พันธกานต์ปราณอัคคี 209-215

ตอนที่ 209 เจ้านายและอสูรวิญญาณ

 

บรรยากาศสงบลงอย่างประหลาด ทุกคนต่างมองดูอีกาอ้วนที่บินมาอย่างฉงน


 


 


อีกาไฟสะบัดขน ดูเหมือนเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่เป็นที่สนใจจากผู้คนเช่นนี้อย่างมาก


 


 


มันบินเซไปเซมาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน จากนั้นแหงนหน้าดื่มสุราหยดสุดท้ายจนหมด โยนขวดน้ำเต้าสุราลงพื้นดัง ‘เคร้ง’ แล้วกางปีกห้อยไว้หน้าอกมั่วชิงเฉินว่า “เจ้านาย เจ้า ในที่สุดเจ้าก็ถูกปล่อยออกมาแล้ว…”


 


 


มั่วชิงเฉินก้มหน้าที่บึ้งตึงลง เห็นกรงเล็บสองข้างของอีกาไฟเกี่ยวอยู่บนรูที่ถูกยันต์ระเบิดไฟของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กระเบิดออกพอดี เห็นเสื้อด้านในสีฟ้าอ่อนวับๆ แวมๆ สีหน้าจึงยิ่งบึ้งขึ้นอีกทันที กัดฟันว่า “อู๋เย่ว์ ไม่เจอกันหลายเดือน เจ้ายิ่งสมบูรณ์ขึ้นแล้วนะ”


 


 


“เจ้านาย!” อีกาไฟเรียกอย่างคับแค้นใจ


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือหิ้วอีกาไฟขึ้นจากหน้าอกตนเอง แกว่งไปมาไปทางนกยูงน้ำเงินที่อยู่ทางด้านโน้นของลานประลอง “ให้โอกาสเจ้าแสดงฝีมือ ไปขยับแข้งขยับขาหน่อย”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียง ทุกคนก็เห็นอีกาไฟถูกขว้างไปที่นกยูงขนน้ำเงินหางแดงเป็นเส้นโค้ง


 


 


อีกาไฟออกแรงกระพือปีกหยุดอยู่กลางอากาศ ตาขาวที่เมากริ่มคู่หนึ่งมองนกยูงขนน้ำเงินหางแดงแล้วกะพริบตา


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงมองดูอีกาไฟดำปี๊ดปี๋ที่อยู่กลางอากาศ สะบัดแผงหางทีหนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปอย่างไม่แยแส


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวหัวเราะจนตัวสั่นไปหมด “ฮ่าๆๆๆ สหายเต๋ามั่ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอสูรวิญญาณของเจ้าคืออีกาตัวหนึ่ง นี่ นี่ยังช่าง…”


 


 


“ส่งเสริมกันและกัน!” จู่ๆ อีกาไฟก็บิดหน้ามารับคำ


 


 


ทุกคนชะงักงัน จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวหัวเราะจนโงตัวไม่ขึ้น ปิ่นนกยูงที่เสียบอยู่บนผมสั่นระริก สั่นจนผู้บำเพ็ญเพียรชายที่มุงดูไม่น้อยใจเต้นตึกตัก


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟันส่งเสียงทางจิตว่า “อู๋เย่ว์ ใครสอนศัพท์คำนี้ให้เจ้า?”


 


 


อีกาไฟตอบอย่างได้ใจว่า “ก็ครั้งนั้นไง หัวหน้าตระกูลหวังบอกว่าเจ้าและนักพรตเหอกวงอาจารย์เลื่องชื่อศิษย์เก่งกล้า ส่งเสริมกันและกันพอดี แหะๆ ข้ารู้สึกว่าคำคำนี้ใช้กับเราสองคนก็ได้นี่นา”


 


 


มั่วชิงเฉิน…


 


 


อีกาไฟเพิกเฉยต่อความบึ้งตึงของมั่วชิงเฉิน หันหน้าจ้องนกยูงขนน้ำเงินหางแดง สายตาหยุดอยู่ที่แผงหางห้าสีของมันโดยเฉพาะ และเหล่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวที่หัวเราะไม่หยุดว่า “แว้ดๆ เจ้าอย่าหัวเราะได้หรือไม่ เสียงฟังไม่ได้เลย เจ้าและอสูรวิญญาณของเจ้าก็ส่งเสริมกันและกันนะ คนขี้เหร่คู่กับนกโง่!”


 


 


“ซี้ด!” คนไม่น้อยสูดลมเข้าอย่างแรง จากนั้นหัวเราะร่วนขึ้นมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวโกรธจนหน้าแดง มองอีกาไฟด้วยความโกรธว่า “เจ้าเดรัจฉานขนแบน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”


 


 


อีกาไฟค่อยๆ สางขนของมัน ใช้ปีกข้างหนึ่งชี้นกยูงขนน้ำเงินหางแดงว่า “มันอสูรวิญญาณชั้นสี่ตัวหนึ่ง ยังพูดไม่ได้อีก สู้ไม่ได้แม้อสูรวิญญาณชั้นสองเช่นข้า ไม่ใช่นกโง่คืออะไร? ส่วนเจ้า แว้ดๆ สู้ไม่ได้แม้เส้นผมสักเส้นของเจ้านายข้า!” พูดพลาง ยังใช้ปีกดึงขนเส้นเล็กมาเส้นหนึ่งออกมาส่ายไปมา


 


 


ผู้คนที่มองดูยิ่งหัวเราะจนโงตัวไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าระหว่างสองสำนักปะทะกันจะน่าสนุกสนานถึงเพียงนี้


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง ไยเจ้าไม่เคยพูดมาก่อน ว่าศิษย์หลานชิงเฉินยังมีอสูรวิญญาณสุดที่รักเช่นนี้ตัวหนึ่ง?” นักพรตจื่อซีที่ดูสภาพการณ์ที่เชิงเขาผ่านกระจกทองแดงอมยิ้มถามขึ้น


 


 


กู้หลีดื่มชาทิพย์อึกหนึ่ง กระแอมว่า “ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ใหญ่มา อู๋เย่ว์ก็พอดีดื่มจนเมาทุกครั้งไป”


 


 


“อู๋เย่ว์?” นักพรตจื่อซีเกือบพ่นชาออกมา


 


 


ศิษย์น้องเหอกวงเอ๋ย ในเวลาเช่นนี้เจ้าอย่าใช้น้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้เรียกอีกาตัวหนึ่งจะได้หรือไม่?


 


 


มีเสียงดังมาจากในกระจกทองแดงอีก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวโมโหว่า “เดรัจฉานขนแบน เจ้าหุบปาก คนที่มีตาต่างดูออกว่าเจ้ากำลังพูดเหลวไหลอยู่!”


 


 


บอกว่าอสูรวิญญาณของนางพูดไม่ได้ก็ช่างเถอะ ทว่าไม่คิดเลยว่าจะบอกว่านางสู้ไม่ได้แม้เส้นผมสักเส้นของมั่วชิงเฉิน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มั่นใจในความงามของตนเองมาตลอดแล้วละก็ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้


 


 


อีกาไฟยื่นปีกออก น้ำลายกระเซ็นไปทั่วว่า “ถุย ใครพูดเหลวไหลกัน เจ้าโง่ที่ตาขึ้นอยู่ที่ก้น บลาๆๆ…” ไม่นึกเลยว่าจะด่าไม่หยุดและไม่ซ้ำแบบกันเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเค่อ


 


 


ต่อให้มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสเวลาช่วงนี้ฟื้นฟูพลังวิญญาณได้เล็กน้อย กลับอยากหาซอกที่พื้นมุดเข้าไปแทบทนไม่ไหว


 


 


สัมผัสได้ถึงสายตาที่อยากฆ่าคนของมั่วชิงเฉิน อีกาไฟหุบปากอย่างยังไม่สาแก่ใจ เหลือบมองผู้คนที่มุงดูปราดหนึ่งว่า “พวกเจ้าว่ามาสิ เจ้านายข้าและเจ้าโง่นี่ใครสวยกว่า?”


 


 


ทุกคนรู้สึกเพียงว่ามีสายลมเย็นพัดผ่านวูบหนึ่ง ต่างมองฟ้าพร้อมกันอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าพูดขัดกับจิตใต้สำนึก จะถูกฟ้าผ่าหรือไม่?


 


 


“รีบพูดมาสิ เรื่องที่เห็นชัดๆ เช่นนี้จะพูดเหลวไหลขัดต่อจิตใต้สำนึกไม่ได้นะ!” อีกาไฟเร่งรัดอย่างหมดความอดทน จากนั้นบ่นพึมพำเบาๆ ว่า มนุษย์นี่ช่างซับซ้อนจริงๆ


 


 


“อาจารย์อามั่ว…” ศิษย์ที่มุงดูแข็งใจ กัดฟันพูดขึ้น


 


 


ศิษย์เหยากวงหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งแอบกระตุกเสื้อคนข้างๆ ว่า “ศิษย์พี่ เช่นนี้ไม่ดีกระมัง…”


 


 


ศิษย์ข้างๆ ค้อนเขาควักหนึ่งว่า “โง่ พวกเราพูดแค่ว่าอาจารย์อามั่ว ไม่ได้พูดว่าอาจารย์อามั่วสวยเสียหน่อย!”


 


 


ศิษย์เหยากวงที่หน้าตาซื่อๆ ตาเป็นประกายทันที จากนั้นตะแบงเสียงดังว่า “อาจารย์อามั่ว…”


 


 


เดิมทุกคนก่อนหน้าก็พูดอย่างไม่มั่นใจอยู่แล้ว คนคนนี้เพิ่งมาพูดตามทีหลังอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคนทั่วทั้งเชิงเขาล้วนได้ยินเสียงตะโกนใสแจ๋วนี้ สายตามองสวบๆ มาพร้อมกัน


 


 


มีศิษย์พึมพำเสียงเบาว่า “นี่เป็นศิษย์เขาลูกไหนน่ะ ไม่คิดว่าจะสามารถพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิถึงเพียงนี้ ช่างน่านับถือจริงๆ…”


 


 


คนรอบๆ ศิษย์หน้าซื่อๆ ต่างถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างใจสื่อถึงกันได้ สีหน้าบอกว่าไม่รู้จักคนผู้นี้


 


 


“ศิษย์น้องหม่า ยังไม่รีบลงมืออีก อย่าถูกแผนถ่วงเวลาของอีกฝ่ายเข้าล่ะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งส่งเสียงทางจิตว่า ในใจแอบคิดว่า มั่วชิงเฉินคนนั้นฟูมฟักอสูรวิญญาณสุดยอดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกันนะ หรือว่าคือคนใกล้หมึกติดสีดำ?


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวถึงใจเย็นลง มองมั่วชิงเฉินแล้วยิ้มนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋ามั่ว พวกเราอย่าตีฝีปากกันเลย ลงมือให้เห็นฝีมือที่แท้จริงเถอะ” พูดจบยื่นมือเปล่าออกดึงปิ่นนกยูงที่ผมลง แล้วขีดใส่อากาศ


 


 


ก็เห็นแสงวิญญาณกระจายลอยขึ้น บินร่ายรำไปทางมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณ ย่อมโยนมุกสีแดงออกมาเป็นกำๆ ผลิออกเป็นดอกไม้สีสดใสขึ้นกลางอากาศต้านการโจมตีของอีกฝ่ายไว้สิ้น


 


 


“เปลี่ยนรุกเป็นรับ ท่าทางพลังวิญญาณของนางเหลือไม่มากแล้วจริงๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งบ่นพึมพำ สีหน้าดีใจ


 


 


“ชิงเกอ ท่าทางชิงเฉินพลังวิญญาณไม่พอแล้ว” มั่วหลีลั่วเอ่ยเสียงเบา สีหน้าปรากฏแววกังวล


 


 


ต้วนชิงเกอพยักหน้า สายตาไม่ออกห่างจากลานประลอง “บัดนี้ก็ดูอสูรวิญญาณของใครจะชนะก่อนแล้ว”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ที่อยู่อีกด้านหนึ่งถอนใจว่า “อสูรวิญญาณชั้นสองสู้กับอสูรวิญญาณชั้นสี่ ยกนี้เกรงว่าศิษย์น้องมั่วจะไม่สู้ดี”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกฮึเสียงเย็นว่า “สมน้ำหน้า ใครให้นางอวดเก่งล่ะ!” จากนั้นเสียงต่ำลงว่า “นั่นก็ไม่แน่ นางหนูนั่นก่อเรื่องเก่งปานนี้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าอสูรวิญญาณของนางจะเลียนแบบนางหรือไม่”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังเบือนหน้าไปอย่างโมโห พึมพำว่า ศิษย์พี่อู๋นี่ชอบหัวเราะอย่างประหลาดเช่นนี้เรื่อยเลย


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงแม้ยังพูดภาษาคนไม่ได้ อย่างไรเสียก็เป็นอสูรวิญญาณชั้นสี่ที่เทียบเท่ากับระดับสร้างรากฐานระยะปลายในมนุษย์ คำพูดที่อีกาไฟพูดมาแม้ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ความหมายโดยประมาณกลับฟังเข้าใจ


 


 


มันที่ภูมิใจในความสวยงามฉลาดของตนเองเสมอมาอั้นไฟโกรธไว้เต็มท้องตั้งนานแล้ว เมื่อเปิดออก ย่อมไม่เกรงใจแน่นอน


 


 


ก็เห็นเพียงนกยูงขนน้ำเงินหางแดงสะบัดแผงหาง ตาสีเขียวด้านบนเปล่งแสงวิญญาณออกมาเป็นลำแสงทันที


 


 


เดิมทีตาที่แผงหางก็มากมายนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีลำแสงเล็กและยาวนับไม่ถ้วนตัดกันกวาดมาทางอีกาไฟ


 


 


อีกาไฟร้อง ‘แว้ดๆ’ สองที รีบบินขึ้นฟ้าไป


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงไม่ถนัดบิน ลำแสงวิญญาณมีการจำกัดด้านระยะห่างเช่นกัน เมื่ออีกาไฟบินสู่ฟ้าสูงเช่นนี้ นอกจากถูกแสงวิญญาณเมื่อแรกเริ่มกวาดโดนเล็กน้อย ขนร่วงลงมาเส้นหนึ่ง ลำแสงวิญญาณของนกยูงขนน้ำเงินหางแดงตอนหลังก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว


 


 


อีกาไฟหยุดอยู่บนฟ้าสูงตะโกนอย่างได้ใจว่า “มาสิ เจ้านกขี้เหร่ อย่านึกว่าเจ้าชั้นสี่ข้าก็จะกลัวเจ้านะ”


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงร้องคำรามออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นสะบัดแผงหาง ก็เห็นขนหางสีแดงที่ขอบรอบหนึ่งเป็นเหมือนลูกธนู ลากแสงวิญญาณสีแดงยิงไปยังอีกาไฟอย่างเร็ว


 


 


อีกาไฟตกใจจนร้องแว้ดเสียงหนึ่ง อ้าปากพ่นลูกไฟออกมาลูกหนึ่งขวางธนูลูกหนึ่งที่เข้าใกล้มันที่สุดไว้ จากนั้นกอดหัวหนีหัวซุกหัวซุน


 


 


แล้วก็เห็นนกยูงขนน้ำเงินหางแดงที่สง่างามบนพื้นยิงขนหางสีแดงออกอย่างใจเย็น อีกาดำปี๊ดปี๋กลางอากาศหนีหัวซุกหัวซุนอย่างทุลักทุเล และพ่นลูกไฟออกมาเป็นระยะเป็นการกู้หน้า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนในที่สุดก็กระปรี้กระเปร่าขึ้น มีคนโห่ร้องเสียงดังขึ้นมา


 


 


ศิษย์พรรคเหยากวงทั้งหมดเงยหน้าขึ้น มองตาไม่กะพริบ


 


 


มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งข้างเชิงเขา สองมือประกบกันหลับตาแล้วบ่นพึมพำว่า “ท่านเซียนมั่วต้องชนะให้ได้นะ ต้องชนะให้ได้นะ…”


 


 


ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอนาถขึ้นเสียงหนึ่ง ขนดำกระจุกหนึ่งปลิวร่วงล่องลอยลงมาจากบนฟ้า


 


 


อีกาไฟชะงักงัน จากนั้นร้องไห้ฟูมฟายตะโกนว่า “ฮือๆ ขนที่สวยงามของข้า!”


 


 


เสียงเศร้าและแหลมจนทุกคนตกใจสะดุ้งโหยง


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงชะงักทีหนึ่งเช่นกัน แล้วเปล่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น จากนั้นสะบัดแผงหางยิงขนหางสีแดงออกไปอีกหลายอัน


 


 


อีกาไฟกลับไม่ขยับเขยื้อนแล้ว จ้องขนหางสีแดงที่ยิงมาอย่างดุดัน ปากพึมพำว่า “เจ้านกขี้เหร่นี่ ในเมื่อชอบยิงขนถึงเพียงนี้ ไยขนที่น่าเกลียดทั้งตัวนี่ยังร่วงไม่หมดเสียที?”


 


 


หากมีคนอยู่ตรงหน้าก็จะพบว่า เดิมในตาของอีกาไฟที่มีตาขาวมากกว่าตาดำ จู่ๆ ก็มีแสงสีม่วงแวบผ่าน


 


 


หลังจากแสงสีม่วงแวบหายไป จู่ๆ นกยูงขนน้ำเงินหางแดงที่อยู่บนพื้นก็ขนร่วงจนหมดท่ามกลางสายตาของทุกคน จากท่าทางที่สง่างามกลายเป็นไก่เนื้อตัวขาวโพลนทันที


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงก้มหน้าลง จากนั้นชะงักงัน ต่อจากนั้นเปล่งเสียงเศร้าและแหลมยิ่งกว่าอีกาไฟร้อยเท่าเสียงหนึ่ง ใช้ปีกสั้นๆ ปิดหน้าแล้วพุ่งไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาว


 


 


ทางด้านนั้นมั่วชิงเฉินกำลังสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวอย่างสุดกำลังยังไม่พบความผิดปกติทางด้านนี้ เมื่อนกยูงขนน้ำเงินหางแดงพุ่งเข้ามาก็เหยียบกระโปรงยาวระพื้นของนางเข้าพอดี


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวเมื่อขยับตัวจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการหกล้มด้วยท่าหน้าทิ่มลงถลาออกไปอย่างสวยงาม เหลือเพียงกระโปรงยาวครึ่งตัวที่สวยงามยิ่งกว่าไว้ที่เดิม


 


 


นกยูงขนน้ำเงินหางแดงคับแค้นใจจนไม่ทันได้สนใจเจ้านายว่าเป็นเช่นไรแล้ว มองดูกระโปรงยาวที่เหยียบอยู่ ล้มตัวลงกลิ้งรอบหนึ่ง ใช้กระโปรงยาวห่อตัวที่ไม่มีขนสักเส้นไว้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวล้มจนมึน ลุกขึ้นนั่งมองนกยูงขนน้ำเงินหางแดงที่ใช้กระโปรงยาวห่อตัวไว้แล้วกะพริบตาอย่างสงสัย นี่มันเรื่องอะไรกัน เอ๊ะ กระโปรงนั่นไยคุ้นตาเช่นนี้นะ?


 


 


รู้สึกว่าลมพัดมาเย็นวาบ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวก้มหน้าดู แล้วส่งเสียงร้องเศร้าและแหลมกว่าอสูรวิญญาณของตนเสียอีก จากนั้นเลือดลมพุ่งขึ้นข้างบนด้านหน้ามืดลง หมดสติไปเพราะอับอายและโกรธแค้นเกินจะทน 

 

 


ตอนที่ 210 เสื้อย้อมสีเลือดแสบสัน

 

“ข้า ข้ารู้สึกว่าข้าหลงรักอาจารย์อามั่วเข้าแล้ว…” ศิษย์ชายพรรคเหยากวงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเคลิบเคลิ้ม


 


 


ศิษย์ชายอีกคนหนึ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ข้าก็เช่นกัน!”


 


 


ศิษย์ชายด้านหน้าหันหน้ามา พูดด้วยกลิ่นอายเข่นฆ่าคละคลุ้งว่า “กล้าคิดมิดีมิร้ายกับอาจารย์อามั่ว ข้าต้องฆ่าพวกเจ้าแน่ๆ!”


 


 


ศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ ในที่สุดก็อดพูดแทรกไม่ได้ว่า “พวกเจ้าคนโง่เพ้อเจ้อสินะ ว่ากันด้วยตบะเพียงอย่างเดียวชั่วชีวิตนี้พวกเจ้าก็ไล่อาจารย์อามั่วไม่ทันหรอกนะ”


 


 


ศิษย์ชายสามคนใบหน้าปรากฏสีหน้าเจ้าไม่เข้าใจขึ้นพร้อมกัน แล้วเอ่ยพร้อมกันว่า “อาจารย์อามั่วช่างเป็นเสียงสวรรค์ของศิษย์ชายเราจริงๆ เลยนะ!”


 


 


ศิษย์หญิง…


 


 


หนึ่งในยอดเขารองเขาชิงมู่ยอดเขาป่าไผ่


 


 


นักพรตฟางเหยาส่ายกระจกทองแดงในมือ ภาพในกระจกก็เกิดพร่ามัวขึ้นมา


 


 


“คำสาป?” นักพรตฟางเหยาบ่นพึมพำ จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อสูรวิญญาณแปรผัน?”


 


 


นักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวมองไปที่กู้หลีพร้อมกัน


 


 


กู้หลีมองกลับมา แล้วส่ายศีรษะ


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าอสูรวิญญาณของศิษย์ตนเองเป็นอสูรวิญญาณแปรผัน?” นักพรตจื่อซีกัดฟันเอ่ยขึ้น


 


 


เป็นที่รู้กัน เผ่าพันธุ์ของอสูรวิญญาณได้กำหนดพลังความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดและพลังแฝงในภายหลัง นั่นคือเครื่องพันธนาการพรสวรรค์ที่หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายเลือดที่โอสถยาวิเศษไม่สามารถทะลวงได้ ทว่าสรรพสิ่งไม่แน่นอน ด้วยสาเหตุที่ยากจะคาดเดาบางอย่าง เมื่อยามที่อสูรวิญญาณเลื่อนขั้นจะมีโอกาสอันน้อยนิดที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่จึงทำให้เกิดอสูรวิญญาณแปรผันที่มีพลังความสามารถพิเศษไม่เหมือนใครขึ้น


 


 


แม้จะบอกว่าอสูรวิญญาณแปรผันก็ใช่ว่าจะเก่งกาจกว่าอสูรวิญญาณเผ่าพันธุ์เดียวกันที่อยู่ระดับเดียวกัน กลับเพราะการแปรผัน ต่อให้เป็นเจ้าของของอสูรวิญญาณก็ไม่รู้ว่าอสูรวิญญาณที่เลื่อนขั้นแล้วจะมีความสามารถพิเศษอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง นี่จึงหมายถึงอสูรวิญญาณมีพลังแฝงที่ยากจะคาดเดา ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีความสามารถสูงส่งก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสุดท้ายอสูรวิญญาณแปรผันจะวิวัฒนาการเป็นอะไร


 


 


ดังนั้นในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร อย่าพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็เห็นความสำคัญของอสูรวิญญาณแปรผันเป็นอย่างมาก


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้กระทั่งว่าศิษย์เพียงคนเดียวของตนมีอสูรวิญญาณ นี่จะไม่ดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือ?” นักพรตจื่อซีดูแคลนว่า


 


 


นักพรตฟางเหยาเอ่ยตามว่า “นั่นน่ะสิ ศิษย์น้องเหอกวง ต่อให้ศิษย์หลานชิงเฉินไม่ได้พูดกับเจ้ามาก่อน อสูรวิญญาณนั่นกลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับอสูรเสือพายุทะลุฟ้า และอินทรีวิญญาณหยกหิมะของเจ้า เจ้าก็ไม่พบพิรุธอะไรบ้างเช่นนั้นหรือ?”


 


 


ภายใต้สายตาจับจ้องของทั้งสามคน กู้หลีเอ่ยอย่างขวยเขินว่า “ทุกครั้งที่อู๋เย่ว์มาหาข้า ก็มาเพื่อขอสุราดื่มเท่านั้น…”


 


 


สามคนหน้าทิ่มพร้อมกัน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งหน้าเขียว สายตากวาดผ่านใบหน้าศิษย์น้องร่วมสำนักที่เหลืออยู่ทีละคนอย่างช้าๆ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนแต่ละคนที่ถูกกวาดผ่านล้วนสีหน้าซีดเซียว รีบก้มหน้าลงทันที


 


 


ในชั่วเวลาหนึ่ง บรรยากาศอึดอัดจนหาใดเปรียบมิได้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ กดไฟโกรธเต็มทรวงไว้ สายตาดุจดาบเถือกระดูกกวาดผ่านอีกรอบหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพวกนั้นก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน


 


 


ในที่สุด สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งก็หยุดอยู่บนตัวศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่ที่มุมอับคนหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นใส่ชุดทะมัดทะแมงสีดำทั้งชุด ใบหน้าสวยรูปไข่ดันมีคิ้วตรงคู่หนึ่ง ทำให้ดูสง่าผ่าเผย ริมฝีปากเม้มแน่นโค้งขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วยิ่งดื้อรั้นขึ้นหลายส่วน


 


 


นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ก้มหน้า ยืนอยู่อย่างสงบที่มุมอับด้วยสีหน้าสงบเหมือนยามที่เพิ่งมาถึง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ ยามนั้นตนนำศิษย์หัวกะทิสิบกว่าคนมาท้าประลอง อาจารย์กลับบอกใบ้ให้ตนพาศิษย์น้องร่วมสำนักคนนี้มาด้วย


 


 


พูดไปแล้วในสำนักศิษย์น้องติงคนนี้ก็เป็นตัวประหลาด ปกติก็ถูกศิษย์ร่วมสำนักถากถางเยาะเย้ยไม่ใช่น้อย ตั้งแต่นางสร้างรากฐานแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงถูกอาจารย์รับไว้เป็นศิษย์จดชื่อ ถึงมีชีวิตดีขึ้นหน่อย ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่เห็นอาจารย์จะเอ็นดูนางสักเท่าไร ฐานะยิ่งเทียบไม่ได้กับศิษย์ก้นกุฏิเช่นตนเอง


 


 


ศิษย์พี่น้องที่อยู่ในแวดวงเดียวกันแม้ต่อหน้าไม่ค่อยทำให้นางลำบากใจ กลับยังคงแอบกีดกันนางออกจากกลุ่ม


 


 


ดังนั้นก่อนเดินทางอาจารย์บอกใบ้ให้ตนชวนนางมาด้วย ตนจึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่ติดที่เป็นการบอกใบ้ของอาจารย์ไม่อาจขัดขืนได้ บัดนี้ดูแล้ว หรือว่าเมื่อถึงช่วงเวลาคับขันคนที่กู้สถานการณ์คืนจะกลายเป็นศิษย์น้องติง?


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งแม้ในใจไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อถึงยามนี้กลับได้แต่รักษาม้าตายดุจม้าเป็น[1] จึงเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำว่า “ศิษย์น้องติง เจ้าเต็มใจมาประลองยกสุดท้ายนี้หรือไม่?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำยกตาขึ้น แล้วพยักหน้าเบาๆ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งซาบซึ้งเล็กน้อยว่า “ศิษย์น้องติง เกียรติของนิกายเหอฮวนเรา ก็มอบหมายให้เจ้าแล้ว”


 


 


ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำก็เปิดปากว่า “น้องจะสู้สุดความสามารถ” เสียงสงบจนใกล้เคียงกับเย็นชา ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งโล่งอกขึ้น


 


 


มองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเดินขึ้นมาอย่างสุขุมใจเย็น มั่วชิงเฉินสีหน้าจริงจังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้ดูแล้วแม้ธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับทำให้นางสัมผัสได้ถึงอันตราย ก็ราวกับสิงโตหลับที่เก็บเขี้ยวเล็บขึ้น ดูไร้พิษสงความจริงกลับมีพลังการทำลายล้างที่น่ากลัว และความรู้สึกเช่นนี้กลับไม่มีในผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหกคนก่อนหน้าที่พลังความสามารถแตกต่างกันไปของนิกายเหอฮวน


 


 


เยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้เพราะเหตุใด ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำของนิกายเหอฮวนที่ปรากฏตัวเป็นอันดับสุดท้ายคนนี้ ทำให้เขาเกิดกังวลขึ้นมา


 


 


มั่วหลีลั่วเก็บรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น ขมวดคิ้วว่า “ชิงเกอ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำคนนี้ไม่ธรรมดา”


 


 


ต้วนชิงเกอใบหน้าฉายแววกังวลขึ้นแวบหนึ่ง พยักหน้าว่า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น บัดนี้พลังวิญญาณของชิงเฉินคงเหลือไม่เท่าไรแล้วแน่ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้นาง”


 


 


“เฮ่อ เจ้าว่าชิงเฉินนางไยต้องอวดเก่ง สู้เจ็ดคนตามลำพังด้วยนะ อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคิดจะชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางเจ็ดคนรวดเดียวก็ลำบากแสนสาหัส” มั่วหลีลั่วถอนใจด้วยความเคือง


 


 


ต้วนชิงเกอปากขมุบขมิบ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับเดาบางอย่างได้รางๆ แล้วรีบกดลงไปอีก


 


 


“ขอสหายเต๋ามั่วโปรดชี้แนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำคำนับอย่างเป็นทางการหนึ่งที


 


 


มั่วชิงเฉินคำนับกลับอย่างเคร่งครัด “สหายเต๋าเกรงใจเกินไปแล้ว โปรดชี้แน่ะ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเม้มปากที่บางมากว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เก็บของไม่เป็นเรื่องพวกนั้นขึ้น แล้วสู้กันดีๆ สักตั้งเถอะ” พูดจบสองมือแวบแสงวิญญาณ พุ่งตัวบุกมาที่มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะทีหนึ่ง การบำเพ็ญวิชายุทธ์ยกระดับจิตใจคือรากฐานของผู้บำเพ็ญเพียร ส่วนคาถา อาวุธเวท ยันต์ อสูรวิญญาณ ค่ายกลต่างๆ เป็นเพียงแค่วิธีการสู้กันของผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น ในเมื่อเป็นวิธีการสู้กัน จะมีอะไรดั้งเดิมที่ไหนกัน จะมีนอกลู่นอกทางอะไรมาจากไหนอีก ทุกสิ่งเพียงแต่ทำเพื่อเอาชนะก็เท่านั้น            


 


 


แน่นอนนางไม่มีกะจิตกะใจจะเถียงกับคู่ต่อสู้หรอก คู่ต่อสู้ก็ไม่ให้เวลานางเช่นกัน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำรูปร่างปราดเปรียว พริบตาเดียวก็มาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน นางกางมือออก เล็บทั้งสิบนิ้วทันใดนั้นก็ยาวออกมาสิบนิ้ว เป็นประกายวาววับคมกริบ ดั่งใบมีดคมกริบสิบใบ


 


 


มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง ถอยออกไปหลายจั้ง ขนบนแขนลุกขึ้นมาทันที


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไม่หยุดไม่แต่น้อย พุ่งเข้ามาอีกทันที


 


 


มั่วชิงเฉินปล่อยเถาวัลย์สีเขียวเข้มออกจากมือทั้งสองเฆี่ยนไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำฝีมือคล่องแคล่วเหมือนแมวดำตัวหนึ่ง ลอดไปมาระหว่างช่องว่างของเถาวัลย์สองเส้นอย่างประเปรียวสง่างาม พริบตาเดียวก็มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินโดยไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย


 


 


ดอกไม้สีแดงสดดั่งไฟบานออกหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำยื่นสิบนิ้วออกขยับกรีดติดๆ กัน ดอกไม้ก็ถูกมีดนิ้วกรีดเป็นเศษกลีบดอกนับไม่ถ้วน ร่วงหล่นจากฟ้าเหมือนสายฝนปรอยๆ ยังไม่ถึงพื้นก็กลายเป็นแสงวิญญาณกระจายไป


 


 


มั่วชิงเฉินถอยอีก ร่ายรำเถาวัลย์พัวพันกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ ดอกไม้สีแดงโปรยปรายลงมามากมาย


 


 


เขียว มรกต แดง ดำสีสี่ตัดกัน อยู่ในสายตาคนอื่นกลับรู้สึกว่าการสู้กันของทั้งสองคนช่างงดงามเกินคำบรรยาย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำในการประลองสองตาลุกวาว ท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาแสดงให้เห็นถึงพลังกายพลังใจที่เต็มเปี่ยม แสงวิญญาณสีทองบนมีดนิ้วยิ่งเป็นประกายเจิดจรัส ส่องจนแสบตาผู้คน


 


 


กลับมาดูมั่วชิงเฉินสีหน้ากลับยิ่งดูซีดเซียว หลบหลีกอย่างเชื่องช้า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำหลบเถาวัลย์ที่ใกล้เข้ามาอีกครั้ง นางฝีมือคล่องแคล่วจนไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาจริงๆ กลับเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ที่เคยฝึกวิชาเข้าทางเต๋าด้วยวรยุทธ์มากกว่า


 


 


มั่วชิงเฉินปักเถาวัลย์ลงดิน แล้วยืมแรงกระโดดขึ้นกลางอากาศ หลบมีดนิ้วของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำออก


 


 


ทว่าเมื่อกระโดดถึงกลางอากาศกลับตกลงมาอย่างกะทันหัน ร่างกายส่ายไปมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงสวบเสียงหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บแปลบส่งผ่านมา


 


 


“อ๊าก!” ศิษย์ที่มุงดูตกใจร้องออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาตรวจดูอาการบาดเจ็บ รีบร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง แต่แล้วสีหน้ากลับต้องเปลี่ยน


 


 


พลังวิญญาณในกายตนแม้แต่คาถาเช่นเคลื่อนเงาเลือนรางก็เสกไม่ได้แล้ว!


 


 


ในชั่วเวลาที่นางชะงักนี่เอง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำก็มาถึงตรงหน้า แล้วร่ายรำมีดนิ้วสิบนิ้วโดยไม่ลังเล บนตัวมั่วชิงเฉินปรากฏรอยแผลขึ้นสิบแผลทันที แต่ละแผลลึกเข้ากระดูก เลือดสดๆ ทะลักออกมา ทำเสื้อเขียวเปียกชุ่มในชั่วพริบตา


 


 


หมัดเยี่ยเทียนหยวนกำแล้วคลาย คลายแล้วก็กำอีก เล็บจิกลึกเข้าไปในเนื้อกลับไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง


 


 


ทางด้านนั้นของกระจกทองแดง นักพรตจื่อซีส่ายศีรษะว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินไม่มีพลังวิญญาณแล้ว ผลการประลองรู้ผลแล้ว การลำบากฝืนเช่นนี้ได้แต่ถูกทรมานเปล่าๆ ไม่ฉลาดเลย” สีหน้าแม้เสียดายอยู่บ้าง กลับไม่มีความรู้สึกสงสาร


 


 


คนที่บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีคนหนึ่ง จะเกิดความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่คบหากันไม่ลึกซึ้งอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร ก็เพียงแค่ดูเพื่อความครึกครื้นเท่านั้นเอง


 


 


กู้หลีเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องกระจกทองแดงไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ชั่วพริบตา บนตัวมั่วชิงเฉินก็ถูกกรีดจนมีบาดแผลนับไม่ถ้วน บัดนี้พลังวิญญาณในกายนางทั้งไม่อาจใช้อาวุธเวทได้และก็ไม่อาจเสกคาถาเพียงอย่างเดียวด้วย ได้เพียงเคลื่อนพลังวิญญาณสายเล็กๆเร่งพฤกษาวิญญาณเพื่อหลบหลีกป้องกันเท่านั้น


 


 


เสียงฟู่ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มีดนิ้วสิบนิ้วของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำจิกหน้าอกมั่วชิงเฉินได้ จากนั้นประกบสองมือเข้าหากันแล้วลากไปข้างหลัง เลือดก็สาดเต็มฟ้าทันที เสื้อสีเขียวของมั่วชิงเฉินกลายเป็นสีแดงเข้มแล้ว เลือดไหลลงตามขอบกระโปรงไม่หยุด ไหลคดเคี้ยวบนพื้นจนกลายเป็นลำธาร


 


 


“เจ้ายังไม่ยอมแพ้หรือ?” เสียงอันเย็นชาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำลอยมา สู้กับคนที่พลังวิญญาณไม่พอช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ชนะอย่างไม่น่าภูมิใจ


 


 


มั่วชิงเฉินยืดตัวตรง เม้มปากแน่น


 


 


“อาจารย์อามั่ว ยอมแพ้เถอะ” จู่ๆ ศิษย์เหยากวงที่ยืนชิดข้างหน้าคนหนึ่งตะโกนขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปตามเสียง แล้วยิ้มอย่างอ่อนจางมาก ลักยิ้มข้างปากกลับทำให้รอยยิ้มนั่นสดใสขึ้นมา เลือดที่ทะลักออกไม่หยุดทำให้เสื้อสีแดงเข้มเป็นประกายสุกไส ราวกับกลายเป็นเสื้อชาวสวรรค์ที่มีจิตวิญญาณ


 


 


ใต้เชิงเขาเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นเสียงนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้น “อาจารย์อามั่ว ยอมแพ้เถอะ”


 


 


มีศิษย์หญิงเริ่มสะอื้นเบาๆ ขึ้นมาแล้ว


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว ศิษย์พรรคเหยากวงไม่ได้มีเพียงเจ้าคนเดียว ยกสุดท้ายนี่ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ” ศิษย์เหยากวงระดับสร้างรากฐานระยะกลางหลายคนลุกขึ้นยืน


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบาว่า “ให้ข้าลองอีกที”


 


 


แพ้ให้คนสุดท้าย อย่างไรก็ทำใจไม่ได้


 


 


ในชั่วพริบตาที่มั่วชิงเฉินหันหน้า สายตาของเยี่ยเทียนหยวนมองมา สุดท้ายก็เก็บกลับไปอีก


 


 


ศิษย์น้องมั่ว สู้หรือไม่สู้เป็นการเลือกของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์ห้าม ทว่าหากเจ้าเกิดเรื่อง ชีวิตนี้ข้าเยี่ยเทียนหยวนจะไม่ปล่อยนิกายเหอฮวนให้รอดแม้คนเดียว ไม่ตายไม่เลิกรา!     


 


 


 


 


——


 


 


[1] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น หมายถึง ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จแต่ก็ยังลองดู

 

 

 


ตอนที่ 211 ผกาหอมอบอวลเข้าจู่โจม

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้การตัดสินใจของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ยิ่งไม่รู้ถึงสีหน้าที่เงียบจนเกือบเก็บกดของกู้หลีทางด้านกระจกทองแดงโน่น การเสียเลือดปริมาณมากทำให้สติของนางเริ่มเลอะเลือน ทว่าในสมองมีเพียงความคิดหนึ่งยังคงชัดเจน นั่นก็คือจะแพ้ไม่ได้


 


 


นางมิใช่คนอวดเก่ง หากศิษย์ผู้ดูแลไม่ได้บอกสัญญาระหว่างเจ้าสำนักและอาจารย์แก่นาง นางก็จะถอยลงมาอย่างใจเย็นตั้งแต่ คนที่ห้าหรือคนที่หก ทว่าบัดนี้ นางกลับไม่สู้ไม่ได้


 


 


ตนไม่กลัวที่จะสร้างปัญหา ทว่าสร้างปัญหาแล้วกลับต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน นางจะดูถูกตนเอง ยิ่งกว่านั้นคนที่ต้องเดือดร้อน ยังเป็นเขา…


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำตรงหน้า บนใบหน้าสงบถึงเย็นชาของอีกฝ่ายฉายแววเบื่อหน่าย ทำให้ในใจนางยิ่งเกิดความยโสขึ้นมา


 


 


หากตนพลังวิญญาณเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเวท คาถาหรือว่าเคล็ดกระบี่ จะมีโอกาสให้นางมาโอหังที่ไหน


 


 


ว่าไปแล้วมั่วชิงเฉินในบัดนี้ยังคงมีวิธีเอาชนะ นั่นก็คือระเบิดสะท้านฟ้า


 


 


ระเบิดสะท้านฟ้าคือผลไม้ที่เกิดจากไม้หนามหมื่นปีในสวนสมุนไพรพกพาของนาง ดูจากอานุภาพยามที่ใช้ประลองกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแล้ว ขอเพียงระเบิดสะท้านฟ้าแค่สองลูก ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำนี้ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน กระทั่งชีวิตจะรักษาไว้ได้หรือไม่ก็พูดยาก


 


 


ทว่า นางกลับไม่อยากใช้ระเบิดสะท้านฟ้าเผชิญหน้ากับศัตรู


 


 


ข้อหนึ่งระเบิดสะท้านฟ้าเป็นผลไม้ที่เกิดจากพฤกษาวิญญาณหมื่นปี หายากยิ่งนัก ไม่ใช้ในการสู้เป็นสู้ตายมาใช้ที่นี่จะสิ้นเปลืองเกินไป ข้อสองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำคนนั้นประกาศกร้าวแต่แรกว่าให้เก็บของสะเปะสะปะพวกนั้นขึ้นแล้วสู้กันสักตั้ง


 


 


ในสายตามั่วชิงเฉินถึงเวลาประลองเป็นตายมีเพียงการเอาชนะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างอื่นเป็นเพียงวิธีการเอาชนะเท่านั้น ทว่าเมื่อถึงเวลา ‘เยือนสำนัก’ กลับมีข้อยกเว้นบ้าง


 


 


ตนจะโยนระเบิดสะท้านฟ้าออกไปสองสามลูกระเบิดอีกฝ่ายให้หน้าเทาทะมึนก็ย่อมได้ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมแพ้จากใจ ส่วนที่นางต้องการกลับคือการให้คนพวกนี้ยอมอย่างหมดจิตหมดใจแล้วไสหัวกลับนิกายเหอฮวนไป!


 


 


เรื่องถึงบัดนี้ ก็มีเพียงวิธีเดียวแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินยกแขนขึ้นใช้แขนเสื้อเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก และฉวยโอกาสส่งโอสถเข้าไปเม็ดหนึ่ง


 


 


เมื่อโอสถเข้าปากไหลลงท้องผสมกับกลิ่นคาวเลือด ฤทธิ์ยากระจายออกภายในร่างกายเกิดพลังวิญญาณมากมายขึ้นทันที


 


 


พลังวิญญาณสายนั้นยิ่งใหญ่เกินไป จึงเป็นเหตุให้เหนือตันเถียนของมั่วชิงเฉินเกิดหลุมวนพลังวิญญาณขึ้น พลังวิญญาณไม่ขาดสายหมุนเวียนพุ่งไปสู่เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด


 


 


พลังวิญญาณที่เดิมทีใกล้จะเหือดแห้งของมั่วชิงเฉินฟื้นฟูขึ้นในพริบตา สีหน้าส่องประกายดั่งหยก ขับกับเสื้อโลหิตสีแดงเข้ม ทำให้รู้สึกสวยแบบเศร้าๆ มีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหรี่ตา คู่ต่อสู้ดูเหมือนมีบางสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว


 


 


“มาเถอะ” มั่วชิงเฉินยกคางขึ้น เสียงสงบไร้เกลียวคลื่น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเม้มปาก “สหายเต๋ามั่วช่างลึกล้ำยากจะคาดเดา” พูดจบแสงเย็นเยียบของมีดนิ้วแวบขึ้น พุ่งไปที่มั่วชิงเฉินด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไม่เดินเป็นเส้นตรง หากแต่วิ่งด้วยความเร็วประเดี๋ยวซ้ายประเดี๋ยวขวาอย่างคาดเดาทิศทางไม่ได้ ท่วงท่าและฝีเท้าประสานกันได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ รู้สึกเป็นจังหวะอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ส่วนยามที่มั่วชิงเฉินใช้เถาวัลย์รับมือหญิงคนนี้ก่อนหน้านี้ ก็คือท่วงท่าที่ล่องลอยไม่อยู่กับที่เช่นนี้ที่ทำให้การโจมตีของนางเสียเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า และยิ่งนำการคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้


 


 


ยังเป็นครั้งแรกที่นางประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ สู้กันสุดกำลังสักตั้งก็ถือว่าคุ้มค่า!


 


 


มั่วชิงเฉินยกมือกระบี่ชิงมู่ก็ปรากฏขึ้น จากนั้นควงกระบี่ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ก็สำแดงออกมา


 


 


กระบี่ยาวสีเขียวเรียบง่ายไม่โอ้อวด ตามการร่ายรำกลางอากาศแสงวิญญาณกระจายเกลื่อนออก แสงวิญญาณเหล่านั้นกลับกลายเป็นดอกไม้สดดอกใหญ่ทันที จากนั้นรวมตัวกันเป็นผ้าต่วนที่ทอขึ้นจากดอกไม้สดนับไม่ถ้วนสะบัดไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำกระโดดขึ้นฟ้าด้วยท่วงท่าเบาหวิว สองมือกอดเข่าม้วนตัว มุดผ่านช่องว่างของโซ่ดอกไม้ไปอย่างพอดิบพอดี แล้วพุ่งตัวมาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน สิบนิ้วกางออกกว้าง ข่วนอย่างไม่ยั้งมือ


 


 


โล่วิญญาณสีเขียวแวบปรากฏขึ้น มีดนิ้วของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเหมือนสัมผัสถูกกำแพงอ่อนและยืดหยุ่นเหลือคณาที่มองไม่เห็น ถอยกลับอย่างทำอะไรไม่ได้


 


 


ผู้คนที่มุงดูไม่มีสักคนที่ไม่กลั้นใจเพ่งสมาธิดูสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง ศิษย์หลานชิงเฉินใช้วิธีอะไรอีก ครู่เดียวก็พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมแล้ว?” นักพรตจื่อซีเอียงศีรษะ เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีกแล้ว


 


 


สีหน้าของกู้หลีในความสงบกลับแฝงด้วยความโกรธสายหนึ่ง คำถามของนักพรตจื่อซีเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา สายตาไม่ออกห่างจากเงาร่างสีเลือดในกระจกทองแดงสักนาทีเดียว


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง?” นักพรตจื่อซีขมวดคิ้ว


 


 


นักพรตหมิงจ้าวส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ยามนี้ท่านอย่ารบกวนศิษย์น้องเล็กจะดีกว่า ท่านไม่เห็นสีหน้าศิษย์น้องเล็กเปลี่ยนแล้วหรือ?”


 


 


นักพรตจื่อซีถึงจ้องกู้หลีเขม็งปราดหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตเช่นกันว่า “เอ๊ะ ดูเหมือนศิษย์น้องเล็กโกรธอยู่ นี่เพราะอะไร ต่อให้เมื่อครู่ยามที่ศิษย์หลานชิงเฉินถูกทำร้ายจนไม่อาจตอบโต้ได้ เขาก็ไม่เป็นเช่นนี้นี่นา?”


 


 


“ศิษย์น้องเล็กกำลังโกรธอยู่หรือ?” นักพรตหมิงจ้าวประหลาดใจ


 


 


นักพรตจื่อซีตวัดตาค้อน ขี้เกียจเสวนากับเขาอีก แล้วมองดูฉากประมือของมั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำในกระจกทองแดง ในใจกลับคิดอะไรได้ทันที


 


 


ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์หลานชิงเฉินสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณในชั่วพริบตา ต้องเพราะกินโอสถอะไรเป็นแน่ คิดว่าผลข้างเคียงของโอสถนี้ไม่น้อย ศิษย์น้องเหอกวงต้องโมโหเพราะการณ์นี้แน่ๆ จิ๊ๆ โอสถจะกินส่งเดชได้อย่างไรกัน มีโอสถบางชนิดหลังจากกินแล้วจะทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงมาก กระทั่งกระทบกระเทือนต่อการเลื่อนขั้นของผู้บำเพ็ญเพียรในอนาคตโดยตรง ศิษย์หลานชิงเฉินคนนี้ช่างใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ เลย


 


 


ทางด้านนั้นของกระจกทองแดง มั่วชิงเฉินที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมเม้มปากแน่นสีหน้าสงบ กระบี่ยาวสีเขียวในมือร่ายรำคล่องแคล่วดุจสายน้ำ จุดเชื่อมต่อของเคล็ดกระบี่ยิ่งไม่สามารถหาช่องโหว่ได้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำเหงื่อเริ่มค่อยๆ ซึมออกใบหน้า ในใจแอบสงสัย


 


 


เมื่อแรกเริ่มอีกฝ่ายร่ายเคล็ดกระบี่ มองดูบุปผาวิญญาณแล้วในใจนางยังหัวเราะเยาะที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม รู้สึกว่าบุปผาวิญญาณพวกนั้นไม่มีพลังทำลายล้างสักเท่าไร ทว่าไยยิ่งสู้กันไปยิ่งรู้สึกผิดปกติขึ้นมา


 


 


ตนเคยบำเพ็ญเคล็ดวิชาลับวรยุทธ์พิเศษมาก่อน สู้ถึงบัดนี้บุปผาวิญญาณพวกนั้นยังไม่แนบถึงตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดอย่างค่อยๆ บุปผาวิญญาณพวกนั้นต่อให้เพียงเข้าใกล้ตนในระยะห่างระยะหนึ่ง ร่างกายก็จะรู้สึกไม่สบายตัว


 


 


มั่วชิงเฉินแววตาโดดเดี่ยวขึ้นมา ราวกับมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำตรงหน้าไม่เห็นอีก ในสายตาเหลือเพียงกระบี่ชิงมู่ที่ธรรมดายิ่งกว่าธรรมดาเล่มนั้น กระบี่ยาวในมือยิ่งรำยิ่งเร็ว


 


 


ถึงตอนหลังนางกระทั่งไม่รู้สึกถึงกระบี่ที่ยังถืออยู่ในมือ กระบี่คือมือ มือก็คือกระบี่ กระบี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายนางแล้ว


 


 


นางลืมสิ้นเคล็ดกระบี่ ลืมสิ้นกระบวนท่า เห็นเพียงบุปผาวิญญาณสะพรั่งตรงหน้านาง จากนั้นกระจายหายไป ต่อจากนั้นมีบุปผาวิญญาณที่มีชีวิตชีวาสะพรั่งมากขึ้น กระทั่งยังมีน้ำค้างสั่นไหวเบาๆ นี่คือความมีอยู่ที่จริงแท้และน่าหวั่นไหวที่สุดในโลกธรรมชาติยามที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกครั้งชัดๆ


 


 


ม้วนภาพฤดูใบไม้ผลิอันมีชีวิตชีวากลิ่นผกาอบอวลภาพหนึ่งค่อยๆ คลี่ออกตรงหน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


“สวยจังเลย” ในบรรดาผู้คนที่มุงดู ศิษย์หญิงมากมายสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ทอดถอนใจขึ้นพร้อมกัน


 


 


ศิษย์หญิงที่หน้าตาไร้เดียงสาคนหนึ่งกระทั่งยังสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง


 


 


ศิษย์ชายข้างๆ คนหนึ่งหัวเราะว่า “ศิษย์น้อง อย่าบอกนะว่าเจ้าดมกลิ่นหอมดอกไม้อยู่ หึๆ ดอกไม้นั่นต่อให้เหมือนจริงปานใด ก็เป็นเพียงสิ่งที่แปลงจากพลังวิญญาณของอาจารย์อามั่วเท่านั้น”


 


 


ศิษย์หญิงไร้เดียงสาส่ายศีรษะว่า “ไม่ถูก มีกลิ่นหอมดอกไม้!”


 


 


“ศิษย์น้อง เจ้าพูดเล่นอยู่ใช่หรือไม่?” ศิษย์ชายส่ายศีรษะหัวเราะว่า


 


 


ศิษย์หญิงเบิกตาโต เอ่ยเสียงร้อนใจว่า “มีจริงๆ ไม่เชื่อเจ้าดมดู”


 


 


ศิษย์ที่อยู่รอบข้างได้ยินคำพูดนี้ต่างสูดหายใจเข้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้พุ่งเข้าจมูกมาจริงๆ กระทั่งยิ่งดมยิ่งเข้ม เข้มแต่ไม่รุนแรง ทำให้คนลุ่มหลงอยู่ภายใน


 


 


ด้านนั้นของกระจกทองแดง นักพรตฟางเหยาสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาจ้องกู้หลีเขม็งว่า “ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าได้ยินศิษย์พวกนั้นพูดว่าอะไรหรือไม่?”


 


 


กู้หลีพยักหน้า


 


 


“หากบุปผาวิญญาณที่แปลงจากพลังวิญญาณของศิษย์หลานชิงเฉินสามารถทำให้คนอื่นได้กลิ่นหอมดอกไม้จริง เช่นนั้นก็หมายความว่ายามนี้นางได้ทะลวงทางสวรรค์แล้วมิใช่หรือ?” นักพรตฟางเหยาพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดซ่อนไว้ไม่มิด


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งก็สามารถรู้แจ้งทางสวรรค์ในระหว่างการประลอง เช่นนั้นการรับรู้ของนางช่างน่าทึ่งเสียเหลือเกิน หากฟูมฟักอย่างดี พลังความสามารถของเหยากวงในอนาคตต้องสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่งเป็นแน่!


 


 


สีหน้าของกู้หลีกลับยังคงไม่ดี เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ยามนี้นางเข้าสู่สภาวะใจและจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ใช้เคล็ดกระบี่ได้เกินการรับรู้ธรรมดา กลิ่นดอกไม้นั่นก็แปลงมาจากจิตแห่งกระบี่ ในจิตแห่งกระบี่แฝงไว้ด้วยทางสวรรค์ ศิษย์ข้ามีโอกาสวาสนาได้สำรวจทางสวรรค์โดยบังเอิญก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักพูดว่านางทะลวงทางสวรรค์นั้นออกจะชมเกินไปแล้ว”


 


 


“ต่อให้เป็นเช่นนี้ การรับรู้ของศิษย์หลานชิงเฉินก็สูงมากแล้ว” นักพรตฟางเหยาทอดถอนใจว่า


 


 


นักพรตจื่อซีทำสีหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก มองกู้หลีแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องเหอกวง ศิษย์คนนี้ เจ้าไม่สู้ยกให้ข้าเถอะ”


 


 


กู้หลีชะงักเล็กน้อย จากนั้นยิ้มนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ชอบพูดเล่นจริงๆ”


 


 


“เปล่า ข้าพูดจริงนะ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่ลองใคร่ครวญดูสักที” นักพรตจื่อซีสีหน้าจริงจังว่า


 


 


กู้หลีหลุบตาหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ว่าศิษย์ข้าจะพรสวรรค์ฉลาดเฉลียวหรือว่าโง่เขลา นางก็ยังเป็นนาง ศิษย์ไม่ใช่สิ่งของ จะยกให้กันไปมาได้เช่นไรกัน”


 


 


ตาหงส์นักพรตจื่อซีเหล่กู้หลีปราดหนึ่ง “ดี ศิษย์น้องเล็ก ช้าเร็วมีเวลาที่เจ้าต้องเสียใจภายหลัง” พูดจบกลับไม่สนใจสายตาประหลาดของนักพรตฟางเหยาและนักพรตหมิงจ้าวสองคน จัดเสื้อผ้านั่งตัวตรงขึ้นมา


 


 


กู้หลีใจลอยไปชั่วพริบตาหนึ่ง จากนั้นยกตามองไปที่กระจกทองแดง สายตาไม่ออกห่างจากคนในกระจก


 


 


นักพรตจื่อซีเบือนสายตาออก ในใจถอนใจทีหนึ่ง


 


 


คนอื่นดูไม่ออก นางกลับพบว่าศิษย์หลานชิงเฉินคนนั้นแอบมีความรู้สึกให้ศิษย์น้องเล็กตั้งนานแล้ว เดิมทีนางเพียงแต่ดูเพื่อความสนุก ชายเช่นศิษย์น้องเล็กนั้นทำให้สตรีพึงใจไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยนิสัยของเขาย่อมสามารถทนได้อยู่แล้ว


 


 


ทว่าดูมาตลอดการ ‘เยือนสำนัก’ ในครั้งนี้ นางหนูนั่นกลับทำให้นางต้องมองเสียใหม่ โดยเฉพาะสามารถเห็นทางสวรรค์ในยามนี้อย่างคิดไม่ถึง ยิ่งทำให้นางเกิดความรู้สึกเอ็นดู เด็กเช่นนี้ หากต้องถูกทำลายเพราะเคราะห์รัก ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ


 


 


ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีเพียงลำดับรุ่นของญาติทางสายเลือด และศิษย์อาจารย์ที่ยุ่งไม่ได้ อย่างอื่นล้วนกำหนดลำดับรุ่นกันที่ตบะ


 


 


ต่อให้นางและศิษย์น้องเหอกวงเป็นศิษย์พี่น้องอาจารย์เดียวกัน นางหนูนั่นหากกราบตนเป็นอาจารย์ หากมีวันหนึ่งบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณหรือว่าตนบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิด จะเรียกศิษย์น้องเล็กว่าศิษย์พี่สักคำก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย


 


 


เป็นศิษย์น้องเล็กนี่สิ ดูท่าทางนางหนูนั่นมีน้ำหนักไม่เบาในใจของเขา นางกระทั่งเริ่มสงสัยว่าเขาจะสามารถทนไม่หวั่นไหวได้ตลอดรอดฝั่งจริงหรือไม่?


 


 


หวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหว ล้วนทำร้ายคนเกินไป…นึกถึงตรงนี้ นักพรตจื่อซีถอนใจยาวเสียงหนึ่ง


 


 


กระบี่เขียวในมือมั่วชิงเฉินยิ่งรำยิ่งเร็ว โซ่ดอกไม้ที่ทอขึ้นจากบุปผาวิญญาณโบยบิน ห้อมล้อมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไว้ภายใน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำรู้สึกเพียงว่ารอบตัวดูเหมือนถูกเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็นพันไว้ ไม่เพียงร่างกายก็แม้แต่การเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณในกายก็เชื่องช้าลง โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้ที่อบอวลพวกนั้นพุ่งเข้าจมูก ทำให้นางฝีเท้าอืดเฉื่อย อ่อนยวบราวกับเหยียบอยู่บนสำลีไม่มีที่ให้ส่งแรง


 


 


ยามนี้แหละ!


 


 


มั่วชิงเฉินเมื่อหรี่ตากระบี่ชิงมู่ก็พุ่งออกจากมือ วนอยู่เหนือศีรษะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำอย่างรวดเร็ว โซ่ดอกไม้ที่ทอขึ้นจากบุปผาวิญญาณสลัดห่วงดอกไม้นับไม่ถ้วนออกมาพันผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำไว้อย่างแน่นหนา

 

 

 


ตอนที่ 212 รับผิดชอบฆ่าไม่รับผิดชอบฝัง

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดดำถูกห่วงดอกไม้กักไว้ ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต กลับพบว่าพลังวิญญาณในร่างค่อยๆ ไหลออก บนตัวไม่มีพละกำลังแม้แต่น้อย สุดท้ายล้มลงกับพื้นอย่างไม่ให้สุ้มเสียงเหมือนปลาที่กำลังจะตายกระตุกไปสองที แล้วไม่มีความเคลื่อนไหวอีก


 


 


ห่วงดอกไม้บนตัวนางกระจายออกในชั่วพริบตา บุปผาวิญญาณหมื่นพันดอกบินว่อนกระจายไปทั่ว กลายเป็นแสงวิญญาณกระจายหายไปในอากาศ


 


 


มั่วชิงเฉินมือถือกระบี่ชิงมู่ ใช้ปลายกระบี่แตะพื้น มองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างเงียบๆ สุดท้ายมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสีหน้าขาวกว่าหิมะเสียอีก เอ่ยอย่างเหลอหลาว่า “เจ้า เจ้าฆ่านางแล้ว?”


 


 


“นางยังมีชีวิตอยู่” มั่วชิงเฉินพูดจบก็หันหลังไป เดินไปตามทิศทางที่ประตูสำนักพรรคเหยากวงตั้งอยู่ทีละก้าวๆ


 


 


จนกระทั่งยามนี้ ศิษย์เหยากวงที่มุงดูถึงได้สติกลับมา โห่ร้องเสียงดังมา


 


 


“ชนะแล้ว อาจารย์อามั่วชนะแล้ว!”


 


 


“อาจารย์อามั่วจงเจริญ!”


 


 


“อาจารย์อามั่ว ข้ารักท่าน!” ไม่รู้ศิษย์คนไหนตะโกนขึ้นเสียงดัง


 


 


รอบด้านเงียบสงบไปชั่วครู่ จากนั้นมีคนมากขึ้นตะโกนว่า “อาจารย์อามั่ว ข้ารักท่าน!”


 


 


มั่วชิงเฉินก้าวสะดุดศีรษะเกือบทิ่มลงพื้น รีบยืนให้นิ่ง แล้วแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง


 


 


สวรรค์ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเหล่าศิษย์ร่วมสำนักลำพังอาศัยเพียงคำพูดพลังการทำลายล้างจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้


 


 


“เจ้า เจ้าหยุดนะ!” เสียงตะคอกของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งลอยมาจากด้านหลัง


 


 


มั่วชิงเฉินหันหน้าไป สายตาส่องประกายแผ่วเบา “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”


 


 


“เจ้ากล้าประลองกับข้าสักยกหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยือก


 


 


มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นเบาๆ “นี่ก็เป็นการประลอง ‘เยือนสำนัก’?


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งชะงัก จากนั้นว่า “ไม่ใช่ เพียงแต่ในเมื่อเจ้าสามารถชนะรวดเจ็ดคน จะกล้าประลองกับข้าสักตั้งหรือไม่ ให้พวกเราได้กลับไปอย่างยอมทั้งกายใจ?”


 


 


มั่วชิงเฉินเอียงศีรษะเพ่งพิศผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะฟู่เสียงหนึ่งว่า “สหายเต๋าช่างตลกจริงๆ ข้าชนะรวดเดียวเจ็ดคนแล้ว ชนะนิกายเหอฮวนของเจ้าในการท้าประลอง ‘เยือนสำนัก’ โดยสมบูรณ์แล้ว ยังจะประลองกับเจ้าระดับสร้างรากฐานระยะปลายไปไย? ขออภัย ข้าไม่มีเวลามากปานนั้น” พูดจบก็ไม่สนใจอีก เร่งฝีเท้าเดินหน้าต่อไป


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งจ้องเงาหลังมั่วชิงเฉินเขม็ง ร่างกายสั่นเทิ้มแผ่วเบา นางสามารถคาดการณ์ได้ กลับไปถึงสำนักพวกนางต้องกลายเป็นเรื่องตลกของศิษย์พี่น้องร่วมสำนักเป็นแน่ ต่อให้อาวุโสในสำนักก็ต้องชักสีหน้าใส่พวกนางเป็นแน่ โดยเฉพาะผู้นำเช่นนางคนนี้ ถูกลงโทษเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปนี้นางอย่าคิดจะเงยหน้าในสำนักได้เลย!


 


 


และทุกอย่างนี้ ล้วนเกิดจากสตรีตรงหน้าคนนี้


 


 


สีหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเปลี่ยนอย่างคาดการณ์ไม่ได้ ในแววตาค่อยๆ เปล่งแสงแห่งความบ้าคลั่ง


 


 


“ศิษย์พี่นางเป็นอะไรน่ะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนคนหนึ่งถามคนที่อยู่ข้างๆ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงข้างๆ ส่ายศีรษะว่า “ไม่รู้สิ ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ…แย่แล้ว ศิษย์พี่นาง…นางธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว รีบ…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นกระบี่สีแดงเล่มเล็กในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งจู่โจมไปที่หลังมั่วชิงเฉินเร็วดุจดาวตก ถึงกลางอากาศกระบี่เล่มเล็กจู่ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นขนาดเท่าน้ำตก แสงกระบี่ดุจน้ำตกที่ห้อยกลับหัว ซัดสาดพุ่งไปยังมั่วชิงเฉิน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งแววตาเลื่อนลอยสีหน้าบ้าคลั่ง กรีดร้องว่า “ต้วนหลิว! ไปตายซะเถอะ มารร้าย เจ้าและอาจารย์ของเจ้าล้วนเป็นมารร้าย…อ๊าก…”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง ร่างทั้งร่างบินออกไปข้างหลังหลายจั้งถึงล้มลงพื้น สีหน้าขาวซีดไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วน เห็นเพียงแสงกระบี่สีแดงดั่งน้ำตกถูกห่วงทองคล้องติดกันเก้าห่วงตัดขาดอยู่กลางอากาศ เปลวไฟสีแดงบนห่วงทองลุกไหม้ขึ้นดุจไฟบรรลัยกัลป์ กลืนกินแสงกระบี่ทั้งหมดไปอย่างรวดเร็ว กระบี่สีแดงเล่มเล็กกลางอากาศหดกลับไปขนาดเท่าฝ่ามือใหม่ แล้วร่วงลงพื้นดังเคร้ง


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” เยี่ยเทียนหยวนเก็บเก้าห่วงไฟบรรลัยกัลป์กลับมา แล้วมองไปที่มั่วชิงเฉินถามขึ้นว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ศิษย์พี่เยี่ย ขอบคุณท่านมาก” พูดจบหันหลังกลับ ไม่คิดว่าจะเดินลงมาข้างล่างอีก


 


 


“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ท่านไม่เป็นไรนะ ท่านฟื้นสิ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนไม่กี่คนล้อมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งไว้เรียกอย่างร้อนใจ


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินเดินมาทีละก้าวๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหลายสีหน้าฉายแววหวาดกลัวระแวงขึ้นทันที


 


 


“เจ้า เจ้าจะทำอะไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง กัดฟันถามว่า


 


 


สายตามั่วชิงเฉินกวาดผ่านหน้าอกนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กหน้าถอดสีทันที เอ่ยด้วยความโกรธว่า “นางมาร เจ้าจะเอาอย่างไร?” สีหน้านั้น ราวกับคนที่เดินมาไม่ใช่หญิงสาวหากแต่เป็นคนบ้ากามคนหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินหรี่ตาเล็กน้อย กวาดสายตาผ่านผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนทั้งหมดแล้วยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “นางมาร? มารร้าย? ดูท่าทางพวกเจ้านิกายเหอฮวนชอบใช้คำสองคำนี้มากนี่นา วันนี้ก็จะให้ทุกคนได้เห็น ว่าอะไรคือมารร้ายที่แท้จริง!”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียง มั่วชิงเฉินก็ยกมือเปล่าขึ้น สาดผงสีชมพูกำหนึ่งใส่เหล่าหญิงสาวนิกายเหอฮวน


 


 


เหล่าหญิงสาวนิกายเหอฮวนแม้ระมัดระวังอยู่ก่อนกลับหลบหลีกไม่ทัน ถูกผงสีชมพูสาดโดนเต็มๆ


 


 


แล้วก็เห็นหญิงสาวที่งามดุจบุปผาหยกงามสิบกว่าคน ศีรษะกลายเป็นหัวหมูใหญ่ๆ ในชั่วพริบตา


 


 


“อ๊าก!” ผู้คนที่มุงดูถอยหลังไปก้าวใหญ่ๆ พร้อมกัน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนต่างใช้นิ้วมือชี้ศีรษะของอีกฝ่าย กรีดร้องไม่หยุด จากนั้นเหล่าหญิงสาวหยิบกระจกออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่ละคนมองกระจกเพียงแค่ปราดเดียว ก็โยนกระจกลงพื้นโดยตรง ขณะเดียวกันก็กรีดร้องเสียงแหลมทะลุชั้นเมฆ จากนั้นเหลือกตาสลบไป


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของนิกายเหอฮวน ช่างสลบง่ายจริงๆ เลย วันนั้นตนส่องกระจกชื่นชมอยู่สองชั่วยามเต็มๆ เชียวนะ ยังมีสติอยู่อย่างเข้มแข็งเลยนะ


 


 


มั่วชิงเฉินเบ้ปาก แล้วหันหลังเดินเข้าสำนักไปอย่างสง่าผ่าเผย


 


 


ในยามที่ศิษย์เหยากวงจ้องผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่สลบไสลไปพร้อมหัวหมูด้วยความสงสัยและแปลกใจนั้น เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังมาจากข้างเชิงเขาอีกแล้ว “หนึ่งจ่ายสองพัน หนึ่งจ่ายสองพัน ข้า ข้ารวยแล้ว!”


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ศิษย์ผู้ดูแลชี้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่สลบไสล เอ่ยกับศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งว่า “ทำเช่นไรดี?”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งเหลือบมองปราดหนึ่งว่า “อะไรทำเช่นไรดี ไปสิ”


 


 


“นี่ นี่ไม่ดีหรอกกระมัง รับผิดชอบฆ่าไม่รับผิดชอบฝังหรือนี่?” ศิษย์ผู้ดูแลก่อนหน้าเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งยิ้มอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “วางใจ ทิ้งไว้เช่นนี้แหละ ไม่มีคนทำอะไรพวกนางหรอก…ต่อให้ทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับพรรคเหยากวงเรา”


 


 


“ก็ถูก ไป ดื่มสุรากัน เรื่องครึกครื้นวันนี้ช่างสะใจจริงๆ เลย”


 


 


ทั้งสองคนเดินเข้าสำนักไปตามศิษย์พรรคเหยากวงมากมาย


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองดูประตูสำนัก แล้วกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวรูปใบไม้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


“อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว…” มั่วชิงเฉินร่อนลงจากบนฟ้าโดยตรง เห็นสามคนที่อยู่ข้างกู้หลีแล้วตกใจ กลับกลับมาใจเย็นอย่างรวดเร็ว แล้วคารวะต่อทั้งสามคนว่า “ศิษย์ชิงเฉินกราบคารวะท่านอาจารย์ลุงทั้งสาม”


 


 


นักพรตจื่อซีเดินเข้าไปเกี่ยวแขนมั่วชิงเฉินตรงๆ เพ่งพิศนางปราดหนึ่งแล้วยิ้มว่า “ศิษย์หลานชิงเฉิน วันนี้การกระทำของเจ้าช่างทำให้พวกเราตกใจจริงๆ เลย”


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดมองกู้หลีปราดหนึ่ง ถึงว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“ที่ไหนกัน ศิษย์หลานชิงเฉิน เจ้าสามารถชนะนิกายเหอฮวนโดยสมบูรณ์ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้พรรคเหยากวงเราจริงๆ เลย แค่กๆ ตามหลักแล้วควรให้รางวัลอย่างหนัก เพียงแต่ก่อนหน้านี้เจ้าระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดห้องหมายเลขสาม เป็นเรื่องใหญ่เชียว บัดนี้เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าทำคุณถ่ายโทษแล้วล่ะ ศิษย์หลานชิงเฉินคงไม่โทษข้าหรอกนะ?” นักพรตฟางเหยาพูดแทรกขึ้น สีหน้าที่มองมั่วชิงเฉินกลับสนิทสนมกว่าเมื่อก่อนมากมาย


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักพูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ ศิษย์ไม่รู้เรื่องก่อเรื่องไว้ ท่านไม่กล่าวโทษศิษย์ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว”


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง วันนี้ศิษย์หลานชิงเฉินประพฤติได้อย่างกล้าหาญเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นความดีความชอบในการสอนสั่งของเจ้า ไม่สู้เจ้าเอาสุราดีออกมาสักสองไหพวกเราและศิษย์หลานชิงเฉินได้ฉลองพร้อมกันสักคราเป็นเช่นไร?” นักพรตหมิงจ้าวเอ่ยอย่างดีใจออกนอกหน้า


 


 


กู้หลีสีหน้าบึ้งตึงว่า “ศิษย์พี่สาม บัดนี้เหอกวงไม่มีสุราทิพย์แล้ว ท่านว่าไว้วันหลังเป็นเช่นไร?”


 


 


“เอ่อ…”


 


 


นักพรตจื่อซีกระตุกนักพรตหมิงจ้าวทีหนึ่ง ยิ้มเอ่ยต่อกู้หลีว่า “ศิษย์น้องเหอกวง บัดนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเราสามคนมารบกวนนานแล้วก็ขอกลับก่อนแล้วกัน ใช่แล้ว เรื่องนั้นเจ้าลองใคร่ครวญอีกทีนะ” พูดจบก็ก้าวขึ้นดอกบัวลอยออกออกจากป่าไผ่ไป


 


 


หลังจากไม่กี่คนนี้จากไป กู้หลีถึงจ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง


 


 


มั่วชิงเฉินถูกสายตาของกู้หลีมองจนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ค่อยๆ ก้มหน้าลง


 


 


“มานี่” กู้หลีพูดด้วยเสียงยังนับว่าอ่อนโยน


 


 


มั่วชิงเฉินในใจโล่งขึ้นเล็กน้อย เดินไปหน้ากู้หลีอย่างว่าง่าย แล้วเรียกเสียงเบาว่า “อาจารย์”


 


 


กู้หลีมองดูศิษย์ที่ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ถอนใจอึดหนึ่งแล้วเอ็ดว่า “เจ้าเด็กใจกล้าบ้าบิ่น ตกลงกินอะไรเข้าไปกันแน่?”


 


 


มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นกำลังจะตอบ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในร่างกายว่างเปล่า ไม่มีพละกำลังค้ำจุนร่างกายได้อีกต่อไป อ่อนยวบล้มไปข้างหลัง


 


 


ระหว่างที่วิงเวียนคอของนางแห้งผากจนเปล่งเสียงไม่ออก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดกู้หลีแล้ว


 


 


มองดูสีหน้าขาวอมม่วงของมั่วชิงเฉิน กู้หลีโกรธว่า “ชิงเฉิน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกินโอสถระเบิดวิญญาณเข้าไป!”


 


 


ลมหายใจสะอาดที่คุ้นเคยส่งผ่านมา มั่วชิงเฉินอุ่นใจอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ในทันที มองกู้หลีที่โกรธอยู่แล้วกะพริบตาดอกท้อ ยิ้มตาหยีว่า “อาจารย์ช่างเชี่ยวชาญในโอสถจริงๆ”


 


 


กู้หลีชะงัก มีใจจะต่อว่าสักสองประโยค รู้สึกถึงคนในอ้อมกอดตัวสั่นไม่หยุด กลับพูดไม่ออกอีกต่อไป จึงได้เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าเด็กนี่ไยอายุยิ่งมาก ยิ่งทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วง” พูดพลางกอดเอวอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นเดินเข้าห้องไป


 


 


“คุณหนู!” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเห็นมั่วชิงเฉินในอ้อมกอดกู้หลีแล้วร้องอย่างตกใจ


 


 


“พวกเจ้าช่วยชิงเฉินทำความสะอาดสักหน่อยก่อน” วางมั่วชิงเฉินลงบนเตียง กู้หลีหยิบขวดหยกขาวออกมาใบหนึ่งยื่นให้สองคน แล้วกำชับอีกว่า “ทำความสะอาดเสร็จแล้วทางยาข้นวิญญาณในนี้ให้นางให้ทั่วๆ รอยาข้นวิญญาณถูกดูดซึมจนหมดแล้วค่อยใส่เสื้อให้นาง”


 


 


“เจ้าค่ะ” เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งรับคำพร้อมกัน


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เหลียงเฉินยกน้ำเลือดกะละมังแล้วกะละมังเล่าออกมา ขอบตาแดงก่ำ


 


 


กู้หลีที่ยืนเงียบๆ อยู่หน้าประตูตลอดเวลาในที่สุดก็ทนไม่ไหวถามขึ้นว่า “ชิงเฉินนางเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”


 


 


เหลียงเฉินแสบตาทันที รีบหลุบตาลงว่า “คุณหนูนางหลับไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูช่างน่าสงสารจริงๆ บาดแผลบนร่างกายไม่น้อยกว่าร้อยแผล…”


 


 


พลานุภาพที่กระหน่ำมากะทันหันทำให้เหลียงเฉินถอยติดๆ กันไปหลายก้าว มองกู้หลีแล้วร้องอย่างตกใจว่า “ท่านนักพรต?”


 


 


กู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปทำงานเถอะ” พูดจบเดินไปกลางลานบ้าน


 


 


ยอดเขาหลักเขาชิงมู่ นักพรตจื่อซีก้าวเข้าตำหนักใหญ่อย่างเร็ว มองเห็นหลิวซางเจินจวินแต่ไกลจึงเรียกว่า “อาจารย์…”


 


 


หลิวซางเจินจวินคิ้วกระตุกด้วยปฏิกิริยาสะท้อนกลับ แล้วถึงยิ้มว่า “จื่อซี ไยมาเวลานี้ล่ะ?”


 


 


นักพรตจื่อซีรีบวิ่งเข้าไป เข้าใกล้หลิวซางเจินจวินแล้วเล่าเรื่องวันนี้รอบหนึ่งอย่างดีอกดีใจ


 


 


“ไม่คิดว่าจะชนะรวดเจ็ดคน นางหนูน้อยทำได้ไม่เลว สายตาในการรับศิษย์ของเหอกวงก็ไม่เลวเหมือนกัน” หลิวซางเจินจวินฟังจบแล้วพยักหน้าว่า


 


 


การเยือนสำนักในสายตาของศิษย์ทั้งหมดนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในสายตาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นพวกเขากลับเห็นเป็นเพียงพวกเด็กๆ ล้อกันเล่นเท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะพูดเช่นไร ชนะแล้วใครๆ ก็ดีใจทั้งนั้น


 


 


“ก็นั่นน่ะสิ อาจารย์ ศิษย์ถูกใจศิษย์ของศิษย์น้องเล็กแล้ว ท่านให้ศิษย์น้องเล็กยกศิษย์ให้ข้าเถอะ” ในที่สุดนักพรตจื่อซีก็บอกเจตนาที่มา


 


 


หลิวซางเจินจวินกลับหน้าบึ้งลงว่า “เหลวไหล!” 

 

 


ตอนที่ 213 ใจชายแข็งดั่งเหล็ก

 

 


 


“อาจารย์…” นักพรตจื่อซีลากแขนเสื้ออันกว้างใหญ่ของหลิวซางเจินจวินแกว่งไปแกว่งมา


 


 


หลิวซางเจินจวินคิ้วเต้นแล้วเต้นอีก สุดท้ายเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “จื่อซี หลายปีมานี้เจ้าเคยเห็น หรือเคยได้ยินว่าศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นขอไปหรือไม่? นี่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์!”


 


 


“กฎเกณฑ์…กฎเกณฑ์ก็มีไว้ให้ทำลายมิใช่หรือเจ้าคะ” นักพรตจื่อซีพึมพำว่า


 


 


หลิวซางเจินจวินหนวดกระดิก ปีนั้นดวงตาของตนคงถูกขี้ตาบังกระมัง ไยเผลอนิดเดียวก็รับตัวหายนะคนนี้ไว้แล้วนะ!


 


 


“อาจารย์ นางหนูชิงเฉินนั่นหมักสุราเก่งมากนะเจ้าคะ หากกลายเป็นศิษย์ของจื่อซี จื่อซีก็จะสั่งให้นางหมักสุรามากๆ ทุกครั้งที่หมักสุราใหม่ออกมา รับรองจะให้อาจารย์ลิ้มลองเป็นคนแรกเจ้าค่ะ” นักพรตจื่อซีเห็นหลิวซางเจินจวินไม่พูด จึงรีบตีเหล็กตอนร้อน


 


 


หลิวซางเจินจวินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “จื่อซี บัดนี้นางหนูน้อยนั่นก็เป็นศิษย์หลานของข้าเหมือนกัน สำหรับข้าแล้วไม่แตกต่างหรอกกระมัง? เจ้าพูดได้ไม่ผิด กฎเกณฑ์อย่างไรก็มีข้อยกเว้น ก็มีหลายตัวอย่างที่ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถูกอาจารย์อาอาจารย์ลุงคนอื่นรับไว้เป็นศิษย์ ทว่านั่นปกติเป็นเพราะยามที่ศิษย์ยังไม่เติบใหญ่อาจารย์ก็ดับสูญอย่างเหนือความคาดหมาย จึงไหว้วานศิษย์พี่น้องคนอื่น กลัวว่าศิษย์ที่พรสวรรค์ไม่ธรรมดาสูญเสียการดูแลสั่งสอนในวัยเด็กหนทางข้างหน้าจะลำบาก บัดนี้เจ้าอยู่ดีๆ ก็คิดจะขอศิษย์ก้นกุฏิของเหอกวง นั่นมิกลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ”


 


 


นักพรตจื่อซีกัดริมฝีปาก


 


 


หลิวซางเจินจวินเอ่ยอีกว่า “จื่อซี เจ้าอย่าลืมนะ อาจารย์ดั่งบิดา จะมีเหตุผลเปลี่ยนตามใจชอบได้อย่างไร? หากเจ้าชอบนางหนูชิงเฉินนั่นจริงๆ ก็ชี้แนะนางบ่อยๆ หน่อยก็แล้วกัน เจ้าและเหอกวงเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ใกล้ชิดกับศิษย์ของเขาก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไยต้องยึดติดกับฐานะศิษย์อาจารย์ด้วย?”


 


 


นักพรตจื่อซีหน้าคว่ำลง เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรงว่า “อาจารย์พูดได้ถูกต้อง เช่นนั้นจื่อซีขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


ในใจถอนใจว่า อาจารย์เอ๋ยข้าไม่ใช่ยึดติดกับฐานะศิษย์อาจารย์นะ ทว่าเพื่อฐานะศิษย์อาจารย์นี้แล้ว ไม่แน่ศิษย์คนสุดท้องสุดที่รักของท่านนั่นอาจมีวันต้องบาดเจ็บอีกครั้ง


 


 


มองดูท่าทางเดินออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยากของนักพรตจื่อซี หลิวซางเจินจวินส่ายศีรษะ บ่นว่า “นางหนูนี่ อายุยิ่งมากก็ยิ่งบ้าๆ บอๆ เดี๋ยวก็เอาอย่างนี้เดี๋ยวก็เอาอย่างนั้น หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเห็นศิษย์บ้านใครดีก็รีบไปแย่งมา เช่นนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่ยุ่งเหยิงหรอกหรือ”


 


 


เขาป่าไผ่


 


 


“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว” เห็นมั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเรียกอย่างดีใจ


 


 


มั่วชิงเฉินกะพริบตา เมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตนแล้วก็ตกใจ มองไปที่สาวใช้ฝาแฝด


 


 


เหลียงเฉินยิ้มว่า “คุณหนู ท่านนักพรตสั่งไว้เจ้าค่ะ ต้องรอยาข้นวิญญาณถูกดูดซึมจนหมดแล้ว ถึงอนุญาตให้ท่านใส่เสื้อผ้าเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าแดงก่ำ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ล่ะ?”


 


 


เหม่ยจิ่งมองดูท่าทางเขินอายของมั่วชิงเฉิน แล้วคิดถึงที่นางบาดเจ็บทั่วร่างอีก บาดแผลสิบกว่าแผลที่หน้าอกลึกจนเห็นกระดูกกลับไม่พูดสักแอะ ในใจอดเสียใจไม่ได้ เอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านนักพรตออกไปแล้ว ใช่แล้ว คุณหนู รับประทานข้าวสักหน่อยก่อนเถอะเจ้าค่ะ” พูดพลางหมุนตัวหยิบถาดที่อยู่โต๊ะข้างๆ มา


 


 


เหลียงเฉินพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมา ให้นางพิงไว้บนหมอนใบใหญ่ เหม่ยจิ่งยกชามหยกขาวใบเล็ก ใช้ช้อนป้อนมั่วชิงเฉินกินทีละช้อนๆ


 


 


มั่วชิงเฉินกินโจ๊กอย่างว่าง่าย กินไปหลายคำแล้วอดชมไม่ได้ว่า “ไม่คิดว่าพวกเจ้าสองคนยังมีฝีมือด้านนี้ โจ๊กต้มได้กำลังดีเลย”


 


 


เหลียงเฉินหัวเราะฟู่ขึ้นว่า “คุณหนูท่านยกย่องพวกเราเกินไปแล้วเจ้าค่ะ โจ๊กนี่ท่านนักพรตเป็นคนต้มนะ ก็ไม่รู้ว่าเคี่ยวนานเท่าไร ท่านนักพรตก่อนออกไปถึงยกเข้ามา บอกว่ารอโจ๊กเย็นพอรับประทานได้แล้วคาดว่าท่านก็ควรตื่นแล้ว”


 


 


ความหวานสายเล็กๆ เอ่อขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน ยิ้มว่า “ข้ายังจะกินอีกชามหนึ่ง”


 


 


รอปรนนิบัติมั่วชิงเฉินกินเสร็จบ้วนปากแล้ว เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งถึงถอยลงไปพร้อมๆ กัน


 


 


มั่วชิงเฉินพิงหมอนใบใหญ่พลางถอนใจ


 


 


กินโอสถระเบิดวิญญาณ อย่างน้อยภายในสามวันตนอย่าคิดจะขยับเขยื้อนได้เลย หากไม่มีเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนละก็ต้องกระอักกระอ่วนแล้วล่ะ


 


 


อันว่าโอสถระเบิดวิญญาณ ที่จริงก็แปลงมาจากโอสถเติมวิญญาณ


 


 


ยามที่นักหลอมโอสถหลอมโอสถเติมวิญญาณ จะมีโอกาสน้อยมากที่หลอมได้โอสถสีแดงสดชนิดหนึ่งออกมา เมื่อใดที่ผู้บำเพ็ญเพียรกินโอสถนี้ลงไป จะสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณได้ในชั่วพริบตา ผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือเมื่อถึงเวลาที่กำหนดพลังวิญญาณในกายผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่เหลือสักหยด ยามเดียวกันภายในเวลาสามวันไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่ทีเดียว ยิ่งไม่อาจกินโอสถฟื้นฟูพลังวิญญาณได้


 


 


โอสถสีแดงสดชนิดนี้ จึงถูกเรียกว่าโอสถระเบิดวิญญาณ เพียงแต่โอสถระเบิดวิญญาณยากยิ่งนักที่จะปรากฏ ยามหลอมยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์ให้ยึด ดังนั้นอย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ต่อให้นักหลอมโอสถมากมายก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคนที่รู้จักโอสถชนิดมีน้อยมาก


 


 


มั่วชิงเฉินมีครั้งหนึ่งเปิดออกมาได้โอสถเติมวิญญาณเต็มเตา พบว่าข้างในมีสีแดงสดสามเม็ดอย่างไม่คาดคิด พลิกคัมภีร์โอสถลับในเรือนไม้ไผ่ของกู้หลีจนทั่ว ถึงได้รู้ข่าวคราวของโอสถระเบิดวิญญาณ


 


 


ไม่คิดว่าในการประลองครั้งนี้จะได้ใช้ประโยชน์แล้วจริงๆ เพียงแต่ผลข้างเคียงร้ายแรงไปหน่อย…


 


 


รอยามที่ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ปาดน้ำตาบอกลาความเปลือยเปล่า สามารถใส่เสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นนั่งนั้น กู้หลีปรากฏตัวขึ้นแล้ว


 


 


“อาจารย์” มองดูหน้าตาสงบไร้คลื่นของกู้หลี มั่วชิงเฉินเรียกอย่างเจี๋ยมเจี้ยมเสียงหนึ่ง


 


 


กู้หลีกวาดสายตามองนางปราดหนึ่ง ถอนใจว่า “ยามนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ เวลานั้นไยอวดเก่งเช่นนั้น?”


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “ก็เพราะถูกท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักขู่เอาน่ะสิเจ้าคะ”


 


 


กู้หลียื่นมือออกคิดจะตบไหล่มั่วชิงเฉิน ยื่นถึงกลางทางกลับห้อยลงไปอีก หัวเราะว่า “เจ้าก็รู้ว่าท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักขู่เจ้าอยู่ ต่อให้แพ้จะเป็นไรไป”


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูกู้หลีแล้วกะพริบตา จู่ๆ ก็ถอนใจว่า “อาจารย์ ไยท่านไม่บอกชิงเฉินให้เร็วกว่านี้ล่ะ ทำให้ข้ากลัวจะทำให้อาจารย์ขายหน้าถึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้ มิเช่นนั้นแพ้แล้วมีอาจารย์เป็นเพื่อน ก็ไม่เลวนะเจ้าคะ” พูดจบ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นอมยิ้มมองกู้หลีไม่กะพริบ


 


 


คำพูดนี้พูดได้ผ่อนคลายซุกซน กลับปิดความในใจของหญิงสาวไม่มิด


 


 


กู้หลีจึงชะงักอยู่ตรงนั้น


 


 


หากบอกว่าหลังจากมั่วชิงเฉินกลับสำนักครั้งแรกที่สองคนได้พบกันอีกครั้งความประพฤติอันน่าพิศวงนั้นทำให้ตนต้องคาดเดาอย่างเหลวไหลในใจ จึงรีบกดความคิดที่น่าตกใจนั่นลง บัดนี้เขากลับไม่อาจโน้มน้าวตนเองว่าคิดมากเกินไปได้อีกแล้วจริงๆ


 


 


เห็นกู้หลีนิ่งเงียบ มั่วชิงเฉินกลับยังคงยิ้มหวาน


 


 


วันเวลาในถ้ำน้ำแข็ง ความหนาวเย็นเถือกระดูกทำให้นางเข้าใจความในใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


 


 


ความสัมพันธ์เช่นนี้ของทั้งสองคน หากนางไม่เป็นฝ่ายรุก เกรงว่ารอถึงเส้นผมขาวโพลน ทั้งสองคนยังคงเป็นได้เพียงศิษย์อาจารย์


 


 


ปีนั้นตนมีโอกาสวาสนาก้าวเข้าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ความปรารถนาที่บริสุทธิ์ที่สุดก็คือการกุมชะตาชีวิตของตน ใช้ชีวิตตามที่อยากใช้มิใช่หรือ


 


 


ในเมื่อได้พบกับเขา ใจหวั่นไหวแล้ว จะเหนียมอายชมดชม้อยไปไย ไม่รุก ไม่ทุ่มเท ได้เพียงโศกเศร้าอาดูรดัดจริตล่ะ อย่างไรเสียก็ต้องลองสักครา ต่อไปจึงจะไม่เสียใจภายหลัง ไม่เสียดาย


 


 


“ชิงเฉิน…ครั้งนี้กลับมา เจ้าต่างจากเมื่อก่อนมาก คิดว่าคงผ่านอะไรมามาก เล่าให้อาจารย์ฟังเสียหน่อยได้หรือไม่?” กู้หลีเบนหัวข้อออกอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่เอามาใส่ใจ เล่าประสบการณ์พลิกผันหลังจากลงเขาจนกระทั่งถึงทะเลขนาบใจไม่หยุด


 


 


“อาจารย์ ข้าไม่นึกเลยว่าตนจะได้พบกับพี่สาวที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีที่ทะเลขนาบใจ ยังกลายเป็นท่านน้าแล้วด้วย” มั่วชิงเฉินพูดถึงมั่วหนิงโหรวแม่ลูกสองคน ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มอันอ่อนโยน


 


 


พูดจบรื้อมุกกันน้ำออกมาอีก ลูกตาปลาคู่หนึ่งของอสูรทะเลชั้นห้า วัตถุดิบสะเปะสะปะบนตัวอสูรปีศาจประเภทปลาและกุ้ง ยังมีหนังท้องชิ้นไม่ใหญ่ชิ้นนั้นที่ตัดออกจากท้องปลาของอสูรทะเลชั้นห้า สุดท้ายคือไหมเกล็ดน้ำแข็งที่เก็บเข้าร่าง ต่างกองอยู่บนเตียง ให้กู้หลีดูเหมือนอวดสมบัติ


 


 


สายตากู้หลีมองไปโดยตรงบนไหมเกล็ดน้ำแข็ง หยิบขึ้นมาหลับตาลงจากนั้นลืมตาขึ้น เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “สมบัติวิเศษตามธรรมชาติ?”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างได้ใจ ยิ้มว่า “อืม นี่ก็คือสิ่งที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมอบให้ชิงเฉินเจ้าค่ะ”


 


 


กู้หลีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้ารับปากอะไรมัน?”


 


 


แม้มั่วชิงเฉินจะเล่าสิ่งที่ประสบมาคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้ว มีเรื่องบางเรื่องกลับข้ามไปไม่พูดถึง ยกตัวอย่างเช่นการไหว้วานของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ เดิมทีนางก็รับปากแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป


 


 


เห็นกู้หลีถามเช่นนี้ มั่วชิงเฉินรู้ว่าเขาเป็นห่วงว่าตนจะหลงใหลสมบัติวิเศษชั่วขณะ จนรับปากเรื่องที่ทำไม่ได้ จึงรีบเอ่ยว่า “อาจารย์วางใจได้ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่นไม่ได้บังคับให้ชิงเฉินทำอะไร เพียงแต่ไหว้วานข้าให้ช่วยเท่าที่ทำได้เท่านั้น”


 


 


กู้หลีถึงวางใจลง เอ่ยว่า “ชิงเฉิน เดิมทีอาจารย์มีสมบัติวิเศษป้องกันชิ้นหนึ่งคิดจะรอให้เจ้าก่อแก่นปราณค่อยมอบให้เจ้า ในเมื่อเจ้ามีไหลเกล็ดน้ำแข็งแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถในการป้องกันและหลบหนี เช่นนั้นรอหลังจากก่อแก่นปราณแล้วเพียงแต่ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งให้ช่ำชองก็พอแล้ว”


 


 


“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินเสียใจทันทีที่เอาไหลเกล็ดน้ำแข็งออกมา


 


 


กู้หลีเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ระดับก่อแก่นปราณต่างกับระดับสร้างรากฐาน สมบัติวิเศษเน้นดีไม่เน้นมาก สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งศึกษาจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็จะมีความสามารถที่เจ้าคิดไม่ถึงเพิ่มขึ้นมามากมาย แข็งแกร่งกว่าการมีสมบัติวิเศษหลายชิ้นกลับใช้ได้เพียงผิวเผินมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของเจ้านี่คือสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ ยิ่งต้องใส่ใจมากหน่อย จำได้หรือยัง?”


 


 


มั่วชิงเฉินย่อมพยักหน้าอย่างว่าง่ายอยู่แล้ว


 


 


กู้หลีหยิบหนังท้องปลาชิ้นนั้นขึ้นอีก ใช้นิ้วมือดึงดู จากนั้นว่า “วัสดุนี่ไม่เลวทีเดียว หากหลอมได้ดีจะเป็นเสื้อวิเศษป้องกันชั้นเลิศตัวหนึ่ง”


 


 


มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย “อาจารย์ ท่านหลอมเป็นหรือเจ้าคะ?”


 


 


กู้เหลีมองดูท่าทางตาเป็นประกายแวววับของมั่วชิงเฉินแล้วกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ทันที “ไม่เป็น ทว่ามีศิษย์พี่ท่านหนึ่งถนัดหลอมอาวุธ ข้าไปหาให้เขาช่วยได้” พูดจบกู้หลีก็หยิบลูกตาปลาสีดำคู่นั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีก


 


 


“อาจารย์ ลูกตาปลานี่มีประโยชน์อันใดเจ้าคะ ดมแล้วกลิ่นหวานสดชื่นมากทีเดียว กินได้ไหม?” มั่วชิงเฉินสงสัยประโยชน์ของลูกตาปลาคู่นี้มานานมากแล้ว


 


 


กู้หลีส่ายศีรษะ “กินก็กินได้อยู่หรอก ทว่าไม่มีประโยชน์อะไร จะสิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ ประโยชน์ที่ดีที่สุดของลูกตาปลานี่ ก็คือหยอดใส่ตาของผู้บำเพ็ญเพียร”


 


 


“หา?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ แอบคิดว่าโชคดีที่ตัวเองไม่ได้ทำส่งเดช


 


 


“ปีศาจปลานั่นเป็นอสูรทะเลชั้นห้า ตาปลาหากหยอดใส่ตาผู้บำเพ็ญเพียรจะทำให้ตาของผู้บำเพ็ญเพียรแจ่มชัดกระจ่าง มองภาพลวงตาได้ทะลุปรุโปร่งประมาณหนึ่ง” กู้หลีเอ่ยต่อ


 


 


“อาจารย์ต้องการสิ่งนี้ไหมเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินถามว่า


 


 


กู้หลีชะงัก จากนั้นหัวเราะว่า “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางแล้ว ตาปลานี้สำหรับข้าแล้วไม่ค่อยมีผลเท่าไรแล้ว ชิงเฉินเจ้าใช้เองเหมาะสมที่สุดแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือทัดผมยาวด้านหน้าหน้าผากไว้หลังหู เผยให้เห็นตาดอกท้อเป็นประกายแวววับคู่หนึ่ง นางยิ้มแผ่วเบาให้กู้หลีว่า “อาจารย์ เช่นนั้นขอให้ท่านช่วยหยอดใส่ตาข้าด้วยเถอะ” พูดพลางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ขนตาสั่นไหว


 


 


กู้หลีใจเต้นตึกตัก จากนั้นเม้มปากแน่น นิ้วมือเรียวยาวหยิบลูกตาปลาที่เหมือนไข่มุกดำขึ้นข้างละเม็ด แสงวิญญาณแวบขึ้นที่มือแล้วหยอดของเหลวในลูกตาปลาเข้าไปในตามั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินหลับตาขึ้นทันที ยามที่ลืมขึ้นอีกครั้งก็เห็นนัยน์ตาฉ่ำเยิ้ม มองแล้วเคลิบเคลิ้ม


 


 


“อาจารย์ ชิงเฉินเห็นท่านยิ่งชัดขึ้นแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยเบาๆ


 


 


กู้หลีกลับลุกขึ้นยืนทันที “ชิงเฉิน เจ้าพักผ่อนดีๆ ข้ากลับห้องแล้ว”


 


 


เดินถึงหน้าประตูแล้วหันหน้ามา มองดูมั่วชิงเฉินที่อมยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า” พูดจบปิดประตูจากไป 

 

 


ตอนที่ 214 ตามใจย่อมสงบสุข

 

ชิงเฉิน ข้าเป็นอาจารย์เจ้า


 


 


เสียงทุ้มต่ำสง่าของกู้หลีดังก้องอยู่ข้างหูมั่วชิงเฉินตลอดเวลา


 


 


นางกอดหมอนในอกแน่นแล้วแน่นอีก หมัดประเดี๋ยวคลายประเดี๋ยวกำ สารพัดรสชาติเอ่อขึ้นหัวใจ


 


 


นี่คือถูกปฏิเสธแล้วสินะ? นางพิงหัวเตียงแล้วยิ้มเยาะตนเอง


 


 


อาจารย์ ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าท่านคืออาจารย์ข้า ทว่าในยามที่ท่านไม่ใช่อาจารย์ข้า ก็เป็นท่านพี่กู้แล้วนี่นา


 


 


หากเป็นเช่นนั้น จะแตกต่างออกไปหรือไม่?


 


 


ตลอดมามั่วชิงเฉินมีนิสัยไม่ชนกำแพงไม่หันกลับ[1] ในเมื่อในใจตัดสินใจแล้ว การปฏิเสธของกู้หลีแม้ทำให้นางใจระทม กลับอยู่ในความคาดหมาย


 


 


เพียงแต่เริ่มตั้งแต่วันนั้น ไม่คิดเลยว่ากู้หลีจะไม่กลับเขาปาไผ่อีก ไม่รู้ว่าเจตนาหลบเลี่ยงหรือว่ามีธุระ


 


 


มั่วชิงเฉินก็สบายใจดี รอร่างกายฟื้นฟูจนพอประมาณแล้วก็บำเพ็ญเพียรขึ้นมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


 


 


กลับเป็นเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนที่สังเกตเห็นความในใจของมั่วชิงเฉิน เห็นกู้หลีไม่กลับมาเสียทีจึงคาดว่าเขาต้องหลบเลี่ยงมั่วชิงเฉินอยู่เป็นแน่ กลัวคุณหนูตนเองเสียใจ จึงคิดหาวิธีปลอบให้นางดีใจ


 


 


ในวันนี้เหลียงเฉินกำลังพูดเล่นหยอกให้หัวเราะอีกแล้ว มั่วชิงเฉินหัวเราะเสร็จพูดว่า “เหลียงเฉิน เหม่ยจิ่ง ก่อนหน้านี้วิชายุทธ์สองชุดที่ข้าหามา ช่วงนี้พวกเจ้าฝึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”


 


 


เหม่ยจิ่งสีหน้าซาบซึ้งว่า “ขอบคุณคุณหนูเปลืองใจเพื่อเราพี่น้องเจ้าค่ะ วิชายุทธ์นั้นดีมาก บำเพ็ญเพียรขึ้นมาต้องเร็วกว่าวิชายุทธ์เมื่อก่อนมาก คิดว่าทะลวงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าก็อยู่ไม่กี่วันนี้แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม เหลียงเฉินเหมาะบำเพ็ญวิชายุทธ์ธาตุไฟ เหม่ยจิ่งเหมาะบำเพ็ญวิชายุทธ์ธาตุน้ำ นางรื้อคัมภีร์ทุกชนิดที่กู้หลีสะสมไว้ในเรือนไม้ไผ่จนหมด ถึงเลือกวิชายุทธ์สองชุดนี้ออกมาได้


 


 


ชุดหนึ่งชื่อว่าเคล็ดอัคคีทะลวงอาทิตย์ อีกชุดหนึ่งชื่อน้ำหยดน้ำแข็ง แม้ไม่ใช่วิชายุทธ์ลับอะไร กลับก็สามารถบำเพ็ญเพียรเรื่อยไปถึงระดับก่อแก่นปราณได้ อีกทั้งยังต่างมีจุดเด่น วางไว้ในตลาด ก็ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแห่กันแย่งชิงแล้ว


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าสองคนไม่ไปบำเพ็ญเพียรดีๆ มาวุ่นวายอะไรหน้าข้าทั้งวัน?” มั่วชิงเฉินล้อเล่นว่า สายตาจ้องเหลียงเฉินเป็นพิเศษ


 


 


อยู่ด้วยกันมาระยะนี้ มั่วชิงเฉินไม่ได้วางมาดอะไรเลย เหลียงเฉินจึงยิ่งใจกล้าขึ้นมา ยิ้มว่า “คุณหนูอย่าปรักปรำคนนะเจ้าคะ พวกเรานอกจากบำเพ็ญเพียรทั้งวันแล้ว ยังต้องสางขนให้ต้าฮวา จัดระเบียบสวนสมุนไพร ซักเสื้อทำอาหาร…” เหลียงเฉินนับนิ้วจนเสร็จ เอ่ยต่อว่า “แต่ละวันก็มีเวลาว่างแอบอู้งานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณหนูยังรังเกียจพวกเราวุ่นวายอีก เฮ่อ เป็นสาวใช้นี่ช่างยากจริงๆ เลย”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้เจตนาของทั้งสองคน กลับไม่ยอมให้พวกนางต้องเสียเวลาบำเพ็ญเพียรเพราะตน อีกอย่างตนก็ไม่ได้อ่อนแอปานนั้น จึงลุกขึ้นว่า “ข้าไม่เถียงกับนางหนูปากคอเราะรายอย่างเจ้า เพียงแต่อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนพวกเจ้าก็แล้วกัน ช่วงนี้คุณหนูพวกเจ้าข้าเอาก้อนอิฐตบคนไว้มิใช่น้อย หากผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นเคียดแค้นอยู่ในใจแล้วเกิดมาแก้แค้นอะไร แต่ไม่กล้าหามาถึงบนหัวข้า สองสามวันก็เอากระบองเคาะสาวใช้ส่วนตัวข้าที ก็เป็นไปได้ ถึงเวลาอย่ามาโอดครวญกับข้าแล้วกัน”


 


 


เหลียงเฉินและเหม่ยจิ่งชะงักอยู่ตรงนั้นทันที มั่วชิงเฉินหัวเราะพลางเดินออกไป


 


 


“เหม่ยจิ่ง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าคุณหนูพวกเรานับวันยิ่ง…ชั่วร้ายแล้ว?” เหลียงเฉินพึมพำว่า


 


 


เหม่ยจิ่งถลึงตาใส่เหลียงเฉินปราดหนึ่ง “เหลียงเฉิน นับวันเจ้ายิ่งพูดจาไม่รู้กาลเทศะแล้ว กลับเรือนเถอะ”


 


 


“กลับเรือน?”


 


 


เหม่ยจิ่งเอ่ยอย่างจำใจว่า “ใช่น่ะสิ กลับเรือนบำเพ็ญเพียร มิเช่นนั้นเจ้ายังคิดจะออกไปทีก็ถูกคนตีจริงๆ ทำให้คุณหนูขายหน้าหรือ?”


 


 


เหลียงเฉินหน้าบึ้ง “เหม่ยจิ่ง เจ้าพูดถูก พวกเราในฐานะสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนู มีแต่เอากระบองเคาะคนอื่น จะให้คนอื่นตีหัวได้อย่างไรกัน ไป ไปบำเพ็ญเพียรกัน”


 


 


ด้านนี้มั่วชิงเฉินออกจากเขาป่าไผ่ มุ่งหน้าไปตลาดในสำนัก


 


 


ใส่หน้ากากที่ตลาดเสนอให้โดยเฉพาะ มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป มองดูศิษย์เสื้อเขียวไปๆ มาๆ ฟังเสียงตะโกนร้องที่ครึกครื้น จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกราวกับอยู่กันคนละยุค


 


 


ยามนั้นนางยังเป็นเพียงศิษย์ฆราวาสระดับหลอมลมปราณที่ไม่สะดุดตา ทว่าบัดนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว


 


 


เห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไปๆ มาๆ กวาดสายตามา มั่วชิงเฉินถึงตกใจตื่นว่าตนยืนเหม่ออยู่กลางถนน จึงรีบเดินสองก้าวปนไปกับฝูงชน


 


 


จุดประสงค์ในการมาตลาดของนางครั้งนี้ เพื่อซื้อวัตถุดิบประกอบสองสามอย่างที่ขาดในการหลอมโอสถพิเศษของตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจ


 


 


วัตถุดิบประกอบไม่กี่อย่างนั้นไม่ใช่ของแปลก ฉวยโอกาสยามนี้มีเวลารวบรวมให้พร้อม ต่อให้ยามนี้ยังไม่หลอมโอสถ ก็สามารถเก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุเตรียมพร้อมไว้ไร้กังวล


 


 


นอกเหนือจากนี้นางยังอยากดูว่าสามารถซื้อวัตถุดิบที่ใช้หมักสุราทิพย์แต่ละชนิดที่คุณชายหกให้สูตรสุรามาได้หรือไม่ ลองหมักสุราเลิศรสพวกนั้นออกมา


 


 


สองชั่วยามให้หลังมั่วชิงเฉินเดินออกมา ถอดหน้ากากออกแล้วกระโดดขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปทางเหนือ


 


 


พรรคเหยากวงสมกับที่เป็นหนึ่งในสำนักชั้นยอด ตลาดในสำนักสินค้าครบครันกว่าตลาดในเมืองบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่มาก ราคายังย่อมเยาอีก


 


 


มั่วชิงเฉินซื้อวัตถุดิบประกอบของการหลอมโอสถตระกูลหวังครบอย่างราบรื่น วางไว้ด้วยกันกับน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณคู่นั้นที่เป็นกระสายยาและวัตถุดิบหลักสาหร่ายใจน้ำแข็ง รอเพียงถึงเวลาก็เปิดเตาหลอมโอสถได้


 


 


สุราทิพย์ที่บันทึกอยู่ในสูตรสุราในตลาดไม่มีขาย วัตถุดิบที่ต้องการบ้างธรรมดา บ้างกลับประหลาดหายาก เวลาส่วนใหญ่ที่มั่วชิงเฉินอยู่ในตลาดใช้ไปกับการตามหาวัตถุดิบของสุราทิพย์


 


 


เพียงแต่นางเดินจนทั่วตลาด ก็หาวัตถุดิบของสุราทิพย์สองชนิดได้เพียงบางส่วน โชคดีที่ในสวนสมุนไพรพกพาของตนยังมีส่วนหนึ่ง กลับสามารถหมักสุราทิพย์สองชนิดนี้ออกมาได้พอดี


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งเรือบินกลับไม่ใช่วกกลับเขาชิงมู่ หากแต่มุ่งตรงไปเขารั่วสุ่ย


 


 


ก่อนหน้านี้มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอสองคนก็เชิญนางไปพบกัน เพียงแต่ในเวลานั้นยังจัดการอารมณ์ไม่เรียบร้อยจึงผลัดไปก่อน วันนี้ควรไปดูหน่อยแล้ว


 


 


รอมั่วชิงเฉินถึงเขารั่วสุ่ย มั่วหลีลั่วที่ได้รับสารของนางนานแล้วได้รออยู่ที่นั่นแล้ว กลับไม่เห็นต้วนชิงเกอ


 


 


“ชิงเฉิน ในที่สุดก็เจอเจ้าจนได้ หลายวันมานี้เป็นเช่นไรบ้าง พวกเราไม่สะดวกไปที่อาจารย์อาเหอกวงนั่น เป็นห่วงเจ้าตลอดเลยนะ” มั่วหลีลั่วพูดเร็วมาก ฟังแล้วสบายใจ


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม “ส่งสารให้พวกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่เป็นไร ก็คือวันนั้นร่างกายใช้พลังจนหมด เลยนอนพักอยู่หลายวัน”


 


 


เรื่องโอสถระเบิดวิญญาณ พูดผ่านๆ ข้ามไป


 


 


มั่วหลีลั่วไม่ใช่คนกัดไม่ปล่อย ต่อว่าว่า “เจ้าและชิงเกอเหมือนกัน มีนิสัยแจ้งแต่เรื่องยินดีไม่แจ้งเรื่องร้อนใจ ส่งสารมาใครจะรู้ว่าตกลงเป็นเช่นไรกันแน่ล่ะ”


 


 


“ศิษย์พี่มั่ว ชิงเกอล่ะ?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


มั่วหลีลั่วว่า “นางเห็นเจ้าไม่มาเสียที เมื่อวานเพิ่งรับภารกิจลงเขาไปแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินใบหน้าฉายแววผิดหวังแวบหนึ่ง ตั้งแต่นางกลับสำนักก็เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งสามคนยังไม่ได้นัดพบกันดีๆ เลย


 


 


มั่วหลีลั่วกลับไม่แยแสว่า “ไม่ใช่ภารกิจใหญ่โตอะไร และก็ไม่ได้ไปไกล คิดว่าไม่เกินสิบวันครึ่งเดือนก็กลับมาแล้ว ถึงเวลาพวกเราค่อยนัดพบกันใหม่ ไป ไปที่ข้านั่น”


 


 


ถึงที่พำนักมั่วหลีลั่ว สองคนกินชาทิพย์ผลไม้ทิพย์คุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินก็สะบัดแขนเสื้อ บนโต๊ะหยกกองของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มไปหมด


 


 


มั่วหลีลั่วดูจนงงเป็นไก่ตาแตก “ชิงเฉิน เจ้า เจ้าไปปล้นร้านไหนในตลาดมาน่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “ศิษย์พี่มั่ว หรือว่าในใจเจ้า ข้าก็มีภาพพจน์เช่นนี้หรือ?”


 


 


มั่วหลีลั่วแอบคิดในใจว่า ชิงเฉินเอ๋ยนี่เป็นภาพพจน์เจ้าในใจข้าคนเดียวเสียที่ไหน ต่อให้เป็นในใจศิษย์พรรคเหยากวงทั้งหมด เกรงว่าก็เป็นเช่นนี้หมดกระมัง ปากกลับเอ่ยว่า “ที่ไหนกัน นี่ข้าตกใจเกินไปมิใช่หรือไง ชิงเฉินเจ้าต่อให้จะปล้นร้านค้าก็ไม่ปล้นของสำนักตนเองหรอก”


 


 


มั่วชิงเฉินจนด้วยคำพูดมองฟ้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยอย่างหมดแรงว่า “เลือกเองตามสบาย”


 


 


มั่วหลีลั่วประหลาดใจไม่ได้หยุด นิสัยชอบรื้อของตามธรรมชาติของสตรีปรากฏออกมาจนหมดทันที เกือบจะฝังร่างทั้งร่างในกองของแล้ว


 


 


ผ่านไปครึ่งค่อนวัน มือมั่วหลีลั่วถือไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงหยุดอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าไปเอามาจากไหนกันน่ะ ของตั้งมากมายไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะแล้ว “ล้วนเป็นของที่ยามที่ข้าไปถึงทะเลขนาบใจไม่มีอะไรทำเดินเล่นซื้อไว้ แม้ไม่มีราคาอะไร กลับเป็นของเฉพาะของทั้งนั้น” พูดจบก็หยิบมุกจื่อหวาสงบจิตขนาดเท่าเม็ดพุทราร้อยเป็นสายสร้อยยื่นไป


 


 


มั่วหลีลั่วเป็นคนรู้จักของ เห็นแล้วตาเป็นประกายรับไปทันที ดูอย่างละเอียดถึงถอนใจว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่าไยโอกาสวาสนาเจ้าถึงดีเช่นนี้นะ ไปเดินอย่างสง่าผ่าเผยที่ทะเลขนาบใจรอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ตบะเพิ่มขึ้นมากยังได้ของดีมามากมายปานนี้ แล้วดูข้าและชิงเกอ กลับกลับสำนักมาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด อีกทั้งนึกว่าเจ้าประสบเคราะห์แล้ว ในใจอย่าพูดถึงเลยว่ากลัดกลุ้มเพียงไหน”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ทุกคนต่างมีโอกาสวาสนาไม่ต้องอิจฉา อ้าว น้ำผึ้งดอกท้อพวกนี้เจ้าลองชิมดู หากว่าชอบ ค่อยมาเอาที่ข้าอีก”


 


 


มั่วหลีลั่วรับขวดหยกขาวใบเล็กไป เปิดฝาออก กลิ่นหวานหอมของดอกท้อกระจายออกจากข้างในเป็นระลอกๆ ทันที น้ำผึ้งวิญญาณข้างในกระจ่างใสเหมือนอำพันก็ไม่ปาน ดันเป็นสีชมพูอ่อนอีก ขับกับด้านในที่เป็นหยกขาวแล้วยิ่งเชิญชวนให้คนลิ้มลอง


 


 


มั่วหลีลั่วปิดฝา กลับเขยิบเข้าใกล้มั่วชิงเฉินดมแล้วดมอีก จากนั้นว่า “ชิงเฉิน ข้าว่าบนตัวเจ้าไยมักมีกลิ่นหอมพิเศษสายหนึ่งรางๆ เหมือนดอกไม้แต่ไม่ใช่ดอกไม้เหมือนผลไม้แต่ไม่ใช่ผลไม้ หวานแต่ไม่เลี่ยน ใสสะอาดถูกใจ ที่แท้ก็คือกลิ่นของน้ำผึ้งดอกท้อนี่เอง”


 


 


มั่วชิงเฉินประหลาดใจ ตั้งแต่ดอกท้อพิเศษต้นนั้นในสวนสมุนไพรอายุเริ่มมากขึ้น ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตก็นับวันยิ่งขยัน นางก็มีลาภปากได้กินน้ำผึ้งวิญญาณวันละสองสามช้อน ถึงบัดนี้ขวดเล็กๆ เช่นนี้ยังตุนไว้หลายขวด กลับไม่ได้สังเกตว่าร่างกายตนมีกลิ่นหอมอะไร คงเพราะสัมผัสกับผึ้งวิญญาณเลือดมรกตทุกวันจนชินแล้ว


 


 


มั่วหลีลั่วถามถึงที่มาของน้ำผึ้งดอกท้อขึ้นมาอีก สองคนคุยอยู่ครึ่งค่อนวันมั่วชิงเฉินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ศิษย์พี่มั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าในบรรดาศิษย์สร้างรากฐานเราใครเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ?”


 


 


มั่วชิงเฉินถามปุ๊บ สีหน้ามั่วหลีลั่วก็ประหลาดขึ้นมาทันที ถามว่า “ถามเรื่องนี้ไปไย?”


 


 


มั่วชิงเฉินหยิบชามกระเบื้องใบใหญ่ของตนออกมาว่า “อาวุธเวทเสียหายแล้ว คิดว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะรบกวนพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงก็คงไม่ดี”


 


 


มั่วหลีลั่วยื่นมือรับชามใหญ่ไปดูๆ แล้วพยักหน้าว่า “ก็จริง นอกจากอาจารย์ตนเอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านอื่นมีเวลาว่างสนใจเรื่องนี้ที่ไหนกัน ทว่าชิงเฉิน เจ้าเดาสิในบรรดาศิษย์ระดับสร้างรากฐานเราใครเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่สุดนะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก ในใจเดาได้แล้ว กลับรับคำไม่สะดวก


 


 


มั่วหลีลั่วหัวเราะ “เจ้าฉลาดปานนั้นคิดว่าคงเดาได้แล้ว ในรุ่นพวกเรานี่คนที่เชี่ยวชาญหลอมอาวุธที่สุดก็คือศิษย์พี่เยี่ยคนนั้น ข้าได้ยินอาจารย์ชมด้วยตนเองมาก่อน ศิษย์พี่เยี่ยมีพรสวรรค์สุดยอดในด้านหลอมอาวุธ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ถนัดหลอมอาวุธบางคนก็เทียบไม่ติด ชิงเฉิน ท่าทางชิงเกอพูดไว้ไม่ผิด เจ้าและศิษย์พี่เยี่ยมีวาสนาต่อกันไม่น้อย มักมีเรื่องทำให้พวกเจ้าต้องเกี่ยวข้องกัน”


 


 


ฟังคำพูดของมั่วหลีลั่วแล้ว มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนยกใหญ่ ต่อว่าว่า “ศิษย์พี่มั่ว เจ้าและชิงเกอชอบซุบซิบเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรแล้ว?”


 


 


มั่วหลีลั่วค้อนตาคว่ำ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ตั้งแต่หลังจากชิงเกอถูกเจ้าเด็กนั่นยกเลิกการหมั้น”


 


 


คำพูดประโยคเดียวอุดจนมั่วชิงเฉินยิ่งพูดไม่ออก ครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยอย่างอักอ่วนว่า “ชามใหญ่ข้านี่ก็ไม่ใช่อาวุธเวทชั้นเลิศอะไร เสียหายก็ไม่มาก ไม่ถึงกับต้องรบกวนยอดนักหลอมอาวุธเช่นนั้นหรอก…”


 


 


มั่วหลีลั่วหยอกพอแล้วก็ไม่ทำให้นางลำบากใจอีก จึงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ว่าไปแล้วข้าก็รู้จักคนคนหนึ่งอยู่…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไม่ชนกำแพงไม่หันกลับ หมายถึง หากเรื่องราวมิถึงขั้นจนตรอกหมดหนทาง จะไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจเป็นอันขาด 

 

 


ตอนที่ 215 ลมแรงที่ปลายพืชน้ำ

 

 


 


“เขาหลิวหั่วมีศิษย์น้องแซ่เหยียนคนหนึ่ง เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อาชิงเสอ ตบะแม้ไม่เท่าไร กลับมีพรสวรรค์ด้านการหลอมอาวุธมาก ท่านอาจารย์อาชิงเสอให้ความสำคัญแก่เขามาก ดูท่าทางคิดจะถ่ายทอดทางแห่งการหลอมอาวุธให้แบบเทหน้าตัดน่ะ ดังนั้นคนเช่นพวกเราหากต้องการความช่วยเหลือ ก็ต่างไปหาเขา” มั่วหลีลั่วเอ่ย


 


 


“ศิษย์น้องเหยียน?” มั่วชิงเฉินไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อนจริงๆ


 


 


มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างจำใจว่า “ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องไม่รู้จัก ชิงเฉิน อย่างไรเสียเจ้าก็อยู่ในสำนักมายี่สิบกว่าปีแล้ว ช่วยพัฒนาหน่อยจะได้หรือไม่? เจ้าอย่าบอกข้านะว่าท่านอาจารย์อาชิงเสอเจ้าก็ไม่รู้จักน่ะ”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะแหะๆ ว่า “เป็นไปได้เช่นไร ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในสำนักมีเพียงหลายสิบท่าน ต่อให้จับคู่ชื่อและคนไม่ได้ อย่างไรเสียก็เคยได้ยินมาก่อนน่ะ”


 


 


มั่วหลีลั่วหัวเราะดังฟู่ว่า “เจ้ายังกล้าบอกว่าจับคู่ชื่อและคนไม่ได้อีก รีบไปเถอะ ศิษย์น้องเหยียนยุ่งมากเลยนะ คนที่หาเขาหลอมอาวุธมีมากมายเชียว” พูดพลางดันมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินไม่เสียเวลาอีก ร่ำลามั่วหลีลั่วแล้วก็บินไปสู่เขาหลิวหั่ว


 


 


เขาหลิวหั่วตั้งอยู่ทางด้านใต้ที่สุดของพรรคเหยากวง เป็นสถานที่สุริยุปราคา มีไฟปราณปฐพีชั้นเลิศวิ่งผ่านภายใน ดังนั้นศิษย์ที่ศึกษาการหลอมอาวุธ หลอมโอสถในเขาหลิวหั่วมีมากที่สุด โถงหลอมอาวุธและโถงหลอมโอสถของพรรคเหยากวงก็แยกกันตั้งอยู่บนสองยอดเขาด้านในที่มีมากมายในเขาหลิวหั่ว ตามการชี้แนะของมั่วหลีลั่ว ศิษย์น้องเหยียนคนนั้นยามนี้น่าจะอยู่ที่โถงหลอมอาวุธ


 


 


ร่อนลงบนยอดเขาด้านในที่โถงหลอมอาวุธตั้งอยู่ มั่วชิงเฉินก็สังเกตว่าสายตาของศิษย์ที่ไปๆ มาๆ กวาดมาพร้อมกัน


 


 


“ดูเร็ว นั่นอาจารย์อามั่ว” ศิษย์คนหนึ่งกดเสียงลงต่ำว่า


 


 


มั่วชิงเฉินมองฟ้าเงียบๆ ไม่รู้ศิษย์ของยอดเขาด้านในลูกนี้ใช่เพราะส่วนใหญ่ฝึกฝนการหลอมอาวุธเป็นเหตุหรือไม่ แต่ละคนสีหน้าอิ่มเอิบ เสียงดุจระฆัง คิดว่าตนกดเสียงต่ำแล้วความจริงยังดังกว่าคนอื่นพูดเสียงดังเสียอีก


 


 


ศิษย์อีกคนหนึ่งกวาดสายตามองอีกครึ่งค่อนวัน แล้วตบหน้าผากว่า “อ๊า ข้ารู้แล้ว อาจารย์อามั่วต้องมาหาอาจารย์อาเยี่ยเป็นแน่!”


 


 


มั่วชิงเฉินสะดุด รีบตั้งตัวให้นิ่งแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปทางโถงหลอมอาวุธ เสียงวิจารณ์ของศิษย์ที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นยังคงลอยมาอย่างชัดเจน


 


 


“แปลกจัง อาจารย์อามั่วมาหาอาจารย์อาเยี่ยไยถึงมายอดเขาด้านในได้ล่ะ?”


 


 


“นี่มีอะไรน่าแปลก อย่างไรเสียอาจารย์อามั่วก็เป็นสตรี คงจะเคอะเขินที่ไปที่พำนักของอาจารย์อาเยี่ยโดยตรงกระมัง สองคนต้องนัดกันที่นี่แน่นอน”


 


 



 


 


ในที่สุดก็เห็นป้ายของโถงหลอมอาวุธ มั่วชิงเฉินโล่งอก หลังจากเดินเข้าไปก็เห็นศิษย์ระดับหลอมลมปราณสี่คนยกตะกร้าใหญ่ใบหนึ่งมุ่งหน้าไปข้างนอก นางรีบหลบไปข้างๆ กลับคาดไม่ถึงว่าศิษย์ไม่กี่คนที่ยกตะกร้าใหญ่หันขวับมาพร้อมกัน แล้วจ้องนางเขม็ง


 


 


“ดูเร็วดูเร็ว นั่นอาจารย์อามั่ว” ศิษย์คนหนึ่งแทบจะกรีดร้องออกมา


 


 


ศิษย์อีกคนหนึ่งเข้าใจทันทีว่า “ใช่แล้ว ข้าถึงว่าไยคุ้นตาเช่นนี้นะ!”


 


 


สองคนที่เหลือดูถูกพร้อมกันว่า “ไม่คิดว่าแม้แต่อาจารย์อามั่วเจ้าก็จำไม่ได้ นางเป็นคู่ปรับที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่งามดั่งบุปผาทั้งหมดได้ยินแล้วต้องหน้าถอดสี ยิ่งเป็นดาวนำโชคของศิษย์ชายพวกเราทั้งหมดเลยนะ!”


 


 


มั่วชิงเฉินริมฝีปากสั่น ยังคงทนไม่ไหวเตือนสติขึ้นว่า “ระวัง!”


 


 


ทว่าสายไปแล้ว ศิษย์ระดับหลอมลมปราณสี่คนเพราะหันหน้าตลอดเวลา ลืมไปว่าข้างหน้ามีธรณีประตูสูงๆ อยู่อันหนึ่ง สองคนด้านหน้าสุดสะดุดถูกธรณีประตูหกล้มหน้าทิ่ม ตะกร้าใหญ่ในมือก็บินออกไป


 


 


สี่คนเดิมทีก็ออกแรงกินนมยกตะกร้าใหญ่ไว้ จู่ๆ ตะกร้าใหญ่หลุดมือ สอนคนด้านหลังไม่ได้ดีไปถึงไหนเช่นกัน ล้มไปข้างหน้าพร้อมๆ กันเพราะแรงเหวี่ยง


 


 


ในตะกร้าใหญ่ใส่เศษเหล็กกากหินเต็มไปหมด หากปล่อยให้ล้มลงไปเช่นนี้ก็มีเรื่องครึกครื้นให้ดูแล้ว มั่วชิงเฉินตัดสินใจเด็ดขาดลงมือทันที ใช้เถาวัลย์มัดตะกร้าใหญ่ไว้แน่น แล้ววางลงอย่างมั่นคง


 


 


ศิษย์ทั้งสี่คนรีคลานขึ้นมา เอ่ยต่อๆ กันว่า “ขอบคุณอาจารย์อามั่ว ขอบคุณอาจารย์อามั่ว”


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ไยนางถึงรู้สึกว่าสีหน้าของศิษย์สี่คนนี้ไม่ใช่หวาดกลัว หากแต่เป็นตื่นเต้นนะ?


 


 


หรือว่า ต่อไปตนควรอยู่ให้ห่างเขาหลิวหั่ว?


 


 


กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินศิษย์คนหนึ่งกุลีกุจอยิ้มว่า “อาจารย์อามั่ว ท่านมาหาอาจารย์อาเยี่ยสินะ?”


 


 


เห็นศิษย์นั่นหน้าตาอิ่มเอิบรูปร่างกำยำชัดๆ ยังทำหน้ายิ้มอย่างกุลีกุจออีก มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งลง ในใจแน่ใจอีกครั้งว่าตนตัดสินใจได้ถูกต้อง


 


 


 “ที่พวกเจ้านี่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ถนัดหลอมอาวุธหรือไม่ แซ่เหยียน?” มั่วชิงเฉินรีบถาม


 


 


ศิษย์สี่คนใบหน้าฉายแววผิดหวังทันที ศิษย์ที่ออกเสียงก่อนหน้านี้คนนั้นว่า “ข้ามระเบียงนี้ไป อาจารย์อาเหยียนอยู่โถงหลอมอาวุธห้องที่ห้าด้านซ้ายมือขอรับ”


 


 


“ขอบคุณนะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า ยกเท้าเดินไปข้างหน้า


 


 


“อาจารย์อามั่ว?” ศิษย์นั่นตะโกนอีกว่า


 


 


มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับไป


 


 


ศิษย์นั่นรีบเอ่ยว่า “อาจารย์อาเยี่ยอยู่ยอดเขาหลัก” เสียงดังฟังชัดมาก ราวกับกลัวนางจำไม่ได้อย่างนั้นแหละ


 


 


มั่วชิงเฉินไม่พูดสักแอะแล้วหันหลังจากไป


 


 


เขาหลิวหั่ว ต่อไปนางจะไม่มาอีกแล้ว!


 


 


ครึ่งชั่วยามผ่านไป มั่วชิงเฉินเดินออกมาจากโถงหลอมอาวุธ


 


 


การแลกเปลี่ยนในวันนี้ยังนับว่าราบรื่น ศิษย์น้องเหยียนคนนั้นใบหน้าธรรมดา กลับพูดด้วยง่ายมาก รับปากซ่อมให้นางให้เร็วที่สุดทันที มั่วชิงเฉินเพิ่มหินวิญญาณให้โดยเฉพาะอีก สิ่งเดียวที่เรียกร้องก็คือถึงเวลาให้เขาส่งศิษย์เอาอาวุธเวทไปส่งให้นางที่เขาป่าไผ่


 


 


ว่าไปแล้วก็บังเอิญ ศิษย์ที่เป็นลูกมือให้ศิษย์น้องเหยียนไม่นึกเลยว่านางจะรู้จัก ก็คือยามที่เข้าเมืองเทียนเหยาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน บุตรชายของพ่อลูกคู่นั้นที่นางและท่านปู่อาศัยรถมาด้วย ชื่อกัวซุ่น บัดนี้ก็โตเป็นหนุ่มแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นเรือบินกำลังจะจากไป ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งรีบเร่งวิ่งมา พลางวิ่งพลางเรียกว่า “ใช่ศิษย์พี่มั่วหรือไม่ โปรดหยุดก่อน”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่รุดมามีตบะระดับสร้างรากฐาน มั่วชิงเฉินไม่รู้จัก กลับยังคงกระโดดลงมา ถามว่า “ไม่ทราบศิษย์น้องเรียกข้าด้วยเหตุอันใด?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคำนับทีหนึ่งถึงว่า “ศิษย์พี่มั่ว ข้าเป็นสาวใช้ของเสวียนหั่วเจินจวิน เจินจวินเชิญท่านไปหาสักครา”


 


 


“เสวียนหั่วเจินจวิน?” มั่วชิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกนางว่าไม่ใช่เรื่องดี ทว่ากลับไม่แข็งใจตามสาวใช้ไปไม่ได้


 


 


เมื่อเข้าตำหนักใหญ่ยอดเขาหลัก ก็เห็นชายคนหนึ่งสีหน้าอิ่มเอิบกลางศีรษะล้านถือพัดกกขาดๆ กำลังพัดอย่างหมดอาลัยตายอยาก เห็นมั่วชิงเฉินเข้ามา รีบกวักพัดกกสองทีว่า “นางหนูชิงเฉินสินะ รีบเข้ามา รีบเข้ามา”


 


 


มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นี่ นี่คือท่านเทียดทางสายเลือดของศิษย์พี่เยี่ยจริงหรือ? ทั้งสองคนช่างต่างกันมากไปหน่อยกระมัง


 


 


คิดเช่นนี้แล้วอดกวาดสายตาผ่านบนศีรษะเขาไม่ได้ ได้ยินว่า ได้ยินว่าผมร่วงในผู้ชายเป็นกรรมพันธุ์ใช่หรือไม่?


 


 


มั่วชิงเฉินนึกถึงสภาพเยี่ยเทียนหยวนศีรษะล้านตรงกลางในวัยกลางคนอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองจะไม่มีศีลธรรมไปหน่อย ใบหน้ากลับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผู้น้อยมั่วชิงเฉินขอกราบคารวะท่านเจินจวินเจ้าค่ะ”


 


 


แล้วก็รู้สึกว่ามีลมสายหนึ่งพยุงนางขึ้นมา ยามที่เงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้ายิ้มจนตาหยีของเสวียนหั่วเจินจวิน “ไม่ต้องพิธีรีตองปานนั้น เหมือนเจ้าเด็กเทียนหยวนนั่นทั้งวันน่าเบื่อจะตาย มา นั่งนี่”


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งลงอย่างว่าง่าย รอเสวียนหั่วเจินจวินพูด ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ไม่มีระเบียบให้นางพูดก่อน


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน ในใจแอบพยักหน้า นางหนูน้อยก็ใจเย็นดี เพียงแต่ผมด้านหน้าทั้งหนาทั้งยาว แม้แต่หน้าตาก็เห็นไม่ชัด ไยเจ้าเด็กเทียนหยวนนั่นถึงต้องตาเข้านะ


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ ยามที่ท่วงท่ามั่วชิงเฉินเริ่มแข็งทื่อเล็กน้อยนั้น เสวียนหั่วเจินจวินถึงเอ่ยว่า “นางหนูชิงเฉิน เจ้าว่าเทียนหยวนเป็นเช่นไรบ้าง?”


 


 


คำพูดน่าตกใจสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้มั่วชิงเฉินตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้ “ศิษย์พี่เยี่ยเป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในรุ่นเดียวกัน ผู้น้อยไม่กล้าวิจารณ์ส่งเดชเจ้าค่ะ”


 


 


จบกัน จบกัน นางหนูนี่ไม่มีใจให้เจ้าเด็กเทียนหยวน!


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินมีชีวิตอยู่มากว่าพันปี มีเรื่องอะไรไม่เคยผ่านมาบ้าง เพียงประโยคเดียวก็ดูความผิดปกติออก ในใจจิ๊ๆ ว่า เทียนหยวนเอ๋ยฝีมือในด้านนี้ เจ้าเทียบท่านเทียดเจ้าไม่ติดเลย


 


 


“เทียนหยวนออกไปท่องเที่ยวฝึกตนอีกแล้ว ไปครั้งนี้ไม่รู้กี่ปีถึงจะกลับมา ข้าช่างเป็นห่วงจริงๆ เลยนะ” เสวียนหั่วเจินจวินถอนใจว่า


 


 


มั่วชิงเฉินคิด ไยเขาถึงออกไปอีกแล้ว ตามหลักแล้วเขาเพิ่งกลับเข้าสำนักไม่นานเหมือนตน กำลังเป็นเวลาที่ควรสงบจิตบำเพ็ญเพียร


 


 


มองดูแววตาประหลาดของเสวียนหั่วเจินจวิน มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง หรือว่าเขาทำเพราะตน?


 


 


นึกถึงตรงนี้รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เขาช่วยตนไว้หลายครั้ง โดยเฉพาะยามที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งยังถูกตนทำร้ายเพราะช่วยตนอีก ความไม่พอใจต่อคำพูดพวกนั้นของเขาแต่ก่อน ความโกรธในใจก็มลายหายไปสิ้นแล้ว เหลือเพียงความซาบซึ้งเท่านั้น


 


 


เพียงแต่เพราะตนมีสาเหตุที่พูดไม่ได้จึงไม่อาจไม่ตั้งใจหลบหลีก ด้วยความฉลาดของเขาไยจะดูไม่ออกล่ะ


 


 


มองดูแววตากล่าวโทษของเสวียนหั่วเจินจวิน มั่วชิงเฉินรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นตนที่บีบให้ลื่อของคนเขาต้องจากไปนะ


 


 


“ท่านเจินจวิน ศิษย์พี่เยี่ยพลังความสามารถโดดเด่น ท่องเที่ยวฝึกตนอยู่ข้างนอกต้องปลอดภัยไร้กังวลแน่นอนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินฝืนยิ้มว่า


 


 


ท่าทางน่าสงสารของเสวียนหั่วเจินจวินก็เหมือคนแก่ที่อ้างว้างคนหนึ่ง ถอนใจว่า “นี่ก็พูดยาก เจ้าเด็กเทียนหยวนนั่นนิสัยเย็นชา ใจก็กล้า ไม่ว่าที่ไหนก็กล้าบุกไปคนเดียว การฝึกตนตั้งหลายครั้งล้วนแทบเอาชีวิตไม่รอด มิเช่นนั้นเขาจะบำเพ็ญเพียรได้เร็วปานนี้โดยไม่เจอคอขวดเลยได้อย่างไรกัน อีกอย่าง อีกทั้งเขามีร่างหยางบริสุทธิ์ หากถูกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงคนไหนลักไปก็แย่แล้ว…”


 


 


มั่วชิงเฉินอักอ่วนขึ้นทันที จู่ๆ ก็นึกถึงยามที่สองคนพบกันครั้งแรกท่าทางที่แทบจะฆ่าตนของเยี่ยเทียนหยวน มิน่าเขาถึงระแวงสตรีถึงเพียงนั้น ดูแล้วเพราะสภาพร่างกายเป็นเหตุทำให้เกิดปัญหามาไม่น้อย


 


 


เพียงแต่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้องอาจมาโอดครวญสิ่งนี้กับตน ออกจะไร้สาระไปสักหน่อยใช่หรือไม่…มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลเงียบๆ ตนล้วนเจอกับคนอะไรเข้าล่ะนี่!


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินเห็นพอประมาณแล้วก็เลิก ทำสีหน้าจริงจังว่า “แค่กๆ นางหนูชิงเฉิน ไม่เช้าแล้วเจ้ากลับไปเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินลุกขึ้นทันทีว่า “ผู้น้อยขออำลาเจ้าค่ะ”


 


 


“อืม ไปเถอะ หากครั้งหน้ามาเขาหลิวหั่วอีก ข้าค่อยหาเจ้าคุยด้วย…”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบหนีหัวซุกหัวซุน


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินมองเงาหลังของมั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะเสียงหนึ่ง “นางหนูนี่แม้แต่ท่าทางวิ่งหนีก็เหมือนเจ้าเด็กบ้านั่นถึงเพียงนี้ หึๆ ได้ยินว่าเขาออกจากสำนักไปยังรู้จักไม่สบายใจ ท่าทางยังมีหวัง”


 


 


เขารั่วสุ่ย


 


 


สตรีงดงามไม่ธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย ดูกระดาษสีขาวในมือคิดแล้วคิดอีก ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเหยียบอากาศจากไป ท่วงท่าล่องลอยอ่อนช้อยดุจเซียน คือหรูอวี้เจินจวินนั่นเอง


 


 


“ศิษย์น้องหรูอวี้ ไยเจ้าถึงมาได้ล่ะ?” หลิวซางเจินจวินเห็นคนคนหนึ่งร่อนลงจากฟ้า เอ่ยอย่างประหลาดใจ


 


 


หรูอวิ้เจินจวินหน้านิ่งดุจน้ำ ไม่กี่ก้าวก็เดินข้ามาถึง ยังไม่รอหลิวซางเจินจวินเรียกก็นั่งลงตรงๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง น้องมีเรื่องอยากปรึกษากับท่านสักหน่อย”


 


 


“เอ่อ ศิษย์น้องมีเรื่องอันใด?” หลิวซางเจินจวินลูบหนวดว่า


 


 


หรูอวี้เจินจวินเม้มปากว่า “หลายเดือนก่อนน้องให้นางหนูหลิงซิ่วนั่นกลับสำนักลั่วสยามิใช่หรือ รั่วซียังไม่กลับมา กลับส่งจดหมายมาว่า ทางแดนไท่ไป๋นั่น มีความเคลื่อนไหว”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม