ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 209-216

 ตอนที่ 209 ตั้งแง่


 


 


คิ้วของซย่าเฉิงโจวขมวดแน่นเป็นปม เลื่อนสายตาขึ้นไปมองชายที่เป็นคนถีบเขา รังสีแข็งกร้าวแผ่ออกมาทั่วร่างของชายคนนั้น แสงสว่างภายของห้องโถงสาดส่องลงมาบนร่างกาย ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเกิดประกายแสงสีทองเรือนราง ดูลึกลับและสูงศักดิ์ ทว่าสายตาที่ใช้มองเขานั้นช่างเย็นชาและโหดเ**้ยม ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร น้ำเสียงราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็ง เย็นยะเยือกบาดลึกลงไปถึงกระดูก


 


 


ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เป็นตัวแทนจากบริษัทยาไป๋ฟังหรอกเหรอ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือว่ามากับอวี๋กานกาน?


 


 


เมื่อครู่ที่เขากระชากอวี๋กานกาน ถึงแม้จะเป็นเพราะร้อนใจ เนื่องจากต้องการรีบช่วยผู้ป่วยให้เร็วที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรการกระทำนั่นก็เกินกว่าเหตุไปจริงๆ เขามองไปยังคุณป้าที่สลบอยู่บนพื้น สถานการณ์บีบคั้นถึงขีดสุด จำเป็นต้องทำการรักษาโดยด่วน จะเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวไม่ได้ มิฉะนั้นนั่นหมายถึงชีวิต


 


 


ซย่าเฉิงโจวจึงทำได้เพียงข่มอารมณ์ไว้ พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกร้าวจนเกินไป ทว่าก็ไม่โอนอ่อนจนดูต่ำต้อย “ขอโทษ เมื่อครู่ผมใจร้อนไปหน่อย แต่นั้นก็เพื่อ…” ช่วยชีวิตคน


 


 


สี่พยางคุสุดท้ายซย่าเฉิงโจวยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกลูกสาวของคุณป้าตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “คุณเป็นใคร คุณจะทำอะไร จะฆ่าแม่ฉันเหรอ”


 


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดนี้ ทำให้ทุกคนต่างพากันมึนงง แต่เนื่องจากลูกสาวของคุณป้าเป็นห่วงแม่ของตนเองมาก เธอจึงดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ตวาดใส่ซย่าเฉิงโจวดังลั่น ทั้งยังไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยคำเตือน “ถ้าแม่ฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันไม่เอาคุณไว้แน่!” จากนั้นจึงหันไปพูดกับอวี๋กานกาน “คุณหมอคะ รีบช่วยแม่ของฉันเถอะค่ะ อย่าให้ท่านเป็นอะไรไปนะคะ”


 


 


ลูกสาวไม่รู้สึกเลยว่าอวี๋กานกานจะเป็นหมอกำมะลอหรือพวกสิบแปดมงกุฎตั้งแต่แรก! สมัยนี้ผู้คนต่างกลัวคนเฒ่าคนแก่ เห็นคนแก่เป็นลมหน่อยต่างก็พากันถอยกรู กลัวว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วตนเองจะพลอยซวยไปด้วย แต่ว่าหญิงสาวคนนี้ บอกกับเธอว่าตัวเองเป็นหมอ ช่วยทำให้เธอใจเย็นขึ้น ช่วยเธอเปิดขวดยาป้อนให้แม่ ทั้งยังถอดเสื้อหนาวออกมาคลุมให้แม่ของเธอเพื่อรักษาความอบอุ่น แฟนหนุ่มของหญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็ปวดใจ ถอดเสื้อโอเวอร์โค้ทราคาแพงมาปูบนพื้นอย่างไม่ลังเล ไม่สนใจว่าเสื้อของเขาจะสกปรกหรือไม่ พวกเขาทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


กลับกันกับผู้ชายที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จู่ๆ ก็มาขัดขวางการรักษาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถ้าหากว่าแม่ของเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมาละก็ เธอจะให้ผู้ชายคนนี้ชดใช้ด้วยชีวิต


 


 


ผู้คนรอบๆ ต่างได้สติคืนกลับมาแล้ว พวกเขาทุกคนต่างพากันตะโกนใส่ซย่าเฉิงโจวด้วยความโกรธ “นายเป็นใครเนี่ย ไปวุ่นวายอะไรตรงนั้น”


 


 


“คนเขาเป็นหมอกำลังช่วยชีวิตคนอื่นอยู่ รู้เรื่องไหมเนี่ย”


 


 


“ถ้าคุณป้าท่านนี้เป็นอะไรขึ้นมา ดูสิหลังจากนี้แกจะทำยังไง”


 


 


……


 


 


เมื่อเห็นสายตาดูถูกและโกรธเกรี้ยวของผู้คนโดยรอบ นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าเฉิงโจวตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุมประณาม กะทันหันจนเขาไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี


 


 


เขาต้องการจะช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินคนนี้แท้ๆ แต่ทำไมคนเหล่านี้ถึงตั้งข้อสงสัย คาดคั้นจนเขารู้สึกกระอักกระอวน หรือว่าจะหวังพึ่งอวี๋กานกาน อวี๋กานกานมีความรู้เท่าหางอึ่ง มีดีแต่พูด ที่เขาดึงอวี๋กานกานออกมา นั่นก็เป็นเพราะเขาหวังดีต่อเธอ ไม่ต้องการให้เธอพลั้งมือฆ่าคนตาย อย่างไรเสียอวี๋กานกานก็ยังอายุน้อย ยังมีอนาคตอีกไกล


 


 


อวี๋กานกานลงไปนั่งยองๆ บริเวณด้านข้างคุณป้า ตั้งแต่ตอนที่ลูกสาวเรียกให้เธอรีบทำการรักษา เธอหยิบเข็มขึ้นมา ออกแรงปักเข็มลงตรงไปกลางปลายจมูกของคุณป้าตรงจุดซู่เหลียว[1] จากนั้นจึงปั่นเข็มพร้อมกับดึงเข็มขึ้นลงเล็กน้อย[2]


 


 


เมื่อทุกคนเห็นว่าอวี๋กานกานเริ่มฝังเข็มเพื่อทำการรักษา เสียงจ้อกแจ้กจอแจก็ค่อยๆ เงียบลงจนไม่มีใครพูดอะไรอีก เนื่องจากกลัวว่าจะไปรบกวนการรักษาของอวี๋กานกาน


 


 


ซย่าเฉิงโจวเองก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ สีหน้าเป็นกังวล ในหัวคิดไม่หยุดว่าหากอวี๋กานกานรักษาพลาดขึ้นมา เขาจะใช้วิธีไหนกู้ชีวิตผู้ป่วยดี


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานฝังเข็มลงไปสองสามจุด สีหน้าของคุณป้าก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่ซีดเผือดจนน่าตกใจ


 


 


ลูกสาวยังคงร้องไห้ไม่หยุด แต่สีหน้าเริ่มปรากฏความปลื้มปิติยินดีให้เห็นบ้างแล้ว


 


 


ร่างกายของซย่าเฉิงโจวเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างช้าๆ เขามองไปยังอวี๋กานกาน…ค่อนข้างประหลาดใจและคาดคิดไม่ถึง


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] จุดซู่เหลียว คือจุดฝังเข็มอยู่ตรงกลางปลายจมูก ใช้รักษาอาการคัดจมูก เลือดกำเดาไหล เป็นลม


 


 


[2] เป็นวิธีการกระตุ้นเข็มให้โดนจุดลมปราณ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 210 กอดคุณไว้อย่างนี้อบอุ่นที่สุด


 


 


ร่างกายของซย่าเฉิงโจวเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างช้าๆ เขามองไปยังอวี๋กานกาน…ค่อนข้างประหลาดใจและคาดคิดไม่ถึง


 


 


สามนาทีผ่านไป เปลือกตาของคุณป้าขยับเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาฟื้นขึ้นมา ลูกสาวของคุณป้าทอดถอนหายใจยาวเหยียด เธอดีใจจนน้ำตาไหลริน กล่าว “แม่คะ หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้ว อย่าโกรธหนูเลยนะคะ”


 


 


ผู้คนโดยรอบต่างถอนหายใจโล่งอก ร้องโฮด้วยความปลื้มปิติ


 


 


“ฟื้นแล้วๆ ดีจริงๆ ที่คุณป้าไม่เป็นอะไร”


 


 


“สาวน้อยวิชาแพทย์ล้ำเลิศจริงๆ อายุยังน้อยก็ฝีมือดีขนาดนี้แล้ว”


 


 


“คุณป้าคนนี้โชคดีจริงๆ ที่ได้มาเจอหนู”


 


 


…….


 


 


อวี๋กานกานจับชีพจรให้คุณป้า พบว่าตอนนี้เธอปลอดภัยดีแล้ว หันไปพูดกับลูกสาวด้วยใบหน้าอมยิ้ม “ตอนนี้แม่ของคุณปลอดภัยแล้วค่ะ แต่ว่าท่านมีอาการของโรคหอบหืดเรื้อรังและโรคหัวใจ ทางที่ดีควรไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล”


 


 


ลูกสาวของคุณป้าพยักหน้าไปด้วยร้องไห้ไปด้วย เธอขอบคุณอวี๋กานกานไม่หยุดปาก ในขณะเดียวกันเสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังลอดเข้ามา ไม่นานนัก รถพยาบาลก็มาจอดลงตรงบริเวณหน้าโรงแรม EMT[1] ถือเปลลงมาหามคุณป้าขึ้นรถพยาบาลอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ก่อนจากกันลูกสาวยังขอบคุณอวี๋กานกานซ้ำๆ อีกหลายครั้ง


 


 


ผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว ผู้คนที่มุงดูก็แยกย้ายไปตามทางของตัวเอง


 


 


อวี๋กานกานเก็บเสื้อโค้ทของฟังจือหันที่ปูอยู่บนพื้นขึ้น จากนั้นหันไปพูดขอโทษ “เปื้อนหมดแล้ว”


 


 


ฟังจือหันโยนเสื้อโค้ททิ้งลงไปในถังขยะที่อยู่ด้านข้าง


 


 


อวี๋กานกานยื่นมือหมายจะห้าม ทว่าไม่ทันเสียแล้ว เธอขมวดคิ้วมองฟังจือหัน “ทิ้งเสื้อโค้ทไปแล้วนายจะใส่อะไร อากาศหนาวขนาดนี้ นายสวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียวเนี่ยนะ ถึงในโรงแรมจะมีฮีตเตอร์แต่ก็ยังเย็นอยู่ดี เป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง”


 


 


“เดี๋ยวผมให้คนส่งตัวใหม่มา”


 


 


อวี๋กานกานดูท่าทีของเขาเหมือนเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว จึงไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เธอถอดผ้าพันคอของตัวเองออก เขย่งปลายเท้าวางผ้าพันคอพาดไว้บนไหล่ของฟังจือหัน “ถือซะว่าเป็นเสื้อคลุม จะได้อุ่นขึ้น”


 


 


ฟังจือหันปฏิเสธ หยิบผ้าพันคอพันคืนกลับให้อวี๋กานกาน


 


 


“โรงแรมมีฮีตเตอร์ ฉันไม่ต้องพันผ้าพันคอก็ได้”


 


 


“ผมไม่หนาว”


 


 


“ใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวเนี่ยนะ จะไม่หนาวได้ไง รีบเอาไปพัน หรือว่านายกลัวไม่หล่อ”


 


 


“ผ้าพันคอของคุณอัปลักษณ์ใช้ได้”


 


 


“กัดลิ้นตายไปเลยไป”


 


 


ทั้งคู่เกี่ยงกันไปมา ไม่ได้สนใจซย่าเฉิงโจวที่อยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย


 


 


ซย่าเฉิงโจวมองแผ่นหลังของอวี๋กานกาน รู้สึกสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง เขาทะนงตนมาตลอดว่าวิชาแพทย์ของตัวเองดีเลิศ ทั้งยังคิดเหมือนกับซูจิ่วซานและเซียวอิงว่าอวี๋กานกานมางานสัมมนาครั้งนี้ก็เพื่อชุบตัว ทว่าตอนนี้ไม่พูดไม่ได้เลยว่าอวี๋กานกานไม่ใช่พวกไร้ฝีมือเหมือนกับที่เขาคิดแม้แต่น้อย กลับตรงกันข้ามเลยต่างหาก วิชาแพทย์ของเธอยอดเยี่ยมมาก อายุเท่านี้ กลับหนักแน่นมั่นคง มีสติไม่หุนหัน ไม่เย่อหยิ่งทะนงตน ทั้งยังอ่อนโยนและมีมารยาท เทียบกับเขาเมื่อครู่ ถึงแม้จะเป็นเพราะต้องการช่วยชีวิตคน ทว่ากลับลนลาน ใจร้อนจนไปกระชากอวี๋กานกาน โดยที่ไม่ได้ถามเธอสักคำ ไม่ได้สนว่าในมือของเธอมีเข็มอยู่หรือเปล่า


 


 


ครุ่นคิดดูแล้ว เขาสำคัญตัวเองผิดไปขนาดไหนกันนะ ไม่แปลกที่ทุกคนจะรุมด่าทอเขา


 


 



 


 


สรุปผ้าพันคอสีชมพูของอวี๋กานกาน สุดท้ายก็ยังพันอยู่บนคอของเธอ


 


 


ฟังจือหันกอดคออวี๋กานกาน กระซิบข้างใบหู “แบบนี้อุ่นที่สุด”


 


 


ฟังจือหันเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อย สบเข้ากับสายตาของซย่าเฉิงโจวที่กำลังมองมาที่อวี๋กานกานพอดี นัยน์ตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งหรี่ลงเล็กน้อย แฝงไว้ซึ่งคำเตือน


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] EMT (Emergency Medical Technician) พนักงานฉุกเฉินการแพทย์ มีหน้าที่ขับรถพยาบาล ยกเปล และช่วยเหลือแพทย์ พยาบาลในการหยิบจับอุปกรณ์ ต้องมีความรู้พื้นฐานในการปฐมพยาบาลและกู้ชีพเบื้องต้น


ตอนที่ 211 นี่ยังไม่เรียกว่าเป็นห่วงอีกเหรอ


 


 


อวี๋กานกานแต่งหน้าแต่งตาเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงตุ่น ผมรวบไปด้านหลังมัดเป็นทรงหางม้าต่ำ สวมชุดกาวน์สีขาว มองดูแล้วเป็นมืออาชีพ ท่วงท่าสง่างาม น่าเชื่อถือ


 


 


ฟังจือหันนั่งอยู่บนโซฟาตรงโซนพักผ่อนในท่วงท่าสบายๆ สีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง ลึกลับยากที่จะคาดเดา รอบกายแผ่รังสีคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้เหมือนดั่งทุกที ถึงแม้จะมีคนสงสัยว่าเขาเป็นใคร ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปถาม


 


 


อวี๋กานกานถอดเสื้อหนาวและผ้าพันคอของตัวเองออกวางบนร่างกายของฟังจือหัน ก่อนจะจัดแจงเล็กน้อย “แบบนี้น่าจะอุ่นขึ้นมาหน่อย”


 


 


บนเสื้อผ้าของหญิงสาวหลงเหลือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายนี้ เหมือนกับได้กอดอวี๋กานกานไว้ในอ้อมกอดไม่มีผิด


 


 


เดิมทีฟังจือหันจะหยิบเสื้อผ้าของอวี๋กานกานวางไว้ด้านข้าง ทว่าการกระทำนั้นกลับหยุดลง ทำเพียงแค่นิ่งเงียบแล้วพยักหน้า


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอีกหนึ่งประโยค “นายกลับไปที่รถดีกว่าไหม ยาจุดกันยุงอยู่ในรถลำพัง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”


 


 


อีกอย่างในรถก็อุ่นกว่าด้วย


 


 


มุมปากของฟังจือหันยกขึ้น เหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม ราวกับกำลังจะสื่อว่าเป็นห่วงผมขนาดนี้เลย


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย พูดขึ้นทันควัน “ฉันไม่ได้เป็นห่วงนายนะ ฉันกลัวว่านายจะหนาวจนจับไข้แล้วจะเดือดร้อนฉันอีก ยังไงซะที่นายต้องทิ้งเสื้อโค้ทก็เป็นเพราะฉัน”


 


 


ทว่าอวี๋กานกานกลับหน้าแดงแจ๋ หลังพูดจบเธอหมุนตัวเดินเข้าฉากทันที ไม่กล้ามองฟังจือหันว่ามีปฏิกิริยาแบบไหน


 


 


ก็แค่อยากรีบๆ ถ่ายให้จบ เพราะไม่ได้สวมเสื้อขนเป็ดมันหนาวก็เท่านั้นเอง


 


 


การรักษาโรคช่วยชีวิตคนสำหรับอวี๋กานกานเป็นเรื่องง่ายดายเรื่องหนึ่ง กลับตาลปัตรกับการโพสต์ท่าถ่ายรูป เมื่อยืนอยู่ในฉาก ร่างกายของเธอแข็งเกร็งไปหมด สีหน้าก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ


 


 


ช่างภาพถือกล้องอยู่ในมือ ถ่ายไปกำกับไป “คุณหมออวี๋ คุณไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นครับ สายตาโฟกัสหน่อยครับ เพิ่มความเป็นธรรมชาติอีกสักนิด ถ้าเป็นแบบตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะถ่ายยังไงต่อ”


 


 


อวี๋กานกานฉีกยิ้มขอโทษช่างภาพ เธอถอนหายใจหนึ่งครั้ง ผ่อนคลายร่างกาย พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด


 


 


ช่างภาพโบกมือออกคำสั่ง “หมุนตัวครึ่งวงกลมครับ”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


หมุนตัวครึ่งวงกลมมันหมุนอย่างไร หมุนซ้ายหรือหมุนขวา หมุนยากหมุนเย็นจริงๆ


 


 


ช่างภาพจนปัญญา วางกล้องลง โพสต์เป็นตัวอย่างให้ดู


 


 


เสียงซัตเตอร์ดังแชะ แชะ อยู่หลายครั้ง อวี๋กานกานถ่ายต่อเนื่องไปหลายรูป แต่ว่าช่างภาพก็ยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไรนัก เขาหันไปมองซย่าเฉิงโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นพูดกับอวี๋กานกาน “คุณหมออวี๋ คุณไปพักก่อนเถอะครับ ไปหาความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ผมจะให้คุณหมอซย่ามาถ่ายก่อน”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


เธอเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว เธอจนปัญญาไม่รู้ว่าจะหาความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติได้อย่างไร ถ้ารู้ว่ายากขนาดนี้ เธอปฏิเสธไปตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


ในตอนที่ซย่าเฉิงโจวเข้าฉาก อวี๋กานกานยืนดูอยู่ข้างๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นหมอเหมือนกัน ซย่าเฉิงโจวเองก็น่าจะไม่ถนัดทางด้านนี้ ผลปรากฏว่าซย่าเฉิงโจวกลับถ่ายทำได้อย่างราบรื่น ช่างภาพตะโกนตลอดเวลาในตอนที่ถ่ายเขา “ดีมาก เยี่ยม ใช่เลย แบบนี้แหละ…”


 


 


ใช้เวลาไม่นานซย่าเฉิงโจวก็ถ่ายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย วนกลับมาถึงตาอวี๋กานกานอีกครั้ง ในใจของเธอรู้สึกเป็นกระวนกระวายอย่างยิ่ง ในตอนที่ซย่าเฉิงโจวและอวี๋กานกานเดินสวนกัน จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ถือซะว่าช่างภาพเป็นคนไข้ของคุณ เดี๋ยวก็จะเป็นธรรมชาติเอง”


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างประหลาดใจ ตั้งแต่รู้จักซย่าเฉิงโจวมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงนุ่มนวลแบบนี้พูดกับเธอ อีกอย่างไอเดียนี้ก็แปลกไม่เหมือนใครดี


 


 


คนเป็นหมอมักจะสบายๆ เป็นกันเองต่อคนไข้ของตนเองอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องออกมาธรรมาชาติมากขึ้นได้แน่ อวี๋กานกานฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวสะอาดให้กับช่างภาพ แม้ว่าการถ่ายโฆษณาจะยังคงมีจุดติดขัดอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็สำเร็จลุล่วงไปได้สักที


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 212 คำขอโทษที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าตัวเองหมดแรงแทบจะนอนกองลงไปกับพื้นแล้ว แต่ว่าการถ่ายทำเสร็จไปเพียงแค่ส่วนถ่ายเดี่ยวเท่านั้น ยังเหลือส่วนที่เธอต้องถ่ายคู่ซย่าเฉิงโจวอีก


 


 


ในตอนที่ช่างภาพกำลังเปลี่ยนเลนส์กล้อง จู่ๆ ซย่าเฉิงโจวก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า “ขอโทษ”


 


 


อวี๋กานกานอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจว่าซย่าเฉิงโจวกำลังขอโทษเธอ แม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าขอโทษสำหรับเรื่องอะไร แต่พวกเขาทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจดี อีกอย่างสถานการณ์ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าซย่าเฉิงโจวเองก็ทำไปเพื่อรีบช่วยชีวิตคน แต่ที่เธอค่อนข้างประหลาดใจก็คือทำไมจู่ๆ ซย่าเฉิงโจวถึงมาขอโทษเธอ ปกติเขาไม่ใช่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ใช้รูจมูกดูทางเดิน[1]หรอกเหรอ


 


 


ซย่าเฉิงโจวเห็นว่าอวี๋กานกานไม่พูดอะไร นึกว่าเธอยังโกรธอยู่ จึงอธิบายเพิ่ม “คุณไม่ยกโทษให้ผมก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจว่าคุณเข้าร่วมงานสัมมนานี้ก็เพื่อต้องการชุบตัว ผมจึงค่อนข้างมีอคติ จนมาถึงวันนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นผมเองที่คิดไปเอง เป็นผมเองที่ใจคับแคบ เพราะคุณยังอายุน้อยผมจึงตั้งข้อกังขา ไม่ว่าคุณจะให้อภัยผมหรือไม่ ผมแค่อยากจะขอโทษคุณอย่างจริงจังสักครั้ง”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มออกมา “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะค่ะ”


 


 


ลบหายในฝ่ามือเดียว ไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมาอีกต่อไป


 


 


ซย่าเฉิงโจวคลี่ยิ้มบางๆ กล่าว “ครับ” ก่อนจะเว้นระยะแล้วพูดต่อ “เดี๋ยวตอนถ่าย คุณแค่ทำตามผมก็พอ”


 


 


อวี๋กานกานตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ค่ะ”


 


 


ไม่รู้เป็นเพราะถ่ายโฆษณามาได้พักหนึ่งแล้ว หรือเป็นเพราะซย่าเฉิงโจวเป็นฝ่ายนำ เห็นได้ชัดว่าการถ่ายทำราบรื่นดีกว่าก่อนหน้านี้มาก


 


 


ช่างภาพมองกล้องแล้วกล่าว “ดีเลย เยี่ยม สายตาเป็นธรรมชาติได้กว่านี้อีก ขอรูปมองตากันอีกรูป เยี่ยมเลย แล้วก็ขอรูปหลังชนกันอีกรูป…”


 


 


ฟังจือหันถือเสื้อหนาวและผ้าพันคอของอวี๋กานกานเดินเข้ามา เห็นตอนที่ซย่าเฉิงโจวและอวี๋กานกานต้องถ่ายรูปมองตากันพอดี แสงสปอร์ตไลท์อ่อนๆ สาดส่องลงมาที่พวกเขาทั้งคู่ แม้ว่าจะเป็นเพียงการมองตากันปกติทั่วไป ทว่ากลับมีกลิ่นอายความหวานแววก่อตัวขึ้นอย่างน่าประหลาด


 


 


แววตาของฟังจือหันเย็นเยียบทันที ราวกับน้ำวนมืดลึกไร้ที่สิ้นสุด


 


 


ผู้ช่วยช่างภาพกล่าว “นี่มันเขตถ่ายทำ คนนอกห้าม…” เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า


 


 


ประโยคหลังเขายังไม่ทันได้พูดออกมา ก็ต้องแข็งค้างเมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นยะเยือก


 


 


ใบหน้ารูปงามของชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นอกจากความเย็นชา สายตานั้นชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ผู้ช่วยช่างภาพไม่ได้พูดอะไรต่อ ทางฝั่งช่างภาพตะโกนขึ้นมาพอดี “โอเค เรียบร้อยแล้ว”


 


 


ผู้ช่วยช่างภาพถอนหายใจ ไม่ต้องไล่คนแล้ว


 


 


อวี๋กานกานเองก็ถอนหายใจยาวเหยียด เธอมองไปยังฟังจือหันที่เดินเข้ามา จากนั้นคลี่ยิ้มออกมาราวกับได้เกิดใหม่ ฟังจือหันหยิบผ้าพันคอในมือขึ้นมาพันให้อวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานถอดเสื้อกาวน์ออก สวมเสื้อหนาวขนเป็ดแทนที่ ถาม “ลู่เสวียเฉินล่ะ”


 


 


ก่อนหน้านี้ฟังจือหันพูดไว้ว่าจะให้ลู่เสวียเฉินเอาเสื้อโค้ทมาให้ เวลาก็ผ่านไปได้สักพักแล้ว ต่อให้อยู่ในชานเมืองปักกิ่งก็ควรจะมาถึงได้แล้ว


 


 


ฟังจือหันตอบ “รออยู่ที่ห้องโถงโรมแรม”


 


 


“งั้นไปกัน จะได้ไปเอาเสื้อโค้ท”


 


 


ทั้งสองพูดคุยกัน ก่อนจะเดินออกจากห้องถ่ายทำไปพร้อมกัน


 


 


ซย่าเฉิงโจวมองดูพวกเขา ท่าทางของทั้งคู่ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ในใจของเขาบังเกิดความสงสัยขึ้น ทั้งสองดูเหมือนจะรู้จักกันมานานแล้ว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา สิทธิการเข้าร่วมงานสัมมนาผู้อำนวยการเฉินเป็นคนให้อวี๋กานกานจริงหรือ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่างานสัมมนาครั้งนี้ ราวกับมีไว้เพื่ออวี๋กานกานโดยเฉพาะ?


 


 


 


 


——


 


 


[1] แหงนหน้ามองท้องฟ้า ใช้รูจมูกดูทางเดิน อุปมาถึงบุคคลที่เย่อหยิ่งทะนงตน ชอบดูถูกคนอื่น


ตอนที่ 213 อยู่ให้ห่างจากซย่าเฉิงโจว


 


 


เหตุการณ์ที่อวี๋กานกานช่วยชีวิตคุณป้าถูกถ่ายเก็บไว้ ทั้งยังมีคนทำเป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ อัปโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต


 


 


ชาวเน็ตเมื่อได้เห็นคลิปวิดีโอนี้ ก็นึกออกได้ในทันทีว่าเป็นอวี๋กานกาน และเป็นอีกครั้งที่อวี๋กานกานขึ้นเทรนเวยปั๋วด้วยแฮซแท็ก [วิชาแพทย์ปาฏิหาริย์ของแพทย์แผนจีนที่มีรูปโฉมงดงามที่สุด]


 


 


ก่อนหน้านี้หลินจยาอวี่เคยช่วยอวี๋กานกานแก้ต่าง ชาวเน็ตหลายคนจึงแห่กันมาแสดงความคิดเห็นใต้เวยปั๋วของหลินจยาอวี่ บ้างว่าวิชาแพทย์ของอวี๋กานกานล้ำเลิศ บ้างฝากหลินจยาอวี่ไปบอกอวี๋กานกานให้สมัครเวยปั๋ว


 


 


“รีบชวนคุณหมออวี๋สมัครเวยปั๋วเร็ว ฉันชอบเธอมาก อยากติดตาม”


 


 


“สวยจังเลย วิชาแพทย์ก็ล้ำเลิศ คุณหมออวี๋สมัครเวยปั๋วเถอะนะ ฉันชอบคุณมากจริงๆ !”


 


 


“อวี้หมิงถางไม่เปิดหลายวัน ฉันก็ว่าอยู่คุณหมออวี๋ไปประชุมทางการแพทย์ที่ไหน ที่แท้ก็ไปปักกิ่งนี่เอง หรือว่าในอนาคตจะเปิดคลินิกที่ปักกิ่ง!”


 


 


“ถ้าคุณหมออวี๋อยู่ปักกิ่งก็ดีสิ ฉันอยู่ปักกิ่งพอดี ฉันจะไปหาคุณหมอให้คุณหมอช่วยตรวจชีพจรให้”


 


 


……


 


 


หลังจากที่หลินจยาอวี่เห็นข้อความ เธอกดบันทึกภาพหน้าจอเพื่อบันทึกข้อความใต้เวยปั๋วของเธอส่งให้อวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานถ่ายโฆษณาเสร็จแล้ว เพิ่งเห็นข้อความจากวีแชทของหลินจยาอวี่ เธอถูกชมจนเกิดอาการเขินอายเล็กน้อย เรื่องที่ช่วยคุณป้า ที่จริงแพทย์แผนจีนที่มีประสบการณ์ไม่ว่าคนไหนก็สามารถช่วยคุณป้าได้ทั้งนั้น อีกอย่างเธอเรียนแพทย์มาสิบกว่าปี นับว่าเป็นแพทย์ที่มีมากประสบการณ์ได้แล้ว


 


 


อวี๋กานกานตอบข้อความของหลินจยาอวี่ [ช่วงนี้เธอเป็นไงบ้าง เด็กล่ะ]


 


 


หลินจยาอวี่ [อีกสองวันฉันจะไปปักกิ่ง ไว้เธอเห็นฉันตอนนั้นเดี๋ยวเธอก็รู้เองว่าฉันสบายดีไหม]


 


 


อวี๋กานกานทั้งคาดไม่ถึงและดีใจมาก รีบถามหลินจยาอวี่ทันทีว่าจะมาถึงตอนไหน เธอจะได้ไปรับที่สนามบินด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าเธอยังไม่ทันได้ตอบ โทรศัพท์กลับถูกฟังจือหันแย่งไปเสียอย่างงั้น “มองทาง”


 


 


ตอนนี้เองที่อวี๋กานกานเพิ่งรู้สึกตัวว่าฟังจือหันโอบไหล่เธออีกแล้ว ท่าล่อแหลมแบบนี้ น่าจะมีแต่คู่รักสวีทหวานเท่านั้นที่ทำกัน แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่คู่สามีภรรยากำมะลอ ทว่าเป็นอีกครั้งที่หัวใจของอวี๋กานกานกลับไม่เชื่อฟัง เต้นตึกตักตึกตักเหมือนกับกำลังจะทะลุออกมาจากหน้าอก


 


 


ใบหน้าของอวี๋กานกานขึ้นสีเล็กน้อย เบี่ยงไหล่ “นายทำแบบนี้มันจะดูไม่ดีนะ ฉันเองก็ไม่ใช่เพื่อนที่เป็นผู้ชาย การที่นายมาโอบลงโอบไหล่แบบนี้ มันเหมือนกับเอาเปรียบ แต๊ะอั๋ง”


 


 


“ผมหนาว”


 


 


ฟังจือหันตอบอย่างหนักแน่นมีเหตุผลจนไม่สามารถคัดค้านได้


 


 


“เดี๋ยวก็มีเสื้อให้ใส่แล้ว” ก่อนหน้านี้มีคนพูดว่าไม่หนาวไม่ใช่เหรอไง ให้ผ้าพันคอก็ไม่เอา ดูเหมือนแค่ยืมข้ออ้างที่มีเหตุผลมาใช้แต๊ะอั๋งมากกว่า


 


 


“แต่ตอนนี้ผมหนาวนี่”


 


 


อวี๋กานกานไม่รู้จะหาอะไรมาโต้แย้งอีก “…”


 


 


ช่างเถอะ ก่อนที่จะได้เสื้อโค้ทก็ตามใจหมอนี่ชั่วคราวไปก่อนแล้วกัน ใครให้ก่อนหน้านี้เธอดันไปใช้เสื้อโค้ทของเขาแล้วทำสกปรกจนเขาไม่มีเสื้อโค้ทให้ใส่ละ ประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสองมองเห็นลู่เสวี่ยเฉินที่นั่งอยู่ไกลออกไป


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินสวมสูทสีดำ คลุมทับด้วยเสื้อโค้ทสีดำ ทว่ากลับพันผ้าพันคอสีแดงเข้ม ขับให้เขาดูงดงามหยาดเยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยเสน่ห์ เรียกได้ว่าฆ่าเรียบทั้งชายและหญิง


 


 


อวี๋กานกานใช้ข้อศอกทุ้งหน้าอกของฟังจือหันเบาๆ “รีบปล่อยมือเร็ว คนอื่นเห็นมันจะไม่ดี”


 


 


ฟังจือหันขยับเข้ามาใกล้ใบหูของเธอแล้วกล่าว “ให้ผมปล่อยมือก็ได้ แต่คุณต้องรับปากผมเรื่องหนึ่งมาก่อน”


 


 


เรื่องปล่อยมือมันควรต้องปล่อยอยู่แล้วนี่ ทำไมต้องมาต่อรองอะไรกับเธออีก อวี๋กานกานไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก “รับปากเรื่องอะไร”


 


 


“อยู่ให้ห่างจากซย่าเฉิงโจว”


 


 


อวี๋กานกานเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ค่อนข้างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”


 


 


“เขาไร้มารยาท”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 214 อ่อ กอดมอบความอบอุ่น


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


คำพูดคำจาและการกระทำของซย่าเฉิงโจวในตอนนั้นก็ไร้มารยาทจริงๆ นั่นแหละ ทั้งยังเกือบจะทำเธอหกล้ม แต่ก็ดูออกว่าที่เขาทำไปก็เพื่อต้องการจะช่วยชีวิตคุณป้าท่านนั้น


 


 


ซย่าเฉิงโจวประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ความสามารถโดดเด่นเหนือผู้อื่น อีกอย่างคนเก่งก็มักจะค่อนข้างทะนงตนอยู่แล้ว การที่ซย่าเฉิงโจวมีนิสัยแบบนี้ ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร ความจริงพวกเขาก็แค่เข้าร่วมงานสัมมนาในสายอาชีพเดียวกัน เดิมทีก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันตั้งแต่แรกและในอนาคตก็น่าจะไม่ได้เจอกันอีก


 


 


ทั้งสองสนทนากันไปมาจนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่เสวี่ยเฉิน


 


 


ถึงแม้ฟังจือหันจะปล่อยมือแล้ว แต่ลู่เสวี่ยเฉินก็ยังยิ้มอย่างมีเลศนัย “โอ้ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ติดหนึบเหมือนทากาวเลยนะ อีกนิดจะรวมร่างกลายเป็นแฝดสยามแล้ว”


 


 


ใบหน้าอวี๋กานกานขึ้นสีแดงระเรื่อ รีบส่ายมือปฏิเสธพัลวัน พูดติดๆ ขัดๆ “มะ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบที่นายคิด ความจริงคือ…เขาไม่มีเสื้อโค้ท เขาเลยหนาว”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินลากเสียงยาว“อ่อออออออออออ กอดมอบความอบอุ่น”


 


 


อวี๋กานกานมองสีหน้าฉันไม่เชื่อของลู่เสวี่ยเฉิน ทั้งยังรอยยิ้มแฝงเลศนัยนั่นอีก ทำให้จู่ๆ เธอก็รู้สึกขึ้นมาว่า ‘กอดมอบความอบอุ่น’ มันสองแง่สองง่ามยังไงชอบกล อวี๋กานกานเน้นย้ำ “ไม่มีอะไรจริงๆ” จากนั้นหันไปพูดกับฟังจือหัน “ใช่ไหม”


 


 


แววตาลึกซึ้งของฟังจือหันฉายประกายอะไรบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว พยักหน้า “คุณว่าใช่ก็ใช่”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


 


อวี๋กานกานหน้าแดงแจ๋ “…ฉันว่าใช่ก็ใช่อะไรเล่า ก็ความจริงคือใช่”


 


 


ฟังจือหันยื่นมือมาลูบหัวเธออย่างเอ็นดู “อือ คุณว่าใช่ก็ใช่”


 


 


อวี๋กานกานเขินปนโกรธ แต่ก็โต้เถียงอะไรไม่ออก


 


 


ฟังจือหันก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าหยิบถุงที่อยู่ในมือลู่เสวี่ยเฉิน “ไสหัวไปได้แล้ว”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินส่งเสียงกระแอม ประณามด้วยความโกรธ “แหม่ ตอนใช้ล่ะพูดดี พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งเลยนะ พลิกลิ้นไวเสียยิ่งกว่าอะไร”


 


 


ฟังจือหันทำเป็นมองไม่ได้ยิน หยิบเสื้อโค้ทออกมาสวม


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินหันไปพูดกับอวี๋กานกาน “ปลาน้อย คนแบบนี้น่ะร้ายสุดๆ เธอต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้โดนขายแล้วยังช่วยเขานับเงินล่ะ[1]”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ “วางใจได้ ฉันไม่ใช่นาย”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินถามกลับอย่างยียวน “ฉันทำไมหะ”


 


 


ฟังจือหันยกมุมปากขึ้น เหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม พูดจาแฝงความนัย “ได้แล้วทิ้ง”


 


 


กำลังหมายถึงเรื่องวันไนท์แสตนด์กับสาวที่ผับนั่นแน่นอน…


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินขบฟันกรอด “แซ่ฟัง นายมันร้าย!”


 


 


นี่เป็นบาดแผลชั่วชีวิตของเขา!


 


 


ฟังจือหันพูดต่อ “นายยังมีนัดบอดอยู่อีกไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ พวกเราไม่ต้องการแสงสว่างจากนาย”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…”


 


 


แสงสว่างเท่ากับกำลังว่าว่าเขาเป็นเสาไฟ[2]


 


 


อวี๋กานกานกลั้นขำไม่อยู่ หลุดหัวร่อออกมา เธอรีบกลั้นขัน หันไปหาลู่เสวี่ยเฉินถาม “เอ่อ นายมีนัดบอดเหรอ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินถอนหายใจ “คนที่สิบของเดือนนี้แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและเหลือเชือ “…”


 


 


ทั้งสามขึ้นรถของฟังจือหัน ฟังจือหันยังไม่เหยียบคันเร่ง หันไปมองลู่เสวี่ยเฉินแล้วถาม “ไม่ได้ขับรถมา?”


 


 


รังเกียจเหลือเกินนะ ไม่ได้อยากให้เขาอยู่ด้วยแม้แต่น้อย “มีสาวแล้วลืมเพื่อน ให้ฉันลงที่ตึกฮุ่ยอวี้ด้านหน้า”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินทำหน้ากระเง้ากระงอด เขาหันไปเห็นอวี๋กานกานที่กำลังกอดและลูบหัวยาจุดกันยุง ส่วนยาจุดกันยุงก็คลอเคลี่ยอยู่ในอ้อมกอดของอวี๋กานกาน ทั้งยังส่งเสียงร้องน่ารักน่าชัง “เมี๊ยว~”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินค่อนข้างประหลาดใจ “ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้ เจ้าแมวแก่นี่ปกตินิสัยแย่มาก ไม่ต้องถึงขั้นกอดหรอก แค่หยอกเล่นยังไม่ได้เลย ทำไมมันถึงติดเธอขนาดนี้”


 


 


 


 


——


 


 


[1] โดนขายแล้วยังช่วยเขานับเงิน หมายถึง ไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกใช้ประโยชน์ แถมยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังช่วยตนเองอยู่ มีที่มาจากการค้ามนุษย์ในสมัยก่อน ที่บ่าวไพร่ไม่รู้ว่าตนโดนขายไปแล้ว ทั้งยังช่วยเจ้านายนับเงินที่ได้มาจากการที่ตนเองโดนขาย


 


 


[2] เสาไฟ หมายถึง ก้างขวางคอ หรือ กขค


ตอนที่ 215 กลับบ้านกับผมซะโดยดี


 


 


อวี๋กานกานกำลังจะตอบลู่เสวี่ยเฉินว่า เพราะพวกเราถูกชะตากัน แต่ฟังจือหันชิงพูดขึ้นมาก่อน “เพราะมันเป็นลูกชายของเธอ”


 


 


ในขณะเดียวกันดวงตากลมโตราวกับอำพันของยาจุดกันยุงก็จ้องเขม็งไปที่ลู่เสวี่ยเฉิน จากนั้นแยกเขี้ยวเหมือนกับกำลังขู่ลู่เสวี่ยเฉิน ท่าทางเหมือนเด็กตัวเล็กๆ กำลังงอแง ไม่ต่างอะไรกับตอนที่อวี๋กานกานดุฟังจือหัน


 


 


ฟังจือหันยื่นมือมายีหัวอวี๋กานกานด้วยความเอ็นดู จากนั้นพูดกับยาจุดกันยุง “เรียกแม่”


 


 


ปฏิกิริยาของยาจุดกันยุงโอนอ่อนลงทันที หันไปมองอวี๋กานกานแล้วร้อง “เมี๊ยว~”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเอือมระอาเป็นอย่างยิ่ง “…”


 


 


อวี๋กานกานเป็นแม่ ส่วนใครเป็นพ่อไม่จำเป็นต้องถาม ฉากนี่มันช่างอบอุ่นเสียนี่กระไร ยังกับพ่อแม่ลูก หนุ่มโสดหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเขาเห็นแล้วก็ชอกช้ำ


 


 


เมื่อถึงตึกฮุ่ยอวี้ ลู่เสวี่ยเฉินลงจากรถทันที โดยไม่ต้องรอให้ฟังจือหันเอ่ยปากไล่


 


 


เจ็บกระดองใจ! เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีอวี๋กานกาน เขาและฟังจือหันอยู่ด้วยกัน ให้ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนุ่มโสดไฮโซ มาวันนี้ รู้สึกได้แค่เพียงความเป็นหนุ่มโสดที่ไม่เหลือเค้าไฮโซ นัดบอดเถิด จงนัดบอดต่อไป…


 


 


อวี๋กานกานโบกมือบ๊ายบายลู่เสวี่ยเฉินผ่านทางกระจกรถ เธอหันหน้าไปหาฟังจือหัน ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “จริงเหรอที่ลู่เสวี่ยเฉินนัดบอดอยู่ตลอด”


 


 


ฟังจือหันเหลือบไปมองอวี๋กานกานด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย อาจเป็นเพราะว่าเขาคาดไม่ถึงว่าอวี๋กานกานเองก็มีช่วงที่ขี้เมาท์เหมือนกัน ดูๆ แล้วเรื่องซุบซิบคงเป็นนิสัยติดตัวมาตั้งแต่เกิดของผู้หญิงทุกคน เป็นคำสาปที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนหนีพ้น


 


 


อวี๋กานกานมองฟังจือหันด้วยสายตาเป็นประกาย พูดต่อ “ฉันนึกว่าคนที่เกิดมาหน้าตาดีไม่ต้องนัดบอดซะอีก นึกไม่ถึงว่าอย่างลู่เสวี่ยเฉินก็ต้องนัดบอด หรือเป็นเพราะว่าเขาสวยเกินไปเลยต้องนัดบอด”


 


 


ใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานสดใสราวกับได้ตากลมในฤดูใบไม้ผลิ[1] เหมือนกับได้กินแตงโมเย็นๆ ช่ำๆ ตอนฤดูร้อน ฟังจือหันยกยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข ตอบกลับเสียงเรียบ “ไม่สวยเท่าคุณหรอก”


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย ถึงได้เข้าใจว่าฟังจือหันหมายถึงอะไร ถึงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกคนอื่นชมว่าสวย แต่เธอก็ยังขวยเขินอยู่ดี ทีแรกเธอนึกว่าฟังจือหันคงหยอกเล่น ทว่าเขาเอาแต่มองทางด้านหน้า จดจ่ออยู่กับการขับรถ ไม่เห็นวี่แววของการหยอกล้อแม้แต่น้อย


 


 


อวี๋กานกานเอนตัวพิงเบาะรถ เอียงศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง ลูบใบหน้าของตนเองอย่างเนียมอาย ร้อนจัง


 


 


แม้ว่าฟังจือหันจะไม่ได้หันมามอง แต่เขาเห็นใบหน้าสีแดงระเรื่อและท่าทางเขินอายของอวี๋กานกานจากกระจกมองหลัง รอยยิ้มมุมปากของฟังจือหันเด่นชัดขึ้น สีหน้าเอิบอิ่มมีความสุข


 


 


รถยนต์เคลื่อนตัวไปได้ระยะหนึ่งแล้ว อวี๋กานกานที่เพิ่งหลุดออกจากภวังค์ค้นพบว่านี่ไม่ใช่ทางกลับไปงานสัมมนา เธอหันควับไปถามฟังจือหันทันที “นี่พวกเราจะไปไหน”


 


 


“กลับบ้าน”


 


 


“บ้านนายอะนะ ฉันไม่ไป กลับรถ”


 


 


“นี่มันบนทางด่วน”


 


 


อวี๋กานกานกัดปาก ไม่พูดอะไรต่อ


 


 


ฟังจือหันเห็นว่าเธอดูกระวนกระวายจึงเอื้อมมือมาลูบศีรษะเบาๆ “กลัวอะไร”


 


 


อวี๋กานกานกระพริบตาปริบๆ พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “เมื่อกี้ลู่เสวี่ยเฉินพูดว่านายจะขายฉัน ฉันยังต้องช่วยนายนับเงินอีก ถ้านายขายฉันขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง”


 


 


“ถ้าแบบนั้นก็ต้องใช้หนี้ผมก่อน วางใจ ตอนนี้ยังไม่ขาย”


 


 


“นายต่างหากที่ติดค่าห้องฉัน ฉันควรจะเป็นเจ้าหนี้สิ ตอนนี้เจ้าหนี้สั่งให้นายกลับรถ”


 


 


“คุณไม่รู้หรอกเหรอว่าสังคมสมัยนี้ ลูกหนี้ต่างหากที่เป็นนาย”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ราวกับได้ตากลมในฤดูใบไม้ผลิ อุปมาถึง สีหน้าและอารมณ์ที่สดใสมีชีวิตชีวา เหมือนกับกำลังอยู่ท่ามกลางสายลมอันสดชื่น เย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 216 เป็นสามีคืองานหลัก


 


 


ไม่กี่นาทีต่อมารถยนต์เคลื่อนตัวเข้ามาในย่านย่านหนึ่ง ต่อให้อวี๋กานกานไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในปักกิ่ง ก็ยังรู้ได้ว่าที่ดินและอาคารบ้านเรือนในย่านนี้แพงหูฉี่


 


 


เธอทำหน้าจริงจังพูดกับฟังจือหัน “ดูๆ แล้วนายน่าจะเป็นคนมีสตางค์ แล้วทำไมนายต้องมาอาศัยห้องฉันอยู่ด้วย”  


 


 


ฟังจือหันตอบกลับ “ผมไม่มีบ้านที่ไป๋หยาง”


 


 


อวี๋กานกานเบ้ปาก ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “นายทำตำแหน่งอะไรในบริษัทยาไป๋ฟัง เป็นตัวแทนผู้สนับสนุน ยังไงก็น่าจะต้องระดับซุปเปอร์ไวเซอร์ขึ้นไป”


 


 


“งานบริษัทยาไป๋ฟังถือว่าเป็นงานเสริมของผมงานหนึ่ง ตำแหน่งที่พวกเขาให้ผมน่าจะเป็นผู้จัดการล่ะมั้ง”


 


 


ฟังจือหันพูดกับอวี๋กานกานว่าผู้จัดการเป็นงานเสริมด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ไม่ทุกข์ร้อน ทำให้อวี๋กานกานรู้สึกช็อกและเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคนธรรมดาทั่วไปต้องต่อสู้ดิ้นรนหลายปี ใช้ความพยายามและความสามารถทั้งหมดที่มีจึงจะได้มาซึ่งตำแหน่งผู้จัดการ ระหว่างทางอาจจะสูญเสียและทุ่มเทอะไรไปมากมาย แต่ฟังจือหันกลับทำตำแหน่งผู้จัดการโดยที่เป็นงานเสริมได้ เหมือนกับแค่เล่นๆ ปัญหาคือบริษัทที่เขาทำงานเสริมยังดันเป็นบริษัทยาไป๋ฟัง บริษัทผลิตยาระดับแนวหน้าของประเทศ


 


 


“ผู้จัดการบริษัทยาไป๋ฟังเป็นงามเสริม แล้วงานหลักของนายทำอะไร”


 


 


ฟังจือหันครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นตอบ “เป็นสามีคุณไง”


 


 


อวี๋กานกานอึ้งค้างไปเป็นที่เรียบร้อย เธอนึกว่าตัวเองอาอาจจะหูแว่ว จ้องเขม็งไปที่ฟังจือหัน ทว่าสีหน้าของฟังจือหันกลับเคร่งขรึมจริงจังยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ อวี๋กานกานไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี เธอรู้สึกว่าตอนนี้ฟังจือหันดูเหมือนคนที่ภายนอกนิ่งๆ ไม่มีอะไร แต่ภายในอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้าย เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา กล่าว “ฉันไม่ไปบ้านนายนะ ฉันจะเรียกแท็กซี่กลับ”


 


 


“ไม่ใช่บ้านผม บ้านของเราต่างหาก”


 


 


ฟังจือหันแย่งโทรศัพท์มาจากอวี๋กานกาน จากนั้นเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเอง


 


 


กระเป๋ากางเกงเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างกระอักกระอวนและชวนให้รู้สึกลำบากใจ อวี๋กานกานอยากจะแย่งกลับมา ทว่าก็ไม่กล้า


 


 


ฟังจือหันพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “วางใจ ผมไม่กินคุณหรอก” จากนั้นจึงเปิดประตูลงจากลงไป


 


 


อวี๋กานกานไม่มีโทรศัพท์ สิ้นไร้ไม้ตอกที่จะเรียกแท็กซี่ อีกอย่างดูท่าในย่านนี้ก็ไม่มีแท็กซี่ให้โบกด้วย และแน่นอนว่าเธอจะนั่งอยู่ในรถไปตลอดไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงจำใจลงจากรถ อุ้มยาจุดกันยุง เดินตามฟังจือหันไป


 


 


บ้านและอาหารของยาจุดกันยุงทั้งหมดวางอยู่กระโปรงหลังบ้าบออะไร เรื่องหลอกหลวงทั้งนั่น ฟังจือหันวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


 



 


 


คอนโดของฟังจือหันเป็นแบบดูเพล็กซ์[1] ตกแต่งด้วยสีดำ ขาวและเทา สไตล์มินิมอล เหมือนกับนิสัยของเขาเย็นชาและไม่น่าเข้าใกล้


 


 


ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าห้องก็มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว เมื่อเห็นพวกเขาเธอก็คลี่ยิ้มออกมา “คุณฟัง คุณผู้หญิงฟัง กลับมากันแล้วหรือคะ” เธอเช็ดมือของตนเองบนผ้ากันเปื้อน “อาหารใกล้เสร็จแล้วค่ะ รอสักครู่นะคะ”


 


 


คุณผู้หญิงฟัง ? !


 


 


อวี๋กานกานช็อกไปเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้าแดงแจ๋ เธออยากจะอธิบายกับคุณป้า แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร คุณป้าก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องครัว


 


 


อวี๋กานกานมองฟังจือหัน “คุณป้าเขา…”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ “เขาชื่อป้าหู มีหน้าที่ดูแลความสะอาด แต่คุณป้าไม่ได้พักอยู่ที่นี่ ในหนึ่งอาทิตย์จะมาแค่สามวันเท่านั้น”


 


 


ใครถามเรื่องนั้นกันเล่า อวี๋กานกานเบิกตาโต กล่าว “คุณป้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”


 


 


ฟังจือหันคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ถอดเสื้อโค้ทออก โยนทิ้งไว้บนโซฟา


 


 


อวี๋กานกานมองแผ่นหลังของฟังจือหันอย่างคับแค้นใจ ชีวิตวัยใสของเธอ ไม่เคยมีความรักเลยสักครั้ง กลับต้องมาถูกหมอนี่ประทับตราว่าแต่งงานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่น่าประหลาดก็คือ คุณป้าหูท่านนี้ปฏิบัติต่อเธอไม่เหมือนเธอเป็นคนแปลกหน้าสักนิด


 


 


หรือว่าผู้หญิงที่ฟังจือหันพากลับบ้านทุกคน ป้าหูล้วนเรียกว่าคุณผู้หญิงฟังทั้งหมด?


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดูเพล็กซ์ คือ คอนโดแบบมีชั้นลอยหรือมีสองชั้น 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม