เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 204-210

ตอนที่ 204 เกลียดเข้ากระดูกดำ

 

แววตาของจิ้นหยวนเย็นเยียบลงทันที นั่นไม่ใช่เฉียวซือมู่ แต่เป็นหร่วนเซียงเซียงต่างหาก ความเร่าร้อนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกทันที “ออกไป!” 


 


 


แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าจะออกไปตามคำสั่ง จิ้นหยวนจับแขนเธอเอาไว้เต็มแรง ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ฉายแววรังเกียจ “ฉันเกลียดผู้หญิงที่ไม่เชื่อฟังที่สุด ถ้าเธอยังกล้าเข้ามาในนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน!” 


 


 


เธอหน้าถอดสีพลางร้องเสียงแหลม “คุณ… คุณปล่อยมือฉันนะ ฉันเจ็บนะ…” 


 


 


เธอร้องโอดโอยด้วยท่าทางน่าสงสาร แต่จิ้นหยวนกลับไม่รู้สึกสงสารเธอสักนิด เขามองเธอด้วยแววตาเย็นเยียบ สายตาทั้งดูถูกทั้งรังเกียจทำให้เธอแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “ฉันขอพูดอีกครั้ง ไสหัวออกไปซะ!” 


 


 


เขาปล่อยมือเธอออกอย่างไม่ไยดีแล้วผลักเธอออกอย่างแรงจนหร่วนเซียงเซียงที่กำลังตกที่นั่งลำบากกระแทกเข้ากับประตูกระจกเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว จิ้นหยวนแรงเยอะมาก ร่างทั้งร่างของเธอชนเข้ากับประตูอย่างจังจนเธอส่งเสียงร้อง “โอ๊ย” ออกมา 


 


 


สภาพของเธอในตอนนี้ดูไม่ได้เลย เพื่อยั่วยวนจิ้นหยวน เธอลงทุนพันผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวเอาไว้หลวมๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้ผ้าขนหนูหลุดร่วงจนเผยให้เห็นร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายขาวผ่องเป็นยองใยที่ได้รับการดูแลและบำรุงเป็นอย่างดี ร่างกายที่ยั่วยวนให้เกิดความกำหนัด แต่ในสายตาของจิ้นหยวนกลับเห็นเธอเป็นเพียงแค่คนเดินถนนธรรมดาเท่านั้น ไม่สิ มันแย่กว่านั้น เพราะอย่างน้อยที่สุดคนเดินถนนธรรมดาเหล่านั้นก็ไม่มีวันพุ่งเข้าหาคุณพ่อ คอยยุแยงปั่นหัว พูดจาบิดเบือนความจริงลับหลัง 


 


 


เมื่อเห็นว่าเธอบิดร่างกายไปมาเล็กน้อยอย่างไม่ยอมละความพยายาม เขาจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเปิดประตูห้องน้ำออก กระชากผมเธอโดยไม่สนใจเสียงร้อยโหยหวนของเธอสักนิด จากนั้นลากตัวเธอออกจากห้องน้ำจนได้ เขายืนมองเธอที่น้ำตาร่วงด้วยความเจ็บอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย ถ้ามีครั้งหน้าอีก ฉันจะลากเธอออกไปทิ้งข้างนอก!” 


 


 


เธอขดตัวงออย่างไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มเ**้ยมโหดเย็นชาตรงหน้าจะเป็นสามีของตัวเอง “ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้? ฉันเป็นเมียคุณนะ?”  


 


 


จิ้นหยวนยิ้มเยาะ ยามนี้เสื้อเชิ้ตของเขาเปียกชื้น กระดุมเสื้อถูกปลดออกสองเม็ด เผยให้เห็นแผงอกหนั่นแน่นเย้ายวนน่ากิน เธอมองจนไฟเสน่ห์หาลุกพรึบขึ้นอีกครั้ง 


 


 


แต่คำพูดประโยคต่อมาของจิ้นหยวนกลับเหมือนน้ำเย็นจัดที่ราดลงบนศีรษะเธอ “เมียเหรอ? เธอคู่ควรด้วยเหรอ?” 


 


 


คำพูดดูถูกเหยียดหยามของเขาทำให้เธอโกรธจนตัวสั่น “คุณ ถ้าคุณไม่อยากได้ฉันเป็นเมีย แล้วทำไมต้องแต่งงานกับฉันด้วย? ทำไม?” 


 


 


เขายิ้มเยาะ “เธอเต็มใจเองไม่ใช่หรือไง? แต่งงานกับเธอแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องคอยล้างสมองพ่อฉันอีก แต่งงานกับเธอแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องออกไปป่าวประกาศ ‘ความสัมพันธ์’ ของเราสองคนอีก แบบนี้มันดีออกจะตายไม่ใช่หรือไง? นี่เป็นการแต่งงานที่เธออยากได้จนตัวสั่นไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เธอพอใจหรือยังล่ะ แล้วจะมาร้องไห้ให้ใครดูอีก?” 


 


 


เธอได้ยินแล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบ ที่แท้… ที่แท้เขาก็รู้ทุกเรื่องที่เธอทำ น่าขำที่ตัวเองยังคิดว่าบางทีเขาอาจจะเอ็นดูเธอบ้าง ที่แท้เธอก็ละเมอเพ้อฝันไปเองทั้งนั้น เขาไม่มีหัวใจอีกแล้ว หัวใจของเขายกให้ผู้หญิงที่ชื่อเฉียวซือมู่คนนั้นไปจนหมดแล้ว 


 


 


 เธอสูดหายใจลึกๆ พยายามขอโอกาสจากเขา “ฉันรู้ว่าคุณไม่รักฉัน คุณชอบผู้หญิงคนนั้น แต่เธอก็ไปจากคุณทันทีที่รู้ว่าคุณแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าคุณให้โอกาสฉัน ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ ไม่ทำเรื่องที่คุณไม่ชอบอีก คุณ… คุณจะให้อภัยฉันได้หรือเปล่าคะ?” 


 


 


เธอเอ่ยจบพลันสัมผัสได้ถึงสายตาของจิ้นหยวนที่กำลังจ้องมองเธอเขม็ง ความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นในใจเธอทันที เธอชายตาขึ้นมองเขา สายตาของเขาเย็นชา รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก 


 


 


หัวใจของเธอเย็นยะเยือกลงตามรอยยิ้มที่ผุดขึ้นของเขา เธอรู้จักนิสัยของจิ้นหยวนดี ทุกครั้งที่เขายิ้มแบบนี้ นั่นหมายความว่าเขาโกรธถึงขีดสุดแล้ว 


 


 


ในที่สุดจิ้นหยวนก็เอ่ยแทรกความเงียบขึ้น “เธอคิดว่าเธอคู่ควรได้รับการอภัยจากฉันอย่างนั้นเหรอ?” เขาก้าวช้าๆ เข้าไปใกล้เธอราวราชาทรงอำนาจที่กำลังจ้องมองอาณาประชาราษฎร์ของตัวเองจากเบื้องบน “เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาต่อรองกับฉันว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข? เธอคงไม่ได้คิดจริงๆ ใช่ไหมว่าแต่งงานกับฉันแล้วฉันจะเอาเธอมาทำเมียจริงๆ น่ะ? ไร้เดียงสาแบบนี้อยู่รอดปลอดภัยจนโตขนาดนี้ได้ยังไง?”   


 


 


เธอฟังแล้วปากสั่นไม่หยุด “แต่ว่า ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันรักคุณนะคะ อาหยวน คุณอย่าทำแบบนี้กับฉันได้ไหม…” 


 


 


“จริงเหรอ? เธอรักฉันจริงๆ อย่างนั้นเหรอ? เธอรักฉันหรือว่ารักเกียรติยศชื่อเสียงเงินทองและอำนาจของตระกูลจิ้นกันแน่? 


 


 


“ก็ต้องรัก… รักคุณสิคะ…” ความหวังของเธอผุดขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบฉวยโอกาสอย่างยอมแลกทุกอย่าง “ฉันรักคุณจากใจจริง และรักมากกว่าที่เฉียวซือมู่…” 


 


 


“หุบปาก!” 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินชื่อนั้นแล้วระเบิดอารมณ์ออกมาทันที สีหน้าของเขาโกรธจัด มือเขาบีบคอเธอแน่นจนเธอตาเหลือก “ช่วย… ช่วยด้วย…” 


 


 


เธอคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดพล่อยๆ ของตัวเองจะทำให้เขาโกรธมากขนาดนี้ ใจหนึ่งรู้สึกเสียใจมากที่พูดไม่คิด อีกใจหนึ่งก็ถูกความหวาดกลัวครอบงำ เธอร้องขอชีวิตพลางพยายามไขว่คว้าจับมือของเขาพลาง 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอด้วยสายตาโหดเ**้ยม “ใครอนุญาตให้เรียกชื่อเธอ ห้ามเอ่ยชื่อนี้ต่อหน้าฉันอีก เพราะเธอไม่คู่ควร ได้ยินไหม? เธอมันไม่คู่ควร!” 


 


 


เธอรีบพยักหน้าเป็นพัลวันโดยไม่สนใจฟังว่าเขากำลังพูดอะไร เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายแบบนี้ ความยึดมั่นถือมั่น ความอิจฉาริษยาทั้งหลายไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดอีกต่อไป เธอขอแค่ยังมีชีวิตรอดเป็นพอ 


 


 


ทุกอย่างตรงหน้าเธอค่อยๆ มืดลง เธอหายใจติดขัดและลำบากมากยิ่งขึ้น เรี่ยวแรงที่มือถดถอยลงเรื่อยๆ ชั่ววินาทีที่เธอคิดว่าตัวเองคงใกล้ตายแล้ว ทันใดนั้น จิ้นหยวนกลับคลายมือออก 


 


 


เธอสูดเอาอากาศล้ำค่าเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอขดตัวงอ น้ำตาไหลอาบแก้ม เสียงหึ่งๆ ดังก้องอยู่ในโสตประสาท 


 


 


จิ้นหยวนมองเธออย่างเย็นชา “จำขึ้นใจหรือยัง? ต่อไปห้ามเข้าห้องนอนฉันอีก ห้ามเอ่ยชื่อเธออีก ห้ามไปหาพ่อฉันอีก ไม่อย่างนั้น ครั้งหน้าฉันจะไม่ปรานีเธออีก”  


 


 


เขาเอ่ยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ เธอกลัวจนหัวหด ได้ยินคำพูดของเขาแล้วได้แต่พยักหน้าหงึกๆ โดยพูดอะไรไม่ออกสักคำ 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอด้วยความเฉยชาแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง ห้องนี้แปดเปื้อนจนสกปรกแล้ว เขาจะไม่มีวันใช้ห้องนี้อีก 


 


 


ผ่านเวลาไปสักพัก ในที่สุดเธอก็หายใจเป็นปกติ เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งพลันได้ยินเสียงเขาขับรถออกจากบ้าน 


 


 


เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พลางลูบคลำลำคอตัวเองเบาๆ ไม่ต้องดูก็รู้ว่าตรงนั้นต้องมีร่องรอยที่ถูกเขาใช้แรงบีบคอเธอทิ้งเอาไว้อย่างแน่นอน 


 


 


เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นและความอัปยศอดสูเผาไหม้อยู่ในใจเธอ คุณหนูที่ไม่เคยถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอย่างเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอลุกขึ้นแล้วกวาดสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมดลงพื้น “จิ้นหยวน เฉียวซือมู่ ฉันไม่มีวันปล่อยพวกคุณไปแน่!” 


 


 


เธอยกระดับความโกรธเกลียดเฉียวซือมู่เป็นเกลียดเข้ากระดูกดำในเวลาเพียงเสี้ยววินาที  

 

 


ตอนที่ 205 แผนการอันโหดเหี้ยม

 

เธอพกพาอารมณ์โกรธเกลียดกลับห้องตัวเอง พอเห็นเครื่องประดับตกแต่งหรูหราสวยงามในห้อง ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ถ้าเธออยากเสวยสุขเพราะสิ่งของพวกนี้ เธออยู่บ้านตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมต้องรนหาที่ให้ตัวเองถูกรังแกถึงที่นี่ด้วย? 


 


 


ยิ่งคิดยิ่งโมโห ทันใดนั้น เธอยื่นมือออกไปกวาดเครื่องสำอางราคาแพงจนน่าตกใจที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งหรูหราตกลงพื้น จิ้นหยวนไม่เคยชายตามองเธอแม้แต่หางตา แล้วเธอจะแต่งตัวสวยไปเพื่ออะไร?  


 


 


เธอชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาเสียแล้ว ถ้าเธอรู้ว่าการเอาใจและเข้าทางจิ้นเฮ่าจะทำให้จิ้นหยวนไม่พอใจมากขนาดนี้ เธอคงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก แต่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วและไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขอีก ต่อให้เธอรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ 


 


 


เธอได้แต่ก้มหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความเสียอกเสียใจ 


 


 


ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้น เธอปาดน้ำตาทิ้ง หันไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วเห็นว่าคุณแม่เป็นคนโทรเข้ามา เธอกำลังรู้สึกน้อยใจและไม่มีที่ระบายอยู่พอดี จึงรีบกดรับสายทันที “คุณแม่… หนูเสียใจเหลือเกิน…” 


 


 


คุณนายหร่วนตกอกตกใจยกใหญ่ รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วได้แต่โมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ “แม่ควรพูดว่าอะไรดี แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าให้มัดใจจิ้นหยวนให้อยู่หมัดเสียก่อน แต่ลูกก็ไม่ยอมเชื่อ แล้วตอนนี้เป็นยังไง เขาไม่เห็นลูกอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เขาคงแค่แต่งงานกับลูกเพื่อตบตาพ่อตัวเองเท่านั้น ตอนนี้เห็นผลหรือยังล่ะ?” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด “ฮือๆ แล้วตอนนี้หนูควรทำยังไงดีคะ? เขาไม่ชายตาแลหนูสักนิด แล้วแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไร แบบนี้หนูกลับไปอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอคะ” 


 


 


คุณนายหร่วนตกใจ “ไม่ได้นะ! ลูกจะกลับมาไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงรู้สึกผิดหวังมาก “ทำไมล่ะคะ คุณแม่ไม่รักหนูแล้วเหรอ?” 


 


 


คุณนายหร่วนเซียงเซียงปวดเศียรเวียนเกล้า “ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ ลูกเคยได้ยินใครเขาหย่ากันหลังแต่งงานไม่ถึงครึ่งเดือนบ้างหรือเปล่า? ใครรู้เข้าคงถูกหัวเราะตาย ลูกต้องอยู่ที่นั่น อีกสักพักค่อยพาจิ้นหยวนกลับมาด้วยกัน” 


 


 


“แต่เขา…” หร่วนเซียงเซียงรีบแย้ง 


 


 


“นั่นเป็นเพราะลูกยังพยายามไม่มากพอต่างหาก ลูกทำดีกับเขา สักวันเขาต้องเห็นความดีของลูกอย่างแน่นอน” คุณนายหร่วนเกลี้ยกล่อม 


 


 


“ไม่ได้ผลหรอกค่ะ ในใจเขามีแต่ผู้หญิงคนนั้นคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้เฉียวซือมู่ไปจากเขาแล้ว แต่เขายังอุตส่าห์ไปรับตัวแม่ที่ป่วยจะเป็นจะตายของมันไปอยู่ที่บ้าน หนูคิดว่าหนูหมดหวังแล้วล่ะค่ะ” หร่วนเซียงเซียงถูกจิ้นหยวนข่มขู่และดูถูกเหยียดหยามจนหมดความมั่นใจ 


 


 


คุณนายหร่วนที่ได้ยินคำพูดหมดอาลัยตายอยากของลูกสาวถึงกับอยากจะบีบคอเธอให้ตายคามือเสียให้รู้แล้วรู้รอด “นี่แกสู้ผู้หญิงที่ไม่อยู่แล้วไม่ได้เลยเชียวเหรอ นี่แกยังเป็นลูกสาวของฉันอยู่หรือเปล่า! ฉันจะบอกอะไรให้นะ แกต้องลุกขึ้นสู้เพื่อให้ได้ทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ มันเป็นโอกาสของแกแล้ว หรือแกจะรอให้มันกลับมาก่อน ดูซิว่าถึงตอนนั้นแกจะทำยังไง?”  


 


 


“แต่ว่า… แต่ว่าจิ้นหยวนเอาแต่คิดถึงมันนี่คะ” หร่วนเซียงเซียงรู้อยู่เต็มอกว่าจิ้นหยวนยังคงเฝ้ารอให้เฉียวซือมู่กลับมาหาเขา 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้มันกลับมาไม่ได้สิ” คุณนายหร่วนเอ่ยอย่างโหดเ**้ยม 


 


 


หร่วนเซียงเซียงชะงักอึ้ง รู้สึกขนลุกขนชัน “คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ?” 


 


 


“ก็หมายความว่า ทำให้มันกลับมาไม่ได้อีกตลอดไปยังไงล่ะ” คุณนายหร่วนเอ่ยอย่างเ**้ยมเกรียม 


 


 


“แต่ว่า ตอนนี้หนูไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน…” หร่วนเซียงเซียงเข้าใจความหมายของคุณนายหร่วนทันที เธอตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ รู้สึกสบายอกสบายใจและสะใจเป็นอย่างมาก 


 


 


  “แม่ไปหาเอง” คุณนายหร่วนตกปากรับคำทันที “ถ้าหาเจอแล้วแม่จะทำให้มันไม่มีวันได้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าจิ้นหยวนอีก แต่ถ้าหาไม่เจอ…” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงเอ่ยเสียงเครียด “ถ้าหาไม่เจอ หนูคิดว่าจิ้นหยวนก็คงไม่มีทางตัดใจง่ายๆ หรอกค่ะ” 


 


 


คุณนายหร่วนเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็จะปล่อยให้เขาหาเจอ วางใจเถอะ แม่จะเก็บกวาดให้สะอาดเรียบร้อย และเขาจะไม่มีวันรู้เด็ดขาด” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงอดถามไม่ได้ “แล้วคุณแม่จะทำยังไงคะ?” 


 


 


“ลูกไม่ต้องรู้หรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือลูกต้องมัดใจจิ้นหยวนให้อยู่หมัด เข้าใจหรือยัง?” คุณนายหร่วนกำชับ 


 


 


“ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว” หร่วนเซียงเซียงรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าคุณแม่เป็นคนเจ้าแผนการ ฝีมือโหดเ**้ยม เธอเคยเห็นเองกับตาว่าท่านสามารถจัดการกับพวกผู้หญิงที่มายุ่งเกี่ยวกับคุณพ่อได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แต่เธอไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งท่านจะลงมือเพราะเรื่องของเธอ “ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ระวังตัวด้วยนะคะ” 


 


 


เธอวางสายแล้วถึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ถ้าเกิดจิ้นหยวนรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็… เธอไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาเลย 


 


 


ไม่ ต้องไม่เป็นแบบนั้นสิ คุณแม่เป็นคนฉลาดมาก จะต้องไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่ เธอพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบๆ 


 


 


คุณนายเฉียวกำลังนั่งพิงพนักโซฟา ข้างหน้าเธอคือกองเสื้อผ้าและของใช้ของเฉียวซือมู่ที่เหลือทิ้งไว้ เธอนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่สักพักจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “พ่อบ้านเฉิน คุณคิดว่ามู่มู่ไปอยู่ที่ไหน ทำไมถึงหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ?” 


 


 


พ่อบ้านเฉินรินน้ำชาให้เธออยู่ข้างๆ เขายิ้มสง่างาม “บางทีเธออาจจะแค่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ จนลืมบอกก็ได้ครับ รอให้เธอกลับมาก่อน คุณค่อยตักเตือนเธอทีหลังก็ได้ครับ” 


 


 


“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันคงต้องด่าเสียให้เข็ด โตจนป่านนี้แล้วยังทำให้ต้องคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย จริงๆ เลย เฮ้อ…” คำสุดท้ายเผยให้เห็นถึงความเป็นห่วงของเธอ 


 


 


น่าสงสารหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ตอนแรกเธอรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจนร่างกายเกือบจะหายดีแล้วแท้ๆ แต่ปรากฎว่าข่าวการหายตัวไปของลูกสาวทำให้เธอเป็นกังวลมากเกินไปจนทำให้ร่างกายเริ่มแย่ลงอีก ดังนั้น ผู้คนรอบกายจึงไม่กล้าพูดเรื่องที่กระตุ้นอารมณ์ของเธออีก และต่างพากันเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของลูกสาวของเธอ 


 


 


ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม แต่แม่ลูกใจเชื่อมใจ คงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่เป็นห่วงลูกสาว พ่อบ้านเฉินจึงได้แต่มองดูเธอคอยเป็นห่วงเป็นกังวลเรื่องลูกสาวโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย 


 


 


เขาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก ยามแรกที่เขารับรู้ว่าคุณชายตัดสินใจจะแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงนั้นเขาก็ทำนายได้เลยว่าต้องแย่แน่ๆ แต่คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากพอที่คุณชายจะรับฟัง และในที่สุดเรื่องก็แดงขึ้นมาจนได้ และผลก็เป็นไปในทิศทางที่เขาเป็นกังวลจริงๆ 


 


 


ในขณะที่เขาเองก็แอบถอนหายใจอยูในใจตามเธอ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงรถขับเข้ามา จากนั้นเสียงก้าวเดินอย่างมั่นคงดังขึ้นตามหลัง  


 


 


นั่นมันคุณชายนี่ ทำไมเขาถึงมาที่นี่ล่ะ? พ่อบ้านเฉินแปลกใจไม่น้อย เพราะตั้งแต่คุณเฉียวจากไปแล้ว คุณชายก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีก โดยเฉพาะในเวลากลางคืนเช่นนี้ 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขารีบเดินเข้าไปต้อนรับตามหน้าที่ดังเช่นปกติ จิ้นหยวนเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในบ้าน บรรยากาศรอบกายเย็นยะเยือก เขามองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้จิ้นหยวนกำลังอารมณ์เสียมาก เขาไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ก้มหน้าทักทายอย่างนอบน้อม “คุณชาย” 


 


 


จิ้นหยวนมองพ่อบ้านเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปเห็นคุณนายเฉียวที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา แววตาของเขาอ่อนแสงลงเล็กน้อย จากนั้นเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ คุณนายเฉียว 


 


 


คุณนายเฉียวเห็นว่าจิ้นหยวนกลับมาแล้ว พลันดวงตาฉายประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที “อาหยวน เธอได้ข่าวมู่มู่บ้างหรือยัง?” 


 


 


เธอเรียกเขาว่าอาหยวนตามคนอื่นๆ จิ้นหยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย “ได้เบาะแสมาบ้างแล้วครับ อีกไม่นานคงได้ข่าวของเธอ คุณป้าวางใจเถอะครับ” 


 


 


“ดี ดี…” คุณนายเฉียวยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ก่อนหน้านี้เธอใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวลเพราะครอบครัวและสามีรักและทะนุถนอมเธอเหมือนไข่ในหิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตในวัยกลางคนของเธอกลับต้องมาเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักเช่นนี้ นี่แหละนะที่ว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง 

 

 


ตอนที่ 206 หางาน

 

จิ้นหยวนมองเธอนิ่งราวอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ สุดท้ายได้แต่มองเธอด้วยความสุภาพแวบหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านเฉินแทน “ดูแลท่านให้ดี ขาดเหลืออะไรก็จัดการได้เลย ไม่ต้องขออนุญาตฉัน” 


 


 


“ครับ” 


 


 


จิ้นหยวนมองใบหน้าของคุณนายเฉียวที่ละม้ายคล้ายเฉียวซือมู่แล้วสูดหายใจลึกๆ จากนั้นหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป 


 


 


นับตั้งแต่วันที่เฉียวซือมู่หนีไปจากเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังห้องที่เขาและเธอเคยใช้ชีวิตร่วมกัน เขาเอนกายนอนลงบนเตียง ถือตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลเอาไว้ในมือ มันเป็นตุ๊กตาที่เฉียวซือมู่ชอบกอดเอาไว้ในอกยามนอนหลับ เขายังเคยหึงเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้มานึกๆ ดูแล้วก็ให้ปวดใจเหลือเกิน 


 


 


เขาถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยกับเจ้าตุ๊กตาหมี “ตอนนี้ก็เหลือแค่แกกับฉันแล้ว” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำดังสะท้อนอยู่ในห้อง ฟังดูว้าเหว่เหลือเกิน… 


 


 


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงวันที่เฉียวซือมู่และฉีหย่วนเหิงต้องไปจากคฤหาสน์มาร์กีซแล้ว ทั้งสองปรึกษาและตกลงกันว่าจะย้ายไปอยู่ในเขตเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากมิลานมากนัก มิลานเป็นนครแห่งแฟชั่นที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก และยังมีเขตปริมณฑลอีกถึงแปดเขต ถ้าอยู่อย่างเงียบๆ จิ้นหยวนคงคิดไม่ถึงว่าเธอแอบอยู่ใต้จมูกเขาใกล้แค่นี้เอง 


 


 


เธอวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม เธอจะต้องหาที่อยู่ใหม่ จากนั้นหางานใหม่ รอให้ทุกอย่างมั่นคงแล้ว ถึงตอนนั้นจิ้นหยวนคงลืมเธอได้แล้ว เธอจะลองคุยกับจิ้นหยวนดู บางทีเขาอาจจะยอมให้เธอรับคุณแม่กลับมา ถึงเวลานั้นเธอกับคุณแม่ก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว 


 


 


เธอตัดสินใจแล้ว และปฏิเสธข้อเสนอของฉีหย่วนเหิงที่จะช่วยหางานให้เธอ เธอมาถึงห้องพักที่เธอจองเอาไว้ในอินเทอร์เน็ต ซื้อของใช้จำเป็นทุกอย่างครบครัน ถือเป็นการเริ่มต้นตั้งรกรากที่นี่อย่างเป็นทางการ 


 


 


หลังจากจมอยู่กับความเสียใจมานาน ตอนนี้เธอค่อยๆ เข้มแข็งขึ้นแล้ว และวางแผนอนาคตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเสนอตัวช่วยเธอทุกทาง แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธจนหมด เขาจึงได้แต่ช่วยเธอจัดการเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเธอให้เรียบร้อย หางานที่เหมาะสมให้เธอ จากนั้นกลับไปทำงานที่บริษัทของตัวเองทั้งๆ ที่ยังอาลัยอาวรณ์เธออยู่ เขาเบนเข็มธุรกิจมาที่นี่นานแล้ว ส่วนเรื่องที่จิ้นหยวนตามล่าตัวเขาอยู่นั้น เขาเองก็เตรียมแผนรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เฉียวซือมู่จึงไม่ค่อยเป็นห่วงเขาสักเท่าไหร่ 


 


 


เฉียวซือมู่โล่งอกที่เห็นฉีหย่วนเหิงยอมกลับไปเสียที เธอรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้เธอไม่สามารถเปิดใจยอมรับเขา เธอเห็นเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น และไม่สามารถให้ความสนิทสนมกับเขามากไปกว่านี้ 


 


 


ความจริงเธอรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่เธอไม่กล้าคิดไปไกลกว่านี้ ได้แต่เก็บซ่อนความคิดพวกนี้เอาไว้ส่วนลึกสุดในใจ 


 


 


เธอทำความสะอาดห้องพักจนสะอาดเอี่ยมอ่องอย่างรวดเร็ว จากนั้นจัดวางของใช้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่นานข้อความในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอได้รับโอกาสจากบริษัทสองแห่งที่เชิญให้เธอเข้าไปสัมภาษณ์งาน 


 


 


มิลานเป็นนครแห่งแฟชั่นและความทันสมัย ความเจริญรุ่งเรืองเปิดโอกาสให้เกิดอาชีพการงานต่างๆ มากมายไปในตัวด้วย งานถนัดของเธอคืองานที่เกี่ยวกับข่าวสาร ที่นี่นอกจากธุรกิจด้านแฟชั่นแล้ว อาชีพนักข่าวยังเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมรองลงมาอีกด้วย มีนักข่าวสายแฟชั่นมาทำข่าวที่นี่ไม่เว้นแต่ละวัน และเธอกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในนั้น 


 


 


เธอรีบตอบกลับทันที และตอบตกลงเข้าไปสัมภาษณ์งานช่วงเช้าและช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ เธอหนีออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ตอนนี้เธอใช้บัตรเครดิตไม่ได้ ส่วนเงินสดก็เหลือน้อยเต็มที หากไม่ได้ฉีหย่วนเหิงช่วยเหลือ ป่านนี้เธอคงไม่มีแม้แต่เงินเช่าบ้านพัก ในเมื่อเธอไม่อยากพึ่งพาเขาตลอดเวลา เธอจึงจำเป็นต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเองให้ได้ 


 


 


หลังจากเธอจัดแจงทุกอย่างในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงพบว่าในห้องครัวไม่มีของกินอะไรเลย และซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ต้องใช้เวลาขับรถถึงครึ่งชั่วโมง สุดท้ายเธอก็ต้องลงไปกินสปาเก็ตตี้รสชาติแย่แต่ราคาแพงหูฉี่ในร้านอาหารที่อยู่ข้างล่างอย่างไม่มีทางเลือก 


 


 


เธอรู้สึกเสียดายเงินค่าสปาเก็ตตี้มาก พรุ่งนี้เธอจะต้องไปซื้อวัตถุดิบอาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาตุนเอาไว้และทำอาหารกินเอง มิเช่นนั้น กว่าเธอจะได้รับเงินเดือนงวดแรก เธอคงได้อดตายเสียก่อน 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตัดสินใจซื้อขนมปังกินระหว่างทาง เธอเสียเวลาไปไม่น้อยกับการงมหาเส้นทาง โชคดีที่คนส่วนใหญ่ของที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ มิเช่นนั้น ป่านนี้เธอคงยังหาทางไปไม่เจอ 


 


 


แต่ความโชคดีของเธอมลายหายไปทันทีที่เข้าไปสัมภาษณ์งาน หลังจากผู้สัมภาษณ์รับรู้ว่าเธอพูดภาษาอิตาลีไม่ได้ แม้จะไม่ได้พูดออกมาตามตรง แต่เธอก็เห็นคำว่าไม่พอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้สัมภาษณ์ 


 


 


หัวใจเธอเย็นวาบ เพราะผู้สัมภาษณ์ถามคำถามเธอเพียงไม่กี่คำถาม จากนั้นเอ่ยกับเธอว่า “เราจะแจ้งผลการสัมภาษณ์ให้คุณทราบในภายหลัง” 


 


 


เธอคอตกเล็กน้อย คนที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์งานอย่างเธอย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนั้นเป็นอย่างดี เธอดูเวลาแล้วยังพอมีเวลาเหลือจึงออกไปเดินเล่นก่อน จากนั้นเข้าไปรับประทานอาหารเที่ยงในร้านอาหารเล็กๆ เสร็จแล้วค่อยไปสัมภาษณ์งานอีกที่ สถานการณ์ครั้งนี้ดีกว่าครั้งแรกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ยินคำว่าสัมภาษณ์งานผ่าน พวกเขายังคงแจ้งให้เธอกลับไปรอข่าวเหมือนเดิม 


 


 


เธอรู้สึกผิดหวังมาก ยามแรกเธอคิดว่าใบปริญญาและประสบการณ์การทำงานมากมายจะช่วยให้เธอหางานได้ไม่ยากนัก แต่ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมาตกม้าตายเรื่องภาษา  


 


 


แต่เธอไม่เคยเรียนภาษาอิตาลีมาก่อน ให้เรียนตอนนี้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว 


 


 


เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นกังวลอยู่ทั้งคืน 


 


 


แต่เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี จู่ๆ เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัทที่สองอย่างกะทันหัน ทางบริษัทแจ้งว่าเธอผ่านการสัมภาษณ์งานแล้ว และเธอสามารถเริ่มงานได้ตลอดเวลาตามที่เธอสะดวก 


 


 


เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองคงหมดหวังแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าเรื่องร้ายจะกลายเป็นเรื่องดี มันทำให้เธอรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ และเมื่อได้ยินคำว่า “สามารถเริ่มงานได้ตลอดเวลา” เธอยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ เธอวางสายแล้ววิ่งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่ในห้องพักหลายตลบ เธอนั่งรถออกไปซื้อวัตถุดิบอาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นลงมือทำอาหารรับประทานเอง 


 


 


ทันใดนั้น เสียงกริ่งประตูดังขึ้น เธอชะงักเล็กน้อยแล้วเดินไปส่องตาแมวตรงประตู เมื่อเห็นว่า       ฉีหย่วนเหิงกำลังยืนรออยู่ตรงหน้าประตู ในมือยังถือของพะรุงพะรัง จึงรีบเปิดประตูต้อนรับเขา “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญข้างในก่อนสิคะ” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังอารมณ์ดีมาก เขาคลี่ยิ้มพลางเดินเข้าไปข้างใน จากนั้นชูของในมือขึ้น “ดูซิว่านี่อะไร?” 


 


 


เธอมองตามจึงเห็นว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารที่ใกล้เคียงกับที่เธอเพิ่งซื้อกลับมา แต่จำนวนที่เขาซื้อมานั้นเยอะกว่าที่เธอซื้อเยอะมาก 


 


 


ดูเหมือนว่าเขาและเธอจะมีความคิดตรงกัน เธอจึงหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันกำลังทำอาหารอยู่? จมูกไวจังเลยนะคะ” 


 


 


ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบ พลันได้กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยออกมาจากทางห้องครัว “ดูเหมือนโชคของผมไม่เลวเลยนะ มีลาภปากพอดีเลย” 


 


 


เขามาอยู่ต่างประเทศนานมาก อาหารต่างชาติแสนอร่อยทั้งหลายเขากินจนเบื่อแล้ว พอได้กลิ่นอาหารจีนแสนคุ้นเคยจึงน้ำลายสอขึ้นมาทันที 


 


 


 เฉียวซือมู่ไม่เคยเห็นท่าทางตะกละของเขามาก่อน จึงแอบยิ้มในใจ เธอกลับเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่ม ตอนแรกเธอทำเพียงแค่ซี่โครงหมูอบมันฝรั่งกับผัดผักสำหรับตัวเองเท่านั้น แต่ตอนนี้มีฉีหย่วนเหิงเพิ่มขึ้นมาอีกคน เธอคิดๆ แล้วจึงตัดสินใจทำหมูผัดพริกหยวกและซุปไข่น้ำมะเขือเทศเพิ่ม ในที่สุด อาหารสามอย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งอย่างก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะพร้อมกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ  

 

 


ตอนที่ 207 คลื่นระลอกใหม่

 

ฉีหย่วนเหิงก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย เขากินพลางชื่นชมไม่ขาดปาก “มู่มู่สุดยอด ใครได้แต่งงานกับคุณคงมีความสุขมาก” 


 


 


เธอคีบผัดผักเข้าปากราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด “ถ้าชอบก็ทานเยอะๆ ถ้าเหลือล่ะน่าดู” 


 


 


น้ำเสียงของเธอราบเรียบจนฟังไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉีหย่วนเหิงแอบลอบถอนหายใจ มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำมากยิ่งขึ้น 


 


 


ไม่ต้องรีบ ยิ่งรีบจะยิ่งเป็นการผลักเธอออกไปไกลมากยิ่งขึ้น เขาพยายามเตือนตัวเองอยู่ในใจ 


 


 


เพียงไม่นานเขาก็ต้องพบกับปัญหาใหม่อีกเรื่อง แม้เธอจะทำอาหารได้อร่อยมากก็จริง แต่เธอกินได้น้อยมาก เขาจึงเป็นคนกินอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยง และเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะตอนนี้เขาอิ่มจนพุงจะแตกแล้ว 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นสภาพของเขาแล้วทั้งโมโหทั้งอดขำไม่ได้ เธอรีบชงชาแดงให้เขาดื่มทันที “คุณรีบดื่มชาเถอะค่ะ จะได้ช่วยย่อยอาหาร ฉันแค่พูดเล่นเอง ทำไมคุณต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงดื่มน้ำชารสฝาดเข้าไปอึกใหญ่แล้วหัวเราะ “ผมก็ต้องเชื่อฟังคุณสิ” 


 


 


เธอชะงักนิ่งไปชั่วครู่แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างแนบเนียน “วันนี้มีเรื่องที่ทำให้ฉันดีใจมากเลยล่ะค่ะ คุณลองทายดูสิคะว่าเรื่องอะไร?” 


 


 


เขาแอบถอนหายใจอยู่ในอก แต่ปั้นหน้าให้ความร่วมมือเธอเต็มที่ “เรื่องอะไรเหรอครับ หรือว่าดีใจที่ผมมาเยี่ยมคุณ?” 


 


 


เธอปรายตาค้อนเขา “ฉันดีใจก่อนคุณมาเสียอีก” 


 


 


“เรื่องอะไรเหรอ? หรือคุณรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ดีเกินไป? มีหนุ่มหล่อหน้าตาดีเป็นอาหารตามากเกินไปอย่างนั้นเหรอ?” เขาตั้งใจแหย่เธอเล่น 


 


 


ที่บอกว่าที่นี่มีหนุ่มหล่อหน้าตาดีเยอะแยะนั้นไม่เกินจริงเลย เพราะที่นี่เป็นนครแห่งแฟชั่นและมีชื่อเสียงทางด้านฟุตบอลอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมชายหนุ่มหน้าตาดีที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน 


 


 


เฉียวซือมู่รู้ว่าเขากำลังแหย่เธอเล่นจึงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันได้งานทำแล้วค่ะ เริ่มงานพรุ่งนี้เลย” 


 


 


“ผมยินดีกับคุณด้วยนะที่ได้งานทำเร็วขนาดนี้ แล้วเป็นงานอะไรเหรอครับ?” รอยยิ้มระบายอยู่เต็มใบหน้าของฉีหย่วนเหิง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกดีใจกับเธอมากจริงๆ 


 


 


เธอเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารเหมือนเดิมค่ะ แต่เน้นหนักไปทางด้านงานสื่อสารมวลชนมากกว่า” 


 


 


“ถ้างั้นก็ถูกใจคุณมากนะสิ” 


 


 


“ใช่ค่ะ แค่คิดถึงวันพรุ่งนี้ฉันก็ตื่นเต้นมากแล้ว” 


 


 


“คุณไม่ต้องตื่นเต้นนะ สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมาก ไม่แน่นะ ถ้าคุณชินกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว คุณอาจจะรู้สึกชอบที่นี่มากกว่าก็ได้” 


 


 


“จริงเหรอคะ? หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เธอคิดๆ แล้วทำหน้าม่อย “แต่ภาษาอังกฤษของฉันแย่มากเลยนะคะ” 


 


 


“ค่อยๆ เรียนรู้ไป อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้สิถึงจะดี คุณจะได้เรียนรู้ภาษาได้เร็วขึ้น เชื่อผม” เขาเอ่ยให้กำลังใจ 


 


 


“อื้ม ฉันจะพยายามค่ะ” เธอเอ่ยพลางเก็บจานชามไปพลาง แม้ค่าเช่าที่นี่จะแพงไปนิด แต่ที่นี่มีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ตอนเธอย้ายเข้ามาเพียงแค่ทำความสะอาดนิดหน่อยก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย สะดวกและรวดเร็ว ถูกใจเธอมาก 


 


 


สองหนุ่มสาวช่วยกันล้างจาน ทั้งสองคนประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยม จนกระทั้งเสร็จเรียบร้อย เธอจึงตบมือเบาๆ แล้วลุกขึ้น “เรียบร้อย” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่ง ท่าทางของเธอในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับเธอ เธอถ้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าเผยความกระอักกระอ่วนใจ เธอใช้มือทัดผมข้างหูแล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจนิดๆ “ที่นี่แคบเกินไป เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ” 


 


 


หัวใจของฉีหย่วนเหิงห่อเ**่ยวลงทันที เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ครับ เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า” 


 


 


เขาเดินนำออกไปก่อน เธอเดินตามไปนั่งลงบนโซฟา เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองน่าอึดอัดไม่น้อย ในที่สุดเขาก็เป็นคนเอ่ยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดขึ้น เขาอธิบายขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งลักษณะนิสัยใจคอของคนที่นี่ให้เธอฟัง 


 


 


เธอตั้งใจฟังสิ่งที่เขาบอกจนค่อยๆ ลืมความรู้สึกน่ากระอักกระอ่วนใจเมื่อครู่จนสิ้น 


 


 


ฉีหย่วนเหิงไม่กล้าพูดหรือทำอะไรให้เธอรู้สึกอึดอัดอีก เขากำชับเธอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยแล้วขอตัวกลับ 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกผิดมาก เธอตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่าต่อจากนี้จะต้องรักษาระยะห่างกับเขาให้มากที่สุด 


 


 


แต่ฉีหยวนเหิงกลับเหมือนนักล่าที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อแสนโอชะอย่างเธอ มีหรือที่จะยอมแพ้ง่ายๆ? 


 


 


หลังจากเธอเริ่มทำงานเธอก็พบว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาบอกไม่มีผิด แม้งานจะยุ่งมากแต่กลับไม่มีการชิงดีชิงเด่นกันเหมือนที่เธอเคยประสบพบเจอ เพียงไม่นานเธอก็ตกหลุมรักที่นี่เข้าเต็มเปา 


 


 


วันเวลาค่อยๆ ผันผ่านไปอย่างช้าๆ สภาพจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกของจิ้นหยวนมั่นคงมากขึ้น เขายังคงสั่งให้ลูกน้องออกตามหาเฉียวซือมู่เหมือนเดิม แต่เขาไม่อาละวาดฟาดหัวฟาดหางยามได้รับข่าวว่าหาตัวเธอไม่เจอเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ตอนนี้เขาหนักแน่นมากขึ้น และเย็นชามากขึ้น ถ้าเป็นจิ้นหยวนคนเดิม ยังพูดได้ว่าเขายังมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนปกติอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นเพียงรูปปั้นเย็นชา เวลาที่ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นจ้องมองผู้คน แม้คนคนนั้นจะอยู่ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงและสว่างเจิดจ้าเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจ 


 


 


แม้คนนอกจะเข้าใจว่าเขาตัดใจจากเฉียวซือมู่ได้แล้ว แต่คนข้างกายของเขาอย่างหลินจื้อเฉิงและมู่หรงอวิ่นเจ๋อรู้ดีว่าจิ้นหยวนเพียงแค่เก็บซ่อนความคิดถึงและความบ้าคลั่งเอาไว้ส่วนลึกสุดในใจ ตราบใดที่ยังหาตัวเฉียวซือมู่ไม่เจอ สักวันหนึ่ง ความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้จะต้องระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เปลวเพลิงแห่งความบ้าคลั่งไม่เพียงแต่จะกลืนกินคนรอบข้างเท่านั้น หากแต่ยังเผาพลาญตัวเขาเองจนมอดไหม้ไม่เหลือแม้เพียงผงธุลีด้วยเช่นกัน  


 


 


พวกเขาเห็นสภาพของจิ้นหยวนแล้วได้แต่กลัวจนอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรดี ทุกครั้งที่พวกเขาอยากจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง เขามักจะปรายตาเย็นยะเยือกให้พวกเขาราวกับรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ และนั่นทำให้พวกเขาต้องกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงคอจนพูดอะไรไม่ออกอีก 


 


 


เพียงไม่นานความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น วันนั้นมีการประชุมประจำเดือน จิ้นหยวนนั่งหน้าเข้มอยู่ในห้อง ท่าทางทรงอำนาจกดดันลูกน้องผู้น่าสงสารจนแทบจะพูดไม่ออก 


 


 


ขณะที่ผู้รับผิดชอบที่เหงื่อแตกพลั่กกำลังรายงานผลประกอบการเดือนที่ผ่านมาอย่างตะกุกตะกักอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยความเร่งร้อน คนคนนั้นเอ่ยบางอย่างอยู่ข้างหูหลินจื้อเฉิง เขาได้ยินแล้วถึงกับหน้าถอดสี อุทานออกมาอย่างเผลอตัว “อะไรนะ?” อุทานเสร็จแล้วถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองทำพลาดไป จึงรีบปิดปากตัวเองเอาไว้ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว จิ้นหยวนปรายตามองเขา “เกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงเหงื่อแตกพลั่ก “เปล่าครับ ไม่มีอะไร พอดีที่บ้านผมเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ผมต้อง… ต้องกลับไปก่อน” 


 


 


จิ้นหยวนจ้องเขานิ่ง “นายพูดเรื่องจริงใช่ไหม?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงพยักหน้ารัวๆ “เรื่องจริงครับ ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ลองถามเขาดู” เขาชี้ไปยังคนที่เพิ่งมาส่งข่าวให้เขารู้ คนคนนั้นพยักหน้ารัวๆ ไม่ต่างกัน “เป็นเรื่องจริงครับ ที่บ้านพี่หลินเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ครับ” 


 


 


ดวงตาของจิ้นหยวนไหวระริก เขาก้มหน้าลงดูแฟ้มเอกสารตรงหน้า “นายไปเถอะ” เขาไม่สนใจเรื่องในครอบครัวของคนอื่นสักนิด 


 


 


หลินจื้อเฉิงที่เหงื่อแตกพลั่กรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นพยักพเยิดมองลูกน้องคนนั้นแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง  

 

 


ตอนที่ 208 กระทบกระเทือนจิตใจ

 

หลินจื้อเฉิงตั้งสติ รีบปรับสีหน้าให้สงบเยือกเย็นเป็นปกติแล้วเอ่ยกับจิ้นหยวน “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ” 


 


 


จิ้นหยวนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เอ่ยเพียง “อืม” เบาๆ 


 


 


หลินจื้อเฉิงพยักพเยิดให้ลูกน้องคนนั้นตามตัวเองออกไป ประตูปิดลงแล้วแต่ยังคงได้ยินเสียงเย็นชาของจิ้นหยวนดังลอยตามหลัง “คนอื่นรายงานต่อ” 


 


 


หลินจื้อเฉิงปิดประตูลง ใบหน้าสงบเยือกเย็นที่เขาพยายามปั้นเอาไว้พังทลายลง เขาคว้าจับแขนลูกน้องคนนั้นเอาไว้หมับ ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัวเพราะความลืมตัว “ที่นายพูดเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?” 


 


 


ลูกน้องคนนั้นตกใจเพราะไม่เคยเห็นสีหน้าเสียกิริยาของเขาแบบนี้มาก่อน เขาตอบอย่างลำบากใจ “เป็น… เป็นเรื่องจริงครับ คนของผมเห็นเองกับตา” 


 


 


หลินจื้อเฉิงจ้องเขาด้วยท่าทางดุร้าย พยายามค้นหาร่องรอยความผิดปกติแม้เพียงเศษเสี้ยวจากใบหน้าของเขา สักพักเขาจึงปิดเปลือกตาลงแล้วผลักคนตรงหน้าออก “พาฉันไปดูเดี๋ยวนี้!” 


 


 


เขายังคงแอบมีความหวังเล็กๆ หวังว่าพวกเขาจะดูผิดไป มิเช่นนั้น ถ้าเกิดพี่ใหญ่รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็… 


 


 


เขาไม่กล้าคิดต่อแล้ว 


 


 


เขารู้สึกขนลุกซู่ หันกลับไปมองประตูที่ถูกปิดสนิทบานนั้นแล้วเอ่ยกับลูกน้องตัวเองเสียงดุ “ยังจะยืนบื้ออยู่อีกทำไม? รีบพาฉันไปสิ!” 


 


 


“พี่… พี่แน่ใจใช่ไหมว่าจะดู?” ลูกน้องของเขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก “สภาพไม่น่าดูเลยนะครับ…” เขาเอ่ยแบบนี้เป็นการให้เกียรติมากแล้ว เพราะความจริงแล้วมันไม่ใช่เพียงแค่ไม่น่าดู แต่ต้องบอกว่าใครก็ตามที่ได้เห็นแล้วคงต้องอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง 


 


 


หลินจื้อเฉิงเข้าใจความหมายของเขาทันที แต่ยังคงเอ่ยอย่างแน่วแน่ “พาฉันไป เร็วเข้า” 


 


 


“ครับๆ พี่เป็นคนอยากไปเองนะครับ” เขาแทบอยากจะร้องไห้ เพราะภาพแบบนั้นเห็นเพียงครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้ว เขาไม่อยากจะเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่พอเห็นสีหน้าของหลินจื้อเฉิงแล้วก็รู้ทันทีว่าเขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว จึงได้แต่หมุนตัวแล้วเดินนำเขาอย่างช้าๆ 


 


 


หลินจื้อเฉิงหน้าดำคร่ำเครียด ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วเขาจะบอกพี่ใหญ่อย่างไร? หรือเขาควรจะเขียนพินัยกรรมเตรียมเอาไว้ก่อนดี? 


 


 


“พวกนายกำลังจะไปไหน?” ทันใดนั้นเสียงคุ้นเคยดังลอยมาจากทางด้านหลัง ทั้งสองขนลุกซู่ไปทั้งตัว 


 


 


หลินจื้อเฉิงแอบร้องทุกข์อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ตัวเองเผยพิรุธอะไรให้เขาจับได้หรือเปล่า เขาค่อยๆ หมุนร่างกายแข็งทื่อของตัวเองให้หันกลับไป พลันเห็นจิ้นหยวนที่มีสีหน้าจริงจังยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าไร้ความรู้สึกของจิ้นหยวนในยามนี้ทำให้เขารู้สึกกลัวมากกว่าเวลาไหนๆ 


 


 


“เปล่าครับ ไม่ได้ไปไหนครับ เราแค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น” ลูกน้องของหลินจื้อเฉิงเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อนด้วยความหวังดี แต่หลินจื้อเฉิงกลับอยากจะเอาอะไรยัดปากเขาให้รู้แล้วรู้รอด โธ่เอ๊ย ถ้าพูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ออกไปเดินเล่นในเวลางานเนี่ยนะ เขาไม่ใช่เกย์สักหน่อย! พี่ใหญ่ไม่มีทางเชื่อหรอก 


 


 


จิ้นหยวนชายตามองหลินจื้อเฉิงด้วยสายตาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “อ้อ แล้วจะไปเดินเล่นที่ไหนล่ะ? พาฉันไปด้วยได้หรือเปล่า?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงรู้ตัวว่าเลี่ยงไม่ได้แล้ว จิ้นหยวนน่าจะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ของพวกเขาหมดแล้ว เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ยืดอกรับด้วยความกล้าหาญ “มีคนรายงานว่าพบร่องรอยของคุณเฉียวแล้ว ผมก็เลยจะไปดูเสียหน่อยครับ” 


 


 


เขาอยากจะใช้เหตุผลนี้ตบตาจิ้นหยวน แต่จิ้นหยวนไม่ใช่คนที่จะถูกใครตบตาได้ง่ายๆ “แล้วทำไมนายต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่พูดกับฉันตรงๆ ด้วย?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก สีหน้าของจิ้นหยวนแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที “ทำไม? ไม่กล้าพูด? นายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่กันแน่?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเว้าวอน “รอให้ผมกลับมาแล้วค่อยบอกพี่ได้ไหมครับ? พี่อย่าบังคับผมเลยนะ” 


 


 


จิ้นหยวนหรี่ตาแคบเพราะสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ในพจนานุกรมของเขาไม่เคยมีคำว่าหนี เพราะฉะนั้น วิธีเผชิญหน้าของเขาก็คือ เดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “พาฉันไป” เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้นใหม่อีกครั้ง “ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ฉันอยากรู้ข่าวของเธอเป็นคนแรก” 


 


 


เอ่ยจบพลางปรายตามองลูกน้องของหลินจื้อเฉิงที่ยืนปิดปากเงียบอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นยะเยือก “นำทาง เร็ว” 


 


 


หลินจื้อเฉิงถอนหายใจหนักๆ ในใจกำลังคิดว่าถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา จิ้นหยวนคงอาละวาดพังเมืองแน่ๆ  


 


 


หลังจากขับรถประมาณสองชั่วโมง ในที่สุดกลุ่มของจิ้นหยวนก็มาถึงบริเวณชานเมืองห่างไกลความเจริญ คนนำทางจอดรถ เขาลงจากรถแล้วเอ่ยกับจิ้นหยวนตัวสั่นงันงก “พี่ใหญ่ ตรง… ตรงนี้แหละครับ” 


 


 


ตอนนี้สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่คือคูน้ำเล็กๆ สายหนึ่งในชนบทที่ลึกประมาณยี่สิบหรือสามสิบเซ็นติเมตรเท่านั้น แต่ในสายตาของจิ้นหยวน เขากลับเห็นความลึกไม่มีที่สิ้นสุดที่สุดแสนจะน่ากลัว 


 


 


ราวกับมีพายุลมฝนโหมกระหน่ำก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของเขา ลูกน้องคนนั้นแอบชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งแล้วต้องเบือนหน้าหนีทันที เขาก้มหน้างุด “อยู่ตรงหน้านี้แหละครับ ตามผมมา…” 


 


 


ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบพลันภาพตรงหน้ามืดลง เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นรูปร่างสูงใหญ่ของท่านประธานจิ้นเดินผ่านเขาไป หลินจื้อเฉิงเดินถอนหายใจอยู่ตามหลังเขา 


 


 


หัวใจของจิ้นหยวนหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่ละย่างก้าวที่เขาก้าวเท้าออกไป จนกระทั่งเดินไปถึงสุดปลายทางเดินแล้วจึงเห็นแขนขาวซีดข้างหนึ่งโผล่ออกมา ในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายของเขาโงนเงนอย่างควบคุมไม่อยู่ หลินจื้อเฉิงต้องรีบเข้าไปพยุงตัวเขาเอาไว้ “พี่ใหญ่…” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเว้าวอน 


 


 


ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกที่จิ้นหยวนมีให้เฉียวซือมู่เท่ากับเขาอีกแล้ว ถ้าเกิดศพที่อยู่ตรงหน้าเป็นเธอจริง เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจิ้นหยวนจะทำอะไรที่มันน่ากลัวออกไปบ้าง 


 


 


ตอนที่เขาได้ข่าวจากลูกน้องว่ามีคนพบศพหญิงสาวปริศนาที่คาดว่าน่าจะเป็นศพของเฉียวซือมู่นั้น ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือห้ามให้จิ้นหยวนรู้เรื่องนี้เด็ดขาด มิเช่นนั้นผลลัพธ์จะต้องน่าสะพรึงมาก แต่เขาไม่คิดเลยว่าจิ้นหยวนจะความรู้สึกไวมากและจับพิรุธของเขาได้เร็วกว่าที่เขาคิด    


 


 


ทีนี้ปัญหาใหญ่แล้ว เขาปิดเปลือกตาลงอย่างทำใจ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเห็นว่าจิ้นหยวนหลุดออกจากมือของเขาแล้ว และกำลังก้าวพรวดๆ ไปข้างหน้า 


 


 


เขาตกใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่จะกล้าเดินเข้าไปโดยไม่พะวงอะไรเลยแบบนี้ ตอนที่เขาวิ่งตามไปถึงก็เห็นจิ้นหยวนย่อตัวลงนั่งยองๆ อยู่ข้างศพที่เริ่มผิดรูปผิดร่างร่างนั้นแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนจ้องศพนั้นนิ่ง เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวมีดกรีดแทง เป็นเธอจริงเหรอ? ร่างเธอที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้เปลี่ยนแปลงจนจำไม่ได้ แต่กระโปรงตัวนั้นเป็นตัวเดียวกับที่เธอสวมในวันที่หายตัวไปไม่ผิดแน่ เขาสำรวจรายละเอียดอื่นๆ และทุกอย่างชี้ชัดว่าเป็นเธอ 


 


 


หลินจื้อเฉิงสำรวจศพตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกกลัว เขากับเฉียวซือมู่นั้นถือได้ว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี ศพตรงหน้าดูคล้ายเธอมาก เขารู้สึกหัวใจเย็นวาบ มองจิ้นหยวนด้วยสายตาระมัดระวัง “พี่ใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นเธอ…” 


 


 


คำพูดของหลินจื้อเฉิงกระทบกระเทือนจิตใจจิ้นหยวน เขาลุกขึ้นพรวด “พูดเหลวไหล นี่ไม่ใช่เธอ ได้ยินไหม?” 


 


 


แย่แล้ว พี่ใหญ่รับความจริงไม่ได้จนหนีความจริงแล้ว 


 


 


หลินจื้อเฉิงรีบลุกขึ้น “พี่ใหญ่อย่าทำอย่างนี้สิครับ นี่เป็นคุณเฉียวจริงๆ ให้เรานำร่างเธอกลับไปแล้ว…” ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดคำว่าฝังเธออย่างสงบออกไป พลันเห็นจิ้นหยวนกำลังจ้องเขาตาเขม็ง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ เขาตกใจสะดุ้งโหยงจนไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


จิ้นหยวนจ้องเขาตาเขม็ง “ศพนี่ไม่ใช่เธอ ไม่ได้ยินหรือไง”  

 

 


ตอนที่ 209 เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน

 

เสียงขรึมต่ำของเขาแฝงรอยแข็งกร้าวที่ไม่อาจต้านทาน หลินจื้อเฉิงแอบร้องทุกข์อยู่ในใจ ต่อให้เขาเก่งมากขนาดไหนก็ไม่มีความสามารถทำให้คนที่แกล้งหลับตื่นขึ้นมาได้ 


 


 


จิ้นหยวนไม่เห็นสีหน้าซับซ้อนของเขา เขาหมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที “จัดการศพให้เรียบร้อยด้วย” 


 


 


น้ำเสียงของเขาราบเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องสัพเพเหระสักเรื่อง 


 


 


หลินจื้อเฉิงสะดุ้งตกใจ เขามองศพที่ผิดรูปผิดร่างบนพื้นแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นกวักมือเรียกลูกน้องเข้ามาเพื่อหาทางนำศพนี้กลับไปด้วย ไม่ว่าจิ้นหยวนจะพยายามหลอกตัวเองอย่างไรก็ตาม แต่ศพนี้ก็คือเฉียวซือมู่ จะให้คนอื่นฝังเธอง่ายๆ ไม่ได้ 


 


 


ในที่สุดเขาก็นำศพศพนี้กลับไปด้วยความหวังดี แต่ก็ไม่กล้าบอกให้จิ้นหยวนรู้ ได้แต่แอบเก็บเอาไว้ที่หอเก็บศพอย่างเงียบๆ 


 


 


วันรุ่งขึ้น เขายังคงเห็นจิ้นหยวนสั่งให้คนออกตามหาเฉียวซือมู่เหมือนเดิม เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับจิ้นหยวนอย่างไม่กลัวตาย “พี่ใหญ่ คนที่พี่ส่งออกไปควรจะตามตัวกลับมาได้แล้วมั้งครับ” 


 


 


เขาเอ่ยตะกุกตะกัก จิ้นหยวนฟังแล้วไม่เข้าใจ “ทำไมต้องตามกลับด้วย? ยังหาตัวเธอไม่เจอ ก็ต้องตามหาต่อสิ” 


 


 


“แต่ว่า… แต่ว่าเธอ…” เขาอ้าปากแล้วหุบปาก แต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปจนได้ “แต่ว่าเธอตายไปแล้วนะครับ…” 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้วหลับตาปี๋ เตรียมตัวรับมือความบ้าคลั่งของจิ้นหยวนอย่างเต็มที่ แต่ผ่านไปตั้งนานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เสียที เขาจึงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย พลันเห็นสีหน้าระอาใจของจิ้นหยวนแทน “ตอนนี้ฉันก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว นายอย่ามาก่อกวนอีกได้ไหม?” 


 


 


จิ้นหยวนสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยถามเขา “นายคิดว่าที่ฉันบอกว่าศพนั่นไม่ใช่เธอ เป็นเพราะฉันยอมรับความจริงไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ผงกศีรษะหงึกๆ อย่างจริงจังเป็นคำตอบ 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ในสายตานาย ฉันเป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง? ที่ฉันไม่ยอมรับศพนั่น ก็เพราะว่าศพนั่นไม่ใช่คนที่ฉันกำลังตามหา มีคนสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่วันที่เธอหายตัวไปให้ศพนั่น แถมยังตั้งใจทำผมทรงเดียวกันอีก ทุกอย่างก็เพื่อให้ฉันเห็นแล้วคิดว่าศพนั่นเป็นเธอจริงๆ” 


 


 


ความจริงเขาไม่มีความอดทนมากพอที่จะมานั่งอธิบายอะไรอย่างนี้ แต่ขืนเขายังไม่ยอมอธิบายอะไรเสียบ้าง หลินจื้อเฉิงคงมองว่าเขาเป็นผู้ป่วยทางจิตแน่ๆ เพราะฉะนั้น เขาจึงยอมอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “แต่นายเคยคิดบ้างไหม เธอหายตัวไปนานขนาดนั้นแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงโผล่ออกมาในเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับวันที่หายตัวไป? เสื้อผ้าชุดนั้นดูใหม่จนเหมือนเพิ่งใส่ครั้งแรก แล้วยังมี…” 


 


 


เขาชะงักเล็กน้อยแล้วพูดไม่ออกอีก เขาที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของเธอย่อมรู้ดีว่าบนร่างกายเธอมีรอยตำหนิอะไรตรงไหนบ้าง แต่ศพนั่นไม่มีรอยตำหนิพวกนั้นเลย เขาเองก็ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับหลินจื้อเฉิงอย่างไรเหมือนกัน 


 


 


คำพูดของเขาเพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้หลินจื้อเฉิงได้สติ 


 


 


หลินจื้อเฉิงรู้สึกละอายใจ “ไม่คิดเลยว่าพิรุธง่ายๆ แค่นี้ผมกลับดูไม่ออก ผมนี่มัน…” 


 


 


จิ้นหยวนค่อยๆ ย่อกายลงนั่ง แม้เขาจะนั่งอยู่ แต่ร่างกายสูงใหญ่ของเขายังคงดูน่ากลัวน่าเกรงขาม ราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อตลอดเวลา “เรื่องนี้จะโทษนายก็ไม่ได้ มีคนจับจุดอ่อนของเราได้ ถึงได้ตั้งใจทำแบบนี้” 


 


 


ในที่สุดหลินจื้อเฉิงก็คิดได้ “จริงด้วย ต้องมีคนตั้งใจทำแบบนี้แน่ๆ” 


 


 


จิ้นหยวนครางเสียงฮึเย็นๆ เขาโบกมือเล็กน้อย “ฉันขอมอบหมายงานนี้ให้นาย ไปเช็คมาว่าเป็นฝีมือใคร” 


 


 


“ครับ!” 


 


 


คงต้องบอกว่าคนที่ทำเรื่องนี้เป็นคนที่ฉลาดมาก เพราะคนคนนั้นใช้ความเป็นห่วงที่พวกเขามีต่อเฉียวซือมู่มาสร้างสถานการณ์นี้ขึ้น ถ้าเขาไม่รู้จักเธออย่างลึกซึ้ง เขาเองก็คงจะตกหลุมพรางและเชื่อในสิ่งที่เห็นไปแล้ว 


 


 


หลินจื้อเฉิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผมจะต้องหาตัวไอ้คนสารเลวคนนั้นออกมาให้ได้ บ้าเอ๊ย กล้าหลอกฉันเหรอ!” 


 


 


เขาด่าจนพอใจแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไปเพื่อจัดคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที นี่ถือเป็นการหยามหน้ากันมาก เขาจะต้องหาตัวคนทำออกมาเพื่อล้างอายให้ได้ 


 


 


จิ้นหยวนค่อยๆ ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ใบหน้าเฉยชาของเขาจ้องมองของเหลวสีแดงฉานในแก้ว แววตาของเขาดุดัน ในห้องรับแขกอันเงียบสงัด เสียงพูดกับตัวเองของเขาดังขึ้น “ไหนคุณลองบอกซิ ถ้าคุณกลับมา ผมควรจะต้อนรับคุณยังไงดี?” 


 


 


คำพูดมีความหมายลึกซึ้งของเขาแฝงความเย็นยะเยือกที่คนฟังแล้วต้องรู้สึกตัวสั่น… 


 


 


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เฉียวซือมู่ทำงานที่กองนิตยสารแฟชั่นในมิลานได้สองเดือนแล้ว เธอใช้เวลาปรับตัวเพียงไม่นาน และตอนนี้เธอรู้สึกพอใจกับงานนี้มาก ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง งานที่เธอทำอยู่ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน 


 


 


ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เธอกำลังถือต้นฉบับเอาไว้ในมือพลางมุ่นหัวคิ้วถามเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยความไม่เข้าใจ “คุณเอลลี่ ฉันจำได้ว่าครั้งที่แล้วคุณคริสบอกว่าคุณต้องเป็นคนทำต้นฉบับนี้นี่นา ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นฉันทำล่ะ?” 


 


 


เอลลี่เป็นผู้หญิงวัยสามสิบกว่าๆ เธอเป็นสาวผมทองตาสีฟ้า ใบหน้าเย็นชาและจริงจัง และเธอมักจะเม้มริมปากแน่นจนเกิดรอยลึกตรงร่องแก้ม เธอจึงเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่ 


 


 


เอลลี่ได้ยินคำถามของเฉียวซือมู่แล้วมองเธอด้วยความเบื่อหน่าย “ขอโทษด้วยนะคุณเฉียว ถึงคริสจะพูดอย่างนั้นจริง แต่คุณก็รู้นี่ว่างานมิลานแฟชั่นวีคใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้งานของเราก็เลยเพิ่มมากขึ้น ฉันก็เลยขอให้คุณช่วยแบ่งเบางานนิดหน่อย คุณจะไม่ช่วยเหรอ?” 


 


 


“แต่ว่า แต่ฉันก็มีงานเต็มมืออยู่แล้ว…” เฉียวซือมู่เอ่ยอย่างลังเล 


 


 


“งานพวกนั้นน่ะเรื่องเล็ก ฉันเชื่อว่าคุณเฉียวมีความสามารถมากพอที่จะทำมันเสร็จตามกำหนด จริงไหมคะ?” ตาสีฟ้าของเอลลี่จับจ้องเฉียวซือมู่นิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเด็ดขาด 


 


 


เฉียวซือมู่สูดหายใจลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้แล้วเอ่ยกับเธอ “ได้ค่ะ ฉันจะพยายาม” 


 


 


เอลลี่พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นหมุนกายแล้วก้าวเท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงสูงสิบนิ้วกลับห้องทำงานของตัวเอง 


 


 


เฉียวซือมู่มองเอกสารในมือตัวเองหน้านิ่วคิ้วขมวด บริษัทนี้อยู่ได้เพราะงานแฟชั่นต่างๆ ในมิลาน เพราะนั้น ทุกครั้งที่มีงานมิลานแฟชั่นวีคจึงยุ่งมากเป็นพิเศษ แต่นี่เป็นภารกิจที่เธอได้รับอย่างกะทันหันเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้ว ทุกครั้งที่ได้รับงานแบบนี้เธอต้องทำงานล่วงเวลาและกลับบ้านดึกทุกครั้ง 


 


 


ที่สำคัญ เธอยังเป็นพนักงานใหม่ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงปฏิเสธอะไรเลย อย่าคิดว่าเรื่องการกดขี่ภายในองค์กรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลกต่างหาก แค่แสดงออกอย่างชัดเจนหรือไม่เท่านั้น และเธอดันโชคร้ายมาเจอหัวหน้างานที่ชอบกดขี่พนักงานหน้าใหม่ 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะไปขัดแย้งกับคนอื่น เพราะข้ออ้างของเอลลี่นั้นฟังสมเหตุสมผลมาก ส่วนเธอเป็นเพียงพนักงานที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ถ้าเกิดเรื่องขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจ้านายจะยืนอยู่ฝั่งไหน 


 


 


ในสถานการณ์ที่เธอเหลือเงินติดตัวไม่มากแบบนี้ ถ้าเกิดเธอเสียงานนี้ไป ในขณะเดียวกันเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับความช่วยเหลือจากฉีหย่วนเหิงอีก เธอคิดว่าตัวเองคงต้องอดตายแน่  


 


 


บริษัทนี้ไม่มีสวัสดิการเรื่องอาหารการกินให้พนักงานเสียด้วย ดังนั้น เธอจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับการกดขี่จากหัวหน้างานโดยไม่สามารถโต้แย้งใดๆ   

 

 


ตอนที่ 210 ชีวิตที่เร่งรีบ

 

เธอมองเอกสารหนาเป็นปึกในมือตัวเองแล้วลอบถอนหายใจในอก จากนั้นก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ 


 


 


หญิงสาวที่ชื่อเจนนี่ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เธอยื่นหน้าออกมามองเธอด้วยความเห็นใจ “เฉียว ผู้หญิงคนนั้นทำให้เธอลำบากใจอีกแล้วใช่ไหม?” 


 


 


เจนนี่เป็นชาวอิตาลี ภาษาอังกฤษของเธอจึงติดสำเนียงอิตาเลียนอย่างชัดเจน เฉียวซือมู่ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานกว่าจะฟังภาษาอังกฤษของเธอรู้เรื่อง บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ เอลลี่ถึงไม่ค่อยทำให้เจนนี่ต้องลำบากใจสักเท่าไหร่ หากแต่พุ่งเป้ามาที่เฉียวซือมู่คนเดียวแทน 


 


 


และนี่ทำให้เพื่อนร่วมงานหลายๆ คนเห็นอกเห็นใจเธอ รวมทั้งเจนนี่ด้วย 


 


 


เฉียวซือมู่ยิ้มๆ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเร่งมือทำ น่าจะเสร็จทันสองทุ่ม” 


 


 


เจนนี่ทำหน้าไม่พอใจ “เอลลี่ก็ทำเกินไป เธอควรจะไปบอกให้เจ้านายรู้นะ” 


 


 


ที่เจนนี่มีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้นั้นเป็นเพราะที่นี่คือยุโรป ที่นี่เลิกงานเร็วมาก ต่อให้ต้องทำงานล่วงเวลาก็ไม่เกินหกโมงเย็น ถ้าเกินหกโมงเย็น ต่อให้นายจ้างยินดีจ่ายค่าแรงให้สิบเท่า แต่ก็ไม่มีลูกจ้างคนไหนยินดีทำงานให้ และแน่นอนว่านายจ้างเองก็ไม่บังคับเหมือนกัน เพราะสหภาพแรงงานในต่างประเทศนั้นแข็งแกร่งและมีพลังมาก 


 


 


พอเฉียวซือมู่บอกว่าสองทุ่ม พวกเขาจึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เจนนี่จึงรู้สึกโมโหขนาดนี้ 


 


 


แต่เฉียวซือมู่กลับไม่รู้สึกแบบนั้น เธอทำงานในประเทศตั้งนาน เอะอะก็ต้องทำงานล่วงเวลาถึงสี่ทุ่มห้าทุ่ม และบางครั้งถึงขั้นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เรื่องแค่นี้จึงทำอะไรเธอไม่ได้ 


 


 


แต่เธอหงุดหงิดเรื่องอื่นมากกว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงรู้สึกว่าหัวหน้าเอลลี่เพ่งเล็งเธอเป็นพิเศษ แต่เธอไม่เคยล่วงเกินอะไรเธอนี่นา 


 


 


เมื่อเห็นว่าเจนนี่กำลังโกรธแทนเธอ เธอจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ฉันเตรียมอาหารเย็นมาด้วย ไม่กลัวหิวหรอก” 


 


 


เธอพยายามลงมือทำอาหารเองทุกวันเพื่อเป็นการประหยัดเงิน เรื่องเตรียมปิ่นโตอาหารมาทำงานจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว 


 


 


เจนนี่ได้ยินแล้วตาเป็นประกายวาบ “อาหารจีนหรือเปล่า?” 


 


 


เธอพยักหน้า “ใช่” 


 


 


ประกายตื่นเต้นของเจนนี่หายไป “แต่น่าเสียดายจังที่ฉันไม่ได้กินด้วย เลิกงานแล้วฉันต้องกลับบ้านเลย” 


 


 


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเลิกงานแล้วฉันแบ่งให้กินก็ได้ วันนี้ฉันทำเปาะเปี๊ยะทอดมาด้วยนะ” เธอยิ้มตาหยี 


 


 


“จริงเหรอ? ดีจังเลย” เห็นได้ชัดว่าเจนนี่เป็นนักกินตัวยง ได้ยินแบบนี้แล้วจึงรู้สึกดีใจจนกระโดดโลดเต้น ทันใดนั้น เธอรู้สึกเกรงใจที่ตัวเองกินอาหารของเธอฟรีๆ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นเดี๋ยวฉันช่วยเธอทำต้นฉบับด้วยคนนะ แบบนี้เธอจะได้ทำงานเสร็จไวๆ ไง” 


 


 


“แล้วงานของเธอล่ะ?” เฉียวซือมู่เอ่ยถาม 


 


 


“ไม่เป็นไร งานของฉันใกล้เสร็จแล้ว” เจนนี่ยื่นมือออกไปหยิบเอกสารมาจากเฉียวซือมู่ครึ่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น เธอเปิดไปบ่นไป “โอ้ พระเจ้า! นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังใช้กระดาษอยู่อีก เอลลี่ยังใช้ชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบหรือยังไง?” 


 


 


เอลลี่เป็นคนหัวโบราณ ดูได้จากการพูดการจาและการกระทำต่างๆ ของเธอ และสิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์ที่สุดคงเป็นเรื่องที่เธอชอบทำอะไรแบบเก่าๆ อย่างเช่นเธอสามารถสแกนข้อมูลพวกนี้เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่เธอไม่ทำ เธอชอบถ่ายเอกสารเป็นปึกๆ แบบนี้มากกว่า 


 


 


วิธีการของเธอไม่สะดวกเหมือนการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนั้น เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จึงมักจะบ่นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ และดูเหมือนว่าเจ้านายเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน และเธอยังเคยถูกเจ้านายตักเตือนด้วยว่าทำแบบนี้เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรกระดาษเป็นอย่างมาก 


 


 


แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เฉียวซือมู่แอบคิดในใจ 


 


 


เธอรู้สึกดีใจไม่น้อยที่เจนนี่ยื่นมือออกมาช่วยเธอด้วยความเต็มใจ ไม่เสียแรงที่เธอยอมแบ่งอาหารให้เธอกิน แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่เจนนี่เป็นคนยุโรปแท้ๆ แต่กลับชอบอาหารจีนมากเป็นพิเศษ และยังสนใจอาหารจีนทุกประเภทอีกด้วย 


 


 


แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เปาะเปี๊ยะทอดเพียงไม่กี่ชิ้นก็สามารถแลกความช่วยเหลือจากเจนนี่ได้แล้ว ท่าทางวันนี้เธอคงได้กลับบ้านเร็วขึ้น 


 


 


เธอยิ้มพอใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ 


 


 


การช่วยกันทำงานช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เธอจึงเหลืองานอีกเพียงแค่หนึ่งในสี่เท่านั้น เจนนี่มองเธอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย “เฉียว ฉันต้องกลับแล้ว เธอทำคนเดียวไหวหรือเปล่า?” 


 


 


เฉียวซือมู่ก้มลงหยิบปิ่นโตออกมาจากชั้นวางของของตัวเองแล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าเจนนี่ “ไม่เป็นไร อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว เธอกินเถอะ อย่าลืมเหลือให้ฉันด้วยล่ะ” 


 


 


เจนนี่เปิดกล่องปิ่นโตออก ในนั้นมีเปาะเปี๊ยะทอดแท่งสีเหลืองทองที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย และยังมีข้าวผัดสีสันสวยงามอีกด้วย ดูหน้าตาน่ากินมาก เธอเอ่ยขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว “เฉียว นี่เธอมีเวทมนตร์ใช่ไหมเนี่ย” 


 


 


เฉียวซือมู่หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อาหารสองอย่างนี้ทำง่ายจะตาย โดยเฉพาะเปาะเปี๊ยะทอด แค่หยิบมันออกมาจากตู้เย็นแล้วทอดในกระทะร้อนๆ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ง่ายจะตาย แต่เจนนี่กลับเห็นเธอกลายเป็นนักเวทย์ลึกลับไปเสียแล้ว 


 


 


เธอส่ายศีรษะน้อยๆ “ถ้าเธอชอบ มีช้อนอยู่ใต้ปิ่นโต เธอกินข้าวผัดได้นะ” 


 


 


หลังจากเจนนี่ต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ต้องเลือกแล้ว เธอส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ “ไม่ ไม่ดีกว่า ฉันกินแค่เปาะเปี๊ยะทอดก็พอ” 


 


 


เฉียวซือมู่ยิ้มในใจ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงแบ่งอาหารให้เจนนี่กินบ่อยๆ เพราะถึงเธอจะชอบกินมากแต่ก็รู้ขอบเขต ปกติเจนนี่ยังช่วยเธออยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้สึกดีกับเจนนี่ไม่น้อย 


 


 


และการกระทำหลายๆ อย่างของเจนนี่ยังทำให้เธอคิดถึงหรงเซียวอีกด้วย คิดๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ 


 


 


ตอนนี้เธอทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลังหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น จนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งตอนที่งานใกล้เสร็จแล้วถึงได้เห็นว่าโต๊ะทำงานข้างๆ ตัวเองนั้นว่างเปล่า ปิ่นโตถูกวางอย่างเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะ เจนนี่กลับไปตอนที่เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างจริงจังนั่นเอง 


 


 


ครอบครัวของเจนนี่ค่อนข้างเคร่งครัด เธอจึงต้องกลับไปรับประทานอาหารค่ำตรงเวลาทุกวัน มิเช่นนั้นเธอจะถูกตำหนิเอาไว้ นี่เป็นสิ่งที่เจนนี่เคยบอกกับเธอ และมันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่แท้ในยุโรปยังมีครอบครัวหัวเก่าแบบนี้อยู่ด้วย 


 


 


เธอฟังแล้วไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะทุกคนต่างเติบโตมาจากครอบครัวที่แตกต่างกัน เธอไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวของใคร 


 


 


ตอนนี้งานของเธอใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ทำข้อสรุปเท่านั้น และตอนนี้เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง เธอบิดขี้เกียจเล็กน้อยด้วยความรู้สึกดีใจ เริ่มวางแผนว่าหลังเลิกงานแล้วน่าจะแวะซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตระหว่างทางกลับบ้าน เพราะเสบียงที่บ้านเหลือไม่เยอะแล้ว 


 


 


ทันใดนั้น มีเสียงดังมาจากประตูออฟฟิศที่ปิดสนิทแล้ว เธอหันมองไปทางประตูด้วยความระแวง หัวใจเธอเต้นแรง มิลานเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าที่นี่จะไม่มีอาชญากรเลย และเวลานี้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ น่าจะกลับบ้านกันหมดแล้ว คงไม่มีใครย้อนกลับมาอีกแน่ 


 


 


ถ้าเช่นนั้น คนที่มาที่นี่เป็นใครกัน? หรือว่าจะเป็นขโมย? 


 


 


เธอหายใจแรง มือขวาล้วงเข้าไปจับกระป๋องสเปรย์พริกไทยในกระเป๋าเอาไว้แน่น 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม