รักเล่ห์เร้นใจ 207-213
ตอนที่ 207 จัดการ
ทานข้าวแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็กลับไปห้องพักผ่อนของโรงถ่าย
ช่วงเวลาเที่ยงวัน ภายใต้แสงแดดแผดเผา นอกห้องพักผ่อนมีเสียงจิ้งหรีดร้องดังระงม ปุยเมฆยาวดูเหมือนต้องการพักผ่อนเหมือนกัน มันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับเลยสักนิด
อินเสี่ยวเสี่ยวหาที่นั่งได้ติดริมหน้าต่าง ห่างไปไม่ไกลนักมีคนงานหลายคนที่ไม่ได้กลับบ้านกำลังนอนกลางวันกัน ทั้งหมดนี้ช่างสงบเงียบเหลือเกิน
อินเสี่ยวเสี่ยวนอนอยู่บนโซฟานึกถึงสายตาที่ผู้คนรอบข้างมองเธอ และยังมีคำวิจารณ์ที่ระคายหูพวกนั้นอีก มันทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำผิดอะไรจึงต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
อินเสี่ยวเสี่ยวหายใจเข้าลึกนึกปลอบใจตัวเองว่า ‘พวกเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ฉันแค่ตั้งใจทำงานตัวเองให้ดีก็พอแล้ว บางทีเวลาผ่านไป ผู้คนก็จะลืมกันไปเองว่าฉันเป็นใคร’ นึกถึงตรงนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง ปิดตาลงแล้วหลับไป
เสียงรีบร้อนดังแว่วมา “ทำงานแล้ว ทำงานแล้ว” ทุกคนในกองถ่ายเริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องไม้ของตัวเอง เพื่อเริ่มทำงาน
อินเสี่ยวเสี่ยวลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย รีบลุกขึ้นจากโซฟา ล้างหน้าตาลวกๆ แล้วตรงไปทางห้องแต่งหน้า
ภายในห้องแต่งหน้า ช่างแต่งหน้ากำลังมือไม้เป็นระวิงอยู่นานแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดเอาจริง ส่วนมือก็เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว คนดูแลคิวแต่งหน้า ร้องตะโกนเร่งรัดว่า “เร็วหน่อย! เร็วหน่อย! เร่งมือหน่อย!”
อินเสี่ยวเสี่ยวยืนอยู่กับที่เพื่อรอแต่งหน้าต่อจากนักแสดงที่อยู่ตรงหน้าเธอ แต่รอไปรอมาก็ยังไม่ถึงคิวเธอสักที
พอเห็นว่าทุกคนจะเข้าฉากกันแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็ร้อนใจไปถามกับคนดูแลคิวด้านหน้าว่าทำไมยังไม่มีใครแต่งหน้าให้เธอเลย
คนดูแลคิวพลิกดูใบรายชื่อแล้วบอกกับเธอว่า ไม่ได้รับแจ้งมา ให้อินเสี่ยวเสี่ยวไปสอบถามดูจากที่อื่น
อินเสี่ยวเสี่ยวรีบไปหาทีมจัดหาคน หัวหน้าทีมกำลังจัดแบ่งงานกำลังคนอยู่ บรรยากาศดูเร่งรีบมาก รอจนคนงานแยกย้ายกันไปทำงานแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวรีบเข้าไปถามหัวหน้าทีมว่า “บ่ายนี้ไม่มีฉากของฉันเหรอคะ”
หัวหน้าทีมตวัดสายตามองอินเสี่ยวเสี่ยวที่รีบร้อนมาหาแวบหนึ่ง พูดว่า “ฉากของเธอมีคนแสดงแทนไปแล้ว วันนี้เธอพักก่อนเถอะ”
ผู้คนรอบข้างพากันหันมองมาทางอินเสี่ยวเสี่ยว นาทีต่อมาก็หันไปยุ่งกับงานของตัวเองต่อไป
อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งอึ้งไป ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นใจ นึกว่า ‘นึกไม่ถึงเลยว่าสถานะของผู้หญิงคนนั้นจะมีประโยชน์ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าฉันเป็นหลินหว่านจึงจัดหาบทให้ฉันแสดงล่ะซิ เอาเถอะ ฉันก็ไม่อยากจะคอยอาศัยใบบุญเธออีกแล้ว’
อินเสี่ยวเสี่ยวเดินออกจากโรงถ่ายไปตามลำพัง ทุกคนต่างกำลังยุ่งกับงานของตัวเอง แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ยังมีสายตาอีกนับไม่ถ้วนมองมาทางอินเสี่ยวเสี่ยว จะดูว่าตัวปลอมถูกขับออกจากกองถ่ายอย่างไรน่ะสิ
ขณะที่ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวกลับไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์หรือน้อยใจอะไรอย่างที่คิดไว้นัก ตรงกันข้ามใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายสบายใจ เธอไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาของคนอื่นอีกต่อไป
อินเสี่ยวเสี่ยวไปจากกองถ่าย คิดจะฉวยโอกาสผ่อนคลายตัวเองสักหน่อย สินค้าละลานตา ขนมของอร่อยถูกปาก ทำให้คนอารมณ์ดีขึ้นได้มากจริงๆ ซะด้วย
ช่างมันฉันไม่แคร์พวกคำครหาไร้สาระ ช่างมันฉันไม่แคร์จะหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกันอย่าวไร คนเรา สำคัญที่สุดคือความสบายใจ
มือซ้ายของอินเสี่ยวเสี่ยวถือเครื่องสำอางกองพะเนินที่เธอขนซื้อมา มือขวาถือปลาหมึกย่างราดพริกไม้หนึ่ง กัดกินอย่างเพลิดเพลิน
ชายกลางคนแต่งกายสุภาพท่าทางดูดีคนหนึ่งเข้ามาทักทายอินเสี่ยวเสี่ยว ชายกลางคนนั้นบอกความประสงค์ของเขาออกมาด้วยทีท่าไม่เร่งร้อนอะไร ที่แท้ชายกลางคนคนนี้เป็นผู้ช่วยของสวี่ม่อผู้กำกับชื่อดังของเมืองนี้ พอดีสวี่ม่อกับผู้ช่วยมาทำธุระละแวกนี้ เกิดสะดุดตาอินเสี่ยวเสี่ยวที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางฝูงชน เหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่อย่างไรอย่างนั้น บุคลิกลักษณะของเธอถูกตาผู้กำกับสวี่ม่อ จึงให้ผู้ช่วยมาถามอินเสี่ยวเสี่ยวดูว่าอยากเป็นนักแสดงหรือไม่
อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ‘ยามอับจนสิ้นหนทาง ประตูหนึ่งปิดลงเพื่อเปิดสู่เส้นทางสายใหม่ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง ฉันเพิ่งจะถูกไล่ออกมาจากกองถ่าย ก็มีคนสนใจฉันซะแล้ว แต่ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าเป็นเรื่องหน้าตาบุคลิกท่าทางนี่เราก็มั่นใจว่าเอาอยู่’
อินเสี่ยวเสี่ยวตอบผู้ช่วยของสวี่ม่อไปตามมารยาทว่า ก่อนหน้านี้เธอมีประสบการณ์การแสดงมาก่อน จึงพอจะมีความรู้ในการเป็นนักแสดงอยู่บ้าง
ผู้ช่วยยิ้มอย่างพอใจ ล้วงกระดาษปากกาออกมาจากอกเสื้อ เขียนที่อยู่แห่งหนึ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยแจ้งว่าพรุ่งนี้ให้เธอไปคุยเรื่องบทตามที่อยู่นี้ พอพูดจบ ผู้ช่วยก็กล่าวลาอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างสุภาพแล้วหมุนตัวเดินจากไป
อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูแผ่นกระดาษในมือ นึกในใจว่า ‘ผู้กำกับม่อสวี่ก็นับว่าเป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ ในเมื่อมีโอกาสดีขนาดนี้ งั้นก็ไปลองดูเถอะ’ อินเสี่ยวเสี่ยวเก็บกระดาษลงกระเป๋า แล้วเริ่มการดื่มกินขนานใหญ่อีกครั้ง อารมณ์ก็ดีงามยิ่งนักแล
อินเสี่ยวเสี่ยวมาตามหาที่อยู่ในมือจนพบ เธอมองดูการตกแต่งอย่างเลิศหรูอลังการตรงหน้าแล้ว คิดว่า ‘ผู้กำกับใหญ่นี่ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ ด้วย ทดสอบบทยังเลิศหรูซะขนาดนี้’
พอเดินเข้ามาในห้อง ก็พบว่านี่เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ชัดๆ ที่นั่งกันอยู่ก็มีแต่คนแปลกหน้าประเภทหน้าบวมฉุพุงหลาม ตามลำคอมือไม้ประดับทองคำกันวูบวาบละลานตา
ชายกลางคนที่มีผมขาวประปรายคนหนึ่งพอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามาก็เข้ามาทักทายอย่างอบอุ่น อินเสี่ยวเสี่ยวมองสำรวจดูแล้ว ก็พบว่านี่มันผู้กำกับสวี่ม่อที่เคยเห็นในทีวีไม่ใช่หรือไง
อินเสี่ยวเสี่ยวยิ้มน้อยๆ พูดว่า “สวัสดีค่ะ ผู้กำกับสวี่ ฉันชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว”
ผู้กำกับสวี่ยิ้มหน้าบาน จัดที่นั่งให้อินเสี่ยวเสี่ยวนั่งข้างเขา แล้วเทไวน์แดงให้อินเสี่ยวเสี่ยวแก้วหนึ่ง
ทุกคนในโต๊ะพากันมองมาที่อินเสี่ยวเสี่ยว ต่างก็ออกปากชมเปาะว่า ช่างเป็นคนงามเสียจริง
อินเสี่ยวเสี่ยวอึดอัดขัดเขินอยู่บ้าง ถามผู้กำกับสวี่ว่าจะขอดูบทหน่อยได้ไหม ผู้กำกับสวี่เทเหล้าอีกแก้ว ยิ้มแล้วบอกอินเสี่ยวเสี่ยวว่าไม่รีบ
อินเสี่ยวเสี่ยวที่มีสีหน้าสงสัยได้แต่รออย่างสงบ ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม
จู่ๆ ผู้กำกับสวี่ก็เอาแขนมาพาดไหล่ของอินเสี่ยวเสี่ยว ทำตาเชื่อมอย่างคนเมาเหล้า พูดว่า “คุณอิน ถ้าคุณยอมอยู่เป็นเพื่อนผม บทอะไรนั่นไม่ต้องดูหรอก พรุ่งนี้มาทดสอบบทหน้ากล้องได้เลย”
อินเสี่ยวเสี่ยวรีบเอามือผู้กำกับสวี่ออก นึกค้อนตาคว่ำอยู่ในใจ นี่มันสายสนกลในเสี่ยดันอย่างที่เล่าลือกันล่ะซิ น่าเกลียดชะมัด
อินเสี่ยวเสี่ยวดูท่าไม่ดีแล้วจึงรีบขอตัวไปห้องน้ำ เธอรีบโทรหาฮั่วเทียนอวี่ ให้เขารีบมาช่วยเธอ
อินเสี่ยวเสี่ยวหลบอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าออกมา จนกระทั่งฮั่วเทียนอวี่โทรบอกว่าเขามาถึงแล้วจึงเดินออกมาที่หน้าประตู
ผู้กำกับสวี่เห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวออกมาแล้ว ก็เดินหน้าตาแดงก่ำอย่างกับคนเมาเข้ามาหาเธอ ตั้งใจว่าจะดึงตัวอินเสี่ยวเสี่ยวกลับที่นั่งไปคุยกันต่อ
อินเสี่ยวเสี่ยวมีหรือจะกล้ากลับไปอีก แข็งใจยิ้มออกมา พูดว่า “ผู้กำกับสวี่คะ ฉันเพิ่งรับโทรศัพท์ว่าที่บ้านมีธุระด่วน ต้องรีบกลับไปค่ะ ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันนะคะ”
พูดจบก็จะออกจากประตูไป ผู้กำกับสวี่พูดเสียงอ้อแอ้ว่า “คุณอินไม่ต้องรีบร้อนไปหรอกน่า เดี๋ยวผมให้คนไปส่งคุณเอง”
อินเสี่ยวเสี่ยวขี้เกียจจะพิรี้พิไรอะไรอีก ในสามสิบหกกลยุทธ์ [1] ว่าไว้ หนีเอาตัวรอดไว้ก่อนเป็นยอดดี
ขณะจะออกจากประตูนั้นเอง ผู้ชายที่หน้าประตูรั้งตัวอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ไม่ให้ออกไป ขณะกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ฮั่วเทียนอวี่ที่ใบหน้าเครียดขมึงทึง พุ่งพรวดเข้ามาด้วยความโมโห พอเห็นว่าผู้ชายที่หน้าประตูกำลังมีเรื่องกับอินเสี่ยวเสี่ยว ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรอีกเข้าไปซัดโครมเข้าหนึ่งหมัด หมัดเดียวนี้ซัดจนผู้ชายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น
พอเห็นว่าด้านหลังมีกลุ่มคนที่เหมือนเป็นพวกแก๊งมาเฟียนั่นไล่ตามมา อินเสี่ยวเสี่ยวก็สูดลมหายใจเข้าลึก
——
[1] สามสิบหกกลยุทธ์ เป็นยุทธวิธีในการทำศึกสามสิบหกกลยุทธ์ตามตำราพิชัยสงครามของจีนโบราณ
ตอนที่ 208 นักข่าวรุมล้อม
เมื่อครู่อินเสี่ยวเสี่ยวดื่มเหล้าไปไม่น้อย ตอนนี้เธอจึงรู้สึกมึนงง เดินไม่ค่อยจะตรงทาง ต้องอาศัยฮั่วเทียนอวี่พยุงเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังโอนเอนไปมาอยู่ดี
“เสี่ยวเสี่ยว ระวังนะอย่าหกล้มไปล่ะ” ฮั่วเทียนอวี่พาตัวอินเสี่ยวเสี่ยวออกมาจากห้องงานเลี้ยง มาถึงหน้าประตูโรงแรม
ฮั่วเทียนอวี่กำลังจะพาตัวอินเสี่ยวเสี่ยวจากไป ทันใดนั้นก็เห็นนักข่าวกลุ่มใหญ่แห่แหนกันเข้ามาจากทุกทิศทาง พวกเขาถูกพวกนักข่าวที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนบ้างล้อมกรอบไว้ซะแล้ว
พวกนักข่าวรุมล้อมพวกเขาไว้เป็นชั้นๆ ปิดกั้นทางออกไปจากโรงแรมของพวกเขา จากนั้นแย่งกันยื่นไมค์เข้ามาถามปัญหาสารพัดกับพวกเขา
“คุณอิน ไม่ทราบว่าที่เมื่อวานคุณหลินบอกว่าคุณเป็นตัวแทนของเธอเป็นความจริงหรือไม่? คุณเป็นตัวสำรองที่ท่านประธานเซียวหามาแทนคุณหลินหลังจากที่เธอหายสาบสูญไปจริงหรือไม่ครับ?”
คุณหลินที่นักข่าวพูดถึงคืออี้อวิ๋นฉังที่สวมรอยเป็นหลินหว่าน เมื่อวานเธอปรากฏตัวในฐานะหลินหว่าน พูดต่อหน้าทุกคนว่าอินเสี่ยวเสี่ยวเป็นเพียงตัวสำรองของเธอ เป็นตัวปลอมคนหนึ่ง
ผู้คนมากมายได้เห็นเหตุการณ์นี้ อินเสี่ยวเสี่ยวจึงตกเป็นเป้าสายตาของสาธารณชน สังคมออนไลน์พากันพูดถึงเธอกันมากมาย
พวกนักข่าวเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวมีเรื่องให้ขุดคุ้ย พอรู้ว่าคืนนี้เธอมาร่วมทานอาหารกับสวี่ม่อที่นี่ จึงมารอเธอที่หน้าประตูโรงแรม เพื่อจะได้ ‘สัมภาษณ์’ อินเสี่ยวเสี่ยวซะหน่อย
ถ้าพวกเขาได้ข่าวนี้ พรุ่งนี้ต้องได้ขึ้นหน้าหนึ่งแน่ พาดหัวข้อข่าวว่า ‘ตะลึง! ตัวประกอบหญิงระดับปลายแถวเป็นตัวแทนสาวไฮโซ หน้าเหมือนหลินหว่านแฟนสาวที่มีข่าวก็อดซิปกับท่านประธานเซียวเป๊ะ’ แค่นี้ก็ได้ยอดคนดูถล่มทะลายแล้ว
“คุณอินคะ ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่คุณหลินบอกว่าคุณเป็นตัวสำรองของเธอ คุณกับท่านประธานเซียวมีความสัมพันธ์แบบนั้นจริงหรือเปล่าคะ คุณเข้าไปแทรกกลางระหว่างท่านประธานเซียวกับหลินหว่านจริงหรือไม่คะ”
“ได้ยินว่าท่านประธานเซียวกับคุณหลินอยู่ด้วยกันแล้ว คุณอิน คุณมีความเห็นอย่างไรบ้างคะ คุณจะถอนตัวออกมาจากความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนหรือไม่คะ”
……
นักข่าวถามไม่หยุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคน
ฮั่วเทียนอวี่ฟังคำถามของพวกนักข่าวแล้วสีหน้าคร่ำเครียด มือที่ประคองอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ดึงตัวเธอให้เข้าสู่อ้อมกอดของเขา ฝ่ามืออีกข้างกางปิดใบหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยว เขากระชากเสียงอย่างโกรธจัดใส่พวกนักข่าวว่า “พวกคุณอยากรู้เรื่องพวกนี้ก็ไปถามเซียวจิ่งสือนั่นสิ เธอไม่ใช่หลินหว่านซะหน่อย ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเซียวจิ่งสือสักนิด พวกคุณไม่ต้องถามอีกแล้ว!”
พูดพลางเขายึดตัวอินเสี่ยวเสี่ยวไว้แน่น แล้วทะลวงฝ่าวงล้อมของพวกนักข่าวออกมา เพื่อไปจากที่นั่น
แต่เขาไม่รู้เลยว่า ตอนที่นักข่าวห้อมล้อมกันเข้ามานั้น อินเสี่ยวเสี่ยวได้ยินเสียงวุ่นวายดังสับสน ขณะมึนงงอยู่นั่นได้เห็นแสงไฟแฟลชจากกล้องถ่ายภาพสว่างวาบไม่หยุด อาการมึนเมาก็ค่อยๆ สร่างคลายลงไปมาก
พอเธอได้ยินคำถามของพวกนักข่าว หัวใจก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงจนพรุนไปหมด จนสุดท้ายเมื่อเธอได้ยินข่าวว่าเซียวจิ่งสือกับ ‘หลินหว่าน’ อยู่ด้วยกันแล้ว ภายใต้ฝ่ามือกว้างใหญ่ของฮั่วเทียนอวี่นั้น แววตาของอินเสี่ยวเสี่ยวก็แจ่มใสขึ้น อาการมึนเมาของเธอสร่างหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ฮั่วเทียนอวี่พาตัวอินเสี่ยวเสี่ยวฝ่าวงล้อมของพวกนักข่าวออกมาได้แล้ว ก็ดึงให้อินเสี่ยวเสี่ยวเดินตรงไปข้างหน้า
พวกนักข่าวยังตามติดอยู่ด้านหลังอย่างไม่ลดละ ถามต่อไปว่า “คุณอินคะ ไม่ทราบว่าคุณกับผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นี้เป็นอะไรกัน? บอกหน่อยได้ไหมคะ”
“คุณคะ ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าคุณกับคุณอินมีความสัมพันธ์…”
“คุณอินคะ ได้ยินว่าเมื่อครู่คุณได้ร่วมโต๊ะทานอาหารกับผู้กำกับสวี่ม่อ ไม่ทราบว่าในเร็ววันนี้คุณมีแผนจะร่วมงานกับผู้กำกับสวี่ม่อหรือไม่คะ”
……
ฮั่วเทียนอวี่พาอินเสี่ยวเสี่ยวขึ้นรถแท็กซี่มาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าพวกนักข่าวตามพวกเขามาตลอดทาง และยังถ่ายภาพที่พวกเขาเข้าโรงแรมไปด้วยกันเอาไว้ด้วย
“เอาล่ะ เสี่ยวเสี่ยว เราสลัดหลุดคนพวกนั้นได้แล้ว วันนี้คุณคงเหนื่อยแล้ว พักผ่อนแต่หัวค่ำเถอะนะ” ภายในโรงแรม ฮั่วเทียนอวี่พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยว
“พี่เทียนอวี่คะ วันนี้ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ไปที่โรงแรมได้ทันเวลา แล้วก็…ยังช่วยฉันหนีจากนักข่าวพวกนั้นอีก” อินเสี่ยวเสี่ยวกล่าวขอบคุณฮั่วเทียนอวี่อย่างจริงใจ
ฮั่วเทียนอวี่เห็นสภาพของอินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้ว่าเธอสร่างเมาแล้ว พูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวเสี่ยว เธอก็รีบอาบน้ำนอนซะนะ เรื่องในวันนี้อย่าเอามาใส่ใจ ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป”
ฮั่วเทียนอวี่พูดจบก็ออกไปจากห้องของอินเสี่ยวเสี่ยว ส่วนอินเสี่ยวเสี่ยวหลังอาบน้ำเสร็จก็นอนลงบนเตียง นึกถึงคำพูดของพวกนักข่าว ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
เธอทำผิดอะไร? เธอกับฮั่วเทียนอวี่เติบโตมาจากหมู่บ้านด้วยกัน แต่เพราะเธอหน้าตาเหมือนหลินหว่านจึงถูกเซียวจิ่งสือพากลับมาที่นี่
แค่เพราะเธอหน้าเหมือน ‘หลินหว่าน’ เธอไม่ได้มีอะไรกับเซียวจิ่งสือเลย ก็ถูกคนเรียกหาว่าเป็นตัวสำรอง กล่าวหาว่าเธอเป็นมือที่สามเข้าไปแทรกกลางความรักของคนอื่น
เธอไม่ได้ทำผิดต่อ ‘หลินหว่าน’ เลยชัดๆ แต่ ‘หลินหว่าน’ กลับพุ่งเป้าความเกลียดชังและความขัดแย้งทั้งหมดมาที่เธอ บอกว่าเธอเป็นตัวปลอม เป็นตัวสำรองของเธอ…
วันรุ่งขึ้น เรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยวกลายเป็นข่าวปั้นจากเหล่านักข่าว ส่วนพวกชาวเน็ตก็เข้าไปด่าสาดเสียเทเสียเธอที่ข้างล่างหน้าข่าวของเธอ
‘อินเสี่ยวเสี่ยวเลี่ยงตอบปัญหาตัวสำรอง’ ข่าวนี้มุ่งประเด็นไปยังท่าทีของอินเสี่ยวเสี่ยวต่อสถานะการเป็นตัวสำรอง ชาวเน็ตซึ่งเดิมทีให้ความสนใจอินเสี่ยวเสี่ยวก็เพราะเรื่อง ‘ตัวสำรอง’ พอเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไรกับเรื่องนี้เลย ก็พากันเข้ามาด่า ว่าเธอเป็นโจรใจหวาดที่เป็นมือที่สามทำลายความรักของคนอื่น แล้วยังคิดจะสร้างความสนใจด้วยใบหน้าของตัวเองอีก…
‘อินเสี่ยวเสี่ยวไปร่วมทานอาหารกับผู้กำกับสวี่ม่อ อีกไม่นานทั้งสองอาจร่วมมือกัน’ โพสต์ด้านล่างข่าวนี้ชาวเน็ตเห็นว่าเธอคิดจะดังโดยยอมเอาตัวเข้าแลก เนื่องจากคนในวงการบันเทิงต่างก็รู้ดีว่าสวี่ม่อมีฉากหน้าเป็นสุภาพชน แต่แท้จริงแล้วเป็นผู้กำกับขี้หลีและเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า ชอบเคลมดาราสาวๆ เป็นที่สุด
ถ้าอินเสี่ยวเสี่ยวร่วมงานกับเขา แน่ใจได้เกินครึ่งว่าเธอขึ้นเตียงกับเขาไปแล้ว
ส่วนหัวข้อข่าวอื่นๆ ทำนองว่า ‘อินเสี่ยวเสี่ยวกับหนุ่มลึกลับค้างคืนในโรงแรมด้วยกัน’ ‘อินเสี่ยวเสี่ยวตามติดใกล้ชิดชายหนุ่มลึกลับ’ นั้น ชาวเน็ตต่างพากันเข้าไปด่าว่าอินเสี่ยวเสี่ยวเป็น ‘นังแพศยา’ ฯลฯ สารพัดคำหยาบคาย
ด้วยกระแสข่าวที่พวกนักข่าวเติมไฟใส่เชื้อเข้ามา อินเสี่ยวเสี่ยวจึงกลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงของสังคมไป เพียงแต่ไม่ใช่เป็น ‘คนดี’ เท่านั้นเอง กระแสความนิยมของชาวเน็ตทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวติดคำค้นยอดนิยม เพียงแต่ด้านหลังตามมาด้วยแฮชแท็ก ‘ไสหัวไปจากวงการบันเทิงซะ’
อินเสี่ยวเสี่ยวนั้น วันรุ่งขึ้นหลังออกจากโรงแรมกับฮั่วเทียนอวี่แล้ว ก็เห็นคำวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตด้วยเช่นกัน
ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกขุ่นเคืองมาก ทั้งเสียดายที่เมื่อคืนไม่ได้ตะบันหน้าพวกนักข่าวฝูงนั้น เขาได้แต่พูดปลอบอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “เสี่ยวเสี่ยว พวกเขาไม่รู้ความจริง คุณอย่าเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิดเด็ดขาดเลยนะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เทียนอวี่อย่าห่วงไปเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันจะไปทำงานก่อนนะ เธอมีอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน” ฮั่วเทียนอวี่สั่งย้ำแล้วย้ำอีก
“ค่ะ” หลังฮั่วเทียนอวี่ไปแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็กดสายของเซียวจิ่งสือที่โทรมาทิ้งไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ตอนที่ 209 จับตัว
เซียวจิ่งสือเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ตแล้วก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาอยากปลอบโยนอินเสี่ยวเสี่ยว แต่พอโทรหาเธอกลับไม่รับซะงั้น
ด้วยความว้าวุ่นใจ เซียวจิ่งสือโยนมือถือไว้บนโต๊ะอย่างหงุดหงิด คว้าหูโทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้าง โทรสายในเรียกให้เลขามาหา
“ท่านประธานเซียว คุณต้องการอะไรเหรอครับ” เลขามาที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ รอรับคำสั่งจากเขา
เซียวจิ่งสือพูดเสียงเย็นกับเลขาด้วยสีหน้าบูดบึ้งอย่างโมโหว่า “ให้คนของเราไปจัดการกับข่าวของอินเสี่ยวเสี่ยว ต่อไปอย่าให้ผมเห็นข่าวพวกนี้อีก”
“ครับ ท่านประธานเซียว ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย” เลขาเห็นเซียวจิ่งสือโกรธขนาดนี้ก็รีบรับคำ
“รอเดี๋ยว” เซียวจิ่งสือเรียกตัวเลขากำลังจะหมุนตัวออกไป เขานึกถึงเรื่องของผู้กำกับนั่น พูดอย่างโมโหว่า “หาหนังดีๆ ให้อินเสี่ยวเสี่ยวสักเรื่อง ไม่ต้องให้เธอไปแสดงหนังของผู้กำกับชั้นปลายแถวพวกนั้น”
“ครับ ท่านประธาน” เลขาเห็นเซียวจิ่งสือไม่มีเรื่องอื่นอีก ก็จากไป
ภายในคอนโดของอี้อวิ๋นฉัง เธอใช้มือถืออัพเดทข่าวของอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างสะใจ
จะไม่ให้สะใจได้อย่างไรกัน เมื่อคืน เธอเป็นคนแอบปล่อยข่าวที่อินเสี่ยวเสี่ยวไปร่วมทานข้าวกับสวี่ม่อให้กับนักข่าวเอง ทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวต้องเจอนักข่าวรุมล้อม
วันนี้พอเห็นรายงานข่าวเรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยวกับเสียงก่นด่าเธอจากชาวเน็ตและเสียงเรียกร้องให้เธอไสหัวไปจากวงการบันเทิง แน่นอนว่าเธอย่อมจะดีใจมากเลย
ตอนนั้นเอง มือถือมีสายหนึ่งเข้ามา อี้อวิ๋นฉังพอเห็นว่าเป็นสายจากแพทย์เฉพาะทางด้านสมองที่เธอติดต่อจากต่างประเทศก็รับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณหมอมาร์ติน …จริงเหรอคะ คุณมีวิธีดึงความทรงจำจากส่วนลึกของสมองได้จริงเหรอ”
“คุณอยู่ในประเทศแล้วเหรอคะ ฉันจะให้คนรถไปรับคุณนะคะ…ได้ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ…”
ที่แท้หมอเฉพาะทางด้านสมองที่เธอติดต่อไว้เดินทางมาถึงแล้ว อี้อวิ๋นฉังโทรเรียกให้คนขับรถของเธอไปรับเขาที่สนามบินแล้ว ก็มาที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ
เลขาเพิ่งออกจากห้อง อี้อวิ๋นฉังก็มาถึงห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ
“จิ่งสือ คุณทำอะไรอยู่คะ” อี้อวิ๋นฉังเห็นเซียวจิ่งสือก็ทักเสียงใสอย่างเริงร่า
“เธอมาทำไมน่ะ” เซียวจิ่งสือมองดูผู้หญิงที่แอบอ้างเป็นหลินหว่านตรงหน้านี้ กับใบหน้าที่เหมือนกับหลินหว่านแล้วยิ่งโมโห ถามเสียงเย็น
“ฉันก็อยากมาเจอหน้าคุณสิคะ จิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังเห็นเซียวจิ่งสือสีหน้าไม่ดีก็ชะงักกึก แล้วพูดขึ้น
“ผมกำลังยุ่ง คุณเห็นแล้วก็ไปได้แล้ว” เซียวจิ่งสือไม่พูดอะไรกับเธออีก มุ่งความสนใจไปที่เอกสาร
อี้อวิ๋นฉังได้ฟังก็โมโหมาก เธอรู้แล้วว่าที่เซียวจิ่งสือเย็นชากับเธอมาตลอด เป็นเพราะยังไม่เชื่อในตัวเธอแน่ๆ
บางทีเขาอาจรู้ดีอยู่แล้วตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอเป็นตัวปลอม เพียงแต่ไม่ได้ลงมือจัดการตัวปลอมอย่างเธอเท่านั้นเอง…
พอนึกถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกขัดใจ โมโหและโกรธแค้น ทำไมนะหัวใจของเซียวจิ่งสือจึงมีเพียงหลินหว่านคนเดียว เธอกับหลินหว่านเหมือนกันทุกอย่าง ทำไมเขาไม่ชอบเธอ!
ตอนนั้นเอง เธอเห็นมือถือของเซียวจิ่งสือที่เขาโยนทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน ซึ่งอยู่ใกล้ตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ พลันความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
อี้อวิ๋นฉังเดินเข้าไปนิ่งๆ แล้วหยิบมือถือเอาไว้ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ จากนั้นใช้โต๊ะทำงานบังสายตาเซียวจิ่งสือหย่อนมันลงกระเป๋าถือของตัวเอง จากนั้นพูดกับเซียวจิ่งสืออย่างเป็นธรรมชาติว่า “จิ่งสือ ฉันขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะคะ”
เซียวจิ่งสือมัวสนใจอ่านเอกสาร จึงไม่ทันได้เห็นการกระทำของอี้อวิ๋นฉังเมื่อครู่ เขารับคำง่ายๆ
อี้อวิ๋นฉังเอามือถือมาที่ห้องน้ำ หยิบออกมาเปิดดูก็เห็นว่ามีแต่สายโทรออกถึงอินเสี่ยวเสี่ยวเต็มไปหมด เธอนึกอย่างแค้นใจ และที่ทำให้เธอโมโหยิ่งกว่าคือ อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้รับเลยสักสายเดียว
พอนึกดูแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็ใช้มือถือของเซียวจิ่งสือส่งข้อความถึงอินเสี่ยวเสี่ยวความว่า “เรามาคุยกันหน่อยเถอะ ผมรอคุณอยู่ที่ร้านกาแฟข้างบริษัท”
ตอนอินเสี่ยวเสี่ยวได้รับข้อความ เดิมทีคิดจะไม่สนใจแต่ร่างกายเธอขยับเร็วกว่าสติก้าวหนึ่ง กว่าจะรู้ตัว เธอก็ตอบกลับไปแล้วว่า “ได้ค่ะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวคิดว่า ก็ดีเหมือนกัน เธอยังอยากจะถามเขาด้วยตัวเองว่าเซียวจิ่งสือเห็นเธอเป็นตัวสำรองหรือเปล่า นี่เป็นคำถามที่เธอยังไม่ได้ถามเขาต่อหน้า
อี้อวิ๋นฉังได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวตกลงออกมาพบ เธอก็ยิ้มเย็น จากนั้นลบข้อความทั้งสองจากบันทึกในมือถือ ออกจากห้องน้ำ
พอกลับมาที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสืออีกครั้ง อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าเซียวจิ่งสือไม่อยู่ในห้องทำงาน เธอวางมือถือกลับที่เดิมอย่างเงียบกริบ จากนั้นออกไปถามเลขาของเขา เลขาตอบว่าเซียวจิ่งสือไปประชุมแล้ว
อี้อวิ๋นฉังได้ฟังก็บอกว่าไม่อยู่รบกวนเซียวจิ่งสือแล้ว ขอกลับไปก่อน ให้เขาช่วยบอกเซียวจิ่งสือด้วย
พอออกมาจากบริษัทของเซียวจิ่งสือ อี้อวิ๋นฉังก็หยิบมือถือมาโทรออกสายหนึ่ง เธอถามว่า “รับตัวคุณหมอมาหรือยัง”
“รับมาแล้วครับ ตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับไปครับ” เสียงตอบจากปลายสาย
“แกพาเค้ามานี่เลย ฉันรออยู่ที่ร้านกาแฟข้างบริษัทของเซียวจิ่งสือ อีกอย่าง แกโทรเรียกคนมาด้วยอีกหลายคน ให้พวกเขารีบมาที่นี่ทันทีนะ” อี้อวิ๋นฉังสั่งเสียงเฉียบขาด
“คุณหนู นี่คุณหนูจะทำอะไร…” คนขับรถรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“แกไม่ต้องยุ่ง แกแค่โทรไปเรียกคนที่เชื่อถือได้มาสักหลายคนก็พอ ไม่ต้องเยอะมาก สักสามสี่คนก็แล้วกัน แต่ให้พวกเขาระวังตัวด้วย ไม่งั้นจะกลายเป็นจุดสนใจได้” อี้อวิ๋นฉังขมวดคิ้วสั่งการต่อยาวเหยียด
“ได้ครับ คุณหนู” คนรถตอบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวมาที่ร้านกาแฟข้างบริษัทของเซียวจิ่งสือ กลับพบเข้ากับ ‘หลินหว่าน’
“คุณอิน บังเอิญจังนะ ทำไมคุณก็มานี่ล่ะ” ‘หลินหว่าน’ ทักทายเธอ
อินเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงข่าวที่เซียวจิ่งสือกับ ‘หลินหว่าน’ อยู่ด้วยกัน แล้วนึกถึงเซียวจิ่งสือที่นัดเธอมาที่นี่ รู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง พูดว่า “บังเอิญน่ะค่ะ แต่ว่าคุณหลินคะ ฉันยังมีธุระอื่นอีก ไม่รบกวนเวลาของคุณแล้วค่ะ”
พูดพลาง อินเสี่ยวเสี่ยวก็เดินผ่านข้างกายอี้อวิ๋นฉังไป แต่ที่ไหนได้ ในเวลานั้นเอง อี้อวิ๋นฉังคว้าแขนอินเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้ พูดที่ข้างหูเธอว่า “คุณอินจะรีบไปหาเซียวจิ่งสือเหรอคะ หึหึ ไม่ต้องไปแล้ว เซียวจิ่งสือเขาไม่มารอเธอที่นี่หรอก ฉันเองเป็นคนนัดเธอออกมา”
อินเสี่ยวเสี่ยว หน้าเปลี่ยนสี ถามว่า “คุณ? คุณจะทำอะไรน่ะ?”
“เธอจะรู้เร็วๆ นี้ล่ะ” พูดพลาง อี้อวิ๋นฉังก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณกับคนของเธอที่ปลอมตัวเป็นคนที่อยู่โดยรอบ มีหลายคนเข้ามา จับตัวอินเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้
“ปล่อยฉัน…” อินเสี่ยวเสี่ยวถูกผู้ชายร่างกำยำหลายคนจับตัวไว้ ดิ้นไม่หลุด เธอถูกดึงตัวขึ้นรถ บนรถ อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นคนขับรถคนหนึ่งกับชาวต่างประเทศอีกคน เธอยังไม่ทันได้เห็นครบทุกคน ลูกน้องของอี้อวิ๋นฉังก็จับมัดมือเธอ ปิดตาและปิดเทปที่ปากเธอ จากนั้นก็บึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบว่าไปทางไหน
ตอนที่ 210 ส่วนลึกของความทรงจำ
ไม่รู้ว่ารถคันนั้นแล่นออกไปนานเท่าไร จึงมาถึงจุดหมายปลายทาง…ศูนย์วิจัยด้านสมอง
ตอนอินเสี่ยวเสี่ยวถูกจับขึ้นรถนั้น ไม่เพียงมือเท้าของเธอถูกมัดไว้ ตาถูกผ้าผูกตาปิดไว้ ปากก็ถูกปิดด้วยเทปกาว แล้วยังถูกฉีดตัวยาอะไรก็ไม่รู้เข้าอีก จากนั้นเธอก็หมดสติไป
“โอย คุณหนูอี้ นี่คือหนูทดลองของพวกเราคราวนี้งั้นเหรอ ช่างจัดการได้ง่ายดายซะเหลือเกิน” มาร์ตินฉีดยาสลบให้อินเสี่ยวเสี่ยว ในมือยังถือเข็มที่ภายในหลอดว่างเปล่า หันมายิ้มกับเธอพร้อมกับพูดด้วยภาษาจีนสำเนียงไม่ชัดนัก
อี้อวิ๋นฉังฟังแล้วขมวดคิ้ว “หึ มาร์ติน คุณอย่าให้เธอไปอะไรไปล่ะ ฉันยังต้องใช้ความทรงจำในหัวสมองของเธออยู่นะ”
มาร์ตินฟังแล้วก็ชูเข็มในมือขึ้น หัวเราะพลางว่า “วางใจเถอะน่า คุณหนูอี้ ข้างในนี้แค่ยาธรรมดาเอง ไม่ส่งผลอะไรกับความทรงจำของเธอหรอก”
มาร์ตินก็คือหมอเฉพาะทางด้านสมองที่อี้อวิ๋นฉังเชิญมาจากต่างประเทศในครั้งนี้นั่นเอง ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะเพิ่งมาถึง แต่เมื่อก่อนเขาเคยทำวิจัยอยู่ในประเทศจีนมาเป็นเวลานาน จึงพูดภาษาจีนได้ไม่เลวนัก
จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ก็คือศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งซึ่งเมื่อก่อนมาร์ตินเคยทำวิจัยอยู่ในประเทศจีนมาหลายปี
พอถึงจุดหมาย อี้อวิ๋นฉังและมาร์ตินลงจากรถก่อน คนขับรถแบกร่างอินเสี่ยวเสี่ยวตามติดพวกเขาไป ส่วนพวกลูกน้องอี้อวิ๋นฉังให้พวกเขากลับไปก่อน
ศูนย์วิจัยห้ามบุคคลภายนอกเข้า แต่หมอมาร์ตินมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง ทั้งยังเคยทำวิจัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน เขาจึงพาอี้อวิ๋นฉังกับพวกเข้ามาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
มาร์ตินพาพวกเขามาที่ด้านหลังศูนย์วิจัย ทันใดนั้นก็มีชายผมหยักศกสีน้ำตาลทองคนหนึ่งโผล่มาต้อนรับ เขารูปร่างผอมสูง โครงหน้าเป็นสัน เบ้าตาลึก จมูกโด่งเป็นสันกับดวงตาสีฟ้า หน้าตาบอกว่าเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง
แต่ที่ไหนได้พอเขาเอ่ยปากกลับพูดเป็นภาษาจีนคล่องปรื๋อ “อาจารย์ครับ ไม่เจอกันนาน ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว!” เขาพูดกับมาร์ตินอย่างตื่นเต้นดีใจ
อี้อวิ๋นฉังเห็นเขาแล้วขมวดคิ้ว มาร์ตินทักทายกับชายคนนั้นแล้ว รีบหันมาอธิบายกับเธอว่า “คุณหนูอี้ นี่คือลูกศิษย์ของผม เป็นนักสะกดจิต ผมคิดว่าบางทีเขาอาจมีส่วนช่วยต่อแผนการของเราก็ได้ จึงให้เขาเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย…แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่ชอบ ก็คิดซะว่าเขาเป็นผู้ช่วยผมก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” อี้อวิ๋นฉังคิดดูแล้วพูดขึ้น
ชายคนนั้นรีบหันมาทักทายอี้อวิ๋นฉัง “สวัสดีครับ คุณหนูอี้ ผมชื่อเบนนี่”
“สวัสดีค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเรียบ
ต่อจากนั้น มาร์ตินและเบนนี่ก็นำทางอี้อวิ๋นฉังกับคนรถที่แบกร่างอินเสี่ยวเสี่ยวไปยังส่วนลึกของศูนย์วิจัย ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงห้องใต้ดินหลังหนึ่ง
“มาร์ติน นี่คุณทำอะไรน่ะ” อี้อวิ๋นฉังเห็นมาร์ตินพาเธอมาที่ห้องใต้ดินก็ถามอย่างสงสัย
“คุณหนูอี้ เดี๋ยวคุณก็รู้ ตอนนี้ เข้ามาก่อนเถอะ” พูดพลางมาร์ตินก็เปิดประตูห้อง
ประตูเปิดออก อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าภายในเป็นห้องโล่งกว้าง จัดวางเครื่องมือแพทย์สารพัดชนิด ทั้งมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ต้องการความละเอียดสูงอีกหลายอย่างวางรวมอยู่ด้วยกัน ดูแล้วมีความเป็นมืออาชีพมากทีเดียว
ทุกคนเดินเข้าไป มาร์ตินพูดกับคนรถว่า “เอาล่ะ วางคนไข้ของเราไว้บนเตียงด้านในเถอะ” พูดพลางก็ชี้ไปยังส่วนลึกของห้อง
ถึงตอนนี้ อี้อวิ๋นฉังจึงเห็นว่าภายในห้องยังมีกั้นห้องอีกแห่ง วางเตียงสองตัวกับอุปกรณ์ขนาดใหญ่กว่าและเยอะกว่าอีกด้วย
คนรถวางร่างที่ยังไร้สติของอินเสี่ยวเสี่ยวไว้บนเตียงหลังหนึ่งแล้ว มาร์ตินก็พูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “คุณหนูอี้ คุณไปนอนอีกเตียงหนึ่งเถอะ ผมจะได้รีบดำเนินการตามแผน เชื่อมือผม อีกไม่นาน คุณก็จะได้ครอบครองความทรงจำของเด็กผู้หญิงคนนี้”
“จริงเหรอคะ” อี้อวิ๋นฉังพอได้ฟัง ตาเป็นประกายวาววับ แล้วรีบนอนลงบนเตียงอีกหลังหนึ่ง
“แน่นอนอยู่แล้ว คุณหนูอี้ คุณรอดูก็แล้วกัน!”
อี้อวิ๋นฉังกับอินเสี่ยวเสี่ยวนอนลงแล้ว มาร์ตินก็ให้เบนนี่สะกดจิตอี้อวิ๋นฉัง จากนั้นก็ติดสารพัด ‘ท่อ’ ลงบนศีรษะของพวกเธอทั้งสอง
‘ท่อ’ พวกนี้ไม่ใช่ท่อธรรมดาทั่วไป พวกเขาใช้อุปกรณ์ควบคุมพวกมันเพื่อส่องดูความทรงจำส่วนลึกในสมองของคนเรา และยังสามารถใช้มันส่งผ่านความทรงจำไปให้อีกคนหนึ่งได้ด้วย
หลังจากติด ‘ท่อ’ แล้ว มาร์ตินก็เริ่มจัดการให้เครื่องทำงาน ดึงความทรงจำจากส่วนลึกของสมองอินเสี่ยวเสี่ยวออกมาอย่างช้าๆ
อี้อวิ๋นฉังพอถูกสะกดจิต ก็นอนลงบนเตียง เหมือนเข้าสู่ภาวะหลับลึกในห้วงความฝัน
ในฝัน เธอเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่ง คือเซียวจิ่งสือ เธอเข้าไปหาเขาอย่างยินดี แต่เขาไม่ได้เดินมาทางเธอ กลับเดินไปที่ข้างกายผู้หญิงอีกคน คืออินเสี่ยวเสี่ยว และก็คือหลินหว่าน
อี้อวิ๋นฉังดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่า นี่คือหลินหว่าน และนี่คือภาพความทรงจำของอินเสี่ยวเสี่ยวก่อนสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้เธอได้เห็นความทรงจำของอินเสี่ยวเสี่ยว
ไม่นานนัก อี้อวิ๋นฉังก็เห็นหลินหว่าน เป็นภาพที่อินเสี่ยวเสี่ยวตอนที่อยู่กับเซียวจิ่งสือก่อนสูญเสียความทรงจำ นาทีที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาที่พวกเขานัดเดทกันเป็นครั้งแรก นาทีที่หลินหว่านหวั่นไหวต่อเซียวจิ่งสือเป็นครั้งแรก…ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นความทรงจำอันงดงามที่มีต่อเซียวจิ่งสือซึ่งหลินหว่านเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
อี้อวิ๋นฉังทางหนึ่งจดจำความทรงจำเหล่านี้ เพื่อใช้ในยามที่เซียวจิ่งสือเค้นถามเธออีก ทางหนึ่งก็สำรวจดูหลินหว่านอย่างละเอียด เพื่อต่อไปจะได้ลอกเลียนท่าทางของเธอให้ได้ดียิ่งขึ้น
อี้อวิ๋นฉังดูความทรงจำจนหมด เธอค่อยๆ ฟื้นคืนสติ รู้สึกตัวตื่นขึ้น
“คุณหนูอี้ ตื่นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ความทรงจำพวกนี้อยู่ในสมองของคุณแล้วหรือยัง”
อี้อวิ๋นฉังลืมตาขึ้น ก็เห็นมาร์ตินถามเธอด้วยทีท่าร้อนรนและรอคอยคำตอบ
อี้อวิ๋นฉังใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความทรงจำพวกนี้ ผงกศีรษะ “อื้ม ความทรงจำพวกนี้ ฉันเห็นมันทั้งหมดแล้ว วางใจได้ เรื่องนี้สำเร็จแล้วฉันจะโอนค่าตอบแทนเข้าบัญชีให้คุณแน่”
“หึหึ ขอบคุณคุณหนูอี้มากเลยครับ” มาร์ตินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “งั้นคุณหนูอี้รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ”
“ไม่มีนี่” อี้อวิ๋นฉังส่ายศีรษะตอบ
ตอนนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณหนูอี้? คุณไม่ใช่หลินหว่าน? คุณเป็นใครกันแน่?”
ที่แท้ตอนที่อี้อวิ๋นฉังได้สติตื่นขึ้นมา อินเสี่ยวเสี่ยวที่หมดสติอยู่ก็ฟื้นขึ้นมาด้วย เธอจึงได้ยินคำสนทนาของพวกเขาทั้งสองอย่างชัดเจน
อี้อวิ๋นฉังหันไปทางต้นเสียงแล้วขึงตาใส่อินเสี่ยวเสี่ยวอย่างโกรธแค้น บ้าชะมัด ให้หล่อนรู้ว่าเธอไม่ใช่หลินหว่านตัวจริงจนได้สิน่า แววตาของอี้อวิ๋นฉังทอประกายดุร้ายขึ้นมา
ตอนจับตัวอินเสี่ยวเสี่ยวมานั้น เธอได้เผยตัวให้อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นแล้ว ตอนนี้ ยังให้เธอรู้ว่าตัวตนของเธอเป็นของปลอมอีก ดูท่าว่าเธอจะปล่อยให้เธอกลับไปอีกไม่ได้ซะแล้ว ไม่อย่างนั้น เธอไปพูดมั่วซั่วต่อหน้าเซียวจิ่งสือแล้วจะทำอย่างไร อย่างนั้นไม่ทันไรเธอคงต้องถูกเปิดโปงแน่!
คิดดูแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็ถามมาร์ตินว่า “ลูกศิษย์ของคุณเมื่อกี้ไปไหนแล้ว”
มาร์ตินตอบอย่างไม่เข้าใจนักว่า “เขาไปจัดเก็บเครื่องมือแล้ว คุณหนูอี้ คุณหาเขามาทำไมครับ”
ตอนที่ 211 หลินหว่านตัวจริงตัวปลอม
อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเย็นชาว่า “เขาสะกดจิตได้ไม่ใช่เหรอ คุณให้เขาสะกดจิตเธอสิ ทำให้เธอลืมเรื่องที่เห็นและได้ยินเมื่อครู่นี้ทั้งหมด”
มาร์ตินเข้าใจได้ทันที ชมเปาะว่า “คุณหนูอี้ ช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ ” จากนั้นออกไปเรียกตัวเบนนี่ที่จัดเก็บอุปกรณ์อยู่ด้านนอกเข้ามา
เบนนี่ฟังคำพูดของมาร์ตินแล้ว ก็เป็นกังวลอยู่บ้าง เขาพูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “คุณหนูอี้ คุณต้องการให้ทำแบบนี้จริงๆ เหรอ ผมขอพูดตรงๆ เลยนะ การสะกดจิตแม้ว่าจะสามารถทำให้คนเราลืมความทรงจำช่วงหนึ่งไปได้ แต่ผลที่ได้อาจทำให้คุณไม่พอใจนักก็ได้”
“คำพูดของคุณหมายความว่าอย่างไร” อี้อวิ๋นฉังถามอย่างไม่เข้าใจ
“คุณหนูอี้ การสะกดจิตเป็นการกระทำต่อจิตใต้สำนึกของคนอื่น นั่นก็คือ คนที่ถูกสะกดจิตเมื่อได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว อาจจำได้ว่าตัวเองถูกสะกดจิตก็เป็นได้ครับ” เบนนี่อธิบาย
“แน่นอนว่า บางคนอาจตกอยู่ในภาวะสะกดจิตตลอดจนไม่สามารถฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้อีก และสภาพการฟื้นความทรงจำส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในอีกหลายปีให้หลัง มีส่วนน้อยมากๆ ที่ความทรงจำจะกลับมาทันทีหลังการสะกดจิต” เบนนี่พูดเสริมตามติดขึ้นมา
อี้อวิ๋นฉังได้ฟังคำอธิบายแล้ว พูดว่า “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลไป คุณแค่สะกดจิตให้เธอลืมความทรงจำในวันนี้ก็พอ”
“ไม่นะ! พวกแกอย่าหวังว่าจะสะกดจิตฉันได้!” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของพวกเขาแล้ว พูดแย้งขึ้น
แต่ถึงจะต่อต้านขัดขืนก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนดึงความทรงจำ มาร์ตินได้ฉีดยาชาอย่างแรงให้เธอเข็มหนึ่ง เพื่อป้องกันว่าระหว่างการดึงความทรงจำเธอจะตื่นขึ้นมาทำลายแผนการได้ ฤทธิ์ของยาชานี้ยังไม่หมดไป ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวตลอดร่างไร้เรี่ยวแรง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเมื่อครู่เธอไม่ได้รีบหนีนั่นเอง
ในสภาพที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านเลยสักนิดนี้ เธอจึงถูกเบนนี่สะกดจิตโดยง่าย ลบล้างความทรงจำออกไป
หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวถูกสะกดจิตแล้ว มาร์ตินก็จัดให้เธอไปอยู่ในห้องด้านข้างของห้องใต้ดินห้องหนึ่ง ที่นี่เป็นห้องทดลองของเขา เป็นสถานที่ที่เขารักมากที่สุด เขาไม่ยอมให้คนทั่วไปอยู่ในห้องนี้ไปตลอดแน่
อี้อวิ๋นฉังย่อมจะไม่ยอมให้เธอปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยง่ายอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลินหว่านก่อนสูญเสียความทรงจำ หรือเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวหลังสูญเสียความทรงจำก็ตาม เพราะว่าต่อไปเธอก็คือหลินหว่านอย่างแท้จริงแล้ว
แต่ว่า เก็บตัวอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ก่อนชั่วคราวบางทีอาจมีประโยชน์อื่นอีก อี้อวิ๋นฉังสั่งให้คนรถไปเฝ้าดูอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ให้ดีแล้วก็เตรียมจะกลับออกไป
แต่ในตอนนั้นเอง ภายในห้องใต้ดินเกิดเสียงมือถือดังขึ้น อี้อวิ๋นฉังเงี่ยหูฟังแล้วพบว่าเสียงมือถือดังมาจากทางอินเสี่ยวเสี่ยว เธอจึงมาที่ข้างกายอินเสี่ยวเสี่ยวหยิบมือถือของเธอขึ้นมา
พอเห็นหน้าจอเป็นชื่อของเซียวจิ่งสือ อี้อวิ๋นฉังคิดดูแล้วรับสาย ดัดเสียงเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวพูดว่า “ท่านประธานเซียว…คุณมีอะไรเหรอคะ”
“เสี่ยวเสี่ยว ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” เซียวจิ่งสือไม่รู้เลยว่าคนที่รับโทรศัพท์ไม่ใช่อินเสี่ยวเสี่ยว กว่าเขาจะหาเวลาว่างมาโทรศัพท์หาเธอได้ นึกถึงว่าตอนเช้าทำอย่างไรอินเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ยอมรับสายเขา ตอนนี้พอเห็นว่ามีคนรับสายเขาก็รีบถามอินเสี่ยวเสี่ยว
“ฉ…ฉันอยู่ข้างนอกค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูด
พอนึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้า เซียวจิ่งสือก็รีบพูดปลอบเธอว่า “เสี่ยวเสี่ยว คำพูดบนอินเทอร์เน็ตเธอไม่ต้องสนใจมากนักหรอก ฉันให้คนไปจัดการแล้ว อีกไม่นานคุณก็จะไม่ต้องเห็นข่าวพวกนั้นอีก”
“ฉ…ฉันไม่ได้สนใจค่ะ ขอบคุณนะคะ จิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังทำท่าว่าปลาบปลื้มใจ ที่จริงในใจริษยาจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว ทำไมเซียวจิ่งสือจึงดีต่ออินเสี่ยวเสี่ยวนักนะ? แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังช่วยปัดเป่าให้อินเสี่ยวเสี่ยว แต่กลับไม่ยอมสนใจเธอเลย
“ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวเสี่ยว” เซียวจิ่งสือนึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองโทรหาแล้วพูดอีกว่า “เสี่ยวเสี่ยว ตอนนี้คุณอยู่ไหน ผมจะให้คนรถไปรับคุณ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เราทานอาหารค่ำด้วยกันเถอะ”
อี้อวิ๋นฉังนึกถึงสถานที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้แล้ว ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ จิ่ง…ประธานเซียว คุณส่งที่อยู่ให้ฉัน ฉันจะไปหาเองก็แล้วกันค่ะ”
เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าวันนี้อินเสี่ยวเสี่ยวออกจะไม่ปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน เขาพูดว่า “อย่างงั้นก็ได้ แต่ตอนนี้ผมยังอยู่ที่บริษัท ยังมีงานต้องทำอีกหน่อย คุณมาหาผมที่บริษัทก่อนเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ค่ะ ท่านประธานเซียว” อี้อวิ๋นฉังพูดจบก็วางสาย
หลังจากวางสายไปแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็รู้สึกกระหยิ่มใจมาก ก่อนหน้านี้เธอถูกเซียวจิ่งสือตั้งข้อสงสัย เพราะเธอไม่ค่อยเข้าใจหลินหว่าน ตอนนี้ เธอมีความทรงจำของหลินหว่านตอนที่อยู่กับเซียวจิ่งสือ เธอจะเลียนแบบหลินหว่านย่อมเป็นเรื่องง่ายดายมาก เธอสามารถหลอกเซียวจิ่งสือในโทรศัพท์ได้ เธอเชื่อว่าแค่ระวังตัวสักหน่อย ในยามปกติย่อมจะหลอกเซียวจิ่งสือได้แน่!
อี้อวิ๋นฉังไปจากศูนย์วิจัยแล้ว ก็เปลี่ยนมาใส่ชุดในแบบที่อินเสี่ยวเสี่ยวสวมในยามปกติ มาที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ
“เสี่ยวเสี่ยว คุณมาแล้ว” เซียวจิ่งสือพอเห็น ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ ก็ทักขึ้นอย่างดีใจ
“อื้อ” อี้อวิ๋นฉังเลียนแบบวิธีพูดของอินเสี่ยวเสี่ยวตอนที่พูดคุยกับเซียวจิ่งสือ
“เสี่ยวเสี่ยว คุณนั่งรออยู่นี่สักครู่นะ ให้ผมอ่านเอกสารในมือนี่เสร็จก่อน นะครับ” เซียวจิ่งสือไม่ชอบให้งานค้างไปอีกวัน จึงพูดกับ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ อย่างอดทน
อี้อวิ๋นฉังฟังแล้ว เห็นตรงหน้าเซียวจิ่งสือยังมีเอกสารกองอยู่อีกตั้งมาก เธอขมวดคิ้วแล้วถามว่า “จิ่ง…ท่านประธานเซียวคะ งานคุณยังไม่เสร็จเหรอคะ”
“อื้อ เธอวางใจได้ อีกเดี๋ยวก็เสร็จ รอไม่นานนักหรอก” เซียวจิ่งสือพูดปลอบเธอ
พูดจบ เซียวจิ่งสือก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้า ถามว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวเสี่ยว ตอนเช้าวันนี้คุณไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์ผม”
อี้อวิ๋นฉังตอบว่า “ตอนเช้า ฉ…ฉัน ไปแวะกองถ่ายมาค่ะ มือถือปิดเสียงเลยไม่ได้ยินค่ะ”
อี้อวิ๋นฉังลืมนึกไปว่า ละครเรื่องก่อนหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยวปิดกล้องไปแล้ว และยังไม่ได้รับละครเรื่องใหม่ จะไปที่กองถ่ายได้อย่างไรกัน
“งั้นเหรอ” เซียวจิ่งสือถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นพูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “จริงสิ เสี่ยวเสี่ยว คุณอย่าไปร่วมงานกับผู้กำกับปลายแถวพวกนั้นอีกเลยนะ ผมให้เลขาช่วยหาหนังดีๆ เรื่องหนึ่งให้คุณเล่น คุณก็ตั้งใจแสดงหนังเรื่องนี้ให้ดีก็พอแล้ว นะครับ?”
“ขอบคุณค่ะ จิ่งสือ!” อี้อวิ๋นฉังฟังแล้วใจหนึ่งหึงหวง อีกทางหนึ่งก็พูดอย่าง ‘ปลาบปลื้มยินดี’
“ไม่เป็นไรหรอก” พอเห็นท่าทีเช่นนี้ของ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ เซียวจิ่งสือก็รู้สึกผิดปกติมาก ปกติตอนหลินหว่านรับแสดงหนัง ไม่เคยรับปากง่ายๆ แบบนี้มาก่อน ทุกเรื่องที่เธอรับแสดง จะต้องทำความเข้าใจกับหนังเรื่องนั้นอย่างละเอียดซะก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับแสดงหนังเรื่องนั้น แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ถามข้อมูลรายละเอียดของหนังเลยสักนิด…
ถึงแม้ว่าตอนนี้หลินหว่านจะสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่เซียวจิ่งสือยังนึกสงสัยอยู่ดี นี่เป็นจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่งของเขา ดังนั้นเอง พอเสร็จงานแล้ว เซียวจิ่งสือก็ฉวยโอกาสช่วงก่อนจะไปทานข้าวกับ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ แวะหาเลขา แล้วให้เขาส่งคนไปสืบเรื่องของหลินหว่านตัวปลอมที่ก่อนหน้านี้อยู่กับเขา
ตอนที่ 212 ฟื้นฟูความทรงจำ
ถึงแม้เซียวจิ่งสือจะเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ แต่เขายังขับรถพา ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ มายังร้านอาหารที่เปิดให้บริการแบบส่วนบุคคลแห่งหนึ่ง
ร้านอาหารแห่งนี้ ตอนที่หลินหว่านยังไม่สูญเสียความทรงจำ เซียวจิ่งสือมักจะพาหลินหว่านมาทานที่นี่เป็นประจำ หลังจากหลินหว่านเสียความทรงจำไปแล้ว เพื่อช่วยให้หลินหว่านฟื้นความทรงจำ เขาก็เคยพาเธอมาที่นี่เช่นกัน
ตอนนี้สิ่งที่เขารอคอยอยู่ทุกคนก็คือเมื่อไหร่อินเสี่ยวเสี่ยวจะฟื้นความทรงจำ และจำเขาได้ซะที
เซียวจิ่งสือกับ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ มาถึงห้องทานอาหารแล้ว เขาให้ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ สั่งอาหารก่อนส่วนหนึ่ง จากนั้นเขาจึงสั่งเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง แล้วส่งเมนูคืนให้พนักงานบริการ
พนักงานบริการจากไปแล้ว อี้อวิ๋นฉังมองเซียวจิ่งสือแล้วแกล้งถามเหมือนมีลับลมคมนัยว่า “จิ่งสือ คุณยังจำได้ไหมคะ ว่าพวกเรามาทานข้าวที่นี่ด้วยกันครั้งแรกเมื่อไหร่”
ครั้งแรก? เซียวจิ่งสือคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขากับหลินหว่านมาที่นี่ครั้งแรก เป็นตอนที่หลินหว่านได้รับรางวัลดาราดาวรุ่งดวงใหม่ยอดเยี่ยมของทางโทรทัศน์ และเป็นรางวัลที่สำคัญมากรางวัลแรกในชีวิตของหลินหว่านอีกด้วย คืนนั้น เขาพาหลินหว่านมาที่นี่ครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขาบอกรักเธออย่างเป็นทางการ แต่ถูกเธอปฏิเสธ…
เซียวจิ่งสือหวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ แล้วชะงักกึก ตามมาด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างเหลือเชื่อ เขามองดู ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ แล้วถามเธออย่างตื่นเต้น “เสี่ยวเสี่ยว ไม่สิ หว่านหว่าน…เธอ…เธอ เธอจำได้แล้วเหรอ”
อี้อวิ๋นฉังเห็นดังนั้นก็ผงกศีรษะอย่างดีใจ รับคำกับเซียวจิ่งสือว่า “ใช่ค่ะ จิ่งสือ ฉันจำได้ทั้งหมดแล้ว”
“จริงเหรอ คุณจำได้เมื่อไหร่กัน ทำไมคุณไม่บอกผม” เซียวจิ่งสือโพล่งคำถามเป็นชุดอย่างยินดีจนอดใจไม่อยู่
อี้อวิ๋นฉังเตรียมคำพูดมาอย่างดีแต่แรก เธออธิบายให้เซียวจิ่งสือฟังว่า “ฉันจำได้เช้าวันนี้เองค่ะ ฉันยังไม่รู้ว่าทำไม ตื่นขึ้นมาตอนเช้าจู่ๆ ก็ได้ความจำกลับคืนมา ที่ฉันไม่ได้รีบบอกคุณแต่แรก ก็เพราะอยากจะเซอร์ไพร์สคุณอย่างไรละคะ จิ่งสือ คุณไม่โกรธฉันใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอก ไม่มีทางเลย” เซียวจิ่งสือพอฟังว่าหลินหว่านความทรงจำกลับมาแล้ว ถึงแม้จะตื่นเต้นดีใจจนลืมตัวไปชั่วครู่ แต่พอมานึกใคร่ครวญดูแล้ว กลับรู้สึกว่า ‘หลินหว่าน’ ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง ดังนั้น จึงยิ่งสงสัยคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก
อี้อวิ๋นฉังเห็นสีหน้าเซียวจิ่งสือผิดปกติไป ก็เลียนแบบน้ำเสียงของหลินหว่านพูดว่า “จิ่งสือคะ ขอบคุณที่ดูแลฉันมาตลอด ยิ่งหลังจากที่ฉันตกไปในทะเล คุณยังตามหาตัวฉันที่สูญเสียความทรงจำไปจนเจอ แล้วพาฉันกลับมา ฉันขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก หว่านหว่าน ผมชอบคุณ นี่เป็นสิ่งที่ผมควรจะทำอยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือพูดพลางขมวดคิ้ว
ตอนนั้นเอง บริกรยกอาหารที่ทั้งสองสั่งไว้มาให้ จึงช่วยคลี่คลายบรรยากาศอึดอัดของทั้งสองลงไปได้ชั่วคราว
บริกรออกไปแล้ว อาหารเต็มโต๊ะอยู่ตรงหน้า เซียวจิ่งสือคีบกุ้งตัวหนึ่งให้ ‘หลินหว่าน’ ด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ เขาคีบใส่ถ้วยของเธอแล้วพูดว่า “คุณทานให้มากๆ นะ หว่านหว่าน”
อี้อวิ๋นฉังเห็นแล้ว รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเธอรู้ว่า ที่แท้แล้วเซียวจิ่งสือกำลังแอบทดสอบเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงยิ้มอย่างมั่นใจว่า “จิ่งสือ คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าฉันไม่ชอบทานกุ้งนะ”
“งั้นเหรอ งั้นเมื่อก่อนตอนเราทำกับข้าวด้วยกัน ทำไมคุณชอบทำแต่กุ้งล่ะ” เซียวจิ่งสือถามหยั่งดูอีก
“ก็เพราะคุณชอบทานน่ะสิคะ จิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังรับลูกจากเซียวจิ่งสือโดยไม่มีท่าทีลำบากเลยสักนิด
อี้อวิ๋นฉังรู้เรื่องพวกนี้จากความทรงจำของหลินหว่าน หลินหว่านไม่ชอบอาหารทะเล แต่เซียวจิ่งสือกลับชอบอาหารทะเล
ลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของหลินหว่านพวกนี้ เมื่อก่อนตอนที่เธอสืบเรื่องของหลินหว่าน ยังสืบไม่ได้เลย ถ้าเธอไม่ได้เห็นความทรงจำของหลินหว่านมาก่อน ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจเผยพิรุธเข้าแล้ว!
แต่ว่าเธอไม่ได้สั่งกุ้ง เซียวจิ่งสือเป็นคนสั่งต่างหาก ซึ่งก็หมายความว่าเซียวจิ่งสืออาจเริ่มสงสัยเธอเข้าแล้ว!
อี้อวิ๋นฉังไม่เข้าใจเลย มีจุดไหนที่เธอเลียนแบบหลินหว่านได้ไม่เหมือนกันนะ ทำไมเซียวจิ่งสือจึงสงสัยเธออยู่เรื่อย?
เซียวจิ่งสือพอฟังคำพูดของ ‘หลินหว่าน’ ความรู้สึกสงสัยก็ลดลงไปไม่น้อย เพราะนอกจากหลินหว่านแล้ว คนอื่นก็ไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้ของเขากับหลินหว่าน พอมาคิดดูแล้ว เซียวจิ่งสือก็พูดอีกว่า “งั้นเมื่อไหร่คุณจะทำให้ผมทานอีกล่ะ หว่านหว่าน”
อี้อวิ๋นฉังหน้าซีด เธอทำกับข้าวไม่เป็น ดูท่าว่าหากคิดจะแอบอ้างเป็นหลินหว่านต่อไป ยังต้องไปฝึกทำครัวซะแล้ว
“เอาไว้คราวหลังพอมีเวลาว่างแล้วกันค่ะ ใช่แล้ว จิ่งสือคะ คุณบอกว่าให้เลขาหาหนังให้ฉันแสดงเรื่องหนึ่งใช่ไหมคะ เป็นหนังอะไรคะ” อี้อวิ๋นฉังรีบทำเปลี่ยนเรื่องคุยเนียนๆ
“เรื่องนี้ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ไว้พรุ่งนี้ ผมจะให้เลขาส่งข้อมูลหนังเรื่องนี้มาให้คุณ คุณก็อ่านดูดีๆ แล้วกัน ถ้ามีตรงไหนไม่พอใจ ก็ให้เขาเปลี่ยนเรื่องใหม่ให้คุณนะ” เซียวจิ่งสือตอบ
“ขอบคุณนะคะ จิ่งสือ แต่ฉันว่าไม่ต้องยุ่งยากแล้วละคะ” อี้อวิ๋นฉังต่อหน้าพูดอย่างซาบซึ้งใจกับเซียวจิ่งสือ แต่ในใจกลับริษยาหลินหว่านแทบลงไปดิ้นตายแล้ว
เซียวจิ่งสือดีกับหลินหว่านขนาดนี้เชียว หาหนังมาให้เธอเลือกแสดง! ไม่ได้แล้ว เธอไม่เพียงจะต้องสวมรอยแทนหลินหว่าน ยังต้องเข้าแทนที่หลินหว่านในใจของเซียวจิ่งสืออีกด้วย!
ตอนใกล้เสร็จสิ้นอาหารค่ำ จู่ๆ อี้อวิ๋นฉังดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “จริงสิคะ จิ่งสือ ตอนนี้ฉันก็ได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว คงไม่เหมาะที่จะอยู่กับฮั่วเทียนอวี่ต่อไปอีก คุณให้ฉันกลับไปที่บริษัทเถอะ นะคะ?”
เซียวจิ่งสือฟังแล้วขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาก็นึกถึงปัญหานี้อยู่เหมือนกัน
ให้หลินหว่านอยู่กับฮั่วเทียนอวี่ต่อไป จะอย่างไรเซียวจิ่งสือก็ไม่ยอมแน่ พอมาคิดดูแล้ว เขาพูดว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะให้กุญแจห้องที่เมื่อก่อนคุณเคยอยู่ไว้ คุณอยู่ที่นั่นต่อไปก็แล้วกัน ส่วนเรื่องบริษัทนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้คุณสูญเสียความทรงจำ ผมเกรงว่าคุณจะถูกทำร้ายอีก จึงให้คุณใช้สถานะของอินเสี่ยวเสี่ยว กลับไปแล้ว ผมจะประกาศสถานะที่แท้จริงของคุณให้คนในบริษัทรับทราบไว้ก็แล้วกัน”
ก่อนที่หลินหว่านจะสูญเสียความทรงจำ ตอนที่เธอยังเป็นนักแสดงอยู่นั้น ทางบริษัทของเซียวจิ่งสือช่วยจัดหาที่อยู่ให้เธอ หลังสูญเสียความทรงจำแล้ว ที่ที่เธอกับฮั่วเทียนอยู่เป็นห้องเช่าที่ฮั่วเทียนอวี่หามาเอง
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมอี้อวิ๋นฉังจึงขอให้เซียวจิ่งสืออนุญาตให้เธอกลับเข้าบริษัท เพราะเธอไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับฮั่วเทียนอวี่ แต่ถ้าจะกลับไปอยู่คอนโดของตัวเอง ก็จะเผยพิรุธได้โดยง่าย
อี้อวิ๋นฉังฟังคำของเซียวจิ่งสือแล้วพอใจมาก พูดอย่างสบายใจว่า “ขอบคุณค่ะ จิ่งสือ งั้นก็แล้วแต่คุณจะจัดการก็แล้วกันค่ะ”
“คุณไม่ต้องเกรงใจไปหรอก หว่านหว่าน” เซียวจิ่งสือยิ้มพลางพูดขึ้น เซียวจิ่งสือสงสัยว่า ‘หลินหว่าน’ ที่ตรงหน้านี้เป็นตัวปลอม เพราะบางครั้งคนที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกหน้าอย่างหนึ่ง แต่ในบางเวลาเธอก็ทำให้เขารู้สึกว่าคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หลังอาหาร เซียวจิ่งสือมอบกุญแจห้องให้กับ ‘หลินหว่าน’ และจะส่งเธอกลับไป อี้อวิ๋นฉังรีบปฏิเสธ เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดหมายที่ทำให้เซียวจิ่งสือจับได้คาหนังคาเขา
ตอนที่ 213 เอาชนะ
ภายในห้องใต้ดินที่มืดมิด อินเสี่ยวเสี่ยวฟื้นคืนสติจากการสะกดจิต แต่กลับพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่เธอไม่รู้จัก พอเธอคุ้นเคยกับความมืดก็มองสำรวจไปโดยรอบ ที่นี่เป็นห้องที่ไม่กว้างนักแต่ก็ไม่แคบเล็กเช่นกัน รอบข้างเป็นประตูปิดสนิทและผนังล้อมรอบ ผนังด้านหลังมีเพียงหน้าต่างเล็กๆ บานหนึ่ง แต่ก็เล็กมาก ทั้งไม่มีแสงลอดเข้ามาเลยด้วย
ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เนื่องจากอินเสี่ยวเสี่ยวถูกสะกดจิต จึงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด ตอนนี้ เธอสงสัยมาก ทั้งรู้สึกเคว้งคว้างและอับจนหนทาง
แต่ในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน อินเสี่ยวเสี่ยวลุกขึ้นเดินไปที่ประตู หมุนลูกบิดประตู แต่ก็เหมือนที่เธอคิดไว้ ประตูล็อคอยู่เปิดไม่ออก
ดูท่าว่ามีคนจับตัวเธอมา แล้วขังเธอไว้ที่นี่
อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าใครจับเธอมาขังไว้ที่นี่ จึงได้แต่ทุบประตูอย่างแรง เสียงดัง “ปังๆ ” พร้อมกับร้องตะโกนว่า “มีคนอยู่ไหม? ปล่อยฉันออกไปนะ! มีคนอยู่ไหม! ปล่อยฉันออกไปนะ…”
อินเสี่ยวเสี่ยวร้องเรียกอยู่ครู่หนึ่ง พลันด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังมา จากนั้นก็มีคนใช้กุญแจเปิดประตูจากด้านนอก
ประตูถูกผลักเปิดออก คนที่เข้ามาเปิดไฟในห้อง เพียงชั่วครู่ทั้งห้องก็สว่างไสว อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่ามีชายชาวต่างชาติตัวอ้วนๆ ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“คุณเป็นใคร? คุณเป็นคนจับฉันมาที่นี่งั้นเหรอ?” อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งอึ้งไปวูบ แล้วถามอย่างระวังตัว
“จะเป็นผมได้อย่างไร ผมจะทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้กับเด็กผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณได้อย่างไรกัน” มาร์ตินปฏิเสธ พลางมองสำรวจอินเสี่ยวเสี่ยวตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนรถของอี้อวิ๋นฉังมีธุระออกไปข้างนอก ตอนนี้ยังไม่กลับเข้ามา เขาได้ยินเสียงร้องเรียกของผู้หญิงที่ถูกขังในห้องใต้ดินนี้ จึงเกิดความสนใจหยิบเอากุญแจเปิดประตูเข้ามา
อินเสี่ยวเสี่ยวถอยไปก้าวหนึ่ง เธอไม่เชื่อคำพูดผู้ชายคนนี้เลยสักนิด ถามอีกว่า “งั้นคุณเป็นใคร คุณอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่คุณแล้วยังจะเป็นใครได้อีก? ทำไมคุณต้องจับฉันมาที่นี่ด้วย แล้ว…ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
อินเสี่ยวเสี่ยวถามข้อสงสัยในใจทั้งหมดในอึดใจเดียว มาร์ตินได้ฟังก็ก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง หัวเราะเบาๆ พลางแก้ข้อสงสัยของเธอทีละข้อ “ผมชื่อมาร์ติน เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง คนที่จับคุณมาที่นี่ไม่ใช่ผมจริงๆ แต่ว่าผมก็บอกคุณไม่ได้ว่าเป็นใคร ที่นี่เป็นศูนย์วิจัยด้านสมอง คุณก็ทำตัวดีๆ อยู่ที่นี่ซะเถอะ”
“ศูนย์วิจัยด้านสมอง? พวกคุณจับฉันมานี่ทำไมกัน?” อินเสี่ยวเสี่ยวจับจุดสำคัญได้ทันควัน ถามกลับ
“หึ เพราะว่ามีคนสนใจความทรงจำในอดีตในสมองคุณนะสิ” มาร์ตินตอบเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
อินเสี่ยวเสี่ยวยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก พูดอย่างสงสัยว่า “ความทรงจำของฉัน? แต่ก่อนหน้านี้ฉันสูญเสียความทรงจำนี่?”
ทันใดนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวก็ฉุกคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ ถามอีกว่า “ไม่ใช่สิ คุณบอกว่าคุณเป็นหมอด้านสมองนี่! พวกคุณจับฉันมานี่ ต้องการอะไรกันแน่?”
“ไม่มีอะไรหรอก เมื่อกี้ผมแค่พูดมั่วไปงั้นเอง” มาร์ตินกลัวว่าตัวเองจะหลุดปากอีก จึงพูดตัดบทขึ้น และเพื่อหลอกล่ออินเสี่ยวเสี่ยว เขาพูดอีกว่า “คุณอิน คุณอยากฟื้นฟูความทรงจำในอดีตไหมล่ะ”
“คุณช่วยฉันให้ฟื้นความทรงจำได้เหรอ” อินเสี่ยวเสี่ยวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ได้แน่นอน ผมมีดีกรีเป็นถึงแพทย์เฉพาะทางด้านสมองที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีผลงานวิจัยระดับแนวหน้าของโลกเชียวนะ” มาร์ตินพูดอย่างภูมิใจ
“จริงเหรอคะ”
“จริงแท้แน่นอนอยู่แล้ว”
“งั้น คุณจะช่วยฉันฟื้นฟูความทรงจำได้อย่างไร? โอ๊ะ! ค…คุณ…คุณเป็นอะไรไปน่ะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวถามมาร์ตินอย่างประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นผู้ชายตรงหน้ากลับล้มลงกับพื้น สั่นกระตุกไปทั้งตัว กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกไม่หยุด ทำเอาเธอตกใจจนสะดุ้งเฮือก
“มาร์ติน? มาร์ติน? คุณเป็นอะไรไป?” อินเสี่ยวเสี่ยวเข้าไปถามเขาที่ข้างตัวอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังระวังตัว ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป
“ม…มอร์ฟีน…” มาร์ตินนอนชักกระตุกอยู่บนพื้น ม่านตาขยาย น้ำมูกน้ำตาไหลพราก พึมพำคำนี้ออกมาไม่หยุด ท่าทางทุกข์ทรมาน
อินเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังก็รู้ว่านั่นเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง อย่างนี้เขาคงไม่ได้กำลังอยากยาล่ะมั้ง พอนึกถึงตรงนี้ เธอก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
แต่นี่กลับเป็นโอกาสดีที่จะหนี อินเสี่ยวเสี่ยวฉุกคิดขึ้นได้ จากนั้นเธอก็อ้อมผ่านร่างของมาร์ตินไปอย่างระวังตัว เดินออกไปจากห้องใต้ดินนี้
พอออกจากห้องใต้ดินแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็มีหวังที่จะหนีเต็มที่ เธอไม่รู้ว่าด้านนอกเป็นที่ไหน และไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร แต่เธอก็ได้แต่ตรงไปข้างหน้าไม่หยุด เธอต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้!
แต่พออินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งเดินผ่านระเบียงแห่งหนึ่งไป ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งเดินมาทางนี้
ทางระเบียงมืดเกินไป อินเสี่ยวเสี่ยวมองไม่เห็นหน้าคนที่มา เธอรู้สึกหวาดกลัวมาก เกรงว่าจะเป็นคนที่มาจับเธอกลับไป พอเงาร่างนั้นเดินเข้าใกล้ ไฟทางระเบียงสว่างขึ้น เธอจึงเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือ ‘หลินหว่าน’ !
ความทรงจำวันนี้ทั้งวันของอินเสี่ยวเสี่ยวถูกสะกดจิตให้ลืมไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงลืมไปแล้วว่า ‘หลินหว่าน’ จับตัวเธอมา พอเห็น ‘หลินหว่าน’ ความรู้สึกท้อแท้เมื่อครู่ก็กลับมีความหวังที่จะหลบหนีอีกครั้ง เธอขอความช่วยเหลือจาก ‘หลินหว่าน’ “คุณหลิน! ฉันคืออินเสี่ยวเสี่ยว ช่วยฉันด้วย! พาฉันออกไปจากที่นี่ที…”
อินเสี่ยวเสี่ยวพูดไปเสียงก็ค่อยๆ เบาลง เพราะเธอเห็นแล้วว่า ‘หลินหว่าน’ ค่อยๆ หยิบมีดพกเล่มหนึ่งออกมา สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยแววตามุ่งร้ายหมายจะฆ่าให้ตาย…
“คุณหลิน นี่คุณจะทำอะไรน่ะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างหวาดกลัวและคาดไม่ถึง
“อินเสี่ยวเสี่ยว โลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีเธออีกแล้ว” อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเย็น ถือมีดพกเดินเข้าหาอินเสี่ยวเสี่ยวทีละก้าว
ตอนนี้เธอมีความทรงจำในอดีตของหลินหว่าน เข้าแทนที่หลินหว่านได้ทั้งหมดแล้ว ถึงแม้จะยังไม่อาจได้รับความเชื่อถือจากเซียวจิ่งสือได้ทั้งหมด แต่เธอเชื่อว่า นั่นเป็นเรื่องอีกไม่นานนัก แต่เธอจะให้อินเสี่ยวเสี่ยวปรากฏตัวต่อหน้าเซียวจิ่งสือทำลายแผนการของเธอ เปิดโปงตัวตนของเธอไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้น พอแยกจากเซียวจิ่งสือ ความคิดแรกของเธอก็คือกำจัดหลินหว่านทิ้งซะ จากนั้นไม่ว่าหลินหว่านหรืออินเสี่ยวเสี่ยว ก็จะเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว
ตอนที่อี้อวิ๋นฉังแทงมีดเข้าใส่อินเสี่ยวเสี่ยวนั้น คิดไม่ถึงว่าอินเสี่ยวเสี่ยวจะหลบรอดไปได้
ทั้งอินเสี่ยวเสี่ยวและอี้อวิ๋นฉังต่างก็ประหลาดใจ เธอไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้เคยฝึกซ้อมแสดงบทต่อสู้อยู่พักหนึ่ง ทำให้ท่าทางการเคลื่อนไหวของเธอคล่องแคล่วว่องไวมาก
อี้อวิ๋นฉังรู้สึกขัดใจ ตวัดแทงอินเสี่ยวเสี่ยวไปอีก อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นเช่นนั้นก็จำต้องต่อสู้กับเธอบ้าง
แต่อี้อวิ๋นฉังที่เป็นคุณหนูมีคนคอยดูแลรับใช้จะสู้กับอินเสี่ยวเสี่ยวที่เคยฝึกการต่อสู้ในการแสดงมาได้อย่างไร สุดท้ายกลายเป็นว่าเธอสู้อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้
อินเสี่ยวเสี่ยวพอเอาชนะอี้อวิ๋นฉังได้ก็ฉวยโอกาสตอนเธอล้มลงกับพื้น รีบหลบหนีไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น