จังหวะรัก นักบัลเลต์ 20.1-30.2

ตอนที่ 20-1

 

เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊บเดียวก็ย่างเข้าสู่ช่วงปิดเทอมฤดูหนาว และหมู่นี้ฉันก็กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะได้เป็นพาร์ทเนอร์ที่คู่ควรกับรุ่นพี่ และเพื่อจะได้เป็นนักเต้นผู้สง่าผ่าเผย เพราะอย่างนั้นทุกๆ วันจึงมีความหมายมากสำหรับฉัน 


 


 


ฉันประคองแก้วมัคที่ใส่นมซึ่งเริ่มจะเย็นลงหน่อยๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะเป่าไอร้อนจากถ้วย แล้วนั่งมองดูแสงสีส้มมันวาวของตะวันตกดินที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง สีส้มเข้มๆ นั่นเหมือนกับจะย้อมสีเล็บให้เปลี่ยนไปหากเอามือไปทาบไว้ 


 


 


เมื่อได้เห็นแสงตะวันตกดินสีส้มที่ลอดเข้ามาทางช่องว่างเล็กๆ ระหว่างหน้าต่างกับขอบหน้าต่างเก่าๆ จู่ๆ มันก็ทำให้ฉันนึกถึงความทรงจำของฤดูร้อนในวันนั้นที่ฉันเป็นไข้ขึ้นมา เย็นของฤดูร้อนวันนั้นที่รุ่นพี่มาหาฉัน 


 


 


พอเปิดหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ให้อ้าออกเต็มที่ อากาศภายในห้องที่เคยอบอุ่น ก็ปะทะเข้ากับอากาศภายนอกอันเย็นยะเยือกของเดือนธันวาคม อากาศจึงสั่นไหวแปลกพิลึก 


 


 


ฉันกลัดคอเสื้อคาร์ดิแกนที่กำลังใส่อยู่ พร้อมกับตัวที่กำลังหนาวสั่นเล็กๆ ความหนาวเนี่ย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่เคยชินกับมันสักที 


 


 


สิ่งที่ฉันถูกใจที่สุดตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ก็คือจุดที่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของฤดูกาลจากอากาศได้อย่างง่ายดาย ฉันจำได้ว่าเคยอ่านมาจากที่ไหนสักที่ ว่าสิ่งที่ถูกฝังเอาไว้ในความทรงจำด้วยประสาทรับกลิ่น จะคงอยู่เป็นเวลานานโดยไม่จางหายไปไหน เรียกได้ว่ามันเป็นวีธีที่สามารถใช้จดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุด  


 


 


เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอดีตที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก แต่พอนึกถึงความทรงจำที่มีร่วมกันกับรุ่นพี่แล้ว กลิ่นของฤดูร้อนก็จะลอยมาเป็นอันดับแรก 


 


 


“บรื๋อ หนาวจัง” 


 


 


ฉันรีบปิดหน้าต่าง แล้วมานั่งลงที่โต๊ะอีกครั้ง บนโต๊ะหนังสือมีไดอารีที่ถูกเขียนเอาไว้วางกางอยู่ 


 


 


ฉันเอาผ้าห่มพาดที่หน้าตัก พลางหยิบดินสอขึ้นมาถือ ฉันมักจะกัดลงที่ปลายดินสอจนติดเป็นนิสัย ขณะที่บันทึกเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของวันนี้อย่างแน่นเอี้ยดลงไปเต็มไดอารี ว่าหลังจากตื่นแต่เช้าตรู่ก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย พอกินอาหารกลางวันกับคุณป้าที่หยุดงานหลังจากที่ไม่ได้หยุดมานาน ฉันก็ไปที่อคาเดมี่ และก็เป็นอีกวันธรรมดาวันหนึ่งที่ฉันกลับมาบ้านพร้อมกับรุ่นพี่ 


 


 


“มีความสุขจังเลย” 


 


 


พอเผลอพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันก็รู้สึกถึงมันขึ้นมาจริงๆ ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุขสุดๆ เลยละ 


 


 


“ว่าแต่ วันนี้มันวันที่สามสิบเอ็ดนี่นา” 


 


 


ที่ปลายสุดของหน้าจอหลักในโทรศัพท์มือถือ มีตัวหนังสือที่เขียนว่าวันที่ 31 ธันวาคมเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นเพราะทุกๆ วันผ่านไปเหมือนเดิม เลยเหมือนกับว่าวันสำคัญต่างๆ จะหายไปด้วย ไม่รู้สิ ฉันกลับไม่รู้สึกเลยว่าอาทิตย์ดวงใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาตรงหน้านี้จะเป็นของจริงน่ะ ขณะที่นั่งเท้าคางอย่างเหม่อลอย ฉันก็จ้องมองไปที่ตัวหนังสือที่เขียนว่าวันที่ 31 ธันวาคม 


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้นพร้อมกับข้อความใหม่ที่เด้งขึ้นมาบนรูปใบหน้าของฉันกับรุ่นพี่ ฉันที่กำลังจ้องมองไปที่หน้าจออย่างไม่สนใจอะไรกลับตกใจเสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันจนถึงกับสะดุ้ง แล้วจึงมองไปยังหน้าต่างข้อความ 


 


 


 


 


 


[เราไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นกันเถอะ] 


 


 


 


 


 


พริบตานั้น ฉันพยายามสงบจิตสงบใจที่เต้นตึกตักพลางลุกพรวดขึ้นจากที่ คนที่ส่งข้อความมาก็คือรุ่นพี่อีกงนั่นเอง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


สถานีรถไฟชองนยางนีที่ฉันเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่ก็ยังแน่นขนัดไปด้วยคลื่นมนุษย์จำนวนมาก ฉันถือตั๋วที่เขียนว่าสถานีจองดงจินเอาไว้ในมือ ขณะที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางฝูงชน พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุด 


 


 


หนาวเนอะ รุ่นพี่ถามขณะที่เอากระป๋องโกโก้ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อใส่มือฉันที่สวมถุงมืออยู่ คงเพราะเพิ่งเอาออกมาจากตู้ทำความร้อน กระป๋องโกโก้ถึงได้ยังอุ่นๆ เหมือนกับก้อนหินที่ถูกแสงแดดในฤดูร้อนแผดเผา 


 


 


“ผู้คนเยอะจริงๆ ด้วย คนอื่นๆ เองก็คงจะไปดูอาทิตย์ขึ้นเหมือนกันสินะ” 


 


 


“น่าจะอย่างนั้นนะคะ แต่ว่าทำไมถึงยังมีตั๋วเหลืออยู่กันนะ” 


 


 


“ใช่ที่ไหนล่ะ นี่น่ะ เป็นตั๋วที่จองเอาไว้ล่วงหน้าต่างหาก” 


 


 


“เอ๋?” 


 


 


ฉันจ้องมองไปที่รุ่นพี่อย่างตกใจ ท่าทางของฉันคงจะดูตลก รุ่นพี่จึงขำตัวงอ พร้อมกับเคาะเบาๆ ลงบนผมของฉันที่มัดขึ้นไปเป็นก้อนกลมๆ อยู่กลางหัว ก่อนจะพูดขึ้น 


 


 


“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีนะ แถมนี่ยังเป็นตั๋วสายจองดงจินด้วย คิดว่าพี่จะหามันมาได้ภายในวันนี้เลยงั้นเหรอ” 


 


 


“…ทำไมถึงไม่บอกล่วงหน้าก่อนละคะ ถ้าเกิดฉันไปไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไงละคะ” 


 


 


“ก็เพราะว่ามันน่าจะตื่นเต้นกว่าน่ะสิ ถ้าชวนออกมาอย่างกะทันหันน่ะ” 


 


 


พอฉันทำปากจู๋ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างเขินอาย รุ่นพี่ก็ตอบกลับมาหน้าตาย ท้ายที่สุด มันเลยทำให้ฉันตอบกลับไปว่า มันก็จริงเนอะ พลางหัวเราะในลำคอ 


 


 


ข้างในรถไฟที่มีผู้คนแน่นเอี้ยดเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คู่รัก ครอบครัว เพื่อน… แต่ละคนต่างก็คงจะกำลังขึ้นรถไฟเพื่อไปดูอาทิตย์ของวันใหม่พร้อมกับคนสำคัญสินะ และฉันเองก็เช่นกัน ความจริงที่ว่าในเวลานี้ คนที่นั่งอยู่เคียงข้างฉันก็คือรุ่นพี่อีกงนั้นทำให้หัวใจของฉันอิ่มเอิบขึ้นมาในทันที 


 


 


“คงจะเหนื่อยน่าดู นอนพักสักหน่อยเถอะ อีกตั้งห้าชั่วโมงแน่ะ” 


 


 


“แต่ว่าอีกแป๊บนึงก็จะวันที่หนึ่ง มกราคมแล้วนะคะ ก็ต้องอยู่สวัสดีปีใหม่รุ่นพี่ก่อนสิ” 


 


 


ทันทีที่ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นกว่าปกติจนแม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้ รุ่นพี่ก็หันมายิ้มให้กับฉัน พร้อมกับพูดว่า เอางั้นเหรอ รถไฟกำลังขับผ่านแสงไฟถนนสีส้มๆ ที่ส่องสว่างรางรถไฟอยู่ข้างนอกหน้าต่างไปเรื่อยๆ 


 


 


ฉันเอนหัวพิงลงไปบนหน้าต่างที่มีไอเย็นเกาะอยู่ ก่อนจะเป่าลมออกจากปาก รอยด่างสีขาวเกิดขึ้นเป็นวงกลมๆ ด้วยความสนุก ฉันจึงเป่าไอร้อนออกมาจากปากอีกครั้ง แต่จู่ๆ รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอนตัวมาทางฉัน 


 


 


“เอ่อ…” 


 


 


นิ้วมือของรุ่นพี่เคลื่อนผ่านรอยสีขาวนั่น พอรู้สึกตัวอีกทีก็มีชื่อลีอีกงและคิมฮวีกยอม ชื่อของพวกเราถูกเขียนอยู่บนหน้าต่าง เหมือนกับตอนนั้นที่พื้นห้องเรียน ตรงปลายสุดของสมุด และกลางอากาศที่เต็มไปด้วยแสงแดด ที่ฉันแอบเขียนมันขึ้นมา 


 


 


รุ่นพี่จุ๊บลงเบาๆ บนแก้มของฉัน ขณะที่ฉันกำลังนั่งกะพริบตาทั้งสองข้างอย่างเหม่อลอย หลังจากนั้นเขาจึงพึมพำออกมาว่า ดีจังเลย แล้วจึงเอนหัวซบลงตรงไหล่ของฉัน ฉันพยายามปิดปากที่เอาแต่จะกระตุกยิกๆ ไว้แน่น พลางจ้องไปที่ชื่อของฉันกับรุ่นพี่ที่ถูกเขียนอยู่บนหน้าต่าง 


 


 


ลี-อี-กง, คิม-ฮวี-กยอม 


 


 


ชื่อของพวกเราที่เขียนด้วยลายมือของรุ่นพี่ ไม่ใช่ลายมือของฉันมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก เสียงของรถไฟที่กำลังเคลื่อนตัว เสียงสั่นเบาๆ กลิ่นกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย และไออุ่นจากรุ่นพี่ที่ฉันคุ้นชินที่อยู่ด้านข้าง 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


รุ่นพี่ที่กำลังหลับตาพิงไหล่ของฉันอยู่ เรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ฉันหันหน้าไปมองรุ่นพี่โดยไม่พูดอะไร รุ่นพี่ยื่นมือถือที่กำอยู่ในมือมาไว้ตรงหน้าฉัน นาฬิกาที่อยู่ในหน้าจอมือถือกำลังบอกเวลา 00:00 น. ของวันที่ 1 มกราคมพอดิบพอดี 


 


 


“แฮปปี้นิวเยียร์” 


 


 


เสียงกระซิบเบาๆ ของรุ่นพี่ทำให้ใบหูของฉันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด ลมหายใจบางๆ ของรุ่นพี่ที่ทำให้ฉันรู้สึกวาบหวิวมาสัมผัสลงบนริมฝีปากฉัน ฉันยิ้มเล็กๆ พลางกระซิบกลับไปด้วยเสียงเบาๆ 


 


 


“แฮปปี้นิวเยียร์ค่ะ รุ่นพี่” 


 


 


แล้วริมฝีปากของรุ่นพี่ก็ค่อยๆ เคลื่อนลงมาสัมผัสบนริมฝีปากของฉัน พร้อมกับลมหายใจบางๆ และไออุ่นที่คุ้นเคย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ชายหาดในจองดงจินมีผู้คนมากมายมารวมตัวอยู่ก่อนแล้วเพื่อรอดูดวงอาทิตย์ขึ้น คงเป็นเพราะความร้อนจากผู้คน เลยทำให้ถึงลมทะเลที่รุนแรงพัดมาจนเสียดผิวหนัง แต่กลับไม่รู้สึกหนาวอย่างที่คิด  


 


 


เมื่อฉันเดินอยู่บนชายหาดที่ยังคงมืดอยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่ ความทรงจำเมื่อตอนที่ไปเดินดูทะเลยามค่ำคืนเมื่อครั้งออกทริปเลี้ยงฉลองกับรุ่นพี่ก็ผุดขึ้นมา 


 


 


ฉันจับมือของรุ่นพี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเอาไว้แน่น พลางสูดอากาศของทะเลที่เต็มไปด้วยความเค็มเข้าไปจนเต็มปอด คลื่นที่สาดเข้ามาพร้อมกับเสียงที่ดังซ่า แตกกระจายเป็นสีขาว เปียกชุ่มไปทั่วชายหาด แต่ละก้าวที่เท้าเหยียบลงไป เกิดเป็นเสียงเท้ากระทบกับเม็ดทราย 


 


 


“พี่ชอบทะเลในฤดูหนาวที่สุดเลยละ” 


 


 


“…ทำไมล่ะคะ” 


 


 


เสียงที่พึมพำออกมาเบาๆ ของรุ่นพี่ผสมเข้ากับเสียงคลื่น รุ่นพี่หยุดก้าวเท้า พลางมองไปที่เส้นขอบฟ้าที่มืดมิด ก่อนจะฉีกยิ้มพลางพูดต่อ 


 


 


“ก็มันดูทรงพลังดีน่ะสิ ทั้งดังกังวานและรุนแรง” 


 


 


เสียงหนักแน่นของรุ่นพี่ทะลุผ่านเสียงคลื่นทะเลเข้ามาในหูของฉันจนรู้สึกจั๊กจี้ ฉันจ้องมองดูใบหน้าด้านข้างอันเกลี้ยงเกลาของรุ่นพี่โดยไม่พูดอะไร เส้นผมของรุ่นพี่ที่ถูกลมแรงๆ พัดกำลังปลิวไสวเหมือนจะหลุดออกไป 


 


 


“คล้ายกันเลยค่ะ” 


 


 


“อะไรเหรอ” 


 


 


“รุ่นพี่กับทะเลฤดูหนาว” 


 


 


ฉันพึมพำออกมาเบาๆ พลางยิ้มร่า รุ่นพี่มองฉันนิ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเบนสายตาไปยังเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง 


 


 


“โอ๊ะ ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว” 


 


 


รุ่นพี่ที่จ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าอยู่สักพักใหญ่ๆ กุมมือของฉันเอาไว้แน่น พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ฉันจึงมองไปยังเส้นขอบฟ้าตามที่รุ่นพี่บอก ผู้คนมากมายที่กระจัดกระจายกันอยู่ที่ชายหาดต่างตะโกนโห่ร้อง พลางปรบมือจนเสียงดังไปทั่วเหมือนกับเสียงไซเรน 


 


 


“ว้าว…” 


 


 


แสงสีส้มที่ดูมันวาวแพร่กระจายไปบนเส้นขอบฟ้า แสงแดดสีส้มวาดเส้นบางๆ ย้อมท้องฟ้าในยามเช้ามืดไปทีละนิด  


 


 


วิวทิวทัศน์อันงดงามที่ฉันเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรกทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนพูดไม่ออก แสงสีเข้มๆ นั่นที่ตัดแบ่งระหว่างความมืดและแสงสว่างทำให้อารมณ์ต่างๆ ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาสั่นคลอนหัวใจของฉันไม่หยุด 


 


 


“สวยจัง” 


 


 


เสียงพึมพำเบาๆ ของรุ่นพี่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งทะเลก็กระทบกับแสงที่ระยิบระยับ สร้างเป็นคลื่นสีขาวๆ ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าอาทิตย์ขึ้นเนี่ยมันงดงามแบบนี้นี่เอง 


 


 


ฉันใช้ฝ่ามือนวดลงบนปลายจมูกที่ตีบตัน พลางมองดูภาพของวิวทิวทัศน์นั้นอยู่สักพักโดยไม่พูดอะไร ชายหาดจองดงจินที่สว่างขึ้นโดยสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี และเสียงเอะอะโวยวายของผู้คนที่กำลังตื่นเต้น 


 


 


พวกเราต่างจับมือกันเอาไว้แน่น ขณะที่เดินเลียบชายหาดไปสักพัก บางทีวิวและความรู้สึกต่างๆ ในวันนี้อาจจะถูกแกะสลักเข้าไปในจิตใจของฉัน จนกลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนได้ไปตลอดชีวิต ฉันควรจะขอบคุณรุ่นพี่อีกงยังไงดีนะ ที่ได้มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าเช่นนี้เป็นของขวัญให้แก่ฉัน 


 


 


“รุ่นพี่ ขอบคุณนะคะที่พามา” 

 

 

 


ตอนที่ 20-2

 

ฉันยังคงมองดูเส้นขอบฟ้าที่ระยิบระยับสวยงาม ขณะที่พูดขึ้นมาเบาๆ อย่างจริงใจ และพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างเต็มที่ ส่วนรุ่นพี่ก็ส่งยิ้มหวานให้กับฉัน 


 


 


“พี่เองก็ขอบใจเหมือนกัน ที่เธอยอมมาด้วยกันน่ะ” 


 


 


เพลงรักที่มีท่วงทำนองอันแสนหวานซึ่งร้านค้าแถวๆ คงนั้นจะเปิดทิ้งเอาไว้ ผสมเข้ากับน้ำเสียงของรุ่นพี่ แล้วจึงส่งผ่านมาทางลมทะเล 


 


 


น้ำเสียงอันอ่อนโยนของรุ่นพี่ ดนตรีที่ไพเราะ อาทิตย์แรกของปี ทะเลที่กระทบกับแสงแดดจนเป็นประกาย กลิ่นอายสดชื่นของทะเล อากาศของฤดูหนาวที่แห้งกรอบ ทรายบนชายหาดที่นุ่มละมุน และไออุ่นจากมือที่แนบชิดกัน พร้อมกับหัวใจที่อัดแน่นจนเอ่อล้น ทั้งหมดนี้ได้กลายมาเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ ประกอบกันเป็นภาพแห่งความทรงจำ 


 


 


นั่นน่ะ บางทีที่ความทรงจำนั้นเกิดขึ้นได้อาจจะเป็นเพราะ ‘วันนี้’ ก็ได้ ถึงจะมาที่นี่อีกครั้ง แต่บางทีมันอาจจะไม่รู้สึกเหมือนกับตอนนี้แล้วก็ได้ เพราะว่าเวลานั้นเดินไปเรื่อยๆ และความทรงจำก็คือการที่เรากลับมาหวนระลึกถึงเวลาที่ผ่านไปแล้วอย่างไรละ 


 


 


แต่ว่า… 


 


 


ฉันยักไหล่ขึ้นลง พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ว่า…ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหวังอย่างแรงกล้า ต่อให้เป็นปีหน้าหรือปีถัดๆ ไป หรือจะเป็นอนาคตที่ไกลยิ่งกว่านั้น ก็ขอให้ฉันได้กลับมาด้วยกันกับรุ่นพี่ ณ ที่แห่งนี้ ได้ชื่นชมกับดวงอาทิตย์ขึ้นที่งดงามแบบนี้อีกสักครั้ง 


 


 


“โอ๊ะ กลิ่นชาขิงนี่นา” 


 


 


รุ่นพี่ที่เอาแต่มองไปที่ทะเลอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็ทำจมูกฟุดฟิด แล้วพึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข จะว่าไป ก็เหมือนจะได้กลิ่น ทั้งชาขิง และก็แน่นอนว่ารวมไปถึงกลิ่นโอเด้งและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย แถมยังได้กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางๆ ลอยโชยมาอีกต่างหาก 


 


 


“ดื่มอะไรหน่อยไหม หนาวใช่ไหมล่ะ” 


 


 


รุ่นพี่พันผ้าพันคอของฉันให้แน่นยิ่งขึ้น พลางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สัมผัสจากมือที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉันเม้มปาก พลางกลั้นหายใจดัง ฮึบ ออกมา ท่าทางที่ยังดูประหม่าจนถึงตอนนี้ของฉันคงดูน่าขำเสียจน เกิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นบนใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังจ้องมองมา 


 


 


“ชาขิง โอเคไหม” 


 


 


“…ค่ะ” 


 


 


ฉันพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว รุ่นพี่คลายผ้าพันคอที่พันอยู่ที่คอตัวเอง แล้วเอามาพันทับผ้าพันคอของฉัน ต่อจากนั้นเขาก็วิ่งไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ  


 


 


เมื่อมองภาพแผ่นหลังที่ดูแข็งแรงนั่น มันก็ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รุ่นพี่มักจะเอาใจใส่ฉันในเรื่องที่ฉันคาดไม่ถึงเสมอ 


 


 


ฉันเคยคิดว่า รุ่นพี่น่ะ อ่อนโยนมากเกินจำเป็น สัมผัสตัวฉันเกินจำเป็น แล้วก็จับมือฉันเกินจำเป็น เป็นเพราะหัวใจที่สิ้นหวังเลยทำให้ฉันกระวนกระวายใจและไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ฉันจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับความอ่อนโยนนั้นของรุ่นพี่ที่คอยแต่จะทำให้ฉันหวั่นไหว 


 


 


แต่ว่าตอนนี้เหมือนฉันจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว ว่าทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่การแสดงออกของรุ่นพี่เท่านั้น เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่สมกับเป็นรุ่นพี่นี้ มันก็ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกขอบคุณและตื้นตันจนบอกไม่ถูก อีกทั้งรุ่นพี่ที่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็ช่างน่ารักซะจนทำให้หัวใจของฉันพองโต 


 


 


ใบหน้าของรุ่นพี่ขณะที่กำลังถือแก้วกระดาษที่มีไออุ่นๆ ลอยออกมาด้วยมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง ท่าทางที่เดินมาหาฉันด้วยย่างก้าวที่ระมัดระวังดูช่างน่าหวาดเสียวจริงๆ ฉันจึงรีบวิ่งไปทางรุ่นพี่ด้วยความรวดเร็ว 


 


 


“กลิ่นหอมจังเนอะ” 


 


 


น้ำเสียงที่พูดขึ้นลอยๆ ของรุ่นพี่ขณะกำลังยื่นถ้วยกระดาษที่เต็มไปด้วยชาขิงใส่มือฉันดูตื่นเต้นเล็กๆ ฉันหัวเราะคิกคัก พลางพยักหน้า ก่อนจะเป่าไออุ่นๆ นั่น พร้อมกับจิบชาขิงในแก้วไปหนึ่งอึก 


 


 


แต่วินาทีที่ของเหลวอุ่นๆ ไหลผ่านลำคอลงไป ตัวฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแป๊บนึง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เพิ่งจะทาบปากลงไปบนถ้วยกระดาษ แล้วดื่มชาเข้าไปดูจะเหยเกอย่างแปลกๆ 


 


 


ทันทีที่พวกเราทั้งสองสบตากัน พวกเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นโดยไม่ต้องปรึกษากัน 


 


 


“ไม่อร่อยเลยแฮะ!” 


 


 


“จริงด้วยค่ะ…” 


 


 


พวกเรายังคงกำแก้วกระดาษอุ่นๆ เอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วเริ่มหัวเราะอย่างสนุกสนานจนตัวงอ ชาขิงที่จืดจนไม่มีรสชาติ ซึ่งแตกต่างจากกลิ่นที่หอมหวนกำลังกระเพื่อมไปมาอยู่ในมือ  


 


 


 พวกเราหัวเราะกันอยู่แบบนั้นสักพักจนกระทั่งต้องเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา พร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งว่างข้างหน้าร้านกาแฟ 


 


 


“เป็นตอนจบที่หักมุมจริงๆ” 


 


 


“คนคงเยอะ เขาก็เลยทำเอาไว้เผื่อๆ น่ะค่ะ” 


 


 


“นั่นสินะ แต่มันน่าเสียดายน่ะสิ จะทำไงกับเจ้านี่ดี” 


 


 


รุ่นพี่จ้องมองพลางหัวเราะใส่เจ้าชาขิงที่มีอยู่เต็มแก้วกระดาษ อ้า แล้วจู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาเบาๆ พลางหันหน้ามามองฉัน 


 


 


“พวกเรามาเป่ายิ้งฉุบกัน คนแพ้จะต้องดื่มเข้าไปทีละอึก ดีไหม” 


 


 


“จะเอางั้นเหรอคะ” 


 


 


ฉันพยักหน้าอย่างมีความสุขพลางนั่งหันหน้าเข้าหารุ่นพี่ รุ่นพี่ทำหน้าค่อนข้างจริงจัง พร้อมกับยกกำปั้นขึ้นมา เมื่อพูดคำว่าเป่า ยิ้ง ฉุบ! เขาก็ยื่นกำปั้นออกมาทั้งๆ อย่างนั้น 


 


 


“โอ๊ะ ดูเหมือนฉันจะชนะนะคะเนี่ย” 


 


 


หลังจากที่ฉันส่ายมือที่กางออกตรงหน้าของรุ่นพี่แล้ว ฉันก็แกล้งรุ่นพี่ด้วยการดันมือของเขาที่กำลังถือแก้วกระดาษอยู่ไปทางปาก ต่อจากนั้น สีหน้าของรุ่นพี่ก็ดูตึงเครียดขึ้นมาในทันที  


 


 


ท่าทางแบบนั้นมันดูน่าตลกจนฉันหัวเราะ หึหึ ในลำคอ รุ่นพี่จึงทำปากจู๋พลางดื่มชาขิงเข้าไปอึกนึง ก่อนจะกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“เอื้อก…” 


 


 


รุ่นพี่ที่หน้าผากยับยู่ยี่พร้อมกับขนลุกไปหมดทั้งตัว เร่งฉันต่อด้วยคำว่า มา อีกรอบ 


 


 


“เป่า ยิ้ง ฉุบ!” 


 


 


รุ่นพี่ออกค้อนอีกครั้ง ในครั้งนี้ฉันที่เลือกออกกรรไกรจึงได้แต่หลับตาปี๋ พร้อมกับกระดกชาขิงเข้าปาก หลังจากนั้นพวกเราก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และพลัดกันดื่มชาขิงไปมาอยู่สักพักใหญ่ๆ 


 


 


แต่เมื่อถึงตอนที่รสชาติอันน่ากลัวของชาขิงทำให้ปลายลิ้นเริ่มไม่รู้รส ฉันก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่เอาแต่ออกค้อนเหมือนเดิม 


 


 


“รุ่นพี่คะ รุ่นพี่นี่เล่นเป่ายิ้งฉุบไม่เก่งจริงๆ เลยนะคะ รุ่นพี่เอาแต่ออกค้อนอย่างเดียวเลยรู้ตัวหรือเปล่าคะเนี่ย” 


 


 


“อ๊ะ งั้นเหรอ” 


 


 


“อะไรกันคะ จะบอกว่าเป็นผู้ชายก็ต้องออกค้อนสิอย่างนั้นเหรอคะ” 


 


 


คำพูดหยอกล้อของฉันทำให้รุ่นพี่แสดงสีหน้าประหลาดออกมา พลางจ้องหน้าฉันเขม็ง 


 


 


“งั้นครั้งหน้าพี่จะออกกระดาษแล้วกัน” 


 


 


“เอ่อ นี่เป็นจิตวิทยาอย่างนึงเหรอคะ” 


 


 


“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ” 


 


 


คำพูดลอยๆ ของรุ่นพี่ทำให้ฉันหรี่ตาพลางจ้องหน้ารุ่นพี่ด้วยรังสีอำมหิต ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงหัวเราะเสียงดังออกมา พร้อมกับเอามือข้างที่กำอยู่มาดันหน้าผากฉันเบาๆ 


 


 


“ตาสุดท้ายละนะ พี่บอกไปแล้วด้วยว่าพี่จะออกกระดาษ” 


 


 


“…เอาจริงเหรอคะ” 


 


 


“อือ จริงสิ” 


 


 


รุ่นพี่ยกแขนขึ้นไปวางบนพนักพิงม้านั่งในท่าเท้าคางมองมาที่ฉัน พร้อมกับส่ายกำปั้นไปมา 


 


 


“มา จะเอาละนะ เป่า ยิ้ง ฉุบ!” 


 


 


ฉันรีบออกกระดาษไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะฉันเคยได้ยินเซจินพูดว่า ‘ควรจะออกที่เหมือนกับคนที่บอกเอาไว้ว่าตัวเองจะออกอะไร’ แต่ว่าวินาทีที่ฉันเห็นมือที่รุ่นพี่ยื่นออกมา ฉันก็กลับรู้สึกตกใจ จนทำได้เพียงแต่ยืนนิ่ง 


 


 


“ยัยติ๊งต๊อง ก็บอกแล้วไงว่าพี่จะออกกระดาษน่ะ” 


 


 


รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเขาก็ออกกระดาษอย่างที่พูดจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันตกใจไม่ใช่กลอุบายอะไรนั่น แต่เป็นแหวนที่วางอยู่บนฝ่ามือของรุ่นพี่ที่แบออกมาต่างหาก 


 


 


“…นี่อะไรเหรอคะ” 


 


 


หลังจากที่ฉันอึกอักอยู่สักพัก ฉันก็จ้องไปที่ใบหน้าของรุ่นพี่ รุ่นพี่ลดมือที่เท้าคางลง แล้วเอื้อมมาจับมือข้างซ้ายของฉันที่กำลังนั่งตัวแข็งอย่างมึนงงอยู่ หลังจากที่เขาดึงมือฉันไป เขาก็สวมแหวนลงไปบนนิ้วกลางพลางกระซิบบอกว่า 


 


 


“ของขวัญ สีชมพูที่พี่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ไง” 


 


 


แหวนสีเงินที่ถูกสวมอยู่ที่นิ้ว ตรงกลางมีอัญมณีสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีชมพูอ่อนกำลังส่องแสงเป็นประกาย ฉันทำได้เพียงแต่อึ้งและมองดูเจ้าสิ่งนั้นอย่างนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร 


 


 


“เขาบอกกันว่าถ้าสวมแหวนที่มีอัญมณีประจำเดือนเกิดไว้ที่นิ้วกลาง จะได้สามีที่ดีแหละ” 


 


 


“…” 


 


 


“ของขวัญที่เธอได้กลายเป็นบัลเลริน่าสุดเท่ยังไงล่ะ” 


 


 


รุ่นพี่ที่ทำตัวไม่ถูกเอามือมาลูบเบาๆ ที่หัวของฉัน พลางฉีกยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งสดใสและอ่อนโยนตราตรึงลงมาภายในใจของฉัน ฉันกลืนความรู้สึกกระวนกระวายใจที่อัดแน่นอยู่ที่ลำคอลงไป ก่อนจะส่งยิ้มที่สดใสที่สุดออกไปด้วยพลังทั้งหมด 


 


 


“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฉันสัญญาว่าจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ” 


 


 


น้ำเสียงของฉันยังคงมีเสียงสะอื้นปนออกมาต่อให้พยายามอดกลั้นเอาไว้ เพราะถึงจะเป็นแค่ของขวัญ แต่มันก็มาจากใจของรุ่นพี่ และความหมายที่ซ่อนอยู่ก็ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งจนเหมือนน้ำตามันจะเอ่อล้นออกมา 


 


 


ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่ออดกลั้นความรู้สึกที่คอยแต่จะพลุ่งพล่านออกมา รุ่นพี่ทอดสายตามองมาที่ฉัน เขายิ้มเล็กๆ แล้วเอามือทั้งสองข้างมาจับที่แก้มเย็นเฉียบของฉันเบาๆ ก่อนจะเอาปากมาสัมผัสจนเกิดเป็นเสียง จุ๊บ 


 


 


ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่เย็นขึ้นเพราะสายลมเย็นๆ ของฤดูหนาวทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้ เพราะมัวแต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ฉันจึงจ้องมองดวงตาสีดำสนิทนั้นของรุ่นพี่ที่มาอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าบึ้งๆ 


 


 


“นี่เป็นตราประทับสำหรับสัญญานะ” 


 


 


รุ่นพี่กระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน จนเหมือนกับจะทำให้ร่างทั้งร่างของฉันละลาย ฉันหลับตานิ่งขณะที่ริมฝีปากของรุ่นพี่แตะลงบนริมฝีปากของฉัน สัมผัสนุ่มๆ นั่นที่บรรจบลงมาอีกครั้งทำให้ทั่วทั้งตัวมันสั่นสะท้านไปหมด 


 


 


รุ่นพี่คงจะตกใจในท่าทางที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของฉัน เพราะฉันสัมผัสได้ว่าริมฝีปากของรุ่นพี่เองก็สั่นเล็กๆ แต่แล้วทันใดนั้นในตอนที่มือของรุ่นพี่ซึ่งแตะลงบนแก้มของฉันดูเหมือนจะออกแรงมากขึ้น ลิ้นอุ่นๆ ของรุ่นพี่ก็แทรกเข้ามาทางช่องว่างระหว่างริมฝีปากของฉัน 


 


 


ฉันได้กลิ่นอ่อนๆ ของขิงมาจากรุ่นพี่ที่กำลังแหวกว่ายอย่างวุ่นวายอยู่ภายในปาก ทั้งที่เป็นชาขิงที่ไม่อร่อยจนทำให้รู้สึกขนลุก แต่สิ่งที่ตลบอบอวลอยู่ภายในปากมันช่างหอมหวานซะจนรู้สึกวาบหวิว 


 


 


ฉันยื่นมือออกไปจับเอวของรุ่นพี่นิ่งๆ ตอนนี้ลมทะเลของฤดูหนาวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวอีกต่อไปพัดผ่านมากระทบลงเบาๆ ที่ข้างหูราวกับเสียงกระซิบ 


 


 


“รักนะ” 


 


 


เสียงกระซิบที่อ่อนหวานยิ่งกว่าคำใดๆ ออกมาจากริมฝีปากของรุ่นพี่ที่อ้าออกเล็กน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้า มันรู้สึกปลาบปลื้ม และมีความสุขเสียเหลือเกิน ฉันหัวเราะอย่างไม่มีเสียง ขณะที่เอาหน้าซุกลงไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่ รุ่นพี่จะต้องเป็นนักมายากลไม่ผิดแน่ๆ 

 

 

 


ตอนที่ 20-2 (2-1)พิเศษ

 

<เซจิน>


 


 


 


 


ฉันชอบเจ้าหญิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่นั่นแหละ เส้นผมที่ยาวสลวย มงกุฎที่เป็นประกายระยิบระยับ และชุดกระโปรงแวววาว ด้วยความใฝ่ฝันในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันถึงกับเคยใช้ส้อมหวีผมตามแบบเจ้าหญิงเงือกน้อย แล้วก็เคยอ้อนวอนให้พ่อแม่ซื้อรองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่าให้


 


 


ใช่แล้ว ดูเหมือนฉันจะเคยเชื่อด้วยนะว่าเรื่องราวในเทพนิยายน่ะเคยเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บหินก้อนเล็กๆ ที่มีสีสันจากสวนดอกไม้มาเก็บไว้ในกล่องอัญมณีของเล่นพลาสติก แล้วเชื่อว่ามันคือหินที่จะทำให้สมปรารถนา หรือการให้ความสำคัญกับแหวนพลาสติกที่ได้มาจากเครื่องหนีบของเล่น


 


 


สำหรับฉันที่ดูจะแปลกไปกว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันเป็นพิเศษแล้ว บัลเลต์น่ะ คือการเต้นรำแห่งเวทมนตร์ที่เหมือนกับจะทำให้เหล่าความฝันสีชมพูนั้นเป็นจริง ได้แต่งตัวเหมือนเจ้าหญิง แล้วก็ได้เต้นเป็นเจ้าหญิง สิ่งเหล่านั้นสำหรับฉันในวัยเด็กแล้ว ก็เหมือนกับฝันอันสมบูรณ์แบบที่กลายเป็นจริงนั่นแหละ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ฉันเริ่มเต้นบัลเลต์ เหตุผลง๊าย ง่ายที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นเต้นบัลเลต์


 


 


“ได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง ผู้ชายที่ได้ที่หนึ่งน่ะ เป็นเด็กที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาน่ะ”


 


 


“ทำไงดีล่ะ”


 


 


ฉันอ้อนวอนพ่อแม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็ได้มาเรียนต่อในโรงเรียนศิลปะเอกชน พอกลายมาเป็นนักเรียนมัธยมต้น แล้วก็ได้ลงแข่งขันในรายการแรก ฉันมักจะคิดอย่างนี้เสมอว่า ครั้งนี้ยังไงฉันก็จะต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นที่อคาเดมี่ หรือว่าการแข่งขันที่ผ่านมา ฉันก็ไม่เคยพลาดที่หนึ่งเลยสักครั้งเดี่ยว


 


 


แต่ว่าคนที่พังทลายความภาคภูมิใจของฉันกลับไม่ใช่ผู้หญิง แต่ดันมาเป็นผู้ชายนี่สิ อีกทั้งยังเป็นเจ้าชายที่หล่อสุดๆ ไปเลยด้วย


 


 


“เรียนแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ”


 


 


การเรียนแลกเปลี่ยนที่ฉันใฝ่ฝันมานานแสนนาน แต่ว่าฉันก็คิดว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไปที่จะฝันถึง ดังนั้นฉันจึงยังคงเต้นต่อไปอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม กับอีแค่เรียนแลกเปลี่ยน ถึงจะไม่ได้ไปมา ฉันก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันก็สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ ฉันเชื่อว่าต่อให้ฉันไม่ทำอย่างนั้นฉันก็ยังพิเศษ


 


 


แต่ว่าเจ้าหมอนั่นที่ทำลายความฝันของฉันในพริบตา ให้ตายสิ ดันเป็นไอ้คนที่เท่สุดๆ จนถึงขนาดที่ฉันไม่แม้แต่จะสามารถเกลียดได้อย่างสุดใจ


 


 


“ถ่ายรูปสักรูปดีไหมครับ”


 


 


ฉันยืนอยู่ข้างคนนั้น ในขณะที่กล้ำกลืนน้ำตาอย่างขมขื่น ความพ่ายแพ้ที่รู้สึกเป็นครั้งแรก และความเจ็บปวดหัวใจที่ร้อนขึ้นไปจนถึงจมูก ฉันยังไม่ลืมสัมผัสเมื่อครั้งที่ฉันจับมือของเจ้าหมอนั่นที่ยื่นมาอย่างไม่ใส่ใจ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือความโกรธหรือว่าเป็นความอิจฉากันแน่ แต่มือและหัวใจของฉันในตอนนั้นกำลังสั่นไหวไม่หยุดเลยจริงๆ


 


 


หลังจากเรื่องนั้น ตัวตนของหมอนั่นก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นของฉันซึ่งไม่เคยลบเลือนไป สำหรับฉันที่เต้นเป็นเจ้าหญิงแล้ว เจ้าหมอนั่นก็คือเจ้าชาย คือภูเขาที่ฉันจะต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้


 


 


แล้วเจ้านั่นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉันอีกครั้งราวกับเป็นเรื่องโกหก กลายมาเป็นเจ้าชายที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม ไม่สิ กลายมาเป็นภูเขาที่ฉันคงจะไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้ต่างหาก


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


“เธอว่าใครหล่อที่สุดล่ะ”


 


 


“อุ๊ย ก็ต้องรุ่นพี่อีกงน่ะสิ!”


 


 


“อ๋อ รุ่นพี่ที่แสดงตอนงานปฐมนิเทศน่ะนะ ตอนนี้ก็อยู่แผนกมัธยมปลายสินะ”


 


 


“ไม่คิดว่าเขาหล่อสุดๆ ไปเลยเหรอ อย่างกับเจ้าชายแน่ะ”


 


 


“แต่ว่าชเวซูฮยอนก็หล่อออก ถ้าหน้าตา ฉันว่าชเวซูฮยอนดีกว่าหน่อยนะ”


 


 


“ก็จริง หมอนั่นดูจะหล่อเกินจริงไปหน่อย”


 


 


เวลาพักกลุ่มเพื่อนๆ ก็จะมานั่งล้อมวงกันพูดถึงเรื่องที่ไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่ ฉันที่อยู่แถวนั้นด้วยก็มักจะรู้สึกขัดๆ หูทุกครั้งที่มีชื่อของชเวซูฮยอนดังขึ้นมาในบทสนทนา ไอ้เจ้าคนเฮงซวยแบบนั้น มันมีอะไรดีกันนักกันหนา


 


 


ฉันนั่งเงียบๆ อย่างหงุดหงิด แต่แล้วหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็หันมาถามฮวีกยอมที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ฉัน


 


 


“ฮวีกยอมแล้วเธอล่ะ”


 


 


“หือ”


 


 


“เธอว่าใครหล่อสุด”


 


 


“…อืม”


 


 


ฉันที่กลัวว่าคำว่า ชเวซูฮยอน จะหลุดออกมาจากปากของฮวีกยอมที่ทำสีหน้าลำบากใจ


 


 


“แน่นอนว่าต้องเป็นรุ่นพี่อีกงสิ! เนอะ ฮวีกยอม”


 


 


“เอ๋ อือ…”


 


 


ฉันรีบมาขวางข้างหน้าฮวีกยอมแล้วตะโกนเสียงดัง


 


 


“คนอย่างชเวซูฮยอนน่ะ เทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บของรุ่นพี่อีกงด้วยซ้ำ ในสายตาของฉันรุ่นพี่อีกงน่ะ ทั้งเท่กว่า แล้วก็น่าตาดีกว่าตั้งเยอะ อีกอย่างเขาก็เป็นสุภาพบุรุษจะตายไป”


 


 


ฉันแกล้งตะโกนพูดชื่อรุ่นพี่อีกงออกมาเสียงดังๆ พลางเสริมด้วยถ้อยคำที่สละสลวยอีกมากมาย มันก็จริงอยู่หรอกที่ว่าฉันน่ะชอบรุ่นพี่อีกง แต่มันก็เพราะว่าฉันไม่อาจจะทนฟังคำวิจารณ์เรื่องของชเวซูฮยอนไปมากกว่านี้ได้น่ะสิ


 


 


“…นี่ เซจิน”


 


 


วินาทีนั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ ฉันก็ทำสีหน้าลำบากใจพลางจับมือของฉันเอาไว้


 


 


“ทำไม ฉันพูดผิดหรือไงล่ะ”


 


 


“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น…”


 


 


พอฉันแกล้งทำเป็นพูดจาห้วนๆ ขึ้นมา เพื่อนคนนั้นก็ส่ายหน้าเลิ่กลั่ก พลางผลักให้ฉันหันหลัง ฉันที่หันหลังไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก็พบว่าชเวซูฮยอนมายืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจ้าหมอนั่นที่ทอดสายตามองมาที่ฉันด้วยสีหน้านิ่งเฉยค่อยๆ นั่งลงกับที่แล้วหยิบตำราเรียนออกมาจากกระเป๋า


 


 


“…ก็แค่นี้เอง”


 


 


รู้สึกหน้าชาไปหมดเลยแฮะ ฉันเกลียดตัวเองที่มักจะดูตัวเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นหมอนั่น แต่ว่าจะให้ทำไงได้ละ ต่อให้ร้องเพลง ไม่ชอบ ไม่ชอบ ยังไง ฉันก็ยังเกลียดหมอนั่นไม่ลง


 


 


ถึงฉันจะไม่ชอบหมอนั่นเข้าไส้ ที่เอาแต่ทำลายศักดิ์ศรีที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถเกลียดเขาได้ลง แต่หมอนั่นก็คงจะเกลียดฉันละสินะ บางทีน่ะนะ คงจะเป็นอย่างนั้นไม่ผิดแน่ๆ


 


 


รู้สึกเจ็บในใจยังไงบอกไม่ถูก


 


 


 


 


<ซูฮยอน>


 


 


 


 


หลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตสั้นๆ ในอเมริกา ในวันที่ผมกลับมาเข้าเรียนในโรงเรียนใหม่เป็นวันแรก ผมก็ได้พบกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง ถึงจะเคยเจอกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผมก็สามารถจำเธอได้ เด็กผู้หญิงที่กัดริมฝีปากเพื่อที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ มันเป็นสีหน้าประหลาดที่กำลังฉีกยิ้มอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


สายตาของเด็กคนนั้นที่ได้บังเอิญเจอกันอีกครั้ง จ้องมองมาทางผมอย่างเย็นชา มันคือสิ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า และห้องเรียนที่ไม่คุ้นชิน ความรู้สึกเป็นศัตรู ผมเริ่มคุ้นเคยกับสายตาแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว


 


 


“นักเรียนใหม่ ไหนลองแนะนำตัวเองสิ”


 


 


“…ผมชื่อชเวซูฮยอนครับ”


 


 


ขณะที่ผมแนะนำตัวตามคำสั่งของอาจารย์ตามปกติ ผมก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากเด็กคนนั้นได้ หรือจะเป็นเพราะความรู้สึกเป็นศัตรูที่รุนแรงนั่น ซึ่งผมสัมผัสได้อย่างเด่นชัดแม้จะอยู่ภายในห้องเรียนที่มีเสียงดังอึกทึกกันนะ


 


 


“ซูฮยอนเพิ่งจะกลับมาจากอเมริกา เพราะงั้นพวกเธอก็ช่วยเหลือเขาให้มากๆ หน่อยละ”


 


 


“ครับ/ค่ะ”


 


 


“ไหนดูสิ ที่นั่งก็…”


 


 


แม้แต่ในระหว่างที่สายตาของอาจารย์สอดส่องไปทั่วห้องเรียน ผมก็ยังคงมองจ้องไปที่เด็กคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เด็กคนนั้นเองก็ไม่หลบสายตาของผมเช่นกัน ผมสงสัยจังว่าเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เด็กนั้นจะคิดยังไงกับผมกันนะ


 


 


“ให้นั่งข้างหลังเซจินก็แล้วกัน”


 


 


ผมเห็นเด็กคนนั้นสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ เธอชื่อเซจินนี่เอง ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเด็กคนนั้นที่จ้องมองมาที่ผมดูจะแข็งทื่อไปในทันที


 


 


“ซวยชะมัด”


 


 


วินาทีที่ผมเดินผ่านข้างๆ เด็กคนนั้นเพื่อจะไปนั่งประจำที่ ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังเข้ามาในหู ถึงผมจะไม่ได้หันหลังไปดู ผมก็รู้ได้ว่ามันคือเสียงของเด็กคนนั้น


 


 


ซวยชะมัด บางทีในความคิดของเด็กคนนั้น ‘ผม’ คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ ผมคิดว่ามันก็ดูน่าสนุกดี ทั้งท่าทางตั้งแง่ใส่ผมจนเหมือนจะกินผมเข้าไปทั้งตัว แล้วก็เสียงน่ารักๆ ที่ต่างจากท่าทางขี้โมโหนั่นก็ด้วย แต่นั่นมันก็คือก่อนที่ผมจะชอบเด็กคนนั้นน่ะนะ


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


ผมเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ โดยที่ไม่รู้ว่าการเต้นมันคืออะไร ภายใต้เงาของพ่อแม่ที่เป็นทั้งผู้ออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นผู้กำกับศิลป์ ผมถึงกับเคยได้ยินว่า ตัวเองถูกเลี้ยงขึ้นมาเพียงเพื่อบัลเลต์เท่านั้น ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรหรอก เพราะว่านอกจากการเต้นแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรแล้วนี่นา


 


 


พอมาคิดๆ ดูในตอนนี้แล้ว คงเป็นเพราะผมกลัวต่างหาก ถ้าแม้แต่สิ่งเดียวที่ผมมีอย่างบัลเลต์ ผมยังไม่สามารถทำมันให้ดีได้ ผมก็กลัวว่าแม้แต่พ่อแม่ก็คงจะทอดทิ้งผมไป


 


 


สำหรับผมที่เป็นอย่างนั้น คนที่ชื่อคิมเซจินนั้นเป็นเหมือนกับยากระตุ้นชั้นดีเลยละ สายตาของเด็กคนนั้นที่คอยระแวดระวังผม มันทำให้ผมรู้สึกถึงความโดดเด่นของตัวเอง ถึงแม้ว่าถ้าตอนนี้ผมมาคิดๆ ดูแล้ว มันจะเป็นความรู้สึกที่ปัญญาอ่อนก็เถอะ


 


 


ผมมักจะคุ้นเคยกับการรักษามนุษยสัมพันธ์ในแบบที่คลุมเครือ การเว้นระยะห่างพอประมาณ และการจัดการกับท่าทางที่แสดงออกมา ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมจึงเข้ากันได้ดีกับผู้คนส่วนใหญ่ และผมก็คิดว่าอีกไม่นานผมก็จะเป็นอย่างนั้นกับคิมเซจินเช่นกัน


 


 


แต่เด็กคนนั้นแตกต่างออกไป จนจบการศึกษาในระดับมัธยมต้น ผมก็ยังไม่เคยได้คุยกับคิมเซจินเลยสักครั้ง เธอแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่แล้ว พอเวลาผ่านไปก็จะสามารถเข้ากันไปได้เอง เด็กคนนั้นแผ่รังสีความเป็นศัตรูออกมาจากทั่วทั้งตัว จนผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับมันยังไง


 


 


และแล้ววันหนึ่ง ผมบังเอิญเห็นคิมเซจินอยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน วินาทีที่ผมเห็นเธอเดินเข้าไปในโรงหนังด้วยกันกับรุ่นพี่ลีอีกงที่เด็กคนนั้นดูจะใฝ่ฝันเป็นพิเศษ หน้าอกข้างหนึ่งของผมก็รู้สึกเหมือนจะพังทลายลงไป ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่า ผมน่ะ กำลังชอบเด็กคนนั้นอยู่ กำลังชอบคิมเซจิน


 


 


“พอซะทีเถอะ”


 


 


“…ว่าไงนะ?”


 


 


“บอกว่าให้พอไง”


 


 


มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจที่เจ็บแปลบ นอกจากนี่จะเป็นการแสดงร่วมกันกับคิมเซจินครั้งแรกแล้ว มันยังเป็นการแสดงปาเดอเดออีกด้วย ผมที่เคยคิดเองเออเองว่าคงจะสามารถเข้าใกล้เด็กคนนั้นได้อีกสักนิด กลับรู้สึกเกลียดชังเด็กคนนั้นที่คอยแต่จะปามีดมาทางผมโดยไม่รู้จักหยุดหย่อน ผมพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ สีหน้าของคิมเซจินดูจะบึ้งตึงอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำที่ผมพูด


 


 


“แค่เวลาจะซ้อมยังไม่พอเลย อย่ามาเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้เลยนะ”


 


 


“…วะ ว่าไงนะ”


 


 


คิมเซจินขย้ำคอเสื้อของผมอย่างแรงด้วยมือที่เรียวเล็ก เสียงของเธอแหลมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


 


 


“ฉันเกลียดนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว แค่ไปเรียนแลกเปลี่ยนกลับมา มันมีอะไรน่าภูมิใจนักเหรอ”


 


 


 “…”


 


 


“ก็แค่มีเงิน กะอีแค่เรียนแลกเปลี่ยนน่ะเหรอ ใครก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ เลิกแสร้งทำเก่ง ทั้งที่หลบอยู่ข้างหลังพ่อแม่ซะทีเถอะ!”


 


 


อ้า เพราะอย่างนี้เองสินะ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกขมๆ ที่ปลายลิ้น


 


 


“คนอย่างนายน่ะ มันเฮงซวยที่สุดเลย”


 


 


“เซจิน พอเถอะน่า”


 


 


“พอนายกลับมา ทุกอย่างก็เพี้ยนไปหมด ทุนที่ตอนแรกฉันควรจะได้ นายก็มาแย่งไป”


 


 


“…”


 


 


“ก็แหงละ นายมันได้ท็อปอยู่ทุกวัน คงไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้สินะ็แ”


 


 


ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเสียดแทงจิตใจของผมเข้ามาอย่างจัง


 


 


“ถ้าแข่งกันด้วยฝีมือ ฉันไม่มีทางแพ้คนอย่างนายหรอก”


 


 


“…”


 


 


“คนอย่างนาย ถ้าหายไปให้พ้นหน้าฉันได้ก็ดี”


 


 


ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเอามากๆ แต่ผมกลับเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของคิมเซจิน


 


 


“เธอนี่มัน สร้างบาดแผลให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ”


 


 


คำพูดที่มาจากใจอันบอบช้ำของผม กลับเป็นฝ่ายทิ่มแทงหัวใจผมเสียเอง ใบหน้ากระวนกระวายใจของคิมเซจินวนเวียนอยู่ในตาของผม ผมควรจะทำยังไงกับเธอดี

 

 

 


ตอนที่ 20-2 (2-2)พิเศษ

 

<เซจิน> 


 


 


 


 


 


ขณะที่ฉันนอนเหม่อมองเพดานอยู่ภายในห้อง ใบหน้าของชเวซูฮยอนก็เอาแต่ลอยขึ้นมา ใบหน้าที่ดูเจ็บปวดแบบสุดๆ และน้ำเสียงที่ปนกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่  


 


 


ฉันกอดหมอนที่กลิ้งไปมา พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดอัดจัง อึดอัดจะตายอยู่แล้ว นี่มันอะไรกัน หัวใจมันรู้สึกเจ็บแปลกๆ 


 


 


“บ้าเอ๊ย” 


 


 


อีตานั่นมารังควานฉันทำไมกันแน่เนี่ย ฉันเอาหน้าซุกหมอน พลางกรีดร้องออกมา อ๊ากกก แต่ว่าความอึดอัดก็ยังไม่หายไป 


 


 


“ฉันไม่รู้สึกผิดหรอก ไม่รู้สึกผิด ไม่มีทาง” 


 


 


ฉันพึมพำไม่หยุด ขณะที่พยายามสลัดชเวซูฮยอนออกไปจากความคิด ใช่แล้ว ฉันไม่รู้สึกผิดต่อหมอนั่นหรอก ก็มันเป็นความจริงทั้งหมดนี่นา ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาสักหน่อย แต่ว่า… 


 


 


“โธ่เว้ย” 


 


 


ขณะที่ถอนหายใจ ฉันไม่ได้รู้สึกผิดนะ ไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ แต่ว่าทำไมฉันถึงคอยเอาแต่นึกถึงสีหน้าของหมอนั่นที่เหมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บกันนะ 


 


 


“…ขอโทษดีไหมนะ” 


 


 


คำที่จู่ๆ ก็หลุดออกมาจากปากของฉันทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจนลุกพรวดออกจากที่ ขอโทษบ้าบออะไรเล่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย! ฉันปลอบใจตัวเอง พลางนอนลงอีกรอบ แต่แล้วใบหน้าของชเวซูฮยอนก็ลอยขึ้นมาบนเพดานอีกครั้ง โอ๊ยยย ให้ตายสิ หัวมันอย่างกับจะระเบิดออกมา 


 


 


 


 


 


<ซูฮยอน> 


 


 


 


 


 


หลังจากวันนั้น สงครามเย็นก็ดำเนินต่อเนื่องไปอย่างยาวนาน ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิดก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่ผมก็ไม่ได้เสียดายถึงขนาดที่จะต้องโกรธหรอกนะ ก็แค่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเท่านั้นแหละ 


 


 


ตอนนี้อาการเจ็บปวดหัวใจที่เกิดขึ้นค่อนข้างช้า เริ่มจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แววตาดุดัน และใบหน้าเย็นชาของคิมเซจินที่ผมได้เจอทุกวัน เป็นเหมือนกับลูกศรน้ำแข็งที่คอยแต่ทิ่มแทงใจของผม 


 


 


ผมมุ่งมั่นกับการฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม พอผมตั้งใจจะลงโทษหัวใจที่สับสนวุ่นวาย การอยู่เฉยๆ ก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย  


 


 


แล้วในระหว่างนั้น ในตอนที่ผมกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ในโรงเรียนตอนเช้าตรู่โดยที่ไม่เปิดไฟ ผมก็ได้เผชิญหน้ากับคิมเซจินอย่างไม่คาดคิด 


 


 


คิมเซจินที่กำลังกัดริมฝีปากมายืนอยู่ตรงหน้าผม เธอลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะขยับริมฝีปากที่แดงระเรื่อ 


 


 


“ตอนนั้นฉันขอโทษ! ตั้งใจจะมาพูดแค่นี้แหละ” 


 


 


“…” 


 


 


“…ฉันขอโทษ ตอนนั้นฉันพูดแรงเกินไป” 


 


 


แก้มทั้งสองข้างของคิมเซจินกลายเป็นสีแดงอย่างกับลูกแอปเปิ้ลสุก ผมเลยอดไม่ได้ที่จะมองเหม่อไปที่เธอ แม้แต่ใบหูที่แดงจนเท่ากับใบหน้าก็ยังเห็นเด่นชัดขึ้นมาในความมืด ท่าทางที่ดูแปลกตาไปของคิมเซจินทำให้ผมยืนนิ่งไม่ไหวติง ขณะที่ผมเผลอกลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว อยู่ๆ ผมก็คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง รู้สึกอย่างกับว่าภายในหัวมันกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด 


 


 


“อือ” 


 


 


ผมอาจจะกำลังหน้าเสียแบบสุดอยู่ก็ได้ ผมจึงรีบหันหน้าไปอีกทาง ก่อนจะบีบเค้นพลังทั้งหมดของร่างกายออกมา ถึงจะสามารถตอบรับออกไปได้ แต่น้ำเสียงแข็งๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกเสียดาย 


 


 


นี่ผมกำลังทำสีหน้าอะไรอยู่กันแน่นะ กำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะ ขณะที่ลังเลอยู่ว่าควรจะพูดอะไรออกไปอีกดี เสียงตะโกนโกรธๆ ของคิมเซจินก็ดังมาจากข้างหลัง 


 


 


“หน็อย คนอื่นเขาขอโทษดีๆ แต่นายกลับตอบแค่นั้นเนี่ยนะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ช่างเหอะ ฉันจะไปหวังอะไรจากนายได้ งั้นฉันไปก่อนนะ” 


 


 


คิมเซจินที่หันหลังขวับไป สะพายกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินออกไปทางประตูหลัง ผมเห็นไหล่มนๆ และแผ่นหลังเล็กๆที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป วินาทีนั้น ผมไปเอาความกล้าแบบนั้นมาจากไหนกันนะ 


 


 


“คิมเซจิน เดี๋ยวก่อน” 


 


 


“ทำไม” 


 


 


ชั่วขณะที่ผมเห็นใบหน้าของเธอที่หันหลังกลับมา ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังพูดอะไรออกไป มันดูเหมือนจะเป็นอะไรสักคำที่วกไปวนมา แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงตัวเองดังเข้ามาในหูเลยสักนิด คิมเซจินที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ผมด้วยสีหน้าไม่พอใจหันหน้ากลับไป แล้วเริ่มห่างไกลจากผมไปอีกครั้ง 


 


 


ผมจะต้องรั้งเธอเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เสียงตะโกนที่ไม่มีที่มากำลังดังกึกก้องไปทั่วภายในใจของผม จับไว้ รั้งไว้สิ ผมจับไหล่มนๆ เล็กๆ นั่นเอาไว้แล้วพลิกตัวให้เธอหันกลับมา ดวงตาของคิมเซจินที่มองมาที่ผมเบิกโตด้วยความตกใจ 


 


 


แก้มทั้งสองข้างที่กลายเป็นสีแดงแอปเปิ้ล ดวงตาที่เป็นประกายแม้อยู่ในความมืด ขนตาที่กำลังสั่นเล็กๆ และกลิ่นของแชมพูที่ยังไม่จางหายไป 


 


 


ในตอนที่ผมรู้สึกได้ถึงมันทั้งหมด คือตอนที่ปากของผมประกบลงไปบนริมฝีปากของคิมเซจินเรียบร้อยแล้ว ข้อมือเล็กๆ ของคิมเซจินที่อยู่ในมือข้างหนึ่ง และริมฝีปากแดงๆ ที่เคยถูกกัด ผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังสั่นไม่หยุด 


 


 


“…อะ อะไรของนายน่ะ” 


 


 


ผมนึกว่าอย่างน้อยผมน่าจะถูกชกสักหมัดด้วยซ้ำ แต่เซจินกลับมองผมด้วยแววตาที่สั่นเครือไม่หยุด และใบหน้าที่แดงจนเหมือนจะระเบิดออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ สักพักใหญ่ๆ กว่าที่เธอจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และนั่นก็ทำให้ผมดึงคิมเซจินเข้ามากอดอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า 


 


 


“ฉันชอบเธอ คิมเซจิน” 


 


 


ดูเหมือนคิมเซจินจะตกใจเอามากๆ กับคำสารภาพรักอย่างกะทันหันของผม คิมเซจินที่เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งไม่วางตา ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา และเอาแต่ยืนหันหลังพร้อมกับปิดปาดเงียบสนิท ผมมองดูแผ่นหลังนั่นค่อยๆ เดินจากไป และได้แต่กำมือไว้แน่น 


 


 


แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่ไม่สมหวังก็ช่าง ยังไงผมก็ยังชอบเธออยู่ดี 


 


 


 


 


 


<เซจิน> 


 


 


 


 


 


นั่นมันเป็นอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงจริงๆ เสียงที่กรีดร้องจนหูแทบแตกทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองแสงไฟที่สาดส่องลงมาที่ตา 


 


 


ทันทีที่ฉันรู้สึกได้ถึงแขนที่โอบกอดตัวฉันซึ่งแข็งทื่อจนกรีดร้องไม่ออกเอาไว้อย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นที่ทำให้ขนลุกก็ดังขึ้น ฉันที่ล้มลงไปกองกับพื้นไม่สามารถตั้งสติเอาไว้ได้อยู่สักพัก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลยสักนิด 


 


 


ฉันประคองร่างกายที่สั่นไปหมดแล้วเงยหน้าขึ้น ก่อนจะได้เห็นว่ามีเศษซากของโคมไฟแตกกระจายอย่างน่ากลัวอยู่บนเวที วินาทีนั้นฉันรู้สึกมึนอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ขณะที่ฉันไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างใจนึก ฉันก็เห็นชเวซูฮยอนที่ล้มทับลงบนตัวฉัน วินาทีนั้น ภายในหัวของฉันขาวโพลนเหมือนกับกระดาษ 


 


 


เสียงของผู้คนที่เข้ามามุงรอบๆ ดังอึกทึกอย่างกับเสียงของไซเรน มันทั้งเบาและฟังดูไกลออกไป ในตอนที่ฉันมองดูร่างของชเวซูฮยอนถูกเปลหามออกไป ฉันถึงได้ตั้งสติได้และกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งในอ้อมกอดของอีเซ 


 


 


“ฉันขอโทษ” 


 


 


ใบหน้าของชเวซูฮยอนที่ได้เจอในห้องคนไข้นั้นซีดเซียวจนสังเกตได้ คำขอโทษที่ออกมาจากปากของฉันหลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน ทำให้ชเวซูฮยอนยิ้มออกมานิดๆ  


 


 


จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากตาของฉัน ตอนนี้ฉันควรจะทำสีหน้ายังไงตอนมองหน้านายดีนะ ฉันกุมหน้าอกที่เจ็บจี๊ดขึ้นมาจนเหมือนจะแตกสลายเอาไว้แน่น พลางพูดแต่คำว่าขอโทษไปเรื่อยๆ 


 


 


ขอโทษนะที่ฉันไม่รู้ความรู้สึกของนาย ขอโทษนะที่ทำให้นายเจ็บปวด ขอโทษนะที่ต้องมาบาดเจ็บ 


 


 


ทั้งๆ ที่มีคำอยู่ตั้งมากมายที่ฉันอยากจะบอกออกไป ทั้งๆ ที่มีคำที่ต้องพูดอีกตั้งเยอะแยะ นอกจากคำว่าขอโทษ แต่มันกลับไม่หลุดออกมาจากปากเลยสักนิด สัมผัสอันนุ่มนวลจากมือของชเวซูฮยอนกำลังลูบไล้หัวของฉันที่เอาแต่ขอโทษ 


 


 


“ที่จริง ไม่ใช่ตรงหัวหรอกนะ ที่เธอทำให้ฉันเจ็บน่ะ เธอก็พิลึกเหมือนกันนั่นแหละ” 


 


 


“…หือ” 


 


 


“ตรงนี้ต่างหากละที่เธอทำให้มันเจ็บน่ะ แต่ทำไมเธอถึงเอาแต่ขอโทษเรื่องหัวอยู่ได้นะ พิลึกคนจริงๆ” 


 


 


ท่าทางของชเวซูฮยอนที่ชี้ไปที่หน้าอกตัวเองพลางยิ้มแปลกๆ ดูเลือนรางในตาของฉัน ฉันมองเหม่อไปที่หมอนั่น ขณะที่กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ มือของชเวซูฮยอนที่เช็ดแก้มเลอะเทอะของฉันกำลังสั่นเล็กๆ 


 


 


ฉันได้ยินเสียงอีเซ ฮวีกยอม และรุ่นพี่อีกงที่มาพร้อมกันเดินออกจากห้องไป พวกเราไม่พูดอะไรกันอยู่สักพัก และต่างเอาแต่จ้องหน้ากันไปมา ไม่สิ ดูเหมือนคำพูดจะไม่จำเป็นต่างหากละ 


 


 


สายตาของชเวซูฮยอนที่จ้องมองฉันอย่างไม่ละสายตาดูแปลกใหม่สำหรับฉัน เมื่อเทียบกับสายตาที่มักจะมองตรงมาจนทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจแล้ว ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแทน ชเวซูฮยอนมีสายตาแบบนี้เองสินะ ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นฉันเองก็ได้ที่ตลอดมาไม่เคยจะได้มองหน้าหมอนั่นตรงๆ น่ะ 


 


 


ทั้งเสียงของชเวซูฮยอนตอนที่สารภาพว่ารักฉัน ทั้งแววตาของชเวซูฮยอนที่มักจะจ้องมองมาที่ฉัน รวมไปถึงริมฝีปากของชเวซูฮยอนที่สัมผัสลงมาอย่างไม่คาดคิด สิ่งต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวตามลำดับ ความทรงจำทั้งหมดที่เป็นเหมือนกับหนังม้วนหนึ่งท่วมท้นขึ้นมา จนทำให้ฉันทำได้เพียงแต่จ้องมองไปที่ชเวซูฮยอนอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร 


 


 


“ถ้าเกิดเธอบาดเจ็บละก็ ฉันคงจะทรมานยิ่งกว่านี้อีก” 


 


 


“…” 


 


 


“เพราะงั้นก็เลิกขอโทษได้แล้ว และก็ขอบใจนะที่เธอไม่บาดเจ็บอะไรน่ะ” 


 


 


เสียงของชเวซูฮยอนดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ถึงจะแปลกแต่ก็รู้สึกอบอุ่น ฉันเอาแต่กัดริมฝีปากไว้แน่นเพื่อกลั้นน้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมาเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แต่ซูฮยอนก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบริมฝีปากของฉัน 


 


 


“ปากเน่าหมดแล้ว” 


 


 


หางตายาวๆ ของชเวซูฮยอนที่โค้งต่ำลงทำให้เกิดเป็นเงาบางๆ ท้ายที่สุดฉันจึงก้มหน้าลง แล้วฉันก็สัมผัสได้ถึงสายตาของชเวซูฮยอนที่มองลงมาบนหัวของฉัน 


 


 


“คิมเซจิน” 


 


 


“…” 


 


 


“พูดอะไรหน่อยสิ จะขี้โมโหเหมือนเดิม หรือจะบ่นไม่หยุด หรือจะด่าอะไรฉันก็ได้ ช่วยพูดอะไรออกมาสักหน่อยเถอะนะ” 


 


 


น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงของชเวซูฮยอนดังเข้ามาในหูจนรู้สึกปวดไปหมด ฉันยังคงนั่งร้องไห้เงียบๆ ทำไมฉันถึงต้องผลักไสไล่ส่งนายขนาดนั้นกันนะ ทั้งที่นายอุตส่าห์รวบรวมความกล้ายื่นมือมาให้ฉัน ทำไมฉันถึงได้เอาแต่คอยสะบัดมือนั้นออกอย่างเย็นชากันนะ 


 


 


“ถ้ารู้ว่าจะเสียใจแบบนี้ ฉันก็คงจะไม่ทำแบบนั้น” 


 


 


เสียงงึมงำอย่างเหนื่อยล้าของฉันเบาเหมือนกับเสียงลม แต่ซูฮยอนก็ยังจับมือฉัน แล้วตั้งใจฟังนิ่งๆ 


 


 


“ฉันคงจะไม่ทำตัวไม่ดีกับนาย ฉันไม่น่าทำเลย” 


 


 


“คิมเซจิน” 


 


 


“ทั้งที่ฉันเป็นคนไม่ดีขนาดนั้นแท้ๆ แล้วทำไมนายถึง…” 


 


 


ทันใดนั้น ริมฝีปากที่เย็นและแข็งของฉันก็สัมผัสกับริมฝีปากอุ่นๆ ของชเวซูฮยอน ริมฝีปากของฉันที่ถูกกัดไปไม่รู้ตั้งกี่รอบกำลังสั่นเล็กๆ  


 


 


ตาของฉันที่ยังไม่ทันจะปิดดี มองไปเห็นเปลือกตาหนาๆ ของชเวซูฮยอนที่หรี่ลงเล็กน้อย ลิ้นอุ่นของชเวซูฮยอนที่เลียลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลูบไล้อย่างเบามือ ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน 


 


 


“นี่รู้อะไรไหม” 


 


 


เสียงหวานๆ ดังออกมาจากปากของชเวซูฮยอนที่ค่อยๆ ห่างออกไป 


 


 


“เธอน่ะ คือเจ้าหญิงของฉัน ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันเองก็อยากจะเป็นเจ้าชายที่เธอฝันอยู่หรอกนะ แต่ฉันคงจะเป็นไม่ได้น่ะสิ” 


 


 


“…” 


 


 


“เพราะฉะนั้นอย่างพูดคำนั้นอีกเลยนะ ฉันต่างหากละที่ไม่ดี เธอไม่ได้ทำผิดอะไรทั้งนั้นแหละ” 


 


 


ชเวซูฮยอนอาจจะเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ นั่นแหละ เจ้าชายทึ่มๆ น่ะ เจ้าชายสุดเซ่อผู้น่าสงสารกว่าใครๆ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ซูฮยอนต่างหากละที่เป็นเจ้าชายน่ะ ส่วนฉันคงเป็นเจ้าหญิงคอยยืนเคียงข้างเขาไม่ได้หรอก เพราะฉันคอยแต่ทำตัวแย่ๆ ใส่เขา 


 


 


“ฉันชอบนายนะ ชเวซูฮยอน” 


 


 


ฉันมองไปที่ซูฮยอน แล้วรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อพูดออกไป เรื่องเดียวที่ฉันสามารถทำให้กับเจ้าทึ่มชเวซูฮยอนได้ ก็คือการส่งผ่านความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกไปในตอนนี้ 


 


 


ฉันก็แค่ดันทุรังไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้นายได้เห็นว่าความจริงแล้วฉันชอบนาย ฉันไม่ชอบตัวเองที่ทำตัวไม่ดี ฉันเลยไม่กล้าที่จะบอกคำนั้นกับนายไป 


 


 


ชเวซูฮยอนมองมาที่ฉันด้วยสายตาตกตะลึง ฉันมองไปที่ดวงตาคู่นั้นที่ทั้งลึกและหนักแน่น ดวงตาคู่ที่กำลังกลอกไปมาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก พร้อมกับพูดออกไปอีกครั้งด้วยพลังทั้งหมด 


 


 


“ฉันชอบนายจริงๆ” 


 


 


ฉันชอบนาย เจ้าชายสุดทึ่มของฉัน 

 

 

 


ตอนที่ 21-1

 

มันช่างเป็นคืนที่ยาวนานเป็นพิเศษ ฉันได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่เพราะนอนไม่หลับ จนในที่สุด ทันทีที่แสงสว่างส่องเข้ามา ฉันก็ลุกขึ้นแล้วกำมือถือเอาไว้ในมือแน่น ขณะที่เดินวนไปมาอยู่ภายในห้องด้วยความวุ่นวายใจ 


 


 


วันนี้คือวันประกาศผลการคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันที่โลซานน์ ผลจะถูกส่งมาที่โรงเรียน ดังนั้นครูประจำชั้นจะเป็นคนติดต่อมาว่าจะผ่านหรือไม่ 


 


 


ความจริงแล้ว ฉันเองก็ไม่ใช่พวกอัจฉริยะระดับรุ่นพี่อีกงหรือว่าเซจิน แล้วก็ไม่ใช่คนที่เริ่มเต้นบัลเลต์ตั้งแต่ยังเดินเตาะแตะเหมือนกับอีเซ หรือว่าจะเคยมีประสบการณ์ไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกับซูฮยอนด้วย 


 


 


อีกทั้งฉันเองก็ไม่ได้มีทั้งพรสวรรค์ แล้วก็ความสมดุลของร่างกายเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันก็เป็นเพียงแค่นักเต้นธรรมดาแบบสุดๆ ที่เห็นได้ทั่วไป ถ้าจะให้นับข้อดีจริงๆ จังๆ ก็คงจะเป็นท่าเทิร์นเอ๊าท์ดีกับไลน์ในการตั้งท่าที่ไม่เลวละมั้ง 


 


 


แล้วคนอย่างฉันเนี่ยนะจะไปโลซานน์ เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ฉันยังไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนที่ได้ยินว่ารุ่นพี่อีกงจะเลิกเต้นคลาสสิก ฉันก็ยังกังวลอยู่เลยว่าจะสามารถเต้นบัลเลต์ต่อไปได้หรือเปล่า 


 


 


แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ฉันเริ่มจะจริงจังขึ้นมาทีละนิด แล้วพอฉันเริ่มตั้งสติได้ ภายในใจของฉันก็มีไฟอันเร่าร้อนเติบโตขึ้นมาใหม่อย่างไม่รู้ตัว ความหลงใหลที่พอๆ กับความฝันที่จะได้เต้นปาเดอเดอกับรุ่นพี่อีกง  


 


 


แม้ว่าฉันจะไม่สามารถเดินบนเส้นทางเดียวกันกับรุ่นพี่ได้ แม้ว่าจะอยู่ในโลกของคลาสสิกที่ไม่มีรุ่นพี่ บัลเลต์ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปเรียบร้อยแล้ว 


 


 


นั่นคงจะเป็นเพราะรุ่นพี่ด้วยละมั้ง ฉันมองหน้าของรุ่นพี่ที่อยู่บนจอโทรศัพท์พลางอมยิ้มออกมาเล็กๆ 


 


 


พอได้มองดูภาพของรุ่นพี่ที่ท้าทายสิ่งใหม่ๆ ไฟก็ลุกโชนขึ้น ฉันอยากจะกลายเป็นนักเต้นสุดเท่ที่ไม่เป็นตัวถ่วงของรุ่นพี่ เป็นเพราะรุ่นพี่ที่คอยกระตุ้น คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนฉันอย่างอ่อนโยนเสมอ ฉันจึงได้รับความกล้าหาญนั้นมา 


 


 


ฉันอยากจะเดิมพันทุกอย่างของฉันกับการแข่งขันที่โลซานน์ ซึ่งกลายเป็นการท้าทายครั้งที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ และทำมันออกมาให้ดีที่สุด  


 


 


เป้าหมายคือรอบชิงชนะเลิศ ฉันจ้องคำนั้นที่ติดอยู่บนโต๊ะในห้องอย่างไม่วางตา พร้อมกับพึมพำออกมาไม่หยุด ขณะที่กำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยใจที่รุ่มร้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ในตอนนั้นเองเสียงเตือนสั้นๆ ที่บอกว่าได้รับข้อความใหม่ก็ดังขึ้น ฉันค่อยๆ กดปุ่มตรงกลาง แล้วตรวจดูชื่อผู้ส่งในหน้าต่างข้อความ ตรงหัวหน้าต่างสี่เหลี่ยมมีตัวอักษรเขียนว่า อาจารย์ประจำชั้น พร้อมกับข้อความสั้นๆ ว่า ‘ประกาศผลโลซานน์!’ 


 


 


“มาแล้ว!” 


 


 


หลังจากที่ฉันเผลอแผดเสียงดังออกมา ฉันก็ใช้นิ้วมือที่สั่นหงึกหงักกดลงที่ปุ่ม ‘ดูข้อความ’ ในหน้าต่างข้อความอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหลับตาสนิททั้งสองข้าง 


 


 


โอ๊ย ทนดูไม่ได้ ทั้งที่จนถึงเมื่อกี้ ฉันสัญญากับตัวเองเป็นร้อยๆ รอบอย่างใจเย็น กำชับแล้วกำชับอีกว่าจะเช็คผลโดยที่ไม่รู้สึกอะไร 


 


 


“ใช่แล้ว คิมฮวีกยอม! เป้าหมายของเธอคือรอบชิงชนะเลิศนี่นา! แล้วเธอจะมาสั่นกับอีแค่ผลรอบคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงได้ยังไงกัน!” 


 


 


เป็นเพราะอาการสั่นที่ลามมาจนถึงขา เลยทำให้ฉันไม่สามารถหายใจได้อย่างเต็มปอด ถึงมันจะดูน่าสงสารจับใจ แต่ไม่ว่าฉันจะลองพูดกับตัวเองอย่างมั่นใจสักเท่าไหร่ เสียงของฉันก็ยังสั่นไม่หยุดเหมือนกับนักกีฬาที่ติดเครื่องรับแรงกระแทกเอาไว้ 


 


 


ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ที่เหมือนกับว่าเส้นเลือดเล็กๆ ทั่วทั้งตัวกำลังกระโดดโลดเต้นไปมา ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ พลางค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่กำลังปิดอยู่ขึ้นมา ตึกตัก ตึกตัก แม้แต่ที่ปลายนิ้วก็เหมือนมีเส้นชีพจรกำลังเต้นอยู่ 


 


 


ระหว่างนั้นที่สายตาของฉันเริ่มจะชินกับความมืดแล้ว สายตาที่มองเห็นเลือนรางอยู่สักพักก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม และทันใดนั้นภาพๆ หนึ่งที่ส่งมาพร้อมกับข้อความของอาจารย์ประจำชั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น 


 


 


“…!” 


 


 


วินาทีนั้น ฉันกลืนคำอุทาน เฮือก ลงไป พลางรีบเอามือข้างหนึ่งมาปิดปากตัวเองเอาไว้ แล้วจึงขยี้ตา กะพริบตา ขยี้ตา แล้วก็กะพริบตาอีก 


 


 


“…เป็นไปไม่ได้” 


 


 


ในที่สุดเสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงถอนหายใจก็ดังออกมาจากปากของฉัน ในรูปภาพที่อาจารย์ประจำชั้นส่งมานั้น แถวสุดท้ายข้างใต้ข้อความสั้นๆ ในภาษาอังกฤษ มีชื่อของฉันเขียนอยู่ 


 


 


 


 


 


[ผ่านแล้วนะ ฮวีกยอม! ไปสวิตกันเถอะ!] 


 


 


 


 


 


ช่วงเวลาที่ฉันอ่านข้อความของอาจารย์ประจำชั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา ทำไงดีตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ทำไงดี ในตอนที่ฉันพูดพลางกระทืบเท้าไปมา และเอาแต่จ้องไปที่ข้อความนั้นอย่างไม่วางตา  


 


 


จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ที่หน้าจอมีข้อความเขียนว่า ‘คิมเซจิน’ เด้งขึ้นมา 


 


 


“เซจิน!” 


 


 


ทันทีที่ฉันกดปุ่มรับสาย ฉันก็เรียกชื่อเซจินเสียงดังลั่นออกมา แล้วเสียงกรีดร้องสูงแหลมที่มีลักษณะเฉพาะตัวของเซจินก็ดังกังวานออกมาจากหูโทรศัพท์ 


 


 


[เป็นไง! คิมฮวีกยอม! นี่! เพื่อน! พวกเราได้ไปด้วยกันจริงๆ ใช่ไหม ใช่ไหม] 


 


 


“เซจิน…” 


 


 


ฉันดีใจที่มีชื่อของตัวเองอยู่ในนั้น จนลืมแม้แต่จะตรวจสอบชื่อของผู้ที่ผ่านเข้ารอบคนอื่นๆ แต่ถ้าเป็นเซจินละก็ ฉันคิดว่าเธอน่าจะผ่านอย่างแน่นอน  


 


 


และคำว่า ‘ด้วยกัน’ ที่หลุดออกมาจากปากของเซจินก็ทำให้ฉันแน่ใจ ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง จนน้ำตาเหมือนกำลังจะระเบิดออกมา 


 


 


[โอ๊ย อย่างกับฝันจริงๆ] 


 


 


“ฉันด้วย ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” 


 


 


พวกเราส่งเสียงดังโวยวาย ปนกับคำอุทานอยู่อย่างนั้นสักพัก จนเมื่อพวกเราหมดแรง พวกเราต่างก็แสดงความยินดีใส่กันไม่หยุดด้วยเสียงแหบพร่า 


 


 


[เออใช่ เธอควรจะโทรบอกรุ่นพี่อีกงนะ!] 


 


 


“อือ บอกอยู่แล้วละ ฉันว่าจะโทรไปหลังจากที่คุยกับเธอเสร็จน่ะ” 


 


 


[อีเซเองก็ติดนะ แล้วถ้ารวมชเวซูฮยอนเข้าไปด้วย ก็จะกลายเป็นว่ามีพวกเราที่เป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งติดตั้งสี่คน นี่มันเหลือเชื่อชะมัด] 


 


 


เซจินตะโกนกรีดร้องสุดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง อีเซกับซูฮยอนก็ได้ไปด้วยกันสินะ โอ๊ย มันค่อยๆ รู้สึกเหมือนกับความฝันขึ้นมาทีละนิด 


 


 


[อ๊ะ มีข้อความส่งมา แป๊บนะ!] 


 


 


เซจินพูดแต่คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ขึ้นมาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ระหว่างที่เช็คดูข้อความอยู่สักพัก ในมือถือของฉันเองก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมาเช่นกัน  


 


 


ฉันกำลังรอที่จะให้เซจินพูดขึ้นมาอยู่ แต่จู่ๆ เสียงของเซจินที่เต็มไปด้วยความมึนงงก็ดังออกมาจากปลายสาย 


 


 


[นี่… กยอมกยอม] 


 


 


“หือ ทำไมเหรอ” 


 


 


[…ไม่มีชเวซูฮยอน] 


 


 


“อ้าว หมายความว่าไง” 


 


 


[รายชื่อล่าสุดที่อาจารย์เพิ่งส่งมาไม่มีชเวซูฮยอน] 


 


 


“…จะเป็นไปได้ยังไง” 


 


 


ดูเหมือนเซจินจะงุนงงสุดๆ ฉันรีบเปิดดูข้อความใหม่ที่เพิ่งจะได้รับเมื่อกี้นี้ทันที 


 


 


“ชั้นปีที่สอง ห้องบี จองโซยอน, ชั้นปีที่หนึ่ง ห้องเอ คิมเซจิน ลีอีเซ คิมฮวีกยอม…เอ๋” 


 


 


จริงด้วย ไม่มีซูฮยอนจริงๆ ด้วย ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัย ทั้งที่ตามประวัติการได้รับรางวัลจากการแข่งขันต่างๆ ของซูฮยอนแล้ว เขาน่าจะถูกละเว้นในการแข่งรอบคัดเลือก แล้วถูกตัดสินให้ไปแข่งที่สวิตด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่าง…ทำไมถึงต้องเป็นรุ่นพี่โซยอนด้วยนะที่ได้ไปด้วยกัน 


 


 


ฉันเอานิ้วมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ พลางนั่งลงบนเตียง ปลายสายเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ความเงียบที่ทั้งทำให้รู้สึกอึดอัดและหนักหน่วง ทำให้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปดี 


 


 


“คงเป็นการเข้าใจผิดแหละ แบบว่า อย่างชเวซูฮยอน ยังไงก็ต้องติดอยู่แล้วสิ” 


 


 


[…ที่จริงฉันก็มีอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่นิดหน่อยน่ะ] 


 


 


แม้ว่าจะแกล้งทำน้ำเสียงสดใจเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความหมายในคำตอบของเซจิน ก็ทำให้ฉันคาดเดาได้รางๆ  


 


 


วินาทีที่ฉันตรวจดูว่าไม่มีชื่อของซูฮยอนอยู่ในรายชื่อด้วยตาทั้งสองข้าง เรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนก็ผุดขึ้นมา ที่ซูฮยอนแยกไปห้องพักอาจารย์เพราะว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับอาจารย์ อีกทั้งสภาพเมื่อเร็วๆ นี้ก็ดูจะไม่ดีอย่างสังเกตได้ และเขาก็เริ่มจะขาดซ้อมในวิชาอิสระบ่อยขึ้น 


 


 


[…จะต้องเป็นผลข้างเคียงแน่ๆ] 


 


 


ไม่มีคำพูดใดดังลอดมาจากปลายสายอีกนอกไปจากเสียงหายใจเบาๆ ฉันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ พลางนอนลงบนเตียง เสียงสปริงดังเอี๊ยดอ๊าดไปทั่วห้องที่เงียบสงบ 


 


 


“ไม่ใช่หรอก ตอนงานแสดงประจำฤดูเขาก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรนี่นา” 


 


 


ฉันพยายามที่จะไม่หวั่นไหว และหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะยังไง คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบอย่างชเวซูฮยอนเนี่ยนะ นักบัลเลต์ที่มักจะเป็นอันดับหนึ่งตอนซ้อมอย่างบ้าคลั่งอย่างชเวซูฮยอนเนี่ยนะ 


 


 


ซูฮยอนที่ฉันรู้จัก ต่อให้เป็นโรคที่เกิดจากผลข้างเคียงยังไง หมอนั่นก็คงจะเอาชนะมันด้วยใจที่หนักแน่น ซูฮยอนที่เป็นแบบนั้น กลับยอมแพ้เรื่องโลซานน์เพราะผลข้างเคียงเนี่ยนะ ให้ตายสิ ยังไงฉันก็ไม่มีทางเชื่อหรอก 


 


 


[…ฉันเองก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น] 


 


 


เสียงของเซจินค่อยๆ จมดิ่งลงเรื่อยๆ 


 


 


[ถ้าหากว่าเขาเกิดมีผลข้างเคียงจริงๆ… ฉันคงจะไม่กล้ามองหน้าหมอนั้นอีกครั้งแน่ๆ ฉันอาจจะรู้สึกผิดจนอยากตายไปเลยก็ได้] 


 


 


“…เซจิน” 


 


 


[เพราะเขารู้ว่าฉันเป็นแบบนั้น ดังนั้นต่อให้เกิดผลข้างเคียงขึ้น เขาก็จะบอกว่าไม่ได้เป็น หมอนั่นเป็นคนอย่างนั้นแหละ] 


 


 


เสียงถอนหายใจของเซจินที่ปนกับเสียงหัวเราะชอกช้ำดังขึ้นมา ฉันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ และทำได้เพียงหายใจนิ่งๆ 


 


 


[ฉันควรแกล้งทำเป็นไม่รู้ดีไหม แต่ว่าจะได้เหรอทั้งๆ ที่ฉันรู้สึกค้างคาใจขนาดนี้ ฉันควรจะทำยังไงดี ฮวีกยอม] 


 


 


เซจินเอาแต่พึมพำออกมาไม่หยุด ก่อนที่ในไม่ช้า เธอจะพูดคำว่าขอโทษ และเสริมด้วยคำว่า ฉันคงจะพูดเยอะไปแล้วสินะ น้ำเสียงของเซจินฟังดูเหนื่อยมากทีเดียว 


 


 


ฉันรีบบอกว่า ไม่เป็นไร อย่าพูดอย่างนั้นเลยน่า ขณะที่ตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายเซจินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็วางสายไป 


 


 


ฉันหลับตาทั้งสองข้างลงพลางทิ้งมือข้างที่กำโทรศัพท์อยู่ลงไปบนเตียง ลายของเพดานที่จ้องมองมาจนถึงเมื่อกี้กำลังวนเวียนไปมาอยู่ในสายตาที่มืดมิด 


 


 


ฉันเงียบและเอาแต่หายใจเข้าออกอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนจะเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทางที่เชื่องช้า เสียงของรุ่นพี่อีกง ฉันอยากจะฟังเสียงของรุ่นพี่ที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ จนจะบ้าตายอยู่แล้ว 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ฉันกับรุ่นพี่อีกง และเซจินกับอีเซนั่งล้อมวงอยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ในหมู่บ้าน พวกเราต่างก็เอาแต่นั่งถูถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าไปมาโดยไม่ยอมพูดอะไรอยู่สักพัก  


 


 


เซจินที่เอาแต่นั่งถอนหายใจอยู่นั่น ร้องไห้ไปเยอะขนาดไหนกันนะ หน้าถึงได้บวมเป่งขึ้นมาเหมือนกับลูกชิ้นบวมน้ำแบบนั้น ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี 


 


 


อีเซเอาแต่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวายใจไม่หยุด ก่อนที่ในไม่ช้า หมอนั่นจะถอนหายใจออกมายาวๆ พลางเอนตัวลงไปพิงพนักเก้าอี้ ทั้งที่อุตส่าห์ได้ไปโลซานน์ตามที่หวังเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด บางทีทุกคนเองก็คงจะรู้สึกแบบนั้น 


 


 


ฉันกัดริมฝีปากพลางเอามือทั้งสองข้างที่เคยรวบไว้บนตักมาประสานกันแน่น ต่อจากนั้นรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กุมมือของฉัน พลางลูบที่หลังมือเบาๆ  


 


 


ท่าทางนั้นที่เหมือนจะพยายามปลอบประโลมความกังวลใจของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ฉันจึงหันไปพยักหน้าให้กับรุ่นพี่ที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ 


 


 


“…ก็อย่างที่ได้บอกไปในโทรศัพท์นั่นแหละ อาจารย์ได้เช็คดูปัญหาของซูฮยอนแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 21-2

 

หลังจากความเงียบอันยาวนาน ริมฝีปากอันหนักอึ้งของรุ่นพี่อีกงก็เริ่มขยับ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ขณะที่หลับตาทั้งสองข้างไว้แน่น ฉันไม่มีความกล้าแม้แต่จะฟังคำพูดต่อไปเลยสักนิด ไม่สิ ไม่มีความกล้าพอที่จะมองดูเซจินที่กำลังจะได้ฟังคำนั้นมากกว่า 


 


 


“ตามที่อาจารย์พูด ซูฮยอนเป็นฝ่ายมาบอกก่อนเองว่าจะไม่ไปโลซานน์น่ะ แน่นอนว่าอาจารย์ก็ถามไปว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาไม่ได้บอกเหตุผลที่แน่ชัดออกมา บอกแค่ว่าคงจะลำบากที่จะขึ้นไปยืนบนเวที…” 


 


 


“เขาจะต้องได้รับผลข้างเคียงแน่ค่ะ” 


 


 


เซจินคือคนที่พูดตัดบทรุ่นพี่อีกงขึ้นมา เซจินซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตัวเองเอาไว้ภายใต้ผ้าพันคอ มองตรงไปที่รุ่นพี่อีกง แล้วพูดต่อด้วยเสียงแหบพร่า 


 


 


“เขาทำตัวแปลกๆ มาสักพักแล้วค่ะ ทั้งที่โรงเรียน แล้วก็ตอนที่เจอกันตามลำพังด้วย เขาดูจะเป็นกังวล ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยด้วย” 


 


 


“…แต่ว่าหลังจากอุบัติเหตุเขาก็ขึ้นเวทีตามปกตินี่นา ตรงกันข้าม เขายังดูปกติดีกว่าเธออีกนะ เซจิน” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำของอีเซทำให้เซจินปิดปากเงียบ พลางหลุบสายตาลงต่ำ เป็นอย่างที่อีเซพูด ซูฮยอนเมื่อตอนงานแสดงประจำฤดูดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่พอให้สงสัยว่าจะมีผลกระทบจากผลข้างเคียงเลย  


 


 


ถ้างั้น หรือว่าหลังจากนั่นจู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างงั้นเหรอ อาการเจ็บหรือเปล่า หรือจะเป็นโรคกลัวเวที ถ้าไม่ใช่ละก็… 


 


 


“หรือว่า…” 


 


 


ทันทีที่ฉันเปิดปากพูดออกมาอย่างระมัดระวัง สายตาของทุกคนก็มารวมกันที่ฉัน ฉันกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงไปในลำคอที่แข็งและแห้งผาก อาจจะ ก็แค่อาจจะนะ… 


 


 


“เขาอาจจะกลัวที่จะทำผิดพลาดก็ได้นะ” 


 


 


“…หมายความว่ายังไงเหรอ” 


 


 


“มันคือเรื่องจริงนะ ที่ว่าหมู่นี้สุขภาพของซูฮยอนดูไม่ค่อยดีเลย เพราะงั้น บางทีเขาอาจจะรู้สึกกังวลว่าตัวเองจะทำอะไรพลาดไปก็ได้นะ” 


 


 


“สภาพร่างกายมันก็เปลี่ยนไปได้ทุกวัน แล้วเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่แสดงออกมาเป็นพิเศษ เขาไม่มีทางที่จะรู้สึกกังวลหรอก อีกอย่างเขาจะยอมแพ้เรื่องโลซานน์แค่เพียงเพราะเหตุผลว่าเขารู้สึกกังวลเนี่ยนะ” 


 


 


“ทุกคนก็รู้ดีนี่หน่า ว่าชเวซูฮยอนน่ะ เป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบขั้นสุดน่ะ” 


 


 


เซจินกับอีเซทำหน้าเหลอหลา พลางถามกลับว่า แล้วมันทำไมล่ะ รุ่นพี่ที่เหมือนจะเข้าใจในความหมายของคำพูดของฉัน จึงได้แต่ขมวดคิ้ว พลางเอามือก่ายหน้าผาก 


 


 


“ต่อให้สภาพร่างกายไม่ดี ซูฮยอนเมื่อก่อนก็มีความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถควบคุมมันได้ แต่ว่าถ้าเกิดหลังจากอุบัติเหตุ ความรู้สึกกังวลทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ละก็…” 


 


 


ฉันหยุดพูดพลางหายใจ แล้วเกร็งมือที่กำลังประสานกันอยู่ 


 


 


“ไม่สิ ไม่จำเป็นจะต้องเอาเรื่องสภาพร่างกายมาเปรียบเทียบก็ได้ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ อุบัติเหตุอาจจะสลักคำว่า ‘แผลเป็น’ ลงไปภายในหัวของซูฮยอนก็ได้ รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกบัลเลต์ของชเวซูฮยอนผู้ที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่เคยได้รับบาดแผลมาก่อนเลยสักครั้งยังไงละ” 


 


 


“…” 


 


 


“ตอนที่ขึ้นไปยืนบนเวที ไม่ใช่ด้วยสภาพที่รู้สึกหวาดกลัวเพราะภาพติดตาจากอุบัติเหตุ แต่ด้วยสภาพที่มีรอยแผลเป็น ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่เคยสมบูรณ์แบบ บางทีเขาอาจจะกลัวว่าจะทำผิดพลาดลงไปก็ได้ บางทีเขาอาจรู้สึกปวดหัว หรือมึนหัวขึ้นมาเป็นบางครั้งก็ได้ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนที่ยึดติดความสมบูรณ์แบบอย่างชเวซูฮยอนสั่นไหวก็ได้” 


 


 


“…PTSD(ภาวะผิดปกติทางจิตใจหลังจากเหตุการณ์รุนแรง)สินะ” 


 


 


พอรุ่นพี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ใบหน้าของทุกคนก็แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“ถ้าเป็นปัญหาอย่างอาการเจ็บปวด เขาคงจะพยายามหาวิธีรักษา แต่ถ้าเป็นแผลเป็นทางจิตใจจากอุบัติเหตุ มันก็น่าจะแสดงออกมาตั้งแต่ในงานแสดงประจำฤดูแล้วด้วย” 


 


 


“งงชะมัด” 


 


 


อีเซยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมใบหน้า พลางพึมพำเบาๆ แล้วความเงียบก็กลับมาลงตรงกลางวงของพวกเราอีกครั้ง 


 


 


โรคย้ำคิดย้ำทำที่เกิดจากภาวะผิดปกติทางจิตใจหลังจากเหตุการณ์รุนแรง เป็นโรคที่มีเกิดขึ้นอยู่บ้างกับเหล่านักเต้น อย่างเช่น หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็จะคิดว่าร่างกายของตัวเองเคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนเดิม แล้วก็จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นเกินความจำเป็น 


 


 


บางทีถ้าซูฮยอนทำพลาดบนเวทีหลังจากที่ได้ไปยืนอยู่บนนั้นอีกครั้งหลังอุบัติเหตุ เขาอาจจะกลัวที่จะต้องยอมรับก็ได้ ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวของเขาเอง 


 


 


ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้น ซูฮยอนก็คงจะรู้ตัวเองดีว่า ต่อให้ใช้วิธีอะไร หรือต่อให้ต้องไล่ต้อนตัวเองจนจนมุมยังไง เขาก็จะพยายามกลับไปยืนที่เดิมให้ได้ และจุดสิ้นสุดของการกระทำนั้น ก็จะมีผลลัพธ์ที่ว่าร่างกายของเขาจะพังทลายลงจนไม่สามารถเต้นได้อีกต่อไปรออยู่อีกด้วย 


 


 


“…ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ฉลาดมากที่จะไม่ไปโลซานน์น่ะ” 


 


 


“แต่ว่านะพี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเลี่ยงได้ตลอดไปนี่นี่นา มันเป็นปัญหาที่สักวันหนึ่งก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดีนะ” 


 


 


“พี่ก็หวังแหละนะว่าซูฮยอนจะสามารถเตรียมใจยอมรับ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงก็ตาม…” 


 


 


รุ่นพี่ยิ้มอย่างขมขื่น พลางพูดอย่างแผ่วเบาในตอนท้ายประโยค ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดีอยู่หรอก ถึงความเป็นไปได้มันจะเลือนรางก็เถอะ 


 


 


ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางมองไปที่เซจิน เซจินกำลังจ้องไปที่หน้าของรุ่นพี่อีกงด้วยใบหน้าที่ดูเฉยเมยกว่าที่คิด ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่เซจินจะยอมเปิดปากพูดออกมาในที่สุด 


 


 


“พวกเรามาสรุปกันเอาเองแบบนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” 


 


 


เซจินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนจะยกถ้วยกาแฟที่ไม่ได้ดื่มสักหยดขึ้นมา แล้วลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง พอทุกคนเผลอลุกขึ้นตามเธอ เซจินก็ยักไหล่หนึ่งที พลางยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสดใส 


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็ ฉันก็จะตีชเวซูฮยอนสักป้าบ แล้วก็แก้ไขให้หายเป็นปกติให้ได้” 


 


 


“…เซจิน” 


 


 


“ฉันน่ะ เอาชนะความกลัวแล้วขึ้นไปยืนบนเวทีได้ก็เพราะชเวซูฮยอน แล้วคนที่ช่วยฉันจากอุบัติเหตุก็คือหมอนั่นด้วย เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ก็ถึงตาที่ฉันจะต้องช่วยหมอนั่นบ้างแล้วละ” 


 


 


ใบหน้าของเซจินตอนที่พูดคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างหน้าตาเฉยดูหนักแน่นมาก ฉันจึงได้แต่จ้องหน้าเธอโดยไม่พูดอะไร ให้ตายสิ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจสมกับเป็นเซจินนั่น สุดท้ายฉันจึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะตามเซจินออกมา 


 


 


“ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า รุ่นพี่ก็ด้วยนะคะ ไปตั้งใจฝึกซ้อมซะเถอะ ถ้าไม่อยากจะตกรอบทันทีที่เพิ่งเสียค่าสมัครไปน่ะ” 


 


 


ท่าทางของเซจินที่ทำสีหน้าตลกๆ ออกมาพร้อมกับตีไหล่ของฉันกับอีเซ ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยละ ฉันพยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้าง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ลมเย็นๆ พัดผ่านทั่วทั้งถนนที่ค่อยๆ มืดลง แม้ว่าจะถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ฉันก็ยังทำใจปล่อยมือของรุ่นพี่ที่จับมาสักพักไม่ได้ เพราะจู่ๆ ความปลื้มปีติและความความกังวลที่เกี่ยวกับการผ่านรอบคัดเลือกที่โลซานน์ซึ่งถูกลืมไปซะสนิทเพราะปัญหาของซูฮยอนก็ถาโถมเข้ามา 


 


 


“ยังรู้สึกไม่ดี เพราะเรื่องของซูฮยอนงั้นเหรอ” 


 


 


“…ไม่ค่ะ เรื่องนั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า…” 


 


 


ฉันพูดไม่จบประโยค พลางก้มหน้ามองต่ำลง 


 


 


“เอาเข้าจริง พอคิดว่าจะได้ไปโลซานน์แล้ว ฉันก็รู้สึกกังวลว่าจะสามารถทำได้ดีหรือเปล่าน่ะค่ะ ฉันเองก็อยากจะทำทุกอย่างให้ออกมาดีๆ รวมไปถึงในส่วนของซูฮยอนด้วย แต่ฉันไม่มีความมั่นใจเลยค่ะ” 


 


 


ฉันยืนเอาปลายเท้าเขี่ยพื้นไปมา ส่วนรุ่นพี่ก็กุมมือของฉันไว้ แล้วค่อยๆ ลูบหัวฉันช้าๆ พลางพูดขึ้น 


 


 


“ทำใจให้สบาย ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีเอง” 


 


 


“…ฉันนี่มันน่าขำจริงๆ เลยนะคะ” 


 


 


ฉันรู้สึกอับอายกับท่าทีของตัวเองที่เอาแต่คอยเป็นกังวล ต่างจากใจที่เคยแน่วแน่ซะขนาดนั้น จนถึงกับพึมพำกับตัวเองออกมา แต่แล้วรุ่นพี่ก็ยิ้มบางๆ พลางกอดฉันเอาไว้แน่น 


 


 


“ไม่นี่ ไม่เห็นจะน่าขำเลย” 


 


 


“…” 


 


 


“ขนาดพี่เองยังตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย ถึงขนาดฝันร้ายเลยนะ” 


 


 


“…โกหก” 


 


 


“จริงๆ” 


 


 


ฉันทำหน้างอนพลางมองไปที่รุ่นพี่ อัจฉริยะอย่างรุ่นพี่อีกงยังถึงขนาดตื่นเต้นจนฝันร้ายเลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะ รุ่นพี่เอาแขนมาโอบคอฉันเอาไว้ ก้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน พลางพูดต่อด้วยเสียงเบาๆ 


 


 


“ทั้งกลัว ทั้งกังวลจนอยากจะบ้าตายเลยละ เป็นเพราะคนรอบข้างต่างก็คิดว่าพี่จะต้องเข้าไปจนถึงรอบสุดท้ายแน่ มันก็เลยรู้สึกหนักใจน่ะ ว่าถ้าทำให้พวกเขาผิดหวังล่ะ ถ้าเกิดว่าพี่ทำได้ไม่เต็มที่ล่ะ” 


 


 


“…พอลองฟังๆ ดูแล้ว ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละนะคะ” 


 


 


“แล้วที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ถึงโลซานน์แล้ว คนอื่นๆ ก็ยิ่งชื่นชมพี่หนักเข้าไปอีก จนพี่คิดว่า อย่างพี่เนี่ยจะสามารถเอาชีวิตรอดที่นี่ได้หรือเปล่า แล้วมันก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ…” 


 


 


รุ่นพี่ทำสีหน้าคลุมเครือเหมือนกำลังนึกย้อนไปถึงอดีต 


 


 


“แต่ว่ากลับกัน มันก็เกิดเป็นความอวดดีขึ้นมาแทนว่าพี่จะต้องทำออกมาได้ดีแน่นอน ว่าพี่อยากจะเป็นที่หนึ่ง อยากจะเอาทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมาจากที่นี่ มาเป็นของตัวเองซะ” 


 


 


“…” 


 


 


“แม้ว่าสิ่งสำคัญจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี แต่พี่ก็คิดว่าสิ่งที่พี่ได้เห็นด้วยตา และได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นสำคัญยิ่งกว่า มันตื่นเต้นจนทำให้หัวใจเต้นรัวเลยละ” 


 


 


รุ่นพี่ยิ้มสั่นๆ พลางจุ๊บลงเบาๆ ที่หน้าผากของฉัน ฉันจึงกอดเอวรุ่นพี่ไว้ พลางพยักหน้านิ่ง การได้อยู่ในอ้อมกอดของรุ่นพี่แบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกอย่างกับว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่างเลยจริงๆ  


 


 


“ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่” 


 


 


ฉันเอาหน้าซุกลงไปที่หน้าอกของรุ่นพี่ พลางพูดขึ้นมาเบาๆ กลิ่นตัวของรุ่นพี่ที่ทำให้ปลายจมูกรู้สึกจั๊กจี้ เป็นเหมือนยาระงับความตื่นเต้นที่ทำให้ความกังวลซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจสลายหายไป 


 


 


“เอาละ รีบเข้าบ้านไปได้แล้ว อยู่ตรงนี้นานๆ เดี๋ยวเป็นหวัดเอานะ” 


 


 


รุ่นพี่ปล่อยฉันจากอ้อมกอดและดึงแก้มของฉันเบาๆ ฉันเก็บกอดความรู้สึกเสียดายเอาไว้ แล้วปล่อยมือจากเอวของรุ่นพี่ ในตอนนั้นเอง อยู่ดีๆ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็เริ่มร้องเสียงดังขึ้นมา ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างลนลาน และที่หน้าจอก็มีเบอร์แปลกเด้งขึ้นมา 


 


 


“สวัสดีค่ะ” 


 


 


[ค่ะ สวัสดีค่ะ นี่ใช่ครอบครัวของคุณลีฮยอนจองหรือเปล่าคะ] 


 


 


ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ฉันจึงค่อยๆ กดรับโทรศัพท์สายนั้น แต่น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากปลายสายกลับพูดถึงชื่อของคุณป้าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรีบร้อนแปลกๆ 


 


 


“ค่ะ… คุณป้าของหนูเอง ว่าแต่มีเรื่อง…” 


 


 


[คือ ที่นี่คือห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลซองโมนะคะ เนื่องจากว่าเมื่อสักครู่นี่คุณลีฮยอนจองเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์…] 


 


 


ชั่วพริบตานั้น ฉันสงสัยว่าฟังผิดไปหรือเปล่า แม้ว่าปลายสายจะกำลังพูดอะไรสักอย่างออกมาอย่างรีบร้อน แต่หูของฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิดเดียว หัวใจของฉันกำลังเต้นเร็วจนเหมือนกับจะระเบิดออกมา มึนหัวจัง มึนหัวมากจนรู้สึกคลื่นไส้ 


 


 


ฉันยืนเหม่อขณะที่กำลังถือโทรศัพท์ไว้ด้วยร่างกายที่สั่นจนไม่สามารถควบคุมได้ ฉันเห็นรุ่นพี่ประคองไหล่ฉัน และพูดอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ เหมือนเขาจะบอกอะไรฉันสักอย่าง แต่ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น 


 


 


จนสุดท้าย ฉันก็ทรุดฮวบลงตรงนั้น ฉันสัมผัสได้ถึงมือของรุ่นพี่ที่ประคองตัวฉันไว้ ภายในหัวที่นึกเรื่องอะไรไม่ออกสักอย่างกำลังมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นมาไม่หยุด 

 

 

 


ตอนที่ 22-1

 

โรงพยาบาลมักจะให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสมอ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่แสบจมูกจนขนลุก อากาศแห้งที่เหมือนกับจะดูดความชื้นของทั้งร่างกายเข้าไป สีหน้าของผู้คนที่หม่นหมองและเย็นชา  


 


 


ฉันนั่งเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่กลางโรงพยาบาลที่หนาวเหน็บนั่น มีเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องดังไปทั่วทุกที่ในห้องฉุกเฉินที่วุ่นวาย 


 


 


“…ไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นแล้วจริงเหรอ ถึงจะเป็นคนในครอบครัว แต่ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะน่ะ เป็นเจ้าของคนไข้ไม่ได้หรอกนะ…” 


 


 


แพทย์หนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันกำลังทวนคำถามเดิมซ้ำไปมาด้วยสีหน้าลำบากใจ ในชาร์ตที่เขาถืออยู่ดูเหมือนจะมีใบยินยอมหลายอย่างเพื่อให้ทำการรักษาคนไข้เสียบอยู่ 


 


 


“คุณปู่กับคุณย่าก็เสียไปแล้ว พี่น้องก็มีแค่คุณพ่อของหนู แต่ว่าเราไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วค่ะ ส่วนญาติคนอื่นๆ หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” 


 


 


พอฉันตอบคำถามกลับไปแบบเดิม คุณหมอก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ ก่อนจะใช้ชาร์ตนั้นเกาหัวที่ยุ่งเหยิง พลางพูดขึ้น 


 


 


“เข้าใจแล้วครับ นี่เป็นเรื่องด่วนมาก ผมจะส่งตัวคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัดก่อน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากรอให้คนไข้ฟื้นขึ้นมา” 


 


 


คำว่าฉุกเฉินเป็นเหมือนใบมีดที่ปักลงตรงกลางใจของฉัน ฉันเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าซึ่งเปียกปอนไปด้วยน้ำตามาได้สักพักแล้ว พลางก้มหน้า เหมือนหัวหนักอึ้งจนแทบเงยหน้าไม่ขึ้น 


 


 


วันนี้ช่างเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอันแสนสั้นของฉันจริงๆ ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูร้อนที่มักจะนำพาโชคร้ายมาให้แท้ๆ แต่เรื่องหนักหนาสาหัสกลับถาโถมเข้าใส่ฉัน 


 


 


 “…ดื่มน้ำสักหน่อยสิ” 


 


 


ทันทีที่คุณหมอเดินจากไป รุ่นพี่อีกงที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างฉันมาสักพักก็เปิดฝาขวดน้ำเปล่าที่ถืออยู่ออก แล้วยื่นมาไว้ตรงหน้าฉัน ฉันร้องไห้ไปเยอะขนาดไหนกันนะ ตาถึงได้แห้งขนาดนี้ ฉันยื่นมือไปรับขวดน้ำที่รุ่นพี่ยื่นมาให้อย่างเชื่องช้า แต่ก็ไม่สามารถดื่มมันลงไปได้ 


 


 


เมื่อขาสั่นไม่หยุด แล้วมือก็เอาแต่กำขวดน้ำเปล่าไว้แน่น รุ่นพี่จึงโอบไหล่ฉันอย่างเงียบๆ กลิ่นตัวเองรุ่นพี่, เสียงหายใจบางๆ มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายหน่อยๆ ฉันพยายามสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พลางกำขวดน้ำเหมือนกับจะบีบให้แหลกคามือ 


 


 


“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” 


 


 


เสียงกระซิบของรุ่นพี่ที่ดังเข้ามาในหูนั้นเป็นเหมือนกับเวทมนตร์ ฉันกัดริมฝีปากแน่น พลางพยักหน้าเบาๆ ใช่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก จะต้องไม่เป็นอะไร คุณป้าเข้มแข็งจะตาย ท่านมักจะทำหน้าเหมือนไม่เป็นอะไร แล้วก็ยิ้ม พร้อมกับบอกว่า ไม่มีอะไรหรอกน่า 


 


 


ฉันเอาแต่ท่อง แล้วก็ท่องซ้ำไปเรื่อยๆ ทำไมกลับยิ่งรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าเดิมกันนะ จนสุดท้ายฉันก็เอนตัวพิงรุ่นพี่แล้วร้องไห้ออกมา 


 


 


“…ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี” 


 


 


รุ่นพี่กระซิบคำที่เป็นเหมือนกับมนต์วิเศษ พลางตบไหล่ของฉันอยู่อย่างนั้นสักพัก จนฉันรู้สึกว่าตัวเองทำให้ไหล่ของรุ่นพี่เปียกชุ่มไปหมด 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


การผ่าตัดของคุณป้ากินเวลากว่าห้าชั่วโมง ใบหน้าของคุณป้าที่ฉันได้เห็นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ถูกย้ายไปยังห้องไอซียูดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ฉันเห็นสายต่างๆ ที่ห้อยระโยงระยาง เครื่องมือมากมายที่ฉันไม่รู้จักชื่อห้อยอยู่ตามตัวของคุณป้า และแม้แต่รอยเลือดที่ยังไม่ทันได้เช็ด 


 


 


ฉันจับมือของคุณป้าไว้โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเริ่มสวดมนต์ขอพรจากใครสักคน 


 


 


“ญาติของคุณลีฮยอนจองคะ นี่คือรายการสิ่งของที่จำเป็นสำหรับห้องผู้ป่วยโคม่านะคะ ของพวกนี้สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าในโรงพยาบาล ดังนั้นกรุณาเตรียมแล้วนำขึ้นมาในตอนนี้เลยนะคะ” 


 


 


นางพยาบาลพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ในโทนเดียว แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินหายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไรสักคำ 


 


 


ฉันมองกระดาษแผ่นนั้นทั้งที่น้ำตายังคลอเบ้า พอได้อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานมากๆ แล้ว ความรู้สึกทั้งหมดก็เหมือนกับจะแห้งเหือดไป เพราะอย่างนั้นหรือเปล่านะสีหน้าของผู้คนที่โรงพยาบาลถึงได้เย็นชาเหมือนกับหุ่นยนต์กันไปหมด 


 


 


ไม่รู้ทำไม แต่ฉันรู้สึกเหมือนแรงทั่วทั้งร่างกายมันหายไป จนฉันต้องทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้า รุ่นพี่หยิบกระดาษที่ฉันถืออยู่ในมือไป แล้วพูดว่า เดี๋ยวพี่กลับมานะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังลิฟต์อย่างเงียบๆ 


 


 


ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยคำว่า ขอบคุณ ขณะเอนหัวพิงพนักเก้าอี้ก็หลับตาทั้งสองข้าง แสงไฟในโถงทางเดินมืดๆ ราวกับจะแทรกเข้ามาในดวงตา 


 


 


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ ดูเหมือนฉันจะงีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่ฉันรู้สึกได้ว่ามีใครมาจับที่ไหล่ของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันก็ได้สติ แล้วลืมตาขึ้น นาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงกำแพงชี้บอกเวลาตีสอง 


 


 


“เขาบอกว่าสามารถเข้าเยี่ยมได้พรุ่งนี้ตอนเที่ยงกับตอนห้าโมงเย็น แค่วันละสองรอบน่ะ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ซึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันจึงพยักหน้าแล้วค่อยๆ พยุงร่างกายที่หนักอึ้งเหมือนกับจมอยู่ในน้ำขึ้นมา ตอนนี้ฉันจะต้องทำอะไรนะ ฉันพยายามตั้งสติอันเลือนรางพลางกะพริบตาทั้งสองข้าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่ก็มองฉันกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยหน่อยๆ พลางยิ้มเล็กๆ 


 


 


“…ขอโทษนะคะรุ่นพี่ เป็นเพราะฉันแท้ๆ เลยต้องมาอยู่จนดึก…” 


 


 


ในตอนนั้นที่ฉันเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ารุ่นพี่ไม่ได้กลับบ้านเลยจนถึงเวลานี้ ฉันจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางลนลาน รุ่นพี่ที่เห็นแบบนั้นจึงจับมือฉันไว้ ก่อนจะยิ้มหวานขึ้นมา พลางบอกว่า ไม่เป็นไร 


 


 


“เดี๋ยวพี่ไปส่ง ไปเถอะ” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่กระซิบบอกอย่างนุ่มนวลดูแหบเล็กๆ จริงเหรอเนี่ย ที่รุ่นพี่อยู่ข้างๆ ฉัน มันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามยิ้ม ขณะออกแรงจับมืออันแข็งแกร่งของรุ่นพี่ 


 


 


 


 


 


ตั้งแต่ขึ้นแท็กซี่กลับมาถึงบ้าน จนกระทั่งเปิดประตูทางเข้า รุ่นพี่ไม่ยอมปล่อยมือฉันเลย ข้างในบ้านที่มืดมิดซึ่งไม่ได้เปิดไฟ มันช่างดูน่ากลัวและเปล่าเปลี่ยวเป็นพิเศษ ฉันยืนถอดรองเท้าอยู่ตรงหน้าทางเข้า แล้วจึงค่อยปล่อยมือจากรุ่นพี่ 


 


 


“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคะ รุ่นพี่” 


 


 


ฉันพูดคำขอบคุณออกมาจากใจจริง พลางก้มหัวลง รุ่นพี่ส่ายหน้าเบาๆ พลางลูบหัวของฉัน 


 


 


“คงจะเหนื่อยน่าดู รีบเข้าไปเถอะ พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่มารับนะ” 


 


 


“…รุ่นพี่ก็ด้วยนะคะ พ่อแม่ของรุ่นพี่คงจะโกรธใหญ่แล้วแน่ๆ” 


 


 


ฉันแกล้งทำเป็นหัวเราะออกมาขณะพูด รุ่นพี่จึงหัวเราะออกมาเบาๆ 


 


 


“ถึงจะน่าเศร้า แต่พี่น่ะไม่เหมือนเธอหรอก เพราะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป พี่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองยังไงละ” 


 


 


“…โอ๊ะ พอฟังแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นสินะคะ” 


 


 


“พอฟังแล้ว… งั้นเหรอ ช่วยสนใจแฟนสักนิดนึงได้ไหมครับเนี่ย” 


 


 


รุ่นพี่หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง พลางเอามือขยี้หัวฉันเล่น ถึงจะแค่แป๊บเดียว แต่รอยยิ้มนั้นก็ทำให้ร่างกายที่เย็นเฉียบของฉันรู้สึกอุ่นขึ้น ฉันยักไหล่ ก่อนจะหันไปโบกมือให้รุ่นพี่ 


 


 


“ถึงงั้นก็เถอะ กลับบ้านดีๆ นะคะ” 


 


 


“เข้าใจแล้ว ปิดประตูบ้านดีๆ ด้วยละ” 


 


 


รุ่นพี่หันมายิ้มหวานให้ฉัน ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปเปิดประตูทางเข้า แล้วเสียงของเหล็กเก่าๆ ก็ดังขึ้น  


 


 


วินาทีนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวทำให้ฉันตัวสั่น ขณะที่หันไปมองข้างในบ้าน ความมืดที่ดูจะมืดเป็นพิเศษ อากาศหนาวเหน็บที่ไม่รู้สึกถึงไออุ่นของคน เมื่ออยู่ดีๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวในเวลาแบบนี้ ฉันก็เกิดกลัวขึ้นมา 


 


 


ถ้าเกิด ถ้าเกิดว่ามีบางอย่างผิดพลาด แล้วคุณป้าไม่สามารถกลับบ้านได้ ฉันจะทำยังไงดี ถ้าฉันถูกทิ้งให้ต้องอยู่ในบ้านที่ทั้งหนาวและน่ากลัวนี้ ฉันควรจะทำยังไง หากคุณป้าทิ้งฉันไป เหมือนที่ทั้งพ่อและแม่ทิ้งฉันไปละ… 


 


 


“ระ รุ่นพี่คะ!” 


 


 


พอฉันเผลอตัวเรียกรุ่นพี่ออกไปด้วยเสียงแหลมสูง รุ่นพี่ที่กำลังจะเปิดประตูเดินออกไปข้างนอกพอดีจึงหันกลับมามองฉัน ดวงตาของเขาที่เบิกโพลงด้วยความสงสัยเป็นสีดำสนิทเหมือนกับความมืด  


 


 


อึก ฉันกลืนน้ำลาย พลางยื่นมือไปจับแขนรุ่นพี่เอาไว้ 


 


 


“คือว่า… ฉัน…” 


 


 


ฉันเอาปลายนิ้วเกี่ยวที่เสื้อโค้ทของรุ่นพี่ทั้งหนาและนุ่ม ก่อนจะแสดงท่าทีลังเลอยู่สักพัก รุ่นพี่ก้มหน้ามองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉันกลืนน้ำลายอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดออกมา แล้วพูดสุดเสียง 


 


 


“…ชะ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


เพราะกลัวว่าจะดูเหมือนกับเด็กๆ ฉันเลยไม่กล้าพูดออกไปว่ากลัวที่จะอยู่คนเดียว และไม่กล้าพูดออกไปด้วยว่าฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องไม่ดี  


 


 


คำพูดของฉันที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไม่หยุดทำให้แววตาของรุ่นพี่ดูจะตกใจมาก รุ่นพี่ไม่พูดอะไรอยู่สักพัก ขณะที่ทอดสายตามองมาที่ฉัน สายตาของเขาดูจะสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“…ไม่ดีกว่าค่ะ รุ่นพี่ ถือซะว่าไม่ได้ยินก็แล้วกันนะคะ” 


 


 


ฉันที่สองจิตสองใจอยู่นั้น มือก็ค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อที่จับอยู่ ถึงฉันจะอยากให้รุ่นพี่บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อน แต่ฉันก็รู้ว่ามันเป็นคำขอที่มากเกินไป และรุ่นพี่ก็อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนจนดึกดื่นขนาดนี้แล้วแท้ๆ 


 


 


แต่แล้วรุ่นพี่ก็ยื่นมือมาจับมือของฉันที่ค่อยๆ ผละออก ฉันสะดุ้งโหยง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ 


 


 


“อยู่สิ” 


 


 


อยู่ๆ น้ำเสียงหนักแน่นของรุ่นพี่ก็ดังขึ้น ฉันทำได้เพียงแต่ยืนจ้องหน้ารุ่นพี่ด้วยสีหน้ามึนงงโดยไม่พูดอะไร 


 


 


“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” 


 


 


ใบหน้าของรุ่นพี่ที่จ้องมองฉันมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


คงจะเป็นเพราะคลายความกังวลลงไปหน่อย ร่างกายถึงได้เพิ่งจะรู้สึกหนักอึ้งและเจ็บเหมือนกับถูกทุบตีไปทั่วทั้งตัว พอได้เอนตัวพิงลงบนโซฟา ความเหนื่อยล้าก็ก่อตัวขึ้นมา แต่ดูเหมือนกับว่าฉันคงจะไม่สามารถหลับลงได้ง่ายๆ 


 


 


รุ่นพี่ที่นั่งทิ้งระยะห่างอยู่ข้างๆ ฉันไปเล็กน้อยกำลังเอามือจับที่ท้ายทอย พลางบิดตัวไปมา ดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดค่อยๆ กะพริบขึ้นลง จากนั้นจึงปลดนาฬิกาข้อมือวางไว้บนโต๊ะ 


 


 


ฉันเอนตัวพิงหมอนอิงพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่การกระทำของรุ่นพี่ แต่จู่ๆ ฉันก็สบสายตากับรุ่นพี่พอดี ขนตาของรุ่นพี่ที่กะพริบอย่างเหนื่อยอ่อนดูเด่นชัดจนสะดุดตา ทั้งรูปตาเรียวยาว ทั้งริมฝีปากที่ปิดสนิทด้วย 


 


 


“มองอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


พอฉันเอาแต่จ้องหน้ารุ่นพี่โดยไม่พูดอะไรออกมาอยู่สักพักใหญ่ๆ รุ่นพี่ก็ยิ้มเขินๆ แปลกๆ ก่อนจะยื่นมือออกมาขยี้หัวฉันเบาๆ มันต่างออกไปจากปกติ ฉันรู้สึกแปลกๆ กับสัมผัสมือของรุ่นพี่ที่ผละออกไปนั่น 


 


 


“ก็ชอบนี่คะ” 


 


 


ฉันนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาพลางพูดลอยๆ ด้วยเสียงเบาๆ ภายในหัวที่ยุ่งเหยิงและวุ่นวายจนถึงเมื่อกี้นี้ดูเหมือนจะถูกเติมเต็มด้วยรุ่นพี่ในพริบตา การที่รุ่นพี่มาอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ การที่รุ่นพี่ยอมมาอยู่ข้างๆ ฉัน มันทำให้ฉันมีความสุขจนไม่อยากจะเชื่อตัวเอง จนเกิดความรู้สึกผิดต่อคุณป้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“…รีบนอนได้แล้ว” 


 


 


พอรุ่นพี่ทำสีหน้าประหลาดออกมา เขาก็ดึงหมอนรองนั่งมากั้นระหว่างตัวเองและฉันเอาไว้ ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนนั้น 


 


 


“มา เอนหัวพิงลงไปสิ” 


 


 


“…ก็มันนอนไม่หลับนี่คะ” 


 


 


“ถ้าไม่นอนงั้นพี่กลับนะ” 


 


 


เร็วเข้า รุ่นพี่เร่งด้วยเสียงเบาๆ ฉันแอบทำหน้างอนเพื่อไม่ให้รุ่นพี่ที่กำลังทำหน้าเคร่งขรึมเห็นเข้า พลางเอนหัวลงไปบนหมอนรองนั่ง  


 


 


ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็ปิดสวิตช์ไฟในห้องนั่งเล่น แล้วเปิดโคมไฟ แล้วเขาก็พิงตัวลงไปบนโซฟาขณะที่ลูบหัวของฉันที่ยุ่งเหยิงไปหมด 


 


 


“…นี่มันเหมือนกับทำกับลูกหมาเลยนะคะ” 


 


 


รุ่นพี่หัวเราะคิกคักให้กับคำพูดลอยๆ ปนหยอกล้อของฉัน เขานั่งเท้าคางกับที่วางแขนของโซฟาพร้อมก้มลงมองมาที่ฉัน พอได้นอนอยู่ใต้แสงไฟสลัวท่ามกลางความเงียบงัน หัวใจมันก็เต้นตูมตามเหมือนกับตอนที่ได้ไปค่ายเป็นครั้งแรกเมื่อตอนเด็กๆ ฉันกะพริบตาที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มพูดคนเดียวเหมือนกับว่าตัวเองกำลังละเมอออกมา 


 


 


“คุณป้าของฉันน่ะ ท่านไม่ได้แต่งงาน แล้วก็ยังเลี้ยงฉันมาเหมือนกับเป็นลูกแท้ๆ เลยละค่ะ” 


 


 


“…เป็นคนที่สุดยอดไปเลยเนอะ” 


 


 


“ค่ะ เป็นคนที่สุดยอดที่สุดในโลกนี้เลยละค่ะ” 


 


 


ฉันงอตัวที่กำลังสั่นด้วยความขนลุก พลางพูดจาพึมพำ 


 


 


“พ่อกับแม่ของฉันจำใจแต่งงานกันเพราะว่าพวกท่านมีฉันขึ้นมาน่ะค่ะ ถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่แม่ก็ยังคิดว่าถ้าคลอดฉันออกมาแล้ว พ่ออาจจะเปลี่ยนไปน่ะค่ะ” 


 


 


เป็นเพราะเริ่มง่วงหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นเพราะจู่ๆ ฉันก็รู้สึกซึ้งใจเรื่องของคุณป้าขึ้นมากันนะ ฉันถึงได้กำลังคายความลับต่างๆ ที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้จนถึงตอนนี้ออกมา ในสภาพที่ตาแทบจะปิดสนิทอยู่แล้ว 


 


 


“แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นน่ะค่ะ ขนาดในทะเบียนเกิดก็ยังเป็นนามสกุลของแม่เลยค่ะ พ่อไม่ค่อยกลับมาบ้านเท่าไรนัก ฉันเลยไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อสักเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นก็เคยมีความทรงจำหนึ่งที่ฉันจำได้ ว่าบางครั้งที่พ่อกลับมาจากดื่มเหล้า เขามักจะกอดฉันเอาไว้แน่น” 


 


 


“…” 


 


 


“ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนตอนอายุสิบขวบละมั้ง พวกเราไม่ได้ข่าวคราวจากพ่อ และท่านก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นฉันก็ถูกส่งต่อให้คุณย่าเป็นผู้ดูแลน่ะค่ะ ส่วนแม่ก็มั่วแต่ทำงานจนยุ่ง พอคุณย่าเสีย แม่ก็แต่งงานใหม่ นั่นเป็นตอนที่ฉันได้พบกับคุณป้า เพราะว่าทางฝั่งที่แต่งงานใหม่กับแม่ เขาไม่อยากเลี้ยงดูฉันน่ะค่ะ” 


 


 


พอคิดถึงความทรงจำครั้งแรกที่ได้เจอกับคุณป้าซึ่งยังคงชัดเจนอยู่ จู่ๆ ฉันก็ยิ้มออกมา ฉันพยายามเปิดเปลือกตาที่เกือบจะปิดสนิทขึ้นมา พร้อมกับดึงสติที่กำลังลอยออกไปเอาไว้ 


 


 


“คุณป้าน่ะ เมื่อเห็นฉัน ทันก็พูดขึ้นมาทันทีเลยว่า ตั้งแต่นี้ไป ไปอยู่กับป้านะ ฉันยังไม่เข้าใจเหตุผลจนถึงตอนนี้เลยค่ะ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง และตามเอกสารแล้ว ฉันกับคุณป้าก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้ากันด้วยซ้ำ แล้วทำไมท่านถึงอยากจะดูแลฉันกันล่ะค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ที่ฉันยังสามารถเต้นบัลเลต์ต่อไปได้ก็เป็นเพราะคุณป้านั่นแหละค่ะ ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายมากมาย แต่ท่านก็ไม่เคยบอกให้ฉันหยุดเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่บอกว่าจะไปโลซานน์ก็ด้วย ท่านก็ยังบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าสมัครนะ…” 


 


 


อ้า พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว นอกจากจะต้องจ่ายค่าสมัครแล้ว ก็ยังต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินด้วยนี่นา ค่าผ่าตัดของคุณป้าเองก็คงจะไม่น้อยด้วย จู่ๆ ภายในหัวมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด ฉันพยายามทำเป็นง่วงนอนเพื่อที่จะสลัดความคิดที่เริ่มจะถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ในตอนนี้ฉันไม่อยากจะคิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น 

 

 

 


ตอนที่ 22-2

 

ตอนที่ 22-2 ใกล้เข้ามาอีกนิด 


 


 


 


 


 


จู่ๆ มือของรุ่นพี่ที่ลูบอยู่ที่หัวของฉันก็ค่อยๆ หยุดชะงัก แล้วเลื่อนผ่านแก้มของฉันมาวางลงตรงไหล่ ต่อจากนั้นเขาก็เอามือมาตบไหล่ของฉันเป็นจังหวะช้าๆ เหมือนกับตอนที่คุณย่าทำเมื่อตอนเป็นเด็ก สัมผัสมือของรุ่นพี่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนกับของคุณย่าไม่มีผิด 


 


 


“…รู้สึกน่าอายจังพอพูดออกมาจริงๆ” 


 


 


ฉันหัวเราะออกมา ขณะที่เอาหน้าซบลงไปที่หมอนรองนั่ง รุ่นพี่กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ ถึงฉันจะอยากลืมตาขึ้นมาดู แต่ฉันไม่กล้าพอที่จะทำ ฉันพูดคำว่า ฝันดีค่ะ ด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิม พร้อมกับห่อตัวให้เล็กลงไปอีก 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ดังขึ้นทั้งที่สติเลือนรางเต็มที ฉันก็พยักหน้าเล็กๆ แทนคำตอบขณะที่ค่อยๆ เข้าสู่ภวังค์ 


 


 


“ไม่ว่าคุณป้าของเธอจะเป็นใคร ไม่ว่าเธอจะใช้ชีวิตมายังไง เธอก็จะยังเป็นคิมฮวีกยอมที่พี่รักไม่เปลี่ยนแปลง” 


 


 


“…” 


 


 


“ปัจจุบันน่ะ สุดท้ายก็มาจากอดีตอยู่ดี และทั้งหมดทั้งมวลก็ได้สร้างเธอในตอนนี้ขึ้นมายังไงละ ดังนั้นเธอไม่จำเป็นจะต้องลดค่าตัวเองลง หรือทำร้ายตัวเองก็ได้ เพราะผู้หญิงที่ชื่อคิมฮวีกยอมน่ะ ถึงจะไม่ต้องทำอย่างนั้น ก็เป็นคนที่สุดยอดสุดๆ อยู่แล้ว” 


 


 


ฉันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ของรุ่นพี่เป็นเหมือนกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก แล้วเขาก็กอดฉันเอาไว้อย่างอ่อนโยน ฉันจับมือของรุ่นพี่ที่ตบไหล่ของฉันเบาๆ พลางเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอย่างไม่รู้ตัว บางทีหน้าของฉันคงจะกำลังยิ้มอยู่ รู้สึกอย่างกับว่าคืนนี้จะฝันดียังไงก็ไม่รู้สินะ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เหมือนจะได้เสียงนกร้องแฮะ ฉันสะลึมสะลืออยู่สักพักเพราะยังไม่ได้สติเต็มที่ แสงแดดยามเช้าที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างขนตา แสบตาเสียจนฉันแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ไม่รู้ทำไม ฉันกลับมองเห็นเป็นวิวของห้องนั่งเล่น แทนที่จะเป็นเพดานห้องที่คุ้นเคยซึ่งฉันจะต้องตื่นขึ้นมาเจอมันทุกเช้า 


 


 


ในตอนที่เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผุดขึ้นมาในความทรงจำ ฉันก็กะพริบตาปริบๆ พร้อมกับสมองที่สดใสขึ้นในชั่วพริบตา นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาเก้าโมงแล้ว 


 


 


ฉันจ้องมองนาฬิกาอยู่สักพัก ก่อนจะขยี้ตาที่รู้สึกอึดอัดด้วยหลังมือ พลางหันหน้าไปอีกด้าน ก่อนจะได้เห็นว่ามีเสื้อโค้ทที่คุ้นเคยของรุ่นพี่ห่มอยู่บนตัวของฉันที่กำลังนอนขุดคู้ 


 


 


“หลับสบายไหม” 


 


 


ฉันที่ขยับตัวไปมาอยู่สักพัก รีบบิดตัวและเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงแหบพร่าของรุ่นพี่ที่ได้ยินจากข้างบน รุ่นพี่กำลังก้มหน้ามองมาที่ฉัน ในท่าเดียวกันกับเมื่อคืน คือนั่งเท้าคางพิงอยู่ที่โซฟา 


 


 


อ้า ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ยิ้มบางๆ พลางมองมาที่ฉันด้วยตาที่ยังไม่ตื่นดีช่างดูแสบตาจริงๆ กระดูกไหปลาร้านูนๆ และลูกกระเดือกมนๆ ของรุ่นพี่โผล่ออกมาจากช่องว่างระหว่างเสื้อเชิ้ตที่กระดุมถูกคลายออก 


 


 


“บวมเชียว” 


 


 


รุ่นพี่ดึงแก้มของฉันอย่างหยอกล้อ ก่อนจะโน้มตัวลงมาจุ๊บเบาๆ ที่ปากของฉัน แล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ พอรู้สึกเหมือนกับว่าโดนจับได้ในสภาพที่ไม่ควรได้เห็น ฉันก็เขินไม่หยุด จึงรีบดึงเสื้อโค้ทของรุ่นพี่ที่ฉันกำลังห่มอยู่มาปิดหน้า 


 


 


“พี่เห็นมาทั้งคืนจนจำได้ขึ้นใจแล้ว จะปิดหน้าไปทำไมเล่า” 


 


 


“…รุ่นพี่ไม่ได้นอนเหรอคะ” 


 


 


ฉันที่ตกใจกับคำพูดของรุ่นพี่ที่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและแหบแห้ง จึงแง้มเสื้อให้เหลือแค่ตาแล้วจ้องไปที่รุ่นพี่ สภาพกระเซิงของรุ่นพี่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งแปลกตาแล้วก็ทำให้ใจเต้นรัว แบบนี้สินะที่เรียกว่าเซ็กซี่ จู่ๆ พอคิดแบบนั้นขึ้นมาแล้ว หน้าของฉันก็เหมือนจะร้อนผ่าวไปหมด 


 


 


ด้วยความกลัวว่ารุ่นพี่จะจับได้ว่าหน้าของฉันกำลังแดงแจ๋ ฉันจึงยิ่งแอบมุดเข้าไปข้างในเสื้อโค้ทของรุ่นพี่ที่กำลังปิดหน้าของฉันอยู่ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่มองฉันอย่างสนุกสนาน มีรอยยิ้มที่ไม่เข้าใจความหมายแต้มอยู่ อ้า เอาอีกแล้ว สีหน้าแปลกๆ นั่น 


 


 


“ไม่ใช่ว่าไม่นอน แต่นอนไม่หลับต่างหากละ” 


 


 


รุ่นพี่พูดออกมาปนเสียงถอนหายใจ ขณะที่เสยผมที่พันกันยุ่งขึ้นไป ก่อนจะลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ ฉันรู้สึกผิดที่ตัวเองหลับไปอย่างสบายใจอยู่คนเดียว จึงค่อยๆ แอบลุกออกจากที่ แล้วเดินไปนวดไหล่ของรุ่นพี่ พร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


“ขอโทษนะคะ รุ่นพี่ ที่นอนมันไม่สบายเลยนอนไม่หลับใช่ไหมคะ เป็นเพราะฉันแท้ๆ พี่เลยนอนเอนตัวไม่ได้…” 


 


 


ฉันเหลือบมองอย่างระมัดระวัง สีหน้าของรุ่นพี่ที่จ้องฉันเขม็งดูแปลกอย่างบอกไม่ถูก นั่นเลยทำให้ฉันตื่นตระหนกจนต้องแอบลดมือที่กำลังนวดอยู่ที่ไหล่ของรุ่นพี่ลง แต่รุ่นพี่กลับส่ายหัว พลางถอนหายใจ ก่อนจะหัวเราะอย่างกลั้นไม่ไหว แล้วจึงพึมพำออกมาเบาๆ 


 


 


“ตั้งแต่ที่ชวนให้มาอยู่เป็นเพื่อนโดยที่ไม่กลัวอะไร พี่ก็คิดเอาไว้แล้วละ แต่ว่าเธอนี่มัน หัวทึบเกินจะบรรยายจริงๆ แฮะ” 


 


 


“…คะ?” 


 


 


“ลองคิดดูสิ อยู่กับแฟนสาวสองต่อสอง แถมยังนอนนิ่งอยู่ตรงหน้า แล้วคิดว่าพี่จะนอนหลับลงไหมล่ะ” 


 


 


รุ่นพี่พูดบ่นพลางทำปากจู๋ออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ชั่วพริบตา ใบหน้าของฉันก็เห่อร้อนขึ้นมาราวกับถูกไฟเผา พอคิดๆ ดูแล้ว เมื่อคืนนี้ ฉันรู้สึกกลัวและทุกข์มากกว่า ก็เลยเผลอรั้งตัวรุ่นพี่เอาไว้ แต่จริงๆ แล้วพอลองมาคิดอีกรอบ นั่นถือเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นเกินกว่าจะบรรยายเลยนะ แน่นอนว่ารุ่นพี่เองก็คงจะไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก แต่ว่ามันก็… 


 


 


“…ขอโทษนะคะ รุ่น…” 


 


 


“ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษนี่นา” 


 


 


ฉันแอบจับคอเสื้อ พลางพยายามจะพูดคำว่าขอโทษ แต่รุ่นพี่กลับพูดขัดขึ้นมา หลังจากที่ถอนหายใจเบาๆ เขาก็ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่คลายอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นมาเบาๆ 


 


 


“พี่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอเพราะคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่เธอพูดออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไป พี่ก็เลยโกรธหน่อยๆ น่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“บางครั้งก็ช่วยรู้ตัวซะบ้างเถอะ ก็อะไรทำนองนั้นน่ะนะ” 


 


 


รุ่นพี่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วเขกเบาๆ ที่หน้าผากของฉัน ก่อนจะบอกว่า งั้นเดี๋ยวพี่ไปล้างหน้าก่อนนะ แล้วลุกออกจากที่ไป ส่วนฉันก็ทำได้แต่เพียงนั่งเอ๋ออยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้ามึนงง แต่ว่ารุ่นพี่ที่เดินไปทางห้องน้ำ จู่ๆ ก็เลี้ยวกลับมา ก่อนจะแอบย่องมาตรงข้างหน้าฉันอีกครั้ง 


 


 


“แต่ว่าอย่างน้อยก็ต้องโดนแบบนี้ละนะ” 


 


 


ในชั่วพริบตา ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่พูดคำที่ฉันไม่เข้าใจความหมายออกมาก็มาประทับลงบนริมฝีปากของฉัน ต่อจากนั้นลิ้นนุ่มๆ ก็แทรกเข้ามาข้างในริมฝีปากแห้งๆ ของฉัน 


 


 


แต่ว่ามันแตกต่างไปจากปกติ การโลมเลียที่หยุดอยู่แค่ตรงปลายลิ้นกับข้างในปากที่ไม่ได้ลึกมากทำให้ฉันตกใจจนสะดุ้งถอยหลัง แต่รุ่นพี่ที่เหมือนจะรู้ทันจึงรีบคว้าท้ายทอยของฉันเอาไว้ ก่อนจะกัดหมับเข้าให้ที่ริมฝีปากล่างของฉัน 


 


 


“โอ๊ย…” 


 


 


ความเจ็บที่จี๊ดขึ้นมายิ่งกว่าที่คิด ทำให้ฉันส่งเสียงร้องโอดโอยออกมาอย่างไม่รู้ตัว รุ่นพี่ที่ถอยห่างออกจากฉัน ยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางเอานิ้วมาจิ้มที่แก้มของฉัน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ 


 


 


“ค่าตอบแทนสำหรับการเฝ้ายามเมื่อคืนนี้ บวกค่าโอทีด้วยนะ” 


 


 


ที่อีเซเคยเรียกรุ่นพี่อีกงว่า ‘คนเจ้าเล่ห์’ บางทีอาจจะเป็นคำที่เหมาะสมและลงตัวเป็นอย่างมากเลยก็ได้นะ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 23-1 ผู้คนที่มอบความรักให้ฉัน 


 


 


 


 


 


โล่งอกไปที คุณป้าฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ คุณหมออธิบายว่าผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่วนใหญ่จะได้รับบาดแผลหลายที่ แต่คุณป้าของฉันนั้น นอกจากบาดเจ็บตรงบริเวณศีรษะแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่ตรงส่วนอื่น  


 


 


ฉันก้มหน้ามองดูคุณป้าที่เพิ่งได้สติ พลางถอนหายใจ ขณะเอามือลูบอก 


 


 


“คุณป้าเจ็บมากไหมคะ” 


 


 


ฉันจับมือของคุณป้าที่หยาบกร้านขึ้นไว้แน่น พลางยิ้ม คุณป้าเองก็พยายามส่งยิ้มให้กับฉันเช่นกัน 


 


 


“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะกินข้าวให้ครบทุกมื้อค่ะ เพื่อนๆ เองก็มาหาบ่อยๆ หนูก็เลยไม่รู้สึกกลัว” 


 


 


คุณป้าออกแรงจับมือของฉันตอบกลับมา ฉันก้มตัวลงไปจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากของคุณป้า หลังจากกระซิบบอกว่า เดี๋ยวหนูมาหาใหม่นะคะ ฉันก็รีบออกมาจากห้องผู้ป่วยทันที ไม่รู้ทำไม ขืนมองหน้าคุณป้ามากไปกว่านี้ละก็ น้ำตาคงได้ไหลออกมาแน่ 


 


 


“อ้าว ออกมาเร็วจัง” 


 


 


เซจินที่รออยู่ที่โถงทางเดิน เข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าตกใจ ฉันพยายามยิ้มแล้วรีบควงแขนเซจิน 


 


 


“ฉันต้องแวะที่ประชาสัมพันธ์น่ะ” 


 


 


“…เรื่องค่าโรงพยาบาลน่ะเหรอ” 


 


 


ทันทีที่ฉันพยักหน้าเล็กน้อย เซจินก็กุมมือฉันเอาไว้แน่นด้วยสีหน้าหดหู่ 


 


 


“…จะไปโลซานน์ไหวเหรอ” 


 


 


คำถามของเซจินทำให้ฉันได้เพียงแต่ยิ้มเจื่อนๆ ทั้งค่าสมัคร ไปจนถึงค่าตั๋วเครื่องบิน หากประมาณคร่าวๆ คงจำเป็นจะต้องใช้เงินหลายล้านวอน และถ้าคิดถึงค่าโรงพยาบาลของคุณป้าด้วยแล้ว ฉันคงตัดสินใจไปโลซานน์ไม่ได้หรอก ท่านคือคุณป้าที่เลี้ยงดูความฝันของฉันมาด้วยตัวคนเดียวเลยนะ 


 


 


“เอาเป็นว่าบอกอาจารย์ไปก่อน แล้วก็ลองขอให้ท่านช่วยสักหน่อยดีไหม ว่าไง นี่มันโลซานน์เชียวนะ…” 


 


 


“…จะไปทำอย่างนั้นได้ไงเล่า” 


 


 


“แต่ว่า…” 


 


 


พอเห็นใบหน้าอันเหยเกของเซจิน ฉันก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา 


 


 


“ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาสน่า ไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


“…” 


 


 


“หิวไหม พวกเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า” 


 


 


ฉันลูบหัวเซจินที่ปิดปากเงียบสนิท แล้วแกล้งทำเป็นกดปุ่มลิฟต์พลางเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงสดใส 


 


 


 


 


 


หลังจากทานมื้อเย็นกับเซจินเรียบร้อยแล้ว ฉันก็กลับมาที่บ้าน ความหนาวเหน็บที่ฉันเริ่มจะคุ้นชินแล้วในตอนนี้กำลังทักทายฉันด้วยความยินดี ฉันเปิดไฟทั้งหมดในบ้านและแกล้งวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดห้อง แต่อากาศในฤดูหนาวที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ก็เหมือนจะแช่แข็งแก้มของฉันด้วยสัมผัสที่แห้งเป็นพิเศษ 


 


 


ฉันห่อไหล่ระหว่างที่ปิดหน้าต่าง ต่อจากนั้นฉันก็เปิดเครื่องเล่นเพลงเหมือนกับว่ามันเป็นกิจวัตรไปแล้ว ขณะที่ฟังเสียงดนตรี ฉันก็คลายกล้ามเนื้อเบาๆ พอดีกับที่โทรศัพท์มือถือซึ่งถูกวางอยู่บนโต๊ะสั่นพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ในหน้าต่างข้อความใหม่ มีชื่อของรุ่นพี่อีกงเด้งขึ้นมา ฉันแอบยิ้มไปด้วยขณะเปิดหน้าต่างข้อความ 


 


 


ดูเหมือนรุ่นพี่เพิ่งจะเลิกจากคลาสเรียนที่อคาเดมี่พอดี ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบกลับ ข้อความของรุ่นพี่ก็ส่งต่อเนื่องมาอีก ฉันหัวเราะคิกคัก พลางอ่านดูข้อความไปด้วย แล้วหัวใจอันเงียบเหงาก็กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง  


 


 


ฉันก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความผ่านมือถืออย่างชำนาญ 


 


 


“เลิกเรียนแล้ว…” 


 


 


ฉันอ่านออกเสียงคำที่ฉันพิมพ์ขึ้นด้วยปลายนิ้ว แต่แล้วจู่ๆ มุมนึงของหัวใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภายในหัวของฉันมีแต่เรื่องเกี่ยวกับโลซานน์อยู่เต็มไปหมด ฉันควรจะต้องบอกรุ่นพี่ว่าฉันไม่สามารถไปโลซานน์ได้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกออกไปเลยสักนิด 


 


 


“…คุณย่าคะ” 


 


 


ฉันมองดูรูปของคุณย่าที่ตั้งอยู่ที่ปลายโต๊ะ พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ 


 


 


“หนูคงจะเป็นสาวน้อยผู้โชคร้ายจริงๆ สินะคะ” 


 


 


ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นไปอย่างที่ใจคิด ขนาดสติกเกอร์ที่อยู่ในขนมปัง ฉันยังมักจะได้แต่ว่างเปล่าเลย แต่จู่ๆ สติกเกอร์ที่ติดอยู่ที่โทรศัพท์มือถือก็ผ่านเข้ามาในตาของฉัน สติกเกอร์โฮโลแกรมทรงกลมและสติกเกอร์ที่เป็นพยัญชนะตัวแรกในชื่อของรุ่นพี่กับฉัน 


 


 


ฉันค่อยๆ ลูบไล้สติกเกอร์พวกนั้น ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงในทันที เสียงสปริงที่ดังเอี๊ยดอ๊าดและร่างกายที่ปิดสวิตช์ลง 


 


 


ในตอนนั้น จู่ๆ โทรศัพท์ในมือก็ส่งเสียงดังพร้อมกับสั่นขึ้นมา ฉันมองดูหน้าจอด้วยความตกใจ เอ๊ะ อีเซนี่นา ฉันเอาแต่จ้องไปที่หน้าจอนั่นอยู่สักพักด้วยสีหน้างุนงงเมื่อได้เห็นสายเรียกเข้าอย่างกะทันหันของอีเซ 


 


 


“…ฮัลโหล” 


 


 


แต่เมื่อฉันกดรับสายแล้ว ไม่รู้ทำไมกลับไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาจากทางปลายสายเลย หรือเขาจะวางไปแล้วนะ ฉันจึงดูหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะลองพูด ฮัลโหล ดูอีกหลายรอบ 


 


 


วินาทีที่ฉันกำลังจะกดวางสายอย่างงงๆ เสียงของอีเซก็ดังขึ้นเบาๆ จากปลายสาย 


 


 


[อยู่ไหนน่ะ] 


 


 


“…บ้าน” 


 


 


[…] 


 


 


“มีอะไรเหรอ โทรมาป่านนี้” 


 


 


จะว่าไป นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลยแฮะที่ได้คุยโทรศัพท์กับอีเซน่ะ เสียงของหมอนั่นที่ได้ยินผ่านทางหูโทรศัพท์ฟังดูสุขุม แล้วก็ดูเหนื่อยกว่าปกติ ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้ปลายนิ้วมือที่จับโทรศัพท์อยู่รู้สึกจั๊กจี้ไปหมด 


 


 


[…ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม] 


 


 


“เอ๊ะ ตอนนี้น่ะเหรอ” 


 


 


[อือ เจอกันที่ลานน้ำพุ ตรงสวนสาธารณะนะ] 


 


 


ความเงียบก่อตัวขึ้นพักใหญ่ๆ หลังจากที่นอนจมอยู่ที่เตียง ฉันก็ลุกขึ้น ถึงไม่มีคำอะไรจะพูดต่อ แต่ฟังจากเสียงถอนหายใจเบาๆ ของอีเซที่ได้ยินแบบผ่านๆ แล้ว ฉันรู้สึกว่าเขาจะต้องเครียดกับอะไรบางอย่างอยู่แน่ นั่นเลยทำให้ฉันเผลอพยักหน้าไปพร้อมกับตอบว่า โอเค  


 


 


โทรศัพท์มือถือกลับมาเป็นหน้าจอสีดำอีกครั้งหลังจากวางสายไป ฉันจ้องมองมันด้วยสีหน้าเหม่อลอย พลางเกาหัว 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 23-2

 

อีเซนั่งอยู่ตรงลานน้ำพุทั้งๆ ที่ใส่เพียงแค่เสื้อบางๆ แถมยังไม่ได้พันผ้าพันคออีกด้วย ท่าทางด้านข้างของหมอนั่นที่เอามือสองข้างล้วงกระเป๋า สองเท้าเหยียดตรง แล้วเงยหน้ามองเหม่อไปยังท้องฟ้า ดูว้าเหว่อย่างประหลาด หรือว่าจะเป็นเพราะตอนนี้คือฤดูหนาวกันนะ 


 


 


ฉันถึงกับชะงักเพราะท่าทางของอีเซที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ หลังจากสองจิตสองใจอยู่สักพัก ฉันก็เดินเข้าไปหาหมอนั่นพร้อมกับซุกหน้าอยู่ภายใต้ผ้าพันคอผืนใหญ่ 


 


 


“อะไรเนี่ย นายน่ะ ไม่หนาวรึไง” 


 


 


ฉันแกล้งทำเป็นพูดจากวนๆ ขณะนั่งลงข้างอีเซ แต่หมอนั่นก็ยังคงไม่พูดอะไร นั่นจึงทำให้ฉันรู้สึกเขินขึ้นมา ในตอนที่อีเซแกล้งเขี่ยเท้าเล่น มือของอีเซที่ล้วงลึกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อก็โผล่พรวดออกมา แล้วโยนอะไรสักอย่างมาที่ตักของฉัน 


 


 


“…นี่มันอะไรน่ะ” 


 


 


มันคือซองกระดาษที่ใหญ่กว่าโปสการ์ดนิดหน่อย ฉันหยิบมันขึ้นมาด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนจะมองหน้าของอีเซ อีเซยังคงเอาแต่นั่งเขี่ยปลายเท้าโดยไม่หันหน้ามามองฉัน พลางพูดขึ้นมาห้วนๆ 


 


 


“เธอเอาไปสิ” 


 


 


ฉันค่อยๆ เปิดถุงนั่นออกด้วยสีหน้างงงวยเพื่อดูของที่อยู่ข้างใน สิ่งที่ไหลออกมาจากข้างในซอง คือ สมุดบัญชีธนาคารที่มีชื่อของอีเซและตราประทับ ฉันกางสมุดบัญชีออกดูด้วยสีหน้าสงสัย แล้ววินาทีนั้นฉันก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง 


 


 


“…นี่ ทำไมถึงได้…” 


 


 


“ไปด้วยกันเถอะนะ โลซานน์น่ะ” 


 


 


ฉันไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ พลางหันหน้าไปหาอีเซ แต่หมอนั่นกลับกำลังจ้องเขม็งมาที่ฉันตรงๆ ด้วยสายตาแน่วแน่ 


 


 


“เซจินเป็นคนบอกน่ะ อย่าห่วงไปเลย ฉันไม่บอกพี่หรอก” 


 


 


เป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่านะ หน้าของอีเซถึงได้แดงเป็นพิเศษ ฉันมองสมุดบัญชีของอีเซด้วยใบหน้าโกรธๆ และมือที่สั่นเทา ไม่ว่าจะยังไงนี่มันก็เกินจะ… 


 


 


“…อีเซ ไม่ได้ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” 


 


 


สักพักกว่าที่ฉันจะเค้นเสียงออกมาได้ แต่เหมือนอีเซจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขายักไหล่ แล้วจึงพยายามยัดของเหล่านั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของฉัน ฉันดึงมือของอีเซเอาไว้แน่น พลางบิดตัวหลบ แต่อยู่ดีๆ มือใหญ่ๆ ของหมอนั่นก็มาจับแขนของฉันเอาไว้ 


 


 


“ไม่ได้ให้เฉยๆ หรอกนะ แค่ให้ยืมต่างหากละ” 


 


 


“…” 


 


 


“มันไม่ใช่เงินสกปรกหรอกนะ ฉันเก็บสะสมมาจากการทำงานพิเศษตอนกลางคืนน่ะ” 


 


 


อีเซทำหน้าบึ้งพร้อมกับปากจู๋ พอเห็นแบบนั้นแล้ว มันก็ทำให้ฉันพูดไม่ออกอีกครั้ง เงินเท่านี้ไม่มีทางหามาได้เพียงเพราะทำงานแค่วันสองวันหรอกนะ อีกทั้งหมอนั่นก็วุ่นอยู่กับทั้งโรงเรียนแล้วก็ที่อคาเดมี่ แล้วในไม่ช้าก็จะต้องไปโลซานน์ด้วย จะไปทำงานพิเศษตอนกลางคืนได้ยังไงกันเล่า 


 


 


วินาทีนั้น ฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาถึงกลิ่นของโรงอาบน้ำที่โชยมาจากตัวของหมอนั่นบ่อยๆ ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน จนมาถึงฤดูใบไม้ร่วง ไหนจะคำพูดของรุ่นพี่อีกงอีกที่บอกว่าหมอนั่นไม่ค่อยได้กลับบ้านอีก 


 


 


ในตอนนั้นเองที่ฉันได้เข้าใจเรื่องทั้งหมด ฉันเม้มปากแน่น พลางแกะมือของหมอนั่นที่จับอยู่ที่แขนของฉันออกไป ถ้าเป็นเงินแบบนั้นละก็ฉันยิ่งรับไว้ไม่ได้เข้าไปใหญ่ 


 


 


“นี่มันเงินที่นายเก็บรวบรวมมาเพื่อจะใช้ไม่ใช่หรือไง ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” 


 


 


“ยังไงมันก็เป็นเงินที่เก็บเอาไว้เพื่อเธออยู่ดีนั่นแหละน่า” 


 


 


“…หา?” 


 


 


คำพูดที่ฟังไม่รู้ความหมายของอีเซทำให้ฉันได้แต่จ้องหน้าของหมอนั่นด้วยตาที่เบิกโพลงเหมือนปลาทอง อีเซดันมือของฉันที่กำลังถือสมุดบัญชีกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าบึ้งตึง 


 


 


“เอาเป็นว่า เหลือเวลาจ่ายค่าสมัครอีกไม่เท่าไหร่แล้ว ฉะนั้นก็ใช้เจ้านี้จ่ายไปซะ ไว้หลังคุณป้าของเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตอนนั้นเธอค่อยให้ฉัน” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันคิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้ หยุดทำหน้าแบบนั้นได้หรือยัง” 


 


 


ท่าทางของอีเซที่เขกหัวฉันเบาๆ ส่งผลให้ฉันทำได้เพียงแต่ก้มหน้าลง ความจริงแล้วฉันอยากไปเหลือเกิน ถึงจะไม่กล้าพูดออกมา แต่ฉันก็อยากที่จะไป ฉันอยากจะไปสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่โลซานน์ อยากจะไปเจอประสบการณ์แบบเดียวกับที่รุ่นพี่อีกงเคยเจอ อยากจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับรุ่นพี่ 


 


 


แต่ว่าโชคชะตาก็มักจะใจร้ายกับฉันเสมอ มันมักจะผ่านมาทำให้เจ็บแล้วก็ผ่านไป ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันชินชากับการยอมรับมันพอสมควรแล้ว แต่ในครั้งนี้มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่สิ ฉันไม่อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นต่างหาก 


 


 


“…นี่เธอร้องไห้เหรอ” 


 


 


อีเซที่ทำตัวไม่ถูกจับหน้าของฉันให้เงยขึ้นมา สุดท้ายฉันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาจนถึงกับหายใจฟืดฟาด บอกตามตรงว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ฉันรู้สึกชิงชังในโชคชะตาของตัวเอง ที่มักจะเกิดแต่เรื่องโชคร้าย ฉันเกลียดทั้งพ่อที่ทิ้งฉันไปและก็แม่ที่ไม่เคยติดต่อมาเลยสักครั้ง รู้สึกเหมือนกับว่าถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใยจริงๆ 


 


 


ทั้งที่ฉันเตรียมใจไว้แล้ว ว่าให้ยอมแพ้ ว่านี้ไม่ใช่ของของฉัน ทั้งที่อุตส่าห์พยายามคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ 


 


 


“นี่ คิมฮวีกยอม ร้องไห้ทำไม อย่าร้องสิ นะ นี่…” 


 


 


อีเซที่ลุกลี้ลุกลนและทำตัวไม่ถูก ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของฉันอย่างร้อนรน สายตาที่พร่ามัวของฉันมองไปเห็นขอบตาแดงๆ ของหมอนั่น ฉันกอดคอของอีเซที่เปลือยเปล่า แล้วก็เอาแต่ร้องแล้วร้องอีกอย่างโศกเศร้า มันทั้งขอบคุณ ทั้งรู้สึกผิด แล้วก็เขิน… ความรู้สึกที่พันกันยุ่งเหยิงไปหมดไหลออกมาพร้อมกับน้ำตา 


 


 


ใช่แล้ว การที่มีเพื่อนที่สามารถแสดงให้เห็นด้านที่อ่อนแอแบบนี้ได้ คงจะเป็นเรื่องโชคดีไม่กี่อย่างในชีวิตของฉัน 


 


 


ฉันมีทั้งเพื่อนที่ร้องไห้เพื่อฉัน และเพื่อนที่ยอมสละสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อฉันด้วยความยินดี ทั้งที่ฉันมีเพื่อนๆ ที่สุดยอดแบบนี้อยู่ ฉันจะมายอมแพ้กับความโชคร้ายเพียงแค่นี้ได้ยังไงกัน 


 


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือของอีเซค่อยๆ ตบหลังของฉันที่กำลังสั่นเทาอยู่เพื่อเป็นการปลอบใจ ฉันเอาแต่ร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ๆ ในอ้อมกอดของอีเซ เพื่อที่จะไม่ให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เวลานี่มันช่างแปลกจริงๆ ตอนที่จะให้มันหมดลงเร็วๆ แต่ละวินาทีกลับรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นปี แต่เวลาเพียงวินาทีเดียวที่เรารู้สึกหวงแหนกลับผ่านไปเพียงแค่พริบตาเดียว ราวกับว่ามีภูตที่คอยกลืนและคายเวลาทีละนิดทีละหน่อยอยู่จริงๆ 


 


 


ในที่สุดวันพรุ่งนี้ ฉันก็จะได้ขึ้นเครื่องไปโลซานน์แล้ว นี่เป็นค่ำคืนที่ฉันไม่อาจหลับได้ลงเพราะความตื่นเต้นและความกังวลที่ไม่หายไปไหน ฉันที่ออกมาจากตึกของอคาเดมี่เป็นคนสุดท้ายพร้อมกับคุณลุงยาม เงยหน้ามองท้องฟ้าตอนกลางคืนที่มืดมิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา 


 


 


“เหนื่อยไหม” 


 


 


เสียงที่ได้ยินในตอนนั้นคือเสียงของรุ่นพี่ที่กำลังยื่นขวดน้ำที่เปิดอยู่มาตรงหน้าฉัน ฉันมองภาพนั้นด้วยความตกใจ 


 


 


“แม่คนขยันซ้อมอย่างหนักหน่วง วันนี้ควรจะมีรีบกลับบ้านไปพักไม่ดีกว่าเหรอ” 


 


 


ถึงรุ่นพี่จะหัวเราะพลางตำหนิแบบหยอกๆ แต่น้ำเสียงนั่นก็ฟังเหมือนกับว่าเขาคงรู้อยู่แล้ว ฉันยิ้มร่าพลางรับขวดน้ำมาถือเอาไว้ ขณะที่รุ่นพี่หายใจออกพร้อมกับเป่าไอขาวๆ ออกมา เส้นผมของเขาดูแห้งกร้านเหมือนกับอากาศตอนกลางคืนในฤดูหนาว 


 


 


“แล้วสภาพร่างกายเป็นไงบ้าง” 


 


 


“เออ ก็ไม่รู้สิคะ” 


 


 


“วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น พักผ่อนให้เยอะๆ เพราะถ้าถึงแล้วคงจะได้วุ่นกันใหญ่แน่” 


 


 


ความจริงแล้ว ฉันยังไม่รู้สึกเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง ยังรู้สึกอยู่เลยว่า พรุ่งนี้ฉันก็แค่ต้องไปฝึกซ้อมแล้วก็กลับบ้านด้วยกันกับรุ่นพี่ ฉันกำขวดพลาสติกเย็นๆ ในมือไว้แน่นแล้วดื่มน้ำจากขวดน้ำนั้น จากนั้นฉันก็ตอบว่า ค่ะ ด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น 


 


 


“อุตส่าห์จะใช้อีเซเป็นข้ออ้างตามไปด้วยแท้ๆ น่าเสียดายชะมัด” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่บ่นพึมพำพลางหัวเราะดูจะแหบเล็กๆ หมู่นี่ดูท่ารุ่นพี่จะยุ่งอยู่กับการจบการศึกษาสินะ แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ตอนนี้ถึงรุ่นพี่จะไม่อยู่ตรงหน้า ฉันก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าเราเชื่อมโยงกันด้วยเส้นด้ายบางอย่างที่มองไม่เห็น เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก 


 


 


ฉันกุมมือเย็นเฉียบของรุ่นพี่เอาไว้ แล้วหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง 


 


 


“สุดยอดไปเลยนะคะ” 


 


 


“อะไรงั้นเหรอ” 


 


 


“ความจริงแล้ว จนถึงตอนที่ฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย ฉันก็ยังไม่เคยคิดเลยละค่ะว่าตัวเองจะจริงจังกับบัลเลต์ขนาดนี้” 


 


 


นั่นเป็นตอนที่ฉันเต้นขณะที่เอาแต่มองอยู่ด้านหลังของรุ่นพี่ วันแต่ละวันที่อดทนมาได้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเต้นปาเดอเดอคู่กับรุ่นพี่  


 


 


ดังนั้นวันนั้นในฤดูร้อนที่รุ่นพี่บอกว่าจะเลิกเต้นคลาสสิก ฉันก็ถึงกับเกิดความคิดขึ้นว่า หรือฉันจะไม่สามารถเต้นบัลเลต์ต่อไปได้กันนะ 


 


 


แต่แล้วฉันก็คิดว่ามันแปลกมากๆ ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความเคยชิน แต่การเต้นที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของฉัน กลับโอบกอดเมล็ดพันธุ์อื่นเข้ามา แล้วทำให้มันเติบโตขึ้นในชื่อว่า ความฝัน จนตอนนี้ มันเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว 


 


 


“เหมือนพี่จะเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนมาก่อนนะ” 


 


 


รุ่นพี่จับมือฉันดึงเข้ามาในกระเป๋าเสื้อโค้ท เขาค่อยๆ ปรับระยะก้าวให้เท่ากับฉัน แล้วเดินไปอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“เขาว่ากันว่าที่หนึ่งเป็นของคนที่ปรารถนาในที่ตรงนั้นอย่างแรงกล้า และมีความพากเพียรอุตสาหะ แต่ที่สุดคือคนที่รักตัวเอง และสนุกสนานกับทุกวินาที” 


 


 


รุ่นพี่หันมายิ้มละมุนให้กับฉัน 


 


 


“ตอนนี้ เธอคือที่สุดยังไงละ” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่แทรกเข้ามาภายในใจของฉัน ดูเหมือนฉันจะเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นอยู่นิดหน่อยนะ เป็นเพราะว่าฉันพยายามอย่างเต็มที่ พยายามที่จะมีความสุขด้วยใจทั้งหมดของฉันให้เหมือนกับว่าวินาทีนี้เป็นวินาทีสุดท้าย เพราะมีผู้คนที่สำคัญมากมายที่คิดถึงฉันแบบนี้ยังไงละ 


 


 


“เที่ยวให้สนุกนะ” 


 


 


ฉันพยักหน้าเต็มแรง ต่อจากนั้นก็เงยหน้ามองดูท้องฟ้ากลางคืนด้วยหัวใจที่พองโต อากาศของคืนในฤดูหนาวที่เคยแห้งเ**่ยวดูจะชุ่มชื้นขึ้นมานิดๆ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากกลับมาถึงบ้านอันว่างเปล่าที่ฉันคุ้นชิน แล้วเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อย แล้วเริ่มทำการคลายกล้ามเนื้อตามปกติ ที่มุมนึงของห้องยังคงมีกระเป๋าลากที่จัดไม่เสร็จวางกางอยู่รกๆ ขณะที่ฉันนั่งพับชุดลีโอตาร์ดเป็นชั้นๆ ในท่ากบ จู่ๆ สายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับรองเท้าบัลเลต์เก่าๆ ที่แขวนอยู่ตรงกำแพง 


 


 


ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่แล้วหยิบเจ้าสิ่งนั้นมาถือไว้ รองเท้าคู่นั้นที่เล็กเท่าฝ่ามือมีรอยสึกสีดำตามจุดต่างๆ มันเป็นรองเท้าคู่แรกที่ฉันใส่ ฉันยิ้มบางๆ แล้วก็นึกไปถึงความทรงจำในอดีตอันเลือนราง 


 


 


วันที่ฉันได้ใส่รองเท้าบัลเลต์ที่เฝ้าฝันถึงเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดเปลี่ยนความตื่นเต้นเล็กๆ ไป อาการเจ็บที่เหมือนกับจะทำให้นิ้วเท้าขาดและทำให้ข้อเท้าบิดนั่น ทำให้ฉันตกใจจนร้องไห้โฮออกมา วันแรกที่ฉันได้เริ่มเรียนบัลเลต์ มันคือวันที่ฉันจะต้องฉีกขาให้ได้นั่นแหละ 


 


 


ถ้าไม่มีความหลงใหล ก็ต้องมีความอดทน ในขณะที่ฉันมักจะระเบิดน้ำตาออกมาเพราะไม่สามารถเอาชนะความเจ็บปวดได้ ฉันก็ยังพยายามที่ใส่รองเท้าบัลเลต์แล้วยืนขึ้นอยู่เสมอ แทนที่จะเอาชนะมันด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ดีเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ฉันเลือกที่จะฝึกแค่พอประมาณจนให้ติดเป็นนิสัยแทน 


 


 


ฉันกำรองเท้าบัลเลต์คู่นั้นที่ยังคงมีกลิ่นยางสนจางๆ ลอยออกมาเอาไว้ในมือ แล้วส่วนหนึ่งของหัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเหมือนกับมีกระแสไฟวิ่งผ่าน ทั้งร่องรอยของโบที่เย็บอย่างไม่ชำนาญ ทั้งขนาดของรองเท้าที่ดูเล็กจนเหมือนของเล่นเด็ก ตอนนี้มันได้กลายเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าไปซะแล้ว 


 


 


“คุณย่าคะ” 


 


 


ฉันมองไปที่รูปของคุณย่าที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“หนูจะตั้งใจทำให้ดีแล้วกลับมานะคะ อวยพรหนูด้วย” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ตอนนี้คุณป้าอาการดีขึ้นขนาดที่พอจะเดินเล่นไกลๆ ได้แล้ว ท่านรู้สึกเสียดายมากที่ไม่สามารถไปโลซานน์ด้วยกันกับฉันได้  


 


 


หลังจากที่เซจินพูดอย่างมีอารมณ์ขันว่า จะถ่ายรูปมาฝากเยอะๆ นะคะ พวกเราก็แยกจากคุณป้าที่สีหน้าดูจะคลายกังวลลงไปเล็กน้อย ตลอดเวลาที่มุ่งหน้าไปยังสนามบินอินชอน ฉันจ้องมองดูท้องฟ้าที่สดใสไร้รอยตำหนิ และพยายามทำใจให้สงบ 


 


 


“ถ้าพูดคำนี้ออกมา คงจะฟังดูบ้านนอกแน่ ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะไม่บอกอยู่หรอก” 


 


 


ตอนที่เซจินซึ่งนั่งเงียบอยู่นาน เธอก็หันมากระซิบบอกฉันด้วยเสียงเล็กๆ คือตอนหลังจากที่พวกเรานั่งประจำที่บนเครื่องบินและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว เซจินหันไปชำเลืองมองอีเซซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังด้วยแววตาที่มีอะไรซ่อนเร้น ก่อนจะกระซิบบอกฉันด้วยเสียงที่เบายิ่งขึ้นไปอีก 


 


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นเครื่องบินน่ะ” 


 


 


“…ฉันด้วย” 


 


 


ดวงตาของเซจินที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ นั้นเป็นประกายวิบวับ พวกเราต่างหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ และต่างก็จับมือกันไว้แน่น ถ้าถามถึงตอนนี้ละก็ การที่ได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ดูเหมือนจะทำให้รู้สึกกังวลได้มากยิ่งกว่าความจริงที่ว่า พวกเรากำลังไปโลซานน์ซะอีก 


 


 


ฉันเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นโหมดเครื่องบิน แล้วก็มองดูรูปถ่ายของรุ่นพี่ที่อัดแน่นอยู่เต็มหน้าจอ รูปถ่ายนั้นที่ได้รับมาจากรุ่นพี่เมื่อเช้านี้ มีรูปของรุ่นพี่ซึ่งกำลงยิ้มและถือกระดาษที่เขียนว่า สู้ๆ อยู่ 


 


 


คงเป็นเพราะเครื่องใกล้จะออกแล้ว เหล่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เดินยุ่งไปมาจึงหายไปข้างหน้ากันหมด ฉันพยายามสงบใจที่สั่นระรัว พลางหลับตานิ่ง แล้วเครื่องบินก็ส่งเสียงดังออกมา พร้อมกับวิ่งไปบนรันเวย์ 

 

 

 


ตอนที่ 24-1

 

สวิตเซอร์แลนด์ในฤดูหนาวถึงจะหนาวกว่าที่คิดเอาไว้ แต่สวยงามมาก ทันทีที่พวกเรามาถึงโรงแรม พวกเราก็หมดแรงและหลับไป ยามเช้าในโลซานน์ที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก จะว่ายังไงดีนะ มันเป็นวิวทิวทัศน์ที่โรแมนติกมากๆ เลย ฉันมองดูหิมะสีขาวที่ทับถมกันและโทนสีของวิวทิวทัศน์ที่เย็นตา พลางยืดเส้นไปด้วย รู้สึกเหมือนว่าตัวเบาสบายกว่าปกติอีกแฮะ 


 


 


ในหอประชุมซึ่งเป็นที่รวมตัวของนักเรียนทั้งหมดที่เข้าร่วมการแข่งขันที่โลซานน์เต็มไปด้วยความเร่าร้อน จากเสียงซุบซิบกันเบาๆ เริ่มกลายเป็นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มได้รับการแจกจ่ายบัตรหมายเลข และหมายเลขที่จะต้องอยู่ด้วยกันกับฉันไปตลอดช่วงเวลาแข่งขันในอีกห้าวันต่อจากนี้ ก็คือเบอร์เจ็ดสิบสอง 


 


 


“บรรยากาศนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยเนอะ” 


 


 


อัจฉริยะอย่างเซจินเองยังดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงยังไง นี่ก็คือการรวมตัวกันของนักเต้นซึ่งถูกเลือกมาจากแต่ละประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้นก็ย่อมต้องมีความกดดันที่มองไม่เห็นและสุดจะบรรยายแฝงเอาไว้อยู่ ทั้งแววตา ทั้งท่าทาง ทุกอย่างไม่ได้แสดงออกมามั่วๆ มันเหมือนกับว่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ คือ ดวงดาวที่ส่องประกาย 


 


 


“นี่ อย่ากลัวสิ ต้องนั่งด้วยท่าทางมั่นใจ ถึงจะดูดีนะ” 


 


 


เสียงกระซิบของอีเซทำให้เอวของเซจินตั้งตรงในทันที เซจินที่หันไปมองรอบๆ อย่างมั่นใจ จากนั้นจึงเชิดคางขึ้น หันไปหรี่ตาใส่อีเซ แล้วกระซิบว่า แบบนี้เหรอ ท่าทางการหยอกล้อกันของทั้งสองคนทำให้ฉันหัวเราะในลำคอ แต่แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันเย็นยะเยือกส่งมาจากข้างหลัง 


 


 


“ช่วยเงียบๆ หน่อยจะได้ไหม แล้วก็อย่าส่งเสียงดังเอะอะด้วย น่าอายจริงๆ” 


 


 


คนที่ต่อว่าพวกเราด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก็คือรุ่นพี่โซยอนนั่นเอง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่อยู่ในท่ากอดอกพร้อมกับกัดเล็บด้วยความกังวล ดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด  


 


 


พอเซจินทำปากจู๋ พลางตอบว่า ค่า ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เสียงกระซิบเบาๆ ของอีเซที่ทำให้หูรู้สึกจั๊กจี้ก็ดังต่อขึ้นมา 


 


 


“รุ่นพี่คนนั้น สงสัยเขาจะเลิกคอสเพลย์เป็นสาวน้อยไร้เดียงสาแล้วสินะ” 


 


 


อุ๊บ พอเซจินระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา สายตาที่ดุดันยิ่งกว่าเดิมของรุ่นพี่โซยอนก็หันมาทางพวกเรา พวกเราต่างห่อตัวลงแล้วจ้องตากันไปมา ขณะที่เอาแต่ขำออกมาไม่หยุด 


 


 


นี่ควรจะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่านะ การที่ได้อยู่ด้วยกันกับเพื่อนๆ แบบนี้ ทำให้ฉันเกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าการแข่งขันที่โลซานน์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว 


 


 


“โอ๊ะ ดูเหมือนจะย้ายที่แล้ว” 


 


 


ระหว่างที่พวกเราหัวเราะคิกคักกันเงียบๆ เหล่านักเรียนที่รวมตัวกันอยู่ก็เริ่มตั้งแถวออกไปจากหอประชุม ในที่สุดก็เริ่มสักที ฉันกำบัตรหมายเลข 72 เอาไว้ในมือ แล้วลุกขึ้นจากที่อย่างกระฉับกระเฉง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


การพิจารณาให้คะแนนของโลซานน์จะเริ่มตั้งแต่การรวมตัวเพื่อวอร์มอัพและบาร์เวิร์คในห้องโถง พอมายืนอยู่คนเดียวภายในบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยและภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ มันก็เลยพลอยทำให้การเคลื่อนไหวที่ร่างกายคุ้นชินจนเป็นกิจวัตรกลายเป็นสิ่งไม่เคยชินไปด้วย 


 


 


ถ้าหากว่าไม่ถูกมือใครบางคนมาจัดท่าจัดทางให้เป็นครั้งคราวละก็ แม้แต่ในห้องโถงที่มีผู้คนมากมายยืนอยู่ ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนเกาะร้าง 


 


 


เสียงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ฟังดูค่อนข้างแข็งกระด้าง ความกังวลที่สะสมอยู่ในตัว ในตอนที่ฉันรู้สึกได้ว่าฝ่ามือที่กำลังจับบาร์อยู่เริ่มจะเปียกชุ่ม การทำบาร์เวิร์คก็เป็นอันเสร็จสิ้น ฉันประคองร่างกายอันอ่อนล้าขึ้นมา พร้อมกับกระดกน้ำเย็นลงไปอึกใหญ่ นี่เพิ่งจะเริ่มแท้ๆ แต่เหมือนกับว่าสติได้เลือนรางไปเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ต่อด้วยการทำเซ็นเตอร์เวิร์คที่ทำต่อเนื่องกัน และอยู่ในระดับที่ยากมากทีเดียว ที่สุดของความเหนื่อยล้าที่ไม่เคยรู้สึกแม้แต่ในตอนที่ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายตอนอยู่ที่เกาหลี ทำให้ทุกส่วนของร่างกายกดดันไปหมด บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันตื่นเต้นเกินไปก็ได้ 


 


 


ฉันใช้ปลายลิ้นไล่เลียริมฝีปาก ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างตบลงที่แก้มเบาๆ พร้อมกับเตือนตัวเองภายในใจไม่หยุดว่า มีสมาธิสิๆ 


 


 


“ฉันรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปหมดทั้งตัวเลย” 


 


 


พอหลังจากเสร็จคลาสในช่วงเช้า พวกเราก็ไปยังโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ที่นั่นมีเสียงโหวกเหวกจากหลายๆ ภาษาทั่วโลกปนกันอยู่อย่างวุ่นวาย เซจินนอนหมอบอยู่บนโต๊ะราวกับกระดาษทิชชู่เปียกน้ำ พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ ติดกัน อีเซที่นั่งอยู่ตรงข้ามเองก็คงจะไม่มีแรงตอบโต้ หมอนั่นจึงเอาแต่ใช้ส้อมเขี่ยอาหารด้วยใบหน้าไร้วิญญาณ 


 


 


“ฉันอยากกินซุปกิมจิชะมัด” 


 


 


“อือ ฉันเองก็อยากกินต๊อกพกกี” 


 


 


“ส่วนฉันอยากกินข้าวยำ ใส่โคชูจังกับน้ำมันงาลงไปเยอะๆ” 


 


 


บทสนทนาที่รับส่งกันด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เหมือนพูดคนเดียวจบลงด้วยการถอนหายใจ ฉันบิดตัวที่แข็งตึงไปมา ก่อนจะหยิบขนมปังแห้งๆ ที่วางอยู่ในจานขึ้นมา 


 


 


แต่แล้วในตอนนั้นเอง ใครบางคนที่เดินผ่านโต๊ะของพวกเราไป ก็เหวี่ยงขอบกระเป๋าที่สะพายอยู่มาชนหัวของฉัน ขณะที่ฉันกำลังจะทาเนยลงบนขนมปังพอดี 


 


 


“โอ๊ย…” 


 


 


“อุ้ย ขอโทษ” 


 


 


เจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ทำให้ฉันหันไปด้วยความตกใจ แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ฉันมองตาค้างจ้องไปที่คนๆ นั้นที่สะพายกระเป๋ายืนอยู่ข้างฉัน 


 


 


“พอดีตัวเล็กเกินไป เลยมองไม่เห็นน่ะ รู้สึกผิดจัง ทำไงดีน้า” 


 


 


คนที่ยืนยิ้มหวานพร้อมกับเอามือมาวางบนไหล่ของฉันก็คือรุ่นพี่โซยอนนั่นเอง ฉันกัดฟันกรอดพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น พอเห็นว่าเซจินกำลังแกล้งหัวเราะออกมาอย่างเหลืออด ฉันก็รีบลุกพรวดขึ้นจากที่ 


 


 


“…เซจิน” 


 


 


“เฮอะ ให้ตายเถอะ…” 


 


 


เซจินจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อไปยังด้านหลังของรุ่นพี่โซยอนที่เดินนวยนาดไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ โดยทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันพยายามทำให้เธอใจเย็นและนั่งลง แต่อยู่ดีๆ หูข้างที่ถูกกระเป๋าชนก็เจ็บแปลบขึ้นมา 


 


 


นั่นเลยทำให้ฉันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับยกมือขึ้นมาคลำหู อีเซที่นั่งอยู่ตรงข้ามจึงมองหน้าฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


“…นี่ เธอเป็นอะไรน่ะ” 


 


 


“หา? อ๋อ… ไม่มีอะไรหรอก” 


 


 


ฉันฝืนยิ้ม พลางส่ายหน้า แต่อีเซดูเหมือนจะยิ่งโกรธขึ้นมา 


 


 


“ไม่เป็นไรงั้นเหรอ ฮวีกยอม ยัยนั่นเป็นบ้าหรือเปล่าเนี่ย” 


 


 


“ก็แค่กระแทกถูกนิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า” 


 


 


ฉันทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันไปยิ้มให้เซจินที่ฟึดฟัดขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ และในตอนที่ฉันเอื้อมไปหยิบขนมปังที่ตกลงบนพื้นนั่นเอง 


 


 


อีเซที่นั่งเทนมใส่แก้วอยู่เงียบๆ จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา แล้วเดินถือแก้วที่มีนมอยู่เต็ม ค่อยๆ เดินไปทางโต๊ะที่รุ่นพี่โซยอนนั่งอยู่ 


 


 


“นี่ เขาเป็นอะไรของเขาน่ะ” 


 


 


น้ำเสียงเลิ่กลั่กของเซจินดังเข้ามาในหูเหมือนกับเสียงไซเรน ฉันจับหูที่เริ่มเจ็บขึ้นเรื่อยๆ เอาไว้แน่น พร้อมกับรีบลุกออกจากที่แล้ววิ่งไปทางอีเซ  


 


 


แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ห้ามหมอนั่น นมที่อยู่ในแก้วที่หมอนั่นกำลังถืออยู่ในมือก็ถูกเทราดลงไปบนหัวของรุ่นพี่โซยอนในทันที 


 


 


“กรี๊ดดด!” 


 


 


เสียงกรีดร้องของรุ่นพี่โซยอนดังลั่นไปทั่วทั้งโรงอาหาร นั่นจึงทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่รุ่นพี่โซยอนกับอีเซ 


 


 


ฉันถึงกับชะงักอยู่กับที่แล้วจ้องไปที่อีเซด้วยใบหน้ามึนงง หมอนั่นกำลังเทนมราดลงไปบนหัวของรุ่นพี่โซยอนจนหยดสุดท้ายด้วยสีหน้าเฉยชา 


 


 


“นายเป็นบ้าหรือไง ทำอะไรของนายเนี่ย!” 


 


 


รุ่นพี่โซยอนลุกพรวดขึ้นจากที่พร้อมกับทำท่าจะตบหน้าอีเซ เธอจ้องมองอีเซซึ่งอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่สั่นไหวเลยสักนิด ก่อนจะเริ่มแผดเสียงออกมา 


 


 


“บ้าไปแล้ว! ไม่ใช่แค่บ้านะ นี่มันเรียกว่าเสียสติแล้ว! กรี๊ดดดด!” 


 


 


“โอ๊ย หนวกหูชะมัด” 


 


 


พอน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของอีเซดังขึ้นเบาๆ รุ่นพี่โซยอนที่โมโหจนต้องกระทืบเท้า ก็แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างโกรธเคือง  


 


 


แต่อีเซกลับไม่สนใจท่าทางแบบนั้นของรุ่นพี่โซยอนเลยสักนิด เขาวางแก้วที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะอย่างเสียงดัง ก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มที่ดูสบายๆ 


 


 


“รุ่นพี่อยากได้ยินคำว่า Ugly Korean รึไงครับ อยู่ในที่สาธารณะก็ควรจะรักษามารยาทหน่อยสิครับ” 


 


 


“ว่าไงนะ? หน็อย! นี่แกพูดอะไรของแกน่ะ!” 


 


 


“พอดีอายุสมองของรุ่นพี่ดูจะยังไม่ค่อยโตน่ะครับ ผมก็เลยอยากให้กินเจ้านี่ แล้วก็ช่วยรีบๆ โตสักทียังไงละครับ” 


 


 


โอ๊ย ฉันเอามือกุมหัวพร้อมกับส่ายหัวไปมา ลีอีเซ นายทำได้ดีมากจริงๆ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


จากเหตุการณ์ที่โรงอาหารทำให้อีเซกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปในทันที ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีแต่สายตาจับจ้อง หลังจากที่ตารางทั้งหมดในวันนั้นจบลง พวกเราก็เดินทางกลับที่พักกัน แต่ระหว่างทางอีเซก็ยังคงไม่หายโกรธเคือง แถมยังทำสีหน้าบึ้งตึง พร้อมกับเบ้ปากอีกด้วย 


 


 


“ต้องรู้ไว้แล้วละว่าลีอีเซเป็นคนอารมณ์ร้อนน่ะ” 


 


 


“…เซจิน นี่เธอกำลังยิ้มอยู่งั้นเหรอเนี่ย” 


 


 


“ทำไมล่ะ ก็มันรู้สึกดีนี่นา” 


 


 


เซจินดูท่าทางตื่นเต้น ต่างไปจากฉันที่กำลังปวดหัวตุบๆ อีเซ สุดยอด! เธอพูดพลางยกนิ้วโป้งให้ ส่วนฉันกลับรู้สึกอึดอัดไปจนถึงหน้าอก 


 


 


“ทำอย่างนั้นได้ยังไง ถ้าโดนหมายหัวจะทำยังไง ก่อเรื่องก็มีสิทธิถูกไล่ออกได้ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ฉันเป็นคนหาเรื่องก่อนหรือไงล่ะ ยัยนั่นเป็นคนทำตัวไม่ดีใส่เธอก่อนนะ” 


 


 


อีเซบ่นอุบด้วยเสียงสูง ต่อจากนั้นหมอนั่นก็เดินผ่านฉันไป แล้วเริ่มเดินนำไปข้างหน้า ฉันบอกให้เซจิน เข้าไปก่อนแล้วจึงรีบวิ่งตามหลังอีเซไป 


 


 


“อีเซ เดี๋ยวก่อนสิ” 


 


 


กว่าที่ฉันจะคว้าตัวอีเซซึ่งก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเอาไว้ได้ ฉันก็หอบแฮกๆ ไปเสียแล้ว ในตอนนั้น อีเซชำเลืองมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง 


 


 


“ที่ฉันพูดก็เพราะว่ากลัวนายจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่างหาก ใช่ว่าอยากจะตำหนิสักหน่อย” 


 


 


“แล้วใครว่าอะไรละ อยู่ดีๆ จะมาแก้ตัวทำไมเนี่ย” 


 


 


“ก็นายงอนนี่นา” 


 


 


อีเซทำปากจู๋ พลางละสายตาจากฉันแล้วหันไปมองทางอื่น ทำสีหน้าเป็นเด็กๆ ไปได้ ฉันเขย่งเท้าแล้วยื่นมือไปลูบหัวของอีเซ 


 


 


“ขอบใจนะที่โกรธแทนฉัน แต่คราวหน้าอย่าทำอีกละ” 


 


 


“…” 


 


 


“เข้าใจไหม” 


 


 


อีเซที่ขี้บ่นดูน่ารักซะจนฉันเผลอทำน้ำเสียงเป็นคุณครูอนุบาลออกมา ส่วนอีเซที่เอาหน้าซุกอยู่ใต้ผ้าพันคอก็ยักไหล่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร ดวงตาเข้มๆ ของเขาค่อยๆ จ้องมาที่ฉัน  


 


 


ฉันยิ้มร่าออกมา พลางยืนเขย่งปลายเท้าอีกครั้ง ก่อนจะขยี้หัวของอีเซเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ว่ามือของอีเซที่อยู่แต่ในกระเป๋าเสื้อ จู่ๆ ก็เอื้อมมาจับข้อมือของฉันเอาไว้  


 


 


ฉันที่ขยับนิ้วมือไปมาอยู่กลางอากาศรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ในทันที หลังจากลังเล ในที่สุดฉันก็เลิกเขย่งเท้า 


 


 


และแล้วในตอนนั้นเอง ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามือของอีเซออกแรงจับที่ข้อมือของฉันมากยิ่งขึ้น แล้วทันใดนั้น หมอนั่นก็ดึงตัวฉันไปอย่างแรง ฉันจึงเสียหลักล้มคว่ำไปข้างหน้า แล้วอยู่ๆ ก็มีสัมผัสนุ่มๆ เย็นๆ สัมผัสลงตรงหน้าผากของฉัน  


 


 


สัมผัสที่ไม่คาดคิดมาก่อนนั่นทำให้ฉันตกใจจนผลักตัวอีเซที่อยู่ตรงหน้าออกไปอย่างแรง 


 


 


เอ้อ คือว่า…ก็นั่นน่ะมันเป็น…ของอีเซนี่นา 


 


 


“…คิมฮวีกยอม” 


 


 


น้ำเสียงหนักแน่นของอีเซให้ความรู้สึกแปลกใหม่ หิมะสีขาวที่ทับถมกันอยู่กำลังส่องแสงเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงไฟถนน 


 


 


“ยัยหัวทึบ” 


 


 


เสียงของอีเซฟังแตกพร่า ฉันกุมหน้าผากของตัวเองที่ถูกริมฝีปากของอีเซสัมผัสถูกด้วยสีหน้าเอ๋อๆ ดวงตาของอีเซที่ทอดมองมาที่ฉันมันกำลังสั่นไหวด้วยแววตาแห่งความเหงา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พอฉันหย่อนตัวแช่ลงไปในอ่างอาบน้ำแคบๆ ในที่พัก น้ำอุ่นที่รองไว้เต็มอ่างอาบน้ำก็ไหลลงไปที่พื้น ฉันนั่งกอดเข่าเอาไว้พลางหลับตาแน่น และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อากาศไหลออกมาจากริมฝีปากลงไปบนผิวหน้า ทำให้เกิดการกระเพื่อมเบาๆ กระจายตัวออกไป 


 


 


 


 


 


‘ฉันจะต้องคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์ให้ได้ ในแบบที่เท่ยิ่งกว่าพี่’ 


 


 


‘แล้วฉันก็จะสารภาพกับเธออย่างเป็นทางการ ว่าฉันชอบเธอ’ 


 


 


‘ขอโทษนะ ที่จู่ๆ ฉันก็พูดแบบนี้ออกมา’ 


 


 


 


 


 


คำพูดต่างๆ ที่น่าเหลือเชื่อซึ่งออกมาจากปากของอีเซ คอยแต่วนเวียนอยู่ภายในหัวของฉัน ฉันซบหน้าลงบนหัวเข่า พลางถอนหายใจยาวๆ ออกมาอีกครั้ง 


 


 


“…ทำเกินไปแล้วนะ ลีอีเซ” 


 


 


เสียงวิ้งๆ ดังไปทั่วห้องน้ำแคบๆ เป็นอีกครั้งที่ฉันเอามือทั้งสองข้างขึ้นป้องหูที่รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา ก่อนจะเอาหน้าดำลงไปในน้ำ ลมหายใจอุ่นๆ กลายเป็นฟองอากาศลอยขึ้นมา 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 24-2

 

เป็นเพราะเสียงหัวใจที่ดังจนน่าหนวกหูทำให้ฉันข่มตาหลับไม่ลง พร้อมกับต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยขอบตาดำคล้ำ ร่างกายหนักอึ้งเหมือนกับโดนทุบตีมา เฮ้อ ฉันส่งเสียงอันเหนื่อยล้าออกมา พร้อมกับลากร่างที่กว่าจะลุกขึ้นมาได้ไปยังห้องน้ำ 


 


 


พอร่างโดนสายน้ำที่ไหลออกมาพร้อมกับเสียงสดชื่น ความคิดนับพันก็ไหลผ่านเข้ามาในทันที อีเซในวันที่รุ่นพี่อีกงสารภาพรัก วันเวลามากมายหลังจากนั้นที่หมอนั่นเอาแต่หลบหน้าฉัน และตอนที่หมอนั่นเอาเงินจำนวนไม่น้อยมาให้ฉัน 


 


 


“…ยัยบ้าเอ๊ย” 


 


 


ฉันยกคันโยกฝักบัวขึ้นด้วยความหงุดหงิด น้ำที่ไหลลงมาอย่างแรงทำให้ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายตื่นขึ้น ฉันค่อยๆ หันหน้าไปมองกระจก ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในกระจก บูดบึ้งและดูแย่มากจริงๆ ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับเสยผมขึ้นลวกๆ 


 


 


“โอ๊ย” 


 


 


ตอนที่ฉันกำลังจะออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกปวดหูขึ้นมาอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ฉันงอตัวพร้อมกับทรุดฮวบลงตรงนั้นทันที 


 


 


มันรู้สึกเวียนหัวจนเหมือนจะอ้วกออกมา ฉันคลานไปตามพื้น แล้วจับโถส้วมเอาไว้ ก่อนที่จะอ้วกออกมาจนโล่งท้องในที่สุด 


 


 


ฉันกลืนน้ำลายที่ไหลออกมา ก่อนจะพิงหัวที่ปวดเหมือนกับโดนค้อนทุบตรงประตูห้องน้ำ หยดน้ำเปียกๆ ที่ยังเกาะอยู่ที่เส้นผมไหลผ่านท้ายทอยลงไปที่หลัง นี่มันชักจะแปลกๆ แล้วสิ มีบางอย่างผิดปกติ 


 


 


ฉันยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาปิดหูที่คุ้นเคยกับการได้ยินเสียงแว่ว ใช่แล้ว อาการหนักขึ้นแน่ๆ อาการปวดหัวจากความเครียดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแค่วันสองวัน แต่เสียงแว่วทุ้มๆ ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดกับอาการปวดจนหูอื้อนั้นยิ่งรุนแรงขึ้น และถี่ขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ฉันคิดทบทวนถึงความกังวลที่พยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ตลอดมา และชั่วขณะที่ฉันลดมือที่จับหูลงมาอย่างไม่ตั้งใจ ฉันก็รู้สึกขนลุกไปหมดทั้งตัว 


 


 


“…นี่มันอะไรกัน” 


 


 


เมื่อชั่วขณะซึ่งเหมือนกับว่าเวลาหยุดลงนั้นเดินผ่านไป ฉันก็เอาแต่พึมพำปนกับเสียงครวญครางอยู่คนเดียว ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริงหรือเปล่า หรือจะเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมา ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ น่าจะต้องบอกว่าไม่อยากตัดสินใจถึงจะถูก  


 


 


นั่นเป็นเพราะว่าที่ฝ่ามือของฉันกำลังเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงชัดเจน เหมือนกับว่าถูกสีสาดใส่ 


 


 


ฉันที่ได้สติกลับมาในทันทีราวกับโดนราดด้วยน้ำเย็น จึงรีบเอามือคลำไปที่ท้ายทอยและไหล่ทั้งสองข้าง แต่วินาทีที่ฉันแน่ใจเรื่องรอยสีแดงที่เปื้อนอยู่บนฝ่ามือ ฉันก็ลืมทุกอย่างที่จะพูด แล้วก็ได้แต่เหม่อลอยมองไปยังอากาศที่ว่างเปล่า 


 


 


เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่ร่างกายจะสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้ง ฉันใช้พลังเฮือกสุดท้ายบีบเค้นเสียงออกมา แต่ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง ทั้งที่ควรจะได้ยินในห้องน้ำแคบๆ นี้ หรือจะเป็นเพราะฉันตกใจเกินไป เสียงก็เลยไม่ยอมออกมากันนะ ไม่สิ มันจะต้องเป็นอย่างนั้นเท่านั้น 


 


 


ฉันพยุงร่างกายที่สั่นเทาให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในกระจกมันดูแย่เหลือเกิน ในตอนนั้นเองที่ฉันได้รู้ความจริงว่าฉันสามารถร้องไห้โดยที่ไม่ส่งเสียงออกมาได้ ราวกับว่ากำลังลืมตาอยู่แต่มองไม่เห็น มันช่างแปลกประหลาดและน่าสยดสยองไปพร้อมกัน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากนั้นหลายสิบนาที ประสาทการได้ยินก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับโกหก เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องนั้นขึ้น หลังจากที่สวมเสื้อผ้าด้วยสติที่ล่องลอยเสร็จ ฉันก็มานั่งรออยู่ร้านกาแฟข้างหน้าหอพัก หัวใจที่พังทลายราวกับเจอแผ่นดินไหวจึงสงบลง 


 


 


บางทีตอนนี้เซจินคงจะกำลังตามหาฉันให้วุ่นแล้วสินะ ฉันเอามือทั้งสองข้างกุมหน้าผากเอาไว้ขณะที่ซบหน้าลงกับโต๊ะ รู้สึกอย่างกับว่าร่างกายมันถูกกดลงไปอย่างแรง 


 


 


นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพักทั้งที่รู้ว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้สาระ แต่ฉันก็เอาแต่นึกถึงชื่อโรคต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถคิดออกมาได้ พร้อมกับเริ่มเปรียบเทียบอาการของตัวเองกับโรคเหล่านั้น 


 


 


เริ่มปวดหัวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ฉันได้ยินเสียงแว่วมานานเท่าไหร่แล้วนะ แล้วที่รู้สึกปวดล่ะ  


 


 


แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างมีสติขนาดไหน ภายในหัวของฉัน ก็มีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้นที่หมุนวนไปมาอย่างชัดเจน 


 


 


ความกลัวที่ว่า อาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย 


 


 


ฉันจับมืออีกข้างที่สั่นขึ้นมาอีกครั้งเอาไว้ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะท่าจะเริ่มเย็นแล้วสินะ ยัยบ้าเอ๊ย ทำไมฉันถึงได้ปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่สนใจละ โง่จริงๆ ร่างกายของตัวเองกลับไม่รู้จักดูแลสักนิด 


 


 


ฉันเอาแต่โทษตัวเองไม่หยุด และต้อนตัวเองจนจนมุม แต่ความจริงแล้วฉันเองก็รู้สึกอยู่แล้วว่าต่อให้ฉันรู้ถึงปัญหานี้เร็วกว่านี้ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี 


 


 


เพราะกลัวว่าจะได้ยินเสียงที่น่ากลัว เพราะกลัวว่าจะผิดหวัง ฉันถึงได้ปล่อยปละละเลยมันไว้อย่างนั้น แม้แต่ในเวลานี้ฉันก็ยังอยากที่จะทำอย่างนั้น ไม่สิ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ ทำไมถึงได้เกิดปัญหาขึ้นได้กันนะ 


 


 


แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็ได้คิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง นี่มันช่างสับสนวุ่นวายจริงๆ  


 


 


ฉันนั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้นสักพัก จนเจ้าของร้านซึ่งมีอายุประมาณหนึ่งมองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันจึงรีบแบกกระเป๋าเดินออกมาข้างนอกร้าน แล้วมาหยุดยืนเหม่อลอยอยู่ตรงกลางถนน 


 


 


ตอนนี้ฉันจะต้องไปที่ไหนนะ ฉันจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันโดยที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหมนะ ไม่สิ หูฉันจะระเบิดออกมาก่อนหรือเปล่า ฉันกำสายสะพายกระเป๋าเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกกังวล และในตอนที่ฉันมัวแต่จ้องไปที่รถยนต์ที่ขับผ่านไปมา 


 


 


“นี่” 


 


 


จู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากข้างหลัง ถึงจะรู้ว่าใครคือเจ้าของเสียง แต่ฉันก็หันหลังกลับไปด้วยความหวังว่าขอให้ไม่ใช่เธอคนนั้น แต่แล้วความคาดหวังของฉันก็พังทลายลง 


 


 


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ” 


 


 


รุ่นพี่โซยอนที่พูดเน้นคำว่า ‘คนเดียว’ ขึ้นมาเป็นพิเศษกำลังยืนกอดอกและจ้องมองมาที่ฉัน พร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา ฉันยืนก้มหน้าพลางกัดริมฝีปากล่างแน่น 


 


 


“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง ฉันถามว่าทำไมถึงอยู่คนเดียว แล้วลีอีเซกิ๊กเธอไปไหนแล้วล่ะ” 


 


 


แต่คำต่อจากนั้นที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของรุ่นพี่โซยอนก็ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมาราวกับลวดสปริง พลางจ้องรุ่นพี่โซยอนเขม็ง ริมฝีปากสีแดงแจ๋ของรุ่นพี่โซยอนกระตุกขึ้นเบาๆ พร้อมกับหัวเราะเสียงดังออกมา 


 


 


“ฉันเห็นนะ เมื่อคืนนี้ที่ลีอีเซจูบเธอน่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“อ๋อ บอกว่าจูบก็คงจะเกินไป ก็แค่จุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากสินะ” 


 


 


หลังจากที่ยิ้มพลางเหน็บแนมจนพอใจแล้ว เสียงของรุ่นพี่โซยอนก็เบาลง แต่ฉันที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี ทำได้เพียงแค่เหม่อมองไปที่รุ่นพี่โซยอน 


 


 


“ทำไม ตกใจละสิ” 


 


 


“หมายความว่ายังไง…” 


 


 


“เธอนี่มันสุดยอดกว่าที่ฉันคิดอีกนะ ต่อหน้าแกล้งทำเป็นใส เป็นคนไร้เดียงสา แต่ลับหลังกลับเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์” 


 


 


ฉันกลืนน้ำลาย พลางส่ายหัวอย่างแรง 


 


 


“เข้าใจผิดแล้วละค่ะ ฉันกับอีเซน่ะไม่ได้…” 


 


 


“จะมาแก้ตัวให้ฉันฟังทำไม เก็บไว้บอกรุ่นพี่อีกงเถอะ” 


 


 


คำพูดที่มาพร้อมด้วยน้ำเสียงแดกดันปนเสียงหัวเราะสั้นๆ ของรุ่นพี่โซยอนกดลงมาตรงกลางใจฉัน จนมันหนักอึ้งไปหมด 


 


 


ฉันรีบหันหลังให้ทันที เพราะฉันรู้ดีว่าการที่ได้มาพบเจอกับรุ่นพี่โซยอนแบบนี้ จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่  


 


 


แต่คำพูดของรุ่นพี่โซยอนที่ดังมาจากข้างหลัง ก็ทำให้ขาของฉันที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าต้องหยุดชะงักลง 


 


 


“ความรู้สึกที่ได้ไปๆ มาๆ ระหว่างพี่กับน้องน่ะ เป็นไงล่ะ คงจะรู้สึกดีจนอยากจะฮัมออกมาเป็นเพลงเลยละสิ” 


 


 


ฉันกำมือที่สั่นไม่หยุดไว้แน่น พลางหันหลังกลับไปด้วยท่าทีโกรธจัด ชักจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว 


 


 


แต่ว่าก่อนที่ฉันจะพูดอะไรออกไป เสียงกรีดร้องของรุ่นพี่โซยอนก็ดังไปทั่วทั้งซอยในยามเช้าอันแสนเงียบสงบ 


 


 


“กรี๊ด! อะไรของเธอน่ะ!” 


 


 


“ให้ตายสิ เห็นว่าเป็นรุ่นพี่เลยยอมให้ แต่ก็ยังกลับมาอาละวาดอยู่ดีสินะ” 


 


 


ฉันทำได้เพียงแต่มองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยใบหน้าเหลอหลา ไม่รู้ว่าเซจินโผล่มาจากที่ไหน แต่เซจินที่แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำกำลังจิกผมของรุ่นพี่อย่างแรงจากทางด้านหลัง 


 


 


“ว่าไงนะ? อาละวาดงั้นเหรอ นี่แก!” 


 


 


“ถ้าไม่อยากผมร่วงหมดหัวก็หุบปากนั่นซะ” 


 


 


เซจินที่กำลังกัดฟันกรอด ตะเบ็งเสียงใส่รุ่นพี่โซยอน พร้อมกับออกแรงดึงเส้นผมของรุ่นพี่ที่อยู่ในมือ ต่อจากนั้น เสียงกรีดร้องแหลมสูงเหมือนจะขาดใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันรีบเข้าไปห้ามเซจินที่กำลังโมโหได้ที่ 


 


 


“ใจเย็นๆ นะ เซจิน! นะ” 


 


 


“โอ๊ย ปล่อยนะ วันนี้ได้เห็นดีกันแน่” 


 


 


“อดทนไว้นะ ขอร้องละ!” 


 


 


“นี่มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ปล่อยนะ!” 


 


 


ถนนกลายเป็นสนามรบไปในพริบตาเดียว เสียงดังวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เหล่าผู้คนในร้านค้าต่างวิ่งกรูกันออกมาดูพวกเราด้วยความตกใจพร้อมกับเอะอะโวยวาย ฉันใช้แรงทั้งหมดที่มีแยกทั้งสองคนออกจากกัน แล้วตะโกนสุดเสียง 


 


 


“หยุดเลยทั้งสองคน ก่อนที่ฉันจะเรียกอาจารย์มา!” 


 


 


ในตอนนั้นทั้งรุ่นพี่โซยอนและทั้งเซจินต่างจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายด้วยสภาพผมที่กระเซอะกระเซิง และเสียงหายใจกระหืดกระหอบ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกจากกัน ฉันรีบตรวจดูหน้าของเซจิน โชคดีนะ ดูเหมือนจะไม่ได้มีรอยแผลที่สะดุดตาเป็นพิเศษ ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แล้วหันไปทางรุ่นพี่โซยอน 


 


 


“…รุ่นพี่คะ ฉันจะไม่บอกให้ขอโทษหรอกนะคะ” 


 


 


“ว่าไงนะ” 


 


 


ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนบูดเบี้ยวหนักเข้าไปอีก นั่นจึงทำให้เซจินส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธอีกครั้ง ฉันจับมือของเซจินเอาไว้แต่ตากลับจ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่โซยอน พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม 


 


 


“คำหยาบคายที่รุ่นพี่พูดกับฉัน ไม่ต้องขอโทษหรอกนะคะ เพราะฉะนั้นรุ่นพี่เองก็อย่ามาหาเรื่องฉันอีกจะดีกว่า” 


 


 


“มันก็เป็นเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ เธอมันก็เป็นแค่ยัยจิ้งจอก ที่ควงทั้งรุ่นพี่อีกงแล้วก็อีเซไว้เล่นสนุกๆ ไม่ใช่รึไงล่ะ!” 


 


 


“…จะยังไงมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้นก็เชิญแต่งเรื่องไปตามสบายใจเถอะค่ะ” 


 


 


“ถ้าอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่อีกงจริงๆ เธอยังจะกล้าพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่าน้า ถ้าฉันบอกเรื่องทั้งหมดให้รุ่นพี่อีกงรู้ คิดว่ารุ่นพี่จะคบกับเธอต่อไปรึไง” 


 


 


“อยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเลยค่ะ” 


 


 


คำพูดเด็ดขาดของฉันทำให้คิ้วของรุ่นพี่ขมวดมุ่นเข้าหากันเหมือนกับว่าหมดคำที่จะพูดต่อ พร้อมกับจ้องมาที่ฉัน หูรู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาอีกแล้ว  


 


 


ฉันจับมือเซจินที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไว้ แล้วหันหลังเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร ถึงแม้ว่าจะมีสายตาดุดันของรุ่นพี่โซยอนไล่ตามมาจากด้านหลัง แต่พวกเราก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง 


 


 


ตลอดเวลาที่เดินบนถนน เซจินไม่พูดอะไรเลยสักคำ พอฉันเอาแต่เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอะไรกับเซจินดี เซจินที่จับมือฉันมาตลอดทางก็หยุดเดิน 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


“…อือ” 


 


 


“เมื่อกี้ที่รุ่นพี่โซยอนพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ อีเซทำแบบนั้น…กับเธอจริงเหรอ” 


 


 


เหมือนกับว่าเซจินไม่กล้าพูดคำที่ตัวเองได้ยินออกมาจนจบประโยค สีหน้าของเซจินดูแปลกพิลึก ฉันลังเลสักพัก ก่อนจะพยักหน้าออกไปในที่สุด แล้วต่อจากนั้นเซจินก็พูดว่า ว่าแล้วเชียว พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ 


 


 


“หมอนั่นเนี่ย ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนั้นในเวลาสำคัญแบบนี้นะ” 


 


 


“…เธอรู้อยู่แล้วเหรอ” 


 


 


“มีแค่เธอคนเดียวน่ะสิที่ไม่รู้” 


 


 


เซจินจิ๊ปากพลางส่ายหน้า เธอนี่มันทึ่มซะจน… หลังจากพูดคำนั้นเสร็จ เซจินก็ขยี้หัวฉันเสียยกใหญ่ ฉันที่ไม่มีอะไรจะแก้ตัว จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบ 


 


 


โอ๊ย พอได้มายืนอยู่กับเซจินแบบนี้แล้ว เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับอีเซ รวมถึงปัญหาเรื่องเกี่ยวกับหูที่ได้เจอมาเมื่อเช้านี้เป็นเพียงแค่ฝันไปเลยแฮะ ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นแค่ความฝันก็ดีน่ะสิ 


 


 


“มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจำเป็นจะต้องสนใจหรอกน่า” 


 


 


“…” 


 


 


“มันก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ที่เธอชอบรุ่นพี่อีกงน่ะ” 


 


 


ใช่ เซจินพูดถูก ไม่ใช่ว่าถ้าฉันรู้เรื่องนี้มาก่อน แล้วฉันจะรับรักอีเซสักหน่อย เหมือนกับที่ถ้ารู้อยู่แล้วว่าหูตัวเองจะใช้การไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่กลัวสักหน่อย ฉันเผลอยกมือขึ้นมากุมใบหู แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ 


 


 


“ว่าแต่ว่า ทำไมเธอถึงออกมาเดินเตร็ดเตร่ตั้งแต่เช้าโดยไม่บอกก่อนล่ะ” 


 


 


“…ก็แค่มาเดินเล่นน่ะ” 


 


 


“แหม แล้วก็โชคดีซะด้วย” 


 


 


ฉันหันไปยิ้มหน้าเจื่อนๆ ให้กับเซจินที่พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ภายในหัวของฉันคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว คือขอให้เรื่องทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนถึงวินาทีที่กลับไปถึงเกาหลี ทั้งเรื่องหูของฉัน เรื่องอีเซ และเรื่องรุ่นพี่โซยอนด้วย 

 

 

 


ตอนที่ 25-1

 

พอได้มายืนอยู่บนเวทีที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาและต่อหน้ากล้องจำนวนมาก ความกังวลก็ส่งผ่านจากปลายเท้าขึ้นมา วันนี้คือวันที่ห้าของการแข่งขัน การเริ่มต้นของการแข่งรอบรองชนะเลิศ  


 


 


หลังจากวันนั้น รุ่นพี่โซยอนก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรแปลกๆ กับฉันอีก ถึงฉันจะไม่รู้ก็เถอะว่ามันเป็นเพราะรุ่นพี่จงใจหรือเพราะรุ่นพี่หมดความสนใจในตัวของฉันแล้วกันแน่ 


 


 


ความจริงแล้วคงไม่ใช่รุ่นพี่โซยอนหรอก อาจจะเป็นฉันซะมากกว่าที่ไม่มีเวลาพอจะไปสนใจเรื่องอื่นน่ะ เพราะว่านอกจากจะเป็นกังวลกลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นที่หูแล้ว การที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอย่างปลอดภัย ก็ทำให้ความรู้สึกปลาบปลื้มใจถาโถมเข้ามาพร้อมกับความหนักใจด้วยเช่นกัน 


 


 


ถึงจะรู้สึกโล่งอกก็เถอะ แต่ดูเหมือนหนึ่งในเรื่องที่ฉันกังวลอย่างอีเซก็ไม่มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปเลย หมอนั่นทำตัวเหมือนปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมอนั่นดูใจเย็น แล้วก็ปกติมากๆ จนแม้แต่ฉันเองยังลืมเรื่องนั่นไปเสียสนิท 


 


 


ทุกอย่างราบรื่นจนฉันยังรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ทั้งหัวใจอันวุ่นวายของฉัน ทั้งอีเซ ทั้งรุ่นพี่โซยอน แล้วก็หูของฉัน ทั้งหมดเลย 


 


 


“ฮวีกยอม ตัวหนักจัง วิ่งสักหน่อยนะ” 


 


 


“ค่ะ” 


 


 


พอกลับมาที่ด้านหลังเวทีหลังจากซ้อมรอบสุดท้ายเสร็จ ฉันก็อยู่ในอาการสติหลุดขนาดที่ไม่ได้ตั้งใจฟังคำแนะนำของอาจารย์เลยสักนิด ฉันดื่มน้ำเข้าไปหลายอึก แล้วกลืนมันลงไปพร้อมกับความกังวล วันนี้ดูเหมือนทุกคนจะใจตรงกัน ทั้งเซจินและอีเซที่นั่งหายใจหอบอยู่ข้างๆ ต่างก็ไม่คุยอะไรกันเลยสักนิด 


 


 


ฉันที่เปลี่ยนชุดออกมา เผลอหันไปจ้องมองดูหน้าของตัวเองและเมคอัพหนาๆ บนหน้าซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าที่ดูอึดอัดและเหนื่อยล้า กับดวงตาที่สั่นไหวด้วยความวิตกขัดกับเครื่องสำอางที่ดูมีชีวิตชีวา  


 


 


ชุดที่ใส่อยู่บนตัวคือชุดกระโปรงที่ดูสดใสของจีเซลล์ แต่ใบหน้าของฉันในกระจกนั้น อย่างกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่างไปซะเดี๋ยวนี้ 


 


 


ฉันหายใจเข้าลึกๆ และพยายามควบคุมสติที่เอาแต่จะหลุดลอยออกไปที่อื่นเอาไว้ ก่อนที่จู่ๆ จะรู้สึกคิดถึงรุ่นพี่อีกงขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ ถ้าถูกโอบกอดด้วยอ้อมกอดที่ทำให้คลายกังวลนั่นละก็ ฉันคงจะสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม 


 


 


ฉันพยายามปลอบโยนหัวใจที่จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา แม้จะสักนิดนึงก็ยังดี ด้วยการประสานมือทั้งสองข้าง พร้อมกับมองดูรูปของรุ่นพี่ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ 


 


 


“โอ๊ย รู้สึกกังวลจนเหมือนจะอาเจียนออกมาเลยแฮะ” 


 


 


เซจินเดินไปเดินมาโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา ขนาดเซจินที่เคยมีท่าทีมั่นอกมั่นใจตลอดระยะเวลาที่มาที่โลซานน์ พอถึงเวลาจริงก็ยังรู้สึกกังวลกับรอบชิงชนะเลิศที่อยู่ตรงหน้า ฉันยิ้มแห้งๆ พลางตบบ่าเซจินเบาๆ กว่าจะถึงเวทีหลักก็ยังต้องรอค่อนข้างนานทีเดียว 


 


 


ระหว่างที่รอคอยเป็นเวลานาน อีกหนึ่งสิ่งสำคัญก็คือการควบคุมสภาพร่างกาย ฉันจึงพยายามทำหัวให้โล่ง ขณะที่เสียบหูฟัง แล้วเอาหลังพิงกำแพงอย่างเต็มที่ ก่อนจะเริ่มทำการยืดเส้น  


 


 


ทุกๆ ที่มีนักเรียนที่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกซ้อมของตัวเองและการยืดเส้นเต็มไปหมด ทั้งสีผิว สีผม และภาษาต่างก็ต่างกัน แต่สีหน้าทุกคนนั้นกลับกังวลอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกันหมด 


 


 


ขณะที่ฉันจดจ่ออยู่กับการยืดเส้นอยู่สักพัก ชุดที่มีสีสันหลากหลายก็ผ่านหน้าฉันไปเรื่อยๆ  


 


 


ภายใต้ความกังวลสุดขีดที่ทำให้หายใจได้อย่างไม่เต็มปอดนั้น เวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อของฉันดังมาจากที่ไหนสักที่ 


 


 


ฉันหายใจเข้าลึกๆ พลางเดินไปบนโถงทางเดินยาวที่รู้สึกเหมือนไกลนับพันลี้ แต่ละก้าวแต่ละก้าวที่เดินไปนั้นราบกับมีอากาศโดยรอบกดทับที่ไหล่ของฉันจนหนักอึ้ง เหมือนจะมีใครบางคนจับมือของฉันไว้ แล้วพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัด 


 


 


หลังจากที่พยายามสงบใจที่เต้นรัว แล้วเช็ดมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันก็พูดคนเดียวขึ้นมาว่า ฉันทำได้ ฉันทำได้ ระหว่างรอคิวของตัวเอง ฉันก็ยืดเส้นบริเวณข้อเท้าที่สั่นด้วยความกังวล แล้วในตอนนั้นเองเสียงของทีมงานที่บอกว่า ให้เตรียมตัว ก็ดังขึ้น 


 


 


ฉันเดินไปยังทางเข้าเวทีอย่างเชื่องช้า เสียงระฆังมันดังอยู่ข้างในหัวไม่หยุดพัก เสียงกริ๊งๆ นั่นทำให้ภาพข้างหน้าดูเบลอๆ ไปสักพัก แต่พอเสียงดนตรีอันร่าเริงดังขึ้นมา ฉันก็ก้าวเท้าเหมือนกับจะลอยออกไปบนเวทีอย่างมั่นใจ ใบหน้าเกร็งๆ ของฉันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มไปโดยอัตโนมัติ 


 


 


บทของจีเซลล์ทำให้ฉันได้มายืนอยู่ที่โลซานน์ ในการแข่งขันที่ฉันปรารถนาเป็นที่สุด  


 


 


ความซาบซึ้งใจชั่วขณะโฉบผ่านปลายจมูกไปอย่างรุนแรง และเสียงของรองเท้าบัลเลต์ที่กระทบลงกับพื้นก็ดังผ่าเสียงดนตรีอันร่าเริงออกมาอย่างชัดเจน แขนที่ยกขึ้นไปเบาๆ สะบัดไปมาอย่างนุ่มนวล รู้สึกได้ถึงความร้อนแรงของแสงไฟที่สาดส่องลงมาจากเพดาน 


 


 


ฉันทำเป็นยิ้มให้กว้างยิ่งขึ้น และพยายามผ่อนคลายเท้าเล็กน้อย หลังจากทำท่าแอททิทูทไปหลายครั้ง ฉันก็กระโดดในท่ากรังด์ จูเธ่[1]จากตรงมุม วินาทีนั้นฉันรู้สึกได้เลยว่ากล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวถูกดึงจนตึงแน่นเหมือนกับหุ่นกระบอกที่ถูกผูกติดอยู่ที่ปลายเชือก ว้าว รู้สึกดีจัง ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเส้นประสาททั้งหมดได้ตื่นขึ้น 


 


 


ฉันผ่ากลางเวทีอีกครั้ง ด้วยท่ากรังด์ จูเธ่สามครั้ง ต่อจากนั้นก็เทิร์น และจบลงด้วยการกระโดดเบาๆ ก่อนลงสู่พื้น แล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาไปตามที่ร่างกายจดจำด้วยสัญชาตญาณ 


 


 


ในตอนนี้ฉันไม่รู้สึกถึงแม้แต่แสงไฟที่ร้อนจนเหมือนจะแผดเผาร่างกายทั่วทั้งร่างเลยสักนิด ฉันมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถจบการแสดงบนเวทีนี้ได้โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร 


 


 


แต่ว่าหลังจากทำพาเซ่[2] เทิร์นเสร็จ วินาทีที่จะหมุนท่าชเวน อาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนก็เข้ามาจู่โจมหัวของฉัน จนฉันถึงกับเซไปมา 


 


 


นั่นคือเหตุการณ์ที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ แสงไฟที่ส่องเป็นประกายเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในสายตาของฉัน 


 


 


“กรี๊ดดด!” 


 


 


เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักที่ดังลั่นไปทั่วเหมือนกับเสียงไซเรน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ฉันตั้งสติไม่ได้เลย  


 


 


ดนตรีผ่านช่วงไคลแมกซ์ไปนานแล้ว แสงไฟสั่นไหวอย่างแรงค่อยๆ ไกลตาออกไป ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งได้รู้ว่า ร่างกายของฉันโซเซไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนกับแผ่นกระดาษ แล้วจึงล้มคว่ำลงไปที่พื้น 


 


 


อ้า ฉันไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยสักนิด แม้แต่เสียงกระแทกของไหล่ที่ชนเข้ากับพื้นอย่างแรงก็ยังไม่ได้ยิน มันเหมือนกับอยู่ในเครื่องเล่นถ้วยหมุนๆ ไม่สิ เหมือนกับรถไฟเหาะมากกว่า โลกทั้งใบกำลังหมุนติ้วๆ  


 


 


คงเพราะอย่างนั้นเลยทำให้รู้สึกคลื่นไส้จนอ้วกออกมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นความเจ็บปวดและอาการวิงเวียนก็ถาโถมเข้ามา 


 


 


‘…รุ่นพี่’ 


 


 


อยากเจอรุ่นพี่อีกงจัง ฉันอ้วกจนหมดไส้หมดพุงและร้องเรียกรุ่นพี่อีกงด้วยความร้อนใจ แต่ฉันก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของตัวเองที่เรียกรุ่นพี่ เจ้าเสียงแว่วอันน่าเบื่อหน่ายนี้ที่ดังรังควานฉันอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กำลังก้องกังวานอย่างรุนแรงอยู่ในหูของฉัน 


 


 


สีหน้าตกใจของผู้คนปรากฎขึ้นในสายตาที่ค่อยๆ เลือนรางลง และในไม่ช้าใบหน้าเหล่านั้นก็หมุนติ้ว ฉันหายใจออกมาอย่างยากลำบาก แล้วหันไปขยับปากเหมือนกับจะพูดอะไรสักอย่างกับคนเหล่านั้น ฉันรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับมือที่สั่นเทาของฉันอยู่ 


 


 


อ้า อาจารย์ประจำชั้นนี่เอง เซจินและอีเซเองก็กำลังวิ่งมาหาฉัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้ แต่ว่าก่อนที่ฉันจะได้รับคำตอบของคำถามเหล่านั้น ฉันก็หมดสติไปซะก่อน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ฤดูหนาวของสวิตเซอร์แลนด์นี่มันโหดร้ายพอๆ กับความสวยงามของมันเลยสินะ ฉันเหม่อมองวิวหิมะอันงดงามพร้อมกับรับลมหนาวที่ทำให้สะท้านไปจนถึงกระดูก  


 


 


ฉันคิดว่าโลซานน์สำหรับฉันนั้น มันช่างงดงาม แต่ความโหดร้ายนั้นอาจจะมาจากฤดูหนาวของสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ ถึงฉันจะโอบกอดความฝันอันสวยงามมายังที่แห่งนี้ แต่ฉันก็ยังเผชิญกับความเจ็บปวดแสนร้ายกาจอยู่ดี 


 


 


 


 


 


‘ที่แน่ๆ คือตรงโสตประสาท และระบบการทรงตัวก็ได้รับความเสียหายเหมือนกัน’ 


 


 


‘ฟังจากที่คุณหมอพูดแล้ว สงสัยว่าจะเป็นไวรัสน่ะ’ 


 


 


‘…เขาบอกว่าคงจะทำให้ความสามารถในการได้ยินลดลง’ 


 


 


‘ขอโทษนะ ที่ต้องมาบอกเรื่องแบบนี้’ 


 


 


 


 


 


น้ำเสียงหนักของอาจารย์ที่แสดงสีหน้าเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้ยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัวของฉันไม่หยุดจนถึงตอนนี้ สำหรับฉันแล้ว คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนกับคำพิพากษาโทษประหารชีวิตก็ไม่ปาน 


 


 


คุณหมอชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ที่มีหนวดเครารุงรังกำลังมองมาที่ฉัน แววตาของเขาดูแจ่มใส หรือนั่นจะเป็นเพราะความเห็นใจกันนะ 


 


 


“ฮ่า” 


 


 


ทั้งที่ฉันแกล้งหัวเราะออกเสียงออกมาเสียงดังฟังชัด แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของฉันกลับเป็นเพียงแค่คำๆ หนึ่งแทนที่จะเป็นเสียงหัวเราะ ฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยสักนิด  


 


 


ไม่ว่าจะเป็นวิวของหิมะที่อยู่ตรงหน้าฉัน หรือไม่ว่าจะเป็นพื้นตรงที่เท้าทั้งสองข้างของฉันกำลังเหยียบอยู่ และแม้แต่คำพูดต่างๆ ที่เหมือนเป็นกระบองเหล็กฟาดลงมากลางหัวของฉัน ทุกอย่างดูราวกับความฝัน ถ้าการผ่านเข้ารอบมาที่โลซานน์เป็นแค่ความฝันไปด้วยก็ดีน่ะสิ 


 


 


ถ้าหลับตา แล้วลืมตาขึ้นมา ฉันหวังว่าจะได้เห็นเพดานห้องตัวเอง แล้วฉันก็จะได้ถีบผ้าห่มออกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นฉันก็จะโทรหารุ่นพี่อีกง เล่าเรื่องฝันร้ายให้ฟัง พอคุยกันเสร็จก็จะวิ่งไปหาคุณป้าที่สุขภาพแข็งแรงดี หอมแก้มกับท่าน แล้วก็ออดอ้อนเหมือนกับเด็กๆ จากนั้นก็ไปโรงเรียน ฝึกซ้อมเหมือนกับที่เคยทำมา พอเลิกซ้อมก็ไปเดินเล่นกับเซจินและอีเซ… 


 


 


“โอ๊ยยย…” 


 


 


สุดท้ายฉันก็ทรุดนั่งลงตามเดิม ใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าเอาไว้ แล้วคู้ตัวลง เสียงร้องไห้ที่ฉันอดกลั้นเอาไว้นับร้อยครั้งระเบิดออกมาจนคอแทบแตก เสียงร้องไห้นั่นเหมือนกับเสียงของคนร้ายที่เลียนเสียงร้องของอีกาเลยละ 


 


 


ฉันในชุดผู้ป่วยบางๆ นั่งลงบนพื้นพร้อมกับสัมผัสหิมะสีขาวที่ตกลงมาอย่างกับสายฝน ภาพของชาวตะวันออกที่กำลังนั่งร้องไห้เสียงดังคงจะเป็นภาพที่หาดูได้ยากละมั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาจับจ้องของผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถที่จะหยุดร้องไห้ได้เลยสักนิด บางอย่างในใจของฉันเหมือนกับถูกตัดให้ขาดออกไป และฉันก็ไม่สามารถควบคุมเจ้าสิ่งนั้นได้ 


 


 


 


 


 


‘แล้วเรื่องเต้นละคะ ฉันยังเต้นได้อยู่หรือเปล่าคะ’ 


 


 


 


 


 


ถึงจะดูน่าสมเพช แต่ฉันก็ดึงชายเสื้อของคุณหมอคนนั้นที่ส่งแววตาแห่งความเห็นใจมาให้ฉัน พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน 


 


 


ใช่แล้ว ขนาดตอนนี้ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนเลย แสดงว่าไม่ได้ถึงขนาดจะไม่ได้ยินเลยหรอกมั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารับการผ่าตัดหรือจะใช้เครื่องช่วยฟังก็ตาม ถ้ามีวิธีละก็ ฉันก็คิดว่าตัวเองจะสามารถกลับมาเต้นได้ 


 


 


 


 


 


‘ขอแค่ให้เต้นได้ก็พอ ฉันขอแค่นั้นก็พอ ได้โปรดเถอะค่ะ…’ 


 


 


 


 


 


ทันทีที่ล่ามจากทางการแข่งขันที่ยืนอยู่ข้างฉันส่งต่อคำพูดของฉันให้กับคุณหมอ เขาก็ส่ายหัว พลางทำหน้าสิ้นหวัง ถึงจะแค่แวบเดียวก็ยังดูออก  


 


 


คำที่ว่า ข้างหน้ามืดแปดด้านนี่มันหมายถึงแบบนี้หรือเปล่านะ ฉันที่กำลังมึนงงอยู่มองเห็นใบหน้าของคุณหมอที่กำลังพูดอะไรสักอย่างกับฉัน 


 


 


 


 


 


‘การไม่ได้ยินน่ะเป็นปัญหาที่สองครับ’ 


 


 


‘เพราะหูชั้นในรูปหอยโข่งภายในหูเกิดความเสียหาย… ทำให้อาจจะวิงเวียนศีรษะแล้วก็เป็นลมล้มลงไปได้ทุกเมื่อ’ 


 


 


‘ก็พอจะมีวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่อยู่หรอก…’ 


 


 


‘…แต่ว่าบัลเลต์น่ะ คงจะไม่สามารถเต้นได้หรอกครับ’ 


 


 


 


 


 


ฉันนึกถึงเสียงแหบแห้งของล่ามพลางเอนหัวพิงกำแพงตึกที่เย็นเฉียบ และเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสนิทด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เกล็ดหิมะที่เป็นประกายยังตกลงมาจากหมู่มวลก้อนเมฆสีขาวไม่หยุด 


 


 


ฉันจ้องมองดูภาพนั้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่ขยับไปไหนอยู่สักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งร่างกายที่กำลังสั่นเทาอยู่นั้นเย็นยะเยือกเหมือนกับแผ่นน้ำแข็ง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] กรังด์ จูเธ่ grand jeté คือ การกระโดดในแนวนอนโดยปกติระหว่างกระโดดจะต้องฉีกขาในลักษณะของ split กลางอากาศและจะต้องกระโดดด้วยความสูงที่พอดี ขยับไปข้างหน้าและลงมาด้วยความสวยงาม 


 


 


[2] พาเซ่ Penché หมายถึงการเอนตัวไปข้างหน้า ขาอีกข้างยกขึ้นไปสูงกว่า 90 องศา ปกติท่านี้ไม่จำเป็นต้องสูงมากถึง 180 องศาก็ได้ 

 

 

 


ตอนที่ 25-2

 

สิ่งแรกที่ฉันทำหลังจากใช้เวลาตั้งสติอยู่นานคือการขอร้องอาจารย์ว่าอย่าบอกเรื่องอาการของฉันให้ใครฟัง ส่วนเซจินกับอีเซที่มาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลหลังจากแข่งขันเสร็จ ฉันก็กุเรื่องขึ้นมาว่านี่เป็นเพียงแค่อาการปวดหัวเนื่องจากความเครียดเฉียบพลันเท่านั้น 


 


 


เซจินร้องไห้เสียจนเมคอัพหนาๆ เลอะเทอะไปหมด เธอเช็ดหน้าที่กระดำกระด่างด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วกอดฉันเอาไว้แน่น ส่วนอีเซก็ฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นออกมาพลางเอามือตบไหล่ฉันเบาๆ 


 


 


“การแข่งจบลงด้วยดีไหม” 


 


 


ฉันพยายามยิ้มอย่างสดใสและถามอย่างร่าเริง แต่เซจินกลับจ้องฉันเขม็งด้วยสายตาดุดัน พลางพูดขึ้นมาอย่างโมโหว่า นี่มันใช่เวลาจะมาถามเรื่องนั้นหรือไงเล่า ดูเหมือนเธอคงจะไม่อยากพูดเรื่องการแข่งต่อหน้าฉันที่ทำลายเวทีของตัวเองสินะ 


 


 


ความจริงฉันได้ยินมาจากอาจารย์แล้วละว่าทั้งสองคนผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ 


 


 


“ยินดีด้วยนะ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดแสดงความยินดีของฉัน เซจินกลับทำหน้าเหยเก พลางก้มหน้ามองพื้น 


 


 


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เธอต้องทำให้ดีที่สุดจนถึงรอบสุดท้ายนะ” 


 


 


“…เธอนี่มัน” 


 


 


“คิมเซจินที่บอกว่าจะคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์มาให้ได้คนนั้น ไปไหนซะแล้วล่ะ” 


 


 


ฉันแกล้งทำเป็นพูดจาสดใสยิ่งกว่าเดิม แต่ดูเหมือนเซจินคงจะรู้ถึงความตั้งใจของฉัน เธอจึงได้ฉีกยิ้มแห้งๆ ออกมา ฉันค่อยๆ จับมือของเซจินกับอีเซไว้ ความอบอุ่นนั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ 


 


 


“ฉันไม่เป็นไรหรอก เพราะงั้นเซจิน เธอจะต้องทำให้ดีที่สุด ทำเผื่อในส่วนของฉันด้วยนะ” 


 


 


“…รู้แล้วน่า ยัยบ้า” 


 


 


ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางเช็ดหน้าเช็ดตาที่เลอะเทอะของเซจินซึ่งกำลังพูดตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง อีเซที่เอาหน้าซุกลงไปในผ้าพันคอค่อยๆ ละสายตาไปจากฉัน ไหล่ของอีเซที่เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ดูหนักอึ้งเป็นพิเศษ 


 


 


“ลีอีเซ” 


 


 


อีเซสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉัน เขาค่อยๆ หันกลับมามองฉันช้าๆ ดวงตาของหมอนั่นที่กลายเป็นสีแดงก่ำดูราวกับกวางน้อยเลย 


 


 


ความรู้สึกเขินอายทำให้ฉันลังเลจนหยุดพูดไปสักพัก แต่ในไม่ช้า ฉันก็รวบรวมความกล้าขึ้นมา แล้วมองไปที่อีเซอีกครั้ง พร้อมกับพูดต่อเบาๆ 


 


 


“นายเองก็พยายามเข้าละ” 


 


 


ดวงตาที่เปียกชุ่มของอีเซสั่นไหวจนสังเกตได้ หมอนั่นตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ฉันหันไปยิ้มร่าให้อีเซ แล้วจึงหันไปเงยหน้ามองท้องฟ้า  


 


 


ฉันยังมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่กันนะ เวลาที่จะยังสามารถได้ยินเสียงของเพื่อนๆ คนสำคัญ เวลาที่จะยังได้เห็นภาพตัวเองเต้นรำตามจังหวะ แล้วก็… 


 


 


‘รุ่นพี่อีกง’ 


 


 


ฉันเรียกชื่อของรุ่นพี่อีกงออกมาในลำคอ หูของฉันจะทนไปได้จนถึงไหนกันนะ ฉันจะสามารถเก็บเสียงของรุ่นพี่ไว้ได้มากเท่าไหร่ แล้วฉันจะสามารถแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ตามที่สัญญาเอาไว้ได้หรือเปล่า ความคิดต่างๆ ที่พันกันวุ่นวายกลายมาเป็นน้ำตาที่คอยแต่จะไหลออกมา 


 


 


“กลับกันเถอะ” 


 


 


ฉันดึงมือของเซจินกับอีเซที่กำลังจับเอาไว้อยู่ พายุหิมะรุนแรงที่พัดไปมาได้สร้างม่านหมอกขึ้น ก่อนที่มันจะเงียบสงบลง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากที่ฉันสละสิทธิ์ การแข่งขันก็กลับมาดำเนินต่อไปราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน น่าเสียดายที่เซจินกับอีเซไม่สามารถคว้ารางวัลกลับมาได้ แต่พวกเขาก็ขึ้นชื่อว่าได้ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ อย่างน้อยความมีชีวิตชีวาของเพื่อนๆ ก็สร้างความสุขเล็กๆ ขึ้นในใจที่เศร้าสร้อยของฉัน 


 


 


แต่ที่จริงหลังจากหลับแล้วตื่นขึ้นมา แสงแดดยามเช้าที่ฉันได้เห็นซึ่งยังเหมือนเดิมตามปกตินั้น กลับทำให้ฉันรู้สึกหดหู่จนแทบจะเป็นบ้า 


 


 


แม้จะกลับไปใช้ชีวิติประจำวันเฉกเช่นเดิม แต่ความจริงที่ว่าคงจะมีแค่ฉันเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้ภายในหัวใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา 


 


 


หลังจากเสร็จสิ้นตารางทั้งหมดของโลซานน์ พวกเราได้รับเวลาอิสระหนึ่งวันเต็ม แต่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะออกไปจากที่พัก และได้แต่นั่งเหม่ออยู่ตรงริมหน้าต่าง มองไปที่แหวนซึ่งสวมอยู่ที่นิ้ว แหวนที่รุ่นพี่ให้เป็นของขวัญเพื่อเป็นกำลังใจให้ฉัน ฉันลูบๆ คลำๆ มันไปมา ก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาด้วยเลยแฮะ 


 


 


ฉันพยายามกลืนเจ้าสิ่งนั้นลงไปในคอ และแสร้งทำเป็นยกมุมปากขึ้นเพื่อยิ้ม พลางพิงหัวลงตรงหน้าต่างบานเล็กๆ อุณหภูมิเย็นๆ ของกระจกกับวิวทิวทัศน์ที่สะท้อนอยู่บนนั้นอย่างเด่นชัด ทำให้ฉันเผลอเอานิ้วมือวาดลงไปบนหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ เส้นมากมายที่ไม่มีความหมายถูกวาดขึ้น  


 


 


“คิดถึงจัง” 


 


 


คิดถึงรุ่นพี่อีกงจัง ในใจของฉันอยากจะรีบบินกลับไปยังเกาหลีเสียเดี๋ยวนั้น ไม่สิ ความจริงถ้าตัวของฉันหายไปในอากาศได้ก็คงจะดี ถึงจะอยากเจอรุ่นพี่จนแทบจะคลั่งแค่ไหน แต่ฉันก็ยังไม่มีความกล้าจะไปพบหน้ารุ่นพี่อยู่ดี 


 


 


ฉันจะกล้าบอกความจริงกับรุ่นพี่หรือเปล่านะ ไม่สิ ยังไงก็คงจะไม่กล้าหรอก ขนาดตัวฉันเองยังเชื่อไม่ลงเลย นี่มันอย่างกับเรื่องโกหกชัดๆ 


 


 


จู่ๆ ฉันก็หยิบขวดยาพลาสติกสีทึบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเทเม็ดยาออกมาวางไว้ที่ขอบหน้าต่าง หนึ่ง สอง สาม… ฉันนับจำนวนพลางมองเหม่อ แล้วจู่ๆ ความหวั่นวิตกก็พลุ่งพล่านขึ้นมา 


 


 


“อ้า…” 


 


 


ฉันรีบเอาหลังมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาทันที ก่อนจะรีบเก็บยาทั้งหมดกลับเข้าไปในขวดยาอีกครั้ง เจ้ายาเม็ดเล็กๆ นี้จะรั้งเสียงของฉันเอาไว้ได้ไหมนะ จะคอยดูแลไม่ให้มันหนีไปอีกได้หรือเปล่า 


 


 


อารมณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นความกังวลหรือความไม่ไว้วางใจกันแน่ได้คืบคลานผ่านหลังของฉันแล้วซึมเข้าไปภายในหัว ฉันจะนั่งอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันนะ 


 


 


“คิมฮวีกยอม!” 


 


 


พอดีกับที่เสียงของเซจินซึ่งกำลังเรียกชื่อของฉันดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูที่พัก ฉันจึงดึงสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับมาได้ ใบหน้าที่มีผิวหยาบกร้านกำลังสะท้อนอยู่บนกระจกบานใหญ่ซึ่งติดอยู่บนผนัง หลังจากปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ดูปกติ ฉันก็เปิดประตูออกไป เซจินสวมหมวกใบใหญ่พร้อมกับผ้าพันคอที่พันอย่างมิดชิดกำลังยืนยิ้มให้ฉันอย่างสดใสอยู่ตรงทางเดิน 


 


 


“อะไรเหรอ จะตื่นเช้าไปไหนเนี่ย” 


 


 


เลือดฝาดอ่อนๆ ที่อยู่บนผิวใสทำให้ใบหน้าของเซจินดูอย่างกับลูกพีช ฉันแสร้งทำเป็นส่งยิ้มที่กว้างยิ่งกว่าเดิมให้กับเซจิน พลางถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างขบขัน แล้วต่อจากนั้น เซจินก็ทำปากเป็นเป็ด แล้วพูดออกมาด้วยเสียงบี้ๆ 


 


 


“ก็แน่สิ นี่มันวันอิสระที่มีแค่วันเดียวเท่านั้นนะ” 


 


 


“จะไปเดินเที่ยวงั้นเหรอ” 


 


 


“อือ เธอเองก็รีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า” 


 


 


“เอ๊ะ” 


 


 


เซจินผลักหลังของฉันที่แสดงท่าทีมึนงงกลับเข้าไปในห้อง แล้วหยิบเสื้อโค้ทสักตัวมายื่นให้ฉัน พร้อมกับเร่งว่า เร็วเข้า เร็วเข้า 


 


 


“อุตส่าห์มาถึงโลซานน์แท้ๆ อย่างน้อยก็ต้องไปดูทะเลสาบเจนีวาให้ได้สิ ไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“…เธอก็ไปกับอีเซสิ” 


 


 


“ไม่ได้ รีบพันผ้าพันคอด้วย แล้วก็ถุงมืออีก!” 


 


 


แม้ว่าฉันจะแสดงท่าทีเฉยเมย แต่เซจินกลับไม่สนใจ แถมยังพันผ้าพันคอหนาๆ ไว้ที่คอฉันแน่น  


 


 


กว่าจะรู้ตัวอีกทีฉันก็ถูกติดแม้กระทั่งกระดุมเสื้อโค้ท พร้อมกับใบหน้าที่ถูกผ้าพันคอบังไปกว่าครึ่งหน้า กว่าที่ฉันจะงัดคางตัวเองออกมาได้ เซจินก็เอาหมวกไหมพรมที่มีที่ปิดหูซึ่งสวมอยู่บนหัวของตัวเองมาสวมลงบนหัวของฉัน 


 


 


อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาจากมือของเซจินที่แตะผ่านๆ ช่างอบอุ่นจริงๆ หลังจากเผลอหัวเราะออกมา ในที่สุดฉันก็เดินตามเซจินออกไปจากที่พัก  


 


 


หิมะที่ตกมาหลายวันได้หยุดลงแล้ว และตามถนนหนทางก็มีแสงแดดอันสดใสสาดส่องลงมาจนเป็นประกาย ในตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นภาพทิวทัศน์ซึ่งเหมือนกับหลุดออกมาจากรูปภาพเก่าๆ 


 


 


พวกเราที่นั่งรถเมล์มาจนถึงแถวทะเลสาบเจนีวา ดื่มด่ำไปกับแสงแดดที่ไม่ได้พบมานาน พร้อมกับเดินเล่นอยู่สักพัก ริมทะเลสาบที่ไม่ค่อยมีผู้คน แต่มีเหล่าหงส์และเป็ดหลายตัวกำลังส่งเสียง ก๊าบๆ อากาศที่สดใส ทำให้มองเห็นยอดเขาสีขาวๆ ของเทือกเขาแอลป์อยู่ไกลๆ นั่นเลยยิ่งทำให้หัวใจรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งกว่าเดิม  


 


 


ฉันเอนตัวพิงกับราวที่ตั้งอยู่ตรงปลายสุดของถนน แล้วกางแขนทั้งสองข้างออกกว้างๆ  


 


 


“อ้า รู้สึกดีจัง” 


 


 


“ดีใชไหมล่ะที่ออกมา” 


 


 


“อือ สุดๆ เลยละ” 


 


 


ฉันหันไปชูนิ้วโป้งให้กับเซจินที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างแล้วหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นแปลกใหม่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแทรกซึมเข้าไปจนถึงข้างในส่วนลึกของจิตใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น 


 


 


“ฮวีกยอม อยู่นี่แป๊บนึงนะ ฉันจะไปซื้ออะไรมาให้ดื่ม” 


 


 


“อือ โอเค” 


 


 


ฉันตอบกลับไปสั้นๆ ขณะที่ยังคงหลับตาอยู่ พลางหายใจเข้าไปลึกๆ อีกครั้ง ฉันยืนอยู่สักพักและเพลิดเพลินกับสายลมเย็นๆ ที่มาทำให้จมูกรู้สึกจั๊กจี้ ก่อนที่จู่ๆ ฉันจะสัมผัสได้ว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลัง ฉันจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วหันหลังไปดู 


 


 


“ซื้ออะไรมา…” 


 


 


อ๊ะ วินาทีนั้นฉันรีบเอามือทั้งสองข้างมาปิดปากที่อ้าค้างอย่างหมดท่า ใบหน้าที่ดูเหมือนจะผอมลงไปนิดหน่อย เส้นผมที่ปลิวไปมาเพราะลมแรง รูปตาที่โค้งมน และรอยยิ้มเล็กๆ กับฟันขาวที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดนั่นมาอยู่ตรงหน้าของฉัน ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยสักนิด 


 


 


“…รุ่นพี่” 


 


 


ฉันพูดลอยๆ ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมึนงง พร้อมกับจ้องไปที่รุ่นพี่อีกงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าฉันอย่างไม่วางตา แล้วต่อจากนั้นเสียงที่เหมือนกับความฝันก็ลอยออกมาในทันที 


 


 


“อือ ฮวีกยอม” 


 


 


“…” 


 


 


“นี่พี่เอง” 


 


 


ฉันรีบใช้หลังมือถูเปลือกตาตัวเอง แต่ถึงจะกะพริบตาถี่ๆ อยู่หลายรอบ รุ่นพี่ก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าฉันเช่นเดิม 


 


 


ฉันมองไล่ตั้งแต่เสื้อโค้ทสีกรมท่าที่กลัดกระดุมเรียบร้อย ผ้าพันคอสีขาวที่ปลิวสะบัดไปตามลม ไปจนถึงรองเท้ากีฬาสีดำที่คุ้นตา ส่วนรุ่นพี่ก็ก้มหน้าลงพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาสั้นๆ ก่อนจะก้าวช้าๆ มาหาฉัน 


 


 


“ยัยติ๊งต๊อง” 


 


 


“…” 


 


 


“ก็บอกว่าพี่จริงๆ ไงเล่า” 


 


 


รุ่นพี่ดีดเบาๆ ลงบนหน้าผากของฉันที่ยังคงมองหน้ารุ่นพี่ด้วยสีหน้าเอ๋อๆ ก่อนจะจับใบหน้าของฉันด้วยฝ่ามือที่ทั้งหนาและใหญ่ทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างนั้นของรุ่นพี่ที่ฉันคิดถึงเหลือเกิน แล้วก็ประกบปากลงบนริมฝีปากของฉันเสียงดัง จุ๊บ 


 


 


“…รุ่นพี่จริงๆ จริงๆ สินะคะ” 


 


 


“อือ พี่จริงๆ” 


 


 


รุ่นพี่ตอบคำถามของฉันที่พูดจาราวกับคนบ้าด้วยรอยยิ้มกว้าง ต่อจากนั้นเขาก็อ้าแขนทั้งสองข้างออก แล้วโอบคอของฉันไว้แน่น หัวใจที่มีทั้งความดีใจและความสับสนวุ่นวายปะปนกันยุ่งไปหมด ทำให้ฉันลังเลและทำตัวไม่ถูก และได้แต่กอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้อย่างระมัดระวัง 


 


 


แม้ว่าจะมาอยู่ในอ้อมกอดรุ่นพี่แบบนี้แล้ว ฉันก็ยังเชื่อไม่ลงเลยสักนิด รุ่นพี่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงนะ ไม่สิ แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย ฉันจมอยู่ในห้วงความคิดเหล่านั้นคนเดียวสักพัก จนกระทั่งรู้สึกตัวว่ากลิ่นตัวของรุ่นพี่ที่แสนคุ้นเคยกำลังลอยมาแตะที่ปลายจมูก 


 


 


อ้า กลิ่นสบายๆ ที่ทำให้รู้สึกคลายกังวลนี้ ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันถูหน้าไปมาตรงหน้าอกของรุ่นพี่ แล้วกอดเอวของรุ่นพี่แน่นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นนี้ที่เข้ากับกลิ่นของฤดูหนาวแห้งๆ สัมผัสเข้าที่ผิวของฉันพร้อมกับเสียงกรอบแกรบ 


 


 


“…คิดถึงจังเลยค่ะ” 


 


 


“…พี่ด้วย พี่ก็คิดถึงเธอมากเลยละ” 


 


 


แต่ละครั้งที่หัวใจเต้นรัว มันทำให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ฉันกัดริมฝีปากล่างไว้เบาๆ และพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้  


 


 


รุ่นพี่ตบลงที่หลังฉันเบาๆ ก่อนจะกระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงแผ่วเบาว่าคิดถึง คิดถึงจนแทบบ้าตาย 


 


 


เสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยนั่นราวกับมนต์สะกด เหมือนกับจะบอกฉันว่า ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะไม่เป็นไร และนั่นทำให้หัวใจที่เจ็บจี๊ดอยู่สั่นไหวราวกับคลื่นทะเล  


 


 


สุดท้ายน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ก็ไหลออกมา ฉันจึงยิ่งซบหน้าลงที่หน้าออกของรุ่นพี่ ทุกอย่างที่รุ่นพี่ทำมันเหมือนกับเป็นเวทมนตร์จริงๆ เลยละ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ฉันจับมือของรุ่นพี่ทั้งที่ยังคงรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนกับความฝันเอาไว้ แล้วเดินเล่นไปตามริมทะเลสาบ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าพวกเรามาเที่ยวกันแค่สองคนทำให้ฉันไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย และพลอยทำให้ตื่นเต้นไปด้วย เมื่อฉันเดินอย่างกระฉับกระเฉง รุ่นพี่ก็แอบหัวเราะเงียบๆ แล้วจับมือฉันแน่นยิ่งขึ้น 


 


 


“พี่เกือบจะมาไม่ได้แล้วละ แต่พอเห็นเธอดีใจขนาดนี้ พี่ก็คิดว่าดีจริงๆ ที่ได้มา คุ้มจริงๆ ที่ไม่ได้ใช้เงินรางวัล แล้วก็คอยเก็บออมมาตลอดน่ะ” 


 


 


“ฉันไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่ารุ่นพี่จะมาน่ะค่ะ” 


 


 


“เธอก็เลยเซอร์ไพรส์จริงๆ ใช่ไหมล่ะ” 


 


 


รุ่นพี่แอบติดต่อกับเซจินมาตั้งแต่หลายวันก่อน แล้วก็แอบวางแผนกันเพื่อทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นฉันไปจนถึงรอบสุดท้าย แต่ก็ยังดีที่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแบบวันนี้ พอได้เห็นรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอยู่ ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี 


 


 


“แล้วร่างกายเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


คงเป็นเพราะได้รู้เรื่องของฉันจากเซจินแล้ว เสียงของรุ่นพี่ที่ถามกลับมาเบาๆ นั้นจึงดูระวังเป็นพิเศษ ฉันแกล้งทำเป็นยิ้มออกมาอย่างสดใส พร้อมกับตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่เป็นไรค่ะ ใบหน้าที่กำลังถอนหายใจเบาๆ อย่างคลายกังวลของรุ่นพี่ในตอนนั้นแทงใจดำของฉัน 


 


 


ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะต้องปิดบังอะไรกับรุ่นพี่ ความเจ็บแปลบภายในใจทำให้ฉันแอบเอามือกดลงไปเบาๆ เพื่อทำให้จิตใจสงบลง 


 


 


สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องเปิดเผยความจริงให้ทั้งรุ่นพี่ ทั้งคุณป้า และก็เพื่อนๆ ได้รับรู้ แต่สำหรับตอนนี้ฉันไม่อยากจะคิดถึงอะไรทั้งนั้น 


 


 


จนกว่าที่หูของฉันจะไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่สิ อย่างน้อยก็จนกว่าจะจบการแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ครั้งสุดท้าย ฉันได้แต่หวังเพียงว่าทุกอย่างจะผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


“โอกาสน่ะ มีอีกทุกเมื่อ ฉะนั้นไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะ” 


 


 


รุ่นพี่กระซิบเบาๆ จนแทบจะฟังไม่ได้ยิน พลางใช้นิ้วโป้งนวดลงบนหลังมือของฉัน การกระทำเพียงเล็กน้อยของรุ่นพี่ที่ต้องการจะให้กำลังใจฉัน ทำให้ส่วนที่อยู่ลึกข้างในจิตใจมันยิ่งเจ็บแปลบขึ้นมา 


 


 


“แหม ไม่เศร้าหรอกค่ะ แค่ได้เข้ามาจนถึงรอบรองชนะเลิศ ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันแล้วค่ะ” 


 


 


ฉันพยายามตอบกลับไปอย่างสดใส รุ่นพี่จึงยิ้มร่า แล้วกุมมือของฉันเอาไว้ สัมผัสเย็นๆ ของแหวนที่แนบกับผิวแน่นยิ่งขึ้นนั่นทำให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเย็นลง 


 


 


ฉันแอบหันหน้าไปมองทะเลสาบเจนีวาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาราวกับเป็นทะเล และภูเขาหิมะที่ทอดยาวอยู่บนเส้นขอบฟ้าราวกับภาพวาด มันทำให้หัวใจที่สั่นไหวอย่างรุนแรงค่อยๆ สงบลง 


 


 


“คือว่า รุ่นพี่คะ” 


 


 


สายตาของฉันยังคงจ้องมองไปที่ทะเลสาบ ก่อนจะเผยอริมฝีปากที่เคยปิดไว้แน่นออก พร้อมกับเรียกชื่อรุ่นพี่เบาๆ 


 


 


“ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะค่ะ” 


 


 


“อะไรเหรอ” 


 


 


“ถ้ากลับไปที่เกาหลีแล้ว…” 


 


 


ฉันหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วเลียริมฝีปากที่แห้งผากด้วยปลายลิ้นขมๆ เมื่อกลับไปถึงเกาหลี ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่หายไปในพริบตาราวกับไอหมอก มันจะดีขนาดไหนกันนะ  


 


 


แต่ว่าฉันในตอนนี้รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถวิ่งหนีหรือเบือนหน้าหนีจากความเป็นจริงแบบที่เคยทำอยู่ตลอดได้ 


 


 


“…ถ้ากลับไปที่เกาหลีแล้ว พวกเราไปเดตกันให้เยอะๆ เลยนะคะ” 


 


 


“เดตเหรอ มีที่ที่อยากจะไปงั้นเหรอ” 


 


 


รุ่นพี่ถามอย่างสงสัย พอมาคิดดูแล้ว จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีเลยสักครั้งที่ฉันจะเป็นฝ่ายออกปากอย่างกระตือรือร้น ว่าอยากจะทำอะไรหรืออยากจะไปที่ไหน 


 


 


“ก็แค่ไปทุกที่ที่สามารถไปได้ แล้วก็ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ก็พอค่ะ” 


 


 


ฉันหันหน้าไปทางรุ่นพี่พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง รุ่นพี่ทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิดของฉัน แล้วจึงยิ้มอย่างสดใส พร้อมกับพยักหน้า 


 


 


“รุ่นพี่” 


 


 


“หือ” 


 


 


“…รักนะคะ” 


 


 


ใช่แล้ว ฉันจะพูดให้เยอะๆ ในขณะที่ยังได้ยินเสียงของตัวเองอยู่ เพื่อที่จะได้เก็บเอาไว้ในความทรงจำ ถึงภาพของรุ่นพี่ที่ยิ้มอย่างสวยงามเช่นนี้เมื่อได้ยินเสียงของฉัน 


 


 


“พี่ก็รักเธอนะ” 


 


 


เพื่อที่จะได้ไม่ลืมไปชั่วชีวิต แม้ว่าจะไม่สามารถได้ยินเสียงนี้ของรุ่นพี่อีกแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 26-1

 

หลังจากกลับมาเกาหลีแล้ว ฉันก็ได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของคุณป้าที่ออกมาจากโรงพยาบาลเรียบร้อย และฉันก็สามารถหลับลงได้อีกครั้งโดยที่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไร  


 


 


โชคดีที่คุณป้าไม่ได้ถามอะไรฉัน และฉันก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึง ฉันไม่จำเป็นจะต้องมานั่งคิดถึงความทรงจำที่เหมือนกับกำลังหลงทางอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นข้างหน้าอีกครั้งยังไงละ 


 


 


ที่โรงพยาบาลซึ่งฉันแอบคุณป้าไปกับอาจารย์ประจำชั้นบอกว่า หูของฉันและความสามารถในการได้ยินคงจะไม่กลับมาดีขึ้นอีก  


 


 


แม้ฉันจะไปโรงพยาบาลด้วยความหวังว่าจะได้ยินคำตอบว่า อย่างน้อยที่สุด อาการก็คงจะไม่แย่ลงไปมากกว่านี้ แต่คุณหมอก็ทำเพียงแต่ส่ายหัวช้าๆ ให้กับความหวังล้มๆ แล้งๆ ของฉัน 


 


 


แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่โรคมันไม่ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ประสาทหูไม่ดีอย่างกะทันหันอันเกิดจากไวรัสนั้น มีเคสที่อย่างเร็วก็ภายในเดือนสองเดือนถึงจะสูญเสียการได้ยินไปทั้งหมด แล้วเมื่อเทียบกับหูของฉันที่ทนมาได้ตั้งครึ่งปีนั้น ดูๆ ไปก็เป็นเรื่องที่น่าพอใจทีเดียว 


 


 


ตอนนี้สิ่งที่ฉันสามารถทำได้ก็คือ เข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้ลุกลามมากกว่าเดิม และทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวเฉียบพลัน 


 


 


ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะสามารถทนกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไร แต่มันก็ยังดีกว่าที่ทุกอย่างจะพังทลายลงไปซะตรงนี้ ดังนั้น… ควรจะเรียกว่าเป็นการได้รับการผ่อนผันหรือเปล่านะ แต่ก็แน่นอนว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นโมฆะไปได้อยู่ดี 


 


 


มีผู้คนมากมายมาแสดงความยินดีกับเซจินและอีเซที่เข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศของโลซานน์ได้ อีกทั้งพวกเขาก็ได้เริ่มเตรียมตัวสำหรับการเริ่มต้นครั้งใหม่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ  


 


 


อ๋อ ส่วนซูฮยอนที่ทุกคนต่างกังวล โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาการกีฬา เขาจึงสามารถต่อสู้จนกลับมาฝึกซ้อมได้ตามปกติ 


 


 


“ฮวีกยอม! ทางนี้ ทางนี้!” 


 


 


และแล้ววันนี้ก็เป็นวันจบการศึกษาของรุ่นพี่อีกง เซจินวิ่งมาจากอีกทางหนึ่ง พร้อมกับโบกไม้โบกมือมาทางฉันที่เพิ่งจะเดินเข้าไปข้างในหอประชุมพอดี ฉันจึงรีบวิ่งไปหาเซจิน  


 


 


อีเซกับซูฮยอนที่อยู่ด้วยก็ยกมือโบกเบาๆ เป็นการทักทายเช่นกัน ใบหน้าของซูฮยอนที่ไม่ได้เห็นมานานดูผอมลงมาก แต่สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากเช่นกัน 


 


 


เพราะเป็นพิธีจบการศึกษาของทั้งแผนกมัธยมต้นและมัธยมปลาย ทำให้ภายในหอประชุมแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แม้กระทั่งครอบครัวของผู้ที่สำเร็จการศึกษาก็ยังมาร่วมงานด้วย 


 


 


นี่คงจะเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะที่รุ่นพี่จะใส่ชุดนักเรียนมาโรงเรียนน่ะ รู้สึกเสียดายจังที่ต่อไปนี้จะไม่ได้เห็นรุ่นพี่ในโรงเรียนนี้อีกแล้ว 


 


 


“ตัวแทนนักเรียนที่จบการศึกษาวันนี้คือรุ่นพี่อีกงสินะ” 


 


 


“อือ เห็นว่าอีกสักพักก็จะกล่าวสุนทรพจน์แล้วละ” 


 


 


“อยากเห็นจัง” 


 


 


เซจินกระซิบเบาๆ สีหน้าของเธอดูร่าเริงมากๆ หลังจากที่อาจารย์ใหญ่กล่าวแสดงความยินดีเป็นที่เรียบร้อยก็มีพิธีมอบรางวัลต่อ เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างๆ ของรุ่นพี่อีกงเดินขึ้นไปบนเวที ฉันและพวกเพื่อนๆ ต่างก็ปรบมือกันเสียงดังเพื่อแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ 


 


 


รุ่นพี่อีกงรับรางวัลก่อน แล้วจึงหันหลังกลับมาทักทายทุกคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสื้อนักเรียนที่กลัดกระดุมเอาไว้อย่างเรียบร้อยและเน็กไทถูกผูกเอาไว้แน่น แต่ดูเหมือนรุ่นพี่จะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย 


 


 


รุ่นพี่ที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้บนเวทีสำหรับการกล่าวสุนทรพจน์ในลำดับต่อไปนั้น ดูเหมือนรุ่นพี่จะกระวานกระวายใจอะไรบางอย่าง บางทีอาจจะกำลังนึกถึงช่วงเวลาหกปีที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้ก็ได้ 


 


 


นั่นพลอยทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับรุ่นพี่อย่างที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ความทรงจำทั้งหมดนั้นผ่านเข้ามาในหัวราวกับรูปภาพสีจางๆ 


 


 


ตั้งแต่วินาทีที่ได้คุยกับรุ่นพี่เป็นครั้งแรก ฤดูร้อนอันร้อนแรงของพวกเรา รอยจูบอันแสนหวานที่ทำให้วาบหวิว ไปจนถึงช่วงเวลาที่ทำให้ใจเต้นรัว พอหวนนึกถึงความทรงจำต่างๆ ที่สะสมมา ฉันก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“ต่อไปเป็นการกล่าวสุนทรพจน์จากตัวแทนนักเรียนที่จบการศึกษา ลีอีกง” 


 


 


รุ่นพี่ที่ได้มอบความทรงจำอันแสนล้ำค่าและสวยงามเป็นของขวัญให้แก่ฉัน เขายิ้มอย่างสง่างามพร้อมกับก้าวขึ้นมายืนบนโพเดี่ยม  


 


 


ระหว่างที่เสียงปรบมือดังจนเหมือนจะลอดออกไปนอกหอประชุม จู่ๆ สายตาของรุ่นพี่ที่ค่อยๆ กวาดมองไปข้างหน้าก็มาหยุดลงที่ฉัน นั่นเลยทำให้ฉันที่สะดุ้งด้วยความตกใจ เม้มปากเอาไว้แน่น พลางจ้องรุ่นพี่อย่างไม่วางตา 


 


 


อ๊ะ รุ่นพี่กำลังอมยิ้มอยู่ หัวใจมันเต้นตึกตักจนเหมือนจะระเบิดออกมา ฉันจึงต้องเอามือขึ้นมาทาบไว้บนหน้าอก จนเมื่อได้ยินเสียงของรุ่นพี่ที่ดังขึ้นมาเนิบๆ ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาก็เริ่มสงบลง 


 


 


ต่อให้ใกล้แค่ไหนหรือคุ้นเคยเพียงใด รุ่นพี่ก็ยังเป็นคนๆ นั้นที่ทำให้ฉันใจเต้นรัวได้ราวกับเสกเวทมนตร์อยู่ดี เป็นเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิที่จะต้องมาถึงอย่างแน่นอนหลังหมดฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เหล่านักเรียนทั้งหมดที่ออกมายังสนามกีฬาหลังจากจบพิธีการต่างก็มุ่งหน้าออกมาถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ ของตัวเอง  


 


 


รุ่นพี่อีกงเองก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายเช่นกัน ฉันไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวรุ่นพี่ได้เลย จึงได้แต่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย จนอีเซที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องหันมาชำเลืองมอง แล้วลูบหัวฉัน 


 


 


“เรียกให้ไหม” 


 


 


“…ไม่ต้องหรอก” 


 


 


ก็แค่รอเอง ฉันตอบ พลางนั่งลงตรงม้านั่ง อีเซสองจิตสองใจอยู่สักพักก่อนจะนั่งลงตรงปลายของม้านั่งโดยเว้นระยะห่างจากฉันเล็กน้อย  


 


 


ท่ามกลางบรรยากาศจอแจที่ดังไปทั่วทั้งลานโรงเรียน ฉันและอีเซต่างก็นั่งมองดูรุ่นพี่อีกงอย่างใจเย็นโดยไม่พูดอะไรกันอยู่สักพัก 


 


 


ท่าทางของรุ่นพี่ที่แม้จะทำหน้าลำบากใจ แต่ก็ยังถ่ายรูปร่วมกับเด็กๆ ที่ห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมดด้วยความใจดีนั้น ดูห่างไกลออกไปเรื่อยๆ อย่างกับว่ากลับไปยังช่วงเวลาในสมัยก่อน ตอนที่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากคุยกับรุ่นพี่ 


 


 


แต่แล้วอยู่ๆ รุ่นพี่ก็กวาดตามองไปรอบๆ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะหันมาตรงที่ที่ฉันอยู่ อ้า แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น  


 


 


ด้วยความตกใจ ฉันจึงลดมือที่กำลังเท้าคางอยู่ลง แล้วยืดหลังตรง ส่วนรุ่นพี่ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับโบกมือ 


 


 


“คิมฮวีกยอม!” 


 


 


เสียงตะโกนดังลั่นของรุ่นพี่ทำให้สายตาทั้งหมดในสนามกีฬาจ้องมองมาที่ฉัน ฉันที่ทำตัวไม่ถูกได้แต่ยืนขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ พร้อมกับกลอกตาไปมา  


 


 


จู่ๆ รุ่นพี่ก็วิ่งมาหาฉัน หลังจากที่ทักทายอีเซที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้ว รุ่นพี่ก็ขยี้หัวของฉันด้วยฝ่ามือใหญ่ 


 


 


“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ” 


 


 


“…ก็รอรุ่นพี่น่ะสิคะ” 


 


 


“รอทำไม ทำไมไม่เรียกเล่า” 


 


 


รุ่นพี่ทำหน้าสงสัย ก่อนจะผละมือที่กำลังขยี้ผมฉันอยู่ออก แล้วจับไหล่ของฉันเบาๆ ในตอนนั้นเองที่เซจินกับซูฮยอนกลับมาพอดี พวกเราจึงยืนรวมกันโดยใช้สนามโรงเรียนเป็นพื้นหลังเพื่อถ่ายรูป 


 


 


“อ้า อีเซหน้าหายน่ะ เขยิบเข้ามาอีกหน่อยสิ” 


 


 


“ซูฮยอนด้วยก้มลงมาอีกหน่อย” 


 


 


“พร้อมยัง จะถ่ายละนะ!” 


 


 


พอรุ่นพี่ที่ถือโทรศัพท์มือถือแล้วยืดแขนออกไป นับ หนึ่ง สอง สาม ฉันยิ้มกว้างพร้อมกับหันไปมองที่กล้อง 


 


 


ภายในกรอบสี่เหลี่ยมนั้นมีใบหน้าของพวกเราทั้งห้าคนกระจุกรวมกันอยู่ พอเห็นท่าทางของแต่ละคนที่ทำหน้าสนุกสนานพร้อมกับมองมาที่กล้องแล้ว มันก็ทำให้เผลอหลุดขำออกมา 


 


 


“เฮ้อ คราวนี้ถึงเวลาต้องบอกลาแล้วจริงๆ สินะ” 


 


 


ดวงตาของรุ่นพี่ที่กวาดสายตามองไปรอบๆ โรงเรียนอย่างเสียดายดูเหงาอย่างประหลาด ฉันไม่พูดอะไรพลางเขย่งปลายเท้าขึ้นไปลูบหัวรุ่นพี่ ตาของรุ่นพี่เบิกโตด้วยความตกใจกับท่าทีแบบนั้นของฉัน 


 


 


“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ รุ่นพี่” 


 


 


“…” 


 


 


“แล้วก็ยินดีด้วยค่ะ” 


 


 


สำหรับชีวิตในโรงเรียนมัธยมปลายที่ส่องประกายของรุ่นพี่และอนาคตที่ส่องสว่างระยิบระยับยิ่งกว่า ฉันออกเสียงทุกพยางค์อย่างหนักแน่นเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ครบถ้วน เพราะอย่างนั้นหรือเปล่านะ รอยยิ้มของรุ่นพี่ถึงได้ดูสว่างไสวกว่าครั้งไหนๆ มันทั้งงดงามและเจิดจ้าจนแสบตา 


 


 


“ยินดีด้วยนะครับ!” 


 


 


“ยินดีด้วยนะคะ รุ่นพี่!” 


 


 


เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเสียงกล่าวทักทายของเพื่อนๆ แต่ละคนฟังดูร่าเริงที่สุด รุ่นพี่มองไปที่คนพวกนั้นด้วยแววตาที่เหมือนมีนัยยะแอบแฝง ก่อนที่จะหัวเราะอย่างขบขัน แล้วอ้าแขนกว้างทั้งสองข้างเพื่อโอบกอดทุกคนเอาไว้แน่น 


 


 


“เจ้าพวกนี้นี่!” 


 


 


“โอ๊ย รุ่นพี่! มันอึดอัดนะคะ!” 


 


 


ฉันที่ถูกกอดไปด้วยเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา ต่อจากนั้นทุกคนก็พลอยหัวเราะเสียงดังตามมาติดๆ อ้า ทำไมวินาทีนี้มันช่างมีความสุขเหลือเกินนะ 


 


 


“ขอบใจนะ” 


 


 


รุ่นพี่คลายแขนที่กอดพวกเราเอาไว้ แล้วหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ ก่อนจะบอกกับพวกเราด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีน้ำหนักพอดิบพอดี 


 


 


คำว่า ‘ขอบใจ’ ของรุ่นพี่ จะมีความรู้สึกแบบไหนแฝงอยู่กันนะ 


 


 


บางทีรุ่นพี่อาจจะบอกลา ความทรงจำในวัยสิบเก้าที่จะไม่ย้อนกลับมาอีกด้วยคำขอบคุณก็ได้ เมื่อถอดเสื้อเกราะที่เรียกว่านักเรียนและออกจากหลุมหลบภัยที่เรียกว่าโรงเรียน แล้วกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องฝ่าฝันโลกไปด้วยพลังของตัวเอง มันจะรู้สึกยังไงกันนะ 


 


 


“วันข้างหน้าก็ฝากด้วยละ” 


 


 


อ๊ะ แต่เหมือนฉันจะเข้าใจคำนี้นะ แม้ว่าจะค่อยๆ อายุมากขึ้น แล้วกลายเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงมีเพื่อนที่ชื่อว่า ‘พวกเรา’ ที่จะคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน และสู้ไปด้วยกันต่อ 


 


 


“โอ๊ย หิวจังเลย พวกเราจะกินไรกันดี พี่เลี้ยงเอง” 


 


 


“ว้าว สมแล้วที่เป็นรุ่นพี่!” 


 


 


“พวกเรา กินพิซซ่ากันเถอะ พิซซ่า!” 


 


 


แสงแดดที่อบอุ่นขึ้นมากกำลังสาดส่องลงมาบนหัวของพวกเราที่เดินผ่ากลางสนามกีฬาไปพร้อมกับอาการตื่นเต้นแบบสุดๆ ฉันหยุดชะงักอยู่กับที่ในทันที พร้อมกับยกกล้องโทรศัพท์ไปทางด้านหลังของรุ่นพี่และคนอื่นๆ 


 


 


ในหน้าจอที่ได้เริ่มต้นการบันทึกภาพวิดีโอ ปรากฏเป็นภาพท่าทางการเดินที่วุ่นวายของรุ่นพี่กับทุกคน เสียงหัวเราะดังเจี๊ยวจ๊าว เสียงที่เต็มไปด้วยความสุขเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 


 


 


แม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนฉันไม่สามารถได้ยินเสียงของความทรงจำนี้ได้อีกต่อไป แต่บางทีฉันคงจะไม่สามารถลืมเลือนความสุขในวันนี้ไปได้ 


 


 


“กยอมกยอม ทำไรน่ะ รีบมาเร็วเข้า” 


 


 


รุ่นพี่หันหน้ากลับมายิ้มให้กับฉัน พลางโบกมือ ฉันยิ้มกว้างโดยไม่พูดอะไร แล้วเก็บมือถือใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะวิ่งไปหารุ่นพี่  


 


 


ที่จุดสิ้นสุดของอากาศในฤดูหนาวกำลังถูกเติมเต็มไปด้วยกลิ่นไอแดดของฤดูใบไม้ผลิ 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 26-2

 

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับเรื่อง ถ้ามีแฟน อยากจะทำอะไร มันคือช่วงวัยละอ่อนมากๆ มากซะยิ่งกว่าตอนนี้ ในการที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกที่จะชอบใครสักคน 


 


 


ตอนนั้นคำว่าแฟนน่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นป้ายชื่อเลย มันเป็นเพียงแค่ชื่อที่มีความหมายในตัวเอง เหมือนกับแม่หรือพ่อ 


 


 


แต่พอฉันได้มาชอบรุ่นพี่อีกง ฉันก็ได้รู้ว่าความรู้สึกที่เรียกว่ารัก มันไม่ได้เหมือนแสงที่วาบเข้าตาแล้วหายไป และก็ไม่ได้บีบคั้นหัวใจอย่างที่เคยคิดเอาไว้ และพอฉันได้คบกับรุ่นพี่ ฉันก็ได้รู้อีกว่า คนที่เรียกว่าแฟนนั้น ไม่ใช่จู่ๆ จะปรากฎกายขึ้นมาอยู่ข้างกายฉันในสักวันใดวันหนึ่ง 


 


 


จะว่าไงดีนะ ไม่ว่าจะคิดยังไง ฉันก็ยังคงนึกถึงสำนวนที่เหมาะสมไม่ออกอยู่ดี เพราะสำหรับฉันแล้ว รุ่นพี่อีกงนั้นเปรียบเหมือนบุคคลที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยชื่อที่เรียกว่า แฟน  


 


 


เพราะแบบนั้น ความหวังอันน่าอายที่เขียนเอาไว้ในไดอารีด้วยหัวข้อในอดีตที่ว่า ‘ถ้ามีแฟน อยากจะทำอะไร’ จึงไม่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้เลยสักนิด 


 


 


ฉันใช้ปากกาลูกลื่นขีดฆ่าเส้นสีแดงลงบนหัวข้อในไดอารี พร้อมทั้งเขียนเติมลงไปบนนั้นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่อยากทำกับรุ่นพี่อีกง 


 


 


บนโต๊ะหนังสือมีกรอบรูปซึ่งใส่รูปถ่ายที่ถ่ายด้วยกันกับทุกคนในวันจบการศึกษาของรุ่นพี่อีกงเอาไว้ ฉันเอาปลายนิ้วถูลงบนรอยยิ้มที่หลุดออกมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับจ้องมองรูปนั้นอยู่นาน ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเล่นภาพวิดีโอข้างในนั้นซ้ำๆ 


 


 


ใบหน้าของรุ่นพี่ก็ปรากฏออกมา เสียงของรุ่นพี่ดังอยู่ภายในห้องของฉันราวกับเสียงดนตรี ฉันเท้าคางบนโต๊ะ ขณะที่นั่งเหม่อมองดูวิดีโอนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งใบหน้าที่ได้เห็น และเสียงที่ได้ยิน เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ แต่ทำไมฉันถึงได้คิดถึงมันขนาดนี้กันนะ 


 


 


 


 


 


‘บางครั้งฉันก็คิดว่าเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในการต่อสู้ที่ยาวนานอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยค่ะ’ 


 


 


‘การต่อสู้งั้นเหรอ’ 


 


 


‘ค่ะ การต่อสู้ของความคิดถึงที่ไม่มีวันหยุดลง’ 


 


 


 


 


 


พอคิดถึงบทสนทนาที่เคยพูดกับรุ่นพี่ขึ้นมา มันก็ยิ่งทำให้ฉันคิดถึงรุ่นพี่หนักเข้าไปอีก ความรู้สึกขมขื่นเล็กๆ ที่มุมหนึ่งของหัวใจ ทั้งคิดถึง ทั้งอยากสัมผัส ทั้งอยากจะอยู่ใกล้ๆ ให้มากกว่านี้ ความรู้สึกเหล่านี้ ทำไมยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกันนะ ฉันคงจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความรู้สึกที่เรียกว่ารักได้ทั้งหมดสินะ 


 


 


แต่ว่าฉันก็ยังไม่อยากจะโตเป็นผู้ใหญ่หรอก ไม่สิ ต่อให้เวลาผ่านไป ฉันก็ยังคงหวังว่าฉันจะยังเป็นเด็กที่ดูเก้ๆ กังๆ แบบนี้ เหมือนกับที่คนเขาบอกกันว่า ความรักในวัยสิบเจ็ดของฉันยังคงหยุดอยู่ที่เดิม ฉันได้แต่หวังว่าเวลาจะไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจของฉัน 


 


 


ตลอดช่วงเวลาปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิอันแสนสั้น ฉันเริ่มค่อยๆ ลงมือทำตามรายการ ‘สิ่งที่อยากทำกับรุ่นพี่อีกง’ ซึ่งฉันเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ พอเลิกเรียนจากอคาเดมี่ พวกเราก็ไปเดินเล่นท่ามกลางแสงดาวด้วยกันจนค่ำมืด และทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะถ่ายรูปด้วยกันเยอะๆ พอถึงวันเสาร์อาทิตย์ พวกเราก็ไปสวนสัตว์ ไปดูหนัง เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฉันก็รู้สึกว่าเวลาในวันหนึ่งนั้นมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน  


 


 


สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ หูของฉันที่อดทนอย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลานี้ หรือจะเป็นเพราะว่ามันเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นของฉันหรือเปล่านะ 


 


 


ปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานเช่นนั้นผ่านไปในพริบตาเดียว จนมาถึงวันนี้ วันหยุดวันสุดท้ายก่อนเปิดเทอม หลังจากไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกับรุ่นพี่ตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีพวกเราก็กลับมาถึงแถวบ้านในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว 


 


 


ฉันถูฝ่ามือของตัวเองลงบนมือของรุ่นพี่ที่จับเอาไว้แน่นอยู่ข้างในกระเป๋าเสื้อ พลางหายใจออกมาด้วยความดีใจ ให้ตายสิ ในเวลาอย่างนี้ ถ้าเวลาหยุดเดินไปตลอดกาลเลยก็ดีน่ะสิ 


 


 


“วันนี้เป็นไง” 


 


 


“สนุกมากเลยค่ะ” 


 


 


“พี่ก็ด้วย” 


 


 


แม้ว่าใบหน้าจะถูกซ่อนอยู่ภายในผ้าพันคอที่พันอยู่หลายชั้น แต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ก็ยังคงชัดเจนเหมือนกับรอยยิ้มนั้นในคืนกลางฤดูร้อน ทั้งเสียงหัวเราะใสๆ ของรุ่นพี่ ทั้งเสียงอันอ่อนโยน สักวันหนึ่งมันก็คงจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปนิดๆ สินะ แต่บางทีในความทรงจำของฉันก็จะยังคงหลงเหลือเสียงหัวเราะและน้ำเสียงของรุ่นพี่ในวัยสิบเก้าอยู่ 


 


 


เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป ฉันคงรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่จะไม่ได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปของรุ่นพี่ แต่ก็ยังโชคดีที่จะยังคงมีความทรงจำนี้เหลืออยู่ เพราะในสักวันหนึ่งฉันจะยังคงจดจำรุ่นพี่ในวัยสิบเก้าปีได้ในขณะที่ทุกคนลืมเลือนไป 


 


 


“รุ่นพี่คะ” 


 


 


“หือ” 


 


 


“ฉันมีเรื่องสงสัยน่ะค่ะ” 


 


 


รุ่นพี่คงจะสังเกตเห็นท่าทางลังเลนิดหน่อยก่อนที่จะเอ่ยออกมา ดวงตาของรุ่นพี่จึงมองมาที่ฉันด้วยความหนักแน่น 


 


 


“อะไรเหรอ” 


 


 


“…รุ่นพี่ชอบฉันตรงไหนเหรอคะ” 


 


 


คำถามที่รวบรวมความกล้าถามออกไป ทำให้ดวงตาของรุ่นพี่หรี่ลงเล็กน้อย ฉันหัวเราะอย่างประหลาด พลางแกล้งมองลงต่ำ ก่อนจะรีบพูดต่อ 


 


 


“ก็แค่ พอลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันก็ไม่ได้สวยอะไร แล้วก็ไม่ได้พิเศษเลิศเลออะไรด้วย ไม่น่าจะมีตรงไหนที่รุ่นพี่จะชอบได้เลยนี่คะ…” 


 


 


“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” 


 


 


รุ่นพี่ดึงริมฝีปากฉันที่พูดไม่ทันจบประโยคให้ยืดออก พลางหัวเราะสั้นๆ 


 


 


“ถ้างั้น แล้วเธอล่ะ” 


 


 


“…คะ” 


 


 


“แล้วเธอชอบพี่ที่ตรงไหน เพราะพี่หล่อ แล้วก็พิเศษงั้นเหรอ” 


 


 


“เปล่านะคะ ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นสักหน่อย…” 


 


 


คำถามของรุ่นพี่ที่ย้อนกลับมาอย่างไม่คาดคิดทำให้ฉันรู้สึกประหม่า จนต้องรีบส่ายหัวอย่างลุกลี้ลุกลน อันที่จริงเพราะฉันมัวแต่สงสัยถึงเรื่องนั้น ว่าทำไมรุ่นพี่ถึงชอบฉัน ฉันเลยไม่เคยคิดอย่างจริงจังมาก่อนเรื่องเหตุผลที่ฉันชอบรุ่นพี่ 


 


 


รุ่นพี่จ้องมองใบหน้าของฉันที่แข็งทื่อขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วยิ้ม ขณะที่เคลื่อนสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ท้องฟ้าที่ฉันมองตามรุ่นพี่ขึ้นไปนั้นมืดมิดจนเป็นสีน้ำเงินเข้มเข้ากับสีส้มแดงของแสงตะวันที่กำลังตกดิน และทั้งสองสีก็กำลังย้อมเข้าหากัน 


 


 


“ก็แค่เธอเข้ามาอยู่ในใจของพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้น่ะสิ” 


 


 


“…” 


 


 


“เหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติน่ะ” 


 


 


คำกระซิบเบาๆ ของรุ่นพี่เหมือนมาจากสักท่อนหนึ่งของเนื้อเพลงสักเพลง มันหมายความว่ารู้สึกชอบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เหมือนกับหิมะที่ละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หรือเหมือนกับท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มแดงเมื่อดวงตะวันตกดินอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ 


 


 


ฉันครุ่นคิดถึงคำพูดที่ฟังดูคลุมเครือของรุ่นพี่ก่อนจะอุทานออกมาว่า อ๋อ! พร้อมกับพยักหน้า 


 


 


หลังจากที่ฉันได้รู้จักกับรุ่นพี่มาจนถึงตอนนี้ รุ่นพี่เป็นทั้งเสาหลักที่นำพาฉัน และเป็นเหมือนกับชีวิตของฉันด้วย ดังนั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ฉันจะได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพี่  


 


 


แม้ว่าเสาหลักที่เรียกว่ารุ่นพี่จะหายไปจากโลกแห่งบัลเลต์ของฉัน แต่เขาก็ได้กลายเป็นเสาหลักที่ชี้นำไปยังเส้นทางอื่นให้แก่ฉัน และก็ยังคงหยุดอยู่เคียงข้างฉันราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ 


 


 


ฉันกำขวดยาที่กลิ้งไปมาอยู่ในกระเป๋าเอาไว้แน่น พลางค่อยๆ เอนหัวพิงไหล่ของรุ่นพี่ อย่างน้อยฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดนึง  


 


 


ต่อให้หูของฉันไม่ได้ยิน ถึงสุดท้ายฉันจะไม่สามารถเดินไปจนถึงที่ปลายสุดของเส้นทางนี้ แม้ว่าตัวฉันในอนาคตจะกลายเป็นอีกคนที่ต่างไปจากตอนนี้ แต่ฉันเชื่อว่ารุ่นพี่ก็คงจะกลายมาเป็นเสาหลักอื่นที่คอยอยู่เคียงข้างฉัน 


 


 


เหมือนเป็นเรื่องปกติที่หิมะจะละลายลงเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง เรื่องปกติที่ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีส้มเมื่อตะวันตกดิน เรื่องปกติที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเป็นเช่นนั้นเสมอ 


 


 


“ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่” 


 


 


ฉันพึมพำออกมาเบาๆ จนเกือบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ริมฝีปากของรุ่นพี่ประกบลงมาที่ริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากที่เย็นเฉียบจากลมเย็นๆ กำลังแนบชิดกัน จนเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา 


 


 


เมื่อริมฝีปากของรุ่นพี่ค่อยๆ ผละออกไป ฉันก็หลับตาลงนิ่งๆ ฝ่ามืออันแข็งแรงของรุ่นพี่กุมแก้มของฉันเอาไว้ ลมหายใจของรุ่นพี่ที่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายจมูก สัมผัสอุ่นๆ ที่รดลงบนริมฝีปาก ทั้งหมดนั่นถูกขีดเขียนลงไปในหัวของฉันราวกับรูปแกะสลัก 


 


 


ไออุ่นของรุ่นพี่ที่ค่อยๆ ห่างออกไปพร้อมกับทิ้งความเสียดายเอาไว้ข้างหลัง ทำให้ฉันกัดริมฝีปากแน่นเพราะกลัวว่ามันจะลอยหายไป พลางจ้องมองไปที่รุ่นพี่ ก่อนจะยิ้มออกมากว้างๆ ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ดวงตาของรุ่นพี่โค้งมนลงและแฝงไปด้วยประกายที่ทำให้แสบตา 


 


 


“ขอบคุณนะคะที่มาปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ที่คอยนำทางให้ฉัน และก็คอยอยู่เคียงข้างฉัน” 


 


 


เพราะอย่างนั้นฉันจะไม่ลืมเลยค่ะ เสียงของรุ่นพี่ที่มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฉัน ที่คอยนำทางชีวิตของฉัน และคอยอยู่เคียงข้างฉัน รวมไปถึงบัลเลต์และดนตรีที่รุ่นพี่ได้มอบให้ฉันเป็นของขวัญด้วย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เทอมใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ฉันได้กลายมาเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สอง ถึงแม้ห้องเรียนจะเปลี่ยนไป แต่เพื่อนๆ ในชั้นเรียนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉันยังคงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สองแล้ว แต่เพื่อนๆ ที่ยังคงอยู่เคียงข้างฉันด้วยรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังคงเดิมนั้นทำให้จิตใจของฉันสงบลง 


 


 


ผลงานที่ฉันและรุ่นพี่จะได้แสดงร่วมกันในงานแสดงของอคาเดมี่ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม คือ Swan Lake[1] แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดกันว่าเรื่องนี้จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่เดิมทีนั้นมันเป็นบทละครแนวโศกนาฎกรรม  


 


 


ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นผลงานที่เหมาะสมกับคำว่าครั้งสุดท้ายเป็นที่สุด การเต้นรำครั้งสุดท้ายร่วมกันกับรุ่นพี่ และก็ยังเป็นเวทีสุดท้ายของฉัน 


 


 


ฉันที่ตกอยู่ภายใต้ความวิตกกังวลครั้งแล้วครั้งเล่าไม่สิ้นสุดตลอดช่วงเวลาปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิอันแสนสั้น ในที่สุดก็ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยไม่มีทางเลือก ว่างานแสดงของอคาเดมี่ในครั้งนี้จะเป็นการเต้นบัลเลต์ครั้งสุดท้ายของฉัน  


 


 


ฉันไม่อยากจะทำการแสดงบนเวทีต่อไปในสภาพอันน่าสมเพช ด้วยหูที่รอคอยความหวังอันริบหรี่ พร้อมกับความค้างคาใจว่าสักวันจะไม่ได้ยินเสียง กับร่างกายที่จะไม่สามารถเต้นได้อย่างปกติอีก 


 


 


ฉันคิดว่าตลอดที่ผ่านมา ขณะที่ฉันสูญเสียสิ่งต่างๆ ไปมากมาย ฉันก็ได้เรียนรู้วิธีที่จะยอมแพ้ ฉันคิดว่าร่างกายของฉันได้เรียนรู้ความเคยชินที่จะไม่คาดหวัง แต่แม้ว่าหัวใจของฉันที่คุ้นชินกับเรื่องแบบนั้นก็ยังไม่สามารถยอมแพ้กับเรื่องของความฝันได้โดยง่าย 


 


 


แต่ว่าฉันก็ยังยอมที่จะปล่อยเชือกเส้นนี้ไป ฉันอยากจะจดจำเวทีที่จะได้แสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่อีกงเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายเอาไว้อย่างสวยงาม 


 


 


 


 


 


หลังจากที่เริ่มต้นคลาสเรียนปกติในเดือนมีนาคม ฉันกับรุ่นพี่ก็เริ่มต้นเตรียมตัวสำหรับการแสดง ฉันยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่านี่คือเรื่องจริง ความจริงที่ว่าเวลาทั้งหมดนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เต้นจนเหงื่อไหลโชกไปกับดนตรีของหงส์ที่ฉันคงจะฟังจนหูแทบฉีกในฐานะนักเต้น 


 


 


“วัน ทู ทรี โฟร์!” 


 


 


ฉันยกขาขึ้นตามจังหวะที่แผ่วเบาแต่มีพลังของอาจารย์ ต่อจากนั้นมืออันแข็งแกร่งของรุ่นพี่ก็แนบลงบนเอวของฉัน  


 


 


สายตาที่โฉบผ่านไปเบาๆ และรอยยิ้มอ่อนๆ คอยแต่ทำให้หัวใจของฉันยุ่งเหยิงไปหมด และนั่นก็ทำให้ฉันไม่สามารถโฟกัสได้เลยสักนิด หลังจากที่ฉันทำท่าทางขัดๆ เขินๆ ออกมาสักพัก เสียงถอนหายใจของอาจารย์ที่ค่อยๆ หนักขึ้นก็ตามออกมา 


 


 


“ฮวีกยอม รู้สึกไม่ค่อยดีเหรอ” 


 


 


“…ขอโทษนะคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก งั้นเราก็พักกันสักหน่อยแล้วกันนะ” 


 


 


หลังจากยิ้มเล็กๆ พลางตบไหล่ฉันเบาๆ ทันทีที่อาจารย์ออกจากสตูดิโอไป รุ่นพี่ก็มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง ฉันเผลอกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอพร้อมกับยิ้มร่า แต่รุ่นพี่กลับลูบหัวของฉันช้าๆ ด้วยใบหน้าเป็นกังวล 


 


 


“ไม่สบายตรงไหนเหรอ” 


 


 


“เปล่าค่ะ ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” 


 


 


“แต่ทำไมดูไม่สมกับเป็นเธอเลยละ ดูไม่มีสมาธิเลยนะ” 


 


 


“ดูเหมือนฉันจะตื่นเต้นเวลาที่คิดว่าตัวเองจะได้แสดงปาเดอเดอกับรุ่นพี่น่ะสิคะ” 


 


 


พอฉันแกล้งทำเป็นโต้ตอบอย่างหยอกล้อ รุ่นพี่ก็หัวเราะเบาๆ แล้วทำปากจู๋ พลางเอานิ้วจิ้มลงบนหน้าผากของฉัน 


 


 


“อย่าใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไปกับพาร์ทเนอร์สิ” 


 


 


“ฉันก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่มันไม่ค่อยจะได้เนี่ยสิคะ” 


 


 


“ดูสิดู ยิ่งพูดยิ่งเอาใหญ่” 


 


 


รุ่นพี่ดึงแก้มฉัน รอยยิ้มตรงหน้านั้นกำลังเปล่งประกายเป็นแสงสีขาว พอได้มองดูแสงนั้นแล้ว จะว่าไงดีนะ แบบว่าจิตใจของฉันที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่นี้ดูเหมือนจะสงบลงไปเลย เพื่อรุ่นพี่แล้ว ฉันไม่สามารถที่จะอ่อนแออยู่แบบนี้ได้ เพราะนี้คือเวทีคลาสสิกครั้งสุดท้ายของรุ่นพี่เหมือนกัน 


 


 


ฉันแอบกำมือไว้พร้อมกับตั้งใจอย่างแน่วแน่ ใช่แล้ว ต้องเชื่อสิ ต้องเชื่อว่าหูของฉันจะสามารถทนได้จนกว่าเวทีนี้จะจบลง ไม่สิ ลืมปัญหาเรื่องหูไปเลยดีกว่า ฉันพูดซ้ำๆ ย้ำอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะหันไปส่งยิ้มอันสดใสให้กับรุ่นพี่อีกครั้ง 


 


 


“เรามาลองกันอีกครั้งเถอะนะคะ” 


 


 


“โอเค” 


 


 


รุ่นพี่พยักหน้าด้วยความยินดี พร้อมกับลากฉันมาตรงกลางสตูดิโอ สายตาของรุ่นพี่ที่มองมาทำให้ตรงที่ที่ถูกมองร้อนเหมือนโดนไฟแผดเผา ส่วนมือของรุ่นพี่ที่ประสานนิ้วลงมาก็ให้ความรู้สึกจั๊กจี้เหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิ 


 


 


ฉันตั้งท่าช้าๆ ตามการให้จังหวะของรุ่นพี่ที่เริ่มต้นขึ้น เหงื่อเริ่มผุดออกมาจากหน้าผากของฉัน ในปลายเดือนมีนาคมที่ใบไม้เริ่มผลิบาน เวทีสุดท้ายของพวกเราก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละนิด 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] Swan Lake สวอนเลกเป็นบัลเลต์ โอปุสที่ 20 โดยปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี ที่แต่งขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1875-1876 โดยมีเค้าโครงมาจากนิทานของรัสเซีย และจากตำนานพื้นเมืองของเยอรมัน เล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงชื่อ “โอเดตต์” ที่ถูกสาปให้กลายร่างเป็นหงส์ในเวลากลางวัน และเป็นมนุษย์ในเวลากลางคืน โอเดตต์มีความรักกับเจ้าชายชื่อ “ซิกฟรีด” แต่มีอุปสรรคทำให้ไม่สามารถอภิเษกสมรสกันได้ 

 

 

 


ตอนที่ 27-1

 

พอเสร็จคลาสทั่วไป ฉันก็ออกมาตรงทางเดินพร้อมกับเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู จากนั้นก็นั่งเหม่อที่เก้าอี้ข้างหน้าตู้ขายของอัตโนมัติ มองดูแสงตะวันตกดินที่ลอดมาทางหน้าต่าง  


 


 


โถงทางเดินในตึกอคาเดมี่เต็มไปด้วยเหล่าเด็กๆ ที่เหงื่อโซมกายซึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ เสียงของทุกคนที่คงจะดังเจี๊ยวจ๊าวตรงทางเดิน แต่มันกลับกลายเป็นเพียงเสียงก้องๆ ในโทนเดียวสำหรับฉัน 


 


 


แค่วันนี้ก็ปาเข้าไปสามรอบแล้ว จำนวนครั้งที่จู่ๆ เสียงก็หายไปค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ถึงฉันจะรู้ว่า ยังไงซะ เมื่อเวลาผ่านไปเสียงก็จะกลับมาอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่หูของฉันไม่ได้ยินอะไรแบบนี้ ความกลัวก็จะพลุ่งพล่านขึ้นมา ด้วยความกลัวว่าจะต้องเจอกับการบอกลาที่ไม่ทันได้เตรียมตัว กลัวว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงเวทีสุดท้ายร่วมกับรุ่นพี่ 


 


 


ฉันเอาแต่มองเหม่อออกไปข้างนอกหน้าต่าง และความกังวลใจที่วกกลับมาหาฉันอีกครั้งก็ทำให้ฉันรีบลุกพรวดขึ้น ก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว พร้อมกับควานหายาภายในกระเป๋าที่เก็บอยู่ในล็อกเกอร์ พอกลืนมันเข้าไป หัวใจที่กระสับกระส่ายและเต้นรัวก็สงบลงเล็กน้อย 


 


 


เป็นเพราะกินยาอย่างสม่ำเสมอ อาการมึนหัวเลยลดน้อยลงกว่าแต่ก่อน แต่พอต้องมาเจอกับช่วงเวลาที่จู่ๆ ก็ไม่ได้ยินอะไรแบบนี้ ความกังวลและความหวาดกลัวก็จู่โจมเข้ามา 


 


 


ฉันปิดประตูล็อกเกอร์ เอนตัวพิงล็อกเกอร์ก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น ไอเย็นจากเหล็กส่งผ่านมาที่ผิวอันเปลือยเปล่า เมื่อฉันหลับตาทั้งสองข้างลง ข้างในที่เต้นด้วยความตื่นกลัวก็ค่อยๆ กลับเข้าสู่ความเงียบสงบ แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ สินะ พอนึกถึงคำถามมากมายที่ถาโถมเข้ามาเป็นสิบๆ ภายในวันเดียว ก็รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะทะลักออกมา 


 


 


“…ยัยบ้า” 


 


 


ฉันลองพึมพำออกเสียง แต่มันกลับได้ยินไม่ชัดเจน หลังจากที่เอามือทั้งสองข้างมากุมใบหน้า แล้วนั่งชันเข่าขึ้น ฉันก็ซบหน้าลงที่ขา 


 


 


ฉันนั่งอยู่แบบนั้นตรงมุมห้องแต่งตัวสักพัก จนเมื่อออกมาข้างนอก ทั้งโถงทางเดินก็กลับมาเงียบสงบเรียบร้อยแล้ว 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงย่างก้าวบนทางเดินที่ไม่มีใคร ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่ว่าวินาทีที่ฉันสบตากับรุ่นพี่อีกงที่ยืนอยู่ข้างหน้าสตูดิโอ ฉันก็ทำได้แต่หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ 


 


 


ฮวีกยอม 


 


 


อ๊ะ ฉันมองเห็นริมฝีปากของรุ่นพี่ที่เรียกชื่อของฉันออกมา พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่ว่าที่แตกต่างออกไป คือฉันแทบไม่ได้ยินเสียงของรุ่นพี่เลยสักนิด ฉันที่รู้สึกลุกลี้ลุกลน ได้แต่รวบรวมพลังฮึดขึ้นมาพลางขมวดคิ้วเพื่อที่จะตั้งใจฟังเสียง 


 


 


“…มาเร…” 


 


 


ในไม่ช้า เสียงของรุ่นพี่ที่ได้ยินเบามากๆ ก็หายไปท่ามกลางเสียงแทรกซ้อนที่ดังอึกทึกขึ้นมา ราวกับวิทยุที่จูนไม่ตรงคลื่น ฉันหลบตารุ่นพี่ พลางเริ่มขยับหัวไปมา 


 


 


ทำยังไงดี ฉันต้องทำยังไง ความกระวนกระวายใจเริ่มทำให้ทั่วทั้งตัวสั่นขึ้นมา แต่ว่าวินาทีที่ฉันกำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนก เสียงที่ดังกังวานก็แทรกเข้ามาในหูของฉันราวกับเรื่องโกหก 


 


 


“กยอมกยอม” 


 


 


“…” 


 


 


“เป็นอะไรไป” 


 


 


ฉันค่อยๆ เงยหน้ามองไปทางรุ่นพี่ และตอนนั้นเองที่เสียงถอนหายใจแห่งความโล่งใจดังออกมา เสียงกลับมาแล้ว ฉันได้ยินเสียงดนตรีที่ดังออกมาจากภายในห้องสตูดิโออย่างชัดเจน ทั้งเสียงหายใจของรุ่นพี่ด้วย มือของรุ่นพี่จับลงตรงไหล่ของฉัน และฉันก็ได้ยินเสียงของสัมผัสนั้นอย่างชัดเจน 


 


 


“…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ไม่มีอะไรจริงๆ นะคะ” 


 


 


ใบหน้าเคร่งขรึมของรุ่นพี่จ้องมองมาที่ฉันซึ่งกำลังแกว่งมือด้วยท่าทีประหลาด ฉันส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่มันคงจะส่งไปไม่ถึงรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะเครียดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  


 


 


รุ่นพี่หันหน้าไปมองทางฝั่งสตูดิโอสักพัก ก่อนจะหันกลับมามองฉัน พร้อมกับปิดปากเงียบ แล้วจู่ๆ เขาก็เอื้อมมาจับมือฉันไว้ 


 


 


“ตามมา” 


 


 


น้ำเสียงสงบเงียบและเยือกเย็นของรุ่นพี่กดร่างกายของฉันให้หนักอึ้งเหมือนกำลังใส่เสื้อหลายๆ ชั้นที่เปียกน้ำ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ประตูเหล็กอันหนักอึ้งของประตูฉุกเฉินตรงปลายทางเดินถูกปิดลงอย่างแรงพร้อมกับเสียงดังปัง นั่นเลยทำให้ฉันตกใจจนต้องหันกลับไปมองรุ่นพี่ รุ่นพี่ที่ยืนหันหลังจับด้ามจับประตูอยู่ค่อยๆ หันกลับมาสบตากับฉัน 


 


 


“คิมฮวีกยอม” 


 


 


“คะ” 


 


 


ฉันตอบออกไปพร้อมกับห่อตัว ขณะที่สังเกตท่าทีของรุ่นพี่ไปด้วยก็กระสับกระส่ายจนทำตัวไม่ถูก ดูท่ารุ่นพี่จะโกรธจัดเลยละ รุ่นพี่ยื่นหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโหเข้ามาใกล้ฉัน พร้อมกับจับและล็อกใบหน้าของฉันที่คอยแต่จะหลบเลี่ยงด้วยมือทั้งสองข้าง พลางถามด้วยน้ำเสียงในโทนต่ำ 


 


 


“เธอมีอะไรปิดบังพี่อยู่ใช่ไหม” 


 


 


“…มะ ไม่มีหรอกค่ะ จะไปมีได้ยังไงละคะ” 


 


 


“พี่จะไม่โกรธเพราะงั้นบอกพี่มาตามตรง ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” 


 


 


“ไม่มีหรอกค่ะ เรื่องแบบนั้น…” 


 


 


ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจนจบประโยค ฉันก็กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ยังไงจะให้รุ่นพี่รู้เรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด อย่างน้อยก็จนกว่าการแสดงนี้จะจบลงด้วยดี ฉันไม่อยากเห็นท่าทางลำบากใจของรุ่นพี่ตอนที่ได้รู้ถึงอาการของฉัน 


 


 


แต่พอได้มาเผชิญหน้ากับรุ่นพี่แบบนี้แล้ว แทนที่จะเป็นความแน่วแน่ที่แข็งแกร่ง มันกลับกลายเป็นหัวใจที่พังทลายลงไปอย่างไม่สิ้นสุดแทน มันทั้งหวาดกลัว เจ็บปวด และเหนื่อยล้า ฉันคิดเพียงแค่ว่าหลังจากเปิดเผยทุกอย่างแล้ว อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้จะยังรอคอยฉันอยู่ ถึงมันจะดูเห็นแก่ตัวก็เถอะ 


 


 


“เป็นเรื่องที่บอกพี่ไม่ได้งั้นเหรอ” 


 


 


ตาของรุ่นพี่หรี่เล็กลง ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยนั้น และได้แต่ส่ายหน้า พลางกำหมัดไว้แน่น 


 


 


“ก็บอกว่าไม่มีอะไรยังไงละคะ” 


 


 


ใช่แล้ว ถ้าในตอนนี้มันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่ฉันพูด มันจะดีแค่ไหนเชียวนะ บางทีในขณะที่ฉันกำลังทำท่าทีไม่สะทกสะท้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ แต่ภายในใจฉันคงจะกำลังปฏิเสธว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ 


 


 


ทั้งที่การเต้นเป็นอย่างเดียวที่ฉันทำได้แท้ๆ นอกเหนือไปจากนั้น ฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ถ้าเกิดฉันสูญเสียทุกอย่างไป ถ้าเกิดฉันไม่เหลืออะไร รุ่นพี่จะยังคงอยู่เคียงข้างฉันไหมนะ รุ่นพี่จะทิ้งฉันไปเหมือนกับพ่อหรือแม่หรือเปล่านะ 


 


 


“คิดว่าพี่ไม่รู้จักเธอเหรอ แค่ดูก็รู้ว่าเธอกำลังโกหกอยู่ชัดๆ” 


 


 


“…” 


 


 


“อยากจะให้พี่แกล้งทำเป็นไม่รู้งั้นสินะ” 


 


 


แล้วจู่ๆ น้ำเสียงของรุ่นพี่ก็กลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง ฉันมองเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ใต้หน้าผากที่ยับยู่ยี่ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่มองจ้องมาที่ฉัน ริมฝีปากที่ถูกปิดเอาไว้แน่น รุ่นพี่จะรู้ไหมนะ ว่าแม้แต่ท่าทางที่ดูเด็ดขาดแบบนี้ของรุ่นพี่ก็เป็นเหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิอันแสนจะอบอุ่นสำหรับฉัน 


 


 


“…ไว้จบการแสดงแล้ว” 


 


 


ฉันที่จ้องหน้ารุ่นพี่นิ่งๆ ค่อยขยับปากพูด 


 


 


“ไว้จบจากการแสดงแล้ว ตอนนั้นฉันจะบอกนะคะ” 


 


 


เพราะอย่างนั้นตอนนี้เจ้าชายซิกฟรีดช่วยแกล้งทำเป็นไม่รู้ ว่าถูกหงส์ดำตัวนี้หลอกด้วยเถอะนะ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากวันนั้น ความรู้สึกอึดอัดใจทำให้ฉันเอาแต่หลบหน้ารุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะโดนอาจารย์ล้อแบบติดตลกว่า คู่รักทะเลาะกันเหรอเนี่ย ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ และส่ายหัวกลับไปแทน 


 


 


ไม่รู้ว่ารุ่นพี่โกรธหรือตัดสินใจว่าจะไม่สนใจแล้วกันแน่ เขาถึงไม่ได้ถามอะไรฉันอีกเลย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะดูห่างเหินกันหรอกนะ รุ่นพี่ยังมารอฉันกลับจากโรงเรียนที่หน้าบ้านทุกวัน แล้วก็ไปที่อคาเดมี่ด้วยกัน ก่อนจะกลับบ้านด้วยกัน 


 


 


แต่สำหรับฉันที่รู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ อาการจะกำเริบขึ้นมาอีกเมื่อไหร่นั้น ยิ่งได้ใช้เวลาร่วมกันกับรุ่นพี่มากเท่าไหร่ ก็มีแต่จะทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น  


 


 


อุตส่าห์พยายามซ่อนเอาไว้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ารุ่นพี่จะสังเกตเห็นความรู้สึกนั้นของฉันได้ ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวว่ารุ่นพี่จะเข้าใจผิด แต่ฉันก็ยังไม่กล้าที่จะบอกความจริงอยู่ดี ฉันกำลังอยู่ในสภาพจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 


 


 


จะต้องอธิบายว่าอะไรดีนะ หมู่นี้ฉันเอาแต่รู้สึกว่าอยากจะจมลงไปอยู่ในโถปลาทองซะเหลือเกิน อารมณ์แบบว่า อยากจะไปนั่งหายใจอย่างสงบนิ่ง คดตัวอยู่ในโถกระจกเล็กๆ ที่ไม่มีทั้งคลื่นลมและนักล่าตามธรรมชาติ  


 


 


ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกลัวอะไร สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยเชื่อว่า โลกเล็กๆ ข้างในนี้ที่ถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงกระจกคือโลกทั้งหมด มันจะดีขนาดไหนกันนะ 


 


 


ในตอนนั้นเองที่ด้านนอกหน้าต่างมีฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมาอีกครั้งหลัง ฉันเท้าค้างและเหม่อมองไปที่หยดน้ำซึ่งไหลลงมาตามหน้าต่าง ราวกับว่าในห้องเรียนแห่งนี้คือโถปลาขนาดยักษ์ 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงเนิบๆ ของอาจารย์ที่ดังแว่วมาจากที่ที่ห่างไปประมาณหนึ่ง หรือจะเป็นเสียงฝนที่กระทบกับหน้าต่างดังลั่น จู่ๆ เสียงพวกนั้นก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ฉันมัวแต่ดื่มด่ำอยู่กับความรู้สึกที่ค่อยๆ ถลำลึกเข้าไปอย่างไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งมีใครบางคนมาตบไหล่ของฉัน 


 


 


“มั่วแต่คิดอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่กำลังฟังเสียงฝนอยู่น่ะ”  


 


 


“ฝนตกหนักเลย เธอมีร่มหรือเปล่า” 


 


 


ดูเหมือนว่าจะเลิกเรียนแล้วสินะ ฉันส่ายหัวเบาๆ หลังจากที่หันไปมองดูรอบๆ ห้องที่วุ่นวายอย่างเชื่องช้า ผู้คนต่างกำลังวุ่นอยู่กับกระเป๋าของตัวเอง จะว่าไปแล้ว ฝนตกหนักขนาดนี้จะกลับบ้านยังไงดีล่ะ ถ้าหากมีเซจินหรืออีเซอยู่ด้วยก็คงจะไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแท้ๆ 


 


 


ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบนี้ ฉันยิ้มออกมาเล็กๆ รู้สึกโหวงๆ เมื่อเห็นที่นั่งของทั้งสองคนว่างอยู่ 


 


 


หมู่นี้เซจินกับอีเซกำลังยุ่งเรื่องการเตรียมตัวไปต่างประเทศ จึงมักจะเลิกเรียนก่อนเวลาอยู่บ่อยๆ เหตุผลเป็นเพราะได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากมีชื่ออยู่ในรอบชิงชนะเลิศที่โลซานน์ ตอนนี้ทั้งสองคนได้กลายเป็นคนที่อยู่คนละโลกกับฉันไปจริงๆ ซะแล้ว ซึ่งพอคิดดูแล้ว เพื่อนๆ ของฉันก็เป็นพวกคนที่อยู่คนละชั้นกับฉันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 


 


 


พอฉันนั่งเหม่อไม่พูดอะไร เพื่อนร่วมชั้นที่เข้ามาคุยกับฉันก่อนจึงบอกว่า ไปก่อนนะ แล้วก็เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไป  


 


 


ฉันที่ถูกทิ้งให้อยู่ภายในห้องเรียนที่ว่างเปล่าเพียงคนเดียวอย่างเหงาหงอยจึงค่อยๆ เริ่มหยิบนู่นหยิบนี่เข้ากระเป๋าด้วยท่าทีอืดอาด แล้วในตอนนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูหลังห้องออก ก่อนจะเดินเข้ามาข้างในห้องเรียน 


 


 


“อ้าว ซูฮยอน” 


 


 


คนที่กำลังเดินมาตรงหน้าฉันที่ยืนสะพายกระเป๋าอยู่อย่างเก้ๆ กังๆ ก็คือซูฮยอนนั่นเอง ซูฮยอนมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเฉยเมยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ก่อนจะโบกร่มที่กำลังถืออยู่ตรงหน้าฉัน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 


 


 


“ไปด้วยกันไหม” 

 

 

 


ตอนที่ 27-2

 

ข้อเสนอที่ไม่ได้คาดคิดทำให้ฉันมองหน้าซูฮยอนด้วยสีหน้าตกใจ แต่ว่าซูฮยอนก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วพยักหน้าเป็นการบอกว่า ให้รีบออกมาได้แล้ว ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้องเรียน ฉันรีบผลักเก้าอี้เข้าไปใต้โต๊ะ แล้ววิ่งตามซูฮยอนออกไปที่หน้าประตู 


 


 


“ขอบใจนะ นายช่วยชีวิตฉันไว้เลยนะเนี่ย” 


 


 


ซูฮยอนยักไหล่เหมือนจะบอกว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ให้กับคำพูดของฉัน ก่อนจะดึงฉันเข้ามาอยู่ใต้ร่มที่กางออก นั่นเลยทำให้ฉันต้องเดินด้วยท่าทางประหลาดขณะที่ไหล่ชนกับซูฮยอนไปด้วย สถานการณ์นี้มันเหลือเชื่อซะจนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะเสียงดังออกมา 


 


 


“หัวเราะอะไรน่ะ” 


 


 


“เปล่าหรอก ก็แค่ พวกเรามักจะไปไหนมาไหนกันหลายๆ คนเสมอ แต่พอได้มาอยู่กับนายแค่สองคนแล้ว มันก็รู้สึกตลกๆ ยังไงก็ไม่รู้” 


 


 


“แปลกเหรอ” 


 


 


“นิดหน่อยน่ะ” 


 


 


คำตอบหยอกล้อของฉันทำให้ซูฮยอนหัวเราะขึ้นมาในลำคอ ก่อนจะเอามือมาวางลงบนหัวฉัน แล้วจัดการขยี้เสียยกใหญ่ 


 


 


“ชินซะเถอะ” 


 


 


ซูฮยอนตั้งใจตีหน้าเข้มพร้อมกับลดเสียงลง แล้วพูดเสริมว่า ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนแล้วนี่นะ เฮ้อ ซูฮยอนเองก็กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันสินะ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงสารซูฮยอนที่ต้องแยกกับเซจินอย่างกะทันหันขึ้นมา 


 


 


“นายคงเสียดายยิ่งกว่า ก็จะไม่ได้เจอเซจินอีกตั้งนานเลยไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ก็นะ ก็มันเป็นเรื่องดีนี่นา” 


 


 


หลังจากตอบกลับมาว่ามันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก เขาก็ยิ้มออกมาบางๆ ทั้งที่เขาน่าจะอยากอยู่ด้วยกันกับเธอมากกว่าใครๆ แท้ๆ หากไม่มีเรื่องอุบัติเหตุนั่น ป่านนี้พวกเขาคงได้ไปด้วยกันแล้วแน่ๆ แต่ว่าท่าทางที่แน่วแน่ของซูฮยอนก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยละ 


 


 


“…คือว่านะ” 


 


 


ฉันพยายามง้างปากที่ยึกยักไปมาออก พลางเอ่ยถามขึ้น ความจริงแล้วฉันอยากจะฟังเรื่องก่อนหน้านี้ของซูฮยอนน่ะ เพราะฉันคิดว่าบางทีหมอนี่อาจจะสามารถให้คำตอบในความกังวลของฉันได้ก็ได้ 


 


 


“เรื่องวันที่นายล้มเลิกเรื่องไปโลซานน์ ฉันขอถามหน่อยได้ไหม” 


 


 


ซูฮยอนคงจะไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าฉันจะถามคำถามแบบนั้น เขาถึงกับชะงักแล้วหันมามองฉัน หลังจากที่ฉันจ้องมองดวงตาของซูฮยอนที่ไม่สั่นไหวเลยสักนิด ฉันก็ค่อยๆ พูดต่อ 


 


 


“ก็นายคงคิดว่า อาจจะไม่สามารถกลับมาเต้นบัลเลต์ได้อีกใช่ไหมละ รีบร้อนถึงขั้นที่ยอมสละสิทธิ์ไปโลซานน์เลยนี่นา” 


 


 


“…” 


 


 


“แล้วเหตุผลที่ไม่ยอมแพ้คืออะไรล่ะ นายเอาชนะ… ความกลัวนั้นได้ยังไงกัน” 


 


 


ซูฮยอนยิ้มเจื่อนๆ เหมือนกับลำบากใจในคำถามของฉัน พลางเบือนหน้าหนี ดวงตาของซูฮยอนที่มองออกไปยังที่ที่ห่างไกลดูเลือนรางอย่างพิลึก ดวงตาของซูฮยอนเป็นสีดำสนิทเหมือนกับใส่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้าไป เขาหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งสักพัก ก่อนจะมองมาที่ฉันช้าๆ ตาของซูฮยอนที่หันกลับมาที่ฉันอย่างช้าๆ กำลังวาดเป็นรูปยิ้มบางๆ 


 


 


“เพราะสัญญาเอาไว้น่ะสิ” 


 


 


เมื่อสายลมที่มีความชื้นอัดแน่นอยู่เต็มพัดผ่านไป เส้นผมของซูฮยอนก็ปลิวไสวไปมา ซูฮยอนฉีกยิ้มที่ดูสบายๆ จนเหมือนกับจะทำให้กลิ่นฝนหายไป ก่อนจะมองตรงมาที่ฉัน แล้วพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ 


 


 


“ฉันสัญญาเอาไว้กับเซจินน่ะ ถึงจะน่าอายแต่ว่าต่อให้จะแสดงด้านที่อ่อนแอออกมา ก็ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด” 


 


 


ฉันหัวเราะเล็กๆ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีสายฝนโปรยปรายลงมา ท้องฟ้ามืดมิดที่เหมือนกำลังเลอะไปด้วยเม็ดทราย ช่างเหมือนกับอนาคตอันมืดมิดของฉันที่มองไม่เห็นทางข้างหน้า 


 


 


เพราะฉันก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นแล้วนอกจากบัลเลต์ ดังนั้นในตอนนี้ ฉันถึงจินตนาการภาพของตัวเองที่ไม่ได้เต้นไม่ออกเลยสักนิด และซูฮยอนเองก็คงจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน 


 


 


แต่ว่าฉันจะมีความกล้าพอที่จะไม่ยอมแพ้ แล้วก็ยืนหยัดขึ้นสู้อีกครั้งเหมือนกับซูฮยอนหรือเปล่านะ เพื่อที่จะรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับรุ่นพี่ว่าจะเป็นบัลเลรีน่าสุดเท่ให้ได้ ฉันจะยังเต้นต่อไปได้อีกหรือเปล่านะ ไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด 


 


 


“ขนาดตัวฉันยังไม่เชื่อในตัวเองเลยแท้ๆ แต่กลับมีคนที่เชื่อในตัวฉันที่เป็นแบบนั้น ความจริงข้อนั้นเลยกลายมาเป็นพลังให้กับฉันน่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ดังนั้นฉันเลยไม่อยากทำให้คนๆ นั้นผิดหวังยังไงละ” 


 


 


หลังจากซูฮยอนพูดจบ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย ผิดหวัง คำนั้นทิ้งความรู้สึกแปลกๆ เอาไว้ ก่อนที่จะจางหายไป รุ่นพี่จะผิดหวังในตัวฉันไหมนะ เขาจะคิดว่าฉันที่เอาแต่หนีอยู่แบบนี้ไร้สาระรึเปล่านะ เฮ้อ นี่ฉันเอาแต่คิดถึงทุกอย่างโดยเอารุ่นพี่เป็นหลักเลยเหรอเนี่ย 


 


 


ซูฮยอนก้าวเท้าสั้นลงเพื่อที่จะเดินให้เข้ากับก้าวเดินช้าๆ ของฉัน ใบหน้าด้านข้างของเขาดูจะแสดงออกอย่างซื่อตรงกว่าครั้งไหนๆ แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกอายขึ้นมา ความมั่นใจ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่จะเดินบนเส้นทางที่อาจจะล้มเหลว แล้วก็… หัวใจอันแข็งแกร่งที่เชื่อในมือที่กำลังจับไว้ 


 


 


“เท่สุดๆ ไปเลยนะเนี่ย ชเวซูฮยอน” 


 


 


ซูฮยอนหัวเราะพลางยักไหล่ ฉันจึงตีไหล่ของซูฮยอนที่ทำท่าทางแบบนั้นเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า ไปกันเถอะ แต่แล้วในจังหวะที่ฉันกำลังหันตัวไปนั้นเอง  


 


 


ฉันก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งกำลังเดินถือร่มคันใหญ่เข้ามาหาพวกเราอย่างช้าๆ จากทางหน้าประตูที่อยู่ไกลออกไป ภาพเงาที่คุ้นตาและก้าวเดินที่คุ้นเคย 


 


 


“สองคนคุยอะไรกันน่ะ ทำไมนานจัง” 


 


 


คนที่หันมาส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือให้กับพวกเราก็คือรุ่นพี่อีกงนั่นเอง วินาทีนั้นฉันทำตัวไม่ถูกจนไม่อาจเก็บอาการเอาไว้ได้ แล้วก็ได้แต่จ้องหน้ารุ่นพี่ที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 


 


 


“ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย อุตส่าห์มาถึงนี่ทั้งที่ฝนตกแบบนี้” 


 


 


ซูฮยอนที่โยนคำถามออกมาแทนฉันที่ยืนงงไม่พูดอะไร แอบสะกิดไหล่ฉันแล้วส่งสายตามาเหมือนจะต้องการถามว่า ‘เป็นอะไรไป’ ฉันยิ้มเจื่อนๆ แล้วมองต่ำลงเพื่อปกปิดดวงตาที่สั่นไหวจนจับโฟกัสไม่ถูก แล้วก็ได้เห็นรองเท้ากีฬาของรุ่นพี่ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน 


 


 


“พี่มาเพราะว่าฮวีกยอมคงจะต้องป้ำๆ เป๋อๆ ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้เอาร่มออกมาด้วยแน่ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ที่ได้เจอหน้าพี่สินะ” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่พึมพำออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นท่าทีของฉันดูเหมือนจะแฝงความเศร้าเอาไว้ ฉันส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร ฉันแค่กลัวว่าหัวใจที่วุ่นวายเพราะบทสนทนาที่ได้คุยกับซูฮยอนจะถูกจับได้เท่านั้นแหละ 


 


 


แต่ต่อให้ไม่ต้องพูดออกมาตรงๆ ฉันก็รู้ดีว่าไม่มีใครรู้ถึงความจริงภายในใจของฉันได้หรอก ดังนั้นความสัมพันธ์ของรุ่นพี่และฉันถึงได้ดูแปลกๆ อย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกไปอยู่ดี 


 


 


ฉันไม่อยากจะทำให้รุ่นพี่ที่เชื่อในตัวฉันต้องกังวลใจ ฉันไม่อยากให้รุ่นพี่เศร้าเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุ  


 


 


ไม่สิ ฉันต่างหากละที่ไม่มีความกล้าพอที่จะมองดูท่าทางแบบนั้น เพราะกลัวว่ารุ่นพี่จะเปลี่ยนไป เพราะกลัวว่ารุ่นพี่จะปล่อยมือจากฉันเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด ใช่ ฉันน่ะไม่เหมือนซูฮยอนหรอก ฉันไม่มีความกล้าที่จะท้าทายกับทุกสิ่ง 


 


 


“บรรยากาศของทั้งสองคนนี่มันอะไรกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอครับ” 


 


 


ซูฮยอนที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างฉัน ยิ้มแห้งๆ ขณะเอ่ยถาม แต่รุ่นพี่และฉันก็ไม่อาจจะให้คำตอบใดๆ ได้ 


 


 


“ฉันขอตัวก่อนนะคะ นึกขึ้นได้ว่ามีที่ที่ต้องไปน่ะค่ะ” 


 


 


ฉันหาข้ออ้างลวกๆ ขึ้น ก่อนจะรีบหันไปทางอื่น เพราะถ้าขืนอยู่อย่างนี้ต่อไปน้ำตามันจะต้องไหลออกมาอย่างแน่นอน ฉันรีบเดินผ่านด้านข้างของรุ่นพี่ที่กำลังขยับปากเหมือนว่าจะพูดอะไรสักอย่าง และเสียงเรียกของซูฮยอนก็ฟังดูไกลออกไปเหมือนกับเสียงสะท้อน ดูท่าหูจะไม่ได้ยินอีกแล้วสินะ 


 


 


ฉันที่รีบร้อนยิ่งกว่าเดิม หันไปมองสัญญาณไฟจราจรที่กลายเป็นสีเขียว ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามทางรถไฟไป ถ้าถูกรั้งไว้ที่นี่ละก็ ความจะต้องแตกแน่ๆ ฉันสัมผัสได้ว่าตอนนี้ทั้งสิ่งที่ซ่อนอยู่และการหลบหน้ารุ่นพี่ได้มาจนถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ 


 


 


ในตอนที่ฉันรีบก้าวเท้าอย่างรีบร้อน พร้อมกับเอาหลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา พอลองคิดดูอีกครั้งแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเสียววาบขึ้นมา แต่หัวใจก็เหมือนกับหล่นฮวบลงไป  ฉันหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงกลางทางรถไฟ ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าไปทางประตูโรงเรียนที่มีรุ่นพี่กับซูฮยอนยืนอยู่อย่างช้าๆ 


 


 


อ้า ฉันเห็นรุ่นพี่กำลังวิ่งมาทางฉัน แบบช้ามากๆ เหมือนกับภาพสโลว์โมชั่น และใบหน้าของซูฮยอนที่อยู่ข้างหลังก็ดูตกใจสุดขีด ดวงตาที่พองโตและริมฝีปากที่ขยับอย่างรีบร้อนเหมือนกับจะตะโกนอะไรออกมาสักอย่างนั่นดูแปลกพิลึก 


 


 


ด้วยความรู้สึกมึนงงฉันจึงหันหน้ากลับมา แล้วในตอนนั้นเองฉันก็ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สีหน้าของซูฮยอนต้องการจะสื่อออกมา 


 


 


“คิมฮวีกยอม!” 


 


 


ท่ามกลางเสียงแว่วจากที่ห่างไกลซึ่งใกล้เข้ามา ฉันได้ยินเสียงเสียดสีกันของยางล้อรถที่เหมือนกับจะแตกออกมา ของรถยนต์ที่ใกล้เข้ามาจนเหมือนกับจะทับร่างของฉันซะเดี๋ยวนั้น  


 


 


ภายในหัวที่ขาวโพลนไปหมดนั้นมีแต่เสียงเตือนที่บอกว่าให้รีบหลบเร็วเข้า แต่ไม่รู้ทำไมฉันกลับไม่สามารถขยับออกไปจากที่ตรงนั้นได้เลยสักนิด 


 


 


เสียงที่กลับมาสักพักหนึ่งเริ่มไกลออกไปอีกครั้ง ทั้งเสียงแหลมสูงของรถที่เหยียบเบรกอย่างกะทันหันและเสียงตะโกนของซูฮยอนที่ได้ยินมาจนถึงเมื่อกี้หายไปอีกครั้ง 


 


 


ฉันงอตัวลงพร้อมกับหลับตาทั้งสองข้างไว้แน่นตามสัญชาตญาณ และในไม่ช้าแรงกระแทกหนักๆ ก็ถูกส่งผ่านมายังร่างกายของฉัน พร้อมกับความรู้สึกที่ว่าขาทั้งข้างกำลังลอยขึ้นไปบนอากาศ 


 


 


นี่ฉันจะตายแบบนี้งั้นเหรอเนี่ย แบบไร้ค่าอย่างนี้เนี่ยนะ คำถามที่วนเวียนอยู่ภายในหัวฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังถามต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเหมือนกับงูกินหาง มันไม่ได้เจ็บปวด หรือน่ากลัวอย่างที่เคยคิดเอาไว้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังถูกห่มด้วยผ้าห่มอุ่นๆ นุ่มๆ 


 


 


จนเมื่อรู้สึกว่าร่างกายซึ่งลอยอยู่บนอากาศกระแทกลงกับพื้น ฉันก็ลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้น ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสีทรายซึ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา ใบหน้าของฉันที่กำลังเปียกชุ่มอยู่แล้วดูจะยิ่งเปียกหนักกว่าเดิม 


 


 


ฉันลองกระดิกนิ้วดูในทันที แต่ว่าไม่เหมือนกับที่คาดเอาไว้ ร่างกายของฉันกลับขยับได้โดยง่าย ดูท่าจะไม่เป็นอะไรมากสินะ  


 


 


ในตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าฉันกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน พริบตานั้นภาพของรุ่นพี่ที่วิ่งมาหาฉันก็ลอยแวบผ่านไป 


 


 


ด้วยความสงสัย ฉันจึงหันหน้าไปช้าๆ ก่อนจะได้กลิ่นของรุ่นพี่ที่ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเปียกฝน อ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแรง ลมหายใจบางๆ ที่มารดลงตรงต้นคอ และฝ่ามือใหญ่ที่กำลังโอบไหล่ของฉันเอาไว้แน่น ฉันที่รู้สึกมึนหัวรีบพยุงตัวขึ้นมา 


 


 


ตรงที่พวกเราอยู่นั้นไม่ใช่ตรงทางรถไฟที่ฉันเคยยืนอยู่ แต่เป็นตรงทางเท้าที่อยู่ห่างออกไปจากตรงนั้นเล็กน้อย สิ่งที่วิ่งเข้ามาชนฉันไม่ใช่รถ แต่เป็นรุ่นพี่ต่างหากละ  


 


 


ฉันเห็นคนขับรถรีบร้อนออกมาจากรถที่จอดอยู่ตรงกลางทางรถไฟด้วยสีหน้าแตกตื่น รวมไปถึงภาพของซูฮยอนที่วิ่งมาหาพวกเราด้วยใบหน้าซีดเผือด 


 


 


แม้ว่ารุ่นพี่จะมองมาด้วยอาการตกตะลึง แต่มือของรุ่นพี่ก็ยังเอื้อมมาจับแล้วดึงแก้มฉันอย่างแรง เมื่อหันไปสบตาฉันจึงได้รู้ว่าตัวว่ารุ่นพี่กำลังโกรธจัดอยู่ รุ่นพี่จ้องมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาฉุนเฉียว แล้วขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หูของฉันก็ยังคงไม่ได้ยินอะไรเช่นเคย 


 


 


ที่แก้มของรุ่นพี่ซึ่งเปียกไปด้วยสายฝนมีแผลถลอกอยู่ เลือดที่ไหลออกมาข้างนอกผสมเข้ากับเม็ดฝนแล้วไหลลงมาจนถึงคางของรุ่นพี่ 

 

 

 


ตอนที่ 27-3

 

ถึงฉันจะอยากถามรุ่นพี่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ แต่ฉันก็ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด เพราะอะไรกันนะ ไม่ว่าจะใช้แรงฮึดสักเท่าไหร่ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี 


 


 


ทันใดนั้นรุ่นพี่ก็เขย่าไหล่ฉันที่ทำหน้านิ่ง แล้วเริ่มพูดอะไรสักอย่างออกมา ฉันพยายามจ้องริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ขยับอย่างต่อเนื่อง แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ารุ่นพี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ 


 


 


ฝนที่ตกลงมาบนหัวมันเย็นจัง ไม่สิ เจ็บจัง ฉันก็อยากจะขอโทษรุ่นพี่ที่กำลังโกรธอยู่หรอกนะ แต่ฉันกลับนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะต้องพูดอะไรออกมาดี 


 


 


ซูฮยอนที่เข้ามาหาพวกเรา จับไหล่ของรุ่นพี่เอาไว้ แล้วขยับปากพูดอะไรสักอย่าง ในตอนนั้นเองที่รุ่นพี่ยอมปล่อยมือออกจากไหล่ของฉันช้าๆ เขาปิดปากเงียบสนิทแล้วจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาสั่นไหว แววตาเข้มๆ ที่เหมือนกับจะมองทุกอย่างจนทะลุปุโปร่งทำให้ฉันกังวลจนทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ 


 


 


พอซูฮยอนประคองร่างฉันให้ลุกขึ้นแล้ว รุ่นพี่ก็ถอดเสื้อโค้ทที่เคยใส่อยู่มาสวมทับบนเสื้อนักเรียนของฉันที่สกปรกเลอะเทอะไปด้วยดินโคลน  


 


 


เจ้าของรถรีบพาพวกเรามานั่งตรงเบาะหลัง แล้วออกรถไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เป็นเพราะว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรฉันจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


ห้องฉุกเฉินที่ได้กลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหลังจากอุบัติเหตุของคุณป้ายังคงดูวุ่นวายเช่นเดิม แต่คงเป็นเพราะคราวนี้ฉันมาในฐานะคนไข้ไม่ใช่ผู้ปกครองละมั้ง มันเลยดูไม่ค่อยน่ากลัวและทำให้กังวลใจเท่าไหร่ จะว่าไงดีละ คงเพราะฉันเอาแต่นั่งเหม่อนึกอะไรไม่ออกละมั้ง 


 


 


ตลอดช่วงเวลาที่ฉันถูกวางลงบนเปลสนามแล้วถูกพาเข้าไปยังห้องตรวจ โชคดีที่ฉันกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้ง และเหมือนเจ้าเสียงนั้นกำลังถามอยู่ว่า ฉันหายตัวไปเสียเมื่อไหร่กันล่ะ 


 


 


หลังจากที่รุ่นพี่กลับมาจากการทำแผลแบบง่ายๆ ซูฮยอนก็ลุกขึ้นพร้อมกับบอกว่าจะไปหาอะไรดื่มสักหน่อย เมื่อรุ่นพี่กลับมาแล้ว ฉันตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องขอโทษให้ได้ แต่ริมฝีปากกลับไม่ยอมขยับเลยสักนิด เหมือนกับเอากาวทาให้ปากติดกันไว้ 


 


 


“…พี่บอกที่บ้านแล้ว คุณป้ากำลังมาน่ะ” 


 


 


ฉันพยักหน้าเล็กๆ พลางกระดิกนิ้วไปมา รุ่นพี่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเสยผมที่เปียกหมาดๆ ขึ้นไปช้าๆ ใบหน้าของรุ่นพี่กำลังแสดงสีหน้าประหลาดจนยากจะอธิบายได้ออกมา 


 


 


“…คือ รุ่นพี่คะ” 


 


 


ฉันรวบรวมความกล้าขยับริมฝีปากที่เคยปิดสนิท รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียงจ้องมองสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่ที่แขนของฉัน แล้วจึงหันหน้ามามองฉันนิ่งๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉัน 


 


 


“ขอโทษนะคะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ” 


 


 


ฉันนึกอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าขอโทษ รุ่นพี่ทอดสายตามองมาที่ฉันซึ่งไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา แล้วได้แต่พูดพึมพำเบาๆ เขาลูบหัวฉันพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเอามากๆ 


 


 


“แค่เธอปลอดภัยก็พอแล้วละ” 


 


 


“…ขอโทษนะคะ” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษสักหน่อย เพราะงั้นไม่ต้องขอโทษก็ได้” 


 


 


“แต่ว่า…” 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


ฉันสะดุ้งตกใจและหยุดพูดไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่แผ่วเบาแต่เด็ดขาดของรุ่นพี่ รุ่นพี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาจับมือของฉันที่เอาแต่ยุกยิกไปมาไม่หยุดอย่างระมัดระวัง แล้วจึงพูดต่อ 


 


 


“ความจริงแล้ว เมื่อกี้พี่ก็โกรธนั่นแหละ เกือบเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ แล้วไหมละ เธอเกือบจะเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาพี่ แล้วจะไม่ให้พี่โกรธได้ยังไง แต่ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าพี่โกรธเธอหรอกนะ…” 


 


 


รุ่นพี่หยุดพูดไปสักพัก พลางกัดริมฝีปากล่างเอาไว้เล็กน้อย เขายิ้มแห้งๆ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ฉันส่ายหัวเบาๆ 


 


 


“คงจะตกใจน่าดูเลยสินะ ขอโทษนะที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกมา” 


 


 


น้ำเสียงอันอบอุ่นของรุ่นพี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา ฉันส่ายหัวแรงยิ่งขึ้นพลางกุมมือของรุ่นพี่ที่จับฉันอยู่เอาไว้แน่น 


 


 


“ไม่ใช่หรอกค่ะ ไม่ใช่จริงๆ นะคะ เป็นเพราะฉันแท้ๆ รุ่นพี่เกือบจะ…” 


 


 


“พอๆ พี่ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น” 


 


 


ฉันพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะหันไปสบตารุ่นพี่ได้ รุ่นพี่ที่กำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้ฉัน และแขนที่เผยออกมาจากใต้แขนเสื้อเชิ้ตที่พับขึ้น มีผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมแปะเอาไว้อย่างเรียบร้อย เขาคงจะรู้สึกได้ว่าสายตาของฉันมองไปยังที่ตรงนั้น รุ่นพี่จึงผละมือออก แล้วเอามือนั่นไปปิดบังแผลเอาไว้ เขายิ้มเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วบอกฉันด้วยน้ำเสียงสดใสว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า 


 


 


ฉันพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกต่างๆ ที่กำลังจะพรั่งพรูออกมาเอาไว้ ความคิดต่างๆ ที่สับสนวุ่นวายจนยากเกินจะรับมือยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัวของฉัน แต่ฉันกลับมองไม่เห็นปลายทางเลยสักนิด 


 


 


“…ฮวีกยอม” 


 


 


ฉันกำลังต่อสู้กับความคิดต่างๆ ที่ผสมปนเปกันอย่างไร้แบบแผนจนกลายเป็นรูปร่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ และรุ่นพี่ก็คงจะเรียกชื่อฉันเพราะสัมผัสได้ถึงสีหน้าท่าทางที่ดูลังเลอย่างแปลกๆ จนเมื่อฉันได้ยินเสียงนั่น สติก็ได้กลับมาอีกครั้ง รุ่นพี่ลังเลอยู่สักพักเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง พลางขยับเพียงแค่ริมฝีปากแต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา 


 


 


“เออ คือว่า…” 


 


 


“ฮวีกยอม!” 


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงของคุณป้าก็ดังขึ้นจนกลบเสียงพูดที่เต็มไปด้วยความลังเลของรุ่นพี่ คุณป้าคงจะตกใจมาก เธอวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยใบหน้าซีดเผือด นั่นจึงทำให้ฉันที่ถูกแยกออกจากรุ่นพี่ด้วยบรรยากาศประหลาดๆ นี้ได้แต่ปิดปากเงียบสนิท พร้อมกับยันตัวขึ้นมา 


 


 


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย ให้ตายสิ!” 


 


 


“คุณป้า หนูไม่เป็นไรค่ะ เพราะงั้นใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” 


 


 


ฉันตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงและหันไปยิ้มอย่างสดใสให้กับคุณป้าที่จับมือของฉันพลางกระทืบเท้าไปมา แต่คุณป้าที่เอาแต่ทำสีหน้าตกใจ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอะไรต่อ แล้วก็ได้แต่จ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาเปี่ยมความกังวล ขณะที่ยังคงพึมพำต่อไปไม่หยุดว่า โธ่เอ๊ยๆ เพราะคุณป้าเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มาเมื่อไม่นานนี้ เธอเลยยิ่งวิตกกังวลเข้าไปใหญ่ 


 


 


เป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าที่คุณป้าจะทำใจให้สงบลงได้ ก่อนที่เธอจะหันไปจับมือของรุ่นพี่เอาไว้ แล้วก้มหัวลง พร้อมกับทักทายรุ่นพี่ด้วยคำว่า ขอบคุณ นับครั้งไม่ถ้วน รุ่นพี่ที่ไม่รู้จะแสดงท่าทียังไงออกมาดีจึงได้แต่ส่ายหัว และเอาแต่พูดว่า ไม่เป็นไรครับ 


 


 


แม้จนกระทั่งตอนที่คุณหมอถือผลการตรวจเดินเข้ามา แล้วบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ คุณป้าก็ยังคงยืนจับมือรุ่นพี่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน 


 


 


และเมื่อได้ยินคุณหมอบอกว่า กลับบ้านได้แล้ว ฉันที่รู้สึกร้อนใจเพราะกลัวว่าจะโดนเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องหู ก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโดยไม่ให้คนอื่นรู้ 


 


 


“งั้นเดี๋ยวป้าจะไปคุยกับเจ้าของรถข้างนอกก่อนนะ เตรียมตัวเสร็จแล้วก็ออกมาละ” 


 


 


คุณป้าลูบหน้าอกเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า ความกังวลครั้งใหญ่ได้คลายไปแล้ว ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยสีหน้าสดใส จากนั้นไม่นานนางพยาบาลก็เข้ามาถอดเข็มฉีดยาออกให้ ความเงียบแปลกๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเราที่ถูกทิ้งให้เหลือกันอยู่เพียงสองคนอีกครั้ง 


 


 


“…ไปกันเลยไหมคะ” 


 


 


ฉันแกล้งทำเป็นลงมาจากเตียงอย่างทะมัดทะแมง พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง แต่แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะก้าวเดินไปพร้อมกับกระเป๋าที่สภาพเยินเพราะฝน จู่ๆ รุ่นพี่ก็มารั้งข้อมือฉันเอาไว้ 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


“คะ” 


 


 


ฉันจงใจหันไปมองหน้ารุ่นพี่เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รุ่นพี่กลับมองจ้องมาที่ฉันตาเขม็ง พร้อมกับออกแรงบีบมือให้แน่นยิ่งขึ้น วินาทีที่ฉันได้เผชิญหน้ากับท่าทีกดดันอย่างประหลาดของรุ่นพี่ อยู่ๆ ความกังวลที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความเย็นวาบที่ไหลลงมาตามหลัง 


 


 


“…ทำไมเหรอคะ” 


 


 


ฉันเกือบจะพูดจาตะกุกตะกักออกไปแล้ว ถึงแม้จะพยายามทำเป็นนิ่งเฉยแต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด พลาสเตอร์ปิดแผลที่ติดอยู่บนหน้าของรุ่นพี่เป็นเหมือนกับรอยตำหนิที่คอยแต่จะดึงดูดสายตาฉัน 


 


 


ในตอนที่ฉันยืนอย่างเก้ๆ กังๆ และไม่อาจละสายตาจากดวงตาของรุ่นพี่ที่เหมือนกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง ฝ่ามืออันแข็งแรงของรุ่นพี่ก็ลูบลงบนหัวของฉัน ทั้งไออุ่นและสัมผัสอันอ่อนโยน 


 


 


แต่แล้ววินาทีที่มือนั้นค่อยๆ เลื่อนลงสัมผัสแถวๆ หูของฉัน ฉันกลับสะดุ้งเฮือกแล้วก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


“ฟังที่พี่พูดอยู่หรือเปล่า” 


 


 


หัวใจที่กำลังเต้นตึกตัก มันหล่นฮวบลงไปในทันที เป็นเพราะคำพูดของรุ่นพี่ น้ำเสียงแบบนั้นมันเต็มไปด้วยความหมายมากมาย ใบหูที่มือของรุ่นพี่เลื่อนผ่านร้อนอย่างกับไฟลุก 


 


 


ฉันกลืนน้ำลายลงคอ พลางพยักหน้าอย่างช้าๆ ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็ยิ้มเล็กๆ แล้วจึงกอดฉันเอาไว้อย่างแผ่วเบา 


 


 


“อย่าทำให้พี่กังวลสิ” 


 


 


เสียงพึมพำของรุ่นพี่ดังออกมาเหมือนกับเสียงถอนหายใจ และที่ปลายเสียงนั้นก็มีเสียงหายใจเบาๆ ราวกับเป็นห่วงออกมาด้วย ฉันจึงยกแขนขึ้นมากอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้อย่างระมัดระวัง  


 


 


เฮ้อ ได้โปรดเถอะ ฉันหวังว่าในตอนนี้หูของฉันจะทนต่อไปได้อีก เพราะว่าฉันไม่อยากจะพลาดทั้งเสียงลมหายใจที่สั่นเล็กๆ ของรุ่นพี่ และก็เสียงเล็กๆ น้อยๆ นี้ 


 


 


ทั้งที่มันเพราะขนาดนั้นแท้ๆ ทั้งที่มันสำคัญขนาดนั้นแท้ๆ ทำไมพระเจ้าถึงได้ยังมาพรากแม้แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของฉันไปกันนะ เฮ้อ พอลองคิดดูแล้ว ฤดูร้อนก็กำลังจะมาถึงแล้วนี่นา ฉันยิ้มอย่างขมขื่น 


 


 


ในวันที่พ่อหายไป และแม้แต่แม่ก็ยังผละห่างจากฉันไป ฉันมักจะคิดแบบนั้นเสมอ ว่าพวกเขาไม่เห็นว่าฉันสำคัญที่สุดเหมือนกับที่ฉันคิดว่าคนเหล่านั้นสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงจากไปเพื่ออะไรที่สำคัญกว่าฉัน 


 


 


เพราะแบบนั้น ขณะที่ฉันชอบรุ่นพี่ ขณะที่ฉันคิดว่าเขาสำคัญ อีกใจหนึ่งฉันก็ยังคงรู้สึกเป็นกังวล กังวลว่ารุ่นพี่เองก็จะไม่คิดว่าฉันสำคัญที่สุดเหมือนกับคนพวกนั้น จึงกังวลว่าเขาจะจากฉันไป 


 


 


บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาที่จิตใจของฉันก็ได้ ปัญหาในจิตใจของฉันที่ไม่สามารถเชื่อใจรุ่นพี่ได้เหมือนกับที่ซูฮยอนเชื่อในเซจิน 


 


 


“ไปกันเถอะ” 


 


 


ฉันทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าในฐานะรุ่นพี่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างและได้แต่รอให้ฉันเอ่ยออกมาด้วยตัวเอง มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆ มีแต่จะต้องตัดสินใจว่าจะเป็นฉันที่ปล่อยมือนี้ไปก่อน หรือเลือกที่จะเชื่อใจแทน 


 


 


แต่ว่าฉันก็ไม่อยากจะปล่อยรุ่นพี่ไปทั้งแบบนี้ ถึงจะถูกชี้นิ้วด่าว่าเห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าแม้แต่รุ่นพี่ยังจากฉันไปละก็ ฉันคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จะดีแค่ไหนกันนะ ถ้ามีใครสักคนมาช่วยเฉลยคำตอบและทำให้จิตใจของฉันปลอดโปร่ง 


 


 


“ทำอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


รุ่นพี่ที่เดินนำหน้าไปก่อนจู่ๆ ก็หันกลับมาจ้องฉัน อ๊ะ ดวงตายิ้มได้ของรุ่นพี่แสบตาชะมัด 


 


 


“มือ” 


 


 


รุ่นพี่ยื่นมือมาตรงหน้าฉัน ฉันวางมือลงบนมือของเขาอย่างช้าๆ 


 


 


“ได้โปรดอย่าปล่อยมันไปนะคะ” 


 


 


“หือ?” 


 


 


คำพูดพึมพำเบาๆ ที่ออกมาอย่างไม่รู้ตัวของฉัน ทำให้รุ่นพี่ทำท่าสงสัย พร้อมกับส่งสายตาที่บอกว่าให้พูดใหม่อีกครั้งกลับมา แต่ว่าฉันกลืนคำที่ขึ้นมาจนถึงปลายลิ้นกลับเข้าไป ก่อนจะส่ายหน้า 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 


 


 


ความจริงแล้วฉันกลัวว่าตัวตนของฉันจะกลายเป็นภาระของรุ่นพี่ 


 


 


“…หน็อย นี่เธอเลียนแบบพี่เหรอเนี่ย” 


 


 


รอยยิ้มเล็กๆ ของรุ่นพี่ทิ่มแทงใจของฉันอย่างเจ็บปวด ภายในใจของฉันที่เต้นแรงเหมือนพายุที่แปรปรวนนั้นมีเพียงความหวังแค่อย่างเดียวที่ดังก้องอยู่ 


 


 


“ไปกันเถอะ คุณป้ารอแย่แล้ว” 


 


 


ฉันท่องคำขอนั้นซ้ำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด แด่ผู้งดงามของฉัน โปรดอย่าได้จากฉันไปเลย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น โปรดอย่าได้ปล่อยมือจากฉัน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่คือความโลภของฉัน ก็โปรดอย่าได้ปล่อยมือจากฉัน หากเพียงโลกนี้มีพระเจ้าอยู่จริง โปรดอย่าได้ขโมยรักนี้ไปจากฉันเลย 

 

 

 


ตอนที่ 28-1

 

หน้าต่างถูกเปิดกว้าง ขณะที่ฉันใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชุ่ม สัมผัสอันสดชื่นก็ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าของฉันตื่นตัวขึ้น วันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน เพราะนอนไม่หลับจึงทำให้ฉันมานั่งเหม่อเท้าคางอยู่ตรงขอบหน้าต่าง แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงความทรงจำในคืนหนึ่งของฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้วที่รุ่นพี่ร้องเพลงให้ฉันฟังขึ้นมา 


 


 


หรือเป็นเพราะเขารู้ว่าฉันจะไม่ได้ยินเสียงอีกแล้วงั้นเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ฉันมักจะหวนนึกถึงความทรงจำต่างๆ เกี่ยวกับเสียงโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่รุ่นพี่ร้อง คำพูดต่างๆ ที่รุ่นพี่พูดกับฉัน กิจวัตรประจำวันที่เต็มไปด้วยเสียงของรุ่นพี่ ดนตรีที่เต้นไปพร้อมกับรุ่นพี่ แล้วก็… 


 


 


ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูภาพวิดีโอที่อยู่ข้างในนั้นซ้ำไปมาด้วยความเคยชิน เสียงหัวเราะของทุกคน น้ำเสียงตื่นเต้นของรุ่นพี่ที่ดังคลออยู่ภายในห้องเหมือนกับเสียงดนตรี ฉันนั่งจ้องโทรศัพท์ทรงสี่เหลี่ยมอยู่แบบนั้นสักพัก 


 


 


แต่แล้วจู่ๆ หน้าจอก็ค้างไป ก่อนที่บนหน้าจอจะกลายเป็นพื้นหลังสีดำที่มีชื่อของอีเซเด้งขึ้นมา ฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบกดปุ่มรับสาย แล้วเอาโทรศัพท์แนบหู 


 


 


“ฮัลโหล” 


 


 


[ทำไรอยู่น่ะ] 


 


 


น้ำเสียงของอีเซที่ถึงจะฟังดูเย็นชา แต่ก็อ่อนโยนดังออกมาจากปลายสาย ฉันยิ้มเล็กๆ พลางเอนหัวพิงขอบหน้าต่าง 


 


 


“ไม่ได้ทำอะไร ทำไมเหรอ” 


 


 


[ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุ ฉันเลยโทรมาถามว่าเธอไม่เป็นไรใช่ไหม] 


 


 


“อ๋อ ไม่เป็นอะไรหรอก” 


 


 


[อย่าซุ่มซ่ามให้มากนักสิ เธอทำให้ฉันรู้สึกอย่างกับว่าฉันปล่อยให้ลูกตัวเองเล่นอยู่ริมน้ำคนเดียวเลยนะ] 


 


 


“แหม” 


 


 


[เอาเป็นว่าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว] 


 


 


“ขอบใจนะ” 


 


 


[ฮวีกยอม] 


 


 


“หือ ทำไมเหรอ” 


 


 


[ฝันดีนะ] 


 


 


“…อะไรของนาย แปลกๆ นะ” 


 


 


[ทำไมเล่า ฉันบอกไม่ได้รึไง] 


 


 


น้ำเสียงบ่นห้วนๆ ของอีเซดูแหบเล็กน้อย ฉันหัวเราะคิกคักพลางกระดิกนิ้วที่กำลังจับมือถือไปมา ฉันวาดภาพตรงหน้าว่าอีเซจะกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ จะว่าไปแล้ว หลังจากที่กลับมาจากโลซานน์ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้คุยกับอีเซสองคนยาวขนาดนี้ 


 


 


พอได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ ของอีเซดังมาจากปลายสาย คำสารภาพรักที่อีเซเคยบอกฉันตอนอยู่ที่โลซานน์ก็ลอยขึ้นมา  


 


 


พริบตานั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้น พร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตักทำให้ฉันเผลอกระแอมออกมาเอง หลังจากนั้นฉันจึงพยายามพูดด้วยเสียงเรียบเฉย 


 


 


“แล้วรุ่นพี่เป็นยังไงบ้าง” 


 


 


[…อืม ก็นะ] 


 


 


หลังจากเงียบไปสักพัก น้ำเสียงเย็นชาของอีเซก็ดังมาจากปลายสาย การแกล้งเอาเรื่องรุ่นพี่ขึ้นมาพูดนั้น ขนาดตัวฉันเองยังรู้สึกเลยว่ามันแปลกๆ จนฉันเริ่มจะเขินขึ้นมาเสียเอง ส่วนอีเซก็พูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยที่ฉันเดาไม่ได้ว่าเขารู้สิ่งที่ฉันคิดอยู่หรือไม่กันแน่ 


 


 


[ถามกันเองก็ได้มั้ง จะถามฉันทำไมเล่า] 


 


 


“…ก็แค่” 


 


 


[ถึงจะเล็กน้อยก็ควรจะต้องบอกให้รู้นะ คิมฮวีกยอม] 


 


 


ฉันหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะยืดตัวที่เอนพิงขอบหน้าต่างขึ้นมานั่งหลังตรง ท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใสที่อยู่เหนือหลังคานั้นสะดุดตาฉันอย่างจัง 


 


 


“คุณพ่อคุณแม่ของนายคงจะตกใจมากเลยสินะ” 


 


 


[ก็นะ ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดกับพี่มาก่อน แล้วจู่ๆ ก็มาเกิดเรื่องขึ้น ก็ต้องตกใจอยู่แล้วแหละ] 


 


 


“…” 


 


 


[เอ้อ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ] 


 


 


พอฉันเงียบไป อีเซก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า ไม่ต้องใส่ใจหรอกน่า แต่ว่าคำพูดของอีเซก็ไม่อาจปลอบใจฉันได้ เป็นเพราะหูที่เอาแต่คอยก่อเรื่องนี้ สุดท้ายแม้แต่รุ่นพี่ก็พลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ความจริงข้อนั้นกดดันหัวใจของฉันอย่างหนักหน่วง 


 


 


[…ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรกับพี่งั้นเหรอ] 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก” 


 


 


[งั้นก็โล่งอกไปที หมู่นี้พี่ทำตัวแปลกๆ…] 


 


 


อีเซที่พูดพึมพำออกมาเบาๆ แล้วอยู่ๆ ก็เงียบไป ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการพูดว่า ไม่มีอะไรหรอก แต่ว่าในขณะที่ฉันตอบอือๆ เป็นครั้งคราวเมื่อได้ยินเสียงของอีเซที่พูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างแผ่วเบา หัวใจของฉันก็กำลังลอยไปยังที่อื่น 


 


 


งานแสดงจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกสองสัปดาห์ ฉันที่นั่งฟังอีเซพูดไปเรื่อยๆ ก็ลิ้นชักโต๊ะออก แล้วหยิบขวดยาที่ซ่อนอยู่ในนั้นออกมา หลังจากหยิบยาหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปาก ฉันก็กลืนมันเข้าไป รสขมๆ กระจายไปทั่วปลายลิ้น 


 


 


แม้ว่าภายในใจของฉันจะยังคงภาวนาให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ความสิ้นหวังนั้นเป็นเหมือนกับกิจวัตรประจำวันของฉันไปเสียแล้ว เพื่อที่ฉันจะสามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อมันกลายมาเป็นความจริง ทั้งเรื่องที่จะไม่สามารถได้ยินอีกต่อไปและไม่สามารถเต้นได้อีกด้วย 


 


 


เสียงของอีเซที่พูดเจื้อยแจ้วเหมือนกับเพลงกล่อมเด็กจู่ๆ ก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไป ฉันหยิบยาจากขวดยาออกมากินอีกเม็ด ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่จริงๆ แล้วสินะ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เหตุการณ์ทั้งเล็กและใหญ่ได้ผ่านพ้นไป และฉันก็ได้กลับมาดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสงบสุขอีกครั้ง ระหว่างที่ไปๆ มาๆ โรงเรียนและอคาเดมี่ ชีวิตประจำวันแสนธรรมดาที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของฉันนั้นก็อยู่แต่ในห้องซ้อม 


 


 


วงจรชีวิตอันเรียบง่ายนี้ที่ฉันคิดว่ามันซ้ำซากจำเจเสียจนน่าเบื่อ พอมาคิดว่าในอีกไม่ช้ามันก็จะหายไปจากชีวิตของฉันแล้ว มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจปนใจหายขึ้นมาในทันที 


 


 


เพียงแค่พริบตาเดียวงานแสดงก็จะมาถึงในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า พวกเราจึงยิ่งซ้อมหนักขึ้นไปอีก ยิ่งพวกเราอยากจะทำให้มันทันเวลามากเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งไหลไปเร็วเท่านั้น ฉันรู้ดีถึงความจริงข้อนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกเจ็บปวดใจออกไปได้ บางทีแม้ว่าอายุมากขึ้นจนกลายเป็นคุณยายไปแล้ว ฉันก็คงจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาทุกเสี้ยววินาทีในหนึ่งวันได้เท่ากับช่วงเวลาในตอนนี้หรอก 


 


 


ดนตรีที่ดังต่อเนื่องเรื่อยๆ หยุดลง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังเช็ดเหงื่อนั่นกำลังเป็นสีแดงระเรื่อ ฉันผูกเชือกรองเท้าให้แน่นยิ่งขึ้น ขณะที่ชำเลืองมองดูใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ ต้นคอของรุ่นพี่ที่กำลังดื่มน้ำจากขวดน้ำใสๆ เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เปล่งประกายระยิบระยับ 


 


 


ลูกกระเดือกมนๆ ที่ขึ้นๆ ลงๆ ริมฝีปากที่มีน้ำไหลผ่าน สันจมูกสวยไล่ไปจนถึงขนตาที่เรียงตัวสวย ฉันมองไล่ไปตามลำดับ ก่อนที่จู่ๆ รุ่นพี่จะหันขวับมามองฉันแทน 


 


 


ฉันรีบหลบสายตาของรุ่นพี่เหมือนกับขโมยที่โดนคนจับได้ รุ่นพี่หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นท่าทีแบบนั้นของฉัน ก่อนที่เขาจะล้อฉันเล่น พร้อมกับดึงแก้มของฉันไปด้วย 


 


 


“ทำไมครับ ไหนๆ มองแล้วก็มองให้จบสิครับ” 


 


 


“มองเสร็จแล้วค่ะ แหม” 


 


 


“จริงเหรอ แค่นี้ก็พอใจแล้วสินะ” 


 


 


ด้วยความรู้สึกอาย ฉันจึงตอบกลับไปอย่างห้วนๆ รุ่นพี่หัวเราะคิกคัก พลางเอามือทั้งสองข้างจับให้ใบหน้าของฉันหันไปทางรุ่นพี่ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำสีหน้ายังไงดี จึงได้แต่พยายามซ่อนดวงตาที่เลิ่กลั่กไว้ แต่รุ่นพี่กลับไม่สนใจ แถมยังยิ่งเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ หลังจากนั้นจึงจ้องเขม็งมาที่ดวงตาที่ไม่อาจจับโฟกัสของฉัน 


 


 


“แต่พี่น่ะ มองยังไงก็ไม่พอสักทีเนี่ยสิ” 


 


 


“…” 


 


 


“ไม่ยุติธรรมเลยแฮะ” 


 


 


รุ่นพี่ที่พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็ประกบริมฝีปากลงมาที่ปากของฉันดังจุ๊บ ก่อนจะค่อยๆ เอาหัวมาพิงที่ไหล่ของฉัน ตรงที่หน้าผากอุ่นนิดๆ ของรุ่นพี่สัมผัสถูก มันรู้สึกคันๆ ขึ้นมา ฉันจึงเผลอลูบเส้นผมที่เปียกเล็กน้อยของรุ่นพี่อย่างไม่รู้ตัว 


 


 


สตูดิโอที่เงียบสงบและมีแค่พวกเราสองคน แสงไฟสลัวและเงาของฉันกับรุ่นพี่ซึ่งกำลังนั่งอยู่เคียงข้างกันกำลังสะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่ วินาทีที่ฉันคิดว่าถ้าเวลาหยุดลงทั้งๆ แบบนี้ก็คงจะดีสินะ อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็เอื้อมมือมาจับมือฉันเอาไว้ 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


นิ้วมือของรุ่นพี่ที่ประสานเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติช่างอบอุ่นจริงๆ ฉันพยักหน้าเงียบ พลางมองหน้าของรุ่นพี่ที่สะท้อนอยู่ในกระจก รุ่นพี่หายใจเข้าออกด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อเหมือนเดิม เขาจับมือฉันแน่นขึ้น พลางหันหน้ามา แล้วเงยหน้ามองฉัน 


 


 


“พอจบงานแสดงแล้ว เธอสนใจจะสมัครแข่งเต้นด้วยกันกับพี่ไหม” 


 


 


“คะ?” 


 


 


“การแข่งที่เบอร์ลินน่ะ ถึงจะคนละรายการเลยต้องเตรียมตัวแยกกัน แต่มันก็คงจะดีนะ ถ้าเราได้ไปด้วยกัน” 


 


 


ข้อเสนอที่มาอย่างกะทันหันของรุ่นพี่ทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก จนพูดอะไรไม่ออก ฉันนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะต้องปั้นเรื่องอะไรขึ้นมาดี ส่วนรุ่นพี่ก็กำลังจ้องมองมาที่ฉันที่เอาแต่ลังเลและหลบสายตาของเขา 


 


 


“…ไม่ละค่ะ ฉันคงจะไม่สมัครหรอกค่ะ” 


 


 


คำพูดที่กว่าจะออกมาได้นั้นสั่นจนควบคุมไม่อยู่ รุ่นพี่ค่อยๆ ยืดตัวที่พิงฉันอยู่ขึ้นมาช้าๆ เขาจ้องเขม็งมาที่ฉันเหมือนจะถามว่า ทำไมล่ะ 


 


 


“เพราะฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อมน่ะค่ะ ขนาดที่โลซานน์ฉันก็ยังทำได้ไม่เต็มที่เลย ดูท่ายังไงฉันก็คงจะ…” 


 


 


“การที่ได้ไปมาแล้วนั่นแหละคือผลลัพธ์ที่ดี เธอเองก็รู้ดีนี่นา อีกอย่างนะ…” 


 


 


“ไม่ค่ะ ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” 


 


 


ฉันหลับตาทั้งสองข้างไว้แน่น แล้วพูดตัดบทรุ่นพี่อย่างเด็ดขาด ดวงตาของรุ่นพี่จึงหรี่ลงพร้อมกับปากที่ปิดสนิท ความเงียบจึงเข้าปกคลุมชั่วครู่และบรรยากาศแปลกๆ ที่กลับมาอีกครั้งกำลังวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเรา ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่รุ่นพี่ 


 


 


แต่สีหน้าของรุ่นพี่ดูแปลกไป ชั่ววินาทีนั้นฉันรู้สึกได้เลยว่าหัวใจของฉันมันหล่นลงมาดังตุ้บ รุ่นพี่จ้องมาที่ฉันพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ดวงตาของเขากำลังสั่นไหว ดูท่าจะไม่สบายใจเอามากๆ 


 


 


“…ว่าแล้วว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสินะ” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่สั่นเล็กๆ กลายเป็นเสียงวิ้งๆ ดังก้องไปทั่ว ฉันพยายามหายใจอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้รุ่นพี่จับได้ว่าเสียงหัวใจของฉันกำลังเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกับแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย 


 


 


“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ ฉันก็แค่ไม่ค่อยมีสมาธิน่ะค่ะ…” 


 


 


“มันแปลกๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เธอเอาแต่คอยหลบหน้าพี่ เหมือนกับมีอะไรซ่อนเอาไว้ ไหนจะเฉไฉบอกว่า ไว้จะบอกทีหลังอีก” 


 


 


ฉันกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ไปต่ออีกไม่ไหวแล้ว ถ้ารุ่นพี่ยังคอยซักไซ้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันคงจะไม่อาจซ่อนมันเอาไว้ได้อีก ฉันปิดปากเงียบ ดวงตาของรุ่นพี่ที่จ้องมองมาที่ฉันดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะความกังวลใจของฉันเองหรือเปล่านะ 


 


 


พอฉันหลุบตาลงและไม่ยอมตอบโต้อะไรกลับไปได้ ลมหายใจบางๆ ของรุ่นพี่ก็มาสัมผัสลงบนหัว 


 


 


“รุ่นพี่ ขอร้องละค่ะ” 


 


 


ฉันรวบรวมพลังทั้งหมดออกมาเพื่อเค้นเสียงพูด แต่เพราะมัวแต่อดกลั้นความรู้สึกที่จะโพล่งออกมา ลำคอถึงได้แสบไปหมด 


 


 


“ไว้วันหลัง วันหลังฉันจะบอกนะคะ นะ?” 


 


 


ในตอนนั้นเอง มือของรุ่นพี่ที่ประสานนิ้วกับฉันอยู่ก็ดึงมือฉันไปอย่างแรง นั่นเลยทำให้ฉันที่ตกลงสู่อ้อมกอดของรุ่นพี่ ตกใจจนเบิกโพลงมองไปยังรุ่นพี่ ใบหน้ากลมๆ ของฉันสะท้อนอยู่ในดวงตาของรุ่นพี่ที่หลุดโฟกัสเหมือนกับว่ากำลังมองไกลออกไป ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ 


 


 


บรรยากาศภายในสตูดิโอที่มีเพียงความเงียบงันราวกับเวลาได้หยุดหมุนทำให้เกิดเสียงก้องทุ้มต่ำ และวินาทีที่รุ่นพี่คลายนิ้วมือออกจากมือของฉันอย่างช้าๆ แล้วเอื้อมมาสัมผัสหูของฉันด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จิตใจของฉันก็สั่นไหวจนหยุดไม่อยู่ วินาทีนั้นสีหน้าของรุนพี่ก็แข็งทื่อไปในทันที 


 


 


“เธอ…” 


 


 


เสียงของรุ่นพี่กดไหล่ของฉันให้หนักอึ้ง ความรู้สึกกดดันอันมหาศาลนั่นทำให้ฉันหายใจไม่ทั่วท้อง ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของรุ่นพี่ดูเหยเกอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่รุ่นพี่ที่หยุดพูดไปชั่วครู่ขณะมองมาที่ฉันก็ยังทำสีหน้าเจ็บปวดไม่แพ้กัน 


 


 


ริมฝีปากที่สั่นไหวของรุ่นพี่ขยับเขยื้อนอย่างช้าๆ ได้โปรดหยุดทีเถอะ ฉันหลับตาทั้งสองข้างแน่น ถึงจะไม่อยากเชื่อจริงๆ ก็เถอะ แต่ดูเหมือนฉันจะเข้าใจหน่อยๆ แล้วว่าตอนนี้รุ่นพี่ต้องการจะพูดอะไร แล้วก็รู้ด้วยว่าคำนั้นมันจะทำให้ฉันทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากอีกด้วย 


 


 


“ตอนนี้เธอได้ยินที่พี่พูดไหม” 


 


 


และลางร้ายที่มักจะรู้สึกเสมอก็ถูกต้องแม่นยำอย่างน่าประหลาดจนเกินจะบรรยาย คำนั้นของรุ่นพี่ที่ทำให้หัวใจของฉันหล่นลงไปเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ฉันได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ 


 


 


ฉันรีบเอาหลังมือปาดน้ำตาออก ก่อนที่รุ่นพี่จะมาจับไหล่ของฉันเอาไว้แน่น ฉันส่ายหัวอย่างแรง และพยายามจะปฎิเสธคำพูดของรุ่นพี่ แต่ริมฝีปากกลับไม่แยกออกจากกันเลยสักนิด 


 


 


“…ได้ยินพี่ไหม” 


 


 


บอกไปสิว่าได้ยิน เร็วเข้า ถึงแม้จะรู้ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปใหม่ได้แล้ว แต่ฉันก็ปลอบใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ทำใจให้สงบลง ถ้าฉันยอมรับตอนนี้ การแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเราก็จะพังทลายลง 


 


 


“จะไม่ได้ยินได้ยังไงกันละคะ” 


 


 


คำพูดที่ออกมาจากปากของฉันทำให้รุ่นพี่ปล่อยมือออกจากไหล่ของฉันอย่างช้าๆ ใช่แล้ว แค่ทนๆ ไปอย่างนี้ก็พอ แล้วมันก็จะไม่เป็นไร แต่ว่าในตอนที่ฉันจงใจเงยหน้าหันไปมองรุ่นพี่ ฉันก็ได้แต่ตัวแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้น 


 


 


ฉันไม่ได้ยินเสียงที่ควรจะได้ยินจากริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ขยับไปมา ทำไมเจ้าหูที่แล้งน้ำใจของฉันถึงต้องมาหยุดทำงานลงในเวลาแบบนี้ด้วยนะ 


 


 


ฉันเห็นว่าอยู่ดีๆ รุ่นพี่ที่กำลังพูดอะไรสักอย่างอยู่ ก็ปิดปากแน่นสนิทไปซะดื้อๆ ฉันรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด พลางกัดฟันแน่นพร้อมกับส่ายหน้า 


 


 


“…พอซะทีเถอะ” 


 


 


อ้า เสียงของรุ่นพี่กลับมาอีกครั้งราวกับเล่นตลก รุ่นพี่กำมือไว้แน่นจนปลายนิ้วกลายเป็นสีขาว นาทีนั้นที่ฉันได้เห็นกำปั้นที่สั่นเทา ฉันก็ได้รู้ว่าคำโกหกของฉันใช้ไม่ได้ผลกับรุ่นพี่อีกต่อไป 


 


 


“มันแปลกๆ น่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ทั้งเรียกแล้วไม่ได้ยิน ทั้งผิดจังหวะ ทั้งอยู่ดีๆ ก็ยืนนิ่งไป มันแปลกทั้งหมดนั่นแหละ” 


 


 


ฉันค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้างลง บางทีมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ที่จะหลอกรุ่นพี่น่ะ ก็ฉันไม่เคยทำอะไรได้ดีสักอย่างนี่นา 


 


 


“ตอนแรกพี่ก็คิดว่าเธอคงแค่คิดเรื่องอื่นอยู่ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ พี่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วละ” 


 


 


“…” 


 


 


“แล้วคราวก่อนที่โรงพยาบาลพี่ก็บังเอิญไปเจอขวดยาในกระเป๋าเธอ ตอนนั้นพี่ถึงได้ปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่เหมือนจมลงสู่ความหดหู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับภายในใจของฉัน 


 


 


“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่” 


 


 


“…” 


 


 


“ทำไมถึงต้องปิดบัง…” 


 


 


“…” 


 


 


“พูดอะไรสักอย่างสิ!” 


 


 


เสียงตะโกนอันเจ็บปวดของรุ่นพี่ดังลั่นไปทั่วสตูดิโอที่เงียบสงบ ฉันกำลังหายใจอย่างเหนื่อยหอบพร้อมกับหัวที่รู้สึกมึนไปหมด ฉันลุกพรวดขึ้นในขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหู ไหล่ที่ดูไร้เรี่ยวแรงของรุ่นพี่กำลังสั่นเบาๆ กำปั้นของรุ่นพี่ที่กำเอาไว้แน่นราวกับจะระเบิดออกมานั้นขาวจนซีดเผือด 


 


 


ฉันยื่นมือไปหารุ่นพี่ด้วยความเศร้าใจ ก่อนจะหยุดมันเอาไว้ที่กลางอากาศ มือที่ไม่กล้าจะสัมผัสและได้แต่ยึกยักอยู่สักพักนั้น สุดท้ายก็หล่นตุ๊บลงไปที่ข้างล่าง รุ่นพี่กำลังร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆ 


 


 


“ช่วยบอกทีสิว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่สิ ช่วยทำให้พี่พูดออกมาได้ทีเถอะว่า มันไม่มีอะไรหรอก” 


 


 


“…” 


 


 


“ช่วยบอกทีว่ามันยังไม่สายไป บอกว่ามันยังมีอะไรที่พี่พอจะทำให้เธอได้อยู่ ขอร้องละ” 


 


 


ฉันเคยจินตนาการอยู่หลายรอบ หากรุ่นพี่ได้รู้ความจริง รุ่นพี่จะพูดอะไรกับฉัน จะทำสีหน้าแบบไหน และฉันจะต้องมองรุ่นพี่ด้วยใบหน้าแบบไหน ฉันฝึกที่จะแกล้งยิ้มให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เอง 


 


 


แต่ว่าแล้วว่าหัวใจน่ะ มันไม่เป็นไปตามที่เราฝึก หรือตัดสินใจหรอก ต่อให้พยายามอดทนยังไงสุดท้ายน้ำตาก็ยังไหลอยู่ดี  


 


 


ยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานที่จะไม่สามารถได้ยินเสียง หรือความผิดหวังที่ไม่สามารถเต้นได้อีกต่อไป ความเจ็บปวดที่อาจจะต้องเสียรุ่นพี่ไปนั้น มักจะผลักฉันให้ไปยืนอยู่ที่ริมหน้าผา 


 


 


“…ขอโทษนะคะ” 


 


 


หลังจากสิ้นสุดเสียงพึมพำที่เหมือนฉันพูดอยู่คนเดียว ฉันก็ลุกพรวดขึ้นมาจากที่แล้ววิ่งออกไป แม้ว่าจะได้ยินเสียงตะโกนของรุ่นพี่ที่เรียกชื่อของฉัน แต่ฉันก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง  


 


 


เมื่อถึงห้องเปลี่ยนเสื้อ ฉันรีบเปิดล็อกเกอร์แล้วหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ก่อนจะเก็บกระเป๋า แต่มือที่พยายามจะปิดกระเป๋าก็เอาแต่ลื่นไม่หยุด จนสุดท้ายฉันก็นั่งลงตรงนั้น 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 28-2

 

ฉันกลับมาถึงบ้านได้ยังไงกันนะ หลังจากที่มุดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม ฉันก็หลับๆ ตื่นๆ จนกระทั่งแสงแดดลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างจนภายในห้องสว่างแสบตา ฉันจึงค่อยพยุงร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้นมา 


 


 


“ฮวีกยอม! จะสายแล้วนะ!” 


 


 


เสียงของคุณป้าดังออกมาจากข้างหลังประตู ฉันขยับร่างกายที่หมดเรี่ยวแรง ก่อนที่จะยืนขึ้น แต่แล้วโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงโต๊ะหนังสือก็เข้ามาในสายตา แสงไฟที่อยู่ตรงส่วนบนของโทรศัพท์ซึ่งติดสติกเกอร์วิบวับเอาไว้อยู่ กำลังกะพริบอยู่เงียบๆ เพื่อแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า บางทีคงจะเป็นข้อความของรุ่นพี่สินะ 


 


 


ฉันลังเลก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่มีความกล้าที่จะเปิดอ่านข้อความ หลังจากที่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจปิดเครื่องไปเสียเลย 


 


 


แม้ฉันจะรู้ดีว่ายิ่งวิ่งหนีสักเท่าไหร่ ยิ่งปิดปากเงียบเท่าไหร่ รุ่นพี่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหวังว่ารุ่นพี่จะไม่ห่างข้างกายฉันไปไหน ฉันนี่มันช่างขัดแย้งในตัวเองซะเหลือเกิน 


 


 


“ฮวีกยอม!” 


 


 


“ตื่นแล้วค่ะ!” 


 


 


ฉันตอบรับเสียงเรียกของคุณป้า พลางรีบร้อนเปิดประตูออกไป หลังจากเตรียมตัวและกินข้าวเช้าเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็ออกไปโรงเรียน ระหว่างนั้นฉันก็ยังคงปิดโทรศัพท์เช่นเคย 


 


 


แต่การฝึกซ้อมในตอนนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนไม่รู้จะทำยังไงดี งานแสดงใกล้จะมาถึงแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถขาดซ้อมได้โดยไร้สาเหตุ และฉันก็ยังไม่มีความกล้าที่จะบอกเรื่องทั้งหมดให้รุ่นพี่ได้รับรู้ตรงๆ ด้วย 


 


 


พอลองฆ่าเวลาด้วยการนอนหมอบเฉยๆ อยู่บนโต๊ะ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเสียงระฆังเลิกเรียนก็ดังซะแล้ว ฉันบอกให้พวกเพื่อนๆ กลับไปก่อน จากนั้นก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย แต่ระหว่างที่เดินออกมาที่ประตูโรงเรียน ฉันก็กังวลมาตลอด 


 


 


ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ป้ายรถเมล์ นี่ฉันปล่อยให้รถเมล์ที่ไปอคาเดมี่ผ่านไปสองคันแล้วสินะ ฉันตัดสินใจอย่างยากลำบากก่อนจะลุกจากเก้าอี้ 


 


 


วันนี้รถวิ่งอยู่บนถนนนานเป็นพิเศษเพราะรถค่อนข้างติด แต่ที่อคาเดมี่กลับเงียบผิดปกติ แม้แต่ห้องเปลี่ยนเสื้อที่มักจะแออัดก็ไร้วี่แววผู้คน พอลองคิดดูแล้ว วันนี้เป็นวันที่ไม่มีคลาสทั่วไปสินะ 


 


 


นั่นเลยทำให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างสบายใจ ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินขณะที่แกว่งกระเป๋าใส่รองเท้าเดินไปด้วยอย่างเคยชิน แล้วฉันก็ได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง 


 


 


มันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์สมัยก่อนที่ฉันเคยดูผ่านๆ จากในทีวีเมื่อนานมาแล้ว จู่ๆ เท้าของฉันก็หยุดชะงักลง ฉันเอียงหูพลางชำเลืองมองไปทางช่องเล็กๆ ของประตูสตูดิโอที่มีเสียงดังออกมา 


 


 


“อ้า…” 


 


 


แต่วินาทีที่ฉันได้รู้ว่าเงาดำที่คุ้นตาซึ่งกำลังเต้นตามจังหวะปรบมือที่รวดเร็วนั้น คือรุ่นพี่อีกง ฉันก็รีบเบี่ยงตัวไปชิดผนังข้างๆ ประตู ขณะที่พยายามกลั้นลมหายใจที่เหมือนจะระเบิดออกมาเอาไว้ เกือบจะสบตากับรุ่นพี่เข้าซะแล้ว 


 


 


ฉันที่ไม่สามารถขยับไปไหนหรือทำอะไรได้ ได้แต่ยืนเกร็งพลางแอบมองภาพของรุ่นพี่ผ่านช่องประตูอย่างระมัดระวัง แต่เสียงที่ดังขึ้นทุกครั้งเมื่อเท้าของเขากระทบกับพื้นก็ทำให้ฉันใจเต้นโครมคราม การหมุนตัวอันนุ่มนวล ท่าเต้นที่แสดงความแข็งแกร่งออกมาเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไหร่ การเต้นของรุ่นพี่ก็ช่างงดงามราวกับภาพวาด 


 


 


ฉันไม่อาจละสายตาไปจากรุ่นพี่ได้เหมือนกับว่าโดนมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ทำให้เผลอก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกก้าว ฉันสัมผัสได้ถึงชีพจรที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ที่ฝ่ามือซึ่งทาบอยู่ตรงประตูโดยไม่รู้ตัว 


 


 


รุ่นพี่ที่เสยผมซึ่งเปียกเหงื่อจนชุ่มขึ้นไปขณะที่ซ้อมเต้น จู่ๆ ก็หยุดเต้นในตอนที่ดนตรีมาจนถึงจุดพีคสุด 


 


 


รุ่นพี่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางสตูดิโอพร้อมกับก้มหน้าลง ผมหน้าม้าที่ยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดบดบังใบหน้าของรุ่นพี่จนฉันเห็นได้ไม่ถนัด  


 


 


ท่าทางของรุ่นพี่ที่หยุดนิ่งอยู่กับที่อยู่นานทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายใจ จนถึงกับลังเลว่าจะยื่นมือออกไปเปิดประตูดีไหม แต่ในตอนที่ฉันพยายามจะบิดที่จับประตู รุ่นพี่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น 


 


 


อ๊ะ ฉันรีบเอาหลังมือมาอุดปาก พร้อมกับกลั้นเสียงตกใจเอาไว้ สิ่งที่ไหลลงมาอาบแก้มของรุ่นพี่ที่กลายเป็นสีแดงเพราะความร้อนนั้น ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำตา หัวใจของฉันหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันรู้สึกเจ็บจี๊ด ไม่สิ เจ็บเหมือนกับโดนอะไรทิ่มแทงอยู่ 


 


 


รุ่นพี่ใช้กำปั้นเช็ดน้ำตานั้นอย่างรุนแรง แล้วจึงหยิบขวดน้ำที่กำลังกลิ้งไปที่มุมหนึ่งของสตูดิโอมาดื่มอึกใหญ่ 


 


 


หลังจากนั้นเขาก็กำขวดเปล่าเอาไว้แน่น แผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ทิ่มแทงดวงตาของฉันราวกับหนามแหลม ฉันทนดูต่อไม่ไหวแล้ว จึงพยายามที่จะหันหน้าไปทางอื่น แต่จู่ๆ รุ่นพี่ก็ขย้ำขวดน้ำที่อยู่ในมือ แล้วเขวี้ยงใส่ผนังห้องอย่างแรง 


 


 


ปัง เสียงดังสนั่นไปจนถึงโถงทางเดิน ฉันจึงได้แต่เอามือทั้งสองข้างปิดหน้าพร้อมกับทรุดนั่งลงไปตรงนั้น 


 


 


น้ำตาไหลอาบแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ รู้สึกผิดซ้ำไปซ้ำมา เจ็บแล้วก็เจ็บอีก จนฉันไม่อาจจะควบคุมความรู้สึกที่ท่วมท้นได้อีกต่อไป เหมือนกับเขื่อนที่พังทลายลงไป 


 


 


“…ขอโทษนะคะ” 


 


 


ฉันพูดคำว่าขอโทษที่ตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะบอกให้รุ่นพี่ฟังออกมา ขณะที่สะอึกสะอื้นอยู่นั้นเอง เสียงดนตรีหยุดลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เสียงร้องไห้อันอ่อนล้าของรุ่นพี่ดังออกมาเบาๆ จากหลังประตูสตูดิโอที่เงียบสงบ 


 


 


อ้า รู้สึกเหมือนจะตายเพราะหัวใจหยุดเต้นไปทั้งๆ อย่างนี้เลยแฮะ ฉันเอาหลังมือกั้นเสียงร้องไห้ที่ดูไม่น่าฟังซึ่งดังออกมาจากลำคอเอาไว้ ก่อนจะใช้กำปั้นทุบเบาๆ ลงตรงลิ้นปี้ที่รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปหมด ใช่แล้ว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฉันทึกทักไปเอง นี่ฉันทำอะไรกับรุ่นพี่กันแน่เนี่ย 


 


 


ระยะทางสั้นๆ ที่อยู่ระหว่างประตูเหล็กอันเย็นยะเยือกนั่น รู้สึกห่างไกลออกไปอย่างไม่สิ้นสุด ฉันได้แต่นั่งซบหน้าลงบนหัวเข่า แล้วร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้นสักพัก จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของรุ่นพี่อีก ช่วงเวลานั้นช่างแสนยาวนาน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ใบหน้าของฉันที่สะท้อนในกระจกซึ่งติดอยู่กับอ่างล้างหน้าตรงปลายทางเดินบวมฉึ่งอย่างกับจันทร์เต็มดวง เมื่อหมุนก๊อกน้ำเสร็จ ฉันก็เอามือลงไปแช่ในน้ำเย็น ดวงตาที่อยู่บนใบหน้าพังๆ ที่สะท้อนอยู่บนกระจกไม่สามารถลืมขึ้นมาได้เลยสักนิด พอถอดยางมัดผมออกด้วยมือที่กำลังเปียกอยู่ เส้นผมที่เป็นรอยมัดก็สยายลงมาบนบ่า 


 


 


จ๋อม ฉันลองจุ่มมือลงไปในน้ำเย็นที่รองเอาไว้เต็มอ่างล้างหน้า แต่มันก็ไม่อาจล้างจิตใจที่มอดไหม้จนเป็นสีดำไปเรียบร้อยแล้วได้อย่างสะอาดหมดจด  


 


 


ฉันจ้องมองแรงกระเพื่อมที่กระจายเป็นวงอยู่เหนือผิวน้ำ ก่อนที่จะจุ่มหน้าลงไปในน้ำ ความเย็นที่ยะเยือกไปจนถึงปลายนิ้วทำให้ฉันได้สติในทันที 


 


 


ฟู่ว ฉันพ่นลมหายใจออกมา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา หลังจากนั้นฉันก็พาร่างกายที่หนักอึ้งพิงกับอ่างล้างหน้า แล้วจึงก้มหน้าหลับตาทั้งสองข้าง นี่ก็ใกล้จะได้เวลาซ้อมแล้ว ถ้าอยู่ในสภาพนี้ต่อไป แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอรุ่นพี่กันละ ความวิตกกังวลว่าจะไปดีไม่ไปดีหนักหน่วงขึ้นยิ่งกว่าเมื่อหลายสิบนาทีที่แล้วซะอีก 


 


 


เฮ้อ เหมือนจะรู้สึกมึนหัวอีกแล้วเลยแฮะ ฉันใช้มือทั้งสองข้างรองน้ำเย็นแล้วสาดลงบนหน้าเบาๆ แต่แล้วอยู่ดีๆ ฉันก็สัมผัสได้ถึงมือที่เอื้อมมาจับเส้นผมของฉันที่ตกลงมา ด้วยความตกใจ ฉันจึงรีบหันหน้าไปดู 


 


 


“ล้างหน้าแล้ว เลยกะว่าจะสระผมด้วยเลยรึไง” 


 


 


รุ่นพี่อีกงใช้มือทั้งสองข้างเสยผมของฉันขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบ และบนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มแฝงอยู่ ส่วนฉันก็ได้แต่ยื่นตัวแข็งเป็นหิน ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปทางไหนเลย 


 


 


รุ่นพี่ยิ้มเล็กๆ ให้กับท่าทางของฉัน พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่ที่บ่ามาเช็ดหยดน้ำที่ไหลลงมาจากแก้มของฉันอย่างเบามือ 


 


 


ดวงตาของรุ่นพี่ที่จ้องเขม็งมาที่ดวงตาของฉันซึ่งหมุนไปมาอย่างไม่มีจุดโฟกัส มันช่างล้ำลึกและอบอุ่น เมื่อสบเข้ากับแววตานั้นที่เหมือนแฝงไว้ด้วยถ้อยคำมากมาย จู่ๆ หัวใจที่แปรปรวนของฉันก็สงบลงอย่างนุ่มนวลเหมือนกับตอนที่ลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ 


 


 


“รุ่นพี่คะ” 


 


 


“หือ” 


 


 


“ขอโทษนะคะที่ฉันคิดถึงแต่ตัวเอง” 


 


 


“…” 


 


 


“ขอโทษนะคะที่ฉันปิดบังตลอดมา ที่ฉันไม่กล้าบอก” 


 


 


“…” 


 


 


“แล้วก็ขอโทษจริงๆ ค่ะที่ทำให้รุ่นพี่ต้องเจ็บปวด” 


 


 


ฉันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปจับชายเสื้อของรุ่นพี่ไว้แน่น แขนของรุ่นพี่ที่อยู่ใต้ชายเสื้อยืดบางๆ กำลังสั่นจนรู้สึกได้ ฉันหายใจเข้าสั้นๆ แล้วพูดต่อด้วยถ้อยคำที่ดูปกติที่สุด 


 


 


“อีกไม่นานฉันก็จะไม่ได้ยินเสียงแล้วนะคะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ถ้าหากไม่กินยาละก็ ฉันอาจจะรู้สึกมึนหัว แล้วก็เป็นลมล้มลงไปเมื่อไหร่ก็ได้” 


 


 


“…ฮวีกยอม” 


 


 


“ดังนั้นบัลเลต์น่ะ ฉันคงเต้นต่อไปไม่ได้แล้วละค่ะ” 


 


 


พอเอาเข้าจริงแล้ว การที่ทุกอย่างได้พรั่งพรูออกมาจากปากนั้น ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเท่ากับที่เคยคิดเอาไว้ ไม่สิ ตรงกันข้าม มันกลับรู้สึกโล่งใจมากกว่า ฉันปล่อยมือออกจากชายเสื้อของรุ่นพี่ แล้วเดินเข้าไปใกล้รุ่นพี่อีกก้าว มือของรุ่นพี่ที่ยังคงมีท่าทีลังเลกลับหยุดอยู่กลางอากาศ 


 


 


“…เต้นไม่ได้เลยจริงๆ งั้นเหรอ” 


 


 


ริมฝีปากที่ปิดเงียบอยู่นานเริ่มขยับไปมาในที่สุด ใบหน้าของรุ่นพี่ดูเจ็บปวดมากเหลือเกิน ฉันยิ้มโดยไม่พูดอะไร พลางเอามือทาบลงบนหน้าอกของรุ่นพี่นิ่ง ตึกตัก ตึกตัก จังหวะของหัวใจเต้นเร็วยิ่งขึ้น 


 


 


“ค่ะ ไม่ได้แล้วละค่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“งานแสดงในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย…” 


 


 


อ้า น้ำตามันล้นเอ่อขึ้นมาในพริบตา ทั้งที่ฉันพยายามยิ้มอย่างสุดกำลังที่มี ทั้งที่ฉันคิดว่ามันไม่ได้เจ็บปวดเท่าที่คิด แล้วทำไมถึงได้ตรงข้ามกับหัวใจของฉัน ทำไมน้ำตามันถึงได้ไหลออกมาตามอำเภอใจอย่างนี้นะ เป็นเพราะสายตาที่พร่ามัว เลยทำให้ใบหน้าของรุ่นพี่เหมือนจะลอยห่างออกไป 


 


 


ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อฉีกยิ้ม แต่ว่าน้ำตาที่เปียกชุ่มอยู่ที่แก้มของฉันก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยสักนิด 


 


 


“อย่ายอมแพ้สิ นะ มันจะต้องมีสักวิธีแน่ๆ เพราะงั้น…” 


 


 


“ฉันไม่มีความมั่นใจหรอกค่ะ” 


 


 


ฉันพูดขัดรุ่นพี่ขึ้นมาในทันที ใบหน้าที่เหยเกของฉันค่อยๆ พิงลงตรงหน้าอกของรุ่นพี่ 


 


 


“ฉันคิดมาเป็นสิบๆ ครั้ง ไม่สิ เป็นร้อยครั้งแล้วด้วยซ้ำ ว่าไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันก็เชื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่ว่าเสียงมันก็คอยแต่จะหายไป ต่อให้พยายามรั้งเอาไว้ยังไง ก็ทำไม่ได้” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันไม่อยากจะหวังอย่างล้มๆ แล้งๆ ไม่อยากจะยืนอยู่บนเวทีด้วยความกังวลว่าร่างกายนี้จะพังลงไปยังไงและเมื่อไหร่ ฉันไม่ต้องการจะดิ้นทุรนทุรายแบบนั้นอีกแล้วค่ะ” 


 


 


ฉันอ้าแขนทั้งสองข้างแล้วกอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้แน่น ต่อจากนั้นลมหายใจอุ่นๆ ของรุ่นพี่ก็รดลงมาบนหัวของฉันเบาๆ 


 


 


“รุ่นพี่เองก็ถ้ารับไม่ไหวจะไปก็ได้นะคะ ฉันชินกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ว่า…” 


 


 


“…” 


 


 


“แต่ว่านะคะรุ่นพี่ ในตอนสุดท้าย ฉันอยากให้มันจบแบบสวยที่สุดค่ะ เพราะการแสดงนี้ก็จะเป็นเวทีคลาสสิกครั้งสุดท้ายของรุ่นพี่เหมือนกันนี่คะ เพราะงั้น…” 


 


 


ระหว่างที่คำพูดที่ไม่ตรงกับใจหลุดออกมาจากปาก ฉันรู้สึกได้ว่าริมฝีปากกำลังสั่นระริก หางเสียงของฉันที่เหมือนกับเสียงถอนหายใจนั้นตามมาด้วยเสียงลมหายใจยาวๆ ของรุ่นพี่ 


 


 


มืออันทรงพลังของรุ่นพี่ที่มาจับท้ายทอยของฉันเอาไว้แน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้มันร้อนพอๆ กับลมหายใจของเขาเลยละ รุ่นพี่ค่อยๆ โน้มตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน ดวงตาที่คมลึกของรุ่นพี่เหมือนกับจะบอกว่าไม่ต้องพยายามอีกต่อไปแล้วก็ได้ 


 


 


รุ่นพี่ขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปากของฉันที่สูญเสียความแน่วแน่และไม่อาจเอ่ยคำใดๆ ออกไปได้ต่อ สัมผัสอันนุ่มนวลจากมือของรุ่นพี่เคลื่อนผ่านแก้มที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของฉัน ฉันค่อยๆ หลับตาลงทั้งสองข้างพร้อมกับกำชายเสื้อของรุ่นพี่เอาไว้ 


 


 


ริมฝีปากของรุ่นพี่ประกบลงมาอย่างเชื่องช้า และความสั่นเครือนั้นช่างดูเศร้าเหลือเกิน ตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันจะได้สัมผัสกับมันอย่างช้าๆ แต่ทำไมกันนะ หัวใจถึงได้เต้นรัวและลมหายใจถึงได้เหนื่อยหอบแบบนี้ ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะกัน พื้นดินที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสมันเหมือนกับกำลังหมุนอยู่ 


 


 


ค่อยๆ แต่มั่นคง มือของรุ่นพี่ที่ลูบแก้มเปียกๆ ของฉันค่อยๆ ผละออกไปอย่างเชื่องช้า จนเมื่อเขาจับไหล่ฉันไว้แน่น ฉันก็ทนไม่ได้ที่จะต้องพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่ 


 


 


“รู้ไหม” 


 


 


คำพูดลอยๆ ของรุ่นพี่ที่ดังออกมาเบาๆ นั่น เขาไม่ได้พูดอยู่คนเดียว 


 


 


“คำว่าสุดท้ายน่ะไม่ใช่จุดสิ้นสุดเสมอไปหรอกนะ” 


 


 


ฉันกลั้นเสียงสะอื้น พลางเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ รุ่นพี่ที่กอดปลอบฉันไว้อย่างเอ็นดูจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 


 


 


“แม้ว่าเราจะเปลี่ยนตอนแรกไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตอนจบได้นะ ก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้งก็หมดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ขอเพียงแค่เราตั้งใจ ตอนจบก็สามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งอื่นได้อีกครั้งยังไงละ” 


 


 


“…” 


 


 


“เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


ฉันจ้องใบหน้าที่ดูสงบของรุ่นพี่ด้วยแววตาตกใจ ไม่เป็นไร ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าคำพูดของรุ่นพี่เป็นดังเวทมนตร์ รุ่นพี่มักจะเป็นแบบนั้นเสมอ เขามักจะทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจได้ทุกเมื่อ เหมือนกับโดนสะกดจิต หรือโดนร่ายเวทมนตร์ใส่ 


 


 


ตอนจบคือจุดเริ่มต้นของสิ่งอื่นอีกครั้ง บางทีนั่นอาจจะเป็นคำที่รุ่นพี่ซึ่งเปลี่ยนจากคลาสสิกมาเลือกโมเดิร์นแทน สามารถพูดออกมาจากปากได้ ก็เขาเป็นรุ่นพี่ที่ทำให้แม้แต่ฉัน ซึ่งนึกภาพรุ่นพี่ที่ไม่ใช่คลาสสิกไม่ออกเลยสักนิดยังต้องอ้าปากค้าง 


 


 


“ฮวีกยอม พี่น่ะ…เลือกที่จะจดจำช่วงเวลาที่งดงามเอาไว้ เพราะอย่างนั้นแม้ว่าจะรู้ตอนจบอยู่แล้ว พี่ก็คิดว่าพี่สามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ อารมณ์แบบว่าถึงเราจะรู้ว่าดอกไม้จะร่วงโรย แต่เราก็ยังมองดอกไม้นั้นได้อย่างมีความสุขน่ะ” 


 


 


รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางลูบหลังของฉัน ขณะที่ฉันยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด สัมผัสมือของรุ่นพี่ที่ยังคงอ่อนโยนและแข็งแกร่งไม่เปลี่ยนแปลง ช่วยปลอบโยนหัวใจของฉันที่สั่นไหวราวกับคลื่นทะเลให้สงบลง 


 


 


“ไม่ว่าเมื่อไหร่ พี่ก็จะคอยอยู่ข้างๆ เธอเสมอ และจะเชื่อมั่นในตัวเธอ ดังนั้นอย่าได้คิดว่าเวทีนี้เป็นตอนจบของความฝันของเธอเลยนะ” 


 


 


ทำไมฉันถึงไม่เคยเชื่อเลยนะ ทั้งที่ฉันมีรุ่นพี่ที่มักจะกอดฉันเอาไว้ แล้วก็คอยผลักดันฉันแบบนี้อยู่เสมอ ทำไมฉันถึงได้ลืมมันไปนะ ในเวลาที่ฉันเจ็บปวดเจียนตาย ฉันไม่อยากจะแยกจากอ้อมกอดนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมกลับเป็นตัวฉันซะเองทีเอาแต่หนีไปล่ะ 


 


 


น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดและความรู้สึกเสียดายในเรื่องที่ผ่านมาผสมผสานกันไหลลงมาอาบแก้มไม่หยุด รุ่นพี่จูบลงบนเปลือกตาที่เปียกชื้นของฉัน สิ่งที่คลายคำสาปที่ทำให้โอเด็ตต์กลายเป็นหงส์ขาวนั้น ก็คือความรักที่แท้จริงของซิกฟรีด บางทีรุ่นพี่อาจจะเป็นเจ้าชายจากในเรื่องเล่านั้นจริงๆ ก็ได้นะ 

 

 

 


ตอนที่ 29-1

 

คนเรานั้น ก่อนที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ไม่สามารถครอบครองได้ และรู้สึกเศร้าเสียดายกับสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป 


 


 


ฉันคิดว่านั่นน่ะอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ลองมองย้อนกลับมาดูตัวเองให้ดีๆ เพราะว่าที่โรงเรียนไม่ได้สอนวิธีในการเพลิดเพลินกับการขอบคุณในข้อดีของเรา ข้อเสียของเรา สิ่งที่เรามี และสิ่งที่เราทำสำเร็จ 


 


 


แม้ว่าฉันจะสูญเสียพ่อแม่ไป แต่ฉันก็ได้รับครอบครัวที่เรียกว่าคุณป้า และก็ยังมีคุณยายผู้มีค่าให้ฉันได้จดจำ แม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างปกติเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ แต่ฉันก็ยังมีทั้งเซจิน อีเซ และซูฮยอนที่เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่ล้ำค่า ถึงฉันจะสูญเสียรุ่นพี่ในฐานะเสาหลักของชีวิตไป แต่ฉันก็ได้รับความรักอันล้ำค่าที่ไม่มีวันหาได้จากที่ไหนอีกกลับมา 


 


 


และคราวนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาที่เสียงของฉันจะหายไปทั้งที่เคยคิดว่ามันจะอยู่กับฉันเสมอ แต่ฉันก็จะยังคงจดจำ เสียงของลมที่เคยได้ยิน เสียงร้องของเหล่านก เสียงของน้ำในลำธารที่ไหลมาหลังจากน้ำแข็งละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ 


 


 


รวมไปถึงท้องฟ้าอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้หัวใจซึ่งเคยหดเล็กลงเพราะความหนาวตลอดฤดูหนาวกลับมาโปร่งโล่งอีกครั้ง แล้วก็ยังมีกลิ่นดินโคลน กลิ่นดอกไม้ที่ลอยโชยอยู่เต็มอากาศ ไปจนถึงสัมผัสนุ่มๆ ของลมในฤดูใบไม้ผลิที่มาทำให้ปลายจมูกรู้สึกจั๊กจี้ สิ่งเหล่านั้นจะยังคงหลงเหลืออยู่ 


 


 


ไม่ได้ยิน ไม่ได้แปลว่าฤดูใบไม้ผลิจะไม่มาถึงสักหน่อย และการที่ไม่ได้เต้นก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะจบสิ้นเช่นกัน แม้ว่าทุกอย่างจะสลายหายไป แต่ฉันก็ยังสามารถมีความสุขได้ เพื่อนๆ ของฉันก็จะยังคงอยู่เคียงข้างฉัน และมอบความรักให้แก่ฉันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง กว่าที่ฉันจะได้ตระหนักรู้ถึงความเชื่อใจที่แท้จริงนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งจะข้ามภูเขาที่สูงชันมากเหลือเกินมา 


 


 


“แล้วฮวีกยอมล่ะ เตรียมตัวพร้อมรึยัง” 


 


 


ขณะที่ฉันกำลังยืนส่องไปทางที่นั่งที่มีผู้ชมอยู่เต็มไปหมดจากทางหลังเวที เสียงของอาจารย์ก็ดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันหน้ากลับไปดู อาจารย์จึงจัดเครื่องประดับศีรษะที่เสียบอยู่บนหัวของฉันให้เรียบร้อย พลางพูดชมว่า สวยจังเลย 


 


 


“ไม่ซ้อมอีกสักรอบก่อนขึ้นไปหน่อยเหรอ” 


 


 


“…ไม่เป็นไรค่ะ” 


 


 


ฉันแอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปมองทางห้องแต่งหน้าที่อยู่ห่างออกไปตรงสุดทางเดิน ภาพของรุ่นพี่ที่กำลังเช็คเครื่องสำอางบนหน้าปรากฎขึ้นมาลางๆ 


 


 


“เพราะว่ามันจะต้องออกมาดีแน่นอนค่ะ” 


 


 


“แหม มั่นใจมากเลยนะเนี่ย” 


 


 


ฉันยิ้มร่าให้กับอาจารย์ที่ตบไหล่ของฉันเบาๆ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังคนดูที่อยู่ข้างหลังผ้าม่านอีกครั้ง การเต้นของฉัน และการแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ที่จะแสดงให้กับทุกคนได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว 


 


 


ฉันหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทาบลงตรงหน้าอก ชุดปักเลื่อมส่องแสงเป็นประกายเพราะแสงมากมายตกกระทบลงมา หัวใจที่ไม่ยอมแพ้กำลังเต้นดังตึกตัก แต่ว่ามันเป็นจังหวะการเต้นที่แตกต่างไปจากความกังวลและความกระวนกระวายใจเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ 


 


 


“ตื่นเต้นจัง” 


 


 


ฉันยิ้มออกมานิดๆ พลางละสายตาจากที่นั่งคนดู แล้วหันหลังช้าๆ ทั้งเสียงกรอบแกรบของกระโปรงบัลเลต์ ความรู้สึกของรองเท้าบัลเลต์ที่กระแทกลงกับพื้นเสียงดัง และความกังวลที่ทำให้ชาไปจนถึงปลายนิ้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ 


 


 


“โอ๊ะ มาแล้วเหรอ” 


 


 


รุ่นพี่ที่กำลังจัดชุดให้เรียบร้อยอยู่หน้ากระจกหันมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ฉันหัวเราะพร้อมกับสัมผัสเส้นผมที่ดูยุ่งเหยิงของรุ่นพี่อย่างเบามือ รุ่นพี่ที่แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วดูเหมือนกับเจ้าชายทรงเสน่ห์ไม่มีผิด 


 


 


“เมื่อกี้เพิ่งจะไปดูตรงที่นั่งคนดูมาน่ะค่ะ คนอื่นๆ มากันหมดแล้ว แถมยังได้ที่นั่งชั้นรอยัลตรงกลางด้วย ออกไปปุ๊บเดี๋ยวก็คงเห็นเองแหละค่ะ” 


 


 


“เจ้าพวกนี้ทำให้ตื่นเต้นเลยเนี่ย” 


 


 


รุ่นพี่หัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนจะตบไหล่ฉันเบาๆ แล้วจึงเดินด้วยย่างก้าวที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังไปที่เวที เสียงปรบมือจากผู้ชมสำหรับเวทีที่เพิ่งจะจบไปเมื่อสักครู่นี้ดังสนั่นไปทั่ว ฉันเดินมายืนข้างรุ่นพี่แล้วแอบเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของเขา 


 


 


ในที่สุดช่วงเวลาที่ฉันเคยฝัน และโอบกอดเอาไว้ข้างในจิตใจนับตั้งแต่วันหนึ่งในฤดูร้อนเมื่อนานมาแล้วที่ได้เจอกับรุ่นพี่ และตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่ฉันได้เต้นบัลเลต์เพื่อวิ่งไล่ตามหลังของรุ่นพี่ก็ได้มาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว  


 


 


ในตอนนี้หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้แสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ มากซะยิ่งกว่าที่จะนึกไปถึงว่านี่คือการแสดงครั้งสุดท้ายของฉัน 


 


 


“งั้นไปกันเลยไหม” 


 


 


รุ่นพี่ยิ้มเล็กๆ พร้อมกับยื่นมือมาให้ฉัน มือของรุ่นพี่เปียกเหงื่อนิดๆ ฉันค่อยๆ วางมือลงบนฝ่ามือของรุ่นพี่เบาๆ และแล้วในที่สุด ‘การเต้นครั้งสุดท้าย’ ก็มาถึง 


 


 


“ลำดับถัดไป ผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายคารัม ลีอีกง และนักเรียนชั้นปีที่สองจากโรงเรียนมัธยมปลายคารัม คิมฮวีกยอม ในการแสดงปาเดอเดอจากเรื่อง Swan Lake ในองค์ที่สองครับ” 


 


 


ฉันได้ยินชื่อของรุ่นพี่และของฉันถูกเรียกออกมาตามลำดับอย่างชัดเจน สภาพร่างกายที่ดีที่สุด พร้อมกับอารมณ์ที่ดีที่สุด ฉันออกไปยังเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งหอประชุม หลังจากตั้งท่าเรียบร้อย ฉันก็รอให้ดนตรีเริ่มอีกครั้ง 


 


 


มือทั้งสองข้างของรุ่นพี่วางลงมาจนเกือบแตะมือของฉันที่ยื่นออกมาอย่างเชื่องช้า ในขณะเดียวกัน ดนตรีที่แม้จะสงบแต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาช้าๆ 


 


 


ฉันลุกขึ้นมาช้าๆ เหมือนกับว่ากำลังโดนมือของรุ่นพี่ดึงขึ้นมา หลังจากนั้นก็เหยียดขาออกไปตรงๆ พร้อมกับค่อยๆ โน้มตัว ขยับแขนอย่างสง่างามให้เหมือนกับกำลังกระพือปีก ขณะที่เทิร์น อาราเบสก์[1] แล้วก็เทิร์น  


 


 


แสงไฟสาดส่องจนชายกระโปรงส่องประกายเป็นสีขาว จากนั้นเสียงที่เฉียดผ่านไปก็ดังแทรกเสียงดนตรีทะลุผ่านเข้ามาในหูของฉัน มือของรุ่นพี่พยุงฉันเอาไว้อย่างมั่นคง 


 


 


ดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจังหวะที่สนุกสนานขึ้น เมื่อฉันกระโดดลอยตัวกลางอากาศไปทางรุ่นพี่ สัมผัสหวิวๆ ก็แล่นเข้ามาจนถึงปลายหัว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ทำนองของเครื่องดนตรีก็ค่อยๆ ห่างออกไป เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจของรุ่นพี่กับฉันที่ดังอยู่ในหู 


 


 


เพียงพริบตาเดียวเสียงลมหายใจบางๆ ของรุ่นพี่ก็ลอดออกมาจากริมฝีปากที่เข้ามาประชิดตรงหน้า จนทำให้หน้าผากของฉันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันกำลังเต้นอย่างไร้สติไปตามลมหายใจของรุ่นพี่ โดยลืมทั้งเสียงดนตรีและความกังวลไปจนหมดสิ้น 


 


 


แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนิ้วมือ หรือเปลือกตาที่กะพริบเบาๆ ฉันรู้สึกว่าทั้งหมดนั่นล้วนแต่เชื่อมต่อกับรุ่นพี่ ฉันจะอธิบายถึงความรู้สึกที่เสียวซ่านจนขนลุกนี้ยังไงดีนะ ภายใต้ความรู้สึกที่มีแต่รุ่นพี่กับฉันเท่านั้นที่สามารถรู้สึกได้ ดวงตาของรุ่นพี่ที่หันมาสบตากับฉันอีกครั้งเหมือนกำลังยิ้มอยู่ในที 


 


 


ความรักที่เป็นดังพรหมลิขิตของโอเด็ตต์และซิกฟรีด และการเต้นเพื่อยืนยันความรักนั้น ดนตรีที่ค่อยๆ ไกลห่างออกไปท่ามกลางความเงียบงัน เวทีสุดท้ายของพวกเราค่อยๆ วิ่งไปถึงตอนจบ ฉันได้แต่รู้สึกเสียดายเวลาในตอนนี้ที่ไหลไปอย่างสิ้นหวัง 


 


 


ฉันมองขึ้นไปยังแสงไฟที่สาดส่องลงมาด้วยดวงตาที่กะพริบอย่างเชื่องช้า และสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อที่ยืดตึงจนถึงขีดสุดกำลังสั่นอยู่ ในตอนที่ฉันหายใจอย่างเหนื่อยหอบ พร้อมกับหันหน้าไปทางผู้ชมอย่างช้าๆ ดนตรีก็ได้จบลงไปเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ฉันได้ยินเสียงของรุ่นพี่ดังออกมาท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่นราวกับสายฝน ขณะที่อดกลั้นความรู้สึกตื้นตันเอาไว้ ฉันก็มองไปยังรุ่นพี่ รุ่นพี่ประทับรอยจูบลงบนหลังมือของฉันที่จับเอาไว้เบาๆ ก่อนจะยิ้มเหมือนกับปากจะฉีกออกมา แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบา 


 


 


“เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ” 


 


 


ฉันหันไปทางที่นั่งคนดูอีกครั้งด้วยใบหน้ามึนงง ใบหน้าที่คุ้นเคยเริ่มค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด อ้า ในตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง ในที่สุด ในที่สุดมันก็จบลงแล้ว การแสดงปาเดอเดอกับรุ่นพี่ที่เป็นทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้าย บัลเลต์ที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน 


 


 


จู่ๆ สัมผัสของรองเท้าบัลเลต์ที่คุ้นเคยอย่างกับเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังกลับให้ความรู้สึกแปลกไป ใช่แล้ว ต่อไปนี้ฉันไม่จำเป็นจะต้องเต้นราวกับทรมานร่างกายด้วยความเจ็บปวดจนเหมือนกระดูกจะหักอีกต่อไปแล้ว ทำใจให้สบายดีกว่า 


 


 


ฉันจับมือของรุ่นพี่แล้วหันไปทักทายคนดูพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่น้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมาที่แก้มอย่างไม่รู้สาเหตุ 


 


 


เมื่อคนเราได้รู้จักคำว่ายอมแพ้ พวกเขาจะไม่ถูกบังคับให้สร้างพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา หรือพยายามที่จะอุดรอยรั่วเล็กๆ แต่จนกว่าที่จะได้เรียนรู้ว่าคำว่ายอมแพ้ไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ พวกเขาก็ต้องผ่านเวลาอันยาวนานมาอย่างเจ็บปวด  


 


 


เมื่อเสียไปก็คือเสียไป เมื่อเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน มันย่อมต้องมีคุณค่าหรือเหตุผลของตัวมันเอง นั่นคือสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์เท่านั้น  


 


 


แม้ว่ามันจะเป็นฝันที่ไม่อาจกางปีกบินออกไปได้ดังใจนึก และทำได้เพียงแค่ยอมแพ้ แต่ฉันก็ยังได้ทำการแสดงครั้งสุดท้ายร่วมกับรุ่นพี่อย่างดีเยี่ยม และไม่มีอะไรผิดพลาด ฉะนั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องมาเสียใจภายหลัง  


 


 


บางทีนักเต้นที่ชื่อว่า ‘คิมฮวีกยอม’ อาจจะถูกลืมไปในเวลาไม่นานนัก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกเสียดายหรอก เพราะการถูกลืมนั้นแปลว่าอย่างน้อยๆ เราเคยถูกใครบางคนจดจำเอาไว้แม้จะเพียงครู่นึงก็ตาม 


 


 


รุ่นพี่ที่ทิ้งเสียงปรบมือที่ดังต่อเนื่องและยาวนานเอาไว้ด้านหลังก่อนจะเดินไปทางหลังเวที จับมือฉันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พวกเราที่เดินเคียงข้างไปพร้อมๆ กัน ในตอนนี้ได้เดินไปบนคนละเส้นทางโดยสมบูรณ์แบบแล้ว 


 


 


แต่ในตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้ว ว่าต่อให้ไม่มีตัวกลางที่เรียกว่าการเต้นนั้น รุ่นพี่และฉันก็จะไม่มีวันปล่อยมือที่จับกันไปไหน ถึงแม้ว่าเวทีสุดท้ายของพวกเราจะจบลงไป แต่คราวนี้ความฝันของฉันก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ฉันล้างเครื่องสำอางแล้วกลับมาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ ก่อนจะเหลือบมองไปที่ชุดหงส์ขาวที่แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ราวแขวนเสื้อ ชุดหงส์สีขาวที่สว่างจนแสบตากำลังส่องประกายอย่างสง่างามเหมือนกับสายรุ้งแม้ว่าจะอยู่ภายใต้แสงไฟนีออน 


 


 


ฉันลูบๆ คลำๆ ชุดนั้นด้วยความรู้สึกโล่งใจปนใจหายอยู่สักพัก ก่อนที่จะถือสัมภาระแล้วเดินออกมาข้างนอกช้าๆ ตรงล็อบบี้มีผู้คนยืนกระจุกตัวกันอยู่อย่างวุ่นวายเป็นจำนวนมาก 


 


 


พอนึกได้ว่าคุณป้าและพวกเพื่อนๆ คงจะรออยู่ข้างนอกตึก ฉันจึงพยายามเร่งฝีเท้า แต่อยู่ดีๆ ก็มีรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งมาขวางหน้าฉันเอาไว้ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกำสายสะพายกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ไว้แน่น 


 


 


“ตอนนี้ค่อยสมกับเป็นฮวีกยอมหน่อย พี่ชอบแบบนี้มากกว่าอีก” 


 


 


ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังหัวเราะออกมาเสียงดังๆ ดูใสกิ๊ง หน้าสดของรุ่นพี่ที่ล้างเครื่องสำอางออกอย่างสะอาดหมดจด ฉันเองก็พลอยหัวเราะเสียงดังออกมาด้วยเช่นกัน 


 


 


“ฉันก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ ว่ารุ่นพี่แบบนี้ดีกว่าอีกนะคะเนี่ย” 


 


 


การตอบโต้อย่างหยอกล้อของฉันทำให้รุ่นพี่หันหน้ามาระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะอุทานออกมาว่า แหม ขณะที่เอานิ้วมือดีดลงตรงหน้าผากของฉัน ฮ่าๆ ฉันจึงหัวเราะพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะจ้องรุ่นพี่นิ่ง  


 


 


เสียงดังโหวกเหวกของผู้คนมากมายเริ่มซาลงไป ฉันเริ่มจะจินตนาการว่าในพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้มีเพียงแค่รุ่นพี่กับฉันสองคน 


 


 


“ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่” 


 


 


ฉันยืนตัวตรงก่อนจะโค้งตัวให้กับรุ่นพี่ 


 


 


“ขอบคุณมากจริงๆ นะคะที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับบัลเลต์ ให้ฉันได้ฝัน แล้วก็ยังแสดงเวทีครั้งสุดท้ายกับฉันอีก” 


 


 


ฉันกล่าวขอบคุณรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ความจริงที่ว่านี่คือตอนจบจริงๆ แล้วนะจะซัดสาดเข้ามาเหมือนเกลียวคลื่น ปลายจมูกก็เจ็บแสบพร้อมกับน้ำตาที่หวนกลับมา ฉันพยายามยิ้มสู้ พลางยืดหลังที่ก้มโค้งอยู่ให้กลับมาตรง  


 


 


แสงสีส้มอมแดงของดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินทอดตัวลงมาทางด้านหลังของรุ่นพี่ เป็นเพราะรุ่นพี่ยืนหันหลังให้กับแสง ฉันจึงมองเห็นใบหน้าที่มีเงาตกกระทบได้ไม่ถนัดนัก จึงเผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดออกไป แต่แล้วอยู่ๆ รุ่นพี่ก็เดินตรงมาข้างหน้าฉัน แล้วยืดแขนทั้งสองข้างมากอดฉันไว้อย่างแรงโดยไม่สนใจคนรอบข้างเลยสักนิด 


 


 


“รุ่นพี่คะ…” 


 


 


“เชื่อในตัวพี่ แล้วก็ลองแสดงความกล้าออกมาอีกสักครั้งสิ” 


 


 


มือของรุ่นพี่ที่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ผละจากแขนของฉัน ก่อนจะมาประสานกับมือของฉัน ระยะห่างที่ว่างเปล่าระหว่างฉันกับรุ่นพี่ที่ค่อยๆ น้อยลง รุ่นพี่เอานิ้วโป้งลูบไล้ช้าๆ ลงบนมือของฉันที่เขาจับเอาไว้อยู่ แล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


“บอกสิว่าจะไม่ยอมแพ้ ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย สัญญากับพี่สิว่าความฝันของเธอจะเริ่มต้นอีกครั้ง” 


 


 


แสงอาทิตย์ที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงไหล่ของรุ่นพี่กำลังระยิบระยับแสบตาจนฉันไม่สามารถมองตรงไปยังรุ่นพี่ได้เลย และแล้วในตอนที่เงาของรุ่นพี่ตกลงบนใบหน้าของฉัน ฉันก็หลับตานิ่ง 


 


 


อ้า สุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ยัยขี้แย ยัยขี้ขลาด ยัยติ๊งต๊อง ยัยทึ่มเอ๊ย แม้ว่าฉันจะเอาแต่ว่าตัวเองเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้หัวใจมันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกสมเพชตัวเองอีกต่อไปแล้ว 


 


 


เป็นเพราะมีผู้ชายที่เท่ที่สุดในโลกที่ชื่อว่าลีอีกงอยู่เคียงข้างฉัน กำลังจับมือของฉัน จูบฉัน ดังนั้นต่อให้ฉันไม่ได้ยินอะไร หรือต่อให้ต้องสูญเสียบัลเลต์ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่คนที่ชื่อ คิมฮวีกยอมคนนี้ ก็จะยังคงเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก 


 


 


“พี่รักเธอนะ” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่ยังคงมีน้ำหนักพอดิบพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เหมือนทุกครั้งดังออกมาเบาๆ เหมือนกับเสียงกระซิบ ฉันหัวเราะในลำคอ พลางยืดแขนทั้งสองข้างไปโอบรอบคอของรุ่นพี่ช้าๆ 


 


 


รสอันขมขื่นของน้ำตาไหลเอื่อยๆ ลงมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง ผู้คนที่ยืนออกันอยู่ตรงล็อบบี้ต่างก็หันมามองพวกเรา พร้อมกับเสียงดังโหวกเหวกที่ได้ยินไม่ค่อยถนัดหู ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แสงอาทิตย์ที่เข้มยิ่งขึ้นก็ได้ย้อมท้องฟ้าให้ดูมันวาวเหมือนกับท้องฟ้าในฤดูร้อน 


 


 


แล้วฤดูใบไม้ผลิอันแสนงดงามของฉันที่หวังว่าจะไม่จบลงก็จบลงไปแบบนั้น พร้อมกับฤดูร้อนที่กลับมาอีกครั้ง และฉันก็ได้สูญเสียการได้ยินเสียงไปพร้อมกับลางร้ายแห่งฤดูร้อนที่ยังคงตามมาหลอกหลอนฉัน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


[1] อาราเบสก์ คือท่าที่ขาข้างหนึ่งรองรับน้ำหนักทั้งหมดและขาอีกข้างยกไปทางข้างหลัง โดยขาข้างที่ยกจะเป็นเส้นตรงไม่งอเข่า และพอยท์เท้าเพื่อความสวยงามของท่า 

 

 

 


ตอนที่ 29-2

 

ตอนที่ 29-2 ปล่อยให้มันไหลไป 


 


 


 


 


 


ดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนปีนี้มันร้อนระอุจนเหมือนกับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างละลายไป เพราะอย่างนั้นหรือเปล่านะ สนามบินอินชอนที่ฉันมาส่งเซจินกับอีเซไปต่างประเทศถึงได้แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ถึงแม้ว่าจะยังเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ก็ตาม 


 


 


จะว่าไปนี่ก็เข้าสู่เทศกาลวันหยุดแล้วนี่นา มีทั้งคนที่ใส่เสื้อฮาวายสีสันหลากหลาย คนที่ใส่หมวกปิดหน้าปิดตากับรองเท้าผ้าใบ แล้วก็ยังมีคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่แต่งตัวเข้าคู่กัน แต่ละคนต่างก็ทำสีหน้าตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยการเดินทางที่อยู่ข้างหน้า 


 


 


ขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินไปกับผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่ จู่ๆ ก็มีเงาใหญ่ทอดมาปกคลุมเหนือศีรษะของฉัน 


 


 


“ทำไรน่ะ” 


 


 


อีเซยืนเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วมองมาที่ฉัน พร้อมกับขยับปากถาม ฉันรีบสวมเครื่องช่วยฟังที่ถอดวางเอาไว้บนตักพลางลุกขึ้นจากที่ ก่อนที่จะเห็นเซจินวิ่งลากกระเป๋าสัมภาระใบเล็กๆ มาแต่ไกล 


 


 


“ถ้าเอาแต่ถอดเจ้านั่นเข้าๆ ออกๆ เดี๋ยวก็ทำหายหรอก” 


 


 


“จริงด้วย ถ้าเป็นคิมฮวีกยอมก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ” 


 


 


“แต่ใส่แล้วมันอึดอัดนี่ จะให้ทำไงล่ะ” 


 


 


ฉันทำปากจู๋พลางบ่นพึมพำ เซจินจึงแกล้งทำหน้าตลกเลียนแบบตาม พร้อมกับดึงริมฝีปากของฉันที่ยื่นออกมา 


 


 


“ทีตอนตัวเองโดนนินทาน่ะได้ยินชัดอย่างกับมีหูทิพย์ แต่กลับบอกว่าใส่เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ค่อยได้ยินเนี่ยนะ” 


 


 


“พวกเธอก็ช่วยพูดเสียงดังๆ หน่อยซี่” 


 


 


พวกเรารับส่งมุกกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเราหัวเราะคิกคักกันอยู่อย่างนั้นสักพัก หลังจากนั้นอีเซก็ตบไหล่ฉันเบาๆ พร้อมกับขยับคางเหมือนจะชี้ไปทางด้านหลัง 


 


 


“โอ๊ะ ชเวซูฮยอนมาแล้ว” 


 


 


ซูฮยอนกำลังเดินเนิบๆ มาทางนี้จากที่ไกลๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาดูแสบตาเป็นพิเศษ ทันทีที่เห็นซูฮยอน เซจินก็วางสัมภาระลงในทันที แล้วรีบวิ่งไปหาหมอนั่น  


 


 


อีเซที่มองดูภาพนั่นยิ้มออกมาเล็กๆ ขณะที่เอาแขนพาดไหล่ฉันเบาๆ 


 


 


“ว่าแต่ แล้วพ่อแม่นายล่ะ” 


 


 


“พี่เป็นคนพามาน่ะ” 


 


 


อีเซทาบปากลงตรงใบหูของฉัน แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยคำให้ฟังได้ง่ายๆ ซึ่งมันดูจะสุขุมกว่าเมื่อก่อนหน่อยๆ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ฉันเพิ่งรู้สึกได้เมื่อเร็วๆ นี้ แต่ดูเหมือนคำว่า พี่ ที่หมายถึง รุ่นพี่อีกง ซึ่งออกมาจากปากของอีเซนั้น ดูจะมีความพิเศษบางอย่าง ว่าไงดีน้า มันเหมือนกับว่าเขาพูดโดยที่ใส่ความรู้สึกมากมายลงไปละมั้ง 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


“หือ” 


 


 


ฉันเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่อีเซที่จู่ๆ ก็หันมายืนอยู่ข้างหน้าฉัน แต่รู้สึกเหมือนส่วนสูงของอีเซดูจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยแฮะ 


 


 


หูตาจมูกปากที่เคยให้ความรู้สึกอ่อนโยนนั้นกลับดูเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พออีเซทำสีหน้าจริงจังพร้อมกับเม้มปากแล้ว มันเลยดูเป็นผู้ใหญ่ต่างจากเมื่อก่อนลิบลับ ฉันยังคงเป็นแค่ยัยแคระอยู่เลยแท้ๆ รู้สึกไม่ยุติธรรมเลยสักนิด 


 


 


“ก่อนที่พี่จะมา…ขอฉันทำตามใจ…ครั้งสุดท้ายได้ไหม” 


 


 


“…หา? ว่าอะไรนะ?” 


 


 


อีเซซึ่งกำลังมองมาทางฉันที่ถามออกไปอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ค่อยถนัด จึงหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่สะพายอยู่ที่ไหล่ ก่อนจะเริ่มขีดเขียนอะไรบางอย่าง  


 


 


เกิดเป็นความเงียบสงบอยู่ชั่วครู่ และไม่นานอีเซก็กางสมุดนั้นตรงหน้าฉัน ริมฝีปากของเขาถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นสนิท 


 


 


 


 


 


[ฉันเคยชอบเธอมากๆ เลยละ] 


 


 


 


 


 


ตัวหนังสือกลมๆ ที่เหมือนกับอีเซถูกเขียนลงบนกระดาษสีขาว ฉันที่ตกใจกับคำสารภาพรักอย่างกะทันหันของอีเซ จึงหันไปจ้องหมอนั่นอีกครั้งด้วยสายตาลนลาน ต่อจากนั้นอีเซก็พลิกหน้ากระดาษแล้วยื่นมันมาไว้ตรงหน้าฉันอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


[ความจริงตอนนี้ฉันก็ยังชอบเธออยู่ แต่คงเป็นฉันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม?] 


 


 


 


 


 


นิ้วมือของอีเซค่อยๆ แตะเบาๆ ลงมาที่ริมฝีปากของฉันที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี อีเซก้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับความสูงเดียวกันกับฉันที่ตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะก้มหน้ามองต่ำลงไปเหมือนคิดอะไรสักอย่างอยู่ แล้วจึงพลิกกระดาษอีกครั้งให้ฉันดู 


 


 


 


 


 


[เปลี่ยนใจเมื่อไหร่มาหาฉันละ ลีอีกง ตาลุงเจ้าเล่ห์นั่น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก] 


 


 


 


 


 


ฉันอ่านข้อความที่แฝงไปด้วยความตลกขบขันของอีเซไล่ลงมา ก่อนที่จะปรายตามองหมอนั่นแล้วยิ้มออกมาในที่สุด รอยยิ้มของอีเซขณะที่กำลังทำท่าเช็ดจมูกนั่น ทำให้ฉันรู้สึกว่า ถึงหมอนั่นจะโตขึ้น แต่เขาก็ยังคงเหมือนรุ่นพี่อีกงอยู่ดี 


 


 


“โอเค แบบนั้นก็ได้” 


 


 


ฉันพยักหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะลูบหัวที่ยุ่งเหยิงของอีเซ ต่อจากนั้นอีเซที่โค้งตัวลงมาพร้อมกับปล่อยหัวของเขาเอาไว้ในมือของฉันก็ยิ้มออกมาเล็กๆ พลางค่อยๆ สวมกอดฉันอย่างเก้ๆ กังๆ 


 


 


“รักษาสุขภาพด้วยนะ” 


 


 


น้ำเสียงของอีเซที่ปนกับเสียงถอนหายใจฟังดูเบามาก ลูกกระเดือกของหมอนั่นที่สัมผัสกับไหล่ของฉันกำลังสั่นเล็กๆ ฉันลูบหลังของอีเซอย่างเบามือ 


 


 


“ลาก่อน รักแรกของฉัน” 


 


 


น้ำเสียงที่เหมือนเป็นการพูดคนเดียวของอีเซดังอู้อี้จนทำให้ฉันจั๊กจี้ที่หู ฉันหลับตาทั้งสองข้างพร้อมกับยิ้มบางๆ กระจกบานใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลังของอีเซปรากฎภาพของท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มในฤดูร้อนที่ทอดยาวไปอย่างไม่จบสิ้น 


 


 


พวกเราในช่วงเวลานี้ที่จะไม่หวนกลับมาอีกครั้ง พวกเราในอนาคตจะจดจำมันยังไงกันนะ ถึงฉันจะไม่รู้เลยสักนิด แต่ฉันก็ยังมีความหวัง หวังว่ามันจะกลายเป็นความทรงจำที่ฉันสามารถพูดได้ว่า ‘ตอนนั้นมันก็ดีนะ’ เหมือนกับที่พวกผู้ใหญ่เขาพูดกันเป็นปกติ  


 


 


พวกเราได้บอกลากับ ‘พวกเรา’ ในอดีตที่ถึงจะเร่าร้อนแต่ก็ยังคงเก้ๆ กังๆ ไปแบบนั้น วัยสิบเจ็ดปี กับความทรงจำอันล้ำค่านั้น 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 30-1 การเริ่มต้น 


 


 


 


 


 


ประสบการณ์เพียงไม่กี่ครั้งกับกาลเวลาที่ได้ล่วงเลยไปทำให้ผู้คนเติบโตขึ้นเองโดยธรรมชาติ พวกเราที่ไม่รู้ทั้งวิธีรักตัวเอง วิธีเข้าใจคนอื่น หรือวิธีแสดงความจริงใจออกไป ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละนิดจนกลายเป็นผู้ใหญ่ และมีความกล้าที่จะลุกขึ้นได้อีกครั้งแม้จะล้มลง 


 


 


จะว่าไปแล้ว ‘การกลายเป็นผู้ใหญ่’ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยแฮะ พออายุยี่สิบแล้ว ฉันนึกว่า ประตูบานใหม่ จะเปิดขึ้นมาเองซะอีก แต่จริงๆ แล้ว โลกที่ได้มองเห็นจากบานประตูในวัยยี่สิบปีน่ะ นอกจากจะไม่น่าเป็นกังวลเท่าเมื่อก่อนแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ต่างออกไปเลย 


 


 


ช่วงฤดูใบไม้ผลิตอนขึ้นมัธยมปลายชั้นปีที่สอง ฉันลาออกจากโรงเรียน แล้วเริ่มต้นฝึกฝนการใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เพื่อที่จะรักษาประสาทการได้ยินที่ยังคงเหลืออยู่น้อยนิดให้แข็งแรงยิ่งขึ้น 


 


 


รุ่นพี่อีกงที่เริ่มต้นในสายโมเดิร์นอย่างจริงจัง ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ดีพอๆ กับสมัยเต้นคลาสสิก แถมยังชนะการแข่งขันตลอดอีกด้วย เมื่อก่อนฉันนึกว่ารุ่นพี่เป็นเทวดาที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าเสียอีก แต่ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วว่าผลงานทั้งหมดทั้งมวลนั้นมาจากหยาดเหงื่อแรงกายแห่งความพยายามของรุ่นพี่เอง ก็รุ่นพี่ทั้งสู้อย่างสุดชีวิต ทั้งคลั่งไคล้มันขนาดนั้น เขาถึงได้ยิ่งใหญ่เสียขนาดนั้น 


 


 


อ้อ ฉันมีงานอดิเรกใหม่ด้วยละ เป็นเพราะรุ่นพี่เลยทำให้การแสดงโมเดิร์นที่ฉันมักจะได้เห็นบ่อยๆ กลายมาเป็นความสนุกใหม่สำหรับฉันที่เบื่อหน่ายกับชีวิตประจำวันอันซ้ำซากจำเจ 


 


 


ทุกครั้งที่รุ่นพี่มีแสดง เขามักจะพาฉันไปด้วยเสมอ แล้วก็จะพยายามอธิบายให้ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงส่วนที่ฉันไม่สามารถได้ยิน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม พอได้เห็นการเต้นและอารมณ์ความรู้สึกอันประณีตของรุ่นพี่ มันก็ทำให้ฉันสามารถรู้ได้โดยปริยายว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่นี้ เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกอะไรออกมา 


 


 


ฉันที่เคยคิดมาเสมอว่าดนตรีจะต้องฟังด้วยหู แต่เมื่ออยู่ด้วยกันกับรุ่นพี่แล้วก็ทำให้ได้รู้ว่าวิธีการฟังดนตรีนั้น ต้องฟังด้วยใจไม่ใช่ด้วยหู และถึงจะไม่ได้ยิน แต่เราก็สามารถรับรู้และเข้าใจถึงอารมณ์นั้นได้ 


 


 


สำหรับฉันที่คิดแบบนั้น โลกของโมเดิร์นที่ไม่มีทั้งเจ้าหญิงและเจ้าชายคือช่องทางการติดต่อกับโลกภายนอกที่ทำให้ฉันได้รับรู้ถึงเสน่ห์และสัมผัสที่แปลกใหม่ ฉันในวัยยี่สิบกำลังเตรียมตัวที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ธรรมดาๆ ที่รักในเสียงดนตรีและการเต้น 


 


 


“มัวแต่คิดอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


สัมผัสจากมือของรุ่นพี่ที่กระทบลงบนแก้มของฉันทำให้ฉันตื่นขึ้นจากห้วงความคิด ตอนนี้พวกเราสนิทกันอย่างแน่นแฟ้นถึงขนาดที่แค่อ่านปากดูฉันก็สามารถเข้าใจสิ่งที่รุ่นพี่พูดได้แบบคร่าวๆ แล้ว ฉันยิ้มร่าก่อนจะตอบสั้นๆ ว่า ไม่มีอะไรค่ะ 


 


 


 


 


 


[การแสดงวันนี้เป็นไงบ้าง] 


 


 


[รุ่นพี่ดูเหมือนจะตัวเบากว่าแต่ก่อนนะคะ สงสัยเพราะน้ำหนักลดลงละมั้ง] 


 


 


 


 


 


ฉันมองปราดไปที่บทสนทนาโต้ตอบซึ่งถูกขีดเขียนจนเต็มหน้าสมุดที่ว่างเปล่า ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของรุ่นพี่ที่จ้องเขม็งมาที่ฉัน ท่าทางของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่ถือถ้วยชาที่มีไอขาวๆ ลอยขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างเหมือนกับภาพวาดไม่มีผิด 


 


 


พอเห็นแบบนี้ทีไร บางครั้งฉันก็คิดว่าการไม่ได้ยินเสียงมันก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ ถ้าหากได้ยินเสียงวุ่นวายด้วยละก็ ท่าทางของรุ่นพี่ก็คงจะไม่ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับภาพวาดอันแสบสงบแบบนี้หรอก 


 


 


“ฮวีกยอม” 


 


 


รุ่นพี่ที่เรียกชื่อฉันเบาๆ ดื่มชาที่ถืออยู่ก่อนจะค่อยๆ วางถ้วยนั้นลงอย่างเบามือ ดูจากการตั้งท่าแล้วเหมือนรุ่นพี่มีเรื่องสำคัญจะพูดเลยแฮะ ฉันลดมือที่กำลังเท้าค้างอยู่ลง แล้วมองไปที่รุ่นพี่ที่กำลังจับปากกาอยู่ 


 


 


 


 


 


[พี่ได้รับการเสนอชื่อให้ไปเป็นแขกรับเชิญใน Dance Company น่ะ] 


 


 


[เอ๋ จริงเหรอคะ] 


 


 


[อือ หัวหน้าคณะเคยส่งวิดีโอไปเป็นการแนะนำตัวน่ะ แล้ววันนี้เขาก็ติดต่อมาพอดี] 


 


 


[ว้าว ยินดีด้วยนะคะ! ที่ไหนเหรอคะ] 


 


 


 


 


 


รุ่นพี่ทำสีหน้าประหลาดเมื่อได้ยินคำถามของฉัน ขณะที่จ้องมองมาที่ฉัน ปลายปากกาที่หยุดลงของรุ่นพี่แสดงความลังเลออกมาจนรู้สึกได้ และฉันก็รู้สึกกังวลขึ้นในพริบตา 


 


 


 


 


 


[อังกฤษน่ะ] 

 

 

 


ตอนที่ 30-2

 

ฉันมองตัวหนังสือของรุ่นพี่สลับกับใบหน้าของเขาไปมาด้วยแววตาตกใจ อังกฤษงั้นเหรอ คำสองพยางค์ง่ายๆ นั่นกลายมาเป็นก้อนเหล็กขนาดยักษ์ที่กดทับลงบนใจของฉัน 


 


 


และฉันก็เอาแต่แสดงสีหน้าสิ้นคิดแบบนั้นออกมา มันเป็นเรื่องที่ควรจะต้องยินดีแท้ๆ แต่ฉันกลับนึกถึงเรื่องที่อาจจะต้องแยกจากกับรุ่นพี่ขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก 


 


 


 


 


 


[ว่าแล้วว่าสถานที่ที่รุ่นพี่จะไปอยู่ต้องเป็นต่างประเทศแน่ๆ] 


 


 


 


 


 


ฉันยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับเกาหัว การที่ฝันของรุ่นพี่ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าเราจะต้องแยกจากกันไปนานขนาดไหน มันจึงทำให้ฉันรู้สึกหนักใจอย่างช่วยไม่ได้  


 


 


รุ่นพี่คงจะอ่านความคิดฉันออก เขาใช้ปลายปากกาเคาะสมุด พลางเลื่อนสายตามองต่ำลง 


 


 


 


 


 


[โธ่ ทำไมทำสีหน้าแบบนั้นล่ะคะ นี่มันเป็นเรื่องดีนะ ^^] 


 


 


 


 


 


ฉันแกล้งวาดอีโมติคอนลงไป ขณะที่พยายามยิ้มอย่างร่าเริง รู้สึกผิดจังที่เหมือนกับทำให้รุ่นพี่รู้สึกไม่สบายใจ 


 


 


 


 


 


[เป็นเพราะฉันหรือเปล่าคะ ถึงเราจะต้องอยู่ห่างกันสักพัก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้สบายอยู่แล้วค่ะ] 


 


 


 


 


 


อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็มาจับมือของฉันที่กำลังกำปากกาเอาไว้ ฉันจึงยิ้มเงียบๆ แล้วมองไปยังรุ่นพี่ รุ่นพี่ไม่ยอมละสายตาไปจากฉัน สายตาที่คมเข้มและจุดโฟกัสนั้นที่ไม่ไหวติง 


 


 


หลังจากนั้นสักพัก มือของรุ่นพี่ก็หลงเหลือไออุ่นๆ เอาไว้เหมือนเป็นหลักฐานก่อนจะผละออก ฉันลูบหลังมือที่ว่างเปล่าไปมาขณะที่ก้มหน้าลง แต่แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็ยื่นอะไรบางอย่างมาตรงหน้าฉัน 


 


 


กระดาษสองแผ่นที่ถูกพับครึ่งไว้อยู่ ฉันจึงคลี่มันออกด้วยสีหน้ามึนงง ใบหนึ่งเป็นใบแนะนำตัวที่เขียนชื่อของหัวหน้าอคาเดมี่เอาไว้เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนอีกแผ่นเป็นกระดาษแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาต่อในโรงเรียนศิลปะที่อยู่ที่อังกฤษ ฉันค่อยๆ อ่านพวกมันไล่ลงมาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะมองหน้ารุ่นพี่ด้วยใบหน้าเอ๋อๆ 


 


 


 


 


 


[นี่มันอะไรกันคะ] 


 


 


[ที่โรงเรียนศิลปะนั่นน่ะ มีสาขาวางแผนศิลปะการแสดงอยู่ ถึงแม้ว่าการวางแผนงานศิลป์จะเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับคนที่เคยเป็นนักเต้นแบบเธอ แต่พี่คิดว่าเธอมีพรสวรรค์ทางด้านนี้น่ะ แถมการที่เคยเป็นนักเต้นมาก่อนก็ยังเป็นประโยชน์ด้วย] 


 


 


 


 


 


รุ่นพี่หยุดมือที่กำลังเขียนอยู่ลงสักพัก แล้วมองมาที่ฉัน ส่วนฉันก็เอาแต่จ้องมองตัวหนังสือของรุ่นพี่ด้วยตาที่เบิกโพลงด้วยความงง  


 


 


ฉันกับการวางแผนงานศิลป์เนี่ยนะ แค่คิดสักครั้งฉันยังไม่เคยเลย ถึงฉันจะเคยเต้น เลยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมากกว่าคนอื่นๆ ก็เถอะ แต่ว่า… 


 


 


 


 


 


[แน่นอน พี่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอคงจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน เธอเลยจำเป็นต้องใช้เวลาคิด แต่ถ้าเป็นเธอ พี่คิดว่าเธอทำได้แน่] 


 


 


 


 


 


รุ่นพี่วางปากกาลง แล้วยืนขึ้นช้าๆ พร้อมกับโน้มตัวลงมาใกล้ๆ ฉัน ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เข้าใกล้หน้าฉันอย่างกะทันหันทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจนต้องถอยหลัง ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงยิ้มมุมปาก 


 


 


“เพราะอย่างนั้น” 


 


 


น้ำเสียงของรุ่นพี่ลอยมากระทบใบหูฟังดูแผ่วเบามากๆ ฉันทำหน้ายู่พร้อมกับเพ่งสมาธิเพื่อที่จะได้ไม่พลาดคำพูดของรุ่นพี่  


 


 


รุ่นพี่จึงเอานิ้วมือกดลงตรงหว่างคิ้วของฉันพลางหัวเราะ ต่อจากนั้นเขาก็เข้ามาใกล้หูของฉันยิ่งขึ้น ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำ 


 


 


“ไปกับพี่นะ ที่อังกฤษน่ะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ท้องฟ้าที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างเป็นสีขาวขุ่นเหมือนกับอมไอหมอกเอาไว้ นี่มันวันที่เท่าไหร่แล้วนะที่อากาศเป็นแบบนี้ ฉันที่นอนหมอบอยู่ที่โต๊ะเหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปสักพัก ก่อนจะหันกลับมามองกระดาษจดหมายที่กำลังเขียนอยู่ จดหมายฉบับนั้นที่เขียนขึ้นต้นด้วยคำว่า ถึงคุณป้า ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่บรรทัดที่สาม ฉันทำเสียงโอดครวญออกมา พร้อมกับบิดขี้เกียจในขณะที่ยืดแขนขึ้นไป 


 


 


ฉันมาอังกฤษได้สองปีแล้ว ทั้งอาหารที่ไม่ถูกปากหรือภาษาที่ไม่คุ้นเคยและฟังไม่เข้าใจ ในตอนนี้ฉันก็ค่อนข้างจะคุ้นชินกับมันแล้วละ แต่ฉันก็ยังคงไม่ชินกับอากาศชื้นๆ และขมุกขมัวแบบนี้อยู่ดี 


 


 


ฉันหยิบพวกหนังสือที่วางกระจัดกระจายอยู่พร้อมกับกระดาษจดหมายใส่กระเป๋าแล้วลุกจากที่ พอดีกับตอนที่จีฮเย เพื่อนชาวเกาหลีเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องเรียนมองมาที่ฉัน พร้อมกับส่งสัญญาณมือชวนไปกินข้าว 


 


 


“รอบนี้รายงานเธอก็ได้ที่หนึ่งอีกแล้วสินะ” 


 


 


เพื่อที่จะให้บทสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น จีฮเยจึงนั่งอยู่ข้างๆ ฉัน ระหว่างที่เธอจิ้มเฟรนช์ฟรายส์หนึ่งชิ้นลงไปบนซอสมะเขือเทศ เธอก็กระซิบลงข้างๆ หูฉัน อ้าๆ ฉันตอบรับพลางพยักหน้า 


 


 


ตอนแรกที่ฉันเข้ามาเรียนในโรงเรียนศิลป์แห่งนี้ ฉันที่นอกจากจะเป็นคนหูหนวกแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก จึงช่วยไม่ได้ที่จะถูกดูถูก  


 


 


แต่หลังจากผ่านอุปสรรคต่างๆ มากมายมาโดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือ ตอนนี้ฉันที่ได้กลายเป็นนักเรียนดีเด่นอย่างสง่าผ่าเผยก็มักจะถูกจีฮเยยกย่องว่าเป็นเพราะความตั้งใจของชาวเกาหลีอยู่เสมอ 


 


 


เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ฉันมาจนถึงที่นี่พร้อมกับรุ่นพี่ ฉันรู้สึกกังวลขนาดไหนกันนะ ถึงจะรู้สึกกังวลว่าจะกลายเป็นภาระของรุ่นพี่ที่กำลังจะได้เริ่มต้นใหม่หรือเปล่า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ฉันกลัวว่าตัวเองที่เคย ‘เอาแต่เต้น’ มาเกือบสิบปี แถมยังฟังอะไรได้ไม่ค่อยชัด จะสามารถเรียนสิ่งที่เรียกว่าการวางแผนได้หรือเปล่าต่างหาก 


 


 


แต่วิดีโอที่รุ่นพี่เอาให้ฉันดูในตอนนั้นก็ได้กลายมาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉันตัดสินใจเลือกที่จะมาอังกฤษ วิดีโอสารคดีที่ใส่เรื่องราวความจริงของการเดินทางอันยาวไกล ที่กว่าจะกลายมาเป็นการแสดงการแสดงหนึ่งโดยสมบูรณ์ ได้มอบหัวใจที่สั่นระรัวครั้งใหม่ให้กับฉัน ภายหลังจากความกังวลอันยาวนาน ฉันก็พาตัวเองขึ้นไปบนเครื่องบินลำที่บินมายังอังกฤษ 


 


 


ระหว่างที่รุ่นพี่ได้เริ่มต้นในฐานะนักเต้นรับเชิญของ Dance Company จนกระทั่งได้กลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ฉันก็ได้ทุ่มเทอย่างสุดชีวิตกับชีวิตประจำวัน และภาษาในต่างแดนที่ไม่คุ้นเคย รวมไปถึงการเรียนในโรงเรียนที่ยากกว่าที่คิด 


 


 


ในตอนแรกๆ ฉันเองก็รู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง แล้วก็เคยทะเลาะกับรุ่นพี่บ้าง แต่รุ่นพี่ก็มักจะคอยอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอ แม้ว่าเมื่อเทียบกับความท้อแท้ที่สูญเสียการได้ยินไปแล้ว เรื่องกังวลเล็กๆ น้อยๆ นี้มันจะไม่มีอะไรเลยก็เถอะ แต่ฉันก็ยังมุ่งมั่นไปกับการตั้งใจเรียน  


 


 


และในตอนนี้ที่ฉันได้เอาชนะช่วงที่สำคัญมาได้ ฉันก็ได้พัฒนาไปมากจนรู้สึกภูมิใจในตัวเองเลยละ 


 


 


“นี่ นั่นแฟนเธอใช่ไหม” 


 


 


ฉันที่เพิ่งจะกัดขนมปังทาเนยพอดีจึงหันหน้าไปตามที่จีฮเยพูด พร้อมกับถามว่า ไหนๆ ม้านั่งข้างหน้าโรงเรียนที่จีฮเยชี้ไปนั้น มีรุ่นพี่อีกงกำลังนั่งอยู่จริงๆ ท่าทางที่กำลังโยกหัวขณะเสียบหูฟังอยู่พร้อมกับมองไปที่ประตูนั่น ดูยังไงก็เหมือนกับว่ากำลังรอฉันอยู่ 


 


 


“คบกันมาตั้งห้าปีแล้วไม่ใช่เหรอ จนป่านนี้แล้วก็ยังหวานกันขนาดนี้เลยเหรอ” 


 


 


ฉันมองไปที่รุ่นพี่พลางยิ้มหน้าบาน ทำให้จีฮเยมองฉันพลางจิ๊ปาก ก่อนจะเท้าคางแล้วหันไปมองรุ่นพี่ที่อยู่ข้างนอกหน้าต่าง พร้อมกับบ่นพึมพำ 


 


 


“อย่างว่าแหละนะ ถ้าเป็นผู้ชายแบบนั้นละก็ จะอีกสิบปีหรือยี่สิบปีผ่านไป ฉันก็คงจะชอบเขาจนคลั่งตายอยู่ดี” 


 


 


“งั้นฉันไปก่อนนะ” 


 


 


ฉันรีบยัดขนมปังที่เหลือเข้าปาก ก่อนจะรีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอก อากาศชื้นๆ กระแทกเข้ามาในปอดอีกครั้ง 


 


 


รุ่นพี่ที่ไม่รู้ว่าฉันมาแล้ว กำลังนั่งเหม่อมองฟ้าพร้อมกับดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี เหล่านักเรียนที่ผ่านไปมาในตอนนั้นต่างก็จำรุ่นพี่ได้ แล้วแต่ละคนต่างก็กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ รุ่นพี่น่ะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกของนักเต้นของที่นี่มากทีเดียวเลย 


 


 


“รุ่นพี่!” 


 


 


“เฮือก ตกใจหมด!” 


 


 


ทันทีที่ฉันจับไหล่ของรุ่นพี่พร้อมกับตะโกนเรียก รุ่นพี่ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันมามองฉัน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา เส้นผมสีน้ำตาลแดงของรุ่นพี่กำลังปลิวไสวไปตามสายลม 


 


 


“ข้าวล่ะ” 


 


 


“เพิ่งกินมาค่ะ” 


 


 


“ตั้งใจเรียนหรือเปล่าครับ” 


 


 


“อื้อ แน่นอนสิคะ” 


 


 


รุ่นพี่ลูบหัวของฉัน พลางกระซิบบอกว่า เก่งมาก ฉันหัวเราะ แหะๆ ขณะที่เอาหัวพิงไหล่ของรุ่นพี่ ตอนนี้ ณ วินาทีนี้ ฉันชอบความสงบนี้จัง ชอบจนอยากจะให้เวลาหยุดลงเสียตรงนี้ 


 


 


“จบเทอมนี้ ฉันจะได้เข้าไปเป็นสต๊าฟในบริษัทของรุ่นพี่แล้วละค่ะ ถึงจะแค่ฝึกงาน แต่วันนี้ฉันก็ได้รับการติดต่อมาด้วยละ!” 


 


 


“โอ้ จริงเหรอ ไม่เห็นเธอเคยบอกเลยนี่ว่าเคยมาประชุมน่ะ ทำไมไม่บอกก่อนเล่า” 


 


 


“ก็ตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ยังไงละคะ” 


 


 


เซอร์ไพรส์จริงๆ นะเนี่ย รุ่นพี่พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง แล้วจึงจับแก้มของฉันมาจุ๊บเบาๆ การที่รุ่นพี่อยู่ข้างๆ ฉัน จับมือฉัน และต่างฝ่ายต่างรู้สึกถึงไออุ่นของกันและกันแบบนี้ มันทำให้ฉันมีความสุข  


 


 


ตอนนี้ทั้งฉันที่อยู่ในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับผมบ๊อบสั้น และรุ่นพี่ที่สลัดคราบความเป็นเด็กในสมัยก่อนออกไป พวกเราต่างรู้สึกปีติยินดีกับสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ของ ‘พวกเรา’ 


 


 


“พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วนะคะ” 


 


 


ในตอนนี้ เพื่อความสุขอันล้ำค่านี้ ฉันพร้อมที่จะก้าวไปอีกก้าวด้วยคำว่า ‘พวกเรา’ 


 


 


ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเอาไว้แล้วละ 


 


 


“ได้โปรดแต่งงานกับฉันเถอะนะคะ” 


 


 


ฉันกำลังพูดคำที่ตัวเองคงไม่คาดคิดว่าจะพูดมาก่อนถ้าเป็นฉันในวัยสิบเจ็ดปีออกมาอย่างมั่นใจ เพราะในตอนนี้ฉันสามารถใส่น้ำหนักของความจริงใจของฉันลงไปในแต่ละคำพูดได้แล้วยังไงละ 


 


 


รุ่นพี่จ้องมองฉันด้วยความตกใจ ดวงตาที่กลมโตนั่นดูน่ารักชะมัด ทั้งหน้าม้าที่ปรกลงมาเล็กน้อยบริเวณดวงตาที่เรียวยาว ทั้งริมฝีปากนั้น มันน่ารักจนสุดจะทนไหว 


 


 


“จริงๆ เลย เธอนี่มันทำให้หัวใจคนอื่นเต้นรัวโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวเลยจริงๆ” 


 


 


รุ่นพี่ยืนนิ่งในท่าอ้าปากค้างเหมือนกับลืมไปว่าจะพูดอะไรอยู่นาน ก่อนที่จะยิ้มออกมาเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แล้วจึงเอาแขนมาโอบรอบคอของฉันเอาไว้ ต่อจากนั้นก็บรรจงแนบริมฝีปากลงมาเหมือนเป็นการบอกว่า แน่นอนอยู่แล้ว 


 


 


ฉันยิ้มเล็กๆ พร้อมกับกอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้ ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือข้างในจิตใจ ฉันก็เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ แต่พอถึงเวลาที่จูบกับรุ่นพี่ทีไร ฉันก็รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นตัวเองในวัยสิบเจ็ดปีทุกที 


 


 


“อือ” 


 


 


ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ถอยห่างไปพร้อมกับความรุ่มร้อนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ขยับขึ้นลงเล็กๆ และน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้นิดๆ ที่หูก็ยังคงทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเช่นเคย 


 


 


“พวกเรามาแต่งงานกันเถอะ” 


 


 


ท้องฟ้าของลอนดอนที่มักจะมืดมัวอยู่เสมอกำลังทอดตัวไปพร้อมกับรอยยิ้มของรุ่นพี่เหมือนกับภาพวาดสีน้ำ ฉันหัวเราะ หึหึ พลางซุกหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่ และแล้วการเต้นของ ‘พวกเรา’ ก็ได้เริ่มต้นอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


-จบบริบูรณ์- 

 

 

 


ตอนที่30-2 (3)พิเศษ

 

ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์แทนที่จะเป็นเสียงของนาฬิกาปลุกนั้น เป็นตอนเช้าตรู่ที่ฟ้ายังไม่ทันสางเลยด้วยซ้ำ ฉันขยับร่างกายที่เหนื่อยล้าไปมาอยู่ใต้ผ้าห่ม ขณะที่พยายามทำเป็นไม่สนใจเจ้าเสียงเรียกเข้านั่น แต่เสียงนั่นที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องดูไม่มีท่าทีจะหยุดไปเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“โอ๊ย ให้ตายสิ” 


 


 


ฉันพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเช็คดูชื่อที่เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ ว่าแล้ว ในเวลาแบบนี้ คนที่กล้าโทรมาขนาดนี้ได้ก็มีแค่เซจินเท่านั้นแหละ 


 


 


“ฮัลโหล” 


 


 


[กยอมกยอม! ฉันโกรธมากจริงๆ นะ!] 


 


 


“…คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ” 


 


 


ฉันเอามือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้เป็นระเบียบ พลางหาวหวอด เวลาเซจินโทรมาหาฉันตอนที่โกรธ มันก็มีอยู่เหตุผลเดียวเท่านั้น 


 


 


[ก็ชเวซูฮยอนน่ะ เจ้าหมอนั่นเอาเรื่องเมนูอาหารเช้ามาชวนทะเลาะน่ะสิ! บ่นว่ากินขนมปังมาตั้งหลายวันจนเบื่อแล้วบ้างละ นู่นนี่บ้างละ! ถ้ามีอะไรที่ตัวเองอยากจะกิน ก็ทำกินเองสิ ทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วยเล่า หา!] 


 


 


“…โอเค โอเค ชเวซูฮยอนผิดชัดๆ เลยนะเนี่ย” 


 


 


[ฉันคิดถูกหรือเปล่าเนี่ยที่แต่งงานกับหมอนี่น่ะ] 


 


 


และการบ่นพึมพำตบท้ายปนกับเสียงถอนหายใจในตอนจบก็เป็นหนึ่งในละครที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ ฉันหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรวบผ้าม่านตรงหน้าต่างขึ้น ท้องฟ้ายามเช้าสีน้ำเงินอ่อนยังคงมองไม่ค่อยเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเท่าไหร่นัก 


 


 


“พูดได้ดี เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะโทรมาอวดเรื่องชเวซูฮยอนให้ฉันฟังอีก” 


 


 


[นี่ วันนี้ฉันเอาจริง ฉันพูดจากใจจริงเลย สาบาน!] 


 


 


“รู้แล้วน่า เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนนะ รุ่นพี่คงจะตื่นแล้วละ” 


 


 


[อ๊ะ ที่นั่นกี่โมงนะ] 


 


 


“ตีสี่ย่ะ” 


 


 


งั้นก็แค่นี้นะ ฉันพูดเสร็จก็กดปุ่มแดงอย่างไม่ลังเล หลังจากได้ยินเสียงวางสาย ฉันก็บิดขี้เกียจ อากาศที่เย็นลงในช่วงกลางคืนก็ลอยมาปะทะเข้ากับร่างกาย 


 


 


“…ใครโทรมาเหรอ” 


 


 


รุ่นพี่ที่คงจะตื่นเพราะเสียงดัง พลิกตัวกลับมาถามฉันด้วยเสียงแหบพร่า ฉันจึงรีบมุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม ก่อนจะเอาหน้าซุกเข้าไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่พลางหัวเราะคิกคัก 


 


 


“บ้านมอสโกน่ะสิคะ” 


 


 


เซจินกับซูฮยอนใช้ชีวิตอยู่ในฐานะกลุ่มนักเต้นบัลเลต์ที่มอสโก ประเทศรัสเซีย ก่อนที่จะแต่งงานกัน ทั้งที่หวานกันจนถึงตอนนั้นแท้ๆ แต่เดี๋ยวนี้กลับเอาแต่ทะเลาะกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ในขณะที่พวกเขาเอาแต่บ่นว่าตั้งแต่หนึ่งถึงสิบไม่อะไรดีสักอย่าง แต่พวกเขาก็ยังอยู่กันด้วยดี มันทำให้ฉันคิดว่าช่างสมกับเป็นสองคนนั้นจริงๆ 


 


 


“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ” 


 


 


“อือ” 


 


 


“เดี๋ยวพอตอนกลางวันก็ต้องโทรมาอีกแน่ มาบอกว่าคืนดีกันแล้ว” 


 


 


รุ่นพี่หัวเราะพร้อมกับโอบไหล่ของฉันเอาไว้ ในขณะเดียวกันมือของเขาก็ค่อยๆ ไล้เข้ามาข้างในเสื้อ ฉันหัวเราะคิกคักพลางผลักแขนของรุ่นพี่ออก 


 


 


“วันนี้รุ่นพี่ต้องรีบออกแต่เช้าไม่ใช่เหรอคะ นอนต่อเถอะค่ะ” 


 


 


“ให้ตายสิ ยังจะเรียกว่ารุ่นพี่อีกเหรอ นี่ก็น่าจะได้เวลาเลิกเรียกแบบนั้นแล้วไม่ใช่หรือไง” 


 


 


น้ำเสียงที่ปนกับเสียงถอนหายใจยังคงฟังดูงัวเงียอยู่เหมือนเดิม ฉันชอบฟังน้ำเสียงสะท้อนประหลาดแบบนั้นจัง ฉันหัวเราะในลำคอพลางลูบไล้หน้าผากของรุ่นพี่ที่ยังคงหลับตาอยู่ 


 


 


“จะให้ทำไงได้ละ ก็มันเคยชินนี่นา” 


 


 


“กว่าพี่จะได้ยินเธอเรียกว่าพี่เฉยๆ พี่คงจะกลายเป็นลุงไปแล้วละ” 


 


 


“ผู้ชายที่แต่งงานแล้วก็ต้องเป็นลุงสิ แหม” 


 


 


คำล้อเล่นของฉันทำให้รุ่นพี่ลืมตาโพลงขึ้นมา รุ่นพี่ทำหน้าเคืองๆ จนทำให้ฉันรู้สึกกังวลขึ้นมา ก่อนที่จะพลิกขึ้นมาคร่อมข้างบนตัวฉัน แล้วจึงจูบปากฉันที่กำลังมึนงง พร้อมกับกระซิบเบาๆ 


 


 


“งั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้หนุ่มโสดขายดี กลายเป็นลุงซะแล้วสิ” 


 


 


สัมผัสมือที่มาแตะลงบนเอวโดยตรงทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้จนต้องหัวเราะเสียงดังออกมาสั้นๆ ก่อนที่จะเอาแขนคล้องรอบคอของรุ่นพี่เหมือนแกล้งทำเป็นยอมแพ้ในที่สุด 


 


 


“งั้นฉันควรเริ่มจากอะไรก่อนดีคะ พี่ชาย” 


 


 


คำพูดที่แกล้งทำเป็นใสซื่อของฉันทำให้รุ่นพี่ฉีกยิ้มกว้าง 


 


 


“จูบ” 


 


 


แล้วริมฝีปากก็ประกบเข้าด้วยกันอย่างรีบร้อน ฉันกลั้นขำที่จะหลุดออกมาอย่างยากเย็น พวกเราแต่งงานกันมาเป็นปีที่ห้าแล้ว  


 


 


ตลอดระยะเวลาสิบปีที่อยู่ด้วยกันมา รุ่นพี่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ทั้งสายตาที่มองฉัน ทั้งมือที่สัมผัสก็ยังคงเดิม ไม่สิ ดูจะลื่นเหมือนปลาไหลขึ้นมานิดๆ มากกว่า 


 


 


“หยุด แค่นี้พอ” 


 


 


ฉันรวบมือของรุ่นพี่ที่ไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอาไว้ แล้วจึงจุ๊บเสียงดังที่หน้าผากของรุ่นพี่พลางลุกขึ้นนั่ง รุ่นพี่ที่ผละตัวออกอย่างเสียดายกำลังทำสีหน้าบึ้งตึง 


 


 


“ถ้าป๊ะป๋าทำแบบนั้น ลูกในท้องจะตกใจเอานะคะ” 


 


 


“โอเค โอเค รู้แล้วน่า” 


 


 


ด้วยคำที่เข้มงวดและจริงจังทำให้รุ่นพี่พยักหน้า พลางทำปากยื่น ก่อนที่จะเอาแก้มมาแนบลงตรงหน้าท้องกลมๆ ของฉัน แล้วจึงบ่นปนเสียงถอนหายใจ 


 


 


“รีบออกมาได้แล้ว ป๊ะป๋ากับหม่าม้าจะได้แสดงความรักให้กันได้อย่างเต็มที่” 


 


 


ฉันหัวเราะสั้นๆ พลางลูบผมของรุ่นพี่ พวกเรามาลอนดอนกันได้เจ็ดปีแล้ว ตอนที่จากมาจากเกาหลี พวกเรามากันแค่เพียงสองคนเท่านั้น แต่ในตอนนี้พอกลายเป็นสามคนแล้ว ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย มันน่าเหลือเชื่อซะยิ่งกว่าที่ว่าฉันได้มามีความฝันครั้งใหม่ในที่แห่งนี้ซะอีก 


 


 


“จะว่าไปเครื่องช่วยฟังที่เปลี่ยนใหม่นี่ไม่เลวเลยนะ เหมือนจะฟังชัดขึ้นด้วย” 


 


 


“อือ เพราะมันเล็กด้วยค่ะ เลยสะดวก โลกนี่พัฒนาไปเร็วจริงๆ” 


 


 


คำที่ฉันเผลอพูดลอยๆ ขึ้นมาทำให้รุ่นพี่หัวเราะพลางบอกว่า พูดเหมือนกับคนแก่เลยนะ แต่แค่ในพริบตาเดียว โลกก็เปลี่ยนไปอย่างมากเลยจนหมู่นี้มันเร็วเกินจะตามได้ทันเลยละ ตอนนี้มันเป็นยุคที่เราสามารถรับส่งข่าวสารกับเพื่อนๆ ที่กระจายอยู่ในแต่ละมุมโลกได้อย่างง่ายด่ายแล้วนี่นา 


 


 


“ว่าแต่หมู่นี้อีเซไม่ค่อยได้ติดต่อมาเลยนะคะ” 


 


 


“เจ้านั่นหมู่นี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับการมีแฟนน่ะสิ” 


 


 


ฉันที่เดินไปยังห้องครัวแล้วกำลังจะเทน้ำส้มที่หยิบออกมาจากตู้เย็นใส่แก้ว หันหน้าไปหารุ่นพี่ด้วยสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ 


 


 


“จริงเหรอ” 


 


 


“อือ แถมยังเด็กกว่าตั้งสามปีด้วยนะ” 


 


 


“ว้าว เหลือเชื่อ” 


 


 


ฉันส่ายหัวพลางยิ้ม รุ่นพี่จึงแอบลุกจากเตียง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน แล้วเอาแขนโอบเอวฉันไว้พร้อมกับพูดขึ้น 


 


 


“ทำไมล่ะ เสียดายเหรอ” 


 


 


“พูดจาให้มันมีสาระหน่อยสิคะ” 


 


 


“ก็เธอเป็นรักแรกของหมอนั่นนี่นา ก็แค่ พอคิดถึงตอนนั้นแล้ว พี่ก็ยังเคืองไม่หาย” 


 


 


รุ่นพี่ทำปากจู๋พร้อมกับสีหน้าหยอกล้อ ก่อนจะเอาหน้ามุดลงมาตรงต้นคอของฉัน แล้วจึงพูดเสริมว่า ‘นี่ของพี่นะ’ แค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆนั่ นก็ทำให้ฉันหัวเราะเสียยกใหญ่ ฉันจึงหันกลับไปจูบลงที่ริมฝีปากของรุ่นพี่ 


 


 


“รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ” 


 


 


“จ้า จ้า” 


 


 


รุ่นพี่ตอบรับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ แผ่นหลังของรุ่นพี่ยังคงกว้างและดูแข็งแรงเสมอ แผ่นหลังที่ทำให้ฉันอยากจะวิ่งเข้าไปกอดซะให้ได้ ฉันยืนจ้องภาพของรุ่นพี่ที่ยืนพิงอ่างล้างหน้าอยู่สักพัก ก่อนที่จู่ๆ จะรู้สึกได้ถึงการดิ้นของทารกในท้อง ฉันจึงลูบท้อง พลางพูดเบาๆ 


 


 


“รีบออกมาเร็วๆ นะ ดรีม หนูคงต้องออกมาซะก่อน ป๊ะป๋าถึงจะกลายเป็นผู้ใหญ่สักที” 


 


 


พวกเราไม่ได้มีปัญหามากมายอะไรกับการตั้งชื่อลูกในท้อง เพราะเด็กคนนี้เป็น ‘ความฝัน’ ครั้งใหม่ของพวกเรา ท้องฟ้าที่อยู่ข้างหลังหน้าต่างในห้องครัวกำลังสว่างขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว 


 


 


จะว่าไปแล้ว พวกเรามักจะอยู่ด้วยกันทั้งในตอนเริ่มต้นและตอนสิ้นสุดของ ‘ความฝัน’ ในตอนที่ความฝันนั้นเปล่งประกายระยิบระยับก็เป็นตอนที่พวกเรายุติการคบกันอันยาวนาน แล้วก็ทำการผลิดอกออกผลที่เรียกว่าการแต่งงานออกมา 


 


 


ชีวิตนั้น มักจะมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดสลับกันไปมาเสมอ แต่ภายในวงเวียนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปนั้น มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางจบลง 


 


 


“ที่รัก ยาสีฟันใหม่อยู่ไหนจ๊ะ” 


 


 


“อ้อ เดี๋ยวเอาไปให้ค่า” 


 


 


ฉันหยิบยาสีฟันอันใหม่ออกมาจากตู้ แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำ ก่อนที่อยู่ๆ ฉันจะก้มหน้ามองไปที่มันแล้วหัวเราะออกมาเล็กๆ  


 


 


ใช่แล้ว สิ่งที่ไม่มีวันจบลงก็คือความรักของ ‘พวกเรา’ ยังไงละ ถึงจะดูน่าอายไปสักหน่อย แต่ฉันก็สามารถโชว์ให้กับพวกคนที่คิดว่าบนโลกนี้ไม่มีคำว่าตลอดกาลได้รู้อย่างมั่นใจว่า ความรักของพวกเรายังคงอยู่ในสถานะก้าวต่อไปข้างหน้า 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม