รักเล่ห์เร้นใจ 214-220
ตอนที่ 214 พบกัน
อินเสี่ยวเสี่ยวเอาชนะอี้อวิ๋นฉังแล้วรีบวิ่งหนีไป
อี้อวิ๋นฉังมองดูเงาหลังอินเสี่ยวเสี่ยวที่วิ่งหนีไป คิดจะไล่ตามไป แต่พอเธอลุกขึ้นยืน ก็สะดุ้งร้องซี้ดออกมา ที่แท้เมื่อครู่ตอนเธอล้มลงกับพื้น ข้อศอกกระแทกเป็นแผลเปิดนั่นเอง
ตอนนั้นเอง อี้อวิ๋นฉังได้ยินเหมือนเสียงร้องขอให้ช่วยดังมาจากห้องใต้ดิน เธอรู้สึกสงสัย ประกอบกับข้อศอกได้รับบาดเจ็บ จึงจำต้องเก็บมีดพกบนพื้นขึ้นมา มองอินเสี่ยวเสี่ยวหนีไปอย่างขัดใจ
พออินเสี่ยวเสี่ยวหนีออกจากห้องใต้ดินมาได้ ก็พบว่าที่นี่คือศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งจริงๆ เธอไม่กล้าออกไปทางประตูใหญ่ ด้วยเกรงว่า ‘หลินหว่าน’ จะยังมีพรรคพวกที่จะมาจับตัวเธอกลับไปอีก ดังนั้นเธอจึงมาที่มุมกำแพงแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะปีนกำแพงออกไป
ยังโชคดีที่เธอมือเท้ายังแข็งแรง บวกกับความกลัวทำให้เธอมีแรงฮึดและอึด เพียงครู่เดียวอินเสี่ยวเสี่ยวก็ปีนออกไปนอกกำแพง แต่เธอก็ล้มลงกับพื้น
อินเสี่ยวเสี่ยวลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นบนร่างออก ลูบหน้าแล้วพบว่ามือเปื้อนเลือดเล็กน้อย พอเธอลูบหน้าอีกครั้งมีเลือดมากขึ้น ใบหน้าของเธอได้รับบาดเจ็บ คงเป็นตอนที่ต่อสู้กับอี้อวิ๋นฉังเมื่อครู่ อี้อวิ๋นฉังใช้มีดไล่แทงเธอ
แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หนีให้รอดสำคัญที่สุด อินเสี่ยวเสี่ยววิ่งออกไปยังทิศทางตรงข้ามอย่างตื่นเต้นดีใจ วิ่งออกไปสักพักก็มาถึงเขตที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นแห่งหนึ่ง
อินเสี่ยวเสี่ยวถอนใจโล่งอก ที่นี่ต่อให้มีคนไล่ตามมาก็คงไม่กล้าจับตัวเธอไปต่อหน้าต่อตาผู้คนหรอกมั้ง
ตอนนั้นเอง อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าผู้คนรอบข้างต่างมองมาที่ตัวเธอ ชี้ชวนกันให้ดู เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าใบหน้าเธอได้รับบาดเจ็บอยู่ ในตอนนี้สภาพของอินเสี่ยวเสี่ยวกระเซอะกระเซิงไม่น่าดูนัก อยู่ท่ามกลางฝูงชนจึงดูแปลกประหลาดมาก
อินเสี่ยวเสี่ยวตัดสินใจว่าจะติดต่อฮั่วเทียนอวี่ แต่เธอพบว่ามือถือของเธอหายไป หรือว่าจะถูก ‘หลินหว่าน’ เอาไป?
“หลินหว่าน?” ขณะที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น พลันก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังใกล้เข้ามา “คุณมาอยู่นี่ได้อย่างไร”
อินเสี่ยวเสี่ยวมองไปทางต้นเสียง เขาคือเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือมาที่ตรงหน้าอินเสี่ยวเสี่ยว พอเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของเธอแล้วก็ตกใจ ถามว่า “หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรไป? ทำไมอยู่ในสภาพนี้ได้ เกิดเรื่องอะไรเหรอ”
เขาเห็นฉันเป็นหลินหว่าน ไม่ใช่สิ ในสายตาเขา ฉันเองก็เป็นตัวสำรองของหลินหว่านอยู่แล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกปวดร้าวอยู่บ้าง เธอพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “คุณจำผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ใช่หลินหว่าน”
“งั้นคุณเป็นใครกัน?” เซียวจิ่งสือถามโพล่งออกไปแล้ว ก็รู้สึกว่าเสียมารยาทอยู่บ้าง เขารีบอธิบายว่า “เอ้อ คุณอย่ากลัวไปเลยนะ เป็นเพราะผมรู้สึกว่าคุณเหมือนกับหลินหว่านแฟนผมมากๆ เลย จึงเข้ามาถามดูน่ะ”
แฟนของเขา? หลินหว่าน? หลินหว่าน…เป็นแฟนของเขา…อินเสี่ยวเสี่ยวพอได้ยินเซียวจิ่งสือยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับหลินหว่านจากปากตัวเขาเอง ก็ตะลึงจนตัวแข็ง เธอรู้สึกสะเทือนใจมาก พร้อมกันนั้นก็เจ็บปวดมากด้วย เจ็บปวดใจราวกับถูกมีดกรีดอย่างไรอย่างนั้น
เซียวจิ่งสือพอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวไม่เอ่ยปากพูด ทั้งมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนั้นก็ถามว่า “คุณเป็นอะไรไป? คุณไม่รู้จะไปที่ไหนหรือเปล่า? ต้องการให้ผมช่วยไหม?”
อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งสติได้ ส่ายหน้าพลางปฏิเสธว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องให้คุณช่วยหรอก ขอบคุณนะคะ”
“แต่สภาพคุณแบบนี้ต้องไปหาหมอนะครับ ให้ผมส่งคุณไปโรงพยาบาลเถอะ นะครับ” เซียวจิ่งสือพูดขึ้นอีก
จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็เกิดใจดีขึ้นมา นึกอยากช่วย ‘คนแปลกหน้า’ ที่ตรงหน้า ก็เพราะเขารู้สึกว่าเธอคล้ายกับหลินหว่านมาก ไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกตอนที่เธอเข้าใกล้เขาก็เหมือนมากด้วย
“ฉันไม่ต้องไปโรงพยาบาล…เอ๊ะ คุณทำอะไรน่ะ…” อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันแล้ว เซียวจิ่งสือคว้าข้อมือเธอลากมาที่หน้ารถของเขาซะก่อน
เซียวจิ่งสือยัดตัวอินเสี่ยวเสี่ยวขึ้นรถ แล้วตัวเองก็ตามขึ้นมา พอขึ้นรถ เซียวจิ่งสือเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวมีท่าทางตึงเครียดก็พูดปลอบว่า “คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมชื่อเซียวจิ่งสือ ผมไม่ใช่คนร้าย ผมแค่รู้สึกว่าสภาพของคุณแบบนี้อยู่ข้างนอกคนเดียวอันตรายเกินไป”
“ขอบคุณค่ะ…” อินเสี่ยวเสี่ยวยังจมอยู่กับความเจ็บปวดที่เซียวจิ่งสือยอมรับความสัมพันธ์กับหลินหว่าน เธอพูดเสียงเรียบ
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ บาดแผลที่หน้าคุณได้มาอย่างไรครับ? ทำไมคุณจึงอยู่ในสภาพนี้ มาอยู่ที่นี่ในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้คนเดียว?” เซียวจิ่งสือถามอีก
“ฉัน…” อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จะตอบอย่างไร ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นบ้างว่า “ฉันขอถามบ้างได้ไหมคะ หลินหว่านกับคุณเป็นแฟนกันจริงเหรอคะ?”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ?” เซียวจิ่งสือตอบ
“ม…ไม่มีอะไรค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยตอบอย่างสิ้นหวัง
เดิมทีเธอตั้งใจว่าจะบอกเซียวจิ่งสือทั้งหมดว่า ‘หลินหว่าน’ จับตัวเธอไป และยังคิดจะใช้มีดฆ่าเธอ แต่ในเมื่อพวกเขาเป็นคู่รักกัน เธอรู้สึกว่าอย่าพูดเลยดีกว่า ต่อให้พูดไป เซียวจิ่งสือก็คงไม่ยอมเชื่ออยู่ดี คงเห็นว่าเธอกุเรื่องขึ้นเองมากกว่ากระมัง
เซียวจิ่งสือเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวไม่พูดอะไรอีก ก็เข้าใจว่าเธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้สาเหตุที่เธอรับบาดเจ็บ จึงไม่ได้ถามต่อ แต่ขับรถไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ละแวกใกล้เคียง
ภายในโรงพยาบาล ตอนที่หมอเห็นเซียวจิ่งสือกับอินเสี่ยวเสี่ยวมาด้วยกันนั้นยังเข้าใจว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันเสียอีก จึงพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเซียวจิ่งสือว่า “คุณนี่ดูแลแฟนของคุณอย่างไรกัน? แฟนคุณบาดเจ็บขนาดนี้ ทำไมคุณไม่เป็นอะไรเลย? คุณไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง? ไม่รู้จักปกป้องแฟนตัวเองเลยหรือไง?”
“คุณหมอคะ คุณเข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ใช่แฟนของฉันค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าหมอตั้งท่าจะร่ายยาวต่อไปอีก ก็รีบพูดขัดขึ้น
“งั้นเหรอ” หมอยังไม่ค่อยยอมเชื่อ
“จริงค่ะ พวกเรา…ไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด
ต่อจากนั้น หมอก็ใส่ยาที่แผลบนใบหน้าให้อินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว ปิดผ้าก๊อซที่ปากแผล ป้องกันการติดเชื้อ และย้ำกับเธออย่าโดนน้ำ และให้ระวังเรื่องอาหารการกิน
ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาเซียวจิ่งสือเป็นคนจ่ายให้อินเสี่ยวเสี่ยว พอเขาจ่ายค่ารักษาเสร็จ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ทำแผลเสร็จพอดี เขากับอินเสี่ยวเสี่ยวออกจากโรงพยาบาลด้วยกัน
“ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ วันนี้เคราะห์ดีที่เจอคุณเข้า ส่วนค่าหมอฉันจะคืนให้คุณทีหลังนะคะ” พอออกจากโรงพยาบาล อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดกับเซียวจิ่งสือ
“ไม่เป็นไรครับ” เซียวจิ่งสือไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เขาถามอินเสี่ยวเสี่ยวอีกว่า “บ้านคุณอยู่ไหน? มืดค่ำขนาดนี้แล้ว ให้ผมไปส่งคุณเถอะนะ”
เซียวจิ่งสือเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงท้องของอินเสี่ยวเสี่ยวร้องจ้อกๆ ขึ้นมา อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกขายหน้ามาก หลังจากเธอถูกจับตัวไปแล้ว ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย โดยเฉพาะเมื่อครู่ต่อสู้กับ ‘หลินหว่าน’ หลบหนีออกจากศูนย์วิจัย เธอใช้เรี่ยวแรงไปมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ต่อหน้าเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือเห็นแล้วพูดต่อไปว่า “คุณยังไม่ได้ทานข้าวอีกเหรอครับ? งั้นพวกเราไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”
ตอนที่ 215 คาดไม่ถึง
เซียวจิ่งสือพาอินเสี่ยวเสี่ยวไปร้านอาหารเดียวกับที่บ่ายวันนี้เขาเพิ่งไปกับอี้อวิ๋นฉัง ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แค่เพราะมันอยู่ใกล้
เซียวจิ่งสือกับอินเสี่ยวเสี่ยวเข้าห้องทานอาหารห้องหนึ่ง ตอนพนักงานเอาเมนูมาให้ ก็ยิ้มกับเซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “คุณลูกค้าคะ พวกคุณรักกันดีจังนะคะ ตอนเย็นเพิ่งจะมาเอง ตอนดึกก็มาอีกแล้ว”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว เธอไม่ใช่แฟนผม” เซียวจิ่งสือได้ฟังก็พูดเสียงเรียบ
“ง…งั้นเหรอคะ?” พนักงานบริการมองดูอินเสี่ยวเสี่ยว ผู้หญิงคนที่เซียวจิ่งสือพามาเมื่อตอนเย็นชัดๆ หน้าตาก็แบบนี้นี่นา แค่มีผ้าก๊อซปิดหน้าเท่านั้นเอง
แต่ถ้ามองให้ดีแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมือนกันอยู่บ้างจริงๆ พนักงานรีบขอโทษเซียวจิ่งสือ “ขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณลูกค้า ฉันจำผิดไปค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เซียวจิ่งสือพูดอย่างไม่ได้ถือสาอะไร จากนั้นสั่งอาหารไปสองอย่าง แล้วยื่นเมนูให้อินเสี่ยวเสี่ยว ให้เธอสั่งอาหาร
พอพนักงานจากไปแล้ว ภายในห้องเงียบกริบไปครู่หนึ่ง แล้วอินเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยปากว่า “คุณเซียวคะ คุณกับคุณหลินรักกันจังนะคะ”
พูดจบ อินเสี่ยวเสี่ยวก็สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจตัวเอง น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่า
แต่เซียวจิ่งสือกลับฟังไม่ออก เข้าใจว่าอินเสี่ยวเสี่ยวแค่ทักขึ้นเท่านั้น จึงตอบว่า “ก็ดีครับ หว่านหว่านเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง”
อินเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังก็อึ้งไปชั่วขณะ ความรู้สึกหึงหวงปนกับความเจ็บปวดสลับกันเข้ามายึดครองพื้นที่ในใจเธอ ทำให้เธอทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นไปอีก จะว่าไปเซียวจิ่งสือเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนของเธอ
“งั้นเหรอคะ? ดูท่าว่าคุณหลินเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งจริงๆ ทำให้คุณเซียวรักเธอได้มากมายขนาดนี้” นิ่งไปครู่หนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดขึ้น ใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้ม ปิดบังความรู้สึกสับสนในใจ
พอพูดถึงหลินหว่าน มุมปากเซียวจิ่งสือก็ประดับด้วยรอยยิ้ม เหมือนนึกถึงความหลังอะไรบางอย่าง พูดว่า “เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ดีมากจริงๆ เธอใจดีมีเมตตา เข้มแข็ง กล้าหาญและก็มุ่งมั่นอย่างมากด้วย เป็นคนที่ถ้าคุณได้รู้จักแล้วจะอดรักเธอไม่ได้เลย”
อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือแล้วเหมือนกับจะไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ใจดีมีเมตตา เข้มแข็ง กล้าหาญ มุ่งมั่น…นี่เป็นหลินหว่านคนที่ถือมีดมาจะฆ่าเธอจริงๆ เหรอ? แม้ว่าเธอกับหลินหว่านไม่ได้พบเจอกันสักเท่าไร แต่ทำไมเธอจึงรู้สึกว่าคนที่เซียวจิ่งสือพูดถึงนี้ไม่เหมือนกับหลินหว่านที่เธอเจอเลยสักนิดนะ หรือว่าในสายตาคนรักทุกอย่างย่อมสวยสดงดงามไปหมด…ในสายตาของเซียวจิ่งสือเห็นแต่ด้านดีของ ‘หลินหว่าน’ เท่านั้น?
ตอนนั้นเอง บริกรยกอาหารที่พวกเขาสั่งนำมาเสิร์ฟ เซียวจิ่งสือพบว่า คนตรงหน้านี้ไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนหลินหว่าน อาหารที่สั่งก็คล้ายกับหลินหว่านมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ตอนเขาพาหลินหว่านมาทานข้าวที่นี่ หลินหว่านก็สั่งอาหารไม่กี่อย่างนี่เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก
“คุณเซียวคะ เมื่อก่อนฉันเคยดูหนังที่คุณหลินแสดง ฝีมือการแสดงของเธอโดดเด่นมาก ฉันชื่นชมเธอมาก แต่ฉันก็แปลกใจมากด้วยเช่นกัน ในชีวิตจริงของคุณหลิน เธอเป็นคนอย่างไรกันแน่คะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวถามอ้อมๆ เรื่องของหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือคิดใคร่ครวญดูแล้วตอบช้าๆ ว่า “ร้านอาหารนี้ ตอนเธอได้รับรางวัลที่สำคัญมากครั้งแรกในชีวิตผมพาเธอมาที่นี่ วันนั้นเธอมีความสุขมาก ผมยังจำรอยยิ้มของเธอได้จนบัดนี้ เธอรักการแสดงมากจริงๆ เธอสามารถอ่านศึกษาบทละครจนดึกดื่น ยอมสละเวลาไปฝึกวิชาการต่อสู้เพื่อแสดงบทการต่อสู้ให้ดี เพราะอยากให้ภาพออกมาดีเธอยอมขึ้นสลิงห้อยโหนโดยไม่ใช้ตัวแทน เธอจึงเป็นคนที่มุ่งมั่นและจริงจังมากคนหนึ่งอย่างไรล่ะ”
พูดจบ เซียวจิ่งสือก็รู้ตัวว่าตัวเองพูดออกนอกเรื่อง จึงพูดอีกว่า “ในชีวิตจริง บางครั้งเธอนิ่งเงียบมาก บางครั้งก็ร่าเริงมีชีวิตชีวามากด้วย พอได้รู้จักคุ้นเคยกันแล้ว คุณจะรู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนใจดีและน่าสนใจมากคนหนึ่ง สรุปแล้ว การได้อยู่กับเธอ ทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นได้ก็แล้วกัน”
“ง…งั้นเหรอคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังแล้ว ตัวแข็งทื่อไปเลย ในหัวใจของเซียวจิ่งสือ ภาพลักษณ์ของหลินหว่านเป็นเช่นนี้เองเหรอ? ทำไมเธอจึงไม่รู้สึกแบบเดียวกันเลยสักนิดนะ
ตอนนั้นเอง มือถือของเซียวจิ่งสือก็ดังขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นดู เห็นว่าเป็นสายของ ‘หลินหว่าน’ จึงรับสาย
“จิ่งสือคะ ตอนนี้คุณอยู่ไหนคะ” พอเซียวจิ่งสือรับสาย อี้อวิ๋นฉังก็รีบถามทันที
พออินเสี่ยวเสี่ยวหนีไปแล้ว อี้อวิ๋นฉังเข้าห้องใต้ดินไปดู นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับมาร์ตินที่กำลังมีอาการอยากยา เธอก่นด่ามาร์ตินเป็นชุด พวกสวะ แค่อินเสี่ยวเสี่ยวคนเดียวยังเฝ้าไว้ไม่ได้ ปล่อยให้เธอฉวยโอกาสหลบหนีไปจากห้องใต้ดินจนได้
อี้อวิ๋นฉังจัดการกับบาดแผลบนร่างตัวเองแล้ว ก็ออกมาตามหาตัวอินเสี่ยวเสี่ยว เนื่องจากเธอกลัวว่าหลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวหนีไปแล้ว จะไปหาเซียวจิ่งสือปูดเรื่องที่เธอทำลงไปทั้งหมด อย่างนั้นทุกอย่างที่เธอแสดงต่อหน้าเซียวจิ่งสือก็จะเปล่าประโยชน์ทั้งหมด เธอจะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
แต่การหาตัวคนคนหนึ่งโดยไร้จุดหมายนั้น มันง่ายซะที่ไหนกันล่ะ อี้อวิ๋นฉังหาตั้งนานแล้วยังไม่เจอตัวอินเสี่ยวเสี่ยว สุดท้าย เธอก็คิดขึ้นได้ เธอก็แค่ไม่ต้องการให้อินเสี่ยวเสี่ยวเปิดโปงเรื่องของเธอทั้งหมดกับเซียวจิ่งสือ อย่างนั้นเธอก็ไปหาเซียวจิ่งสือซะก็หมดเรื่อง
ถ้าหากอินเสี่ยวเสี่ยวไปหาเซียวจิ่งสือจริงๆ เธอจะได้หาโอกาสขัดขวางซะ ถ้าเธอไม่ได้ไปหาเซียวจิ่งสือ นั่นก็จะเป็นการดีที่สุด
นี่ก็คือสาเหตุที่เธอโทรศัพท์มาหาเซียวจิ่งสือ
“ผมทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหารที่ตอนเย็นนี้พวกเรามากันไง” เซียวจิ่งสือตอบลงในโทรศัพท์
“จิ่งสือ คุณอยู่คนเดียวหรือเปล่าคะ” อี้อวิ๋นฉังรีบถาม
เซียวจิ่งสือมองอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “ไม่ครับ วันนี้ตอนครู่มีเรื่องนิดหน่อย นอกจากผมแล้วยังมีอีกคนหนึ่ง”
อี้อวิ๋นฉังหัวใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เธอรีบถามว่า “จิ่งสือคะ ค…คนนั้นเป็นใครคะ”
“แค่คนแปลกหน้าน่ะ ทำไมเหรอ หว่านหว่าน?” เซียวจิ่งสือพูดเสียงไร้ความรู้สึก
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันไปหาคุณนะคะ จิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังโล่งอก
“ครับ” พอวางสายแล้ว เซียวจิ่งสือก็พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “อีกสักครู่หลินหว่านก็จะมาที่นี่ คุณอยากรู้ว่าเธอเป็นคนยังไงไม่ใช่เหรอ? อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง”
“งั้นเหรอคะ? ดีจังเลยค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดเสียงเรียบ เมื่อครู่จากน้ำเสียงที่เซียวจิ่งสือพูดกับ ‘หลินหว่าน’ อินเสี่ยวเสี่ยวคิดว่า ถ้าตอนนี้เธอบอกเซียวจิ่งสือเรื่องที่ ‘หลินหว่าน’ ทำกับเธอทั้งหมด เขาคงไม่ยอมเชื่อแน่
ชั่วขณะนั้น ภายในห้องทานอาหารกลายเป็นเงียบสงัด ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรอีก
จากนั้น เซียวจิ่งสือก็เล่าเรื่องของหลินหว่านเมื่อก่อนนี้ให้อินเสี่ยวเสี่ยวฟังไม่หยุด อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งฟังอย่างสงบ ขณะที่ในใจปั่นป่วนด้วยความรู้สึกสารพัด จนกระทั่งอี้อวิ๋นฉังปรากฏตัวขึ้น
“จิ่งสือคะ ฉันมาแล้วค่ะ” พออี้อวิ๋นฉังมาถึงห้องทานอาหาร ก็เอ่ยทักเซียวจิ่งสือ แต่พอหันไปเห็นอินเสี่ยวเสี่ยว เธอก็รู้สึกประหลาดใจอย่างแรง
ทำไมอินเสี่ยวเสี่ยวมาอยู่ที่นี่ได้? เซียวจิ่งสือบอกว่าเขาอยู่กับคนแปลกหน้าไม่ใช่หรือไง อินเสี่ยวเสี่ยวบอกเรื่องที่เธอทำให้เซียวจิ่งสือรู้แล้วหรือยังนะ อี้อวิ๋นฉังรู้สึกทั้งสงสัยและหวาดหวั่นวิตกกังวลไปหมด
ตอนที่ 216 สงสัย
เช้าวันต่อมา เมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องทำงานของเซียวจิ่งสือเข้าไป ถึงแม้จะมีมู่ลี่บังไว้บางส่วน แต่ยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายในห้องทำงานมีคนสองคนกำลังพูดคุยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนหนึ่งคือเซียวจิ่งสือ อีกคนหนึ่งคือหลินหว่านตัวจริง
อี้อวิ๋นฉังอดรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้ หลินหว่านคงไม่บอกเรื่องทั้งหมดที่เธอทำในหลายวันนี้ให้เซียวจิ่ง
สือรู้หรอกมั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น เซียวจิ่งสือจะเชื่อใครนะ? อี้อวิ๋นฉังไม่รู้เลยว่าเซียวจิ่งสือจะเชื่อถือเธอทั้งหมด แม้ว่าตอนนี้เธอจะสวมรอยเป็นหลินหว่านได้อย่างแนบเนียนแล้วก็ตาม ก็เธอทั้งสามารถเลียนแบบกริยาท่าทางการพูดจาของหลินหว่าน ทั้งยังมีความทรงจำของหลินหว่านอีกด้วย
ถ้าหากเป็นหลินหว่านตัวจริง เจอกับสถานการณ์แบบนี้ จะทำอย่างไรนะ? อี้อวิ๋นฉังคิดใคร่ครวญดู ฮึ ด้วยนิสัยถือดีหยิ่งในศักดิ์ศรีของหลินหว่าน ต้องไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้แน่ ถึงกับไม่เสียเวลามาอธิบายเลยด้วย อย่างนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ยิ่งวางตัวให้เปิดเผยเป็นปกติ ก็ยิ่งเป็นการยืนยัน ‘ความบริสุทธิ์’ ให้กับตัวเอง
พอตกลงใจได้ อี้อวิ๋นฉังก็แสร้งทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เปิดประตูห้องทำงานเซียวจิ่งสือเข้าไปอย่างเปิดเผย คงต้องบอกว่าในเวลาเช่นนี้เธอแสดงได้ดีมากจริงๆ
“โอ๊ะ เสี่ยวเสี่ยว คุณก็อยู่นี่เหรอ? คุยอะไรกับจิ่งสือล่ะ”
อี้อวิ๋นฉังเอ่ยทักทายด้วยท่าทีเป็นปกติ เหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
หลินหว่านจ้องอี้อวิ๋นฉังอยู่ครู่หนึ่ง อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ คนคนนี้กับหลินหว่านจากคำบอกเล่าของเซียวจิ่งสือ แตกต่างกันมากเกินไปหน่อยมั้ง เธอไม่เคยพบเจอคนหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย
“คุยเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ ทำไมคุณมานี่ได้ล่ะ”
เซียวจิ่งสือตอบแทนหลินหว่าน เขารู้ว่าหลินหว่านไม่ถนัดพูดโกหก จึงตอบให้ซะเอง
“อ้อ งั้นเหรอคะ งั้นพวกคุณคุยกันเสร็จหรือยังคะ? ไม่งั้นอีกเดี๋ยวฉันค่อยพูดธุระของฉัน”
อี้อวิ๋นฉังแกล้งพูดไปตรงๆ เธอต้องคิดหาวิธีดึงตัวเซียวจิ่งสือออกมาให้ได้
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่เป็นไร พวกคุณคุยกันเถอะ ธุระของเราคุยจบแล้ว”
หลินหว่านพูดเสียงเรียบ กับคนที่จับตัวเธอไปแล้ว หลินหว่านไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากเกินไปนัก ราวกับว่าการอยู่ร่วมกันสักนาทีหนึ่ง เป็นการเพิ่มอันตรายให้กับตัวเธอเองแล้ว
“แต่ว่า ผมยังมีธุระบางอย่างที่ยังคุยไม่จบเลย”
เซียวจิ่งสือพูดเสียงเนิบกับหลินหว่านตัวจริง ต่อให้มีสองใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะอยู่ต่อหน้า เขาก็สามารถแยกแยะออกมาได้ในทันทีว่าใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวปลอม และโดยจิตใต้สำนึกที่เขาไม่อยากไปจากหลินหว่านตัวจริงเลย
“อ้า แต่ว่า ฉันมีธุระสำคัญมากต้องการความช่วยเหลือจากคุณนะคะ คุณก็รู้ว่า ถ้าหากไม่มีเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉิน ฉันคงไม่มาหาคุณแบบนี้หรอก เอาล่ะ เสี่ยวเสี่ยว ฉันขอตัวจิ่งสือไปก่อนนะ อีกเดี๋ยวค่อยกลับมาจัดการกับเรื่องของเธอทางด้านนี้นะ ธุระด่วนน่ะ ต้องขอโทษด้วยนะ”
อี้อวิ๋นฉังขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของเซียวจิ่งสือ เหมือนกับว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉินที่สำคัญมากเกิดขึ้นจริงๆ จำเป็นต้องให้เซียวจิ่งสือไปจัดการเท่านั้น
“คุณนี่พูดแปลกนะ คุณจะขอตัวประธานเซียวไป ก็ไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอกค่ะ ท่านประธานเซียวไม่ใช่ของฉันซะหน่อย เขาตัดสินใจเองได้ว่าจะไปหรือไม่ไป”
หลินหว่านพูดเสียงเย็น พูดกันตามจริง ตอนนี้เธออยากจะเปิดประตูออกไปซะเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไม เหมือนกับตั้งใจจะอยู่ประชดซะอย่างงั้น ไม่อยากเป็นฝ่ายจากไปก่อนอี้อวิ๋นฉังที่เหมือนกับเธอทุกอย่าง
แต่ในตอนนั้นเอง เซียวจิ่งสือพอเห็นอาการเช่นนี้ของหลินหว่าน เขากลั้นหัวเราะไว้อย่างยากลำบาก ต้องบอกว่าหลินหว่านหึงโดยไม่รู้ตัวนี่ ช่างน่ารักซะเหลือเกิน
“งั้น จิ่งสือคะ พวกเราไปกันเถอะ เรื่องนี้น่ะ ถ้าหากไม่ใช่คุณแล้วล่ะก็ ไม่มีคนอื่นจัดการได้แล้ว จริงๆ ค่ะ”
อี้อวิ๋นฉังแกล้งทำท่าว่าไม่ได้คิดอะไรมาก ดึงมือเซียวจิ่งสือออกไปจากห้องทำงาน
หลินหว่านตามออกมาจากห้องทำงานด้วย กลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ใจก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก
เมื่อหลินหว่านกลับมาถึงห้องพักของตัวเอง ฮั่วเทียนอวี่ก็กลับมาแล้ว เมื่ออยู่กับฮั่วเทียนอวี่ที่เคยดูแลเอาใจใส่เธออย่างดี หลินหว่านตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองในหลายวันนี้ กับทั้งที่เธอสงสัยอยู่ให้ฮั่วเทียนอวี่รู้
“พี่เทียนอวี่ พี่ว่างไหมคะ ฉันขอคุยด้วยหน่อยค่ะ ฉันมีข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด อาจต้องขอให้พี่ช่วยฉันคิดวิเคราะห์ดูสักหน่อยค่ะ”
หลินหว่านเรียกฮั่วเทียนอวี่ที่กำลังยุ่งอยู่ในครัวออกมา ให้เขานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก
“ทำไมเหรอ เสี่ยวเสี่ยว หลายวันมานี้เธอไปถ่ายละครนี่นา ทำไมล่ะ มีอะไรติดขัดหรือเปล่า?”
ฮั่วเทียนอวี่นั่งลงที่ข้างกายหลินหว่าน ถามเสียงอ่อนโยน
หลินหว่านส่ายศีรษะ ถอนใจเฮือกแล้วพูดว่า
“ไม่ใช่เรื่องถ่ายละครหรอกค่ะ ฉันถูกจับตัวไปขังน่ะ”
“อะไรนะ? จับไปขัง? ใครทำ? เซียวจิ่งสือนั่นเหรอ? ไอ้สารเลวนั่น! เธอไม่เป็นอะไรนะ?”
ฮั่วเทียนอวี่พูดอย่างอารมณ์ขึ้น ราวกับอยากจะฉีกเซียวจิ่งสือเป็นชิ้นๆ
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่เขา เป็นหลินหว่านต่างหาก เธอจับฉันไปขังไว้ แล้วให้หมอด้านสมองคนหนึ่งมาเฝ้าฉันไว้ เหมือนกับสะกดจิตฉันค่ะ แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเขาสะกดจิตฉันแล้วทำอะไรไปบ้าง แต่เมื่อวานก่อน ฉันถูกหลินหว่านนั่นจับตัวไปขังไว้ค่ะ”
หลินหว่านตัวจริงรีบอธิบายแก้ความเข้าใจผิด คราวนี้ถึงคราวฮั่วเทียนอวี่เงียบไปบ้าง เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเหมือนกัน
“ฉันก็เลยสงสัยมาก ฉันรู้ว่าตอนนี้ในหัวสมองฉันมันว่างเปล่า จำเรื่องอะไรก็ไม่ได้เลยสักอย่าง ก่อนหน้านี้เคยเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่รู้ ต่อให้ครั้งนี้ถูกจับขัง หมอด้านสมองนั่นสะกดจิตฉันตั้งนานขนาดนั้น ฉันก็ยังจำอะไรไม่ได้อยู่ดี ความรู้สึกแบบนี้มันทรมานมากเลยจริงๆ นะ”
หลินหว่านพูดติดต่อกันรวดเดียว สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เสี่ยวเสี่ยว เธออย่าคิดมากไปเลย ความทรงจำที่ขาดหายไป ฉันเล่าให้เธอฟังก็ได้นี่ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ความทรงจำขาดหายไปส่วนหนึ่งตลอดกาล ก็จะเป็นอย่างไรล่ะ? ถึงอย่างไรแล้วก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็น่าจะโอเคแล้วนี่?”
ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกตื่นเต้นตึงเครียดขึ้นมาบ้าง รีบพูดปลอบหลินหว่าน คิดจะดึงความสนใจของเธอไปทางอื่น
“ไม่นะคะ พี่ไม่เข้าใจ นี่มันคนละเรื่องกันเลย ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวฉันไม่ใช่ตัวเองเต็มที่ แล้วพี่รู้ไหมคะ การได้เห็นคนอีกคนที่มีหน้าเหมือนตัวเองทุกอย่างน่ะมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยนะ”
หลินหว่านพูดอย่างสิ้นหวังอยู่บ้าง
“ไม่ใช่นะ เสี่ยวเสี่ยว ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญอยู่ตั้งมากมาย พวกเธอแค่หน้าคล้ายกันมากเท่านั้นเอง”
ฮั่วเทียนอวี่ยิ่งรู้สึกปั่นป่วนในใจ คำพูดที่พูดออกมาแม้แต่ตัวเองยังไม่อยากเชื่อเลย
“พี่ผิดแล้วค่ะ หลังจากเกิดเรื่องพวกนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า บางทีฉันต่างหากคือหลินหว่านที่เซียวจิ่ง
สือตามหาตัวอยู่”
ตอนที่ 217 พาให้หลงผิด
ตอนที่หลินหว่านพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแน่ใจนั้น ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกว้าวุ่นจนสับสนไปหมดแล้ว เขาไม่รู้ว่าทำไมหลินหว่านจึงเกิดความคิดแบบนี้ขึ้น แต่เขายังบอกกับตัวเองว่าจะบอกความจริงกับหลินหว่านไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะสูญเสียผู้หญิงที่เขารักไป
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน คุณก็คืออินเสี่ยวเสี่ยว เป็นแฟนของผม คุณจะเป็นหลินหว่านอะไรนั่นได้ยังไงกัน? คนที่หน้าเหมือนกันมีเยอะไป ตอนยังไม่เจอเราก็ไม่รู้หรอก พอได้เจอแล้วถึงได้รู้ว่าโลกนี้ยังมีคนสองคนที่เหมือนกันได้ถึงขนาดนี้ แล้วก็นะ หลินหว่านนั่นอยู่กับเซียวจิ่งสือด้วยไม่ใช่รึไง”
ฮั่วเทียนอวี่พยายามดึงให้หลินหว่านรู้สึกว่าหน้าคล้ายกันมันเป็นเรื่องธรรมดาซะ หวังให้เธอโยนข้อสงสัยทิ้งไป ฮั่วเทียนอวี่รู้ว่า พอหลินหว่านรู้ความจริงขึ้นมา ต้องจากไปแน่ ส่วนเขานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือไปจากเธอเด็ดขาด เขาไม่ยอมให้คนที่เขารักจากไปแบบนี้หรอก
“งั้นต่อให้เป็นจริง มีคนหน้าตาเหมือนกันมากสองคน ทำไมไม่เป็นฉันที่เป็นหลินหว่าน ที่เซียวจิ่งสือตามหา ส่วนเธอเป็นอีกคนที่แอบอ้างเป็นหลินหว่านล่ะ?”
หลินหว่านพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตอนนี้เธอยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยว่า คนที่หน้าตาเหมือนกับเธอนั้น สวมรอยเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ
หลินหว่านถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง เธอในตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่อินเสี่ยวเสี่ยวอะไรนั่น แต่เป็นหลินหว่านที่เซียวจิ่งสือกำลังตามหาตัวอยู่
“เสี่ยวเสี่ยว เธอพูดอะไรแบบนั้น คนคนนั้นทำไมต้องแอบอ้างว่าเป็นหลินหว่านด้วยล่ะ? ยังมีอีก การสวมรอยเป็นคนคนหนึ่ง เป็นเรื่องง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? เซียวจิ่งสือจะไม่รู้เชียวหรือ? ขนาดเซียวจิ่งสือยังไม่สงสัยเธอเลย แถมยังพิสูจน์แล้วด้วยว่าเธอมีความทรงจำเรื่องอดีตของเธอกับเซียวจิ่งสือ แล้วคุณยังจะบอกว่าเธอเป็นตัวปลอมได้ยังไง? เสี่ยวเสี่ยว คุณก็คืออินเสี่ยวเสี่ยว อย่ามัวหลงทางไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นระยะนี้ หรือกับความร่ำรวยของเซียวจิ่งสือ จนทำให้หลงลืมว่าตัวเองเป็นใครไปเลย”
ฮั่วเทียนอวี่ใช้คำพูดแรงไปหน่อย เขาเห็นว่าต้องทำเช่นนี้จึงจะทำให้หลินหว่านตระหนักถึงตัวตนที่เป็นอยู่
“แต่ว่า ถ้าเธอเป็นหลินหว่านตัวจริง ฉันเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวตัวจริง ทำไมเธอต้องจับฉันไปขังด้วย ทำไมต้องให้หมอด้านสมองมาเฝ้าฉันไว้ แล้วทำไมต้องสะกดจิตฉันด้วยล่ะ? เรื่องนี้มันไม่มีเหตุผลเลยนี่นา!”
หลินหว่านไม่เห็นด้วยกับฮั่วเทียนอวี่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันน่าแปลกเกินไป ยากจะหาเหตุผลมาอธิบายให้ชัดเจนได้
“เสี่ยวเสี่ยว งั้นคุณคิดหรือเปล่าว่า ผู้หญิงทุกคนย่อมจะอิจฉาริษยากันหรือมีเรื่องที่ยอมกันไม่ได้ทั้งนั้น หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือเป็นคู่รักกันใช่หรือเปล่า ถ้าหากคุณเห็นว่ามีคนอีกคนหนึ่งที่หน้าเหมือนกับตัวเอง มาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ แฟนตัวเองอยู่เรื่อยนี่ คุณจะรู้สึกอย่างไร? ย่อมจะไม่ชอบใจ ขัดใจมากเลย ใช่ไหม? ในเมื่อขัดใจไม่ชอบซะแล้ว งั้นถ้าอยากทำให้คนคนนี้หายตัวไปจากชีวิตของแฟนตัวเองนี่ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ใช่ไหมเล่า เธอคงไม่อยากให้คุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเซียวจิ่งสือ ไม่อยากให้คุณเข้าไปทำลายความรักระหว่างพวกเขา จึงคิดจะแอบกำจัดคุณไปซะ ดังนั้นจึงมีเรื่องที่จับคุณไปขังยังไง ทั้งหมดนี้ก็เพราะความริษยาหึงหวงของพวกผู้หญิงทั้งนั้น ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดสักหน่อย”
ฮั่วเทียนอวี่แต่งเรื่องเป็นคุ้งเป็นแควขึ้นเพื่อชักใบให้เรือเสียพาหลินหว่านไปผิดทาง หลินหว่านจะได้คลายข้อข้องใจไปได้
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ออกมาได้นะ เพื่อให้ความรักของตัวเองคงอยู่ต่อไป ก็สามารถลงมือทำร้ายคนอื่นได้งั้นรึ? ทัศนคติแบบนี้มันบิดเบี้ยวไปหน่อยกระมัง ฉันไม่ขอร่วมสังคายนาด้วยหรอก”
หลินหว่านมองฮั่วเทียนอวี่อย่างดูแคลนอยู่บ้าง นึกไม่ถึงเลยว่า เหตุผลบิดๆ เบี้ยวๆ พวกนี้จะหลุดมาจากปากเขาได้
“โอย เสี่ยวเสี่ยว คุณก็อย่าเพิ่งรีบโกรธไปเลย ผมแค่บอกว่า หลินหว่านเธออาจจะคิดแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเห็นด้วยกับความคิดของเธอนี่นา แต่ผมเห็นด้วยว่า การยอมทำทุกอย่างเพื่อความรักโดยไม่สนความถูกผิด เป็นเรื่องผิดพลาดอย่างมาก และเป็นเรื่องน่าละอายมาก”
ฮั่วเทียนอวี่พอเห็นว่าหลินหว่านเริ่มโมโห ก็รีบพูดปลอบเสียงอ่อน
“นอกจากนี้ ฉันก็ยังไม่เห็นว่าคนที่คิดอย่างที่คุณว่าแล้วจับฉันมาขังไว้ จะเป็นหลินหว่านไปได้ เพราะว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ มันต่างจากหลินหว่านที่เซียวจิ่งสือเล่าให้ฉันฟังมาก จนไม่น่าจะเป็นคนคนเดียวกันได้เลย!”
หลินหว่านนึกถึงคนที่เซียวจิ่งสือบรรยายให้เธอฟังเมื่อตอนบ่ายนี้แล้วก็ยิ่งแน่ใจในความคิดของตัวเอง
“เฮอะ เซียวจิ่งสือเล่าให้คุณฟังว่าหลินหว่านเป็นคนยังไงเหรอ? ผมเองก็ชัดอยากจะรู้บ้างซะแล้วสิ”
ฮั่วเทียนอวี่หัวเราะพรืดออกมา แล้วถามอย่างอยากรู้
“เซียวจิ่งสือบอกว่าหลินหว่านของผม บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่รู้จักใช้แผนการร้ายและยิ่งไม่ทำร้ายคนอื่นด้วย หลินหว่านเป็นคนดีมาก เธอยังหวังดีต่อบ้านคุณตาของเธอที่กดขี่ข่มเหงเธอ ใช้เธอเป็นเครื่องมือ ทำร้ายและทอดทิ้งเธออีกด้วย ตอนที่พวกเขามาหาเธอเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
นอกจากนี้หลินหว่านยังมีพรสวรรค์มากด้านการแสดง เธอเกิดมาเป็นศิลปินโดยแท้เลย ทุกคนล้วนเห็นว่าเธอมีความสามารถด้านการแสดงที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ขนาดถูกกลั่นแกล้งถึงขนาดนี้ พรสวรรค์ด้านการแสดงของเธอยังเป็นที่รู้เห็นกันอยู่ ยากจะปกปิดไว้ได้
เธอขยันขันแข็ง มีความมานะบากบั่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ มีชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ต่อให้ต้องลำบากขนาดไหนก็ยอมทน เธอก็คือห่านฟ้าที่หยิ่งผยองในตัวเอง มุมานะเพื่อพิสูจน์ว่า เธอได้อาศัยเรี่ยวแรงกำลังและการเสียสละทุ่มเทของตัวเองเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
เธอสวยแต่ไม่ถือดี ไม่เอาแต่ใจ ไม่ทำตัวเป็นเจ้าหญิงให้ใครต้องมาคอยบริการเอาอกเอาใจ เลยสักนิด อุปนิสัยเปิดเผยไม่คิดมากจุกจิกหยุมหยิม เหมือนเด็กผู้ชาย ไม่ขี้อ้อนงอแง ตรงไปตรงมา เป็นคนสบายๆ จริงใจไม่คิดมากคนหนึ่ง”
หลินหว่านบอกเล่าทุกคำพูดของเซียวจิ่งสือที่พูดกับเธอเมื่อตอนบ่ายวันนี้ให้ฮั่วเทียนอวี่ฟังจนหมดเปลือก จนฮั่วเทียนอวี่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะเขารู้ว่าคนที่ตรงหน้าเขานี้ก็คือคนที่เซียวจิ่งสือบรรยายมาอย่างนั้นเลย
“แต่เธอดูสิ หลินหว่านอย่างในตอนนี้ เธอทั้งเจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งยังไม่ใจดีมีเมตตาเลยสักนิด ไม่งั้นก็คงไม่จับฉันไปขัง ทำร้ายฉัน ใช้วิธีการต่ำช้าแบบนี้ นอกจากนี้เธอยังไม่ใช่คนขยันขันแข็งเลยด้วย นี่ก็ตั้งนานแล้ว คุณเห็นเธอรับงานแสดงหรือไปแสดงหนังบ้างไหม? ไม่เหมือนกับหลินหว่านที่เซียวจิ่งสือพูดถึงเลยสักนิด แล้วฉันก็ยังเห็นเธอออดอ้อนออเซาะ งอแงวีนแตกไปตั้งหลายครั้ง คนแบบนี้เหรอที่คุณบอกฉันว่าปล่อยตัวตามสบาย…กับผีนะสิ”
หลินหว่านร่ายเรียงจุดที่อี้อวิ๋นฉังแตกต่างจากหลินหว่าน แล้วก็ยิ่งเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง
“เสี่ยวเสี่ยว คุณก็รู้ว่า พวกเขาสองคนเป็นคู่รักกัน ก็อย่างที่บอกกันว่าในสายตาคนรักย่อมเห็นเป็นนางไซซีที่งามพร้อมไปหมดนั่นล่ะ เซียวจิ่งสือเป็นแฟนของหลินหว่าน ก็ย่อมจะขยายส่วนดีของเธอให้งามพร้อมยิ่งขึ้นไปอีก โดยละเลยข้อเสียไปก็ได้นี่ ทุกคนต่างก็ไม่อยากมีความทรงจำว่าคนที่ตัวเองรักเป็นคนไม่ดีหรอก”
ฮั่วเทียนอวี่พูดเหมือนมีหลักการ เขาหวังว่าการชักแม่น้ำทั้งห้าของตัวเองจะทำให้หลินหว่านยอมปล่อยวางกับสิ่งที่เธอคิดเสียที
ตอนที่ 218 ยาเสพติด
ผู้หญิงเวลาที่ร้ายกาจขึ้นมานั้น ย่อมทำได้ทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ตามมา เพื่อจับผู้ชายคนหนึ่งไว้ให้อยู่หมัด อี้อวิ๋นฉังก็เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจสุดๆ คนนั้น
ในช่วงวันเวลาที่เธอสวมรอยเป็นหลินหว่าน ยิ่งนานวันเข้าอี้อวิ๋นฉังก็ยิ่งรู้สึกว่าระดับความน่าเชื่อถือในตัวเธอสำหรับเซียวจิ่งสือลดลงไปเรื่อยๆ เธอมีตรงไหนที่เลียนแบบได้ไม่เหมือนรึไงนะ? อี้อวิ๋นฉังไม่มีทางรู้ได้เลย เธอรู้ว่าตัวเองได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ที่จะแสดงเป็นหลินหว่าน
แต่ว่าความรู้สึกหวาดระแวงได้ก่อตัวขึ้นในใจของอี้อวิ๋นฉังแล้ว ถึงแม้จะแสดงได้สมบูรณ์พร้อมขนาดไหน ก็อาจถูกเปิดโปงได้สักวันหนึ่ง อี้อวิ๋นฉังจะยอมให้ตัวเองต้องสูญเสียสิ่งที่ได้มาอย่างยากลำบากทั้งหมดในตอนนี้ได้ยังไงกัน? ดังนั้น ทางเดียวก็คือทำให้เซียวจิ่งสือไม่สามารถทิ้งเธอไปได้
ถ้าเช่นนั้นต้องใช้วิธีอะไรกันนะจึงจะทำให้เซียวจิ่งสือไม่สามารถไปจากเธอได้ตลอดกาล? อี้อวิ๋นฉังขยับแก้วไวน์ในมือไปพลางครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ในความมืดตามลำพัง ความรักรึ? หึ เอาแน่เอานอนไม่ได้ เซียวจิ่งสืออาจไม่รักเธอเลยตลอดกาล หรือต่อให้รักก็เถอะ ใจผู้ชายนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เชื่อในความรัก ยังเชื่อได้ยากยิ่งกว่าเชื่อว่าตัวเองจะร่ำรวยได้ในชั่วข้ามคืนซะอีก
คนที่อยู่ในเงามืดก็ย่อมจะคิดถึงแต่เรื่องที่มืดมน ดังนั้นในหัวของอี้อวิ๋นฉังจึงมีคำว่า ‘ยาเสพติด’ แวบขึ้นมา อี้อวิ๋นฉังนึกได้ว่า เธอมีพี่ชายที่สนิทสุดๆ อยู่คนหนึ่ง ทำการค้ายาเสพติดที่ผิดกฎหมาย และพี่ชายคนนี้เคยบอกกับเธอว่า ขอเพียงเธอต้องการ อี้อวิ๋นฉังก็มาเอาของจากเขาได้ตามสบายเลย
อี้อวิ๋นฉังรู้ว่าถ้าหากเล่นของประเภทนี้แล้ว ทั้งชีวิตก็อาจเลิกจากมันไม่ได้อีกเลย ตัวเธอเองนั้นไม่กล้าจะลองหรอก เพราะถ้าลองไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้เธออาจไปจากพี่ชายที่แสนดีนั่นไม่ได้อีกเลยก็ได้ สัญญาขายตัวแบบนี้ คนอย่างอี้อวิ๋นฉังไม่โง่พอที่จะเซ็นผูกมัดตัวเองหรอก
แต่ตอนนี้ นี่จะเป็นอาวุธชั้นเลิศที่จะทำให้เซียวจิ่งสือไม่อาจไปจากเธอได้ตลอดชีวิตพอดีเลยไม่ใช่รึไง? อี้อวิ๋นฉังแอบนึกดีใจ ตกลงใจว่าจะใช้วิธีการสุดติ่งนี้เพื่อรั้งให้เซียวจิ่งสืออยู่กับเธอ
ท่ามกลางความมืดมิด อี้อวิ๋นฉังเผยรอยยิ้มย่ามใจ จิบไวน์แดงคำหนึ่ง แม้จะต้องใช้ใบหน้าของหลินหว่าน อยู่เคียงข้างเซียวจิ่งสือไปตลอดเธอก็ยอม
สำหรับกับเซียวจิ่งสือ ไม่มีคำว่ารัก แค่ให้ได้มาซึ่งฐานะและอำนาจของเขาก็เท่านั้น เพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นหญิงสูงศักดิ์เป็นที่นับหน้าถือตาคนหนึ่ง จึงต้องอยู่ข้างกายเซียวจิ่งสือ เป็นคู่รักที่ทุกคนยอมรับเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นวิธีการนี้จะส่งผลร้ายต่อเซียวจิ่งสืออย่างไรนั้น เรื่องนี้อี้อวิ๋นฉังไม่สนเลยสักนิด และไม่ได้คำนึงถึงเลยด้วย
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็เริ่มดำเนินการทันที ส่วนค่าตอบแทนของแผนดำเนินการครั้งนี้แน่นอนว่าเธอต้องตกเป็นเครื่องเล่นของพี่ชายที่แสนดีนั่นจนหนำใจ เสียตัวแค่นี้สำหรับอี้อวิ๋นฉังไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย นึกถึงเมื่อก่อน สมัยที่เธอยอมอยู่กับพวกผู้กำกับผู้อำนวยการสร้างนั่นก็ไม่รู้จักเท่าไหร่ไปแล้ว
แต่ทำยังไงจึงจะให้เซียวจิ่งสือกินของพวกนี้ลงไปโดยไม่รู้ตัวได้นะ? อี้อวิ๋นฉังตั้งใจว่าจะลงมือกับอาหารและเครื่องดื่มประจำวันของเซียวจิ่งสือ
ตอนเธอสวมรอยเป็นหลินหว่านกลับมานั้น ก็ตามน้ำเข้ามาอยู่ในบ้านของเซียวจิ่งสือ ส่วนเซียวจิ่งสือนั้นเพื่อจะดูว่าหลินหว่านตัวปลอมนี้ต้องการอะไรกันแน่ จึงย่อมจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก (เนื้อหาส่วนนี้ขัดแย้งกับตอนที่ 212 บอกว่ากลับไปอยู่บ้านพักเดิมที่หลินหว่านเคยอยู่ – ผู้แปล)
เซียวจิ่งสือเป็นคนมีระเบียบมาก ต้องทานอาหารเช้าที่บ้านแล้วจึงไปทำงานที่บริษัท อาหารกลางวันทานที่บริษัท ส่วนอาหารเย็นนั้นไม่แน่นอน บางครั้งก็ที่บริษัท บางครั้งทานที่บ้าน บางครั้งต้องไปงานเลี้ยง ดังนั้นอี้อวิ๋นฉังจึงตื่นเช้าทุกวัน แอบใส่ยาลงในอาหารเช้าของเซียวจิ่งสือ
ตอนแรก เซียวจิ่งสือไม่ได้ระวังตัว จึงทานอาหารเช้าตามปกติทุกวัน ไปทำงานเลิกงานตามปกติ แต่ว่าหลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ เซียวจิ่งสือก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองผิดปกติไป
หลายวันมานี้ เซียวจิ่งสือจู่ๆ ก็ง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาเฉยๆ บางครั้งยังเกิดภาพหลอนอีกด้วย หนักหน่อยก็ถึงกับแน่นหน้าอกและคลื่นไส้อาเจียน เซียวจิ่งสือมีสุขภาพดีมากมาตลอด จู่ๆ ก็เกิดมีอาการเช่นนี้ขึ้น ทำให้เขาสงสัยว่าจะมีคนทำอะไรกับเขาซะแล้ว
พอดีกับระหว่างทานอาหารเช้าวันหนึ่ง เซียวจิ่งสือคุยกับน้าที่ดูแลงานครัวว่า
“คุณน้าครับ ทำไมช่วงนี้ข้าวต้มถึงมีแต่อย่างรสเค็มละครับ เมื่อไหร่เปลี่ยนรสเป็นแบบจืดหน่อย หรืออย่างรสหวานบ้างสิครับ”
“อ้อ คุณหนูคะ คุณหลินเธอสั่งกำชับมาเป็นพิเศษว่าคุณชอบทานแบบรสเค็ม ให้พวกเราทำแบบนี้ค่ะ คุณหลินนี่เธอก็เอาใจใส่คุณเหมือนกันนะคะ ทุกเช้าเลย เธอจะมาดูพวกเราทำอาหารเช้ากัน เธอบอกว่าต้องคุมด้วยตัวเอง ไม่งั้นไม่ไว้ใจค่ะ คุณหนูอยากเปลี่ยนรสบ้างรึคะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะเปลี่ยนให้นะคะ”
ที่แท้อี้อวิ๋นฉังกลัวว่ายาที่ใส่ลงไปจะมีกลิ่นรสผิดปกติ จึงสั่งเป็นพิเศษให้คนครัวทำข้าวต้มเค็มทุกเช้า คิดจะให้รสของข้าวต้มกลบกลิ่นรสที่อาจผิดแปลกไป
“น้าว่ายังไงนะ? คุณหลินที่อยู่ที่นี่ ทุกเช้าตื่นขึ้นมาดูพวกน้าทำอาหารเช้างั้นรึ?”
“ใช่ค่ะ ไม่ใช่แค่ดูนะคะ ยังตักข้าวให้คุณทุกวันเลยด้วย เธอบอกว่าต้องตักให้เต็ม คุณจะได้ทานจนอิ่ม มีเรี่ยวแรงทำงานไปทั้งวันยังไงคะ ช่างหาได้ยากจังนะคะ ฉันว่าคุณหลินเธอเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะคะ”
“งั้นเหรอ เธอทำแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว เมื่อไหร่กันที่เธอเริ่มสนใจอาหารเช้าของผม?”
“เอ้อ ประมาณเมื่ออาทิตย์ที่แล้วกระมังคะ พูดกันจริงๆ ตอนแรกฉันยังเข้าใจว่าคุณหลินจะสนใจแค่ไม่กี่วัน คงจะแค่สองวันก็เบื่อแล้ว คิดไม่ถึงเลยค่ะ เธอทำติดต่อกันมาได้ตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังมีอีกนะคะ ฉันดูว่าคุณหลินยังไม่มีทีท่าว่าจะย่อท้อเลยค่ะ คงจะยังทำต่อไปแน่เลยค่ะ”
“อืม เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไรนะครับ คุณน้า พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็เปลี่ยนรสข้าวต้มให้ผมก็แล้วกัน”
เธองั้นรึ? เมื่อไหร่กันที่เธอมาสนใจอาหารเช้าของฉัน? หรือว่า เธอเป็นคนลงมือ? เซียวจิ่งสือพูดกับคุณน้าคนครัวแล้วก็อดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
เพื่อให้แน่ใจ ว่าเป็นฝีมือผู้หญิงที่อยู่ในบ้านเขาหรือเปล่ากันแน่ เซียวจิ่งสือแอบติดตั้งกล้องไว้ในบ้าน หลังจับตาดูมาสองวัน ก็เห็นว่าทุกเช้าอี้อวิ๋นฉังจะใส่บางอย่างลงในข้าวต้มของเขา เซียวจิ่งสือเข้าใจปรุโปร่งในทันที ของที่อี้อวิ๋นฉังใส่ให้เขา ต้องเป็นพวกยาเสพติดแน่ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีปฏิกิริยาทางร่างกายที่ชัดเจนขนาดนี้
จากเรื่องนี้เอง เซียวจิ่งสือยิ่งเชื่อมั่นว่าคนที่อยู่ข้างกายเขา ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกับหลินหว่านเป็นพิมพ์เดียวกันนี้ ไม่ใช่หลินหว่านอย่างเด็ดขาด!
ตอนที่ 219 แผนลงมือ
ความน่ากลัวของยาเสพติดก็คือ แม้จะเสพเข้าไปในปริมาณเพียงน้อยนิด แม้จะมีจิตปณิธานเข้มแข็งประดุจหล็กอย่างเซียวจิ่งสือ ยังได้รับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของมัน ร่างกายและจิตใจเริ่มต้องการยาเพื่อให้ยืนหยัดอยู่ได้ ปริมาณที่ต้องการก็ดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้เซียวจิ่งสือจะทำอะไรที่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้ เพื่อค้นหาความจริงทั้งหมด เขายอมได้ทุกอย่าง เขายอมทานข้าวต้มที่ใส่ยาลงไปทุกวัน จากนั้นค่อยไปหาหมอเพื่อรักษา
ในใจของเซียวจิ่งสือมีคำถามกองมหึมาก้อนหนึ่ง ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะมีใบหน้าที่เหมือนกับหลินหว่านเป็นพิมพ์เดียวกัน นั่นอธิบายได้ง่ายมาก ใบหน้านั้นทำศัลยกรรมได้ แต่ที่ทำให้จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยก็คือ สิ่งที่เธอมีนั้นมันคือ ความทรงจำของหลินหว่าน
เซียวจิ่งสือสาบานว่า จะต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อาจได้รับการให้อภัยจากหลินหว่านตัวจริง
“ประธานเซียว คุณกินของพวกนั้นอีกไม่ได้แล้วนะ ไม่อย่างนั้น ร่างกายคุณจะรับไม่ไหวนะ ยาเสพติดทำลายคน พอเข้าไปข้องแวะด้วยเป็นต้องเกิดความเสียหายใหญ่หลวงตามมา ไม่ว่าใครก็ทนไม่ได้หรอก ไม่มีใครหลุดรอดไปได้”
แพทย์ส่วนตัวพยายามพูดให้เซียวจิ่งสือเปลี่ยนใจ หลังจากตรวจร่างกายเซียวจิ่งสืออีกครั้ง
“คุณหมอครับ ผมรู้ดี ของพวกนี้ผมก็ไม่ได้อยากจะกินมันหรอก แต่ตอนนี้มันจำเป็น ปัญหายังไม่คลี่คลาย ก่อนที่ผมจะได้รู้เรื่องที่ผมอยากจะรู้ ผมได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ ได้แต่กินมันลงไป”
เซียวจิ่งสือพูดอย่างจนใจ แน่นอนว่าเขารับรู้ถึงสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองดีว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว
“แต่…คุณว่าสุขภาพสำคัญหรือว่าเรื่องอื่นที่คุณว่านั่นสำคัญกันแน่? ผมบอกคุณเลยนะ ตอนนี้คุณต้องเริ่มถอนยาแล้ว รู้ไหม ตอนนี้ผมได้แต่ให้ยาคุณ ช่วยปรับสภาพร่างกายให้ยาเสพติดส่งผลกระทบต่อคุณน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าคิดจะหายเป็นปกติ คุณต้องเลิกยา ห้ามเสพอีกแม้แต่นิดเดียว”
น้ำเสียงของคุณหมอเคร่งเครียดจริงจังมาก สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรที่จะสำคัญยิ่งไปกว่าสุขภาพของคนคนหนึ่ง
“ผมรู้ครับ คุณหมอ รอให้เรื่องของผมเสร็จก่อน ผมจะเลิกยาแน่ ผมเชื่อมั่นในตัวผมเอง ตอนนี้ ได้แต่รบกวนคุณหมอให้ช่วยดูแลด้วยครับ”
เซียวจิ่งสือขมวดคิ้ว คำพูดพวกนี้ของหมอเขาจะไม่รู้ได้ยังไงกัน ร่างกายของตัวเองเขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
คุณหมอก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ได้แต่เพิ่มปริมาณยา เพื่อลดผลกระทบจากยาเสพติดให้ต่ำลงจนถึงที่สุด แต่ว่าตอนที่ให้ยาอยู่นั้นยังอดไม่ได้ที่จะพูด ไม่รู้ว่าพึมพำกับตัวเองหรือว่าพูดให้เซียวจิ่งสือฟังกันแน่
“เรื่องอะไรสำคัญนักหนาขนาดนั้น คนอะไรซื่อบื้อได้ขนาดนี้ ทั้งที่รู้อยู่แล้ว แกล้งทำเป็นกินเข้าไปก็ได้นี่ ทำไมต้องกินเข้าไปหมดด้วยนะ จริงเล้ย โง่รึเปล่าเนี่ย”
เซียวจิ่งสือหลับไปพร้อมกับเสียงบ่นของคุณหมอ มุมปากยังมีรอยยิ้มอย่างจนใจค้างอยู่ คนอย่างเซียวจิ่งสือ เคยต้องมาเจอกับสถานการณ์อับจนที่ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อีกด้านหนึ่ง อี้อวิ๋นฉังใช้ตัวตนของหลินหว่านไปทดสอบบทหนังที่กองถ่าย แม้ว่าตอนนี้เธอจะได้รับการสนับสนุนจากเซียวจิ่งสือ ไม่ต้องอาศัยค่าตอบแทนเพียงน้อยนิดจากงานแสดงมาเลี้ยงตัวเองก็ได้ งานที่ทั้งเหนื่อยทั้งหนัก แล้วยังถูกคนด่าอีก พอมีชื่อเสียงก็เป็นของหลินหว่านไปอีก ไม่มีอะไรดีเลยทั้งนั้น
เมื่อก่อนเพราะเพื่ออยู่รอด เพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง อี้อวิ๋นฉังทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้โอกาส พูดกันตามจริงแล้ว เธอไม่ชอบการแสดงเลยสักนิด ยิ่งไม่ชอบถูกผู้กำกับด่า ถูกนักแสดงอื่นนินทา
แต่ตอนนี้ เพื่อแสดงบทหลินหว่านให้ดี ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องรับแสดงบ้าง ใครใช้ให้หลินหว่านมีชื่อในวงการว่าเป็นพวกบ้างาน ก่อนหน้านี้เธอใช้ข้ออ้างว่ารักษาอาการบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวอยู่นาน ขืนพักฟื้นต่อไปคงได้เผยพิรุธแน่
ยังดีที่บทนี้เล่นได้สบายมาก อีกทั้งตอนนี้มีชื่อเสียงของหลินหว่าน แล้วยังมีเซียวจิ่งสือหนุนหลังอีก ยังจะมีผู้กำกับหรือนักแสดงหน้าไหนมาหาเรื่องเธออีก?
แต่ตอนที่อี้อวิ๋นฉังทดสอบหน้ากล้องนั้น กลับได้พบกับหลินหว่านตัวจริงที่หลังเวทีโดยบังเอิญ
“อ้าว อินเสี่ยวเสี่ยว คุณก็มาทดสอบบทเรื่องนี้เหมือนกันเหรอ? น่าเสียดายนะ เรื่องนี้ไม่มีบทฝาแฝด คุณว่าพวกเราหน้าตาเหมือนกันแบบนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันกระมัง ไม่อย่างนั้นผู้ชมเห็นแล้วจะงงกันขนาดไหน คุณจะเดาดูไหม หนังเรื่องนี้เธอจะได้เล่นหรือฉันได้เล่น?”
อี้อวิ๋นฉังพูดอย่างท้าทาย แม้จะมีใบหน้าของหลินหว่าน แต่ลักษณะท่าทางแข็งกระด้างก้าวร้าวนั้นยังเป็นตัวเธอเองอยู่ดี ใบหน้าที่งามปานนางฟ้ากลับถูกเธอทำให้บิดเบี้ยวน่าเกลียดน่าชัง
“ใครมีความสามารถก็เป็นของคนนั้นล่ะ แต่ถ้าบางคนเลือกที่จะใช้เส้นสนกลในแล้วละก็ ฉันก็หมดปัญญาเหมือนกัน คนมันไม่เหมือนกันทำไงได้”
หลินหว่านพูดเสียงเรียบ เดินเฉียดผ่านข้างกายอี้อวิ๋นฉังไป ไม่เปิดให้โอกาสให้เธอพล่ามไร้สาระอีก หลินหว่านเดินไปหน้าเวที แล้วเริ่มแสดง
หลังจากนักแสดงทุกคนแสดงเสร็จหมดแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็มาที่ห้องประชุมของผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง
“อ้าว คุณหลินหว่าน คุณมาที่นี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ ตอนนี้เรากำลังประชุมคัดเลือกตัวนักแสดงกันอยู่ คุณควรจะรออยู่ที่ห้องพักรับรองนี่นา”
ผู้อำนวยการสร้างเห็นอี้อวิ๋นฉังมาก็พูดจาทักทายอย่างดี เขาย่อมจะรู้ว่ามีเรื่องผิดใจกับคุณผู้หญิงนี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เงินลงทุนหนังเรื่องนี้จากเซียงเฉิงของเซียวจิ่งสือก็คงจะสูญไปด้วย
“ฮ่าๆๆ ดูพวกคุณตื่นเต้นกันจัง ที่คุณพูดนี่ฉันเข้าใจดีค่ะ แต่ฉันก็แค่มาพูดเตือนด้วยความหวังดีเท่านั้นนะคะ ละครเรื่องหนึ่ง ไม่น่าจะมีคนที่หน้าเหมือนกันสองคน แล้วนางเอกเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีพี่น้องฝาแฝดซะด้วย จิ่งสือของเราน่ะ ยิ่งหวังมากเลยว่าตอนที่ฉันเปิดตัวสู่วงการอีกครั้งจะได้แสดงหนังเรื่องนี้ เขาบอกว่านะ บทบาทนี้ เหมือนเขียนมาสำหรับฉันโดยเฉพาะเลย แต่ว่าพวกคุณก็รู้ว่าฉันเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย อันที่จริงก็จำเป็นต้องใช้ตัวแสดงแทนมากเลย เราก็อย่าปล่อยกำลังคนให้เสียเปล่า คัดเลือกตัวสตั๊นท์แมนขึ้นมาอีกสักหลายคนสิคะ”
อี้อวิ๋นฉังพูดอย่างไม่สนใจใคร พอพูดจบก็เดินนวยนาดจากไป
“บ้าฉิบ แม่นี่หมายความว่าไงนะ พวกเราต้องให้เธอได้บทนางเอกงั้นเหรอ? ผมได้ยินมาว่าเมื่อก่อนหลินหว่านไม่ใช่เป็นคนแบบนี้นี่นา คุณดูการแสดงของเธอสิ นี่มันอะไรกัน ฝีมือสร้างความประทับใจสู้อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เลยสักนิด ให้อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นตัวแทนของเธองั้นรึ? ผมว่าด้วยฝีมือการแสดงของเธอ หิ้วรองเท้าให้อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ได้เลย ผมสงสัยซะจริงเลยว่า แม่คนนี้น่ะไม่ใช่หลินหว่านหรอก!” ผู้กำกับพอเห็นอี้อวิ๋นฉังออกไปแล้วก็ด่าออกมาชุดใหญ่อย่างอดไม่อยู่
“เอาล่ะๆ คุณทนๆ ไปเถอะ เรื่องฝีมือการแสดงนี่ เราเห็นๆ กันอยู่แล้ว แต่ใครใช้ให้เธอเป็นคนโปรดของเซียวจิ่งสือกันล่ะ งั้นก็ให้อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นตัวแทนของเธอก็แล้วกัน ยังรับประกันคุณภาพของหนังได้ดีกว่าด้วย”
ผู้อำนวยการสร้างพูดโน้มน้าวผู้กำกับ เพราะเซียวจิ่งสือเป็นนายทุนของหนังเรื่องนี้ พวกเราจึงต้องยอมอดทนกล้ำกลืนต่อไป
ตอนที่ 220 บาดเจ็บ
วันรุ่งขึ้น ก่อนเปิดกล้องถ่ายภาพยนตร์ อี้อวิ๋นฉังมาหาช่างฝ่ายอุปกรณ์การแสดงของกองถ่าย
“คุณหลิน ไม่ทราบว่าต้องการให้ผมทำอะไรครับ? มีอะไรคุณสั่งได้เต็มที่เลยครับ” ช่างพูดกับอี้อวิ๋นฉังอย่างนอบน้อม
ตอนนี้อี้อวิ๋นฉังก็คือหลินหว่าน เธอเป็นนางเอกของหนังเรื่องนี้ เป็นแฟนสาวของเซียวจิ่งสือ เป็นคนที่มีภูมิหลังแข็งปั๋งที่สุดในกองถ่าย ทั้งกองพากันเอาอกเอาใจเธอ ด้วยเกรงว่าจะทำให้เธอไม่พอใจ
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่ารอบข้างไม่มีคน ก็กระซิบที่ข้างหูช่างอุปกรณ์ บอกเล่าแผนการของเธอออกมา
ที่ไหนได้พอช่างได้ฟังแล้วก็หวาดหวั่นขึ้นมา พูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “คุณหลิน ท…ทำไม่ได้หรอกครับ สลิงค์ห้อยโหนถ้าตัดสั้นแล้วจะอันตรายมาก นอกจากนี้ อาจทำให้ถึงตายได้นะครับ ผมรับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ!”
อี้อวิ๋นฉังขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจมากๆ ว่า “บอกให้แกตัดก็ตัดสิ เรื่องมากไปได้! เกิดเรื่องขึ้นฉันรับผิดชอบเอง แกก็ทำไปเถอะ”
“ต…แต่ว่า…” แต่ว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้น เขาจะตกงานเอานะสิ ช่างอึกอักพูดไม่ออก ตัดสินใจไม่ได้
อี้อวิ๋นฉังพูดอีกว่า “ฉันจะบอกให้นะ คนหนุนหลังฉันแกก็รู้ดีนี่ เรื่องนี้ถ้าแกไม่ทำ ฉันก็หาคนมาทำแทนแกได้ แกลองคิดดูให้ดีนะ!”
ความหมายของอี้อวิ๋นฉังก็คือ ใช้หน้าที่การงานมาข่มขู่เขา ถ้าไม่ตัดสายสลิงค์ ‘หลินหว่าน’ จะทำให้เขาตกงาน ตัดสายสลิงค์ ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ไม่แน่ว่าจะตกงาน ช่างคิดดูแล้วตอบว่า “งั้นก็ได้ครับ คุณหลิน ผมจะทำตามที่คุณบอกก็แล้วกัน”
“แกสบายใจได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงแกยืนยันว่าสายสลิงค์ขัดข้องก็ได้แล้ว เรื่องอื่นแกไม่ต้องห่วง” พอเห็นว่าช่างตอบตกลง อี้อวิ๋นฉังก็พอใจมาก ฝากคำพูดนี้ไว้แล้วจากไป
อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นตัวแสดงแทนของอี้อวิ๋นฉัง ดังนั้นฉากแรกอินเสี่ยวเสี่ยวก็เริ่มแสดงเลย เพราะฉากแรกเป็นฉากต่อสู้
คนทำงานผูกลวดสลิงค์ให้อินเสี่ยวเสี่ยว พอจัดเตรียมเสร็จ ผู้กำกับมองผ่านกล้องเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัวเลย ก็แอบนึกชมความกล้าหาญชาญชัยของเธออยู่ในใจ ดูไปแล้วไม่เหมือนเป็นมือใหม่เอาซะเลย แถมยังเป็นตัวแสดงแทนซะอีก ท่าทางนิ่งและหนักแน่นของเธอเหมือนกับผ่านการแสดงมาไม่น้อยแล้วอย่างนั้น
“เออะ” ผู้กำกับได้สติกลับมา ถามอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “อี้อวิ๋นฉัง เป็นไงบ้าง? เธอพร้อมรึยัง?”
อินเสี่ยวเสี่ยวตอนนี้ใช้สถานภาพอี้อวิ๋นฉังเป็นตัวแสดงแทน พอได้ยินคำถามของผู้กำกับ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ตอบกลับเสียงเรียบทั้งที่ในใจสับสนอยู่บ้าง “ฉันพร้อมแล้วค่ะ ผู้กำกับ”
“เอาล่ะ สาม สอง หนึ่ง แอ๊กชั่น!” ผู้กำกับร้องสั่งออกไป กล้องเริ่มถ่ายทำ ส่วนอี้อวิ๋นฉังนั่งเล่นมือถืออยู่ที่ด้านล่าง
สายลวดสลิงค์ค่อยๆ ถูกดึงขึ้นสูง ตามบท อินเสี่ยวเสี่ยวควรจะถือกระบี่ร่ายรำกระบวนท่าต่อสู้อย่างงดงามชุดหนึ่งอยู่กลางอากาศคนเดียว จากนั้นจบด้วยท่าเท่ห์ๆ เป็นอันจบฉากนี้
ใช่เลย ฉากนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยวไม่มีบทพูด เพราะเธอเป็นแค่ตัวแสดงแทนเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งถูกดึงขึ้นกลางอากาศ มือเธอถือกระบี่เพิ่งเริ่มขยับ ก็รู้สึกว่าลวดสลิงค์ไม่ค่อยนิ่ง จากนั้น เธอยังไม่ทันได้ตั้งหลักทำอะไร สายลวดสลิงค์เส้นหนึ่งที่ห้อยตัวอินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ก็ขาดผึง เสียงดัง “ฟึ่บ” อินเสี่ยวเสี่ยวร่วงลงมาจากกลางอากาศ ตกกระแทกพื้น
“คัท! เกิดอะไรขึ้น? อี้อวิ๋นฉังเป็นไงมั่ง รีบไปดูเร็ว!” ผู้กำกับเห็นภาพนี้ผ่านทางจอมอนิเตอร์ เขาร้องตะโกนออกมาดังลั่น
ชั่วพริบตาเดียว คนทำงานทุกคนก็ห้อมล้อมเข้าหาอินเสี่ยวเสี่ยว “อี้อวิ๋นฉัง คุณไม่เป็นไรนะ?” “อี้อวิ๋นฉัง คุณเป็นยังไงบ้าง?” แต่ละคนถามเหมือนเป็นห่วงซะเหลือเกิน
แต่คนที่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น จะไม่เป็นไรได้ยังไงกัน?
หน้าผากอินเสี่ยวเสี่ยวปูดโนขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ เคราะห์ดีที่ตอนเธอตกลงมา ด้านล่างมีเบาะรองรับน้ำหนักไปส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าอาการจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน พอนึกถึงตรงนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็นึกกลัวขึ้นมา
ผู้กำกับก็แหวกวงล้อมเข้ามาดู เขาตรวจดูอาการบาดเจ็บของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว พอเห็นว่าแค่หัวโนก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาถามว่า “อี้อวิ๋นฉัง คุณไม่เป็นไรนะ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะผู้กำกับ” อินเสี่ยวเสี่ยวตอบ
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันว่าอาการบาดเจ็บที่หน้าผากของเธอไม่มากนัก เรามาถ่ายกันต่อเถอะ” ผู้กำกับพูดขึ้น ถึงยังไงอี้อวิ๋นฉังก็เป็นแค่ตัวแสดงแทนของหลินหว่าน ต่อให้ถ่ายก็เห็นแค่ข้างหลังกับฉากระยะไกลเท่านั้น ไม่ต้องถ่ายใบหน้าของเธอ ผู้กำกับต้องการเร่งถ่ายให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ไม่อยากมาเสียเวลากับนักแสดงตัวเล็กๆ อย่างเธอ
อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งตกลงมาจากลวดสลิงค์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอยังนึกกลัวอยู่เลย พอเห็นว่าผู้กำกับให้เธอแสดงต่อ อินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกรับไม่ได้ จึงปฏิเสธไปว่า “แต่ว่า ผู้กำกับคะ ฉันเพิ่งตกลงมาจากสลิงค์ ยังปวดศีรษะอยู่เลย ฉันอยากจะขอไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยค่ะ”
ผู้กำกับฟังแล้วก็ชักสีหน้าทันควัน “เป็นอะไรของเธอ? เมื่อครู่เธอยังบอกว่าไม่เป็นไรไม่ใช่รึไง? ทำไม ไม่อยากแสดงใช่ไหม? เธอคิดจะถ่วงเวลาคนอื่นเขารึไง?”
“ไม่ใช่นะคะ ผู้กำกับ…” อินเสี่ยวเสี่ยวยืนขึ้นคิดจะอธิบายกับผู้กำกับ แต่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้น เธอสะดุ้งเฮือก สูดปากด้วยความเจ็บปวดอย่างลืมตัว อินเสี่ยวเสี่ยวดึงชุดแสดงของตัวเองขึ้น ท่อนขาเรียวยาวและขาวสะอาดทั้งคู่ภายใต้ชุดแสดงนั้น หัวเข่าทั้งสองข้างเขียวช้ำไปหมด เกิดจากเมื่อครู่ตกลงมากระแทกพื้นนั่นเอง
ผู้กำกับเห็นแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปอยู่บ้าง จากนั้นได้ยินเสียงอี้อวิ๋นฉังดังใกล้เข้ามา “ผู้กำกับ มีอะไรหรือคะ? เกิดอะไรขึ้น?”
พอเห็นว่าเป็นหลินหว่าน ผู้กำกับก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้อี้อวิ๋นฉังฟัง
อี้อวิ๋นฉังฟังแล้ว แกล้งทำเป็นพูดอย่างเป็นกลางว่า “เกิดอะไรขึ้น? จู่ๆ ทำไมลวดสลิงค์ถึงขาดได้ล่ะ?”
ช่างอุปกรณ์ที่ดูอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็รีบพูดว่า “ขอโทษครับ คุณหลิน เรื่องลวดสลิงค์เป็นความผิดของพวกเราครับ แต่ก่อนหน้านี้ลวดสลิงค์ก็ยังดีๆ อยู่เลยนี่ครับ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขัดข้องเอาตอนนี้”
“ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่?” อี้อวิ๋นฉังถาม
“ครับ เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุแน่นอนครับ พวกเราก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” ช่างอุปกรณ์พูด
อี้อวิ๋นฉังมองดูอินเสี่ยวเสี่ยว แกล้งพูดปลอบว่า “อินเสี่ยวเสียว ดูท่าว่าคุณโชคไม่ดีจริงๆ ทำให้มาเจอกับเรื่องแบบนี้เข้า แต่ว่าคุณตกจากลวดสลิงค์สูงขนาดนี้ รู้สึกกลัวก็เป็นเรื่องปกติ ผู้กำกับคะ ฉันว่าให้เธอหยุดพักไปหาหมอตรวจดูก่อนเถอะคะ” ประโยคหลังนี้อี้อวิ๋นฉังหันมาพูดกับผู้กำกับ
“เอาเถอะๆ คุณหลิน ทำตามที่คุณว่ามาทั้งหมดนั่นล่ะ” ผู้กำกับพูด
พูดจบ ผู้กำกับก็หันมาทางอินเสี่ยวเสี่ยว สีหน้าไม่พอใจนัก “ยังจะงงอยู่ทำอะไร ยังไม่รีบขอบคุณคุณหลินอีก คุณหลินนี่ทั้งสวยทั้งใจดีจริงๆ เลยนะ”
“ขอบคุณคุณหลินค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาด ทำไมจู่ๆ ‘หลินหว่าน’ ถึงยอมปล่อยเธอง่ายๆ แบบนี้นะ?
ความจริงที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ก็คือ เมื่อครู่อี้อวิ๋นฉังเพิ่งใช้มือถือถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เธอร่วงตกลงมาจากลวดสลิงค์เอาไว้ทั้งหมด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น