เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 211-217
ตอนที่ 211 เขานั่นเอง
นี่เป็นสเปรย์พริกไทยที่เธอซื้อมาจากซูเปอร์มาร็เก็ต ตอนแรกเธอซื้อมันมาเพราะความตื่นเต้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอคงต้องขอบคุณความคิดบ้าๆ ของตัวเองในตอนนั้นเสียแล้ว
ประตูถูกเปิดออกช้าๆ เงาของคนรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นตรงประตู เธอตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ ตอนนี้มือเธอลื่นจนแทบจะจับกระป๋องสเปรย์พริกไทยไม่อยู่
เธอผ่อนลมหายใจลงช้าๆ พยายามไถลตัวลงไปหลบอยู่ใต้โต๊ะให้มากที่สุด ในใจภาวนาอย่าให้คนคนนั้นเห็นเธอเลย
ขณะที่เธอไถลตัวลงไปนั่งหลบอยู่ใต้โต๊ะได้สำเร็จนั้น เสียงเปิดสวิตช์ไฟดังขึ้น ทันใดนั้น ไฟสว่างไสวไปทั่วห้อง เมื่อกี้เธอนั่งทำงานอยู่คนเดียวจึงปิดไฟในห้องเสีย
เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนหยุดอยู่ตรงประตูชั่วครู่ จากนั้นเสียงฝีเท้าหนักๆ ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง เธอเงี่ยหูฟังอยู่ใต้โต๊ะแล้วรู้สึกแปลกๆ
ยังไม่ทันได้รู้ว่ามันแปลกตรงไหน เธอก็ได้ยินคนคนนั้นส่งเสียง “เอ๊ะ” ขึ้นมา จากนั้นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เธอได้แต่กู่ร้องอยู่ในใจเพราะรู้แล้วว่าตัวเองยังไม่ได้ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์จนทำให้คนอื่นเห็นร่องรอยของเธอเข้าจนได้
เธอนั่งขดตัวงออยู่ใต้โต๊ะ มองลอดออกมาจากช่องว่างเล็กๆ แล้วเห็นว่าคนคนนั้นสวมรองเท้าหนังทำมือของอิตาลี ราคาขายอยู่ที่ประมาณหลักหมื่น งานส่วนใหญ่ที่เธอทำในช่วงนี้เกี่ยวข้องกับสินค้าฟุ่มเฟือยพวกนี้ทั้งสิ้น เธอเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้ทันที
ความรู้สึกแปลกๆ เมื่อกี้หวนกลับมาอีกครั้ง เธอมุ่นหัวคิ้วพลันได้ยินเสียงขีดเขียนบนกระดาษดังมาจากเหนือศีรษะ ดูเหมือนว่าคนคนนั้นกำลังอ่านผลงานของเธออยู่ เธออดแขวะในใจไม่ได้ “จะขโมยของก็ขโมยไปสิ ทำไมต้องอ่านงานคนอื่นด้วย?”
เธอภาวนาให้เจ้าหัวขโมยรีบออกไปเร็วๆ แต่เธอรอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปเสียที เพราะคนที่สวมรองเท้าแสนแพงคู่นั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเสียที
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป เธอเริ่มขยับตัวเพราะทนความเหน็บชาไม่ไหวอีกต่อไป เธอหันศีรษะมองออกไปนอกโต๊ะ ทันใดนั้น เธอสบเข้ากับดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว
เธอตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นกระเถิบตัวถอยหลังอย่างแรงจนศีรษะโขกเข้ากับโต๊ะอย่างจัง
“โอ๊ย!” เธอลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ เจ็บจนน้ำตาแทบไหล
ทำไมถึงซวยขนาดนี้? เธอทั้งโมโหทั้งร้อนใจ กระวนกระวายจนลนลาน ตอนนี้เธอถูกจับได้แล้วใช่ไหม?
ดวงตาของคนคนนั้นแฝงรอยยิ้ม เขาก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยกับเธอ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ในเมื่อถูกจับได้แล้วเธอก็คงต้องยอมจำนน เธอค่อยๆ คลานออกมาจากใต้โต๊ะ พอเงยหน้ามองเขาเท่านั้นเธอถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้ง เธอใช้มือกุมศีรษะตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “คุณ…คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”
คนตรงหน้าที่เธอคิดว่าเป็นหัวขโมยนั้น ที่แท้เขาก็เป็นหัวหน้าของหัวหน้าของเธอ… คุณคริส… เจ้านายของพวกเธอนั่นเอง
โอ้ พระเจ้า! นี่เธอคิดว่าเขาเป็นหัวขโมยหรือนี่!
ไม่ต้องส่องกระจกเธอก็รู้ว่าวินาทีนี้สีหน้าของเธอแย่มากขนาดไหน ขณะเดียวกันเธอก็แอบด่าตัวเองว่าโง่อยู่ในใจเบาๆ มีหัวขโมยที่ไหนที่เข้ามาแล้วไม่ขโมยของ แต่เอาแต่อ่านงานของเธอ แล้วยังสวมรองเท้าราคาแพงมากขนาดนั้นอีก
เฉียวซือมู่ เธอนี่มันยิ่งอยู่ก็ยิ่งโง่จริงๆ ด้วย!
คริสเป็นชายหนุ่มชาวอิตาลีวัยสามสิบกว่าๆ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ผมสีทองตาสีเขียว เห็นแล้วเจริญตาเจริญใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ความเป็นผู้ใหญ่ของเขาก็มีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดความสนใจจากสาวๆ ได้มากมายแล้ว
ดวงตาสีเขียวของเขากะพริบปริบๆ เขาเอ่ยถาม “คุณเฉียว ทำไมเย็นขนาดนี้แล้วคุณยังอยู่ที่นี่อยู่อีก?” เอ่ยพลางปรายตามองไปยังโต๊ะยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบของเธอแวบหนึ่ง “ผมจำได้ว่าไม่ได้สั่งให้คุณทำงานนอกหน้าที่พวกนี้นี่นา”
โชคดีที่เขาไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงไปแอบอยู่ใต้โต๊ะ เธอถอนหายใจโล่งอกแล้วเอ่ยตอบ “เอลลี่เป็นคนให้ฉันจัดการเอกสารพวกนี้ค่ะ ตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“เอลลี่เหรอ?” เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย เมื่อกี้เขาดูเอกสารพวกนี้ของเธอแล้ว เขาจำได้ว่าตัวเองเป็นคนมอบหมายงานนี้ให้เอลลี่เองกับมือ แล้วทำไมเรื่องถึงมาอยู่ในมือของเธอได้ล่ะ?
“ค่ะ” ไหนๆ ก็พูดออกไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อทำงานต่อ ตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว เธอต้องรีบทำงานส่วนที่เหลือให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับบ้าน ตอนนี้เธอหิวจะตายอยู่แล้ว
คริสขยับริมฝีปากเล็กน้อย อยากถามเหลือเกินว่าทำไมเธอถึงไปแอบหลบอยู่ใต้โต๊ะ แต่เขาสังเกตท่าทางของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากให้เขาถามสักเท่าไหร่
อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าเขาเป็นคนร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายเธอ? เขาลูบคางตัวเองเบาๆ ด้วยความสนใจ
วันนี้เขาลืมของสำคัญบางอย่างเอาไว้ที่ออฟฟิศ เขาว่างอยู่พอดีจึงหวนกลับมาที่ออฟฟิศ เขารู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่ายังมีคนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ
เขาปรายตามองเฉียวซือมู่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง เขาหาของเจอแล้ว พอหันมองไปยังดวงไฟสีเหลืองนวลที่อยู่นอกห้อง พลันความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วเริ่มดูปฏิทินงานของตัวเอง
เวลาเคลื่อนผ่านไป กระทั่งเขาเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเห็นว่าเธอเองก็ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน และเธอกำลังนั่งรับประทานอาหารปิ่นโตของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย
เธอกำลังนั่งกินเปาะเปี๊ยะทอดชิ้นสุดท้ายพอดี ขณะที่เธอกำลังจะกัดเปาะเปี๊ยะทอดชิ้นสุดท้ายชิ้นนั้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นพอดี เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขากำลังเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง ดวงตาสีเขียวราวน้ำทะเลคู่นั้นจ้องเธอนิ่ง
เธอชะงักเล็กน้อย เธอได้บทเรียนจากเจนนี่แล้ว พอเห็นดวงตาเป็นประกายของเขาจึงคิดว่าเขาอยากกินเปาะเปี๊ยะทอดของเธอเหมือนกันหรือเปล่า? แต่นี่มันชิ้นสุดท้ายแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นชวนเขากินข้าวผัดก็ได้ แต่ข้าวผัดก็เย็นแล้วด้วยสิ คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง?
ขณะที่เธอกำลังรู้สึกลำบากใจอยู่นั้น เขาก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เขามองอาหารจีนสีสันสดใสในปิ่นโตของเธอแล้วเอ่ยถาม “อร่อยไหม?”
เธอชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ก็พอใช้ได้ค่ะ ความจริงสปาเก็ตตี้ก็อร่อยเหมือนกันนะคะ แต่ฉันชอบอาหารจีนมากกว่า”
อาหารอิตาเลี่ยนเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น สปาเก็ตตี้ที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลก แต่เธอชอบอาหารจีนมากกว่าเพราะไม่ชินกับอาหารต่างชาติเสียที และปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือ อาหารที่นี่ราคาแพงมากเกินไป เธอทำกินเองคุ้มกว่ากันเยอะเลย
เขาฟังคำตอบของเธอแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นยังไงบ้าง เริ่มชินกับการทำงานที่นี่หรือยังครับ?” เขามองท่าทางที่เธอถือปิ่นโตสีฟ้าเอาไว้ในมือแล้วรู้สึกว่าน่ารักไม่เบา ผิวพรรณขาวผุดผ่องและผมดกดำเป็นเงางามใต้แสงไฟ ทำให้เธอดูสง่างามและดูลึกลับน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน
เขารู้สึกแปลกใจตัวเองมาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเธอ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจเธอเลย จนกระทั่งตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าเธอเป็นสาวงามจากตะวันออกที่ดูอ่อนโยนและสง่างาม แตกต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขาเจอในชีวิตอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่าแววตาของเขาเป็นประกายวูบวาบผิดปกติ เธอเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยด้วยความระแวง ได้ยินว่าคนต่างชาติเป็นคนที่เปิดเผยมาก อย่าบอกนะว่าตอนนี้เขากำลังคิดไม่ดีกับเธออยู่?
เธอเอ่ยตอบอย่างระแวดระวัง “ตอนมาใหม่ๆ ก็ยังไม่ชินหรอกค่ะ แต่ตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” เขายืดตัวยืนตัวตรงพลางเคาะนิ้วบนโต๊ะเธอเบาๆ “คุณรีบกินเถอะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้าน”
“ไม่… ไม่ดีมั้งคะ” เธอเอ่ยอย่างลังเล
ตอนที่ 212 จับตัวการ
เธอไม่อยากนั่งรถไปกับเขา ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายท่าทางแปลกๆ คนนี้จะไม่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าระหว่างทาง
เธอรีบอธิบายทันทีที่เห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเขา “คือว่าอย่างนี้ค่ะ พอดีฉันนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว เดี๋ยวเพื่อนฉันจะมารับฉันที่นี่ เพราะฉะนั้น…”
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะมีเพื่อนอยู่ที่นี่ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย “ถ้างั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
เธอมองแผ่นหลังของเขาที่เดินหายลับไปแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบโกยข้าวผัดเย็นชืดที่เหลือเข้าปากจนหมด จากนั้นเก็บของอย่างรวดเร็ว คว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงบันไดไปทันที
เธอจำได้ว่าเวลานี้ยังมีรถไฟฟ้าวิ่งอยู่ ครั้งก่อนเธออยู่ทำงานจนดึกดื่นจนทำให้ไม่ทันรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้าย สุดท้ายเธอต้องจ่ายเงินตั้งเยอะเพื่อนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน
ที่เธอบอกว่าเพื่อนจะมารับนั้นเป็นข้ออ้างที่เธอแต่งขึ้นทั้งหมด แม้ในเรื่องงานคริสจะเป็นเจ้านายที่ดีก็เถอะ แต่ในชีวิตส่วนตัวเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ไหนๆ นั่งรถไฟฟ้าก็ไม่ได้เสียเงินเยอะแยะอะไรมากมายอยู่แล้ว
เธอวิ่งออกจากประตูบริษัทอย่างเร่งร้อนแล้วตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าทันที สถานีรถไฟฟ้าอยู่ห่างจากออฟฟิศประมาณสิบนาที โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ร้านรวงต่างๆ จึงยังเปิดไฟสว่างไสว เธอจึงไม่รู้สึกกลัวสักเท่าไหร่
แต่เธอเดินอยู่ดีๆ พลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ทำไมทุกคนถึงมองมาที่เธอเป็นตาเดียวล่ะ?
เธอหันกลับไปมองแล้วพบว่ามีรถสีดำคันหนึ่งกำลังขับตามหลังเธอมา นั่นมันรถปอร์เช่ไม่ใช่เหรอ?
เธอมองเต็มตาถึงเห็นว่าเจ้านายของตัวเองกำลังฉีกยิ้มสดใส ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับอยู่ใต้แสงไฟ
แม้เธอจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าโกหก แต่เธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจมากกว่า เขาขับรถเข้ามาขนาบข้างเธอแล้วเอ่ยกับเธอ “คุณเฉียว เชิญขึ้นรถเถอะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อคุณ ผมขอสาบานต่อพระเจ้าก็ได้”
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดสิ่งที่เธอกำลังเป็นกังวลออกมาแบบนี้ อีกอย่างเขายังเป็นเจ้านายของเธอเสียด้วยสิ เธอลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็เปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งในรถจนได้
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอจึงตัดสินใจขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังแทนที่จะนั่งข้างที่นั่งคนขับ
คริสชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่เธอระวังตัวแจแบบนี้ ถึงเขาจะรู้สึกดีกับเธอ แต่เขาไม่มีวันทำเรื่องที่เป็นการบังคับฝืนใจผู้หญิงอย่างแน่นอน
เฉียวซือมู่รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป และตอนนี้เจ้านายของเธอคงกำลังรู้สึกแย่มากแน่ๆ เธอจึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมจู่ๆ คืนนี้คุณถึงย้อนกลับมาที่ออฟฟิศล่ะคะ?”
เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ดีๆ เธอก็ถามเขาแบบนี้ “ผมลืมของเอาไว้น่ะ ก็เลยกลับไปเอา แต่กลับเจอแมวน้อยตัวหนึ่งแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะและไม่ยอมออกมาสักที”
คำพูดหยอกล้อของเขาทำให้เธอหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย เธอละล่ำละลักอธิบาย “เป็นเพราะว่ารอบตัวเงียบมากเกินไป ฉันก็เลยจินตนาการไกลไปหน่อยน่ะค่ะ”
“เหรอ? ถ้างั้นมันเป็นความผิดของผมใช่ไหมที่ให้คุณทำงานจนดึกขนาดนี้”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยค่ะ เพราะเอลลี่ต่างหาก…” เธอไม่ชอบพูดจาลับหลังคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมปล่อยให้คนอื่นปฏิบัติกับเธออย่างไม่ยุติธรรม เธอจึงถือโอกาสเอ่ยถึงเล็กน้อย หากเจ้านายใส่ใจจริงๆ เขาก็จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
คริสเข้าใจความหมายของเธอ เขาพยักหน้าเล็กน้อย “คุณวางใจเถอะ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
เธอรู้สึกโล่งอก “ถ้างั้นก็ขอบคุณคุณมากนะคะ”
คริสมองเธอยิ้มๆ “ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” เขาหมุนพวงมาลัยรถแล้วขับเข้าไปจอดลงตรงหน้าที่พักของเธอ “ถึงแล้ว”
เธอมองออกไปนอกรถถึงได้รู้ว่าถึงที่พักของตัวเองแล้วจริงๆ เธออยากจะเอ่ยถามว่าเขารู้ที่อยู่ของเธอได้อย่างไร ขณะที่กำลังจะอ้าปากถาม ทันใดนั้น เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนกรอกที่อยู่ของที่นี่ลงในหนังสือตอบรับเข้าทำงานเอง และเขาคงเห็นที่อยู่เธอจากเอกสารฉบับนั้นนั่นเอง
เธอแอบคิดในใจว่าเป็นเจ้านายมันดีอย่างนี้นี่เอง จากนั้นจึงเอ่ยกับเขาเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”
เอ่ยจบแล้วคิดจะลงจากรถทันที เธอยื่นมือไปเปิดประตูรถแต่กลับเปิดไม่ออก รอยยิ้มของเธอค้างอยู่บนใบหน้า เธอหันไปเอ่ยกับเขา “ขอโทษนะคะ คุณช่วยปลดล็อกประตูให้หน่อยได้ไหมคะ?”
แสงไฟที่ส่องผ่านกระจกรถเข้ามาข้างในรถทำให้ใบหน้าของคริสดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น มีเสน่ห์น่าดึงดูดและเย้ายวนใจมากยิ่งขึ้น จนหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เขาเอียงศีรษะมาด้านหลังเล็กน้อยพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เธอ “จะไม่เชิญผมขึ้นไปนั่งสักหน่อยเหรอครับ?”
เธอได้ยินแล้วถึงกับตกใจจนตาโต เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว และเธอเข้าใจดีว่าในประเทศที่เปิดเผยเช่นนี้ คำพูดแบบนี้ของเขานั้นหมายความว่าอย่างไร เธอตกใจจนได้แต่ส่ายศีรษะรัวๆ “ไม่ ไม่ดีกว่าค่ะ บ้านฉัน… บ้านฉันรกมาก ไม่เหมาะที่จะต้อนรับแขกหรอกค่ะ…”
เธอเร่งร้อนจนคิดข้ออ้างได้แค่นี้ โชคดีที่เขาไม่ใช่คนที่ถูกความต้องการครอบงำจนหน้ามืดตามัว เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา จากนั้นรีบเปิดประตูแล้วลงจากรถทันที
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกราวยกภูเขาออกจากอก เธอเอ่ยคำว่า “ขอบคุณ” เสร็จแล้วกระโดดลงจากรถทันที ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลากับเขาสักคำ
แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกรธเธอสักนิด เขายังอุตส่าห์โบกมือลาเธอแล้วจึงขับรถจากไป
สิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเขาให้ความสำคัญคือเรื่องของความยินยอมพร้อมใจ ในเมื่อเขาโยนหินถามทางแล้วถูกปฏิเสธ เขาก็ต้องยอมปล่อยมืออย่างสง่างาม
เฉียวซือมู่มองรถของเขาเคลื่อนตัวออกไปจนหายลับเข้าไปในความมืด เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้านายคนนี้สง่างามไม่เบา เขากลัวว่าเธอจะรู้สึกอับอายจึงไม่ถามว่าเหตุใดเธอจึงไปแอบซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะแบบนั้น ต่อมาเขาเพียงแค่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาโดยใช้วิธีหยอกล้อเท่านั้น นั่นทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีๆ กับเขาไม่น้อย
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆ เท่านั้น คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัดตั้งแต่เล็กจนโตอย่างเธอไม่มีทางทำอะไรเกินเลยกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักอย่างแน่นอน
เธอค่อยๆ เดินกลับเข้าห้องพักของตัวเอง เธอเปิดไฟแล้วกวาดสายตามองห้องว่างเปล่าอันเงียบสงัด เธอถอนหายใจเบาๆ พลันใบหน้าของจิ้นหยวนปรากฏขึ้นในใจ
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง? เขาหายโกรธเธอหรือยัง? หรือว่าเขากำลังใช้ชีวิตร่วมกับหร่วนเซียงเซียงอย่างมีความสุขจนลืมเธอไปหมดแล้ว?
เธอคิดไปต่างๆ นานาจนห่อเ**่ยวใจ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็มีความหวังว่าสามารถรับตัวคุณแม่กลับมาอยู่ด้วยกันได้ เพราะเขาคงไม่ใส่ใจคุณแม่ของผู้หญิงที่เขาลืมไปแล้วหรอก
แต่ว่า เรื่องราวกำลังดำเนินไปตามที่เธอคิดจริงหรือ?
เวลานี้จิ้นหยวนกำลังนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่กลางห้องรับแขก เขากำลังจ้องหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังร้องห่มร้องไห้ตาเขม็ง ใบหน้าของเขาถมึงทึง “เธอทำแบบนั้นทำไม?”
หร่วนเซียงเซียงร้องไห้จนตัวเองจะกลายเป็นหยดน้ำตาเสียเองอยู่แล้ว “ฉัน… ฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
จิ้นหยวนโกรธจนหน้าดำหน้าเขียว “เธอบอกว่าไม่รู้งั้นเหรอ? เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมอยู่ดีๆ แม่เธอถึงหาศพมาสวมรอยเป็นเฉียวซือมู่?”
หลินจื้อเฉิงสืบจนรู้เรื่องที่มีคนตั้งใจใช้ศพคนอื่นมาสวมรอยเป็นเฉียวซือมู่ภายในคืนเดียว และพบว่าคนของตระกูลหร่วนเป็นคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง จิ้นหยวนรู้เรื่องแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พอได้ยินว่าเป็นฝีมือใครเขาก็รู้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับหร่วนเซียงเซียงอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากเขาพยายามเค้นคอเธออยู่ตั้งนาน เธอเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ให้ตายก็ไม่ยอมรับผิด เอาแต่พูดว่าเธอไม่รู้ท่าเดียว
ตอนที่ 213 ตอบรับคำเชิญ
ความอดทนที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวของจิ้นหยวนหมดลง เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบอะไรจากเธอตั้งแต่แรกแล้ว ถึงเธอจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียหลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่
เขามองดูเธอเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความรำคาญใจ ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะให้คนคอยจับตาดูเธอเอาไว้ ห้ามเธอออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ ต้องมีคนติดตามไปด้วย”
เธอตัวสั่นงันงก ไม่คิดเลยว่าตัวเองไม่ยอมรับก็ต้องรับบทลงโทษด้วย “คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ? ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คุณจะโทษฉันทุกอย่างไม่ได้นะ”
จิ้นหยวนครางเสียงฮึ ก้าวเท้าเดินออกไป ที่เขาถามเธอก็เพื่อความแน่ใจเท่านั้น ไม่ได้หวังให้เธอยอมรับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หร่วนเซียงเซียงมองตามจิ้นหยวนที่เดินจากไปอย่างไม่แยแสเธอสักนิดแล้วร่างกายทรุดร่วงลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
จิ้นหยวนยืนคุยกับหลินจื้อเฉิงอยู่ตรงนอกประตู “ก่อนหน้านี้มีโครงการที่ตระกูลจิ้นสนใจ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว?”
หลินจื้อเฉิงชะงักอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ดูเหมือนจะไปได้ดีนะครับ พี่ใหญ่คิดจะ…”
จิ้นหยวนแหงนหน้ามองท้องนภา ท้องฟ้ายามนี้เป็นสีฟ้าสดใส ก้อนเมฆสีขาวราวปุยนุ่นลอยละล่องอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนนั้น แตกต่างจากอารมณ์ของเขาในยามนี้อย่างสิ้นเชิง
เขาถอนหายใจเบาๆ “หาวิธีทำให้โครงการนี้ไปอยู่ในมือตระกูลฉี จะต้องทำให้โครงการนี้อยู่ในมือของคุณชายใหญ่ตระกูลฉีให้ได้ สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก เขาน่าจะสนใจ”
หลินจื้อเฉิงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจิ้นหยวนทันที เขาเหงื่อแตกพลั่ก พี่ใหญ่คิดจะทำให้ตระกูลหร่วนกับตระกูลฉีปะทะกัน โครงการนั้นเหมือนจะเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ แต่มีเพียงพี่น้องของพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงแล้วเนื้อชิ้นนั้นเป็นเนื้ออาบยาพิษต่างหาก
เขาพยักหน้ารับคำสั่ง เขาติดตามจิ้นหยวนมานาน ย่อมรู้ดีว่าเขาอยากทำลายตระกูลฉีให้ย่อยยับมากขนาดไหน แค่เรื่องที่เฉียวซือมู่หายตัวไปเกี่ยวข้องกับฉีหย่วนเหิงก็ทำให้จิ้นหยวนรู้สึกเกลียดตระกูลฉีมากแล้ว แต่ตระกูลฉียิ่งใหญ่มากเกินไปจนพวกเขาลงมือทันทีทันใดไม่ได้
แล้วตอนนี้ตระกูลหร่วนยังคิดทำเรื่องไม่หวังดีต่อจิ้นหยวนอีก ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้หมากัดกับหมาน่ะดีแล้ว สารเลวด้วยกันทั้งคู่
จิ้นหยวนแหงนมองท้องฟ้าเงียบๆ สักพักจึงเอ่ยขึ้น “นายไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเอง”
หลินจื้อเฉิงถอนหายใจเล็กน้อย หมุนตัวแล้วเดินจากไป
เหลือไว้เพียงจิ้นหยวนที่ยังคงยืนหน้าเครียดอยู่ที่เดิม
หลังจากคริสเจอเฉียวซือมู่ทำงานล่วงเวลาโดยบังเอิญและส่งเธอกลับบ้าน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตการทำงานของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เอลลี่ถูกเจ้านายเรียกตัวเข้าพบ หลังจากกลับออกมาแล้วสายตาของเอลลี่ที่มองเธอยังคงไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม แต่เอลลี่ก็ไม่หาสารพัดเหตุผลทำให้เธอต้องทำงานล่วงเวลาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ตอนนี้เธอรู้สึกดีใจมาก เพราะในที่สุดเธอก็สามารถเลิกงานตรงเวลาเหมือนคนอื่นๆ แล้ว มันช่างดีอะไรอย่างนี้
วันหนึ่ง เธอเข้าไปส่งเอกสารให้เจ้านายที่ห้อง จึงตั้งใจถือโอกาสเอ่ยกับเขา “ขอบคุณนะคะ”
คริสชะงักมือเล็กน้อยจนทำให้เธอตกใจ แย่แล้ว อย่าบอกนะว่าเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวในเวลางาน?
โชคดีที่เขาเงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องเกรงใจ แค่ทางผ่านเท่านั้น”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ ฉันหมายถึงในที่สุดฉันก็ไม่ต้องทำงานล่วงเวลาแล้วน่ะค่ะ” เธอเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจ จึงส่งยิ้มกลับให้เขา
เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ถ้าคุณอยากขอบคุณผมจริงๆ ก็เลี้ยงข้าวผมสักมื้อสิครับ”
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตอบแบบนี้ เธอชะงักอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “ถ้าจะให้เลี้ยงข้าวล่ะก็ ฉันคงไปร้านดีๆ ไม่ไหวหรอกนะคะ”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเห็นเขาขับรถปอร์เช่ เธอก็ดูออกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นคนที่เข้าออกแต่ร้านที่ดีที่สุดเท่านั้น และราคาคงแพงจนน่าตกใจแน่ๆ ดูจากสถานะทางการเงินในตอนนี้ของเธอแล้ว เธอคงเลี้ยงข้าวเขาไม่ไหวแน่ๆ
แต่เขากลับเอ่ยว่า “ผมหมายความว่า คุณเลี้ยงอาหารจีนผมได้หรือเปล่า? ที่บ้านคุณน่ะ”
“คุณหมายความว่าให้ฉันทำกับข้าวเลี้ยงคุณเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ก็ใช่นะสิ ผมเบื่ออาหารข้างนอกจะแย่อยู่แล้ว” เขาเอ่ยพลางหมุนปากกาในมือเล่นพลาง
“ถ้าอย่างนั้น… ก็ได้ค่ะ แต่ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะคะ ฝีมือฉันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถึงเวลาอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกันนะคะ” แบบนี้ก็ดีนะสิ เธอแค่ซื้อวัตถุดิบสำหรับทำกับข้าวสามอย่างกับซุปอีกหนึ่งอย่าง แค่นี้ง่ายจะตาย ที่สำคัญ ประหยัดสุดๆ
คำตอบของเธอทำให้คริสยิ้มในตา ท่าทางเขาดีใจมาก “ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ แล้วเจอกันคืนสุดสัปดาห์นี้นะครับ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อ เธอจึงค่อยๆ เดินออกจากห้อง
เธอหันกลับไปมองห้องทำงานของคริสที่อยู่ด้านหลังเพราะรู้สึกแปลกพิลึก ไม่ใช่มั้ง คนต่างชาติชอบอาหารจีนมากเลยเหรอ? แต่ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงได้ยินว่ามีคนไม่ชอบล่ะ?
ช่างมันเถอะ ถึงเวลาเธอก็แค่จ่ายตลาดแล้วทำอาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่างก็พอ
เธอส่ายศีรษะพลางหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ทันใดนั้น เธอเห็นเอลลี่ยืนอยู่ข้างหน้า ใบหน้าแข็งกระด้างดูแข็งทื่อมากกว่าเดิม ความดูถูกเหยียดหยามแทบจะพุ่งออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
เธอแอบสงสัยว่าตัวเองไปล่วงเกินอะไรเธอเข้าอีกหรือเปล่า? ทำไมต้องทำหน้าเหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายแบบนั้นด้วย?
เธอไม่เข้าใจเลย และไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองไปทำอะไรให้เอลลี่ไม่พอใจ เอลลี่ถึงได้เห็นเธอขัดหูขัดตาไปหมดแบบนี้
เจนนี่กลับเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เฉียว เธอคุยอะไรกับเจ้านายเหรอ?”
“แค่เข้าไปส่งเอกสารแล้วเจ้านายถามเรื่องงานอีกนิดหน่อยน่ะ” เธอไม่อยากคุยโวโอ้อวด ถ้าเกิดเธอบอกว่าเจ้านายจะไปกินข้าวที่บ้านเธอ เดี๋ยวจะกลายเป็นหัวข้อให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์เสียเปล่าๆ เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงมันดีกว่า
แต่ดูเหมือนคำโกหกของเธอจะหลอกเจนนี่ไม่ได้ เจนนี่ย่นจมูกอย่างไม่เชื่อ “โกหก เมื่อกี้เจ้านายยิ้มให้เธออ่อนโยนมาก หรือว่าเขาจะชอบเธอ?”
เฉียวซือมู่ตกใจ “นี่เธอพูดเหลวไหลอะไรกัน?” แต่น่าแปลก ทำไมเจนนี่ถึงรู้ว่าเจ้านายยิ้มให้เธอล่ะ? เธอหมุนตัวหันกลับไปมองถึงได้รู้ว่าห้องทำงานของคริสมีหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ และจากบริเวณโต๊ะทำงานของพวกเธอ สามารถมองเห็นคริสกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ
เธอได้แต่แอบกลอกตาอยู่ในใจ เพิ่งรู้ว่าทำไมเจนนี่ถึงพูดแบบนั้น เธอคงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้นหมดแล้ว
เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ที่เอลลี่ทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้เหมือนกัน? หรือว่าเธอชอบคริส?
ความคิดของเธอบรรเจิดในฉับพลัน เจนนี่ดึงแขนเสื้อเธอเบาๆ “เฉียว เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
เธอดึงสติกลับมาแล้วยิ้มเก้อๆ “เปล่า ฉันแค่กำลังคิดว่า เอลลี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ว่าเธอแต่งงานหรือยัง?”
เจนนี่ที่เป็นพนักงานเก่ารีบเอ่ยตอบทันที “ก็ยังไม่แต่งนะสิ เธอก็ดูสิ วันๆ ทำหน้าเย็นอย่างกับน้ำแข็งแบบนั้น ดูก็รู้แล้วว่าต้องไม่มีผู้ชายคอยให้ความชุ่มชื่นแน่ๆ”
ตอนที่ 214 เลี้ยงข้าว
เจนนี่เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอหันกลับไปมองเห็นเฉียวซือมู่ทำหน้าแปลกๆ จึงชะงักเล็กน้อย “ทำไมถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?”
เฉียวซือมู่หน้าแข็งทื่อ หัวเราะฮาๆ อย่างเก้อๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าคำพูดเธอฟังดูแปลกๆ”
คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวอย่างเจนนี่เวลานินทาคนอื่นลับหลังจะพูดจาได้โหดร้ายขนาดนี้ ท่าทางปกติเอลลี่จะไม่เป็นที่รักของคนอื่นจริงๆ
“แปลกตรงไหนเหรอ? เจนนี่คิดๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้พูดผิดตรงไหนนี่นา เธอส่ายศีรษะน้อยๆ รู้สึกคนตะวันออกนี่แปลกๆ
แต่นี่ไม่สำคัญ เพราะเธอยังไม่ได้คำตอบที่สำคัญที่สุดจากเฉียวซือมู่เลย เธอยิ้มตาหยีแล้วโยนเรื่องของเอลลี่เอาไว้ข้างหลัง “เฉียว บอกฉันมาตามตรง คริสสนใจเธอใช่ไหม ฉันทำงานที่นี่เป็นปีแล้ว เห็นเขายิ้มแค่ไม่กี่ครั้งเอง ชูมือขึ้นมาทั้งสองข้างยังนับไม่ครบนิ้วเลย”
เฉียวซือมู่ขึงตาใส่เธอ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก บางทีอาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็ได้” เอ่ยจบแล้วหันไปมองข้างหลังตัวเองเล็กน้อย “เอลลี่กำลังมองเราอยู่แน่ะ”
“จริงเหรอ?” เจนนี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเอลลี่กำลังจ้องมาที่เธอสองคนหน้าเข้มจริงๆ เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อทันที
เฉียวซือมู่ถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็สลัดสาวขี้บ่นขี้สงสัยออกไปได้เสียที
เอลลี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
หลายวันผ่านไป เจนนี่ยังคงคอยถามเธอเรื่องนี้ไม่หยุด เธอได้แต่บ่ายเบี่ยง จนในที่สุดเจนนี่ก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้อย่างเสียไม่ได้
ในที่สุดก็ถึงสุดสัปดาห์อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะคริสแท้ๆ ตอนนี้เธอถึงสามารถเลิกงานตรงเวลาเหมือนคนอื่นๆ แม้เธอจะถูกเอลลี่จับตามองอยู่บ่อยๆ แต่เธอเรียนรู้ที่จะไม่สนใจเธอ ขอแค่เธอตั้งใจทำงาน เธอก็ไม่สามารถเล่นงานเธอได้อีก
หลังเลิกงานเธอแวะไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายสินค้าเอเชียที่อยู่ใกล้บ้านเธอที่สุด จากนั้นนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ความจริงเธออยากนั่งรถไฟฟ้าที่ราคาถูกกว่ามากกว่า แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองต้องหิ้วของพะรุงพะรังจึงต้องตัดใจนั่งรถแท็กซี่แทน
หลังจากกลับถึงบ้าน เธอเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ จึงค่อยๆ เตรียมวัตถุดิบอย่างไม่รีบร้อน อะไรที่ควรจัดการก่อนก็จัดการก่อน ทั้งล้างทั้งหั่น กระทั่งเตรียมทุกอย่างจนครบถ้วน เธอจึงดูเวลาอีกครั้งแล้วลงมือหุงขาว จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์แล้วอ่านข่าวอย่างสบายอารมณ์
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นหลังจากเธออ่านข่าวไปได้หลายข่าว เธอกะพริบตาปริบๆ อืม… เป็นคนตรงเวลาจริงๆ
เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู เห็นชายหนุ่มสวมชุดไปรเวทสีเทายืนอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าผุดรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับ ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นพิเศษ
เธอพยายามบังคับไม่ให้หัวใจเต้นแรง ส่งรอยยิ้มให้เขา “เชิญค่ะ”
คริสถือไวน์แดงเดินยิ้มเข้ามาในบ้าน เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในห้องเล็กๆ ห้องนี้ทันที แม้บนโซฟาจะมีหมอนอิงวางกระจัดกระจายและไม่เป็นระเบียบ แต่มันกลับดูมีชีวิตชีวามาก เทียบกับบ้านของเขาที่หน้าตาเหมือนบ้านตัวอย่างไม่มีผิดแล้ว ที่นี่ดูสบายและน่าอยู่กว่าเยอะเลย
ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก ถึงเสน่ห์ร้ายรายของเขาจะทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่เธอก็ยังไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน เธอก้มตัวลงเปิดตู้เย็นใบเล็กแล้วหยิบเครื่องดื่มออกมาหนึ่งขวด “ขอโทษนะคะ ในบ้านมีอยู่แค่นี้ พอจะดื่มได้ไหมคะ?”
เธอชอบดื่มน้ำผลไม้ จึงมักจะตุนน้ำผลไม้เอาไว้เสมอ
คริสเลิกคิ้วเล็กน้อย “ได้ครับ”
เขาเอ่ยพลางวางขวดไวน์แดงในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ขวดไวน์ดีไซน์เรียบหรูดึงดูดสายตาเธอทันที
“ขวดนี้น่าจะไม่ธรรมดานะคะ” เธอหยิบมันขึ้นมาพินิจพิจารณาอย่างละเอียดแล้วคลี่ยิ้มให้เขา “ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถึงจะแพงยังไงมันก็เป็นแค่ไวน์ขวดเดียวเท่านั้น…” เขาเอ่ยจบแล้วชะงักเล็กน้อย ราวกับว่าอยากจะพูดอะไรอีกแต่กลับไม่ได้พูดมันออกมา
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีของเขา จากนั้นวางขวดไวน์แดงในมือลงบนโต๊ะเหมือนเดิม “ฉันขอตัวเข้าไปทำอาหารในห้องครัวก่อนนะคะ ถ้าคุณเบื่อๆ ก็อ่านหนังสือบนโต๊ะได้นะคะ” เธอเอ่ยพลางชี้นิ้วไปยังโต๊ะหนังสือที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง บนโต๊ะมีหนังสือลดราคาที่เธอเพิ่งซื้อมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“ครับ” เขามองจนเธอหายเข้าไปในห้องครัวแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่เธอบอก เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นว่าหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะมีแต่หนังสือเฉพาะทางน่าเบื่อทั้งนั้น
ผู้หญิงที่เขารู้จักก่อนหน้านี้มีแต่ประเภทที่ชอบแต่งตัวหรือไม่ก็ชอบพูดคุยเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้าคอเลคชั่นล่าสุด ราวกับว่าความหมายในชีวิตของพวกเธอก็คือเสื้อผ้าหรูหราพวกนั้น แต่หญิงสาวคนนี้กลับแตกต่างจากพวกเธออย่างสิ้นเชิง
มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก เขาหรี่ตาแคบ หวนนึกถึงใบหน้าด้านข้างที่งดงามของเธอยามจดจ่อกับงานตรงหน้า พลันอุณหภูมิหัวใจเพิ่งสูงขึ้นเล็กน้อย
เขาวางหนังสือลง หันมองไปทางห้องครัว กลิ่นหอมฉุยของอาหารที่ไม่คุ้นเคยลอยออกมาจากในนั้น
เมื่อก่อนเขาก็เคยกินอาหารจีน และยังเป็นอาหารจีนที่ปรุงโดยเชฟมีชื่ออีกต่างหาก แต่เขารู้สึกว่ารสชาติก็งั้นๆ มาเวลานี้ กลิ่นหอมที่เขาเพิ่งได้กลิ่นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กลิ่นหอมนี้ช่างยั่วใจเหลือเกิน
เขาเดินตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้องครัวอย่างอดใจไม่ไหว จากนั้นหยุดยืนอยู่ข้างหลังเฉียวซือมู่ที่กำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหารอย่างเงียบๆ จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น “คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
เฉียวซือมู่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังตัวเอง พอเขาพูดขึ้นมาเธอจึงตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นคริสเธอจึงตบอกตัวเองเบาๆ เพราะความตกใจ “ตกใจหมดเลย ฉันกำลังทำเนื้อหมูผัดเปรี้ยวหวานอยู่ค่ะ รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ฉันคิดว่าคุณน่าจะชอบ”
ดูเหมือนอาหารที่มีรสเปรี้ยวหวานจะได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติไม่น้อย และยังทำง่ายมากอีกด้วย ตอนที่เธอคิดว่าจะทำเมนูอะไรดีนั้น เธอจึงนึกถึงเมนูนี้ขึ้นมาเป็นอันดับแรก
ส่วนอาหารอีกสองอย่างเธอก็พยายามเลือกเมนูที่น่าจะถูกปากพวกเขาเป็นหลัก
“กลิ่นหอมมาก น่าจะอร่อยมาก” มีนักกินอยู่ทั่วจริงๆ ด้วย กลิ่นหอมอมเปรี้ยวหวานเตะจมูกขนาดนี้ แม้แต่คริสที่ปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็นยังอดใจไม่ไหวจนดวงตาสีเขียวเปล่งประกายวูบวาบ
เธอหันไปเห็นแววตาของเขาแล้วต้องรีบหันหน้ากลับทันที ดวงตาของเขามีพิษ มองนานๆ อาจจะตกหลุมพิษได้
ในที่สุดกับข้าวสี่อย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งอย่างก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ คริสชอบเนื้อหมูผัดเปรี้ยวหวานมากเป็นพิเศษจนแทบจะไม่ค่อยได้ดื่มไวน์แดงที่ตัวเองหิ้วมาด้วย
แต่ในสายตาของเฉียวซือมู่ เธอรู้สึกว่าการรับประทานอาหารจีนคู่กับไวน์แดงนั้นเป็นเรื่องที่ประหลาดไปหน่อย
ในที่สุด อาหารเต็มโต๊ะก็ถูกคริสกินจนเกลี้ยงจาน อีกนิดเดียวก็แทบจะเลียจานอยู่แล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าเขากินเกลี้ยงจนจานสะอาดยิ่งกว่าเลียจานเสียอีก เธอตกตะลึงพรึงเพริด ชาวต่างชาติกินเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?
หลังรับปประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย คริสหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดปากเบาๆ อย่างสง่างาม เขาเงยหน้าขึ้นพลันเห็นเธอกำลังมองเขาอย่างตกตะลึง เขาหน้าแดงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก “คุณทำอาหารจีนได้อร่อยมาก อร่อยกว่าร้านอาหารจีนในไชน่าทาวน์เสียอีก”
เธอพยักหน้าอย่างเฉยชา ความจริงฝีมือเธอยังห่างไกลจากเชฟตั้งเยอะ แต่ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อก่อนจิ้นหยวนก็ชอบกินอาหารฝีมือเธอมากเหมือนกัน แต่ภายหลังเขากลัวว่าเธอจะเหนื่อยมากเกินไป จึงไม่ยอมให้เธอเข้าครัวอีก
ตอนที่ 215 ถูกแอบถ่ายอีกแล้ว
เธอคิดถึงเขาแล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์ให้กลับมากระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ คุณน่าจะถูกปากอาหารฝีมือฉันมากกว่า”
เอ่ยจบแล้วลงมือเก็บจานเปล่า จากนั้นยกจานเปล่ากลับเข้าไปในห้องครัว
เธอหมุนตัวพลันเห็นคริสเดินถือจานเปล่าที่เหลือเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว เธอตกใจสะดุ้งโหยงอีกระลอก ผู้ชายคนนี้นี่อย่างไรกัน ตัวใหญ่โตขนาดนี้แต่กลับเดินไม่มีเสียง นี่เขาเกิดปีแมวหรืออย่างไร?
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ” คริสทำหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย
เธอสงบจิตสงบใจชั่วครู่ “ไม่เป็นไรค่ะ” เอ่ยพลางเบี่ยงกายเพื่อให้เขาวางจานลงในอ่างล้างจาน
“ไม่มีเครื่องล้างจานอัตโนมัติเหรอครับ?” เขามุ่นหัวคิ้วถาม
“เครื่องล้างจานอัตโนมัติ? ไม่มีค่ะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเป็นของเจ้าของบ้านทั้งหมด ฉันเองก็ยังไม่มีเวลาไปซื้อ” ความจริงเธอไม่มีเงินซื้อต่างหากล่ะ เครื่องล้างจานอัตโนมัติเป็นสิ่งที่พบบ่อยที่นี่ แต่สำหรับครอบครัวคนจีนนั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบนี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่แตกต่างอะไร เธอเองก็เช่นกัน
แต่ท่าทางเขาประหลาดใจมาก “เกิดล้างจานจนมือด้านจะทำยังไง?”
“อะไรนะคะ?” เธอรู้สึกตลกกับคำพูดของเขามาก “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนจีนอย่างเราใช้มือล้างจานกันทั้งนั้น ไม่ค่อยใช้เครื่องล้างจานอัตโนมัติหรอกค่ะ”
เขาฟังเหตุผลของเธอแล้วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่กลับชักหัวคิ้วชนกันแน่น
ทั้งสองนั่งลงดื่มน้ำชา เขารู้สึกพอใจการต้อนรับในคืนนี้ของเธอเป็นอย่างมาก จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น “คุณอยากทำงานพิเศษหรือเปล่าครับ?”
“อะไรนะคะ?” เขาเปลี่ยนเรื่องคุยเร็วมากจนเธอตั้งตัวไม่ทัน “งานพิเศษเหรอคะ?”
“ใช่” เขาเอ่ย “เวลาทำงานของพวกเราไม่นาน แต่ละวันจึงมีเวลาว่างเยอะมาก คุณเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?”
“เป็น… งานพิเศษอะไรคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก แม้ตอนนี้เธอค่อนข้างจะอัตคัต แต่เธอก็ต้องทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ
เขากระแอมเบาๆ เธอเห็นความลำบากใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เธอชักสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้วสิ และเป็นอย่างที่เธอคิดไม่มีผิด เขาเอ่ยขึ้น “คืนสุดสัปดาห์สองวัน ไปทำงานอาหารเย็นที่บ้านผม” เอ่ยจบแล้วเสนอตัวเลขให้เธอ “เป็นไงครับ?”
ก็แค่ทำอาหารเย็นมื้อเดียวเอง และเธอคงต้องเป็นคนเตรียมวัตถุดิบเอง ถ้าเช่นนั้นราคาที่เขาเสนอให้ก็สูงมาก แทบจะใกล้เคียงกับค่าแรงต่อวันของเธออยู่แล้ว ความรู้สึกแรกคือดีใจ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความไม่เข้าใจ นี่ฝีมือทำอาหารของเธอดีมากถึงขั้นนั้นเลยหรือ? ไม่ใช่มั้ง?
เขาดูออกว่าเธอกำลังสงสัยจึงอธิบายให้กระจ่าง “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรู้สึกถูกปากอาหารที่คุณทำมาก ผมคิดแค่นั้นจริงๆ แต่ถ้าคุณไม่ยินดีก็ไม่เป็นไร ถือว่าผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอรีบแก้ตัวอย่างเก้อๆ “แต่ถ้าอยู่ดีๆ ฉันไปที่บ้านคุณ ถ้าเกิด…”
เธอไม่รู้จักเขาเลยสักนิด อยู่ดีๆ จะให้เดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้านของเขาก็คงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ แต่ข้อเสนอของเขาก็ยั่วยวนใจจนทำให้เธอลำบากใจ
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ผมอยู่คนเดียว ไม่มีคนอื่นอีก คุณแค่ต้องทำอาหารสำหรับผมคนเดียวก็พอ อ้อ รวมทั้งของคุณด้วย” เขาเข้าใจความหมายของเธอผิดไปจนต้องรีบชิงอธิบายก่อน
เธอคิดหนักเพราะรู้สึกกลุ้มใจมาก ทุกอย่างฟังดูดีมาก แต่ถ้าเกิดเขาคิดไม่ดีขึ้นมาล่ะ?
ถ้าเธอปฏิเสธจนทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาล่ะ? เขาเป็นเจ้านายของเธอ มันคงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะไล่เธอออกเพราะความไม่พอใจ
ดังนั้น เธอคิดๆ แล้วตัดสินใจใช้แผนขัดตาทัพไปก่อน “ขอโทษนะคะ ฉันขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ?”
เขาประหลาดใจเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะรับปากทันที แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะให้คำตอบแบบนี้ และดูเหมือนเธอไม่ยินดีสักเท่าไหร่ แค่ไม่กล้าเอ่ยออกมาเท่านั้น เขารู้สึกไม่ค่อยมีความสุขนัก ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ “ได้ ผมหวังว่าจะได้คำตอบเร็วนี้ๆ นะครับ”
“ค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ
ทั้งสองใช้เวลาอาหารค่ำมื้อนี้ประมาณสองชั่วโมง และเขายังคงแสดงให้รู้เป็นนัยๆ ด้วยว่าอยากจะให้เธอเอ่ยปากชวนให้เขาอยู่ต่อ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากเธอเหมือนเดิม
หลังจากต้องพบกับความผิดหวัง เขาพบว่าเขาสนใจเธอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว
เธอเดินไปส่งเขาข้างล่าง ทั้งสองไม่ทันสังเกตเห็นแสงแวบหนึ่งที่ปรากฎขึ้นตรงมุมมืดมุมหนึ่ง
วันรุ่งขึ้น เธอต้องตกใจที่เห็นรูปถ่ายของตัวเธอปรากฎอยู่ทุกที่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เธอเดินเข้าออฟฟิศด้วยความงงงวย สิ่งแรกที่เห็นก็คือสายตาอยากรู้อยากเห็นของเจนนี่ และใบหน้าโกรธจนซีดของเอลลี่
เธอเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเจนนี่ก็โถมเข้ามาหาเธอด้วยความกระตือรือร้น “เฉียว เธอโกหกฉันจริงๆ ด้วย เธอกำลังคบกับคริสใช่ไหม?”
“ไม่ใช่สักหน่อย เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น” เธอพยายามอธิบาย
แต่น่าเสียดายที่ความพยายามของเธอต้องเสียแรงเปล่า เจนนี่รีบเปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวด้วยความตื่นเต้น “เธอดูสิ รูปถ่ายของเธอกับเขาได้ขึ้นพาดหัวข่าวใหญ่ด้วย ยังจะมาทำไก๋อีก”
“แต่ฉันไม่ได้…” เธอยังไม่ทันจะเอ่ยจบก็เห็นรูปถ่ายที่เจนนี่เปิดให้ดู รูปถ่ายที่เห็นตรงหน้าทำให้เธอพูดไม่ออกอีก มันเป็นรูปแอบถ่ายฝีมือช่างกล้องมืออาชีพที่จับมุมภาพได้อย่างพอเหมาะพอเจาะมาก ในรูปถ่าย เธอกำลังแหงนหน้าและยิ้มให้เขา สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคริสยืนหันข้างเล็กน้อย ท่าทางของเขาเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างกับเธอ และเหมือนกำลังจะจุมพิตเธอมากกว่า สิ่งแรกที่ปรากฎในภาพนี้คือสองคนนี้ต้องมีอะไรกันแน่ๆ
ถึงว่าทำไมเจนนี่ถึงไม่เชื่อคำพูดของเธอ ถ้าเธอไม่ใช่คนที่อยู่ในรูปนี้ เธอเองก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่าคนในรูปถ่ายจะไม่มีความสัมพันธ์กัน
แต่เธอถูกใส่ร้ายจริงๆ นี่นา อีกอย่าง ยังมีอีกเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ “เจนนี่ ทำไมรูปถ่ายของพวกเราถึงกลายเป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ หรือว่าคริสไม่ใช่คนธรรมดา?”
เจนนี่มองเธอราวกับกำลังมองไอ้งั่งคนหนึ่ง เธอเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “โอ้ พระเจ้า! นี่เธอไม่รู้ได้ยังไงว่าเจ้านายของเราเป็นใคร?”
“แล้วเป็นใครเหรอ?” คนโง่เฉียวซือมู่เอ่ยถามอย่างอัตโนมัติ
“เขาเป็นลูกชายของมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอิตาลี แถมยังเป็นลูกชายคนโตอีกต่างหาก ได้ข่าวว่าพวกเขายังไปมาหาสู่พวกมาเฟียอย่างลับๆ ด้วยนะ นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทุกคน แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?” เจนนี่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เฉียวซือมู่ถูจมูกตัวเองเบาๆ อย่างเซ็งๆ “ก็ไม่มีใครบอกฉันนี่ อีกอย่าง ฉันไม่ใช่คนที่นี่สักหน่อย ไม่รู้เรื่องพวกนี้นี่มันแปลกมากเลยเหรอ?”
เจนนี่ฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “มันก็จริง เธอเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ไม่นาน ฉันก็คิดว่าเธอรู้แล้วก็เลยไม่ได้บอกเธอ”
มิน่าเล่า เรื่องนี้ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะสถานภาพที่ไม่ธรรมดาของเขานี่เอง
เธอแอบคิดในใจ ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากห้องทำงานของเจ้านาย ทำเอาพนักงานที่กำลังซุบซิบนินทากันอยู่ตกใจสะดุ้งโหยง ต่างพากันหันมองไปทางเดียวกัน พลันเห็นเอลลี่เดินออกมาจากห้องทำงานของคริสแล้วใช้แรงปิดประตูดังปังใหญ่
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา สายตาเต็มไปด้วยความหมายที่ต่างรู้กัน
เรื่องที่เอลลี่ชอบเจ้านายนั้นเป็นความลับที่เปิดเผยในบริษัท ท่าทางเธอคง… หึงจนหน้ามืดแล้ว
ตอนที่ 216 พบกันอีกครั้ง
เฉียวซือมู่เองก็คาดเดาไปในทิศทางเดียวกันกับคนอื่นๆ แต่เธอไม่ได้อยากดูเรื่องสนุกเหมือนคนอื่น เพราะยามนี้เธอรู้สึกทั้งเซ็งทั้งเสียใจ ถ้าเพียงเธอรู้ภูมิหลังน่าตกใจของคริสสักนิด เธอจะไม่เข้าใกล้เขาเด็ดขาด
เห็นท่าทางโกรธจัดของเอลลี่ในตอนนี้แล้ว เธอรู้ตัวทันทีว่าคืนวันอันสงบสุขของตัวเองคงใกล้จบสิ้นลงแล้ว
และเป็นไปอย่างที่เธอคาด เย็นนั้น เอลลี่เรียกเธอเข้าไปพบในห้องทำงานของตัวเอง
เธอรู้สึกเซ็งไม่น้อย รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เรียกเธอมาไม่หวังดี แต่ใครใช้ให้เธอเป็นหัวหน้าของตัวเองล่ะ?
เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของเอลลี่ เอลลี่ที่กำลังยืนหน้าบึ้งตึงโยนแฟ้มเอกสารมาที่เธอ โชคดีที่เธอไหวพริบดีเบี่ยงตัวหลบทัน มิเช่นนั้น ป่านนี้เธออาจจะหัวโนไปแล้ว
เฉียวซือมู่คว้าจับแฟ้มเอกสารหมับ สัมผัสถึงลิ้นแฟ้มที่ทำจากโลหะแข็งๆ เย็นๆ แล้วแอบร้องพ่อแก้วแม่แก้วในใจ
ดวงตาสีฟ้าของเอลลี่ฉายแววผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นเฉียวซือมู่สามารถรับแฟ้มเอกสารเอาไว้ได้ “เฉียว นี่เป็นภารกิจที่ฉันจะให้เธอไปทำ เดี๋ยวจะมีงานแฟชั่นโชว์ของ Jil Sander เธอไปสัมภาษณ์สดที่นั่น ถ่ายรูปและส่งรายงานกลับมาให้ได้มากที่สุด รีบไปทำงานได้แล้ว”
เอลลี่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนั่งลง ไม่แลเธอแม้แต่หางตา ในใจภาวนาขอให้สาวชาวจีนน่าชังตรงหน้าออกไปจากห้องนี้เร็วๆ เธอรออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ จึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเฉียวซือมู่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม เธอชักหัวคิ้วชนกันแน่น เอ่ยถามด้วยความรังเกียจ “ทำไมยังไม่ไปอีก?”
เฉียวซือมู่แอบด่าเอลลี่ในใจจนไม่เหลือชิ้นดี Jil Sander เป็นถึงดีไซเนอร์ชื่อดังมากความสามารถของอิตาลี คิดว่าใครๆ ก็สามารถเข้าไปในงานแฟชั่นโชว์ของเขาได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? ต่อให้เข้าไปได้จริง แต่คงมีนักข่าวร่วมอาชีพเดียวกันอีกเยอะแยะ เธอที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย แถมยังไม่มีคนช่วยอีก แล้วจะให้เธอทำอย่างไร?
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอไม่เคยทำงานเป็นนักข่าวมาก่อน ปกติเธอทำแต่งานบรรณาธิการอยู่ในออฟฟิศ ไม่ต้องออกไปทำข่าวในสถานที่จริง จู่ๆ ก็โยนงานนี้มาให้เธอ มันหมายความว่าอย่างไร?
นี่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวชัดๆ งานแฟชั่นโชว์ครั้งนี้จะต้องเป็นงานที่สำคัญมาก ถ้าเกิดเธอทำมันพังขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นในใจ แต่เธอยังคงเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ขอโทษนะคะ ฉันคิดว่างานนี้ไม่ใช่งานในหน้าที่ของฉัน ฉันไม่ทำค่ะ”
เอลลี่หรี่ตาแคบ กวาดสายตามองเฉียวซือมู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใบหน้าฉายแววไม่อยากจะเชื่อ “เธอบอกว่าไม่ไปอย่างนั้นเหรอ?” หลังจากเห็นสีหน้าแน่วแน่ของเฉียวซือมู่แล้วเธอจึงหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ “เธอก็รู้นี่ว่าฉันเป็นหัวหน้าเธอ เธอกล้าขัดคำสั่งหัวหน้างานโต้งๆ แบบนี้ รู้หรือเปล่าว่าผลจะเป็นยังไง?”
“นี่เป็นคำสั่งที่ไม่ยุติธรรม ฉันจึงมีสิทธิ์ปฏิเสธค่ะ” นี่เป็นคำสั่งที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ของเธอ เธอจึงปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ปัง!” เอลลี่ไม่คิดเลยว่าเฉียวซือมู่จะปฏิเสธเธอเสียงแข็งแบบนี้ เธอตบโต๊ะดังปังพลางลุกขึ้นยืน “ไหนลองพูดอีกทีซิ! ฉันจะบอกอะไรให้นะ ภารกิจครั้งนี้ฉันรายงานให้คริสทราบแล้ว ถึงเธอไม่อยากไปก็ต้องไป ไม่อย่างนั้น ฉันจะไล่เธอออกเพราะขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
เฉียวซือมู่กัดริมฝีปากล่างแน่นพลางจ้องเอลลี่ตาเขม็งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เอลลี่เห็นท่าทางของเฉียวซือมู่แล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ “เธอคิดดูให้ดีๆ จะไปทำข่าวแฟชั่นโชว์หรือจะถูกไล่ออก? เลือกเอาเองก็แล้วกัน”
เอลลี่เอ่ยพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูใบหน้าโกรธแค้นแต่พูดไม่ออกของเฉียวซือมู่แล้วเผยความร้ายกาจออกมาอย่างปกปิดไม่มิดอีกต่อไป “ได้ข่าวว่าเธอสนใจเจ้านายอย่างนั้นเหรอ? ไม่เจียมตัวเสียบ้างเลยว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงถึงคิดจะตะกายหาคริสน่ะ? นังโสเภณี!”
เอลลี่เอ่ยเสียงเบาเพราะไม่อยากยั่วให้เฉียวซือมู่เกิดโทสะ ถึงอย่างไรเฉียวซือมู่ก็ต้องสนิทกับคริสไม่มากก็น้อย ถ้าเกิดเธอไปฟ้องคริสขึ้นมาคงไม่ดีแน่
ต่อให้เธอกระซิบเสียงเบาหวิวขนาดไหนก็ตาม แต่คนหูดีอย่างเฉียวซือมู่ก็ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอยู่ดี ดวงตาของเฉียวซือมู่แดงก่ำ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอยังไม่เคยถูกใครดูถูกแบบนี้มาก่อน เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ภาพตรงหน้าแดงฉาน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความคิดที่อยากจะทำร้ายคน ในขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยคำว่าลาออกออกไปนั้น จู่ๆ เสียงๆ หนึ่งก็ดังมาจากตรงประตูพอดี “เอลลี่ นี่คุณพูดอะไรน่ะ?”
เอลลี่ตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยนั้น ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเผือดซีดในบัดดล เฉียวซือมู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
คริสเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไม่คิดเลยว่าคุณจะพูดจาโหดร้ายเหมือนคนที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น แล้วยังด่าเขาเสียๆ หายๆ อีก ขอโทษเธอเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
คำพูดของคริสทำให้เอลลี่เข้าใจทันทีว่าทุกคนได้ยินสิ่งที่เธอพูดหมดแล้ว เธอหน้าขาวซีด จ้องเฉียวซือมู่ตาเขียวปั๊ด เม้มริมฝีปากแน่น “ฉันไม่ผิด ก็เธอไม่ฟังคำสั่งของฉันก่อนนี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็ไม่ควรใช้คำด่าทอที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามแบบนั้นต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง” คริสเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ขอโทษเธอ เดี๋ยวนี้!”
เอลลี่ยึกยักอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ทนแรงกดดันอย่างหนักจากคริสไม่ไหวอีกต่อไป เธอกัดฟันเอ่ยอย่างจำใจ “ขอโทษ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น”
เฉียวซือมู่มองเธออย่างเฉยชา เห็นแววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ รู้ทันทีว่าเธอยังคงมองตัวเองเป็นศัตรูไม่เปลี่ยน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ หรือเธอยังคิดจะไล่ตัวเองออกอย่างไร้เหตุผลอีก?
เฉียวซือมู่คิดว่าแค่คำขอโทษนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้เธอยืนอยู่ในห้องทำงานของคนอื่น เธอไม่มีทางเลือกอะไรอีก ไม่ยอมรับแล้วยังทำอะไรได้อีก?
เธอพยักหน้าแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลืมไปหมดแล้ว”
เฉียวซือมู่เอ่ยโดยไม่มองหน้าเอลลี่ด้วยซ้ำ เอ่ยจบแล้วหมุนตัวจะเดินออกจากห้องทันที ต่อจากนี้คงเป็นเรื่องระหว่างคริสกับเอลลี่แล้ว เธอไม่มีอารมณ์มีส่วนร่วมด้วยหรอก
แต่เธอคิดผิดเสียแล้ว เพราะขณะที่เธอกำลังหมุนตัวจะเดินออกจากห้องนั้น คริสกลับเอ่ยเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน “เฉียว”
“อะไรคะ?” เธอหันกลับไปเอ่ยถาม
“ความจริงผมเป็นคนสั่งให้คุณไปทำงานนี้เอง” คริสเอ่ยขึ้น
เฉียวซือมู่ชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ คริสเอ่ยต่อ “แฟชั่นโชว์ครั้งนี้ค่อนข้างจะพิเศษกว่าทุกๆ ครั้ง เพราะมีความเป็นจีนมาก ผมก็เลยคิดว่าให้คุณไปน่าจะดีกว่า เมื่อกี้เอลลี่อาจจะบอกคุณไม่ละเอียด”
“แต่ว่า…” เธอกำลังจะอ้าปากพูดสิ่งที่ตัวเองเป็นกังวลออกไป แต่กลับได้ยินเขาเอ่ยต่อ “ผมจะให้พนักงานอีกสามคนตามคุณไปด้วย คุณเป็นหัวหน้า อุปกรณ์จำเป็นต่างๆ ผมเตรียมเอาไว้ให้คุณพร้อมหมดแล้ว ส่วนเรื่องสัมภาษณ์ Jil Sander คุณทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน แค่ถ่ายรูปกลับมาให้ได้ก็พอ คุณทำได้ไหม?”
คำพูดของเขาฟังดูดีกว่าของเอลลี่ตั้งเยอะ อย่างน้อยก็ช่วยตัดความกังวลของเธอออกไปจนหมด เธอคิดๆ แล้วตกปากรับคำทันที ในเมื่อเขาพูดแบบนี้เธอก็จะลองดูสักตั้ง ไหนๆ ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายอยู่แล้วนี่
แต่เธอต้องเสียใจทันทีที่ไปถึงที่นั่น
เธอไม่ควรตกปากรับคำเขาเลย เขาทำเธอเจ็บแสบมาก
เฉียวซือมู่หดตัวลีบแอบหลบอยู่มุมลับตามุมหนึ่งในงาน เธอกำลังแอบมองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เธอแสนคุ้นเคยที่กำลังนั่งดูแฟชั่นโชว์อยู่ข้างล่างเวทีด้วยสีหน้าอยากร้องไห้เต็มประดา
ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ ตระกูลจิ้นขยายธุรกิจมาถึงมิลานแล้วอย่างนั้นหรือ?
ตอนที่ 217 หลบหนี
เธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องรีบหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ถ้าเกิดถูกจิ้นหยวนจับได้ล่ะก็ ความพยามยามทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านมาก็คงเปล่าประโยชน์
แต่ก็น่าแปลกที่เธอคิดไม่ถึงว่ายังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้ว บางทีจิ้นหยวนอาจจะลืมเธอไปแล้วก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้เธอปรากฎกายต่อหน้าเขาโต้งๆ ก็คงไม่เป็นไร บางทีเขาและเธออาจจะเอ่ยทักทายกันเหมือนคนรู้จักทั่วไป จากนั้นต่างคนต่างเดินไปตามเส้นทางของตัวเองก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่เธออยากเห็นมากที่สุด แต่เธอก็ไม่กล้าวางเดิมพันกับความเป็นไปได้นี้ เพราะส่วนลึกสุดในใจเธอรู้ว่าจิ้นหยวนไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆ สัญชาตญาณบอกเธอแบบนั้น
เพราะฉะนั้น แผนขัดตาทัพก็คือไม่ต้องไปสนใจภารกิจของเจ้านายแล้ว อย่างมากกลับไปก็แค่ถูกเจ้านายด่า เห็นแก่ที่เขายังอยากกินอาหารจีนฝีมือเธอ เขาคงไม่ไล่เธอออกหรอกมั้ง เธอแอบคิดอยู่เงียบๆ ในใจ
เธอแอบมองจิ้นหยวนที่ถือเอกสารรูปภาพในมือและกำลังคุยไปยิ้มไปกับแขกคนอื่นแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ
ตอนนี้ ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาห่างไกลกันมาก เขาอยู่กลางที่จัดงาน ส่วนเธอแอบอยู่ในมุมลับตาคน นอกจากนี้ ยังมีแขกเหรื่ออีกมากมายที่กั้นทั้งสองคนเอาไว้ มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมาก
เพราะฉะนั้น การจากไปของเธอจึงไม่เป็นที่สังเกตของคนในงาน แต่ว่า ในเสี้ยววินาทีสำคัญเช่นนี้ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
ร่างกายเธอแข็งทื่อ พลันสัมผัสถึงสายตาไม่พอใจจากผู้คนโดยรอบที่จ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตอนที่เธอเข้ามาในงานเธอเห็นป้ายเขียนเตือนเอาไว้ว่าเพื่อไม่เป็นการรบกวนบรรยากาศในงานเดินแฟชั่นโชว์ ทางผู้จัดงานแนะนำให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านปิดเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
เธอเข้ามาในงานก็สังเกตเห็นจิ้นหยวนทันที เธอมัวแต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนจำได้ว่าต้องปิดเสียงโทรศัพท์มือถือกันล่ะ?
เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอยังคงดังต่อเนื่องอย่างไม่ยี่หระ เธอตกใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก รีบเดินเลี่ยงออกไปรับสายท่ามกลางสายตาไม่พอใจของแขกเหรื่อในงานอย่างเสียไม่ได้ “ฮัลโหล?”
เสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคริสดังลอดมาตามสาย “เฉียว ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
เธอลังเลเล็กน้อย หันกลับไปมองยังที่ที่จิ้นหยวนอยู่ แต่เธอพบว่าช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หัวใจเธอเต้นแรง ตอนแรกเธอยังลังเลเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “คริส พอดีฉันติดธุระด่วนนิดหน่อย ฉันคงทำงานนี้ต่อไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ?” น้ำเสียงของคริสฟังดูประหลาดใจมาก “เฉียว คุณควรจะรู้นะว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ใช่ว่าทุกคนจะได้โอกาสแบบนี้นะ…”
“ฉันทราบค่ะ ฉันทราบดี” เธอเอ่ยขัดขึ้น “คริส ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับงานนี้เลยนะคะ ความจริงฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากด้วยซ้ำที่คุณให้โอกาสนี้กับฉัน แต่ครั้งนี้ฉันติดธุระส่วนตัวจริงๆ จนทำงานต่อไม่ได้ ตอนนี้ฉันต้องรีบไปแล้ว คุณรีบหาคนมาทำงานแทนฉันเถอะค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”
เธอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คริสนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “โอเค ผมเข้าใจแล้ว คุณรออยู่ที่นั่นสักยี่สิบนาทีนะ เดี๋ยวผมให้เจนนี่ไปที่นั่น จากนั้นคุณค่อยกลับก็แล้วกัน”
“แต่ว่า..” เธออยากจะไปจากที่นี่ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยต่างหาก แต่คริสวางสายโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดอะไรอีก
เธอมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างเซ็งๆ แวบหนึ่งแล้วขยับกายเข้าไปซ่อนตัวในมุมลับตาคนเหมือนเดิม ได้แต่รอเจนนี่ที่จะมาเปลี่ยนตัวกับเธออย่างกระวนกระวายใจ
ขณะเดียวกัน เธอยังคงกวาดสายตามองไปทั่วงาน เมื่อกี้จิ้นหยวนยังอยู่ตรงนั้นแท้ๆ ทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไปแล้ว? หรือว่าเขาเห็นเธอแล้ว? ไม่ใช่หรอกมั้ง? เมื่อครู่ ระยะห่างระหว่างเธอกับเขามีพื้นที่มากพอให้คนยืนตั้งยี่สิบคนแน่ะ ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดเขายังสามารถมองเห็นเธอจริงๆ นั่นแปลว่าประสาทสัมผัสของเขาไวมากเกินไปแล้ว
เธอไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะดวงซวยขนาดนี้ ดังนั้น หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้ว เธอจึงตัดสินใจยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
ทันใดนั้น มือๆ หนึ่งวางลงบนไหล่เธอ เธอตกจนเกือบกระโดดโหยง “นั่นใคร?”
เธอตกใจมากเกินไปจนร้องเสียงแหลมปรี๊ด เพื่อนร่วมงานที่ชื่อไมค์ถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง เขามองมือตัวเองด้วยความฉงนสนเท่ห์แล้วหันกลับไปมองเธอด้วยความไม่เข้าใจ “เฉียว คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เธอรู้สึกโล่งอกทันทีที่เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเอง ไม่ใช่คนที่เธอกำลังคิดถึงคนนั้น “คุณทำฉันตกใจแทบตาย”
“โทษที” ไมค์เป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย แม้เขาจะไม่เข้าใจปฏิกิริยาตอบสนองของเธอ แต่เขายังคงเอ่ยขอโทษตามมารยาท จากนั้นเอ่ยถามขึ้นใหม่ “เมื่อกี้เจ้านายโทรหาผม บอกว่าคุณจะกลับไปก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ พอดีฉันติดธุระด่วนนิดหน่อย ก็เลยต้องกลับก่อน พวกคุณไปสัมภาษณ์แล้วก็ถ่ายรูปกันก่อนเลย เดี๋ยวเจนนี่จะมาทำหน้าที่แทนฉัน” เธอถอนหายใจโล่งอกพลางอธิบายให้เขาฟัง
“โอเค” เขามองใบหน้าขาวซีดของเธอแล้วลังเลชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “สีหน้าคุณไม่ดีเลย ต้องการให้ช่วยอะไรไหม?”
“จริงเหรอคะ?” เธอลูบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วหัวเราะแห้งๆ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ น่าจะเป็นเพราะนอนน้อยไปหน่อยน่ะ”
“อ้อ” ไมค์พยักหน้าเล็กน้อย เขามองเธอด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่งแล้วเดินจากไป
เธอถอนหายใจโล่งอกทันทีที่เห็นไมค์เดินจากไป พอหันหลังกลับพลันเห็นเจนนี่เดินเข้ามาจากประตูใหญ่พอดี
เธอโล่งอกราวยกภูเขาออกจากอก รีบกวักมือให้เจนนี่ทันที
เจนนี่เห็นเธอแล้วแววตาเป็นประกายวาบ รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเธอทันที
เฉียวซือมู่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ออกไปทางประตูใหญ่หลังจากแน่ใจแล้วว่าคนข้างนอกไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในงาน และคนในงานก็ไม่เห็นเธอ เธอหันมองเข้าไปในงานอย่างห้ามใจไม่ไหว เห็นเพียงผู้คนแต่งกายสวยงามมากมาย เสียงดนตรีดังลอยอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่ายังมีคนจากทั่วโลกอีกมากมายแค่ไหนที่อยากจะมายืนอยู่ที่นี่ แต่เธอได้แต่หนีออกจากที่นี่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ราวหัวขโมยก็ไม่ปาน
เธอลอบถอนหายใจแล้วหมุนกายเดินจากไป
นาฬิกาบอกเวลาหัวค่ำ เธอส่งต่อเอกสารให้เจนนี่แล้ว ตอนนี้สองมือของเธอจึงว่างเปล่า เธอดูเวลาแล้วเห็นว่าได้เวลาเลิกงานพอดี จึงตัดสินใจแวะซื้อของใช้และวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารระหว่างทางกลับบ้าน
ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรบ้างอยู่นั้น จู่ๆ ความเศร้าค่อยๆ เอ่อขึ้นในใจ
เธอก้าวเดินอย่างช้าๆ อยู่ริมถนน สีหน้าเจ็บปวด
ภาพที่เธอกับจิ้นหยวนใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขปรากฎขึ้นในสมองเธอเป็นฉากๆ ก่อนหน้านี้เธอพยายามลืมภาพเหล่านั้นให้หมด แต่เธอไม่คิดเลยจะได้พบเขาอีกครั้งในวันเวลาและสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมดจนยากจะอธิบาย
เธอลูบหน้าอกตัวเองเบาๆ รู้สึกราวกับว่ามีหลุมขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น และความหนาวเหน็บค่อยๆ แทรกซึมออกมาจากหลุมนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน จนทำให้ร่างทั้งร่างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนถนนสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเธอ ทันใดนั้น มีคนใจดีคนหนึ่งเดินเข้าไปถามเธอด้วยความห่วงใย “คุณผู้หญิง คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
สีหน้าและท่าทางของเธอคงทำให้คนเดินถนนเหล่านั้นตกใจไม่น้อยจนคิดว่าเธอไม่สบายแน่ๆ
เธอฝืนยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่สภาพจิตใจไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“ถ้าไม่สบายก็ต้องไปหาหมอนะ” คนที่เอ่ยกับเธอเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับพูดจาอ่อนโยนมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น