ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 206-213

 ตอนที่ 206 คาดเดา 


 


 


           เมื่อถังโจวโจวแต่งตัวให้ลั่วอิงเรียบร้อยแล้ว ก็อุ้มเธอออกมาจากห้องน้ำและวางเธอลงบนเตียง “รีบมุดเข้าไปในผ้าห่มเลยค่ะ ระวังจะหนาวเอา” 


 


 


“แม่โจวโจวขา คุณแม่อย่าบอกคุณพ่อนะคะว่าหนูเร่งคุณแม่ เดี๋ยวคุณพ่อจะว่าหนู” 


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วอิงยังรู้จักบอกให้เธอเก็บเป็นความลับ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเด็กๆ นั้นช่างมีด้านที่แตกต่างออกไป ซึ่งนั่นมักจะทำให้เธอประหลาดใจ 


 


 


“ค่ะ แม่โจวโจวสัญญา แล้วหนูก็ไม่ต้องรบเร้าคุณแม่แล้วนะคะ ถึงเวลาเดี๋ยวน้องๆ ก็มาเอง แล้วหนูก็จะได้เป็นพี่ใหญ่แน่ๆ ค่ะ” ถังโจวโจวสงบนิ่งลงไปมาก ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนเธออยากจะรีบมีลูก แต่ตอนนี้กลับไม่คิดอย่างนั้นแล้ว 


 


 


มันก็เหมือนกับที่ลั่วเซ่าเชินพูดกับเธอตั้งแต่แรก ตอนนี้พวกเขามีสมบัติล้ำค่าอย่างลั่วอิงอยู่แล้วทั้งคน ซึ่งนั่นมันก็เพียงพอแล้ว ถังโจวโจวมองดูลั่วอิงที่นอนเอนตัวอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งในรูปที่สุสานที่ลั่วเซ่าเชินพาเธอไป หน้าตาของผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนลั่วอิงอยู่เหมือนกัน? 


 


 


ไม่สิ ควรจะพูดว่า ลั่วอิงดูเหมือนเธอ เธอคงไม่ใช่แม่แท้ๆ ของลั่วอิงหรอกใช่ไหม? แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ซูเสี่ยวเป็นแฟนของพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ แล้วเธอจะมีอะไรกับลั่วเซ่าเชินได้อย่างไร ถังโจวโจวรู้สึกว่าตัวเองชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่ ถึงได้คิดเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นได้ 


 


 


แต่ลึกๆ ถังโจวโจวก็ยังคงสงสัยและแอบเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เมื่อเธอสบโอกาส เธอค่อยสืบหาความจริงอีกทีแล้วกัน ตั้งแต่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ถังโจวโจวก็มักจะเปรียบเทียบใบหน้าของลั่วอิงกับรูปภาพของซูเสี่ยวในความทรงจำอยู่เสมอ ยิ่งเธอนึกถึงมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้ว่าทั้งสองคนเหมือนกันมากเท่านั้น 


 


 


ถังโจวโจวทุบศีรษะเบาๆ ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงคิดไม่ได้นะ? ตอนนี้เธอไม่มีรูปของซูเสี่ยวด้วย และนี่มันก็เป็นแค่การคาดเดาของเธอ อัตราความเป็นจริงไม่ได้สูงมากนัก ถังโจวโจวมั่นใจมากว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่แตะต้องพี่สะใภ้อย่างแน่นอน ดังนั้นสมมติฐานของเธอจึงไม่สมเหตุสมผล 


 


 


เป็นเพราะถังโจวโจวกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อลั่วอิงเห็นถังโจวโจวยืนเหม่ออยู่ข้างเตียง เธอจึงถามขึ้นว่า “แม่โจวโจวเป็นอะไรไปคะ” 


 


 


“อ๊ะ?! เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร แม่โจวโจวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ความคิดในใจของถังโจวโจวตอนนี้มันเป็นแค่การคาดเดา มันยังไม่ได้รับการยืนยัน เธอจึงยังไม่กล้าเอ่ยปากกับลั่วอิง หากเธอทำให้ลั่วอิงสะเทือนใจขึ้นมาก็คงจะไม่ดี 


 


 


ถังโจวโจวหยิบเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องน้ำ ในขณะที่เธออาบน้ำอยู่ เธอก็ยังคงนึกถึงประเด็นนั้น ถังโจวโจวคิดว่าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใครบางคน หากเรื่องนี้ยังค้างคาอยู่ในหัวของเธอ เธอคงจะนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิทเป็นแน่ 


 


 


หลังจากอาบน้ำเสร็จ ถังโจวโจวก็สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มและกอดลั่วอิงเอาไว้ “แม่โจวโจวขา คุณแม่ไม่ได้เล่านิทานให้หนูฟังมานานแล้ว” 


 


 


“จ้ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้แม่โจวโจวจะเล่าเรื่องเจ้ากระรอกน้อยให้หนูฟังดีไหมคะ” 


 


 


ลั่วอิงพยักหน้า ถังโจวโจวเอื้อมมือไปหยิบหนังสือนิทานที่วางอยู่บนหัวเตียง แม้ว่าที่นี่เป็นห้องของเธอ แต่ถังโจวโจวก็มีหนังสือเด็กวางไว้แถวๆ นี้หนึ่งเล่ม เผื่อในกรณีที่ลั่วอิงมานอนด้วยแล้วอยากฟังนิทานแต่เธอเล่าไม่ออก 


 


 


น้ำเสียงนุ่มนวลของถังโจวโจวดังขึ้นภายในห้อง ลั่วอิงผล็อยหลับไปหลังจากฟังนิทานได้ไม่นาน เมื่อเธอเล่านิทานจบ ถังโจวโจวก็พบว่าลั่วอิงหลับไปแล้ว เธอค่อยๆ ดึงมือของตัวเองออกมาอย่างเบามือ ก่อนจะวางหนังสือนิทานกลับที่เดิม 


 


 


เธอปิดไฟดวงใหญ่ในห้องและเหลือทิ้งไว้เพียงโคมไฟดวงเล็กสีส้มนวลที่อยู่ทางฝั่งเธอ ซึ่งเธอตั้งใจเปิดไว้ให้ลั่วเซ่าเชินโดยเฉพาะ ถังโจวโจวหาวหวอดใหญ่ เธอเองก็เริ่มรู้สึกง่วงแล้วเหมือนกัน เธอจึงเลื่อนตัวเข้าไปในผ้าห่มและโอบกอดลั่วอิงเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับตามไป 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเปิดประตูเข้ามา ถังโจวโจวกับลั่วอิงก็หลับสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาลดน้ำหนักฝีเท้าลง เขาอาบน้ำมาเรียบร้อยแล้วก่อนจะมาที่ห้องนี้ ดังนั้นลั่วเซ่าเชินจึงซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มและวาดแขนโอบทั้งถังโจวโจวและลั่วอิงเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยน 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 207 ถามฟังหยวน 


 


 


           ถังโจวโจวมีข้อสงสัยเกี่ยวกับชาติกำเนิดของลั่วอิง หากเธอเดินเข้าไปขอคำตอบจากลั่วเซ่าเชิน เธอคงจะไม่ได้ความจริง ถังโจวโจวจึงนึกถึงคนคนหนึ่ง…ฟังหยวน เขาคงจะพอรู้อะไรอยู่บ้าง 


 


 


           แค่เธอคิดว่าจะทำ เธอก็ทำเลย ถังโจวโจวนัดฟังหยวนออกมาเจอกันที่ร้านกาแฟในวันนี้ ถังโจวโจวมาถึงก่อน เธอจึงสั่งนมสดและนั่งอยู่ใต้ชายคาหน้าร้าน พร้อมกับดื่มด่ำแสงแดดและความเงียบสงบ 


 


 


“มาแล้วหรือคะ!” ถังโจวโจวมองฟังหยวน ก่อนจะมองไปที่รถเฟอร์รารีสีแดงคันโก้คันนั้น เธออยากจะทำเป็นไม่รู้จักเขาเสียจริงๆ โตจนป่านนี้แล้วยังจะขับรถแสดงฐานะไปเพื่ออะไร แต่จะว่าไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินเองก็น่าจะคอเดียวกันกับฟังหยวนในเรื่องนี้! 


 


 


เพียงแต่วันนี้ถังโจวโจวนัดฟังหยวนออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอจะทำเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าได้อย่างไร เดี๋ยวเขาเกิดไม่ให้ความร่วมมือกับเธอแล้วจะทำอย่างไร 


 


 


“โจวโจว มีธุระอะไรเหรอ” ถังโจวโจวโทรศัพท์มากะทันหันบอกเขาว่าเธออยากเจอเขา แต่เธอก็ไม่ได้ให้เหตุผลอะไร ด้วยนิสัยของถังโจวโจว หากไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เธอก็คงไม่อยากพบเขาหรอก 


 


 


ฟังหยวนเข้าใจดี และเป็นเพราะเข้าใจเขาจึงรู้สึกเศร้านิดหน่อย เมื่อไรเขาถึงจะได้รับความสนใจจากเธอ เมื่อไรเธอจะเลิกสนใจแต่อาเชินและหันมาสนใจเขาเพียงคนเดียว ฟังหยวนไม่รู้ว่าจะยังรอคอยได้ถึงวันนั้นไหม 


 


 


พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาสอบถาม “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” 


 


 


“บลูเมาต์เทนแก้วหนึ่งครับ ขอบคุณ” 


 


 


“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ ฉันจะรีบนำมาเสิร์ฟให้” ถังโจวโจวมองดูท่าทีที่แตกต่างไปของพนักงานคนนั้น แม้ว่าเมื่อครู่เธอก็พูดกับถังโจวโจวอย่างสุภาพ แต่เมื่อเทียบกับฟังหยวนแล้ว น้ำเสียงของเธอกลับนุ่มนวลยิ่งกว่าอย่างชัดเจน นี่เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มที่มีเสน่ห์เหลือร้ายสินะ? 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าตั้งแต่ฟังหยวนมานั่งตรงนี้ เธอถูกผู้หญิงรอบตัวมองมาด้วยสายตาอาฆาต ทำเอาเธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ! 


 


 


เมื่อพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้แล้ว เดิมทีเธอควรจะถอยออกไป แต่เธอกลับยืนยิ้มถามฟังหยวนอีกครั้งหนึ่งว่า “คุณผู้ชายจะรับอะไรเพิ่มไหมคะ” 


 


 


“ไม่ครับ” ตอนนี้ฟังหยวนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะโปรยเสน่ห์ใส่พนักงานเสิร์ฟแสนสวย ในเมื่อถังโจวโจวยังอยู่ตรงนี้ต่อหน้าเขา เขาจะรนหาที่ได้อย่างไร 


 


 


เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนขวางหูขวางตาจากไปแล้ว ถังโจวโจวก็อยากจะหยอกล้อฟังหยวนสักหน่อย แต่เมื่อเธอนึกถึงธุระของตัวเอง เธอก็เก็บคำหยอกล้อนั้นไว้ในใจ 


 


 


“ฟังหยวน คุณคงจะรู้จักคุณซูเสี่ยวใช่ไหมคะ” ถังโจวโจวจำได้ว่าเธอได้พบกับฟังหยวนที่สุสานเมื่อครั้งก่อน และต่อมาเธอก็ได้ยินลั่วเซ่าเชินบอกว่าวันนั้นเป็นวันครบรอบที่พี่ใหญ่จากไป ในขณะเดียวกันมันก็เป็นวันครบรอบของซูเสี่ยวเช่นกัน ซูเสี่ยวได้จากโลกนี้ไปหลังจากที่ลั่วเซ่าอวี๋จากไปได้หนึ่งปี 


 


 


ถังโจวโจวไม่คิดว่าเธอจะได้พบกับฟังหยวนที่สุสานโดยบังเอิญ และวันนั้นก็เป็นวันครบรอบของลั่วเซ่าอวี๋พอดี ซูเสี่ยวมีฐานะเป็นแฟนสาวของลั่วเซ่าอวี๋ ดังนั้น เธอก็น่าจะรู้จักกับพี่น้องของเขาสิ และด้วยเหตุนี้เอง ถังโจวโจวจึงมาหาฟังหยวน 


 


 


“ใช่ ผมรู้จักเธอ เธอเป็นแฟนของเซ่าอวี๋ ทำไมจู่ๆ คุณถึงถามถึงเรื่องนี้ล่ะ” มือของฟังหยวนที่ถือแก้วกาแฟอยู่ชะงักไป เขาไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว ราวกับว่าเธอได้หายตัวไปจากโลกของเขาโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง หัวใจของเขาก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาทันที 


 


 


“ฟังหยวน ฉันอยากให้คุณช่วยนึกสักหน่อยว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่ลั่วอิงจะเป็นลูกของซูเสี่ยว?” ถังโจวโจวรู้ว่าการคาดเดานี้มันไร้สาระ แต่เธอก็ไม่อาจกำจัดมันออกไปจากสมองได้ 


 


 


ฟังหยวนที่หมายจะดื่มกาแฟ กลับตกตะลึงไปกับคำถามที่ถังโจวโจวถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “คุณ…ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ซูเสี่ยวกับอาเชินไม่ได้เป็นอะไรกัน ถ้าคุณจะสงสัย คุณควรจะสงสัยหันฮุ่ยซินไม่ใช่เหรอ” 


ตอนที่ 208 คำตอบที่แน่ชัด 


 


 


           ฟังหยวนวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเบาๆ แววตาอันล้ำลึกของเขาเบนไปทางอื่น ถังโจวโจวไม่เห็นว่าสายตาของเขาล่อกแล่กอะไร ส่วนเขาเองก็นึกไม่ถึงว่าถังโจวโจวจะคิดถึงมุมนี้ด้วย เป็นเพราะครั้งก่อนที่ไปสุสาน เธอได้เห็นรูปของซูเสี่ยวอย่างนั้นหรือ 


 


 


ลมพัดผ่านมา กระโปรงของถังโจวโจวก็เผยอขึ้นตามแรงลมที่แผ่วเบา ถังโจวโจวกดกระโปรงลง ก่อนจะอธิบายกับฟังหยวนว่า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยนึกถึงหันฮุ่ยซินนะคะ แต่ว่าท่าทีของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้” 


 


 


ถ้าหันฮุ่ยซินรู้ว่าลั่วอิงเป็นลูกของเธอ เธอคงจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อแย่งเซ่าเชินกลับไปแล้วสิ? เธอน่าจะประกาศสงครามเลยด้วยซ้ำ และลั่วเซ่าเชินเองก็คงจะเห็นแก่ลูก เขาจะต้องยอมตามใจเธอได้ทุกอย่าง 


 


 


ตราบใดที่ความรู้สึกของพวกเขามันยังไม่ถึงจุดจบ ถังโจวโจวเชื่อว่าทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม และถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง มันก็คงไม่มีเธอเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่จนถึงทุกวันนี้หรอก 


 


 


“อย่างนั้นหรอกเหรอ? แบบนี้นี่เอง มันเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงใช่ไหม” 


 


 


ฟังหยวนไม่เข้าใจ หันฮุ่ยซินเป็นไปไม่ได้ตรงไหน หากถามว่าแม่คนหนึ่งควรจะปฏิบัติกับลูกเช่นนี้หรือ บนโลกใบนี้มีคุณแม่อยู่หลายพันล้านคน มีทั้งใจดี มีทั้งเมตตา แต่ก็มีทั้งโหดร้าย มีทั้งไร้ความรู้สึก ทุกคนล้วนแตกต่างกัน แล้วถังโจวโจวจะมั่นใจได้อย่างไร 


 


 


“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ! ฉันแค่รู้สึกว่าหันฮุ่ยซินดูไม่เหมือนคนเป็นแม่เลยสักนิด ต่อให้เธอไม่เคยพบหน้าลั่วอิง แต่เมื่อเธอเจอลูกของเธอ เธอจะไม่แตะต้องลูกของเธอเลยได้ยังไง” ตอนที่หันฮุ่ยซินพบกับลั่วอิงเป็นครั้งแรก นอกเหนือจากความสงสัยและรู้สึกเหลือเชื่อแล้ว เธอก็ไม่มีความอบอุ่นใดๆ แสดงออกมาเลย 


 


 


“มันก็จริงอย่างที่คุณพูดนะ” แบบนี้นี่เอง แต่ฟังหยวนไม่อยากจะบอกถังโจวโจวหรอกว่า สำหรับแม่บางคน แม้ว่าลูกจะหายไปต่อหน้าต่อตา ก็เป็นไปได้ที่เธอจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ต่อลูกของเธอเลยสักนิด 


 


 


เขาไม่อยากจะทำลายความคิดอันแสนสวยงามของถังโจวโจว เธอไม่จำเป็นต้องแปดเปื้อนด้วยความจริงของโลกภายนอกอันแสนโสมมนี้ 


 


 


“ผมไม่แน่ใจว่าซูเสี่ยวเป็นแม่ของลั่วอิงหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมยืนยันได้ก็คือซูเสี่ยวกับอาเชินไม่ได้เป็นอะไรกัน โจวโจว คุณน่าจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ” ฟังหยวนขมวดบทสรุปให้กับถังโจวโจว เขาหวังว่าเธอจะไม่ตรวจสอบเรื่องนี้อีกต่อไป 


 


 


ตอนแรกฟังหยวนก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าลั่วอิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเสี่ยว เพราะลั่วอิงกับซูเสี่ยวนั้นมีลักษณะนิสัยคล้ายกัน โดยเฉพาะเรื่องหน้าตา หากนำรูปภาพของทั้งสองคนมาวางไว้ด้วยกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าพวกเธอทั้งคู่เหมือนแม่ลูกกันจริงๆ 


 


 


บางคนอาจจะคิดว่าหน้าตาของลั่วอิงกับอาเชินนั้นคล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสงสัยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของลั่วอิง 


 


 


แม้แต่คุณพ่อกับคุณแม่ลั่วเองก็เช่นกัน มิเช่นนั้นพวกเขาจะยอมรับเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลลั่วอย่างง่ายดายได้อย่างไร และมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เพราะลั่วอิงยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนลั่วเซ่าเชิน 


 


 


แต่ฟังหยวนกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าลั่วอิงเหมือนกับอีกคนหนึ่งมากกว่า เพียงแต่คนทั่วไปมักจะนึกถึงลั่วเซ่าเชิน และเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงดูไม่มีข้อกังขา 


 


 


ฟังหยวนยังไม่พร้อมบอกถังโจวโจวว่าเขาคิดอย่างไร เพียงเพราะไม่ต้องการจะสร้างปัญหาเพิ่มก็เท่านั้น 


 


 


“จริงหรือคะ” เมื่อถังโจวโจวได้ยินน้ำเสียงและเห็นแววตาที่แน่วแน่ของฟังหยวน ความเชื่อมั่นที่อยู่ในใจของเธอก็สั่นคลอน เป็นเพราะว่าเธอไม่อยากเชื่อในตอนแรก ดังนั้น เธอจึงรู้สึกว่าฟังหยวนพูดเรื่องจริงได้อย่างง่ายดาย 


 


 


“ก็จริงน่ะสิ ผมจะหลอกคุณได้เหรอ” ฟังหยวนไม่อยากจะนึกถึงเรื่องใดและไม่อยากสนทนาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูเสี่ยวอีกต่อไปแล้ว มันเป็นความทรงจำที่หนักหน่วงสำหรับเขา 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 209 ความทรงจำของฟังหยวน 


 


 


           เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก ทุกอย่างนั้นสวยงามมาก ไม่ว่าจะร้องรำทำเพลง หรืออยากจะทำอะไรก็ตามแต่ เราสามารถทำได้ทุกอย่างตามใจนึก ไม่มีใครมาห้าม มีแต่คนคอยสนับสนุนให้คุณทำต่อไป แต่น่าเสียดายเมื่อความรักค่อยๆ คืบคลานเข้ามา มันกลับทิ้งร่องรอยที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ไว้ในใจของคุณ 


 


 


           แม้ฟังหยวนจะพูดว่าไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมความทรงจำของเขาได้ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูเสี่ยวแล้ว คนที่รู้จักเขาจะรู้ดีว่าเธอเป็นข้อห้ามที่ไม่อาจแตะต้องได้ 


 


 


           แม้ว่าเขาจะฉีกยิ้มมากเพียงใด แต่ภายในใจก็ยังคงมีแต่ความเจ็บปวด คนที่เขารักมากที่สุดกลับทิ้งเขาไปและเลือกชายอื่น สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เพียงอวยพรพวกเขา เพราะผู้ชายคนนั้นที่เธอเลือกคือพี่น้องที่ดีที่สุดของเขา 


 


 


           ฟังหยวนนึกถึงรอยยิ้มอันแสนสวยงามของซูเสี่ยว แววตาและท่าทางที่ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ราวกับว่าความยากลำบากบนโลกใบนี้ไม่สามารถทำอะไรเธอได้ เธอเอาชนะมันด้วยความเมตตาและความงามของเธอ 


 


 


“ฟังหยวน ฟังหยวน คิดอะไรอยู่หรือคะ” ถังโจวโจวเห็นว่าฟังหยวนเอาแต่เหม่อมองดูผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บนถนน เธอเรียกเขาก็ไม่ตอบ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เธอคงไม่ได้สะกิดต่อมเศร้าของเขาเข้าแล้วหรอกนะ? 


 


 


ถังโจวโจวคาดเดาต่อไปอีก ซูเสี่ยวคงจะไม่ใช่คนรักของฟังหยวนใช่ไหม? ถังโจวโจวยังจำได้ดีว่าตอนที่เธอได้พบกับฟังหยวนเป็นครั้งแรก ฟังหยวนก็ต้องการให้เธอมาเป็นคนรักของเขา และเหตุผลนั้นก็คือเธอคล้ายคลึงกับคนรักเก่าของเขา 


 


 


ถังโจวโจวเปรียบเทียบตัวเองกับซูเสี่ยว แต่ก็ยังไม่เห็นความคล้ายคลึงใดๆ เลย นอกจากจะมีแค่รอยยิ้มของเธอคนนั้นที่เหมือนกัน 


 


 


“ไม่มีอะไร ผมแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ โจวโจว แล้วที่คุณถามซะละเอียดขนาดนี้ เป็นเพราะคุณไม่อยากจะเชื่ออาเชินใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ย้ายมาอยู่กับผมสิ ผมรับรองได้เลยว่าผมจะดูแลคุณเป็นอย่างดี” ฟังหยวนทำทีเป็นพูดติดตลก 


 


 


“คุณนี่พูดเลอะเทอะอีกแล้วนะคะ” ถังโจวโจวไม่ได้เก็บเอาคำพูดของเขามาใส่ใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรฟังหยวนก็มักจะพูดอะไรทำนองนี้กับเธอบ่อยๆ อยู่แล้ว มิน่าล่ะ เซ่าเชินถึงอยากจะสั่งสอนเขา เพราะว่าปากของเขาชวนหาเรื่องเก่งมากจริงๆ 


 


 


“ใช่… ใช่ๆ ผมพูดเลอะเทอะเองแหละ” ฟังหยวนพูดเออออไปตามน้ำ 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา แต่เธอก็มองข้ามมันไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะปลอบใจฟังหยวน เพียงแต่เธอรู้ดีว่าถ้าเธอให้ความหวังกับเขา เขาก็จะติดอยู่ในนั้นตลอดไป ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการลืม ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า แล้วทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง 


 


 


“ฟังหยวน ฉันเชื่อในสิ่งที่คุณพูดนะคะ แต่ฉันก็ยังอยากจะขอร้องคุณให้ช่วยตรวจสอบให้หน่อย ลั่วอิงอยากพบแม่แท้ๆ ของเธอ มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการมาโดยตลอด ในฐานะที่คุณเป็นคุณลุงฟังของเธอ คุณคงจะไม่ใจจืดใจดำ ไม่เต็มใจช่วยแม้แต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ใช่ไหมคะ” 


 


 


“ครับ” ฟังหยวนตอบอย่างยินดี แม้ว่าเธอจะไม่ยกลั่วอิงขึ้นมาอ้าง แต่เพื่อเห็นแก่ถังโจวโจว ฟังหยวนก็จะทำเช่นนี้ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าโจวโจวจะยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาภายหลังได้หรือไม่? 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอฟังข่าวจากคุณนะคะ” 


 


 


ถังโจวโจวยกแก้วขึ้นมา ฟังหยวนมองดูพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติของเธอ ก่อนจะถามอย่างขำขันว่า “นี่คุณจะชนแก้วกับผมเหรอ” 


 


 


รอยยิ้มของถังโจวโจวค้างไป “คุณพูดอะไรน่ะ ฉันจะทำเรื่องแบบนั้นไปทำไม” พอเธอลนลานแล้วสติก็กระเจิดกระเจิง โชคดีที่ฟังหยวนไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร ถังโจวโจวคิดว่าวันนี้ใบหน้าของเธอแตกจนเกือบจะหมดแล้ว 


 


 


หลังจากดื่มกาแฟหมด ถังโจวโจวก็ปฏิเสธความหวังดีของฟังหยวนที่อยากจะไปส่งเธอที่บ้าน ครั้งก่อนก็ทำให้ลั่วเซ่าเชินหงุดหงิดมากพอแล้ว อย่าเพิ่งให้พวกเขาสองคนเจอกันเลยดีกว่า จะได้ไม่เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก 


 


 


ถังโจวโจวไม่อาจรับมือกับโทสะของลั่วเซ่าเชินได้อีก และเธอก็ไม่อยากให้ลั่วเซ่าเชินโกรธอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากให้ฟังหยวนเศร้าใจ แค่เพราะเรื่องของเธอ มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทำให้ความสัมพันธ์ประหนึ่งพี่น้องนี้ยิ่งจืดจางลงเรื่อยๆ น่ะ? คนเรากว่าจะหาคนที่รู้ใจกันได้สักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย 


ตอนที่ 210 วางแผนเที่ยว 


 


 


           “โจวโจว ตามผมไปที่ห้องหนังสือหน่อย” ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินเข้าไปในห้องหนังสือด้วยกัน จากนั้นเธอก็เห็นว่าเขาหยิบรูปภาพต่างๆ บนโต๊ะส่งให้เธอ “คุณลองดูสิว่าคุณชอบที่ไหน?” 


 


 


“นี่มันอะไรหรือคะ” ถังโจวโจวมองดูรูปภาพอันแสนสวยงามแต่ละรูป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสถานที่ที่เธออยากไป นี่พวกเรากำลังจะได้ไปด้วยกันใช่ไหม? 


 


 


“ก็ไปเที่ยวไง! ช่วงนี้ผมตั้งใจจะเคลียร์งานให้เสร็จ จะได้มีเวลาออกไปเที่ยวกับคุณบ้าง เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“อ๋อ ฉันนึกว่าคุณจัดการเรียบร้อยแล้วน่ะค่ะ” 


 


 


หลายวันมานี้เธอไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเลย ถังโจวโจวยังนึกอยู่เลยว่าลั่วเซ่าเชินคงจะสั่งให้ลูซี่เตรียมการทุกอย่างแล้ว ความสามารถของลูซี่นั้นไร้ข้อกังขา แต่ในใจลึกๆ นั้นถังโจวโจวก็หวังว่าตัวเธอเองจะได้ทำแบบลูซี่ เพราะสิ่งที่เธอหวังมากกว่านั้นเกี่ยวกับทริปของเธอและลั่วเซ่าเชิน คือเธอจะได้จองตั๋วเอง ได้เลือกสถานที่ รวมถึงวางแผนต่างๆ 


 


 


“จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคุณไปเที่ยวกับผม มันก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณสิ” เดิมทีลั่วเซ่าเชินก็จะให้ลูซี่เป็นคนจัดการทั้งหมด ส่วนเขาก็แค่รับผิดชอบพาถังโจวโจวไปเที่ยวก็พอ 


 


 


แต่เมื่อลั่วเซ่าเชินมาคิดๆ ดูแล้ว ถังโจวโจวเป็นคนใส่ใจรายละเอียดและสนุกกับทุกๆ ก้าวของชีวิต เธอคิดว่าทุกอย่างที่เธอเลือกเอง จัดการเอง นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการ หากเขาจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว ความสนุกของเธอก็คงจะหายไป 


 


 


ดังนั้น ลั่วเซ่าเชินจึงเปลี่ยนใจ ตอนนี้เขารู้สึกว่าความคิดของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ความสุขของถังโจวโจวคือสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุด หากถังโจวโจวไม่มีความสุข แล้วสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดจะมีความหมายอะไรล่ะ 


 


 


หากให้คนของเขาเป็นคนจัดทริป แล้วทำให้ถังโจวโจวไม่มีความสุข ไม่เท่ากับเขาเสียเวลาและลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ เพราะเขาไม่อาจได้ในสิ่งที่ต้องการ สู้อยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า บางทีอาจจะได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ 


 


 


“คุณลองเลือกดูสิ ชอบที่ไหนก็บอกผมนะ” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยกระตุ้น ถังโจวโจวค่อยๆ พลิกดูรูปที่ลั่วเซ่าเชินส่งให้เธอ 


 


 


“เราไปที่นี่กันเถอะค่ะ!” ถังโจวโจวมองดูภาพทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วง ราวกับว่าตัวเธอได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีม่วง ถังโจวโจวอยากจะไปเยี่ยมชมสักครั้งในชีวิต บางทีทุ่งลาเวนเดอร์ของจริงอาจจะน่าทึ่งกว่าในภาพถ่ายมาก 


 


 


“โอเค เราไปที่นี่กันนะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวเลือกที่หมายได้แล้ว เขาก็ดึงภาพนั้นออกมา มันสวยงามมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่มันจะดึงดูดสายตาของถังโจวโจวได้ 


 


 


“คุณอยากจะจองตั๋วเครื่องบินเองหรือจะให้ผมบอกลูซี่ให้ช่วยจองให้?” คราวนี้ลั่วเซ่าเชินรู้ทันความคิดของเธอแล้ว เขาต้องถามความคิดเห็นของถังโจวโจวก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจเรื่องต่างๆ ที่จะตามมา แบบนี้จึงจะทำให้ทริปฮันนีมูนของพวกเขาไม่พบจุดจบแบบคราวก่อน 


 


 


“ฉันขอจองเองได้ไหมคะ” ถังโจวโจวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าภายใต้มหาอำนาจของลั่วเซ่าเชินนั้น เธอจะสามารถเริ่มแสดงความคิดเห็นของเธอเองได้แล้ว วันนี้มันช่างมีแต่เรื่องน่าแปลกใจ ลั่วเซ่าเชินถามความคิดเห็นของเธอบ้างแล้ว นี่มันทำให้เธอรู้สึกเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก! 


 


 


“ได้แน่นอน” เป็นเพราะเขามักจะบีบบังคับเธอมากเกินไปหรือเปล่า ถังโจวโจวถึงได้รู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อเมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นมั้ง? 


 


 


“เยี่ยมไปเลย! ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ว่าแต่อีกกี่วันคุณถึงจะเคลียร์งานเสร็จคะ” ถังโจวโจวรู้สึกตื่นเต้น ตอนแรกลั่วเซ่าเชินจะให้ลูซี่เป็นคนจัดการ เธอก็เลยรู้สึกว่าเธอสูญเสียความหมายที่แท้จริงของคำว่าท่องเที่ยวไป แต่ตอนนี้เธอสามารถจัดการมันได้อย่างเต็มที่ ทำให้เธอได้เปิดทริปครั้งใหม่นี้ได้อย่างสวยงาม 


 


 


“น่าจะราวๆ อีกสี่วัน” ลั่วเซ่าเชินคำนวณคร่าวๆ ก่อนจะกำหนดเวลาออกมาให้ถังโจวโจว และเมื่อถังโจวโจวได้คำตอบ เธอก็ตั้งท่าจะวิ่งออกไปข้างนอกอย่างมีความสุข 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 211 จัดการเรื่องตั๋ว 


 


 


           “โจวโจว คุณจะไปไหนน่ะ” 


 


 


           “ก็ไปหาตั๋วไงคะ!” เขานี่ก็ถามอะไรแปลกๆ เมื่อครู่นี้ก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ เขาคงจะไม่ได้ลืมมันไปแล้วหรอกนะ? 


 


 


“ผมรู้ว่าคุณจะหาตั๋ว แต่ทำไมคุณถึงไม่หามันซะที่นี่ล่ะ” ลั่วเซ่าเชินสาวเท้าไปแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวของถังโจวโจว 


 


 


“ตะ…แต่ว่าคุณต้องทำงานไม่ใช่หรือคะ ไม่กลัวว่าฉันจะรบกวนคุณเหรอ” ถังโจวโจวขมวดคิ้วมุ่น เธอกลับไปหาข้อมูลที่ห้องก็ได้นี่ ทำไมเธอต้องอยู่ที่นี่ด้วย? 


 


 


“ไม่สักหน่อย คุณไม่รบกวนผมหรอก คุณอยู่ที่นี่แหละ” ลั่วเซ่าเชินรีบล้มเลิกความคิดของถังโจวโจวที่เตรียมจะออกไปจากห้องหนังสือ เขาจะไปรู้สึกว่าถังโจวโจวน่ารำคาญได้อย่างไร และเมื่อมองดูท่าทางที่น่ารักของเธอ ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกว่าเขามีแรงจัดการกับงานต่างๆ มากขึ้นเป็นกอง 


 


 


เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ดีที่เขาได้อยู่ในห้องทำงานเดียวกันกับถังโจวโจวในครั้งนั้น เขาก็รู้สึกคิดถึงมันขึ้นมาเล็กน้อย น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นมันสั้นเกินไป เขาอยากจะดื่มด่ำให้มากกว่านี้ หากเขาไม่เห็นว่าถังโจวโจวดูอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาก็คงไม่ปล่อยให้เธอออกไปจากห้องทำงานอย่างง่ายดายหรอก 


 


 


“โจวโจว คุณนั่งที่โซฟานี่แหละ ผมสัญญาว่าผมจะไม่รบกวนคุณเด็ดขาด” ด้วยกลัวว่าถังโจวโจวจะเปิดปากอ้างเหตุผลอีกครั้ง ลั่วเซ่าเชินจึงยืนยันกับเธอและไม่เปิดโอกาสให้เธอหาข้อแก้ตัว 


 


 


“แปลกชะมัด” ถังโจวโจวบ่นพึมพำพลางหมุนตัว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ยิน แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี เขาไม่อาจทำให้ถังโจวโจวรู้ได้ว่าเขาได้ยินมัน เกิดเจ้าแมวน้อยโมโหขึ้นมาอีกก็คงจะไม่ดี 


 


 


เมื่อป้าหลิวยกของว่างเข้ามาเสิร์ฟ เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน คิ้วของเขาขมวดแน่น เขากำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษในขณะที่กำลังพูดคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคน เขาดูยุ่งเอามากๆ 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ถังโจวโจวที่สวมกางเกงสีกากีและเสื้อเชิ้ตสีขาว กำลังเอนตัวนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว บนโต๊ะตัวเล็กมีสมุดและปากกาอีกหนึ่งด้ามวางอยู่ เธอถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือและขยับปากกาเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษเป็นครั้งเป็นคราว 


 


 


“คุณชายคะ กาแฟค่ะ”  


 


 


“วางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวเอานมไปให้คุณผู้หญิงนะ ของว่างก็เอาไปเสิร์ฟเธอเลย” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยปากโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา 


 


 


“ค่ะ” ป้าหลิววางของว่างลงตรงหน้าถังโจวโจวทีละอย่าง และเมื่อถังโจวโจวเห็นว่าป้าหลิวมา สมาธิของเธอที่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ “ป้าหลิว ของว่างหรือคะ” 


 


 


“นมค่ะ คุณผู้หญิง พักทานของว่างก่อนนะคะ นี่คุณผู้หญิงกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ” เธอมองดูสามีภรรยาคู่นี้ พวกเขาต่างยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง และต่างก็เป็นด้านซ้ายด้านขวาให้แก่กัน ซึ่งภาพที่เห็นนั้นทำให้เธอมีความสุขมากจริงๆ 


 


 


“อ๋อ ดูแผนการเที่ยวน่ะค่ะ” ถังโจวโจวหยิบซูปิ่ง[1]ขึ้นมากัดหนึ่งชิ้น “อื้ม อร่อยจัง ฝีมือของป้าหลิวนี่ดีขึ้นเรื่อยๆ เลยนะคะ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำชมของถังโจวโจว ป้าหลิวก็ยิ้มเขินออกมา “คุณผู้หญิงชอบก็ดีแล้วค่ะ ในครัวยังมีอีกนะคะ เดี๋ยวฉันไปนำมาเพิ่มให้” 


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว เซ่าเชินก็ไม่ค่อยชอบกินขนมพวกนี้” ถังโจวโจวไม่อยากกินขนมมากเกินไป เพราะกลัวว่ามันจะแน่นท้องจนรู้สึกอึดอัด ของอร่อยนั้นต้องค่อยๆ กิน ค่อยๆ ลิ้มรส ถึงจะสามารถสัมผัสถึงความอร่อยที่อยู่บนปลายลิ้นได้ 


 


 


“คุณผู้หญิงคะ คุณผู้หญิงกับคุณชายจะไปเที่ยวกันหรือคะ” 


 


 


“ค่ะ จู่ๆ เซ่าเชินก็มาบอกว่าจะไปเที่ยว ฉันรีบตกลงเลยค่ะ เพราะว่าฉันเองก็ไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตามานานแล้ว” ถังโจวโจวคิดไปถึงความฝันของเธอที่อยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวรอบโลก แต่มันก็ถูกผัดวันออกไปเสมอด้วยเหตุผลต่างๆ มากมาย 


 


 


 


 


 


[1] ซูปิ่ง คือ คุกกี้ชนิดหนึ่งของจีน 


ตอนที่ 212 ลงเวลา


 


 


           “คุณผู้หญิงคะ แล้วคุณหนูล่ะคะ” ป้าหลิวไม่ได้ยินถังโจวโจวพูดถึงลั่วอิงเลย


 


 


“อ้อ ลั่วอิงหรือคะ เดี๋ยวเราจะส่งเธอไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ พอพูดถึงตรงนี้แล้ว เดี๋ยวที่บ้านจะเหลือแค่ป้าหลิวเพียงคนเดียว ป้าหลิวอยากกลับบ้านไหมคะ ใช้โอกาสที่เราออกไปเที่ยวกลับไปเยี่ยมที่บ้านสักพักหนึ่ง ป้าหลิวจะได้มีเวลาอยู่กับคนในครอบครัวบ้าง”


 


 


ถังโจวโจวนึกย้อนไปว่า แม้แต่ช่วงตรุษจีน ป้าหลิวก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ นอกเหนือจากคืนวันส่งท้ายปีเก่าที่เธอกลับไปร่วมมื้อเย็นกับที่บ้านแล้ว เธอก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เธออยู่ที่นี่เพื่อคอยดูแลพวกเขาตลอด ก็ออกจะนานเกินไปสักหน่อย


 


 


ป้าหลิวหันมองไปอีกทางเล็กน้อย สีหน้าเธอค่อนข้างกังวล “แล้วคุณชาย…”


 


 


“กลับได้นะครับ ป้าหลิว ป้าอยากจะกลับไปกี่วันก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครอยู่บ้านอยู่แล้ว ป้าแค่กลับมาก่อนที่พวกเราจะกลับมาก็พอ” ลั่วเซ่าเชินได้ยินบทสนทนาระหว่างถังโจวโจวและป้าหลิวมาโดยตลอด และเมื่อเขารู้ว่าป้าหลิวกังวลว่าเขาจะไม่อนุญาต เขาจึงพูดขึ้นมาในทันที


 


 


“ขอบคุณค่ะ คุณชาย คุณผู้หญิง!” เมื่อป้าหลิวได้ยินว่าลั่วเซ่าเชินอนุญาตให้เธอกลับบ้าน เธอก็ซาบซึ้งเสียจนน้ำตาไหล เธอไม่ได้กลับบ้านมาสักพักแล้ว เธอไม่รู้ว่าลูกชายของเธอสบายดีหรือเปล่า


 


 


แม้ว่าลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวจะไม่ได้ขอร้องให้ป้าหลิวอยู่ที่บ้านทุกวัน นอกจากนี้พวกเขาก็ยังให้ป้าหลิวได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวทุกสัปดาห์ แต่ป้าหลิวก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นในบ้าน ดังนั้นเธอจึงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้และบอกตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นเธอจะยังไม่กลับบ้าน


 


 


แล้วสามีของเธอก็มักจะพาลูกชายมาเยี่ยมเธออยู่บ่อยๆ สลับกับป้าหลิวที่กลับบ้านเดือนละครั้ง ซึ่งมันดูเหมือนจะผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ป้าหลิวกลับไปครั้งล่าสุด


 


 


ความจริงแล้วถังโจวโจวรู้สึกว่าแม้ป้าหลิวจะไม่อยู่ เธอก็สามารถจัดการเรื่องในบ้านได้ อย่างเรื่องทำอาหาร เธอเองก็เก่งอยู่เหมือนกัน ด้วยหัวใจที่มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของถังโจวโจว เธอจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกของป้าหลิวในเรื่องนี้ได้


 


 


“ป้าหลิวต้องใช้โอกาสนี้อยู่กับลูกชายหลายๆ วันเลยนะคะ!” ถังโจวโจวเคยเจอลูกชายของป้าหลิวอยู่หลายครั้ง เขาเป็นเด็กที่น่ารัก อายุประมาณสิบขวบ แม้จะอยู่ในวัยที่กำลังซนแบบนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าลูกของป้าหลิวเป็นเด็กดีมาก


 


 


เขาชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นแต่ละครั้งที่สามีของป้าหลิวพาเขามาที่นี่ ถังโจวโจวก็มักจะให้เขายืมหนังสือกลับไปด้วยหนึ่งเล่ม แล้วป้าหลิวก็นำมาคืนภายหลัง หรือไม่เขาก็เอามาคืนด้วยตัวเองในครั้งถัดไป


 


 


“ค่ะ คุณผู้หญิง ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณชาย คุณผู้หญิง” ป้าหลิวรู้สึกขอบคุณลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเป็นอย่างมากสำหรับโอกาสที่พวกเขาหยิบยื่นมาให้เธอ


 


 


สำหรับลูกชายของเธอ เธอคิดถึงเขาอยู่ตลอด เพียงแต่เธอไม่อาจทิ้งหน้าที่การงานไปได้ แม้ว่าจะคิดถึงลูกมากเพียงใด ป้าหลิวก็ทำได้แค่อดทนอยู่เงียบๆ


 


 


คราวนี้เมื่อเธอได้มีโอกาสดีๆ เช่นนี้ เธอจะทะนุถนอมมันไว้เป็นอย่างดี


 


 


“หาข้อมูลเสร็จหรือยัง ดูตั๋วไปถึงไหนแล้ว” ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวใช้เวลาค้นหาตลอดทั้งบ่าย เขายังไม่รู้เลยว่าเธอได้เรื่องอะไรมาบ้าง เมื่อเขาทำงานเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินจึงลุกออกจากโต๊ะและเดินเข้าไปหาถังโจวโจว


 


 


“อืม คุณบอกว่าคุณน่าจะต้องใช้เวลาเคลียร์งานประมาณสี่วัน ถ้าเป็นวันที่ห้าก็มีเที่ยวบินไปประเทศ M ตอนสิบโมงเช้า คุณคิดว่ายังไงคะ” ถังโจวโจวเห็นว่าเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินที่เร็วที่สุด มิฉะนั้นจะต้องรออีกวันหนึ่ง


 


 


“โอเค คุณจองวันนั้นไปก็แล้วกัน” ลั่วเซ่าเชินคิดว่ามันไม่เลวเลย พอถึงเวลานั้นก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปล่อยให้เหล่าผู้จัดการคอยดูแลบริษัท ให้ลูซี่อยู่ที่นี่ ส่วนหวังหวา เขาก็จะให้ล่วงหน้าไปก่อน ลั่วเซ่าเชินเองจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดไม่ไหว


 


 


พวกเขาตกลงกันเรียบร้อย และเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวก็ลงไปชั้นล่างพร้อมกัน


 


 


 


 


ตอนที่ 213 สายตาจงเกลียดจงชัง


 


 


           ฉินอวิ๋นเห็นว่าถังโจวโจวไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เธอจึงสั่งให้คนหยุดลงมือไปก่อน รอจนกว่าเธอจะตรวจสอบให้แน่ชัด แล้วค่อยลงมืออีกครั้ง เรื่องกำจัดจุดอ่อนของถังโจวโจวนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกสาวของเธอ


 


 


           หลังจากฉินอวิ๋นตบหน้าเมิ่งชิงซีในครั้งนั้น สีหน้าของเมิ่งชิงซีที่มีต่อแม่อย่างฉินอวิ๋นก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ถ้าเมิ่งไหวเซินไม่ได้กลับมากินข้าวที่บ้าน เมิ่งชิงซีกับฉินอวิ๋นคงจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้ว


 


 


           มีแต่ฝั่งของเมิ่งชิงซีเท่านั้นที่ก่อสงครามเย็น ฉินอวิ๋นไม่ได้อยากจะทะเลาะกับลูกสาวของเธอจนถึงขั้นนี้เลย เมิ่งชิงซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ แต่ทำไมถึงโกรธเกลียดเธอที่เป็นแม่ได้มากขนาดนี้เพราะเรื่องของคนอื่นแท้ๆ


 


 


           เมิ่งชิงซีไม่ได้เข้าใจถึงความกังวลของเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าถังโจวโจวมีอันตรายใดแฝงอยู่


 


 


           ฉินอวิ๋นไม่สามารถบอกความจริงกับเมิ่งชิงซีได้ เธอจึงได้แต่อดทนให้มันเป็นต่อไปเช่นนี้ บทสนทนาระหว่างเธอและเมิ่งชิงซีนับวันยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ บางครั้งพวกเธอสองคนถึงขั้นไม่พูดกันเลยทั้งวัน พวกเธอได้แต่พึ่งพาคนกลางให้คอยสื่อสารให้


 


 


ก๊อกๆๆ “ชิงซี นี่แม่เองนะ แม่เข้าไปได้ไหม” ภายในห้องนั้นเงียบเชียบ ฉินอวิ๋นรออยู่พักหนึ่งก่อนจะเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบ เธอจึงเปิดประตูและเดินเข้าไป ปรากฏว่าเธอได้พบกับแรงต่อต้านอย่างหนักจากเมิ่งชิงซี


 


 


“หนูไม่ได้พูดสักคำว่าให้แม่เข้ามาได้ แล้วแม่เข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหนูได้ยังไง”


 


 


“ก็แม่เคาะประตูแล้ว แต่ลูกไม่ตอบ ชิงซี ลูกโกรธแม่มานานแล้วนะ นี่ลูกอยากให้คุณพ่อรู้หรือไงว่าแม่กับลูกทะเลาะกันน่ะ” ฉินอวิ๋นปวดหัวกับนิสัยของเมิ่งชิงซีมาก สิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดมันเพื่อใครกันล่ะ ทำไมถึงไม่เข้าใจเธอบ้างเลย


 


 


“รู้แล้วยังไงล่ะคะ หนูไม่กลัวหรอก คนที่ต้องกลัวคือแม่ต่างหาก” เมิ่งชิงซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอกำลังวาดลิปสติกสีแดงสดลงบนริมฝีปาก เธอปาดมันอย่างช้าๆ และใจจดใจจ่อกับมันเป็นอย่างมาก


 


 


ฉินอวิ๋นค่อยๆ เดินเข้าไปที่ด้านหลังของเมิ่งชิงซี เธอมองดูใบหน้าของลูกสาวที่ส่องสะท้อนอยู่ในกระจก เธอเห็นแต่ความเย็นชา ความเกลียดชัง ฉินอวิ๋นไม่เข้าใจว่ามันมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น หรือว่าผู้ชายอย่างลั่วเซ่าเชินสำคัญกว่าแม่บังเกิดเกล้าอย่างเธอ?


 


 


เมิ่งชิงซีไม่กลัวที่ฉินอวิ๋นเอ่ยอ้างถึงเมิ่งไหวเซินเลยสักนิด เธอไม่มีอะไรต้องปกปิด เธอบริสุทธิ์ใจ กลับกันแล้ว ฉินอวิ๋นนั่นแหละที่ควรจะกังวล ไม่รู้ว่าแม่ของเธอมีเรื่องปกปิดคุณพ่อไว้อีกกี่เรื่อง


 


 


เมิ่งชิงซีรู้ดีว่า หากคุณพ่อของเธอค้นพบสิ่งที่คุณแม่ทำ คุณแม่ก็จะต้องออกไปจากบ้านหลังนี้


 


 


“ชิงซี ครั้งก่อนที่แม่ตบลูก มันเป็นความผิดของแม่เอง ลูกจะยกโทษให้แม่ไม่ได้เลยเหรอ ถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เข้าและไล่แม่ออกจากบ้าน ลูกก็จะโอเคหรือไง” ฉินอวิ๋นค่อยๆ อธิบายให้เมิ่งชิงซีฟังอย่างใจเย็น


 


 


“แล้วมีอะไรที่หนูต้องไม่โอเคหรือคะ?” เมิ่งชิงซีคิดว่าแม่ของเธอบ้าไปแล้ว? เธอเป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลเมิ่ง เธอจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ? อย่าคิดแต่ว่าเธอเป็นเด็กสิ เธอจะไม่ยอมถูกหลอกอีกต่อไปแล้ว หากแม่ไม่ได้ปิดบังเรื่องนั้นกับเธอ ป่านนี้เธออาจจะได้แต่งงานเข้าตระกูลลั่วและได้เป็นคุณผู้หญิงลั่วไปแล้ว


 


 


“ชิงซี ลูกจะทำแบบนี้กับแม่จริงๆ เหรอ แม่เลี้ยงลูกมาจนโต คอยหาข้าวหาน้ำให้กิน ให้มีบ้านได้อยู่ ให้ชีวิตดีๆ กับลูกมาตลอด แล้วนี่คือวิธีที่ลูกจะตอบแทนแม่อย่างนั้นหรือ” ฉินอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก ลูกของเธอกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้อย่างไร เธอหวังว่าเมิ่งชิงซีคนก่อนจะกลับมาหาเธอ


 


 


“ฮึ! คุณพ่อต่างหากที่เป็นคนให้ชีวิตดีๆ กับหนู เกี่ยวอะไรกับแม่ด้วย? แม่อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกเลยค่ะ แม่ตบหน้าหนู หนูจะจำไว้ให้ขึ้นใจ!” เมิ่งชิงซีกุมกรอบหน้าของตัวเอง ฉินอวิ๋นมองเห็นสายตาที่จงเกลียดจงชังของเธอ ก็ถึงกับผงะถอยไปสองสามก้าว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม