ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 202-208

ตอนที่ 202 เฉียวเหลียงผู้เยือกเย็นและ...

 

เจสยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าสมิธ โบกมือทักทายเขา “สวัสดีครับ เซอร์สมิธ ใช่แล้ว ผมเจส คุณเรียกผมสุภาพเหลือเกิน จนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าเราสนิทสนมกันมากขึ้น แต่คุณก็รู้ว่าเราสนิทกันมากเกินไปไม่ได้ กรุณาอย่าเรียกผมแบบนี้เลย คุณเรียกผมแบบนี้แล้วผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อคุณยังไงดี” 


 


 


สมิธดิ้นรนอย่างหนัก จ้องหน้าเจส “ไอ้บัดซบ! ปล่อยเราเดี๋ยวนี้!” 


 


 


“เซอร์สมิธ ผมคิดว่าเราไม่สนิทกันพอที่ผมจะแก้มัดให้คุณหรอก จริงไหม” เจสยิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยสายตาเศร้าสร้อย “แล้วอีกอย่าง คุณก็อุตส่าห์มาที่นี่ จะเป็นการหยาบคายสำหรับเราที่จะปล่อยให้คุณออกไปจากที่นี่แบบนี้ จริงไหม คุณไม่อยากรู้หรือว่าหลงเซี่ยวกับหลงเซี่ยวกรุปมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า ทำไมคุณไม่ลองไปเยี่ยมชมหลงเซี่ยวดูก่อนล่ะ คุณจะได้รู้ในสิ่งที่คุณอยากรู้ ดีไหม” 


 


 


สมิธคำรามอย่างเย้ยหยัน “ฉันจะจับพวกแกให้ได้สักวันหนึ่ง!” 


 


 


“จับพวกเราหรือ” เจสหัวเราะ นั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำ เขาเงยหน้าขึ้นมองสมิธ โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ แล้วจู่ๆ ใบหน้าเขาก็บึ้งตึงและเยือกเย็น “สมิธ เราอดทนกับคุณมามาก แต่คุณก็รุกไล่เราอย่างหนัก คุณคิดว่าประเทศคุณมีลูกกระสุนมากพอแล้วหรือ ถึงได้อยากแข่งขันกับเราในสังเวียนค้าอาวุธ คุณคิดว่าหลงเซี่ยวหลบซ่อนตัวจากคุณและองค์การตำรวจสากลมาเป็นเวลาหลายปี เพราะคุณมีอำนาจมากเหลือเกินอย่างนั้นหรือ” 


 


 


สมิธนิ่งเงียบ ทันใดนั้นจู่ๆ เจสก็ลุกขึ้นมองหน้าสมิธ “ผมจะบอกให้นะว่าคุณต้องไล่ตามเราอีกหลายปี คุณจะเหนื่อย และเราก็รำคาญด้วย เอาอย่างนี้ดีกว่าคุณสมิธ คุณไปลงนรกหลงเซี่ยวดีกว่า ไปมีความสุขสนุกสนานอยู่กับตัวเอง ผมคิดว่าเหมาะสำหรับคุณที่จะใช้ชีวิตที่เหลือที่นั่น!” 


 


 


“แกจะไม่ปล่อยเราใช่ไหม” สมิธจ้องหน้าเจสด้วยประกายตาวาววับ 


 


 


“ปล่อยพวกคุณอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นเยือกดังมาจากนอกประตู ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเตะและเปิดออก ชายในชุดเสื้อกันลมสีดำสวมหมวกดำเดินเข้ามา สมิธหันไปหรี่ตามองชายคนนั้น และเอ่ยชื่อเขา “เฉียวเหลียง” 


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าสมิธ เดินก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปหาด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ในเมื่อคุณรู้ว่าผมคือใคร คุณจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้” เฉียวเหลียงนั่งลงบนโซฟาแล้วมองสมิธอย่างเย็นชา “สมิธ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราทำงานหนักเพื่อรักษาความสงบ แต่คุณไปไกลเกินไปในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความอดทนของผมมีจำกัด เนื่องจากตำรวจสากลอย่างคุณยืนกรานที่จะไล่ล่าหลงเซี่ยว หลงเซี่ยวก็ไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าใคร ในเมื่อคุณถูกผมจับมาได้ ผมก็จะไม่ปล่อยคุณไป ใช่… เพราะคุณคือผู้ที่มีหลักฐานมากมายที่จะเล่นงานเรา” สมิธสืบหาหลักฐานเกี่ยวกับหลงเซี่ยวมานานหลายปี เขาจึงรู้จักเฉียวเหลียงและพี่น้องในหลงเซี่ยวดี เขารู้ว่าถึงแม้เจสจะดูโหดเ**้ยม แต่ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่กลับคำพูดได้ง่ายๆ เมื่อวินาทีที่แล้วเขาเพิ่งบอกว่าเขาจะส่งคุณไปนรก แต่ในวินาทีต่อมาเขาอาจลืม และแค่กักขังคุณไว้เท่านั้น หรืออาจปล่อยคุณด้วยซ้ำถ้าเขาอารมณ์ดี 


 


 


สำหรับวิลสัน ถึงแม้จะเป็นคนที่อารมณ์หงุดหงิดง่าย แต่เขาจะไม่ฆ่าใครเว้นแต่ว่าเขาจะโกรธมาก อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงแตกต่างออกไป เขาแค่ยืนนิ่งๆ เงียบๆ จ้องหน้าคุณด้วยสีหน้าเรียบเฉย คุณอาจคิดว่าเขาไม่มีพิษสง แต่ในวินาทีต่อมาคำสั่งที่ออกจากปากเขานั้น อาจเป็นคำสั่งฆ่าคุณ 


 


 


และที่สำคัญไปกว่านั้น เฉียวเหลียงไม่เคยกลับคำพูด! 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้สมิธก็เริ่มตื่นตระหนก เขารีบบอกว่า “เฉียวเหลียง ถ้าหากคุณปล่อยผมไป ผมจะเขียนจดหมายลาออกทันที จะออกจากองค์การตำรวจสากล ผมจะไม่สู้รบกับหลงเซี่ยวอีกต่อไป!” 


 


 


เจสเลิกคิ้ว กำลังจะเอ่ยขึ้น ขณะที่เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่บนโซฟากล่าวขึ้นทันที “คุณเคยสัญญากับเราก่อนหน้านี้ว่าจะไม่แตะต้องธุรกิจใดๆ ของหลงเซี่ยว แต่คุณขัดขวางผมทุกที่ และยังฆ่าพี่น้องของผมอีกด้วย” 


 


 


เมื่อเจสได้ยินอย่างนี้ ใบหน้าเขาก็เยือกเย็นขึ้นทันที และพยักหน้า “ใช่ พวกตำรวจสากลไม่เคยรักษาสัญญา!” 


 


 


เฉียวเหลียงมองเจส และเจสขยับปากถามเขา เฉียวเหลียงลุกขึ้นยืนมองหน้าเจส “จะจัดการกับเขายังไงดีน่ะหรือ” 


 


 


เฉียวเหลียงมองไปที่คนเหล่านั้นและขมวดคิ้ว “ฆ่าพวกเขา แล้วโยนร่างไว้ที่ประตูสำนักงานใหญ่องค์การตำรวจสากล” 


 


 


เจสจ้องเขม็ง “ทำแบบนั้นมันพฤติกรรมผู้ก่อการร้ายไม่ใช่หรือ แต่พวกเราเป็นคนดีนี่” 


 


 


“ใช่ ใช่ พวกคุณเป็นคนดี เพราะฉะนั้นคุณทำแบบนั้นไม่ได้หรอก!” 


 


 


เฉียวเหลียงตะคอก “ก็เพราะเราเป็นคนดีไงล่ะ เพื่อรักษาความสงบสุขของโลก เราถึงต้องฆ่าพวกที่เริ่มก่อสงคราม” 


 


 


“เอ่อ… แบบนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ละ” เจสกล่าวพร้อมกับหันไปมองเฉียวเหลียง “คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้เริ่มก่อสงคราม ด้วยการฆ่าพวกเขาแล้วเอาศพไปโยนไว้ที่หน้าประตูสำนักงานใหญ่ของพวกเขา” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว “นี่คุณเริ่มฉลาดตั้งแต่เมื่อไหร่” 


 


 


เจสยิ้ม “ผมฉลาดมากเสมอ จริงไหม” ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเฉียวเหลียงกำลังล้อเลียนเขา เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “เฮ้ย หุบปากไปเลย!” 


 


 


“เมื่อไม่นานมานี้ผมได้รู้จักคนๆ หนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะมีหน้าที่สืบสวนคนทรยศขององค์การตำรวจสากล ส่งคนพวกนี้ให้เขา และให้หลักฐานบางอย่างแก่เขาด้วย” จากนั้นเฉียวเหลียงก็ลุกขึ้น “อ้อ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมจัดการกับบรูโนเรียบร้อยแล้วนะ ผมต้องไปแล้ว” 


 


 


“รีบร้อนอย่างนี้เลยหรือ” เจสรีบตามเขาไป “ดูเหมือนคุณจะรีบร้อนกลับเมือง A มากเลยครั้งนี้ คุณเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เอง ไม่ไปดูโรงงานใหม่กับผมหรือ” 


 


 


“เรื่องที่เรามาเปิดโรงงานในสวีเดนเป็นความลับ อย่าให้ผู้คนสนใจมากนักจะดีกว่า เพราะฉะนั้นผมจะไม่ไปที่นั่น” เฉียวเหลียงดูนาฬิกาข้อมือและกล่าวกับเจสว่า “ผมมีงานที่เฉียวอินเตอร์กรุปอีกเยอะที่ต้องไปสะสาง ผมต้องไปแล้ว ถ้าคุณมีปัญหาอะไรปรึกษากับวิลสันนะ” 


 


 


“มีอะไรไม่ชอบมาพากลที่เฉียวอินเตอร์กรุปอีกหรือ ให้พวกเราช่วยไหม” เจสตบไหล่เฉียวเหลียง “ต้องบอกเรานะ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ” 


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มน้อยๆ “ผมไปก่อน” 


 


 


เจสยิ้มขณะมองตามร่างเฉียวเหลียงที่เดินห่างออกไป แล้วยืดตัวขึ้นพร้อมกับหาว “ด้วยความช่วยเหลือของอาเหลียง ฉันสามารถนอนหลับสนิทได้ทั้งคืนแล้ว” 


 


 


เฉียวเหลียงเพิ่งขึ้นเครื่องบินเมื่อได้รับโทรศัพท์ เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณให้กัปตันว่าอย่าเพิ่งนำเครื่องขึ้น และรับโทรศัพท์ เขานิ่งฟังและออกคำสั่ง “จับตาดูเธอไว้ และรายงานสิ่งที่เธอทำให้ฉันรู้ทันที” 


 


 


ทางปลายสายอีกด้านหนึ่งพูดอะไรบางอย่าง เฉียวเหลียงส่งเสียงฮึดฮัดและวางสาย จากนั้นก็หันไปมองอาห้าและบอกว่า “แจ้งผู้จัดการแผนกบุคคลให้ไปที่แผนกเลขานุการ จัดการลงทะเบียนประวัติเลขานุการคนใหม่ที่จะเริ่มทำงานในวันพรุ่งนี้” 


 


 


อาห้ากล่าวว่า “นายน้อยครับ คุณเซียวจิ่งจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” 


 


 


อาห้าพยักหน้า “ใช่ครับ เขาจัดการเรียบร้อยแล้วเมื่อเช้านี้ ทางโน้นโทรมาบอกผมว่าปัญหาทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 203 จุดมุ่งหมาย

 

เมืองหลวง 


 


 


ฉินซินหยิ่งมาปรากฏตัวที่ประตูอุทยานเอ็มไพร์ในชุดเกาะอกสีขาว หญิงสาวที่มาเปิดประตูให้ยินดีมากที่ได้เห็นเธอ “คุณฉิน ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วนะคะ มาเยี่ยมคุณหนูเหรอคะ” 


 


 


เมื่อฉินซินหยิ่งได้ยินสาวใช้พูดถึงถังซีใบหน้าเธอก็แข็งทื่อไปหนึ่งวินาที แต่ในไม่ช้าก็กลับสู่ภาวะปกติ เธอยิ้มให้สาวใช้พร้อมกับถามว่า “ซีซีกลับมาแล้วหรือ” 


 


 


สาวใช้ส่ายศีรษะ “ยังค่ะ คราวนี้คุณหนูไปเที่ยวนานเหลือเกิน แต่เธอจะโทรหานายท่านเป็นครั้งคราวค่ะ เพื่อให้ท่านทราบว่าเธอปลอดภัย นายท่านบอกว่าเธอเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขจนจำไม่ได้แล้วว่าต้องกลับบ้าน” จากนั้นสาวใช้ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แต่คุณหนูไปเที่ยวหลังจากทำงานหนักมาเป็นเวลานาน ไม่ผิดหรอกค่ะที่เธอจะได้เที่ยวสนุกบ้าง แล้วนายท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย” 


 


 


ประกายถากถางวาบขึ้นในดวงตาฉินซินหยิ่ง แต่เธอรีบกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ใช่ ซีซีทำงานหนักมาก เธอต้องการพักผ่อนจริงๆ ฉันมาเยี่ยมคุณปู่ถัง มาช่วยเธอตรวจดูสุขภาพท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้สาวใช้ก็ยิ้ม “คุณฉิน คุณช่างรอบคอบจริงๆ ค่ะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงสุขภาพนายท่าน เพราะคุณไม่อยากให้คุณหนูเป็นห่วง คุณหนูต้องซาบซึ้งมากถ้ารู้ว่าคุณดีต่อเธอเหลือเกิน” 


 


 


ฉินซินหยิ่งเลิกคิ้วให้สาวใช้ขณะขึ้นรถที่สาวใช้นำมารับ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “ช่วงนี้คุณปู่ถังเป็นอย่างไรบ้าง ความดันโลหิตสูงขึ้นไหม หัวใจท่านปกติหรือเปล่า ให้ท่านทานเนื้อวัวให้น้อยลงนะ เพราะท่านคอเลสเตอรอลสูง…” หลังจากจุกจิกจู้จี้กับรายละเอียดอยู่นานฉินซินหยิ่งก็ถามว่า “แล้วหลังๆ นี่คุณปู่ถังต้องเข้าไปรักษาอาการอะไรบ้างไหม” 


 


 


สาวใช้รู้สึกซาบซึ้งใจที่เห็นฉินซินหยิ่งห่วงใยถังเจิ้นหวามากเหลือเกิน เธอตอบคำถามฉินซินหยิ่งด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้นายท่านของเราสุขภาพดีค่ะ คุณหนูได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างสนุกสนาน นายท่านก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องไปจัดการที่บริษัท ท่านจึงพักผ่อนอยู่บ้านค่ะในช่วงนี้ แล้วพ่อบ้านถังก็ดูแลนายท่านเป็นอย่างดี นายท่านต้องจำกัดอาหารบ้างเล็กน้อย และไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่วันครบรอบเสียชีวิตของนายหญิงกำลังจะมาถึง นายท่านก็เลยอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ค่ะในช่วงสองวันมานี้” 


 


 


ฉินซินหยิ่งหรี่ตาลง อารมณ์เขาไม่ดีเอามากๆ อย่างนั้นหรือ 


 


 


ในไม่ช้ารถก็จอดลงที่หน้าคฤหาสน์ ฉินซินหยิ่งกล่าวขอบคุณสาวใช้ด้วยรอยยิ้ม กระโดดลงจากรถและเดินไปที่ตัวคฤหาสน์ ขณะหันหลังให้สาวใช้รอยยิ้มบนใบหน้าเธอก็หายไป แต่เมื่อมาถึงประตูทางเข้าคฤหาสน์เธอก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเคาะประตู… 


 


 


ถังจงมาเปิดประตู เมื่อเขาเห็นฉินซินหยิ่งยืนอยู่หน้าประตูความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเขาถามด้วยความแปลกใจว่า “คุณฉิน มาทำไมหรือครับ” 


 


 


“ฉันคิดถึงคุณปู่ถัง ก็เลยมาเยี่ยม ท่านอยู่ที่ไหน” ฉินซินหยิ่งเดินเข้ามาข้างในราวกับว่านี่เป็นบ้านของเธอเอง เธอเดินสำรวจไปทั่วและมองไปรอบๆ บ้าน 


 


 


ถังจงเดินตามฉินซินหยิ่งเข้าไปข้างในและกล่าวว่า “นายท่านกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องทำงานครับ ไม่ต้องการให้ใครรบกวน” เขาบอกให้ฉินซินหยิ่งไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น และสั่งให้แม่บ้านนำน้ำชาและขนมมาต้อนรับฉินซินหยิ่ง หลังจากนั้นเขาก็หลบไปยืนข้างๆ และถามว่า “คุณฉินครับ เมื่อวานผมเห็นข่าวคุณ คุณไม่ได้อยู่ที่เมือง A หรอกหรือครับเมื่อวานนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมาเมืองหลวง” 


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม มองถังจงและกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ฉันได้รับโทรศัพท์จากซีซีเมื่อวานนี้ เธอขอให้ฉันส่งผ้าพันคอไหมที่อยู่ในตู้ไปให้เธอ ฉันเพิ่งกลับมาถึงเมื่อเช้านี้” 


 


 


ถังจงหรี่ตาลง แต่ปกปิดความสงสัยไว้อย่างรวดเร็ว “ผ้าพันคอไหมหรือครับ” คุณหนูต้องการผ้าพันคอไหมเมื่อไหร่กัน ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูโทรศัพท์มาได้อย่างไร 


 


 


ฉินซินหยิ่งไม่เห็นร่องรอยความสงสัยของถังจงแม้แต่น้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วซีซีก็ยังขอให้ฉันช่วยมาดูสุขภาพคุณปู่ถังด้วย ฉันจึงกลับมาจากเมือง A แล้วมาที่นี่” 


 


 


ถังจงยิ้ม กล่าวขึ้นเบาๆ “คุณหนูของเรานี่ชอบแกล้งคนอื่นเหลือเกิน ทำไมไม่บอกให้เราส่งผ้าพันคอไหมไปให้ตอนที่โทรหาเราเมื่อคืน ทำให้คุณต้องยุ่งยากมากมายที่ต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณลำบาก” 


 


 


ขณะกล่าวเช่นนั้นน้ำเสียงถังจงเยือกเย็น แต่ฉินซินหยิ่งดูเหมือนจะไม่รู้สึกผิดปกติกับคำพูดของถังจง เธอหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “บางทีเธออาจกลัวว่าคุณจะไม่รู้ว่าเธอต้องการผ้าพันคอผืนไหน ก็เลยขอให้ฉันมาหาให้ แล้วอีกอย่างพ่อบ้านถัง คุณซื่อสัตย์ต่อคุณปู่ถังมาก คุณอาจจะบอกซีซีแค่สิ่งที่คุณปู่ถังต้องการให้เธอรู้จริงไหมคะ เธอจึงเชื่อใจฉันมากกว่า” 


 


 


ถังจงหัวเราะเพื่อซ่อนประกายตาอันเยือกเย็น จากนั้นเขาก็กล่าวกับฉินซินหยิ่งว่า “คุณฉินรอสักครู่นะครับ ผมจะไปเรียนนายท่าน” 


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม “ได้ค่ะ พ่อบ้านถัง รบกวนด้วยนะคะ” 


 


 


ถังจงยิ้มและหันหลังเดินไปที่ห้องทำงานถังเจิ้นหวา ขณะเขาหันหลังให้เธอรอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็หายไป 


 


 


ฉินซินหยิ่งกำลังโกหก เขาน่าจะขอให้นายท่านห้ามเด็ดขาด ไม่ให้คุณหนูคบเธอเป็นเพื่อนอีกต่อไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ คุณหนูกับคุณเฉียวก็จะไม่แยกจากกัน แล้วคุณหนูก็จะไม่… 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของถังจง ถังเจิ้นหวาก็ขมวดคิ้ว ใคร่ครวญอยู่สองวินาทีแล้วลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูกันว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมาที่นี่” 


 


 


“นายท่านครับ เธอต้องอยากเข้าไปในห้องคุณหนูแน่ๆ ผมจะไม่ปล่อยให้เธอทำอย่างนั้น เธอไม่รู้หรือไงว่าก่อนหน้านี้เธอทำอะไรไว้กับคุณหนูบ้าง ยังจะมีหน้าเข้าไปในห้องคุณหนูอีก” ถังจงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เราควรห้ามไม่ให้เธอเข้ามาที่อุทยานเอ็มไพร์เลยด้วยซ้ำ!” 


 


 


ถังเจิ้นหวามองหน้าถังจง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “เธอนี่แก่แล้วจริงๆ ทำไมถึงอารมณ์เสียง่ายอย่างนี้ ลองไปพบเด็กคนนั้นดูก่อน” 


 


 


ฉินซินหยิ่งมองหน้าถังเจิ้นหวาที่ดูทรงพลังและรู้สึกตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความจริง คุณปู่ถังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของถังซี! ไม่น่าแปลกใจที่เขายังคงดูมีพลัง! 


 


 


ถังเจิ้นหวาขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉินซินหยิ่ง แต่เมื่อฉินซินหยิ่งมองตอบมาเขาก็ยิ้มกว้างทันที เขาถือไม้เท้าเดินเข้ามา ฉินซินหยิ่งยืนขึ้นทักทาย “คุณปู่ถัง ท่านดูดีมากเลยค่ะ ดูเหมือนซีซีจะไม่จำเป็นต้องห่วงใยท่านตลอดเวลาที่เธอเดินทางไปไหนๆ” 


 


 


ถังเจิ้นหวายิ้มและบอกให้ฉินซินหยิ่งนั่งลง ท่านเองก็นั่งลงบนเก้าอี้นวม ท่านส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ฉันแก่เกินกว่าจะมีประโยชน์อะไรแล้ว ยายหนูหัวเราะฉันตอนที่โทรหาฉันเมื่อคืน เธอยังดีกว่ายายหนูของฉัน ยังรู้จักมาเยี่ยมฉันบ้าง ยายเด็กจอมซนคนนั้นเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขจนจำไม่ได้แล้วว่าต้องกลับบ้าน” 


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม “ก็กว่าซีซีจะได้เดินทางท่องเที่ยวนี่คะ คุณปู่ถัง ทำไมไม่ให้เธอสนุกกับตัวเองให้เต็มที่ล่ะคะ ถึงอย่างไรซีซีก็มีความสามารถมากอยู่แล้ว ถึงจะอยู่ในระหว่างเดินทาง แต่เธอก็สามารถจัดการกับงานในบริษัทได้ดี ด้วยการควบคุมจากทางไกลจริงไหมคะ” 


 


 


ถังเจิ้นหวาหัวเราะและพยักหน้า จากนั้นก็มองหน้าฉินซินหยิ่งแล้วกล่าวว่า “ฉันได้ยินว่าเธอได้เป็นนักออกแบบพิเศษให้กับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ขอแสดงความยินดีด้วยนะ!” 


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม และนึกออกทันทีว่าทำไมเธอถึงมาที่นี่  

 

 


ตอนที่ 204 คนอกตัญญู

 

“คุณปู่ถังคะ หนูภูมิใจมากค่ะ นี่ถ้าซีซีไม่ได้สนับสนุนหนูในด้านการออกแบบตลอดหลายปีที่ผ่านมา หนูก็คงไม่ประสบความสำเร็จอย่างนี้ ความสำเร็จที่หนูได้รับในวันนี้เป็นเพราะซีซีค่ะ หนูควรขอบคุณเธอ” ขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้เธอฉีกยิ้มอย่างจริงใจมากยิ่งขึ้น จากนั้นเธอก็มองหน้าถังเจิ้นหวาแล้วกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นคุณปู่ถังอย่าชมหนูเลยค่ะ ไม่อย่างนั้นหนูจะรู้สึกละอายใจ” 


 


 


ถังเจิ้นหวาหัวเราะ ขณะมองฉินซินหยิ่งด้วยความเมตตาและพยักหน้า “เธอนี่เป็นเด็กดีจริงๆ รู้ถึงความสำคัญของความกตัญญู ฉันอายุปูนนี้เคยเห็นคนอกตัญญูมามากมาย หายากที่จะเห็นผู้หญิงที่กตัญญูรู้คุณคนเหมือนเธอ ฉันรู้สึกประทับใจจริงๆ ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคตบอกฉัน ฉันจะสนับสนุนเธออย่างแน่นอน” 


 


 


ฉินซินหยิ่งดูท่าทางซาบซึ้งในถ้อยคำของถังเจิ้นหวา เธอเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ถังเจิ้นหวาและกล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณ “คุณปู่ถังคะ คุณปู่และซีซีใจดีกับหนูมากเหลือเกิน หนูแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่” 


 


 


มือถังเจิ้นหวาแข็งทื่อขึ้นมาทันที แต่แล้วท่านก็หัวเราะเสียงดัง ตบหลังมือฉินซินหยิ่งเบาๆ “เด็กโง่ เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของซีซี ฉันจึงเห็นเธอเป็นหลานสาวด้วยเหมือนกัน ฉันก็ควรใจดีกับเธอสิ” 


 


 


ฉินซินหยิ่งพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ได้โปรดให้หนูได้ดูแลคุณปู่ เหมือนที่ซีซีทำนะคะในอนาคต” 


 


 


ถังเจิ้นหวายิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปมองถังจงและกล่าวว่า “ไปหาผ้าพันคอไหมของซีซี แล้วนำมาที่นี่” 


 


 


รอยยิ้มของฉินซินหยิ่งแข็งทื่อไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของถังเจิ้นหวา เธอรีบบอกว่า “คุณปู่ถัง ให้หนูไปหาเองเถอะค่ะ คุณปู่ทราบไหมคะว่าซีซีไม่ชอบให้คนอื่นเข้าห้องของเธอ พ่อบ้านถังอาจไม่รู้ด้วยว่าผ้าพันคอไหมของซีซีอยู่ที่ไหน หนูขึ้นไปหาเองเดี๋ยวก็เจอค่ะ ไม่จำเป็นต้องรบกวนพ่อบ้านถังหรอก” 


 


 


ถังเจิ้นหวามองฉินซินหยิ่งและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาสิ ไปเถอะ พวกเด็กผู้หญิงมักคลั่งความสะอาดเรียบร้อย ทำไมถึงเกลียดการให้คนอื่นเข้าห้องตัวเองนักก็ไม่รู้ เอาล่ะ เธอไปหยิบให้ยายหนู แล้วควรจะถามยายหนูด้วยว่าต้องการอะไรอีกไหม จะได้ส่งไปพร้อมกันทีเดียว ฉันจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพคุณย่าวันพรุ่งนี้ จะไม่อยู่บ้านอีกสองสามวัน ถึงตอนนั้นเธออาจเข้ามาในบ้านหลังนี้ไม่ได้” 


 


 


เมื่อฉินซินหยิ่งได้ยินคำพูดนี้ดวงตาเธอก็เป็นประกาย แทบจะกระโดดตัวลอย พระเจ้าช่วยเธอแท้ๆ! คราวนี้เธอก็นำอัลบั้มภาพวาดของถังซีออกไปด้วยได้แล้วสิ เธอจะบอกว่าถังซีอยากวาดภาพ 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ฉินซินหยิ่งก็แอบสบถเบาๆ ด้วยความดีใจ ขณะเดินยิ้มขึ้นไปข้างบน 


 


 


ถังเจิ้นหวาหันข้างมองตามหลังฉินซินหยิ่ง ท่านส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเยือกเย็น ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องถังซีท่านก็ถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนี้ช่างโลภเหลือเกิน โลภจนเก็บอาการไม่อยู่ เธอคงคิดว่าฉันแก่เกินกว่าจะมองเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างนั้นใช่ไหม” 


 


 


“แล้วนายท่านปล่อยให้เธอเข้าไปในห้องคุณหนูทำไมล่ะครับ” ถังจงมองถังเจิ้นหวาด้วยท่าทางสับสน “เราควรเอาไม้กวาดกวาดคนแบบนี้ออกไปด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอทำไว้กับคุณหนูผมรู้สึกโกรธมาก!” 


 


 


“อาจง เธอน่ะแก่แล้วนะ ควรเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์” ถังเจิ้นหวาลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ฉันเข้าไปในห้องซีซีเมื่อเช้า ฉันพบว่าข้าวของเธอหายไปจำนวนมาก รวมทั้งอัลบั้มภาพวาดกับชุดสีแดงด้วย ซึ่งฉันคิดว่าเฉียวเหลียงคงจะเอาไปตั้งแต่เมื่อวานซืน” 


 


 


ถังจงตกใจมาก “แต่ตอนที่คุณเฉียวกับคนของเขาออกไปในวันนั้น ผมไม่เห็นว่าเขาถืออะไรออกไปด้วยเลยนะครับ!” 


 


 


ถังเจิ้นหวาหัวเราะ ส่ายศีรษะแล้วมองหน้าถังจง “จะเป็นอย่างไร ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องการลงทุนของเราในฉินกรุป” 


 


 


ถังจงมองถังเจิ้นหวาด้วยความประหลาดใจ “นายท่าน ยังอยากลงทุนในฉินกรุปอีกหรือครับ” 


 


 


“ไม่อย่างแน่นอน” ถังเจิ้นหวาถอนหายใจและลุกขึ้น “บอกให้คนของเราระงับการลงทุนทั้งหมดในฉินกรุป แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว คนพวกนั้นก็ยังต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำ นี่ยังไม่นับสิ่งที่หลานสาวพวกเขาฆ่าหลานสาวคนเดียวของฉันนะ ฉันสาบานว่าฉันจะให้พวกเขาชดใช้” ท่านถือไม้เท้าเดินไปที่ห้องทำงานพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นอีก บอกสาวใช้ทุกคนให้จำไว้ว่าใครบ้างที่เข้ามาในอุทยานเอ็มไพร์ได้ และใครบ้างที่ห้ามเข้า ถ้าใครจำไม่ได้จะถูกไล่ออก ถึงอย่างไรอุทยานเอ็มไพร์ก็ไม่มีวันขาดสาวใช้หรอก” 


 


 


ถังจงหยุดนิ่ง พยักหน้าแล้วตอบว่า “ครับ ผมเข้าใจแล้ว” 


 


 


ถังเจิ้นหวาถอนหายใจอย่างแรง แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน 


 


 


… 


 


 


ฉินซินหยิ่งรื้อค้นไปทั่วห้องถังซี ไม่ว่าจะเป็นด้านในสุดของตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้าชั้นบนสุด แม้กระทั่งหลังตู้เสื้อผ้า ตู้ข้างเตียง หรือแม้แต่ตู้เซฟในห้องถังซี แต่เธอไม่พบแฟลชไดรฟ์และอัลบั้มภาพวาดที่มีภาพสเก็ตช์งานออกแบบของถังซีเลย 


 


 


“แปลกมาก ทุกอย่างยังอยู่ที่นี่ตอนที่ฉันเห็นครั้งสุดท้าย! ทำไมอยู่ๆ ถึงได้หายไปหมด” ฉินซินหยิ่งพูดกับตัวเองและเริ่มค้นหาอีกครั้ง 


 


 


ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่าไม้แขวนเสื้ออันหนึ่งว่างเปล่า เธอขมวดคิ้ว ถ้าเธอจำไม่ผิดควรมีชุดแขวนอยู่ตรงนี้ แล้วตอนนี้ชุดนั้นไปอยู่ที่ไหน 


 


 


ขณะเธอกำลังเดินเข้าไปดู ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฉินซินหยิ่งหยุดเดิน รีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า เขย่งเท้าขึ้น แสร้งทำเป็นค้นหาผ้าพันคอพร้อมกับตะโกนออกไป “เข้ามาได้ค่ะ” 


 


 


ถังจงเข้ามา เห็นฉินซินหยิ่งยืนเขย่งบนปลายเท้ามองหาผ้าพันคอไหมในตู้เสื้อผ้า เขารีบเดินเข้าไปบอกว่า “คุณฉิน ยังหาไม่เจออีกหรือครับ คุณหยิบไม่ถึงหรือเปล่า ให้ผมช่วยดีกว่า” 


 


 


ฉินซินหยิ่งก้าวถอยหลังก้าวหนึ่งและยิ้มให้ถังจง “ขอบคุณนะคะ พ่อบ้านถัง” 


 


 


ถังจงกล่าวว่า “ยินดีครับ” เขาเจอผ้าพันคอไหมแล้ว และรีบส่งให้ฉินซินหยิ่ง ใบหน้าฉินซินหยิ่งซีดเผือด แต่เธอยังคงยิ้มกว้างกล่าวอย่างอ่อนโยน “มีคนย้ายข้าวของในห้องซีซี ฉันก็เลยหาไม่เจอ ฉันจำได้ว่าผ้าพันคอไหมทั้งหมดของเธออยู่ในห้องแต่งตัว” 


 


 


ถังจงยิ้ม “เราคัดเลือกสาวใช้เข้ามาใหม่ เธอไม่รู้อะไรเลย และย้ายข้าวของจำนวนมากของคุณหนูเข้าไปเก็บในห้องเก็บของครับ เมื่อนายท่านทราบท่านโมโหจนลืมตัว ไล่สาวใช้คนนั้นออกไปแล้ว” 


 


 


“ห้องเก็บของเหรอคะ” ฉินซินหยิ่งมองหน้าถังจงด้วยท่าทางสงสัย “แล้วทำไมคุณถึงไม่ย้ายข้าวของของซีซีกลับมา” 


 


 


“มีของต่างๆ มากมายในห้องเก็บของ เราไม่กล้าย้ายสุ่มสี่สุ่มห้าครับ เราเลยโทรถามคุณหนูว่าจะจัดการอย่างไรดี คุณหนูบอกว่าเธอจะจัดการกับของพวกนั้นเองหลังจากที่เธอกลับมา และไม่อนุญาตให้เราแตะต้องของเหล่านั้น เธอกำชับเราว่าอย่าแตะต้องอัลบั้มภาพวาดของเธอ ซึ่งถ้าเสียหายเราไม่มีทางชดใช้ได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้าแตะต้อง…” 


 


 


ฉินซินหยิ่งกะพริบตาปริบๆ และฝืนยิ้ม “อัลบั้มภาพวาดเหรอคะ” 


 


 


ถังจงยิ้ม พาฉินซินหยิ่งออกมาจากห้อง “คุณหนูชอบวาดภาพเวลาว่างๆ ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละครับ คุณฉิน เราไม่เข้าใจภาพวาดของเธอหรอก และเธอไม่อนุญาตให้เราแตะต้องภาพเหล่านั้น ผมก็เลยทำได้แค่เก็บไว้ที่นั่นตามเดิม”  

 

 


ตอนที่ 205 คำโกหกของฉินซินหยิ่ง

 

ทันทีที่ฉินซินหยิ่งเดินออกจากอุทยานเอ็มไพร์ ใบหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มคล้ำ เธอหันขวับกลับไปมองประตูทางเข้าอุทยานเอ็มไพร์และกำมือแน่น เธอกัดฟันอย่างเกลียดชังขณะกล่าวว่า “ไอ้บ้า! ถังซีตายไปแล้ว! จะกลับมาจัดข้าวของในห้องเก็บของได้ยังไง! ห้องเก็บของ! ไอ้ห้องเก็บของบัดซบ!” 


 


 


ในเวลานั้นนั่นเองโทรศัพท์ของฉินซินหยิ่งก็ดังขึ้น เธอรับสายอย่างขุ่นเคือง “ฮัลโหล!” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คาดคิดว่าฉินซินหยิ่งจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ เธอจึงรีบตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “คุณฉิน ฉันมาตามหาคุณที่ห้องทำงานคุณ แต่คุณไม่อยู่ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ” 


 


 


ฉินซินหยิ่งจำได้ว่าเป็นเสียงวิเวียน เธอรีบเอามือบังโทรศัพท์ไว้ สูดลมหายใจ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “คุณวิเวียน ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ เมื่อกี้ฉันคิดว่าพ่อแม่ฉันโทรมา ที่บ้านฉันมีเรื่องนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่เมืองหลวง ฉันเกรงว่ากว่าจะกลับไปถึงเมือง A ก็น่าจะเป็นช่วงบ่ายค่ะ คุณมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ” 


 


 


หลังจากวิเวียนได้ยินคำอธิบายของฉินซินหยิ่งน้ำเสียงเธอก็อ่อนลง เธอกล่าวว่า “ไม่มีอะไรมากค่ะ ฉันแค่อยากบอกคุณว่าตอนนี้ท่านประธานเซียวรู้เรื่องคำเชิญจากปารีสแฟชั่นวีคแล้วนะคะ เขาขอให้เราเตรียมพร้อมสำหรับงานแฟชั่นวีคที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน แล้วให้ฉันบอกคุณให้เตรียมออกแบบเสื้อผ้าไว้หลายๆ เซ็ท ถ้าคุณมีเวลาช่วยส่งภาพสเก็ตช์งานออกแบบที่คุณเตรียมไว้ให้ฉันได้ไหมคะ ฉันจะได้ส่งให้ฝ่ายผลิตตัดเย็บออกมาเป็นชุดที่เสร็จเรียบร้อย” 


 


 


เมื่อฉินซินหยิ่งได้ยินวิเวียนเอ่ยถึงภาพสเก็ตช์งานออกแบบใบหน้าเธอก็ซีดสลด แต่เธอยังกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ค่ะ ฉันสเก็ตช์แบบเตรียมไว้แล้ว จะส่งให้คุณเมื่อฉันกลับไปถึงนะคะ” 


 


 


เมื่อได้ยินว่าภาพสเก็ตช์งานออกแบบเตรียมไว้พร้อมแล้ว วิเวียนก็ยิ้มออกมาทันทีและกล่าวว่า “ดีไซเนอร์ฉิน คุณนี่ไว้วางใจได้เสมอ ในเมื่อคุณทำงานของคุณเสร็จแล้ว วันนี้ไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้ค่ะ จัดการธุระส่วนตัวก่อน เสร็จธุระแล้วค่อยกลับมา ฉันเฝ้ารองานออกแบบของคุณอย่างใจจดใจจ่อจริงๆ นะคะ หวังว่าคุณคงทำให้ฉันประหลาดใจเหมือนทุกครั้ง” 


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้มและวางสายโทรศัพท์ รอยยิ้มบนใบหน้าเธอหายไปทันทีที่วางสาย เธอจ้องมองประตูทางเข้าอุทยานเอ็มไพร์ โยนผ้าพันคอไหมลงถังขยะข้างถนน ขึ้นรถและขับออกไป 


 


 


ถังจงยืนอยู่บนระเบียง เห็นทุกการเคลื่อนไหวของฉินซินหยิ่ง จากนั้นเขาก็หันกลับเข้าไปในบ้านและเล่าทุกอย่างที่เห็นให้ถังเจิ้นหวาฟัง เมื่อได้ฟังแล้วถังเจิ้นหวาก็โบกมือและส่ายศีรษะ “เธอก็เหมือนกับฉินลั่วนั่นแหละ นกพันธุ์เดียวกันก็มีขนแบบเดียวกัน” 


 


 


เมื่อได้ยินเจ้านายเอ่ยถึงฉินลั่ว ถังจงก็เม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน จะให้ผมไปเก็บผ้าพันคอไหมของคุณหนูกลับมาไหมครับ” 


 


 


ถังเจิ้นหวาโบกมือไปมา “ช่างเถอะ เธอเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรที่จะเก็บผ้าพันคอของเธอไว้ ฉันอยากรู้ว่าพ่อหนุ่มคนนั้นเอาอัลบั้มภาพวาดของยายหนูไปไว้ที่ไหน แต่ก็โชคดีแล้วที่ภาพวาดพวกนั้นไม่ตกไปอยู่ในมือฉินซินหยิ่ง” 


 


 


“นายท่าน…” ถังจงเอ่ยขึ้น แต่ถังเจิ้นหวายกมือขึ้นห้ามแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อฉันรู้แล้วว่าตระกูลฉินทำอะไรไว้กับฉันบ้าง ฉันจะไม่ปล่อยพวกเขาแน่ คราวนี้ถึงแม้คนตระกูลฉินจะมาคุกเข่าขอร้อง ฉันก็ไม่มีวันให้อภัยพวกเขา!” 


 


 


หนูน้อยหยาถูกฉินลั่วสังหาร! แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะมอบตัวฉินลั่วให้ท่าน… นอกจากนี้ท่านจะไม่มีวันลืมความอกตัญญูของฉินซินหยิ่ง 


 


 


ซีซีของฉันจริงใจกับเธอย่างที่สุด แต่เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแยกซีซีของฉันออกจากคนที่ซีซีรัก และยังพยายามขโมยผลงานของซีซี 


 


 


เมื่อรู้ถึงการตัดสินของถังเจิ้นหวา ถังจงก็เอ่ยขึ้นหลังจากทั้งคู่เงียบไปนาน “ถ้าอย่างนั้น ผมจะบอกให้คนของเรา…” 


 


 


ถังเจิ้นหวาพยักหน้า “จัดการได้เลย ระงับการเพิ่มทุนแก่ตระกูลฉิน อย่าบอกพวกเขาว่าฉันไม่อนุมัติ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาจะหันไปขอความช่วยเหลือจากบริษัทอื่น ฉันจะทำให้พวกเขาเชื่อว่าเอ็มไพร์กรุปจะยังคงลงทุนในฉินกรุป เพียงแต่ต้องการเวลาสักระยะหนึ่ง และแจ้งให้บริษัทลูกของเราแย่งคำสั่งซื้อของพวกเขามาให้หมด ไม่ว่าคำสั่งซื้อใดๆ ที่ฉินกรุปพยายามหามา แต่อย่าทำอย่างเปิดเผย” 


 


 


ถังจงเข้าใจทันทีว่าถังเจิ้นหวาจะทำอะไร เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมรู้ครับ ว่าต้องทำอย่างไร” 


 


 


หลังจากถังจงออกไป ถังเจิ้นหวาก็มองดูภาพถ่ายบนโต๊ะแล้วถอนหายใจ “ซูหวา ฉันกำลังจะแก้แค้นให้เสี่ยวหยาของเราในไม่ช้านี้” 


 


 


หญิงสาวสวยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสในภาพดูเหมือนจะรอมานานสำหรับคำคำนี้และยิ้มอย่างมีความสุข 


 


 


ถังเจิ้นหวาดูราวกับจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบุคคลในภาพ ท่านยิ้ม วางรูปภาพไว้ระหว่างหน้าหนังสือ แล้วหันไปมองรูปครอบครัวบนโต๊ะทำงาน ซึ่งผู้หญิงในภาพนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน แต่ไม่ใช่ผู้หญิงในรูปก่อนหน้านี้ 


 


 


ถังเจิ้นหวาลูบไล้ภาพถ่าย ดวงตาเริ่มหม่นมัวมากขึ้น ทำไมถึงมีคนบางคนในภาพถ่ายครอบครัวของท่านหายไปเสมอ 


 


 


ถังเจิ้นหวามองดูภาพหมู่ของถังซี ดวงตาท่านแดงเรื่อขึ้นมา “ซีซี หนูทิ้งปู่ไปแบบนี้ได้ยังไง ปู่จะทนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่คนเดียวในอุทยานเอ็มไพร์อันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้ยังไง” 


 


 


ถังจงมองดูถังเจิ้นหวาผู้โศกเศร้าจากรอยแตกของประตู น้ำตาวาววับอยู่ในดวงตาเขา เขาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ปิดประตูลงเบาๆ แล้วหันหลังกลับ 


 


 


พระเจ้าช่างโหดร้ายต่อนายท่านเหลือเกิน 


 


 


… 


 


 


ฉินซินหยิ่งกำลังขับรถเมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอมองดูชื่อผู้โทร ขมวดคิ้ว แล้วกดรับสาย “พ่อคะ มีอะไร” 


 


 


“คุณปู่ให้พ่อถามลูกเรื่องหนึ่ง ลูกได้พูดเรื่องเงินทุนที่เขาจะมาลงเพิ่มกับเราหรือเปล่า ตอนเข้าไปที่อุทยานเอ็มไพร์วันนี้ ประธานถังบอกไหมว่าจะอนุมัติเงินลงทุนเมื่อไหร่” ฉินเปิ้นหยวนมีน้ำเสียงหงุดหงิด เขาอาจถูกบังคับจากพ่อเขาอีกทีให้โทรหาเธอ 


 


 


ฉินซินหยิ่งลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง จึงไม่รู้จะตอบบิดาว่าอย่างไร เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตาแก่นั่นถูกฉันหลอกจนเชื่อสนิท ตอนนี้เขาปฏิบัติกับฉันราวกับฉันเป็นหลานสาวของเขาเอง เขาบอกว่าจะไม่ปล่อยให้ฉันต้องทุกข์ยากลำบากใดๆ และจะสนับสนุนฉันไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันถามเขาเรื่องการเพิ่มทุน เขาก็เห็นด้วย และบอกฉันว่าเงินทุนจะได้รับการอนุมัติโดยเร็วที่สุด” 


 


 


ทางปลายสายอีกด้านหนึ่ง ฉินเปิ้นหยวนมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำพูดของฉินซินหยิ่ง “จริงหรือ เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ เรากำลังแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ เพื่อให้ได้โครงการใหญ่หลายโครงการ ทันทีที่มีเงินเข้ามา ตระกูลฉินของเราจะก้าวกระโดดล้ำหน้าในเมืองหลวง และติดอันดับหนึ่งในสิบเจ้าแห่งธุรกิจ หยิ่งเอ้อ เมื่อถึงเวลานั้นลูกจะเป็นฮีโร่ของตระกูลฉิน!” 


 


 


ดวงตาฉินซินหยิ่งส่องประกายแวววาวเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ เธอถามอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอคะ ถ้าเงินทุนเข้ามาเมื่อไร ฉินกรุปจะพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ และยังจะก้าวกระโดดล้ำหน้าอีกด้วย” 


 


 


“เป็นความจริงอย่างแน่นอน หยิ่งเอ้อลูกจะอยู่เมืองหลวงอีกหลายวันใช่ไหม ลูกต้องเอาใจใส่ประธานถังอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าวเลยนะ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลฉินทั้งตระกูล!” 


 


 


ฉินซินหยิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ได้ถามเรื่องนี้ในวันนี้ แต่เธอบอกว่า “พ่อคะ พ่อมั่นใจได้ คุณปู่ถังบอกว่าใช้เวลาไม่กี่วันหรอกค่ะ ที่เอ็มไพร์กรุปจะอนุมัติ”  

 

 


ตอนที่ 206 ของขวัญจากถังซีแด่เซียวโหรว

 

ฉินเปิ้นหยวนเชื่อคำพูดของลูกสาวทุกคำ ลูกสาวเขาเป็นเพื่อนสนิทของถังซี แทบจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นลูกสาวตระกูลถังจริงๆ เมื่อลูกสาวเขาพูดแบบนี้ก็จะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน จากนั้นสิ่งที่เขาต้องทำมีแค่เริ่มโครงการเมื่อมีเงินทุนเข้ามา! 


 


 


เขายังคงกล่าวต่อไป “ตกลง ตกลง ตกลง หยิ่งเอ้อ ลูกเป็นลูกสาวที่เก่งจริงๆ กลับมาบ้านคืนนี้พ่อจะให้พ่อครัวทำอาหารจานโปรดของลูก” 


 


 


ฉินซินหยิ่งอารมณ์ไม่ดี เพราะเธอไม่พบอัลบั้มภาพวาดและแฟลชไดรฟ์ของถังซีที่อุทยานเอ็มไพร์วันนี้ เธอเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณนะคะ ถึงแม้บริษัทเสื้อผ้าของหนูจะมีผลงานที่ดี แต่ก็ไม่ตรงกับความต้องการของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ตอนนี้หนูเป็นนักออกแบบพิเศษแผนกออกแบบของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เพราะนั้นหนูต้องระมัดระวังในความร่วมมือกับทางนั้น บางทีเราอาจโน้มน้าวให้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมาลงทุนในบริษัทของเราได้นะคะ” 


 


 


แม้ว่าเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปจะไม่ทรงอิทธิพลเท่าเอ็มไพร์กรุป แต่ก็เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของจีน แน่นอนว่าฉินเปิ้นหยวนต้องเคยได้ยินชื่อเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซินหยิ่งเขาก็กล่าวขึ้นทันทีด้วยความพึงพอใจ พร้อมทั้งเยินยอ “ใช่ ใช่ ใช่ ในเมื่อลูกสามารถเข้าร่วมงานกับบริษัทใหญ่ๆ ได้ ลูกก็ควรหวงแหนโอกาสนี้ไว้ อาชีพของลูกกำลังเฟื่องฟู ลูกควรจัดการอย่างระมัดระวัง พ่อขอให้ลูกประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของลูกนะ!” 


 


 


แต่ฉินซินหยิ่งขมวดคิ้วเมื่อเธอได้ยินคำพูดแบบนี้ เธอกล่าวอย่างเย็นชา “พอเถอะค่ะ ตอนนี้หนูทำแฟลชไดรฟ์หาย หนูตั้งใจจะไปค้นหาแฟลชไดรฟ์ของถังซีที่อุทยานเอ็มไพร์ แต่หนูหาไม่เจอ ไม่รู้เธอเอาไปด้วยหรือเปล่าตอนเดินทางไปต่างประเทศ เวลานี้หนูติดต่อเธอไม่ได้ แล้วก็เอาภาพสเก็ตช์งานออกแบบออกมาไม่ได้เลย นั่นหมายความว่าหนูจะไม่สามารถแสดงผลงานอะไรเลยในงานปารีสแฟชั่นวีค ในนามเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป อย่าว่าแต่สร้างความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นชั้นนำของโลกเลย หนูรู้สึกแย่มาก” 


 


 


ฉินเปิ้นหยวนรู้ดีว่าภาพสเก็ตช์งานออกแบบของฉินซินหยิ่งมาจากไหน แต่เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดพลาด ถังซีในฐานะเจ้าหญิงน้อยแห่งเอ็มไพร์กรุปมีทุกสิ่งทุกอย่าง และมีคนมากมายที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้เธอพอใจ แม้เธอจะไม่ได้ขอก็ตาม ซึ่งพวกเขาแตกต่างจากเธอ พวกเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ถ้าซินหยิ่งไม่ได้นำภาพสเก็ตช์งานออกแบบของถังซีมา ‘ใช้’ ตอนนี้เธอก็คงเป็นได้เพียงผู้ช่วยนักออกแบบ และจะไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักออกแบบที่มีความสามารถ เป็นที่ชื่นชมในหมู่สตรีชั้นสูงได้เช่นนี้ ดังนั้นถังซีควรมอบภาพสเก็ตช์งานออกแบบให้ซินหยิ่ง และช่วยให้ซินหยิ่งได้ในสิ่งที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ นั่นคือหน้าที่ของถังซี! 


 


 


พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นถังซีจึงควรช่วยซินหยิ่งและตระกูลของซินหยิ่ง 


 


 


“ทำไมลูกไม่โทรหาเธอล่ะ ปารีสแฟชั่นวีคเป็นงานแฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ ถ้าลูกสามารถแสดงผลงานในปารีสแฟชั่นวีค และเป็นที่รู้จักของผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น จะมีคนใส่ชุดที่ลูกออกแบบมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกก็จะรุ่งเรืองมากในอาชีพ” ฉินเปิ้นหยวนไม่อยากให้ลูกสาวสูญเสียช่องทางหรือโอกาสแม้แต่ครั้งเดียว 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเปิ้นหยวน ฉินซินหยิ่งก็ยกมือกุมขมับ จับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียวและขมวดคิ้ว “หนูรู้แล้วค่ะ แต่ตอนนี้หนูนำภาพสเก็ตช์ออกมาไม่ได้เลย แล้วหนูก็ทำแฟลชไดรฟ์หาย!” 


 


 


ฉินเปิ้นหยวนรู้สึกได้ถึงความตื่นกลัวในน้ำเสียงฉินซินหยิ่ง เขาลดเสียงลงราวกับกลัวว่าจะทำให้ฉินซินหยิ่งโกรธ และกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “หยิ่งเอ้อ ไม่ต้องกังวล แค่เตรียมตัวสำหรับงานแฟชั่นวีค ส่วนเรื่องภาพสเก็ตช์งานออกแบบพ่อจะจัดการให้เอง พ่อจะเอาภาพสเก็ตช์งานออกแบบมาให้ลูกให้ได้ภายในสองสามวัน ไม่ต้องกังวล” 


 


 


ฉินซินหยิ่งขมวดคิ้ว “พ่อจะทำอะไร” 


 


 


ฉินเปิ้นหยวนยิ้มและน้ำเสียงฟังดูมั่นใจมาก “ลูกรัก ไม่ต้องกังวล แค่เรื่องภาพสเก็ตช์งานออกแบบ พ่อจะแก้ปัญหาให้เอง ลูกรอฟังข่าวดีก็พอ” 


 


 


… 


 


 


ถังซีอยู่ในโรงพยาบาลมาสามวันแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถขยับเอวได้ เธอลุกขึ้นนั่งเอง และเมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นเฉียวเหลียงยืนพิงวงกบประตู เฝ้ามองเธอพยายามลุกขึ้นนั่ง “อ้าว! คุณทำอะไรอยู่ตรงนั้น สนุกนักหรือที่เห็นฉันเป็นแบบนี้” บ้าชะมัด! เขามาถึงตั้งนานแล้ว แต่แค่เฝ้ามองดูความพยายามของเธอ! บ้าที่สุด! 


 


 


เฉียวเหลียงเดินเข้ามาช้าๆ ปรับเตียงขึ้น จากนั้นก็วางหมอนไว้ใต้เอวเธอ ช่วยเธอนอนพิงหมอน “เจ็บไหม” เขาถาม 


 


 


ถังซีจ้องเขม็ง “เจ็บสิ!” ก็เธอบาดเจ็บที่เอวนี่! 


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงจากลำคอเบาๆ และพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ดีแล้วที่คุณรู้ว่าเจ็บ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณก็ลืม และพาตัวเองกลับมาที่โรงพยาบาลอีก” 


 


 


ถังซีพูดไม่ออก เธออยากจะโกรธ แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่า ‘ให้ตายสิ เฉียวเหลียงพูดถูก! บ้าที่สุด! นี่เฉียวเหลียงไปเรียนจิตวิทยามาตั้งแต่เมื่อไหร่’ เขากำลังล้างสมองเธอ! 


 


 


ทำไมเธอถึงรู้สึกผิดต่อเขา ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนได้รับบาดเจ็บ! 


 


 


เมื่อเห็นถังซีหน้าแดงก่ำแต่ไม่พูดไร เฉียวเหลียงก็ยิ้มและถามอย่างอ่อนโยน “โกรธเหรอ” 


 


 


ถังซีสะบัดมือเฉียวเหลียง ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่กล้าหรอก!” 


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม ยื่นมือมาลูบผมเธอ เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาเห็นในห้องเธอ เขาก็ไม่ใจแข็งพอที่จะเกรี้ยวกราดใส่เธอ เขาจูบหน้าผากเธอและกล่าวว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าโกรธเลยนะ คุณอ่านรายงานผลการตรวจสุขภาพของคุณปู่หรือยัง” 


 


 


ถังซียิ้มและพยักหน้า เมื่อนึกถึงรายงานผลการตรวจที่ได้รับเมื่อวันก่อน ดวงตาเธอเปี่ยมไปด้วยความคิดถึงบ้าน แต่เธอเอ่ยก็ขึ้นด้วยความดีใจ “คุณปู่พ่อบ้านดูแลคุณปู่ฉันอย่างดี เวลาที่ฉันไม่อยู่บ้าน” 


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า “ถังจงเป็นพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์” 


 


 


ถังซียิ้ม กล่าวด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย “แน่นอนค่ะ คุณปู่พ่อบ้านติดตามคุณปู่ฉันมาตั้งแต่ฉันยังเด็ก” 


 


 


เมื่อเห็นด้านที่เป็นเด็กของถังซี เฉียวเหลียงก็แอบถอนหายใจ ลูบผมเธอแล้วถามอย่างอ่อนโยน “ทำไมคุณถึงอยากได้เสื้อผ้าชุดนั้น” 


 


 


“เอามาแต่งงานกับคุณไง” ถังซีกล่าว แล้วหัวเราะ เมื่อเห็นเฉียวเหลียงตะลึงงันอย่างแท้จริงกับคำพูดของเธอ “ฮ่าๆ กลัวเหรอ ฉันล้อเล่นน่า นั่นไม่ใช่ชุดแต่งงาน ฉันอยากมอบชุดนั้นให้เซียวโหรวเป็นของขวัญ ถังซีมอบให้เซียวโหรว” 


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าถังซีด้วยสายตางุนงง “ของขวัญหรือ” 


 


 


ถังซียิ้ม เมื่อคิดถึงข่าวที่อ่านในวันนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “อาเหลียง คุณอาจคิดว่าเป็นการเอาสิ่งที่ให้กับคนอื่นแล้วกลับคืนมา แต่ฉันตัดสินใจจะทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องเสียใจกับตัวเองไปตลอดชีวิต” 


 


 


เมื่อนึกถึงภาพในความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา เธอก็กำมือที่ซ่อนอยู่ในชุดคนไข้แน่น 


 


 


เธอเคยใจดีกับฉินซินหยิ่งมาก แต่ฉินซินหยิ่งเพียงใช้เธอเป็นบันได และเขี่ยเธอออกไปเมื่อเธอไร้ประโยชน์  

 

 


ตอนที่ 207 ละครสนุกๆ

 

เนื่องจากฉินซินหยิ่งละทิ้งมิตรภาพของเธออย่างไม่แยแส มิหนำซ้ำยังเหยียบย่ำอีกด้วย เธอก็จะทำให้ฉินซินหยิ่งรู้ว่า หากไม่มีมิตรภาพที่เธอมอบให้ ผู้หญิงอย่างฉินซินหยิ่งก็ไม่มีอะไรเลย! 


 


 


เธอจะทำให้ฉินซินหยิ่งได้รับบทเรียนว่า ความรู้สึกสูญเสียทุกอย่าง หลังจากทรยศและหักหลังเพื่อนนั้นเป็นอย่างไร 


 


 


เมื่อถึงตอนนี้ก็มีคนมาเคาะประตู ถังซีสะดุ้งตกใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าเป็นอาห้า เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วรีบกล่าวกับเฉียวเหลียง “กลับไปเถอะค่ะ อีกไม่นานคุณแม่ฉันก็จะมาแล้ว ถ้าท่านเห็นคุณที่นี่ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาห้ารอคุณอยู่ กลับไปเถอะ” 


 


 


อาห้ากะพริบตาปริบๆ ยิ้มให้ถังซีและกล่าวว่า “คุณหนูเซียวครับ ไม่มีอะไรเร่งด่วน คุณหนูฟังด้วยได้ครับ เพราะฉะนั้นคุณหนูไม่จำเป็นต้องขอให้นายน้อยกลับไปกับผมหรอกครับ” อันที่จริงอาห้าค่อนข้างกังวลเล็กน้อยเมื่อพูดแบบนี้ เพราะนี่เป็นเรื่องของคุณถัง แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคุณหนูเซียวจะไม่โกรธนายน้อยในเรื่องนี้… 


 


 


ดังนั้น เขาสามารถรายงานเรื่องสถานการณ์ในตระกูลของคุณถังแก่นายน้อย ต่อหน้าคุณหนูเซียวได้ใช่ไหม อาห้าสังเกตดูปฏิกิริยาของถังซีอย่างระมัดระวังอีกครั้ง หลังจากเห็นว่าถังซีและเฉียวเหลียงไม่มีอะไรขัดเคืองต่อกัน เขาก็หันไปหาเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงเลิกคิ้วขึ้นมอง อาห้ารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขารีบก้าวถอยหลัง และกล่าวกับเฉียวเหลียงอย่างรวดเร็ว “นายน้อยครับ ผมมีเรื่องจำเป็นต้องรายงานให้นายน้อยทราบครับ” 


 


 


ผมไม่ได้มีเจตนาจะมารบกวนนายน้อยกับคุณหนูเซียวเลย!  


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าอาห้าอย่างเฉยชาและยิ้มอย่างร้ายกาจ “มาคนเดียวหรือ อาหกไม่มีเวลามาด้วยเลยหรือไง” 


 


 


อาห้าเกือบร้องไห้ นายน้อยแสดงให้เห็นถึงความแค้นเคืองอย่างมากที่มีต่อเขา เขาเพิ่งเคยพูดถึงคุณหนูเซียวเพื่อปกป้องเธอคราวที่แล้วแค่ครั้งเดียว และนายน้อยก็เกลียดเขาเพราะเรื่องนั้น นายน้อยหึงหรือ ให้ตายเถอะ คุณหนูเซียวสวยงามราวกับนางฟ้า เขารู้ว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเธอ ดังนั้นเขาจะไม่เสียเวลาจีบเธอหรอก 


 


 


“เอ้อ… นายน้อยครับ อาหกถูกคุณเซียวจิ่งเรียกตัวไปทำงานที่บริษัทครับ นายน้อยจะไม่…” น้ำเสียงอาห้าแผ่วต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อมาถึงคำพูดสุดท้าย 


 


 


เมื่อถังซีได้ยินคำพูดของอาห้า เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ได้เจอหน้าเซียวจิ่งมาหลายวันแล้ว เธอเหลือบมองเฉียวเหลียงทันทีและถามว่า “มีอะไรผิดปกติที่บริษัทของคุณเหรอ” 


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าอาห้าแล้วส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร แค่มีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย พี่ชายคุณสามารถจัดการได้” 


 


 


อาห้าเม้มริมฝีปากและบ่นในใจ ‘นายน้อยโกหก’ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นดังมาจากประตู “ไอ้บ้าเอ๊ย! ใครบอกว่าฉันสามารถจัดการได้ ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่นายมาสวีทหวานกับน้องสาวฉันอยู่ที่นี่! ทั้งสองคนเลย เคยใส่ใจความรู้สึกของฉันบ้างไหม” 


 


 


ถังซีมองหน้าเซียวจิ่งซึ่งหนวดเคราเริ่มงอกออกมาแล้วรีบยกมือขึ้น “พี่จิ่ง ฉันสาบาน ฉันขอให้เขากลับไปแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดนะ ฉันยังเป็นน้องสาวที่ดีของพี่!” 


 


 


เซียวจิ่งจ้องหน้าเธอ “เงียบไปเลย พี่ไม่ได้ยินเลยว่าเธอพูดอะไรเข้าข้างพี่เมื่อกี้นี้” 


 


 


ถังซียักไหล่ “ฉันกำลังจะพูดพอดี” จากนั้นเธอก็หัวเราะเบาๆ กล่าวกับเซียวจิ่ง “แต่นี่พี่จิ่ง พี่ดูเข้มขึ้นมากเลยเวลามีเครา ตอนนี้พี่ดูหล่อมาก!” 


 


 


เมื่อถูกคำพูดของถังซีเบี่ยงเบนความสนใจ เซียวจิ่งก็ลูบหนวดเคราที่เพิ่งขึ้นที่คางแล้วเลิกคิ้วให้ถังซี “ใช่! พี่ดูเข้มขึ้นมากใช่ไหม พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พี่ว่าพี่ควรไว้หนวดนะ” 


 


 


หางตาข้างหนึ่งของถังซีหรี่ลง เธอหัวเราะ “พี่จิ่ง จริงๆ แล้วพี่ดูหล่อขึ้นนะ เวลาที่พี่มีกล้ามเล็กๆ” 


 


 


เซียวจิ่งจ้องมองถังซีกับเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงนั่งอยู่ข้างๆ เธอ ไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง หน้านิ่วคิ้วขมวดจนสีหน้าบูดบึ้ง “อาห้า เมื่อกี้นายบอกว่ามีอะไรต้องรายงานฉันไม่ใช่หรือ” 


 


 


“ใช่ครับ นายน้อย เราพบว่าเอ็มไพร์กรุปได้ระงับการเพิ่มทุนทั้งหมดในฉินกรุป นายน้อยคิดว่าท่านประธานถังกำลังจะทำอะไรบางอย่างหรือเปล่าครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงโบกมือให้อาห้าออกไป อาห้าออกมาจากห้องคนไข้ด้วยสีหน้างุนงง โดยไม่ได้รับคำตอบจากเฉียวเหลียง… เกิดอะไรขึ้น นี่ก็หมายความว่านายน้อยยังคงหลีกเลี่ยงการพูดถึงคุณถังต่อหน้าคุณหนูเซียวใช่ไหม เขากลัวว่าคุณหนูเซียวจะหึงหรือ 


 


 


เมื่อรู้สึกว่าเขาได้พบความจริงแล้ว อาห้าก็เบิกตาโตแล้วส่ายศีรษะ เขาเดินออกไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เป็นอย่างที่เขาคิด นายน้อยจะไม่สนใจความรู้สึกของคุณหนูเซียวได้อย่างไร ดูสิ เขายังไม่ได้เอ่ยถึงคุณถังเลยสักนิด แค่พูดถึงคุณปู่ถังและเอ็มไพร์กรุป นายน้อยก็รีบไล่เขาออกมาแล้ว นายน้อยแค่ไม่ยอมรับความรู้สึกที่มีต่อคุณหนูเซียว! 


 


 


ในห้องคนไข้ ถังซีมองเฉียวเหลียงและถามว่า “คุณยังสนใจเอ็มไพร์กรุปอยู่หรือ” 


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าถังซี “ในฐานะประธานเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ผมไม่ควรสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทอื่นๆ หรือ” 


 


 


“ฉินกรุปหรือ” เซียวจิ่งขมวดคิ้วมองเฉียวเหลียง “ฉินซินหยิ่งที่อยู่แผนกออกแบบเป็นลูกสาวฉินกรุปหรือเปล่า” 


 


 


ถังซีเลิกคิ้วมองเซียวจิ่ง “พี่จิ่ง พี่เจอเธอเหรอ” 


 


 


เซียวจิ่งเม้มริมฝีปาก แล้วเดินไปเปิดประตูบอกอาห้าว่าอย่าให้ใครเข้ามาใกล้หน้าห้อง จากนั้นก็ปิดประตู แล้วถามถังซีอย่างจริงจัง “น้องกับผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง” 


 


 


ถังซีเม้มริมฝีปากแล้วเล่าให้เขาฟังสั้นๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินซินหยิ่งกับเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เธอเห็นในความฝัน เซียวจิ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า “นั่นคือสาเหตุที่พี่มาที่นี่” 


 


 


“พี่รู้เหรอว่าเธอขโมยภาพสเก็ตช์งานออกแบบของฉัน” ถังซีมองหน้าเซียวจิ่งด้วยความประหลาดใจ เป็นไปไม่ได้ ฉินซินหยิ่งระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เธอจะให้เพื่อนร่วมงานรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วมองเซียวจิ่ง ซึ่งยกเก้าอี้มานั่งแล้วกล่าวว่า “พี่รู้โดยบังเอิญ” จากนั้นเขาก็หยิบแฟลชไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและส่งให้ถังซี 


 


 


“วันนั้นเธอจะรีบไปหาเฉียวเหลียง แล้วพี่ก็จะไปที่แผนกเลขานุการ เธอชนพี่อย่างแรง และแฟลชไดรฟ์นี้หล่นลงมา วันนี้พี่นึกอะไรขึ้นมาไม่รู้เปิดแฟลชไดรฟ์นี้ดู แล้วก็เห็นภาพสเก็ตช์งานออกแบบทั้งหมดที่มีลายน้ำเป็นชื่อ ‘ถังซี’ พี่เลยสงสัยว่าภาพสเก็ตช์พวกนี้น่าจะเป็นของน้อง…” 


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ถังซีก็ยิ้มเยาะ “ฉันคิดว่าเธอจะรอบคอบกว่านี้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่ได้ลบลายน้ำบนภาพสเก็ตช์” ถังซีหยิบแฟลชไดรฟ์มาดูแล้วหัวเราะ “ทีแรกฉันคิดว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปีในการจัดการเธอ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าโอกาสจะมาถึงเร็วกว่านั้น ฉินซินหยิ่งต้องเดือดร้อนใจอย่างมากแน่ ที่ไม่มีภาพสเก็ตช์พวกนี้” 


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้า “พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ปารีสแฟชั่นวีคส่งจดหมายเชิญมาที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป และเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปของเรา จะไปแสดงผลงานในงานแฟชั่นฤดูหนาวของปารีสแฟชั่นวีคเดือนหน้า เธอในฐานะนักออกแบบพิเศษของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป จะต้องออกแบบเสื้อผ้าหลายเซ็ต ดังนั้นถ้าเธอไม่ได้มีความสามารถในการออกแบบ พี่คิดว่าเธอจะต้องรีบหาภาพสเก็ตช์งานออกแบบมาจากที่ไหนให้ได้” 


 


 


ถังซีเลิกคิ้วและเย้ยหยัน “จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะได้ดูละครสนุกๆ แล้วสิ” 


 


 


เฉียวเหลียงและเซียวจิ่งมองหน้าถังซีพร้อมกันและถามว่า “ละครสนุกๆ อะไร” 


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว “แน่นอน ละครสนุกๆ ที่ฉินซินหยิ่ง นักออกแบบพิเศษ ไม่มีความสามารถแม้แต่จะสเก็ตช์ภาพงานออกแบบไงล่ะ”  

 

 


ตอนที่ 208 ใจเย็นๆ

 

ถังซีชูแฟลชไดรฟ์ขึ้นพร้อมกับยิ้ม “เท่าที่ฉันรู้จักฉินซินหยิ่ง เธอจะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจในการไขว่คว้าหาชื่อเสียง และไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา เพียงเพราะทำภาพสเก็ตช์งานออกแบบของฉันหายไป เธอจะพยายามจนถึงที่สุดที่จะหาภาพสเก็ตช์งานออกแบบมาเพื่อให้เธอชนะผู้อื่น เพราะฉะนั้นฉันจึงวางแผน…” 


 


 


เซียวจิ่งมองหน้าถังซีและขมวดคิ้ว “เธอจะทำยังไง” 


 


 


ถังซียิ้ม แบมือออก มองดูแฟลชไดรฟ์ในมือแล้วกล่าวเน้นทีละคำ “เพราะฉะนั้นฉันจึงวางแผนขายภาพสเก็ตช์งานออกแบบให้เธอ” 


 


 


เฉียวเหลียงจ้องมองถังซีด้วยความตกใจ เซียวจิ่งตะโกนว่า “เธอจะช่วยผู้หญิงคนนั้นเหรอ!” 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ถังซียิ้มเยือกเย็น “ฉันแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของเธอว่าเป็นอย่างไร เมื่อคนที่เธอดูถูก ตบหน้าเธอด้วยอาชีพที่เธอภูมิใจนักหนา!” 


 


 


“และ…” ถังซีหันไปด้านข้างมองเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “ช่วยจดทะเบียนเปิดบริษัทให้ฉันที ค่าถ่ายโฆษณาโอนมาเข้าบัญชีฉันแล้ว ฉันจะใช้เงินสามล้านหยวนเป็นทุนเริ่มต้นธุรกิจ” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว มองถังซีด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “คุณไม่เข้าร่วมกับบริษัทผมเหรอ” 


 


 


ถังซีส่ายศีรษะ “ค่าจ้างฉันแพง และฉันเป็นคนพิถีพิถันมาก ไม่อยากทำงานร่วมกับใครหลายๆ คนที่จะมาลดมาตรฐานฉัน” 


 


 


เฉียวเหลียงส่ายศีรษะ หัวเราะและลูบผมถังซี “ผมเป็นหนึ่งใน ‘หลายๆ คน’ นั้นหรือเปล่า” 


 


 


ถังซีไม่ปฏิเสธ เธอยักไหล่แล้วมองเซียวจิ่งซึ่งกำลังจ้องมองเธอ และรีบปลอบใจเขา “พี่จิ่ง อย่าโกรธเลยน่า ฉันไม่ได้หมายถึงพี่ พี่กับเฉียวเหลียงเป็นเจ้านายคนพวกนั้น ไม่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาอย่างแน่นอน อย่าเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดผิดไป” 


 


 


ใบหน้าเฉียวเหลียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา และส่งสายตาดุดันให้เซียวจิ่ง เซียวจิ่งยักไหล่ หัวเราะแล้วตะโกนว่าถังซีคือ ‘น้องสาวสุดที่รัก’ และถามถังซีอย่างจริงจังว่า “โหรวโหรว เธอจะตั้งชื่อบริษัทว่าอะไร” แล้วหัวเราะอีก “ชื่อบริษัทน้องสาวพี่ต้องเป็นที่ประทับใจสุดๆ!” 


 


 


ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ค่ะ ต้องน่าประทับใจมากๆ ฉันคิดอยู่นาน และตัดสินใจว่าจะใช้ชื่อ ‘เดอะควีน’ ” 


 


 


เฉียวเหลียงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม และลูบผมถังซีเมื่อได้ยินชื่อบริษัท ถังซียิ้มให้เขาแล้วหันไปมองเซียวจิ่ง “พี่คิดว่าเป็นยังไงคะ พี่จิ่ง ไม่โดนใจเลยเหรอ” 


 


 


“โดนสิ ฟังดูทรงพลังมาก!” เซียวจิ่งพยักหน้า “น่าประทับใจสุดๆ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่จะก่อตั้งบริษัทออกแบบแฟชั่น เธอต้องเตรียมตัวให้พร้อม” 


 


 


ถังซียิ้ม “ฉันรู้ค่ะว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นฉันจะพยายามทำสุดความสามารถ” เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วยิ้ม “ตอนอยู่เมืองหลวงฉันรู้จักดีไซเนอร์หลายคนที่มีความสามารถในการออกแบบมาก แต่บริษัทออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงไม่มีโอกาสเจอพวกเขา ฉันจะให้ข้อมูลพวกเขา พี่ช่วยติดต่อให้ฉันได้ไหม” 


 


 


จากนั้นเธอก็มองหน้าเซียวจิ่ง “และฉันจะไม่ออกแบบแค่เสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว เดอะควีนต้องสร้างราชินี ดังนั้นเครื่องแต่งกายจากการออกแบบของเดอะควีน ต้องมีตั้งแต่หัวจรดเท้า เราจะออกแบบตั้งแต่เครื่องแต่งกายบนศีรษะจนถึงรองเท้า เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่แค่บริษัทออกแบบเสื้อผ้า” 


 


 


หางตาเซียวจิ่งหรี่ลง “น้องรัก ความคิดเธอช่างมหัศจรรย์ แต่ยากมากที่จะทำให้สำเร็จ เธอมีพลังมากพอที่จะทำได้ในตอนนี้หรือ แล้วอีกอย่าง… สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบริษัทที่หรูหราคือการเริ่มต้นก้าวแรก เธอจะทำยังไง” 


 


 


ถังซียิ้มด้วยรอยยิ้มเร้นลับ เธอหันไปมองเซียวจิ่งทางด้านข้างแล้วกล่าวว่า “พี่จิ่งรอดูก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” 


 


 


จากนั้นถังซีก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเธอยิ่งดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึง “บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่จะไม่สำเร็จด้วยมือฉัน นอกจากสิ่งที่ฉันไม่อยากทำเท่านั้นแหละ” 


 


 


เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มองลึกลงไปในตาถังซีด้วยรอยยิ้มจางๆ “อย่าทำงานหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นผมจะต้องเศร้า” เขากล่าว 


 


 


ถังซีตัวสั่นขึ้นมา มองหน้าเฉียวเหลียงด้วยความหวาดหวั่น และเรื่องที่เฉียวอวี่ซินพูดกับเธอในวันนั้นก็ผุดขึ้นมาในใจทันที เธอหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “แน่นอนค่ะ ฉันจะไม่ทำงานหนักเกินไป เพราะฉันจะไม่ยอมให้คุณเศร้า” 


 


 


เฉียวเหลียงอยากคุยกับถังซีมากกว่านี้ อยากถามว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา อยากบอกเธอว่าเขาคิดถึงเธอมากแค่ไหน แต่เซียวจิ่ง บุคคลที่สามผู้น่ารำคาญไม่ยอมออกไปจากห้องคนไข้เสียที บางทีเซียวจิ่งอาจต้องการแก้แค้น หรือเพียงแค่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเธอกับเขา โดยไม่ยอมกลับไป เฉียวเหลียงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับก่อน แล้วเซียวจิ่งก็ตามเขาออกมา 


 


 


ถังซีอดหัวเราะไม่ได้อยู่พักใหญ่ ขณะมองดูชายหนุ่มทั้งสองกลับไป คนหนึ่งดูหงุดหงิดและโกรธแค้น อีกคนยิ้มอย่างมีความสุข เพราะในที่สุดเขาก็ได้แก้แค้น 


 


 


ขณะเดินออกจากโรงพยาบาล เฉียวเหลียงเหลือบสายตามองเซียวจิ่งอย่างเย็นชา เซียวจิ่งยักไหล่อย่างไม่กลัวเกรงและมองหน้าเฉียวเหลียง “พ่อนายมีปฏิกิริยานะ เขาติดต่อผู้ถือหุ้นเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปทุกวัน ฉันกลัวว่าสักวันรองประธานจะทรยศพวกเรา ที่สำคัญพ่อนายเสนอเงื่อนไขที่ดีมาก ถ้าฉันไม่ได้เติบโตมากับนาย ฉันคงไปอยู่ฝ่ายพ่อนายแล้ว” 


 


 


เฉียวเหลียงมองดูเซียวจิ่งอย่างไม่แยแส อาห้ารีบเปิดประตูให้พวกเขา เซียวจิ่งเดินนำไปขึ้นรถและเฉียวเหลียงตามมา “แล้วไงอีก” 


 


 


“ถึงแม้จะเป็นการดีที่ตอนนี้พนักงานของเราเข้ามายึดแผนกเลขานุการไว้แล้ว แต่จะเป็นที่จับตาเกินไป นายคิดว่าจำเป็นไหมที่จะต้องส่งพวกเขาไปอยู่แผนกอื่นๆ บ้าง” 


 


 


“ไม่จำเป็น” เฉียวเหลียงยิ้มเยือกเย็น “ในเมื่อคนไม่รู้จักพอมันอยากติดสินบน ก็ปล่อยให้พวกมันคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมา ที่สำคัญคือช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปต้องการเงิน” 


 


 


“แล้วคนในตระกูลเฉียวล่ะ” เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง “กำจัดพวกเขาทุกคนเหรอ” 


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มเยือกเย็น หันไปมองเซียวจิ่งที่นั่งข้างๆ “ฉันใช้เวลาไปมากมายกับเกมนี้ ไม่ใช่เพื่อให้คนพวกนั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เพื่อให้พวกเขารู้ว่าจะเป็นยังไงเมื่อทำให้ฉันขุ่นเคือง” 


 


 


เซียวจิ่งยักไหล่และพยักหน้า “อีกอย่างหนึ่ง ดูเหมือนพ่อนายต้องการให้ลู่หงคุนเข้ามาเป็นผู้จัดการแผนกหนึ่งในเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เมื่อเร็วๆ นี้เขาพยายามเกลี้ยกล่อมฝ่ายบุคคล แต่สามีวิเวียนไม่เห็นด้วย” 


 


 


เมื่อเฉียวเหลียงได้ยินคำพูดของเซียวจิ่ง ประกายเย็นยะเยือกก็วาววับในดวงตา เขากล่าวว่า “เขาคิดจริงๆ หรือว่า เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเป็นบริษัทของตัวเอง หลายปีมานี้ดูเหมือนเขาจะไปไกลเกินไป” 


 


 


ถึงแม้เฉียวเหลียงจะไม่แสดงออกทางสีหน้า และแม้จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงเมื่อกล่าวประโยคนี้ แต่เซียวจิ่งก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขากลายเป็นน้ำแข็งไปในทันที 


 


 


ลู่หงคุนถือกำเนิดจากลู่กวงสยงกับชู้… หรือจะเรียกว่าภรรยาคนปัจจุบันของเขาก็ได้ ผู้ชายคนนี้จึงเป็นน้องชายต่างมารดาของเฉียวเหลียง 


 


 


เซียวจิ่งเลิกคิ้วมองเฉียวเหลียง และอดพูดไม่ได้ว่า “ใจเย็นๆ อย่าทำให้เขาสาหัสถึงขั้นพิการล่ะ ไม่อย่างนั้นนายจะมีความผิดทางอาญา” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม