เล่ห์รักกลกาล 214-220

ตอนที่ 214 นางคือคู่หมั้นของเจ้าที่ข้...

 

เมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าหมู่ตึก


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหันกลับไปมองเยี่ยเม่ยและจงรั่วปิง “พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปทักทายอู๋เหินเสียหน่อย ตอนที่เจ้าขอยา เขาจะได้ไม่สร้างความลำบากให้เจ้า”


 


 


 “อืม”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ปฏิเสธข้อเสนอ อาศัยความสัมพันธ์อย่างไรก็ดีกว่าบุกเข้าไปตรงๆ


 


 


หลังจากเข้าประตูไปแล้ว คนจำนวนไม่น้อยค้อมเอวคารวะซินเยว่เยี่ยน “ผู้อาวุโส”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า ถามว่า “ท่านประมุขเล่า”


 


 


 “คุณชายซ่งมาเยี่ยม ท่านประมุขกำลังรับแขกอยู่ เกรงว่าช่วงค่ำถึงจะมีเวลาว่าง” องครักษ์ผู้หนึ่งตอบ


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหน้าคล้ำ “เป็นเจ้าสารเลวซ่งอวี้เชวียอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


องครักษ์ไอแห้งๆ คำหนึ่ง “แค่ก…ใช่ขอรับ คือคุณชายซ่ง”


 


 


ความจริงองครักษ์ไม่เข้าใจมาตลอดว่า ทำไมผู้อาวุโสถึงได้รังเกียจคุณชายซ่งมากนัก ทั้งๆ ที่คุณชายซ่งก็เคารพผู้อาวุโสราวกับพี่สาวก็ไม่ปาน


 


 


 “ซ่งอวี้เชวียหรือ นั่นคืออันดับหนึ่งของแปดอัจฉริยะแห่งเจียงหนาน หรือก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างนั้นน่ะหรือ” จงรั่วปิงถามด้วยความแปลกใจ


 


 


 “ใช่” ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้าด้วยความขุ่นเคือง


 


 


จงรั่วปิงยิ่งไม่เข้าใจ “ทำไมเจ้าถึงได้เกลียดเขาถึงขั้นนี้เล่า”


 


 


 “ก็เพราะว่าทุกครั้งที่เขามาล้วนแล้วแต่ล่อลวงอู่เหินทั้งสิ้น บอกว่าใต้หล้านี้มีดอกไม้งามจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ค่อยๆ ชื่นชมหญิงงามอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว อย่างไรเสียหญิงงามเมื่อชื่นชมนานวันเข้าก็จะเบื่อหน่ายไปเอง ดังนั้นอย่าได้คิดจะแต่งงานเด็ดขาด เดิมทีอู๋เหินก็มีนิสัยเฉยชาอยู่แล้ว ภายใต้การชักนำของเจ้าสารเลวนี่ เรื่องแต่งงานก็ยิ่งห่างออกไปไกลขึ้นทุกที” ซินเยว่เยี่ยนพูดไปใบหน้าก็เป็นสีเขียวคล้ำ


 


 


หลังจากเอ่ยจบ นางก็ขยี้เท้าอย่างแรงทีหนึ่ง “ไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบจับเจ้าสารเลวนั่นโยนออกไป”


 


 


พูดแล้ว นางก็หันขวับมององครักษ์ผู้นั้น “ต้อนรับแม่นางทั้งสองให้ดี ข้าไปเดี๋ยวเดียวค่อยกลับมา”


 


 


ครั้นเอ่ยจบ นางก็เดินจากไปคล้ายกับกระแสลมหอบหนึ่ง


 


 


เยี่ยเม่ยอยากร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เดินเข้าห้องที่องครักษ์จัดเตรียมไว้พร้อมกับจงรั่วปิง หลังจากเขาไปแล้ว จึงถามขึ้นว่า “จริงสิ หลายวันนี้ข้าอยากถามเจ้ามาตลอด ทำไมเจ้าถึงกลับมาช่วยข้า”


 


 


 “ยังไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้าอีกหรือไง เขาบอกว่าเจ้าคู่ควรคบหาเป็นสหาย ดังนั้น…” จงรั่วปิงมีสีหน้าจนปัญญา ทว่าก็มั่นใจว่าเยี่ยเม่ยคู่ควรกับการคบหาเป็นสหายจริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อของเจ้าอยู่ห่างไปพันลี้ ยังสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ประจำตัวของข้า ท่านพ่อของเจ้าช่างมีสายตาแหลมคมนัก ข้าเลื่อมใสเขา”


 


 


จงรั่วปิงหมดคำพูด


 


 


นางรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยมั่นใจในตัวเองเกินไป ถึงขั้นที่ว่าไม่มีทางถอยกลับเสียแล้ว


 


 


แต่คำพูดนี้ก็ไม่มีปัญหาตรงไหน…


 


 


เยี่ยเม่ยทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ชื่นชมทิวทัศน์งดงามด้านนอก สวนดอกไม้จัดได้วิจิตรสวยงามเป็นอย่างยิ่ง พอให้ดูออกว่าเจ้านายของหมู่ตึกนี้เป็นคนมีรสนิยมสูง


 


 


เยี่ยเม่ยชื่นชม “ดูจากการตกแต่งและความหรูหราของที่นี่แล้ว เรียกได้ว่าวิจิตรงดงามเลยทีเดียว”


 


 


 “ถูกต้อง สามารถเทียบกับวังหลวงได้ด้วยซ้ำ” จงรั่วปิงเสนอความเห็น อย่างไรนางก็เป็นคนที่เคยเข้าวังมาก่อน ยื่นมือชี้ไปที่ดอกไม้ด้านนอก “มีดอกไม้มีชื่อเสียงชนิดหนึ่งของที่นี่ ในวังยังมีแค่สองต้นเท่านั้น ดูท่าหมู่ตึกกูเยว่สมกับคำเล่าลือจริงๆ ร่ำรวยมากจริงๆ”


 


 


เยี่ยเม่ยก็เป็นคนรู้จักดอกไม้ พยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด”


 


 


จงรั่วปิงเอ่ยปากว่า “ข้าขอไปเดินเล่นข้างนอกก่อน เจ้าอยู่ที่นี่รอซินเยว่เยี่ยนกลับมาก็แล้วกัน”


 


 


 “ได้”


 


 


จงรั่วปิงออกจากประตู


 


 


เยี่ยเม่ยรอซินเยว่เยี่ยนสักพักหนึ่ง ก็ไม่มีเรื่องอะไรอื่น จึงนั่งลงหยิบเคล็ดวิชาออกมาเริ่มฝึก สติปัญญาของนางเป็นรองเป่ยเฉินอี้แล้ว ไม่อาจให้วรยุทธ์ด้อยกว่าเขาเด็ดขาด


 


 


……


 


 


 “พี่สาว…พี่บุญธรรม ท่านอย่าทำแบบนี้ วิญญูชนใช้ปากไม่ใช้กำลัง พี่สาว…”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนลากคุณชายหล่อเหลาผู้หนึ่งเดินออกไปด้วยความโมโห


 


 


บุรุษผู้นั้นมือถือพัดเล่มหนึ่ง ท่วงท่าสง่างาม ใต้ตาขวามีไฝเม็ดหนึ่งยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจคน


 


 


คนผู้นี้คืออันดับหนึ่งของแปดอัจฉริยะแห่งเจียงหนาน ซ่งอวี้เชวีย


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหน้าตาโมโห “ใครเป็นวิญญูชนกับเจ้ากัน ทันทีที่ข้าเข้าประตูมา ก็ได้ยินเจ้าพูดกับอู๋เหินเรื่องไม่ต้องแต่งงาน ตระกูลซ่งของเจ้ามีลูกชายสี่คน เจ้าไม่กลัวตระกูลซ่งไร้ทายาทสืบสกุล แต่หมู่ตึกกูเยว่ของเรามีอู๋เหินแค่คนเดียว เจ้าคิดจะให้หมู่ตึกกูเยว่ของเราไร้ทายาทสืบทอดใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าคิดจะยึดทรัพย์สมบัติของหมู่ตึกเรา”


 


 


 “ท่านคิดมากไปแล้ว” ซ่งอวี้เชวียอยากจะร้องไห้ เขาคนหนึ่งแซ่ซ่ง อู๋เหินแซ่กู ทรัพย์สมบัติของหมู่ตึกกูเยว่จะตกมาถึงเขาได้อย่างไรเล่า


 


 


ซินเยว่เยี่ยนไม่ฟังคำอธิบายใดๆ ทั้งนั้น “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดมากคิดน้อย เจ้าออกไปให้พ้น ยามใดที่เจ้าไม่ถกเรื่องนั้นกับอู๋เหินอีกค่อยกลับมา ไม่เช่นนั้น ข้าเจอครั้งหนึ่งก็ตีครั้งหนึ่ง”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยิ่งเอ่ยก็ยิ่งโมโห ปล่อยหมัดใส่ซ่งอวี้เชวียไปทีหนึ่ง


 


 


ซ่งอวี้เชวียกุมหน้า “อย่าต่อยหน้าข้า”


 


 


หมัดนี้ต่อยเข้าที่หัวของเขา


 


 


ซ่งอวี้เชวียคิดจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เขาเป็นศิษย์น้องของเทพกระบี่โอวหยางเทาแท้ๆ วิชากระบี่ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์พี่เลย แต่บุรุษที่ดีไม่ต่อยตีกับสตรี วิญญูชนไม่อาจลงมือกับสตรี ถึงได้มีสภาพอนาถขนาดนี้


 


 


ในระหว่างที่เขาปวดใจอยู่นั้น


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา เดินไปนอกกำแพง โยนเขาอกไปราวกับโยนขยะ “ไสหัวไปให้พ้น”


 


 


 “ไอ้หยา”


 


 


ซ่งอวี้เชวียคิดด่าว่าคน


 


 


เจ้าสารเลวกูเยว่อู๋เหินเรียกเขามาถกเรื่องโคลงกลอนดนตรีแท้ๆ เมื่อเห็นเขาถูกพี่สาวตัวเองสั่งสอน ยังไม่มาช่วยอีก


 


 


ยามที่ร่างตนกำลังถูกโยนออกไป เขาคิดโคจรพลังใช้วิชาตัวเบาเพื่อยืนให้มั่นคง


 


 


คิดไม่ถึงว่า จงรั่วปิงที่ออกมาเดินเล่นเพิ่งมาถึงหน้าประตูใหญ่เรือนด้านนอก เห็นบุรุษสวมชุดเขียวผู้หนึ่งถูกโยนออกมา ดีไม่ดีอาจจะกระแทกพื้น


 


 


ในฐานะจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง ย่อมเข้าช่วยคนในยามคับขัน นางพุ่งเข้าไปรับซ่งอวี้เชวีย


 


 


ซ่งอวี้เชวียได้กลิ่นหอมจากเรือนร่างสตรี ขณะที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่ง เกิดความหลงใหลในชั่ววูบ “แม่นาง หญิงงามช่วยวีรบุรุษ ช่างเหมาะสมนัก”


 


 


หลังจากยืนที่พื้นแล้ว จงรั่วปิงก็โยนเขาลง “วีรบุรุษหรือสุนัขยังไม่แน่ ไฉนเจ้าถึงถูกคนของหมู่ตึกกูเยว่โยนออกมา เข้าไปขโมยของใช่หรือเปล่า”


 


 


ซ่งอวี้เชวียพูดไม่ออก


 


 


ประเดี๋ยวก็ถูกเข้าใจว่าจะยึดสมบัติของหมู่ตึกกูเยว่ อีกประเดี๋ยวก็ถูกสงสัยว่าเป็นโจร หน้าตาของอัจฉริยะอันดับหนึ่งในใต้หล้าจะเอาไปไว้ที่ไหนกัน


 


 


……


 


 


ในห้องกูเยว่อู๋เหิน


 


 


กูเยว่อู๋เหินยังคงดื่มสุราอยู่ หลังจากซินเยว่เยี่ยนลากซ่งอวี้เชวียออกไปอย่างโมโหโทโสก็วิ่งกลับมา ทันทีที่เห็นน้องชายที่อากัปกิริยาเหนือคนธรรมดาราวกับดวงจันทร์ทอแสง วินาทีนั้นนางยังสติหลุดลอยอยู่บ้าง


 


 


อากัปกิริยาเช่นนี้ เชื่อว่าเยี่ยเม่ยต้องชื่นชมแน่


 


 


นางพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง มองกูเยว่อู๋เหินอย่างรวดเร็ว “ท่านประมุข ข้าน้อยพา…” 


 


 


 “พี่บุญธรรม ท่านทำเกินไปแล้ว” กูเยว่อู๋เหินตำหนิ


 


 


ซ่งอวี้เชวียคือสหายที่เขาเชิญมา ถูกพี่สาวโยนออกไป


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรู้ตัวว่าทำเกินไป ทว่านางไม่คิดมากอีก “ข้าน้อยสำนึกผิด แต่ท่านประมุขและซ่งอวี้เชวียไม่เหมาะที่จะเป็นสหายกัน อีกอย่างข้าน้อยพาคู่หมั้นคนหนึ่งกลับมาให้ท่าน นางอาศัยอยู่ที่เรือนฝั่งตะวันตก ขอให้ท่านประมุขไปพบนางด้วย” 

 

 


ตอนที่ 215 เยี่ยเม่ยมีพลังธาตุบุปผาที...

 

 “คู่หมั้นหรือ” กูเยว่อู๋เหินเงยหน้ามองซินเยว่เยี่ยน


 


 


ดวงตาเรียบเฉยของเขาคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่หมื่นปีไม่ละลาย จ้องมองซินเยว่เยี่ยนด้วยความสงบ


 


 


มองเสียจนซินเยว่เยี่ยนรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ ทว่ายังฝืนเอ่ยอย่างหนักแน่น “ถูกแล้ว ถึงข้าจะเป็นลูกน้องท่าน แต่ข้าก็ยังเป็นพี่สาวบุญธรรมของท่านด้วย มีคำกล่าวว่าพี่สาวเหมือนมารดา ดังนั้นเรื่องแต่งงาน ท่านต้องเชื่อฟังข้า จริงสิ นางต้องการสมุนไพรสามชนิด ก็คือสมุนไพรสามชนิดท่านเก็บไว้ในหอเทียนจีพอดี หากไม่มีปัญหาอะไร ท่านส่งให้นางเป็นของขวัญพบหน้าแล้วกัน”


 


 


กูเยว่อู๋เหินเงียบอยู่สักพัก ก็วางจอกสุราในมือลง


 


 


น้ำเสียงสงบราบเรียบของเขาคล้ายลมอ่อนพัดผ่านดวงจันทร์ น่าฟังทว่าจับต้องไม่ได้ “ข้าเคยบอกแล้วว่า ความเด่นล้ำของกูเยว่ ใช่ว่าคนธรรมดาจะอาจเอื้อมได้ ท่านพี่สมควรทราบ กบไม่อาจอยู่ในทะเลได้ ไฉนต้องบีบบังคับด้วยเล่า”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนถลึงตาใส่เขา “เจ้ายังไม่เคยพบผู้อื่น รู้ได้อย่างไรว่านางเป็นกบเล่า”


 


 


นางรู้มาตลอดว่า น้องชายผู้นี้สายตาสูงส่ง ทว่ายังไม่ทันพบหน้าก็ตัดสินแล้ว ออกจะพลการเกินไปหน่อยหรือเปล่า ซินเยว่เยี่ยนเห็นด้วย อู๋เหินเป็นเสมือนแสงจันทร์เหมือนมหาสมุทร แต่ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเม่ยก็หาใช่กบในบ่อกระมัง


 


 


เห็นท่าทางโมโหโทโสของซินเยว่เยี่ยน กูเยว่อู๋เหินก็ถอนสายตากลับ


 


 


สีหน้ามองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อท่านพี่ยืนหยัดถึงเพียงนี้ พบหน้าสักครั้งก็ได้”


 


 


 “อย่างนั้น…” ซินเยว่เยี่ยนสีหน้ายินดี รู้สึกว่าตัวเองสามารถจัดการได้ในทันที


 


 


จากนั้น


 


 


กูเยว่อู๋เหินกวาดตามองนาง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “แต่ว่าพบหน้าตอนไหน ด้วยวิธีอะไร ข้าจะเป็นคนกำหนดเอง”


 


 


 “ข้า…” ซินเยว่เยี่ยนคิดโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นว่า กูเยว่อู๋เหินเอ่ยจบแล้ว มีท่าทางไม่อยากสนทนาต่อไปอีก ก็เข้าใจว่าหากนางพูดมากต่อไป เขาจะไม่อดทนอีก เกรงว่าการพบหน้าอาจจะไม่สำเร็จ


 


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงพยักหน้า “งั้นก็ดี แต่เจ้าต้องรีบหน่อย แม่นางผู้นั้นยังมีเรื่องที่บ้านอีก”


 


 


หึๆ แต่งเรื่องหลอกอู๋เหินไปก่อน ให้เขาหลงคิดว่าเยี่ยเม่ยตั้งใจมาดูตัว ทำเช่นนี้โอกาสสำเร็จของตนจะมีมากขึ้น


 


 


 “อืม” กูเยว่อู๋เหินไม่ใส่ใจ รับปากไว้


 


 


ไม่ช้าเขาก็เอ่ยต่อว่า “ความคิดของซ่งอวี้เชวียไม่มีทางส่งผลกระทบข้าได้ ท่านพี่มิต้องเห็นเขาเป็นศัตรู”


 


 


 “อย่างนั้นหรือ” ซินเยว่เยี่ยนมองเขาด้วยความสงสัย


 


 


สีหน้าเขานิ่งสงบ “คนที่ส่งผลกระทบต่อข้าได้ ในโลกนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน”


 


 


เมื่อกูเยว่อู๋เหินเอ่ยเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนก็คลายใจ ก็ถูก อู๋เหินชื่นชอบความสามารถของซ่งอวี้เชวีย แต่ว่าด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของอู๋เหิน หากบอกว่าผู้อื่นส่งผลกระทบต่อเขา คงเป็นไปได้ยาก


 


 


 “อย่างนั้นก็ดี หากเขามาอีกข้าจะไม่ต่อยตีเขาแล้ว”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหมุนกายจากไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเท่าไหร่


 


 


หลังจากออกไปแล้ว


 


 


น้ำเสียงเบาบางของกูเยว่อู๋เหินเอ่ยว่า “เฉิงฉู่”


 


 


เงาร่างสีดำสายหนึ่งวูบเข้ามา เฉิงฉู่ปรากฏกายเบื้องหน้ากูเยว่อู๋เหิน คุกเข่าลง “ข้าน้อยอยู่นี่”


 


 


กูเยว่อู๋เหินสั่งการเสียงเรียบๆ “ไปจับตาดูสตรีนางนั้นไว้ หากมีการเคลื่อนไหวอะไรรีบมารายงานข้า”


 


 


 “ขอรับ”


 


 


เฉิงฉู่โจนทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที


 


 


กูเยว่อู๋เหินถอนสายตากลับ รินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง กวาดสายตาเฉยชาจ้องจอกสุรา “คู่หมั้นอย่างนั้นหรือ”


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยยังไม่รู้เรื่องที่ซินเยว่เยี่ยนแนะนำตัวนางกับกูเยว่อู๋เหินเช่นนั้น


 


 


นางยังไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่งฝึกกำลังภายในอยู่ในห้อง


 


 


ครั้นเข้าถึงภาวะไร้ตัวตน ยิ่งร่ำเรียนวิชาได้ไวขึ้น


 


 


ในเคล็ดวิชากล่าวไว้ว่า ขอเพียงนางฉลาดมากพอก็สามารถหาพลังธาตุของตนได้เร็วมากขึ้น หากสามารถหาพบได้ เมื่อฝึกวิชาก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มมากเป็นทวีคูณ ดังนั้นนางกำลังพยายามดึงเอาความสามารถที่ซ่อนไว้ของตนออกมา


 


 


ที่นางไม่รู้ก็คือ


 


 


ในขณะที่หลับตาโคจรพลังอยู่นั้น รอบกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงของกำลังภายใน มีกลีบดอกไม้ชนิดต่างๆ อย่างเช่นดอกบัว ดอกอิง ดอกท้อ ดอกกล้วยไม้ ห้อมล้อมร่างกายของนางเอาไว้


 


 


กลายเป็นภาพที่งดงามฉากหนึ่ง


 


 


เฉิงฉู่ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างเห็นภาพนี้ ก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา…กลีบบุปผาห่อหุ้มกาย หรือพลังธาตุของสตรีนางนี้ก็คือพลังบุปผาที่หาได้ยากในรอบสามร้อยปีอย่างนั้นหรือ


 


 


ใช้ดอกไม้เป็นธาตุประจำตัว เมื่อฝึกวิชาถึงขั้นสุดยอด ก็ไม่ด้อยกว่ากำลังภายในที่มีธาตุอื่นๆ เลย ทั้งข้อได้เปรียบที่สุดก็คือ…


 


 


ธาตุนี้เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ยามใช้กำลังภายในไม่ต้องเสียพลังจำนวนมาก


 


 


ในโลกนี้ปกติแล้วบุรุษจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่าสตรี นั่นก็เพราะว่าสตรีพละกำลังอ่อนด้อยกว่า ดังนั้นต่อให้การฝึกปรือถึงขั้นสุดยอด ประมือกับบุรุษยอดฝีมือ สุดท้ายก็ยากจะหนีพลังกายที่เป็นรองไปได้


 


 


ด้วยเหตุนี้เองยอดฝีมือขั้นสูงทั้งหมดถึงมีแต่บุรุษ ทั้งเสินเซ่อเทียน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินอี้ และเจ้านายของเขา


 


 


หากสตรีสามารถหาพลังธาตุประจำตัวได้ ฝึกถึงขั้นสุดยอด สุดท้ายพลังกายก็ยังไม่เทียบได้ สู้กันจนสุดท้ายก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ไม่อาจจู่โจมพวกเขาได้


 


 


แต่ธาตุบุปผานั้นต่างออกไป นางไม่จำเป็นต้องเสียพลังจำนวนมากเพื่อใช้ออก ดังนั้นต่อให้บุรุษที่ได้เปรียบด้านกำลัง นางก็ไม่เสียเปรียบเลยสักนิด


 


 


กลับกัน…


 


 


นางอาจเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ติดอยู่ในรายชื่อสุดยอดฝีมือ


 


 


เขารู้สึกใจสั่นสะท้าน


 


 


ข่าวนี้ต้องรีบกลับไปรายงานนายโดยทันที


 


 


เขาคิดไม่ถึงว่า ในขณะที่เตรียมจะล่าถอยไป เยี่ยเม่ยพลันเปิดตาขึ้น ชั่วขณะที่นางลืมตา กลีบดอกไม้รอบกายก็สลายไปไม่เห็นอีก ดังนั้นนางจึงไม่รับรู้


 


 


สายตาของนางมองไปยังทิศทางของเฉิงฉู่ “ทำไมกัน มาแล้วไม่คิดจะทักทายสักคำก็จะจากไปแล้วหรือ”


 


 


เฉิงฉู่ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


เขาหลงคิดว่าวิชาพรางกายของตัวเองบรรลุขั้นสุดยอดแล้ว นอกจากนายท่านก็ไม่มีใครจับสังเกตเขาได้ นางถึงกับพบเขา


 


 


เฉิงฉู่ยังคงหลบอยู่


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นมือออกมาลูบคาง “ยังไม่ออกมาอีก หรือคิดจะให้ลงมือ”


 


 


เฉิงฉู่ไม่มีเจตนาลงมือ จึงลุกขึ้นเดินออกมา


 


 


ลูกตาของเยี่ยเม่ยกวาดมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดรัดรูปสีดำ มีท่าทางไม่เลว


 


 


ขณะที่นางกำลังประเมินอีกฝ่าย เฉิงฉู่ก็ประเมินนางเช่นกัน เขาคิดว่าหลายปีที่ผ่านมาพบเห็นหญิงงามมานับไม่ถ้วน แต่ที่คล้ายกับเยี่ยเม่ยเช่นนี้ รูปโฉมโดดเด่น อากัปกิริยาโดดเด่น มีความเย็นชาและเหินห่าง ทั้งยังเป็นสตรีที่อวดดีอยู่ไม่น้อย นับเป็น…


 


 


เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบ


 


 


เขาคิดถึงคำพูดของผู้อาวุโส นี่คือสตรีที่จะแนะนำให้นายท่าน อืม แม่นางผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม หรือว่าพลังธาตุบุปผาประจำกายนาง เทียบเคียงกับนายท่านได้ ดูท่าครั้งนี้ท่านผู้อาวุโสจะจริงจัง


 


 


 “เจ้าคือ” เยี่ยเม่ยถาม อย่างไรเสียที่นี่ก็คือหมู่ตึกกูเยว่ ดังนั้นนางไม่กล้าลงมือโดยพลการ


 


 


เฉิงฉู่ตอบ “ข้าน้อยเป็นหัวหน้าองครักษ์เงาของหมู่ตึกกูเยว่ มีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้ท่าน”


 


 


เขาย่อมไม่เอ่ยว่า นายท่านสั่งให้เขามาเฝ้านางเอาไว้…


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “อืม ขอบคุณมาก ข้าไม่ต้องการความคุ้มครอง เจ้ากลับไปเถอะ”


 


 


 “ขอรับ”


 


 


เฉิงฉู่ไม่รั้งรออยู่ หมุนตัวจากไปทันที


 


 


เยี่ยเม่ยจัดแจงชุดของนาง เริ่มโคจรพลังอีกครั้ง นางมีความรู้สึกว่าจะทะลวงกำลังภายในครั้งที่สามในวันนี้ 

 

 


ตอนที่ 216 พบกูเยว่อู๋เหินครั้งแรก

 

 “นางมีพลังธาตุบุปผาอย่างนั้นหรือ” กูเยว่อู๋เหินถามขึ้น สายตายังคงราบเรียบ ทว่าเบื้องลึกในดวงตาเผยความแปลกใจ


 


 


ครั้งก่อนที่ธาตุบุปผาปรากฏตัวออกมาก็ผ่านไปสามร้อยปีแล้ว


 


 


เฉิงฉู่พยักหน้า “ขอรับ เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าน้อยเห็นด้วยตาตัวเอง อีกอย่างนางยังพบเห็นข้าน้อยอีกด้วย…”


 


 


เมื่อคิดแล้ว เฉิงฉู่ก็ไม่ยินยอม กระทั่งผู้อาวุโสยังหาเขาไม่พบ สตรีที่พบหน้ากันครั้งแรกไม่เพียงแต่จะพบตัวเขา ทั้งยังเรียกเขาออกมา ช่าง…น่าขายหน้านัก


 


 


เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เสียหน้าเช่นนี้


 


 


 “อืม” กูเยว่อู๋เหินปรายตามองเขา เอ่ยเสียงเรียบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นธาตุบุปผา นางไม่สมควรพบเห็นเจ้าได้ถึงจะถูก”


 


 


อย่างไรเสียในรายชื่อของสุดยอดฝีมือก็ยังไม่มีชื่อของสตรีนางนี้


 


 


นั่นก็หมายความว่า วรยุทธ์ของนางยังไม่บรรลุขั้นสุดยอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมนางถึงพบตัวของเฉิงฉู่ได้กัน


 


 


นี่เป็นจุดที่เฉิงฉู่ไม่พอใจ “นายท่าน จากกำลังภายในของนาง ด้านพลังยุทธ์นางน่าจะอยู่ในระดับเริ่มต้น กำลังภายในยังเทียบกับข้าไม่ได้เลย แต่นางดันพบตัวข้าน้อย อีกทั้งดูจากท่าทางของนาง คล้ายกับไม่เห็นข้าน้อยอยู่ในสายตา ข้าน้อยรู้สึกเหลือเชื่อมาก”


 


 


ดูจากท่าทางของเยี่ยเม่ยแล้ว หาได้มั่นใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว แต่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาจริงๆ


 


 


คนที่มีกำลังภายในห่างชั้นกับตนเองมาก ไฉนถึงมีความมั่นใจถึงขั้นนี้ เฉิงฉู่ขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก


 


 


สีหน้าของกูเยว่อู๋เหินยังไม่เปลี่ยนแปลง นิ่งสงบไร้อารมณ์เช่นเดิม


 


 


สั่งการเสียงเบาว่า “ถอยไปเถอะ”


 


 


 “ขอรับ”


 


 


เฉิงฉู่ไม่รู้ความคิดของเจ้านายตนเอง เมื่อบอกให้เขาไป เขาก็จากไปแล้ว


 


 


……


 


 


จงรั่วปิงกลับถึงหมู่ตึกกูเยว่ ซ่งอวี้เชวียบอกฐานะของตนเองออกไป ก็รบเร้าพัวพันจะตามกลับมาพร้อมกันเพื่อสนทนาเรื่องชีวิตที่ยังคุยไม่จบกับกูเยว่อู๋เหินให้ได้


 


 


เขาสาบานว่าจากความเป็นอริที่ซินเยว่เยี่ยนมีให้เขา หากเขาไม่หลอกล่อให้กูเยว่อู๋เหินกลายเป็นพวกไม่ยอมแต่งได้สำเร็จ จะขอเขียนชื่อกลับหลังไปเสียเลย


 


 


จงรั่วปิงกลับมาถึงเรือนฝั่งตะวันออก เขาก็มุ่งตรงไปที่เรือนฝั่งตะวันตก


 


 


จากนั้น เขาก็พบเฉิงฉู่หน้าคล้ำง้ำงอยืนอยู่หน้าประตูห้องกูเยว่อู๋เหิน เขาโบกไม้โบกมือให้เฉิงฉู่ อีกฝ่ายก็รีบวิ่งเข้ามาหา “คุณชายซ่ง ไม่ใช่ว่าท่านถูกผู้อาวุโสโยนออกไปแล้วหรือไง”


 


 


 “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าบอกข้ามาว่าจู่ๆ ซินเยว่เยี่ยนกลับมาเพราะอะไร” ซ่งอวี้เชวียสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห


 


 


เฉิงฉู่รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ซ่งอวี้เชวียฟังทันที…


 


 


ซ่งอวี้เชวียพยักหน้า ใบหน้าทรงเสน่ห์นั้นเผยรอยยิ้มชั่วร้าย


 


 


 “เจ้าไปจัดห้องพักให้ข้าหน่อย…”


 


 


 “ขอรับ”


 


 


……


 


 


ตกดึก


 


 


เยี่ยเม่ยออกจากห้องตัวเอง เดินไปยังป่าไผ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ในใจยังกังวล หลังจากที่ซินเยว่เยี่ยนจากไปแล้ว ก็ไม่กลับมาหานาง ทั้งไม่ได้ยินว่ากูเยว่อู๋เหินจะพบนางด้วย


 


 


นางเดินทางมาถึงหมู่ตึกกูเยว่ใช้เวลาไปสี่วันแล้ว หนทางกลับไปก็สี่วันเช่นกัน วันนี้เสียเปล่าไปหนึ่งวัน หากพรุ่งนี้ยังไม่ได้พบกูเยว่อู๋เหินอีก เรื่องราวก็จะยุ่งยากมาก


 


 


ระหว่างกลัดกลุ้มเยี่ยเม่ยยืนอยู่ข้างป่าไผ่ แหงนหน้าชมจันทร์บนฟ้า


 


 


ในเวลานี้เอง นางได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทิศที่ห่างออกไป


 


 


ยังไม่ทันหันไปมองดู กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดวูบมายังตำแหน่งของนาง เยี่ยเม่ยใจเต้นระส่ำ ขยับหลบไปด้านซ้ายในฉับพลัน หลีกเลี่ยงการโจมตีได้คราหนึ่ง


 


 


ส่วนคนผู้นั้นคล้ายคาดเดาได้ว่านางจะหลบไปทางซ้าย ประเคนฝ่ามือหนึ่งเข้ามาจู่โจมนางอีกครั้งเยี่ยเม่ยแววตาเย็นเยียบ กระชากพัดที่เหน็บอยู่ข้างเอวออก พัดคลี่ออกราวกับดอกไม้อยู่กลางอากาศ หมุนคว้างอยู่กลางฝ่ามือนาง ยับยั้งกำลังจากฝ่ามือนั้น ทำให้ไม่เกิดอะไรขึ้น


 


 


เยี่ยเม่ยมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา ทว่านางตกตะลึงไปชั่วครู่


 


 


ร่ายกายคนผู้นั้นตรงราวกับต้นไผ่…. ชุดต่วนสีขาวทั้งร่าง ปักลายดอกไม้สีฟ้าและสีดำ บนผมครอบด้วยรัดเกล้าหยกสีขาวสะอาด สองด้านมีปอยผมราวเส้นไหมทิ้งยาวลงมา ยิ่งทำให้เขาดูเหนือจากโลกหล้า


 


 


ส่วนอาภรณ์ที่เดิมทีดูเต็มไปด้วยลวดลาย ทว่าเพราะสีสันเข้ากันได้กลับไม่ดูลายตาเกินเหตุ แสดงออกถึงรสนิยมสูงส่งของผู้เป็นเจ้าของ


 


 


ภายใต้แสงจันทรา


 


 


เขาคล้ายกับดวงจันทร์สาดส่อง สูงส่ง สงบนิ่ง และเย็นเยือกอย่างสูงสุด


 


 


เพียงแต่ว่า…


 


 


ใบหน้าของเขามีหน้ากากดูดุร้ายอันหนึ่งบดบังอยู่ ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นโฉมหน้า แต่ถึงเป็นเช่นนี้เยี่ยเม่ยก็ยังคาดเดาได้ว่า ต้องเป็นบุรุษรูปงามเหนือโลกอย่างแน่นอน คนที่มีกิริยาเช่นนี้ รูปลักษณ์ย่อมไม่ธรรมดา


 


 


นางเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือ”


 


 


คนผู้นั้นไม่ตอบ เขาเดินมายืนนิ่งข้างกายนาง


 


 


สายตานิ่งสงบมองแสงจันทร์บนฟ้า น้ำเสียงเย็นเยือกราวหิมะบนภูเขาน้ำแข็ง “แม่นางคิดว่าทิวทัศน์ของหมู่ตึกกูเยว่เป็นเช่นไร”


 


 


เห็นเขาไม่มีวี่แววจะลงมือ จิตสังหารจากร่างเยี่ยเม่ยก็ถดถอยลงไปหลายส่วน


 


 


แต่ก็ยังระวังบุรุษด้านข้างอยู่บ้าง กันไม่ให้เขาสบโอกาสลงมืออีกครั้ง นางตอบกลับไปด้วยเสียงนิ่ง “ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งหรือว่าดอกไม้ต้นไม้ ก็มากพอให้เห็นว่าประมุขของหมู่ตึกกูเยว่เป็นคนมีรสนิยมสูงส่ง”


 


 


 “อ้อ” บุรุษผู้นั้นเบือนหน้ามองนางทีหนึ่ง กลับเป็นท่าทางยินยอมพร้อมรับฟัง


 


 


เยี่ยเม่ยรีบเอ่ยทันที “ยกตัวอย่างรายละเอียดปลีกย่อยอย่างหนึ่งก็แล้วกัน สิ่งปลูกสร้างทั่วไปในสวนดอกไม้ มักเป็นภูเขาจำลอง ทำให้ทิวทัศน์เหมือนกับธรรมชาติ ทว่าหมู่ตึกกูเยว่กลับเลือกปลูกต้นไผ่ คนยืนในป่าไผ่สูง เงยหน้าก็เห็นจันทร์บนฟ้า นี่ถือเป็นวิวทิวทัศน์ตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ราวกับว่าตัวตนและทิวทัศน์นั้นคือทิวทัศน์ตามธรรมชาติ ถือเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด”  


 


 


ครั้นเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา เยี่ยเม่ยก็เสริมต่อว่า “ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง การปลูกดอกไม้ต้นไม้ในสวน หากให้เวลาข้าสิบปีในการดูแล ข้าก็ไม่อาจจัดเป็นภาพเช่นนี้ออกมาได้”


 


 


นี่เป็นคำพูดจากใจจริง


 


 


นางรักชื่นชม แต่ไม่ได้หมายความว่านางมีความสามารถด้านศิลปะมากพอจะจัดสวนได้ กลับกันนางเกิดมาก็ขาดพรสวรรค์ด้านงานศิลปะแล้ว ดังนั้นให้เวลานางอีกสิบปี นางก็ทำออกมาไม่ได้


 


 


บุรุษผู้นั้นพึงพอใจคำวิจารณ์ของเยี่ยเม่ย เขาโบกมือเบาๆ


 


 


สักครู่ก็มีคนหลายคนถือถาดเดินออกมา


 


 


เขาชี้ไปที่โต๊ะหินไม่ไกลออกไป บ่งบอกให้เยี่ยเม่ยไปนั่ง


 


 


เยี่ยเม่ยไม่คัดค้าน เดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะหิน บ่าวไพร่ค่อยวางสุราและจอกแก้วที่อยู่ในถาดลง


 


 


บนโต๊ะมีสุราสามกา


 


 


บ่าวผู้หนึ่งยกกาสุราขึ้น รินให้พวกเขาคนละจอก


 


 


บุรุษผู้นั้นยกจอกสุราขึ้นดื่ม เยี่ยเม่ยก็ยกขึ้นดื่มเช่นกัน


 


 


เมื่อสุราหนึ่งจอกไหลลงสู่ท้อง สายตาราบเรียบของบุรุษก็มองเยี่ยเม่ย ถามด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า “แม่นางคิดว่าสุรานี้เป็นอย่างไร”


 


 


 “หอมกำจายไปสามลี้ อย่างนี้สมควรบ่มไว้ยี่สิบปีแล้ว” เยี่ยเม่ยเข้าใจเรื่องสุรามากพอ


 


 


บุรุษผู้นั้นมองบ่าวด้านข้างอีกครั้ง


 


 


บ่าวรินสุราอีกกาให้ทั้งสองคนละจอกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เยี่ยเม่ยหยิบจอกสุราดื่มทันที สักครู่หนึ่งสายตานางก็วาวโรจน์


 


 


ไม่รอให้บุรุษตรงหน้าเอ่ยปาก นางก็ชิงกล่าวว่า “สุรานี้ข้ารู้จัก สุรานี้ดื่มแบบนี้ไม่ถูกต้อง”


 


 


 “อ้อ” สายตาราบเรียบของบุรุษผู้นั้นเผยประกายความสนใจขึ้นมาบ้าง 

 

 


ตอนที่ 217 ไม่ทราบว่าเยี่ยเม่ยคู่ควรเ...

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าโชคของตัวเองไม่เลวนัก นางเข้าใจว่าความคุ้นเคยที่มีต่อสุราของตนดึงความสนใจจากบุรุษตรงหน้าแล้ว


 


 


นั่นก็หมายความว่า…


 


 


เรื่องที่นางมาขอยาก็มีโอกาสมากขึ้น


 


 


อีกอย่างนางกล้าพนันว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีทางเข้าใจสุราชนิดนี้ไปมากกว่านาง ถึงกระทั่งคนผลิตสุราชนิดนี้ในยุคนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจมากเท่านาง


 


 


เห็นสายตาเขามองมา เยี่ยเม่ยรีบกล่าวว่า “สุรานี้หาใช่สุราของภาคกลาง”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา สายตาของบุรุษนั้นที่มองนางก็สั่นสะท้าน


 


 


ฝ่ายเยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ข้าเดาว่า มันน่าจะเป็นสุราองุ่นขาว สถานที่ผลิตหากมิใช่ดินแดนซีอวี้ก็มาจากต่างแดน สุราชนิดนี้เอามาดื่มแบบนี้นับว่าเสียของแล้ว ไม่สู้คุณชายลองให้บ่าวไพร่เอาถังน้ำแข็งมาหลายใบ เอาสุราแช่ลงไปสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นค่อยลองดื่มดูใหม่”


 


 


บุรุษผู้นั้นหันหน้า ส่งสายตาหาบ่าวประจำตัวด้านข้าง


 


 


บ่าวผู้นั้นเข้าใจทันที รีบไปเอาถังน้ำแข็งมา


 


 


จากนั้นน้ำเสียงราบเรียบของบุรุษก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้หลังจากแช่เย็นแล้วจะแตกต่างไปจริงหรือไม่ มิสู้ขอให้แม่นางอยู่เป็นเพื่อนสักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน”


 


 


 “ไม่เป็นไร” เยี่ยเม่ยรับคำทันที


 


 


ถัดมา


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองสีจันทร์บนฟ้า ดวงจันทร์ทอแสงงดงามตา เพียงแต่ไม่น่าหลงใหลเทียบเท่าอากัปกิริยาของบุรุษข้างกายที่อยู่ใต้แสง


 


 


แต่ว่า


 


 


จะว่าไปมาถึงยุคสมัยนี้เป็นเวลาหลายวันมากแล้ว วันนี้เป็นครั้งแรกที่สงบใจนั่งลง ดื่มสุราชมจันทร์


 


 


ใบหน้าด้านข้างยามเยี่ยเม่ยมองพระจันทร์ เย็นชาทว่าจับใจคน


 


 


สีหน้าสบายใจคล้ายได้ปลดเปลื้องภาระอันใหญ่หลวงลงได้ ทำให้สายตาเขามองอยู่ที่ใบหน้านางอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


หรือว่านี่คือสีหน้ายามผ่อนคลาย อย่างนั้น…นางอยู่อย่างลำบากมาตลอดอย่างนั้นหรือ


 


 


ถึงกระทั่งความสบายเพียงชั่วครู่ ใบหน้าของนางมีอารมณ์สีหน้าเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างนี้นางยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู แน่นอนว่า…


 


 


บางทีนางอาจคาดเดาฐานะของเขาได้แล้ว


 


 


บ่าวนำถังน้ำแข็งเข้ามา วางสุราองุ่นขาวตามคำเรียกของเยี่ยเม่ยลงไปอย่างระวังมือ


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับมองบุรุษตรงหน้า พลันคลี่ยิ้มออก “หนึ่งชั่วยามนี้ คุณชายคิดจะนั่งรอจนผ่านไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ”


 


 


 “หรือแม่นางพอจะมีความรู้ด้านดนตรีบ้างหรือไม่” บุรุษหนุ่มกวาดตามองเยี่ยเม่ย


 


 


เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย เลิกคิ้วถาม “ก็พอจะเข้าใจบ้าง ข้าเป่าขลุ่ยได้ แล้วคุณชายเล่า”


 


 


 “เช่นกัน”


 


 


สิ้นเสียงของเขา สายตาก็ตวัดมองอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ไม่ช้า บ่าวก็นำขลุ่ยที่ทำจากหยกสีแดงเลือดเลาหนึ่งมอบให้กับเยี่ยเม่ย ขลุ่ยหยกเขียวอีกเลาหนึ่งวางไว้หน้าบุรุษหนุ่ม


 


 


เขาหยิบขลุ่ยหยกมรกตขึ้นมา ไม่บอกอะไรเยี่ยเม่ยแม้แต่นิดก็เริ่มเป่าเป็นทำนอง


 


 


เสียงขลุ่ยดังขึ้นเป็นท่วงทำนองเบาสบาย


 


 


ทำให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดความสบายคล้ายล่องลอยอยู่เหนือโลก เสียงขลุ่ยของเขาไพเราะมาก หาใช่คนทั่วไปจะเป่าได้ เยี่ยเม่ยฟังอยู่นานเท่าชั่วเวลาน้ำเดือด ถึงค่อยหาจังหวะเป่าขลุ่ยสอดประสานกับเขาได้


 


 


ในยามที่เสียงดนตรีของบุรษหนุ่มเปลี่ยนโทนเสียง นางก็พลันเป่าขลุ่ยคลอขึ้นมา


 


 


สองเสียงประสานเป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้ความละเอียดจะแตกต่าง ทว่าหาได้แตกต่างราวดินกับเมฆ หากมิใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านขลุ่ยก็ไม่มีทางฟังความต่างออกได้


 


 


สายตาของบุรุษหนุ่มทอความแปลกใจ


 


 


เมื่อสิ้นสุดการบรรเลงเพลงแรก


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยปากยอมรับว่าตนเองมีความสามารถไม่เพียงพออย่างตรงไปตรงมา “เทียบกับคุณชายแล้ว วันนี้ข้าแสดงความขายหน้าแล้ว”


 


 


นางรู้สึกว่า บุรุษผู้นี้หากเปลี่ยนไปอยู่ในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นศิลปินชั้นครูที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งแน่


 


 


เสียงขลุ่ยของนาง เมื่อก่อนเคยได้รับคำชมจากคนจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วยังห่างชั้นอยู่บ้าง


 


 


เขามิได้คัดค้าน สายตาที่มองเยี่ยเม่ยกลับวาวโรจน์ขึ้นอีก “แม่นางมิต้องถ่อมตนไปหรอก ในใต้หล้านี้คนที่บรรเลงเพลงร่วมกับข้าได้ มีแม่นางเป็นคนแรก”


 


 


ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเริ่มเป่าทำนอง หรือว่าเขียนเพลงก็ดี ในระหว่างนั้นไม่มีใครสักคนที่จะสอดประสานกับเขาได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังจะแสดงออกถึงความไม่เข้ากันของอีกฝ่ายได้ทันที เผยความต่างชั้นออกมา แต่ว่านาง…ถึงกับสอดประสานกับเขาได้ ถึงแม้สำเนียงเสียงจะด้อยกว่าเขา แต่ก็ชวนให้คนตกใจได้แล้ว


 


 


 “ก็จริง” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ต้องบอกว่า ถึงจะด้อยกว่าท่านไปเล็กน้อย แต่คนที่เทียบเคียงกับข้าได้ในโลกมีน้อยมาก”


 


 


ความมั่นใจเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้นางยังพอมีอยู่บ้าง


 


 


บุรุษหนุ่มกลับถามขึ้นว่า “เป่าขลุ่ยสู้ข้าไม่ได้ แม่นางไม่รู้สึกเสียใจบ้างหรือ”


 


 


น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉย จับอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้


 


 


เยี่ยเม่ยยิ้มด้วยความไม่ใส่ใจ มองบุรุษเบื้องหน้า เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “ศิลปะมีผู้เชี่ยวชาญ คุณชายเป็นศิลปินมาแต่กำเนิด หากเทียบกับเรื่องรสนิยมความชอบและพรสวรรค์เกรงว่าจะไม่มีใครเทียบคุณชายได้ ส่วนข้าเดิมก็หาใช่คนสูงส่งอะไร ข้าไม่เชี่ยวชาญในหนทางเหล่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้มีอะไรให้เสียใจกัน”


 


 


นางคือนักฆ่า


 


 


เรื่องที่นางถนัดที่สุดก็คือ จะสังหารคนโดยไม่ส่งเสียงได้อย่างไร หากเทียบกับเรื่องสังหารคนแล้ว จิ่วหุนก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือนาง


 


 


แล้วเหตุใดจึงต้องเอาสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดไปเทียบกับความเชี่ยวชาญของผู้อื่นด้วยเล่า


 


 


หากทำเช่นนี้ก็พานจะคิดไม่ตกเอา


 


 


ครั้นเยี่ยเม่ยตอบกลับมา บุรุษหนุ่มนิ่งไป ดวงตายังคงสงบนิ่งดังเดิม เพียงแต่สายตาที่มองนางเทียบกับความเย่อหยิ่งก่อนหน้าแล้ว ยังดูเป็นมิตรขึ้นหลายส่วน


 


 


เวลาหนึ่งชั่วยาม จะบอกว่าเร็วก็ไม่เร็ว ช้าก็ไม่ช้า


 


 


บ่าวนำขวดสุราออกจากถังน้ำแข็ง เตรียมเทให้พวกเขา


 


 


เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยว่า “รอก่อน สุรานี้ไม่เพียงแค่ต้องแช่น้ำแข็งเท่านั้น ทางที่ดีก่อนจะดื่มยังต้องวางทิ้งไปชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป เพื่อเป็นการปล่อยให้สุราหายใจ”


 


 


บ่าวมองบุรุษผู้นั้นทีหนึ่ง เพื่อถามความเห็น


 


 


บุรุษหนุ่มพยักหน้า แสดงออกว่าให้ทำตามที่เยี่ยเม่ยสั่ง


 


 


บ่าวฟังแล้วจึงวางลง


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็รินสุราอีกครั้ง บุรุษหนุ่มและเยี่ยเม่ยดื่มพร้อมๆ กัน รสชาติดีกว่าเมื่อครู่มากจริงๆ ด้วย


 


 


แววตาของบุรุษหนุ่มทอความประหลาดใจ


 


 


ถามขึ้นว่า “แม่นางรู้ได้อย่างไรว่า สุรานี้ต้องใช้วิธีนี้ถึงจะมีรสชาติดี”


 


 


แม้กระทั่งตอนที่เขาซื้อสุราชนิดนี้มาก็ยังไม่มีใครบอกถึงวิธีการนี้ ในแหล่งที่นิยมดื่มสุราชนิดนี้ก็ไม่เคยได้ฟังว่าน้ำแข็งช่วยให้สุรามีรสชาติดีขึ้น แต่นางถึงกับรู้ได้


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเบา ถามว่า “อร่อยก็พอแล้ว ไฉนคุณชายต้องรู้สาเหตุด้วยเล่า เพียงแต่ว่าคืนนี้คุณชายลอบประเมินฝีมือก็ทำไปแล้ว ถกเรื่องรสนิยมก็ผ่านไปแล้ว เรื่องสุราก็ถามไปแล้ว แม้กระทั่งทดสอบดนตรีก็ยังทำไปแล้ว ไม่รู้ว่าข้าผู้นี้คู่ควรเป็นสหายกับ ประมุข…กูเยว่แล้วหรือยัง”


 


 


แรกได้พบหน้า เขาก็ประลองฝีมือนาง เพียงแค่สองกระบวนท่า ถึงนางจะไม่ชนะ แต่ก็ไม่พ่ายแพ้


 


 


ยามบรรยายถึงทัศนีย์ภายในหมู่ตึกกูเยว่ ถึงวิธีการตกแต่งและออกแบบของนางสู้เขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็รู้จักชื่นชม


 


 


เรื่องสุรา อาศัยความเข้าใจสุราองุ่นขาวของนางเหนือก้าวเขาขั้นหนึ่ง


 


 


ส่วนเรื่องดนตรี นางพ่ายแพ้ให้กับเขา


 


 


ดังนั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน สามารถฝืนบอกได้ว่าเสมอ


 


 


 “แม่นางรู้ฐานะของกูเยว่?” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะ “คนที่ลงมือกับแขกในหมู่ตึกได้อย่างอิสระ ทั้งยังสั่งการบ่าวไพร่ได้ แม้กระทั่งดึกดื่นค่อนคืนยังเป่าขลุ่ยร่วมกับข้า ส่งเสียงรบกวนคนยามหลับฝันโดยไม่กลัวถูกตีตายเลยสักน้อย นอกจากประมุขของหมู่ตึกกูเยว่แล้วยังเป็นใครได้อีก ไม่สู้คุณชายถอดหน้ากากออก ให้ข้าได้ชมรูปโฉมของท่าน”


 


 


เขากลับหัวเราะออกมาเบาๆ


 


 


ยื่นมือถอดหน้ากากออก


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าเบื้องหน้า เยี่ยเม่ยที่แต่เดิมหัวเราะอยู่ถึงกับหยุดหายใจ 

 

 


ตอนที่ 218 เรื่องราวในอดีตของกูเยว่อู...

 

ใบหน้าของกูเยว่อู๋เหินภายใต้แสงคล้ายภาพมายาฝัน งดงามเสียจนไม่คล้ายกับเป็นคนบนโลกมนุษย์ ริมฝีปากบางเฉียบ คิ้วโก่งเรียวยาวเป็นเสมือนผลงานที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงามโดยมิต้องสงสัย ดวงตาคู่งามทว่าเรียบเฉยยิ่งทวีความเหินห่างและสูงส่ง


 


 


คนผู้นี้ ใบหน้าเช่นนี้…


 


 


สายลมที่อิสระเสรี บุปผาอันงดงาม เกล็ดหิมะแสนเย็นชา ดวงจันทราสว่างไสว ล้วนไม่อาจเสียได้แม้แต่หนึ่งในสิบส่วนของเขา


 


 


เป็นบุรุษรูปงามอย่างแท้จริง…ถึงกระทั่งสายลม บุปผา หิมะและจันทรายังต้องหลีกหนีเขา


 


 


หลังจากความตกใจเพียงชั่ววูบผ่านไป เยี่ยเม่ยก็ได้สติอีกครั้ง เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าคาดเดาได้ว่าประมุขกูเยว่ต้องเป็นบุรุษรูปงาม แต่สุดท้ายก็ยังงดงามเหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้!”


 


 


ในบรรดาบุรุษที่นางเคยพบมาจนถึงเวลานี้ คนที่มีรูปโฉมเทียบเคียงกันได้ก็มีเพียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน จิ่วหุนและเป่ยเฉินอี้สามคนนี้เท่านั้น


 


 


กูเยว่อู๋เหินย่อมดูออกว่านอกจากความตกใจในสายตาของอีกฝ่ายแล้ว ก็หามีสิ่งอื่นอีก


 


 


เขาหาใช่คนโง่ ซ้ำยังมีไหวพริบฉลาดหลักแหลม ถามเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางมีที่หมู่ตึกกูเยว่ด้วยจุดประสงค์ใด”


 


 


 “ขอยา!” เยี่ยเม่ยตอบเข้าประเด็นทันที เอ่ยปากไปอย่างรวดเร็ว “หลังจากน้องชายข้าถูกพิษก็ถูกคนไล่สังหาร พลังชีวิตลดจนแทบไม่เหลือ จะได้ต้องใช่สมุนไพรสามชนิดนี้ถึงช่วยเขาได้ อีกทั้งเวลายังกระชั้นชิดมา หวังว่าท่านประมุขจะมอบยาให้ ถือว่าเยี่ยเม่ยติดค้างน้ำใจท่านครั้งหนึ่ง!”


 


 


กูเยว่อู๋เหินเห็นสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความจริงใจ พลันเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาลุกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ของอยู่ที่หอเทียนจี หากภายในสามวันแม่นางนำของไปได้ ก็ถือว่ามอบให้กับแม่นาง ส่วนเรื่องน้ำใจ กูเยว่อู๋เหินไม่ต้องการ”


 


 


เขากูเยว่อู๋เหินไม่ต้องการให้ใครมาติดค้างน้ำใจทั้งนั้น


 


 


สิ้นเสียง เขาก็จากไป


 


 


ภายใต้แสงจันทรา ร่างกายยืดตรงสง่าผ่าเผยของเขาละม้ายกับเทพจันทราที่มาเยือนโลกมนุษย์ ชวนให้คนหลงใหลทั้งรู้สึกห่างเหินอย่างสุดซึ้ง


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วแน่น ไม่เข้าใจว่าไฉนประมุขหมู่ตึกกูเยว่ผู้นี้ จู่ๆ คิดจะไม่พอใจก็ไม่พอใจเอาดื้อๆ เมื่อครู่ยังพูดคุยกันดีๆอยู่เลย ไฉนเพียงพริบตาก็…


 


 


ในขณะที่กลัดกลุ้ม นางก็สาวเท้ากว้างๆ กลับห้องตนไป จงรั่วปิงที่อยู่ในห้องเยี่ยเม่ยพอดี เยี่ยเม่ยเอ่ยปากถามว่า “เจ้ารู้จักประมุขหมู่ตึกกูเยว่ผู้นี้บ้างหรือไม่”


 


 


 “เคยได้ฟังมาบ้าง” จงรั่วปิงไม่รีรอ “เขาคือประมุขของหมู่ตึกกูเยว่ มีนามว่าเยว่อู๋เหิน เพราะชื่อเสียงของหมู่ตึก คนทั้งหลายต่างเรียกเขาว่าคุณชายกูเยว่ เขามีฝีมือเข้มแข็ง หากเทียบกันเรื่องวรยุทธ์แล้ว สมควรเทียบเคียงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ ส่วนนิสัย…”


 


 


ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ จงรั่วปิงก็ถอนใจ “นิสัยเฉยชา ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนไม่อยู่ในสายตา ทั้งยังเย่อหยิ่งโอหัง ตาสูง เพียงแต่ได้ยินว่าสิบห้าปีก่อน หมู่ตึกกู่เยว่เผชิญเรื่องกวาดล้างสำนักครั้งหนึ่ง บิดามารดาของเขาตายจนหมดสิ้น อดีตสามผู้อาวุโสรุ่นก่อนของหมู่ตึกกูเยว่ พาเขาในวัยเยาว์และซินเยว่เยี่ยนหนีเอาชีวิตรอด หลังจากนั้นเจ็ดปี เขาค่อยกลับมาควบคุมอำนาจในหมู่ตึกอีกครั้ง ซ้ำยัง…สังหารศัตรูเก้าชั่วโคตรด้วยตัวเอง ไม่ทิ้งเอาไว้สักคนเดียว”


 


 


สังหารศัตรูด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทั้งตระกูล แต่เป็นเก้าชั่วโคตร


 


 


เยี่ยเม่ยลมหายใจสะดุด สุดจะจินตนาการได้ว่าบุรุษที่เหมือนแสงจันทราทอประกายอยู๋เหนือโลกจะสังหารคนด้วยตัวเอง ทั้งยังสับแหลกเป็นแปดชิ้น


 


 


จงรั่วปิงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “เจ้าก็รู้ว่า ข้ากับซินเยว่เยี่ยนยังพอนับว่าคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ดังนั้นเรื่องพวกนี้นางเป็นคนเล่าให้ข้าฟัง นางบอกว่านับตั้งแต่ กูเยว่อู๋เหินหนีเอาชีวิตครั้งนั้น นิสัยก็เปลี่ยนเป็นเฉยชาอย่างถึงขั้นสุด โดยเฉพาะหลังจากแก้แค้นแล้ว ก็นิ่งเฉยเข้าไปใหญ่ แม้แต่ซินเยว่เยี่ยนยังดูไม่ออกว่าเขาใส่ใจอะไร นี่คือสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมด!”


 


 


 “มากพอแล้วล่ะ!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


ในเมื่อเขาเป็นคนที่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้ จวบกับมีนิสัยแบบนี้ จู่ๆ โพล่งออกมาให้นางใช้ความสามารถแย่งยาของเขาไป ซ้ำยังไม่ใส่ใจเรื่องหนี้บุญคุณ กลับดูจะสมเหตุสมผล


 


 


พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนสายตาสูงส่ง ไม่ใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้าง คนอื่นคิดเอาของไป ก็ต้องใช้ความสามารถ


 


 


เพียงแต่ว่า จากการแสดงออกของกูเยว่อู๋เหิน เยี่ยเม่ยยังรู้สึกว่ามีตรงไหนที่แปลกนัก


 


 


หากเป็นเพราะนิสัยของเขาจริงๆ ตั้งแต่แรกเขาก็ต้องเอ่ยปากให้นางใช้ความสามารถเอาของมาก็พอแล้ว ไฉนๆ ต้องถามเรื่องทิวทัศน์ของหมู่ตึก เดี๋ยวก็ชิมสุรา เดี๋ยวก็เล่นดนตรีด้วย จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ


 


 


ในขณะที่นางอยู่ในความแปลกใจ จงรั่วปิงก็ถามว่า “เป็นอะไรแล้ว”


 


 


 “อ้อ ไม่มีอะไร!” เยี่ยเม่ยส่ายหน้าสลัดความสงสัยท่ามกลางความเบิกบานใจออก ก็น่าจะไม่มีอะไรนะ เพียงแต่นิสัยของกูเยว่อู๋เหินแปลกประลาดอยู่บ้าง รู้สึกว่าต่อให้อาศัยวิธีการของนางไปเอาตัวยามา โอกาสนี้บางทีอาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาทดสอบนางก่อนถึง


 


 


อืม


 


 


 น่าจะเป็นอย่างนี้สินะ


 


 


ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น


 


 


คนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งตรงเข้ามาล้อมห้องเยี่ยเม่ยเอาไว้ ผู้นำก็คือเฉิงฉู่!


 


 


จงรั่วปิงมองเฉิงฉู่ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน!”


 


 


เฉิงฉู่ตั้งอกตั้งใจทำงาน จ้องมองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ท่านประมุขบอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยคิดนำสมุนไพรของหมู่ตึกกูเยว่เราไป ดังนั้นจึงให้พวกข้ามาเฝ้าไว้ ไม่ให้แม่นางเยี่ยเม่ยหนีรอดจากการสังเกตการณ์ของพวกเรา อีกอย่างทุกๆ เวลาหนึ่งก้านธูป ข้าจะเปิดหน้าต่างตรวจสอบดูหนึ่งเที่ยวว่าท่านยังอยู่ในห้องหรือไม่ สมุนไพรทั้งสามชนิดเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะเข้าใจการกระทำของท่านประมุข”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเฉิงฉู่นิ่งๆ “อยากให้ข้าเข้าใจอย่างนั้นเหรอ”


 


 


 “แน่นอน!” เฉิงฉู่พยักหน้า


 


 


เยี่ยเม่ยถามว่า “เพื่อสมุนไพรล้ำค่าสามชนิดจริงๆ หรือว่าอยากดูว่าข้ามีความสามารถถึงระดับกันแน่”


 


 


เฉิงฉู่คลี่ยิ้มออกทันที “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนฉลาดนัก! ท่านประมุขอยากรู้ว่าท่านมีความสามารถถึงขั้นไหนจริงๆ อย่างไรเสีย ภายใต้การสังเกตการณ์ของพวกเรา ทันทีที่แม่นางเคลื่อนไหว พวกเราก็จะเชิญนายท่านมาขวางแม่นางไว้ ดังนั้นไม่เพียงทดสอบความสามารถของท่าน ยังทดสอบสติปัญญาของท่านด้วย ขอให้แม่นางรับมือให้ดี!”


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไปเล็กน้อยก็พยักหน้า เอ่ยปากว่า “ผู้เป็นแขกย่อมคล้อยตามเจ้าบ้าน สารท้ารบนี้ข้ารับไว้แล้ว”


 


 


 “แม่นางเป็นยอดสตรีนัก!” เฉิงฉู่รีบโค้งตัวคารวะ สายตากวาดมองคนชุดดำกลุ่มนั้นล้อมห้องเยี่ยเม่ยเอาไว้


 


 


……


 


 


ห้องกูเยว่อู๋เหิน


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยืนอยู่หน้าน้องชายบุญธรรม กล่าว “นายท่าน ได้ยินว่าท่านสั่งให้คนไปจับตาดูเยี่ยเม่ยเอาไว้หรือ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่า นอกจากมาดูตัวแล้วนางก็มาขอยาสมุนไพรด้วย หากท่านพอใจในตัวนาง ก็เอายามอบเป็นของขวัญพบหน้าให้นางเสีย บ่าวรายงานว่าเมื่อคืนท่านได้พบนางแล้ว หรือว่าท่านไม่พอใจกัน”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรู้สึกว่าไม่ถูกต้องตามหลักการเอาเสียเลย เยี่ยเม่ยเป็นสตรีที่โดดเด่นเช่นนั้น เป็นยอดหญิงแห่งยุคสมัยนี้ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอู๋เหินไม่พอใจอะไรอีก


 


 


กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว ก็มองนางเรียบๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “นางมาแค่ขอยาสมุนไพร ยังมีอย่างอื่นอีกหรือ”


 


 


 “เอ๊ะ? เรื่องนี้…” ซินเยว่เยี่ยนมองสีหน้าของน้องชายทีหนึ่งก็คิดได้ว่าอู๋เหินคงรู้ความจริงแล้ว


 


 


สีหน้าขาวซีดลงทันที เอ่ยตะกุกตะกักว่า “เรื่องนี้…เรื่องนี้…ใช่เรื่องสำคัญหรือ หากเจ้าพอใจในตัวนาง เจ้าเป็นบุรุษก็ควรรุกเสียหน่อย ถึงจะถูก!”


 


 


จากนั้นกูเยว่อู๋เหินกลับไม่ได้ฟังความในใจของซินเยว่เยี่ยนเลยสักน้อย เอ่ยว่า “หากมาเพียงแค่ขอยา อย่างนั้นก็ยึดตามกฎของหมู่ตึกกู่เยว่ ส่วนที่ว่านางมีค่าพอให้ข้าเป็นฝ่ายรุกก่อนมั้ย ก็อยู่ที่นางมีความสามารถนำยาไปได้หรือไม่” 

 

 


ตอนที่ 219 สมองของพวกเจ้าขาดการคิดวิเ...

 

“ท่านประมุข!” ซินเยว่เยี่ยนยังคิดเอ่ยวาจาแทนเยี่ยเม่ย  


 


 


ทว่ากูเยว่อู๋เหินแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังอีก เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้นางออกไป เส้นเสียงสงบนิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะพักผ่อนแล้ว”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยืนอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าคงไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเขาได้อีกแล้ว


 


 


นางคิดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่รุกอย่างรุนแรงและจิ่วหุนผู้ภักดี ทั้งยังมีเป่ยเฉินอี้ที่คิดแต่งงานกับเยี่ยเม่ยโดยไม่รู้จุดประสงค์ชัดเจน ซินเยว่เยี่ยนเป็นสตรีนางหนึ่งยังรู้สึกว่าการไล่ตามจีบเยี่ยเม่ยช่างกดดันนัก


 


 


ช่างเถอะ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหลอกพาน้องสะใภ้มาบ้านได้ อู๋เหินกลับยังเฉยเมยเหมือนเคย รักษานิสัยรสนิยมสูงเอาไว้


 


 


คิดถึงจุดนี้ นางก็ขยี้เท้าอย่างหงุดหงิด เดินจากไป


 


 


เจ้าเด็กบ้านี่ เจ้าทำเป็นเย่อหยิ่งไปเถอะ ภายหน้าอย่าได้เสียใจก็แล้วกัน! ถึงยามนั้นอย่าได้ร้องเรียกให้ข้าช่วยเชียว!


 


 


……


 


 


ชายแดน


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยจากเมืองชายแดนไป ต้ามั่วเข้ามาโจมตีถึงสองครั้ง ทว่าทั้งสองครั้งล้วนถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนขับไล่กลับไปอย่างไม่เจ็บไม่คัน อีกทั้งสองฝ่ายยังไม่เกิดความสูญเสียยิ่งใหญ่อะไร


 


 


เมื่อชาวต้ามั่วรู้ว่าผู้คุ้มกันเมืองชายแดนในยามนี้คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ไม่กล้าเคลื่อนกำลังพลโดยพลการ ดังนั้นจึงได้แต่บุกตีทีละเล็กทีละน้อย


 


 


เพราะการโจมตีเล็กน้อยเช่นนี้ ดังนั้นนอกจากครั้งแรกที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย มอบหมายให้พวกเซียวเยว่ชิงลงมาจัดการแทน


 


 


เวลานี้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังนั่งอยู่บนหลังคา สองเท้าไขว่หากันด้วยท่าทางโอหัง ทว่าไม่สูญเสียกิริยาสูงส่งของตน มองแสงอาทิตย์แยงตาคนบนฟ้า พลันถามขึ้นว่า “ช่วงนี้เป่ยเฉินอี้ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยหรือ”


 


 


 “เขาอยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย!” อวี้เหว่ยตอบ


 


 


 “อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาฉุกคิดอะไรได้ ลืมตาขึ้นมาทันที “เจ้าบอกว่า เขาอยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่ได้ออกมาเลยสักครั้งอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “ขอรับ!” อวี้เหว่ยพยักหน้า เอ่ยปากว่า “เสี่ยวกวนส่งคนไปจับตาเขาตลอดเวลา หลังจากได้ยินว่าแม่นางเยี่ยเม่ยออกจากชายแดนแล้ว ทุกวันนั้นเขาก็อยู่ในห้อง จิบชา เดินหมากไม่ออกไปไหนสักก้าว เพราะว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรจึงไม่ได้รายงานความเคลื่อนไหวของเขาให้กับท่าน!”


 


 


คิดไม่ถึงว่าทันทีที่สิ้นเสียงเขา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันลุก สาวเท้ากว้างมุ่งหน้าไปยังเรือนของเป่ยเฉินอี้


 


 


น้ำเสียงเบาสบายของเขาเจือไปด้วยแววโทสะยากปิดบังได้ “ไม่มีปัญหาใดๆ อย่างนั้นหรืออวี้เหว่ย เจ้ากับเสี่ยวกวนสองคนสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานไปแล้วหรือไง อีกอย่างสมองของพวกเจ้าหยุดการทำงานแล้วใช่หรือไม่ ไร้คุณค่าในการดำรงอยู่ต่อไปอีกแล้ว”


 


 


 “เอ๋?” อวี้เหว่ยคิดขึ้นได้ ชั่วพริบตาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง หน้าซีดเผือดลงไปแล้ว “เตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ย…ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว!”


 


 


จริงด้วย ด้วยนิสัยที่กลัวใต้หล้าไม่วุ่นวายอย่างเป่ยเฉินอี้ ไฉนจะหมกตัวอยู่ในห้องได้ตั้งหลายวัน ไม่สร้างเรื่องราวอะไรเลย ถึงขั้นไม่ออกไปไหนด้วยซ้ำ


 


 


นี่ก็พิสูจน์ได้แล้ว


 


 


หากมิใช่เป่ยเฉินอี้แอบทำอะไรบางอย่าง โดยที่เขากับเสี่ยวกวนไม่รู้ตัวเลยสักน้อย ไม่อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่อยู่ในห้องหาใช่เป่ยเฉินอี้ไม่ แต่เป็นตัวแทนเป่ยเฉินอี้อยู่ในห้องนั้นเพื่อกันไม่ให้เกิดพิรุธ จึงไม่ออกจากห้อง


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ อวี้เหว่ยก็รู้สึกเสียววาบไปทั้งสรรพางกาย


 


 


ในขณะใคร่ครวญอยู่นั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มาถึงหน้าประตูห้องเป่ยเฉินอี้แล้ว เสี่ยวกวนที่หลบอยู่ด้านข้างตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงมาที่นี่


 


 


ในห้วงความสงสัย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็โบกมือเปิดประตูออก แสงมารสีแดงก่อตัวขึ้น ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ “เป่ยเฉินอี้” ที่นั่งอยู่กลางห้อง


 


 


เมื่อฝ่ามือนี้ฟาดออกไป


 


 


อีกฝ่ายกลับหลบไม่ได้จบชีวิตในฝ่ามือเขาทันที ฝ่ายอวี้เหว่ยก็รีบวิ่งเข้าไป ลูบคลำใบหน้าของอีกฝ่าย ไม่ช้าก็พบหน้ากากหนังมนุษย์อันหนึ่ง เขาดึงออกมาก็พบใบหน้าแสนธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้ไม่อยู่ในเมืองชายแดนแล้วจริงๆ


 


 


เสี่ยวกวนเข้ามาอย่างลนลาน เห็น “เป่ยเฉินอี้” บนพื้นก็ตะลึงงัน ไม่พูดมากก็คุกเข่าลงอย่างแรง “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อย…”


 


 


มารดามันเถอะ! เขาอยากร้องไห้เหลือเกิน ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่ ศัตรูฉลาดเกินไปหรือว่าเขาไม่ได้เรื่องเอง


 


 


ครั้งก่อนป้องกันจิ่วหุนก็ล้มเหลว ครั้งนี้จับตาดูเป่ยเฉินอี้ก็ยังผิดพลาดอีก


 


 


หัวกับคอเขาวันนี้จะแยกจากกันแล้วใช่หรือไม่


 


 


ในขณะที่ตกอยู่ในความโศกเศร้า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่เสี่ยวกวน เขาไม่กล้าหลบ รับเอาฝ่ามือนั้นเขาไปเต็มๆ มุมปากกระอักเลือดออกมา


 


 


ทว่าในใจเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้ว่าองค์ชายสี่ยั้งมือไว้ ไม่เช่นนั้นฝ่ามือนี้ต้องคร่าชีวิตน้อยๆ ไปแล้วแน่


 


 


 “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านมอบโอกาสแก้ตัวให้ข้าน้อยด้วย!” เสี่ยวกวนรีบรับผิดทันที


 


 


อวี้เหว่ยเพียงใช้ความคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทันที เขารีบรายงาน “เตี้ยนเซี่ย ถึงเป่ยเฉินอี้จะจากไปแล้ว แต่ผู้ติดตามของเขายังอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าเขาไปเพื่อขัดขวางแม่นางเยี่ยเม่ย แต่ว่าอาศัยเขากับองครักษ์เงาไม่กี่คนก็ไม่น่าทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ยได้ อย่างไรเสียนางก็มีความสามารถเหนือคนทั่วไป อีกอย่างข้างกายนางยังมีแม่นางซินกับแม่นางจงอยู่ด้วย!”


 


 


คำพูดนี้เป็นความจริง


 


 


เป่ยเฉินอี้คิดรั้งเยี่ยเม่ยเอาไว้ไม่ยาก แต่หากคิดเอาชีวิตคนคงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็หาใช่คนธรรมดา


 


 


อีกอย่างพิษในกายเป่ยเฉินอี้ยังไม่คลี่คลาย ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บ เป่ยเฉินอี้ในยามนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของเยี่ยเม่ยได้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก กวาดสายตามองเสี่ยวกวน สั่งการว่า “รีบส่งคนไปช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยทันที หากนางบาดเจ็บสักเล็กน้อย มีโทษเป็นสองเท่า เยี่ยนจะทำให้สมองที่ไร้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเจ้าแยกออกจากคอเจ้าเสีย!”


 


 


 “ขอรับ!” เสี่ยวกวนรีบหมุนตัว จากไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน


 


 


อวี้เหว่ยเองก็รีบคุกเข่าเสียงดัง “ตุบ” รู้อยู่แก่ใจว่าหากมิใช่เพราะเตี้ยนเซี่ยคาดการณ์ได้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่น่าเกิดเรื่อง วันนี้เขากับเสี่ยวกวนคงต้องตายอย่างแน่นอน “เตี้ยนเซี่ย ภายหน้าข้าน้อยจะใช้สมองให้มาก คิดเรื่องจิ้งหรีดให้น้อยลง เห็นแก่ความจงรักภักดีของข้าน้อย ท่านละเว้นข้าน้อยสักครั้งด้วย!”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันไปถีบเขาทีหนึ่ง


 


 


ลูกถีบนี้ถึงจะไม่หนักแต่ก็มิได้เบา อวี้เหว่ยรู้ว่าตัวเองบาดเจ็บ ได้แต่สะกดกลั้นไม่กล้าร้องออกมา


 


 


แล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป


 


 


อวี้เหว่ยลูบหัวใจตัวเอง ยังดีที่รักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้แล้ว…แต่ลูกถีบเดียว เขาไม่เจ็บเลย ไม่เจ็บสักน้อย!


 


 


……


 


 


เส้นทางไปหมู่ตึกกูเยว่ รถม้าคันหนึ่งแล่นไปตามทาง


 


 


ชิงเกอกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก เอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋อง การลอบสังหารจิ่วหุนครั้งก่อนล้มเหลว ท่านคิดอาศัยโอกาสนี้สังหารเยี่ยเม่ยหรือไม่”


 


 


 “สังหารจิ่วหุนล้มเหลวหรือ” เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเขา ถามด้วยเสียงขรึมว่า “ข้าเคยบอกว่ามีเป้าหมายจะฆ่าจิ่วหุนแล้วหรือไง”


 


 


 “เอ๋?” ชิงเกอชะงักไปเล็กน้อย


 


 


ไม่คิดฆ่าจิ่วหุน อย่างนั้นครั้งก่อน…


 


 


เป่ยเฉินอี้แค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง สีหน้าสุดจะคาดเดาได้ เอ่ยปากว่า “การไล่สังหารถึงขั้นนั้นก็แค่บีบให้ จิ่วหุนจนตรอก ใช้พลังปราณไปจนหมดสิ้น ทำให้เยี่ยเม่ยต้องไปขอยาที่หมู่ตึกกูเยว่ ข้าถึงมีโอกาสเข้าใกล้นาง พานางไปยังสถานที่แห่งนั้น!”


 


 


คราวนี้ชิงเกอเข้าใจแล้ว ที่แท้ความล้มเหลวนั้นก็อยู่ในแผนการของเจ้านายตนตั้งแต่แรก 

 

 


ตอนที่ 220 ข้าหาได้ขายสหายเท่านั้น!

 

หลังจากชิงเกอใคร่ครวญอยู่สักพัก ก็มุ่นคิ้วถามว่า “แต่ท่านอ๋อง ท่านไม่คิดสังหารจิ่วหุน แต่กลับสร้างสถานการณ์เช่นนั้น หากจิ่วหุนตายไปแล้ว แผนการของท่านจะไม่…”


 


 


จะไม่เสียโอกาสออกมาหาเยี่ยเม่ยโดยลำพังอย่างนั้นหรือ


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว แววตาเกิดความไม่พอใจ เอ่ยเสียงขรึมว่า “หากตายแล้วก็เพราะเขาโชคร้าย โอกาสเช่นนี้ข้าหาใหม่ก็ได้”


 


 


 “ขอรับ” ชิงเกอเข้าใจในบัดดล


 


 


ก็จริง ในแผนการของท่านอ๋อง คนอื่นๆ ก็แค่หมากไร้ความสำคัญทั้งนั้น ขอเพียงแผนการใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


 “นางอยู่ที่ใดแล้ว” เป่ยเฉินอี้ถาม


 


 


ชิงเกอตอบทันทีว่า “ยังอยู่ที่หมู่ตึกกูเยว่ไม่ออกมา!”


 


 


 “อืม!”


 


 


……


 


 


เมืองหลวง


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้าทะมึนนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง อารมณ์ขุ่นมัวถึงขีดสุด นับตั้งแต่เขาให้เสด็จแม่ถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ฉบับนั้นออกไป เสด็จพ่อก็กักบริเวณเขากับเสด็จแม่แล้ว


 


 


ได้ยินมาว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งให้คนกลับมาถ่ายทอดคำพูดกับเสด็จพ่อว่า หากเสด็จพ่อไม่อาจดูแลเขากับเสด็จแม่ได้ ก็จงระวังบัลลังก์มังกรของตนเอาไว้ให้ดี


 


 


ก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง เสด็จพ่อถึงได้ตามตัวเขากับเสด็จแม่ไปด่าทอแต่เช้าตรู่


 


 


คิดแล้ว เป่ยเฉินเสียงก็เกิดโทสะ!


 


 


ต่างก็เป็นบุตรชายของเสด็จพ่อเช่นกัน เพราะคำพูดเดียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสด็จพ่อถึงกับเรียกเขาไปด่าอยู่นานสองนาน!


 


 


ขณะที่เดือดดาลอยู่นั้น เป่ยเฉินเสียงกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โทสะ


 


 


ในเวลาเดียวกันนี้เอง บ่าวรายงานจากด้านนอกว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋องน้อยมาแล้ว!”


 


 


 “เซี่ยโหวเฉินหรือ” เป่ยเฉินเสียงขมวดคิ้วแน่น เพลิงโทสะยิ่งโหมทวีขึ้นไปอีก “เขามาทำไม ตอนที่อยู่ชายแดนทิ้งข้าเอาไว้ หนีกลับมาคนเดียว เวลานี้ยังกล้ามาที่นี่อีกหรือ”


 


 


เซี่ยอวี้เป็นผู้ติดตามประจำกายของเป่ยเฉินเสียง เป็นองครักษ์ผู้มีสติปัญญาอย่างหาได้ยากนัก เกลี้ยกล่อมว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋องน้อยมากแล้ว ต้องเรื่องสำคัญแน่ อีกอย่างตอนที่อยู่ชายแดนก็เป็นเขาช่วยท่านไว้ เกรงว่าจะไม่มีเหตุผลพอที่จะไม่พบเขา!”


 


 


ครั้นเขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียงสูดลมหายใจลึก หันหน้ามองเซี่ยอวี้คราหนึ่ง “เจ้าบอกให้เขาเข้ามาเถอะ!”


 


 


 “ขอรับ!” เซี่ยอวี้รีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง


 


 


ไม่ช้า เซี่ยโหวเฉินก็เดินเข้ามา


 


 


หลังจากเข้ามาด้านใน เซี่ยโหวเฉินมองเป่ยเฉินเสียงคารวะอีกฝ่ายตามพิธีรีตอง “คารวะองค์ชายใหญ่!”


 


 


 “ในใจเจ้ายังเห็นข้าเป็นองค์ชายใหญ่อยู่หรือ ยามนั้นที่เมืองชายแดน เจ้าทิ้งข้าเอาไว้ วันนี้ยังมีหน้ากลับมาอีก!” ยามเป่ยเฉินเสียงพูดถึงเรื่องนี้ เพลิงโทสะก็ปะทุขึ้น


 


 


เซี่ยโหวเฉินกลับไม่ใส่ใจโทสะของเขาสักน้อย ค่อยๆ อธิบายว่า “องค์ชายใหญ่ ตอนที่อยู่ชายแดนข้าเตือนท่านมากเท่าไร ให้ท่านอย่าได้เป็นศัตรูกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโดยซึ่งๆ หน้า อย่ากระทำเรื่องที่ไม่อาจจัดการได้ ท่านบอกจะร่วมมือกับข้า ทว่าข้อเสนอของข้า ท่านเคยฟังหรือไม่”


 


 


 “ข้า…” เป่ยเฉินเสียงตอบอึกอัก


 


 


ในฐานะที่เป็นโอรสสรรค์มีความกล้าไร้แผนการ พุ่งเข้าชนอย่างตรงๆ จนทำให้ตนตกอยู่ในสภาพถูกกักบริเวณ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป


 


 


คำพูดของเซี่ยโหวเฉินในเวลานี้ เขาเถียงไม่ออกเลยสักคำเดียว


 


 


เซี่ยโหวเฉินเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง ท่านอย่าหลงคิดว่า วันนั้นข้าขายสหายเท่านั้น หากข้ารั้งอยู่ต่อไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะจัดการข้าอย่างไร เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าไม่มีทางมีความคิดโง่งมเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องเป็นการกระทำขององค์ชายใหญ่แต่เพียงผู้เดียว!”


 


 


 “ข้า..” เป่ยเฉินเสียงทั้งโมโหทั้งจนปัญญา ไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ


 


 


ทว่าไม่ช้า


 


 


เซี่ยโหวเฉินก็เอ่ยต่อว่า “ดังนั้น ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโมโหก็ไม่มีทางเอาชีวิตข้า แต่ที่ข้าหนีจากไปก่อนก็เพื่อขอกำลังเสริมให้องค์ชายใหญ่ นี่คือบุญคุณช่วยชีวิตแท้ๆ ไฉนองค์ชายใหญ่ถึงปรักปรำข้าถึงเพียงนี้”


 


 


เป่ยเฉินเสียงสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง กัดฟันเอ่ยว่า “ถือว่าเจ้าพูดมีเหตุผล! พูดมาเถอะ วันนี้เจ้ามาเพื่ออะไร มาเยาะเย้ยความโง่เขลาของข้า หรือว่ามาดูสภาพของข้าเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมกัน”


 


 


 “เซี่ยโหวเฉินคล้ายคนน่าเบื่อเช่นนั้นหรือ” เซี่ยโหวเฉินย้อนถาม ไม่ช้าก็เอ่ยว่า “เยาะเย้ยองค์ชายใหญ่สำหรับข้าแล้วมีข้อดีอันใดเล่า”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ โทสะของเป่ยเฉินเสียงก็ค่อยๆ มอดลง “อย่างนั้นเจ้ามาเพื่ออะไร”


 


 


 “องคชายใหญ่มีขุมกำลังไม่น้อยในราชสำนัก หนึ่งในนั้นยังรวมถึงบันทึกราชวงศ์ด้วย เซี่ยโหวเฉินต้องการทวงหนี้บุญคุณนี้กับองค์ชายใหญ่ เพื่อเข้าไปสืบหาข้อสงสัยในเรื่องราวของราชสำนักจงเจิ้งในตอนนั้น” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยจุดประสงค์ออกไป


 


 


เป่ยเฉินเสียงหันกลับมาด้วยความแปลกใจ มองเซี่ยโหวเฉิน “เจ้าน่าจะรู้ว่า ในบันทึกราชวงศ์ ถึงส่วนมากจะเขียนตามความจริง แต่ก็มีการปิดบังเรื่องที่ไม่อยากให้คนรับรู้ เจ้าต้องการสืบอะไรกันแน่”


 


 


เซี่ยโหวเฉินไม่ใส่ใจเลยสักน้อย “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็มากพอสำหรับข้าแล้ว! เป่ยเฉินอี้ไม่มีทางไร้จุดอ่อน!”


 


 


ชั่วชีวิตนี้ของเซี่ยโหวเฉินมีเพียงสองเรื่องเท่านั้น


 


 


มุ่งสู่อำนาจอันสูงส่ง ส่วนอีกเรื่องคือเอาชนะศัตรูแต่กำเนิดของตนเอง นั่นก็คืออาจารย์ของเขา เป่ยเฉินอี้!


 


 


ในสองเรื่องนี้สมควรเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน วันใดที่เขายังไม่อาจเอาชนะเป่ยเฉินอี้ได้ เขาก็ไม่มีวันก้าวสู่ตำแหน่งอ๋องที่ทรงอำนาจมากที่สุด


 


 


ถึงเป่ยเฉินเสียงจะไม่เข้าใจความทะเยอทะยานของเซี่ยโหวเฉิน แต่ว่าความดื้อดึงที่จะเอาชนะเป่ยเฉินอี้ เขารู้อย่างชัดเจน  “แต่เจ้าก็รู้ว่าบันทึกราชวงศ์มีการป้องกันไม่ให้ถูกเปิดได้โดยพลการ หลังจากเขียนจบแล้ว ต้องปิดผนึกเอาไว้ ไม่อาจเปิดได้!”


 


 


 “นี่คือสาเหตุที่เซี่ยโหวเฉินมาขอร้องเตี้ยนเซี่ย!” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยกลับมาทันที ยามนี้เป่ยเฉินเสียงเป็นคนดูแลบันทึกราชวงศ์เอาไว้ หากอีกฝ่ายยินยอมให้เขาดู ก็ไม่ต้องเสียเวลามาก


 


 


ครั้นเอ่ยถึงยามนี้ เซี่ยโหวเฉินเสริมขึ้นว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เชื่อว่าท่านเองก็เข้าใจ สำหรับฝ่าบาทแล้ว เป่ยเฉินอี้เป็นภัยร้าย สำหรับท่านที่จะสืบทอดบัลลังก์ในอนาคตก็เป็นเภทภัยเช่นเดียวกัน หากพวกเราหาจุดอ่อนของเป่ยเฉินอี้ สำหรับข้าและท่านล้วนเป็นเรื่องดี!”


 


 


 “ตามคำเล่าลือ จุดอ่อนของเป่ยเฉินอี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น! นั่นก็คือจงเจิ้งซี แต่ท่านอ๋องสมควรทราบว่าจงเจิ้งซีตายไปนานแล้ว!” เป่ยเฉินเสียงรู้สึกว่าการกระทำของเซี่ยโหวเฉินนั้นเปล่าประโยชน์


 


 


เซี่ยโหวเฉินแค่นหัวเราะคำหนึ่ง “ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตามนอกจากวิธีนี้แล้วพวกเราก็ไร้หนทางอื่นอีก อีกอย่างต่อให้เป่ยเฉินอี้ไร้จุดอ่อนไปแล้ว เมื่อข้าเข้าใจตัวเขามากขึ้น ก็สามารถสร้างจุดอ่อนให้เขาได้!”


 


 


 “เรื่องนี้…” เป่ยเฉินเสียงมุ่นคิ้ว


 


 


จากนั้นเซี่ยโหวเฉินก็อธิบายต่อ “เป่ยเฉินอี้ผู้นี้ช่างวางแผนได้ล้ำลึก ต่อให้เป็นเสินเซ่อเทียนก็ยังไม่กล้าต่อกรกับเขาในด้านการวางแผน หากพวกเราไม่รีบหาจุดอ่อนของเขาให้พบ เกรงว่าวันหนึ่งวันใดจะถูกเขาจัดการเอาได้!”


 


 


 “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้าลองดูก็แล้วกัน!” เป่ยเฉินเสียงพยักหน้า แล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ทำอย่างลับๆ อย่าให้คนรู้ได้ อ่านบันทึกราชวงศ์โดยพลการเป็นโทษสถานหนัก! อีกอย่างเป่ยเฉินอี้เป็นคนเช่นไร เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี อย่าได้จุดไฟเผาตัวเอง!”


 


 


เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม