ยอดสตรีฉางอิ๋ง 21-35

 ตอนที่ 21 เว่ยเจิ้งหง

เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังก็กล่าวว่า “แล้วให้ข้าไปถามท่านย่าไหม?”


“ตอนนี้สถานการณ์ทางฝั่งซ่งตวนยังไม่ได้สืบเลย เจ้าไปถาม แล้วจะให้อาสะใภ้สามของเจ้าตอบอย่างไร?” ฮูหยินซ่งตำหนิเบาๆ เพราะตอนนี้ในห้องต่างก็มีแต่คนที่เชื่อถือไว้ใจได้ จึงไม่กลัวที่จะต้องพูดความจริงกับบุตรสาว “ในเมื่อหลายวันมานี้ท่านย่าของพวกเจ้าไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการแต่งงานของเกาฉาน เกรงว่าที่คราวที่แล้วกล่าวไปว่าเรื่องการแต่งงานของเกาฉานนางมีคิดไว้ในใจแล้วก็คงเพียงแค่พูดออกไปเท่านั้น ตอนนี้ท่านย่าของพวกเจ้ากังวลเรื่องของเจ้ากับฉางเฟิงก็ไม่พอแล้ว ยังมีอารมณ์ไปสนใจคิดเรื่องของบ้านสามที่ไหนอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งตวนนั่นว่ายังไม่ได้สืบข่าวมาให้ดีแล้วไปรบกวนนาง หากไม่ใช่เพราะอาสะใภ้สามเจ้าขวางไว้เร็ว คราวนี้ท่านอาสามเจ้าไม่ถูกด่ามาก็แปลกแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ รอให้อาสะใภ้สามของเจ้าสืบมาให้แน่ชัดก่อนแล้วข้ากับนางค่อยไปพูดแล้วกัน”


เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะรับปาก ฮูหยินซ่งก็กล่าวต่อว่า “เจ้าเอาอันนี้กลับไป จำไว้ว่าให้ถูหลังจากอาบน้ำตอนค่ำ เมื่อถูแล้วอย่าได้ลบออก ให้นอนไปอย่างนี้หนึ่งคืน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมารับรองว่าใบหน้าเจ้ากลับมาดีแน่นอน”


พูดแล้วก็เอาขวดกระเบื้องเขียวอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ มันมีขนาดแค่ไม่ถึงชุ่น แม่นมซือเห็นเว่ยฉางอิ๋งสงสัย ก็อธิบายอยู่ข้างๆ ว่า “นี่ก็คือยาบัวหิมะ เมื่อสองวันก่อนคุณหนูใหญ่ไม่ใช่ว่าตากแดดจนเจ็บหรือ ฮูหยินเร่งให้คนไปทำมา น่าเสียดายที่ของนี่เก็บไว้ไม่ค่อยได้ ทุกครั้งต้องทำขึ้นตอนที่จะใช้ แต่ว่าทำให้ผิวชุ่มชื่นมาก โดยเฉพาะบริเวณที่ตากแดดมา ทาแล้วรับรองว่าดีได้แน่”


ตอนแรกที่เว่ยฉางอิ๋งกังวลว่าใบหน้าจะถูกแดดจนเสียหายก็เพียงแต่กังวลว่าฮูหยินซ่งจะตำหนินางเท่านั้นจึงจงใจเล่นละครขึ้น ถึงได้ร้องโวยวายว่าใบหน้าเจ็บ แต่จริงๆ แล้วนางไม่ได้มีตรงไหนที่ถูกแดดจนเจ็บเลย คิดไม่ถึงว่าหลายวันมานี้ฮูหยินซ่งยุ่งวุ่นวายกลับยังจำเรื่องนี้ได้ ในใจพลันอบอุ่นขึ้นมา นางรับเอาขวดมาเก็บไว้ในอกแล้วกล่าวเสียงหวานว่า “ไม่น่าแปลกเลยที่ท่านพี่มักจะอิจฉาข้าเสมอ มีท่านแม่แท้ๆ รักใคร่อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน”


ฮูหยินซ่งได้ยินก็สบายใจแล้วกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าก็มีไข่มุกบนมือเพียงเจ้าแค่คนเดียว[1] ไม่รักเจ้าจะไปรักใครกัน?” พูดไปอย่างนี้ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง คำพูดอย่างนี้หากไปพูดกับบุตรคนเล็กยังพอว่า แต่กับบุตรสาวคนโตที่ถนัดการมองคน ตั้งแต่เล็กก็รู้ว่าตนเองได้รับการรักใคร่มากโดยไม่ต้องให้ใครสั่งสอนและมีท่าทีภูมิใจมาเสมอ ตนกล่าวออกไปอย่างนี้ อย่าทำให้นางยิ่งภูมิใจมากขึ้นไปอีกจนจัดการไม่ได้


ทว่าคิดอยากจะเปลี่ยนคำพูดก็สายไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ต้องทนไม่ได้ อะไรก็ต้องยอมข้าเอาตามข้า”


ฮูหยินซ่งได้แต่ถอนหายใจ แล้วกำชับบุตรสาวเรื่องสุดท้ายที่นางเรียกบุตรสาวมา “วันพรุ่งนี้กินข้าวเป็นเพื่อนท่านพ่อของพวกเจ้า เจ้าไปคิดการแต่งตัวดีๆ มา แล้วเรื่องราวทั้งหลายทั้งมวลที่จะทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าต้องกังวลใจ เจ้าเก็บไปให้หมดเสีย! หากว่าพูดเรื่องที่ทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าต้องกังวล ดูสิว่าข้าจะตีเจ้าอย่างไร!”


แม้ว่าเว่ยเจิ้งหงจะร่างกายอ่อนแอขี้โรค แต่ว่าความสัมพันธ์กับฮูหยินซ่งกลับดีมาก เพียงแต่เพราะร่างกายของเว่ยเจิ้งหงอ่อนแอเกินไป แม้ว่าตระกูลเว่ยจะคิดหาวิธีมารักษาเขาและสามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้แล้ว แต่กลับไม่สามารถทำอะไรกระโตกกระตากได้ นับตั้งแต่ที่เว่ยฉางอิ๋งสองพี่น้องเกิดมา สามีภรรยาทั้งสองก็แยกห้องกันอยู่ อย่างไรเด็กก็มักจะเสียงดัง


ภายหลังฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเพราะต้องการป้องกันบ้านสองรวมไปถึงอนาคตของเว่ยฉางเฟิง จึงยืนกรานให้ฮูหยินซ่งเป็นผู้ดูแลบ้าน เป็นผู้ดูแลเรือน แน่นอนว่าผู้ที่เข้าออกก็มีมาไม่ขาดสาย ไม่มีทางที่จะสงบได้ ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งเว่ยฉางเฟิงเมื่อเติบโตแล้ว ฮูหยินซ่งจึงไม่ได้กลับมาพักรวมกับสามี อย่างไร ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจัดการอย่างนี้ก็เพราะคิดถึงบ้านใหญ่


สถานการณ์ตอนนี้คือ เว่ยเจิ้งหงมีข้ารับใช้ที่ละเอียดรอบคอบหลายคนคอยปรนนิบัติรับใช้ให้พักอยู่ที่เรือนที่สงบเงียบหลังหนึ่งของรุ่ยอวี่ถัง ร่างกายดีขึ้นมาบ้างถึงได้รวมตัวกับภรรยาและบุตรสักครั้ง แต่ก็ได้แค่ทานอาหารร่วมกันและพูดคุยไม่นานเท่านั้น เพราะว่าไม่สามารถพบกันทุกวันอย่างท่านพ่อทั่วๆ ไป ดังนั้นสำหรับบ้านใหญ่แล้ว การรวมกันอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับงานตรุษจีน แม่ลูกทั้งสามต่างก็ต้องไปเลือกการแต่งเนื้อแต่งตัวกันก่อนล่วงหน้า และเรื่องที่จะพูดกัน สรุปก็คือต้องพยายามทำให้เว่ยเจิ้งหงมีความสุขและวางใจ


อย่างเช่นความหัวดื้อของเว่ยฉางอิ๋ง หรือการที่ถูกแม่สามีในอนาคตตักเตือนมา เรื่องพวกนี้ไม่มีทางที่จะพูดออกมาเลยแน่นอน


สำหรับท่านพ่อที่ป่วยมานาน และนานครั้งกว่าจะได้พบกัน เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่กล้าทำตัวตามใจ นางทิ้งมือลงแล้วตอบรับคำ ถามฮูหยินซ่งว่ายังมีเรื่องอื่นไหม แล้วจึงได้ถอยออกไป


เวลาสองวันพริบตาเดียวก็ผ่านไป มาถึงวันที่บ้านใหญ่จะได้รวมตัวกัน


เว่ยเจิ้งหงพักอยู่ที่เรือนเล่ออี๋ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ เดิมอากาศอบอุ่น ฤดูนี้จึงเป็นช่วงใบไม้กำลังเขียวขจี เพราะเว่ยเจิ้งหงทนเสียงดังไม่ได้ จักจั่นจึงถูกกำจัดไปจนหมด ฤดูร้อนเดินเข้าไปท่ามกลางดอกไม้ต้นไม้ กลิ่นหอมของยาโชยมากระทบใบหน้า ยิ่งทำให้ดูสงบมากขึ้น


บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของรุ่ยอวี่ถังที่น้อยคนจะได้เห็นคนนี้แม้ว่าจะป่วยจนต้องพักนาน ยามที่ได้พบหน้ากับภรรยาและบุตรต่างก็มักจะนอนอยู่บนเบาะนุ่มเสียมาก แต่กลับปิดบังท่าทีงามสง่าไว้ไม่ได้ เว่ยเจิ้งหงมีอายุได้สี่สิบแล้ว แต่ทว่ากลับมองดูอย่างมากก็อายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น คิ้วทั้งสองราวกับกระบี่ เรียวยาวชี้ไปที่ไรผม ดวงตาสีดำเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน มีหน้าตาหล่อเหลามาก หากไม่ใช่เพราะริมฝีปากไร้สีเลือด และการที่อยู่แต่ในห้องมานานทำให้ผิวขาวซีด ทั้งสองอย่างนี้ที่ทำให้ดูร่างกายอ่อนแอ มองดูแล้วก็ไม่ได้เหมือนกับคนป่วย แต่กลับเหมือนบัณฑิตมีชื่องามสง่าที่พิงเอนนอนพักบนเบาะหลังอาหารกลางวันเท่านั้น


ตระกูลมีชื่อใส่ใจที่สุดก็คือเรื่องพิธีการมารยาท ความละเอียดลออประณีตเด่นชัดบนร่างเขา ไม่ใช่อะไรที่อาการเจ็บป่วยจะสามารถปิดบังได้


แต่ว่าต่อให้เว่ยเจิ้งหงมีพิธีการมารยาทขนาดไหน เมื่อเอ่ยปากพูดออกมากลับแสดงให้เห็นว่าแรงที่มีไม่มากพอ น้ำเสียงของเขาเบาและล่องลอย หากไม่เข้าไปใกล้หน่อยก็ยากจะฟังได้ชัด “วันนี้ฉางอิ๋งสวมเสื้อหรูแดงทับทิมแล้วมีชีวิตชีวามาก”


การแต่งตัววันนี้ของเว่ยฉางอิ๋งเป็นแม่นมเฮ่อที่เลือกให้ สีแดงทับทิมพันด้วยกิ่งดอกกล้วยไม้ปักลายบนเสื้อหรู และกระโปรงไหมสีอ่อน เอวคอดกิ่ว ผมขดเป็นก้นหอย ปักปิ่นกล้วยไม้เอียงๆ ไว้สองอัน เดิมตอนนี้ท้องฟ้าก็ร้อนมากแล้ว สีแดงทับทิมถูกแสงจากพระอาทิตย์เข้าจนงดงามน่ามอง ชุดเสื้อหรูนี้ทำให้ใจคนร้อนขึ้นหลายส่วน แต่ทว่าในเรือนเล่ออี๋ที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี พอตัดกับสีแดงแล้ว กลับทำให้ใบหน้าที่เดิมก็งดงามน่ารักอยู่แล้วของนางยิ่งสว่างไสวมากขึ้น จนแทบจะทำให้คนละสายตาไปไม่ได้


ได้ยินคำชมของท่านพ่อแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อจะต้องพูดว่าดี ก่อนหน้านี้ท่านแม่ยังให้ข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดสีม่วงชมพูเลย! สีม่วงชมพูจะสวยสดยิ่งกว่าสีแดงทับทิมได้อย่างไรกัน?” พูดแล้วก็ทำหน้าตาล้อเลียนใส่ฮูหยินซ่ง


เว่ยเจิ้งหงยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขางดงามอย่างบอกไม่ถูก แล้วกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “สีม่วงชมพูก็ดี ลูกข้าหน้าตาดี ใส่อะไรก็ดูดีหมด”


แม้ว่าจะเป็นเพียงคำกล่าวเอาใจบุตรสาวที่พ่อแม่ใช้ธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเป็นเขากล่าวออกมา กลับทำให้คนรู้สึกเชื่ออย่างมาก การที่เขาป่วยมานานแต่ยังคงมีท่าทีบุคลิกอย่างนี้ได้ ไม่น่าแปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะเดือดเนื้อร้อนใจแทนบุตรชายคนนี้มาก ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยวางไม่ได้ และไม่ยินยอม


เห็นเว่ยเจิ้งหงที่ป่วยมานานยังมีบุคลิกได้อย่างนี้ หากว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งดี สายของเว่ยฮ่วนจะยังต้องคิดมากอะไรอีก?


ฮูหยินซ่งถลึงตาใส่บุตรสาวแล้วกล่าวว่า “ท่านอย่าได้เอาใจนางตลอดอย่างนี้เลย เอาใจเสียจนนับวันยิ่งไม่รู้จักกฎ ข้าจัดการนางไม่ได้แล้ว”


“ทำไมท่านแม่จะจัดการข้าไม่ได้?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างเอาใจว่า “ข้าฟังคำของท่านแม่ที่สุด!”


“ท่านแม่พวกเจ้าเลี้ยงดูพวกเจ้ามาไม่ง่ายเลย อย่าให้นางต้องกังวลใจ” เว่ยเจิ้งหงยังคงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวเสียงนุ่ม


เว่ยฉางอิ๋งแลบลิ้นแล้วกล่าวรับคำ เว่ยเจิ้งหงถึงได้หันไปหาเว่ยฉางเฟิงแล้วถามเสียงอบอุ่นว่า “หลายวันนี้การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”


“อาจารย์กับท่านปู่พูดว่าลูกขยันตั้งใจดี” เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างเคารพและถ่อมตน เขาคือบุตรหลานของตระกูลมีชื่อเก่าแก่ อายุยังน้อยก็ให้ความสำคัญกับการพูดอย่างมีมารยาทมาก แม้ว่าจะเป็นการพูดกับบิดา ก็ยังต้องแสดงออกมาให้ได้งามสง่าที่สุด แต่ว่าเพราะอายุทำให้ยังดูไม่เป็นผู้ใหญ่นัก เทียบกับเว่ยเจิ้งหงที่มีบุคลิกที่กลั่นออกมาจากกระดูกแล้วยังห่างอีกไกล และเมื่อเทียบกับพี่สาวของตนยิ่งทำให้เขาดูระวังอย่างเห็นได้ชัด


แต่ว่าเว่ยเจิ้งหงมีความต้องการต่อบุตรชายบุตรสาวที่ไม่เหมือนกัน เขามีลูกชายอยู่แค่คนเดียว แม้ว่าจะไม่เหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่คิดว่ารุ่ยอวี่ถังกับทุกอย่างของเว่ยฮ่วนจะต้องสมควรเป็นของเว่ยฉางเฟิง แต่ว่าเขาก็หวังว่าบุตรคนเดียวนี้จะสามารถค้ำยันตระกูลสาขานี้ของตนเองได้ ดังนั้นจึงพอใจกับการรู้ความของเว่ยฉางเฟิงมากแล้วกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “จื้อเจียวมีชื่อเสียงไปทั่ว ได้กราบเขาเป็นอาจารย์ ถือเป็นวาสนาของเจ้า แม้ว่าจะชมเชย แต่ว่าเจ้าก็อย่าได้ประมาทละเลย”


เว่ยฉางเฟิงรีบประสานมือรับ “ลูกรับทราบ”


ฮูหยินซ่งกล่าวว่า “ฉางเฟิงเรียนได้ดี ไม่ต้องให้กังวลใจเลยสักนิด” เพราะรู้ว่าสมาธิของเว่ยเจิ้งหงมีจำกัด เมื่อได้ถามไถ่บุตรชายบุตรสาวแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อไป “ช่วงหลายวันนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกว่าสบายขึ้นบ้างไหม?”


สีหน้าขาวซีดของเว่ยเจิ้งหงมีรอยยิ้มบางๆ ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความจนใจและอ่อนล้าที่ยากจะปิดได้ ปากกลับกล่าวว่า “ดีขึ้นบ้างแล้ว”


อาการของเขาเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์ บำรุงไม่พอ ไม่ใช่อะไรที่คนจะทำอะไรได้ ตอนนั้นเว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไปขอร้องหมอที่มีชื่อในแผ่นดินให้มาอยู่ที่ตระกูลเว่ยสองปี ถึงได้ดูแลเขามาได้ แต่ว่าเมื่อมีบุตรชายบุตรสาวทั้งสองแล้วก็ต้องใช้ยายื้อชีวิตไว้เท่านั้น


แต่ถึงอย่างนั้น บ้างก็ยังป่วยขึ้นมาอีก อย่าคิดว่าเขามีท่าทีสง่างามและสบายๆ อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วทุกสามวันสองวันก็ต้องทรมานสักรอบ ทรมานขึ้นมาทีพลิกไปพลิกมายากจะนอนได้ล้วนแต่เป็นกิจวัตรประจำวัน จุดนี้กระทั่งหมอมีชื่อคนนั้นก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีวิธี เขาสามารถช่วยยื้อเว่ยเจิ้งหงมาได้ถึงขนาดนี้ก็เรียกว่าสุดความสามารถแล้ว


เว่ยเจิ้งหงรู้ร่างกายของตนดี ทั้งชีวิตนี้เขาก็คงได้แต่ต้องมีชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างนี้แล้ว เพียงแต่ว่าแม้ว่าสำหรับเขาการมีชีวิตอยู่จะเป็นการรับทุกข์ แต่ว่าเพื่อพ่อแม่และบุตรชายบุตรสาว ทั้งยังมีญาติผู้น้องที่ไม่สนใจและยอมแต่งเข้ามาแม้ว่าร่างกายเขาจะไม่ดีทั้งยังประคองตระกูลมาเป็นสิบปีแล้ว เขายินดีที่จะมีชีวิตไปกับความทุกข์ทรมานนี้


เว่ยเจิ้งหงคุ้นชินและเห็นความเจ็บปวดนี้เป็นเรื่องปกติ ทว่าฮูหยินซ่งกลับยังกังวลใจในตัวเขาเสมอ เพื่อไม่ให้ภรรยาต้องยุ่งยากใจ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่อยากจะพูดเรื่องร่างกายของตนเองนัก แล้วเปลี่ยนหัวข้อไปว่า “ครั้งที่แล้วฉางอิ๋งไม่ใช่พูดถึงขนมลูกบัวหรือ เช้าวันนี้หลู่เฉวียนไปเด็ดบัวมาจากสวน อีกครู่พวกเจ้าลองชิมดู”


จุดประสงค์ที่เขาเปลี่ยนเรื่องนั้นชัดมาก ฮูหยินซ่งฟังออกจึงหน้าขรึมลงไปอย่างห้ามไม่อยู่ นางเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าร่างกายของสามีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างตอนนี้ แต่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากยอมแพ้ หวังว่าจะมีวันไหนหรือยาอะไร หรือสวรรค์เมตตาให้เว่ยเจิ้งหงดีขึ้นมา ให้สามีภรรยาทั้งสองคอยสนับสนุนบุตรสาวบุตรชาย และเป็นที่พึ่งของกันและกัน


สามีภรรยาทั้งสองต่างก็นิ่งขรึมไปกับความเศร้า ยังดีว่าเว่ยฉางอิ๋งร่าเริง นางหัวเราะแล้วพิงแนบไปกับท่านพ่อบนเบาะพลางกล่าวว่า “ขนมลูกบัวหรือ ท่านพ่อไม่รู้ว่า สองวันก่อนหน้านี้สาวใช้ข้างกายข้าไปเล่นในสวนแล้วไปเด็ดเอาหลิงเจี่ยวป่ากลับมา ข้ากินไปหลายอัน ก็รู้สึกว่ามีรสชาติดี ครั้งหน้าให้หลู่เฉวียนทำขนมชั้นหลิงเจี่ยวดีไหม?”


ฮูหยินซ่งรีบส่งสายตาคมกริบมาทันที “ท่านพ่อเจ้าอุตส่าห์จำของกินที่เจ้าพูดออกมาได้ เจ้านี่เปลี่ยนเร็วเสียจริง!”


“ก็แค่ขนมอย่างหนึ่งเอง ในเมื่อลูกข้าออกปากแล้ว ทำไมจะไม่ตอบรับล่ะ?” เว่ยเจิ้งหงยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วยกมือขึ้นไปยังบ่าวที่อยู่ไม่ไกล “จำไว้ ครั้งหน้าให้หลู่เฉวียนทำ”


หลู่เฉวียนคือคนที่รับผิดชอบเรื่องอาหารของเว่ยเจิ้งหงในเรือนเล่ออี๋นี้โดยเฉพาะ พูดไปแล้วตอนนั้นยังเป็นหมอมีชื่อคนนั้นที่สั่งสอนมา เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่ว่าอาหารธรรมดาเขาเองก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม กระทั่งเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่ช่างเลือกในเรื่องอาหารมากก็ยังชื่นชมฝีมือทำอาหารของเขา


…ในเมื่อพูดถึงเรื่องกินแล้ว เว่ยเจิ้งหงจึงสั่งให้เริ่มทานอาหารได้ ขนมลูกบัวที่ครั้งที่แล้วเว่ยฉางอิ๋งกล่าวถึงถูกยกออกมาเป็นอย่างแรก ทั้งยังมาคู่กับเห็ดฝูหลิงทอดกรอบ แป้งไส้ถั่วแดงและข้าวต้มลิ้นจี่


เห็นสีเขียวอ่อนเป็นมันวาวน่ารักทั้งยังมีน้ำตาลสีขาวเคลือบลงไปบนขนมอีกชั้นแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ตาเป็นประกาย ยื่นตะเกียบไปคีบมาชิ้นหนึ่ง นางวางลงไปด้านหน้าของเว่ยเจิ้งหงก่อน เว่ยฉางเฟิงเองก็จับแขนเสื้อแล้วคีบชิ้นหนึ่งไปให้ฮูหยินซ่ง เมื่อเว่ยเจิ้งหงยิ้มแล้วบอกให้พวกเขากินกันตามใจได้ พี่น้องทั้งสองถึงได้ดีใจแล้วเริ่มกินกัน


เว่ยเจิ้งหงป่วยมานาน หนึ่งวันต้องกินยาสามครั้ง กระเพาะไม่ดีนัก ส่วนฮูหยินซ่งก็กังวลในตัวสามี จึงไม่ได้สนใจขนมมากนัก ทั้งสองกินกันไปคนละน้อย กลับเป็นเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่กำลังโตย่อยได้ดีกินกันอย่างมีความสุข สามีภรรยาเห็นบุตรชายบุตรสาวมีร่างกายแข็งแกร่งร่าเริงแล้ว ความกังวลกับร่างกายของเว่ยเจิ้งหงก่อนหน้านี้ก็สลายไปมากอย่างไม่รู้ตัว


เว่ยฉางอิ๋งทานเสร็จยังคิดอยากจะเอาอีก ฮูหยินซ่งรีบกล่าวทันทีว่า “กินน้อยๆ หน่อย ของพวกนี้ทำมาจากข้าวเหนียว กินมากได้สะสมมากน่า!”


ได้ยินดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่มองไปที่ขนมลูกบัวอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วคีบเอาเห็ดฝูหลิงทอดกรอบชิ้นหนึ่งมากัดอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นก็ทิ้งไปบนจานตรงหน้าตน ฮูหยินซ่งกำลังจะสั่งสอนบุตรสาวว่าเสียของ ด้านนอกพลันมีอาหารทยอยเข้ามาวาง เพราะเว่ยเจิ้งหง ทำให้กว่าครึ่งคืออาหารสมุนไพร เพราะกินกันที่บ้านเอง จึงมีเหลิ่งผาน[2]เพียงสองจานเท่านั้น


มีหน่อไม้สดคลุกขึ้นฉ่าย ตั้งโอ๋นึ่ง เป็ดแก่ตุ๋นถั่งเช่า ฮูหยินซ่งรีบถลกแขนเสื้อแล้วไปตักแกงให้สามี จึงไม่ทันได้สนใจคำพูดก่อนหน้านี้ ทำให้เว่ยฉางอิ๋งผ่านไปได้อย่างนี้…


………………………………………………


[1] ไข่มุกบนมือ : เอาไว้เรียกบุตรสาวที่พ่อแม่รักมาก


[2] เหลิ่งผาน : อาหารจานเย็น อาหารเรียกน้ำย่อย


22.1 ท่านพี่ท่านดีจริงๆ (1)

 


เมื่อทานข้าวเสร็จ เว่ยเจิ้งหงยังสติพร้อมสรรพ ดังนั้นจึงยังพูดกับภรรยาและบุตรชายบุตรสาวอีกครู่หนึ่ง ส่วนมากล้วนแต่เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังพูดอยู่ ฮูหยินซ่งมีบ้างที่ช่วยเสริม ส่วนเว่ยฉางเฟิงเพียงแต่ฟังนิ่งๆ บ้างก็แอบมองศึกษาลักษณะท่าทางและคำพูดของท่านพ่อ ระหว่างคนในครอบครัวเองก็ให้ความสำคัญกับพิธีการมารยาท เว่ยเจิ้งหงแม้ว่าจะต้องรับความทรมานจากอาการป่วยมาตลอด ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่ว่าท่าทางและคำพูดของเขา กลับพอที่จะทำให้เหล่าลูกหลานตระกูลมีชื่อทั้งหลายที่ภาคภูมิในตนเองต้องพ่ายแพ้ไป


 


ต้องรู้ว่าตอนนั้นฮูหยินซ่งเองก็เป็นไข่มุกบนฝ่ามือ บุตรสาวของหัวหน้าตระกูลซ่งสายตรงแห่งเจียงหนาน แม้ว่าการแต่งงานของตระกูลซ่งและตระกูลเว่ยต่างก็พิจารณาบุตรหลานอายุใกล้เคียงกันของตระกูลอีกฝ่ายก่อน แต่ว่าในฐานะที่เป็นบุตรสาวของหัวหน้าตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานคนปัจจุบัน หากว่าตัวนางไม่ยินดี ตระกูลซ่งและตระกูลเว่ยก็ไม่มีทางฝืนใจนาง ฮูหยินซ่งที่มีนิสัยแข็งอย่างนี้รู้ชัดว่าแต่งงานกับเว่ยเจิ้งหงมีแต่ความยากลำบาก แต่ก็ยังแต่งงานมา เรื่องนี้เกี่ยวกับท่าทางบุคลิกของเว่ยเจิ้งหงมาก หากว่าไม่ได้รักชอบเว่ยเจิ้งหงจริงๆ ฮูหยินซ่งจะยอมให้ตนเองต้องกล้ำกลืนอย่างนี้ทำไม


 


มีบิดาอย่างนี้ เว่ยฉางเฟิงแม้ปากจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ในใจกลับหวังมากว่าจะสามารถเรียนรู้บุคลิกที่ออกมาจากกระดูกอย่างบิดาได้ ทำให้ทุกครั้งที่พบกัน เขามักจะไม่สนใจพูดคุยนัก แต่ใจจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้


 


แต่ว่าเว่ยฉางอิ๋งที่ใจจดจ่อกับการเรียนวิชายุทธ์เพื่ออนาคตนั้นกลับไม่มีความคิดอย่างนั้น นางพูดไปมารอบเว่ยเจิ้งหง เลิกคิ้วหรี่ตา ร่าเริงมาก ใต้เงาไม้ ชายในชุดสีน้ำเงินน้ำทะเลฟังด้วยรอยยิ้ม เขามีท่าทีมีความสุข มีแต่ตอนที่บุตรสาวไม่ทันสังเกตเท่านั้นที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เขากดความเจ็บปวดลงไป ผ่านไปครึ่งชั่วยาม บ่าวเข้ามาเตือนว่าเว่ยเจิ้งหงต้องไปพักผ่อนแล้ว ฮูหยินซ่งถึงได้ลุกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์


 


ออกไปจากเรือนเล่ออี๋ ฮูหยินซ่งก็มองกลับไปอย่างเศร้าใจ แล้วจึงกล่าวกับบุตรชายบุตรสาวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “กลับไปเถอะ อย่าให้เสียการเรียน ท่านพ่อของพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล รู้ไหม?”


 


พี่น้องทั้งสองรับคำ ฮูหยินซ่งกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “วันนี้ฉางอิ๋งทำได้ดีมาก ท่านพ่อของพวกเจ้าชอบมองท่าทีร่าเริงมีพลังของพวกเจ้า แต่ว่าฉางเฟิง เจ้านิ่งขรึมเกินไป ทำอย่างนี้จะทำให้ท่านพ่อของพวกเจ้าคิดว่าเจ้าไม่สนิทกับเขา ครั้งหน้าต้องแก้ใหม่!”


 


เว่ยฉางอิ๋งเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นฉางเฟิงมองท่านพ่อตลอด เหมือนกับมีเรื่องอะไรอยากคุยกับท่านพ่อ”


 


“ไม่ใช่” แม้ว่าเว่ยฉางเฟิงจะถูกนิสัยอารมณ์ที่เหนือล้ำหลุดกรอบของพี่สาวแท้ๆ ทำให้ต้องดูเป็นเด็กที่มีท่าทีเกินวัย เขาเองก็ชอบแสดงท่าทีกาลเทศะอย่างลูกหลานตระกูลมีชื่อ แต่อย่างไรก็เพราะอายุน้อย ตอนนี้เมื่อถูกท่านแม่กล่าวและยังถูกพี่สาวซ้ำ จึงพลันหน้าแดงขึ้นอย่างเก้อเขิน แล้วกล่าวอย่างลนลานว่า “ข้าแค่เห็นท่านพ่ออารมณ์ไม่เลวเท่านั้น”


 


เว่ยเจิ้งหงแม้ว่าจะป่วย แต่ว่านิสัยสันดานกลับแข็งกร้าว เขาไม่พูดเรื่องทุกข์ร้อนให้คนข้างกายฟัง โดยเฉพาะต่อหน้าบุตรชายบุตรสาว ต่อให้รู้สึกทรมานมากก็ทำแค่ขมวดคิ้วขึ้นมาเท่านั้น ตอนที่กล่าวกับบุตรสาวก็มักจะยิ้มไปด้วย…ฮูหยินซ่งรู้สึกทุกข์ในใจและฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “เขาเห็นพวกเจ้าอย่างไรก็ต้องดีใจ”


 


เพราะกังวลใจเว่ยเจิ้งหง ฮูหยินซ่งจึงไม่มีใจจะกล่าวอะไรกับบุตร เพียงกำชับไปเล็กน้อยแล้วก็แยกจากกันกลับไปที่เรือนของตน


 


เว่ยฉางอิ๋งกลับมาที่เรือนเสียนซวงแล้ว แม่นมเฮ่อก็นำเอาบัตรเชิญมาฉบับหนึ่งแล้วกล่าวว่า “จดหมายเชิญของจวนจิ้งผิงกงส่งมาถึงแล้ว”


 


“วันเกิดของพี่หญิงรองหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งรับมาดู เมื่อเห็นว่าเหมือนกับปีที่แล้ว ก็วางลงไปแล้วกล่าวว่า “ไปเตรียมของขวัญอย่างเมื่อปีที่แล้วก็พอ”


 


แม่นมเฮ่อรู้ว่านางไม่ชอบใจที่เว่ยฉางเสียนชอบกดบ้านสามมาตลอด คิดว่าเป็นการทำให้สาขาของเว่ยฮ่วนเสียหน้า ดังนั้นของขวัญที่ส่งไปสองปีนี้จึงธรรมดามาก แล้วกล่าวเตือนว่า “ได้ยินว่าตระกูลหลิวจะให้บุตรชายกับพี่หญิงรอง คราวนี้จะเพิ่มเข้าไปหน่อยไหม?”


 


“ยกบุตรชายให้?” เว่ยฉางอิ๋งชะงักไปแล้วกล่าวว่า “หลิวหลี่เจ้าเองก็เสียไปได้สองปีแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้เพิ่งจะมากล่าวเรื่องนี้?”


 


แม้ว่าตอนนี้หญิงอายุน้อยที่ต้องเสียสามีไปจำนวนมากต่างก็แต่งงานใหม่เพื่อหาทางเดินใหม่ แต่ว่าตระกูลมีชื่อให้ความสำคัญกับพิธีการ อย่างเว่ยฉางเสียนที่เป็นหญิงม่ายที่เพิ่งจะแต่งงานไปได้ไม่กี่ปีอย่างนี้ ต่อให้กลับมาบ้านแม่แล้ว ก็ได้แต่ต้องอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต เว่ยฉางเสียนคือบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลเว่ยสายหลัก ฐานะสามีของนางหลิวหลี่เจ้าในตระกูลหลิวก็ไม่ได้ต่ำทราม ทั้งยังเสียชีพเพื่อชาติอีก แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะให้เขาต้องไร้บุตรแน่ ตอนที่เว่ยฉางเสียนเพิ่งจะเป็นม่ายใหม่ๆ นั้น ทางสาขาของเว่ยฮ่วนเองก็ได้วิพากษ์วิจารณ์กันแล้วว่าทำไมตระกูลหลิวถึงได้ไม่ยกบุตรให้กับหลิวหลี่เจ้า


 


อย่างไรหากมีบุตรให้เลี้ยง เว่ยฉางเสียนก็ยังมีหวัง ไม่อย่างนั้นเป็นม่ายแต่อายุยังน้อยอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดีแล้ว แต่ว่าเว่ยฉางเสียนกลับมาสองปีไม่มีเรื่องการยกบุตรให้มาก่อน เว่ยฉางอิ๋งยังคิดว่านางไม่อดทนพอที่จะเลี้ยงบุตร และคิดจะตายไปเป็นวิญญาณคร่ำครวญไปตามลำพัง


 


แม่นมเฮ่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ทั้งวันเอาแค่คิดถึงเรื่องอาวุธวิชายุทธ์ทำไมเรื่องอื่นๆ อะไรก็ไม่คิดจะใส่ใจแล้ว เรื่องนี้ในจวนต่างก็รู้กันหมดแล้ว คุณหนูรองไม่อยากได้ลูกหลานของตระกูลสาขาของตระกูลหลิว แต่อยากจะเลือกในบรรดาหลานของหลิวหลี่เจ้ามาหนึ่งคน ทว่าลูกหลานของพี่น้องหลิวหลี่เจ้าเองก็ไม่มาก สองปีก่อนไม่มีที่อายุน้อย ที่อายุมากหน่อยนางก็กังวลว่าจะไม่สนิทกับตนจึงไม่ยอมเอา ตอนนี้เมื่อเดือนที่แล้วหลิวจงเจ้าได้บุตรจากอนุภรรยามาหนึ่งคน เดิมหลิวจงเจ้าก็มีบุตรจากภรรยาเอกอยู่แล้วสองคน ตระกูลหลิวจึงส่งคนมาที่เฟิ่งโจวถามคุณหนูรองว่าต้องการเด็กไหม”


 


“พี่หญิงรองเอาหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งถาม


 


“เอาแล้ว” แม่นมเฮ่อกล่าว “แม้ว่าจะเป็นบุตรจากอนุภรรยา แต่ว่าก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของหลิวหลี่เจ้า สายเลือดใกล้ชิดมาก นอกจากนี้หากว่าครั้งนี้ไม่เอา ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าต้องรอถึงเมื่อไหร่ถึงจะมีคนที่เหมาะสม อย่างไรสองปีมานี้คุณหนูรองอยู่ที่จวนจิ้งผิงกงก็เหงามาก เลี้ยงบุตรบุญธรรมสักคนอย่างไรก็มีเรื่องอะไรทำ”


 


เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถือว่าเป็นเรื่องดี นางมีเรื่องสำคัญต้องทำ อย่าได้เอาแต่หาเรื่องสาขาฝั่งพวกเรา”


 


“จริงๆ แล้วจวนจิ้งผิงกงกับจวนของพวกเราต่างก็เป็นสายเลือดของหัวหน้าตระกูลผู้เฒ่า ทั้งยังอยู่ในเฟิ่งโจวเหมือนกันอีก หากว่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสนิทสนมก็ให้สนิทสนมกันดีกว่า” แม่นมเฮ่อยิ้มแล้วกล่าว “คุณหนูใหญ่เองก็อย่าเอาแต่โมโหคุณหนูรองเลย สามีของนางจากไปอย่างนี้ แม้ว่าจะยังคงอยู่อย่างสุขสบาย แต่ว่าภายหลังจะยังมีหวังอะไรอีก ต่อให้บุตรบุญธรรมดีอย่างไร อย่างไรก็ไม่เหมือนกับบุตรตนเองแท้ๆ”


 


แม่นมเฮ่อเองก็ร้ายกาจมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยยอมคนง่ายๆ ปกติแล้วยอมตามใจเว่ยฉางอิ๋ง มีเพียงแค่สองคนที่นางมักขัดกับความชอบของเว่ยฉางอิ๋ง ก็คือความไม่ชอบใจต่อเจียงเจิง และความเห็นใจต่อเว่ยฉางเสียน นั่นก็เพราะว่าแม่นมเฮ่อเองก็เป็นหญิงม่ายเช่นกัน สามีของนางถูกโรคระบาดและเสียไปหลังจากที่นางมาเป็นแม่นมของเว่ยฉางอิ๋งได้ปีที่สอง เดิมทั้งสองคนมีบุตรชายหนึ่งคน อายุมากกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงสามเดือนเท่านั้น แต่ว่าพออายุได้หกปีกลับเสียไป


 


……………………………


22.2 ท่านพี่ท่านดีจริงๆ (2)

 


ตอนนั้นแม่นมเฮ่อยังอายุน้อย ฮูหยินซ่งสงสารนาง แต่เพราะว่านางเป็นเพียงบ่าวไพร่ ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพิธีการอย่างเช่นเหล่าคุณหนูตระกูลเว่ย ที่จะไม่แต่งงานครั้งที่สอง จึงได้ถามนางเป็นการส่วนตัวว่านางจะแต่งงานอีกไหม อย่างไรก็มีบุตรไว้สักคน แน่นอนว่าหากเป็นอย่างนั้นนางก็ไม่สามารถปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งได้อีกแล้ว อย่างไรตระกูลอย่างตระกูลเว่ย บ่าวที่รับใช้ปรนนิบัติใกล้ชิดกับคุณหนูทั้งหลายต่างก็ต้องมีเงื่อนไขศีลธรรมบ่าวที่ดีที่ไร้ข้อบกพร่อง หากว่าให้ผู้ที่แต่งงานครั้งที่สองไว้ข้างกายคุณหนู อาจทำให้คนนอกกล่าวกันว่าเว่ยฉางอิ๋งจะถูกสั่งสอนจนเสียไปไหมได้


 


ทว่าแม่นมเฮ่อถูกการตายของบุตรชายทำให้เสียใจจนท้อแท้ รวมกับที่หลายปีมานี้นางเองก็มีความรู้สึกกับเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่ยอมไปจากเจ้านายตัวน้อย และปฏิเสธความเห็นใจของฮูหยินซ่งไป


 


เพราะแม่นมเฮ่อเองเมื่ออายุยังน้อยก็เป็นม่ายและเสียบุตรชายไป จึงเห็นอกเห็นใจและเข้าใจเว่ยฉางเสียนที่ประสบเหตุการณ์คล้ายตนอย่างมาก


 


จุดนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้ คราวนี้ได้ยินนางกล่าวเตือนจึงกล่าวว่า “รู้แล้วๆ หากพี่หญิงรองไม่มาหาเรื่อง ข้าเองก็ไม่ไปหาเรื่องนางก่อน”


 


คิดแล้วก็กล่าวว่า “เติมพวกองุ่นหรือทับทิมสักหน่อยไหม หรืออย่างอื่นที่เหมาะสม อย่างไรท่านอาก็จัดการไปเลย”


 


แม่นมเฮ่อกล่าวอย่างรอบคอบว่า “บุตรบุญธรรมอย่างไรก็ไม่ใช่คุณหนูรองให้กำเนิด คุณหนูรองเป็นคนคิดมากมาตลอด เดี๋ยวได้คิดว่าคุณหนูใหญ่ไปหัวเราะเยาะนางเข้าแทน บ่าวคิดว่า สู้เลือกเอาประเภทอวยพรให้อายุยืนยาวมีความสุขอย่างคนอื่นเขาก็ได้”


 


“ของเหล่านี้ข้ามีเก็บไว้มาก นอกจากที่ดีที่สุดไม่กี่ชิ้นแล้ว ท่านอาไปเลือกเอาได้เลย” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า


 


……………


 


พริบตาเดียวก็มาถึงวันเกิดของเว่ยฉางเสียนแล้ว ถูกซ่งไจ้สุ่ยพูดจุดอ่อนไป ทำเอาพี่น้องบ้านสามต่างก็ลำบากใจมาก วันนี้พวกนางไม่ไปจริงๆ เหตุผลคือข้อที่ซ่งไจ้สุ่ยบอกเป็นนัยมา เพราะว่านางเผยไม่ค่อยสบายนัก ในฐานะบุตรสาวจึงต้องอยู่คอยปรนนิบัติถึงจะถูก


 


พี่น้องบ้านสามไม่ไป บ้านสองก็อยู่ไกลถึงเมืองหลวง เด็กหญิงสายสาขาของเว่ยฮ่วนจึงเหลือเพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งคนเดียว นางเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ นางยังไม่รีบเดินทางแต่กลับไปหารือกับซ่งไจ้สุ่ยที่เรือนหมิงเซ่อ “ท่านพี่ท่านพูดเสียจนน้องสี่และน้องห้าไม่ไปแล้ว วันนี้ข้าต้องไปที่จวนจิ้งผิงกงคนเดียวหรือ ไม่ได้ ท่านต้องไปเป็นเพื่อนข้า!”


 


ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมถึงเป็นเจ้าคนเดียว หรือว่าพวกฉางเฟิงไม่ไปหรือ?”


 


เพราะเว่ยฉางเสียนกลับมาอยู่ที่บ้านแม่ แน่นอนว่าวันเกิดจึงไม่ได้จัดใหญ่โต จึงเชิญเพียงแค่บ้านเว่ยฮ่วน เว่ยโจ่งสองบ้านมาร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น แม้ว่านางจะแต่งงานไปแล้ว แต่ว่าอายุยังน้อยมาก ศักดิ์ฐานะก็ยังต่ำอยู่ เหล่าผู้อาวุโสอย่างฮูหยินซ่งรุ่นนั้นจึงแทบไม่ได้ไปงานเลี้ยงด้วย นอกจากว่าจะมีเรื่องอื่นต้องไปปรึกษาหารือที่จวนจิ้นผิงกง โดยทั่วไปแค่เตรียมของขวัญและให้บุตรสาวตนไป ก่อนหน้านี้ฮูหยินสาม นางเผยเองเพราะว่าน้องชายทำให้นางไปด้วยตนเองมาครั้งหนึ่ง แต่ว่ากลับไปชนตอเข้าจึงไม่คิดไปขายหน้าอีก


 


เพราะว่าเป็นพี่สาว และยังอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นเหล่าเด็กชายทั้งหลายเองก็ไปร่วมงานเลี้ยงด้วย และจะได้ไปพบปะกับเหล่าพี่ชายน้องชายด้วย


 


คราวนี้ซ่งไจ้สุ่ยได้ยินเว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่านางไปเพียงคนเดียวจึงแปลกใจ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “พวกฉางเฟิงไปอยู่กับพี่ใหญ่ น้องเก้าและน้องสิบ มีแค่ข้ากับน้องหญิงหกที่ไปอยู่กับพี่หญิงรอง อย่างมากน้องหญิงหกก็นั่งอยู่แค่ครู่เดียวแล้วก็ร้องอยากจะไปเล่นในสวนแล้ว พอเป็นอย่างนั้นก็เหลือแค่ข้ากับกับพี่หญิงรองเท่านั้น ท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าข้ากับพี่หญิงรองไม่เคยคุยกันได้”


 


ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างสะใจว่า “อย่างนี้ไม่ดีหรือ ปีหน้าเจ้าก็ต้องแต่งงานไปตระกูลเสิ่นแล้ว ใครจะรู้ว่าเหล่าภรรยาพี่ชายน้องชายทั้งหลายกับพี่สาวน้องสาวสามีจะพูดกับเจ้าได้หรือ พอดีเลยจะได้ลองฝึกซ้อมกับพี่หญิงรองเจ้าคนนี้ก่อน เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ให้ดีถึงจะถูก!”


 


“ข้าไม่เอาหรอก!” เว่ยฉางอิ๋งดึงแขนนาง “ท่านไปกับข้านะ คนอย่างพี่หญิงรอง เหมาะสมกับท่านพี่ที่ไม่ว่าจะมองตรงมองตะแคงก็ยังนุ่มนวลมีศีลธรรมอย่างท่านไปรับมือที่สุดแล้ว ท่านพี่ญาติสนิทอยู่ตรงนี้ ข้าไม่ลากท่านไปช่วยรับมือข้าก็โง่แล้ว”


 


“ไม่ไปๆ!” ซ่งไจ้สุ่ยผลักนางอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าวว่า “อากาศร้อนอย่างนี้ ข้าไม่เอาด้วยหรอก! อีกอย่างจะเป็นเจ้าที่ไปหาคุณหนูรองตระกูลเว่ยคนเดียวได้อย่างไร นางไม่ใช่ว่ายังมีภรรยาของเหล่าพี่ชายน้องชายหรือ”


 


เว่ยฉางอิ๋งดึงนางไปกล่าวไปว่า “ทุกปีวันเกิดของพี่หญิงรองพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนจัดการ บุตรชายคนรองของพี่สะใภ้ใหญ่ร่างกายไม่แข็งแกร่งนัก ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้ ดังนั้นแม้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะให้บ่าวไพร่จัดงานเลี้ยง แต่ว่าตนเองเพียงแค่มาอวยพรและนั่งเพียงครู่เดียวเท่านั้น น้องเก้าน้องสิบยังไม่ถึงอายุที่จะแต่งภรรยาได้ แล้วจะไม่ใช่ข้าคนเดียวที่อยู่กับนางได้อย่างไร เฮ้อ ท่านเป็นคนทำทั้งนั้น ถ้าท่านไม่เตือนน้องสี่น้องห้าว่าไม่ให้ไป แล้วจะทำให้ข้าต้องทำตัวไม่ถูกอย่างนี้หรือ อย่างไรก็แล้วแต่ท่านจะต้องไปกับข้า!”


 


ซ่งไจ้สุ่ยพิงไปที่เบาะไม่ยอมลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าไม่กลัวไปล่วงเกินนางเสียหน่อย พูดไปประโยคสองประโยคแล้วจากไปไม่ได้หรือ จะต้องลากข้าไปทำไมกัน นางไม่ได้ส่งบัตรเชิญให้ข้าเสียหน่อย อยู่ดีๆ ไปงานเอง เดี๋ยวได้ถูกคนเขาไล่ออกมา!”


 


“ท่านเป็นถึงอนาคตฮองเฮา ท่านไปอวยพรให้นางมีแต่จะเพิ่มความอลังการให้นาง นางจะกล้าไม่พอใจท่านที่ไหนกัน?” เว่ยฉางอิ๋งพูดเสียจนซ่งไจ้สุ่ยที่เดิมมีท่าทีสบายอารมณ์มีสีหน้าแข็งขึ้นทันที ชั่วอึดใจ นางแทบจะกระโดดลุกขึ้นมา แล้วถลึงตาใส่น้องสาว “เจ้าไม่ทำข้าโมโหตายเจ้าไม่มีความสุขใช่ไหม?!”


 


เว่ยฉางอิ๋งปล่อยมือที่จับแขนเสื้อของนางไว้ออก แล้วหัวเราะทำหน้าทะเล้นพลางกล่าวว่า “ท่านพี่คนดี ข้าไม่ระวังพูดผิดไปแล้ว ท่านอย่าโกรธเลย เนี่ย ข้ารู้ว่าท่านอารมณ์ไม่ดี ถึงได้ให้ท่านไปงานวันเกิดพี่หญิงรองด้วยกันกับข้า ถือเสียว่าไปคลายอารมณ์!”


 


ซ่งไจ้สุ่ยทำหน้าเยือกเย็นแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “หากว่าข้าไม่ตกลงจะไปเดินเล่น เจ้าจะต้องทำให้ข้าเสียอารมณ์เสียจนได้แต่ต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าที่จวนจิ้นผิงกงหรือ?”


 


“ท่านพี่พูดเข้า ทำไมถึงได้คิดถึงข้าเลวร้ายอย่างนั้น?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ท่านพี่เป็นถึงว่าที่ชายารัชทายาท อนาคตฮองเฮา อนาคตมารดาแห่งแผ่นดิน แม้ว่าข้าจะเป็นน้องสาวของท่าน แต่ว่าเจ้านายกับขุนนางก็ต่างกัน แล้วข้าจะกล้าไปล่วงเกินท่านพี่ได้หรือ เทียบกับมารดาแห่งแผ่นดินแล้ว ข้าว่าคงไม่มีใครที่จะดียิ่งไปกว่าท่านพี่…”


 


“…พอแล้ว!” ทั้งประโยคมีแต่ชายารัชทายาท ฮองเฮา มารดาแผ่นดิน ฟังแล้วทำให้ซ่งไจ้สุ่ยที่รู้สึกรังเกียจราชวงศ์ของต้าเว่ยในปัจจุบันอย่างลึกล้ำแทบอยากจะกระอักเลือด หน้าอกนางขึ้นลงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าก็ขาวและเขียวสลับกันไประยะหนึ่ง ถึงได้กัดฟันกล่าวออกมาว่า “ข้า…ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า เจ้ารอข้าเปลี่ยนชุดก่อน”


 


เว่ยฉางอิ๋งพลันยิ้มหน้าบานทันที นางยิ้มอย่างมีความสุข “ท่านพี่ท่านดีจริงๆ! ท่านพี่ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับพี่สาวแท้ๆ ของข้าเลย!”


 


“หากว่าข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเจ้า โตขึ้นมากับเจ้าตั้งแต่เล็ก ข้าคงได้ถูกเจ้าทำให้โมโหตายไปนานแล้ว!!!” นางแสดงท่าทีว่าได้เปรียบแต่ยังทำตัวไร้เดียงสาออกมาชัดๆ ซ่งไจ้สุ่ยที่เดินเข้าไปในห้องกลับเกือบจะสะดุดไป นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับมาตะคอกใส่!


 


……………………………………………………..


23.1 เว่ยฉางเสียน (1)

 


ระหว่างทางไปจวนจิ้งผิงกง ซ่งไจ้สุ่ยทำหน้าเข้มตลอด ทำให้เว่ยฉางอิ๋งกระทั่งสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรินชาภายในรถม้าต่างก็ต้องก้มหน้าก้มตาด้วยท่าทีเรียบร้อยมาก เพียงแต่ว่าอย่างไรนางก็ถูกอบรมเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตมาจนโต จึงรู้สถานการณ์มาก แม้ว่าตลอดทางจะมีสีหน้าเข้มมาก แต่เมื่อถึงจวนจิ้นผิงกง เมื่อเปิดม่านออกแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยก็พลันเปลี่ยนเป็นท่าทีนุ่มนวลสูงศักดิ์ในทันที มุมปากยังแฝงไปด้วยรอยยิ้ม นางมีท่าทีประหนึ่งสตรีสูงศักดิ์เหลือก็แต่บนร่างเท่านั้นที่ยังไม่ได้เขียนว่า ‘เปี่ยมคุณธรรมเมตตา นุ่มนวลเรียบร้อย สูงศักดิ์เป็นมิตร’ คำพวกนี้


 


พี่น้องทั้งสองถูกประคองลงจากรถ ยังไม่ทันจะจัดกระโปรงก็ได้ยินเสียงคนเป่าปากมาราวกับนกขมิ้นดังมาจากบนบันไดที่ห่างออกไปไม่ไกลว่า “เอ๋ น้องหญิงสามเจ้ายังพาแขกมาด้วยหรือ ท่านนี้ใช่คุณหนูตระกูลซ่งไหม?”


 


ซ่งไจ้สุ่ยมองไปทางเสียง แล้วจึงเห็นว่าบนบันไดมีคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้ที่ถูกสาวใช้ล้อมอยู่ตรงกลางคือสตรีอายุน้อยที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีอ่อนลายดอกไม้ ด้านบนสวมเสื้อหรูทรงแขนกว้างที่ปกเสื้อซ้อนปิดทับกันลายดอกบัวสีฟ้าอ่อนเอาไว้ ในจวนมีวันเกิดคนยังแต่งตัวเรียบอย่างนี้ จะต้องเป็นเจ้างานในวันนี้แน่ ซึ่งก็คือเว่ยฉางเสียนที่ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่


 


เว่ยฉางอิ๋งคารวะสตรีอายุน้อยคนนั้นแล้วกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “พี่หญิงรองสบายดีไหม นี่ก็คือท่านพี่จากตระกูลซ่งจริงๆ”


 


“ข้าสบายดี” เว่ยฉางเสียนยิ้มบางๆ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา มันแฝงไปด้วยมารยาทและความเรียบเฉย แววตามองไปที่ร่างของซ่งไจ้สุ่ยแล้วยกแขนเสื้อขึ้นน้อยๆ มาปิดที่ปากพลางกล่าวว่า “ข้าก็ว่า ดูรูปโฉมและกิริยาท่าทาง ล้วนแต่ต่างไปจากหญิงตระกูลสูงทั่วๆ ไป บุคลิกดีสง่ามาก…หลายวันก่อนก็ได้ยินว่าตอนนี้คุณหนูซ่งอยู่ที่จวนของท่านปู่รองระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่าข้าเป็นผู้ไม่มงคล ไม่กล้าส่งบัตรเชิญให้กับคุณหนูซ่งผู้สูงศักดิ์ง่ายๆ อย่างนี้ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูซ่งกลับมาด้วยตนเอง ช่างทำให้ข้าทั้งประหลาดใจและรู้สึกผิดจริงๆ”


 


พูดแล้วก็จะคารวะขอโทษให้กับซ่งไจ้สุ่ย


 


ซ่งไจ้สุ่ยรีบห้ามเอาไว้แล้วกล่าวว่า “คุณหนูรองเว่ยพูดอะไรอย่างนั้นกัน พี่สาวไม่รังเกียจข้าที่มาเอง ข้าก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสามีท่านเสียสละชีพเพื่อชาติ เป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญ แม้ว่าไจ้สุ่ยจะแค่ได้ยินมา แต่ว่าก็รู้สึกเคารพอย่างลึกซึ้ง! พี่สาวไว้ทุกข์ให้สามี มีจิตใจบริสุทธิ์ ยิ่งเป็นแบบอย่างให้กับสตรีแต่งงานแล้ว แล้วจะกล่าวว่า ‘ไม่เป็นมงคล’ ได้อย่างไร?”


 


นางกล่าวไปก็สังเกตคุณหนูรองเว่ยคนนี้อย่างละเอียดไปด้วย แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะได้รับอิทธิพลมาจากน้องสาวอย่างเว่ยฉางอิ๋งที่ต้องเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนและไม่มีความรู้สึกดีๆ กับเว่ยฉางเสียน แต่ก็ยังอดที่จะเสียดายไม่ได้ เว่ยฉางเสียนดูไปแล้วมีอายุอย่างมากก็แค่ประมาณยี่สิบเท่านั้น  นางมีใบหน้าขาวกลมดั่งพระจันทร์เต็มดวง คิ้วทั้งสองเรียวยาว ดวงตาประหนึ่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วง[1] ปากแดงเรื่อจมูกงดงาม  รูปร่างท้วมสมบูรณ์ แต่ไม่ได้ดูมากเกินไป กลับดูมีน้ำมีนวลมาก


 


เพราะไว้ทุกข์นางจึงไม่ได้ทาเล็บ ภายใต้ทางเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ แม้ว่าสาวใช้จะยกน้ำเย็นมา แต่ว่าปลายจมูกก็ยังมีเหงื่อซึมออกมาน้อยๆ ยิ่งทำให้ผิวดูขาวเนียนละเอียดมากขึ้น ผมสีดำสนิทม้วนเป็นทรงมวยผมแบบกระดูกสันหลัง[2]เอาไว้อย่างง่ายๆ เสียบปิ่นที่ไร้ลวดลายเอาไว้สองอันเท่านั้น ดูแล้วเป็นผู้สบายๆ ใจกว้างมาก ทั้งยังงามสง่าใจกว้าง ไม่คล้ายกับสตรีในเรือนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างที่ซ่งไจ้สุ่ยจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้เลยสักนิด นางไม่ได้ดูผิดแบบไปจากหญิงตระกูลสูงเลย…เมื่อคิดว่านางถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ อายุยังน้อยเพียงนี้กลับต้องไว้ทุกข์ให้สามีแล้ว และยังต้องดำเนินชีวิตไปเพียงลำพังกับชีวิตที่ยังเหลืออยู่อีกหลายสิบปี ซ่งไจ้สุ่ยยังรู้สึกชะตาชีวิตของคุณหนูรองเว่ยนั้นช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค


 


ได้ยินคำของซ่งไจ้สุ่ย แววตาของเว่ยฉางเสียนก็พลันมีแววเศร้าขึ้นมา ดวงตาแดงระเรื่ออย่างอดไม่ได้แล้วกล่าวเสียงกล้ำกลืนว่า “คุณหนูซ่งพูดหนักไปแล้ว ข้าก็แค่คนที่สามีเสียไปคนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นแบบอย่างไปได้อย่างไร” หลิวหลี่เจ้าสละชีพเพื่อชาติ แม้ว่าเว่ยฉางเสียนจะเสียใจมาก แต่ก็ยังภาคภูมิใจ ดังนั้นวันนี้แม้ว่าจะเป็นวันเกิดของนาง แต่ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมานางก็ยังไม่รู้สึกว่าล่วงเกินนาง กลับกันนางยิ่งมีน้ำเสียงอ่อนลงแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้อากาศร้อน พวกเราไปพบท่านแม่ก่อนเถอะ”


 


เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่ซ่งไจ้สุ่ย ในใจก็คิดว่าข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ที่เจอคนพูดภาษาคนเจอผีพูดภาษาผีนั้นหากคิดจะหลอกล่อให้พี่หญิงรองดีใจก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ ประโยคเหล่านี้ยังดีว่าเพราะเว่ยฉางเสียนอยู่ทำให้ไม่ได้กล่าวออกมาอีก ไม่อย่างนั้นจะต้องทำให้นางโมโหมากอีกแน่นอน


 


ตลอดทางคิดว่าเว่ยฉางเสียนคงพยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง จึงไม่กล่าวอะไรออกมาอีก กระทั่งมาถึงเบื้องหน้าภรรยาของจิ้นผิงกงถึงได้เก็บอารมณ์และกล่าวแนะนำทั้งสองฝ่าย


 


แน่นอนว่าท่านป้าคนนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับเว่ยฉางอิ๋ง แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับได้พบกับนางหลิวคนน้องครั้งแรก ที่เรียกน้องว่านางหลิวคนน้องลับหลังก็เพราะว่านางคือซวี่เสียน[3] นางหลิวคนพี่ ภรรยาคนแรกของเว่ยเจิ้งหย่า ทายาทจิ้นผิงกงนั้นเสียไปเพราะป่วยตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน หลังจากที่เว่ยเจิ้งหย่าไว้ทุกข์ให้กับภรรยาหนึ่งปี เพราะฮูหยินจิ้นผิงกงเสียไป ส่วนบุตรสาวเว่ยฉางเสียนก็ยังอายุน้อยมาก ต้องการผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมาคอยเลี้ยงดู จึงได้สู่ขอน้องสาวนางหลิวคนพี่ต่อ


 


ดังนั้นแม้ว่านางหลิวคนน้องจะมีชื่อว่าเป็นมารดาของพวกเว่ยฉางเสียน แต่จริงๆ แล้วนางยังอายุไม่ถึงสามสิบเลย ดูแลตนเองอย่างดีทั้งยังมีหน้าตางดงาม ดูแล้วราวกับเป็นพี่สาวน้องสาวกับเว่ยฉางเสียนมากกว่า


 


ได้ยินว่าว่าที่ชายารัชทายาทมางานวันเกิดของเว่ยฉางเสียนเป็นเพื่อนน้องสาว แน่นอนว่านางหลิวคนน้องจึงเข้มงวดและเคารพมาก ทั้งยังกล่าวขอบคุณซ่งไจ้สุ่ยอย่างมีมารยาทมาก


 


ซ่งไจ้สุ่ยเชี่ยวชาญการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาตลอด แค่พูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกดีกับนางได้ และรู้สึกว่าราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางลมใบไม้ผลิ[4] แต่ละคนต่างก็ลอบคิดว่าเป็นผู้ที่ถูกคนของราชวงศ์จับจ้องมาแต่เล็ก ช่างเป็นผู้ที่มีใจกระจ่างใสตั้งแต่กำเนิดเสียจริง แต่ว่าได้พบหน้ากันครั้งแรกก็ทำให้คนทั้งห้องโถงต่างก็ไปไหนไม่ได้ กลมกลืนกับทุกคนราวกับรู้จักคบหากันมาหลายสิบปีเสียอย่างนั้น


 


มีซ่งไจ้สุ่ยคอยช่วยรับหน้าทุกคนให้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไปหลบอย่างเกียจคร้าน และเอาแต่เด็ดองุ่นในจานกิน ตอนกำลังกิน พวกเว่ยฉางเฟิงที่เข้ามาทางหน้าประตูก็มาคารวะนางหลิวคนน้อง


 


เดิมก็เป็นลูกหลานตระกูลเว่ย ที่รายงานก็เพียงแค่ทำไปตามมารยาทเท่านั้น แค่เรียกเข้ามาก็ได้แล้ว ทว่าวันนี้ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ด้วย แขกหญิงที่อายุน้อยทั้งยังมีหน้าตาดี และยังเป็นคนที่ถูกราชวงศ์กำหนดไว้แล้วอยู่ นางหลิวจึงอดจะลังเลไม่ได้ คิดแล้วจึงกล่าวว่า “ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อในตระกูล ทั้งยังอยู่ในเฟิ่งโจวอีก ไม่ได้ว่าจะไม่ได้พบกันมานานเมื่อไหร่ ทำไมต้องเกรงใจอย่างนั้นด้วย อากาศร้อน พวกเจ้ายังขี่ม้ากันมา เข้ามาพักก่อนเถอะ อย่าให้ไม่สบายไป”


 


แม้ว่าจะพูดไปอย่างนี้ แต่ว่าทุกคนก็ฟังออกว่าเป็นการเกรงกลัวที่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ด้วย จึงไม่อยากจะให้ผู้ชายคนอื่นได้มาเจอนางเข้า


 


เพื่อไม่ให้ซ่งไจ้สุ่ยต้องเก้อเขิน นางหลิวคนน้องกำลังคิดจะรีบเปลี่ยนหัวข้อไป คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางเสียนกลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ เดิมข้ายังว่าวันเกิดของข้าไม่ดี อากาศร้อนจัด ตอนถือกำเนิดมาก็ทำให้ท่านแม่แท้ๆ ต้องทุกข์ทรมาน หลังคลอดหนึ่งเดือนยิ่งลำบากมาก! แต่งงานไปไม่กี่ปีก็กลับมาอีก…ตอนนี้วันเกิดยังจะมีอะไรต้องฉลองกัน?”


 


………………………………………


 


[1] น้ำในฤดูใบไม้ร่วง : เปรียบเปรยดวงตาของสตรีว่ากระจ่างบริสุทธิ์


 


[2] มวยผมแบบกระดูกสันหลัง : มีลักษณะมวยมัดเป็นท่อนๆ คล้ายกระดูกสันหลัง นับว่าเป็นทรงผมที่เก่าแก่ของจีนทรงหนึ่ง ไล่มาตั้งแต่สมัยซ่างโจว สมัยฉินฮั่น  สมัยสุยถัง  สมัยซ่ง  สมัยเหวี่ยน  สมัยหมิง สมัยชิง เป็นต้น เพียงแต่มีการจัดแต่งทรงผมที่มีลักษณะความสูง ต่ำ เอนซ้ายขวา ไปทางข้างหน้าหรือข้างหลัง ต่างกันแค่นั้น


 


[3] ซวี่เสียน : ภรรยาที่แต่งเข้ามาหลังจากที่ภรรยาของผู้ชายเสีย


 


[4] นั่งท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ : ได้รับการสั่งสอนและได้รับการขัดเกลา


23.2 ตอนที่ 23 เว่ยฉางเสียน (2)

โดย

Xiaobei

“เจ้าเด็กนี่” สีหน้าของนางหลิวคนน้องมีประกายเก้อกระดาก รู้ว่าเมื่อครู่คำพูดของตนทำให้เว่ยฉางเสียนรู้สึกว่าไปกระทบกับวันเกิดนางเข้า ว่าเจอกับอากาศร้อน ราวกับไม่ชอบความยุ่งยาก จึงรีบกล่าวว่า “คนในครอบครัวรวมตัวกันเพื่อให้เจ้ามีความสุข เจ้าพูดอย่างนี้จะให้คุณหนูซ่งกับพี่สะใภ้เจ้ารวมถึงน้องสาวทั้งหลายคิดอย่างไร ยังคิดว่าเจ้าไม่อยากพบพวกเขาเสียอีก!”


นางหลิวคนน้องพูดไปยิ้มไปพยายามทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แม่นมคนสนิท นางเฉียวก็กล่าวว่า “ตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจวเป็นตระกูลมีชื่อในแผ่นดิน คุณหนูรองเป็นบุตรสาวคนเดียวของสายตระกูลคนโตเพียงคนเดียว เป็นไข่มุกบนฝ่ามือ หากว่าวันเกิดคุณหนูรองยังไม่ดี ในแผ่นดินนี้ยังจะมีสักกี่คนที่ดีล่ะ?”


แม่เลี้ยงกับแม่นมกล่าวมาอย่างนี้แล้ว เว่ยฉางเสียนยังคงมีท่าทีเรียบนิ่ง “ท่านแม่คิดมากไปแล้ว ข้าก็เพียงรู้สึกเสียใจเองเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่น”


นางหลิวคนน้องได้ยินก็กล่าวพลางถอนหายใจว่า “วันดีๆ ไม่ต้องคิดเรื่องน่าเสียใจพวกนั้นแล้ว” แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “รอให้ตระกูลหลิวส่งเด็กมาให้ เจ้าก็คอยสั่งสอนเขา ที่ว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดสู้บุญคุณที่เลี้ยงดูไม่ได้ ก็คือบุตรบุญธรรม เจ้าเลี้ยงดูเขาแต่เล็ก จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ เลย”


ซ่งไจ้สุ่ยตากระตุก ในใจก็คิดว่าเว่ยฉางเสียนคิดมากง่ายจริงๆ มีบุตรสาวบุญธรรมอย่างนี้ คิดว่าปกตินางหลิวคนน้องคงปวดหัวไม่น้อย ขนาดกับแม่บุญธรรมยังอย่างนี้ มิน่าเว่ยฉางอิ๋งถึงได้ไม่ชอบพี่สาวคนนี้ เดิมหลิวหลี่เจ้าเสียสละชีพเพื่อประเทศ เว่ยฉางอิ๋งยังชื่นชอบการต่อสู้อีก ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์พี่น้องกับเว่ยฉางเสียน แต่ก็ไม่ควรจะไม่ชอบใจภรรยาของเขาอย่างนี้


เพราะนางหลิวคนน้องพูดถึงเรื่องบุตรบุญธรรมขึ้นมา ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลหรืออารมณ์ อย่างไรเว่ยฉางอิ๋งก็ควรจะกล่าวถามบ้าง เว่ยฉางเสียนกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเองก็ยังไม่เคยเจอ เด็กน่ะหรือ…เห็นในจดหมายกล่าวว่าคล้ายหลี่เจ้าอยู่หลายส่วน”


“มีหน้าตาคล้ายกับพี่เขยรองหรือ?” บุตรบุญธรรมคนนี้ยังไม่ทันจะส่งมา เว่ยฉางเสียนยังชอบคิดมาก คำพูดอย่างนี้ตอบรับยากจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดคำพูดอย่างรวดเร็ว แล้วจึงกล่าวออกไปแกนๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็นับว่ามีชะตาต้องกับพี่หญิงรอง”


นางหลิวคนน้องเห็นเว่ยฉางเสียนหันหน้าหนีไม่กล่าวอะไร ก็ได้แต่กล่าวแทนนางอย่างจนใจว่า “เด็กคนนั้นเพิ่งครบหนึ่งเดือนเมื่อครึ่งเดือนก่อน อีกสองวันก็มาถึงแล้ว”


เว่ยฉางอิ๋งพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้แล้วกล่าวว่า “ท่านป้า ตอนนี้เด็กยังอยู่ที่ตงหูหรือ?”


“เด็กของตระกูลหลิวแน่นอนว่าต้องอยู่ที่ตงหู” นางหลิวคนน้องมองนางแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมฉางอิ๋งถามอย่างนี้หรือ?”


“ข้า…” คำมาถึงปากแต่เว่ยฉางอิ๋งกลับชะงักไป นางมองไปที่เว่ยฉางเสียนแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเพียงแต่คิดว่าอากาศร้อนอย่างนี้ เด็กออกเดินทางไกล…”


นางหลิวคนน้องรีบกล่าวว่า “เด็กคนนั้นร่างกายแข็งแรงดีมาก ตลอดทางยังมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดอีก อย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลหลิว จะให้เขาต้องลำบากหรือ?”


“ข้าพูดมากไปแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกได้ว่าตนเองข้ามเส้นไปแล้ว จึงรีบกล่าวขอโทษ


“กับป้ายังเกรงใจหรือ?” นางหลิวคนน้องยิ้มอย่างสง่าแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจไปประโยคหนึ่ง ซ่งไจ้สุ่ยเองก็แทรกเข้ามากล่าวเรื่องทั่วๆ ไป เว่ยฉางเสียนพลันกล่าวว่า “คิดถึงว่าพี่สะใภ้คงใกล้จะไปถึงเรือนข้าแล้ว ข้าพาคุณหนูซ่งกับฉางอิ๋งกลับไปก่อนดีไหม?”


บุตรบุญธรรมคนนี้คิดมากขนาดนี้ ทั้งยังเป็นบุตรสาวของภรรยาเก่า และยังกำลังไว้ทุกข์ให้สามีอีก จะปฏิบัติอย่างไม่ดีด้วยก็ไม่ได้ เมื่อครู่นางหลิวคนน้องถูกนางทำเสียจนแทบหาทางลงไม่ได้ต่อหน้าทุกคน ตอนนี้แทบอยากจะให้นางรีบๆ ไปจากสายตาเร็วๆ จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องอย่างเมื่อครู่อีก จึงรีบกล่าวว่า “พูดคุยกันจนลืมเวลา…พวกเจ้ายังอายุน้อย อยู่กับข้าตรงนี้คงอึดอัดแล้ว รีบไปเถอะ”


ทั้งยังยิ้มและกำชับซ่งไจ้สุ่ยที่เพิ่งมาคารวะเป็นครั้งแรกว่าไม่ต้องเกรงใจ


เมื่อกล่าวลากับนางหลิวคนน้องและเดินออกไปจากเรือนแล้ว เว่ยฉางเสียนก็กล่าวว่า “น้องหญิงสี่และน้องหญิงห้าไม่ได้มาด้วยกันหรือ?”


ในใจของเว่ยฉางอิ๋งคิด ‘เจ้าไม่มีทางไม่ถามเรื่องนี้จริงๆ’ นางแสร้างทำท่าทางถอนหายใจ “เช้าวันนี้อาสะใภ้สามไม่ค่อยสบายนัก น้องหญิงสี่กับน้องหญิงห้ากังวลใจ จึงอยู่ที่บ้านคอยปรนนิบัติดูแล และให้ข้านำของขวัญมาให้ พี่หญิงรองอย่าถือสาเลยนะ”


ได้ยินดังนั้นสีหน้าของเว่ยฉางเสียนก็เข้มขึ้น นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวฮึเสียงเบาพลางกล่าวว่า “งั้นหรือ กลับบังเอิญขนาดนี้เลย?”


“ใช่แล้ว บางทีอาจเพราะหลายวันนี้อากาศร้อน กลางคืนวางถังน้ำแข็งมากก็เป็นได้” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวราวกับเป็นเรื่องจริง


ซ่งไจ้สุ่ยเองก็กล่าวมาอย่างพอดีว่า “พี่หญิงรองไม่ต้องกังวล ฮูหยินเผยเพียงแค่ไม่สบายนิดหน่อยเท่านั้น คิดว่าพักสักวันสองวันก็คงจะดีขึ้นมาแล้ว”


แน่นอนว่าที่เว่ยฉางเสียนสนใจไม่ใช่ร่างกายของนางเผย แต่ว่าเป็นนางเผยกับเว่ยเกาเหมียน เว่ยฉางเยี่ยนแสดงออกว่าจงใจหลีกเลี่ยงนาง แต่ว่าตอนนี้ซ่งไจ้สุ่ยกลับกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นนุ่มนวลราวสตรีที่งดงามอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ยังกล่าวว่าเว่ยฉางเสียนคือ ‘แบบอย่างของสตรี’ อีก เว่ยฉางเสียนอย่างไรก็ไม่มีทางหน้าไม่อายได้อย่างเว่ยฉางอิ๋ง ที่ภายในระยะเวลาอันสั้นก็สามารถโยนหมวกทรงสูงลงไปเหยียบใต้เท้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นฐานะของซ่งไจ้สุ่ยยังพิเศษมากอีก ทั้งยังมาอวยพรวันเกิดที่บ้านเป็นวันแรกด้วย อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจอะไรอย่างที่ทำกับน้องสาวหรือแม่บุญธรรมได้ จึงได้แต่ต้องยอมรับฐานะของหญิงเปี่ยมคุณธรรมและเอาใจใส่ไป นางกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ว่า “เป็นอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ดี”


นางเองก็ไม่ได้โง่ ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าคำพูดของซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอะไรก็ดูเหมาะสม ตัวนางเองก็น่ามอง รู้สึกว่าน่าคบหา ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ว่าอย่างไรคุณหนูตระกูลซ่งคนนี้ก็เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่พามา เมื่อพบหน้าก็จัดการวางแผนนางก่อนแล้ว ในใจก็โมโหมาก สีหน้าเองก็มีความไม่พอใจขึ้นมาหลายส่วน เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยเองก็ไม่มีทางไปเอาใจนาง ในเมื่อพูดคุยกันไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดคุยกัน


เป็นอย่างนี้กระทั่งมาถึงเรือนของเว่ยฉางเสียน เพิ่งจะเข้าไปก็มีสาวใช้ในชุดเรียบง่ายคนหนึ่งมารายงาน กล่าวว่าเมื่อครู่คุณชายรองกินแกงเม็ดบัวเข้าไปแล้วอาเจียนออกมา ดังนั้นฮูหยินใหญ่ที่เดิมมาอวยพรวันเกิดนางและเป็นผู้จัดเตรียมงานเลี้ยงให้นางอย่างนางซูเพราะกังวลในตัวของบุตรชายคนรองคนนี้ จึงรีบร้อนกลับไปดู และทิ้งสาวใช้คนนี้ให้รับโทษ


“กุยเอ๋ออาเจียนหรือ เป็นอะไรมากไหม?” เว่ยฉางเสียนได้ยินก็พลันตกใจ สีหน้าที่ปั้นมาตลอดทางให้เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยดูก็พลันหายไป และถามขึ้นมาด้วยความกังวลทันที


คุณชายรองเว่ยซ่านกุยที่สาวใช้กล่าวถึง คือหลานชายคนที่สองจากภรรยาเอกของตวนจิ้นผิงกง เด็กคนนี้เพิ่งอายุได้สามปีเท่านั้น ได้ยินว่าเพราะหลังคลอดคนก่อนผ่านไปไม่นานฮูหยินซูก็ตั้งครรภ์เขาขึ้นมา ก่อนหน้านี้ตอนให้กำเนิดพี่ชาย คุณชายใหญ่เว่ยซ่านสื่อนั้นร่างกายเสียหายยังไม่ฟื้นฟู ดังนั้นบุตรคนที่สองเกิดมาจึงมีร่างกายไม่แข็งแรง เหมือนกันกับอาอย่างเว่ยเจิ้งหงที่ร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด


เพราะเหตุผลนี้ เว่ยซ่านกุยถือกำเนิดมาแล้วจึงกลายเป็นปมในใจของนางซูมาตลอด ยิ่งทำให้นางใส่ใจบุตรคนที่สองคนนี้มากกว่าบุตรชายคนโตมาก ได้ยินว่าเขาอาเจียนออกมาก็ใจร้อนดั่งไฟ รีบวางทุกอย่างแล้วกลับไปทันที แม้ว่าวันนี้จะต้องล่วงเกินน้องสามีก็ไม่สนแล้ว


ส่วนเว่ยฉางเสียนนั้น แม้ว่านางจะเป็นคนคิดมาก แต่ว่านางแต่งงานไปแล้วยังไม่ทันจะได้มีบุตรสามีก็มาตายจากไปก่อน ตอนนี้แม้ว่าจะขอบุตรชายบุญธรรมมาแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดแท้ๆ กลับเป็นเหล่าหลานชายแซ่เว่ยต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อตระกูลเดียวกับนาง นางเองก็ใส่ใจบุตรชายทั้งสองของเว่ยฉางซวี่มากมาโดยตลอด ตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์จะไปสนใจคิดมากกับการที่นางซูไม่สนใจและทิ้งงานวันเกิดของตนแล้ว แต่กลับกังวลใจขึ้นมาแทน


……………………………………………..


ตอนที่ 24 เว่ยฉางเอ๋อ

โดย

Xiaobei

หลานชายป่วย ในฐานะอาแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถจะสนใจแต่งานวันเกิดตนเองได้ เว่ยฉางเสียนถามสาวใช้ที่สนใจแต่คำของนางซูและรอตนเองอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่ได้ส่งคนไปถามสถานการณ์อย่างละเอียด จึงด่าทอสาวใช้ว่าโง่งมทันที เมื่อด่าบ่าวเสร็จ นางก็ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยพลางกล่าวว่า “กุยเอ๋อร์มีร่างกายอ่อนแอ ตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง บ่าวพวกนี้ก็ยังโง่อย่างนี้อีก ข้าไม่วางใจอยากจะไปดูที่เรือนของพี่สะใภ้เสียหน่อย ฉางอิ๋งเจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูซ่งที่นี่ก่อนเถอะ”


พร้อมกล่าวกับซ่งไจ้สุ่ยอย่างสุภาพว่าต้อนรับไม่ดีแล้ว


แต่ว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับกล่าวว่า “พวกเราไปดูกุยเอ๋อร์ด้วยกันเถอะ”


“ก็ดี” เดิมเว่ยฉางเสียนคิดถึงฐานะพิเศษของซ่งไจ้สุ่ย ไม่สามารถฝืนให้นางไปดูเว่ยซ่านกุยได้ ถึงได้เอ่ยปากว่าให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่เป็นเพื่อนนาง แต่ตอนนี้ในเมื่อซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้คัดค้านอะไร แม้ว่าเว่ยซ่านกุยจะเป็นเด็กชาย แต่ตอนนี้อายุยังน้อยมากจึงไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง จึงไม่คิดมากเรื่องที่ทั้งสองคนจะไปด้วย


ทั้งสามถูกบ่าวใช้ห้อมล้อมไปยังเรือนของนางซูและเว่ยฉางซวี่อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว นางซูที่ได้รับรายงานก็รีบร้อนเข้ามาต้อนรับทันที


นางซูมีใบหน้าผอม หน้าตาธรรมดา ตอนนี้เพราะกังวลในตัวของบุตรคนที่สองเว่ยซ่านกุย คิ้วเรียวราวกิ่งเหมยทั้งสองจึงขมวดเข้าด้วยกัน และท่าทีทุกข์ระทมยากจะบรรยาย ยิ่งทำให้แทบจะไร้สีหน้า ทว่าท่าทางและการพูดของนางกลับสง่ามาก อย่างไรก็เป็นหญิงจากตระกูลซูของชิงโจว เป็นตระกูลมีชื่อพอๆ กับตระกูลเว่ยและตระกูลซ่ง


พูดไปแล้วนางซูคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นพี่สะใภ้คนโตของเว่ยฉางอิ๋งเท่านั้น ยังมีความสัมพันธ์อีกอย่างที่สำคัญด้วย นางคือฮูหยินซู ซึ่งก็คือหลานคนหนึ่งของว่าที่แม่สามีเว่ยฉางอิ๋งด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่สาขาเดียวกัน แต่ว่าก็แต่งงานมาจากเมืองหลวง เพราะสาเหตุนี้เอง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งจึงกำชับเว่ยฉางอิ๋งว่าต่อหน้าพี่สะใภ้คนนี้จะต้องทำกิริยามารยาทเรียบร้อยหน่อย เพื่อไม่ให้ข่าวลือไม่น่าฟังลือไปถึงเมืองหลวง ทำให้ฮูหยินซูรู้สึกรังเกียจสะใภ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เจอกัน


แต่ว่านางซูเองก็ไม่ใช่พี่สะใภ้ที่ปรนนิบัติยากนัก โดยเฉพาะเมื่อนำมาเทียบกับเว่ยฉางเสียนแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังมีความทรงจำที่ดีกับพี่สะใภ้คนนี้มากกว่าเว่ยฉางเสียนมาก จึงฟังคำกำชับของท่านแม่และท่านย่าเข้าหู นางเคารพนางซูมาตลอด ทั้งสองฝ่ายรีบร้อนทักทายกันแล้ว เว่ยฉางเสียนก็ถามอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ กุยเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอะไรไปหรือ?”


“เมื่อครู่หมอมาฝังเข็มแล้ว ดีขึ้นมาแล้ว” นางซูรู้สาเหตุที่น้องสาวของสามีมา จึงฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “พูดไปแล้วเพราะแม่นมไม่ระวัง เมื่อคืนให้นางเล่นน้ำแข็งไปครู่หนึ่ง ผลคือทำให้ความเย็นแทรก วันนี้กินอะไรก็ออกมาหมด”


“กุยเอ๋อร์มีร่างกายอ่อนแอมาตลอด จะเล่นน้ำแข็งได้อย่างไร?” เว่ยฉางเสียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “แม่นมคนนี้ก็โง่เกินไปแล้ว!”


นางซูเห็นซ่งไจ้สุ่ยที่ไม่คุ้นตานานแล้ว แต่ว่ากลับถูกเว่ยฉางเสียนถามจนไม่มีช่องว่างให้ ตอนนี้จึงได้กล่าวว่า “ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้…คุณหนูคนนี้ไม่คุ้นตา เมื่อครู่ข้ากลับมาเหมือนจะได้ยินมาว่าวันนี้คุณหนูตระกูลซ่งมาอวยพรวันเกิดให้น้องรองด้วยตนเองหรือ?”


แน่นอนว่าซ่งไจ้สุ่ยก็กล่าวกับนางด้วยท่าทีที่ทั้งอ่อนโยนและถ่อมตน สำหรับการมาของซ่งไจ้สุ่ย นางซูกับนางหลิวคนน้องต่างก็แสดงท่าทีระวังและเกรงใจมาก แน่นอนว่าความระวังนี้ก็แฝงไปด้วยท่าทีของตระกูลสูงศักดิ์ อย่างไรก็ไม่ทำให้คนดูขัดตา


ทักทายกันระยะหนึ่งแล้ว นางซูก็เชิญทุกคนเข้าไปนั่งในห้อง


ด้านในคือที่อยู่ของเว่ยซ่านกุย ทุกคนต่างก็ผลักประตูเข้าไป แหวกม่านกันลมออก ก็เห็นเบาะที่พิงอยู่ริมกระจก เด็กชายตัวน้อยกำลังมองมาด้วยดวงตาสีดำสนิทอย่างแปลกใจและสงบเงียบ เด็กชายคนนี้แน่นอนว่าคือเว่ยซ่านกุยนั่นเอง ปีนี้เขาอายุสามปีแล้ว เขามีหน้าตางดงาม อยู่อย่างสุขสบาย ดูไปแล้วกลับไม่ได้ต่างไปจากเด็กอายุสองปีเลย ช่างทำให้คนเป็นห่วงเขาเสียจริง วันนี้เพิ่งจะอาเจียนออกมา ยิ่งทำให้ใบหน้าน้อยๆ ซีดไร้สีเลือด ดูร่างกายอ่อนแอ ท่าทางไร้เรี่ยวแรง จนทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดูสงสาร


ริมเบาะนอกจากสาวใช้ที่ทำงานอย่างหวาดกลัวแล้ว ก็ยังมีเด็กชายในชุดไหมนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างกายเว่ยซ่านกุยเงียบๆ อีกคน นี่ก็คือพี่ชายของเว่ยซ่านกุย เว่ยซ่านสื่อที่อายุได้สี่ปี ยังดีว่าเขาเป็นเด็กที่หน้าตาดีและร่างกายแข็งแรง ไม่อย่างนั้นนางซูคงได้กังวลใจแย่แน่


พี่น้องทั้งสองต่างก็รู้จักท่านอาทั้งสองอย่างเว่ยฉางเสียนและเว่ยฉางอิ๋ง มีเพียงซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้นที่แปลกหน้า นางซูแนะนำแล้ว เว่ยซ่านสื่อก็รีบจัดชุดแล้วเข้ามาคารวะอย่างจริงจัง เว่ยซ่านกุยร่างกายอ่อนแอยังลุกจากเบาะไม่ได้ จึงนอนบนเบาะและกล่าวคารวะด้วยน้ำเสียงเด็ก


แน่นอนว่าซ่งไจ้สุ่ยรีบไปประคองทันที เพราะมาอย่างรีบร้อน จึงไม่ได้คิดว่าจะต้องนำของขวัญมาให้เด็กทั้งหลาย ยังดีว่านางไม่ใช่หญิงงามที่แต่งตัวเรียบง่าย บนร่างนางมีเครื่องประดับอยู่ไม่น้อย ตอนนี้จึงถอดออกมาสองอันแล้วให้พวกเขา เด็กทั้งสองมองไปที่นางซู เมื่อเห็นนางซูกับซ่งไจ้สุ่ยกล่าวไปมากันอยู่ระยะหนึ่งแล้ว ถึงได้รับมาและกล่าวขอบคุณซ่งไจ้สุ่ย


จากนั้น เว่ยซ่านสื่อก็ถอยไปข้างเตียงของเว่ยซ่านกุย และอยู่เป็นเพื่อนน้องชายเงียบๆ


พี่น้องตัวน้อยทั้งเป็นมิตรและเงียบสงบทำให้คนชอบใจมาก ซ่งไจ้สุ่ยอดไม่ได้และชมเขาพวกเขาว่าเป็นเด็กที่รู้ความ เว่ยซ่านสื่อที่เพิ่งนั่งลงได้ยินก็รีบลุกขึ้นคารวะขอบคุณอีกครั้ง เด็กเล็กๆ ที่มีท่าทีเงียบขรึม ทำอะไรระวังราวกับผู้ใหญ่ช่างน่าสนใจมาก คำตอบของเขาเองก็ดูดีมาก เขากล่าวเสียงดังกังวานว่า “ท่านอาซ่งชมเกินไปแล้ว น้องชายอายุน้อย ข้าแทบอยากจะเป็นแทนเขา…”


“เจ้าพูดเหลวไหลอีกแล้ว” นางซูรีบตัดบทเขาแล้วกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “หากจะแทนที่กุยเอ๋อร์ก็ต้องเป็นแม่เอง เจ้าเองก็ยังเล็กอยู่”


“พี่ชายรักใคร่น้องชาย น้องชายเคารพพี่ชาย พี่น้องรักใคร่กันก็คืออย่างนี้เอง” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเสียงนุ่มว่า “นี่ก็เพราะว่าพี่สะใภ้ซูกับพี่ชายใหญ่เว่ยใจกว้าง ตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจวอย่างไรก็เป็นตระกูลมีชื่อ บุตรหลานต่างก็ไม่ธรรมดา”


ตระกูลเว่ยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น บรรพบุรุษหลายคนต่างเน้นพิธีการมารยาท ลูกหลานแน่นอนว่าต่างก็ต้องชอบฟังคำอย่างนี้ นางซูกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานเป็นตระกูลมีชื่อของแผ่นดิน น้องซ่งถูกเบื้องบนมองมาตั้งแต่ยังเล็ก เห็นได้ถึงคุณธรรมของตระกูลซ่ง บุตรชายได้คำชมจากน้องซ่ง ช่างเป็นวาสนาของพวกเขา”


เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเสียงดังในใจ แล้วนางก็เห็นใบหน้าที่นุ่มนวลเป็นมิตรมาตลอดของซ่งไจ้สุ่ยแข็งขืนขึ้นมา ผ่านไปชั่วอึดใจถึงได้กลับมาดังเดิม นางฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ซูกล่าวเกินไปแล้ว” นางเกรงว่านางซูจะเหมือนกับแม่นมเฮ่อก่อนหน้านี้ที่เคารพนางราวกับกำลังเคารพมารดาแผ่นดิน จึงรีบกล่าวว่า “คุณชายน้อยตอนนี้ต้องพักเงียบๆ พวกเรามาอยู่ที่นี่เกรงว่าจะรบกวนพวกเขา รบกวนเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว…”


นางซูรีบกล่าวว่า “วันนี้คือวันเกิดของน้องรอง ตามหลักแล้วข้าควรจะช่วยทางฝั่งน้องรอง แต่กลับเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ต้องรบกวนให้ทั้งสองมาที่นี่ รบกวนที่ไหนกัน เป็นพี่สะใภ้ต่างหากที่ต้อนรับพวกเจ้าไม่ดี”


ทั้งยังขอโทษเว่ยฉางเสียนโดยเฉพาะอีก เว่ยฉางเสียนเองก็ใจกว้างสักครั้งเพราะหลานชาย จึงไม่ได้คิดมากกับพี่สะใภ้ ทั้งหมดกล่าวกันอีกไม่นาน เพราะแม้ว่าเว่ยซ่านกุยจะไม่ได้อาเจียนตอนนี้ แต่กลับดูอ่อนแรงมาก เดิมที่เว่ยซ่านกุยอาเจียนครั้งนี้ก็เพราะแม่นมไม่ระวังทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นแม้ว่าจะมีบ่าวไพร่ แต่ว่านางซูก็ไม่วางใจที่จะจากไปเพื่อจัดการงานเลี้ยงของน้องสามี ต้องเห็นว่าเว่ยซ่านกุยหายดีแล้วก่อน จึงได้แต่ต้องกล่าวคำนิ่มนวลกับเว่ยฉางเสียน


เว่ยฉางเสียนได้ยินก็กล่าวว่า “เดิมข้าก็ไม่ได้มีอะไรต้องจัดการ ทุกปีพวกท่านต่างก็ส่งบัตรเชิญไป วันนี้กุยเอ๋อร์ไม่ดีนัก ข้าเองก็ไม่อยากจะกินของงานเลี้ยงอะไร…”


นางซูรีบตัดบทคำพูดนางแล้วกล่าว “น้องหญิงรองกล่าวอย่างนี้คือกำลังโทษพี่สะใภ้แล้ว!” แม้ว่านางจะกังวลร่างกายของบุตรชายคนรอง แต่ได้ยินคำกล่าวนี้ก็ยังรู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ ต้องรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยที่รับบัตรเชิญมาต่างก็อยู่ เว่ยฉางเสียนกล่าวอย่างนี้คือกำลังไม่ชอบใจที่พวกนางมาอวยพรหรือ


นางซูลอบถอนหายใจนิสัยของน้องสามียิ่งประหลาดมากขึ้น กำลังคิดจะกล่าวประนีประนอมให้นาง เหตุผลเปลี่ยนหัวข้อเรื่องก็มาถึงพอดี มีสาวใช้เข้ามารายงาน กล่าวว่าคุณหนูหกเว่ยฉางเอ๋อมาถึงแล้ว ไปคารวะที่นางหลิวคนน้องก่อน คิดไม่ถึงว่าทุกคนที่ไปเรือนของเว่ยฉางเสียนเมื่อรู้เรื่องต่างก็ทยอยพากันมาเยี่ยมเว่ยซ่านกุย


ดังนั้นนางซูจึงกล่าวว่า “น้องหญิงหกมาแล้ว! ข้าจำได้ว่าไม่ได้เห็นนางมาสองเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้นางสูงขึ้นเท่าไหร่?”


คุณหนูหกเว่ยฉางเอ๋อตอนนี้เพิ่งจะมีอายุสิบสามปี เป็นช่วงที่กำลังยืดตัว หนึ่งเดือนสองเดือนก็เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นนางซูจึงกล่าวอย่างนี้


เว่ยโจ่งปู่ของเว่ยฉางเอ๋อคือบุตรชายคนที่สามของหัวหน้าตระกูลผู้เฒ่าและเป็นสาขาสายที่ความสามารถอ่อนแอที่สุด กระทั่งบุตรชายยังต้องรับจากเว่ยฮ่วนไป แต่ว่าเว่ยฉางเอ๋อนั้นในบรรดาคนรุ่นเดียวกันแล้วเป็นที่รักมาก นี่ก็มีเหตุผล นางสวมเสื้อหรูปกทับกันลายปักองุ่นสีแดง และสวมกระโปรงไหมทรงบัวสีชมพู ม้วนจุกสองจุกเอาไว้ นางเดินเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ บรรยากาศทั้งห้องพลันสบายขึ้นหลายส่วน


ไม่ได้หมายความว่าเด็กหญิงงดงามมากมาย จริงๆ แล้วเว่ยฉางเอ๋อมีหน้าตาเกลี้ยงเกลาเข้ารูป อย่าว่าแต่เอาไปเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งที่ทุกรอยยิ้มท่าทางเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาราวกับดวงตะวันเลย กระทั่งเว่ยฉางเสียนนางยังสู้ไม่ได้ แต่ว่าเด็กสาวคนนี้กลับมีหน้าตาที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ช่างสบายใจ ไม่ได้น่าตื่นตะลึงไม่ได้มีเสน่ห์ ไม่ได้น่าดึงดูดไม่ได้เหมือนคนทั่วไป แต่ว่ากลับน่ารักอย่างบอกไม่ถูก


นางยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่แก้มทั้งสองมีลักยิ้มลึกคู่หนึ่ง นางคารวะให้ทุกคนก่อนแล้วจึงกล่าวทักทายเว่ยซ่านสื่อตัวน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “วันนี้ข้ามาสายแล้ว คิดว่าคงเป็นคนสุดท้ายแล้ว คิดไม่ถึงว่าที่เรือนพี่หญิงรองกลับเงียบสงบมาก ยังคิดว่าพี่หญิงรองเองก็นอนดึก ยังลอบดีใจอยู่ กลับได้ยินคนว่ามาที่เรือนพี่สะใภ้ใหญ่ที่นี่”


จากนั้นก็ถามไถ่อาการของเว่ยซ่านกุย


นางซูกล่าวเรื่องก่อนหน้านี้ใหม่อีกรอบแล้วกล่าวแนะนำซ่งไจ้สุ่ย


“ข้าได้ยินแล้วว่าท่านพี่คนสนิทของพี่หญิงสามคือว่าที่ชายารัชทายาท” เดิมซ่งไจ้สุ่ยยังมองไปที่เว่ยฉางเอ๋อด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรและสง่างาม พอได้ยินนางกล่าวมาอย่างนี้ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา! เพียงแต่ว่าในเรือนนี้นอกจากเว่ยฉางอิ๋งแล้วไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่ซ่งไจ้สุ่ยเกลียดที่สุดก็คือการได้ยินคำอย่างนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าในเมื่อซ่งไจ้สุ่ยคือว่าที่ชายารัชทายาท ฐานะเป็นเกียรติอย่างนี้ ไม่ว่าจะเคารพอย่างจริงใจหรือเป็นไปตามมารยาทก็ควรจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นการให้เกียรติ เว่ยฉางเอ๋อเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เดิมข้ายังคิดว่าข้าอยู่ที่เฟิ่งโจว ทั้งชีวิตนี้เกรงว่าคงยากจะมีโอกาสได้ไปที่เมืองหลวง ต่อให้ไปก็ไม่มีทางมีวาสนาได้พบชายารัชทายาท เกรงว่าคงไม่มีทางได้รู้เลยว่ามารดาของแผ่นดินเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับได้มาพบที่พี่หญิงรองนี่”


หากถามใจดูแล้วคำกล่าวเหล่านี้ไม่ได้เกินเลยไปเลย ทั้งยังพูดได้อย่างน่ารักและไม่เสียมารยาทอีก ช่างเป็นหญิงตระกูลเว่ยที่มารยาทโดยแท้


เพียงแต่ว่า…


ซ่งไจ้สุ่ยจีบฝ่ามือไปครู่หนึ่ง แล้วจึงแสดงท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวานสง่างามออกมาพลางยิ้มแล้วกล่าวอย่างเกรงใจว่า “คุณหนูหกกล่าวเกินไปแล้ว” กล่าวรับไปแกนๆ อย่างนี้ แล้วนางก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “วันนี้ข้าตามฉางอิ๋งมารบกวนแล้ว ชายารัชทายาทอะไร พี่สะใภ้กับพี่น้องทั้งหลายหากว่าไม่เป็นการละเมิด เรียกข้าว่าไจ้สุ่ยหรือท่านพี่ซ่งก็ได้แล้ว หากว่ายังกล่าวถึงชายารัชทายาทอะไรอีก ข้าคงต้องคิดว่าทุกคนรังเกียจข้าแล้ว!”


พวกนางซูต่างก็เป็นคนฉลาด แม้ว่าจะประหลาดใจว่าทำไมซ่งไจ้สุ่ยถึงไม่ชอบฟังคำว่า ‘ชายารัชทายาท’ ประเภทนี้ แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้ว พวกนางเองก็รู้กาลเทศะ จึงไม่ไปพูดถึงชายารัชทายาท มารดาแห่งแผ่นดินประเภทนี้ไปแทงหัวใจของซ่งไจ้สุ่ยอีก


สังเกตจุดนี้ได้ ซ่งไจ้สุ่ยถึงได้ถอนหายใจออกมา ในใจก็อดที่จะถลึงตาอย่างโมโหไปให้เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ หากว่าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ไม่เข้าท่าลากตนเองมา นางก็ไม่ต้องมาทรมานอย่างนี้!


เว่ยฉางอิ๋งกลับซุกซนมาก ไม่ได้กลัวการถลึงตาของนางเลย กลับมองมาที่นางอย่างหยอกเย้า เห็นได้ชัดว่ากำลังมีความสุขที่ผู้ที่ผู้ใหญ่มากมายต่างก็คิดว่าคือ ‘ลักษณ์ของหญิงตระกูลสูง’ ที่สมบูรณ์แบบ ยากจะเล่นละครต่อไปไม่ได้…


………………………………………..


ตอนที่ 25 ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ (1)

โดย

Xiaobei

เว่ยซ่านกุยป่วยอย่างนี้ งานเลี้ยงวันเกิดของเว่ยฉางเสียนแน่นอนว่าจบไปอย่างง่ายๆ


บอกลาออกมาจากจวนจิ้นผิงกงแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยก็จัดการเว่ยฉิงอิ๋งบนรถม้ายกหนึ่ง บีบจนทำให้เว่ยฉางอิ๋งที่รู้ดีว่าตนผิดได้แต่ต้องขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังใช้คำหวานตลอดทาง สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยถึงได้คลายลง


กลับไปที่บ้าน ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนก่อน เพิ่งจะก้าวเข้าประตูไปก็พบว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกำลังมีท่าทีมีความสุข ราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ เสมือนกำลังฟังเรื่องที่น่ายินดีอะไร เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ยิ่งลึกขึ้น ไม่รอให้ทั้งสองคารวะ ก็รีบกวักมือเรียก “ไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามาเร็ว!”


ทั้งสองไปนั่งลงข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัย “ท่านย่าวันนี้เหมือนจะมีความสุขมาก?”


“เจ้ามาดูนี่” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหยิบเอากล่องไม้จันทร์แดงกล่องหนึ่งออกมาจากเตียงด้านหลังอย่างระมัดระวัง กล่องนี้มีขนาดประมาณหนึ่งฉื่อ ตัวกล่องสลักไว้เป็นรูปดอกบัวและนกปี่อี้[1]เอาไว้ ด้านข้างมีดอกมู่ตันพันเลื้อยไว้ มุมทั้งสี่ด้านหุ้มด้วยทองเปลว บนทองเปลวยังมีไข่มุกที่เปล่งแสงแวววาวเม็ดหนึ่งสลักไว้อีก ใช้ใจขนาดนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่านำมาใช้เก็บของล้ำค่า


ทรัพย์สมบัติของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่วางไว้ในที่เด่นนั้นเว่ยฉางอิ๋งล้วนแต่รู้จักดีมาก แต่ว่าเจ้ากล่องนี่กลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตอนนี้จึงมองอย่างอยากรู้มาก “คืออะไรหรือ?”


ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตอบ นางก็รีบยื่นมือไปเปิดกล่องออกอย่างเร็ว กล่องเพิ่งจะเปิดออก แสงสว่างสายหนึ่งก็พุ่งออกมา จนทำให้ทั้งห้องสว่างไสว!


ภายในกล่องที่บุไปด้วยไหมนั้น มีปิ่นลายนกปี่อี้สีแดงสดงดงามราวกับสีเลือดคล้ายกับจะกลั่นเป็นหยดลงมาทำรังอยู่บนต้นเหลียนหลี่จือ[2]คู่หนึ่ง


ปิ่นคู่นี้กลับเป็นชิ้นเดียวกัน สร้างและสลักขึ้นมาจากหยกสีเลือดทั้งชิ้น ด้านบนเป็นนกปี่อี้ ด้านล่างเป็นต้นเหลียนหลี่จือ ขนนกเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กิ่งไม้ราวกับมีชีวิต แค่งานฝีมือนี้ก็หาได้ยากมากแล้ว!


เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยต่างก็เป็นสตรีที่ถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ของแผ่นดิน ตั้งแต่เล็กเห็นของล้ำค่ามากมายจนเคยชิ้น ตอนนี้ยังต้องชื่นชมปิ่นคู่นี้กันไม่หยุดปาก!


แล้วก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ปิ่นคู่นี้ เป็นงานฝีมือของแซ่เย่ ชื่อเย่จูฝู พวกเจ้าดูที่ปลายปิ่น เห็นไหมว่ามีอักษร ‘ฝู’ ตัวเล็กมากสลักเอาไว้ด้วย นั่นก็คือสัญลักษณ์ของเย่จูฝู”


พี่น้องทั้งสองรีบหยิบเอาอันหนึ่งมาดูตรงหน้าอย่างละเอียด สายตาของคนอายุน้อยยังดีอยู่ แล้วก็เห็นว่าที่ปลายปิ่นมีอักษรจ้วนโบราณขนาดประมาณเมล็ดงาตัวหนึ่งสลักไว้ว่า ‘ฝู’ ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างปประหลาดใจมากว่า “ข้าได้ยินท่านย่ากล่าวมาก่อนว่า ปิ่นและต่างหู ที่ออกมาจากตระกูลเย่ในแต่ละรุ่นนั้นดีที่สุดในแผ่นดิน แต่เหมือนว่าเย่จูฝู จะไม่ใช่คนในปัจจุบัน?”


“ไจ้สุ่ยความจำดีจริงๆ” วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอารมณ์ดีไม่เลว นางมองไปยังหลานสาวด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวชมว่า “เย่จูฝูเป็นคนสมัยเซวียนจง ปีที่เขาจากไปนั้นห่างกับปัจจุบันแปดสิบกว่าปีได้ ตลอดชีวิตทำเครื่องประดับไว้มาก แต่ว่าที่ภาคภูมิใจที่สุด อย่างไรก็ต้องนับปิ่นหยกคู่นี้!”


ระหว่างที่พูดฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็รับเอาปิ่นอันนั้นมาจากมือของเว่ยฉิงอิ๋งแล้วกล่าวกำชับว่า “เจ้าระวังหน่อย…ปิ่นหยกตอนที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมีราคามากถึงทองหมื่นชั่ง ตอนนี้เกรงว่ามีแต่จะยิ่งมีราคายิ่งขึ้น แม้ว่าตระกูลซูแห่งชิงโจวจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา แต่ก็นับว่าเป็นของที่มีค่าสูงที่สุดในบรรดาของเผยเจี้ยของซูซิ่วมั่นในตอนนั้นแล้ว!”


“ของเผยเจี้ยของฮูหยินซูหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตกใจไป ยังดีว่าปิ่นที่นางหยิบไว้นั้นถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเอาคืนไปแล้วถึงได้ไม่เกิดเรื่อง กระทั่งซ่งไจ้สุ่ยที่ละเอียดรอบคอบมาตลอดเมื่อได้ยินยังตกใจมากจนรีบเอาปิ่นวางกลับไปในกล่องอย่างเร็ว แม้ว่าทองหลายหมื่นชั่งจะมาก แต่ซ่งไจ้สุ่ยที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นว่าที่ฮองเฮากลับไม่ใช่ถึงขนาดต้องระมัดระวังขนาดนี้ แต่ว่านี่คือของเผยเจี้ยของว่าที่แม่สามีเว่ยฉางอิ๋ง ตอนนี้นำมาให้เว่ยฉางอิ๋ง ของสำคัญอย่างนี้ต่อให้เป็นของที่ไม่ได้มีราคาล้ำค่าอะไรแต่ก็ไม่กล้าทำเสียหายเด็ดขาด ระวังไว้หน่อยดีกว่า


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเก็บกล่องไปอย่างระมัดระวัง แล้วจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ เป็นบ่าวเผยเจี้ยของซูซิ่วมั่นที่นำมาส่งมอบให้ด้วยตนเอง”


มิน่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถึงได้อารมณ์ดีอย่างนี้ ตอนนั้นเว่ยฉางอิ๋งถูกวางแผนร้ายไปรอบหนึ่ง นำแผนของนางที่คิดจะจัดการตีสามีให้หมอบไปบอกกับฮูหยินซูตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้แต่งเข้าไป ฮูหยินซูมีโทสะจึงจงใจไปสนิทสนมกับเว่ยหลิ่งเยวี่ย สตรีขึ้นชื่อในเรื่องศีลธรรมและความดีงามของเมืองหลวง หลานสาวภรรยาเอกของจิ้งเฉิงโหวต่อหน้าของอาแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋งตอนที่นางมาที่เรือน ทั้งยังนำสร้อยลูกปัดไม้กฤษณาที่ใส่ติดตัวมานานหลายปีให้กับเว่ยหลิ่งเยวี่ยต่อหน้าทุกคนด้วย


แม้ว่าฮูหยินซูจะไม่สามารถข้ามหน้าเสิ่นเซวียนแล้วเปลี่ยนลูกสะใภ้ได้ แต่ว่าการที่เว่ยหลิ่งเยวี่ยซึ่งมีศักดิ์ฐานะรุ่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋งในตระกูลเดียวกันได้รับสร้อยลูกปัดไม้กฤษณาที่ฮูหยินซูใส่มานานหลายปีไป ทั้งยังเป็นต่อหน้าเว่ยเจิ้งอิน อาแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋งอีก กลับกัน ฮูหยินซูกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นว่าที่ลูกสะใภ้…แล้วในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะไม่โมโหได้อย่างไร?


แต่ตอนนี้ฮูหยินซูชดเชยกลับมาให้กับว่าที่ลูกสะใภ้ ทั้งยังใจกว้างขนาดนี้อีก ของจากตระกูลขึ้นชื่ออย่างปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ที่มีชื่อเสียงในตระกูลต่างๆ อย่างมากแต่ว่านางก็ยังใจกว้างและเอาออกมา เทียบกันแล้ว สร้อยลูกปัดไม้กฤษณาที่ให้กับเว่ยหลิ่งเยวี่ยก็เป็นเครื่องประดับที่เอาไว้ใส่เล่นเท่านั้นเอง หากเทียบคุณค่าเทียบความหมายต่อฮูหยินซูจะสามารถเทียบเคียงกับปิ่นคู่นี้ได้หรือ


นี่คือของเผยเจี้ยที่ล้ำค่าที่สุดตอนที่ฮูหยินซูแต่งเข้ามาในตระกูลเสิ่นตอนนั้นเลย!


กระทั่งฮูหยินซูเองก็ยังเคยใส่มันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในงานพิธีใหญ่ตอนยังอายุน้อย ปกติแล้วล้วนแต่ไม่กล้าหยิบออกมา แต่กระนั้น ก็ยังทำให้เกิดความอิจฉาริษยากันมากในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวง กระทั่งหญิงสูงศักดิ์ในวังมากมายยังอิจฉา


เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันจะแต่งเข้าไปก็ได้รับของล้ำค่าขนาดนี้จากว่าที่แม่สามีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่กังวลเมื่อนางแต่งออกไปแล้วมาตลอดจะไม่รู้สึกยินดีและดีใจแทนหลานสาวจากในใจของนางได้หรือ


นอกจากนี้เพราะปิ่นคู่นี้มีชื่อเกินไป ล้ำค่าขนาดว่าในรุ่นผู้ที่อาวุโสกว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และเพราะภายหลังฮูหยินซูมีอายุมากขึ้นจึงเก็บเอาไว้และไม่ได้ใส่ออกมา รวมกับที่เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยล้วนแต่ไม่ได้เติบโตมาในเมืองหลวง ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ของอย่างนี้ตามหลักแล้วแม้จะให้กับสะใภ้แต่อย่างไรก็ต้องให้กับสะใภ้ใหญ่ และยังต้องเป็นตอนที่สะใภ้แต่งเข้าไปแล้วถึงได้ให้ด้วย เสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่บุตรชายคนโตและยังไม่ใช่บุตรคนที่สองด้วย! ตอนนี้ฮูหยินซูกลับให้ปิ่นคู่นี้มา…


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งฉลาดขนาดไหน นางคาดเดาได้ว่าที่เว่ยฉางอิ๋งได้รับปิ่นคู่นี้เป็นของชดเชย ไม่เพียงแต่จะเพราะเว่ยเจิ้งอินที่ไปอธิบายให้กับหลานสาวสำเร็จเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น บางที ผู้ที่ตัดสินใจให้เว่ยฉางอิ๋งได้รับปิ่นหยกคู่นี้มาอาจจะเป็นเสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นได้!


ฐานะของปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ในมือของฮูหยินซ่ง ในบรรดาสะใภ้ผู้ที่จะได้มันไป หากว่าไม่ใช่สะใภ้คนโตก็ต้องเป็นอนาคตนายหญิงของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง!


…………………………………..


[1] นกปี่อี้ : นกในตำนานมีตาเดียว ปีกเดียว นกปี่อี้จะอยู่กินกับตัวผู้หรือตัวเมียของตนเอง เวลาบินจะบินพร้อมกัน ใช้ปีกคนละข้าง เวลาหาอาหารจะช่วยกันมอง เพราะมีกันคนละตา นกปีอี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่สวยงามและเป็นนิรันดร์


[2] ต้นเหลียนหลี่จือ : ต้นไม้สองต้นที่แตกแยกออกมาจากตอเดียวกัน เปรียบเทียบได้ว่าเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันมาก


ตอนที่ 26.1 ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ (2)

โดย

Xiaobei

เห็นได้ชัดว่า ตระกูลเสิ่นได้เลือกกันภายในแล้วว่าให้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นผู้ดูแลหมิงเพ่ยถัง ดังนั้นในฐานะว่าที่ภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิง เว่ยฉางอิ๋งถึงได้มีโอกาสได้รับปิ่นหยกคู่นี้มา


ความสำเร็จของหลานเขยเป็นตัวตัดสินฐานะของหลานสาวในอนาคต แน่นอนว่ายิ่งรุ่งก็ยิ่งดี แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าหมิงเพ่ยถังจะต้องเป็นของเสิ่นจั้งเฟิง แต่ว่าอย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังอายุน้อย เสิ่นเซวียนก็มีบุตรชายไม่น้อยเลย เรื่องที่ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างไรก็ยังพูดไม่ได้ ตอนนี้ปิ่นคู่ที่ชื่อเสียงโด่งดังมาถึงที่บ้านตระกูลเว่ยแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงได้เป็นที่ยอมรับกันแล้ว หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดหมายอะไรก็ไม่มีทางสั่นคลอนแน่!


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตื่นเต้นดีใจแทนหลานสาวจริงๆ และกล่าวอธิบายกับพวกนางอย่างกระตือรือร้นว่า “อย่าเห็นว่าปิ่นอันนี้มาจากฝีมือของเย่จูฝูเลย ที่ล้ำค่าที่สุดยังไม่ใช่จุดนี้” นางกล่าวชี้แนะว่า “ที่ล้ำค่าที่สุดก็คือวัสดุ คนทั่วแผ่นดินต่างก็กล่าวกันว่าทองคำมีค่ามากส่วนหยกนั้นยากจะประเมินค่าได้ ในหยกเองก็มีระดับสูงต่ำ โดยเฉพาะหยกสีแดงเลือด!”


เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วกล่าวว่า “หยกเลือดหาได้ยากมาก หยก หยกอ่อนขาว หยกเหลืองและหยกม่วงที่ข้าเก็บเอาไว้ก็มีมาก แต่ว่ากลับไม่มีหยกแดงเลือดเลยสักชิ้น!”


“ข้ากลับเห็นครั้งหนึ่งที่ท่านย่า แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณเล็บนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น สลักเป็นรูปจักจั่น บางครั้งท่านย่าก็เอาออกมาคลำเล่น” ซ่งไจ้สุ่ยตาเป็นประกาย แล้วกล่าวอย่างน่ารักว่า “แต่ว่ากลับไม่ได้งดงามอย่างชิ้นนี้ สีของมันจะคล้ำกว่าหน่อย”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “หยกจักจั่นสีแดงเลือดชิ้นนั้นของย่าเจ้าข้าเองก็รู้ แต่ว่ากลับไม่เหมือนกับอันนี้ ต้องรู้ว่าหยกสีแดงเลือดนั้นมีสองประเภท หนึ่งคือเลือดแทรกซึมเข้าไปในหินหยก เมื่อสะสมมาหลายปีแล้วจึงเกิดเป็นหยกขึ้น! หยกสีแดงเลือดพันปีของท่านย่าเจ้าชิ้นนั้น แน่นอนว่าก็มีราคามหาศาลมาก แต่ว่าวัสดุของปิ่นหยกคู่ชิ้นนี้กลับเป็นอย่างที่สอง นั่นก็คือหยกสีเลือดจากธรรมชาติ มีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทางตะวันตก ที่นั่นเป็นที่อยู่ของชิวตี๋[1] แต่ถึงจะเป็นที่นั่น ก็ยังหาได้ยากมาก!”


ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องสาว ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงานออกไป แม่สามีกลับเอ็นดูเจ้าอย่างนี้แล้ว ภายหลังเกรงว่าคงได้ปฏิบัติกับเจ้าอย่างบุตรสาวแท้ๆ แน่ กระทั่งสามีเจ้ายังต้องอิจฉาเลย” นางรู้ว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชอบฟังคำอย่างนี้ที่สุด เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พลันยิ้มไปทั้งปากและตาทันที ความสบายใจนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังไม่มิดจริงๆ


เว่ยฉางอิ๋งเองก็อารมณ์ดีมาก ไม่ว่านางจะวางแผนคิดจัดการกับเสิ่นจั้งเฟิงอย่างโหดเหี้ยมอย่างไร แต่อย่างไรก็ไม่กล้าถึงขนาดลงไม้ลงมือกับฮูหยินซู ตอนนี้ฮูหยินซูมีท่าทีเปลี่ยนไป ในฐานะสะใภ้แล้วนางจะไม่ดีใจได้หรือ


ย่าหลานทั้งสามดีใจอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเฉินหรูผิงที่ยิ้มแล้วกล่าวเตือน “เรื่องนี้เกรงว่าฮูหยินใหญ่คงจะยังไม่รู้ ให้คนไปบอกกับฮูหยินซ่งดีไหม?”


“จริงด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงนึกขึ้นมาได้และรีบเรียกคน “ซวงหลี่ รีบนำเรื่องนี้ไปกล่าวกับอวี่เวย แล้วให้นางช่วยคัดเลือกของแสดงความเคารพที่เหมาะสม” จากนั้นก็หันกลับมากล่าวกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “พูดไปแล้วเรื่องของขวัญเจ้าควรเป็นผู้ไปเลือกด้วยตนเอง ข้ากับแม่ของเจ้าจะช่วยเจ้าดู แต่ว่าบ่าวรับใช้ตระกูลเสิ่นอยากจะรีบกลับไปรายงาน จึงชักช้าไม่ได้ จึงได้แต่ต้องให้แม่ของเจ้าเป็นคนทำแทนเจ้าไปก่อน…กลับไปแล้วเจ้าไปอ่านรายการดีๆ เรียนรู้ไว้หน่อย รู้ไหม?”


เว่ยฉางอิ๋งตอบรับอย่างเต็มใจยินดีกับเรื่องที่ไม่ต้องให้ตัวนางไปทำเองทันที นางพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วกล่าวว่า “ท่านย่าวางใจเถอะ ข้ากลับไปแล้วจะต้องให้ท่านแม่สั่งสอนอย่างดี!”


ฮูหยินซ่งรู้ว่าตระกูลอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจ ทั้งยังนำของขวัญล้ำค่าที่มีความหมายขนาดนี้มาให้ไกลถึงเฟิ่งโจว แน่นอนว่านางยินดีแทนบุตรสาวอย่างมาก! นางเลือกของขวัญล้ำค่าตอบแทนกลับไปด้วยตนเอง คิดแล้วก็เรียกบุตรสาวมาแล้วจิ้มไปที่รายการนอกเหนือไปจากในรายการพลางกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าของชิ้นนี้เอาไปให้ใคร?”


แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการสมาคมมากนัก แต่ว่านางฉลาดมาก แค่คิดแล้วก็กล่าวว่า “ให้ท่านอารองหรือ?”


“ไม่ผิด” ฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวฉลาดในใจก็ยินดีและวางใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความหมายว่า “คราวนี้แม่สามีเจ้าส่งปิ่นหยกคู่นี้มา เป็นผลงานของอาคนนี้ของเจ้า! หากว่าไม่ได้อาเจ้าคนนี้คอยไกล่เกลี่ยให้ในเมืองหลวง ทั้งยังกล่าวได้อย่างงดงาม อย่าว่าแต่ความคิดในใจจริงๆ เลยที่อย่างไรก็พูดออกไปไม่ได้ ต่อให้เจ้ามีศีลธรรมงดงามอ่อนหวานจริง ฮูหยินซูที่อยู่ไกลถึงขนาดนั้นจะรู้ความจริงได้อย่างไร พูดไปแล้วจิ่งเฉิงโหวเองก็คือบุตรหลานตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของพวกเรา คนในตระกูลตนเองออกไปกล่าวว่าบุตรหลานไม่ได้ คนนอกจะไม่เชื่อได้หรือ ดังนั้นว่าที่แม่สามีเจ้าจะต้องตอบแทน แต่ก็ห้ามลืมท่านอาคนนี้ของเจ้า”


อดที่จะกำชับนางอีกไม่ได้ เมื่อแต่งงานไปที่เมืองหลวงแล้ว จะต้องไปคารวะเว่ยเจิ้งอินที่เรือนด้วยตนเองให้ได้ ทั้งยังต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอาคนนี้ด้วย อย่างไรเว่ยเจิ้งอินก็คือน้องสะใภ้ของฮูหยินซู แม้ว่าความสัมพันธ์กับฮูหยินซูจะไม่ถึงขนาดสัมพันธ์พี่น้อง แต่ว่าโดยผิวเผินแล้วก็ยังไปกันได้ จะอย่างไรฮูหยินซูก็ต้องไว้หน้ากับน้องชายคนเล็กของตนเองบ้าง


เว่ยฉางอิ๋งกับท่านอาคนนี้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นทั้งพิธีมารยาทอย่างญาติ และยังได้การสนับสนุนจากเว่ยเจิ้งอินด้วย อย่างไรก็ไม่มีเสียเปรียบ


เพื่อความสัมพันธ์ของอาหลานมีการเริ่มต้นที่ดี แน่นอนว่าตอนนี้ฮูหยินซ่งไม่มีทางลืมความดีของเว่ยเจิ้งอิน


สั่งสอนบุตรสาวถึงเรื่องสำคัญที่ให้เอาใจท่านอาให้ดีแล้ว ฮูหยินซ่งก็เตือนนางถึงความสัมพันธ์กับเหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายสามี “ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทั้งยังมีความหมายไม่ธรรมดา แม่สามีเจ้าคนนั้นมอบมันให้กับเจ้า แม้ว่าจะเป็นการแสดงออกว่ารักเอ็นดูเจ้า แต่ก็หมายถึงฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงในตระกูลเสิ่นด้วย ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่บุตรชายคนโต และต่อให้เขาใช่ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถห้ามไม่ให้เหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายไม่ให้ริษยาได้! ดังนั้นเจ้าอย่าเห็นว่าเจ้าได้รับของล้ำค่าอย่างนี้มาเด็ดขาด หากว่าข้าเดาไม่ผิด นี่ก็เป็นการทดสอบหนึ่งที่แม่สามีเจ้าให้เจ้า!”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ทันจะแต่งเข้าไป ก็กลับถูกเหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีอิจฉาก่อนแล้วหรือ?”


“แน่นอน” ฮูหยินซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “นางหลิวว่าที่พี่สะใภ้ในอนาคตของเจ้าคนนั้นคือบุตรสาวภรรยาเอกของตงหูหลิว ได้ยินว่านิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลใจกว้าง มีศีลธรรมมาก! แม้ตอนนี้จะกล่าวว่านายหญิงของตระกูลเสิ่นคือซูซิ่วมั่น แต่จริงๆ แล้วนายหญิงของตระกูลคือนางหลิวนานแล้ว แต่ว่าปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้กลับมาอยู่ในมือเจ้า เสิ่นจั้งเฟิงมีอนาคตก้าวไกล เจ้าคือภรรยาเอกของเขาในอนาคต ฐานะนายหญิงของนางหลิว เมื่อเจ้าแต่งงานเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไหม ถึงตอนนั้นเจ้าจะรับมืออย่างไร


นางตวนมู่ พี่สะใภ้รองในอนาคตของเจ้าคนนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงบุตรอนุภรรยาของจิ่นซิ่วตวนมู่ แต่ว่านางเองก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะสตรีสูงศักดิ์มาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานเช่นเดียวกับนางหลิว! นอกจากนี้ได้ยินว่าบุตรสาวจากภรรยาเอกของนางตวนมู่ ตอนนี้เพิ่งจะมีอายุได้ไม่ถึงสี่ปี ฤดูร้อนปีนี้ก็ท่องกลอนหย่งอู้บทหนึ่งต่อหน้าทุกคน เป็นสตรีตัวน้อยที่มีชื่อมากของเมืองหลวง และเพราะอย่างนี้นางจึงเป็นที่รักเอ็นดูของซูซิ่วมั่นมาก กระทั่งนางตวนมู่ก็ยังถูกคิดว่าเป็นตระกูลที่รู้จักสั่งสอนบุตรสาว! พวกนางแต่งเข้ามาเร็ว บุตรสาวบุตรชายมีกันเป็นแถวแล้ว ในตระกูลเสิ่นหยั่งรากไว้ลึกมาก แต่ในสายตาของแม่สามีกลับไม่สำคัญเท่ากับเจ้า เจ้าต้องคิดว่าภายหลังเจ้าจะต้องทำอย่างไร?”


ฮูหยินซ่งจิ้มไปยังหน้าผากเกลี้ยงเกลาของบุตรสาวแล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ดังนั้นเจ้าอย่าคิดว่าได้รับปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้มาแล้วจะสามารถไร้ทุกข์หมดโศก! เรื่องที่ต้องปวดหัวในวันหลังยังมีอีกมาก!”


…………………………………………


[1] ชิวตี๋ : เผ่าทางตอนเหนือของจีน


ตอนที่ 25 ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ (1)

โดย

Xiaobei

 


เว่ยซ่านกุยป่วยอย่างนี้ งานเลี้ยงวันเกิดของเว่ยฉางเสียนแน่นอนว่าจบไปอย่างง่ายๆ


บอกลาออกมาจากจวนจิ้นผิงกงแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยก็จัดการเว่ยฉิงอิ๋งบนรถม้ายกหนึ่ง บีบจนทำให้เว่ยฉางอิ๋งที่รู้ดีว่าตนผิดได้แต่ต้องขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังใช้คำหวานตลอดทาง สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยถึงได้คลายลง


กลับไปที่บ้าน ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนก่อน เพิ่งจะก้าวเข้าประตูไปก็พบว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกำลังมีท่าทีมีความสุข ราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ เสมือนกำลังฟังเรื่องที่น่ายินดีอะไร เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ยิ่งลึกขึ้น ไม่รอให้ทั้งสองคารวะ ก็รีบกวักมือเรียก “ไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามาเร็ว!”


ทั้งสองไปนั่งลงข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัย “ท่านย่าวันนี้เหมือนจะมีความสุขมาก?”


“เจ้ามาดูนี่” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหยิบเอากล่องไม้จันทร์แดงกล่องหนึ่งออกมาจากเตียงด้านหลังอย่างระมัดระวัง กล่องนี้มีขนาดประมาณหนึ่งฉื่อ ตัวกล่องสลักไว้เป็นรูปดอกบัวและนกปี่อี้[1]เอาไว้ ด้านข้างมีดอกมู่ตันพันเลื้อยไว้ มุมทั้งสี่ด้านหุ้มด้วยทองเปลว บนทองเปลวยังมีไข่มุกที่เปล่งแสงแวววาวเม็ดหนึ่งสลักไว้อีก ใช้ใจขนาดนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่านำมาใช้เก็บของล้ำค่า


ทรัพย์สมบัติของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่วางไว้ในที่เด่นนั้นเว่ยฉางอิ๋งล้วนแต่รู้จักดีมาก แต่ว่าเจ้ากล่องนี่กลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตอนนี้จึงมองอย่างอยากรู้มาก “คืออะไรหรือ?”


ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตอบ นางก็รีบยื่นมือไปเปิดกล่องออกอย่างเร็ว กล่องเพิ่งจะเปิดออก แสงสว่างสายหนึ่งก็พุ่งออกมา จนทำให้ทั้งห้องสว่างไสว!


ภายในกล่องที่บุไปด้วยไหมนั้น มีปิ่นลายนกปี่อี้สีแดงสดงดงามราวกับสีเลือดคล้ายกับจะกลั่นเป็นหยดลงมาทำรังอยู่บนต้นเหลียนหลี่จือ[2]คู่หนึ่ง


ปิ่นคู่นี้กลับเป็นชิ้นเดียวกัน สร้างและสลักขึ้นมาจากหยกสีเลือดทั้งชิ้น ด้านบนเป็นนกปี่อี้ ด้านล่างเป็นต้นเหลียนหลี่จือ ขนนกเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กิ่งไม้ราวกับมีชีวิต แค่งานฝีมือนี้ก็หาได้ยากมากแล้ว!


เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยต่างก็เป็นสตรีที่ถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ของแผ่นดิน ตั้งแต่เล็กเห็นของล้ำค่ามากมายจนเคยชิ้น ตอนนี้ยังต้องชื่นชมปิ่นคู่นี้กันไม่หยุดปาก!


แล้วก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ปิ่นคู่นี้ เป็นงานฝีมือของแซ่เย่ ชื่อเย่จูฝู พวกเจ้าดูที่ปลายปิ่น เห็นไหมว่ามีอักษร ‘ฝู’ ตัวเล็กมากสลักเอาไว้ด้วย นั่นก็คือสัญลักษณ์ของเย่จูฝู”


พี่น้องทั้งสองรีบหยิบเอาอันหนึ่งมาดูตรงหน้าอย่างละเอียด สายตาของคนอายุน้อยยังดีอยู่ แล้วก็เห็นว่าที่ปลายปิ่นมีอักษรจ้วนโบราณขนาดประมาณเมล็ดงาตัวหนึ่งสลักไว้ว่า ‘ฝู’ ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างปประหลาดใจมากว่า “ข้าได้ยินท่านย่ากล่าวมาก่อนว่า ปิ่นและต่างหู ที่ออกมาจากตระกูลเย่ในแต่ละรุ่นนั้นดีที่สุดในแผ่นดิน แต่เหมือนว่าเย่จูฝู จะไม่ใช่คนในปัจจุบัน?”


“ไจ้สุ่ยความจำดีจริงๆ” วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอารมณ์ดีไม่เลว นางมองไปยังหลานสาวด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวชมว่า “เย่จูฝูเป็นคนสมัยเซวียนจง ปีที่เขาจากไปนั้นห่างกับปัจจุบันแปดสิบกว่าปีได้ ตลอดชีวิตทำเครื่องประดับไว้มาก แต่ว่าที่ภาคภูมิใจที่สุด อย่างไรก็ต้องนับปิ่นหยกคู่นี้!”


ระหว่างที่พูดฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็รับเอาปิ่นอันนั้นมาจากมือของเว่ยฉิงอิ๋งแล้วกล่าวกำชับว่า “เจ้าระวังหน่อย…ปิ่นหยกตอนที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมีราคามากถึงทองหมื่นชั่ง ตอนนี้เกรงว่ามีแต่จะยิ่งมีราคายิ่งขึ้น แม้ว่าตระกูลซูแห่งชิงโจวจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา แต่ก็นับว่าเป็นของที่มีค่าสูงที่สุดในบรรดาของเผยเจี้ยของซูซิ่วมั่นในตอนนั้นแล้ว!”


“ของเผยเจี้ยของฮูหยินซูหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตกใจไป ยังดีว่าปิ่นที่นางหยิบไว้นั้นถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเอาคืนไปแล้วถึงได้ไม่เกิดเรื่อง กระทั่งซ่งไจ้สุ่ยที่ละเอียดรอบคอบมาตลอดเมื่อได้ยินยังตกใจมากจนรีบเอาปิ่นวางกลับไปในกล่องอย่างเร็ว แม้ว่าทองหลายหมื่นชั่งจะมาก แต่ซ่งไจ้สุ่ยที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นว่าที่ฮองเฮากลับไม่ใช่ถึงขนาดต้องระมัดระวังขนาดนี้ แต่ว่านี่คือของเผยเจี้ยของว่าที่แม่สามีเว่ยฉางอิ๋ง ตอนนี้นำมาให้เว่ยฉางอิ๋ง ของสำคัญอย่างนี้ต่อให้เป็นของที่ไม่ได้มีราคาล้ำค่าอะไรแต่ก็ไม่กล้าทำเสียหายเด็ดขาด ระวังไว้หน่อยดีกว่า


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเก็บกล่องไปอย่างระมัดระวัง แล้วจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ เป็นบ่าวเผยเจี้ยของซูซิ่วมั่นที่นำมาส่งมอบให้ด้วยตนเอง”


มิน่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถึงได้อารมณ์ดีอย่างนี้ ตอนนั้นเว่ยฉางอิ๋งถูกวางแผนร้ายไปรอบหนึ่ง นำแผนของนางที่คิดจะจัดการตีสามีให้หมอบไปบอกกับฮูหยินซูตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้แต่งเข้าไป ฮูหยินซูมีโทสะจึงจงใจไปสนิทสนมกับเว่ยหลิ่งเยวี่ย สตรีขึ้นชื่อในเรื่องศีลธรรมและความดีงามของเมืองหลวง หลานสาวภรรยาเอกของจิ้งเฉิงโหวต่อหน้าของอาแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋งตอนที่นางมาที่เรือน ทั้งยังนำสร้อยลูกปัดไม้กฤษณาที่ใส่ติดตัวมานานหลายปีให้กับเว่ยหลิ่งเยวี่ยต่อหน้าทุกคนด้วย


แม้ว่าฮูหยินซูจะไม่สามารถข้ามหน้าเสิ่นเซวียนแล้วเปลี่ยนลูกสะใภ้ได้ แต่ว่าการที่เว่ยหลิ่งเยวี่ยซึ่งมีศักดิ์ฐานะรุ่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋งในตระกูลเดียวกันได้รับสร้อยลูกปัดไม้กฤษณาที่ฮูหยินซูใส่มานานหลายปีไป ทั้งยังเป็นต่อหน้าเว่ยเจิ้งอิน อาแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋งอีก กลับกัน ฮูหยินซูกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นว่าที่ลูกสะใภ้…แล้วในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะไม่โมโหได้อย่างไร?


แต่ตอนนี้ฮูหยินซูชดเชยกลับมาให้กับว่าที่ลูกสะใภ้ ทั้งยังใจกว้างขนาดนี้อีก ของจากตระกูลขึ้นชื่ออย่างปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ที่มีชื่อเสียงในตระกูลต่างๆ อย่างมากแต่ว่านางก็ยังใจกว้างและเอาออกมา เทียบกันแล้ว สร้อยลูกปัดไม้กฤษณาที่ให้กับเว่ยหลิ่งเยวี่ยก็เป็นเครื่องประดับที่เอาไว้ใส่เล่นเท่านั้นเอง หากเทียบคุณค่าเทียบความหมายต่อฮูหยินซูจะสามารถเทียบเคียงกับปิ่นคู่นี้ได้หรือ


นี่คือของเผยเจี้ยที่ล้ำค่าที่สุดตอนที่ฮูหยินซูแต่งเข้ามาในตระกูลเสิ่นตอนนั้นเลย!


กระทั่งฮูหยินซูเองก็ยังเคยใส่มันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในงานพิธีใหญ่ตอนยังอายุน้อย ปกติแล้วล้วนแต่ไม่กล้าหยิบออกมา แต่กระนั้น ก็ยังทำให้เกิดความอิจฉาริษยากันมากในบรรดาสตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวง กระทั่งหญิงสูงศักดิ์ในวังมากมายยังอิจฉา


เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันจะแต่งเข้าไปก็ได้รับของล้ำค่าขนาดนี้จากว่าที่แม่สามีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่กังวลเมื่อนางแต่งออกไปแล้วมาตลอดจะไม่รู้สึกยินดีและดีใจแทนหลานสาวจากในใจของนางได้หรือ


นอกจากนี้เพราะปิ่นคู่นี้มีชื่อเกินไป ล้ำค่าขนาดว่าในรุ่นผู้ที่อาวุโสกว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และเพราะภายหลังฮูหยินซูมีอายุมากขึ้นจึงเก็บเอาไว้และไม่ได้ใส่ออกมา รวมกับที่เว่ยฉางอิ๋งกับซ่งไจ้สุ่ยล้วนแต่ไม่ได้เติบโตมาในเมืองหลวง ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ของอย่างนี้ตามหลักแล้วแม้จะให้กับสะใภ้แต่อย่างไรก็ต้องให้กับสะใภ้ใหญ่ และยังต้องเป็นตอนที่สะใภ้แต่งเข้าไปแล้วถึงได้ให้ด้วย เสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่บุตรชายคนโตและยังไม่ใช่บุตรคนที่สองด้วย! ตอนนี้ฮูหยินซูกลับให้ปิ่นคู่นี้มา…


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งฉลาดขนาดไหน นางคาดเดาได้ว่าที่เว่ยฉางอิ๋งได้รับปิ่นคู่นี้เป็นของชดเชย ไม่เพียงแต่จะเพราะเว่ยเจิ้งอินที่ไปอธิบายให้กับหลานสาวสำเร็จเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น บางที ผู้ที่ตัดสินใจให้เว่ยฉางอิ๋งได้รับปิ่นหยกคู่นี้มาอาจจะเป็นเสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นได้!


ฐานะของปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ในมือของฮูหยินซ่ง ในบรรดาสะใภ้ผู้ที่จะได้มันไป หากว่าไม่ใช่สะใภ้คนโตก็ต้องเป็นอนาคตนายหญิงของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง!


…………………………………..


[1] นกปี่อี้ : นกในตำนานมีตาเดียว ปีกเดียว นกปี่อี้จะอยู่กินกับตัวผู้หรือตัวเมียของตนเอง เวลาบินจะบินพร้อมกัน ใช้ปีกคนละข้าง เวลาหาอาหารจะช่วยกันมอง เพราะมีกันคนละตา นกปีอี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่สวยงามและเป็นนิรันดร์


[2] ต้นเหลียนหลี่จือ : ต้นไม้สองต้นที่แตกแยกออกมาจากตอเดียวกัน เปรียบเทียบได้ว่าเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันมาก


ตอนที่ 25 ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ (2)

โดย

Xiaobei

 


เห็นได้ชัดว่า ตระกูลเสิ่นได้เลือกกันภายในแล้วว่าให้เสิ่นจั้งเฟิงเป็นผู้ดูแลหมิงเพ่ยถัง ดังนั้นในฐานะว่าที่ภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิง เว่ยฉางอิ๋งถึงได้มีโอกาสได้รับปิ่นหยกคู่นี้มา


ความสำเร็จของหลานเขยเป็นตัวตัดสินฐานะของหลานสาวในอนาคต แน่นอนว่ายิ่งรุ่งก็ยิ่งดี แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าหมิงเพ่ยถังจะต้องเป็นของเสิ่นจั้งเฟิง แต่ว่าอย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังอายุน้อย เสิ่นเซวียนก็มีบุตรชายไม่น้อยเลย เรื่องที่ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างไรก็ยังพูดไม่ได้ ตอนนี้ปิ่นคู่ที่ชื่อเสียงโด่งดังมาถึงที่บ้านตระกูลเว่ยแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงได้เป็นที่ยอมรับกันแล้ว หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดหมายอะไรก็ไม่มีทางสั่นคลอนแน่!


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตื่นเต้นดีใจแทนหลานสาวจริงๆ และกล่าวอธิบายกับพวกนางอย่างกระตือรือร้นว่า “อย่าเห็นว่าปิ่นอันนี้มาจากฝีมือของเย่จูฝูเลย ที่ล้ำค่าที่สุดยังไม่ใช่จุดนี้” นางกล่าวชี้แนะว่า “ที่ล้ำค่าที่สุดก็คือวัสดุ คนทั่วแผ่นดินต่างก็กล่าวกันว่าทองคำมีค่ามากส่วนหยกนั้นยากจะประเมินค่าได้ ในหยกเองก็มีระดับสูงต่ำ โดยเฉพาะหยกสีแดงเลือด!”


เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วกล่าวว่า “หยกเลือดหาได้ยากมาก หยก หยกอ่อนขาว หยกเหลืองและหยกม่วงที่ข้าเก็บเอาไว้ก็มีมาก แต่ว่ากลับไม่มีหยกแดงเลือดเลยสักชิ้น!”


“ข้ากลับเห็นครั้งหนึ่งที่ท่านย่า แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณเล็บนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น สลักเป็นรูปจักจั่น บางครั้งท่านย่าก็เอาออกมาคลำเล่น” ซ่งไจ้สุ่ยตาเป็นประกาย แล้วกล่าวอย่างน่ารักว่า “แต่ว่ากลับไม่ได้งดงามอย่างชิ้นนี้ สีของมันจะคล้ำกว่าหน่อย”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “หยกจักจั่นสีแดงเลือดชิ้นนั้นของย่าเจ้าข้าเองก็รู้ แต่ว่ากลับไม่เหมือนกับอันนี้ ต้องรู้ว่าหยกสีแดงเลือดนั้นมีสองประเภท หนึ่งคือเลือดแทรกซึมเข้าไปในหินหยก เมื่อสะสมมาหลายปีแล้วจึงเกิดเป็นหยกขึ้น! หยกสีแดงเลือดพันปีของท่านย่าเจ้าชิ้นนั้น แน่นอนว่าก็มีราคามหาศาลมาก แต่ว่าวัสดุของปิ่นหยกคู่ชิ้นนี้กลับเป็นอย่างที่สอง นั่นก็คือหยกสีเลือดจากธรรมชาติ มีต้นกำเนิดมาจากที่ราบสูงทางตะวันตก ที่นั่นเป็นที่อยู่ของชิวตี๋[1] แต่ถึงจะเป็นที่นั่น ก็ยังหาได้ยากมาก!”


ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องสาว ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งงานออกไป แม่สามีกลับเอ็นดูเจ้าอย่างนี้แล้ว ภายหลังเกรงว่าคงได้ปฏิบัติกับเจ้าอย่างบุตรสาวแท้ๆ แน่ กระทั่งสามีเจ้ายังต้องอิจฉาเลย” นางรู้ว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชอบฟังคำอย่างนี้ที่สุด เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พลันยิ้มไปทั้งปากและตาทันที ความสบายใจนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังไม่มิดจริงๆ


เว่ยฉางอิ๋งเองก็อารมณ์ดีมาก ไม่ว่านางจะวางแผนคิดจัดการกับเสิ่นจั้งเฟิงอย่างโหดเหี้ยมอย่างไร แต่อย่างไรก็ไม่กล้าถึงขนาดลงไม้ลงมือกับฮูหยินซู ตอนนี้ฮูหยินซูมีท่าทีเปลี่ยนไป ในฐานะสะใภ้แล้วนางจะไม่ดีใจได้หรือ


ย่าหลานทั้งสามดีใจอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเฉินหรูผิงที่ยิ้มแล้วกล่าวเตือน “เรื่องนี้เกรงว่าฮูหยินใหญ่คงจะยังไม่รู้ ให้คนไปบอกกับฮูหยินซ่งดีไหม?”


“จริงด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงนึกขึ้นมาได้และรีบเรียกคน “ซวงหลี่ รีบนำเรื่องนี้ไปกล่าวกับอวี่เวย แล้วให้นางช่วยคัดเลือกของแสดงความเคารพที่เหมาะสม” จากนั้นก็หันกลับมากล่าวกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “พูดไปแล้วเรื่องของขวัญเจ้าควรเป็นผู้ไปเลือกด้วยตนเอง ข้ากับแม่ของเจ้าจะช่วยเจ้าดู แต่ว่าบ่าวรับใช้ตระกูลเสิ่นอยากจะรีบกลับไปรายงาน จึงชักช้าไม่ได้ จึงได้แต่ต้องให้แม่ของเจ้าเป็นคนทำแทนเจ้าไปก่อน…กลับไปแล้วเจ้าไปอ่านรายการดีๆ เรียนรู้ไว้หน่อย รู้ไหม?”


เว่ยฉางอิ๋งตอบรับอย่างเต็มใจยินดีกับเรื่องที่ไม่ต้องให้ตัวนางไปทำเองทันที นางพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วกล่าวว่า “ท่านย่าวางใจเถอะ ข้ากลับไปแล้วจะต้องให้ท่านแม่สั่งสอนอย่างดี!”


ฮูหยินซ่งรู้ว่าตระกูลอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจ ทั้งยังนำของขวัญล้ำค่าที่มีความหมายขนาดนี้มาให้ไกลถึงเฟิ่งโจว แน่นอนว่านางยินดีแทนบุตรสาวอย่างมาก! นางเลือกของขวัญล้ำค่าตอบแทนกลับไปด้วยตนเอง คิดแล้วก็เรียกบุตรสาวมาแล้วจิ้มไปที่รายการนอกเหนือไปจากในรายการพลางกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าของชิ้นนี้เอาไปให้ใคร?”


แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการสมาคมมากนัก แต่ว่านางฉลาดมาก แค่คิดแล้วก็กล่าวว่า “ให้ท่านอารองหรือ?”


“ไม่ผิด” ฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวฉลาดในใจก็ยินดีและวางใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความหมายว่า “คราวนี้แม่สามีเจ้าส่งปิ่นหยกคู่นี้มา เป็นผลงานของอาคนนี้ของเจ้า! หากว่าไม่ได้อาเจ้าคนนี้คอยไกล่เกลี่ยให้ในเมืองหลวง ทั้งยังกล่าวได้อย่างงดงาม อย่าว่าแต่ความคิดในใจจริงๆ เลยที่อย่างไรก็พูดออกไปไม่ได้ ต่อให้เจ้ามีศีลธรรมงดงามอ่อนหวานจริง ฮูหยินซูที่อยู่ไกลถึงขนาดนั้นจะรู้ความจริงได้อย่างไร พูดไปแล้วจิ่งเฉิงโหวเองก็คือบุตรหลานตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของพวกเรา คนในตระกูลตนเองออกไปกล่าวว่าบุตรหลานไม่ได้ คนนอกจะไม่เชื่อได้หรือ ดังนั้นว่าที่แม่สามีเจ้าจะต้องตอบแทน แต่ก็ห้ามลืมท่านอาคนนี้ของเจ้า”


อดที่จะกำชับนางอีกไม่ได้ เมื่อแต่งงานไปที่เมืองหลวงแล้ว จะต้องไปคารวะเว่ยเจิ้งอินที่เรือนด้วยตนเองให้ได้ ทั้งยังต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอาคนนี้ด้วย อย่างไรเว่ยเจิ้งอินก็คือน้องสะใภ้ของฮูหยินซู แม้ว่าความสัมพันธ์กับฮูหยินซูจะไม่ถึงขนาดสัมพันธ์พี่น้อง แต่ว่าโดยผิวเผินแล้วก็ยังไปกันได้ จะอย่างไรฮูหยินซูก็ต้องไว้หน้ากับน้องชายคนเล็กของตนเองบ้าง


เว่ยฉางอิ๋งกับท่านอาคนนี้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นทั้งพิธีมารยาทอย่างญาติ และยังได้การสนับสนุนจากเว่ยเจิ้งอินด้วย อย่างไรก็ไม่มีเสียเปรียบ


เพื่อความสัมพันธ์ของอาหลานมีการเริ่มต้นที่ดี แน่นอนว่าตอนนี้ฮูหยินซ่งไม่มีทางลืมความดีของเว่ยเจิ้งอิน


สั่งสอนบุตรสาวถึงเรื่องสำคัญที่ให้เอาใจท่านอาให้ดีแล้ว ฮูหยินซ่งก็เตือนนางถึงความสัมพันธ์กับเหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายสามี “ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทั้งยังมีความหมายไม่ธรรมดา แม่สามีเจ้าคนนั้นมอบมันให้กับเจ้า แม้ว่าจะเป็นการแสดงออกว่ารักเอ็นดูเจ้า แต่ก็หมายถึงฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงในตระกูลเสิ่นด้วย ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่บุตรชายคนโต และต่อให้เขาใช่ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถห้ามไม่ให้เหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายไม่ให้ริษยาได้! ดังนั้นเจ้าอย่าเห็นว่าเจ้าได้รับของล้ำค่าอย่างนี้มาเด็ดขาด หากว่าข้าเดาไม่ผิด นี่ก็เป็นการทดสอบหนึ่งที่แม่สามีเจ้าให้เจ้า!”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ทันจะแต่งเข้าไป ก็กลับถูกเหล่าภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีอิจฉาก่อนแล้วหรือ?”


“แน่นอน” ฮูหยินซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “นางหลิวว่าที่พี่สะใภ้ในอนาคตของเจ้าคนนั้นคือบุตรสาวภรรยาเอกของตงหูหลิว ได้ยินว่านิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลใจกว้าง มีศีลธรรมมาก! แม้ตอนนี้จะกล่าวว่านายหญิงของตระกูลเสิ่นคือซูซิ่วมั่น แต่จริงๆ แล้วนายหญิงของตระกูลคือนางหลิวนานแล้ว แต่ว่าปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้กลับมาอยู่ในมือเจ้า เสิ่นจั้งเฟิงมีอนาคตก้าวไกล เจ้าคือภรรยาเอกของเขาในอนาคต ฐานะนายหญิงของนางหลิว เมื่อเจ้าแต่งงานเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไหม ถึงตอนนั้นเจ้าจะรับมืออย่างไร


นางตวนมู่ พี่สะใภ้รองในอนาคตของเจ้าคนนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงบุตรอนุภรรยาของจิ่นซิ่วตวนมู่ แต่ว่านางเองก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะสตรีสูงศักดิ์มาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานเช่นเดียวกับนางหลิว! นอกจากนี้ได้ยินว่าบุตรสาวจากภรรยาเอกของนางตวนมู่ ตอนนี้เพิ่งจะมีอายุได้ไม่ถึงสี่ปี ฤดูร้อนปีนี้ก็ท่องกลอนหย่งอู้บทหนึ่งต่อหน้าทุกคน เป็นสตรีตัวน้อยที่มีชื่อมากของเมืองหลวง และเพราะอย่างนี้นางจึงเป็นที่รักเอ็นดูของซูซิ่วมั่นมาก กระทั่งนางตวนมู่ก็ยังถูกคิดว่าเป็นตระกูลที่รู้จักสั่งสอนบุตรสาว! พวกนางแต่งเข้ามาเร็ว บุตรสาวบุตรชายมีกันเป็นแถวแล้ว ในตระกูลเสิ่นหยั่งรากไว้ลึกมาก แต่ในสายตาของแม่สามีกลับไม่สำคัญเท่ากับเจ้า เจ้าต้องคิดว่าภายหลังเจ้าจะต้องทำอย่างไร?”


ฮูหยินซ่งจิ้มไปยังหน้าผากเกลี้ยงเกลาของบุตรสาวแล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ดังนั้นเจ้าอย่าคิดว่าได้รับปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้มาแล้วจะสามารถไร้ทุกข์หมดโศก! เรื่องที่ต้องปวดหัวในวันหลังยังมีอีกมาก!”


…………………………………………


[1] ชิวตี๋ : เผ่าทางตอนเหนือของจีน


ตอนที่ 26 ผลกลับกัน (2)

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางอิ๋งชะงักไป ฮูหยินซ่งกล่าวเสียงต่ำว่า “นี่ก็เพื่อบ้านนี่ของพวกเรา! หากว่าไม่มีฉางเฟิง ข้ากับท่านพ่อของพวกเจ้า ก็ได้แต่ต้องขอบุตรชายบุญธรรมมาจากบ้านอื่น! ทั้งยังมีบุตรสาวคือเจ้าเพียงคนเดียวอีก หากว่าเจ้าแต่งงาน บุตรบุญธรรมจะเป็นอย่างไร ใครจะรู้ได้ แน่นอนว่าแม่เองก็ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ แต่ว่าบุตรบุญธรรมเป็นผู้น้อยจัดการได้ง่าย แต่หากว่าบ้านอารองของเจ้ามีอำนาจ ท่านพ่อของเจ้ากลับเป็นบุตรชายจากภรรยาเอก เจ้าว่า บ้านใหญ่ของพวกเรา จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้หรือ แต่หากว่าเจ้าแต่งงานดี แม้ว่าท่านปู่ท่านย่าจะคุ้มครองบ้านใหญ่ของพวกเราไม่ได้ แต่ว่าท่านอารองก็ไม่กล้าดูแลบ้านใหญ่ของพวกเราไม่ดี! บ้านใหญ่ของพวกเราถึงได้ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องถูกท่านอารองของเจ้าคิดหาวิธีกดลงไป จนภายหลังยากจะเงยหัวได้อีก! ดังนั้นท่านปู่เจ้าจึงให้เจ้าแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิง ไม่ใช่ฉางหวั่นที่ดูเหมาะสมกว่าในตอนนั้น!”


“ท่านพ่อคือบุตรภรรยาเอกของท่านปู่ ท่านปู่อย่างไรก็ต้องปฏิบัติกับท่านพ่อต่างออกไป” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าถูกสั่งสอน นางกล่าวอย่างจริงจังว่า “บุตรสาวจะต้องตั้งใจฟัง ไม่ให้เสียท่านปู่ที่รักใคร่ใส่ใจ”


ฮูหยินซ่งดีใจที่บุตรสาวรู้ความ กลับไม่รู้ว่าผิวเผินเจ้าลูกอกตัญญูนี่พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังอย่างนี้ ในใจกลับคิดว่า แซ่เสิ่นคนนี้อายุยังน้อยกลับประสบความสำเร็จอย่างนี้ นิสัยจะต้องเป็นคนที่เย่อหยิ่งไร้เหตุผลแน่นอน! ต่อให้ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาจะถ่อมตนมีมารยาท แต่ว่ามาต่อหน้าคนรุ่นเดียวกันแล้ว เขาจะไม่แสดงท่าทีโอหังอวดดีออกมาหรือ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากกลับไปเรือนหลัง! ถึงตอนนั้นหากว่าปรนนิบัติไม่ดี เกรงว่าคงทำให้เขารังเกียจ…จะต้องมีเรื่องอย่างนี้จริงๆ แน่?! ข้าคือคุณหนูใหญ่แซ่เว่ยของเฟิ่งโจว ท่านปู่ท่านย่าท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูข้ามาจนโตอย่างนี้ ยังไม่เคยทำให้ข้าต้องโมโหอย่างนี้เลย! เมื่อแต่งงานฐานะกลับตกต่ำลงมาจนจะทำอะไรก็ต้องคอยมองผู้อื่นหรือ?! แล้วอย่างนี้จะต่างอะไรกับการเป็นบ่าวไพร่กัน!


เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!


นางลอบกำหมัดแน่น และตัดสินใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีทางยอมให้เรื่องที่น่าหลัวอย่างนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด!


ดังนั้นเมื่อรับคำฮูหยินซ่งแล้ว นางก็ตัดสินใจว่าจะไปหาเจียงเจิงเพื่อฝึกซ้อมให้หนักขึ้นอีก สาบานว่าจะต้องใช้หมัดทั้งสองของตนสร้างอนาคตที่งดงามให้เหมือนกับก่อนแต่งงานออกไป


เว่ยฉางอิ๋งแข็งขืนอย่างนี้ ฮูหยินซ่งก็ไม่มีวิธีจะดึงไว้ได้อีก และหาเวลาว่าไปปรึกษาหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง “งานแต่งเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้ว เด็กนี่กลับยังจมอยู่กับการฝึกวิชายุทธ์ ไม่มีวิสัยของสตรีตระกูลเว่ยเลยแม้แต่น้อย แล้วจะทำอย่างไรดี?”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็กังวลใจในหลานสาวมาก แต่ได้ยินคำของฮูหยินซ่งแล้วกลับยากจะตัดสินใจ แม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสองพูดไปแล้วต่างก็เป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนบุตรมืออาชีพ อย่างไรก็ถือกำเนิดมาในตระกูลมีชื่อและแทรกซึมมาจนโต ตระกูลใหญ่ทั่วไปชอบพอลูกสะใภ้แบบไหนก็รู้มาตรฐานดี แต่ว่านี่มองจากเพียงมุมมองของแม่สามีและภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีเท่านั้น หากว่ามีใจตรงกับสามี นั่นคือพรหมลิชิต


หากว่าเป็นสะใภ้ แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะต้องมีความต้องการเหมือนอย่างนายหญิงตระกูลใหญ่มีชื่อทั่วไป นั่นก็คือรู้ความฉลาดมีคุณธรรม และยังต้องให้บุตรหลานชอบพอด้วย แม่สามีที่มีเหตุผลก็ไม่มีอะไรต้องเรื่องมากอีกแล้ว


แต่ว่าหลานสาวแท้ๆ ของตน และยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวอีก แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหวังว่าเว่ยฉางอิ๋งจะได้รับความรักจากแม่สามี และยังได้ความเคารพจากภรรยาของพี่ชายน้องชายสามี และที่สำคัญก็คือจะต้องรักใคร่สามัคคีกับสามี! ตัวของฮูหยินผู้เฒ่าเองเมื่อยังอายุน้อยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมจากแม่สามีมาก่อน อย่างไรเว่ยฮ่วนก็เป็นบุตรชายอนุภรรยา แม้ว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวจะไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ไปชิงมาจากจิ้งผิงกง แต่ว่าเป็นตัวของจิ้งผิงกงเองที่เสนอไม่อยากรับ เพราะไม่สามารถดูแลตระกูลเว่ยทั้งตระกูลได้ แต่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าแม่ของจิ้งผิงกง ฮูหยินผู้เฒ่าของจิ้งผิงกงที่ต้องมองบุตรชายจากอนุภรรยารับตำแหน่งที่ควรจะเป็นของเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไปต่อหน้า ในใจจะรับได้หรือ


สถานการณ์ของเว่ยฮ่วนในตอนนั้นคล้ายคลึงกับเว่ยเซิ่งอี้ในตอนนี้มาก หากไม่ใช่ว่าจิ้งผิงกงจะจมอยู่กับความเรียบง่ายและเซวี่ยนเหล่ามากเกินไป ทำให้กระทั่งกับบุตรหลานก็ยังไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก นานหลายปีกว่าจะได้บุตรชายคนเดียวอย่างเว่ยเจิ้งหย่ามา ทำให้เมื่อจิ้งผิงกงผู้เฒ่าเสียไป แม้ว่าเว่ยเจิ้งหย่าจะยังอายุน้อย แต่ว่าฮูหญิงผู้เฒ่าจิ้งผิงกงก็มีความคิดเช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าในตอนนี้ บุตรชายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสนับสนุนหลานชาย! เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถให้บุตรจากอนุภรรยาได้ไปได้!


แม้ว่าเว่ยเจิ้งหย่าจะเกิดมาช้า ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้นผิงกงเสียดายมาก ทว่าตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมจากแม่สามีคนนี้เพราะเว่ยฮ่วนไม่น้อย ความทุกข์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับมา แน่นอนว่าไม่อยากจะให้หลานสาวต้องได้รับ แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็รู้ว่า เทียบกับความรักของแม่สามีและภรรยาพี่ชายน้องชายของสามีแล้ว ในฐานะภรรยา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรักจากสามี


โดยเฉพาะเว่ยฉางอิ๋งที่เดิมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสิ่นจั้งเฟิง งานแต่งงานที่ตระกูลเทียบเคียงกัน แน่นอนว่าต้องรู้กฎดี ซูซิ่วมั่นไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเว่ยฉางอิ๋ง ต่อให้ตักเตือนอย่างไร แต่ก็ยังมีขีดจำกัด เมื่อข้ามเส้นไป ตระกูลเว่ยไม่มีทางยอม ตระกูลซู ตระกูลเสิ่นเองก็ไม่มีทางยอมมองซูซิ่วมั่นต้องมีชื่อเสียงเลวร้ายไม่มีเมตตาได้


ภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีของเว่ยฉางอิ๋งเองก็มีชาติตระกูลเช่นกัน ขอแค่ตระกูลเว่ยยังอยู่นี่ ขอแค่ภายหลังเว่ยฉางเฟิงสามารถทำตามแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้และเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเว่ยเจิ้งหงที่หายไปหลายปีได้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแม่สามีมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภรรยาของพี่ชายน้องชายสามีเลย


พูดไปแล้ว ก็ยังเป็นความสัมพันธ์กับเสิ่นจั้งเฟิงมากกว่าที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกังวล


แม้ว่านับแต่โบราณมาต่างก็กล่าวกันว่าสู่ขอภรรยาสู่ขอที่มีคุณธรรม แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งผ่านประสบการณ์มาทั้งชีวิต จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสาเหตุที่ภรรยาผู้มีคุณธรรมและได้รับความชมชอบจากคนในแผ่นดิน แต่กลับไม่ได้รับความรักจากสามีเพราะอะไร


นอกจากนี้หลายปีมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็สั่งการคนที่ทิ้งไว้ในเมืองหลวงเมื่อตอนที่ออกจากเมืองหลวงมาอยู่ตลอด ทั้งยังกำชับบุตรสาวว่าให้ไปที่ตระกูลเสิ่นบ่อยๆ ด้วย เพื่อไปสืบเสิ่นจั้งเฟิง ว่าที่หลานเขยในอนาคตให้ละเอียด ข่าวที่สืบมากล่าวว่าเขาคนนี้เป็นบุตรหลานตระกูลมีชื่อตามแบบมาตรฐาน มีความสามารถและถ่อมตน และยังมีนิสัยใจกว้าง คำชมที่เห็นอย่างชัดเจนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอ่านแล้วก็แล้วไป แต่ว่านางสังเกตเห็นถึงความชอบของเสิ่นจั้งเฟิง ว่าที่หลานเขยคนนี้ชื่นชอบวิชาทหาร และม้าชั้นดี กระทั่งในตอนที่อายุที่ยังมัดจุกอยู่ เขาไม่สนใจการห้ามของบ่าวไพร่และดื้อดึงเอาจนเข้าไปปราบพยศม้าชั้นดีที่ก้าวร้าวตัวหนึ่งที่เพิ่งจะได้มาจากชิวตี๋ และเพราะเรื่องนี้ทำให้เขาถูกเสิ่นเซวียนตำหนิอย่างหนัก จากเรื่องนี้แล้ว ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกได้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเสิ่นจั้งเฟิง ว่าเขาไม่ใช่คนถ่อมตนอย่างนั้นแน่ ผู้ที่ถ่อมตนยอมฟังคนอื่น จะยอมเสี่ยงขาหัก เสียโฉมหรือกระทั่งอันตรายถึงชีวิตเพื่อไปปราบพยศม้าด้วยตนเองตอนอายุได้เพียงสิบห้าปีหรือ


บุตรหลานตระกูลมีชื่อ มีใครบ้างที่ไม่ได้ยินคำสั่งสอนมาว่า ‘บุตรหลานตระกูลสูง ไม่อยู่ในที่อันตราย’ ตั้งแต่ยังเล็ก


แต่ว่าเรื่องนี้ถึงจะสมกับเป็นวิสัยของบุตรหลานตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ซีเหลียงกับชิวตี๋มีอาณาเขตติดต่อกัน บุตรหลานของตระกูลเสิ่น เติบโตมาพร้อมกับการบุกรุกของเผ่าชิวตี๋นานหลายร้อยปี คนเผ่าชิวนั้นป่าเถื่อนไร้ความรู้ มีนิสัยดุดันโหดเหี้ยม ไม่มีความเด็ดเดี่ยว อยู่ต่อหน้าคนเผ่าชิวแล้วยังจะรักษาแผ่นดินได้หรือ


ก่อนหน้านี้เฉินหรูผิงพูดไว้ว่า ตระกูลเสิ่นไม่เหมือนกับตระกูลเว่ยที่มาในด้านสายบุ๋น ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเป็นบุตรหลานตามมาตรฐานของตระกูลเสิ่น ก็ใช่ว่าเขาจะชื่นชอบเด็กหญิงที่รู้มารยาทงดงาม นุ่มนวลมีศีลธรรมเมตตาอย่างที่ตระกูลมีชื่อใหญ่ทั้งหลายสั่งสอนกันมาก็ได้


แต่ว่า เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ เพราะว่าหากว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีใจมุ่งในการต่อสู้ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องการภรรยาที่เรียบร้อยมีเมตตามีคุณธรรมมาคอยดูเรือนหลังให้เขาหรือ


อย่างไรโชคชะตาก็ยากจะพูดได้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งกังวลเหมือนกันคือเมื่อเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานไปแล้วจะต้องลำบาก แต่ก็ยังหวังอยู่หนึ่งในหมื่นว่า หากเสิ่นจั้งเฟิงเป็นเหมือนอย่างที่เฉินหรูผิงกล่าวล่ะ


เป็นอย่างนั้นไม่ใช่ว่านางเป็นผู้ทำลายเรื่องดีของหลานสาวไปหรือ ไม่ใช่ว่าทำให้หลานสาวต้องได้รับความไม่เป็นธรรมหรือ


ดังนั้นนิ่งเงียบไปนาน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็เพียงแต่ฝืนกล่าวว่า “นิสัยของนางเป็นอย่างนี้แล้ว ให้เปลี่ยนวันนี้ เกรงว่าคงจะยาก หากฝืนกันไปเกรงว่าจะทำให้นิสัยประหลาดไป…ข้าว่า สู้ให้เป็นอย่างนี้ไป ไม่แน่ว่านางอาจจะมีโชคของนางก็เป็นได้?”


ตอนนี้คงได้แต่ต้องพนันดูแล้ว


……………………………………………….


ตอนที่ 27 เว่ยฉางซุ่ย

โดย

Xiaobei

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตัดสินใจจะลองพนันตามแบบของหลานสาวสักครั้ง และยังกล่าวว่าเสิ่นจั้งเฟิงกับเว่ยฉางอิ๋งยังอายุน้อยทั้งคู่ ต่อให้เสิ่นจั้งเฟิงไม่ถูกใจเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อแต่งงานไปแล้วเสียเปรียบไปบ้างแล้วค่อยเปลี่ยนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทันการ อย่างไรตระกูลทั้งสองฝ่ายก็ยังอยู่ ตอนนี้เว่ยฮ่วนและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็ยังอยู่ อยากจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องลำบากก็ไม่ง่ายอย่างนั้น


แม้ว่าฮูหยินซ่งจะรู้สึกว่าพนันเรื่องใหญ่อย่างนี้จะเหลวไหลเกินไปหน่อย แต่ว่าหนึ่งคือฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็หาวิธีอื่นมาไม่ได้แล้ว สองก็คือไม่แน่ใจว่าหากเสิ่นจั้งเฟิงชอบเว่ยฉางอิ๋งที่เผ็ดร้อนอย่างนี้ แล้วการที่ครอบครัวไปบีบคั้นให้เว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนแปลงตนจะไม่ใช่การทำร้ายนางหรือ


อย่างไรการแต่งงานไปเป็นภรรยาก็คือการไปใช้ชีวิตกับสามี แม่สามีเอ็นดูอย่างไรภรรยาพี่ชายน้องชายสามียอมขนาดไหน แต่หากภรรยาไม่ได้รับความพึงพอใจความรักจากสามี…ไม่ใช่ว่ามีเพียงเกียรติยศเพียงผิวเผินเท่านั้นหรือ


เดิมในใจของแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสองคนต่างก็หวังว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานไปแล้วจะยอมใช้ชีวิตตามที่ตนว่า แต่เมื่อจิตใจเอนเอียง ยิ่งทำให้คิดว่าที่เฉินหรูผิงคาดคะเนอาจจะเป็นไปได้ ฮูหยินซ่งคิดไปคิดมาก็ลังเล ความคิดที่จะตักเตือนเว่ยฉางอิ๋งให้เป็นผู้ฉลาดมีเมตตามีคุณธรรมก็ไม่ได้หนักแน่นอย่างนั้นแล้ว


เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนที่รู้สึกไวต่อท่าทีผู้ใหญ่ที่สุด เมื่อรู้สึกได้ว่าท่านแม่เริ่มลังเลแล้ว นางจึงอารมณ์ดีมาก และยิ่งทุ่มเทกับการฝึกวิชายุทธ์มากขึ้น ทั้งหมัดมวยเตะต่อย ฮูหยินซ่งได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดหัว จึงไม่ไปสนใจนางเลยดีกว่า


วันเวลาผ่านไปอย่างนี้


…ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งบีบให้เว่ยฮ่วนเขียนจดหมายเรียกบุตรภรรยาเอกทั้งสองของบ้านสองกลับมาเพื่อปรนนิบัติท่านปู่ท่านย่า แม้ว่าจดหมายจะเป็นเว่ยฮ่วนที่เขียน แต่ว่าในเฟิ่งโจวบ้านสองก็มีหูตาอยู่บ้าง รู้ว่าที่เรียกเว่ยฉางอวิ๋นกับเว่ยฉางซุ่ยกลับมานั้นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง


เว่ยเซิ่งอี้กับภรรยานางตวนมู่รู้ถึงความร้ายกาจของแม่ใหญ่คนนี้ดีมาก และครั้งนี้เพราะอะไรถึงเรียกบุตรทั้งสองกลับไป ในใจเว่ยเซิ่งอี้เองก็รู้ดี เว่ยฮ่วน ท่านพ่อช่วยเขาพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำได้เพียงลดจำนวนบุตรจากสองกลายเป็นหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าบุตรคนไหนกลับไป ต่างก็ต้องไปเป็นตัวประกัน ไม่ต้องพูดถึงความกังวลหวาดกลัวของเว่ยเซิ่งอี้และนางตวนมู่ ในบุตรชายทั้งสองยังไม่ได้กล่าวว่าต้องเป็นคนไหนอีก นี่เหมือนจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วก็มีความหมายแฝงว่าต้องการจะทำให้ความสัมพันธ์ของเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยห่างกันอยู่


แต่ว่าแม้บ้านสองจะมองสถานการณ์ชัดเจนอย่างไร แต่คำสั่งของพ่อแม่ ก็ไม่กล้าไม่ทำตาม


ถ่วงเวลาแล้วถ่วงเวลาอีก หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งได้รับของล้ำค่าจากว่าที่แม่สามีได้สามวัน ไม่ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะยินดีหรือไม่ ก็ยังต้องกลับมาที่รุ่ยอวี่ถังอย่างเคารพนบนอบ และมาคุกเข่าคารวะต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง


เว่ยฉางซุ่ยคือบุตรคนรองของบ้านสอง คุณชายสามเว่ยคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกราวกับบัณฑิต ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา ทำให้คนมองแล้วรู้สึกดีด้วยได้ง่าย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคราวนี้ถูกท่านย่าเรียกกลับมาไม่ใช่เรื่องดี แต่ว่าอยู่ต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแล้วเขากลับมีท่าทีเคารพสนิทสนมมาก กับเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิง น้องสาวและน้องชายทั้งสองก็แสดงท่าทีออกมาอย่างระมัดระวังมาก เห็นได้ชัดว่า เขากลัวฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมาก


ความกลัวนี้แม้ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะปิดบังไว้อย่างไร แต่กลับไม่สามารถปิดบังสายตาของเหล่าผู้ใหญ่ได้


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งปฏิบัติกับหลานชายคนนี้อย่างราบเรียบตลอด นางไม่ชอบเว่ยเซิ่งอี้ แน่นอนว่าจึงไม่มีความรู้สึกดีๆ กับบ้านของเว่ยเซิ่งอี้ด้วย นอกจากนี้นับตั้งแต่ที่เว่ยเซิ่งอี้แนะนำกับเว่ยฮ่วนลับๆ ว่าจะยกเว่ยฉางซุ่ยให้กับเว่ยเจิ้งหงที่ตอนนั้นยังไร้บุตรชาย ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็รู้สึกไม่ชอบหลานชายคนนี้จากส่วนลึกในใจ


ยิ่งไม่ต้องพูดว่า คราวนี้ที่เรียกเขากลับมาเดิมก็เพราะต้องการจำกัดเว่ยเซิ่งอี้และระบายโทสะ


ดังนั้นแม้ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะพยายามเอาใจอย่างไร ก็ยังไม่สามารถทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งใจอ่อนได้ เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะมาถึงวันแรก คนกลับมาแล้ว อยากจะทำอะไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดออกมาคำเดียวก็พอ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงไม่รีบร้อนทำอะไรใหญ่โตตั้งแต่แรกพบหน้า และให้เขาปรนนิบัติรับใช้ทานอาหารค่ำอย่างระวัง แล้วถึงได้เหลือบตามองแล้วถามฮูหยินซ่งว่า “เว่ยฉางซุ่ยกลับมาคราวนี้ต้องอยู่ยาว เรือนของเขาจัดเตรียมไว้แล้วหรือยัง?”


“เป็นเรือนที่แต่ก่อนบ้านน้องรองอยู่ ข้าให้คนทำความสะอาดไว้หลายห้อง สักครู่ให้ฉางซุ่ยไปเลือกได้” ฮูหยินซ่งแน่นอนว่าไม่มีทางมีความรู้สึกดีๆ กับบ้านสองที่วางแผนเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวตนกับคนภายนอกฟังแน่ นางกล่าวเสียงเรียบ


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวรับ แล้วกล่าวกับเว่ยฉางซุ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”


เว่ยฉางซุ่ยรีบทิ้งมือลงและรีบตอบรับคำทันที


ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวต่อว่า “เดิมน้องชายของเจ้าต่างก็กำลังเรียนอยู่กับจื้อเจียว เจ้าเองก็ไปเรียนด้วยกัน เพียงแต่เจ้าอายุมากกว่าพวกเขามาก ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเรียนคิดว่าเจ้าคงเรียนมาหมดแล้ว ไปฟังก็ไม่มีความหมาย แต่ว่าจื้อเจียวต้องศึกษาหาความรู้ ตอนนั้นที่ไปเชิญเขามาก็พูดไว้แล้ว ทุกวันจึงมีเวลาไม่กี่ชั่วยามไปสอนลูกศิษย์…”


ความหมายในคำพูดชัดเจนมาก เว่ยฉางซุ่ยถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่าท่านย่าจะต้องไม่ใจดีอย่างนี้แน่ จะให้ตัวเขาไปเรียนกับท่านลุงจื้อเจียวอะไรด้วย เพื่อจะได้ฐานะว่าเป็นศิษย์ในสำนัก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทำอย่างนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้เขากับพี่ชายอย่างเว่ยฉางอวิ๋นเริ่มเรียนศึกษาก็คงได้กราบเว่ยซือกู่เป็นอาจารย์แล้ว


ต้องรู้ว่าเว่ยซือกู่มาช่วยงานที่รุ่ยอวี่ถังตั้งแต่ตอนที่เว่ยฉางเฟิงเริ่มเรียนหนังสือ…พูดไปแล้วเว่ยเกาชวนเองก็อาศัยว่าอายุพอๆ กับเว่ยฉางเฟิงจึงได้ไปเรียนด้วย รวมกับที่พรสวรรค์ของเขาสู้เว่ยฉางเฟิงไม่ได้ ถึงได้สามารถไปฟังเว่ยซือกู่บรรยายบทเรียนได้


เดิมเว่ยฉางซุ่ยเองก็รู้สึกว่าครั้งนี้แม้ว่าจะต้องถูกท่านย่าตักเตือน แต่ว่าเว่ยซือกู่อยู่ในรุ่ยอวี่ถัง ตนเองยังเป็นผู้ชาย อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่มีทางที่จะดึงตนเองมาอยู่ต่อหน้าได้ตลอด อย่างไรก็ต้องมีโอกาสได้ร่ำเรียนบ้าง


กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาเพิ่งจะกลับมา ยังไม่ทันจะได้พบหน้าเว่ยซือกู่ ท่านย่าก็บอกเป็นนัยแล้วว่าเขาอย่าคิดไปเองเลย


ตอนนี้เขาไม่กล้าคิด ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสงสัยบ้านสองมาตลอดว่าจะมาแย่งชิงของของเลือดเนื้อเชื้อไขนาง ก่อนที่เว่ยฉางซุ่ยจะมาท่านพ่อท่านแม่ก็เตือนเขาแล้ว อยู่ที่เฟิ่งโจวห้ามไปหาเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเด็ดขาด ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ผ่านอะไรมามากมาย และสิ่งที่มีแน่นอนเลยก็คือความเด็ดขาด…


โดยเฉพาะบ้านสองที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองว่าเป็นอุปสรรคขวางบ้านใหญ่ด้วยแล้ว…


นางยังเป็นท่านย่าใหญ่ด้วย อย่าว่าแต่เว่ยฉางซุ่ยเลย ต่อให้เป็นเว่ยเซิ่งอี้ หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะให้เขาตาย เว่ยเซิ่งอี้ก็ไม่กล้ากล่าวว่าตนจะมีชีวิตต่อไป


ดังนั้นแม้ว่าเว่ยฉางซุ่ยจะเสียดายที่ไม่สามารถไปเรียนกับเว่ยซือกู่ได้ แต่ว่าใบหน้าก็ยังแสดงท่าทีเคารพนบนอบ “ท่านย่ากล่าวได้ถูกต้อง น้องชายทั้งสองเดิมก็เรียนอยู่กับท่านลุงจื้อเจียวอยู่แล้ว ไม่สามารถให้การที่หลานกลับมาไปทำให้การเรียนของพวกเขาล่าช้าได้ พูดไปแล้วหลานเป็นก็อกตัญญู หลายปีมานี้อยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด ไม่เคยได้มาปรนนิบัติรับใช้ท่านปู่ท่านย่า คราวนี้กลับมา แน่นอนว่าต้องชดเชย นอกจากนี้ก่อนที่หลานจะกลับมา อาจารย์ก็ได้ให้การบ้านเอาไว้มากมาย ให้หลานทำให้เสร็จเพียงลำพัง ห้ามให้คนอื่นช่วยเหลือ”


“อาจารย์ก็ดั่งบิดา” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่ออาจารย์ของเจ้ากำชับมา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำการบ้านก่อนเถอะ” นี่คือไม่อนุญาตให้เว่ยฉางซุ่ยเรียนกับเว่ยซือกู่ และไม่คิดจะเชิญอาจารย์คนอื่นมาให้ด้วย…แม้ว่าตอนนี้เว่ยฉางซุ่ยเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว ไม่ต้องเรียนทุกวันอย่างเว่ยฉางเฟิง แต่ว่าเว่ยฉางซุ่ยอาศัยตระกูลเป็นขุนนาง ไม่ได้อาศัยความรู้ทั้งหมด การจะมีอาจารย์ชื่อดังหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหากับเขามากนัก


 แต่ว่าจากการระวังของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ทำให้เว่ยฉางซุ่ยหนักใจ เขาคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแน่นอนว่าไม่มีทางไม่รู้ว่าตอนนี้ไม่ให้เขาเรียนกับอาจารย์มีชื่อก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ว่าก็ยังทำอย่างนี้ จากความร้ายกาจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง การทำอย่างนี้คงไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เขาผิดหวังและไม่มีความสุขเท่านั้น


อย่างไรฐานะอย่างฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง แค่ต้องการทำให้หลานชายไม่มีความสุขก็ไม่คุ้มที่จะต้องเอ่ยปากเอง


คิดแล้วแน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะต้องมีแผนอื่นแน่ ความเป็นไปได้นี้ก็ยังไม่แน่ อย่างเช่น ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจงใจแสดงท่าทีเข้มงวดออกมาอย่างนี้เพื่อไม่ให้เขาไปขอเรียน ไม่แน่ว่าอาจจะไปกล่าวกับเว่ยฮ่วน ท่านปู่ของตนว่าเป็นเขาที่ไม่อยากเรียนเองก็ได้ ในเรือนมีเว่ยซือกู่อาจารย์มีชื่ออย่างนี้ก็ยังไม่ไปเรียน…


แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะให้ความสำคัญกับบ้านสอง แต่เขาก็เสียดายมากกว่าที่บุตรชายภรรยาเอกร่างกายไม่แข็งแรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้บ้านใหญ่ยังมีเว่ยฉางเฟิงที่มีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียวอีก ตัวเว่ยฮ่วนคือบุตรอนุภรรยา แต่อย่างไรเขาก็ยังให้ความสำคัญกับสายเลือดภรรยาเอกมากกว่า…


ในใจของเว่ยฉางซุ่ยมีความคิดมากมายในพริบตา แล้วกล่าวรับไปอย่างเคารพและถ่อมตน ในใจกลับหนาวยะเยือกมาก คิดถึงคำเตือนของท่านพ่อที่แอบลอบเตือนเขาก่อนเดินทางมา ก็แอบถอนหายใจ เขาลอบมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่อยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง พี่น้องทั้งสองคือดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง คือไข่มุกบนฝ่ามือที่ล้ำค่าที่แท้จริง


เว่ยเซิ่งอี้กล่าวกับบุตรชายคนรองว่าหากเขาอยากจะอยู่ในเฟิ่งโจวอย่างดี หวังการคุ้มครองจากท่านปู่อย่างเว่ยฮ่วนก็ยังไม่พอ สู้เขาไปทุ่มเทกับพี่น้องทั้งสองคนนี้ยังคุ้มค่ากว่า อย่างไรอายุของน้องชายน้องสาวก็ยังน้อย ได้ยินทางข่าวจากรุ่ยอวี่ถังที่ส่งไปถึงเมืองหลวง พี่น้องทั้งสองนี้ ไม่ใช่คนที่มีความคิดชั่วร้ายโหดเหี้ยม กลับยังมีนิสัยคล้ายเด็กอยู่บ้าง


เด็ก ทั้งยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองอย่างไรก็เอาใจง่ายกว่าฮูหยินซ่งและฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง


เว่ยฉางซุ่ยเพิ่งจะอายุถึงพิธีสวมหมวก ท่านพ่อยังเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนักอีก ในเมืองหลวงคุ้นชินกับการมีบ่าวรับใช้ห้อมล้อมแล้ว กลับมาที่เฟิ่งโจวครั้งนี้กลับต้องคอยก้มหัว ฟังคำแนะนำของท่านพ่อไปคอยเอาใจน้องสาวน้องชายก็ไม่ค่อยยินดีนัก ดังนั้นตอนแรกที่ฟังคำแนะนำของบิดาเขาจึงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ว่าแม้ในใจเขาจะมีความเย่อหยิ่งแต่ก็ยังรู้กาละเทศะ ตอนนี้กลับมาเป็นวันแรก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่ปิดบังความประสงค์ร้ายอีกแล้ว หากว่ายังแสดงท่าทีเป็นพี่สามไม่รู้ว่าจะต้องถูกทำอย่างไร ตอนนี้รุ่ยอวี่ถังต้องการเว่ยเซิ่งอี้แต่ไม่แน่ว่าจะต้องการเว่ยฉางซุ่ยนี่…


ต่อให้เป็นเว่ยเซิ่งอี้ แต่ว่าเขายอมฆ่าพ่อแม่เพื่อบุตรชายคนรองหรือ ศักดิ์ฐานะก็เห็นกันอยู่ หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังอยู่ เว่ยเจิ้งหงยังอาการไม่ดีนัก บ้านสองก็ได้แต่ต้องทำตนเป็นสุนัขต้อยต่ำ ห้ามโอหังอวดดี


เว่ยฉางซุ่ยคิดคำนวณเงียบๆ รู้สึกว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งจะเป็นน้องสาว แต่ว่าอายุรุ่นนี้ชายหญิงก็ต่างกันแล้ว ไปเข้าใกล้เว่ยฉางเฟิงจะสะดวกกว่า แต่ว่าเขาวางแผนอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเดาความคิดออกไหม นับตั้งแต่เขาอาศัยอยู่มา นอกจากไปคารวะแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับเว่ยฉางเฟิงเลย


แน่นอนว่าเขาก็สามารถไปเยี่ยมที่เรือนใหญ่อย่างเรือนหลิวหวาได้ หรือเชิญเว่ยฉางเฟิงไปที่บ้านสอง ทว่าเว่ยฉางซุ่ยปรึกษากับบ่าวไพร่ของตนแล้วก็หยุดความคิดนี้ไป


บ่าวรับใช้เก่าแก่กล่าวว่า “เดิมฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่ชอบคุณชายอยู่แล้ว ทั้งยังรักใคร่คุณชายห้าขนาดนั้น ตอนนี้นางทั้งไม่เชื่อใจคุณชายอีก หากว่าไปมาหาสู่กับคุณชายห้าก็ไม่ค่อยเหมาะสมนัก บางทีหากว่าด้านการเรียนเกิดสะดุดไปบ้าง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคงได้สงสัยคุณชายอีก ยิ่งทำให้คุณชายยากจะทำตัวต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง”


เว่ยฉางซุ่ยคิดแล้วก็เป็นอย่างนี้จริงๆ เขาจึงอดถอนใจไม่ได้ว่า “แต่ท่านย่าเรียกข้ากลับมาไม่มีทางยอมอยู่เฉยๆ อย่างนี้แน่ ข้าเองก็ไม่สามารถจะอยู่ที่เฟิ่งโจวตลอดไปได้ หากว่าไม่สานสัมพันธ์กับน้องหญิงสามและน้องห้าดีๆ ไม่มีใครช่วยพูดให้ข้า ภายหลังจะทำอย่างไร?”


เขาเงียบไปแล้วถามว่า “ทางท่านปู่…”


“ไม่ได้เด็ดขาด!” บ่าวชราได้ยินก็รีบกล่าว “ตอนนั้นที่คุณชายห้ายังไม่เกิด ฮูหยินผู้เฒ่ามองว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลและของทั้งหมดเป็นของบ้านใหญ่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายห้ายังมีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียวอีก ตอนนี้หากว่าคุณชายไปหาหัวหน้าตระกูล จะต้องทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งระแวงขึ้นมาแน่ และเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับคุณชายห้า!”


ก่อนหน้านี้เว่ยฉางซุ่ยยอมก้มหัวทำตนเป็นสุนัขเพื่อเอาใจแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ยังไม่มีท่าทีดีกับเขา หากว่าเห็นเขาไปทำเรื่องอะไรที่ ‘ไม่เป็นผลดีกับเว่ยฉางเฟิง’ เว่ยฉางซุ่ยจะมีจุดจบอย่างไร ไม่ต้องถามก็รู้


“หรือว่าข้าได้แต่ต้องนั่งรอความตายอย่างนี้หรือ?” ในใจของเว่ยฉางซุ่ยทั้งขัดเคืองทั้งคับแค้น แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง แต่อย่างไรข้าก็ยังเรียกนางว่าท่านย่า!”


บ่าวชรานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะระแวงบ้านสอง แต่ว่าหลายปีนี้ก็ไม่เคยเรียกคุณชายและคุณชายรองกลับมาปรนนิบัติที่เฟิ่งโจว พูดไปแล้ว ก็ยังเพราะงานเลี้ยงตระกูลเสิ่นครั้งที่แล้ว ฮูหยินซูเอาสร้อยลูกปัดไม้กฤษณามอบให้กับคุณหนูของจือเปิ่นถัง…”


“นี่มันคือแผนการทำลายความสัมพันธ์ของจือเปิ่นถัง” แววตาของเว่ยฉางซุ่ยมีประกายโทสะแล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ท่านย่าแข็งกร้าวอย่างนี้ บ้านใหญ่ยังมีน้องห้าอีก หลายปีนี้ท่านพ่อหวาดกลัวมาตลอด…ยิ่งไปกว่านั้นพี่หญิงใหญ่ก็ออกเรือนไปแล้ว ยังจะทิ้งบ้านสามีมาแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิงอีกครั้งหรือ ต่อให้เพื่อให้น้องห้ามีปีกเพิ่มขึ้น…แต่ว่ามีท่านย่าอยู่ การช่วยเหลือจากเสิ่นจั้งเฟิงคนเดียวจะเทียบได้อย่างไร บ้านของพวกเราไม่จำเป็นต้องไปวางแผนเรื่องการแต่งงานของน้องหญิงสามเลย! พูดไปแล้วเป็นเรื่องที่จือเปิ่นถังก่อขึ้นทั้งนั้น และเพราะท่านแม่อ่อนข้อไม่เด็ดขาดกับบ่าวไพร่ ทำให้พวกเขาไม่ระวังคำที่ไม่ควรกล่าว!”


บ่าวชรากล่าว “เดิมท่านหัวหน้าตระกูลก็กล่าวแล้วว่า คุณชายกลับมาครั้งนี้เพื่อมาอธิบายเรื่องนี้ แต่ว่าหลายวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เคยถามเรื่องนี้เลย นี่…”


เว่ยฉางซุ่ยพลันตกใจไป!


 ……………………………………………


ตอนที่ 28 ชัยชนะ

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางซุ่ยวางแผนกับบ่าวชราด้วยจิตใจไม่สงบว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์กลับมาอย่างไร ปลายเดือนหก เฟิ่งโจวกลับมีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งมา!


ทางตอนเหนือได้รับชัยชนะ!


ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งคาดคะเนได้ไม่ผิดจริงๆ มีเผ่าหรงที่แฝงตัวเข้ามาในเฟิ่งโจว เพราะเมืองเหลียวเฉิงมีไส้ศึก จึงมีผู้บาดเจ็บล้มตายมาก ร่างสร้างเป็นจิงกวนมนุษย์สูงสามกองได้เลย! ประชาชนภายในเมือง เหลือไม่ถึงสามส่วน!


เรื่องนี้ถูกเว่ยฮ่วนกดเอาไว้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเฟิ่งโจวก็มีพื้นที่แคบยาว ทิศใต้และทิศเหนือห่างกันไกล แม้ว่าจะมีข่าวบางที่แพร่มาในเมืองเฟ่งโจว แต่ว่าตระกูลเว่ยมีอำนาจหยั่งลึกภายในเขตนี้ จึงใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งปลอบประโลมประชาชนในเขต และไม่ยอมรับข่าวนี้ เพราะเชื่อมั่นในตระกูลเว่ยมาตลอด อย่างไรเฟิ่งโจวก็เป็นรากฐานของตระกูลเว่ย ตอนนี้ขุนนางในเขตต่างก็เป็นลูกหลานตระกูลเว่ย ไม่มีทางทิ้งเฟิ่งโจวไปง่ายๆ แน่ แม้ว่าในเขตจะมีคนหวาดกลัว แต่ก็ไม่ถึงกับเริ่มอพยพหนีกันใหญ่โตอย่างนั้น


ตอนนี้ซ่งหานได้รับชัยชนะกลับมา สามารถฆ่าคนของเผ่าหรงได้ถึงสองร้อยกว่าคน ทั้งยังจับผู้ที่บาดเจ็บได้อีกร้อยกว่า ชัยชนะอย่างนี้ หลายปีนี้กระทั่งตงหูหรือซีเหลียงก็ยังหาได้ยาก แน่นอนว่าสามารถกลบเรื่องเมืองเหลียงเฉิงทีแทบร้างได้


และจากตอนนี้ เรื่องที่เมืองเหลียวเฉิงถูกโจมตีจึงถูกเขียนบรรยายไปอย่างเรียบๆ ด้วย เมื่อมีชัยชนะยิ่งใหญ่ด้านหน้า เรื่องที่น่าอนาจอย่างนี้จึงดูเบาบางลงไป


คราวนี้สิ่งที่ทำให้คนสนใจกันมากที่สุด กลับเป็นการขอความดีและการเฉลิมฉลอง


แต่ว่าเรื่องนี้ต่างเป็นเรื่องการเมือง สำหรับตระกูลเว่ยแล้วข่าวชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ตัดสินใจตามมาด้วย นั่นก็คืองานแต่งงานของเว่ยเกาฉาน


ก่อนหน้านี้เว่ยเซิ่งเหนียนถูกซ่งหานกล่อม และได้ตอบรับแล้วว่าเมื่อปรึกษากับท่านพ่อและแม่ใหญ่แล้วจะให้บุตรสาวจากอนุภรรยาแต่งงานกับซ่งตวนบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของซ่งหาน แต่บังเอิญที่ช่วงนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอารมณ์ไม่ดี นางเผยถูกตอกกลับมาแล้ว แน่นอนว่าเว่ยเซิ่งเหนียนที่มีนิสัยอ่อนแอไม่มีทางกล้าไปรบกวนแม่ใหญ่อีกแน่


ส่วนนางเผยเองก็รู้สึกว่าสามีหูเบาเกินไป แค่ไม่กี่คำก็หาสามีให้กับบุตรสาวจากอนุภรรยาแล้ว ไม่แน่ว่าเขาจะดีอย่างที่ซ่งหานกล่าวชมเชยบุตรชายตนเอง หลายวันนี้ได้ปรึกษากับฮูหยินซ่งและส่งคนไปสืบข่าวมา รู้สึกว่าซ่งตวนก็เป็นเพียงบุตรทั่วๆ ไป แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรไม่ดี แต่ว่าก็ไม่ได้ดีขนาดที่จะให้เว่ยเกาฉานยอมลดฐานะลงไปแต่งงานด้วย อย่างไร ซ่งหานก็เป็นเพียงแค่ตระกูลซ่งสาขาที่ห่างไกลออกไปของเจียงหนานเท่านั้น…


แต่ว่าการกลับมาด้วยชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ซ่งตวนมีคุณความดีมาก ตอนที่ซ่งหานกล่าวผลงานก็ได้เน้นย้ำถึงชัยชนะครั้งนี้ว่าชนะมาได้เพราะไหวพริบของซ่งตวน เขาเป็นผู้วางแผนล่อให้เผ่าหรงมาติดกับ และล้มทำลายศัตรู นอกจากนี้ซ่งตวนยังเป็นผู้นำทหารไปฆ่าเผ่าหรงด้วยตนเองหลายสิบคนด้วย!


ความสามารถที่แสดงออกมาได้รับการยืนยันจากผู้ที่นำข่าวมาบอกจากซ่งหานด้วย กระทั่งเว่ยฮ่วนยังกล่าวชมเชยซ่งตวนตอนนั้นไปหลายคำ มาส่งข่าวเรื่องดีขนาดนี้ ซ่งหานที่คิดจะยกบุตรชายของตนแน่นอนว่าไม่ลืมที่จะพูดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของตน


แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนชมเชยซ่งตวนก็ส่วนชมเชย ข่าวเรื่องความดีทั้งหมดนี้เขาไม่ได้เชื่อถือทั้งหมด เขากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอย่างนี้ “ซ่งตวนยังไม่ถึงพิธีสวมหมวก แต่ก่อนก็ไม่เห็นว่าจะเป็นคนที่ฉลาดเท่าไหร่นัก การที่ไม่กลัวศัตรูและบุกไปฆ่าศัตรูหลายคนก็อาจเป็นไปได้ แต่หากพูดว่าวางแผนการดัก คิดว่าแปดเก้าในสิบคือซ่งหานที่ยกความดีความชอบของตนให้บุตรชาย ซ่งหานคนนี้ยังพอจะมีความสามารถด้านการทหารบ้าง”


ไม่ใช่หลานสาวสายตรง ยิ่งไปกว่านั้นกับหลานชายหลานสาวแท้ก็มีเวลาไม่พอจะกังวลแล้ว แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีทางไปช่วยคิดแทนเว่ยเกาฉานมากอย่างนั้น จึงเพียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ซ่งหานคือตระกูลสาขา บุตรของเขาแม้ว่าจะเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอก แต่ก็ยังมีชาติกำเนิดต่ำกว่าเกาฉานมาก ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าซ่งหานจะเป็นจ่างสื่อ การขับไล่เผ่าหรง การคุ้นกันดินแดนต้าเว่ยเดิมก็เป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ราชสำนักกับแคว้นให้รางวัลไปตามกฎก็พอแล้ว หรือว่ายังต้องให้พวกเรายกหลานสาวให้กับเขาเป็นรางวัลด้วย?”


เว่ยฮ่วนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากว่าเป็นเมื่อสิบปีก่อนการแต่งงานอย่างนี้คงไม่มีทางตอบรับแน่ ชาติตระกูลต่างกันเกินไปจริงๆ แต่ว่าตอนนี้แผ่นดินกำลังวุ่นวาย ตระกูลพวกเราแม้ว่าจะมีชื่อในแผ่นดิน แต่ว่าทางการทหารอย่างนี้ใครก็พูดไม่ได้ จ่างสื่อของในแคว้นมีความสามารถ สนับสนุนเขาสักหน่อย ในใจจะได้มั่นใจกันบ้าง”


“แผ่นดินไม่สงบจริงๆ” พูดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “กระทั่งเมืองเหลียวเฉิงยังก่อจิงกวนขึ้นมา…ยังดีว่าครั้งนี้ชนะ! ไม่อย่างนั้นเมืองเหลียวเฉิงเกิดเรื่องใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าท่านกับเซิ่งเหนียนกลับไม่รายงานเมืองหลวง เอาแต่มองประชาชนลำบาก หากว่าถูกโทษนี้เข้า แม้ว่าครั้งนี้ท่านจะไม่ต้องกลัว แต่อย่างไรก็เสียชื่อเสียงตระกูลเว่ยที่สะสมมาหลายร้อยปี”


เว่ยฮ่วนยิ้มเย็น “เว่ยฉีไม่ใช่ว่าอยากจะได้เฟิ่งโจวมาแค่วันสองวัน! ตอนนี้เขารับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลของแคว้นเยี่ยน แคว้นเยี่ยนยังห่างกับทางเหนือของเฟิ่งโจวเพียงไม่กี่วัน เรื่องนี้หากว่าไม่กดไว้ เว่ยฉีจะต้องใช้เหตุผลว่ารักษาแผ่นดินและส่งทหารเข้ามาทางตอนเหนือแน่…หากว่าทหารเข้ามาในเฟิ่งโจว จะไปเมื่อไหร่ก็ยากจะกล่าวได้แล้ว!” แล้วถอนหายใจพลางกล่าวว่า “แผนการของเว่ยฉีข้ารู้ดีมาก ตอนที่ข้ายังอยู่เรื่องพวกนี้ไม่เป็นอะไร แต่ว่าตอนนี้ราชสำนักมีเพียงแค่เซิ่งอี้เพียงคนเดียว หลานทั้งหลายต่างก็ยังเล็ก ตระกูลสาขาก็ไม่กล้าใช้ แน่นอนว่าทำทุกอย่างต้องระมัดระวังไว้ก่อน ไม่ต้องให้พวกเขามีเหตุผลอะไรเลยดีกว่า”


สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแสดงความรังเกียจออกมาแล้วกล่าวว่า “ใจเย็นๆ เถอะ ตอนนี้ฉางเฟิงก็มัดจุกแล้ว จากความสามารถของเขา พวกเราก็ยังไหวอยู่ ช่วยดูแลให้เขาอีกไม่กี่ปีได้ เด็กคนนี้ทั้งฉลาดและพากเพียร อนาคตจะต้องสามารถค้ำยันตระกูลได้แน่ เจ้าเฒ่าเว่ยฉีมีหลานชายไม่น้อย แต่ว่ามีใครบ้างที่เทียบกับฉางเฟิงได้?”


เว่ยฮ่วนฟังความหมายของภรรยาออก เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฉางเฟิงคือหลานคนโตของบ้านใหญ่ ทั้งยังมีพรสวรรค์ดี หลายปีนี้หากว่าสามารถฝึกฝนได้ ยกของเจิ้งหงให้เขาก็เป็นเรื่องที่แน่นอน”


“เด็กคนนี้พวกเรามองเขามาจนโต ยังจะฝึกไม่ได้หรือ?” แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะมองว่าทุกอย่างของเว่ยฮ่วนเป็นของเว่ยฉางเฟิงหมดนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้เว่ยฮ่วนรับปากออกมาก็ยังดีใจมาก นางยิ้มพลางกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ช่างเป็นเพราะสรวรรค์เมตตาจริงๆ บ้านใหญ่ถึงได้มีบุตรชายบุตรสาวทั้งสองอย่างนี้ ทั้งสองต่างก็ทั้งฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบ!”


แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะสนใจกับการสั่งสอนหลานชาย แต่ว่าก็รู้ว่าฉางอิ๋งไม่ใช่คนเรียบร้อย ตอนนี้จึงกล่าวขึ้นมา “แต่ก่อนฉางอิ๋งเรียนวิชายุทธ์มาตลอด ตอนนี้ใกล้จะแต่งงานแล้ว นางควรจะถึงเวลามาเรียนวิชาความรู้แล้วไหม อย่างไรการเป็นลูกสะใภ้กับการเป็นบุตรสาวก็ไม่เหมือนกัน”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเหมือนกับแม่นมเฮ่อที่ฟังคนอื่นว่าสายเลือดตนเองไม่ได้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะเว่ยฮ่วนที่เพิ่งกล่าวว่าจะยกตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจวให้กับเว่ยฉางเฟิง แต่กลับมากล่าวสงสัยในตัวของพี่สาวเว่ยฉางเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดมากทันที ใบหน้าก็เข้มขึ้นในฉับพลันแล้วกล่าวถามอย่างขวานผ่าซากไปว่า “ฉางซุ่ยไปพูดอะไรต่อหน้าท่านหรือ?!”


เว่ยฮ่วนกล่าวอย่างปวดหัวว่า “ทำไมอะไรเจ้าก็คิดถึงแต่บ้านสอง นับตั้งแต่ที่ฉางซุ่ยกลับมาที่เฟิ่งโจว นอกจากวันแรกที่มาโขกหัวต่อหน้าข้าแล้ว มีวันไหนที่ไม่มาคารวะเจ้าก่อนบ้าง และเขาจะมาคารวะข้าลับๆ เมื่อไหร่?” เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “อีกอย่างเขาเพิ่งจะกลับมา มีอย่างที่ไหนที่จะรีบไปสืบข่าวนิสัยของน้องสาว ฉางอิ๋งเด็กคนนี้ข้าเองก็มองมาตั้งแต่เล็ก นางนิสัยอย่างไรข้ายังไม่รู้หรือ ยังต้องให้ฉางซุ่ยมาพูดหรือ?”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “เขาไม่ได้กลับมาและรีบไปสืบหาข่าวของน้องสาวในทันที เขาต้องทำอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ซูซิ่วมั่นกล่าวตักเตือนฉางอิ๋งมาใครเป็นคนกล่าวออกไป?!”


“นั่นเพราะจือเปิ่นถังไม่ได้…”


“ใครจะรู้ว่าบ้านสองไม่ได้ไปตามน้ำด้วย?!”


“ไม่ใช่พูดแล้วหรือว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อย่างไรหลายปีมานี้เซิ่งอี้ก็เคารพเจ้ามากมาตลอด!”


“ข้าคือแม่ใหญ่เขา หรือว่าการที่เขาเคารพข้านั้นไม่ควรหรือ?! หรือว่าข้าที่เป็นภรรยาเอกยังต้องไปซาบซึ้งที่บุตรจากอนุภรรยาเคารพข้ากัน?!”


สามีภรรยาเฒ่าทั้งสองพูดกันไปพูดกันมากลับทะเลาะกันใหญ่โต เมื่อบ่าวไพร่ต่างรู้สึกว่าไม่ดีแล้วต่างก็เข้าไปเตือน แต่ว่าใครก็ไม่มีอารมณ์จะไปคิดถึงเรื่องเว่ยเกาฉานแล้ว และต่างก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานพ่อแม่เป็นคนจัดการ ในเมื่อเซิ่งเหนียนเห็นว่าดี ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขา”


คำนี้ไปถึงบ้านสาม เว่ยเซิ่งเหนียนดีใจมาก ในฐานะบุตรอนุภรรยา เดิมฐานะของเขาก็ไม่สูงมากอยู่แล้ว นอกจากนี้เหนือเขาไปยังมีพี่ชายที่เป็นบุตรอนุภรรยาอย่างเว่ยเซิ่งอี้ซึ่งฉลาดมีความสามารถมากกว่าเขามากอีกหนึ่งคน ในสถานการณ์อย่างนี้ แม้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะเป็นบุตรหลานตระกูลสูง แต่จริงๆ แล้วตั้งแต่เล็กยันโต ในตระกูลเขาไม่มีฐานะจะกล่าวอะไรได้เลย


โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่กลับมายังบ้านเก่าพร้อมกับเว่ยฮ่วนและฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะเป็นผู้ว่าราชการของเฟิ่งโจว แต่จริงๆ แล้วหากว่าไม่มีบิดาอย่างเว่ยฮ่วนคอยช่วยจัดการ เขาคงจัดการจนเฟิ่งโจววุ่นวายไปนานแล้ว เพราะว่าเขาไร้ความสามารถเกินไป แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะมีแผนให้เขา แต่ว่าก็ยังผิดหวังในตัวเขามาก


คราวนี้เขาไม่ได้ถามไถ่เว่ยฮ่วนและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก่อนและไปตอบรับงานแต่งงานที่ซ่งหานกล่าวมา ทั้งยังถูกนางเผยพูดเสียจนจิตใจไม่สงบไประยะหนึ่ง กลัวอย่างเดียวก็คือการไปล่วงเกินท่านพ่อกับแม่ใหญ่เข้า


คิดไม่ถึงว่าช่วงนี้เว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต่างก็มีเรื่องยุ่ง จึงไม่ทันได้สนใจเขา ไม่เพียงเท่านั้น ครั้งนี้ซ่งหานกับซ่งตวนเองก็เอาการเอางานดีมาก เว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจกับฐานะตระกูลสาขาของซ่งหานนัก แต่ว่าก็ยังยอมตกลง ในเมื่อยอมตกลงการแต่งงานครั้งนี้ ก็เท่ากับว่ายินยอมรับการตัดสินใจของเว่ยเซิ่งเหนียน


สำหรับเว่ยเซิ่งเหนียนที่ตั้งแต่เล็กไม่ค่อยทำเรื่องที่ทำให้ท่านพ่อและแม่ใหญ่พยักหน้าได้นักแล้ว การอนุญาตอย่างนี้ทำให้เขาตื่นเต้นมาก!


ดีใจแล้ว เว่ยเซิ่งเหนียนก็กำชับนางเผยภรรยา “เกาฉานอย่างไรก็เป็นบุตรสาวคนโตของพวกเรา แม้ว่าในตระกูลจะมีกฎว่าบุตรภรรยาเอกกับอนุภรรยาต่างกัน แต่ว่าจะให้มากกว่าบุตรจากอนุภรรยาทั่วไปหน่อยก็ยังไม่เป็นไร”


นางเผยกลัวอย่างเดียวก็คือการที่ถูกคนอื่นมองว่าตนเองไม่คู่ควรเป็นสะใภ้ตระกูลเว่ย จึงตั้งใจเป็นแม่ใหญ่ที่มีเมตตาและคุณธรรมที่ทุกคนชมเชย เดิมก็ไม่ได้คิดจะให้เว่ยเกาฉานต้องลำบากอยู่แล้ว แน่นอนว่าตอนนี้จึงรับคำ “ข้าว่าลดจากของฉางเยียนภายหลังสักหน่อยก็ได้แล้ว อย่างไรเกาฉานก็เป็นบุตรสาวคนโต! คนโตคนเล็กมีลำดับกัน แม้ว่าบุตรจากอนุภรรยาจะอยู่ด้านหน้า แต่ก็จะให้รู้สึกอิจฉาเกินไปไม่ได้”


สามีภรรยาทั้งสองปรึกษาหารือกันเรื่องงานแต่งของบุตรสาว แน่นอนว่าข่าวนี้ถูกสาวใช้นำไปรายงานให้กับเจ้าของเรื่องเองด้วย เพราะนางเผยปฏิบัติกับบุตรสาวจากอนุภรรยาดีมาตลอด บุตรสาวทั้งสองยังมีหน้าตาคล้ายคลึงกันมากด้วย จึงเลี้ยงด้วยกันมาตลอด สาวใช้นำข่าวไปบอกกับเว่ยเกาฉาน เว่ยฉางเยียนก็ได้ยินจึงยิ้มแล้วกล่าวยินดีกับนาง


แม้ว่าเว่ยเกาฉานจะเสียดายที่ซ่งตวนเป็นเพียงตระกูลสาขาของตระกูลซ่งเท่านั้น แต่คราวนี้ซ่งตวนมีผลงานใหญ่มาก รวมกับที่ตระกูลซ่งและตระกูลเว่ยต่างก็ดูแลกันและกันมา ภายหลังอย่างไรก็คงไม่แย่แน่ อายุอย่างนางอย่างไรก็ต้องชมชอบให้ผู้คนชมเชยยกย่อง ชัยชนะของทางตอนเหนือ ซ่งตวนมีผลงานมาก ว่าที่สามีที่มีเกียรติยศอย่างนี้จึงทำให้ความเสียดายในความต่างของชาติตระกูลจางลงไปมาก


ในใจคิดอย่างนี้ ใบหน้าของเว่ยเกาฉานเขินอายและแดงขึ้นมา และกล่าวไม่ให้น้องสาวกล่าว


พี่น้องบ้านสามเล่นกันอย่างนี้ แน่นอนว่าข่าวจึงแพร่ไปทั้งตระกูลเว่ยอย่างรวดเร็ว


คุณหนูสี่จะหมั้น เรื่องน่ายินดีอย่างนี้ แต่ละเรือนต่างก็มาอวยพรยินดี คุณชายสามของบ้านสองกลับมาที่เฟิ่งโจวพอดี ดังนั้นบ้านใหญ่และบ้านสองต่างก็ส่งของขวัญมาให้บ้านสาม เพื่อไว้หน้าแก่หลานสาว และเพราะเขายินดีในชัยชนะของทางตอนเหนือมากจริงๆ เว่ยฮ่วนจึงให้คนจัดงานเลี้ยงต้อนรับทูตที่กลับมารายงานข่าวดีในเรือน แขกในงานเลี้ยงแน่นอนว่าคือซ่งตวนว่าที่หลานเขยของตระกูลเว่ย


บรรยากาศอย่างนี้ แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนเองก็ไม่ลืมบุตรหลานของตน เขาให้เว่ยฉางเฟิงเขียน ‘กาพย์ต้านทหาร’ หนึ่งบท เขาอ่านและแก้ไขด้วยตนเอง จากนั้นก็ให้เว่ยฉางเฟิงท่องจนคล่อง เตรียมเมื่อถึงงานเลี้ยงให้เขาได้มีหน้ามีตา ทั้งยังเป็นการส่งเสริมหลานชายคนนี้ให้ด้วย ในเมื่อจะพาเว่ยฉางเฟิงไปออกงาน หลานคนอื่นๆ แน่นอนว่าก็ต้องพาไปออกหน้าออกตาด้วย


ไม่เพียงแต่สายเขาเท่านั้น เว่ยฮ่วนยังส่งบัตรเชิญไปที่จวนจิ้นผิงกงและจวนฉวีเซี่ยนหนานด้วย งานเลี้ยงในตระกูลที่กล่าวว่าเป็นการฉลองชัยชนะจากทางตอนเหนือ จริงๆ แล้วกลับเป็นการให้บุตรหลานตระกูลเว่ยอาศัยโอกาสนี้แสดงชื่อเสียงออกไป


เพียงแต่ว่าแม้งานเลี้ยงจะจัดที่รุ่ยอวี่ถัง แต่จวนจิ้งผิงกงกับฉวีเซี่ยนหนานก็รู้กันดีว่า อาศัยแผนการที่พวกเขาคิดจะนำชื่อเสียงให้บุตรหลานของพวกเขา ก็ยังสู้เว่ยฉางเฟิงไม่ได้


สกุลเว่ยแต่ละสาขาก็มีการบอกกล่าวถึงหัวข้อที่จะกล่าวกันอยู่ เพื่อไม่ให้เหมือนกัน…


งานเลี้ยงอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับเว่ยฉางอิ๋ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งรักใคร่นางอย่างไรก็ไม่มีทางรับปากให้นางไปงานเลี้ยงด้วย แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะอยากรู้ในเรื่องการสงครามทางเหนือ แต่ว่าก็ได้แต่ต้องหันไปจับจ้องน้องชายของตนเว่ยฉางเฟิงแทน บีบให้เว่ยฉางเฟิงตอบรับว่าให้เขาฟังเรื่องการสงครามในงานเลี้ยงให้มากและฟังละเอียดจากนั้นก็กลับมาเล่าให้นางฟัง


เดิมการที่นางบีบให้เว่ยฉางเฟิงทำอย่างนี้ทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว เรื่องคราวนี้เองก็ไม่ได้สำคัญอะไร เว่ยฉางเฟิงกล่าวคุณธรรมของภรรยาไปไม่กี่ประโยค ก็ถูกสายตาดุดันของพี่สาวแท้ๆ และกำปั้นที่พุ่งมาตรงหน้าเข้า เขาไม่มีทางเลยจึงได้แต่ตอบรับไปอย่างจนใจ…เพียงแต่คิดไม่ถึงว่างานเลี้ยงจบแล้ว เว่ยฉางเฟิงกลับกลับมาที่เรือนเสียนซวงอย่างรีบร้อนด้วยสีหน้าประหลาด


เว่ยฉางอิ๋งเห็นเขาและได้กลิ่นสุราจางๆ บนร่างเขาก็พลันหน้าเข้มขึ้นทันที นางหักนิ้วเสียงดังแล้วปรายตามมองเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าบอกข้าว่า เจ้าลืมเรื่องที่ข้าสั่งเจ้าไปแล้ว?”


ตอนนี้เว่ยฉางเฟิงหมดหวังกับกิริยามารยาทไร้ความเป็นกุลสตรีตระกูลสูงและแทบจะกลายเป็นหญิงป่าเถื่อนของพี่สาวไปแล้ว เขาไม่มีอารมณ์ไปกล่าวอะไร เพียงแต่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านดูนี่”


 ………………………………………….


ตอนที่ 29 ป้ายเหล็ก (1)

โดย

Xiaobei

 


เว่ยฉางเฟิงแบมือออก เผยให้เห็นกระดาษก้อนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งปรายตามอง กระดาษนั่นคือกระดาษเขียนกลอนที่ตระกูลเว่ยใช้เขียนในงานเลี้ยง แล้วกล่าวอย่างแปลกใจว่า “นี่คืออะไร?”


“เมื่อครู่ตลอดทางมาข้าก็อาศัยแสงจากตะเกียงและมองบ้างแล้ว…” เว่ยฉางเฟิงยังกล่าวไม่ทันจบ เว่ยฉางอิ๋งก็รับเอาไปอย่างรวดเร็ว เดิมนางยังคิดว่าบนกระดาษเขียนอะไรไว้ คิดไม่ถึงว่าเข้ามาในมือกลับหนักราวกับห่ออะไรเอาไว้ เปิดออกดู กลับเป็นแผ่นป้ายเหล็กขนาดประมาณมือเด็กทารกข้างหนึ่ง


บนสุดของแผ่นป้ายเหล็กมีรูหนึ่งรู ราวกับเอาไว้ร้อยเชือกและเอาไว้แขวน บนป้ายเหมือนเป็นอักษรเค่อโต่ว[1]หรือรูปภาพ ไม่เหมือนอักษรจ้วน และไม่ใช่อักษรเจี๋ยกู่[2]…ตระกูลเว่ยรุ่งเรืองในด้านบัณฑิต ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่มีความรู้อย่างไร แต่สายตานางก็ยังมีอยู่ อักษรบนนี้ไม่ใช่อักษรในแผ่นดินนี้เลย กลับไปคล้ายอักษรของเผ่าหรงมากกว่า


ป้ายเหล็กทั้งอันดูหยาบ แต่กลับให้ความรู้สึกหนาและหนัก แม้ว่าจะเป็นสีดำสนิทไม่สะดุดตา แต่ว่าจะมองเป็นเพียงแค่ของธรรมดาชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้


เว่ยฉางอิ๋งเพ่งพิจอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจ นางยกไปด้านหน้าน้องชายแล้วถามซ้ำอย่างสงสัย “นี่มันคือของอะไร ใครให้เจ้ามา?”


เว่ยฉางเฟิงกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนกำลังดื่มสุรากันในงานเลี้ยง ข้าไปนั่งข้างกายซ่งตวนเพื่อถามเรื่องการสงคราม แต่กลับยังไม่ทันจะถามได้กี่คำ พี่สี่กลับมาดึงแขนเสื้อข้าอยากจะพูดกับซ่งตวน ข้าจึงยอมให้เขา…แต่ว่าก็กลัวว่ากลับมาแล้วจะอธิบายกับท่านไม่ได้ จึงเลือกที่นั่งใกล้ๆ แล้วนั่งลง เตรียมรอว่าหากพี่สี่กับซ่งตวนพูดกันจบแล้วข้าค่อยเข้าไป คิดไม่ถึงว่าตอนนี้หนึ่งในทูตจากทางเหนือมาหาข้า แล้วมายกสุราคารวะข้า ทั้งยังอาศัยจังหวะที่คนไม่ทันสังเกตเอาก้อนกระดาษนี้ยัดมาในมือข้า”


แม้ว่าเว่ยเกาชวนกับเว่ยเกาฉานจะไม่ได้เกิดจากแม่เดียวกัน แต่ว่าต่างก็เป็นคนบ้านสาม ตอนนี้ตระกูลเว่ยต้องการยกเว่ยเกาฉานให้กับซ่งตวน แม้ว่าเหล่าผู้ใหญ่จะเป็นคนจัดการ แต่ว่าในฐานะน้องชายต่างบิดา การไปสืบข่าวซ่งตวนให้กับพี่สาว ก็ทำให้เว่ยเกาฉานวางใจ และยังแฝงไปด้วยการตักเตือนซ่งตวนด้วยว่า เว่ยเกาฉานไม่เพียงแต่จะมีชาติตระกูลเท่านั้น พี่น้องของนางยังยอมออกหน้าให้นางด้วย


นี่คือสิ่งที่ควรทำ แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้โทษเว่ยฉางเฟิงที่ยอมถอยให้กับเว่ยเกาชวน จึงไม่ได้สนใจแล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทูตผู้ที่ให้สิ่งนี้เจ้ามาเจ้ารู้จักไหม?”


“ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงท่านปู่แนะนำแล้ว ต้องรู้จักอยู่แล้ว” เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “คนคนนั้นชื่อว่าหลี่ว์จื๋อฝ่าง เขามีตำแหน่งเป็นจู่ป๋อ[3]ของเมืองเหลียวเฉิง ตอนที่เผ่าหรงบุกเมือง เว่ยสวี่ผู้ว่าอำเภอเมืองเหลียวเฉิง และเว่ยโกวนายอำเภอได้นำทหารในเมืองด้วยตนเองเพื่อป้องกันการบุกโจมตีของประตูตะวันออกและประตูเหนือ ได้สั่งการให้หลี่ว์จื๋อฝ่างนำชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คุ้มกันหญิงและเด็กหนีไปทางประตูที่เหลืออีกสองฝั่ง…ประชาชนที่ยังเหลืออยู่ของเมืองจึงรอดด้วยเหตุผลนี้ หลี่ว์จื๋อฝ่างเองก็อยู่ในนั้น คราวนี้ซ่งหานให้เขาเป็นทูตก็เพราะเห็นแก่ที่เขามีคุณความดีที่ปกป้องประชาชน จึงไว้หน้าเขาและยอมให้โอกาสเขาได้พบหน้าท่านปู่และท่านอาสาม”


เขาชี้ไปที่ป้ายเหล็กในก้อนกระดาษแล้วกล่าวเสียงหนัก “ท่านพี่ไม่รู้จักมัน แต่ว่าข้ารู้จักมัน นื่คือยันต์คุ้มกายของคนเผ่าหรง”


เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ยันต์คุ้มกายหรือ?”


“ก่อนหน้านี้ท่านปู่ต้องการให้ข้าเขียน ‘กาพย์ต้านทหาร’ ข้าจึงไปค้นหาตำราหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับคนเผ่าหรงเอาไว้ออกมา” เว่ยฉางเฟิงขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวว่า “คนเผ่าหรงเชื่อในเรื่องเทพและปีศาจ ฐานะของนักบวชใหญ่ในเผ่าเป็นรองเพียงแค่ต้าเค่อหัน[4]เท่านั้นเอง ทุกครั้งที่พวกเขามีบุตร จะต้องไปขอยันต์คุ้มกันกายจากนักบวชใหญ่ ป้ายเหล็กอย่างนี้ ไม่ใช่อะไรที่เผ่าหรงทั่วไปจะมีได้ อย่างไรคนเผ่าหรงก็ไม่เข้าใจการตีเหล็ก อาวุธเหล็กต่างก็มาจากจงหยวนทั้งนั้น และมีค่ามาก ดังนั้นป้ายเหล็กขนาดไม่ใหญ่อันนี้ จะต้องเป็นของคนที่มีฐานะคนหนึ่งในเผ่าหรงถึงจะมีมันได้”


สีหน้าเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปแล้วกล่าวว่า “จากที่ว่ามันคือของคุ้มกันกาย จะต้องไม่ให้ห่างกายแน่ ในเมื่อมันมาอยู่ในมือของหลี่ว์จื๋อฝ่าง ไม่ต้องกล่าวก็รู้จุดจบของเผ่าหรงคนนี้! หรือว่าในศัตรูที่ถูกจับหรือถูกฆ่าในครั้งนี้บางทีอาจจะมีคนสำคัญของเผ่าหรงก็เป็นได้ แต่ว่าก็ไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย พ่อลูกตระกูลซ่งจะปิดบังเรื่องนี้ทำไมกัน?”


เว่ยฉางเฟิงมองไปที่พี่สาวตนแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ไม่แน่ว่าซ่งหานกับลูกอาจจะอยากปิดบังอะไร…ท่านคิดดูว่ายันต์คุ้มกันกาย ทำไมถึงเป็นหลี่ว์จื๋อฝ่างที่เป็นคนให้ข้า แต่ไม่ใช่ซ่งหานหรือซ่งตวนที่เป็นคนนำมันออกมา ผลงานของหลี่ว์จื๋อฝ่างมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือการปกป้องประชาชนได้สำเร็จ! เขาไม่ได้ไปสู้รบกับเผ่าหรงจริงๆ เลย แล้วเพราะอะไรถึงได้มีของติดกายของเผ่าหรงที่มีฐานะอยู่กับตัวได้?”


“เจ้าได้ไปคุยกับท่านปู่แล้วหรือยัง?” สัญชาตญาณของเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกได้ว่าพ่อลูกซ่งหานผิดปกติและถามออกไป


“ในงานเลี้ยงเมื่อครู่ ท่านปู่ดื่มสุราไปหลายจอก” เว่ยฉางเฟิงถอนหายใจแล้วกล่าว “ตอนนี้พักผ่อนแล้ว ข้าก็ไม่เหมาะจะไปรบกวน ไม่อย่างนั้นเรื่องอย่างนี้ข้าจะนำมาบอกท่านพี่ก่อนหรือ จะต้องบอกท่านปู่ก่อนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้กังวลเรื่องอื่น อย่างไรพ่อลูกซ่งหานก็เป็นแค่ตระกูลสาขาของตระกูลซ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็นลูกน้องของท่านอาสาม ต่อให้พวกเขามีอะไรไม่ดี ท่านปู่ก็จัดการพวกเขาได้ ข้าเพียงแต่คิดว่าท่านอาสามเพิ่งจะจับคู่พี่หญิงสี่ให้กับซ่งตวน อย่าให้ซ่งตวนกลายเป็นคนไม่ดี แต่ว่าตอนนี้ข่าวกลับปล่อยออกไปแล้ว…หากว่าไปทำให้เรื่องใหญ่ของพี่หญิงสี่ล่าช้าเข้าจะไม่ดี”


ที่เขากล่าวมาอย่างนี้ก็เป็นสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่ง วันรุ่งขึ้นเมื่อเว่ยฮ่วนตื่นขึ้นมา ได้ยินที่เว่ยฉางเฟิงรายงานแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาสั่งให้เอาป้ายเหล็กออกมาตรวจอย่างละเอียด จากประสบการณ์และความคิดของเว่ยฮ่วน เขาจึงพลันหัวเราะเสียงเย็นออกมาทันที “แม้ว่าเป่ยหูจะเรียกรวมว่าเผ่าหรงทั้งหมด แต่จริงๆ แล้วในเผ่าหรงเองก็มีแบ่งเผ่า อักษรบนป้ายนี้หากว่าแปลงเป็นภาษาของพวกเราก็คือ ‘ชื่อตู’ เดาก็รู้ว่าเจ้าของป้ายเหล็กนี้น่าจะเป็นคนเผ่าหรงที่ใกล้ชิดของเค่อหันเผ่าชื่อตู…เผ่าชื่อตูนี้ ได้ยินว่าตระกูลฝ่ายแม่ของน้าชายของต้าเค่อหันเผ่าหรง ต้าเค่อหันของเผ่าหรงตอนนี้ได้รับสืบทอดตำแหน่งมาจากหัวหน้าผู้เฒ่าและเคยถูกน้าชายคนนี้ขัดขวางทั้งยังท้าทายด้วย หากว่าไม่ใช่เพราะนักบวชสนับสนุน อาจจะไม่สำเร็จ แต่ถึงกระนั้น เดิมนักบวชใหญ่ก็เป็นรองเพียงแค่ต้าเค่อหันเท่านั้น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของต้าเค่อหันคนนั้นจะต้องไม่ดีแน่”


เว่ยฮ่วนฐานะเป็นหันหน้าตระกูลเว่ย แม้ว่าชื่อเสียงความสามารถจะสู้เว่ยซือกู่ในตระกูลที่โด่งดังไปทั้งแผ่นดินไม่ได้ แต่ว่าหากพูดถึงความรู้กว้างขวางแล้วเขาไม่ได้เป็นรองเว่ยซือกู่เลย กระทั่งอักษรภาษาของเผ่าหรงเขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง


จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ภายหลังเว่ยฉางเฟิงก็ต้องเรียนรู้ เพียงแต่ตอนนี้เขายังอายุน้อย ประวัติศาสตร์ความรู้ยังไม่เก่ง เว่ยฮ่วนไม่อยากให้เขาต้องสับสน เขาถึงได้ยังไม่รู้จักอักษรบนป้ายเหล็กนั่น ตอนนี้เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ท่านปู่ หรือว่าเรื่องของเมืองเหลียวเฉิง จะเป็นเพราะน้าชายของต้าเค่อหันเผ่าหรงที่อยากจะบีบให้ต้าเค่อหันสละตำแหน่ง?” คราวนี้เฟิ่งโจวได้ชัยชนะมา ผลการต่อสู้เทียบกับแผ่นดินต้าเว่ยทั้งหมดแล้วถือว่าคุ้มค่าที่จะฉลอง ผลงานต่อต้าเว่ยเป็นผลงานใหญ่ และแน่นอนว่าสร้างความอนาจให้กับเผ่าหรงอย่างหนัก ฐานะต้าเค่อหันของเผ่าหรงไม่ได้มั่นคงอย่างนั้น เผ่าที่ควบคุมเสียหายหนักอย่างนี้ขอให้ต้าเค่อหันส่งทหารมาเพื่อหา ‘ความยุติธรรม’ กลับไป หากว่าต้าเค่อหันไม่อนุญาต จะต้องทำให้ใจคนสั่นคลอนแน่ หากว่าอนุญาต แม้ว่าต้าเว่ยจะกำลังค่อยๆ เสื่อมโทรม แต่ว่าประเทศยังคงมีกำลัง ยังไม่ใช่อะไรที่เผ่าหรงจะสามารถบุกรุกเข้ามาได้ ต่อให้เป็นเผ่าชิวตี๋ทางตะวันตกของต้าเว่ยเองก็เช่นกัน…


ทำให้ต้าเค่อหันของเผ่าหรงต้องลำบากใจอย่างนี้ แน่นอนว่าเป็นโอกาสของน้าชายคนนี้…


เว่ยฮ่วนมองไปที่หลานชายอย่างชื่นชม แต่กลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้พูดไม่ได้ จะต้องไปสืบข่าวอย่างละเอียดเสียก่อนถึงจะมั่นใจได้ ที่ข้าพูดที่มาของป้ายเหล็กนี้ กลับหมายถึงพ่อลูกซ่งหานที่ช่างใจกล้านัก!”


………………………………..


[1] อักษรเค่อโต่ว : อักษรโบราณอย่างหนึ่งที่มีจำนวนเส้นมาก มีหัวใหญ่และหางเล็ก


[2] อักษรเจี๋ยกู : อักษรบนกระดูกสัตว์ เป็นอักขระโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของจีน เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน โดยมากอยู่ในรูปของบันทึกการทำนายที่ใช้มีดแกะสลักหรือจารลงบนกระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์


[3] จู่ป๋อ : ลูกน้องของขุนนางระดับสูง มีหน้าที่ดูแลกิจการด้านหนังสือเอกสาร


[4] ต้าเค่อหัน : ตำแหน่งหัวหน้าเผ่า


ตอนที่ 29 ป้ายเหล็ก (2)

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางเฟิงครุ่นคิด “ทางตอนเหนือได้ชัยชนะ ที่แท้ก็มีเรื่องภายในจริงๆ หรือ?” เมื่อคืนนี้ตอนที่เขาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ยังอายุน้อย ทั้งยังพบเรื่องอย่างนี้เป็นครั้งแรกอีก จึงไม่มั่นใจนัก ตอนนี้เว่ยฮ่วนกล่าวถึงซ่งหานและซ่งตวนขึ้นมา เท่ากับเป็นการยืนยันการคะเนของเขา


“แค่เรื่องภายในที่ไหน?” เว่ยฮ่วนยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “เดิมคิดว่าซ่งหานยกผลงานของตนให้กับบุตรชายคนโต เพื่อให้ซ่งตวนมาสู่ขอที่บ้าน! คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่กลับบังอาจนัก กลับกล้าชิงผลงานของคนอื่นมาให้บุตรของตน มิน่าแม้ทางตอนเหนือจะสงบแล้ว ซ่งหานกลับส่งบุตรชายกลับมารายงานผลชัยชนะที่เฟิ่งโจวก่อน ตนเองกลับนำทัพตามมาทีหลัง และอ้างว่าร่างคนตายจะต้องจัดการ จึงไม่ยอมรีบเคลื่อนทัพ! เดิมข้ายังคิดว่าเขาอยากจะแสดงตนออกมาให้ดี เกรงว่าตอนนี้คงกำลังกวาดล้างคนปิดปากแล้ว!”


เขาชี้ไปที่ป้ายเหล็กนั้น “ของชิ้นนี้นับจากที่ไปขอมาจากนักบวชใหญ่ คนเผ่าหรงก็จะเก็บไว้กับตัวตลอด กระทั่งตายก็ยังไม่ถอดออกมา และฝังไปพร้อมกับร่าง! เผ่าหรงล่าสัตว์ดำรงชีพ ไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอย่างคนต้าเว่ย พวกเขาอยู่บนหลังม้าบ่อยครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ของสำคัญชิ้นนี้หายไปและยากจะหากลับมาได้ พวกเขาต่างก็ใช้เชือกที่สั้นมากห้อยไว้ที่คอ อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะหลุดมาจากศีรษะได้! มีบ้างที่ส่งต่อให้กับลูกหลาน แต่ลูกหลานเองก็มักจะทำอย่างนี้เช่นกัน!  ดังนั้นป้ายเหล็กชิ้นนี้จะต้องได้มาหลังจากตัดคอ หากว่าข้าเดาไม่ผิด ทางเหนือได้ชัยชนะมาจริง อย่างไรผลการสู้รบส่วนหนึ่งซ่งตวนก็ได้นำกลับมาเป็นหลักฐานแล้ว รูปลักษณ์ของคนเผ่าหรงต่างไปจากประชาชนของพวกเรา ไม่มีทางฆ่าคนอื่นมาหลอกลวงได้! แต่ว่าชัยชนะนี้จะมีผลงานของพ่อลูกซ่งหานเท่าไหร่นักยากจะกล่าวได้แล้ว…แค่อาศัยป้ายเหล็กนี้ หากว่าไม่ใช่หัวหน้าของเผ่าหรงที่บุกเข้ามาในครั้งนี้ ก็ต้องเป็นรองแม่ทัพ! ผลงานการฆ่าหัวหน้าฝ่ายศัตรู ซ่งหานกลับชิงมาให้กับบุตรชายทั้งหมด! แล้วป้ายเหล็กชิ้นนี้จะกลายเป็นหลี่ว์จื๋อฝ่างที่ไม่ได้สู้กับเผ่าหรงเลยมอบให้กับเจ้าได้อย่างไร?!


ผู้นำของศัตรูจะต้องถูกคนที่เกี่ยวข้องกับหลี่ว์จื๋อฝ่างฆ่าได้ ส่วนที่ว่าผลงานการวางแผนดักคนเผ่าหรงจะใช่คนคนนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้! อย่างไรการฆ่าหัวหน้าฝ่ายศัตรูได้ก็เป็นพฤติกรรมของแม่ทัพที่กล้าหาญ เฟิ่งโจวของพวกเราไม่ขาดผู้ชายที่ซื่อสัตย์ แต่ว่าผู้ที่สามารถบัญชาการทหารโจมตีเผ่าหรง ผู้ที่มีความสามารถอย่างนี้กลับหาได้ไม่ง่ายนัก ตระกูลเว่ยของพวกเราแน่นอนว่าให้ความสำคัญกับแม่ทัพมีความสามารถที่กล้าหาญ!” เว่ยฮ่วนกล่าวเสียงเย็นว่า “ดังนั้นหากว่าการวางกับดักเผ่าหรงคือผลงานของซ่งหานหรือซ่งตวน ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปชิงผลงานการฆ่าหัวหน้าฝ่ายศัตรูอีก…เกรงว่าผลงานทั้งสองชิ้นนี้คงจะมาจากคนเดียวกัน ในเมื่อซ่งหานแย่งผลงานเขาไป จึงเอาไปทั้งหมด!”


เว่ยฉางเฟิงคิดไม่ถึงว่าป้ายเหล็กหนึ่งชิ้นกลับมีเรื่องราวได้ถึงขนาดนี้ จึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เขาถอนหายใจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ตอนที่ข้าพูดกับท่านพี่ข้าก็เดาได้ว่าผลงานของซ่งตวนมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ว่าเฟิ่งโจวคือที่มั่นของตระกูลเว่ยพวกเรา พ่อลูกซ่งหานกลับกล้าทำเรื่องอย่างนี้ได้หรือ ทำไมเขาถึงคิดว่าจะสามารถปิดบังท่านปู่ได้?”


“หากคิดจะปิดบังเป็นเวลานานนั้นไม่มีทางทำได้ แต่ว่าหากปิดบังแค่ระยะเวลาสั้นๆ…” เว่ยฮ่วนนิ่งไปแล้วกล่าวว่า “หลี่ว์จื๋อฝ่างที่เอาป้ายเหล็กมาให้เจ้าคนนั้น เจ้าคิดว่าเขามีชาติกำเนิดอย่างไร ในแคว้นไม่ได้มีแซ่หลี่ว์ ข้าจำได้ว่าเขาเป็นประชาชนทั่วไป เป็นเว่ยสวี่ที่ตอนขึ้นมารับตำแหน่งเห็นว่าเขามีความสามารถโดยบังเอิญ จึงได้ดึงเขาขึ้นมา!”


เว่ยฮ่วนเตือนเข้า เว่ยฉางเฟิงพลันได้สติขึ้นมาทันที “หากว่าผู้ที่ถูกซ่งหานชิงเอาผลงานไปคือลูกหลานพวกเราตระกูลเว่ย หรือเป็นสกุลใหญ่อื่นๆ แน่นอนว่าไม่มีทางปิดบังท่านปู่ได้ แต่หากว่าเป็นเพียงประชาชนทั่วไป ถ้าอย่างนั้น…”


ความต่างของระดับชั้นราวกับเส้นกันขอบฟ้า ต่อให้ซ่งหานเป็นเพียงตระกูลสาขาของตระกูลซ่ง แต่ว่าก็ยังเป็นลูกหลานตระกูลมีชื่อ แม้ว่าเว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะรังเกียจที่ชาติกำเนิดของเขาสู้บ้านตนไม่ได้ แต่ว่าหากเทียบกับประชาชนทั่วไปแล้ว…ซ่งหานกับซ่งตวนต่างก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น


ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งซ่งหานคิดอยากจะพบเว่ยฮ่วนยังไม่ง่าย อย่าว่าแต่ประชาชนทั่วไปเลย นอกจากนี้หากว่าซ่งหานฆ่าคนปิดปาก จะไม่ใช่การป้องกันอีกอย่างหนึ่งหรือ เขาคือจ่างสื่อของเฟิ่งโจว อ้างว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไม่ยอมให้ประชาชนเข้าใกล้ที่ของรุ่ยอวี่ถัง ก็ถือว่าสมเหตุสมผล ต่อให้คนคนนั้นไม่ยินยอมที่ถูกแย่งชิงผลงานไป แต่ว่าก็ไม่สามารถหาคนให้ความยุติธรรมแก่ตนได้ แล้วจะเรียกความยุติธรรมกลับมาได้อย่างไร


หากว่าถอยกลับไปมอง ตอนนี้ข่าวที่เว่ยเกาฉานแต่งงานลดฐานะกับซ่งตวนได้แพร่ออกไปแล้ว หากว่าพิธีการหมั้นมาถึง ต่อให้เว่ยฮ่วนรู้ภายหลัง แต่ว่าตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจวจะทำเรื่องที่รับปากแล้วคืนคำได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลสามียังเป็นบุตรหลานของตระกูลซ่งที่มีสัญญาการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายรุ่นด้วย พิจารณาแทนหลานสาวถึงตรงนี้ และเพื่อชื่อเสียงของตระกูล อย่างมากเว่ยฮ่วนก็คงทำได้เพียงสั่งสอนพ่อลูกซ่งหานหนักๆ เท่านั้น แต่อย่างไรก็ไม่สามารถกล่าวเรื่องเหล่านี้ออกมาและทำเรื่องใหญ่โตเพื่อประชาชนคนหนึ่งได้


ถึงตอนนั้นต่อให้ซ่งหานกับซ่งตวนยอมรับผิดอย่างไร…ตระกูลเว่ยก็ไม่มีทางที่จะชิงเอาเว่ยเกาฉานกลับมาที่บ้านแม่ได้ อย่างไรหญิงสาวก็แต่งงานแล้ว เว่ยฮ่วนจะขัดเคืองพฤติกรรมของทั้งสองอย่างไรก็ไม่สามารถไม่สนับสนุนซ่งตวนได้


“เมื่อคืนนี้หากว่าไม่ใช่เพราะหลี่จื๋อฝ่างได้เข้าร่วมงานเลี้ยง ฉางอิ๋งฝากฝังให้เจ้าไปสืบการสงครามทางตอนเหนืออย่างละเอียด เกาชวนคิดอยากจะสนับสนุนให้เกาฉาน…แลกเปลี่ยนที่ไปมากลับเป็นโอกาสให้เขาได้!” เว่ยฮ่วนกล่าวสีหน้าเข้มว่า “หากว่าไม่ใช่เพราะบังเอิญอย่างนี้ ป้ายเหล็กนี้ไม่มีทางเข้ามาในมือเจ้าได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นแน่ พวกเรา…เหอๆ ตระกูลพวกเราตอนนี้มีเรื่องที่ต้องยุ่งมากมาย การต่อสู้ของทางตอนเหนือเดิมก็เป็นซ่งหานอยู่แล้วที่เป็นผู้จัดการ ขอแค่ผลงานต่อสู้สุดท้ายทางตอนเหนือไม่มีผิดพลาด แล้วจะไปสงสัยซ่งหานได้อย่างไร?”


รายงานข่าวดีกับราชสำนัก ปลอบโยนจิตใจประชาชนในแคว้น สืบหาสาเหตุที่เผ่าหรงแฝงเข้ามาในเฟิ่งโจว การต่อสู้ลับๆ กับเว่ยฉี และแซ่หลิวแห่งตงหู…แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะฉลาดมาก แต่ต้องสนใจเรื่องมากมายขนาดนี้ อย่างไรก็มีเรื่องที่ละเลยไป


สีหน้าของเว่ยฉางเฟิงเองก็ไม่ดีนัก “ซ่งหานทำอย่างนี้ จะไม่ใช่ว่าเพื่อจะมาสู่ขอจากท่านอาสามหรือ เขามีแผนคิดจะหลอกลวงให้พี่หญิงสี่ลดฐานะลงไปแต่งงาน ทำเกินไปแล้วจริงๆ”


“ส่งคนไปคุ้มครองหลี่ว์จื๋อฝ่างก่อน” เว่ยฮ่วนลูบเครานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งการให้บ่าวคนสนิทด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แม้ว่าเมื่อคืนเจ้าจะบังเอิญไปนั่งใกล้กับเขาเอง เขาเองก็อาศัยช่วงที่ไม่มีใครสนใจเอาของให้เจ้า…แต่ว่าในงานเลี้ยงเดิมก็มีสายตามากมายอยู่แล้ว หากว่าถูกซ่งตวนรู้เข้า คนคนนี้เกรงว่าคงไม่ปลอดภัยแน่!”


แล้วกล่าวต่อว่า “ในเมื่อหลี่ว์จื๋อฝ่างได้รับการฝากฝังให้เอาป้ายเหล็กให้เจ้า ดูแล้วผู้ที่ถูกชิงผลงานไปก็เป็นคนมีความสามารถ กลับสามารถหนีได้ถึงตอนนี้!”


เว่ยฉางเฟิงมองไปยังบ่าวที่โค้งตัวรับคำแล้วออกไปถ่ายทอดคำสั่งก็กล่าวเตือนว่า “ท่านปู่ งานแต่งของพี่หญิงสี่…” ในเมื่อซ่งหานกับซ่งตวนเป็นคนอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางให้เว่ยเกาฉานแต่งงานไปได้ ปัญหาคือตอนนี้ข่าวได้แพร่ออกไปแล้ว ในเมืองทั้งบนล่างต่างก็รู้แล้วว่าขุนนางผู้มีผลงานชัยชนะทางตอนเหนือได้กำลังจะเป็นเขยของตระกูลเว่ยแล้ว ไม่เพียงแต่ต้องรีบจัดการเรื่องนี้เท่านั้น เกรงว่าถึงตอนนั้นหากถูกซ่งหานกับซ่งตวนทำให้ได้แต่ต้องแต่งงานไป จะเป็นการไม่ยุติธรรมกับเว่ยเกาฉานเกินไปแล้ว


“เจ้าไปพูดกับท่านย่าเจ้า ใหชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน” เว่ยฮ่วนกล่าว “ท่านย่าเจ้ามีแผนการ” เห็นได้ชัดว่าความคิดของเขาไม่ได้อยู่ในเรื่องงานแต่งของหลานสาวที่เกิดจากอนุภรรยาคนหนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “พูดจบแล้วกลับมา อีกสักครู่ข้าจะให้คนลอบไปพาหลี่ว์จื๋อฝ่างมาที่ห้องหนังสือเพื่อไถ่ถาม เจ้าไปฟังข้างๆ” เรื่องคราวนี้ทำให้เว่ยฮ่วนรู้สึกจนใจกับอายุของหลานชายที่ยังน้อยขึ้นมาอีกครั้ง รุ่ยอวี่ถังที่ยิ่งใหญ่ ในราชสำนักกลับมีเพียงบุตรคนรองเว่ยเซิ่งอี้ เฟิ่งโจวก็มีเพียงตัวเขาคนเดียว…ก่อนหน้านี้ยังดี แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องมากขึ้น อย่างไรก็มองไม่ทั่วถึง หลานชายที่ถึงวัยมัดจุกแล้ว หากว่าให้เอาแต่ตั้งใจเล่าเรียนก็จะเป็นการรักใคร่เอ็นดูมากเกินไป พาเขามาสั่งสอนเถอะ


เว่ยฉางเฟิงรีบโค้งแล้วกล่าวว่า “ทราบ!”


…………………………………………



ตอนที่ 30 ยกเลิกการแต่งงาน

โดย

Xiaobei

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งฟังที่เว่ยฉางเฟิงกล่าวสรุปมาแล้ว สีหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมา เว่ยเกาฉานหลานสาวคนนี้ในใจนางแน่นอนว่าไม่สามารถเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งหลานสาวแท้ๆ ได้ แต่จะอย่างไรก็เป็นหญิงตระกูลเว่ย เกือบจะถูกตระกูลสาขาฝั่งแม่หลอกแต่งงาน…นี่ไม่ใช่แค่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกคับแค้นใจแทนหลานสาวเท่านั้น แต่ยิ่งทำให้นางขัดเคืองซ่งหานที่ทำให้ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานขายหน้า!


ยังดีว่าผู้ที่มาบอกกล่าวเรื่องนี้คือเว่ยฉางเฟิงหลานชายที่รัก ต่อหน้าสายเลือดของตนแล้วฮูหยินผู้เฒ่าซ่งล้วนแต่มีกิริยานุ่มนวลอ่อนโยนมาตลอด นางถึงไม่ได้สะบัดแขนทุบโต๊ะอย่างโมโห นางสะกดอารมณ์ แล้วให้เว่ยฉางเฟิงกลับไปหาเว่ยฮ่วนเพื่อไปเรียนรู้กับท่านปู่ต่อ จากนั้นก็ให้เฉินหรูผิงไปด้านหน้าและเรียกเว่ยเซิ่งเหนียนมา


เว่ยเซิ่งเหนียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินหรูผิงแน่นอนว่าก็ไม่ได้บอกเขา ดังนั้นเขายังคิดว่าท่านแม่ใหญ่เรียกตนไปเพื่อถามเรื่องการเตรียมงานแต่งงานของเว่ยเกาฉาน เขากลัวท่านพ่อท่านแม่จนชินแล้ว เมื่อได้ยินว่าท่านพ่อท่านแม่เรียก ในใจก็รู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ใช่เรี่องที่เขาให้นางเผยจัดเตรียมของแต่งงานให้กับเว่ยเกาฉานมากเกินไปทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าเสียกฎหรือไม่ หรือว่าเพียงแค่ถามไถ่ธรรมดา


เขาคาดเดาอย่างนี้ไปตลอดทาง เมื่อไปถึงด้านหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เว่ยเซิ่งเหนียนก็พลันตกใจทันที ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่รอให้เขาคารวะแต่ชี้หน้าเขาแล้วด่าทอทันทีว่า “เจ้าทำเรื่องงามนัก!”


ทำให้เว่ยเซิ่งเหนียนที่เดิมจะคารวะธรรมดากลายเป็นสะบัดชุดคลุมแล้วคุกเข่าลงไปทันทีพลางกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านแม่อภัยด้วย ลูกเพียงแค่คิดว่าเกาฉานเป็นบุตรสาวคนโต จึงให้นางเผยเพิ่มเติมของแต่งงานลงไปไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะให้นางเกินหน้าบุตรจากภรรยาเอกเลย”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ฟังกลับนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “ใครเรียกเจ้ามาว่าเรื่องพวกนี้กัน?! เจ้าคิดว่าข้าว่างนักหรือ! ข้าถามเจ้า เจ้ายกเกาฉานให้กับซ่งตวน เจ้าได้ไปสืบมาก่อนไหมว่าซ่งตวนกับพ่อของเขาเป็นคนอย่างไร?!”


เว่ยเซิ่งเหนียนสับสนอย่างไร เมื่อได้ฟังอย่างนี้ก็รู้ทันทีว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่ได้โมโหที่เขากับนางเผยเพิ่มของแต่งงานให้กับเว่ยเกาฉาน แต่กลับเพราะไม่พอใจงานแต่งงานครั้งนี้ ในใจเขาวุ่นวายมาก ความดีใจหลายวันมานี้ราวกับถูกน้ำเย็นราดใส่ แต่ว่าเขาอ่อนแอมากจนเคยชินแล้ว เมื่อได้ยินที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวในใจก็ตกใจทันที และไม่รู้จะทำอย่างไร จึงกล่าวไปอย่างไม่รู้ตัวว่า” ซ่งหานกับซ่งตวนเป็นคนอย่างไร…ลูกได้ฟังมาว่า…ไม่ได้เลวร้าย!”


“คนเขาหวังในตัวบุตรสาวเจ้า แล้วจะให้เจ้าได้เห็นด้านที่ไม่ดีของเขาหรือ?!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองไปที่เขาอย่างแค้นใจที่เขาไม่ได้เรื่อง บุตรจากอนุภรรยาทั้งสองคนนี้ทำไมไม่มีใครวางใจได้เลย บุตรอนุภรรยาคนที่สองเฉลียวฉลาดมีความสามารถ แต่กลับฉลาดมากเกินไปหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงต้องคอยจับจ้องไว้อย่างไม่วางใจ บุตรจากอนุภรรยาคนที่สามก็ซื่อเกินไป จนถึงขนาดไร้ประโยชน์ กลับทำให้ผู้ใหญ่ต้องมาคอยกังวลและจัดการเรื่องแทนเขา!


เหนื่อยเพราะบุตรชายตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต่อให้ต้องเหนื่อยจนใจสลายก็ยังยินดี แต่ว่าเพื่อบุตรจากอนุภรรยา ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะคิดอย่างไรก็รู้สึกไม่ชอบใจ! ดังนั้นจึงไม่สนว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะเข้าใจเมื่อเรียกเขามาถึงก็ด่าทอก่อนจนทำให้เว่ยเซิ่งเหนียนเหงื่อไหลโทรมกายแล้วนางถึงได้ลดโทสะลงพลางกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้ากลับไปแล้วส่งข่าวไปว่าเกาฉานป่วย ให้นางหลบอยู่ในเรือนสักวันสองวัน จากนั้นให้คนไปพูดว่า เกาฉานกับซ่งตวนนั้นชะตาไม่ต้องกัน ไม่เหมาะจะเป็นสามีภรรยา! เอาอย่างนี้ล่ะ!”


จนถึงตอนนี้ เว่ยเซิ่งเหนียนก็ยังไม่เข้าใจและสับสนเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวคนโต แต่ก็ไม่กล้าถามแม่ใหญ่ จึงได้แต่ตอบรับอย่างระมัดระวังแล้วกลับไปที่บ้านสาม เขากล่าวเรื่องทั้งหมดกับนางเผยโดยไร้อารมณ์ว่า “เจ้าบอกให้เกาฉานทำอย่างนี้ก่อนเถอะ ท่านแม่เป็นผู้สั่งการลงมา”


นางเผยกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “พูดกันดีแล้ว แล้วทำไมถึงได้ไม่อนุญาตล่ะ?”


“เจ้าถามข้าแล้วให้ข้าไปถามใคร?!” สองวันมานี้เว่ยเซิ่งเหนียนรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องที่ทำให้พ่อแม่วางใจได้แล้ว แต่กลับถูกแม่ใหญ่ด่าทอมายกใหญ่อย่างนี้ ในใจเขาอึดอัดคับข้องใจมาก ไม่กล้ากล่าวอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เมื่อถูกภรรยาถาม จึงระเบิดทันทีว่า “ถามให้มากความทำไม! ทำตามไปอย่างนี้ไม่ใช่ว่าได้แล้วหรือ เจ้าอยากรู้ทำไมเจ้าไม่ไปถามท่านแม่เอง!”


นางเผยโมโหจนตาแดงก่ำ เกือบจะร้องไห้ออกมา งานแต่งงานครั้งนี้ เดิมก็เป็นเว่ยเซิ่งเหนียนที่เป็นผู้จัดการ หากไม่ใช่เพราะเว่ยเซิ่งเหนียนกล่าวว่าซ่งตวนดีอย่างไร จากที่นางเผยหาสามีให้กับเว่ยเกาฉาน อย่างไรก็ไม่มีทางมองซ่งตวนแน่ เพื่อไม่ให้คนจงใจกล่าวว่านางจงใจปฏิบัติกับบุตรสาวจากอนุภรรยาไม่ดี!


พอมาวันนี้เกิดเรื่อง ตนเองในฐานะภรรยากับแม่ใหญ่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ก็ควรจะถามสักคำ คิดไม่ถึงว่าเว่ยเซิ่งเหนียนที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทำให้โมโหมา กลับมาระบายอารมณ์กับตน! เพียงแต่ว่านางเผยน้อยเนื้อต่ำใจในชาติตระกูลมาตลอด กระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีบุตรชายสนับสนุน อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าในบ้านสามีตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พูดอะไร ทั้งยังกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเพิ่งจะกล่าวว่าให้ยกเลิกงานแต่งงานของเว่ยเกาฉานก่อนอีก ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหยุดงานแต่งที่อนุญาตไปแล้วอย่างนี้ หากว่าตอนนี้ทะเลาะกับเว่ยเซิ่งเหนียนขึ้นมา ให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้เข้าและวุ่นวายใจ นางคงยิ่งไม่ชอบใจบ้านสามเข้าไปอีก


เมื่อเทียบกันแล้ว นางเผยก็กัดปากอดทนไว้ พร้อมกับเรียกสาวใช้คนสนิทให้ส่งข่าวไปบอกเว่ยเกาฉาน


แต่ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนบอกกล่าวเรื่องราวแล้วก็รีบไปยังเรือนของอนุภรรยาที่เพิ่งจะรับมาใหม่เพื่อระบายอารมณ์ นางเผยน้อยใจแล้วแต่กลับไม่วางใจที่จะปล่อยเรื่องราวไปโดยไม่ถามไถ่อย่างนี้ เพียงแต่ว่าให้นำคำจากเว่ยเซิ่งเหนียนไปถามฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนางก็ไม่กล้า คิดไปคิดมาจึงอ้างว่านำดอกไม้ไปให้แล้วไปหาฮูหยินซ่งที่บ้านใหญ่ด้วยตนเอง


ตอนนี้ฮูหยินซ่งเองก็ได้ยินว่างานแต่งงานของบ้านสามถูกยกเลิก เห็นนางเผยมาหา นางจะไม่รู้หรือว่าสาเหตุอะไร ภรรยาทั้งสองถามไถ่กันไม่กี่ประโยชค ฮูหยินซ่งเห็นสีหน้าของนางเผยไม่ดีจึงไล่บ่าวใช้ออกไปแล้วถามอย่างเอาใจใส่ “กังวลใจเรื่องเกาฉานหรือ เจ้าไม่ต้องคิดมาก งานแต่งงานครั้งนี้เดิมก็ไม่ได้ดีมากมายอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ท่านพ่อยังสืบหาได้ว่าซ่งหานและซ่งตวนนั้นไม่ใช่คนดีมีเมตตา กังวลว่าหากเกาฉานแต่งงานออกไปกลับกลายเป็นไปตกหลุมของพวกเขา ถึงได้สั่งให้หยุดงานแต่งงานครั้งนี้เอาไว้”


เดิมนางเผยเองก็เดาไว้ว่าพ่อลูกซ่งหานคงต้องมีอะไรที่ไม่ถูกใจเว่ยฮ่วนหรือฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ถึงได้ยกเลิกงานแต่งที่อนุญาตไปแล้วอย่างนี้ ตอนนี้ได้ยินฮูหยินซ่งกล่าว ก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เมื่อครู่สามีกลับไปและรีบร้อนกล่าวว่าให้เกาฉานป่วยสักสองสามวัน บอกว่าชะตาของซ่งตวนกับเกาฉานไม่ต้องกัน…ข้ายังไม่ทันจะถามสาเหตุที่แน่ชัด เขาก็มีธุระจากไปก่อนแล้ว ข้าไม่เข้าใจเรื่องราว แล้วจะไปกล่าวกับเกาฉานอย่างไร คิดแล้วจึงมาสืบหาจากพี่สะใภ้”


เว่ยเซิ่งเหนียนเป็นคนอย่างไรฮูหยินซ่งจะไม่รู้หรือ เมื่อได้ยินก็รู้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนเกรงว่าคงถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งด่าทอตำหนิไป ไม่กล้าต่อปากกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง กลับไปจึงใส่อารมณ์กับภรรยา เมื่อระเบิดอารมณ์เสร็จก็จากไป นางเผยมองเห็นบุตรจากอนุภรรยาเป็นเหมือนลูกตนมาตลอด แม้ว่าจะทะเลาะกับเขาก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจเว่ยเกาฉานได้ จึงได้แต่ต้องมาหาตนเพื่อสืบข่าวจากบ้านใหญ่ น้องสะใภ้คนนี้ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ


เดิมฮูหยินซ่งก็ไม่ชอบใจเว่ยเซิ่งเหนียนอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าน้องชายสามีคนนี้ทั้งไร้ความสามารถทั้งเลอะเลือน จึงกล่าวว่า “น้องสามทำเกินไปแล้ว งานแต่งงานของบุตรสาวคนโต อย่างไรก็ต้องพูดคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องก่อนค่อยไป ต่อให้มีธุระ แต่ว่าพูดคุยกันให้ชัดเจนจะใช้เวลาเท่าไหร่กัน?”


แม้ว่านางเผยตอนนี้จะรู้สึกน้อยใจเว่ยเซิ่งเหนียนมาก แต่ว่านางก็ไม่ยินดีฟังคนอื่นกล่าวว่าสามีตนเอง อย่างไรสามีภรรยาก็เป็นร่างเดียวกัน เว่ยเซิ่งเหนียนไม่ดี นางเผยเองก็ไม่มีหน้า จึงกล่าวเบี่ยงไปว่า “พี่สะใภ้บอกข้าหน่อยเถอะว่าซ่งตวนกับซ่งหานมีพฤติกรรมไม่ดีหรือ ก่อนหน้านี้ไปสืบมาเหมือนจะไม่ได้ยินเรื่องนี้?”


“เรื่องนี้ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ ท่านพ่อกำลังสืบให้ชัดเจน” ฮูหยินซ่งกล่าวเสียงเบา “เกี่ยวกับการสงครามทางตอนเหนือ…หญิงอย่างพวกเราอย่าไปแทรกเลย ต้องรอให้ฉางเฟิงกลับมาก่อนถึงจะรู้อย่างละเอียด ตอนนี้บ้านของเราเพียงรับปากงานแต่งเพียงแต่ลมปากเท่านั้น ซ่งหานยังมาไม่ถึงเฟิ่งโจว! ดูแลเกาฉานให้ดีก่อน ทางฝั่งของซ่งหาน มีท่านพ่อท่านแม่อยู่ อย่างไรก็ไม่มีทางให้พวกเขาอยู่ดีแน่!”


…พูดอย่างนี้ไม่ใช่เหมือนกับไม่ได้พูดหรือ นางเผยจนใจแต่กลับตื่นตัวขึ้นมา “เกี่ยวข้องกับสงครามทางตอนเหนือ ฟังแล้วเรื่องไม่เล็กเลย สามีเป็นผู้เสนอซ่งตวนมา…คงไม่ใช่ว่าเมื่อยกเลิกงานหมั้นแล้ว ยังจะมาเกี่ยวข้องกับบ้านสามหรอกนะ?”


บุตรชายจากอนุภรรยาไร้พรสวรรค์ ถูกบุตรจากภรรยาเอกของบ้านใหญ่ทำให้มืดมนไป แม้ว่าจะอยู่ในการอบรมของอาจารย์อย่างเว่ยซือกู่แต่ก็เพียงแค่อาศัยชื่อเสียงอย่างเดียวเท่านั้น ตอนนี้กระทั่งงานแต่งของบุตรสาวคนโตจากอนุภรรยายังติดขัดอย่างนี้…นางเผยเทียบบ้านสามกับบ้านใหญ่แล้วอย่างไรก็วางใจไม่ได้ ลอบคิดว่าตนเองคือแม่ใหญ่ของเว่ยเกาฉาน แต่วันนี้สาเหตุที่ทำให้งานแต่งงานนางเปลี่ยนไป กลับยังรู้น้อยกว่าฮูหยินซ่งผู้เป็นป้าสะใภ้คนนี้เลย


ถามจากฮูหยินซ่งอย่างละเอียดไม่ได้ นางเผยกลับไปที่บ้านสามอย่างผิดหวังได้ไม่นาน เว่ยเกาฉานก็ตาแดงก่ำมาพร้อมกับน้องสาว เว่ยฉางเยียน อ้างว่ามาคารวะแต่มาถามสาเหตุที่แท้จริง


แต่ว่านางเผยยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ทั้งยังได้ยินฮูหยินซ่งกำชับมาว่าเกี่ยวข้องกับการสงครามทางเหนืออย่าได้พูดออกไป จึงได้แต่พูดอย่างคลุมเครือว่า “ท่านย่าของพวกเจ้าคิดว่าซ่งตวนมีฐานะต่ำทรามเกินไปหน่อย”


“แต่ว่าครั้งที่แล้วไม่ใช่บอกว่าท่านย่าอนุญาตแล้วหรือ?” เว่ยเกาฉานถามไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว เมื่อพูดไปแล้วจึงได้รู้สึกว่าพลั้งปากไป ราวกับว่านางจะต้องแต่งกับซ่งตวนอย่างนั้น นางร้อนรนจนน้ำตาตกแล้วร้องไห้พลางกล่าวว่า “ลูกเองก็ไม่พูดเรื่องอื่น แต่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็มาอวยพรแล้ว ของขวัญอวยพรก็รับมาหมดแล้ว ตอนนี้…เป็นอย่างนี้…แล้วลูกจะออกไปไหนได้อย่างไร?”


แม้ว่าในใจของนางเผยเองก็ไม่สบอารมณ์นัก แต่เห็นบุตรสาวจากอนุภรรยาเป็นอย่างนี้ก็ยังรู้สึกน้อยใจแทนนาง นางถอนหายใจแล้วกล่าวปลอบใจว่า “เรื่องครั้งนี้อย่างไรก็โทษเจ้าไม่ได้ พูดไปแล้วเป็นเพราะซ่งหานคนนั้นที่ไม่ดี ทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วย ยังดีว่าของหมั้นยังไม่มา บ้านเราก็เพียงรับปากไปแต่ลมปากเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานอะไร แล้วจะทำอะไรได้ นอกจากนี้อย่างไรบ้านเราก็ต้องเข้าข้างเจ้า แล้วจะพูดว่าอะไรเจ้าได้อย่างไร?”


เว่ยเกาฉานกัดปากถามว่า “ท่านแม่ ซ่ง…ทางฝั่งนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


“รายละเอียดตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ว่าท่านปู่ของพวกเจ้าสืบได้ว่าซ่งตวนเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ” นางเผยกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “สายตาท่านปู่เจ้าแน่นอนว่าต้องดี และคิดให้พวกเจ้า”


แล้วกล่าวต่อว่า “ยังดีว่าเรื่องวันนี้ยังยื้อไว้ได้ พวกเราไม่รับ ด้านนอกใครจะรู้ว่าเรื่องการแต่งงานก่อนหน้านี้เป็นเพียงข่าวลือหรือไม่ เจ้าก็ยังอายุน้อย อีกสักพักค่อยให้ท่านย่าเจ้าหาให้เจ้าใหม่ เรื่องอย่างนี้ ถือเสียว่าไม่มีเกิดขึ้น”


นางเผยปลอบประโลมเว่ยเกาฉานอย่างใจเย็น และเรียกให้เว่ยฉางเยียนอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว พูดกล่อมแล้วให้พวกนางกลับเรือนไป ส่วนตนเองก็ถอนหายใจแล้วขมวดคิ้วว่าตอนนี้บ้านสามต้องทำอย่างไรถึงจะดี


ทว่าเว่ยเกาฉานแม้ว่าจะกลับไปที่เรือนของตนแล้ว แต่กลับไม่สามารถวางใจได้ เมื่อน้องสาวตนกลับเรือนไป ก็ปรึกษากับแม่นมของตน “ก่อนหน้านี้งานแต่งครั้งนี้ท่านปู่กับท่านย่าต่างก็ตกลงแล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอม เดี๋ยวอนุญาตเดี๋ยวไม่อนุญาต ข้า…ข้าจะไปพบคนอื่นได้อย่างไร!”


แม่นมต่วนกล่าวเตือน “ฮูหยินกล่าวแล้วว่า ไม่ใช่ความผิดของคุณหนู คุณหนูไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไรสักนิด ก็เพียงฟังคำของผู้ใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้กล่าวว่ายกคุณหนูให้กับซ่งตวน แต่ว่าของหมั้นอะไรมีที่ไหน ทางบ้านไม่ยอมรับ ด้านนอกใครจะรู้ว่าจริงหรือเท็จ คุณหนูวางใจเถอะ ฮูหยินใหญ่จัดการบ้านเข้มงวดมาตลอด ไม่มีใครที่ไหนกล้าพูดอะไร ส่วนเหล่าคุณหนูคุณชายก็ไม่ใช่คนชอบพูดมาก ใครก็รู้ว่าคราวนี้คุณหนูถูกกล่าวหาและได้รับความไม่เป็นธรรม ยังจะมาหาเรื่องคุณหนูหรือ?”


แม้ว่าเว่ยเกาฉานจะรู้สึกว่ามีเหตุผล แต่คิดว่าก่อนหน้านี้ตนเองรับของขวัญอวยพรมาอย่างเอียงอายแล้ว ทั้งยังถูกน้องสาวอย่างเว่ยฉางเยียนล้อด้วย…ทั้งยังเตรียมแต่งงานอย่างตื่นเต้นอีก แต่ทว่าตอนนี้กลับถูกบอกว่างานแต่งไม่สำเร็จ แม้ว่าตนเองจะไม่ได้อยากแต่งงานกับซ่งตวน แต่ว่าคิดอย่างไรก็รู้สึกเหลวไหล


นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านปู่ท่านย่าเปลี่ยนความคิด”


แม่นมต่วนเห็นนางเก็บน้ำตาไปก็ถอนหายใจแล้วออกความคิดว่า “หัวหน้าตระกูลกับฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่คุณชายห้ากับคุณหนูสาม บ่าวเห็นว่า สู้ไปเชิญคุณหนูสามให้ไปสืบข่าวให้ดีไหม?”


การถูกยกให้แต่งงานอย่างคลุมเครือและถูกยกเลิกงานแต่งอย่างคลุมเครือ รวมกันแล้วก็เป็นเวลาไม่กี่วันเท่านั้นหากว่าเป็นเด็กสาวคนอื่นจะมีใครไม่เคืองไม่โมโหลงบ้าง หากไม่สืบข่าวอย่างละเอียด อย่าว่าแต่เว่ยเกาฉานเลย แม้แต่แม่นมต่วนเองก็ยังกลืนโทสะนี้ไม่ได้


แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เว่ยเซิ่งเหนียนกับนางเผยไม่กล้าถาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนางเจ้านายและบ่าวเลย คิดไปคิดมาเป็นเว่ยฉางอิ๋งที่พูดได้ง่ายสุด


……………………………………………..


ตอนที่ 31 จะไม่มีแล้ว

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางอิ๋งที่ซ้อมหมัดกลับมาตลอดทางจากหน้าประตูเรือนเสียนซวงจนถึงหน้าห้องแค่สิบกว่าก้าว จูหลันที่เข้ามาต้อนรับก็กล่าวเรื่องของเว่ยเกาฉานอย่างคล่องแคล่วจนรู้เรื่อง


จากนั้น สาวใช้ทั้งหลายก็เห็นเว่ยฉางอิ๋งชะงักไป แล้วตามมาด้วยสีหน้ายินดีอย่างน่าประหลาด!


ทุกคนกำลังสงสัยว่าเว่ยฉางอิ๋งกับเว่ยเกาฉานไม่มีความแค้นอะไรกัน แล้วทำไมได้ยินว่างานแต่งของน้องสาวถูกยกเลิกถึงได้ดีใจอย่างนี้ เห็นเว่ยฉางอิ๋งเหมือนจะรู้ตัว จึงพยายามระงับความดีใจไว้ ก้าวเข้าประตูไป เว่ยเกาฉานกับแม่นมต่วนเพิ่งจะกล่าวอย่างมีมารยาทไม่กี่คำ เว่ยฉางอิ๋งก็รับปากอย่างจริงใจและรับรองแล้วว่าตนเองจะต้องช่วยอย่างแน่นอน


ดังนั้น เมื่อส่งน้องสาวที่ซาบซึ้งออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงไปอาบน้ำอย่างรีบร้อน นางเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงแล้วรีบไปหาฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง จากนั้นก็กล่าวขออย่างตรงไปตรงมาว่าจะไปที่ห้องหนังสือของเว่ยฮ่วนด้วยกันกับเว่ยฉางเฟิงเพื่อฟังรายละเอียดการสงครามทางเหนือข้างๆ ด้วย คำขอนี้ก่อนหน้านี้วันหนึ่งนางกล่าวออกมาและถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งแย้งกลับมาทันควันพร้อมกัน นางกำลังอึดอัด เว่ยเกาฉานก็หาเหตุผลมาให้นาง หากว่านางไม่มาตื๊ออีกก็แปลกแล้ว


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้ดีถึงแผนการอ้างเรื่องส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนางดี นางจึงขมวดคิ้วแล้วจิ้มไปที่หน้าผากของนางว่า “ห้องหนังสือของท่านปู่ของพวกเจ้าแม้ว่าจะอยู่ที่เรือนหลัง แต่ว่าตอนนี้ผู้เดินเข้าออกกลับเป็นนายทหารและบ่าวผู้ชายเสียมาก เจ้าเป็นสตรีในห้องหอไปจะได้อย่างไรกันหา?”


เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วกล่าว “คนที่เข้าออกที่เรือนท่านปู่เป็นทหารอายุมากและพวกบ่าวไพร่ ทั้งหมดต่างก็เป็นบ่าวของบ้านเราทั้งนั้นจะเป็นอะไรไป อีกอย่างท่านปู่กับฉางเฟิงก็อยู่ด้วย ไม่ได้พบกับพวกเขาตามลำพังเสียหน่อย”


ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว “เจ้ามีเหตุผลอยู่เรื่อย แต่ว่าเจ้าจะต้องรีบร้อนทำไมกัน ท่านปู่เจ้าสืบเรื่องชัดเจนแล้ว หรือว่าฉางเฟิงจะไม่บอกเจ้าหรือ?”


“เมื่อคืนนี้ท่านปู่พาฉางเฟิงไปพบกับหลี่ว์จื๋อฝ่างคนนั้นแล้ว แต่ว่าหลี่จื๋อฝ่างนำป้ายเหล็กให้ฉางเฟิงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลย…เมื่อคืนฉางเฟิงถูกท่านปู่เรียกไปที่ห้องหนังสือ ตลอดทั้งคืนก็ยังไม่ได้กลับไปที่เรือนหลิวหวาเลย” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างน้อยใจและเสียใจ


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถอนหายใจ “เจ้าเด็กนี่ทำไมถึงได้วางใจไม่ได้อย่างนี้ เรื่องนี้ท่านปู่เจ้าเป็นคนจัดการ ทั้งยังมีฉางเฟิงไปเรียนรู้การรับมือ ไม่ให้เจ้าต้องวุ่นวายใจไม่ดีหรือ?”


น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มและทอดถอนใจอย่างจับได้ยาก เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งเป็นวัยกำลังผลิบาน เป็นช่วงที่มีกำลังมากแล้วจะรู้ถึงความปลงอนิจจังของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่ผ่านมากกว่าครึ่งชีวิตได้อย่างไร นางทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วตื๊อไม่จบไม่สิ้น “ข้าไปฟังดู ห้องหนังสือของท่านปู่ใหญ่มาก ข้าไปยืนที่นั่นอีกคนก็ไม่ได้มากไป…ข้าไปฝนหมึกวางกระดาษให้ท่านปู่ดีไหม ท่านย่า ท่านย่า! ตอนนี้ทุกวันหากไม่ใช่ว่าฝึกวิชายุทธ์ก็ไปฟังท่านแม่สั่งสอน ข้าอึดอัดจะแย่แล้ว ยากจะมีเรื่องใหม่มา ให้ข้าไปฟังเถอะ!”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทั้งรักใคร่นางแต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรตามใจนาง จึงกล่าวอย่างปวดหัวว่า “เรื่องใหญ่อย่างนี้ เจ้าคิดว่าฟังนิทานหรือ ทำอย่างนั้นไม่ได้”


น้ำเสียงลังเลและสั่นคลอนของนางปิดบังเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังออดอ้อนอย่างเต็มที่ไม่ได้ นางจึงรีบกล่าวว่า “ข้าคิดว่าไปฟังนิทานเสียที่ไหนกัน ท่านย่าคิดดู คราวนี้น้องหญิงสี่เตรียมตัวจะแต่งงานไปอย่างยินดี คิดไม่ถึงว่าเตรียมได้ไม่กี่วันกลับเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น! แม้ว่าบ้านเราต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้โทษน้องหญิงสี่ไม่ได้ แต่ว่าอย่างไรน้องหญิงสี่ก็เป็นผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรม เป็นเพราะพ่อลูกซ่งหานนั่นที่ไม่ดี ก่อนหน้านี้พวกเราต่างก็ไปอวยพรที่บ้านสามมา แล้วน้องหญิงสี่ตอนนี้จะลงอย่างไร ตอนนี้น้องหญิงสี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่อยากรู้สาเหตุเท่านั้น…ท่านย่าหากว่าเรื่องนี้ยังไม่บอกนาง ไม่ใช่ว่าน่าเสียใจเกินไปหรือ อย่างไรคนที่จะแต่งงานและไม่ได้แต่งก็เป็นนาง!”


เว่ยเกาฉานแม้ว่าใจจะไม่มีความสุข แต่ว่างานแต่งงานพ่อแม่เป็นผู้จัดการ หากว่าให้นางแต่งงานกับซ่งตวนไปตามที่ท่านพ่อผู้เหลวไหลของนางอย่างเว่ยเซิ่งเหนียนจัดการ ถึงตอนนั้นถึงจะเรียกว่ากล้ำกลืนอย่างแท้จริง!


ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าการขวางการแต่งงานครั้งนี้ให้นางถือว่าเป็นการช่วยนาง แล้วหลานสาวคนนี้ยังจะมีอะไรให้โกรธเคืองอีก ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนางเสียหน่อย นางไม่มีอารมณ์จะไปปลอบให้นางมีความสุขโดยเฉพาะหรอก เพียงแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็รู้ดีว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ใช่ว่าจะทำเพื่อน้องสาวทั้งหมด เป็นนางเองมากกว่าที่อยากรู้เรื่องการสงครามทางตอนเหนือ แค่ยกเอาเว่ยเกาฉานมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น


ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “งั้นหรือ หากเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว ตอนนี้ในใจเกาฉานคงกำลังโมโหสินะ?”


“ไม่มีเรื่องนี้เลย!” เว่ยฉางอิ๋งก็ใช่จะเลอะเลือน นางรู้ว่าท่านย่ารักใคร่นางกับน้องชายนางมาตลอด แต่กับน้องชายน้องสาวต่างก็ไร้อารมณ์ ลูกหญิงชายบ้านสามแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ท่านย่าแค้นเคืองอย่างบ้านสอง แต่ว่าหากจะกล่าวว่ารักใคร่ก็จะเกินไป จิตใจทั้งหมดของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต่างก็อยู่ที่บ้านใหญ่ กระทั่งเว่ยเจิ้งอินบุตรสาวแท้ๆ ที่แต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวงยังได้รับไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานของอนุภรรยาทั้งหลายเลย


หากว่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดว่าเว่ยเกาฉานมีใจคิดแค้นเพราะงานแต่งครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีทางเห็นใจหรอกว่าหลานสาวคนนี้จะได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร มีแต่แค้นใจที่นางไม่รู้ความ…บุตรสาวคนโตจากอนุภรรยา ถูกท่านย่าใหญ่แค้นเคืองเข้า ยังจะมีอนาคตอะไรอีก


เว่ยฉางอิ๋งอยากจะใช้น้องสาวเป็นเบาะรอง แต่กลับไม่คิดจะทำร้ายเว่ยเกาฉาน เห็นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวมาอย่างนี้จึงรีบอธิบายแทนเว่ยเกาฉานทันที “น้องหญิงสี่เป็นคนอย่างไรท่านย่ายังไม่รู้หรือ นางเป็นคนอบอุ่นนุ่มนวลและสงบมาตลอด อย่างไรก็เป็นอาสะใภ้สามที่สั่งสอนมา แล้วจะกล่าวโทษผู้ใหญ่ได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไร เรื่องคราวนี้ก็เป็นเรื่องของนาง นางอยากจะถามให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่ามีเหตุผลหรือ?”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งส่ายหัวแล้วกล่าว “เจ้านี่นะ! น้องสาวพี่สาวให้เจ้ามา ในบ้านของตนเอง มีข้าอยู่ มีแม่เจ้าอยู่ เจ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นก็ยังไม่เป็นไร แต่หากว่าทำจนเป็นนิสัย วันหลังไปบ้านสามี ผู้ใหญ่ตระกูลเสิ่นยังจะคิดแทนเจ้าอย่างที่ข้ากับแม่เจ้าทำหรือ?”


“เพราะข้ารู้ว่ามีท่านย่ากับท่านแม่อยู่! ถึงได้กล้าทำตามใจตนเองอย่างนี้” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เมื่อแต่งงานไปแล้ว ข้ายังจะเป็นอิสระอย่างนี้ได้ที่ไหนกัน ดังนั้นต้องอาศัยตอนที่ยังไม่แต่งงานไปนี้เสพสุขที่มีท่านย่าและท่านแม่คอยคุ้มครองให้มาก! ตอนนี้หากว่าไม่เสพสุขให้มาก แต่งงานไปเป็นภรรยาแล้ว ข้ายังจะมีโอกาสอีกหรือ?”


คำพูดอย่างนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลันปวดใจขึ้นมา บุตรสาวบุตรชายนางเสียไปมากมาย เดิมคิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่มีหลานแท้ๆ ของตนเองแล้ว คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะเมตตาและส่งเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องให้ เพื่อแลกกับชีวิตที่สงบและสุขสบายของหลานทั้งสอง ให้นางตายทันทีนางก็ยินดี ตอนนี้หลานสาวที่นางรักใคร่ทะนุถนอมอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว ปีหน้าก็จะต้องไปเป็นคนของตระกูลเสิ่น


ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองหลานสาวเหมือนแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าจะรักใคร่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เลือดเนื้อเชื้อไข ต่อให้เอาแต่ใจอย่างไรหรือขออะไรเกินไปเท่าไหร่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ยังคงมองว่าน่ารัก แต่ว่าตระกูลเสิ่นจะปฏิบัติกับเว่ยฉางอิ๋งอย่างนี้ไหม


ไม่โทษเด็กนี่ที่กระตืนรือร้นอยากจะสืบข่าวของทางตอนเหนืออย่างนี้…ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ เดิมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งสนใจเรื่องสงครามทางตอนเหนือมากอย่างนี้ที่ไหนกัน เกรงว่าเด็กนี่คำนวณว่าวันแต่งงานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว แม้ว่าต่อหน้าผู้ใหญ่จะร้องกล่าวอยู่ตลอดว่าวิชาที่นางฝึกซ้อมมาตลอดเป็นระยะเวลาสิบสองปีจะต้องสามารถตีจนสามีหมอบลงไปไม่กล้าขัดใจได้แน่ แต่จริงๆ แล้วในใจนางเองก็ไม่มั่นใจ…


จะมั่นใจได้อย่างไร พูดไปแล้ว แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเกิดที่เมืองหลวง แต่ว่าตอนที่กลับมาเฟิ่งโจวนางก็เพิ่งจะอายุได้หนึ่งสัปดาห์ไม่นาน พูดถึงเสิ่นเซวียน เสิ่นจั้งเฟิงและซูซิ่วมั่นแล้ว นางต่างก็เคยเห็น ทว่าเด็กอายุขนาดนั้นจะจำอะไรได้กัน คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของนางทั้งนั้น ไม่เพียงแค่คน สถานที่ก็ต่างออกไป ที่เมืองหลวงที่ห่างไกล  อารองในราชสำนักก็มีความขัดแย้งกับท่านย่าใหญ่และบ้านใหญ่อย่างหนัก อย่าว่าแต่จะพึ่งพิงเลย นางยังต้องคอยระวังว่าจะถูกเหล่าอาและอาสะใภ้จัดการอีกด้วย!


ส่วนท่านอาหญิงแท้ๆ ของนางแน่นอนว่าต้องเข้าข้างนาง แต่ว่าเว่ยเจิ้งอินเองก็เป็นภรรยาคนหนึ่ง พูดถึงศักดิ์ฐานะแล้วก็เป็นน้องสะใภ้ของฮูหยินซูไม่ใช่พี่สะใภ้ อีกอย่างตระกูลที่เว่ยเจิ้งอินแต่งงานไป ตระกูลซูแห่งชิงโจวเองก็เป็นตระกูลใหญ่ มีภรรยาพี่ชายพี่สะใภ้และท่านลุงท่านอาต้องดูแล ตัวนางเองก็มีบุตรสาวแท้ๆ หากว่าต้องมาสนใจหลานสาวอีก จะดูแลนางได้เท่าไหร่กัน?


เว่ยฉางเฟิงกล่าวว่าหญิงจากภรรยาเอกของตระกูลเว่ยแห่งเฟิงโจวแต่งงานไปแล้วใครจะกล้ารังแก ใช่แล้ว โดยผิวเผินใครจะกล้าทำให้หนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งหกของแผ่นดินอย่างหญิงตระกูลเว่ยต้องเสียหน้า แต่ว่าความขัดแย้งลับหลังจะมีสักเท่าไหร่ที่กล้าออกนอกหน้ากัน ฝีมือลับๆ เว่ยฉางอิ๋งที่ถูกคุ้มครองดีอย่างไร อย่างไรก็เกิดในตระกูลใหญ่ ได้เห็นได้ยินมานางจะไม่รู้หรือว่าอยากจะให้คนไม่มีความสุขไม่แน่ว่าจะต้องฉีกหน้ากันและทะเลาะกันใหญ่โต


แต่งงานไปอย่างนี้ ทั้งชีวิตของเว่ยฉางอิ๋งยังจะได้กลับมาที่เฟิ่งโจวหรือไม่ก็ยังพูดไม่ได้ การสนับสนุนจากบ้านแม่ก็เป็นเพียงแค่การคุ้มกันหากว่านางไม่ได้ทำเรื่องที่น่ารังเกียจมากออกมา ตำแหน่งภรรยาเอกของนางก็จะไม่สั่นคลอนเท่านั้น…


เรื่องอื่นๆ ยังต้องดูตัวนางเอง


ไข่มุกบนฝ่ามือที่เติบโตมาด้วยความทะนุถนอมและตามใจ ทำอะไรตามใจและอิสระเสรีมาตลอดสิบเจ็ดปี เวลาที่งดงามอย่างนี้กลับราวกับความงดงามในบทกลอน ต้องจากไปจากที่คุ้นเคยและสภาพแวดล้อมที่สบายใจไปยังเมืองหลวงที่ห่างไกล ไปยังบ้านสามีตระกูลเสิ่น ต้องจากไปจากผู้ใหญ่ที่มองตนเองจนเติบใหญ่ ไปเป็นคนของบ้านคนอื่น!


เว่ยฉางอิ๋งดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ว่าในใจนางจะไม่มีความกังวลและหวาดกลัวหรือ


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนึกย้อนกลับไปในหนึ่งปีมานี้ที่หลานสาวร่ำร้องว่าจะตีเสิ่นจั้งเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมานางกัดฟันฝึกซ้อมอย่างยากลำบากก็ยังไม่เคยพูดบ่อยอย่างนี้ ฮูหยินซ่งยุ่งกับการดูแลบ้าน และยังต้องกังวลกับอาการป่วยของสามี รวมกับที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนกระตืนรืนร้นสดใสมาตลอด และเป็นพวกเอาแต่ใจเย่อหยิ่งเสมอมา กระทั่งฮูหยินซ่งเองก็ยังละเลยการเปลี่ยนแปลงในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ของบุตรสาว ที่นางดุดันขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าคงเป็นเพราะในใจของนางที่รู้สึกกังวลขึ้นเรื่อยๆ


หากว่าไม่ได้กังวลว่าเมื่อแต่งงานไปแล้วจะต้องเจอกับอะไร เว่ยฉางอิ๋งจะฝืนตนเองไปฝึกฝนวิชายุทธ์ที่นับว่าไม่เลวแล้ว และคิดตลอดว่าจะต้องตีเสิ่นจั้งเฟิงจนไร้ทางตอบโต้ เพราะว่าหวาดกลัว ถึงได้ต้องดุดันมากขึ้น


ความดุดันนี้ไม่ได้อยากให้คนอื่นเห็น แต่ว่าส่วนมากคือการปลอบประโลมตนเอง ต้องจากไปจากบ้านที่คุ้นเคยมาตลอดสิบเจ็ดปี จากไปจากผู้ใหญ่ทั้งหลายที่คุ้นเคย จากไปจากพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน…แม้ว่าจะต้องไปยังตระกูลที่แปลกหน้า ไปยังสถานที่แปลกหน้าที่ไม่รู้จักเลย แต่ว่าข้าไม่กลัว ข้ามีวิชายุทธ์ ข้าร้ายกาจมาก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเฟิ่งโจว แม้ว่าจะไม่มีท่านย่ากับท่านแม่คอยอยู่ข้างกายแล้ว แม้ว่าฉางเฟิงกับท่านพี่ซ่งจะไม่อยู่ แต่ว่าข้าก็ยังมีความสามารถที่จะปกป้องตนเองได้


ข้าไม่กลัวว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะปฏิบัติกับข้าไม่ดี หากว่าทำกับข้าไม่ดี ข้าก็จะตีเจ้า!


ข้าไม่กลัวว่าแม่สามีฮูหยินซูจะปฏิบัติกับข้าไม่ดี หากว่าไม่ดีกับข้า ข้าเป็นวิชายุทธ์ ข้าสามารถตีเสิ่นจั้งเฟิงทำให้นางปวดใจได้!


คำพูดอย่างเด็กๆ นี้ เบื้องหลังที่ปกปิดไว้ คือดวงใจที่ลังเลและรู้สึกไวต่อความหวาดกลัวไร้หนทางของหญิงสาวที่จะต้องแต่งงานจากไปไกล!


คำพูดเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะออดอ้อน แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการพูดอารมณ์ในใจของเว่ยฉางอิ๋งที่แท้จริงออกมาอย่างไม่รู้ตัว ต่อไป เมื่อนางแต่งงานไปแล้ว ยังจะมีปีกของท่านย่าและท่านแม่ปกป้องอย่างนี้ ไม่ต้องกังวลใจกับเรื่องใดๆ สามารถทำเรื่องที่ตนอยากจะทำ ยิ้มหัวเราะและซุกซนได้เต็มที่ สามารถพูดสิ่งที่ตนต้องการได้อีกหรือ?


ดังนั้นอาศัยตอนที่ตนเองยังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ย ยังไม่ใช่ฮูหยินตระกูลเสิ่น เสพสุขให้เต็มที่เถอะ!


มีความสุขได้ระยะหนึ่งก็ระยะหนึ่ง เพราะเมื่อแต่งงานไปแล้ว เมื่อจากไปจากเฟิ่งโจวแล้ว เพราะเมื่อเป็นภรรยาคนอื่นแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!


สิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องการสงครามของทางตอนเหนือ และไม่ใช่สนใจอยากรู้อยากจะไปห้องหนังสือของเว่ยฮ่วนจริงๆ แต่ว่านางเพียงอยากจะออดอ้อนอย่างนี้ อยากจะมาตื๊ออย่างนี้ อยากจะไร้เหตุผลอย่างนี้ เพื่อพยายามที่จะซึมซับแสงสว่างของการเป็นไข่มุกบนฝ่ามือสุดท้ายของนาง


เพราะปีหน้านางก็จะไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยอีก แต่ว่าเป็นฮูหยินน้อย…


ตอนเป็นคุณหนูใหญ่ นางมีท่านย่า มีท่านแม่ มีพี่สาว มีน้องชาย ความคิดของนางเป็นอิสระ ไร้การผูกมัด ในฐานะฮูหยินน้อย พ่อแม่สามี พี่สะใภ้น้องสะใภ้ มีน้องหญิงน้องชายของสามี…ทั้งยังมีสามีที่มีแต่ฟ้าดินถึงจะรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไรอีก


ภายหลัง ใครจะรู้ว่ายังจะมีอนุภรรยามาแบ่งสามีกับนางไหม ยังจะมีบุตรหญิงชายจากอนุภรรยาที่มาแบ่งคนคนนั้นกับเลือดเนื้อเชื้อไขของนางไหม


และทุกอย่างนี้ นางจะต้องไปเผชิญหน้าด้วยตนเองทั้งนั้น เฟิ่งโจวกับเมืองหลวง ห่างกันนับพันลี้ ต่อให้รายงานด่วนของฝ่ายการทหาร ไปมาก็ยังต้องใช้เวลาหลายวัน…เป็นภรรยาคนพบเรื่องลำบาก ไม่ได้มีเพียงเรื่องเดียว หรือว่าจะต้องกลับมาขอความช่วยเหลือจากบ้านแม่เสียทุกครั้งหรือ?


เว่ยฉางอิ๋งที่นิสัยแข็งจะยอมเสียหน้าอย่างนี้ได้หรือ?


ตระกูลเว่ยเองก็ขายหน้าอย่างนี้ที่ไม่ได้สั่งสอนบุตรสาวที่อาศัยแต่บ้านแม่ตนเอง…


ดังนั้นวันเวลาทุกวันนี้ผ่านไปหนึ่งวันก็น้อยลงไปหนึ่งวัน อาศัยที่ยังสามารถออดอ้อนในอ้อมอกของท่านย่าได้อย่างเต็มที่ อาศัยที่ยังมีคนคอยคุ้มหัวให้นางอย่างในอดีต อาศัยที่ตนเองยังเป็นคุณหนูใหญ่ที่ได้รับความรักใคร่จากผู้ใหญ่และได้รับความเคารพจากคนรุ่นเดียวกัน คว้าโอกาสทั้งหมดอยู่ท่ามกลางความรักการปกป้องและการได้รับการตามใจอย่างนี้เถอะ…


เพราะว่า อีกไม่กี่เดือน ก็จะไม่มีแล้ว


…………………………………………..


ตอนที่ 32 โม่ปินเว่ย

โดย

Xiaobei

ยากนักที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถูกหลานสาวออดอ้อนแล้วจะไม่ยินดี แต่กลับรู้สึกเศร้า เพียงแต่นางนิ่งเงียบไปนาน คิดไม่ถึงว่ากว่าจะคิดถึงคำปลอบประโลมเว่ยฉางอิ๋งได้ บังเอิญก็คือ ซวงหลี่เข้ามารายงาน “คุณชายห้ามาแล้ว”


“ไอหยา! จะต้องเป็นท่านปู่ที่สืบหาเรื่องชัดเจนแล้วแน่ และให้ฉางเฟิงมาบอกท่านย่า” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินดวงตาก็เป็นประกาย แล้วรีบตบไปที่โต๊ะตรงหน้าทันที ทั้งยังกล่าวอย่างทนไม่ได้ว่า “ซวงหลี่รีบไปเรียกเขาเข้ามาเร็ว!”


“…” นางพลันยินดีขึ้นมาอย่างนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกว่าบรรยากาศอย่างนี้ไม่เหมาะนักที่จะให้นางกล่าวอย่างลึกซึ้งด้วย จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ พลางมองไปที่ซวงหลี่ที่กำลังมองมาที่ตน “เรียกฉางเฟิงเข้ามา!”


ท่ามกลางเสียงเร่งของพี่สาวตน ฉางเฟิงคารวะให้ท่านย่าตนอย่างไม่รีบร้อน แล้วประสานมือให้กับเว่ยฉางอิ๋ง ยังไม่ทันกล่าวอะไร หัวก็ถูกเม็ดถั่วโยนใส่เม็ดหนึ่ง “รีบพูด รีบพูด ทางตอนเหนือเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


คำพูดที่ว่า ‘การกระทำอย่างนี้เสียมารยาทของสตรีห้องหอ’ มาถึงปากเขา แต่เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งหยิบเม็ดบ๊วยในมืออีก ก็กลืนลงไป “ท่านปู่คาดไว้ไม่ผิด เป็พ่อลูกซ่งหานจริงๆ ที่ชิงเอาผลงานคนอื่นมา!”


เว่ยฉางอิ๋งตบโต๊ะทันทีอย่างโมโหแล้วกล่าวว่า “พ่อลูกคู่นี้ไม่ใช่คนดีจริงๆ! ซ่งตวนคนนั้นทั้งชาติตระกูลความสามารถไม่ถึงที่จะมาสู่ขอน้องหญิงสี่ได้ กลับกล้าชิงผลงานมาสู่ขอ หากว่าไม่ใช่ท่านปู่ฉลาด เกือบจะหลอกลวงทำร้ายเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของน้องหญิงสี่แล้ว!” นางเชิดคางขึ้นแล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งว่า “ท่านย่า พ่อลูกสองคนนี้รังแกตระกูลเว่ยเราเกินไปแล้ว! จะปล่อยพวกเขาไปไม่ได้!”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพยักหน้า “นี่มันแน่นอน สตรีตระกูลเว่ยของพวกเราต้องได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างนี้เมื่อไหร่กัน หลอกแต่งงานมาถึงตระกูลของพวกเรา ซ่งตวนกับซ่งหานช่างรนหาที่ตายจริงๆ!” พ่อลูกทั้งสองในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาย ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสนใจคือเหตุและผล นางจึงไล่สาวใช้ทั้งหลายออกไป เหลือไว้เพียงสาวใช้คนสนิทที่ไว้ใจเท่านั้น แล้วจึงถามหลานชาย “พวกเขาชิงมาได้อย่างไร?”


…เรื่องนี้พูดแล้วก็เป็นเพราะพ่อลูกซ่งหานดวงไม่ดี เพราะว่าผู้ที่ถูกเขาชิงเอาผลงานมานั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นประชาชนธรรมดาอย่างที่เว่ยฮ่วนคาดเดาเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่ญาติสนิททุกคนในเมืองเหลียวเฉิงต่างก็เสียหมดแล้วด้วย แม้ว่าเคยทำหน้าที่เป็นมือปราบของเหลียวเฉิง พอจะมีตำแหน่งฐานะและมีมิตรสหายอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นประชาชนธรรมดา


คนอย่างนี้ พูดตามหลักการแล้วทั้งชีวิตก็ยังไม่มีหวังที่จะข้ามหน้าซ่งหานและซ่งตวนเอาเรื่องมาบอกกับเว่ยฮ่วนได้ แล้วการคิดจะบอกเรื่องความจริงก่อนงานแต่งงานของเว่ยเกาฉานและซ่งตวน ยิ่งยากกว่ายาก ต้องรู้ว่าคราวนี้พ่อลูกซ่งหานถึงกับดึงตระกูลสาขาของตระกูลเว่ยมากมายมาเป็นหลักฐานเพื่อให้ได้ตามที่ต้องการ เตรียมการแล้วว่าอย่างน้อยก็ต้องปิดบังเว่ยฮ่วนได้สามปีห้าปี


ตามปกติแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจะแต่งงานปีหน้า เว่ยเกาฉานที่เป็นน้องสาวตามชื่อ ที่อายุน้อยกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงสองเดือน ตอนนี้มีการหมั้นหมายกัน ปีหน้ากลางปีอย่างไรก็ได้แต่งออกแน่ งานแต่งของตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเว่ยเมื่อตกลงกันแล้ว คนจะต้องแต่งแน่นอน อย่างไรก็ไม่มีทางยกเลิกงานแต่งแน่


สามปีห้าปีหากว่าไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างไรเว่ยเกาฉานก็ต้องมีบุตรแล้ว…


ถึงตอนนั้นหากเรื่องถูกเปิดโปงยังจะทำอะไรได้อีก เว่ยฮ่วนฝีมือเหี้ยมโหดอย่างไร ก็ไม่มีทางยอมให้หลานสาวต้องเป็นม่าย และให้เหลนต้องเสียพ่อไปแน่


แต่ทว่าผู้ที่ชื่อว่าโม่ปินเว่ยผู้นี้ซึ่งเป็นเพียงประชาชนธรรมดา ในวันที่เมืองเหลียวเฉิงแตก เขาคือหนึ่งในผู้ชายวัยฉกรรจ์ ซึ่งมีหลี่ว์จื๋อฝ่างสั่งการให้คุ้มกันประชาชนผู้อพยพ เคยช่วยเหลือหลี่ว์ซิ่งหลานคนเดียวในสี่รุ่นของหลี่ว์จื๋อฝ่างจากธนูของเผ่าหรง


หากว่าหลี่ว์ซิ่งยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าหลี่ว์จื๋อฝ่างจะซาบซึ้งโม่ปินเว่ย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะกล้าเสี่ยงมอบป้ายเหล็กคุ้มกันกายชิ้นนั้นของเผ่าหรงให้เขา


แต่หลี่ว์ซิ่งที่มีอายุเพียงห้าปีกลับได้รับความตกใจจากการที่เมืองแตก ภายหลังไข้ขึ้นสูง ระหว่างหนีเอาชีวิตรอดไม่สามารถรักษาได้ ยื้อกันจนไปถึงเมืองอื่น เมื่อหลี่ว์จื๋อฝ่างไปขอให้หมอมารักษาเขาก็สายไปแล้ว…


บุตรชายคนเดียวของหลี่ว์จื๋อฝ่างตามไปตอนที่เผ่าหรงบุกทำลายเมือง และเพราะอย่างนี้ เว่ยสวี่ผู้ว่าการอำเภอถึงได้จงใจจัดการให้หลี่ว์จื๋อฝ่างไปเคลื่อนย้ายประชาชน ตนเองกับนายอำเภอกลับไปรั้งท้ายทั้งเมืองให้


เมื่อเป็นอย่างนี้ หลี่ว์จื๋อฝ่างไร้ทายาทสืบสกุล อยู่คนเดียวลำพังไร้ภาระ ทั้งยังซาบซึ้งที่โม่ปินเว่ยช่วยชีวิตของหลานชายคนเดียวเอาไว้ จึงได้เอาชีวิตของตนมาตอบแทนน้ำใจของโม่ปินเว่ย


ได้ยินอย่างนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “โม่ปินเว่ยผู้นี้พอจะมีโชคอยู่บ้าง แต่ว่าเขาถูกชิงผลงานไปเท่าไหร่?”


“เมื่อครูท่านปู่ ‘เชิญ’ ซ่งตวนเข้าไปในห้องหนังสือเพื่อสอบถาม กลายเป็นว่าการวางแผนดักเผ่าหรง และฆ่าหัวหน้าศัตรูได้ต่างก็เป็นผลงานของโม่ปินเว่ยทั้งนั้น” คิดว่าเพราะสาเหตุนี้ เหล่าตระกูลสาขาตระกูลเว่ยเหล่านั้นถึงได้ช่วยซ่งหานปิดบัง เรื่องทุกอย่างให้โม่ปินเว่ยทำไปหมดแล้ว พวกเขาไปเปล่าๆ แม้ว่าจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายไปต่อสู้กับเผ่าหรง แต่ว่าก็ไม่มีผลงานอะไร…เกรงว่าซ่งหานเองก็มองจุดนี้ออก ถึงได้คิดอย่างนี้ขึ้นมา!” เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างโมโห “เดิมโม่ปินเว่ยคือมือปราบของเมืองเหลียวเฉิง เขาเป็นผู้ขอคำสั่งจากเว่ยสวี่ผู้ว่าการอำเภอเพื่อไปขวางเผ่าหรง เพียงแต่แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นมือปราบ แต่กลับได้ร่ำเรียนหนังสือมาบ้าง การจัดการเคลื่อนย้ายประชาชนก็ทำได้อย่างดี ถึงได้ทำให้เว่ยสวี่สั่งการให้ไปช่วยหลี่ว์จื๋อฝ่าง”


เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ซ่งหานกับซ่งตวนไม่รู้เรื่องนี้หรือ ทำไมยังให้ลี่ว์จื๋อฝ่างเข้ามาเป็นทูตแจ้งข่าวครั้งนี้ด้วย?”


“ซ่งตวนกล่าวว่าเขารู้ว่าโม่ปินเว่ยกับหลี่ว์จื๋อฝ่างเป็นผู้คุ้มกันประชาชนของเหลียวเฉิงหนีเอาชีวิตรอดด้วยกัน แต่กลับไม่รู้ว่าเขาเคยช่วยชีวิตหลานชายของหลี่ว์จื๋อฝ่างไว้ คิดว่าตอนนั้นทุกอย่างวุ่นวาย และตอนที่ซ่งหานไปถึงทางตอนเหนือ หัวหน้าของคนเผ่าหรงก็ถูกฆ่าแล้ว” เว่ยฉางเฟิงยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “หลี่ว์จื๋อฝ่างแม้ว่าจะเป็นจู่ป๋อ แต่ว่าอายุมากอย่างไรความคิดก็ลึกล้ำ ซ่งหานเรียกให้เขาไปหา ถามถึงสถานการณ์เมืองเหลียวเฉิงแล้ว เขาก็มองเห็นพิรุธ ตั้งแต่แรกจนจบเขาจึงไม่ได้กล่าวถึงโม่ปินเว่ยสักครั้ง แต่ทุกประโยคกลับยกยอซ่งหาน แน่นอนว่าซ่งหานเองก็คิดว่าเขารู้มารยาทดี และยังเพราะเขาคือขุนนางระดับสูงที่สุดของเมืองเหลียวเฉิงที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลงานของซ่งตวนจึงต้องการให้เขาร่วมมือด้วย จึงได้กล่าวรับปากให้ประโยชน์หลายอย่างกับเขา ประชาชนคนหนึ่ง ซ่งหานยังจะต้องเสียเวลาไปคิดมากมายหรือ?”


การที่ลูกหลานตระกูลมีชื่อดูถูกประชาชนทั่วไปเป็นเรื่องปกติ ตระกูลทั้งหกในแผ่นดินยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้ซ่งหานเป็นตระกูลสาขาอย่างไร แต่ว่าเขาก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน จริงๆ แล้วเว่ยฉางเฟิงเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้คิดอย่างนี้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ประเมินซ่งหาน เขาดูถูกวิธีการแย่งผลงานคนอื่น และยิ่งขัดเคืองว่าซ่งหานทำอย่างนี้ก็เพื่อหลอกให้พี่สาวของตนต้องลดตัวลงไปแต่งงานด้วย เวลาพูดออกมาจึงแฝงไปด้วยความเสียดสีที่ซ่งหานถูกประชาชนคนหนึ่งจัดการ


กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่เตือนเสียงเรียบว่า “ประชาชนเองก็เป็นคน! ตำแหน่งฐานะไม่เท่ากับพวกเรา แต่ว่าหากพูดถึงจิตใจกับเมืองแล้วก็ไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าเรา ดังนั้นคนเหล่านี้แม้ว่าจะไม่ต้องให้ความสำคัญมาก แต่ว่าก็ไม่สามารถละเลยได้! ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังอาจถูกพวกเขาวางแผนเข้าได้ ซ่งหานกับซ่งตวนถือเป็นตัวอย่าง!”


พี่น้องทั้งสองต่างก็ก้มหน้าอย่างได้รับการสั่งสอน


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งให้พวกเขานั่งลงพูดคุยต่อ ทั้งสองคนจึงนั่งลง เว่ยฉางเฟิงกล่าวต่อไป “เมื่อครู่ซ่งตวนร้องห่มร้องไห้ใหญ่โตอย่างรู้สึกผิดต่อหน้าท่านปู่ พูดไปแล้วคนคนนี้ก็ยังพอมีความดีอยู่บ้าง เขากล่าวอย่างเดียวว่าตนเองไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดถึงหญิงตระกูลสูง บิดาของเขาซ่งหานรักใคร่บุตรชาย เตือนแล้วแต่กลับไม่เป็นผล ถึงได้คิดแผนนี้ให้เขา แต่ว่าจากที่ท่านปู่คาดการณ์ไว้ ซ่งตวนคนนี้ไม่ได้มีความคิดอะไรนัก ความคิดนี้แปดเก้าในสิบส่วนต้องเป็นของซ่งหานแน่ ซ่งตวนก็เพียงแค่ฟังที่บิดาตนจัดการเท่านั้น”


เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก “ใครจะรู้ว่าไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าไร้ทางปฏิเสธแล้ว จึงใช้วิธีการนี้ออกมาเพื่อให้ท่านปู่หวั่นไหว?” นางรังเกียจพ่อลูกคู่นี้ที่ไร้น้ำใจ และยังเพราะตั้งแต่เล็กตนเองมักจะเอาใจผู้ใหญ่เสมอมา จึงใช้ความคิดตนเองตัดสินคนอื่น นางรู้สึกว่าตอนนี้ซ่งตวนแสดงความกตัญญูอย่างนี้ออกมากลับน่าสงสัย


“แล้วตอนนี้โม่ปินเว่ยอยู่ที่ไหน?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่สนใจนักว่าซ่งหานกับซ่งตวนเป็นคนอย่างไร อย่างไรเว่ยฮ่วนก็คงยังไม่รีบจัดการพวกเขา อย่างไรก็เป็นคนตระกูลซ่ง อย่างไรก็ต้องบอกกล่าวกับตระกูลซ่งของเจียงหนานก่อน หากไม่มีอะไรผิดพลาดพ่อลูกคู่นี้จะต้องไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อได้แน่ เว่ยฮ่วนคือใคร กล้าหลอกลวงงานแต่งมาถึงหลานสาวเขา ต่อให้เป็นน้องชายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง หัวหน้าตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานอย่างซ่งซินผิงก็ต้องคิดว่าซ่งหานและซ่งตวนหาที่ตายเอง


กลับเป็นโม่ปินเว่ยที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่กลับมีความสามารถทั้งยังมีโชคไม่เลวคนนี้ ที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกสนใจ คนที่เกิดในตระกูลต่ำและผ่านเรื่องใหญ่อย่างนี้ แต่กลับไปพบกับผู้สูงศักดิ์กว่าที่ไร้น้ำใจคนนี้ ง่ายต่อการดึงมาเป็นพวก ที่สำคัญคือ โม่ปินเว่ยยังเป็นมือปราบคนหนึ่งด้วย ในเมืองเหลียวเฉิงที่เหลือคนเพียงไม่ถึงสามในสิบ ในแผ่นดินที่แทบจะถูกทำลายทั้งหมด เขากลับสามารถดักโจมตีเผ่าหรงและสร้างผลงานได้ก่อนที่ซ่งหานจะนำทหารไปถึง ทั้งยังฆ่าหัวหน้าศัตรูได้อีก สามารถกล่าวได้ว่าครั้งนี้ซ่งหานไปถึงทางตอนเหนือนอกจากไปชิงผลงานแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีก!


คนอย่างนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้มีความสามารถที่บันทึกไว้ในสมัยโบราณที่ไม่รู้กี่ปีถึงจะมีสักคนก็ได้! คนคนนี้ยังอยู่ที่เฟิ่งโจว หากว่าไม่ดึงมาเป็นพวกให้กับฉางเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกว่าจะน่าเสียดายเกินไป!


ดังนั้นหลานสาวหลานชายที่ยังอายุน้อยยังคงพูดกันเรื่องความน่ารังเกียจของพ่อลูกซ่งหาน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับคิดคำนวนในใจถึงวิธีที่จะทำอย่างไรถึงจะให้โม่ปินเว่ยคนนั้นยอมซื่อสัตย์ภักดีกับเว่ยฉางเฟิงดี เทียบกันแล้วหากำลังให้กับหลานชายคนเดียวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง เพิ่มคนที่เชื่อถือได้ขึ้นมา พ่อลูกซ่งหานอะไร หรือว่าเว่ยเกาฉานอะไรต่างก็ไม่นับเป็นอะไร!


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคิดว่า คราวนี้เว่ยเกาฉานไม่ถูกซ่งตวนหลอกให้แต่งงานไปถือว่าดี ได้ยินโม่ปินเว่ยเหมือนว่าเขาเองก็ยังอายุน้อย หากว่ายังไม่ได้แต่งงาน เขาที่ทั้งมีความสามารถและโดดเด่นอย่างนี้อย่างไรก็ต้องไปถึงแม่ทัพได้แน่ ทำลายกฎยกเว่ยเกาฉานให้แต่งงานกับเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้…อย่างไรตอนนี้แผ่นดินก็กำลังวุ่นวาย แม้ว่าจะไม่แต่งงานกับประชาชน แต่ว่าหากพบกับคนที่มีความสามารถจริงๆ ตระกูลมีชื่อก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้


อย่างเช่นวีรบุรุษช่วยสาวงามอะไรนั่น คุณหนูจากตระกูลใหญ่หากว่าไม่ระวังถูกประชาชนแตะต้องเข้า เพื่อรักษาชื่อเสียงจึงได้แต่ต้องยกให้แต่งงานด้วย…อย่างไรก็เป็นหลานสาวจากอนุภรรยา หากว่าสามารถดึงให้คนมีความสามารถจริงๆ สักคนมาเป็นพวกให้กับหลานชายได้ถึงจะเรียกว่าไม่ได้เลี้ยงเปล่าๆ


แต่ว่า อย่างไรเว่ยเกาฉานก็เป็นคนบ้านสาม เว่ยเซิ่งเหนียนบุตรจากอนุภรรยาคนนี้ทั้งซื่อตรงและอ่อนแอ ไม่มีความคิดอะไร ภายหลังหากว่าตนเองไม่อยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะถูกบ้านสองทั้งกล่อมทั้งทำให้ตกใจไหม หากว่าเป็นอย่างนั้น หากว่าโม่ปินเว่ยเป็นคนมีความสามารถจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมผูกมัดกับบ้านใหญ่


น่าเสียดายที่บ้านใหญ่มีเว่ยฉางอิ๋งเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว อย่าว่าแต่ได้ยกให้กับตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงแล้วเลย ต่อให้ยังไม่ได้ยกให้ ก็ไม่มีทางที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถอาจเอื้อมได้…


เรื่องที่เว่ยฉางเฟิงไม่รู้ว่าพี่สาวเกือบจะถูกหลอกแต่งงาน ในสายตาของท่านย่าแล้วกลับไม่ได้มีค่าอะไรให้พูดถึง แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับพบผู้ที่จะมาเป็นแขนขาให้กับหลานชายได้จึงถามอย่างใส่ใจ แต่เว่ยฉางเฟิงกลับตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้”


“ไม่รู้หรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกำลังจะเตือนหลานชายว่าให้ลดฐานะเสียหน่อย อาศัยสถานการณ์ตอนนี้พาคนไปช่วยโม่ปินเว่ย เพื่อให้ได้ความซาบซึ้งจากอีกฝ่าย กระทั่งคำกล่าวดีๆ ไว้ดึงโม่ปินเว่ยฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคิดไว้ดีแล้วด้วย คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นคำตอบนี้ จึงมึนงงไป “ทำไมถึงได้ไม่รู้ล่ะ?”


เว่ยฉางเฟิงกล่าว “หลี่ว์จื๋อฝ่างคนนั้นกล่าวว่า แม้ว่าเขาจะคิดหาวิธีให้ได้ความไว้ใจจากซ่งหาน และได้กลายเป็นหนึ่งในทูต แต่ว่าก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะสามารถพบกับท่านปู่หรือท่านอาสามได้ และแม้ว่าจะได้พบแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสหลีกซ่งตวนแล้วนำเอาป้ายเหล็กของคนเผ่าหรงส่งให้ได้ เขายิ่งไม่มีความมั่นใจด้วยว่าจะทำให้ท่านปู่แล้วท่านอาสามเชื่อว่าโม่ปินเว่ยต่างหากที่เป็นผู้มีผลงานเอาชนะทางตอนเหนือได้! ระหว่างนี้ยังอาจจะถูกซ่งหานรู้ด้วยว่าโม่ปินเว่ยเคยช่วยชีวิตหลี่ว์ซิ่งหลานชายของเขาเอาไว้ และทำให้เขาสงสัย! เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วหากว่าเขารู้ที่อยู่ของโม่ปินเว่ย เมื่อถูกคนใช้วิธีบังคับทรมานหรือถูกคนหลอก ก็อยากจะพูดออกไปได้ ดังนั้นจึงให้โม่ปินเว่ยหนีไปเอง ไม่ต้องบอกที่อยู่กับเขา เพราะฉะนั้นวันนี้เขาจึงไม่รู้ว่าโม่ปินเว่ยอยู่ที่ไหน และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเป็นหรือตาย!”


สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเย็นขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “ซ่งหานตัวดี ซ่งตวนตัวดี! ทำเรื่องเลวร้ายอย่างชิงผลงาน ทำให้พวกเราตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานเสียหน้ายังพอว่า กลับยังคิดจะฆ่าขุนนางผู้ที่ทำความดีที่แท้จริงอีก! เรื่องนี้หากว่าโม่ปินเว่ยกลับมาได้อย่างปลอดภัยยังพอว่า แต่หากว่าโม่ปินเว่ยไม่ดี ไม่มีทางยอมให้พวกเขาได้ตายดีแน่!”


เพิ่งจะคิดหาแขนซ้ายขวาให้กับหลานชายแต่กลับไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวถามเว่ยฉางเฟิงอีกว่า “ท่านปู่พวกเจ้าให้คนไปหาโม่ปินเว่ยแล้วหรือ แล้วทางซ่งหานล่ะ?”


เว่ยฉางเฟิงกล่าว “ท่านปู่ส่งให้ ‘ปี้อู๋’ ไปจัดการแล้ว”


ปี้อู๋คือทหารส่วนตัวชั้นยอดในเหล่าทหารของตระกูลเว่ย เพราะตระกูลเว่ยบ้านเดิมอยู่ในเฟิ่งโจว ฉายาของชื่อถังยังมีชื่อว่ารุ่ยอวี่ ดังนั้นที่กล่าวว่าหงส์บนต้นอูถง จึงได้ตั้งชื่อว่าปี้อู๋ หมายความว่าเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ปกป้องคุ้มครองตระกูลเว่ย


‘ไต้เฟิง’ ตระกูลซูแห่งชิงโจว ‘สุยเฟิง’ ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน ทั้งหมดต่างก็เป็นสิ่งที่อาศัยพึ่งพิงในยามที่แผ่นดินวุ่นวาย ดังนั้นเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ยินว่าเว่ยฮ่วนส่งกระทั่ง ‘ปี้อู๋’ ออกไปแล้ว จึงพยักหน้าน้อยๆ รับรู้ว่าเว่ยฮ่วนเองก็รับรู้ได้ถึงคุณค่าของโม่ปินเว่ยแล้ว


แต่ว่า เจ้าเฒ่าจงอี้เองก็มีอายุมากขนาดนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีกหรือ เจ้าเฒ่านี่ยังจะมีความสามารถช่วยเหลือได้ก็พอประมาณแล้ว หลายปีกว่าจะมีสักคนที่เป็นดาวช่วยชีวิตที่ซื่อสัตย์ได้ อย่างไรทั้งตระกูลเว่ยก็อาศัยไม่ได้ ให้เขาซื่อสัตย์กับฉางเฟิงเพียงคนเดียวถึงจะวางใจ เป็นอย่างนั้นแม้ว่าตนเองจะตายไปแล้ว ขอแค่โม่ปินเว่ยยังซื่อสัตย์ภักดี อย่างไรบ้านสองก็ทำอะไรไม่ได้!


ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแผนการอย่างนี้ และลอบตัดสินใจว่าหากเว่ยฮ่วนจะใช้ชื่อเสียงทั้งตระกูลเว่ยเรียกโม่ปินเว่ยเข้ามา ตนเองจะต้องแทรกมือเข้าไปแน่ แล้วไปชิงเอาคนคนนี้มาให้หลานชายสุดที่รักของตนให้ได้!


………………………………….


ตอนที่ 33 ราชโองการ

โดย

Xiaobei

แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะตัดสินใจแล้วว่าจะต้องดึงตัวโม่ปินเว่ยมาให้หลานชายสุดที่รักให้ได้ ทว่าเรื่องกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่นางคิด จากความระวังของหลี่ว์จื๋อฝ่างทำให้ไม่มีใครรู้ว่าโม่ปินเว่ยเป็นหรือตาย และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหน นอกจากนี้การจัดการซ่งหานและซ่งตวนก็มีเรื่องเปลี่ยนแปลงไปด้วย


“แม้ว่าซินผิงจะเป็นเพียงแค่น้องชายของข้า แต่กับตระกูลสาขาเพียงสองคน ข้าเขียนจดหมายไป ต่อให้เขาอายุมากแล้วแต่ก็คงไม่ถึงกับเลอะเลือนปกป้องพวกเขาถึงขนาดนั้น หลอกให้แต่งงานมาถึงหลานสาวสายตรงของแซ่เว่ย หากว่าซินผิงยังพูดแทนพวกเขา แล้วเห็นไจ้สุ่ยเป็นอะไร?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมถึงไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ?”


สีหน้าของเว่ยฮ่วนดูไม่ได้ขึ้นมา แล้วกล่าวออกมาเบาๆ สามคำว่า “จือเปิ่นถัง!”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที “พวกเขาทำอะไรอีก?”


“เว่ยฉีนำข่าวชัยชนะรายงานไปเบื้องบน” เว่ยฮ่วนกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “หลายปีมานี้ต้าเว่ยไม่เคยมีชัยชนะเหมือนอย่างในครั้งนี้มาก่อน เป็นการเปิดราชสำนักภายใต้ความยินดีของฮ่องเต้ ไม่เพียงแต่จะให้รางวัลข้ากับเซิ่งเหนียนเท่านั้น กระทั่งรางวัลของซ่งหานซ่งตวนก็ยังมีราชโองการมา…ตอนนี้เกรงว่าคงอยู่ระหว่างทางแล้ว”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งโมโหมาก แล้วตบไปที่โต๊ะข้างตัวอย่างแรง “ซ่งหาน ซ่งตวนช่างบังอาจนัก! คิดจริงๆ หรือว่าเว่ยฉีที่อยู่ไกลถึงราชสำนัก อาศัยเพียงราชโองการไม่กี่อันจะสามารถปกป้องพวกเขาได้?” แล้วพลันนึกขึ้นได้ “มิน่ากระทั่งหลานสาวของพวกเราพวกเขาก็ยังกล้ามาหลอกให้แต่งงาน! ที่แท้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเจ้าเฒ่าเว่ยฉีนั่นที่อยู่เบื้องหลัง?!”


เว่ยฮ่วนกลับยังสงบแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้ซ่งหานกับซ่งตวนถูก ‘ปี้อู๋’ พาตัวกลับมาแล้ว เพราะมีราชโองการให้รางวัลกับพวกเขาตอนนี้จึงไม่สามารถจัดการลงโทษได้ พวกเขายังไม่ยอมรับว่ามีสัญญากับเว่ยฉีอีก…”


“ยังต้องยอมรับอีกหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “ท่านคิดจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ทางราชสำนักไม่พอใจ จะยอมรับการกระทำครั้งนี้ และกลืนความไม่พอใจนี้ลงไปหรือ?”


“หลายปีมานี้ฮ่องเต้ยิ่งไม่พอใจการถูกขัดราชโองการมากขึ้นแล้ว” เว่ยฮ่วนถอนหายใจแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ในเมื่อราชโองการได้ให้รางวัลซ่งหานกับซ่งตวนแล้ว การที่พวกเขาชิงผลงานก็ให้เป็นอย่างนี้เถอะ ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้เสียหน้า แล้วจะไม่เคืองตระกูลของพวกเราหรือ?”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งขมวดคิ้ว “แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเว่ยฉีที่รายงานขึ้นไป ท่านไม่ใช่ว่าเอาผลการรายงานกลับมาแล้วหรือ หากว่าฮ่องเต้เสียหน้า ไม่ใช่ว่าเป็นเว่ยฉีหรือที่ทำให้ฮ่องเต้เข้าใจผิด!”


เว่ยฮ่วนส่ายหน้า “ในเมื่อเว่ยฉีได้แอบลอบติดต่อกับซ่งตวนและซ่งหาน ทั้งยังกล้ารายงานข่าวขึ้นไปก่อนหน้าข้า แล้วเขาจะไม่ป้องกันไว้หรือ ข้าเดาว่าตอนที่เขารายงานเรื่องนี้ขึ้นไป เกรงว่าคงได้เตรียมกับดักรอให้ข้าลงไปแล้ว อย่างเช่นกล่าวว่าซ่งตวนกับซ่งหานไม่ใช่คนของตระกูลเว่ย ข้าจะไม่พอใจพวกเขา และชิงเอาผลงานของพวกเขาไป หรืออาจจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ตระกูลของพวกเราคิดจะยกเว่ยเกาฉานให้แต่งงานกับซ่งตวน แต่ตอนนี้แต่งงานไม่สำเร็จ จึงจงใจใส่ร้ายพวกเขา”


“สถานการณ์อย่างนี้…นี่มันกลับดำขาวกันเลยเลยจริงๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชะงักไปแล้วจึงยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “ทั้งๆ ที่ประชาชนแซ่โม่คนนั้นถูกชิงเอาผลงานไป ส่วนพ่อลูกใจดำทั้งคู่ก็เป็นผู้อยากจะหลอกให้เกาฉานแต่งงานด้วย…เว่ยฉี! เจ้าเฒ่านี่รังแกกันขนาดนี้ ไม่กลัวถูกเอาคืนบ้างหรืออย่างไร!”


อย่างไรเว่ยฮ่วนก็เป็นหัวหน้าตระกูลเว่ย แม้ว่าจะถูกจือเปิ่นถังวางแผนใส่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนี้กลับไม่ได้โมโหอย่างฮูหยินผู้เฒ่าซ่งในตอนนี้ เขายังคงกล่าวด้วยใจสงบราบเรียบ “เรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้ในราชสำนักพวกเรารุ่ยอวี่ถังมีเพียงเซิ่งอี้เพียงคนเดียว ยังไม่ต้องก่อเรื่องให้ฮ่องเต้ไม่พอใจจะดีกว่า! ก็แค่ราชโองการแต่งตั้งและรางวัลเท่านั้น ต่อให้ภายหลังซ่งหานกับซ่งตวนถูกโยกย้ายไปรับหน้าที่ตำแหน่งที่เมืองหลวงก็ยังไม่เป็นไรกระมัง?”


เขากล่าวช้าๆ ว่า “เทียบกันกับการหาโม่ปินเว่ย พ่อลูกซ่งหานยังจะมีความหมายอะไรอีก?” รู้ดีว่าฆ่าไม่ได้ มี ‘ปี้อู๋’ อยู่ ยังต้องกลัวว่าจะถูกลอบฆ่าหรือ ซ่งหานกับซ่งตวนล้วนแต่ไม่ใช่คนที่มีความสามารถมากมาย ต่อให้เว่ยฉีใช้พวกเขามาจัดการงัดข้อกับรุ่ยอวี่ถังได้ครั้งหนึ่ง แต่ว่ายังจะสามารถคิดหาวิธีอื่นมาปกป้องพวกเขาไปได้ทั้งชีวิตหรือ?


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งขมวดคิ้วแล้วกล่าว “แน่นอนว่าต้องหาโม่ปินเว่ย คนคนนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงประชาชน แต่กลับมีความสามารถมาก ฉางเฟิงยังอายุน้อย ข้ากับท่านต่างก็แก่แล้ว ตอนนี้แผ่นดินไม่สงบสุข เป็นช่วงเวลาที่ผู้มีความสามารถอย่างเขาจะมีประโยชน์มาก หากว่าคนคนนี้ช่วยฉางเฟิง ภายหลังพวกเราจากไปแล้วก็ยังพอจะวางใจได้บ้าง…แต่ว่าเว่ยฉีล่ะ ครั้งที่แล้วเขาเล่นงานฉางอิ๋ง ครั้งนี้กระทั่งพวกเราต่างก็ถูกเขาเล่นงานหมด! หรือว่าจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้?”


เว่ยฮ่วนฟังความหมายของภรรยาออก อย่างไรก็ยังไม่วางใจคำรับปากของเขา ไม่ยอมให้ตระกูลเว่ยเรียกโม่ปินเว่ยเข้ามา แต่ว่าจะให้โม่ปินเว่ยเป็นคนของเว่ยฉางเฟิงเพียงคนเดียวถึงจะวางใจ ในฐานะหัวหน้าตระกูล แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนโน้มเอียงไปแบบแรกมากกว่า แต่ว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าโม่ปินเว่ยเป็นหรือตาย เขาเองก็ไม่มีอารมณ์มาทะเลาะกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งด้วยเรื่องนี้จึงกล่าวว่า “ทางฝั่งเว่ยฉีข้ามีแผนการ ตอนนี้กำลังร้อนระอุ…เขาถือว่าข้าไม่อยู่ที่เมืองหลวง เหอะๆ!”


คำกล่าวนี้แม้ว่าจะดูไม่มีหัวไม่มีหาง แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอยู่กับเขามาทั้งชีวิต เข้าใจเขามาก เมื่อได้ยินในใจพลันนึกได้และเข้าใจได้ทันที ถึงได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ต้องแบบนี้! ข้าอยากจะรู้เสียหน่อยว่าเขายังจะภูมิใจอะไรอีก?”


“ไม่แน่ว่าจะใช้ได้ อย่างไรหลายปีมานี้เขาเองก็ได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้มาก” เว่ยฮ่วนยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “แต่ว่าก็ไม่มีอะไร หากว่ายังไม่สำเร็จค่อยหาวิธีอื่นก็ได้”


เว่ยฮ่วนมีความคิดลึกล้ำ แผนการของเว่ยฉีที่คิดมาและยังสำเร็จอย่างนี้กลับไม่สามารถทำให้เขาสับสนในใจได้เลย เขายังคงวาดแผนการต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “ราชโองการเกรงว่าตอนนี้คงออกมาจากเมืองหลวงแล้ว พวกเราต้องเตรียมการต้อนรับให้ดีถึงจะได้”


“ตอนที่อวี่เวยอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอกับดักอย่างนี้มาก่อน กลับไปกล่าวกับนางสักหน่อยก็ได้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่สนใจ คนทั่วไปหรือขุนนางทั่วไปเมื่อได้ยินว่ารับราชโองการแน่นอนว่าต้องเกรงกลัว แต่ว่าในตระกูลมีชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะหกตระกูลใหญ่ของแผ่นดินอย่างนี้ด้วยแล้ว ตลอดทั้งชีวิตได้พบหน้าคนมากความสามารถและสถานการณ์อย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ต้องเกรงกลัวเรื่องอย่างนี้


แต่ในเมื่อเว่ยฮ่วนกำชับมาโดยเฉพาะแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงกล่าวถามมากหน่อย “ทูตในครั้งนี้คือใคร?”


เว่ยฮ่วนลูบไปที่เคราใต้คางแล้วยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “เสิ่นโจ้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะกำชับเจ้าทำไม?”


“เป็นเขารึ?!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งชะงักไป ไม่ใช่ว่าเสิ่นโจ้วคนนี้มีอะไรน่าประหลาดใจมากมายตรงไหน หรือว่ามีตำแหน่งหน้าที่อำนาจสูงส่งอย่างไรจึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปได้ กระทั่งราชโองการฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังไม่ค่อยจะสนใจนักเลย คนมากความสามารถหน้าตาดีในแผ่นดินนี้ไม่มีใครสามารถทำให้นางตกตะลึงได้เลยจริงๆ


ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตกใจที่ทูตผู้มาคือเสิ่นโจ้วได้มีเพียงสาเหตุเดียว เสิ่นโจ้ว ลูกหลานสายตรงตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง น้องชายแท้ๆ ของเสิ่นเซวียนราชครูของราชสำนัก!


นับแล้วหากว่าเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานไปแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนไปเรียกตามเสิ่นจั้งเฟิงและเรียกเขาว่าท่านอา


ปีหน้าเว่ยฉางอิ๋งจะต้องแต่งงานออกไปแล้ว เสิ่นโจ้วมาถ่ายทอดราชโองการที่เฟิ่งโจว ไม่ถามก็รู้ว่าทำทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไปพร้อมกัน ด้านหนึ่งก็มาถ่ายทอดราชโองการชมเชยและรางวัล อีกด้านก็มาปรึกษากับตระกูลเว่ยเรื่องการแต่งงานไปตระกูลเสิ่นปีหน้าอย่างละเอียด


ในเมื่อเกี่ยวกับหลานสาวสุดที่รัก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงให้ความสำคัญขึ้นมาทันที แล้วกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ข้ารู้แล้ว การรับราชโองการครั้งนี้ ข้าจะจัดการควบคุมด้วยตนเอง!”


เว่ยฮ่วนกล่าวต่อว่า “งานแต่งงานของฉางอิ๋งกับเสิ่นจั้งเฟิงหมั้นไว้นานแล้ว ชาติตระกูลเหมาะสมกัน ตอนนี้มาปรึกษาหารือก็เพียงแค่รายละเอียดเท่านั้น ขอแค่ต้องป้องกันไม่ให้เว่ยฉีมาขวาง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร แต่ว่า…” เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ซ่งไจ้เถียนเองก็มาด้วย”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคิดแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าซ่งไจ้เถียนก็คือหลานชายของตนเอง บุตรชายคนโตของซ่งอวี่วั่ง หลานชายแท้ๆ ของสะใภ้ใหญ่อย่างฮูหยินซ่ง พี่ชายแท้ๆ ของซ่งไจ้สุ่ย!


ซ่งไจ้เถียนมาที่นี่เพื่ออะไร แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็รู้ดี จึงอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “จริงๆ แล้ววังตะวันออกไม่ใช่สถานที่ดีที่จะแต่งงาน หากว่านางเว่ยยังอยู่ แน่นอนว่าไม่มีทางยอมให้ไจ้สุ่ยต้องแต่งไปในวังหลวงแน่ อวี่วั่งเด็กคนนี้ทำไปเพราะอะไรกัน!”


“ตระกูลซ่งเป็นพวกให้ความสำคัญกับอารมณ์ แม้ว่านางเว่ยจะจากไปแล้ว แต่ว่าซ่งอวี่วั่งยังคงจดจำคำสัญญาที่รับปากนางไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเสียไปได้ก็ไม่แปลก…” เว่ยฮ่วนกล่าวออกมาธรรมดา แล้วพลันรู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง แล้วก็เห็นใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเข้มและเย็น ตระกูลซ่งรุ่นนี้ผู้ที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์คือซ่งอวี่วั่ง แต่รุ่นก่อนหน้านี้…ไม่ใช่บิดาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ซ่งตันหรือ และเพราะเหตุนี้ยังทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต้องลำบากมาไม่น้อย จนทำให้น้องสาวจากอนุภรรยาอย่างซ่งเหมียนเหอ ซึ่งแต่งงานไปกับจิ่งเฉิงโหวเว่ยฉี ยังคงมีปัญหาขัดแย้งกับรุ่ยอวี่ถังมาจนถึงตอนนี้!


เว่ยฮ่วนรู้สึกได้ว่ากล่าวผิดไปจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “อย่างไรทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของตระกูลซ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่จับคู่ให้ยังเป็นคนของราชวงศ์อีก ก่อนหน้านี้ซ่งอวี่วั่งเขียนจดหมายมา ไม่ให้บุตรสาวเขาต้องไปไหน พวกเราเองก็ไม่ได้ถามอะไร แต่ว่าคราวนี้ซ่งไจ้เถียนมาด้วยตนเอง งานแต่งงานพ่อแม่เป็นผู้จัดการ เขาคือพี่ชายคนโตที่ได้รับคำสั่งจากบิดา หากว่าเขาต้องการจะพาซ่งไจ้สุ่ยกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อแต่งงานจริงๆ พวกเราก็อย่าเข้าไปยุ่งมาก ซ่งอวี่วั่งต้องการให้บุตรสาวรักษาคำมั่นที่ได้ให้ไว้เพื่อรักษาเกียรติของตระกูลก็เป็นเรื่องตระกูลของพวกเขา แม้ว่าพวกเราจะเป็นญาติกันแต่ก็เข้าไปยุ่งไม่ได้”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถอนหายใจแล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “หากว่าต้องยุ่ง ข้าจะยอมให้เด็กนี่อยู่นานขนาดนี้หรือ ข้าถึงกับแสร้งทำเลอะเลือนแล้ว” แม้ว่าจะเห็นด้วยกับคำของสามี คิดว่าเรื่องนี้ตระกูลเว่ยไม่ควรเข้าไปยุ่ง หนึ่งเพราะมีสัญญาก่อนหน้านี้ ตระกูลมีชื่อก็เห็นกันอยู่ หากว่าทำลายสัญญาเรื่องอย่างนั้นเป็นการทำลายเกียรติของตระกูล! สำหรับตระกูลใหญ่แล้วเป็นข้อห้ามและเป็นที่รังเกียจมาก สองก็เพราะผู้ที่จับคู่ให้คือราชวงศ์ แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้คิดถึงราชสำนัก แม้ว่าวังตะวันออกจะเหลวแหลกอย่างไร แต่ว่าก็ยังเป็นราชวงศ์! โดยเฉพาะรุ่ยอวี่ถังตอนนี้ที่กำลังโรยรา ในราชสำนักมีเพียงเว่ยเซิ่งอี้เพียงคนเดียวที่ยังอยู่ เว่ยฮ่วนลาเกษียณกลับมา…กระทั่งการโจมตีจากจือเปิ่นถังยังมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ยังต้องไปล่วงเกินราชสำนักเพื่อซ่งไจ้สุ่ยอีก เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย


แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะน่าเห็นใจ แต่อย่างไรเว่ยฮ่วนกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ต้องคิดถึงบุตรหลานของตนเองก่อน


นอกจากนี้ผู้ที่ยืนกรานจะให้ซ่งไจ้สุ่ยแต่งงานไปในวังก็เป็นบิดาของนางอย่างซ่งอวี่วั่ง อย่าว่าแต่ซ่งอวี่วั่งอยากจะให้นางแต่งงานกับรัชทายาทเพื่อทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เลย ต่อให้เขายกบุตรสาวให้กับขอทานคนหนึ่ง นั่นก็เป็นบุตรสาวของเขา ซ่งซินผิงไม่กล่าวอะไร แล้วจะให้คนอื่นไปวางแผนบอกปฏิเสธการแต่งงานให้ซ่งไจ้สุ่ยได้หรือ?


เพียงแต่ว่าหลายเดือนมานี้ที่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่ตระกูลเว่ย ทั้งนิสัยและอารมณ์ความสามารถต่างก็ดีเยี่ยม เจ้านายบ่าวไพร่ต่างก็เห็นกันอยู่ นางเป็นคุณหนูตระกูลสูงที่มีความสามารถมากจริงๆ แต่กลับต้องแต่งงานไปกับรัชทายาทที่ตำแหน่งไม่มั่นคงและไม่เอาไหนเหลวแหลกอย่างนั้น  แม้ว่าจะไร้กำลังช่วยนางได้ แต่ใครก็ต่างอดที่จะเสียดายแทนนางไม่ได้


เว่ยฮ่วนเองก็รู้ว่าแม้ภรรยาเฒ่าจะดุดัน แต่กลับไม่ใช่คนที่ไม่มีแผนการ โดยเฉพาะหากว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีหลานแท้ๆ ของตน บางทีอาจจะสนใจช่วยเหลือซ่งไจ้สุ่ยสักครั้ง ตอนนี้ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเต็มไปด้วยแผนการปูทางให้กับเว่ยฉางเฟิง และวาดแผนการให้กับเว่ยฉางอิ๋ง แล้วนางจะยังมีพลังที่ไหนไปสนใจหลานสาวไม่แท้อีกล่ะ ต่อให้สนใจ แต่เพื่อไม่เป็นการสร้างเรื่องให้กับเลือดเนื้อเชื้อไขของตน อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ต้องแสร้งทำเลอะเลือน


ดังนั้นที่เขาพูดถึงซ่งไจ้สุ่ยนั้นยังมีจุดประสงค์อื่นอีก “เด็กคนนี้อยู่ที่บ้านเรามาหลายเดือน ดึงเวลาไม่ยอมไปเมืองหลวงเพื่อไปแต่งงาน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้หวังให้เจ้าหรือสะใภ้ใหญ่ช่วยนาง แต่ว่าเรื่องนี้พวกเราไม่สามารถแทรกมือเข้าไปได้จริงๆ อย่าให้เด็กนี่คิดแค้นในใจ แม้ว่าช่วงนี้ฮ่องเต้จะโปรดปรานสนมขั้นสี่แซ่เมี่ยว แต่ฮองเฮาองค์ปัจจุบันคือผู้ที่ชนะฮองเฮาทั้งสองก่อนหน้านี้ รัชทายาทถึงได้เข้าไปครองวังตะวันออก เป็นผู้ที่ครองตราหงส์ได้นานที่สุดของราชวงศ์นี้ ภายในวังหลังมีความแค้นมากมาย จิตใจล้ำลึก ตัวของสนมขั้นสี่แซ่เมี่ยวเองไร้บุตร แม้ว่าจะรับเลี้ยงองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเจ็ด แต่ว่าองค์ชายทั้งสองก็ยังอายุน้อยมาก ฮ่องเต้มีอายุมากแล้ว…ตอนนี้แผ่นดินไม่สงบสุข ผู้ปกครองประเทศในอนาคต…ก็ยังพูดไม่ได้”


พูดถึงขนาดนี้แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็เข้าใจความหมายของเขา ฮ่องเต้ปัจจุบันชราแล้ว แม้ว่าจะโปรดปรานสนมใหม่อย่างสนมแซ่เมี่ยว สถานการณ์ของฮองเฮาก็ยังไม่ดีนัก แต่ว่ารากฐานของสนมแซ่เมี่ยวเบาบาง หากว่าก่อนที่ฮ่องเต้จะสวรรคตไม่สามารถวางแผนการทั้งหมดให้กับองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเจ็ดได้ ต่อให้เหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ขึ้นครองบัลลังก์และแต่งตั้งสนมแซ่เมี่ยวเป็นฮองเฮา แต่ว่าสถานการณ์ของต้าเว่ยในตอนนี้…ในราชสำนักไม่มีทางสนับสนุนให้องค์ชายอายุน้อยขึ้นครองราชย์แน่


ดังนั้นจึงพูดว่าผู้ปกครองคนใหม่ยากจะคาดได้ หากว่าซ่งไจ้สุ่ยมีวันที่ได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดินวันใด แต่กลับแค้นใจที่วันนี้ตระกูลเว่ยไม่ช่วยเหลือนาง ก็เท่ากับเป็นการสร้างความแค้นต่อฮองเฮาไป เรื่องนี้จะต้องป้องกันไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าแล้วกล่าว “ไจ้สุ่ยคือเด็กที่ฉลาดคนหนึ่ง นางรู้สาเหตุที่ข้ากับอวี่เวยไม่สามารถช่วยนางได้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่มาหลายเดือนต่างก็ไม่เคยกล่าวถึง กลับไปข้าจะไปพูดกับนางให้ชัดเจน อย่างไรก็ให้นางแค้นเคืองตระกูลของพวกเราว่าไม่สนใจช่วยเหลือนางไม่ได้”


“ทางฝั่งซ่งไจ้เถียนเองก็ให้สะใภ้ใหญ่ไปพูด” เว่ยฮ่วนกล่าวเตือน “น้องสาวแท้ๆ ของเขาไม่ยอมฟังคำสั่งของบิดาและอยู่ที่บ้านของพวกเรามาหลายเดือน เกรงว่าในใจของซ่งไจ้เถียนเองก็คงไม่สบอารมณ์นัก คิดว่าพวกเราจงใจตามใจนาง อย่างไรก็ต้องอธิบายให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้วันหลังต้องเสียใจที่ญาติกันต้องกลายเป็นศัตรู”


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเสียดายซ่งไจ้สุ่ยอย่างไร ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ได้ยินเว่ยฮ่วนกำชับไม่จบไม่สิ้น ก็กล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “เรื่องพวกนี้ข้ารู้ดี ท่านรีบส่งคนไปหาโม่ปินเว่ยเถอะ! หากว่าได้คนคนนี้มา และเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ อย่างที่ทุกคนกล่าวมา การที่พวกเราถูกจือเปิ่นถังวางแผนครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปรียบไปทั้งหมดแล้ว”


……………………………………………


ตอนที่ 34 เสียใจที่ตอนนั้นไม่ทำ

โดย

Xiaobei

ฮูหยินซ่งได้ยินว่าท่านอาในอนาคตของบุตรสาวจะมาที่เฟิ่งโจวก็ตกใจไป แล้วจัดการโยนเรื่องทั้งเล็กใหญ่ในมือทั้งหมดทิ้งทันที นางมาที่เรือนเสียนซวงด้วยตนเอง แล้วจัดการดึงบุตรสาวที่กำลังจะไปฝึกวิชายุทธ์เอาไว้ “ชัยชนะทางตอนเหนือ ราชโองการชื่นชมและรางวัลของทางราชสำนักอีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว! และผู้ที่เป็นทูตนำราชโองการมาประกาศครั้งนี้ก็คือเสิ่นโจ้ว ดังนั้นเจ้ารีบจัดการเก็บพวกวุ่นวายนี้เสีย แล้วไปเรียนรู้พิธีการอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่ควรจะมีให้ดี! หากว่าถึงตอนนั้นเสียหน้า ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”


เว่ยฉางอิ๋งถูกจับหมั้นเป็นสะใภ้ของตระกูลเสิ่นตั้งแต่ยังเป็นทารก จึงได้ยินเรื่องราวคนของตระกูลมาบ้าง แน่นอนว่ารู้ว่าเสิ่นโจ้วคือใคร ได้ยินดังนี้ก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีแล้วกล่าวว่า “ทำไมถึงได้เป็นเขา?!”


“นับเวลาแล้ว หากว่าวันนี้ตระกูลเสิ่นยังไม่ส่งคนมา ผ่านไปอีกเดือนสองเดือนก็ต้องมีคนมา หรือว่าไม่ให้มาทักทายกันแล้วพอปีหน้าก็ให้คนกลุ่มหนึ่งมารับเจ้าไปเลยล่ะ?” ฮูหยินซ่งจิกตามองใส่นางแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าตระกูลเสิ่นกับตระกูลเว่ยเป็นตระกูลเล็กๆ หรือ แค่เกี้ยวหนึ่งอันก็สามารถแต่งได้แล้วหรือ?”


“หากว่าเป็นอย่างนั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับขั้นตอนพวกนั้น!” เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ ทำให้ฮูหยินซ่งโมโหจนยกมือขึ้นไปตบหัวนางทันทีแล้วกล่าวอย่างแค้นใจว่า “ทั้งชีวิตมีงานแต่งงานเพียงครั้งเดียว มีตั้งกี่คนที่แค้นใจที่ตนเองไร้วาสนาไม่ได้เกิดในตระกูลใหญ่ จึงได้แต่ต้องแต่งงานไปอย่างเงียบเหงาและน้อยใจ แต่ว่าเจ้า! กลับยังรังเกียจพิธีเหล่านั้นอีก?! ซานเหมยลิ่วเจิ้ง[1]อย่างภรรยาเอกอย่างไรก็ต้องแต่งงานไปอย่างซับซ้อนหรูหรา หากไม่ซับซ้อนก็ต้องเป็นอนุภรรยา ประตูยังไม่ต้องเข้า! เจ้าคิดจะทำอะไร?!”


เว่ยฉางอิ๋งรีบยิ้มออกมา แล้วดึงแขนนางไว้พลางกล่าวเสียงหวานว่า “ข้าเพียงคิดว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นนายหญิง ข้าแต่งงานออกไปพิธีการซับซ้อน ไม่ใช่ว่าทำให้ท่านแม่เหนื่อยหรือ คิดแล้วข้าก็ปวดใจ! จึงคิดว่าพิธีการนี้ง่ายหน่อยก็ดี เดิมท่านแม่จัดการในบ้านทั้งบนล่างก็เหนื่อยมากแล้ว แล้วข้าจะทนเห็นการที่ข้าต้องแต่งงานออกไปทำให้ท่านแม่ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นได้หรือ?”


ฮูหยินซ่งได้ยินเข้าใบหน้าก็แทบจะเปล่งประกายออกมา มองไปยังบุตรสาวด้วยแววตาอบอุ่นนุ่มนวลราวกับจะกลั่นเป็นน้ำได้ เสียงยิ่งเบาและอ่อนนุ่มราวกับกำลังปลอบประโลมทารกอย่างนั้น “ลูกข้า! ได้ยินเจ้าพูดอยากนี้ ต่อให้แม่ต้องเหนื่อยตายแม่ก็ยินดี!”


ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งพูดอะไรเหลวไหลอีก ฮูหยินซ่งกล่าวต่อว่า “แม้ว่าเจ้าจะมีใจกตัญญู แต่ว่าแม่จะไม่คิดแทนเจ้าได้หรือ ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของเจ้า อย่างไรพิธีมากมายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างตระกูลเสิ่นเองก็ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าพวกเรา สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองของตระกูลเสิ่นนั่น ใครบ้างไม่ได้แต่งงานเข้าไปอย่างหรูหรายิ่งใหญ่ บ้านแม่ของพวกนางหากว่ามาเทียบกับเจ้า หากว่าพวกเราจัดกันอย่างง่ายๆ ข่าวแพร่ไปเมืองหลวงคงคิดว่าคุณหนูใหญ่อย่างเจ้าไม่ได้รับความรักความเอ็นดูน่ะสิ! ดังนั้นคราวนี้อย่างไรก็จะลดไม่ได้เด็ดขาด!”


ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าฟัง ในใจก็อดที่จะคร่ำครวญออกมาไม่ได้ ‘ข้ารู้อยู่แล้วว่าแต่งงานไปตระกูลเสิ่นอย่างไรก็ต้องมีพิธีการมากอยู่แล้ว เดิมคิดว่าอย่างไรงานแต่งงานก็ยังอยู่ตั้งเดือนสี่ ก่อนปีหน้าอย่างไรก็ยังว่างได้บ้าง…แล้วทำไมได้รับชัยชนะมาจากตอนเหนือกลับทำให้ได้รับราชโองการ ตระกูลไหนก็เป็นทูตนำมาได้แต่ต้องเป็นคนของตระกูลเสิ่นที่นำมา! ดูจากท่านแม่แล้ว เกรงว่านับจากวันนี้ไปคงต้องคุมข้าฝึกซ้อมแน่…’


สิ่งที่นางคร่ำครวญนั่นไม่ผิดเลย ฮูหยินซ่งถูกคำหวานของบุตรสาวทำให้ซาบซึ้งใจมาก จึงยิ่งยืนกรานว่าก่อนที่เสิ่นโจ้วจะมาถึงนางจะต้องพยายามทำให้บุตรสาวกลายเป็นคนที่ไม่ว่าใครพบใครก็รักสักหน่อย ไม่ผิด อยากจะให้ผู้ใหญ่มีความสุข เดินไปตามเส้นทางมีเมตตาคุณธรรมเก่งการเรือนไม่มีทางมีปัญหาแน่!


โดยเฉพาะตระกูลสืบทอดบรรดาศักดิ์เช่นเดียวกับตระกูลเว่ย…


จริงๆ แล้วเว่ยฉางอิ๋งนั้นแม้ว่าจะฝึกฝนวิชายุทธ์ตลอด แต่ว่าพิธีมารยาทที่บุตรสาวตระกูลใหญ่ต้องมีก็ใช่ว่าจะไม่เคยฝึกซ้อม พิธีการเหล่านี้คือรากฐานที่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ต้องมี เป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะ ยิ่งเป็นบุตรภรรยาเอกที่ได้รับความสำคัญยิ่งต้องเข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าความชอบจะคิดอะไรก็ไม่สามารถไม่เรียนได้


เพียงแต่ใจนางไม่ได้อยู่ตรงนี้  ยังห่างจากความต้องการของฮูหยินซ่งที่ ‘ต่อให้มีลูกหลานตระกูลสูงอยู่เต็มโถงก็ยังสามารถมีมารยาทโดดเด่นจนเหนือทุกคนได้’ แบบนี้คือความจริง…


ยังดีที่เมื่อเว่ยฉางอิ๋งไปหาฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและไปฟ้องทั้งน้ำตาแล้ว แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะรู้สึกยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีความคิดอื่น ดังนั้นภายหลังจึงรีบไปหาฮูหยินซ่งที่กำลังจะพาเว่ยฉางอิ๋งไป ฝึกพิธีมารยาทแล้วกล่าวว่า “มารยาทของฉางอิ๋งตอนนี้ไม่ได้เสียหน้าตระกูลใหญ่ หากจะบอกว่าต้องโดดเด่นเหนือทุกคนนั้น อย่างไรก็ไม่ใช่อะไรที่จะฝึกได้ในเวลาสั้นๆ…” พูดถึงเรื่องนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับฮูหยินซ่งต่างก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตระกูลใหญ่เน้นเรื่องพิธีมารยาท แต่หากว่าพูดถึงพิธีการมารยาทแล้ว ตระกูลใหญ่ทั้งหกต่างก็มีผู้มีชื่อถือกำเนิดมากมาย กระทั่งมารยาทของเว่ยเจิ้งหงก็ยังนับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ


หากว่าเว่ยเจิ้งหงดี เขาจะไม่อบรมบุตรสาวตั้งแต่ยังเล็กได้หรือ แล้วตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งยังจะต้องกังวลอะไรอีก


ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกดอารมณ์ปวดใจลงไปแล้วกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ที่สำคัญคือการที่สามารถสนทนากับเสิ่นโจ้วได้ ข้าว่าพวกเราไม่ต้องกังวลใจไปหรอก…ตอนนี้พวกเรามีเรื่องต้องยุ่งอีกมาก ให้ไจ้สุ่ยสอนนางเถอะ ไจ้สุ่ยเด็กคนนี้ใครเห็นจะไม่รักใคร่นาง ฉางอิ๋งได้เรียนรู้ความสามารถจากนางบ้าง ในตระกูลมีชื่อก็ไม่มีใครว่าอะไรนางได้แล้ว”


ฮูหยินซ่งฟังความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งออกทันที ข่าวที่ซ่งไจ้เถียนเองก็ตามมาด้วย เพื่อมารับน้องสาวแท้ๆของตนกลับไปเมืองหลวงนั้น ตอนนี้คนในตระกูลเว่ยยังไม่ได้บอกกล่าวซ่งไจ้สุ่ย


หนึ่งเพราะรู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยนั้นต่อต้านการแต่งงานไปในราชวงศ์มาก แต่ว่าทั้งบิดาและพี่ชายใหญ่กลับยืนกรานแน่วแน่ ตระกูลเว่ยนั้นไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือเหตุผลอย่างไรก็ช่วยนางไม่ได้ เรื่องนี้นางรู้ดี แต่ว่าหากจะให้ซ่งไจ้สุ่ยต้องทุกข์ขึ้นมาก่อน สู้ให้นางไม่รู้ดีกว่า ให้นางได้มีความสุขไปอีกหลายวัน! อย่างที่สองคือกังวลว่าซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนมีแผนการ เมื่อถูกบีบคั้นมากๆ เข้าจะทำอะไรขึ้นมา…ซ่งไจ้เถียนยังมาไม่ถึง หากว่าเด็กสาวคนนี้เกิดอะไรขึ้น ตระกูลเว่ยก็ต้องรับผิดชอบ จึงปิดบังนางเสีย รอให้ซ่งไจ้เถียนมาถึงก่อน แล้วให้พี่น้องทั้งสองไปจัดการกันเอง…ถึงตอนนั้นหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องให้ซ่งไจ้เถียนเป็นคนจัดการ


แต่ว่าพี่ชายคนรองของซ่งไจ้สุ่ยอย่างซ่งไจ้เจี้ยงกลับคัดค้านการที่จะส่งน้องสาวเข้าวังมาตลอด แม้ว่าคราวนี้ซ่งอวี่วั่งจะส่งบุตรชายคนโตมาที่เฟิ่งโจวเอง และต้องคอยจับจ้องซ่งไจ้เจี้ยงให้ดี แต่ว่าเรื่องราวก็มีเหนือความคาดหมาย หากว่าซ่งไจ้เจี้ยงยังมีวิธีส่งข่าวให้ซ่งไจ้สุ่ยรู้ก่อนล่ะ?


แขกคนนี้ จิตใจทั้งละเอียดและรู้สึกเร็ว การจะจับจ้องนางก็ไม่ให้นางรู้สึกสงสัยได้นั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นจึงสู้ให้เว่ยฉางอิ๋งไปเรียนรู้จากซ่งไจ้สุ่ยดีกว่า ทั้งสั่งสอนเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งสามารถจับจ้องซ่งไจ้สุ่ยได้


แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะอายุมากกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงหนึ่งปี แต่ว่าคุณหนูคนนี้ถูกอบรมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นการเลี้ยงดูที่ได้รับและวิธีการที่ได้รับการสั่งสอนจึงมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมสามวังหกตำหนัก การจะสั่งสอนเว่ยฉางอิ๋งนั้นมีความสามารถมากพอ


ฮูหยินซ่งถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายเด็กคนนี้ พี่ชายไม่อยู่ที่เฟิ่งโจว ตอนนี้ข้าเองก็ไปเมืองหลวงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องช่วยเตือนพี่ชายแทนนางบ้าง…”


“ตอนนี้เขาทำตัวแปลกไป” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวเสียงเรียบ “ต่อให้เจ้าไปเตือนเขาต่อหน้าก็ไม่มีประโยชน์”


ฮูหยินซ่งเองก็รู้ว่าการกระทำของท่านปู่ บิดาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนั้น ยังคงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและซ่งเหมียนเหอเป็นปรปักษ์ต่อกันจนถึงตอนนี้ และยังส่งต่อไปถึงบุตรสาวของตนเองด้วย…แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะไม่ได้ไร้เหตุผลด่าทอทุบตีกับฮูหยินซ่งอย่างที่ทำกับเว่ยฮ่วน แต่ว่าฮูหยินซ่งเองก็รู้ว่าตระกูลซ่งเป็นพวกเน้นความรู้สึก หากยังนำหัวข้อที่ทำร้ายบุตรสาวอย่างนี้มาพูดต่อไปก็จะไม่ดีนัก จึงกล่าวลาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปพูดกับไจ้สุ่ยก่อนไหม?”


ผู้ที่มีความนุ่มนวลมีเมตตาเก่งการเรือนเฉลียวฉลาดในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งหลาย และถูกเรียกว่าเป็นแบบอย่างของหญิงตระกูลสูงอย่างซ่งไจ้สุ่ยแน่นอนว่ารับปากการฝากฝังของท่านอาอย่างเต็มใจ และยังรับรองว่าจะต้องถ่ายทอดความสามาถทุกอย่างให้เสิ่นโจ้วชื่นชมเว่ยฉางอิ๋งไม่หยุดปากแน่


ฮูหยินซ่งไม่มั่นใจในตัวของบุตรสาว แต่ว่ากับหลานสาวแล้วนางมั่นใจมาก จึงจากไปอย่างพึงพอใจ


นางจากไป เว่ยฉางอิ๋งที่ซ่อนอยู่หลังม่านก็กระโดดออกมาด้วยท่าทางเหมือนรอดพ้นอันตราย นางตบไปที่อกแล้วกล่าวว่า “อันตราย อันตราย ยังดีว่าตอนที่ท่านแม่มาไม่ได้ยินว่าพวกเรากำลังพูดอะไรกันอยู่”


“ท่านอาถือกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่ เจ้าคิดว่าใครก็เหมือนกับเจ้าที่เห็นห้องก็บุกเข้าไปหรือ?” ซ่งไจ้สุ่ยเห็นนางก็รีบโยนท่าทีใจดีมีเมตตาต่อหน้าท่านอาทิ้งทันทีแล้วยิ้มเย็นพลางกล่าวออกมา หลายเดือนมานี้นางมองชัดแล้วว่า พูดด้วยเหตุผล พูดด้วยกฎเกณฑ์กับน้องสาวนางคนนี้ นั่นไม่ต่างอะไรกับสีซอให้ควายฟัง!


เว่ยฉางอิ๋งผู้ที่ไม่ต้องมีใครสอนก็สามารถใช้ความรักใคร่เอ็นดูมาทำตัวเอาแต่ใจเย่อหยิ่งได้และยังสามารถทำได้อย่างเก่งกาจอีกอย่างนี้ นางเชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์จากทุกอย่างเป็นที่สุด แล้วนางจะเป็นคนที่ยอมหยุดนิ่งเพราะคำพูดไม่กี่คำ หรือยอมอยู่ในกรอบเพียงเพื่อศักดิ์ศรีหรือน้ำใจคนหรือ!


ดังนั้นอยากจะจัดการน้องสาวคนนี้ให้ได้…ซ่งไจ้สุ่ยเข้าใจจากประสบการณ์ที่น่าอนาถของตนเองรับรู้ว่าหนทางที่เร็วที่สุดก็คือต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งอย่าได้ไปคิดถึงเรื่องหน้าตา ฐานะหรือน้ำใจอะไรทั้งสิ้น…


และจัดการยกเอาคำพูดเสียดสีในฐานะของฮองเฮาในอนาคตที่เตรียมไว้เพื่อใช้กับเหล่าสนมที่ไม่รู้เบื้องต่ำเบื้องสูงออกมา นางปรายตามองไปที่เว่ยฉางอิ๋งแล้วยิ้มเย็น “ท่านอาที่น่าสงสารของข้า! นางเป็นถึงฮูหยินนายหญิงของบ้าน เดิมก็มีเรื่องยุ่งยากมากมายอยู่แล้วแต่กลับยังมีบุตรสาวที่วางใจไม่ได้อย่างเจ้าอีก! เพื่ออบรมพิธีมารยาทของเจ้าเหล่านี้ ยังต้องมาหาข้าผู้ซึ่งเป็นหลานสาวที่มาขออาศัยอยู่ด้วยตนเอง…กลับไม่รู้เลยว่าบุตรสาวที่อกตัญญูและไม่เอาไหนอย่างเจ้า กลับรีบวิ่งมาหาข้าก่อนแล้วเพื่อขอว่าเมื่อต้องเรียนจะเกียจคร้านอย่างไร! ไม่รู้จริงๆ ว่าชาติที่แล้วท่านอาของข้าไปทำบาปกรรมอะไรเอาไว้ถึงได้มีบุตรสาวอกตัญญูอย่างเจ้า!”


คำพูดเหล่านี้นับว่าแรงมากแล้ว หากว่าเป้นซ่งไจ้สุ่ยเอง ได้ยินอย่างนี้จะต้องโมโหแน่ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา แล้วกล่าวด้วยท่าทีจริงใจและแก้ไขให้ว่า “ท่านพี่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก! นับตั้งแต่ข้ายังเล็ก ท่านย่ากับท่านแม่ต่างก็พูดว่าข้าเป็นหลานสาวที่ขยันขันแข็ง พวกนางขอต่อสวรรค์อยู่ทุกวันคืน ถึงได้รับความเมตตาจากสวรรค์และได้ข้ากับฉางเฟิงมา! หากว่าท่านย่ากับท่านแม่ทำบาปมา…แล้วจะมีพวกข้าสองพี่น้องได้หรือ?”


“…” ซ่งไจ้สุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าจะไม่พูดกับเจ้าเรื่องกตัญญูหรือไม่แล้ว ข้า…”


“ท่านพี่ท่านผิดอีกแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างทรมานใจ “ข้าอกตัญญูตรงไหนกัน ท่านแม่ก็กล่าวแล้วว่า ขอแค่ข้ามีความสุข นางก็มีความสุข! สองวันนี้เอาแต่เรียนกฎระเบียบตลอดเวลา เรียนจนข้าใกล้จะตายแล้ว! ข้าจะมีความสุขได้หรือ หากว่าข้าไม่มีความสุข แล้วท่านแม่จะมีความสุขได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงมาหาท่านเพื่อปรึกษา นี่ไม่ใช่ว่าเพื่อท่านแม่หรือ?”


ซ่งไจ้สุ่ยแทบจะไม่อยากเชื่อว่านางจะหน้าไม่อายได้ถึงขั้นนี้!!!


ว่าที่ฮองเฮาในอนาคตที่น่าสงสารนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “พูดอย่างนี้ เจ้ายังเป็นบุตรสาวกตัญญูหรือ?”


“นั่นมันแน่นอน!” ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งไม่แม้แต่จะแดงแล้วกล่าวอย่างยินดีว่า “ท่านแม่รักใคร่ข้าอย่างนี้ แน่นอนว่าข้าก็ต้องคิดเผื่อท่านแม่! ข้าไม่กตัญญูท่านแม่ แล้วนางจะเอาบุตรสาวคนที่สองจากไหนมากตัญญูนางล่ะ ดังนั้นข้า…”


ซ่งไจ้สุ่ยกุมหน้าอกแล้วถลึงตาใส่นาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยื่นนิ้วออกไปบิดหูของเว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวลอดไรฟันว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพูดกับเจ้าไปไม่มีทางมีเรื่องดี!! เจ้า…หากว่าไม่ยั่วคนให้โมโหตายเจ้าไม่มีความสุขใช่ไหม เจ้าไม่ยอมพูดดีๆ พูดแล้วจะตายใช่ไหม?! เจ้า! ข้าเสียใจจริงๆ ทำไมข้าถึงไม่ได้เรียนวิชายุทธ์แต่เล็ก ข้าจะต้องฝึกวิชาหมัด หากว่าไม่ทุบเจ้าสักพันครั้งห้าพันครั้ง ความโมโหนี้ของข้าจะระบายออกไปได้อย่างไรกัน?!”


…………………………………..


[1] ซานเหมยลิ่วเจิ้ง : ซานเหมย หมายถึงพิธีการแต่งงานที่จัดโดยพ่อแม่และต้องมีแม่สื่อเป็นผู้แนะนำเพื่อเป็นการแสดงว่าให้ความสำคัญ ฝ่ายชายเชิญแม่สื่อ ฝ่ายหญิงเชิญแม่สื่อ และการที่ทั้งสองฝ่ายเชิญแม่สื่อเพื่อผูกสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายให้ ลิ่วเจิ้ง หมายถึงการจัดโต๊ะบูชาฟ้าดินโดยวางถ้วยข้าวสารหนึ่งอัน ไม้บรรทัดหนึ่งอัน ตาชั่งหนึ่งอัน กรรไกรหนึ่งอัน กระจกหนึ่งอัน และลูกคิดหนึ่งอัน


ตอนที่ 35 ตั้งใจขุดหลุมพี่สาวหลายครั้ง

โดย

Xiaobei

ซ่งไจ้สุ่ยคือผู้ที่นิ่งคนหนึ่ง แม้ว่านางจะบิดหูเว่ยฉางอิ๋งด่าทออย่างดุดัน จริงๆ แล้วนางลงมืออย่างรู้ตัวดี ก็แค่บิดไปอย่างไม่หนักไม่เบาเท่านั้น อย่างไรก็ทำร้ายเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าซ่งไจ้สุ่ยจะดูถูกความหน้าไม่อายของเว่ยฉางอิ๋งมากไป โอกาสดีอย่างนี้ เว่ยฉางอิ๋งจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร นางไม่กล่าวอะไรแล้วอาศัยตอนที่ซ่งไจ้สุ่ยลงมือมุดเข้าไปซบในอกนางทันที!


ล้มลงไปอย่างนี้ทำเอาซ่งไจ้สุ่ยตกใจจนรีบผุดลุกขึ้นทันที ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วร้องออกมาหนึ่งครั้ง รีบปล่อยมือที่บิดหูนางทันทีแล้วประคองเว่ยฉางอิ๋งอย่างตกใจพลางกล่าวว่า “เจ้า เจ้า เจ้าเป็นอะไรไป?!


“คุณหนูเว่ย!” สาวใช้ซ้ายขวารีบประคองไข่มุกบนฝ่ามือของตระกูลเว่ยไปนั่งลงที่เบาะ และทุบขาทุบหลังทั้งยังรินน้ำปรนนิบัติให้นอนลง กำลังคิดจะเตือนซ่งไจ้สุ่ยว่าต้องไปตามหมอมาไหม ก็เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งที่แสร้างทำท่าทีหมดสติมาตลอดนั้นกลับเปิดตาขึ้นมาเล็กน้อย ซ่งไจ้สุ่ยตกใจและทำอะไรไม่ถูกพร้อมประคองนางขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ฉางอิ๋งคนดี เจ้า…เจ้าเป็นอะไรหรือ?”


นางไม่ได้ลงมือแรงเลยจริงๆ นะ! ตนเองกับน้องสาวคนนี้ไร้ความแค้นกัน นางยังไม่ใช่คนหยาบกระด้างอย่างเว่ยฉางอิ๋ง หยิกหูกันไม่กี่ทีระหว่างเด็กหญิง…นี่…ทำไมล้มลงไปได้ล่ะ?


ซ่งไจ้สุ่ยทำอะไรไม่ถูก ก็เห็นเว่ยฉางอิ๋งทำท่าหายใจรวยริน แทบจะสลักคำว่า ‘ข้าใกล้ตายแล้ว’ เอาไว้บนใบหน้า แล้วยื่นมือสั่นระริกมาคว้ามือของตนเองไว้พลางกล่าวต่อไปว่า “ท่าน ท่านพี่! ข้า…ข้าไม่ไหวแล้ว…ข้า…”


แค่พริบตาเดียวกลับหนักหนาถึงขั้นจะต้องตายจากกัน หญิงรับใช้ทั้งหลายตกใจราวกับอยู่ในฝันตั้งสติไม่ได้ แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับเข้าใจแล้ว ว่าที่ฮองเฮาที่เข้าใจเรื่องราวพลันมีสีหน้าเย็นชาทันที!


นิ้วมือที่เพิ่งจะทาน้ำยาทาเล็บจากดอกเฟิ่งเซียน[1]สั่นระริก ปลายนิ้วทั้งสิบแทบอยากจะให้มีเลือดหยดออกมา แล้วบีบไปที่คอของเว่ยฉางอิ๋ง “ใครใช้ให้เจ้าทำให้ตกใจ!!!”


ตอนนี้คุณหนูซ่งที่น่าสงสารนั้นรู้สึกเสียใจมาก! ตอนแรกนางไม่ยินดีจะจากเจียงหนานไปเมืองหลวง เพื่อลากเวลาไปเมืองหลวงให้นานขึ้น ระหว่างทางอย่างไรก็ต้องมาหาฮูหยินซ่งที่เป็นท่านอาให้ได้ เพิ่งจะมาถึงตระกูลเว่ย ฮูหยินซ่งได้เห็นหลานสาวของตนเองก็ดีใจมาก แต่ว่าเมื่อพูดถึงน้องชายน้องสาวที่อยู่รุ่นเดียวกันแล้ว กลับถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่าบุตรสาวบุตรชายสองนางทั้งคู่นี้ น้องชายอย่างเว่ยฉางเฟิงยังดี แต่ว่าน้องสาวอย่างเว่ยฉางอิ๋งกลับมีนิสัยบ้าอำนาจเอาแต่ใจ อยู่กันไม่ได้ง่ายๆ ขอให้นางอภัยให้มากๆ…


ตอนแรกเริ่มซ่งไจ้สุ่ยยังระวังตัวเวลาที่อยู่ด้วยกันกับน้องสาว แต่เมื่อหลายครั้งเข้าก็รู้สึกว่านางจะร่าเริงไปหน่อย ทั้งยังชอบวิชายุทธ์มากไป นิสัยเองก็ตรงไปตรงมาเปิดเผย ทำไมท่านอาถึงได้กล่าวถึงนางอย่างนั้นล่ะ นางคิดดูแล้วบางทีท่านอาอาจจะไม่ชอบใจที่น้องสาวสนใจวิชาต่อสู้ เวลากล่าวถึงนางถึงได้ถ่อมตนไปบ้าง ดังนั้นถึงได้พูดถึงน้องสาวที่ดีของนางเสียเกินไปอย่างนั้น


ตอนนี้คิดแล้วเป็นตัวนางเองที่ตาบอด! ฮูหยินซ่งคือท่านอาแท้ๆ ของตนชัดๆ! แล้วนางจะมาหลอกตนได้อย่างไร?!


ที่เสแสร้างถูกมองออกแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็กลับมามีพลังดั่งเดิม เมินสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายที่มองมาไป แล้วดึงมือซ่งไจ้สุ่ยออกราวกับไม่มีเรื่องอะไรพร้อมลุกขึ้นไปนั่งเอนบนเบาะ ขาข้างหนึ่งตกไปข้างเตียงแล้วส่ายไปมาอย่างสบายใจ พลางหัวเราะแล้วทำหน้าผีกล่าวว่า “ไอหยา! ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ฉลาดอย่างนี้ข้าจะต้องปิดบังท่านไม่ได้แน่…”


“เจ้าออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!” ซ่งไจ้สุ่ยถูกนางทำให้โมโหจริงๆ แล้ว นางคิดว่าหลายปีมานี้นางถูกท่านย่าสั่งสอนมาเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตนั้นทำให้ตนเองภายหลังเมื่อไปควบคุมสามวังหกตำหนักแล้วจะสามารถมีใจกว้างยอมรับเหล่านางสนมทั้งหลายได้ การจะยอมเว่ยฉางอิ๋งสักคนจะเป็นอะไรไป แต่ว่าตอนนี้นางพบว่าตนเองผิดไปแล้ว เหล่านางสนมเหล่านั้นจะสามารถเทียบกับเว่ยฉางอิ๋งได้อย่างไร น้องสาวคนนี้มีวิธีการมีพรสวรรค์ในการยั่วโมโหคนเหนือคนอื่นมาก!


“ไม่ได้ไม่ได้ ข้าออกไปไม่ได้!” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินกลับล้มตัวลงไปบนที่นอนต่ออย่างหน้าไม่อาย พลางกล่าวอย่างมีพลังว่า “เมื่อครู่ท่านพี่บิดหูข้า ตอนนี้ข้ายังเจ็บอยู่เลย! ข้าว่าข้าต้องนอนพักสักสามวันห้าวันถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ระหว่างนี้ พิธีมารยาทการสนทนาอะไร ข้าแค่นอนฟังไปก็พอแล้ว!”


ซ่งไจ้สุ่ยแทบจะอยากเอาเหยือกผลไม้แช่เย็นข้างเตียงราดไปบนร่างของนาง!


“ก็แค่บิดเท่านี้…เจ้าว่า เจ้าจะต้องพักผ่อนสามวันห้าวันหรือ?” ซ่งไจ้สุ่ยกำพัดทรงกลมไว้ในมือ แล้วพัดไปมา สายตาก็จับจ้องไปที่ร่างของเว่ยฉางอิ๋งราวกับมีด น้ำเสียงราวกับลอดมาจากไรฟัน “เจ้า…เจ้าคิดว่าเจ้าทำมาจากเต้าหู้หรือ หรือว่าทำมาจากกระจก?!”


เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจน้อยๆ “ไข่มุกบนฝ่ามือที่ได้รับความรักความเอ็นดูอย่างพวกเรานี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำมาจากเต้าหู้หรือกระจก แต่ว่าจะต้องเป็นเต้าหู้อย่างไหนหรือกระจกอย่างไหนถึงจะมีค่าเท่ากับพวกเราได้กัน บุตรสาวตระกูลสูง ห้ามทำตนตกอยู่ในอันตราย ข้าจะต้องไม่ทำให้ชะตาชีวิตที่ลิขิตให้ถูกรักใคร่เอ็นดูจกสวรรค์ของข้าต้องเสียเปล่าแน่! ข้าจะต้องรักษาตนเองดีๆ! ดังนั้น ท่านพี่…การสนทนาพิธีมารยาทนี่ หลายวันนี้ก็พักไว้ก่อนเถอะ รอให้ร่างข้าหายดีแล้ว พวกเราค่อยมาปรึกษากันใหม่…”


“ใช่แล้วๆ เจ้าคือไข่มุกบนฝ่ามือที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดู แต่ว่าข้าคืออะไร?” สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยเข้มขึ้นทันที เข้มจนราวกับท้องฟ้าที่กำลังจะมีฝนตกลงมา น้ำเสียงเย็นจนทำให้คนฟังต้องตัวสั่น นางโมโหจริงๆ แล้ว พัดก็ไม่พัดแล้ว และนำมาเท้าคางไว้ ดวงตาสั่นระริก แล้วกล่าวทีละคำออกมาว่า “ข้าที่ไม่มีท่านแม่คอยรักใคร่มาตั้งแต่เล็ก ผู้ที่อนาคตเลือนราง ถือว่าเป็นไข่มุกบนฝ่ามือตรงไหนกัน เจ้าเคยเห็นไข่มุกบนฝ่ามือคนไหนบ้างที่ยังไม่ทันจะแต่งงานไปก็ต้องมีบุตรสาวบุตรชายเป็นฝูงคอยมารุมเรียกว่าแม่ใหญ่แล้ว บ้านแม่ไม่มีการปรึกษาก็คิดจะบีบเจ้าให้แต่งงานไปน่ะ?!”


ความแค้นเคืองในการแต่งงานของซ่งไจ้สุ่ย มากถึงขนาดทำให้เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าหาเรื่องนางต่อหน้า นางรีบเก็บท่าทีเสแสร้งทันทีแล้วกล่าวอย่างเอาใจว่า “ท่านพี่ทำไมต้องทุกข์ขนาดนี้ด้วย ข้าว่านับจากจดหมายครั้งที่แล้ว หลายวันนี้ท่านลุงก็ไม่ได้ทำอะไรอีก ไม่แน่ว่าท่านลุงอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้ ใช่ไหม?”


คำพูดของนางพวกนี้ก็เพียงแค่ปลอบประโลมซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับละเอียดลออมาก และเหมือนถูกกล่าวเตือน พลันตกใจขึ้นมาทันทีจนเกือบจะทำพัดตกลงไปแล้วกล่าวอย่างใจลอยว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านพ่อกล่าวในจดหมายว่า ชินเทียนหลัน[2]ได้กำหนดวันแล้ว กล่าวว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ข้าไปได้แล้ว! ข้าไม่ได้สนใจ ทั่วไปแล้วหากท่านพ่อรู้จะต้องรีบเขียนจดหมายมาอีกแน่! แล้วทำไมถึงได้ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย?”


เว่ยฉางอิ๋งตบโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ท่านดู ท่านว่าท่านลุงไม่รักใคร่ท่าน ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้จดหมายนั้นอาจเขียนให้คนอื่นอ่านก็ได้ อาจจะไม่ได้เขียนมาเพื่อเร่งให้ท่านไปเข้ากองไฟที่เมืองหลวงเร็วๆ หรอก!”


ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าจะรู้อะไร ข้ากำลังคิดว่า หรือว่าท่านพ่อ…ท่านพ่อเห็นข้าไม่ยอมเชื่อฟังมาตลอด จึงแอบลอบเขียนจดหมายให้คนข้างกายข้า ให้พวกเขาบังคับข้ากลับไป ถึงได้ไม่มาเร่งข้าอีกแล้ว?”


“…คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก?” เรื่องที่ซ่งไจ้เถียนได้ตามเสิ่นโจ้วมาที่เฟิ่งโจวนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งไม่ได้บอกเว่ยฉางอิ๋ง ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินที่ซ่งไจ้สุ่ยคาดเดาก็รู้สึกว่าในเมื่อซ่งอวี่วั่งดื้อดึงต้องการให้ซ่งไจ้สุ่ยแต่งไปกับราชวงศ์ขนาดนั้น ตามหลักแล้วไม่น่าจะเปลี่ยนความคิดได้เร็วขนาดนั้น…ความคาดเดาของซ่งไจ้สุ่ยอาจจะเป็นไปได้จริงๆ เว่ยฉางอิ๋งลังเลไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หลายวันมานี้คนข้างกายท่าน…”


แววตาของนางมองไปยังสาวใช้ข้างกายของซ่งไจ้สุ่ยอย่างชุนอิ่ง เซี่ยอิ่ง ชิวอิ่งและตงอิ่ง สาวใช้ทั้งสี่ต่างก็ร่ำร้องในใจ แล้วพากันคุกเข่าลงพลางกล่าวว่า “บ่าวไม่เคยได้รับจดหมายอะไรเลย บ่าวรับใช้คุณหนูแล้วจะทรยศคุณหนูได้อย่างไร?”


ยังดีว่าเจ้านายของพวกนางซ่งไจ้สุ่ยแววตาเฉียบคมฉลาดเฉลียว จึงถลึงตาใส่เว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวว่า “อาศัยพวกนางทั้งสี่หากว่าอยากจะบังคับให้ข้าไปเมืองหลวง แม้ว่าจะมีจดหมายลับ หากจะให้ก็ต้องให้กับพวกทหารคุ้มกันข้าเหล่านั้น!”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไร้ทางเลือกแล้ว เหล่าทหารคุ้มกันพวกนั้นไม่อยู่เรือนหลัง ข้าไม่แม้แต่จะได้เจอด้วยซ้ำ” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแล้วกล่าว “หรือว่าให้ฉางเฟิงช่วยไปหาข่าวให้ท่านดี?”


ซ่งไจ้สุ่ยกัดริมฝีปาก แล้วครุ่นคิดไประยะหนึ่งแต่กลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ฉางเฟิงยังอายุน้อย และก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยสนใจคนเหล่านั้นมาก่อน ตอนนี้กลับไปสืบข่าว แล้วจะไม่ให้คนสงสัยหรือ?”


ชะงักไปแล้วซ่งไจ้สุ่ยก็กล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้อากาศยังร้อนมาก หากว่าพวกเขาต้องรายงานท่านย่ากับท่านอาว่าจะพาข้าไป ตลอดทางอย่างไรก็ต้องใช้น้ำแข็ง รถม้าที่ข้ามาก็ควรจะต้องจัดการแล้ว…ข้าว่าให้คนสังเกตสองอย่างนี้ดีกว่า”


เว่ยฉางอิ๋งลอบชื่นชมความละเอียดรอบคอบของซ่งไจ้สุ่ยแล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ได้!” แต่ว่านางคิดแล้วก็ยังรู้สึกว่า…


“แต่หากว่าท่านลุงเขียนจดหมายให้กับเหล่าทหารพวกนั้นจริงๆ พวกเขาก็ต้องรายงานท่านย่า อย่างไรก็เป็นความต้องการของท่านลุง ท่านย่าจะไปคัดค้านก็ไม่ดีนัก ท่านพี่แม้ว่าจะรู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรแต่ว่าจะทำอย่างไรกัน?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเตือนอย่างลังเล


ซ่งไจ้สุ่ยถลึงตาใส่นางครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยใบหน้าเข้มว่า “รู้แล้วข้าก็ต้องคิดหาวิธีให้ได้?! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะต้องคิดหาวิธีไม่ได้!”


“จริงๆ แล้วข้ามีวิธีหนึ่ง” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวแผนการอย่างกระตือรือร้น “ข้าไปหาลุงเจียงให้ทำยาสลบมา ระหว่างทางท่านก็ทำให้เหล่าทหารพวกนั้นสลบไปเสีย จากนั้น…”


“เจ้ากลับไปที่เรือนเสียนซวงไม่ก็ไปหาลุงเจียงคนนั้นของเจ้าเถอะ!” ซ่งไจ้สุ่ยโยนพัดทรงกลมไปที่ร่างของนาง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ยังไม่ต้องพูดว่าข้าจะใส่ยาสลบลงในอาหารของพวกเขาอย่างไร และยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหล่าทหารพวกนั้นไม่แน่ว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องยาสลบอีก ต่อให้พวกเขาสลบไปแล้ว…แต่ว่าใครจะมารับใช้ข้าปกป้องข้ากัน?!”


เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้รู้สึกว่าความคิดของตนเองเหลวไหลเลยสักนิด ทั้งยังไม่ไร้สมองเลย “อ๋า ข้าก็แค่เห็นว่าท่านพี่ไม่อย่างไปอย่างนี้ วิธีที่คิดได้ก็แค่เรื่องยาสลบ แม้ว่าความคิดที่ข้าพูดออกมาจะไม่ดี แต่ว่าท่านพี่ฉลาดขนาดนี้ ข้าเตือนสักหน่อยบางทีท่านอาจจะคิดแผนการอะไรขึ้นมาได้ก็ได้?”


ซ่งไจ้สุ่ยโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าไปเถอะเจ้าไปเถอะเจ้ารีบไปเร็วๆ เถอะ! ไม่ต้องมารบกวนข้า ตอนนี้ข้าอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ!”


ถูกไล่ออกมาจากเรือนหมิงเซ่อแล้ว ลวี่ฉือถึงได้กล่าวอย่างระวังว่า “คุณหนูซ่งไม่ยอมกลับเมืองหลวง ทำไมคุณหนูใหญ่จะต้องไปกล่าวถึงเรื่องที่คุณหนูซ่งไม่สบายใจด้วย?” เมื่อครู่เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถึงว่าหลายวันมานี้ซ่งอวี่วั่งไม่ได้เขียนจดหมายมา ดูเหมือนจะเป็นคำกล่าวปลอบโยน แต่ว่าลวี่ปิ้นและลวี่ฉือที่ปรนนิบัติรับใช้กันมาตั้งแต่เล็กจะไม่รู้หรือ เว่ยฉางอิ๋งจงใจกล่าวขึ้นมาชัดๆ!


ซ่งไจ้สุ่ยมีนิสัยนิ่งและละเอียดลออ รวมกับที่เดิมนางก็กังวลเรื่องนี้มากอยู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับกล่าวมาอย่างไม่ระวังอย่างนี้ คุณหนูซ่งก็ติดกับจริงๆ แล้วเบี่ยงความสนใจไปยังเรื่องที่ตนจะถูกบังคับกลับไปที่เมืองหลวง คุณหนูซ่งยังไหว้วานให้เว่ยฉางอิ๋งไปสืบข่าวในเรือนหน้าจากทหารคุ้มกันของตระกูลซ่งอีก ไม่ต้องแม้แต่จะคิด ข่าวที่เว่ยฉางอิ๋งให้กลับไป ไม่เพียงแต่จะเป็นการพิสูจน์ความคาดเดาของซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้ซ่งไจ้สุ่ยตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวด้วย


อย่างไรก็เป็นว่าที่ฮองเฮา แม้ว่าเจ้านายคนนี้จะไม่ยินดีที่จะต้องไปเป็นฮองเฮา ลวี่ปิ้นอดที่จะรู้สึกว่าเว่ยฉางอิ๋งวางแผนซ่งไจ้สุ่ยอย่างนี้ช่างทำให้คนกังวลจริงๆ


“พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร?” เว่ยฉางอิ๋งเห็นรอบด้านไม่มีใคร ก็พลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ได้ยินที่เมื่อครู่ท่านแม่ฝากฝังให้ท่านพี่มาสอนข้าในการสนทนาต่อหน้าท่านอาของตระกูลเสิ่นหรือ พวกเจ้าว่าตอนนี้ตัวท่านพี่ยังจัดการเรื่องตนเองไม่ได้เลย แล้วยังจะมีอารมณ์ที่ไหนมาจัดการข้า ยังไม่ต้องพูดถึงวังตะวันออก…หรือว่าข้าจะเกียจคร้านอย่างไรเลย?”


ได้ยินนางกล่าวออกมาอย่างนี้ เหล่าสาวใช้ก็พลันไร้คำพูดไป ลวี่ฝางกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “แต่ว่าหากคุณหนูใหญ่ไม่เรียน…หากว่าคนตระกูลเสิ่นมาแล้ว เห็นคุณหนูใหญ่…”


“แม้ว่าท่านอาของตระกูลเสิ่นจะเป็นผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็เป็นผู้ชาย” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มมุมปากแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “อีกอย่างครั้งนี้ที่เขามา เขามาเพื่อถ่ายทอดราชโองการ และมาเพื่อปรึกษางานแต่งงาน เรื่องแรกเป็นเรื่องงาน ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเลยสักนิด! เรื่องหลังนั้น ก็ไม่ได้มาปรึกษากับข้า อย่างไรก็ต้องคุยกับท่านปู่ท่านย่า เจ้าคิดว่าต่อให้ข้าไปคารวะเขา แต่จะได้คุยกับเขายาวหรือ?”


นางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ข้าว่าอย่างมากเมื่อคุยกันเรื่องงานเสร็จแล้ว ท่านปู่กับท่านย่าก็คงเชิญท่านอาตระกูลเสิ่นมาห้องโถงด้านหลัง หาเหตุผลให้ข้าไปคารวะ ไม่แน่ก็เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น จากนั้นข้าก็ไปยืนฟังพวกเขาคุยกันด้านหลังท่านย่า ก็แค่ยืนนิ่งๆ เวลาเท่านี้ยังรับมือไม่ได้หรือ ข้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยเรียนวิขากฎเกณฑ์อะไรมาจริงๆ สักหน่อย!”


ลวี่ปิ้นกับลวี่ฝางได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เพียงแต่ว่าคุณหนูใหญ่ที่ตนเองรับใช้คนนี้กลับมักไม่ทำให้คนวางใจ…


ดังนั้นลวี่ปิ้นจึงกล่าวต่อว่า “ครั้งนี้คนตระกูลเสิ่นมารับมือได้ง่าย แต่ว่า…หากว่าภายหลังที่คุณหนูแต่งงานออกไปแล้วล่ะ?”


“โง่! นั่นมันเรื่องของปีหน้า ไว้ปีหน้าค่อยว่ากันสิ!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“…” เหล่าสาวใช้ทั้งหลายนิ่งเงียบไป ก็ได้ เจ้านายวางใจขนาดนี้ พวกนางเป็นบ่าว…หรือว่ายังจะบังคับให้เจ้านายไปเรียนหรือ?


ต่อให้อยากจะทำอย่างนั้น ลองคิดถึงคุณหนูซ่งที่น่าสงสารดู ว่าที่ฮองเฮาคนนี้ เพราะว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยไม่อยากเรียนกฎเกณฑ์ ถึงได้จงใจทำให้ซ่งไจ้สุ่ยเกิดความระแวงในใจขึ้นมา เกรงว่าตอนนี้คงกำลังกัดผ้าห่มทุบหมอนอยู่ในเรือนหมิงเซ่อจมอยู่กับความคิดว่าจะวางแผนอย่างไร…


นั่นน่ะคือญาติผู้พี่แท้ๆ ของคุณหนูใหญ่นะ!


หากว่าเปลี่ยนเป็นบ่าวอย่างพวกนาง คุณหนูใหญ่จะวางกับดักพวกนางอย่างไรเพื่อให้ตัวเองว่าง?!


เรื่องอย่างนี้อย่าไปคิดมากเลยดีกว่า


…………………………………


[1] ดอกเฟิ่งเซียน : ดอกเทียนบ้าน


[2] ชินเทียนหลัน : ขุนนางผู้คอบตรวจสอบปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม