พันธกานต์ปราณอัคคี 205-208

ตอนที่ 205 เจ้าสำนักมาฟ้อง

 

นักพรตจื่อซีพูดจบ ก็จ้องมองกู้หลี


 


 


กู้หลีกลับเพียง ‘เอ่อ’ เสียงหนึ่งอย่างนิ่งเรียบ จากนั้นโบกแขนเสื้อสีเทาอันกว้างใหญ่ เบื้องหน้าก็ปรากฏโต๊ะไม้เก้าอี้ไม้ไผ่ขึ้น แล้วพูดกับนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สาม นั่ง”


 


 


นักพรตจื่อซีนั่งลงเต็มก้นอย่างไม่เกรงใจ แล้วยื่นมือออกมา “ศิษย์น้องเหอกวง ครั้งก่อนมาเจอศิษย์หลานชิงเฉินเข้าโดยบังเอิญ เด็กคนนั้นก็ช่างรู้เรื่อง มอบสุราชั้นดีให้ข้าหลายขวดน้ำเต้าด้วยความกตัญญู รสชาติช่างไม่เลวจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายอาจารย์ท่านได้กลิ่นสุราเข้า ถูกเอาไปหมดเลย แค่กๆ ศิษย์น้องเหอกวงเอ๋ย เจ้าลองดูว่าให้ศิษย์พี่อีกสักหลายสิบขวดได้หรือไม่?”


 


 


หลายสิบขวด?


 


 


แม้แต่กู้หลีก็มือสั่นทีหนึ่ง แล้วถึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ที่เหอกวงนี่ไม่มีสุราชั้นดีแล้ว”


 


 


นักพรตจื่อซีค้อนให้ควักใหญ่ “ใครจะเชื่อน่ะ ศิษย์น้องเหอกวง ไม่ใช่ข้าว่าเจ้านะ เจ้าอะไรก็ดีไปซะหมด มีเพียงเรื่องสุราที่ใจแคบเกินไปหน่อย อาจารย์ยังพูดเลยว่า สุราชั้นดีเช่นนี้ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแอบไว้ซ่อนไว้ตลอด ไม่รู้จักเอาไปแสดงความกตัญญูต่อท่าน กลับไปต้องตักเตือนเจ้าเสียหน่อย ยังดีที่ได้ศิษย์พี่ข้ารั้งไว้ ศิษย์น้องเอ๋ยไหนๆ สุรานั่นศิษย์เจ้าเป็นคนหมักนี่นา เจ้าจะเอาเท่าไรก็มีเท่าไรมิใช่หรือ”


 


 


ฝีปากฉะฉานของนักพรตจื่อซีกู้หลีได้รับการสอนสั่งมาตั้งนานแล้ว ยามนี้จึงเอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ก็รู้ ชิงเฉินนางเพิ่งกลับสำนักไม่นานก็ไปโถงลงทัณฑ์แล้ว เหอกวงยังไม่ทันได้หาศิษย์ขอสุราดื่มเลย”


 


 


นักพรตจื่อซีหยิบผลไม้ทิพย์ผลหนึ่งติดมือขึ้นมาช่างๆ ดู แล้วยิ้มว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินโชคไม่ดีจริงๆ อยู่ดีๆ ต้องเดือดร้อนเพราะนางหนูหรวนนั่น เพิ่งกลับมาก็ถูกขังในโถงลงทัณฑ์เสียแล้ว”


 


 


กู้หลียิ้มแผ่วเบา “โถงลงทัณฑ์แม้ลำบาก กลับใช่ว่าไม่เป็นการขัดเกลาชนิดหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นนี่เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ออกมาแล้ว”


 


 


นักพรตจื่อซีจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “นึกไม่ถึงว่าศิษย์น้องเหอกวงจะเข้มงวดกับศิษย์ถึงเพียงนี้ มิน่าศิษย์หลานชิงเฉินจึงโดดเด่นถึงเพียงนี้ ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางอันกระจ้อยร่อย ก็สามารถบำเพ็ญเพียรอย่างลำเค็ญในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดได้แล้ว”


 


 


“อะไรนะ?” ใบหน้าสงบเหมือนสายลมพัดผ่านเบาๆ ของกู้หลีในที่สุดก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นสายหนึ่ง


 


 


นักพรตหมิงจ้าวร้อนใจจนขยิบตาให้นักพรตจื่อซีติดๆ กัน นักพรตจื่อซีกลับไม่ได้สังเกต ปิดปากเอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “เอ๊ะ อาจารย์ไม่ได้บอกศิษย์น้องเหอกวงว่าศิษย์หลานชิงเฉินและศิษย์หลานเทียนหยวนถูกขังในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดด้วยกันหรือ?”


 


 


กู้หลีเม้มปากแน่น นัยน์ตามืดมน


 


 


“ศิษย์หลานชิงเฉินเพิ่งถูกปล่อยออกมา ก็รับคำสั่งของศิษย์น้องเจ้าสำนักไปจัดการนางหนูน้อยนิกายเหอกวงกลุ่มนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่ายามนี้เหตุการณ์เป็นเช่นไรแล้ว…” นักพรตจื่อซีเอ่ยพลางกัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่ง เมื่อน้ำผลไม้ไหลเข้าท้อง แล้วอดหรี่ตาขึ้นอย่างพึงพอใจไม่ได้


 


 


ทันใดนั้นกู้หลีก็ลุกขึ้นยืน


 


 


นักพรตหมิงจ้าวตกใจแทบกระโดด รีบเด้งขึ้นมาทันทีว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้า เจ้าอย่างวู่วามเชียว การ ‘เยือนสำนัก’ สำนักที่ถูกท้า ไม่มีเหตุผลที่ผู้อาวุโสจะออกไป!”


 


 


นี่นับว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่รู้กันของการเยือนสำนักแล้ว สำนักหนึ่งมุ่งหน้าไปท้ารบอีกสำนักหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เขตแดนสูงกว่าศิษย์ที่ถูกท้าหนึ่งเขตแดนใหญ่ของสำนักนั้นไม่อาจปรากฏตัวได้ แม้ชมการรบก็ไม่ได้


 


 


สาเหตุง่ายมาก การปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนหนึ่ง เห็นชัดว่าจะสร้างแรงกดดันด้านจิตใจอย่างใหญ่หลวงให้ศิษย์ของฝ่ายตรงข้าม


 


 


กู้หลีนิ้วมือพลิ้วไหว ปราณวิญญาณปรากฏขึ้นรางๆ ที่ปลายนิ้ว จากนั้นแสงวิญญาณสายหนึ่งซัดไปทางป่าไผ่ แล้วยิ้มนิ่งเรียบให้นักพรตหมิงจ้าว “ศิษย์พี่สามเข้าใจผิดแล้ว เพียงแต่มีคนแตะถูกเขตอาคมของป่าไผ่ เหอกวงเปิดผนึกเขตอาคมออกเท่านั้น”


 


 


นักพรตหมิงจ้าวยิ้ม นั่งลงอย่างกระอักกระอ่วน ทว่าก้นยังไม่ทันนั่งนิ่ง ก็ต้องเด้งขึ้นมาอีก


 


 


เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งในชุดดำแขนกว้าง ด้านหน้าหน้าอกประทับสัญลักษณ์พรรคเหยากวงเมฆมงคลติดกันสามก้อนเดินสวบๆ เข้ามา คือเจ้าสำนักนักพรตฟางเหยานั่นเอง ด้านหลังยังมีศิษย์ผู้ดูแลตามมาด้วยคนหนึ่ง


 


 


“ศิษย์พี่ (ศิษย์น้อง) เจ้าสำนัก” พวกกู้หลีสามคนเอ่ยทักทายพร้อมกัน


 


 


นักพรตฟางเหยาเห็นพวกนักพรตจื่อซีสองคนอยู่นี่ก็ชะงักแผ่วเบาทีหนึ่ง จากนั้นเบือนสายตาไปที่กู้หลี “ศิษย์น้องเหอกวง”


 


 


กู้หลียื่นมือออกว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเชิญนั่ง”


 


 


นักพรตฟางเหยาสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง จากนั้นว่า “ศิษย์น้องเหอกวง วันนี้ข้ามาหาเจ้า เพราะเรื่องของศิษย์หลานชิงเฉิน”


 


 


กู้หลียิ้มว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเกรงใจเกินไปแล้ว อุตส่าห์มาบอกข้าด้วยตนเอง เรื่องที่ศิษย์ข้าถูกปล่อยออกมาศิษย์พี่จื่อซีได้บอกข้าแล้ว”


 


 


นักพรตฟางเหยากระตุกหนังหน้าทีหนึ่ง ฝืนยิ้มว่า “ที่ข้าพูดถึงคืออีกเรื่องหนึ่ง”


 


 


“เอ่อ คือเรื่องที่บัดนี้ศิษย์ข้ากำลังประมือกับศิษย์นิกายเหอฮวนใช่หรือไม่ เรื่องนี้ศิษย์พี่จื่อซีก็พูดถึงแล้วเช่นกัน ที่แท้คือศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่วางใจพลังความสามารถของศิษย์ข้า…” กู้หลีเข้าใจขึ้นมาในทันใด


 


 


นักพรตฟางเหยาหน้าบึ้งแล้วจริงๆ “ไม่ใช่เรื่องนี้!”


 


 


กู้หลีชะงัก ใบหน้าที่สดใสในที่สุดก็ปรากฏความสงสัยขึ้นสายหนึ่ง “เป็นอันใดหรือ หรือว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักมิได้มาเพราะห่วงใยสถานการณ์การ ‘เยือนสำนัก’ หรือ?”


 


 


นักพรตฟางเหยากัดฟันแล้วว่า “แน่นอนไม่ใช่!” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ สูดหายใจเข้าอึดหนึ่งอย่างแรงถึงเอ่ยว่า “เรื่อง ‘เยือนสำนัก’ เกี่ยวข้องถึงหน้าตาของเหยากวงข้า ศิษย์พี่ในฐานะเจ้าสำนักเหยากวงจะไม่ห่วงใยได้อย่างไร! เพียงแต่ข้ามาครั้งนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะขอคำปรึกษาศิษย์น้องเหอกวง”


 


 


“ศิษย์พี่เจ้าสำนักเชิญกล่าว” กู้หลีมองดูสีหน้าที่บึ้งขึ้นเรื่อยๆ ของนักพรตฟางเหยา ในใจจู่ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นสายหนึ่ง หรือว่า…ศิษย์ของตนนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว?


 


 


เอ่อ ชิงเฉินนางค้อมต่ำเชื่อฟังมาตลอด ในฐานะอาจารย์ตนจะใช้คำว่า ‘อีก’ ได้เช่นไรกันนะ กู้หลีรีบทิ้งการเดานี้ทิ้งไป รู้สึกผิดเล็กน้อย


 


 


กลับได้ยินนักพรตฟางเหยาเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดในโถงลงทัณฑ์ทิ้งแล้ว ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าว่าเรื่องนี้จะแก้ไขเช่นไร? หืม? ศิษย์น้องเหอกวง?”


 


 


เป็นครั้งแรก ที่นักพรตฟางเหยาพบว่าบนใบหน้าศิษย์น้องที่จิตใจเปิดเผย อ่อนโยนใจเย็นมาตลอดผู้นี้ปรากฏสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก


 


 


นักพรตจื่อซีที่อยู่ข้างๆ ยิ่งเกินจริง มือที่ถือผลไม้ทิพย์คลายออก ผลไม้ทิพย์หล่นใส่เท้าของนักพรตหมิงจ้าวเข้าพอดี


 


 


นักพรตหมิงจ้าวตกใจสะดุ้งโหยง กลับเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา “อะ…อะไรนะ ศิษย์หลานชิงเฉินระ…ระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดแล้ว?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้ทรงเกียรติถึงกับตกใจจนติดอ่างขึ้นมา


 


 


นักพรตจื่อซีเม้มปากแน่น สีหน้าประหลาดมาก เพียงชั่วครู่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะลั่นขึ้นมา “ศะ…ศิษย์น้องเหอกวง เจ้าช่างสายตาไม่เหมือนใครจริงๆ รับศิษย์หัวแก้วหัวแหวนเช่นนี้ไว้ น่าเสียดาย น่าเสียดายไยข้าถึงไม่พบให้เร็วกว่านี้ก้าวหนึ่งนะ”


 


 


นักพรตหมิงจ้าวเห็นด้วยติดๆ กันว่า “ก็ถูก ศิษย์หลานชิงเฉินมีท่วงท่าของศิษย์พี่ใหญ่สมัยเยาว์วัยจริงๆ”


 


 


นักพรตฟางเหยาสีหน้ายิ่งบึ้งขึ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าอะไรเรียกว่าคานบนไม่ตรงคานล่างย่อมบิดเบี้ยวแล้ว


 


 


ผ่านไปครึ่งค่อนวันกู้หลีถึงกลับมามีสีหน้าปกติ มองนักพรตฟางเหยาแล้วว่า “ไม่ทราบความหมายของศิษย์พี่เจ้าสำนักคือ?”


 


 


นักพรตฟางเหยาแสยะมุมปากว่า “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ย่อมต้องรายงานท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอยู่แล้ว”


 


 


“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งระยะนี้กักตนติดๆ กัน ต้องหนักใจเพราะเรื่องพวกนี้ตลอดคงไม่ค่อยดีกระมัง ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมห้องน้ำแข็งหมายเลขแปดก็ปล่อยให้เหอกวงเป็นคนออก ท่านว่าเป็นเช่นไร?” กู้หลีถามขึ้น


 


 


นักพรตฟางเหยาส่ายหน้า “ศิษย์น้องเหอกวงพูดได้พิกลนัก ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมปล่อยให้เจ้าออกนั่นเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ทว่าหากต่อไปศิษย์เอาเป็นเยี่ยงอย่าง วันนี้ระเบิดโถงลงทัณฑ์เสีย พรุ่งนี้เผาโถงรับแขกเสีย แล้วค่อยล้วงหินวิญญาณออกมาซ่อม เช่นนั้นมิเสียระเบียบแย่หรอกหรือ”


 


 


นักพรตจื่อซีทำสีหน้าจริงจังแล้ว เหล่ไปที่นักพรตฟางเหยาว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนัก เจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่พูดมาเถอะ”


 


 


นักพรตฟางเหยาดูเหมือนเกรงกลัวนักพรตจื่อซีพอสมควร ถึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเหอกวงว่าเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง บัดนี้ศิษย์หลานชิงเฉินกำลังสู้กับนิกายเหอฮวนอยู่ หากนางสามารถชนะเจ็ดคนตามลำพัง เช่นนั้นก็ถือว่าทำคุณถ่ายโทษ เรื่องที่ผ่านมาไม่สืบสาวราวเรื่องอีก หากหลังจากนางสู้ชนะสามคนแล้วพลังวิญญาณไม่พอจำเป็นต้องให้คนอื่นออกศึก หรือว่ายังไม่ชนะสามคนก็พ่ายแพ้ เช่นนี้เรื่องนี้ยังคงต้องรบกวนท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งตัดสินใจอยู่ดีเป็นเช่นไร?”


 


 


กู้หลีเม้มปาก เอ่ยเนิบๆ ว่า “ก็ตามที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักว่ามา ทว่าสั่งสอนไม่เข้มงวดเป็นความผิดของอาจารย์ หากว่ารบกวนไปถึงท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง มีการลงโทษอันใดเหอกวงจะขอรับโทษพร้อมศิษย์ไม่รักดีด้วย”


 


 


“หึๆ ศิษย์น้องเหอกวงช่างรักศิษย์ยิ่งนัก” นักพรตฟางเหยาพูดพลางหันหน้าไปเอ่ยกับศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ด้านหลังว่า “ส่งสารบอกเรื่องนี้แก่ศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ที่เชิงเขา ให้บอกต่อศิษย์หลานชิงเฉิน ถือโอกาสถามสถานการณ์ว่าเป็นเช่นไรแล้ว”


 


 


“ขอรับ!” ศิษย์ผู้ดูแลด้านหลังยกมือโยนยันต์ส่งสารออกไปแผ่นหนึ่ง ไม่นานนักก็มีคลื่นพลังวิญญาณส่งมา ยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ


 


 


ศิษย์คนนั้นใช้จิตตระหนักกวาดยันต์ส่งสารนั่นทีหนึ่ง สีหน้าประหลาดขึ้นมาในทันใด


 


 


“เป็นอันใดหรือ?” นักพรตฟางเหยาถามขึ้น


 


 


กู้หลีก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่คาดคิด เขาไม่ได้กลัวว่าศิษย์ของตนพ่ายแพ้แล้วหรอกนะ หากแต่กลัวว่านางหนูนั่นจะก่อเรื่องอะไรที่จบไม่สวยขึ้นมาอีก


 


 


เมื่อนึกถึงนางอยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดมาหลายเดือน ในใจก็บีบรัดคราหนึ่ง


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลตอบว่า “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ศิษย์น้องมั่วชนะติดกันสามคนแล้วขอรับ”


 


 


นักพรตฟางเหยาขมวดคิ้ว “เมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเจ้าถึงทำสีหน้าเช่นนั้น?”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก ถึงว่า “ยันต์ส่งสารของศิษย์น้องที่เชิงเขาบอกว่า ศิษย์สามคนทางนิกายเหอฮวนนั้นจุดจบค่อนข้าง…อนาถขอรับ”


 


 


นักพรตฟางเหยาหนักใจขึ้นทันที “หรือว่าเกิดอันตรายถึงชีวิตแล้ว?”


 


 


เรื่องก่อนหน้านี้ยังนับว่าเรื่องเกิดเพราะมีสาเหตุพอให้อภัยได้ หากเกิดเรื่องถึงชีวิตขึ้นอีก พรรคเหยากวงและนิกายเหอฮวนทีนี้ก็นับว่าผูกความแค้นกันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลส่ายหน้าว่า “ไม่ ไม่ขอรับ เพียงแต่ศิษย์คนที่หนึ่งถูกศิษย์น้องใช้กลีบบุปผาที่เกิดจากปราณกระบี่กรีดแผลนับไม่ถ้วนเหมือนมีดกรีด ได้เจ็บปวดจนหมดสติไปแล้ว ศิษย์คนที่สองหลังจากถูกศิษย์น้องกำราบยังคิดจะจู่โจม ถูกศิษย์น้องมั่วใช้ก้อนอิฐตบไปทีหนึ่ง ก็ถูกตบสลบแล้วเช่นกัน ศิษย์คนที่สามถูกตาข่ายเถาวัลย์ที่ศิษย์น้องมั่วปล่อยออกมาคลุมไว้แล้วแขวนบนต้นไม้ บัดนี้การประลองได้หยุดลงชั่วคราว ศิษย์นิกายเหอฮวนกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยศิษย์คนนั้นลงมาขอรับ น่าสงสารที่ศิษย์คนนั้นยังใส่กระโปรงด้วยน่ะขอรับ…”


 


 


พูดถึงตรงนี้รู้ตัวว่าพลั้งปาก จึงรีบหยุดทันที แล้วมองพวกอาจารย์อาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสี่ท่านกลับเงียบลงพร้อมกัน


 


 


ใต้เชิงเขา ศิษย์พรรคเหยากวงอารมณ์ยิ่งนานยิ่งตื่นเต้น โดยเฉพาะศิษย์ชายทั้งหลาย ต่างจ้องมองนักบำเพ็ญหญิงชุดเหลืองที่แขวนอยู่บนต้นไม้คนนั้น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนสองคนกำลังใช้กระบี่บินตัดตาข่ายเถาวัลย์สีเขียว ร้อนใจอยู่กับการช่วยศิษย์ร่วมสำนักลงมา


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากมองอยู่ สีหน้าสงบราบเรียบ กลับฉวยโอกาสที่ผู้คนต่างสนใจด้านนั้นแอบกลืนโอสถเติมวิญญาณเข้าไปกำหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสามคนนี้ตบะพอฟัดพอเหวี่ยงกับนาง แม้ตนอาศัยการควบคุมพลังวิญญาณที่ละเอียดอ่อน เคล็ดกระบี่อันโดดเด่น บวกกับประสบการณ์รบจริงที่ล้นหลาม จิตตระหนักยังสูงกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ชนะสามคนติดกันอย่างสบายๆ ทว่ากลับเผาผลาญพลังวิญญาณอย่างน่าตกใจ


 


 


เคล็ดกระบี่ต้องผลาญพลังวิญญาณมากกว่าอาวุธเวทและการใช้พลังวิญญาณเร่งเมล็ดพันธุ์ให้กลายเป็นคาถามาก


 


 


ต่อจากนี้หากเปลี่ยนคนก็ช่างเถอะ ทว่าหากคิดจะสู้ต่อไป ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนพวกนั้นไม่มีทางให้นางมีโอกาสเติมพลังวิญญาณหรอกนะ


 


 


ในเมื่อพวกนางไม่ให้ ก็ว่าไม่ได้ที่ตนได้แต่สร้างความยุ่งยากให้พวกนางเล็กน้อยเพื่อช่วงชิงเวลาแล้ว


 


 


มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองในตาข่ายยักษ์อีกปราดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเอาศีรษะลงขาชี้ฟ้าถูกกักอยู่ในตาข่ายยักษ์อย่างแน่นหนา กระโปรงเลื่อนลงไป กางเกงขายาวแนบตัวผ้าต่วนสีเหลืองบางข้างในก็เลื่อนลงมาเช่นกัน เผยให้เห็นขาอ่อนขาวจั๊วะท่อนใหญ่


 


 


เหตุการณ์สุดจะควบคุมได้ ไม่ใช่ข้าชั่วร้ายจริงๆ นะ!


 


 


มั่วชิงเฉินเบือนหน้าไป คิดอย่างเงียบๆ

 

 

 


ตอนที่ 206 กระพรวนสุคนธรสเกี่ยววิญญาณ

 

แหฟ้าตาข่ายดินแม้เป็นคาถาที่ติดมากับเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ กลับทำจากเถาวัลย์ของพฤกษาวิญญาณอย่างแท้จริง ต้องการพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยกระตุ้นเมล็ดเท่านั้น ดังนั้นพลังวิญญาณที่เผาผลาญน้อยมาก


 


 


ก่อนหน้านี้เคยพูดถึงว่าเถาวัลย์ที่ทอเป็นแหฟ้าตาข่ายดินมีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเหลืองที่ความเหนียวเหลือล้น ไม่กลัวไฟเผามีดฟัน อีกชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเขียวที่สามารถพันธนาการพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรได้


 


 


ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนสองคนใช้กระบี่บินตัดอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ตัดขาดเพียงเส้นเล็กๆ ไม่กี่เส้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองที่ถูกพันธนาการยังคงไม่อาจหลุดออกมาได้


 


 


ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็ทนดูต่อไปไม่ได้ กระบี่เล่มเล็กสีแดงด้ามยาวไม่เกินสามนิ้วปรากฏขึ้นในมือ บินไปที่ตาข่ายเหมือนผีพุ่งไต้ เมื่อมาถึงตรงหน้าก็เปล่งแสงสีแดงแสบตาออกมาทันที ต่อจากนั้นก็เห็นตาข่ายยักษ์ขาดอย่างเรียบร้อย ตกกระจัดกระจายไปทั่ว


 


 


มั่วชิงเฉินหรี่ตา จ้องผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเขม็ง


 


 


จู่ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งก็หัวเราะขึ้น “สหายเต๋ามั่วฝีมือดี ไม่รู้ต่อจากนี้พรรคของเจ้าคิดจะเปลี่ยนคน หรือว่ายังคงเป็นสหายเต๋ามั่วแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อ?”


 


 


มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากขึ้นเบาๆ เอ่ยนิ่งเรียบว่า “คนต่อไปเถอะ”


 


 


หากบอกว่าเมื่อเริ่มแรกตนมาพร้อมความคิดที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์การสู้รบ ขัดเกลาเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ สามารถชนะได้เท่าไหนก็เท่านั้น บัดนี้กลับไม่สู้สุดกำลังไม่ได้แล้ว


 


 


สาเหตุมิใช่อื่นใด เมื่อครู่ยามที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณลับๆ ได้รับการส่งเสียงทางจิตจากศิษย์ผู้ดูแล ได้ถ่ายทอดการนัดหมายของท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักและอาจารย์ให้ตนฟังอย่างสมจริงสมจัง


 


 


เมื่อคิดถึงการลงโทษที่ต้องเจอหากตนพ่ายแพ้ไม่แน่อาจร้ายแรงว่าการไปถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดอีก ยิ่งกว่านั้นยังทำให้อาจารย์เดือดร้อนอีก มั่วชิงเฉินก็สะท้านใจ ยังดีที่ฉวยโอกาสช่วงโกลาหลเมื่อครู่ฟื้นฟูพลังวิญญาณในกายได้ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ถึงกับไม่มีโอกาสสักนิด


 


 


“ศิษย์พี่ ข้าเอง!” เสียงเพราะพริ้งไพเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายกระโปรงยาวไม่เกินเข่าคนนั้นเดินขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินกอบมือคารวะ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายคนนั้นฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ไม่แม้แต่จะคารวะกลับก็ยกสองมือสองข้างขึ้นสูง


 


 


เห็นเพียงผ้าต่วนสีขาวบริสุทธิ์สองเส้นปลิวออกจากฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง ร่ายรำซัดมาที่มั่วชิงเฉินราวกับมีจิตวิญญาณ


 


 


แสงแหวกฟ้าของผ้าขาวตามมาด้วยเสียงกระพรวนที่ไพเราะเป็นระลอก ผ้าต่วนที่ดูแล้วอ่อนนุ่ม ไม่คิดว่าจะให้ความรู้สึกที่คมกริบ กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งลอยตามมา


 


 


เมื่อกลิ่นหอมจางๆ ที่หวานเลี่ยนยั่วยวนมุดเข้าจมูกมั่วชิงเฉิน สมองของนางก็วิงเวียนขึ้นมาทันที


 


 


มั่วชิงเฉินรีบกัดปลายลิ้น เมื่อความเจ็บปวดส่งผ่านมา สติสัมปชัญญะกลับมาแจ่มชัดทันที นางเข้าใจทันทีว่ากลิ่นหอมจางๆ นี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ในใจกลับแปลกใจเล็กน้อยที่ตนดูเหมือนจะหลุดพ้นได้ง่ายดายเกินไปหน่อย


 


 


ในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่มีเวลาให้คิดมาก เห็นผ้าขาวซัดมา มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางออกมาทันที ไถลไปข้างๆ ดั่งเซียนหลินปัวก็ไม่ปาน ชุดเขียวตัวหลวมพลิ้วไหวตามลม ดันเผยให้เห็นท่วงท่าที่อ่อนช้อย ทำให้ดูมีเสน่ห์สง่างามอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“ดี!”


 


 


“อาจารย์อามั่วสู้เขา!”


 


 


ศิษย์เหยากวงที่มุงดูโห่ร้องเสียงดังขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินกลับแอบยิ้มอย่างขมขื่น เคลื่อนเงาเลือนรางแม้เหมาะกับการหลบหลีก กลับเป็นคาถาแบบดั้งเดิม การเผาผลาญพลังวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ตนจะยืนหยัดได้ในยามนี้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายได้ยินเสียงโห่ร้องของศิษย์เหยากวง ฮึเสียงเย็นชาอีกเสียงหนึ่ง ผ้าขาวจู่โจมมาอีกครั้ง


 


 


มั่วชิงเฉินยกมือเปล่าขึ้น เถาวัลย์สีเขียวเข้มสองสายพุ่งออกไปโดยพลันดั่งงูวิญญาณ เข้าพัวพันกับผ้าขาวสองเส้นไว้ด้วยกัน


 


 


เพียงชั่วครู่ เถาวัลย์สีเขียวและผ้าขาวก็บิดเป็นเกลียว สองคนต่างคนต่างถือไว้ข้างหนึ่ง กลับเหมือนกำลังชักเย่อก็ไม่ปาน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายมองมั่วชิงเฉิน แล้วกัดริมฝีปาก พลังวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในมือ ดึงเชือกสองเส้นลากไปข้างหลัง


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา แอบคิดในใจว่า ช่างเกรงใจจริงๆ เลย ใช้ก้อนอิฐจนชินแล้ว แรงข้าค่อนข้างเยอะทีเดียวนะ


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินออกแรง สองคนก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น


 


 


“สู้เขา สู้เขา อาจารย์อามั่วสู้เขา!” ศิษย์ที่มุงดูเห็นหญิงสาวสองคนชักเย่อขึ้นมา จึงตะโกนเสียงดัง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งหน้านิ่งดุจน้ำ จับจ้องการต่อสู้ตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นออกเสียงว่า “ศิษย์น้องหยาง เจ้ายังรออะไรอยู่อีก!”


 


 


เมื่อพูดออกไป ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายล้วงยันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นตบลงบนมือ


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามแรงมากขึ้นมาก เชือกที่เดิมทีหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นเลื่อนไปด้านฝ่ายตรงข้ามมากมายทันที


 


 


“ไอยา อาจารย์อามั่วระวัง!” ศิษย์ไม่น้อยร้องด้วยความตกใจ


 


 


“แย่แล้ว นั่นคือยันต์จอมพลัง” ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นมาในฝูงชน


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนแผ่วเบา ยันต์จอมพลังนับว่าเป็นยันต์พิเศษ ในตลาดไม่ค่อยได้เห็นนัก ศิษย์หัวกะทิของนิกายเหอฮวน ไม่ธรรมดาจริงๆ


 


 


บนใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายฉายแววได้ใจแวบหนึ่ง แรงที่มือเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน


 


 


เห็นเกลียวเชือกสองเส้นพันกันแน่นเลื่อนไปทางผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายทีละนิด ศิษย์เหยาหวงไม่น้อยถึงกับลืมพูด จับจ้องตรงนั้นเขม็ง สีหน้าตื่นเต้นกว่าสองคนที่ประลองกันอยู่เสียอีก


 


 


มั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายต่างก็เป็นผู้หญิง อาศัยแรงของตนเพียงอย่างเดียวนั้นแตกต่างกันไม่มาก บัดนี้แทนที่จะบอกว่าแข่งพละกำลัง ไม่สู้บอกว่าแข่งพลังวิญญาณดีกว่า


 


 


ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายใช้ยันต์จอมพลัง อีกทั้งมั่วชิงเฉินก็ไม่กล้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอีก สภาพเช่นนี้ในสายตาคนอื่นจึงเอียงไปทางเดียวแล้ว


 


 


“นางเด็กบ้า เจ้ายอมแพ้เถอะ ว้าย…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ร่างกายก็บินไปข้างหลัง จนบินออกไปได้หลายจั้งถึงก้นจ้ำเบ้า


 


 


ผู้คนสูดลมเย็นเข้า “ซี๊ด เกิดอะไรขึ้น?”


 


 


มั่วชิงเฉินสะบัดมืออย่างใจเย็น เถาวัลย์ที่ถูกเก็บกลับไปก็หายกลับเข้าไปกลางฝ่ามือนาง


 


 


“เจ้า เจ้าขี้โกง!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วชี้มั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าโมโห


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “สหายเต๋าหมายความว่าเช่นไร ข้าโกงอย่างไรแล้ว?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมไม่หยุด ด้านหน้าคลื่นโหมซัดสาด “ข้าจะชนะอยู่แล้ว จู่ๆ เจ้ากลับเก็บเถาวัลย์กลับไป ไม่ใช่ขี้โกงคืออะไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบว่าโชคดีที่ตนไม่ใช่ผู้ชาย มิเช่นนั้นยังไม่ทันสู้ก็ทำวิญญาณหายไปแล้ว เช่นนั้นมิใช่ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยหรอกหรือ


 


 


“ช่างน่าขันจริงๆ นี่เราประลองกันอยู่ ไม่ใช่ชักเย่อเสียหน่อย เหตุใดข้าจะเก็บเถาวัลย์กลับไม่ได้ อย่าบอกนะว่าสหายเต๋านึกว่าลากเชือกข้ามไปได้ก็นับว่าชนะแล้ว?” มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายโมโหจนตัวสั่น ไม่พูดมากอีกแล้วปล่อยผ้าขาวสองเส้นออกไปในพริบตา


 


 


มั่วชิงเฉินปล่อยเถาวัลย์สีเขียวเข้มออกไปเช่นกัน ร่ายรำปะทะพันเกี่ยวกับผ้าขาว ไม่ให้ผ้าขาวเข้าใกล้ตน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายกัดริมฝีปากล่างแน่น ริมฝีปากขยับแผ่วเบา กระพรวนเงินบนผ้าขาวสองเส้นจู่ๆ ก็ดังขึ้นไม่หยุด


 


 


เดิมทีมั่วชิงเฉินกำลังเพิ่งสมาธิทั้งหมดในการบังคับเถาวัลย์ จู่ๆ เสียงกระพรวนกังวานเป็นระลอกๆ ก็ลอยมา เมื่อเข้ามาในหูกลับราวกับสามารถสะกดจิตได้ก็ไม่ปาน เปลือกตาของนางเริ่มหนักอย่างไม่คาดคิด อยากหลับตาขึ้นมาอย่างบังคับไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินกัดปลายลิ้นอีกครั้ง กลับพบอย่างคาดไม่ถึงว่าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ปลายลิ้นแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายหัวเราะคิกคัก ฉวยโอกาสยามมั่วชิงเฉินสติเลือนรางพันผ้าขาวเส้นหนึ่งเข้ากับเถาวัลย์สองเส้น ผ้าขาวอีกเส้นหนึ่งกลับซัดตรงไปยังหน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


ปลายผ้าขาวเปลี่ยนจากนิ่มนวลมาตั้งตรง ราวกับใบมีดที่แสนบางใบหนึ่ง ส่งไอเย็นออกเป็นสายๆ


 


 


“อาจารย์อามั่วเป็นอะไรน่ะ?” ศิษย์คนหนึ่งเห็นความเคลื่อนไหวของมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็เฉื่อยชาขึ้นมา จึงเอ่ยด้วยความสงสัย


 


 


ศิษย์อีกคนหนึ่งปากสั่นว่า “แย่แล้ว อาจารย์อามั่วจะถูกฝ่ายตรงข้ามทำลายโฉมแล้ว แม้ แม้อาจารย์อามั่วหน้าตา…ธรรมดาไปสักหน่อย ทว่าอย่างไรก็เป็นสตรีนะ”


 


 


“เสียงกระพรวน ศิษย์น้องมั่วต้องถูกเสียงกระพรวนนั่นครอบงำเป็นแน่” คนที่พูดคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง


 


 


ศิษย์ระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งทำใจกล้าว่า “ไม่ใช่หรอกกระมัง ศิษย์ไม่รู้สึกว่าเสียงกระพรวนนั่นจะมีอะไรนะ?”


 


 


ในยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกลับมีความอดทนยิ่งนัก อธิบายว่า “ศิษย์นิกายเหอฮวนคนนั้นมีตบะระดับสร้างรากฐาน เสียงกระพรวนที่ควบคุมเกรงว่ายังยากจะสร้างผลกระทบกระเทือนต่อผู้อื่นได้”


 


 


ยามนี้สติสัมปชัญญะของมั่วชิงเฉินไม่ได้รับผลกระทบกระเทือน ร่างกายกลับควบคุมไม่ค่อยได้ ไม่เพียงแต่ความเคลื่อนไหวเชื่องช้า ยิ่งกว่านั้นคือมีความรู้สึกมึนงงอยากหลับ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งที่ดูการประลองอยู่ในที่สุดก็ปรากฏรอยยิ้มให้เห็นสายหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายยิ่งเผยสีหน้าชัยชนะอยู่ในมือออกมา แอบฮึเสียงเย็นว่า นางเด็กบ้า เจ้าหลบกลิ่นหอมเร้นลับของข้าได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว ยังคิดจะหลบกระพรวนเกี่ยววิญญาณของข้าอีกหรืออย่างไร?


 


 


เห็นผ้าขาวมาถึงหน้ามั่วชิงเฉินแล้ว มั่วชิงเฉินกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อนเหม่ออยู่ที่เดิม ศิษย์ที่มุงดูอดร้องขึ้นด้วยความตกใจไม่ได้ ศิษย์หญิงมากมายถึงกับหลับตาแล้วกรีดร้อง ‘ว้าย ว้าย’ ขึ้นมา


 


 


แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนที่แหลมและเศร้าโศกยิ่งกว่าของหญิงสาว ล่องลอยไม่ขาดสาย


 


 


ศิษย์หญิงที่กำลังหลับตากรีดร้องอยู่คนหนึ่งได้ยินแล้วสีหน้าซีดเซียว ยิ่งกรีดร้องดังขึ้นอีก


 


 


“ศิษย์น้อง ศิษย์น้อง ไม่ต้องร้องแล้ว!” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งรวบรวมความกล้ากระตุกศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ


 


 


ศิษย์หญิงร้องอีกสองเสียง ถึงลืมตาขึ้น กลับไม่กล้ามองไปทางลานประลอง ได้เพียงมองศิษย์ชายด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “เสีย…เสียโฉมหรือยัง?”


 


 


ศิษย์ชายพยักหน้าว่า “เสียแล้ว”


 


 


บนใบหน้าศิษย์หญิงเต็มไปด้วยความเห็นใจทันที สะอื้นว่า “ฮือๆ อาจารย์อามั่วช่างน่าสงสารเหลือเกิน นางทำเพื่อพรรคเหยากวงของเราทั้งนั้นนะ…”


 


 


“อาจารย์อามั่วทำลายโฉมคนอื่นแล้ว…” ในที่สุดศิษย์ชายก็พูดจนจบ


 


 


ศิษย์หญิงแข็งเป็นหินทันที แล้วบิดคอมองไปอย่างแข็งทื่อ


 


 


ก็เห็นมั่วชิงเฉินกำลังหดสองนิ้วกลับมา ยืนอย่างสง่า


 


 


ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่พริ้มพรายไม่มีใครเทียมกลับนอนหงายอยู่บนพื้นหมดสติไป เส้นผมดกดำติดปีกบินหายไป เผยให้เห็นหนังศีรษะเงาวับออกมา


 


 


ศิษย์หญิงเบือนสายตาไปข้างๆ ก็เห็นเส้นผมนับไม่ถ้วนร่วงอยู่บนพื้น เมื่อลมพัดยังขยับแผ่วเบาอีก กระทั่งมีบางส่วนไม่รู้ถูกลมพัดไปทางไหนแล้ว


 


 


ศิษย์หญิงหันกลับมามองศิษย์ชายอย่างงงงัน ตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว ความหมายในแววตากลับชัดเจนมาก


 


 


เสียงศิษย์ชายเลื่อนลอยเล็กน้อยว่า “ข้าก็เห็นไม่ชัด ดูเหมือนผ้าขาวนั่นมาถึงหน้าอาจารย์อามั่ว ถูกนิ้วมือสองนิ้วของอาจารย์อามั่วหนีบไว้ จากนั้นอีกก็ได้ยินเสียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นร้องโหยหวนทีหนึ่ง แล้วก็ล้มลงหมดสติแล้ว”


 


 


กระทั่งถึงยามนี้ ศิษย์ที่มุงดูถึงโห่ร้องขึ้นมาตามๆ กัน


 


 


“พาศิษย์น้องหยางลงมา” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสีหน้าน่าเกลียดจนน่าตกใจ


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด กลับแอบกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไปฟื้นฟูพลังวิญญาณ ในใจยังกลัวไม่หายเล็กน้อย


 


 


หากไม่เพราะยามหัวเลี้ยวหัวต่อตนเร่งเพลิงแก้วใจกระจ่าง ชิงสิทธิ์การควบคุมร่างกายกลับมา แล้วอาศัยเคล็ดวิชานิ้วกระบวนท่าหนึ่งของเข็มกล้วยไม้ปัดจุดรวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่นิ้วหนีบผ้าขาวที่ซัดมาไว้ เช่นนั้นหน้าของตนต้องถูกนางทำลายเป็นแน่แล้ว


 


 


มองดูศีรษะโล้นเลี่ยนเตียนของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพราย มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้อำมหิตเกินไป พูดไปแล้วตนเพียงแค่โกนผมของนางทิ้งไป นับว่าสบายนางแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเม้มปาก เมื่อครู่แม้นางเห็นมั่วชิงเฉินใช้นิ้วมือหนีบผ้าขาวไว้ในชั่วพริบตาได้อย่างชัดเจน แล้วฉวยโอกาสที่ศิษย์น้องงงงันอยู่เขวี้ยงกระบี่บินออกไปโกนผมนางทิ้ง กลับดูไม่ออกว่าศิษย์น้องหยางถูกกระบวนท่าอะไรถึงหมดสติไป


 


 


แน่นอน นางไม่มีทางถามมั่วชิงเฉินเด็ดขาด


 


 


หนึ่งในยอดเขารองเขาชิงมู่ ลึกเข้าไปในป่าไผ่


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลได้รับยันต์ส่งสารใบใหม่ แล้วคารวะนักพรตฟางเหยาครั้งหนึ่ง “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ศิษย์น้องมั่วชนะอีกคนหนึ่งแล้ว อีกฝ่ายหมดสติไปเช่นกัน”


 


 


“เอ่อ ครั้งนี้เหตุการณ์เป็นเช่นไร?” นักพรตฟางเหยาถามขึ้น


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลสูดลมเข้าอึดหนึ่งถึงเอ่ยว่า “เห็นเพียงศิษย์น้องมั่วใช้นิ้วมือหนีบผ้าขาวที่ฝ่ายตรงข้ามจู่โจมมา จากนั้นใช้กระบี่บินโกนผมฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามหมดสติด้วยเหตุใด บัดนี้ยังไม่อาจทราบได้ขอรับ”

 

 

 


ตอนที่ 207 คนดูเพียงภายนอกไม่ได้

 

“ศิษย์น้องเหอกวง หรือว่าศิษย์หลานชิงเฉินยังเคยฝึกเคล็ดวิชานิ้วพิเศษอะไรมาก่อน ไม่คิดว่าจะสามารถใช้เพียงนิ้วมือหนีบอาวุธเวทของอีกฝ่ายได้?” นักพรตฟางเหยาตกตะลึง


 


 


กู้หลีหลุบตาลง ยื่นนิ้วมือเรียวยาวถือขวดน้ำชาหยกเขียวรินน้ำชาให้ทุกคน สีมรกตใสกระจ่างขับจนนิ้วมือยิ่งขาวสะอาดดุจหยก ปากเอ่ยเสียงกังวานว่า “ศิษย์ข้าเกเร เรียนหลากหลายไปหมด”


 


 


ส่วนตกลงเคยเรียนเคล็ดวิชานิ้วพิเศษมาก่อนหรือไม่กลับไม่ได้เอ่ย มิใช่กู้หลีปิดบัง หากแต่เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน


 


 


จากที่เขามอง ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรต่อให้เป็นอาจารย์ศิษย์กัน อาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องถามชีวิตการบำเพ็ญเพียรของศิษย์อย่างละเอียดยิบ ขอเพียงศิษย์สามารถตั้งใจเรียนรู้สิ่งที่เขาคิดว่าควรถ่ายทอดให้จนเป็นก็เพียงพอแล้ว


 


 


“ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์หลานชิงเฉินก็สามารถชนะศิษย์หัวกะทินิกายเหอฮวนสี่คนติดๆ กัน พลังความสามารถเช่นนี้ต่อให้อยู่ในหมู่ศิษย์หัวกะทิระดับเดียวกันในพรรคเหยากวงเราก็เพียงพอที่จะให้ภาคภูมิใจได้แล้ว” นักพรตฟางเหยาคร่ำครวญ ยามที่มองไปที่กู้หลีอีกครั้งในใจก็ให้รำพึงรำพัน สวรรค์ช่างลำเอียงต่อศิษย์น้องคนนี้จริงๆ เจ้าตัวก็มีรากวิญญาณฟ้าอยู่แล้ว ศิษย์ที่รับยังโดดเด่นเช่นกันอีก


 


 


สายตากู้หลีมองไปทางเขาโฮ่วเต๋อ แล้วยิ้มนิ่งเรียบว่า “ศิษย์ข้าและศิษย์นิกายเหอฮวนประมือกัน นับว่าได้เปรียบอยู่หลายส่วน”


 


 


ยังไม่รอนักพรตฟางเหยารับคำ นักพรตจื่อซีก็หัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “เช่นนั้นยามที่ศิษย์น้องเหอกวงท้าดวลนิกายเหอฮวนล่ะ?”


 


 


กู้หลีหน้าเจื่อนทันที


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามคนที่เหลือต่างอมยิ้ม


 


 


ใต้เชิงเขา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองไปที่ศิษย์ร่วมสำนักที่เหลือไม่กี่คน


 


 


พวกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งส่ายสายตามา ต่างหดตัวอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ กลัวว่าตนจะถูกชี้ให้ออกไปสู้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งยกคิ้ว ครั้งนี้นางพาศิษย์ระดับสร้างรากฐานมาสิบกว่าคน เดิมทีได้วางแผนอย่างรอบคอบ กลับไม่คิดว่าต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายตรงข้ามรวดเดียวสี่คน นี่ก็ช่างเถอะ จุดจบของแต่ละคนดันยังไม่สู้น่าดูนัก นี่เป็นการสร้างแรงกดดันทางใจอย่างใหญ่หลวงให้ศิษย์ที่เหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ต้องรู้ว่านิกายเหอฮวนเป็นสำนักที่ตั้งขึ้นด้วยหญิงสาวทั้งหมด ยามที่เลือกศิษย์ยังอุตส่าห์เลือกคนที่หน้าตาโดดเด่น บวกกับวิชายุทธ์ที่บำเพ็ญเพียรล้วนมีฤทธิ์ในการรักษาโฉม ไหนจะมีการบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชายุทธ์ลับของมนตร์เสน่หาอีก ไม่ว่าศิษย์คนไหนเดินออกจากสำนักไป ล้วนสามารถดึงดูดสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรมากมาย เป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชายละเมอเพ้อหา


 


 


ดังนั้นพวกนางส่วนใหญ่ชินกับการถูกเอาใจจากผู้บำเพ็ญเพียรชายมากมายมานานแล้ว ต่อให้ในยามสู้กัน เพราะความพิเศษของวิชายุทธ์ก็ได้เปรียบไปไม่น้อย


 


 


ทว่าใครจะรู้ว่าดันมาเจอมั่วชิงเฉินที่เป็นสตรีเหมือนกันแต่กลับห้าวหาญยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายอีก การพ่ายแพ้ไม่น่ากลัวหรอก ทว่าพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายปานนั้น จึงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอ้อนแอ้นอรชรพวกนี้ต้องสะเทือนขวัญ


 


 


“พวกเจ้าใครจะออกมา?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งฝืนกดไฟโกรธไว้ ไม่ยอมเป็นตัวตลกในสายตาของคนพรรคเหยากวง แม้วันนี้จะถูกเห็นเป็นตัวตลกมามากพอแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินดีใจที่พวกนางถ่วงเวลา เช่นนี้ยังสามารถฉวยโอกาสฟื้นฟูพลังวิญญาณได้สักหน่อย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งย่อมเข้าใจถึงจุดนี้ สายตาที่มองไปที่ศิษย์น้องร่วมสำนักจึงแฝงด้วยความเย็นชา


 


 


“ศิษย์พี่ ข้าเอง!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็ก ชุดสีแดงสดคนหนึ่งกัดฟัน เดินสวบๆ ออกมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กว่า “ศิษย์น้องหลี่ ระวังตัวหน่อย”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแหงนหน้ายิ้มว่า “ศิษย์พี่วางใจ ข้าไม่กลัวนางหรอกนะ!” น้ำเสียงน่ารักไร้เดียงสาราวกับเด็กสาวอายุสิบกว่าปี


 


 


“เฮ้ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชื่อมั่วชิงเฉินสินะ ชื่อก็ไพเราะอยู่ การกระทำกลับหยาบคายปานนี้ อาจารย์ข้าเคยบอกข้าว่า สตรีก็ควรมีลักษณะของสตรี มิเช่นนั้นต่อไปก็อย่าคิดจะออกเรือนไปได้เลย!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กยืนอยู่ตรงข้างมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างโมโห


 


 


มั่วชิงเฉินจนด้วยคำพูด คู่ต่อสู้ใหม่ของตนใบหน้ากลมเหมือนเด็ก บนใบหน้ายังมีความตุ้ยนุ้ยของเด็ก ดูแล้วท่าทางไม่เกินสิบสี่สิบห้าปี เมื่อขึ้นมาถึงก็ใช้เรื่องแต่งไม่ออกมาข่มขู่ตนอย่างไม่คาดคิด ช่างไม่รู้จริงๆ ว่าสภาพจิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอหรือว่าแกล้งเป็นหมูกินเสือ[1]กันแน่


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง ไม่ว่าในสถานการณ์เช่นใด นางก็จะไม่ประมาท อายุจริงของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้เกรงว่าก็คงไม่มาก สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะกลางด้วยอายุน้อยๆ เช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนโง่


 


 


“ไยเจ้าถึงไม่พูดล่ะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กกัดปากว่า


 


 


มั่วชิงเฉินแสยะยิ้ม “สหายเต๋าหลี่ คิดว่าศิษย์ที่มุงดูเป็นหมื่นเป็นพันคงอยากรู้ว่าพวกเราใครจะแพ้ใครจะชนะมากกว่า ไม่ใช่ห่วงว่าข้าจะออกเรือนได้หรือไม่กระมัง ดังนั้นเรื่องนี้สหายเต๋าก็ไม่ต้องกังวลจะดีกว่า”


 


 


“ฮึ เช่นนั้นก็มาเถอะ นึกว่าข้ากลัวเจ้าหรืออย่างไร!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กพูดจบ ในมือก็ปรากฏห่วงทองที่ประดับเต็มไปด้วยกระพรวนขึ้นอันหนึ่ง


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินเห็นกระพรวนแล้วก็หนักใจเล็กน้อย เห็นทีวิธีจู่โจมของศิษย์นิกายเหอฮวนจะเน้นของข้างๆ คูๆ มากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วตนก็ยิ่งต้องระวังตัวให้มากแล้ว


 


 


ในบรรดาศิษย์ที่มุงดูมีอยู่คนหนึ่งใส่ชุดศิษย์ฆราวาสหันหน้าไป พูดกับคนข้างๆ ว่า “ที่จริง ข้าเป็นห่วงอาจารย์อามั่วมากจริงๆ ว่าตกลงจะออกเรือนไปได้หรือไม่…”


 


 


ศิษย์ข้างๆ นิ่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยว่า “วางใจได้ หากไม่ไหวจริงๆ…ยังมีอาจารย์อาเยี่ยมิใช่หรือ…”


 


 


ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ได้ยินการสนทนาของสองคนนี้แล้วพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


ท่ามกลางฝูงชน เยี่ยเทียนหยวนที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยได้ยินคำพูดนั้นโดยไม่ตกหล่นสักคำ สีหน้าอดบึ้งตึงไม่ได้ ยกเท้ากำลังจะจากไปกลับต้องหยุดฝีเท้าทั้งอย่างนั้นอีก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กหน้านิ่งตึง สายตาจ้องมั่วชิงเฉินไม่เขม็งจากนั้นขยับข้อมือ เสียงกระพรวนอันไพเราะก็หลั่งไหลออกมาทันที


 


 


เสียงกระพรวนนี้และเสียงกระพรวนที่ออกจากกระพรวนที่ผูกอยู่บนผ้าขาวของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายต่างกันยิ่งนัก


 


 


เสียงกระพรวนของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายฟังแล้วน่าหลงใหลตรึงใจ ทำให้คนมึนงงอยากนอน ทว่าห่วงทองในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กประดับด้วยกระพรวนเล็กสิบกว่าอัน เมื่อขยับข้อมือกระพรวนก็กระทบกัน แล้วกระทบกับห่วงทองอีก เสียงกระพรวนนั้นกลับกังวานเสนาะหู


 


 


เพียงแต่หลังจากเสียงกระพรวนดังขึ้นก็เปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงที่จับต้องได้อย่างไม่คาดคิด พุ่งไปที่มั่วชิงเฉินเป็นสายๆ


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าการสู้กันครั้งนี้ช่างเปิดหูเปิดตาเหลือเกิน อาศัยเพียงข้อนี้ข้อเดียว ขอเพียงพยายามสุดความสามารถ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ไม่เสียดายแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมีเพียงชามกระเบื้องใบใหญ่เป็นอาวุธเวทป้องกัน หลังจากถูกผู้เฒ่าสามตระกูลหวังที่ทะเลขนาบใจทำเสียยังไม่ทันได้ซ่อมแซม ดังนั้นเมื่อประจันหน้ากับการจู่โจมของคู่ต่อสู้ จึงได้แต่ใช้รุกต้านรุก


 


 


ทว่าประลองกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันติดกันถึงสี่คน ภายนอกมั่วชิงเฉินดูแล้วแม้ไม่เป็นไร การเผาผลาญพลังวิญญาณกลับไม่น้อย พละกำลังและจิตใจก็มีร่วงลงไปบ้าง


 


 


และภายใต้สถานการณ์สู้อย่างต่อเนื่อง นางได้แต่สนใจกลืนโอสถเติมวิญญาณเติมพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุด จะทันกินโอสถฟื้นจิตเติมพละกำลังที่ไหนล่ะ


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ได้แต่รีบสู้รีบจบแล้ว


 


 


เมื่อความคิดนี้แวบผ่านมั่วชิงเฉินยกแขนสองข้างขึ้นพร้อมกัน กางนิ้วออก มุกสีแดงขนาดเท่าเม็ดลำไยหลายเม็ดก็บินออกมา


 


 


มุกสีแดงบินถึงกลางคันจู่ๆ ก็เติบโตขึ้นด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวดเป็นดอกตูมสีแดงขนาดมหึมาดอกหนึ่ง จากนั้นดอกตูมสั่นไหวบานออก เผยให้เห็นเกสรสีเหลืองสดข้างใน มองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนยามพระอาทิตย์ขึ้น ย้อมเมฆผืนใหญ่ให้เป็นสีแดง


 


 


“หา นั่น นั่นอะไรน่ะ?” ศิษย์ที่มองดูจำนวนไม่น้อยร้องด้วยความตกใจ


 


 


“สมบัติวิเศษกระมัง น่าจะเป็นสมบัติวิเศษ” มีคนเอ่ย


 


 


คนข้างๆ หัวเราะฟู่ว่า “มีสมบัติวิเศษเช่นนั้นที่ไหนกัน ข้าว่าน่าจะเป็นคาถา อาจารย์อามั่วเชี่ยวชาญคาถาธาตุไม้มิใช่หรือ?”


 


 


“โอ้โห ช่างเป็นคาถาที่งดงามเหลือเกิน เขาก็จะไปเขาชิงมู่ ฝึกฝนคาถาธาตุไม้!” มีศิษย์หญิงมองดูดอกไม้สีแดงที่ผลิบานอยู่กลางอากาศ ปราณวิญญาณเป็นประกายสะอาด งดงามอ่อนช้อยเหมือนอยู่ในความฝัน ดวงตาเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ


 


 


ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งถอนใจว่า “ศิษย์พี่มั่วชนะสี่คนติดกันแล้ว ยามนี้ยังร่ายคาถาเช่นนี้อีก ช่างเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ”


 


 


ศิษย์ระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งส่ายศีรษะว่า “ศิษย์น้องเกรงว่าจะเข้าใจคาถาธาตุไม้ไม่มาก พลังจู่โจมของคาถาธาตุไม้แม้ไม่โดดเด่น กลับมีข้อได้เปรียบที่คาถาธาตุอื่นไม่อาจเทียบเคียงได้ ศิษย์น้องรู้หรือไม่ว่าคืออะไร?”


 


 


“ขอศิษย์พี่โปรดชี้แนะ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นหัวเราะ “ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนคาถาธาตุไม้ ใช้พลังวิญญาณเพียงน้อยนิดก็สามารถเร่งให้เมล็ดพันธุ์ของพฤกษาวิญญาณงอกได้ จากนั้นใช้พฤกษาวิญญาณแปลงเป็นคาถาแทนพลังวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่ประหยัดพลังวิญญาณได้มากมาย หากเลือกใช้พฤกษาวิญญาณได้เหมาะสม อานุภาพของคาถายังจะเพิ่มขึ้นมากมายอีกด้วย น่าเสียดายพฤกษาวิญญาณที่เหมาะกับการเร่งให้โตส่วนใหญ่ไม่มีที่โดดเด่น มิเช่นนั้นจะมีที่ยืนให้ผู้บำเพ็ญเพียรธาตุอื่นเช่นเราที่ไหนกัน”


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”


 


 


ระหว่างที่ศิษย์ที่มุงดูถกเถียงกันอยู่ ลานประลองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแล้ว


 


 


เห็นเพียงดอกไม้สีแดงเพลิงที่จู่ๆ ก็โผล่มากลางอากาศราวกับมีพลังดูดก็ไม่ปาน กลืนคลื่นเสียงที่จู่โจมมาที่มั่วชิงเฉินจนสิ้น จากนั้นกลีบดอกหุบลงค่อยๆ ดุกดิกเหมือนกำลังเคี้ยวอยู่ ความงดงามแต่เดิมกลายเป็นความสยองทันที ทำให้ผู้ชมขนพองสยองเกล้า


 


 


ศิษย์หญิงคนหนึ่งพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ น่ากลัวจังเลย หากที่กลืนลงไปเป็นคน…” พูดถึงตรงนี้แล้ววทำท่าอาเจียน


 


 


ศิษย์ชายที่อยู่ข้างๆ ว่า “จะกลืนคนลงไปได้อย่างไรกัน…” พูดถึงข้างหลังน้ำเสียงกลับเปลี่ยนจากแน่ใจเป็นลังเล แล้วพึมพำในใจว่า อาจารย์มั่วทำเรื่องเช่นนี้ออกมาก็คงไม่น่าแปลกกระมัง?


 


 


ครั้นมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กอีกครั้ง ใบหน้าก็เกิดความเห็นใจขึ้นมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กกัดริมฝีปาก มือสั่นเสียงกระพรวนก็ดังไม่ขาดสาย คลื่นเสียงที่จับต้องได้เหมือนคมดาบที่ดึงจนยาวและบางจู่โจมไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้ง


 


 


ฮึ ศิษย์พี่พูดแล้ว ต่อให้แพ้แล้วจะเป็นอะไรไป สามารถผลาญพลังวิญญาณของเจ้าให้มากๆ ได้ ศิษย์พี่ที่อยู่ด้านหลังก็จะชนะเจ้าเอง! ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กแอบคิด


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูคู่ต่อสู้ใช้พลังวิญญาณปริมาณมากปลุกอาวุธเวทอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด การโจมตีมาเหนือชั้นกว่า จึงเข้าใจถึงแผนการของอีกฝ่าย จึงโยนมุกสีแดงออกไปมากขึ้นอย่างไม่ลังเลทันที ดอกไม้ที่บานออกกลืนคลื่นเสียงที่จับต้องได้เข้าไปจนไม่เหลือหลอ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเห็นการโจมตีถูกมั่วชิงเฉินขวางไว้อีกครั้ง กระทืบเท้าอย่างแรง จากนั้นชิดนิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้ายเข้าหากันวาดเส้นโค้งขึ้นสายหนึ่งกลางอากาศ ปลายนิ้วแตะห่วงทอง ตะโกนว่า “ไป!”


 


 


ห่วงทองในมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจรัสแสงขึ้นทันที กระพรวนสิบกว่าอันข้างบนหลุดออกจากห่วงทองบินไปที่มั่วชิงเฉินอย่างไม่คาดคิด


 


 


กระพรวนสิบกว่าอันกลางอากาศยิ่งบินยิ่งเร็วยิ่งบินยิ่งใหญ่ ถึงตอนท้ายไม่คิดว่าจะใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่าระฆัง พอที่จะครอบคนไว้ภายใน และการโจมตีอย่างสุดกำลังของอีกฝ่าย ที่วางแผนไว้ก็คือสิ่งนี้!


 


 


ดอกไม้สีแดงเพลิงสิบกว่าดอกที่มั่วชิงเฉินโยนออกมาต่างกลืนกระพรวนเข้าไป ทว่ายังไม่รอให้นางพักหายใจ ก็เห็นดอกไม้พวกนี้ดุกดิกไปมายิ่งดิ้นยิ่งรุนแรง ไม่นานก็ยุบๆ พองๆ สุดท้ายระเบิดออกดังเปรี้ยง ราวกับดอกไม้ไฟที่จุดปล่อยไปในอากาศ จากนั้นกลายเป็นฝนกลีบดอกไม้ร่วงลงมาตามๆ กัน


 


 


กระพรวนที่หลุดพ้นจากการกักแรงจู่โจมไม่ลด กระจายออกสี่ทิศครอบไปเหนือศีรษะมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางไม่ได้หยุด หลบหลีกกระพรวนไปมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กหัวเราะคิกคัก ยกมือขึ้นโยนยันต์ระเบิดไฟเป็นตั้งๆ ตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินหลบหลีกอีก


 


 


มั่วชิงเฉินในสายตาผู้คนยามนี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งต้องหลบหลีกการไล่ตามของกระพรวนอย่างเต็มกำลัง อีกทั้งยังต้องรับมือยันต์ระเบิดไฟที่ระเบิดออกดังโครมๆ


 


 


ยันต์ระเบิดไฟหลายใบระเบิดขึ้นอีกตรงที่ที่ห่างจากมั่วชิงเฉินไม่เกินสามฉื่อ ชุดประจำสำนักที่นางใส่ถูกระเบิดเป็นรูดำเล็กๆ นับไม่ถ้วนทันที ความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจส่งผ่านมาจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย


 


 


มองดูรอยยิ้มได้ใจของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็ก มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งลง ล้วงก้อนกลมสีดำที่นางตั้งชื่อให้ว่าระเบิดสะท้านฟ้าโยนออกไปอย่างไม่เกรงใจ


 


 


 


 


——


 


 


[1] แกล้งเป็นหมูกินเสือ เป็นคำสุภาษิต หมายถึง การปิดบังความสามารถที่แท้จริง แกล้งทำตัวอ่อนแอ โง่เขลา หลอกให้ศัตรูชะล่าใจแล้วลงมือเอาชนะทันที 

 

 


ตอนที่ 208 การออกโรงแสนงดงาม

 

ไม่รู้เพราะมั่วชิงเฉินสู้ติดกันหลายยกใช้กระบวนท่าประหลาดออกมามากมายทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเกิดเกรงกลัวขึ้นมา หรือว่าเดิมทีนางก็เป็นคนระมัดระวังรอบคอบอยู่แล้ว เห็นจู่ๆ มั่วชิงเฉินโยนของสิ่งหนึ่งมาที่นาง จึงรีบเร่งกระพรวนสิบกว่าอันที่บินอยู่กลางอากาศต้านไปในทิศทางที่ของบินมา


 


 


เสียงโครมดังสนั่นดังขึ้น ตามมาด้วยควันกรุ่นคละคลุ้งไปทั่ว ผู้คนที่มุงดูรู้สึกเพียงพื้นที่อยู่ใต้เท้าสั่นแล้วสั่นอีก เสียงร้องตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย


 


 


หลายสิบอึดใจให้หลังควันกรุ่นถึงกระจายหายไป ในที่สุดผู้คนก็เห็นสภาพในลานประลองได้ชัดเจน


 


 


เห็นเพียงกระพรวนที่เบ่งอำนาจพวกนั้นถูกระเบิดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่วนที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กอยู่ก่อนหน้านี้ ได้กลายเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่งไปแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรที่มุงดูทั้งหมดรวมทั้งศิษย์นิกายเหอฮวนต่างงงเป็นไก่ตาแตก ไม่ได้สติกลับมาไปชั่วเวลาหนึ่ง


 


 


ทันใดนั้นเสียงไอติดๆ กันอย่างรุนแรงลอยมา จากนั้นก็เห็นมือดำปี๋ข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นออกจากหลุมใหญ่ ตามด้วยมืออีกข้างหนึ่งมาติดๆ ต่อมาคือศีรษะ ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กก็คลานขึ้นมาอย่างเปลืองแรง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงโซซัดโซเซยืนขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างงงงัน เมื่อสายตาตกไปที่เศษแตกละเอียดยิบของกระพรวนบนพื้น ก็หน้าถอดสีทันที เงยหน้ามองมั่วชิงเฉินโดยพลัน


 


 


บนใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กดำปื้นหนึ่งขาวปื้นหนึ่ง แยกสีไม่ออกแล้ว เสื้อผ้าบนร่างยิ่งถูกเผาจนสิ้น เหลือเพียงผ้าขาดวิ่นไม่กี่เส้นแขวนอยู่บนร่างกายพลิ้วไหวไปตามลม ดูแล้วอนาถยิ่งนัก โชคดีที่นางใส่เกราะอ่อนสีแดงเข้มตัวหนึ่งไว้ข้างใน ไม่ถึงกับต้องโป๊เปลือย


 


 


มั่วชิงเฉินเหงื่อแตกพลั่ก ท่าทางอานุภาพของระเบิดสะท้านฟ้าไม่น้อยจริงๆ ก่อนหน้านี้อยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดยังไม่รู้สึกว่ามีอะไร ในสถานที่ธรรมดาที่ไม่มีเขตอาคมป้องกันแม้แต่น้อยนี้ ไม่คิดว่าจะระเบิดจนเป็นหลุมเบ้อเริ่มออกมา


 


 


จากนั้นสายตาตกไปบนเกราะอ่อนสีแดงเข้มของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็ก เกราะอ่อนเช่นนี้ดูก็รู้ว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันชั้นดี มิน่าอีกฝ่ายถึงยังมีแรงคลานขึ้นมาจากหลุมยักษ์ได้


 


 


เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฐานะของหญิงผู้นี้ในนิกายเหอฮวนต้องไม่ต่ำแน่นอน ไม่แน่ตนได้ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงท่านไหนเข้าให้อีกแล้ว


 


 


“เจ้า เจ้ามันนางมาร ไม่คิดว่าจะทำลายห่วงทองกระพรวนลั่วอินของข้า ฮือๆ ฮือๆ ข้าจะไปฟ้องอาจารย์!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กยื่นนิ้วมือออก ชี้มั่วชิงเฉินพลางกล่าวโทษ


 


 


มั่วชิงเฉินอดกระตุกมุมปากไม่ได้ นางควรภูมิใจหรือไม่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนถึงกับเรียกนางว่านางมารเชียว


 


 


ขี้เกียจพูดมากกับสตรีที่จิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ มั่วชิงเฉินหันหลังเดินไปข้างลานประลองรีบฉวยโอกาสปรับลมหายใจ


 


 


“เจ้าหยุดนะ ข้า ข้าจะฟ้องอาจารย์ข้าจริงๆ นะ ถึงเวลาอาจารย์ข้าต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเอ่ยด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด


 


 


มั่วชิงเฉินยกเปลือกตาขึ้นอย่างขี้เกียจว่า “เชิญตามสบาย ขืนเจ้าจู้จี้อีก ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ข้าเดี๋ยวนี้เลย!”


 


 


ข่มขู่คนใครทำไม่เป็นบ้างล่ะ มั่วชิงเฉินเบ้ปากแอบคิดในใจ


 


 


“ฟู่!” ศิษย์ที่มุงดูไม่น้อยหัวเราะออกมา


 


 


“ศิษย์น้องหวัง มิน่าตั้งแต่ศิษย์น้องมั่วเข้าสำนักเจ้าก็คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา บัดนี้ดูแล้วข้าต่างหากที่ตาไม่มีแวว ยามนี้ถึงพบว่าที่แท้ศิษย์น้องมั่วเป็นคนวิเศษแท้ๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รอยยิ้มอ่อนโยนยิ้มเอ่ยขึ้น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้องหวังมีใบหน้าทารกที่น่ารัก ได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วว่า “คนวิเศษอะไรกัน เป็นตัวหาเรื่องละสิไม่ว่า”


 


 


ท่ามกลางฝูงชน เยี่ยเทียนหยวนก้มหน้าลง ทำความมีอยู่ให้จางลง ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้วใบหน้าดุจรูปสลักน้ำแข็งก็อ่อนโยนลง ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นระบายรอยยิ้มออกมาสายหนึ่ง


 


 


เกรงว่าจะมีเพียงคนของนิกายเหอฮวนที่ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้วสีหน้าดูไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งบอกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูที่อยู่ข้างๆ ว่า “รีบไปพาศิษย์น้องหลี่ลงมา”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูได้ยินดังนั้นรีบเดินขึ้นลานประลองไปทันที ลากแขนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กว่า “ศิษย์น้องหลี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เราลงไปกันเถอะ” พูดพลางกระตุกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กทีหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กดิ้นรนพลางสะบัดมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูออก ปากก็ตะโกนว่า “ไม่ ข้าจะประลองกับนางอีก นางทำห่วงทองกระพรวนลั่วอินของข้าพัง จะให้แล้วกันไปเช่นนี้ไม่ได้…”


 


 


ในยามนี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงแควกเบาๆ ดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูงงเป็นไก่ตาแตกในบัดดล จ้องหน้าอกของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กตาไม่กะพริบ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กก้มศีรษะลงอย่างสงสัย ทันใดนั้นก็กรีดร้องขึ้น จับเกราะอ่อนที่อยู่ที่หน้าอกแล้วร้องไห้โฮพลางวิ่งทะยานลงไปอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ที่แท้เกราะอ่อนสีแดงเข้มยามที่ต้านระเบิดสะท้านฟ้านั้นก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้ว ยังพอเหมาะพอเจาะอยู่ส่วนรอยต่อที่หน้าอก ส่วนรอยต่อเดิมทีก็เป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของเกาะอ่อนป้องกันสีแดงเข้มอยู่แล้ว


 


 


เมื่อครู่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กออกแรงดิ้นปุ๊บรอยขาดก็กว้างขึ้น ส่วนรอยต่อจึงขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง ทิวทัศน์สวยงามของขุนเขาที่หน้าอกจึงโผล่ออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าประหลาด มุมปากสั่นแผ่วเบา ฝืนกลั้นไว้ไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดออกมา ในใจกลับอดคร่ำครวญไม่ได้ว่า ที่แท้คนเขาดูแล้วหน้าเด็ก แต่ความจริงซ่อนรูปไว้หรือนี่…บาปกรรม บาปกรรม ตนจะพัฒนาไปในทางชั่วร้ายต่อไปไม่ได้แล้ว


 


 


หากมั่วต้าเหนียนอยู่ยมโลกรู้เข้า เกรงว่าจะกระโดดออกมาจริงๆ ทึ้งหนวดร้องไห้ฟูมฟายว่า “เหตุใดเมื่อไม่มีข้าคอยดูแล เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เชื่อฟังน่ารักยามเด็กๆ ก็โตมาอย่างผิดทาง กลายเป็นสาวน้อยที่ชั่วร้ายแล้วล่ะ!”


 


 


ในบรรดาศิษย์ที่มุงดู ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งน้ำตานองหน้าเช่นกัน ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักขอรับ ในที่สุดศิษย์ก็รู้แล้วว่าศิษย์พี่มั่วใช้อะไรระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดห้องหมายเลขสามแล้ว


 


 


ยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งถูกปล่อยออกไปอย่างเงียบๆ


 


 


ส่วนทางด้านนิกายเหอฮวน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กร้องไห้จนหายใจไม่ออกแล้ว


 


 


ศิษย์ร่วมสำนักทั้งหลายมองดูศิษย์น้องเล็กที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลด้วยสีหน้าเห็นใจ ในใจกลับอดรู้สึกโชคดีไม่ได้ โชคดีที่คนที่ขึ้นไปไม่ใช่ตนเองน่ะสิ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งตบไหล่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กเบาๆ ส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องหลี่ เจ้าอย่าร้องอีกเลย วันนี้แม้ขายหน้า แต่อย่างไรเสียเจ้าก็ปลอดภัย เจ้าดูของที่มั่วชิงเฉินโยนออกมานั่นสิ ไม่เพียงแต่ระเบิดห่วงทองกระพรวนลั่วอินของเจ้าจนแหลกแล้ว ยังทำลายเกราะอ่อนวิญญาณสีชาดของเจ้าอีก อานุภาพนั้นช่างน่ากลัวโดยแท้ สามารถรักษาชีวิตกลับมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว”


 


 


ในใจกลับแอบคิดว่า ศิษย์น้องหลี่ช่างนิสัยเหมือนเด็กจริงๆ ก็เพียงแค่แพลมนิดแพลมหน่อยเท่านั้น จำเป็นต้องร้องไห้ถึงเพียงนี้ไหม สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ยังแอบยิ้มแทบไม่ทันเลย ทว่าพูดก็พูดเถอะ โชคดีที่ศิษย์น้องหลี่ปลอดภัย มิเช่นนี้ตนกลับไปเกรงว่ายิ่งยากจะอธิบายแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหน้าเด็กฟังคำเกลี้ยกล่อมจากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง ในที่สุดก็หยุดร้องไห้ จับเสื้อผ้าที่คนอื่นคลุมให้นางไว้แน่นแล้วหลบเข้าไปท่ามกลางศิษย์ร่วมสำนัก


 


 


เขาชิงมู่


 


 


เจ้าสำนักนักพรตฟางเหยาฟังการรายงานของศิษย์ผู้ดูแลจบ สีหน้าเหลือเชื่อมาก มองไปที่กู้หลีทันที


 


 


กู้หลีภายนอกดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับยกน้ำชาขึ้นดื่มไม่หยุด โคนหูแดงเรื่อขึ้นมา


 


 


เป็นครั้งแรก ที่เขาเกิดความสงสัยและหวั่นไหวอย่างลึกซึ้งต่อเรื่องที่รับมั่วชิงเฉินเป็นศิษย์


 


 


นักพรตจื่อซีกลับตีหัวชกอก โวยวายตรงๆ ว่า “น่าเสียดาย เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงไปดูการประลองไม่ได้ล่ะ!”


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ กฎเกณฑ์ของการ ‘เยือนสำนัก’ ก็เป็นเช่นนี้แล” นักพรตหมิงจ้าวรีบปลอบใจ


 


 


นักพรตจื่อซีค้อนควักหนึ่งว่า “กฎเกณฑ์กฎเกณฑ์ นี่ยังต้องให้เจ้าบอกหรือ นึกถึงปีนั้นยามที่ข้ารู้เรื่องกฎเกณฑ์นี้ เจ้ายังเปลือยก้นน้ำมูกไหลอยู่เลยนะ!”


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของนักพรตหมิงจ้าวอั้นจนเป็นสีตับหมู เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ความหมายของศิษย์น้องคือ หากศิษย์พี่ใหญ่อยากไปจริงๆ ก็แสร้งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็ได้แล้วมิใช่หรือ”


 


 


นักพรตจื่อซีตบไหล่นักพรตหมิงจ้าวทีหนึ่งโดยพลัน “ศิษย์น้องสาม วันนี้เจ้าช่างหัวไวจริงๆ ไป” พูดพลางก็ลุกขึ้นยืน


 


 


“ศิษย์พี่จื่อซี ศิษย์น้องหมิงจ้าว…” นักพรตฟางเหยาตะโกนหน้าบึ้ง


 


 


นักพรตจื่อซีถอนใจอย่างจำใจ แล้วนั่งลงอย่างผิดหวัง


 


 


นักพรตฟางเหยาจัดเสื้อผ้านั่งตัวตรง พลิกมือปรากฏกระจกทองแดงขึ้นบานหนึ่ง


 


 


สามคนที่เหลือกวาดสายตาไป เห็นเพียงในกระจกทองแดงศิษย์ในชุดเขียวเบียดอยู่ด้วยกัน สีหน้าต่างๆ กันไป หันอีกทีหนึ่ง ก็ปรากฏภาพผู้บำเพ็ญเพียรหญิงงดงามสิบกว่าคนที่ใส่ชุดกระโปรงสีต่างๆ ขึ้นอีก หลังจากนั้นอีก ก็ปรากฏภาพมั่วชิงเฉินที่พิงอยู่ข้างสนามหลุบตาปรับลมหายใจ


 


 


สิ่งที่ปรากฏในกระจกทองแดงก็คือฉากใต้เชิงเขาที่สะดุดตานี่เอง!


 


 


“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก…” นักพรตจื่อซีเรียกลากเสียงเสียยาว


 


 


นักพรตฟางเหยากระแอมสองทีว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินชนะติดกันห้าคนแล้ว บัดนี้กำลังถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเราในฐานะผู้อาวุโสแม้ไม่สะดวกไปดูการประลอง แค่กๆ แต่ใส่ใจเรื่องนี้มากๆ หน่อยก็เป็นเรื่องสมควร”


 


 


ใต้เชิงเขา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองดูเหล่าศิษย์น้องที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ที่สลบก็สลบ สีหน้ายิ่งดูไม่ได้ขึ้นมา


 


 


ยามนั้นอาจารย์อาเจ้าสำนักให้นางพาศิษย์น้องสิบกว่าคนมาท้าประลองที่เหยากวง นางยังรู้สึกว่าเอิกเกริกเกินไป ทว่าไม่คิดว่าบัดนี้กลับกลายมามีสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายชนะรวดห้าคนติดกัน ศิษย์น้องทั้งหลายยังเกิดความรู้สึกกลัวการสู้ขึ้นมาอีก หากต่อจากนี้ไม่มีคนออกสู้หรือว่านางชนะทั้งเจ็ดยก เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มีหน้ากลับสำนักแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เห็นนางยืนอยู่ข้างๆ หลุบตาปรับลมหายใจเงียบๆ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้


 


 


ต่อให้พลังความสามารถนางแข็งแกร่งเพียงใดก็มีเพียงตบะของระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ไม่พูดถึงพละกำลัง ก็ว่ากันด้วยพลังวิญญาณหรือว่าจะใช้ได้ไม่มีวันหมดหรืออย่างไร?


 


 


พูดเช่นนี้แล้ว การประลองห้ายกนี้ศิษย์น้องห้าคนจุดจบดูไม่ได้ เป็นเพราะนางเจตนาหรือ?


 


 


ถูกต้อง นางต้องจงใจใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนที่สตรีหน้าบางเป็นแน่ เจตนาเพิ่มความกดดัน! จุดประสงค์ของความกดดัน ย่อมอยู่ที่ให้คู่ต่อสู้ถอยโดยไม่สู้! และหากคนคนหนึ่งมั่นใจว่าสามารถสู้ชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้ จะใช้วิธีนอกลู่นอกทางไปไย!


 


 


เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งคาดเดาถึงตรงนี้จู่ๆ ก็มั่นใจขึ้นมา พลังวิญญาณไม่พอก็คือจุดอ่อนที่ถึงแก่ชีวิตของคู่ต่อสู้!


 


 


คิดถึงตรงนี้ไม่ลังเลอีกต่อไป แล้วส่งเสียงทางจิตให้ศิษย์ร่วมสำนักที่ใส่ชุดกระโปรงยาวระพื้นสีน้ำเงิน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวพยักหน้าแผ่วเบา เดินไปกลางลานประลอง


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจในใจอึดหนึ่ง เดินไปถึงตรงกลางเช่นกัน ฝ่ายตรงข้ามไม่โง่เสียหน่อย จะให้เวลานางปรับลมหายใจตลอดเวลาได้อย่างไรกัน และบัดนี้พลังวิญญาณในกายนางเหลือไม่ถึงสามส่วนแล้ว


 


 


“สหายเต๋ามั่วฝีมือดีจริงๆ บัดนี้ก็ให้น้องขอคำชี้แนะสักครั้งเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวคารวะครั้งหนึ่งอย่างสง่า หากไม่รู้เรื่องยังนึกว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ในโลกฆราวาส


 


 


มั่วชิงเฉินคารวะกลับว่า “สหายเต๋าเกรงใจไปแล้ว”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวดวงตาที่งดงามมองไปรอบๆ แล้วยิ้มขึ้นทันที เมื่อยื่นมือเรียวออกมา ก็เห็นเงาสีน้ำเงินสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้น จากนั้นรำแพนอย่างช้าๆ หางนกยูงห้าสีที่มีสีน้ำเงินเป็นพื้นปรากฏปราณวิญญาณขึ้นรางๆ ดูแล้วงดงามเป็นพิเศษภายใต้แสงอาทิตย์ที่สดใส


 


 


ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนกยูงสีน้ำเงินตัวหนึ่ง!


 


 


“นกยูงขนน้ำเงินหางแดง!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกในฝูงชนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนจากสีหน้าอ่อนโยนยามปกติ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หลายคนผลัดกันต่อสู้กันผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเพียงคนเดียว ยังจะบวกอสูรวิญญาณเข้ามาอีก ช่างน่าขันเสียจริง!”


 


 


ในอีกมุมหนึ่ง ใบหน้างดงามของมั่วหลีลั่วเย็นดุจน้ำแข็ง โมโหว่า “รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนชิงเฉินลงมา!”


 


 


ต้วนชิงเกอฉุดมั่วหลีลั่วไว้แน่นเอ่ยว่า “ศิษย์พี่มั่วอย่าวู่วาม ชิงเฉินมิใช่คนมุทะลุ หากสู้ไม่ไหวย่อมหาทางถอยเองได้ พวกเราคอยดูก่อนเถอะ”


 


 


“สหายเต๋ามั่ว น้องชินกับการสู้พร้อมอสูรวิญญาณ คิดว่าเจ้าคงไม่ถือสาหรอกกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระโปรงยาวถามช้าๆ


 


 


มั่วชิงเฉินมองนกยูงน้ำเงินปราดหนึ่ง ดูเหมือนหลับตาอย่างจำใจ กลับใช้ความผูกพันทางจิตวิญญาณที่มีเฉพาะกับอสูรวิญญาณร้องเรียกว่า “อู๋เย่ว์ ขืนเจ้าไม่ไสหัวมาจากเขาชิงมู่อีก ข้าก็จะให้เจ้าเลิกสุรา!”


 


 


เพียงชั่วครู่ ทุกคนก็เห็นอีกาที่อ้วนจนมองตาแทบไม่เห็นตัวหนึ่งกอดขวดน้ำเต้าสุรา บินแถไปแถมาเป็นเส้นโค้งประหลาดเข้ามาจากบนฟ้า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม