เล่ห์รักกลกาล 207-213

ตอนที่ 207 สังหารจิ่วหุน พวกเจ้าไม่รู...

 

 “ดี” 


 


 


แม่นางทั้งสองไม่พูดไม่จา รีบติดตามเยี่ยเม่ยไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


… 


 


 


หน้าประตูห้องซือหม่าหรุ่ย  


 


 


เจ้าเมืองหลินเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “แม่นางเยี่ยเม่ย พวกเรารู้ว่าท่านกับจิ่วหุนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ว่าท่านก็ต้องคิดถึงคุณธรรม จิ่วหุนสังหารคนตั้งมากมาย ท่านยืนกรานจะปกป้องเขา ท่านก็จะกลายเป้าหมายของทุกคน” 


 


 


คนทั้งหลายต่างไม่รู้ว่า เยี่ยเม่ยหนีออกไปทางหน้าต่างตั้งนานแล้ว 


 


 


ดังนั้น พวกเขาต่างได้แต่ยืนเกลี้ยกล่อมอยู่หน้าประตู 


 


 


ไม่กล้าบุกเข้ามาง่ายๆ อย่างไรเสียความสามารถของเยี่ยเม่ย ทุกคนก็กระจ่างชัด หากฝืนบุกเข้าไปเกรงว่ายากจะมีชีวิตรอดออกมา 


 


 


เซียวเยว่ชิงมองเจ้าเมืองหลินทีหนึ่ง เสนอว่า “ไม่สู้…พวกเรากลับไปก่อน แม่นางเยี่ยเม่ยไม่พูดอะไรมาตลอด บางทีนางอาจมีความคิดของนาง พวกเราบีบคั้นคน ข่มขู่คน ไม่เคารพผู้นำทัพ นี่….” 


 


 


 “นี่คือการล่วงเกินผู้บังคับบัญชา” หลูเซียงฮั่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง 


 


 


แต่ทุกคนต่างรู้อยู่ในใจ เยี่ยเม่ยหาใช่ผู้นำทัพที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง แต่เป็นเพราะการกระทำตามอำเภอใจขององค์ชายสี่  


 


 


เจ้าเมืองหลินหันมาถลึงตาใส่พวกเขา แผดเสียงว่า “แต่ว่าพวกเจ้าต่างก็รู้ว่าจิ่วหุนบาดเจ็บแล้ว พวกเจ้าต่างก็รู้ว่าวรยุทธ์ของเขาสูงส่งเพียงไร หากวันนี้ไม่ฉวยโอกาสตอนเขาบาดเจ็บกำจัดเขาเสีย ภายหน้ายังจะมีโอกาสนั้นอีกหรือไม่” 


 


 


ความจริงแล้วเจ้าเมืองหลินไม่ได้มีความแค้นยิ่งใหญ่กับจิ่วหุน 


 


 


เพียงแต่คิดถึงครั้งก่อนยามที่ตัวเองไปหาจิ่วหุน พูดคุยเรื่องงานแต่งงานของบุตรสาว การปฏิเสธโดยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายทำให้เจ้าเมืองหลินโมโห จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สงบลง หากมีโอกาสเขาต้องสังหารเจ้าหนุ่มนี่ทิ้งเสีย 


 


 


ประการแรกก็เพื่อแก้แค้นในใจตน ประการที่สองก็เพื่อตัดความคิดของหลินซูเหย่า  


 


 


ครั้นถ้อยคำนี้ถูดเอ่ยออก เซียวเยว่ชิงอดรนทนไม่ไหวย้อนกลับไปประโยคหนึ่งว่า “แต่ช่วงนี้จิ่วหุนช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ไม่น้อย ในสนามรบ ทหารต้ามั่วที่สังเวยชีวิตภายใต้คมดาบของเขา หากไม่ถึงหมื่นก็ต้องมีถึงแปดพัน พวกเราทำเช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการให้โทษตอบแทนคุณหรอกหรือ” 


 


 


ความจริงเซียวเยว่ชิงลังเลมาตลอด นักรบอย่างจิ่วหุนร้อยปีจะได้พบสักคน เขาเสียดายความสามารถ ไม่อาจโน้มน้าวให้ตัวเองทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ 


 


 


 “ยิ่งกว่านั้น ช่วงนี้แม่นางเยี่ยเม่ยก็ช่วยพวกเราเอาไว้มาก พวกเรารวมตัวกันบีบคั้นนางเช่นนี้ก็…” เซียวเยว่ชิงคิดว่าการกระทำเช่นนี้ ออกจะขาดคุณธรรมไปหน่อย 


 


 


ทว่าเจ้าเมืองหลินหันขวับมองเขา “เจ้าอย่าลืมว่า จิ่วหุนเคยฆ่าใครไปบ้าง อดีตเสนาบดีของราชสำนักเป่ยเฉินเราตายภายใต้คมกระบี่ของเขา ทั้งยังมีแม่ทัพซ่างกวนก็ถูกจิ่วหุนลอบสังหารในค่ายทหาร แม่ทัพเซียวข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชายและเป็นแม่ทัพผู้หนึ่ง แต่เจ้าก็ต้องคิดถึงการณ์ใหญ่ของบ้านเมืองบ้าง”  


 


 


เจ้าเมืองหลินเสริมขึ้นต่อว่า “จิ่วหุนสังหารขุนนางใหญ่และแม่ทัพของราชสำนักเรา หากไม่กำจัดเขา พวกเราจะทูลฝ่าบาทว่าอย่างไร” 


 


 


“เรื่องนี้…” เซียวเยว่ชิงอึ้งไปทันที  


 


 


เรื่องนี้ก็ไม่ผิด การตายของท่านเสนาบดีและแม่ทัพซ่างกวนสะเทือนแผ่นดิน ก่อความระส่ำระสายให้กับราชสำนักเป่ยเฉินไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพซ่างกวนมีคุณงามความชอบ เป็นวีรบุรุษของราชสำนัก ทั้งยังเคยเป็นหัวหน้านำทัพของเขา เรื่องเหล่านี้ไม่อาจไม่เห็นอยู่ในสายตา 


 


 


 “ดังนั้นพวกเราต้องสังหารจิ่วหุนให้ได้” เจ้าเมืองหลินโพล่งประโยคนี้ออกมาอย่างว่องไว จากนั้นเอ่ยต่อว่า “พวกเราเรียกมาตั้งนานแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยยังไม่ออกมาอีก พวกเจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะไม่อยู่ข้างในแล้ว” 


 


 


ยามเจ้าเมืองหลินเอ่ยประโยคนี้ออกมา ซือหม่าหรุ่ยในห้องได้ยินอย่างชัดเจน 


 


 


สายตาทอประกายเย็นเยียบ… 


 


 


หลูเซียงฮั่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง เอ่ยปากว่า “ก็เป็นไปได้ หากแม่นางเยี่ยเม่ยไม่อยู่ด้านในล่ะก็…” 


 


 


บอกตามความสัตย์ เขาไม่คิดประมือกับเยี่ยเม่ย เพราะใจเขาเลื่อมใสกลการศึกของนางมาก อีกอย่างตัวเขาเห็นเยี่ยเม่ยเป็นหัวหน้าของตนแล้ว ดังนั้นเมื่อคิดว่าตนต้องประจันหน้ากับเยี่ยเม่ย เขารู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมหนามแหลมคม 


 


 


หากเยี่ยเม่ยไม่อยู่ด้านใน การเข้าไปสังหารจิ่วหุน ก็สามารถหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วนไปได้ 


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ย หากเจ้ายังไม่ส่งเสียงออกมาอีก พวกเราจะบุกทะลวงเข้าไปแล้ว” เจ้าเมืองหลินตะโกนอยู่หน้าประตู  


 


 


ในเวลาเดียวกันนี้เอง นอกประตูก็มีสตรีนางหนึ่งพุ่งเข้ามา 


 


 


นั่นก็คือหลินซูเหย่าที่ตื่นขึ้นมาหลังจากหมดสติไปนาน หลังจากนางเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลง ‘ตุบ’   


 


 


“ท่านพ่อ ลูกขอร้องท่านแล้ว ท่านกลับไปเถิด อย่าเอาชีวิตเขาเลย”  


 


 


เจ้าเมืองหลินก้มหน้าลง มองนางด้วยสายตากร้าว “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เขาเป็นนักฆ่า มือของเขาเปื้อนเลือดมากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เจ้ายังมาขอร้องแทนเขาอีก อีกอย่างเจ้าแสดงความรู้สึกดีๆ ออกไปหลายครั้งเขาเคยใส่ใจเจ้าหรือไม่” 


 


 


 “ท่านพ่อ แต่เดิมก็เป็นข้ายินยอมพร้อมใจอยู่ฝ่ายเดียว เขาไม่ใส่ใจข้า ก็ไม่อาจโทษเขาได้ ท่านพ่อ ท่านกลับไปก่อนเถอะนะ ข้าขอร้องท่านแล้ว หากท่านฆ่าเขาจริงๆ ลูกก็ได้แต่จบชีวิตตัวเองต่อหน้าท่านแล้ว” หลินซูเหย่ายืนกรานหนักแน่น 


 


 


ท่าทางเช่นนี้ของนาง ทำให้เจ้าเมืองหลินยิ่งทวีความโมโห 


 


 


สตรีนางหนึ่ง คุกเข่าขอร้องต่อหน้าธารกำนัลเพื่อบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งบุรุษผู้นี้ยังเป็นปีศาจร้ายในใจของทุกคน นางไม่ต้องการชื่อเสียง รวมทั้งไม่ใส่ความบริสุทธิ์ของวงศ์ตระกูลแล้ว 


 


 


เจ้าเมืองหลินตวาดก้องในทันที “ไสหัวไปเลย หากเจ้าอยากตาย ก็ไปตายซะ ข้าจะคิดซะว่าไม่เคยมีลูกสาวเช่นเจ้า” 


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบเข้าไปไกล่เกลี่ย “เจ้าเมืองหลิน ใจเย็นก่อน” 


 


 


อย่างไรเสียก็เป็นบุตรสาวคนเดียวของเจ้าเมืองหลิน ยามนี้เขาถูกความโมโหเข้าครอบงำจิตใจ 


 


 


น่าเสียดายที่เจ้าเมืองหลินในยามเดือดดาล ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมใดๆ ทั้งนั้น เขาโมโหกระทั่งไม่ใส่ใจเรื่องที่เยี่ยเม่ยอยู่ภายในห้องหรือไม่ เอ่ยปากตรงไปตรงมาว่า “ไม่สนแล้ว ทุกคนบุกเข้าไป ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าจะรับไว้เอง”  


 


 


หลินซูเหย่าคิดไม่ถึงว่านางมาขอร้อง กลับยิ่งทำให้เจ้าเมืองหลินตัดสินใจสังหารคนอย่างแน่วแน่มากขึ้น ถึงขั้นโมโหเสียจนไม่สนใจอะไรอีก หลินซูเหย่าในยามนี้อึ้งไปแล้ว 


 


 


สิ้นเสียงเจ้าเมืองหลิน เหล่าทหารที่เตรียมเคลื่อนไหวก็ลงมือทันที 


 


 


การตายของแม่ทัพซ่างกวน ความจริงพวกเขาไม่สามารถปล่อยวางได้ หากสังหารจิ่วหุนแก้แค้นให้กับแม่ทัพซ่างกวนได้ พวกเราก็ไม่ผิดต่อการอบรมดูแลของแม่ทัพซ่างกวนแล้ว 


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ คนทั้งหมดก็บุกทะลวงไปที่ห้องซือหม่าหรุ่ย  


 


 


ในเวลานี้ ประตูเปิดออกแล้ว  


 


 


ในมือซือหม่าหรุ่ยมีขวดกระเบื้องใบหนึ่ง นางเทผงยาในขวดลงหน้าประตู เอ่ยปากว่า “นี่คือยาพิษคร่าชีวิต คนที่เข้าใกล้มันในระยะหนึ่งหมี่[1] เลือดจะไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด พวกเจ้าใคร่ครวญให้ดีว่าจะบุกเข้ามาหรือไม่” 


 


 


ครั้นถ้อยคำนี้เอ่ยออกไป คนทั้งหมดต่างมองหน้ากันไปมา 


 


 


ทว่าฝีเท้าหยุดลงแล้ว 


 


 


เจ้าเมืองหลินมองซือหม่าหรุ่ย เอ่ยด้วยความเดือดดาลว่า “ท่านหมอเทวดา ชาวยุทธ์ให้สมญานามท่านเป็นมือเทพผู้เมตตา ไฉนถึงได้ช่วยคนเลวกระทำความชั่ว” 


 


 


 “ช่วยคนเลวกระทำความชั่ว คนเลวที่ว่าคือใครกัน จิ่วหุนหรือว่าเยี่ยเม่ย ที่ว่าความชั่วนั้น พวกเขาทำความชั่วต่อใครแล้ว ทำผิดต่อพวกเจ้าหรือว่าฆ่าพวกเจ้าแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเยี่ยเม่ยกับจิ่วหุนช่วยเหลือพวกเจ้ามากน้อยเพียงใด พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ ยามนี้รู้ฐานะนักฆ่าของเขาก็เปลี่ยนไป ในใจพวกเจ้าไม่รู้สึกผิดเลยหรืออย่างไร” ซือหม่าหรุ่ยตอกกลับอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


คนทั้งหมดสงบนิ่งลงทันที 


 


 


ขณะเดียวกัน เยี่ยเม่ยเดินสาวเท้าเข้ามาจากด้านนอก… 


 


 


 


 


 


[1] เมตร  

 

 


ตอนที่ 208 พวกเจ้ามีคุณธรรม หรือแสร้ง...

 

คนทั้งหมดที่เดิมมีท่าทีเกี้ยวกราดให้มอบตัวจิ่วหุนออกมา หลังจากเห็นเยี่ยเม่ยแล้วก็กลายเป็นนิ่งสงบไร้เสียง 


 


 


สายตาเย็นเยียบของเยี่ยเม่ยกวาดตามองบนร่างของพวกเขาทีละคนๆ ไป ทำให้เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยก้มหน้าลงพื้น ไม่กล้าสบตากับหญิงสาว 


 


 


ในเวลานี้ 


 


 


เจ้าเมืองหลินผู้เป็นหัวหน้าแกนนำไม่ยอมถอยให้เลยสักนิด ก้าวเท้าออกมายืนเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ากลับมาแล้ว เรื่องจิ่วหุน…” 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์ฟังเขาพูด 


 


 


สายตาเย็นชากวาดมองไปที่ทหาร ถามเสียงนิ่งว่า “มีใครคิดว่าข้าสมควรมอบตัวจิ่วหุนออกไปให้พวกเจ้าบ้าง” 


 


 


ยามนางเอ่ยออกไป ทหารทั้งหมดในที่นี้ต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครพูดจาเลยสักคนเดียว 


 


 


หลูเซียงฮั่วกับเซียวเยว่ชิงมองหน้ากัน รู้สึกเสียใจที่ตนเองมาปรากฏกายอยู่ที่แห่งนี้ ก่อนหน้ายังร่วมกันวางแผนรับมือต้ามั่ว พริบตาเดียวก็เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้แล้ว… 


 


 


ครั้นเห็นคนทั้งหมดไม่เอ่ยอะไร 


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยกวาดมองพวกเขาอีกครั้ง ถามต่อว่า “ไม่มีใครพูดเลยสักคน ไม่กล้าพูดหรือพูดไม่ออกกันแน่” 


 


 


คราวนี้ คนไม่น้อยรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวดั่งไฟเผา 


 


 


เพราะพวกเขาจำนวนมากต่างก็พูดไม่ออก อย่างแรกเยี่ยเม่ยกับจิ่วหุนช่วยพวกเขาไว้มาก อย่างที่สองคือการเข่นฆ่าศัตรูด้วยความอาจหาญของจิ่วหุนบนสนามรบ มีหลายครั้งที่บังเอิญช่วยพวกเขาจำนวนไม่น้อยเอาไว้พอดิบพอดี 


 


 


ยามตะลุมบอนกัน มีทหารบางคนที่เกือบถูกศัตรูลอบโจมตีจากเบื้องหลัง กระบี่เดียวของจิ่วหุนตวัดมาก็ช่วยชีวิตพวกเขาไว้แล้ว ถึงจิ่วหุนจะไม่ได้ตั้งใจช่วย แต่ก็มีบุญคุณกับพวกเขาจริงๆ 


 


 


ในเวลานี้ ให้พวกเขาก้าวออกมาใช้ความแค้นทดแทนบุญคุณ บอกความคิดตนว่าสมควรมอบตัวจิ่วหุนออกมา พวกเขาพูดไม่ออก 


 


 


ครั้นเห็นคนทั้งหมดเริ่มไม่พูดจา 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนด้านข้างก็เสียดสีขึ้นว่า “ตอนจิ่วหุนช่วยเหลือพวกเจ้า ก็เป็นพี่น้องที่แสนดี ตอนที่ช่วยชีวิตพวกเจ้าก็เป็นคุณชายเสี่ยวจิ่ว ดีเลย ยามนี้เขาบาดเจ็บพวกเจ้ากลับมาเอาชีวิตเขา ข้ารู้สึกละอายแทนพวกเจ้านัก” 


 


 


 “พวกเรา…” มีทหารผู้หนึ่งทนไม่ไหว เกือบจะโต้ตอบกลับมา แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของเยี่ยเม่ยก็ไม่กล้าพูดอีก  


 


 


เจ้าเมืองหลินตีหน้านิ่งสบตากับเยี่ยเม่ย จากนั้นมองซินเยว่เยี่ยนคราหนึ่ง “แม่นางซินกล่าวผิดแล้ว เรื่องที่จิ่วหุนเคยทำผิดฆ่าคนเป็นการกระทำชั่วร้าย ผิดต่อหลักคุณธรรม ขัดต่อผลประโยชน์ของราชสำนักเป่ยเฉินเรา” 


 


 


เจ้าเมืองหลินเอ่ยไป ยังหันกลับไปตำหนิเหล่าทหารที่ไม่กล้าเปิดปากว่า “พวกเจ้าทั้งหลาย เพราะเขาเคยช่วยเหลือพวกเจ้าครั้งสองครั้ง ช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้ เพราะเรื่องส่วนตัวก็ไม่ใส่ใจศีลธรรมคุณธรรม ไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของบ้านเมือง ปล่อยคนชั่วไปอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เจ้าเมืองหลินเอ่ยจริงจัง ท่าทางราวกับตนเองทำเพื่อคุณธรรม ทำเพื่อบ้านเมือง 


 


 


ถ้อยคำนี้ทำให้เหล่าทหารที่เดิมทีหวั่นไหว กลับมายืนหยัดจุดยืนของตนได้อีกครั้ง จริงด้วย พวกเขาจะเห็นแก่บุญคุณส่วนตัวลืมผลประโยชน์ของบ้านเมืองไม่ใส่ใจคุณธรรมได้อย่างไร 


 


 


จิ่วหุนคือผู้ร้ายสังหารเสนาบดีของพวกเขา สังหารแม่ทัพซ่างกวน 


 


 


เยี่ยเม่ยมองคนกลุ่มนี้ พลันรู้สึกเหนื่อยล้า ใจคนก็เป็นเช่นนี้ ถูกคำพูดของคนจูงไปได้ง่าย ก็ทึกทักไปว่าตนเองยืนอยู่บนความถูกต้อง บางครั้งสิ่งที่พวกเขาต้องการหาใช่ความถูกต้องที่แท้จริง แต่เป็นเพียงแค่การแสดงออกถึงความถูกต้องของตนเท่านั้นเอง 


 


 


แต่ก็ไม่อาจโทษพวกเขาได้ทั้งหมด เพราะปัญหาของพวกเขาหาใช่ความเสแสร้ง แต่ไม่ฉลาดพอ ดังนั้นถึงกลายเป็นตัวหมากในมือของผู้อื่นอย่างง่ายดายเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น 


 


 


จริงด้วย ตัวหมาก 


 


 


อย่างนั้นเบื้องหลังของคนพวกนี้ ยังมีใครควบคุมอยู่นะ 


 


 


เป้าหมายที่เล่นงาน เป็นจิ่วหุนหรือว่า…นาง 


 


 


 “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็เลือกเองเถอะ จะขอให้ข้ายอมมอบตัวจิ่วหุนก็รั้งอยู่ที่นี่ คนที่เปลี่ยนความคิดก็กลับไปซะ” เยี่ยเม่ยมองเหล่าทหาร เรื่องในยามนี้หาใช่ปัญหาเรื่องความถูกผิดอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของความคิดเห็น 


 


 


ผลเป็นดังคาด 


 


 


เซียวเยว่ชิงผู้มีความคิดไม่เหมือนเจ้าเมืองหลินมองเหล่าทหารทันที “ถึงคำพูดของเจ้าเมืองหลินมีเหตุผล พวกเราไม่อาจไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของบ้านเมืองและขัดต่อคุณธรรม แต่พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า จิ่วหุนเคยช่วยพวกเราไว้ เมื่อพวกเราทำเช่นนี้ ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น แล้วมีอะไรแตกต่างกันเล่า ยามเมื่อตนเองกลายเป็นคนชั้นต่ำที่ใช้ความแค้นตอบบุญคุณ แล้วยังมีคุณสมบัติพูดถึงคุณธรรมอะไรอีก” 


 


 


เมื่อถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา ก็มีทหารจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าลังเล 


 


 


คำพูดของเจ้าเมืองหลินไม่ผิด พวกเขาไม่อาจละทิ้งคุณธรรมเพราะความเห็นแก่ตัวเพราะจิ่วหุนเคยช่วยพวกเขา แต่แม่ทัพเซียวก็พูดถูก พวกเขาลืมบุญคุณคนแล้วยังมีคุณสมบัติเอ่ยถึงคุณธรรมอะไรอีก 


 


 


ยามนี้จงรั่วปิงทนไม่ไหวหัวเราะหยันออกมา “ฮี่ๆ ไม่เลว ในที่สุดก็มีคนมีเหตุผลสักที” 


 


 


นางเป็นถึงจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ย่อมมีความคิดเกี่ยวกับคำว่าคุณธรรมในแบบของตน 


 


 


นางมองคนทั้งหมด เอ่ยปากว่า “อะไรคือคุณธรรมหรือ ก่อนอื่นนั้นต้องรู้จักบุญคุณก่อน ทุกท่าน ก่อนจะบอกว่าจิ่วหุนเป็นผู้ร้ายเ**้ยมโหด ก็ขอให้ทุกท่านมองตัวเองก่อน ดูใบหน้าของตนสำรวจดูว่ายึดถือคุณธรรมศีลธรรมจริงหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดนี้จบ ก็ตัดสินเสียงเย็นว่า “หวังว่าทุกท่านเข้าใจคุณธรรมที่แท้จริง ก่อนอื่นต้องไม่ผิดต่อใจตนเอง หากยังหลงเชื่อหลักการคำพูดสวยหรูทั้งหลายอย่างหน้ามืดตามัว นั่นหาใช่คุณธรรมแต่เป็นการเสแสร้งเป็นคนดี” 


 


 


คราวนี้พวกเซียวเยว่ชิงก็รู้สึกว่าตนไม่อาจรั้งอยู่ต่อไปได้แล้ว 


 


 


ถึงกระทั่งรู้สึกว่าการที่ตนอยู่ตรงนี้คือความผิดพลาด เขารีบประสานมือทันที “แม่นางเยี่ยเม่ย วันนี้ข้าเลอะเลือนไปแล้ว ข้าขอตัวก่อน หวังว่าไม่ได้นำความยุ่งยากมาให้แม่นาง” 


 


 


ถูกแล้ว เขามันโง่งมนักเชียว  


 


 


หวั่นไหวกับคำพูดไม่กี่คำก็วิ่งมาปกป้องคุณธรรม นี่คือคุณธรรมที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ หากจิ่วหุนชั่วช้าสามานย์จริงแล้วทำไมต้องช่วยพวกเขาออกรบด้วย หากจิ่วหุนมีใจคิดคดทำลายราชสำนักเป่ยเฉินจริง โอกาสลอบสังหารแม่ทัพอย่างพวกเขามีตั้งมากทำไมไม่ลงมือ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวเยว่ชิง ถามนิ่งๆ ว่า “แม่ทัพเซียวเลือกได้แล้วหรือ” 


 


 


 “เลือกได้แล้ว” เซียวเยว่ชิงหนักแน่น “อย่าว่าแต่ช่วงนี้จิ่วหุนช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ มีบุญคุณต่อพวกเราเลย อาศัยแค่การแสดงออกของเขาในวันนี้ ก็มากพอให้เห็นแล้วว่าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยอดฝีมือเช่นนี้หากช่วยพวกเราได้ก็ถือเป็นกำลังเสริมที่ร้ายกาจ ให้โอกาสเขาถือเป็นวาสนา โชคดีกับพวกเราและแผ่นดิน” 


 


 


เซียวเยว่ชิงแสดงความคิดของตนออกไปอย่างว่องไว 


 


 


หลูเซียงฮั่วก็เอ่ยปากว่า “แม่ทัพเซียวกล่าวไม่ผิด ข้าก็คิดว่านี่คือเหตุผล หากจิ่วหุนทำความดี อย่างนั้น…” 


 


 


 “จิ่วหุนจะทำดีหรือไม่ข้าไม่รู้ชัด แต่ข้ามั่นใจว่าจิ่วหุนไม่กลับไปอยู่ในองค์กรนักฆ่าอีกแล้ว พิษของเขากำเริบก็เพราะเขาดึงดันออกจากองค์กร ไม่ได้รับยาถอนพิษที่ใช้สำหรับควบคุมนักฆ่า ดังนั้นพวกเจ้าถึงได้มีโอกาสเรียกร้องอยู่ที่นี่” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ย   

 

 


ตอนที่ 209 เยี่ยนผิดหวังกับเป่ยเฉินอี...

 

ครั้นได้ฟังว่าจิ่วหุนออกจากองค์กรนักฆ่าแล้ว 


 


 


พวกเซียวเยว่ชิงยิ่งรู้สึกไม่อยากอยู่ต่อ เซียวเยว่ชิงประสานมือคารวะเยี่ยเม่ย “ข้าขอตัวก่อน” 


 


 


แต่เดิมเขายังลังเลอยู่บ้าง เกรงว่าหากครั้งนี้ปล่อยจิ่วหุนอีกฝ่ายจะฆ่าคนต่อไป เช่นนั้นวันนี้พวกเขาก็เหมือนปล่อยเสือร้ายกลับสู่ป่า 


 


 


แต่เมื่อซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเช่นนี้ ความไม่วางใจเพียงหนึ่งเดียวก็ปล่อยวางได้แล้ว 


 


 


หลูเซียงฮั่วเอ่ยต่อว่า “ข้าน้อยขอตัวก่อน” 


 


 


พวกเขาทั้งสองเอ่ยจบก็รีบแยกย้ายจากไป 


 


 


เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยก็ติดตามไปพร้อมกัน 


 


 


ขณะเดียวกันยังเหลือทหารจำนวนหนึ่งที่รั้งรออยู่พร้อมกับแม่ทัพคนอื่นและเจ้าเมืองหลิน แต่โดยรวมแล้วคนที่จากไปมีกว่าครึ่งหนึ่ง 


 


 


เจ้าเมืองหลินเห็นดังนี้หน้าคล้ำง้ำงอ ลอบเสียใจ หากเขารู้แต่แรกว่าเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วมาแล้วเรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สมควรแจ้งข่าวกับทั้งสอง คราวนี้ก็ดีเลย คนหายไปตั้งครึ่งหนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเซียวเยว่ชิงทีหนึ่ง เอ่ยปากว่า “แม่ทัพเซียวท่านรอก่อน ข้ามีเรื่องจะถามท่าน” 


 


 


 “ได้” 


 


 


เซียวเยว่ชิงหยุดฝีเท้าลงทันใด 


 


 


เยี่ยเม่ยมองคำรบหนึ่งแต่ยังคงยืนอยู่ที่ประตู ท่าทางดุดันทว่าไม่กล้าลงมือโดยพลการ นางนำเซียวเยว่ชิง ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงเดินกลับเข้าไปในห้องของซือหม่าหรุ่ย  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยส่งยาถอนพิษให้พวกนางที่หน้าห้อง 


 


 


เมื่อพวกเขากินแล้วค่อยเดินเข้าไป 


 


 


เจ้าเมืองหลินรีบเอ่ยไล่หลังเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย…” 


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับมองพวกเขาทีหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “พรุ่งนี้เช้า ข้าจะมอบคำตอบให้พวกเจ้า พวกเจ้าสามารถเลือกจะเฝ้าประตูอยู่ที่นี่จนถึงพรุ่งนี้เช้า หรือเลือกมาตอนเช้าก็ได้” 


 


 


สิ้นเสียงเยี่ยเม่ยก็ไม่หันกลับมาอีก ซือหม่าหรุ่ยปิดประตูลง 


 


 


พวกเจ้าเมืองหลินมองผงพิษที่สาดอยู่หน้าประตู ไม่กล้าบุกทะลวงเข้าไป ได้แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอก 


 


 


…… 


 


 


ภายในห้อง 


 


 


เยี่ยเม่ยถามซือหม่าหรุ่ย “อาการของจิ่วหุนเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


 “ไม่ดีเลย ใช้พลังปราณไปหมดสิ้น” ซือหม่าหรุ่ยเสริมต่อว่า “ภายหลังเขาถูกพิษอีก ข้าช่วยถอนพิษแล้ว พิษนี้ไม่ได้หลอมรวมกับพิษเดิมในร่างเขา ถือว่าเป็นโชคดีในคราวเคราะห์ ทว่าเขาสูญสิ้นพลังปราณ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรหายากหลายชนิด ภายในสิบวันหากหาไม่ได้ เกรงว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้แล้ว”  


 


 


 “ใช้สมุนไพรอะไรบ้าง” เยี่ยเม่ยถามทันที 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตอบ “ความจริงก็ไม่ยาก ที่ขาดก็มีแค่กระดิ่งลมสายรุ้ง ดอกสามรส และต้นกุหลาบราตรีร้อยใบ ของพวกนี้ล้วนเป็นสมุนไพรล้ำค่า ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่มีเลย” 


 


 


 “หมู่ตึกกูเยว่มี” ซินเยว่เยี่ยนตอบทันที 


 


 


ไม่ช้า สายตาของเยี่ยเม่ยและซือหม่าหรุ่ยก็มองไปที่นาง 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเห็นว่าตัวเองกลายเป็นจุดศูนย์กลางภายในเสี้ยววินาที ก็กระแอมไอตอบไปอย่างว่องไวว่า “สมุนไพรสามชนิดนี้มีที่หมู่ตึกกูเยว่ ข้าเคยได้ยินอู๋เหินพูดถึง”  


 


 


 “มั่นใจหรือไม่” เยี่ยเม่ยเน้นย้ำ 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า “มั่นใจ ถึงฐานะของข้าในหมู่ตึกจะไม่ต่ำต้อย แต่ของเหล่านี้ข้าเองก็จัดการไม่ได้ เป็นของที่อู๋เหินได้มาอย่างยากลำบาก ดังนั้นเกรงว่าต่อให้ข้าไปด้วยตัวเอง ก็ไม่แน่ว่าจะนำกลับมาได้” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยไป ก็มองเยี่ยเม่ยอย่างระวัง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจความคิดของซินเยว่เยี่ยน… 


 


 


แต่ว่าสมุนไพรทั้งสามก็เป็นของล้ำค่าจริงๆ ยามปกติต่อให้ไปขอร้องด้วยตัวเอง แค่เพียงชนิดเดียวก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ นับประสาอะไรกับสามชนิดเล่า 


 


 


 “ข้าเข้าใจแล้ว” 


 


 


อย่างนั้นต้องจัดการปัญหาในตอนนี้ให้จบก่อน แล้วนางต้องเดินทางไปหมู่ตึกกูเยว่ด้วยตัวเองสักเที่ยวหนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยถามว่า “ยังมีที่อื่นอีกไหม” 


 


 


หมู่ตึกกูเยว่สามารถนำมาเป็นตัวเลือกได้ แต่ว่าผู้อื่นจะมอบของให้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ดังนั้นควรเตรียมแผนสำรองเอาไว้ 


 


 


 “ตอนนี้ยังไม่มี” ซือหม่าหรุ่ยตอบ “สมุนไพรทั้งสามชนิดนี้แค่อย่างเดียวก็หายากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสามชนิดเลย หมู่ตึกกูเยว่ในยามนี้ถือเป็นเพียงความหวังเดียว อย่างไรเสียพวกเราก็มีเวลาแค่สิบวันเท่านั้น” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า สูดลมหายใจลึก “อย่างนั้นเจ้ารักษาอาการของจิ่วหุนให้ทรงตัวเสียก่อน” 


 


 


 “ได้” ซือหม่าหรุ่ยรับคำ 


 


 


ไม่ช้า เยี่ยเม่ยก็มองเซียวเยว่ชิง “แม่ทัพเซียว ข้าขอถามท่านเรื่องฐานะของจิ่วหุน ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” 


 


 


เซียวเยว่ชิงตอบทันที “เจ้าเมืองหลินเป็นคนบอกข้า ตอนค่ำจู่ๆ เขามาถึงตามตัวข้าและแม่ทัพหลายคนไปที่ห้อง เพื่อบอกเรื่องนี้กับพวกเรา…” 


 


 


 “เขาไม่ได้เอาหลักฐานออกมาพิสูจน์ฐานะของจิ่วหุนใช่หรือไม่” เยี่ยเม่ยถามออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบตอบว่า “ไม่มี เพียงแค่วิเคราะห์ให้พวกเราฟังเท่านั้น จากฝีมือของจิ่วหุน อย่างไรก็ตามคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมเท่านี้ ทั้งอายุยังเยาว์ มีไม่กี่คนเท่านั้น อีกอย่างนิสัยของ จิ่วหุน ท่านก็รู้ว่าต่างจากคนทั่วไปจริงๆ ทั้งวิธีสังหารคนของเขาหมดจดมาก ดังนั้น…” 


 


 


 “พวกท่านถามเจ้าเมืองหลินหรือไม่ว่าเขารู้ได้อย่างไร” เยี่ยเม่ยซักต่อ 


 


 


แม่ทัพเซียวชะงักไป “เรื่องนี้ไม่มีคนถาม พวกเราในยามนั้นต่างก็ตกใจ ไม่ทันได้คิดเรื่องพวกนี้ให้ละเอียด” 


 


 


ดังนั้นผู้บงการคงบอกเจ้าเมืองหลินแล้ว จากนั้นให้เจ้าเมืองหลินเป็นคนควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ยามนี้เจ้าเมืองหลินวางตัวเป็นศัตรูกับพวกนาง หวังให้เจ้าเมืองหลินเอ่ยความจริงเกรงว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกลับไปก่อนเถอะ” 


 


 


 “ขอรับ” 


 


 


เซียวเยว่ชิงจากไปทันที 


 


 


รอจนเขาจากไป ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย “ยามนี้สถานการณ์ซับซ้อนมาก พวกเราต้องรอให้ถึงฟ้าสางก่อน ค่อยหาทางรับมือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยบอกต่อหน้าทุกคนไปแล้วว่าจะให้คำตอบ 


 


 


อีกอย่างเมื่อมองไปจากหน้าต่าง ก็เห็นว่าเจ้าเมืองหลินและเหล่าทหารไม่ได้จากไปไหน เตรียมเฝ้าจนถึงเช้า คาดว่ากลัวเยี่ยเม่ยพาจิ่วหุนหนี 


 


 


 “ข้ากับจงรั่วปิงจะไปเฝ้าด้านนอก กันไม่ให้พวกเขาบุกเข้ามา” ซินเยว่เยี่ยนเสนอ 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยนั่งลงที่โต๊ะ ใช้มือนวดหว่างคิ้วเบาๆ  


 


 


…… 


 


 


 “ท่านอ๋อง พวกเราแพ้แล้ว” ชิงเกอรายงานอยู่ข้างกายเป่ยเฉินอี้ “คิดไม่ถึงว่าจิ่วหุนยังใช้อสุราภูตผีร่ำไห้ได้อีก คนแปดเก้าร้อยคนตายในกระบวนท่าเดียวของเขา จากนั้นพวกเราก็ไม่อาจรั้งเยี่ยเม่ยไว้ได้ เดิมคิดจะสังหารซินเยว่เยี่ยนที่รั้งท้าย แต่จงรั่วปิงกับเยี่ยเม่ยมาช่วยไว้ได้ทัน” 


 


 


 “อืม” 


 


 


เป่ยเฉินอี้รับคำ จากสายตาของเขาทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาได้เกินที่เขาคาดเดา ชายหนุ่มกดเสียงต่ำลง “นับตั้งแต่ตอนยอมให้นางครั้งที่สอง ข้าก็คิดถึงผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว” 


 


 


 “ท่านอ๋อง เยี่ยเม่ยช่วยจิ่วหุนกลับไป นางจะไม่คิดบัญชีกับท่านหรือ” ชิงเกอถาม 


 


 


เป่ยเฉินอี้ยกมุมปากเบาๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “คืนนี้นางยังมีเรื่องให้กังวล” 


 


 


ชิงเกอนิ่งไป คิดถึงพวกเจ้าเมืองหลินก็เข้าใจทันที… 


 


 


…… 


 


 


รุ่งสาง 


 


 


หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตื่น อวี้เหว่ยก็รายงานเรื่องทั้งหมดกับเขา 


 


 


องค์ชายสี่นิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “เยี่ยนผิดหวังกับเป่ยเฉินอี้ยิ่งนัก” 


 


 


อวี้เหว่ย “ผิดหวังที่เขาวางแผนเอาชีวิตจิ่วหุน?” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่ายหน้า เอ่ยเสียง.. “ไม่ ผิดหวังที่เขาลงมือไม่สำเร็จ” 


 


 


อวี้เหว่ย “…” 


 


 


องค์ชายสี่ผู้ผิดหวังจัดชุดของตนเองด้วยท่าทางสง่างาม น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยอย่างแช่มช้า “ไปกันเถอะ ไปดูเยี่ยเม่ยหน่อย นางน่าจะกำลังปวดหัว”  

 

 


ตอนที่ 210 วีรบุรุษแบกหม้อดำ เป่ยเฉิน...

 

หน้าประตูห้องซือหม่าหรุ่ย


 


 


นอกจากเจ้าเมืองหลินที่เป็นผู้นำแล้ว ยังมีคนอีกไม่น้อยที่เบียดกันอยู่ ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ครึ่งค่อนคืน ไม่อนุญาตให้ใครก้าวผ่านไปได้สักคนเดียว


 


 


ภายในห้อง อาการของจิ่วหุนถือว่าพ้นขีดอันตราย เพียงแต่สลบไสลไม่ได้สติ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย “หาทางออกได้หรือยัง”


 


 


 “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่สมบูรณ์แบบ”


 


 


เยี่ยเม่ยเผยความหนักใจออกมาตามตรง วิธีในตอนนี้ยากจะคิดได้จริงๆ เพราะว่าเหตุผลทั้งหลายที่มีอยู่ เซียวเยว่ชิง รวมถึงพวกจงรั่วปิงเอ่ยออกมาหมดแล้ว คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูในเวลานี้ต่างก็เป็นคนที่ฟังเหตุผลไปจนหมดสิ้นก็ยังไม่ยินยอม


 


 


นางมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “ยามนี้มีเพียงสองตัวเลือกเท่านั้น อย่างแรกคือส่งตัวจิ่วหุนไปให้พวกเขา สองคือข้าคุ้มครองจิ่วหุน ฝ่าวงล้อมออกไป ต่อสู้กับพวกเขาถึงที่สุด”


 


 


นางคิดไม่ถึงว่า หมากกระดานนี้ของเป่ยเฉินอี้จะบีบคั้นนางให้อยู่ในสภาพนี้ได้


 


 


บอกได้เลยว่านับตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งที่นางเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง


 


 


แต่ว่าซือหม่าหรุ่ยฟังความหมายซ่อนเร้นในคำพูดของเยี่ยเม่ยออก “วิธีที่สมบูรณ์แบบไม่มี ความหมายก็คือแผนรับมือที่พอใช้ได้เจ้าคงมีอยู่ใช่หรือไม่”


 


 


 “ถูกต้อง”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้านิ่งๆ


 


 


ตอนนี้เองหน้าประตูพลันมีเสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นมา


 


 


คนด้านนอกจำนวนไม่น้อยล้วนหลบไปด้านข้าง เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋องอี้”


 


 


ในน้ำเสียงของทุกคนล้วนแฝงไปด้วยความเลื่อมใส ทั้งเคารพทั้งหวาดกลัว แตกต่างกับยามพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีแต่ความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง


 


 


เป่ยเฉินอี้ยังสวมอารมณ์สีดำ ปักลายขวางสีแดง แสดงให้เห็นความลุ่มลึกที่อยู่ในความสูงศักดิ์ของเขา


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติยากหยั่งความคิดได้ ทำให้คนมองจับความรู้สึกบนใบหน้าไม่ออก เขาเดินเข้ามาถึงหน้าประตูห้อง “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าเข้าไปได้หรือไม่”


 


 


 “หึ…” เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง


 


 


กวาดตาไปหาซือหม่าหรุ่ย “ฟ้าสางแล้ว เจ้าเอาพิษที่หน้าประตูออกเถอะ”


 


 


อย่างไรเสียเวลาที่นัดหมายกับทุกคนไว้ก็มาถึงแล้ว


 


 


 “ได้” ซือหม่าหรุ่ยเปิดประตูออก สาดผงยาสีขาวลงบนพื้น ไอพิษที่หน้าประตูพลันสลายไป


 


 


เยี่ยเม่ยไม่เดินออกมา ส่งเสียงนิ่งว่า “อี้อ๋องมีอะไรอยากพูด ก็เชิญเข้ามา”


 


 


คนหน้าประตูไม่มีใครกล้าแย้ง อย่างไรเสียหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องอะไรที่อี้อ๋องทำล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อราชสำนักเป่ยเฉินทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงหลงคิดว่า เขาเข้าไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยเม่ยส่งตัวจิ่วหุนออกมา


 


 


ความจริงเหล่าทหารทั้งหลายไม่มีใครยินยอมลงมือกับเยี่ยเม่ย ไม่ว่าจากผลการทำศึกที่ชายแดนของนาง รวมถึงความสามารถ ล้วนทำให้คนไม่มีความมั่นใจจะลงมือ ดังนั้น อี้อ๋องไปเกลี้ยกล่อมก็ถือว่าเป็นเรื่องดี


 


 


เป่ยเฉินอี้เดินเข้าห้องไป


 


 


เยี่ยเม่ยใช้สายตาเย็นชามองไปทางเขา “ไม่ทราบว่าอี้อ๋องมาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เพื่อสิ่งใด”


 


 


 “ข้ามาก็เพื่อช่วยเหลือตัวข้าเอง” เป่ยเฉินอี้ใบหน้ายิ้มแย้ม บอกว่ามาช่วยเหลือ ทว่าสีหน้าไม่แสดงออกว่าตกอยู่ในยามวิกฤตเลยสักน้อย กลับเป็นดวงตาเรียวยาวคู่นั้นเผยความโอหังที่กุมชัยชนะเป็นมั่นเป็นเหมาะเสียมากกว่า


 


 


เยี่ยเม่ยฟังถ้อยคำนี้แล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองสมควรชื่นชมความฉลาดของบุรุษผู้นี้หรือไม่ “หืม? มาเพื่อช่วยเหลือตัวท่านเอง ท่านรู้ว่าข้าคิดหาวิธีคลี่คลายไม่ออก ทว่ามีแผนการลากท่านให้ตกที่นั่งลำบาก กลายเป็นเป้าหมายของทั้งหมดกับพวกเราด้วยอย่างนั้นหรือ”


 


 


เมื่อครู่นางบอกกับซือหม่าหรุ่ย ก็คือ…ไม่มีวิธีการที่สมบูรณ์พร้อม แต่หนทางที่ลากให้เป่ยเฉินอี้ลงน้ำไปกลับพอมีอยู่


 


 


เป่ยเฉินอี้ผงกหัว เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเยี่ยเม่ย ในความสูงศักดิ์ของเขาแฝงไปด้วยความโอหังของราชันย์ เสียงทุ้มดังขึ้น “ไฉน แม่นางเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินอี้ต้องดำเนินมาถึงขั้นเจ้าไม่ตายข้าก็ม้วยด้วย ความจริงยังมีวิธีที่ง่ายดายอยู่วิธีหนึ่ง สามารถคลี่คลายปัญหาในยามนี้ได้ หากทำเช่นนี้เจ้ากับข้าต่างก็ลดความยุ่งยากไปได้ จะไม่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “ขอเชิญพูดมา” เยี่ยเม่ยแปลกใจจริงๆ ว่าเขาจะเสนอความเห็นอะไรออกมา


 


 


เป่ยเฉินอี้ดวงตาทอรอยยิ้ม จ้องมองเยี่ยเม่ย “วิธีการนี้ไม่ใช่แม่นางเยี่ยเม่ยจะคิดไม่ถึง เพียงแต่ไม่ยินยอมลากผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง ด้วยไม่ใช่หรืออย่างไร”


 


 


เขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็นิ่งไปทันที


 


 


ถูกแล้ว วิธีการมี แต่วิธีการนี้…ไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น


 


 


ระหว่างที่เยี่ยเม่ยสงบเงียบ เป่ยเฉินอี้เอ่ยปากอย่างว่องไว “บางทีไม่ถึงเวลาครึ่งเค่อ[1] คนที่จะช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยคลี่คลายปัญหาก็จะมาถึงแล้ว เป่ยเฉินอี้ไม่ถือสาที่จะรอเป็นเพื่อนแม่นางเยี่ยเม่ยสักครู่ ถือว่าเป็นการช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยรวมถึงช่วยเหลือเป่ยเฉินอี้ด้วย”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา สายตาของเยี่ยเม่ยที่มองเขายิ่งเย็นยะเยือกขึ้น


 


 


ในขณะนี้เอง


 


 


นอกประตูมีไอมารส่งเข้ามา ติดตามมาด้วยความกดดันรุนแรง เหล่าทหารด้านนอกเมื่อมองผู้มาเนื้อตัวเริ่มสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


ต่างก็พากันค้อมเอวคารวะ “องค์ชายสี่”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่มองคนทั้งหลาย สาวเท้าเนิบๆ เดินเข้าห้องซือหม่าหรุ่ย ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์ของเขา ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเห็น ก็รู้ว่าคนน่ารังเกียจบางคนอยู่ในห้องกับเยี่ยเม่ยด้วย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่เดินเข้ามา น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นช้าๆ “เช้าตรู่ขนาดนี้ได้กลิ่นไม้กวนอาจม คาดว่าเสด็จอาคงอยู่ที่นี่สินะ”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่กับอี้อ๋องมีความแค้นอะไรกัน องค์ชายสี่ถึงต้องด่าว่า อี้อ๋องเป็นไม้กวนอาจม


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว สายตาทอความขบขันมองเป่ยเฉินอี้


 


 


ไม้กวนอาจม


 


 


คำอธิบายนี้ไม่เลวเลย ก็เหมือนเรื่องของจิ่วหุน เพราะความชอบก่อเรื่องเกรงว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายของเป่ยเฉินอี้ เที่ยวแสดงความคิดช่วยผู้อื่นทำร้ายจิ่วหุน นั่นยังไม่ใช่ไม้กวนอาจมอีกหรือ   


 


 


คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รวมถึงสายตาขบขันของเยี่ยเม่ย หาได้ทำให้อารมณ์ของเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนแปลงสักน้อย


 


 


เขายังคงรักษาท่าทางสูงศักดิ์เอาไว้ แววตาลุ่มลึกเกินหยั่งมองไปที่ประตู “ดูท่า วีรบุรุษแบกหม้อดำ[2]มาแล้ว”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าประตูมา ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเป่ยเฉินอี้


 


 


เขายิ้มบางๆ เดินเข้ามาถึงข้างกายเยี่ยเม่ย 


 


 


สีหน้าเยี่ยเม่ยไม่น่าชมเป็นอย่างยิ่งมองเป่ยเฉินอี้นิ่งๆ “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ท่านบอกว่าเวลานี้ต้องมีใครสักคนออกมาแบกหม้อก้นดำ แบกรับความรับผิดชอบในเรื่องที่จิ่วหุนทำทั้งหมดไว้ เช่นนี้จิ่วหุนก็จะรอดแล้ว เพียงแต่คนที่ออกมาแบกรับจำเป็นต้องมีความสามารถมากพอ ทำให้คนทั้งหลายไม่กล้าแตะต้องเขา ถึงคงความปลอดภัยของคนที่ออกมารับผิดได้ เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า เอ่ยว่า “ไม่ผิด เชื่อว่าหลานสี่ของข้า คงยินยอมทำเพื่อแม่นางเยี่ยเม่ย”


 


 


มองไปทั่วทั้งชายแดน คนที่สามารถออกมาแบกรับความผิดนี้ได้ นอกจากเป่ยเฉินอี้แล้วก็มีเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น


 


 


เป่ยเฉินอี้ย่อมไม่ยินยอมแบกรับความผิด


 


 


อย่างนั้นก็มีแต่…


 


 


คิดไม่ถึงว่า


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นมาว่า “ไม่ เยี่ยนไม่ยินยอม เยี่ยนยังคิดว่าสมควรมอบตัวจิ่วหุนออกไป เพื่อจบเรื่องนี้ไปเสีย ไม่ควรให้ผู้บริสุทธิ์อย่างเยี่ยนแบกรับความผิดนี้”


 


 


เยี่ยเม่ยหันขวับมองเขา “ท่านพูดว่าอะไรนะ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุมปากกระตุก ฝืนแค่นเสียงกระแอมไอ “ไม่มีอะไร เยี่ยนบอกว่าการทำเพื่อน้องภรรยา ถือเป็นเกียรติของเยี่ยน”


 


 


 


 


[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที


 


 


[2] แบกหม้อดำ หมายถึงแพะรับบาป 

 

 


ตอนที่ 211 เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านจะส...

 

ท่าทางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำให้คนตกตะลึง 


 


 


อวี้เหว่ยรู้สึกอนาถใจจนแทบไม่กล้ามอง เขาหันหน้ากลับไปมององค์ชายสี่อย่างเวทนา ช่างน่าสงสารนัก ต้นแบบของคนกลัวภรรยาที่แท้จริง แค่คำพูดเดียวของแม่นางเยี่ยเม่ยก็ยอมตกลงทำเรื่องที่ไม่อยากทำ


 


 


เมื่อบรรลุเป้าหมาย


 


 


เป่ยเฉินอี้ก็ลุกขึ้นทันที เขาใช้สายตาประเมินคนทั้งสอง หัวเราะเสียงทุ้ม เอ่ยว่า “ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เป่ยเฉินอี้ก็ไม่รั้งอยู่ต่อ เชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะจัดการเรื่องนี้ให้ดี เป่ยเฉินอี้ขอตัวก่อน”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็เดินจากไป


 


 


เยี่ยเม่ยมองตามแผ่นหลังของเขา เอ่ยเสียงเย็น “เป่ยเฉินอี้ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”


 


 


แรงจูงใจของบุรุษผู้นี้คืออะไรก็ไม่รู้ชัด จากสถานการณ์เมื่อวานคล้ายกับเป็นศัตรูกับนาง วันนี้โผล่มาช่วยวางแผนการ เขารู้กระทั่งวิธีการที่นางคิดออกมาได้ เพียงแต่นางไม่อาจใช้…


 


 


ถูกแล้ว


 


 


ความจริงนางก็คิดแผนการออก ขอเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมารับผิด แต่ทำให้เขาแบกรับชื่อเสียงชั่วร้าย ทำให้จุดยืนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งอันตรายมากขึ้น


 


 


ดังนั้น นางไม่อยากใช้วิธีนี้


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้จะมาหาแต่เช้าตรู่ ทั้งยังจงใจรอจนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาอีก จากนั้นเอ่ยคำพูดเพื่อชักนำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมรับความคิดนี้…หากทุกอย่างสำเร็จ อย่างนั้นตัวตนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในใจของผู้คนก็ยิ่งไม่มีดีอะไรอีก


 


 


ดังนั้นคนที่เป่ยเฉินอี้ต้องการเล่นงานคือเยี่ยเม่ยหรือว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกันแน่


 


 


เมื่อไม่รู้แรงจูงใจกับเป้าหมายของเป่ยเฉินอี้ อย่างนั้นก็ยากที่จะคาดเดาก้าวต่อไปของเขา ก็ย่อมหาทางโต้ตอบได้ยาก


 


 


เป่ยเฉินอี้ชะงักฝีเท้า คลี่ยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มที่ปากหาได้มีอยู่ในดวงตา เขาโต้ตอบกลับมาโดยไม่หันหน้ากลับว่า “แรงจูงใจอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ต้องให้แม่นางเยี่ยเม่ยเดาเองแล้ว หากคาดเดาไม่ถูก เจ้าสามารถมาถามข้าด้วยตัวเอง แต่ว่าไม่มีคำตอบที่ไร้ราคาในโลก แม่นางเยี่ยเม่ยต้องมีเงื่อนไขมาแลกเปลี่ยน”


 


 


  สิ้นเสียง เป่ยเฉินอี้สาวเท้าจากไป


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยทอประกาย หากเป่ยเฉินอี้ยอมบอกแรงจูงใจกับนาง ก็เท่ากับให้โอกาสนางในการวางแผน หากไปถามเขาตรงๆ ข้อแลกเปลี่ยนคงไม่ใช่เรื่องเล็ก…


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยกำลังจะได้สติ


 


 


เป่ยเฉินอี้ที่ออกจากห้องไปแล้ว พลันชะงักฝีเท้า เสียงเข้มถามว่า “อ้อ จริงสิ ขอเตือนแม่นางเยี่ยเม่ยสักคำ แม่นางไม่ลองถามหลานชายของข้าดูเสียหน่อยว่า เมื่อวานตอนที่เขาโคจรกำลังภายในให้จิ่วหุน เขาคาดเดาเรื่องการลอบสังหารจิ่วหุนเมื่อคืนได้หรือเปล่า”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสายตาวาวโรจน์ ไอสังหารฉายออกมา เอ่ยเสียงนุ่มว่า “เสด็จอา การยุแยงไม่มีประโยชน์สำหรับท่าน หากเยี่ยนโมโหแล้ว ท่านจะแบกรับผลลัพธ์ไม่ไหว”


 


 


 “ฮี่ๆ…” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มอ่อน “ก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ไฉนต้องโมโหด้วย”


 


 


ครั้นเอ่ยจบเป่ยเฉินอี้ก็เดินจากไป


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยอยากจับเป่ยเฉินอี้มาฆ่าทิ้งเสีย แต่ว่ายามนี้คนทั้งหมดเกลียดชังจิ่วหุน หากทำร้ายเป่ยเฉินอี้ต่อหน้าทุกคน ยิ่งมีแต่จะปลุกความไม่พอใจและความโกรธแค้น ปัญหายิ่งแก้ได้ยากขึ้น ดังนั้นนางจึงต้องฝืนทนไว้


 


 


ดังนั้นสายตาเย็นชาของเยี่ยเม่ยย้ายไปตกอยู่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในไม่ช้า


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เดิมทีตั้งใจจะสั่งสอนเป่ยเฉินอี้  เห็นสายตาเยี่ยเม่ยในยามนี้ เขามุมปากกระตุก ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


 


 


จากนั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยถามว่า “คำที่เป่ยเฉินอี้เอ่ยเมื่อครู่ ข้าเองก็แปลกใจเช่นกัน เมื่อวานท่านคาดเดาได้อยู่แล้วใช่หรือไม่”


 


 


 “คาดเดาไม่ได้” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปฏิเสธทันควัน น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “เยี่ยนที่ไร้เดียงสาและมีเมตตา ไม่มีทางเป็นอย่างเสด็จอาที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย คาดคำนวณอะไรได้มากมาย ฮูหยินอย่าได้เชื่อฟังคำยุแยง”  


 


 


ใบหน้าหล่อร้ายแสดงความจริงจังออกมา


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง ถามว่า “จริงหรือ”


 


 


นางเอ่ยเพียงสองคำ แต่จงใจลากหางเสียงยาว ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็พรูลมหายใจ ยอมรับเสียงอ่อนว่า “ก็ได้ ความจริงข้าคาดเดาได้ แต่อย่างไรเยี่ยนก็ไม่เคยตกอยู่ในสภาพอ่อนแอถึงขั้นนี้มาก่อน ย่อมหวาดระแวงคิดถึงความเป็นไปได้ แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจ หากเมื่อวานเยี่ยนไม่เดินลมปราณให้จิ่วหุน เขาจะเป็นหรือตายก็ยากคาดได้ ดังนั้นต่อให้คาดการณ์ได้ว่าหลังจากโคจรพลังแล้ว จะมีคนฉวยโอกาสลอบสังหารจิ่วหุนในยามที่เยี่ยนอ่อนแอ เยี่ยนก็ไม่มีทางเลือกอื่น”


 


 


 


 


ครั้นเอ่ยมาถึงบัดนี้ ไม่ว่าคาดการณ์ได้หรือไม่ สุดท้ายเขาก็ช่วยจิ่วหุนจนสูญเสียพลังขั้นหนึ่งไป นี่คือเรื่องที่ไม่อาจทำอะไรได้


 


 


แต่ว่า…


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามเสียงนิ่งว่า “อย่างนั้นทำไมท่านไม่เตือนข้า”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนหายใจ ใบหน้าหล่อร้ายแสดงความจนปัญญา “แต่เยี่ยนก็หาได้ฝืนบังคับให้เจ้าอยู่ที่เรือนของเยี่ยนมิใช่หรือ หากเยี่ยนไม่เหลือหนทางรอดให้เขาเลย เมื่อคืนคงทุ่มเทความคิด แกล้งอ่อนแอให้เจ้าดูแลรั้งเจ้าไว้ข้างกายแล้ว ส่วนเจ้าที่ต้องการตอบแทนเยี่ยนที่ช่วยจิ่วหุนเมื่อวานย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของเยี่ยนแน่ แต่เยี่ยนก็ปล่อยเจ้ากลับไป เจ้าถึงมีโอกาสช่วยเหลือเขา เห็นได้ชัดแล้วว่า ถึงแม้เยี่ยนอยากให้เขาตาย แต่หาได้ทิ้งหนทางรอดไว้เลยไม่”


 


 


ในความคิดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นี่ก็คือการถอยให้อย่างใหญ่หลวงของเขาแล้ว


 


 


เหลือทางรอดให้ศัตรูหัวใจเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน หากมิใช่เพราะกลัวนางโกรธและเสียใจ เขาถึงได้ยอมถอยให้ถึงขั้นนี้ แต่นี่ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว


 


 


ครั้นพูดถึงตรงนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยว่า “ฮูหยินต้องเข้าใจ ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ เยี่ยนก็คิดถึงฮูหยินก่อน แต่…นอกเสียจากเรื่องศัตรูหัวใจ”


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก ว่ากันตามจริงแล้ว หากนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสลับจุดยืนกัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีน้องสาวบุญธรรมที่เขาดูแลสารพัดผู้หนึ่ง อีกทั้งน้องสาวบุญธรรมผู้นี้มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับนางนัก…


 


 


นางยอมรับว่าตัวเองก็มิได้มีนิสัยดีถึงขั้นรักบ้านถึงเผื่อแผ่ไปถึงนก[1] ดีกับน้องสาวบุญธรรมเขาอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เขาต้องมีความกังวลแม้แต่นิด เห็นความปลอดภัยของน้องสาวเขามาเป็นอันดับแรก


 


 


…..


 


 


ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้นางไม่เห็นด้วย แต่ก็เข้าใจได้


 


 


เพียงแต่เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ข้าหวังจริงๆ ว่าท่านจะไม่เห็นจิ่วหุนเป็นศัตรูหัวใจปลอมๆ สุดท้ายเอาแต่ยืนดูอยู่ด้านข้างโดยไม่สนใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านจะสูญเสียข้าไป”


 


 


ถ้อยคำนี้เอ่ยออกมาได้รุนแรงไม่น้อย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองสีหน้าเย็นชาเอาจริงเอาจังของหญิงสาว ไม่คล้ายล้อเล่นเลยสักน้อย พลันเข้าใจความหมายของนาง เขาแค่นเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวไป “ในเมื่อเจ้าใส่ใจเขาเช่นนี้ เยี่ยน…”


 


 


คนทั้งหลายหลงคิดว่า เขาจะโมโหแล้ว


 


 


คิดไม่ถึงว่าภายใต้สายตาเย็นชาของนางจับสังเกตอยู่ที่แผ่นหลังของเขา


 


 


เขาพลันถอนหายใจยาว “เยี่ยนก็คงเป็นเหมือนกับหญิงหม้ายเท่านั้น ต้องฝืนตัวเองให้ยอมรับ อดทน และเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างนี้เกิดจากความไร้สามารถของเป่ยเฉินอี้ โอกาสดีขนาดนี้ ยังลอบสังหารไม่สำเร็จ”


 


 


เยี่ยเม่ยหัวใจกระตุก ถามว่า “หากเขาทำสำเร็จแล้ว…”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยตามตรง “เพราะว่าสังหารคนไม่สำเร็จ ดังนั้นปัญหาถึงไม่ใหญ่มาก ส่งผลให้เยี่ยนต้องยอมรับว่าคาดการณ์ได้แต่แรก หากทำสำเร็จแล้ว วันนี้ฮูหยินเอามีดจ่อคอเยี่ยน ต่อให้ตายเยี่ยนก็ต้องปฏิเสธ”


 


 


ทุกคน “…”


 


 


ดีมาก จริงใจดี


 


 


เพราะว่าลอบสังหารไม่สำเร็จ ยอมรับว่าตนเองคาดเดาได้แต่แรก ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ว่ากันตามตรงแล้วหากลอบสังหารสำเร็จ เยี่ยเม่ยไม่มีทางยอมง่ายแน่ ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ


 


 


ใช้ได้ ใช้ได้ ไร้ยางอายนัก


 


 


 


 


 


 


[1] หมายถึงรักคนคนหนึ่ง ก็รักชอบคนหรือสิ่งของที่เขารักไปด้วย 

 

 


ตอนที่ 212 เพราะว่าเยี่ยนคือบุรุษที่ม...

 

เวลานี้เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ไม่ส่งเสียงออกมา


 


 


กลับเป็นซือหม่าหรุ่ยที่อยู่ด้านข้างถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ไฉนเมื่อครู่ เป่ยเฉินอี้ถึงบอกว่าเขามาเพื่อช่วยเหลือเขาเองด้วยเล่า”


 


 


เยี่ยเม่ยมองนาง ตอบกลับด้วยเสียงนิ่ง “ง่ายมาก เพราะหากข้าไม่มีวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างราบรื่น ข้าจะต้องแตกหักกับกลุ่มคนด้านนอกนี้ แล้วพาจิ่วหุนจากไป แน่นอนว่าข้าจะต้องไม่ปล่อยเป่ยเฉินอี้ไปอย่างแน่นอน ข้าจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จิ่วหุนทำลงไปล้วนมีเป่ยเฉินอี้เป็นผู้บงการ เขาก็จะเป็นเหมือนพวกเรา กลายเป็นเป้าหมายของทุกคนทันที”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ สีหน้าแตกตื่น


 


 


ทำเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ


 


 


นางถามต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกเจ้าไม่ยืนยันไปเลยว่าเป่ยเฉินอี้เป็นคนบงการ แต่ให้องค์ชายสี่แบกรับความผิดนี้แทน”


 


 


 “เพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมารับผิดด้วยความยินยอมพร้อมใจ เขาถึงแบกความรับผิดชอบไว้ที่ตัวเอง เช่นนี้ข้ากับจิ่วหุนก็ปลอดภัย แต่หากเป็นเป่ยเฉินอี้…เขาไม่มีทางปล่อยพวกเราไปง่ายๆ จะทำให้พวกเราลำบากไปด้วย” เหตุผลก็ง่ายดายเช่นนี้


 


 


นี่ก็เป็นการบอกชัดถึงผลลัพธ์ความต่างระหว่างคนที่ยินยอมแบกรับความผิดกับคนที่ไม่ยินยอม


 


 


เมื่ออธิบายจบ เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ยคราหนึ่ง “ดังนั้นเขาถึงบอกว่าเป็นการช่วยตัวเขาเองและช่วยเหลือข้า ขอเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมารับผิดอย่างเต็มใจ ข้ากับจิ่วหุนจะปลอดภัย ข้าก็ไม่ต้องลากเขาลงน้ำไปด้วย เหตุผลก็ง่ายดายเช่นนี้”


 


 


 “องค์ชายสี่ก็สามารถบอกได้ว่าเป่ยเฉินอี้กับองค์ชายสี่เป็นคนสั่งการ” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก


 


 


เยี่ยเม่ยมองนาง “ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนี้ไป เป่ยเฉินอี้ก็จะลากข้ากับจิ่วหุนลงไปด้วยทันที”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยถอนหายใจจากนั้นก็ขวมดคิ้ว “องค์ชายสี่ยังไม่กลัวการรับผิด ก็ไม่มีเหตุผลที่เป่ยเฉินอี้จะต้องใส่ใจ อย่างมากเขาก็แค่ถูกถามหาความรับผิดชอบเหมือนพวกเจ้า ใครจะกล้าทำอะไรเขาได้ หรือว่า…”


 


 


เมื่อเอ่ยถ้อยคำถึงเวลานี้ ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจอะไรบางอย่าง


 


 


เยี่ยเม่ยรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจแล้ว พยักหน้า “ข้าก็เดาว่าเป็นเช่นนี้ เขาต้องการชื่อเสียงอันดีงามเพื่อทำอะไรบางเรื่อง อีกอย่างเขาไม่อยากเป็นศัตรูกับคนทั่วหล้าเร็วขนาดนี้ อย่างไรเสียฝ่าบาทเห็นเขาขัดตาอยู่แล้ว หากเป็นศัตรูกับคนทั้งหมดอีก รังแต่จะเป็นเรื่องยุ่งยากกับตัวเขา”


 


 


เป่ยเฉินอี้คิดทำอะไร ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ชัด แต่ว่าเขาสร้างเรื่องราวมากมายเช่นนี้ย่อมมีจุดมุ่งหมาย ก่อนบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว เขาย่อมไม่ต้องการให้แผนการเกิดความผิดพลาด


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างชมว่า “ฉลาดมาก”


 


 


ฉลาดจริงๆ ถึงขั้นคาดเดาได้ว่าเสด็จพ่อไม่ชอบเป่ยเฉินอี้


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเลิกคิ้ว “ไฉนฝ่าบาทถึงไม่ชอบเป่ยเฉินอี้ด้วย เป่ยเฉินอี้ช่วยพระองค์ไว้ไม่น้อย เรื่องราชวงศ์จงเจิ้งในปีนั้น…”


 


 


ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยเงียบลงทันที


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ที่นี่ด้วย อย่างไรเสียเขาก็เป็นองค์ชายของเป่ยเฉิน


 


 


ครั้นได้ยินชื่อราชวงศ์จงเจิ้งอีกครั้ง ในใจเยี่ยเม่ยก็รู้สึกพิกล ทว่าความรู้สึกแปลกใจก็หายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เยี่ยเม่ยโบกมือ มองไปที่ซือหม่าหรุ่ยช่วยแก้ไขความสงสัยว่า “ง่ายมาก เป่ยเฉินอี้ผู้นี้อันตรายมาก สำหรับฝ่าบาทแล้ว ….”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า แสดงความเห็นออกมา “ทั่วทั้งราชวงศ์เป่ยเฉิน คนที่ทำให้เสด็จพ่อไม่อาจสงบใจได้มากที่สุด นอกจากข้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ก็คือเสด็จอาผู้นี้ แต่เยี่ยนแสดงออกว่าไม่ใส่ใจต่อบัลลังก์อย่างชัดเจน เสด็จพ่อถึงคลายใจได้ชั่วคราว ทว่าความคิดของเป่ยเฉินอี้ ใครก็ไม่รู้ชัด เสด็จพ่อถึงต้องการกำจัดเขาก่อนถึงคลายใจได้”


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก คิดถึงสองเรื่องนี้ขึ้นมา จากนั้นก็สะกดความอึดอัดในใจ “สมองของเป่ยเฉินอี้ช่างฉลาดหลักแหลมมาก เหมือนว่าคนที่ฉลาดไม่เป็นสองรองใครอย่างข้า ยังพ่ายแพ้ให้กับเขา ช่าง…”


 


 


คิดแล้วก็โมโห


 


 


 “พ่ายแพ้ให้กับเขาไม่ใช่เรื่องแปลก” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปลอบใจเยี่ยเม่ย จากนั้นน้ำเสียงน่าฟังก็ดังขึ้นอีกว่า “เป่ยเฉินอี้ต่อกรกับฟ้าดิน ยังมีโอกาสชนะ คนทั่วหล้าพูดถึงเขาเช่นนี้”


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก…


 


 


ให้ตายเถอะ


 


 


นี่เขาฉลาดถึงเพียงไหนกันแน่นะ


 


 


นางหันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความแปลกใจ เขาอธิบายอย่างแช่มช้าว่า “เรื่องการวางแผน ในโลกนี้ไม่มีใครเอาชนะเขาได้ เจ็ดปีก่อนยามเขาวางแผนการรบครั้งหนึ่งบังเอิญเกิดภัยธรรมชาติ สถานการณ์ยามนั้นไม่ส่งผลดีกับเขา คนทั้งหลายต่างคิดว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต เขาต้องแพ้อย่างแน่นอน แต่เขาก็แก้สถานการณ์ได้ทัน เอาชนะได้ในที่สุด คนทั้งหลายจึงได้กล่าวว่าเรื่องการวางแผนฟ้ายังไม่อาจสู้เขาได้ แม่นางเยี่ยเม่ยพ่ายแพ้ให้กับเขาก็หาใช่เรื่องแปลก”


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เยี่ยเม่ยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเป่ยเฉินอี้เลย แต่ก่อนที่เขาจะมาถึงย่อมตรวจสอบนางจนหมดสิ้นแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยที่อยู่ด้านข้างกลับมีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เห็นได้ชัดว่าเมื่อเอ่ยถึงเป่ยเฉินอี้นางมีท่าทางโมโห “คนผู้นี้ฉลาดก็ฉลาด แต่เสียทีที่ไร้คุณธรรมน้ำใจ ไม่นับเป็นตัวดีอะไร”


 


 


เยี่ยเม่ยคิดถึงคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เอ่ยถึงเป่ยเฉินอี้ก่อนหน้า เรื่องบีบคั้นคนรักจนตาย พลันพยักหน้าเห็นด้วย   


 


 


จากนั้นเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ถูกต้อง ไม่ใช่ตัวดีอะไร อยากเอาชนะเขา เห็นทีข้าต้องเตรียมตัวให้มากหน่อย”


 


 


เวลานี้เองเจ้าเมืองหลินที่อยู่หน้าประตูก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านบอกแล้วว่าเช้าวันนี้จะให้เหตุผลกับพวกเรา”


 


 


เยี่ยเม่ยยังไม่ทันคิดให้ดีว่าจะให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแบกรับความผิดดีหรือไม่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ชิงเดินหน้าออกไป สายตาร้ายกาจตวัดมองคนทั้งหมด ถามว่า “พวกเจ้าอยากได้คำตอบแบบไหนกัน”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยประกายมารสีแดงก็แผ่พุ่งออกจากร่าง


 


 


คราวนี้คนของเป่ยเฉินที่หวาดกลัวเขาอยู่แล้วก็ตัวสั่นเทิ้ม คนที่ขวัญอ่อนหลายคนคุกเข่าลงทันที เมื่อหลายคนคุกเข่าคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าไม่ทำตาม ต่างตัวสั่นงกคุกเข่าลง


 


 


เจ้าเมืองหลินลิ้นพันกัน ทว่ายังฝืนเอ่ยว่า “คือว่า…คือ…เตี้ยนเซี่ย จิ่วหุนสังหารคนตั้งมากมาย ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา แต่เป็นการตายของแม่ทัพซ่างกวนและอดีตท่านเสนาบดี พวกเราไม่อาจทนดูโดยไม่ทำอะไรเลย เตี้ยนเซี่ย…”


 


 


 “อดีตเสนาบดีแซ่เริ่นผู้นั้นน่ะหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอวี้เหว่ยอย่างเนิบๆ


 


 


อวี้เหว่ย…. “เตี้ยนเซี่ย เขาแซ่หง”


 


 


 “อ้อ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว ไม่ช้าก็มองไปที่คนทั้งหมด เอ่ยเสียงเบาสบายว่า “ตาแก่แซ่หงผู้นั้น รวมถึงแม่ทัพซ่างกวน เยี่ยนรู้สึกว่าพวกเขาจริงจังเสียเหลือเกิน ดังนั้นจึงกำจัดทิ้งซะ อีกอย่างยังเห็นจิ่วหุนขัดตา ถึงได้ใส่ร้ายเขา พวกเจ้ามีปัญหาหรือไง หรือว่าเป็นคนสองตระกูลนี้คิดทวงความยุติธรรมกับเยี่ยน”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังเขาเอ่ยเช่นนี้ หัวใจเต้นระส่ำ


 


 


เดิมทีคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะบอกว่าตนเองสั่งการให้จิ่วหุนสังหารคน เขาเป็นตัวการของเรื่อง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแบกรับความผิดทั้งหมดไว้คนเดียว ทั้งยังบอกว่าใส่ร้ายจิ่วหุนอีก คิดแล้วคนด้านนอกก็ไม่กล้าทำอะไรเขา ในใจยิ่งเกลียดแค้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้ากระดูก


 


 


 “เอ๋?” เจ้าเมืองหลินชะงักงัน


 


 


เหล่าแม่ทัพที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นต่างมองหน้ากันไปมา


 


 


หากบอกว่าองค์ชายสี่ไม่ถูกชะตากับจิ่วหุนทุกคนก็เชื่อ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นหน้าก็ลงมือต่อยตี


 


 


 “เหตุใดวันนี้เตี้ยนเซี่ยถึงยอมเอ่ยความจริง” เจ้าเมืองหลินเอ่ยความสงสัยของคนทั้งหมดออกมา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็น ตอบว่า “เพราะว่าเยี่ยนได้รับอิทธิพลจากแม่นางเยี่ยเม่ย จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นบุรุษที่มีความรับผิดชอบถึงยินยอมแบกรับความผิดที่ก่อไว้ เข้าใจหรือยัง” 

 

 


ตอนที่ 213 เยือนหมู่ตึกกูเยว่

 

ครั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกมา


 


 


เยี่ยเม่ย ซือหม่าหรุ่ย รวมถึงซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงก็หันหน้ามองเขาเป็นตาเดียว


 


 


ความหมายในคำพูดของเขาคล้ายกับว่าความรับผิดชอบของเขาก็คือเรื่องที่ตัวเองทำไว้ก็ต้องรับผิดชอบ


 


 


แต่คนที่รู้ความจริงทั้งหลาย โดยเฉพาะเยี่ยเม่ยย่อมเข้าใจ


 


 


เขาแบกความรับผิดชอบทั้งหมดก็เพื่อรับความยุ่งยากแทนสตรีของตัวเอง


 


 


อวี้เหว่ยพรูลมหายใจยาวเหยียด คราวนี้ก็ดีเลย เดิมทีเตี้ยนเซี่ยก็เป็นบุคคลที่คนในเป่ยเฉินหวาดกลัวอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ปลูกฝังความแค้นเอาไว้ในใจคนทั้งหลาย


 


 


สำหรับชาวเป่ยเฉินผู้รักแผ่นดินทั้งหลาย การตายของเสนาบดีหงกับแม่ทัพซ่างกวนเป็นการจู่โจมอย่างร้ายแรง วันนี้เตี้ยนเซี่ยแบกรับเรื่องเอาไว้


 


 


ทุกคนพลอยเกลียดแค้นเตี้ยนเซี่ยแล้ว


 


 


 “เตี้ยนเซี่ยจะแบกรับความผิดนี้เอาไว้จริงๆ หรือ” เจ้าเมืองหลินมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนคำพูด


 


 


เพราะว่าความจริงเขาอยากกำจัดจิ่วหุนซะ ไม่แน่ว่าบุตรสาวของเขาจะได้เปลี่ยนไป อีกอย่าง…


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา ถามเสียงสบายว่า “หรือว่ามีคนไม่พอใจคิดแก้แค้นแทนพวกเขา เป็นเจ้า หรือพวกเจ้า”


 


 


พูดไป มือของเขาก็ชี้ไปยังเจ้าเมืองหลิน และเหล่าทหาร


 


 


ยามนี้อวี้เหว่ยตื่นเต้นใจระส่ำ ถึงกำลังภายในของเตี้ยนเซี่ยจะยังไม่ฟื้นฟู หากจะทำร้ายคนขึ้นมาต้องกำจัดพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บภายในจากการฝืนโคจรสักระยะหนึ่ง


 


 


เพียงแต่เขาคาดเดาภาพลักษณ์เตี้ยนเซี่ยของตนในใจผู้อื่นผิดแล้ว…


 


 


เมื่อทุกคนได้ยินว่าจะแก้แค้นกับองค์ชายสี่พลันตกใจจนหน้าซีดเซียว โดยเฉพาะคนที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชี้ตกใจเสียจนแทบตาเหลือก รู้สึกว่าตนแทบจะเป็นลมล้มพับไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกวาดสายตามองคนทั้งหมด น้ำเสียงทุ้มเอ่ยว่า “ความจริงเยี่ยนก็บาดเจ็บแล้ว เมื่อวานให้กำลังภายในขั้นหนึ่งออกไป ยามนี้เป็นเวลาที่เยี่ยนอ่อนแอที่สุดในรอบหลายปี หากทุกท่านคิดจะลงมือ ก็ต้องรีบฉวยโอกาส ผ่านพ้นวันนี้ไป ภายหน้าจะหาได้ยากแล้ว”


 


 


คนทั้งหมดฟังจบแล้ว ใจล้วนร่ำร้องฮี่ๆ ใครไม่รู้ความสามารถของท่าน ต่อให้สลายกำลังพลังขั้นสองไป พวกเขาก็ไม่มีความกล้าเข้าไปหาที่ตาย


 


 


เจ้าเมืองหลินรีบเอ่ยปากว่า “ไม่…ไม่มีอะไร ในเมื่อองค์ชายสี่เป็นคนกระทำ อย่างพวกเราก็…ก็…ขอตัวก่อนแล้ว” เขาตกใจเสียจนพูดจาตะกุกตะกัก


 


 


เหล่าทหารทั้งหมดรีบลุกขึ้น วิ่งตัวสั่นหนีตามเจ้าเมืองหลินไป


 


 


ต่อให้เป็นเหล่าแม่ทัพที่ไม่พอใจอยู่บ้างก็สีหน้าหวาดกลัวเผ่นหนีจากไป


 


 


องค์ชายสี่เป็นคนอย่างไร


 


 


อย่าว่าแต่อีกฝ่ายกระดิกนิ้วเพียงนิ้วเดียว พวกเขาก็เคราะห์ร้ายแล้ว หากอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดี พวกเขาทั้งครอบครัวต้องประสบเคราะห์กรรมแน่ องค์ชายสี่ในความรู้สึกของทุกคนคือปีศาจ ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง


 


 


มีใครบ้างที่เบื่อชีวิตทวงความยุติธรรมกับปีศาจ


 


 


เยี่ยเม่ยตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ดูท่าภาพลักษณ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในใจคนคงบรรลุถึงขั้นหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ ถึงได้ทำให้คนเหล่านี้ขวัญผวาถึงเพียงนี้


 


 


แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี


 


 


อย่างน้อยปัญหาในยามนี้ก็คลี่คลายหมดสิ้น แต่เยี่ยเม่ยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ คนทั้งหมดจากไปสิ้น พวกเขาที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคุณธรรมเล่า หนีหายไปไหนกันหมดแล้ว ไฉนไม่ยืนหยัดต่อไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับเข้าใจความแปลกใจของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยด้วยความอ่อนโยน “หลายๆ ครั้ง ความสามารถอยู่เหนือคุณธรรม”


 


 


ยามที่บรรลุพลังฝีมือถึงขั้นหนึ่ง คนทั้งหลายจะรู้สึกว่ารักษาคุณธรรมคือการสิ้นเปลืองชีวิตไปเปล่าๆ ครั้นพวกเขาพุ่งเข้ามาหาที่ตาย คุณธรรมไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ เพียงแต่ตายโดยสูญเปล่า เวลานี้พวกเขาก็จะรีบหมุนตัวถอยหนี ไม่เสียสละโดยไร้ประโยชน์


 


 


ในโลกนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือพลังฝีมือ


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”


 


 


หญิงสาวมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ข้าจะไปขอยาที่หมู่ตึกกูเยว่สักครั้ง และจะกลับมาภายในสิบวัน ช่วงนี้รบกวนท่านช่วยข้าดูแลจิ่วหุนด้วย ไม่แน่ว่าช่วงนี้เป่ยเฉินอี้อาจจะทำอะไรอีก เรื่องทั้งหมดของชายแดนฝากไว้ที่ท่านแล้ว นอกจากท่านแล้ว เกรงว่าคนอื่นจะแบกรับไม่ไหว”


 


 


“ไปขอยาที่หมู่ตึกกูเยว่อย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งสายตามองเยี่ยเม่ย ไม่เอ่ยถึงเรื่องปกป้องจิ่วหุน เพียงถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่หมู่ตึกกูเยว่มีคุณชายกูเยว่ผู้หนึ่ง”


 


 


อวี้เหว่ยลอบแหงนหน้ามองฟ้าเงียบๆ รู้อยู่ในใจว่าโรคขี้หึงของเตี้ยนเซี่ยจะกำเริบขึ้นอีกแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”


 


 


 “อืม ในเมื่อไม่รู้ก็ไปเถอะ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ในเมื่อไม่รู้เช่นนั้นนางก็ไม่ได้ต้องการไปชื่นชมบารมีของกูเยว่ เมื่อไปเพื่อขอยาจริงๆ เขาก็วางใจ


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


อะไรนะ


 


 


ทำไมนางถึงไม่เข้าใจเลยสักนิด


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่หลบอยู่ด้านข้างแอบอมยิ้ม ไม่ให้ผู้อื่นจับสังเกตได้ ก้าวแรกของการแย่งชิงน้องสะใภ้สำเร็จแล้ว…


 


 


ถึงการแบกรับความผิดแทนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้จะทำให้ซินเยว่เยี่ยนรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าเขาสมกับเป็นบุรุษ ทว่ามนุษย์มักมีความเห็นแก่ตัว ไม่ลองให้เยี่ยเม่ยพบน้องชายของตนดู ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไรกันแน่


 


 


จริงด้วย


 


 


เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย “หลายวันนี้ต้องฝากให้เจ้าดูแลจิ่วหุนด้วยแล้ว”


 


 


 “เจ้าวางใจเถอะ”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรับคำทันที


 


 


 “ข้ากลับหมู่ตึกกลับเจ้าด้วย เจ้าจะได้เข้าไปได้” ซินเยว่เยี่ยนรีบเสนอ


 


 


จงรั่วปิงก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเช่นกัน “ข้าก็ไปด้วย”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยไม่ปฏิเสธ ยามนี้จุดประสงค์ของเป่ยเฉินอี้ยังไม่แน่ชัด การเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลง มีคนมากขึ้นหนึ่งคนก็มีคนช่วยกันมากขึ้นหนึ่งคน


 


 


หลังจากสั่งการเรื่องทุกอย่างหมด เยี่ยเม่ยยังไม่วางใจอยู่บ้าง มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง “ท่านอย่าได้ไม่ช่วยจิ่วหุนอีก ยังมีอีกเรื่องก่อนข้ากลับมา คุ้มกันเมืองชายแดนให้ดี อย่ายั่วโมโหข้าเชียว”


 


 


 “น้อมรับคำสั่งสอนจากฮูหยิน” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทางสูงสง่าตอบรับด้วยความไม่พอใจ ทั้งเตือนด้วยเสียงนิ่งว่า “รีบกลับมา ความอดทนของเยี่ยนมีจำกัด”


 


 


 “ดี”


 


 


……


 


 


ผ่านไปสองวัน


 


 


เรื่องราวของจิ่วหุนแพร่ไปถึงเมืองหลวง


 


 


ในจวนต้าซือคง จงซานกำลังดื่มน้ำชาฟังองครักษ์ลับด้านข้างรายงานเรื่องนี้ พลันพ่นน้ำชาออกมาคำหนึ่ง “อะไรนะ องค์ชายสี่บอกว่า ตาแก่หงกับเจ้าซ่างกวนสารเลวนั่นถูกพระองค์สังหารอย่างนั้นหรือ”


 


 


องครักษ์ลับเตือนทันที “ใต้เท้า โปรดรักษากิริยาด้วย อย่าได้ด่าว่าคน”


 


 


เพราะว่าใต้เท้าชอบพูดวาจาหยาบคาย พลอยทำให้คุณหนูติดนิสัยชอบพูดคำหยาบไปด้วย ชวนให้ปวดหัวเหลือเกิน


 


 


จงซานโบกมือ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ เพียงแต่ปัญหาก็คือ…เจ้าสองคนนี้ ในปีนั้นไม่ใช่ข้าจ่ายเงินก้อนโตให้กับองค์กรนักฆ่าส่งจิ่วหุนไปสังหารหรือไง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสมองกลับไปแล้วหรือ ถึงได้ช่วยข้าแบกรับความผิด”


 


 


 “ใต้เท้า เกรงว่าจะไม่ใช่แบกรับผิดแทนท่าน แต่ช่วยผู้อื่นต่างหาก” จากนั้นองครักษ์ลับก็เล่าเรื่องราวในวันนั้นกับจงซานอย่างรวดเร็ว


 


 


จงซานพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ก็ดี พวกเจ้าไปสืบดูอีก ต้องหาทางยืนยันฐานะที่แท้จริงของเยี่ยเม่ยให้ได้”


 


 


 “ขอรับ” องครักษ์ล่าถอยออกไป


 


 


จงซานวางถ้วยชาในมือลง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “หวังว่าองค์หญิงซีจะยังไม่ตายจริงๆ”


 


 


……


 


 


วันที่สาม


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพาพวกเยี่ยเม่ยมาถึงหน้าประตูหมู่ตึกกูเยว่

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม