ชายคิ้วขาวรุดกลับมา มั่วชิงเฉินอยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน
“อู๋เย่ว์ พัดนั่นเจ้าเก็บดีหรือยัง?” มั่วชิงเฉินเปลี่ยนชุดสำนักที่สะอาดอีกชุดหนึ่งแล้ว ร่างกายจัดการอย่างเรียบร้อย คนที่ไม่รู้เรื่องมองไม่ออกว่านางเพิ่งฆ่าคนมาเด็ดขาด
อีกาไฟร้องแว้ดๆ สองทีอย่างได้ใจ “นั่นแน่นอน ข้าทำงานเจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ อ้าว ให้เจ้า” พูดพลางอ้าปาก คายพัดพับออกมาเล่มหนึ่ง
มั่วชิงเฉินแม้แต่มองก็ไม่กล้ามอง เก็บพัดพับเข้าในกำไลเก็บวัตถุโดยตรง ถึงได้โล่งอก
พัดพับเล่มนี้สำคัญกับนางมากเหลือเกิน ความสะเทือนทางอารมณ์ที่นำมาให้นางกระทั่งทำให้ความปีติที่ได้แก้แค้นเจือจางลง หากไม่เพราะกลัวโฉ่งฉ่างเกินไป นางแทบอยากจะอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาบินทะยานกลับเขาป่าไผ่โดยตรง แล้วศึกษาพัดเล่มนี้อย่างละเอียด
“แว้ดๆ เจ้าเป็นอะไรน่ะ?” อีกาไฟเดิมทำท่าทีขอความดีความชอบอยู่ กลับเห็นมั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแน่น จึงถามอย่างสงสัย
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย”
อีกาไฟค้อนตาคว่ำ “ดูความใจเสาะเจ้าสิ เศษมนุษย์เช่นนั้นฆ่าแล้วก็ฆ่าไป มีอะไรต้องกลัวด้วย”
มั่วชิงเฉินกำลังจะตอบ สีหน้ากลับเปลี่ยนโดยพลัน จากนั้นไม่พูดสักคำก็เรียกอีกาไฟกลับถุงอสูรวิญญาณ จากนั้นอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา รุดไปประตูสำนักเหยากวงดุจดาวตก
แม้ไหมเกล็ดน้ำแข็งเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติที่หายาก อีกทั้งโดดเด่นในด้านเหินหาวและป้องกัน เสียดายที่มั่วชิงเฉินมีตบะเพียงระดับสร้างรากฐาน สำแดงอานุภาพของมันออกมาไม่ถึงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่ไล่ตามมาสุดกำลังด้านหลังกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลายท่านหนึ่ง!
แรงกดดันสายนั้นยิ่งใกล้ยิ่งรุนแรง พลานุภาพที่น่าตกใจบีบจนมั่วชิงเฉินส่ายไปส่ายมา เกือบตกจากไหมเกล็ดน้ำแข็ง
มั่วชิงเฉินกัดนิ้วกลาง บีบเลือดออกจากนิ้วหยดหนึ่งหยดลงไหมเกล็ดน้ำแข็ง ปากตะโกนว่า “ไป!”
แล้วก็เห็นไหมเกล็ดน้ำแข็งแสงวิญญาณห้าสีวนเวียน งามดังเมฆสีรุ้ง เพียงอึดใจก็กลับมาขาวสะอาดไร้ตำหนิอีก แล้วระเบิดความเร็วที่น่าตกใจออกมา
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากไว้แน่นควบคุมไหมเกล็ดน้ำแข็ง สีหน้ากลับดูไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ
ไหมเกล็ดน้ำแข็งเดิมก็เป็นสมบัติวิเศษ นางฝืนใช้ด้วยตบะระดับสร้างรากฐาน ไม่ว่าพลังวิญญาณหรือจิตใจล้วนผลาญอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่ยังใช้เลือดในกายตนเร่งอีก การทำเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เห็นประตูสำนักเหยากวงใกล้อยู่แค่เอื้อม มั่วชิงเฉินเกิดปีติในใจ กลับได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่าเสียงหนึ่งว่า “ยัยเด็กบ้า จะหนีไปไหน!”
มั่วชิงเฉินตกใจใหญ่ ยังไม่ทันได้บีบเลือดออกมาอีก ก็รู้สึกเจ็บที่คอ ร่างกายถูกหิ้วขึ้นมาทั้งตัว
โชคดีที่ไหมเกล็ดน้ำแข็งเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ เมื่อสูญเสียพลังวิญญาณของมั่วชิงเฉินคอยค้ำจุนจึงกลับเข้าในร่างนางด้วยตัวเอง
ชายคิ้วขาวสายตาเป็นประกาย “ยัยเด็กบ้า ไม่คิดว่าจะมีสมบัติวิเศษตามธรรมชาติด้วย มิน่าถึงฆ่าเถียนหยวนได้!”
มั่วชิงเฉินในสมองดังโครมเสียงหนึ่ง เหตุใดถึงถูกพบเร็วเช่นนี้ล่ะ!
ชายคิ้วขาวมือออกแรง มั่วชิงเฉินก็ถูกหันมาทั้งตัว
เมื่อเห็นหน้าตรงของนางชายคิ้วขาวชะงักทีหนึ่ง พูดเองเออเองว่า “ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์ของเหอกวง”
ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูด ชายคิ้วขาวก็ฟันมือตีนางสลบ จากนั้นมุ่งหน้าไปเขาโฮ่วเต๋อ
เมื่อเข้าโถงใหญ่ ชายคิ้วขาวโยนมั่วชิงเฉินที่หมดสติอยู่ลงพื้น พูดกับเจ้าสำนักเหยากวงนักพรตฟางเหยาที่เหลอหลาอยู่ว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนัก!”
นักพรตฟางเหยาถึงได้สติคืนมา ก้าวออกมาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวคิดจะพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมอีก จึงมองชายคิ้วขาวด้วยความตกใจว่า “ศิษย์พี่ซานอิน เจ้าหมายความว่าเช่นไร?”
นักพรตซานอินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “หมายความว่าเช่นไร? ศิษย์น้องเจ้าสำนัก นี่เกรงว่าต้องถามศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของศิษย์น้องเหอกวงแล้ว!”
“หา นางหนูนี่ก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?” นักพรตฟางเหยาตกใจร้องว่า น้ำเสียงกลับเผยความรู้สึกเหมือนคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วอย่างไม่รู้ตัว
นักพรตซานอินโกรธจนชะงัก จากนั้นถึงพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “นางฆ่าลื่อของข้าเถียนหยวน!”
“อะไรนะ?” นักพรตฟางเหยาสีหน้าเปลี่ยนอย่างรุนแรง เห็นนักพรตซานอินสีหน้าอึมครึมรังสีเข่นฆ่าแสดงออกอย่างชัดเจน จึงรีบว่า “ศิษย์พี่ซานอิน เรื่องนี้ศิษย์น้องต้องแจ้งศิษย์น้องเหอกวงสักหน่อย”
“เชิญตามสบาย!” นักพรตซานอินเอ่ยเสียงเข้ม
นักพรตฟางเหยาส่งยันต์ส่งสารออกไป ไม่นานนักกู้หลีและนักพรตจื่อซีก็รุดมาพร้อมกันอย่างไม่คาดคิด
เมื่อเข้าโถงใหญ่ สายตาของกู้หลีมองไปบนร่างมั่วชิงเฉินทันที
“ฮึ ศิษย์น้องเหอกวง อย่าดูดีกว่า ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนเจ้านั่นไม่ตายหรอก ทว่าก็เร็วแล้ว!” นักพรตซานอินเอ่ยเสียงเย็นชา
กู้หลีกลับมองก็ไม่มองนักพรตซานอินสักปราด เดินตรงไปข้างมั่วชิงเฉิน ก้มตัวอุ้มนางขึ้นมา ส่งพลังวิญญาณเข้าไปพบว่านางไม่เป็นอะไรมาก ถึงพูดกับนักพรตฟางเหยาว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เหอกวงขอส่งศิษย์ไปเขาป่าไผ่ก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กัน”
นักพรตฟางเหยายังไม่ทันตอบ นักพรตซานอินก็ลุกขึ้นยืนขวางทางไว้ว่า “ศิษย์น้องเหอกวง จะปกป้องกันก็ไม่ได้ปกป้องกันเช่นเจ้านี้กระมัง ศิษย์เจ้าฆ่าลื่อของข้าเถียนหยวน หรือว่ายังคิดว่าจะได้กลับถึงเขาป่าไผ่โดยสวัสดิภาพ? จะไม่เห็นข้าในสายตาไปหน่อยกระมัง?”
“ศิษย์พี่ซานอิน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะแก้ไขเช่นไรพวกเราหารือกันได้ ศิษย์ต่อให้กลับถึงเขาป่าไผ่ ก็ยังมีเหอกวงอยู่นี่มิใช่หรือ?” กู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบ
นักพรตซานอินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “หารืออันใด ศิษย์น้องเจ้าสำนัก กฎสำนักเขียนไว้ว่าเช่นไรไม่ต้องให้ข้าสอนเจ้าหรอกกระมัง ผู้ฆ่าศิษย์ร่วมสำนักตาย นี่เป็นกฎเกณฑ์ของเหยากวงมาหมื่นพันปี”
“อ้าว ยามนี้เอากฎเกณฑ์มาพูดเสียแล้ว ปกติลื่อของเจ้านั่นประพฤติตนเช่นไรพวกเราก็มิใช่ตาบอดมองไม่เห็น อีกอย่าง เจ้าอาศัยอะไรบอกว่าเจ้าเด็กนั่นถูกชิงเฉินฆ่า มีหลักฐานหรือไม่? ต่อให้มีหลักฐานแสดงว่านางหนูชิงเฉินฆ่าเจ้าเด็กนั่น เช่นนั้นเขาต้องมีที่ที่สมควรตายแน่นอน!” นักพรตจื่อซีพูดอย่างเอ้อระเหย
ฟังคำพูดข้างหน้าของนักพรตจื่อซี นักพรตซานอินกำลังจะเอาตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนออกมา เมื่อได้ยินคำพูดข้างหลังอีกก็โกรธจนหน้าหงายทันที
นักพรตฟางเหยาหงายท้องเช่นกัน นี่ นี่ตรรกะอะไรกันน่ะ ไม่ก็ศิษย์หลานชิงเฉินไม่ใช่คนฆ่า หากนางเป็นคนฆ่านั่นก็เพราะคนคนนั้นสมควรตาย
นี่ นี่มิใช่หาเรื่องยุ่งหรอกหรือ ใครฟังแล้วไม่โมโหตายบ้างล่ะ
เป็นไปตามคาดคำพูดนี้พูดจบ นักพรตซานอินก็พลานุภาพปะทุ ดูเหมือนจะอาละวาดแล้ว
นักพรตจื่อซีค้อนตาคว่ำ พลานุภาพปะทุขึ้นเช่นกัน เอ่ยอย่างไม่ยอมอ่อนข้อว่า “กลัวเจ้าหรือ ข้าก็ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายเช่นกัน!”
เห็นทั้งสองคนไม่ยอมกันราวกับไก่ชน ลงมือสู้กันได้ตลอดเวลา นักพรตฟางเหยาเหงื่อออกหน้าผากทันที
กู้หลีกลับฉวยโอกาสนี้นั่งลงบนพื้นโดยตรง ปรับลมหายใจให้มั่วชิงเฉินขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น