ลิขิตฟ้าชะตารัก 201-238

ตอนที่ 201

มวลบุปผางาม 


 


 


 


 


 


ชั่วครู่ อวี้จื่อเยียนก็ถามขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “ท่านแม่ ท่านว่านางจะตกหน้าผาจนสมองกลับมาดีจริงหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?” อนุรองว่าเสียงเย็น “ถ้าหากจะมีใครที่สมองกระทบกระเทือนจนนิสัยเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องน่าแปลกเต็มทีแล้ว หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองตกจากหน้าผาเองดูเสียสิ หากตกแล้วไม่ตายนั่นสิถึงจะแปลก” 


 


 


“ก็จริงเจ้าค่ะ” อวี้จื่อเยียนพยักหน้าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง “เช่นนั้นเกิดอะไรกับนางขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคนเช่นนี้” 


 


 


“ใครจะไปรู้เล่า” อนุรองส่ายหน้า “ตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องของนางเลย ให้เด็กเกิดมาเสียก่อนค่อยว่ากัน พวกเราแม่ลูกไม่ใช่คู่มือของนาง หลังจากนี้เจ้าก็ระวังหน่อย อย่าคิดว่าแม่ตั้งครรภ์แล้วจะทำอะไรก็ได้ ครั้งนี้หากไม่ใช่เจ้าที่จงใจหาเรื่องนาง นางก็คงไม่หาเรื่องมาปั่นหัวเราเช่นนี้แน่ ไม่เช่นนั้นหรือเจ้าก็คิดว่านางจะเข้าใจผิดเรื่องน้ำแกงปลาไหลแป็นน้ำแกงตะพาบจริงๆ?” 


 


 


“อ๊ะ นี่ท่านแม่จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางตั้งใจที่จะปั่นหัวพวกเราหรือเจ้าคะ” 


 


 


“อืม ไม่ผิด” อนุรองพยักหน้าลง ก่อนหน้านี้นางมองไม่ออกว่าอวี้อาเหรามีจุดประสงค์เช่นใดกันแน่ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้นางเพิ่งแจ้งแก่ใจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจของหญิงนางนี้ช่างลึกล้ำมิอาจคาดเดายิ่งนัก เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของอวี้จื่อเยียนแล้ว นางก็ขมวดคิ้ว “คนที่ไม่มีสมองเช่นเจ้าไหนเลยจะต่อกรกับนางได้ หากไร้ความสามารถก็ไม่ควรทำอะไรโดยไม่คิด มิเช่นนั้นก็จะถูกเสด็จพ่อของเจ้าตำหนิเอาได้อีก” 


 


 


“เยียนเอ๋อร์ไหนเลยจะรู้ว่านางจะมีสมองมากถึงเพียงนั้น…” อวี้จื่อเยียนตอบเสียงเบา 


 


 


“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่มีสมองบ้างเสียเล่า” อนุรองใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของนาง ดวงตาวาบประกาย จากนั้นก็ปล่อยมือลงแล้วพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าหลังจากที่ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่องค์ชายแห่งเป่ยเจียงมาเยือน เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสองแคว้น จึงดำริที่จะคัดเลือกสาวงามทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิงเพื่อให้อภิเษกสมรสกับเขา ในวังมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะมีเหล่าองค์ชายและคุณชายเข้าร่วมงานมากมาย แม่จะทูลขอเสด็จพ่อของเจ้าให้พาพวกเราสองคนไปร่วมงานด้วย เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับเหล่าบุตรสาวตระกูลขุนนางเสีย หากสามารถหาสามีที่มีกำลังอำนาจได้ก็จะดีมาก เมื่อถึงตอนนั้นฐานะในจวนหลิงอ๋องของเราแม่ลูกก็คงจะสูงขึ้นมาก แต่ถึงแม้นจะหาไม่ได้ อวี้อาเหราก็คงไม่อาจเอาชนะเราได้อยู่ดี!” 


 


 


“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตาของอวี้จื่อเยียนเป็นประกายขึ้นมา 


 


 


“จริงสิ เรื่องนี้แม่ได้ยินท่านอ๋องเคยพูดถึงเอาไว้ก่อนหน้านี้ คิดว่าอวี้อาเหราคงยังไม่รู้หรอก เจ้าควรจะใช้โอกาสนี้รีบเตรียมตัวเสียก่อน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะเป็นหนึ่งมวลบุปผางามในงานเลี้ยง แต่เจ้าต้องระวังเอาไว้ว่า อย่าได้ทำให้พวกองค์หญิงเสวียนจีไม่พอใจเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะตายอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้” 


 


 


“ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินมาว่าอวี้อาเหราดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับองค์หญิงรองไหวซ่งนัก พวกเราก็สามารถใช้โอกาสครั้งนี้ในการยั่วยุ ทำให้พวกนางค่อยๆ ทะเลาะกันไป ดังคำที่กล่าวเอาไว้ว่านั่งบนภูดูเสือกัดกัน ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือเราแล้ว” 


 


 


“อืม เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ครั้งนี้หากนางกล้าที่จะมาหาเรื่องอะไรพวกเราอีกก็อย่าได้สนใจ ไปเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงให้ดีๆ เถิด” อนุรองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ขณะที่กำลังออกคำสั่งก็พินิจโฉมหน้าของลูกสาวตัวเองไปด้วย แม้นางจะไม่ได้สวยงามจนได้รับฉายาว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเยี่ยนเช่นองค์หญิงเสวียนจี แต่นางก็ยังอยู่ในสามอันดับแรกของสาวงามในเมืองเฟิ่งเฉิ่ง แน่นอนว่าจะต้องได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเหล่าท่านอ๋องและคุณชายจำนวนไม่น้อย 


 


 


ทว่าคิ้วของนางก็ยังขมวดเข้าหากันอยู่บ้าง อวี้อาเหรานางนี้นั้นก็ช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก 


 


 


ในยามที่พวกนางสองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อวี้อาเหราก็เดินมาจนถึงเรือนพักของตัวเอง ก็ได้ฟังองครักษ์ของนางรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่อนุรองสองแม่ลูกนั้นพูดคุยกัน เมื่อฟังจนจบแล้ว มุมปากของนางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “พวกนางสองแม่ลูกก็ช่างเจ้าแผนการยิ่งนัก คิดอยากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเลือกคู่ ก็ไม่ดูเลยหรือว่าข้าจะอนุญาตหรือไม่” 

 

 

 


ตอนที่ 202

 

เอาแต่คิดร้ายต่อผู้อื่น 


 


 


 


 


 


“คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนักเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์หัวพลอยหัวเราะไปด้วย “แม้ว่าคุณหนูใหญ่จะนับว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เลวนัก แต่เมื่อคุณหนูของเราแต่งตัวแล้วก็ดูงดงามกว่านางตั้งไม่รู้เท่าไร ถึงแม้พวกนางจะอยากไปปรากฏตัวในงานเลี้ยง แต่อย่างไรก็คงไม่มีผู้ใดสนใจ คุณหนูเองก็ต้องเตรียมตัวให้ดีนะเจ้าคะ” 


 


 


“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า “แต่ว่าข้าก็ขี้เกียจเตรียมนี่นา…” 


 


 


อย่างไรเสียนางเองก็เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใหม่ แม้ว่าจะไม่เชื่อถือในเรื่องที่หญิงต้องปรนนิบัติชายในสมัยโบราณ แต่ก็ไม่อาจขัดได้ นางนั้นก็ขี้เกียจเหลือเกิน หากวันนี้ไม่ใช่เพราะต้องการปั่นหัวอนุรองและอวี้จื่อเยียน นางก็คงคร้านที่จะยุ่งเกี่ยวกับสองแม่ลูกนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจงใจหาเรื่องให้ผู้อื่นเสียหน้าเลย นางนั้นเป็นพวกไม่ยุ่งกับผู้อื่นก่อนหากไม่โดนรังแกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว 


 


 


“คุณหนู ประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว คุณหนูอย่าเพิ่งนอนเลยนะเจ้าคะ…” เจาเอ๋อร์เห็นอวี้อาเหราเอนกายลงบนตั่งตัวยาว ดวงตาก็หรี่ลงอย่างห้ามไม่ได้ เช่นนั้นนางก็รีบเอ่ยปากร้องเตือนขึ้น คุณหนูของนางไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดีทั้งนั้น เสียเพียงอย่างเดียวคือควบคุมอารมณ์ไม่ได้ นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นทำอย่างไรก็แก้ไม่หาย อีกทั้งยังขี้เกียจยิ่งนัก… 


 


 


เมื่อเห็นว่าบ่นว่าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เจาเอ๋อร์จึงทำได้แต่เพียงถอนหายใจก่อนจะไปเตรียมอาหารกลางวัน 


 


 


อวี้อาเหราหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วร้องเรียกต้าเว่ยที่กำลังถอยออกไป “จริงสิ ก่อนหน้านี้ให้เจ้าตรวจสอบเรื่องทรัพย์สินของอนุรอง ได้เรื่องอะไรบ้างหรือไม่” 


 


 


“ข้าน้อยติดตามนางทุกวัน เพียงแต่อนุรองนั้นระมัดระวังตัวมากกว่าผู้อื่น ในขณะที่ตั้งครรภ์นั้นยิ่งไม่ยอมติดต่อกับผู้ใดเลยขอรับ ข้าน้อยเกรงว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้เข้า เช่นนั้นจึงได้แต่คอยหลบอยู่ห่างๆ ทำให้ไม่ทราบว่าเมื่อพวกนางอยู่ในห้องนั้นได้พูดคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แต่คิดว่าอย่างไรก็คงไม่เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินเป็นแน่ขอรับ” 


 


 


“อืม ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปเถิด” อวี้อาเหราโบกมือ 


 


 


อนุรองนั้นระมัดระวังตัวอย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่มีผิด รู้ดีว่านางเจ้าแผนการมาก เพราะอย่างนั้นจึงต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว แล้วจะปล่อยให้นางสืบพบง่ายๆ ได้อย่างไรกัน คิดๆ ดูแล้วหากต้องการที่จะกำจัดอนุรองนั้น ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้คงทำไม่ได้แน่ ตอนนี้จะเข้าเดือนสิบสองแล้ว หากผ่านไปอีกสองสามเดือน อวี้จื้อก็จะกลับมาจากเขาซีซานแล้ว 


 


 


นางมักจะมีลางสังหรณ์เสมอว่า น้องชายต่างมารดาคนนี้คงจะรับมือได้ยากกว่ามารดาและพี่สาวของเขาเป็นแน่แท้ 


 


 


นางคิดพลางขมวดคิ้ว แล้วจึงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งอาหารกลางวันถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย เจาเอ๋อร์ก็เข้ามาปลุกนางในห้อง 


 


 


เมื่อเห็นอาหารหลากหลายบนโต๊ะ นางก็รู้สึกเอียนอยู่บ้าง หลายวันมานี้เพราะต้องการให้นางได้บำรุงร่างกายดีๆ หลิงอ๋องจึงได้สั่งให้คนเตรียมอาหารบำรุงร่างกายขนานใหญ่ไว้เป็นพิเศษ แต่เพราะของดีๆ มักมีรสขม โดยเฉพาะของบำรุงร่างกายเหล่านี้มักจะกินยาก หากทานไปสักมื้อสองมื้อก็คงไม่เป็นไร แต่หากเป็นเวลาเป็นครึ่งเดือนเช่นนี้ก็คงทนไม่ได้แน่ 


 


 


อวี้อาเหราประคองหน้าผาก “นี่ก็จะทำอาหารอย่างพวกไก่ย่างเป็ดย่างไม่ได้เลยหรืออย่างไร หรือไม่ทำหมูพะโล้น้ำแดงก็ยังดี…” 


 


 


“ไม่ได้นะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ส่ายหน้า “ท่านอ๋องและเซิ่นซื่อจื่อสั่งเอาไว้ บอกว่าคุณหนูร่างกายอ่อนแอเกินไป จะต้องบำรุงร่างกายให้ดีๆ ในครัวยังได้เตรียมรังนกเอาไว้ให้ด้วย หลังจากคุณหนูทานข้าวเสร็จแล้ว บ่าวก็จะยกมาให้ทานเจ้าค่ะ” 


 


 


“เซิ่นซื่อจื่อ?” สีหน้าของอวี้อาเหราดูราวไม่อยากจะเชื่อ “เขาสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้” 


 


 


“อ้อ หลังจากที่พวกเราไปจวนเซิ่นอ๋องครั้งก่อน เซิ่นซื่อจื่อก็ได้สั่งบ่าวเอาไว้ บอกว่าคุณหนูนั้นเอาแต่คิดแผนร้ายต่อผู้อื่น สมองว่องไวกว่าใครๆ แน่นอนว่าต้องบำรุงให้มากๆ เจ้าค่ะ นี่เป็นคำพูดของเซิ่นซื่อจื่อนะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้พูดเอง” เจาเอ๋อร์ตอบกลับด้วยใจที่สั่นระรัว 


 


 


“คิดร้ายต่อผู้อื่นอะไรกัน นี่ก็เรียกว่าตาต่อตาฟันต่อฟันต่างหาก” อวี้อาเหราไม่อาจสงบใจได้ดังขาด เมื่อคิดว่าฉู่ป๋ายผู้นี้ก็ช่างตำหนิคนอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งนัก เช่นนั้นนางก็รู้สึกคับแค้นใจขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 203

 

ส่งเทียบเชิญ 


 


 


 


 


 


เจาเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ “คุณหนู ท่านอย่าโกรธเซิ่นซื่อจื่อเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียเขาก็คำนึงถึงสุขภาพของท่าน นี่ก็นับว่าดีกว่าพวกที่ต่อหน้าดีกับคุณหนูแต่ลับหลังจิตใจคดเคี้ยวอำมหิตนะเจ้าคะ” 


 


 


“จะว่าไปแล้วก็จริง” อวี้อาเหราพยักหน้าลงเห็นด้วย ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า “ตอนนี้พวกอนุรองได้สร้างเรื่องวุ่นวายอะไรหรือไม่” 


 


 


“เพิ่งจะถูกคุณหนูจัดการไปเมื่อครู่ พวกนางไหนเลยจะกล้าล่ะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ยิ้มออกมา งานที่อยู่ในมือก็ไม่ได้ช้าลง เพียงไม่นานก็เก็บโต๊ะตะเกียบจนเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยพูดกับอวี้อาเหราว่า “คุณหนูมาทานอาหารเถิดเจ้าค่ะ บำรุงร่างกายและจิตใจให้ดีถึงจะดีที่สุดนะเจ้าคะ”  


 


 


“อืม” อวี้อาเหราสวมรองเท้า แล้วเดินไปที่โต๊ะ 


 


 


ร่างกายของนางนั้นอ่อนแรงเป็นอย่างมาก หากไม่บำรุงร่างกายให้ดีๆ แล้วก็จะทำให้เจ็บป่วยขึ้นมาได้ แต่ว่าเมื่อพูดไปแล้วก็แปลก ร่างนี้ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นร่างกายของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง แต่เหตุใดความสามารถในภพก่อนของนางนั้นก็ยังคงอยู่ในร่างนี้ด้วย เช่นเลือดของนางที่มีคุณสมบัติในการล้างพิษต่างๆ หรือว่าพวกนางไม่เพียงแค่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกัน แม้แต่เรื่องอื่นๆ เองก็ยังเหมือนกันด้วยอย่างนั้นหรือ 


 


 


เดิมทีนางก็คิดว่าร่างกายของนางนั้นก็ได้ทะลุมิติมาที่ต้าเยี่ยนพร้อมกับวิญญาณ แต่กลับพบว่ารอยแผลเป็นที่หลงเหลือเอาไว้ในชาติก่อนนั้นไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงสามารถกำจัดความคิดที่ทะลุมิติมาพร้อมร่างกายออกไปได้ 


 


 


แต่ว่าในโลกนี้จะมีคนที่เหมือนกันไปเสียทุกอย่างด้วยหรือ 


 


 


นอกเสียจากว่านิสัยไม่เหมือนกัน 


 


 


ความลับของจักรวาลนั้นไมมีที่สิ้นสุด นางเองก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากอีก โชคดีที่ภพก่อนของนางเป็นคนตัวเปล่าไม่มีพันธะใดๆ เช่นนั้นจึงค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในตอนนี้ได้ อย่างน้อยก็ยังมีบิดาที่รักเอ็นดูนาง นี่เท่ากับเป็นการชดเชยชีวิตอันโดดเดี่ยวของนางแล้ว 


 


 


ในยามที่รับประทานอาหารนั้น ที่ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังขึ้นมา ชิงอวิ๋นเดินเข้ามากล่าวว่า “คุณหนู หวังกงกงกล่าวว่ามาส่งเทียบเชิญงานเลี้ยงในวังหลวงให้คุณหนูขอรับ” 


 


 


“เทียบเชิญ?” อวี้อาเหราชะงัก 


 


 


“คงจะเป็นงานเลี้ยงเลือกคู่ที่อนุรองพูดถึงแน่ๆ กระมังเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์เตือนขึ้น 


 


 


“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนั้น” อวี้อาเหราพลันเข้าใจในทันที จึงหันไปสั่งชิงอวิ๋นว่า “ให้หวังกงกงเข้ามาเถิด”  


 


 


จำได้ว่าเพราะเรื่องที่องค์รัชทายาทถอนหมั้นจนกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่โตก่อนหน้านั้น ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้นางเข้าวังด้วยความโกรธเคือง หวังกงกงผู้นั้นก็ดูแลนางอย่างดี และอีกฝ่ายยังเป็นถึงขันทีข้างกายของฮ่องเต้ เรื่องอำนาจและความสามารถในการมองเรื่องราวนั้นแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึง การให้ความสำคัญนั้นย่อมเป็นเรื่องดีกว่าเสมอ 


 


 


หวังเซิ่งเต๋อเดินเข้ามาด้านใน ก้มหน้าลงพลางสะบัดไม้ฝูเฉิน “บ่าวคารวะคุณหนูรอง” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหรายิ้มเต็มใบหน้า “เจาเอ๋อร์ ยังไม่รีบรินน้ำชาให้หวังกงกงอีกหรือ” 


 


 


เมื่อพูดจบก็หันกลับไปทางเขาทันที “หวังกงกง ข้ามีชาพระราชทานชั้นดีจากในวัง แต่ชาพวกนี้ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในวังมาตลอดอย่างกงกงแล้ว เกรงว่าจะได้เห็นจนชินตตา คงไม่น่าสนใจเสียกระมัง” 


 


 


 “มิได้ๆ” หวังเซิ่งเต๋อส่ายหน้า “บ่าวไหนเลยจะกล้าเพิกเฉยต่อชาของคุณหนู เพียงแต่ครั้งนี้มาเพื่อส่งเทียบเชิญให้กับคุณหนูทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิง หลายวันมานี้ต้องไปยังจวนขุนนางต่างๆ มากมาย ได้ดื่มแต่ชามาเสียหลายถ้วยแล้ว เมื่อครู่นี้ได้ไปหาคุณหนูเซิ่น ดื่มชาสาลี่ไปเสียเต็มท้อง หากไม่หาโอกาสขอตัวออกมา เกรงว่าคุณหนูเซิ่นผู้มีไมตรีจิตยิ่งนักคงยังเอาขนมสาลี่มาให้ทานอีกหลายชิ้น” 


 


 


“โอ้ ในเมื่อหวังกงกงกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่กล้าจะเอาชามาให้ท่านดื่มแล้วสิ” 


 


 


“คุณหนูกล่าววาจาน่าขันแล้ว” 


 


 


หวังเซิ่งเต๋อส่ายหน้าเป็นพัลวัน หยิบเทียบเชิญสีทองจากพานที่ขันทีข้างหลังถืออยู่ส่งมาให้เจาเอ๋อร์ แล้วค่อยๆ ยื่นส่งให้นาง

 

 

 


ตอนที่ 204

 

งานเลือกคู่ 


 


 


 


 


 


ด้านบนมีลายมังกรประดับเอาไว้ ดูพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต เหมือนมังกรทองแห่งสวรรค์ชั้นเก้า เพียงมองก็รู้ว่าเป็นของใช้ของราชวงศ์ แม้แต่เหล่าองค์ชายหรือขุนนางชั้นอ๋องก็ไม่มีใครกล้าใช้สัญลักษณ์นี้ เพราะหากไม่ระวังก็อาจจะมีโทษมหันต์ ถูกตัดศีรษะได้ง่ายๆ 


 


 


“คุณหนูรอง ฮ่องเต้ทรงทราบมาว่าองค์ชายแห่งเป่ยเจียงได้เดินทางมาเยือนต้าเยี่ยน เพื่อที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น จึงได้ทรงจัดงานเลือกคู่ขึ้น ขอให้คุณหนูได้โปรดเตรียมตัวให้ดี เดิมทีฝ่าบาททรงใส่พระทัยงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทรงรับสั่งให้คุณหนูทุกท่านแต่งกายให้สวยงามวิจิตร อีกทั้งทรงได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณหนูรองได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นจึงโปรดให้เลื่อนเวลาไปอีกเจ็ดวัน” 


 


 


หวังเซิ่งเต๋อปรายตามองไปยังเทียบเชิญ ขณะที่กำลังกล่าววาจา 


 


 


“กงกงทราบหรือไม่ว่าคนที่ฝ่าบาทตั้งพระทัยที่จะพระราชทานสมรสให้นั้นเป็นใคร” อวี้อาเหราเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะแม้นางนั้นจะถือว่าเป็นหนึ่งในคุณหนูของเมืองเฟิ่งเฉิง แน่นอนว่าจะต้องเข้าร่วมในงานพิธีเลือกคู่ครั้งนี้ แต่เรื่องของการหมั้นหมายระหว่างนางและรัชทายาทนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ถือว่าวางใจได้ชั่วคราว  


 


 


นางลอบทอดถอนใจ การแต่งงานของหญิงตระกูลสูงศักดิ์ในยุคโบราณนี้ล้วนขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจในมือ ไม่อย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไปตามวาจาของพ่อแม่และแม่สื่อ ผู้หญิงไม่มีอำนาจแม้แต่น้อย แต่นางนั้นไม่ได้เป็นหญิงยุคโบราณ นางเป็นผู้หญิงที่มีความคิดของยุคสมัยใหม่ จะไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นเข้ามากำหนดเรื่องสำคัญทั้งชีวิตของตนเองเป็นอันขาด 


 


 


เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงดำริพระราชสมรสให้นางกับองค์รัชทายาท องค์ชายแห่งเป่ยเจียง หรือไม่ว่าชายใดก็ตาม นอกเสียจากว่านางจะยินยอมพร้อมใจแล้ว มิเช่นนั้นไม่ว่าจะสับนางเป็นชิ้นๆ นางก็ไม่มีทางยอมแต่งกับผู้ชายที่นางไม่ได้รัก 


 


 


ส่วนองค์รัชทายาทนั้น นางก็ไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย… 


 


 


“พระทัยของฝ่าบาทนั้นบ่าวไม่อาจทราบได้ขอรับ” หวังเซิ่งเต๋อยิ้มน้อยๆ และเปลี่ยนเรื่องโดยฉับพลัน “แต่ขอคุณหนูอย่าได้เป็นกังวล” 


 


 


“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณกงกงมากที่กล่าวเตือน” อวี้อาเหราพยักหน้า เข้าใจถึงความหมายในคำพูดของเขา หวังกงกงผู้นี้แม้ว่าจะคาดเดาพระทัยฮ่องเต้ไม่ได้ แต่เขาก็คงจะมองออกอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็เข้าใจว่านางไม่ต้องกังวลใจว่าตนเองจะถูกเลือก 


 


 


ทว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์แห่งสกุลเริ่นนั้นทำราวกับชอบฟู่เส่าชิงเข้าจริงๆ หากฝ่าบาทให้เขาแต่งกับผู้อื่นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า 


 


 


เมื่อคิดแล้ว นางก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาในทันที “คุณหนูแห่งจวนราชเลขากรมขุนนางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือไม่” 


 


 


“แน่นอนว่าต้องไปขอรับ” หวังกงกงพยักหหน้า “เมื่อครู่ยามที่บ่าวไปส่งเทียบเชิญ คุณหนูหว่านเอ๋อร์ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ราวกับมีบางเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ” 


 


 


“นางไม่มีอะไรหรอก ขอกงกงอย่าได้ถือสา” นับว่าอวี้อาเหรากล่าวได้ดีมาก ชายหนุ่มที่ตนเองชอบกำลังมีพิธีเลือกคู่ แม้ว่าจะไม่อาจโกรธเคือง แต่หากเปลี่ยนเป็นใครก็ย่อมจะต้องเป็นกังวลแน่ 


 


 


“บ่าวเข้าใจ” หวังกงกงทราบดีว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไร หลังจากดื่มชาจนหมดแล้วจึงพูดขึ้นมา “ยังมีอีกหลายบ้านที่ยังไม่ได้ส่งเทียบเชิญไปให้ บ่าวคงต้องขอตัวก่อน” 


 


 


“กงกงเดินทางระวังด้วย” อวี้อาเหราพยักหน้า 


 


 


หลังจากหวังเซิ่งเต๋อไปแล้ว นางจึงค่อยนั่งลงทานอาหารต่อ 


 


 


เจาเอ๋อร์ที่เห็นคนทั้งสองพูดคุยกันเมื่อครู่นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาขึ้น “คุณหนู เหตุใดท่านจึงเกรงอกเกรงใจต่อหวังกงกงถึงเพียงนี้เจ้าคะ” 


 


 


“เขาเป็นคนสนิทข้างกายของฝ่าบาท หากกล่าววาจาออกไปไม่ระวังก็จะกำหนดชีวิตของเจ้าได้ หากมีความสัมพันธ์อันดีต่อเขาสักหน่อย ต่อไปก็คงจะได้รับรู้เรื่องราวมากมายมิใช่หรือ? เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือว่าข้านั้นไม่ต้องกังวลใจเรื่องการเลือกคู่ นี่ก็นับว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญ เช่นนั้นจำต้องเกรงใจเขาไว้บ้างก็ดี”

 

 

 


ตอนที่ 205-206

 

ตอนที่ 205 ตีกลับไป 


 


 


 


 


 


“จริงสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย” เจาเอ๋อร์ตบหน้าผากด้วยความรู้สึกผิด “หวังกงกงเป็นถึงคนข้างพระวรกายของฝ่าบาท ย่อมจะไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ แม้แต่เหล่าขุนนางในราชสำนักและเหล่าพระสนมนางในก็จะต้องประจบเอาใจเขา หากเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเราแล้ว ต่อไปเรื่องอะไรก็คงจะจัดการได้ราบรื่นมากขึ้น” 


 


 


“ใช่” อวี้อาเหรามองนางด้วยความพึงพอใจที่นางเข้าใจได้ ก่อนจะออกคำสั่งว่า “เจ้าไปแอบถามมาสิว่าหวังกงกงโปรดปรานสิ่งใด แล้วพวกเราก็ไปเตรียมมาให้พร้อม”  


 


 


“ไม่ต้องไปสืบแล้วเจ้าค่ะ บ่าก็ทราบเจ้าค่ะคุณหนู” เจาเอ๋อร์ตอบกลับมาในทันที “ได้ยินมาว่าหวังกงกงนั้นชอบขวดยานัตถุ์เป็นที่สุด นี่ก็เป็นเรื่องที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิงเสียนานแล้ว เช่นนั้นคุณหนูก็ลองส่งขวดยานัตถุ์ดีๆ ไปให้เขาสักขวดสิเจ้าคะ” 


 


 


“แล้วจะไปเอาขวดยานัตถุ์มาจากที่ใดกัน” อวี้อาเหราขมวดคิ้วถามขึ้น 


 


 


“ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมีขวดยานัตถุ์ที่ทำจากหยกขาวลายดอกกล้วยไม้อยู่เจ้าค่ะ คุณหนู เช่นนั้นท่านก็ลองไปขอร้องท่านอ๋องให้ประทานขวดยานัตถุ์ให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถเอาไปให้หวังกงกงได้แล้ว อย่างไรเสียจวนหลิงอ๋องของพวกเราก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไรอยู่แล้ว” เจาเอ๋อร์คิด แล้วจึงเสนอความคิดเห็นออกไป  


 


 


“ดี เช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” อวี้อาเหราพยักหน้าลง “ประเดี๋ยวเวลาอาหารเย็นก็จะมีงานเลี้ยงฉลองให้อนุรอง เมื่อถึงเวลานั้นก็เข้าไปทูลขอก็ได้แล้ว” 


 


 


“เจ้าค่ะคุณหนู” เจาเอ๋อร์พยักหน้าด้วยความยินดี 


 


 


หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ยามที่เจาเอ๋อร์กำลังเก็บถ้วยชามตะเกียบนั้น ก็เห็นเริ่นหว่านเอ๋อร์เดินร้องไห้เช็ดน้ำตาเข้ามาจากด้านนอก อวี้อาเหราถอนสายตาออกมาจากนอกหน้าต่างด้วยความแปลกใจ ก่อนจะสวมรองเท้าแล้วออกไปต้อนรับ “เจ้าเป็นอะไรไป ใครกล้ารังแกคุณหนูใหญ่แห่งจวนราชเลขาได้” 


 


 


“พี่เหรา” เริ่นหว่านร้องไห้เอ๋อร์สะอึกสะอื้น 


 


 


“เป็นอะไรไป” อวี้อาเหราพินิจมองดวงตาแดงก่ำของนาง ในใจของนางคิดว่าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องงานเลือกคู่ของฟู่เส่าชิงกระมัง? แต่นางต้องร้องไห้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ เรื่องนี้ยังไม่ได้สรุปเลย ทางฝั่งฮ่องเต้เองก็ยังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าแท้ที่จริงแล้วพระองค์ทรงเลือกใครกันแน่ 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์ทำราวกับจะหยุดร้องไห้เล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้านางแล้วก้มหน้าลงไปร้องไห้ใหม่ 


 


 


อวี้อาเหราอับจนหนทาง เรื่องที่นางไม่ถนัดที่สุดก็คือเรื่องที่ต้องรับมือกับเด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ เพราะนางไม่รู้ว่าจะต้องปลอบอย่างไรดีนี่น่ะสิ นางยิ่งเป็นเล่านิทานอะไรไม่เก่ง จนทำให้นางปวดหัวขึ้นมาในทันที จึงรีบส่งสายตาให้เจาเอ๋อร์ 


 


 


เจาเอ๋อร์มองมาอย่างนึกขัน แล้วค่อยปัดมือแล้วเดินเข้ามา เอ่ยปลอบขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ มีคนรังแกท่านหรือ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องงานเลือกคู่ของฝ่าบาท…” 


 


 


“ไม่ใช่” เริ่นหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าในที่สุด 


 


 


เรื่องนี้ทำให้เจาเอ๋อร์และอวี้อาเหราชะงักไป ในเมื่อไม่ใช่เรื่องงานเลือกคู่ของฮ่องเต้แล้วจะร้องไห้ทำไมกันเล่า 


 


 


เจาเอ๋อร์ปลอบใจได้สองสามประโยคเสียงร้องไห้ก็หยุดลง ทำได้แต่เพียงหยักไหล่ให้นาง แล้วขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณหนูหว่านเอ๋อร์คงจะมีเรื่องทุกข์ใจ ให้นางได้ร้องไห้สักพักเถิดเจ้าค่ะ คุณหนู ท่านก็อย่าได้รบกวนนางเลย” 


 


 


“อืม” แม้อวี้อาเหราจะปวดหัว แต่นางก็อับจนหนทาง ทำได้แต่เพียงปล่อยให้เริ่นหว่านเอ๋อร์ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้นวมตัวยาวแล้วร้องไห้ด้วยอาการหัวใจแตกสลาย เสียงร้องไห้นี้ทำให้นางอดปวดใจไม่ได้ ราวกับชีวิตถูกผู้อื่นรังแกปานนั้น ในสิ่งที่นางได้พบเจอมาก็ยากจะจินตนาการได้เลยว่ามีเรื่องอะไรที่ควรค่าให้ร้องไห้ได้ขนาดนี้  


 


 


“พี่เหรา” ท่าทางของเริ่นหว่านเอ๋อร์ราวกับร้องไห้จนเหนื่อยเสียแล้ว เมื่อหยุดร้องแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ถูกลมปะทะจนแดงก่ำไปทั่ว ดวงตาก็แดงเรื่อ น้ำตาไหลนองไปทั่วทั้งใบหน้า นางเห็นแล้วก็รู้สึกหัวใจถูกบีบ รีบถามขึ้นในทันที “ที่แท้เจ้าเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดต้องร้องไห้ หากมีใครรังแกเจ้า ก็ส่งคนไปตีเสียสิ!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 206 สามภรรยาสี่อนุ 


 


 


 


 


 


“ไม่ใช่นะเจ้าคะ พี่เหรา” เริ่นหว่านเอ๋อร์รีบส่ายหน้า แล้วเอ่ยปากพูดอย่างตะกุกตะกัก “จะ จริงๆ แล้ว พี่ชิงเขา…” 


 


 


“เขารังแกเจ้าหรือ” อวี้อาเหราพลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา สิ่งที่นางทนเห็นไม่ได้มากที่สุดคือการที่ชายหนุ่มรังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หากได้เจอเขาแล้วนางจะตีเขาเสียจนจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้เลย เจาเอ๋อร์เมื่อเห็นนางโกรธเคืองขึ้นมาก็แย้มริมฝีปากพูดขึ้นว่า “คุณหนู ท่านใจเย็นๆ ก่อนเถิดเจ้าค่ะ เราก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” 


 


 


“อ้อ แล้วเขาทำไมล่ะ” อวี้อาเหราแสร้งยิ้มประจบขึ้น ปกปิดท่าทีเสียอาการเมื่อสักครู่ 


 


 


“ข้าเพียงแต่อยากจะมาดูว่าพี่ชิงเขาอยู่กับท่านที่นี่หรือไม่เจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์สูดน้ำมูก 


 


 


“หา? เจ้าคงจะไม่ได้ร้องไห้เพราะหาเขาไม่เจอใช่หรือไม่” อวี้อาเหรากลอกตาอย่างจนคำพูด ในโลกนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เรื่องที่น่าแปลกประหลาดมีมากมายเป็นกอง นางยังต้องพบเจออะไรอีกตั้งมาก จะต้องร้องห่มร้องไห้เพื่อผู้ชายขนาดนี้เขียวหรือ 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์รีบส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้น วันนี้หวังกงกงมายังจวนของข้าเพื่อส่งเทียบเชิญ ข้าถึงได้รู้ว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะจัดงานเลือกคู่ให้กับพี่ชิง เพราะอย่างนั้นข้าจึงไปถามเขาที่หอว่านฮวา แต่สุดท้ายเขากลับพูดขึ้นมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน ว่าฝ่าบาทจัดงานเลือกคู่ให้แล้วไม่ดีตรงไหน อีกทั้งยังให้หญิงหน้าไม่อายเหล่านั้นทั้งผลักทั้งดันข้าให้ออกจากห้อง พอข้าไม่ยอม พี่ชิงเลยไปเอง ข้าหาตั้งนานก็หาเขาไม่พบแม้เพียงเงา เพราะอย่างนั้นจึงได้มาหาพี่เหราที่นี่เพื่อจะมาดูว่าเขาอยู่ที่นี่หรือไม่” 


 


 


“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาแล้ว เรื่องความรู้สึกของผู้อื่นนางจะไม่มีทางสอดปากเข้ามายุ่ง นี่ก็ยากจะกล่าวว่าใครถูกใครผิด 


 


 


“คุณหนูหว่านเอ๋อร์ องค์ชายแห่งเป่ยเจียงไม่ได้อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ตอบ 


 


 


“อืม ข้าทราบแล้ว” เริ่นหว่านเอ๋อร์เช็ดน้ำตา ก่อนพยักหน้ารับอย่างฝืดฝืน 


 


 


อวี้อาเหราเมื่อเห็นอารมณ์ของนางไม่ใคร่จะดีนัก จึงได้แต่พูดว่า “เมื่อสองวันก่อนพวกเราแกล้งปั่นหัวอนุสาม ให้นางเก็บดอกเบญจมาศมาให้ในจำนวนมาก เพื่อให้คนครัวทำขนมเบญจมาศให้กิน เจ้านั่งรอตรงนี้ก่อนเถิด อีกสักพักพี่ชิงของเจ้าอาจจะมาที่นี่เองก็เป็นได้ หากเจ้ากลับไปในสภาพเช่นนี้ ให้ท่านพ่อของเจ้าเห็นเข้าก็คงไม่ดีนัก…” 


 


 


“แกล้งปั่นหัวอนุสาม?” เริ่นหว่านเอ๋อร์เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา 


 


 


อวี้อาเหราพยักหน้า ก่อนจะให้เจาเอ๋อร์ไปสั่งความคนครัว แล้วค่อยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เริ่นหว่านเอ๋อร์ฟัง 


 


 


 หลังจากที่นางได้ฟังจนจบแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน “ไม่คิดเลยว่าพี่เหราจะนิสัยไม่ดีถึงเพียงนี้ ฮ่าๆ…” 


 


 


“หากข้าไม่ทำเช่นนี้แล้ว ก็คงจะต้องถูกรังแกเหมือนเมื่อก่อนน่ะสิ” อวี้อาเหรากลอกตามองค้อนนางคราหนึ่ง 


 


 


“ใช่แล้ว เมื่อก่อนข้าก็มักจะได้ยินว่าท่านถูกรังแกบ่อยๆ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก แม้กระทั่งหลิงอ๋องก็ไม่ทราบเรื่องนี้เลยหรือ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงสะบัด จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “แต่ว่าพี่เหรา เหตุใดท่านจึงไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยเล่า” 


 


 


“ก็เกือบตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องไม่เหมือนเดิมน่ะสิ” อวี้อาเหราเงียบไป 


 


 


“ก็จริง” เริ่นหว่านเอ๋อร์นึกถึงเรื่องการแย่งชิงอำนาจในหมู่ภรรยาหลวงและภรรยาน้อยในจวนหลิงอ๋องแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา “โชคดีที่ท่านพ่อของข้าไม่ได้แต่งตั้งภรรยาคนใดขึ้นมาหลังจากที่ท่านแม่ตายไป ดังนั้นภายในจวนจึงค่อนข้างสงบ ไม่มีใครกล้าที่จะรังแกข้า” 


 


 


“นั่นก็เป็นเพราะเจ้าเติบโตมาอย่างดี” อวี้อาเหราถามกลับ “เจ้าลองดูครอบครัวใหญ่ๆ ในเมืองเฟิ่งเฉิงแห่งนี้สิ เพียงแค่มีเงินสักหน่อย ก็แต่งตั้งภรรยาสามอนุภรรยาสี่กันแล้ว” 


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย 


 


 


“เพราะอย่างนั้นเจ้าต้องจดจำเอาไว้ว่าตัวเจ้านั้นจะต้องมีความสามารถ เช่นนี้จึงจะไม่ถูกผู้ใดรังแกเอาได้” อวี้อาเหราพูดอย่างแฝงความนัย หวังว่านางจะเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนกำลังพูดถึง

 

 

 


ตอนที่ 207-208

 

ตอนที่ 207 ยอมรับกับผีน่ะสิ 


 


 


 


 


 


ฟู่เส่าชิงนั้นไม่เหมือนกับคุณชายธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงองค์ชายแห่งเป่ยเจียง หลังจากนี้เมื่อราชินีแห่งเป่ยเจียงสวรรคตแล้วเขาก็จะต้องสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ เช่นนั้นวังหลังของเขาก็ไม่อาจมีหญิงสาวเพียงผู้เดียวได้ 


 


 


นิสัยใจคอของเริ่นหว่านเอ๋อร์นั้นไม่เหมาะสมเลยที่จะแต่งงานเข้าไปในพระราชวังอันโหดร้าย ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องถูกทำร้ายจนเหมือนตายทั้งเป็น แต่นางก็เชื่อเป็นอย่างมากว่าตอนนี้ไม่ว่านางจะพูดไปมากมายเพียงใด ก็ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับฟัง 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์มองมาราวกับเข้าใจในสิ่งที่นางพูด “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่เหรา” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราตอบรับสั้นๆ หากไม่เห็นแก่คำว่าพี่สาวนี้ นางก็ไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่นมากนัก ทุกคนต่างมีชีวิตทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ 


 


 


ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอย่างจริงจังอยู่นั้น เจาเอ๋อร์ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วเพียงนี้ แล้วขนมเล่า” อวี้อาเหราถามขึ้นอย่างแปลกใจ 


 


 


“คุณหนู คุณหนูหว่านเอ๋อร์เจ้าคะ เมื่อครู่นี้บ่าวพบองค์ชายเป่ยเจียงในห้องครัว เพราะอย่างนั้นจึงใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดรีบมาบอกก่อน นี่จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ขมวดคิ้ว 


 


 


“ทำอย่างไรอะไรกัน พวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” อวี้อาเหราไม่เข้าใจ 


 


 


“แต่คุณหนูหว่านเอ๋อร์…” เจาเอ๋อร์มองไปทางเริ่นหว่านเอ๋อร์ 


 


 


อวี้อาเหราชะงักไป “หว่านเอ๋อร์ เจ้าไปหลบที่หลังฉากกั้นก่อนเถิด ข้าขอดูก่อนว่าฟู่เส้าชิงมาทำอะไรที่นี่” 


 


 


“อ้อ” เริ่นหว่านเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่านางนั้นมีแผนการอะไรกันแน่ แต่ก็เชื่อคำพูดของนาง เข้าไปหลบที่หลังฉากกั้นตามที่สั่ง ฉากกั้นที่มีขนาดใหญ่นั้นบังทั้งร่างของนางได้มิด 


 


 


เป็นจริงดังคาด ทันใดนั้นฟู่เส่าชิงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก มองซ้ายมองขวา กวาดสายตาไปทั่ว 


 


 


“เจ้ามองหาอะไรหรือ” อวี้อาเหราถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน 


 


 


“ข้าอยากจะมาดูว่าเริ่นหว่าเอ๋อร์อยู่ที่นี่หรือไม่ วันนี้ก็ไม่รู้ว่านางเกิดนึกอะไรขึ้นมา ทำให้ข้าหมดอารมณ์ร่ำสุรากับเหล่าสาวงามยิ่งนัก ถ้าหากไม่ใช่เพราะคิดว่านางคงไม่มีทางมาหาเจ้า เช่นนั้นข้าก็คร้านที่จะถ่อมาถึงจวนหลิงอ๋องที่ไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย” 


 


 


อวี้อาเหรากลอกตา ที่แท้แล้วเจ้าหมอนี่ก็แค่ต้องการจะหลบเริ่นหว่าเอ๋อร์ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาทำกับนาง จนนางร้องไห้ร้องห่มจะเป็นจะตายแล้วก็ทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา น้ำเสียงเย็นๆ พูดขึ้นว่า “หากไม่มีอะไรน่าสนใจเจ้าก็ไม่ต้องมา จวนหลิงอ๋องของข้านั้นไม่ใช่วังหลังของพระราชวังเป่ยเจียงของเจ้า ที่ใครจะมาก็มาได้” 


 


 


“โอ้ เหตุใดวันนี้สาวน้อยเช่นเจ้าถึงได้เคืองโกรธถึงเพียงนี้เล่า” ฟู่เส่าชิงหัวเราะค้าง แล้วหันไปสั่งความกับเจาเอ๋อร์ “ไปเถิด ไปรินน้ำชาให้ข้าหน่อย” 


 


 


“ไม่ต้องไป” อวี้อาเหราเรียกเอาไว้ “ที่นี่ไม่มีน้ำชา” 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงได้ใจแคบถึงเพียงนี้นะ” ฟู่เส่าชิงสงสัยขึ้นมา “ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าสักหน่อยนี่” 


 


 


“ไม่ได้ทำหรือ?” อวี้อาเหราแค่นเสียงเย็น “วันนี้ข้าได้ยินมาว่าเจ้าก็ดูจะยินดีกับเรื่องที่ฝ่าบาทจัดงานเลือกคู่ให้เจ้านี่น่า” 


 


 


“แล้วเหตุใดจะไม่ยินดีเล่า” ฟู่เส้าชิงหัวเราะเย้ย จากนั้นก็โต้กลับว่า “สาวน้อย เจ้าคงชอบข้าขึ้นมาแล้วสิใช่หรือไม่ พอได้ยินว่าฝ่าบาทจัดการเรื่องการเลือกคู่ให้ข้าก็โกรธขึ้นมาอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“หากข้าชอบเจ้าก็คงจะตาบอดแล้ว” เพียงพริบตาอวี้อาเหราก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก 


 


 


ฟู่เส่าชิงผู้นี้อย่างไรก็เป็นองค์ชายแห่งเป่ยเจียง แล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้นะ มาบอกว่านางชอบเขาหรือ เช่นนั้นนางยอมไปชอบฉู่ป๋ายเสียยังจะดีกว่า 


 


 


“ในเมื่อไม่ใช่ แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้ด้วย” ฟู่เส่าชิงยังคงยิ้ม “เจ้าไม่เห็นจะต้องอายเลย คนที่ชอบข้านั้นก็ไม่ได้มีเพียงเจ้าคนเดียวเสียหน่อย ข้าไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอกน่า รีบยอมรับมาเร็วๆ เถิด” 


 


 


“ยอมรับกับผีน่ะสิ!” อวี้อาเหราแค่นเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 208 ช่างชั่วช้าเสียจริง 


 


 


 


 


 


ฟู่เส่าชิงชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่คิดว่าธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องเมื่อจะด่าคนขึ้นมาแล้วจะด่าได้อย่างออกรสออกชาติถึงเพียงนี้” 


 


 


อวี้อาเหราถูกเขาทำให้โกรธจนไม่ทันยั้งคิด ทันใดนั้นก็รีบผ่อนลมหายใจออกมา เหตุใดถึงได้มีคนเช่นนี้อยู่บนโลกด้วยนะ ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรเขาก็มักจะเปลี่ยนเรื่องเฉไฉ จนทำให้หมดคำที่จะตอบโต้ 


 


 


“องค์ชายเชิญประทับก่อนเพคะ บ่าวจะไปรินน้ำชามาให้เพคะ” ยังดีที่เจาเอ๋อร์หัวไว เมื่อเห็นคุณหนูของตนเริ่มจะต่อกรไม่ไหว ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที  


 


 


“เจ้านี่ก็น่าสนใจจริงๆ” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้ม 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลอบมองไปยังฉากกั้น แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าไล่เริ่นหว่านเอ๋อร์ออกจากหอว่านฮวาหรือ” 


 


 


“แล้วจะทำไม ก็นางทำให้ข้าปวดหัว” ฟู่เส่าชิงทำทีเป็นกุมหัว “หากไม่ใช่เพราะเมื่อตอนนั้นนางได้ช่วยข้าเอาไว้ ข้าก็คงไล่นางไปเสียนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้นางสร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ได้อีก แล้วเรื่องงานเลี้ยงเลือกคู่นั้นก็เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัย หากข้าไม่ชอบแล้วจะทำอะไรได้? แต่โชคดีที่ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก อย่างไรเสียการดื่มเหล้าได้สาวงามก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี กลัวแต่เพียงว่าฝ่าบาทจะตาบอดเลือกคนอัปลักษณ์มาให้ก็เท่านั้น เช่นนั้นข้าก็คงไม่ชอบอยู่บ้างจริงๆ…” 


 


 


 ตาบอด? เขาก็ช่างกล้าพูด! 


 


 


อวี้อาเหรานับถือในความกล้าหาญของเขายิ่งนัก วาจานี้หากให้ฝ่าบาทได้ยินเข้า มีหวังบันดาลโทสะจนต้องสั่งประหารเขาเป็นแน่ ช่างไม่สำนึกเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“แต่อย่างไรเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็เป็นเด็กผู้หญิง เจ้าไล่นางไปเช่นนี้มันดูไม่เหมาะสม…” 


 


 


“แล้วจะทำไม” ฟู่เส่าชิงแค่นเสียงเย็น “อย่างไรเสียนางก็วิ่งตามก้นข้าไปทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ จะเหลือหน้าอะไรมาให้อายกันอีกเล่า!” 


 


 


ทันทีที่พูดจบ เริ่นหว่านเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากฉากกั้น มองมาด้วยสายตาโกรธเคือง “พี่ชิง วาจานี้ท่านก็พูดออกมาจากใจของท่านจริงๆ หรือเจ้าคะ” 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้” ฟู่เส่าชิงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“หากข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่ได้ยินความในใจของท่านหรอกใช่หรือไม่” เริ่นหว่านเอ๋อร์ตะคอกออกมาด้วยความโกรธเคือง 


 


 


แสงสว่างภายในใจราวกับมลายหายไปในพริบตา ราวกับนางไม่ใช่คนน่าสงสารผู้เศร้าสร้อยอีกต่อไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมานางเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา แต่เขากลับไม่เห็นค่า ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย แล้วจะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร! 


 


 


อวี้อาเหราที่อยู่ข้างๆ รู้สึกว่าฟู่เส่าชิงนั้นใจร้ายยิ่งนัก อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหญิงที่ไร้เดียงสาเพียงเท่านั้น เหตุใดถึงได้ใจร้ายถึงเพียงนี้ นี่ก็ช่างน่าโกรธเคืองจนนางต้องกัดฟันกรอดๆ พลันนึกถึงคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่วิ่งไล่ตามองค์รัชทายาทผู้นั้น สุดท้ายแล้วก็กลับถูกผลักตกหน้าผาไปก็เท่านั้นเอง 


 


 


ช่างชั่วช้าเสียจริง! 


 


 


ในใจของนางก่นด่าคนทั้งสองอย่างเดือดดาล 


 


 


หลังจากที่ฟู่เส่าชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย มุมปากของเขาก็เผยเป็นรอยยิ้ม “คิดว่าข้าจะสนใจอย่างนั้นหรือ ความจริงในใจอะไรกัน ทั้งหมดนี่ก็เป็นเจ้าเองที่วิ่งไล่ตามข้า หากข้าไม่เห็นแก่บุญคุณที่ช่วยชีวิต เจ้าคิดว่าจะยังสามารถตามติดข้าได้อยู่อีกหรืออย่างไร” 


 


 


“ท่าน!” เริ่นหว่านเอ๋อร์โกรธจนตาแดงก่ำ 


 


 


“อย่ามาท่านๆ ข้าๆ อยู่เลย ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้หมดแล้ว ก็ไสหัวไปเสีย” สายตาของฟู่เส้าชิงสับสน 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างของตนเอง ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของฟู่เส่าชิง กลับเห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นปกติ แม้นเมื่อก่อนจะคิดว่าเขาเองก็น่าจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก 


 


 


นางหลุบสายตาลง แล้วพุ่งออกนอกประตูไป 


 


 


“หว่านเอ๋อร์…” อวี้อาเหรายังไม่ทันที่จะร้องเรียก นางก็หายไปเสียแล้ว หันกลับมาจ้องมองฟู่เส่าชิงด้วยความโกรธเคือง ทันใดนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะเขา 


 


 


หลังจากร้องโอดโอยขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ฟู่เส่าชิงก็มองหน้านางด้วยความตกใจ “เจ้าเตะข้าทำไมกัน” 

 

 

 


ตอนที่ 209-210

 

ตอนที่ 209 คนเฮงซวย 


 


 


 


 


 


“ก็เพราะเจ้าสมควรโดนน่ะสิ!” อวี้อาเหราถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง เจ้าหมอนี่ทำให้เด็กผู้หญิงเสียใจแต่กลับไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด กลับกล้ามาย้อนถามว่าทำร้ายเขาทำไมอีก? นี่เขาก็ไม่สมควรจะโดนตีหรืออย่างไร 


 


 


“เจ้าก็บ้าไปแล้วหรือ” ปากของฟู่เส่าชิงพึมพำเป็นคำด่าออกมาเบาๆ 


 


 


“ถ้าข้าบ้าข้าก็เตะเจ้าได้อีกสินะ” อวี้อาเหราไม่สนใจอะไรอีก วาดเท้าขึ้นเตะอีกฝ่ายในทันที เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว สายตาเริ่มจะเห็นเค้าลางแก่งความโกรธเคือง “แม่หนูนี่นะ หากเจ้ายังกล้าทำร้ายข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าแม้จะเป็นเจ้าข้าก็จะตี” 


 


 


ตี? กล่าวกันว่าผู้ชายดีๆ จะไม่ตีผู้หญิง ผู้ชายที่กล้าตีผู้หญิงแล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร! อวี้อาเหราตำหนิในใจ เงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้ “หากเจ้าสามารถก็ตีข้าเลยสิ” 


 


 


“เจ้า…” ฟู่เส่าชิงถูกนางคุกคามเช่นนี้ก็ต้องถอยหลังไป หมุนกายแล้วเดินออกไป “ข้าคร้านที่จะลงไม้ลงมือกับเจ้าแล้ว” 


 


 


ขณะที่พูดนั้นก็จัดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองไปด้วย 


 


 


“ชิงอวิ๋น ต้าเว่ย ขวางเขาเอาไว้!” อวี้อาเหราร้องสั่งออกไปด้านนอก  


 


 


ชิงอวิ๋นที่ยืนคุมอยู่นอกประตูและต้าเว่ยที่ลอยค้างอยู่ในอากาศพลันชักดาบออกมาแล้วขวางที่ด้านหน้าฟู่เส่าชิงเอาไว้ทันที 


 


 


สีหน้าของเขาตกตะลึงเล็กน้อย อารมณ์ความโกรธค่อยๆ เลือนหายไป มีรอยยิ้มเข้ามาแทนที่ “แม่หนู ข้าเพียงแต่บอกว่าจะตีเจ้าเพราะโกรธเคืองเท่านั้น เจ้าก็ช่างใจแคบเสียเหมือนกับใจมด ต่อไปหากแต่งงานแล้วสามีของเจ้าจะกล้าออกไปหาสาวงามข้างนอกได้หรือ” 


 


 


“จับตัวเขามา” อวี้อาเหราไม่สนใจ ตะคอกขึ้นเสียงดัง 


 


 


ชิงอวิ๋นและต้าเว่ยขยับกาย ฟู่เส่าชิงจึงหมุนกายน้อยๆ เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็เคลื่อนย้ายออกจากวงล้อมเสียแล้ว 


 


 


พวกของอวี้อาเหราพากันตื่นตกใจ ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีวรยุทธ์เก่งกาจถึงเพียงนี้ ใช้กระบวนท่าเพียงพริบตาก็สามารถหลบหนีออกไปแล้ว ช่างน่าตกใจเสียยิ่งนัก ชิงอวิ๋นและต้าเว่ยเองก็ไม่สามารถสกัดกั้นเขาเอาไว้ได้ สีหน้าจึงเผยความกังวลออกมาบ้าง 


 


 


ครั้งนี้หากไม่ให้บทเรียนเขาเสียบ้าง ครั้งหน้าหากพบกันจะไม่บ้าคลั่งไปมากกว่านี้หรือ? 


 


 


“คุณหนูอย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ เมื่อวานท่านอ๋องสั่งให้คุณหนูเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงของอนุรอง ตอนนี้ควรไปตรวจสอบว่าอาหารเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ยในทันที เพื่อช่วยให้อวี้อาเหราคลายความอึดอัดใจลง ทว่านางกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เอาเรื่องเจ้า ชิงอวิ๋น พวกเจ้าถอย” 


 


 


“ขอรับ” ชิงอวิ๋นและพวกของต้าเว่ยเก็บดาบทันที  


 


 


ฟู่เส่าชิงปรายตามองนาง แล้วถึงจะก้าวยาวๆ จากไป 


 


 


รอจนกระทั่งเขาจากไปแล้ว อวี้อาเหราก็ทุบลงบนโต๊ะเสียงลั่น “ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก คนเฮงซวย!” 


 


 


“อะไรคือคนเฮงซวยหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์มองนางอย่างตกตะลึง 


 


 


“…”อวี้อาเหราไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับมองไปข้างนอก แล้วออกคำสั่งว่า “ชิงอวิ๋น ออกไปสั่งคนเฝ้าประตูว่าต่อไปนี้อย่าปล่อยให้องค์ชายแห่งเป่ยเจียงเข้ามาอีก ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งนั้น!” 


 


 


“…ขอรับ” ชิงอวิ๋นรู้สึกได้ถึงความโกรธเคืองในน้ำเสียงของนาง 


 


 


“ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้าช่วยแก้สถานการณ์” อวี้อาเหรามองไปทางเจาเอ๋อร์ 


 


 


“เป็นสิ่งที่บ่าวสมควรทำเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ยิ้ม ก่อนจะชะงักไป “เพียงแต่ว่าบ่าวก็คาดไม่ถึงยิ่งนัก เมื่อก่อนได้ยินมาว่าองค์ชายแห่งเป่ยเจียงนั้นลุ่มหลงในนารี จนถูกราชินีเป่ยเจียงขับออกจากแคว้น แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้ แม้แต่พวกชิงอวิ๋นก็ไม่อาจเอาชนะได้” 


 


 


“ก็จริง” อวี้อาเหราพยักหน้า 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 210 สร้างความวุ่นวาย 


 


 


 


 


 


เรื่องนี้ไหนเลยนางจะมองไม่ออก ทว่าครั้งก่อนตั้งแต่ที่เขาใช้มือเพียงข้างเดียวกดตัวนางจนไม่อาจขยับตัวได้นางก็สัมผัสได้แล้ว ครั้งนี้หลังจากที่เขาได้ออกพลังเช่นนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก 


 


 


“คุณหนูโปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ บ่าวจะไปนำขนมดอกเบญจมาศมาให้ เมื่อทานเสร็จก็จวนจะถึงเวลางานเลี้ยงพอดี เมื่อถึงตอนนั้นคุณหนูคงถูกอนุรองทำให้ทานอะไรก็ไม่อร่อย บ่าวขอไปสั่งห้องครัวไว้ก่อน ให้พวกนางเตรียมมื้อดึกเอาไว้ให้” 


 


 


“เจ้าไปเถิด” อวี้อาเหราพูดจบก็ก้มลงดื่มน้ำชา 


 


 


สู้รบปรบมือกับฟู่เส่าชิงและเริ่นหว่านเอ๋อร์มาเป็นเวลาครึ่งวัน คอของนางก็แทบจะแห้งเป็นผุยผง เรื่องอื่นนั้นนางก็ยังพอจะจัดการได้ แต่เรื่องความรักความรู้สึกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ง่ายๆ เมื่อนึกถึงเริ่นหว่านเอ๋อร์ที่วิ่งออกไปทั้งที่น้ำตานองหน้าแล้ว นางก็ยังไม่วางใจอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงสั่งการให้ต้าเว่ยตามไปดู 


 


 


เวลาช่วงบ่ายผ่านพ้นไป งานเลี้ยงยามค่ำใกล้เข้ามาแล้ว 


 


 


อวี้อาเหราไม่ได้รู้สึกสนใจงานเลี้ยงตอนค่ำอะไรนี้เลยแม้เพียงน้อย นางเพียงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนตั่งตัวยาว และให้เจาเอ๋อร์จัดเตรียมเสื้อผ้าแทนนาง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของจวน 


 


 


เดิมทีนั้นจวนหลิงอ๋องจะเงียบเหงาไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก น้อยครั้งมากที่จะมีช่วงเวลาที่คึกครื้นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นทุกคนจึงรีบเดินทางมาก่อน 


 


 


ในยามที่นางมาถึงนั้น อนุสามและอนุสี่ก็กำลังยืนคุยกันอยู่ในสวน อนุสามยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่สาวตั้งครรภ์ครั้งนี้ ก็ช่างสร้างความยินดีให้กับท่านอ๋องของพวกเรายิ่งนัก ได้ยินมาว่ายังรับตัวนายน้อยสามกลับมาจากค่ายทหารด้วย หากให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาอีก นี่ก็จะเป็นอันตรายต่อฐานะของคุณหนูรองหรือไม่” 


 


 


“คุณหนูรองเป็นธิดาเอกของจวนอ๋อง เหตุใดจึงจะต้องเป็นอันตรายด้วย” อนุสี่ส่ายศีรษะ 


 


 


“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้” อนุสามแค่นเสียงหัวเราะหยัน “คุณหนูรองนั้นแม้จะบอกว่าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของพระชายา มีสถานะที่น่าเคารพและเป็นดั่งไข่มุกในหัตถ์ของท่านอ๋อง แต่ใครใช้ให้นางเกิดเป็นหญิงเล่า จวนอ๋องแห่งนี้อย่างไรเสียก็ต้องตกเป็นของนายน้อยสาม อีกอย่างหากวันใดท่านอ๋องไม่อยู่แล้ว การแต่งงานของคุณหนูรองก็ไม่แน่ว่าอาจจะต้องให้นายน้อยสามเป็นคนจัดการก็ได้…” 


 


 


“เจ้านี่ช่างไม่รู้จักที่ตายนัก เรื่องเช่นนี้ยังกล้าพูดมั่วๆ ไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นได้ยินเข้าหรืออย่างไร” สายตาของอนุสี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ 


 


 


“อ๊ะ ข้าก็เกือบลืมไปเสียสนิท” สีหน้าของอนุสามเปลี่ยนไปเป็นไม่สู้ดีในทันใด ก่อนจะรีบเก็บปากเก็บคำไม่กล่าววาจา 


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนางก็ถูกอวี้อาเหราสั่งสอนอย่างโหดร้าย แม้ใบหน้าจะไม่แสดงความรู้สึกอะไร แต่ในใจนั้นยังคงเจ็บแค้น ยามนี้เมื่อได้ยินว่าอนุรองตั้งครรภ์ จึงคิดจะใช้โอกาสนี้เอาคืนอวี้อาเหราให้เจ็บแสบ แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเช้าวันนี้เมื่อเรื่องบัวกีบม้าและน้ำแกงตะพาบน้ำกระจายออกไป เรื่องทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่นางนึก ในใจก็จึงเป็นกังวลมากขึ้น 


 


 


อวี้อาเหราเมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของนางก็ค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา  


 


 


อนุสามผู้นี้ก็ไม่รู้จักจำเลยแม้แต่น้อย ยังกล้าที่จะกวนน้ำให้ขุ่นเช่นนี้อีก ครั้งที่แล้วที่ส่งฟืนไปให้ยังไม่พอหรอกหรือ 


 


 


เจาเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็โกรธแทนคุณหนูของตน “อนุสามผู้นี้จิตใจชั่วร้ายนัก ก่อนหน้านี้บ่าวยังคิดว่านางทำดีต่อคุณหนูไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นอย่างที่ท่านว่ามาไม่มีผิด จิตใจของนางโหดร้ายไม่เหมือนหน้าตา ช่างน่ารังเกียจจริงๆ รู้อย่างนี้น่าจะส่งฟืนไปให้นางเสียสักตะกร้าหนึ่งนะเจ้าคะ!” 


 


 


“วันหลังพวกเราค่อยคิดหาทางจัดการนาง ไม่ต้องรีบร้อน” 


 


 


อวี้อาเหราแค่นเสียงหยันออกมา ก่อนจะจัดระเบียบชุดกระโปรงแล้วจึงก้าวยาวๆ ออกไป น้ำเสียงเรียบเย็นดังเข้ามาในโสตประสาทของอนุทั้งสอง “เมื่อครู่นี้ ข้าก็เหมือนได้ยินอนุสามกล่าวว่าหากหลิงอ๋องเป็นอะไรไปก็จะให้นายน้อยสามสืบทอดต่อเช่นนั้นหรือ…” 

 

 

 


ตอนที่ 211-212

 

ตอนที่ 211 อำนาจชี้เป็นชี้ตาย 


 


 


 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของอนุสามก็แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน นางหันกลับมาในทันที จึงมองเห็นอวี้อาเหรากำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก 


 


 


“โอ้ อนุสามเป็นอะไรไปเล่า หรือว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเสียแล้ว” ท่าทีของอวี้อาเหราดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าไม่เผยให้เห็นถึงความยินดียินร้าย ราวกับไม่ได้ยินวาจาเมื่อครู่นั้น นางมองจนอนุสามรู้สึกกระวนกระวาย รีบคุกเข่าลงกับพื้นในทันใด “คุณหนูรองได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยเพียงเลอะเลือนจนกล่าววาจาผิดไปเท่านั้น…” 


 


 


“ท่านพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ” อวี้อาเหรายังคงไถ่ถามขึ้นมาอย่างไม่ลดละ  


 


 


“ข้าน้อย…” จู่ๆ อนุสามก็กล่าวอะไรไม่ออก หรือจะให้นางกล่าววาจาเมื่อครู่นั้นอีกครั้งหรืออย่างไร เช่นนั้นนางจะต้องตายเป็นแน่แท้! 


 


 


“อย่างไรเล่า” อวี้อาเหราเผยยิ้มออกมา น้ำเสียงยิ่งหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ “หรือว่าเมื่อครู่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป ถึงได้อึกๆ อักๆ เช่นนี้” 


 


 


“ไม่ๆๆ ข้าน้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ” อนุสามรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ก่อนจะจนวาจาอีกครั้ง 


 


 


อวี้อาเหราลูบปิ่นหยกที่ปักบนศีรษะอย่างละมุนละไม “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย แต่หากมีใครกล้ากล่าววาจานินทาลับหลัง แล้วเผยแพร่ออกไปคนนอกจะพูดกันได้ว่าจวนหลิงอ๋องของเรานั้นเป็นแหล่งซ่องสุมของคนถ่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องลงโทษ ‘คนถ่อย’ ให้จงหนัก” 


 


 


“คะ…คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” อนุสามตอบรับเสียงสั่น 


 


 


“ในเมื่ออนุสามรู้อยู่แก่ใจก็ดีแล้ว เพราะหากต่อไปต้องโดนลงโทษจะได้รู้ว่าตัวเองผิดตรงที่ใด” อวี้อาเหราเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็เหลือบมองไปทางอนุสี่ “ท่านบอกมา เมื่อครู่นี้อนุสามกล่าวว่าอะไร” 


 


 


“ข้าน้อย…” อนุสี่พลันมีสีหน้าลำบากใจ หากนางบอกวาจาที่อนุสามกล่าวออกไปเมื่อครู่นี้ แน่นอนว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก… 


 


 


อนุสามตกตะลึงในทันที สายตาจ้องมองอนุสี่นิ่งๆ ราวกับว่าอำนาจชี้เป็นชี้ตายในตอนนี้ได้อยู่ในมือของนางแล้ว 


 


 


เจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก้มหน้าลงเล็กน้อย ในใจคิดว่าครั้งนี้คุณหนูรองคงจัดการอนุสามอย่างไม่กระโตกกระตากดังที่คิดไว้ และในตอนนี้อำนาจชี้เป็นชี้ตายก็อยู่ในมือของอนุสี่ ขอเพียงให้นางพูดคำเมื่อครู่นี้ออกมา อนุสามผู้นี้ก็คงจะต้องตายเป็นแน่แท้ 


 


 


อนุสี่ลังเลอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา “เรียนคุณหนูรอง อนุสามกล่าวว่าต่อไปนี้หากท่านอ๋องจากไปแล้ว ในจวนแห่งนี้ก็มีเพียงนายน้อยสามคนเดียวที่เป็นบุรุษ ในอนาคตเขาจะได้สืบทอดจวนแห่งนี้ต่อ จึงเกรงว่าคุณหนูรองจะพลอยถูกรังแกไปด้วยเจ้าค่ะ…” 


 


 


เมื่อได้ฟังวาจาเช่นนี้แล้ว คนทั้งหมดก็พากันตกตะลึง 


 


 


วาจาของอนุสี่นี้กล่าวออกมาแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ในท่อนหลังนั้นนางได้เปลี่ยนความหมายในคำพูดไปหมดสิ้น 


 


 


อวี้อาเหราเพียงแค่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ยังดีที่อนุสามยังมีใจคิดเป็นห่วงข้า แต่เรื่องในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน ถึงกังวลไปก่อนก็คงไร้ประโยชน์” 


 


 


ตัวนางเองตั้งใจที่จะโยนเรื่องนี้ให้อนุสี่เป็นผู้ตัดสิน เพื่ออยากจะรู้ว่านางนั้นมีความคิดเห็นอย่างไร แต่นี่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางนัก อนุสี่นั้นเป็นคนลื่นไหลมาแต่ไหนแต่ไร เมื่ออยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ก็ไม่มีเหตุขัดแย้งกับใคร เพราะฉะนั้นจึงสามารถเอาตัวรอดในจวนอ๋องแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง 


 


 


อนุสามไม่คิดว่าอนุสี่นั้นกลับจะพูดเพื่อตัวนางเช่นนี้ ชั่วครู่นั้นนางก็พลันแปลกใจจนไม่มีสติ เวลาผ่านไปนานกว่าที่นางจะมองไปยังอวี้อาเหราพร้อมทั้งพยักหน้า “เจ้าค่ะ คุณหนูรองกล่าวถูกแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าที่จะคาดเดาส่งเดชหาเรื่องใส่ตัว” 


 


 


ในใจของนางกลับกระวนกระวายยิ่งนัก เพราะไม่รู้ว่าอวี้อาเหราได้ยินในสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่หรือไม่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 212 ตั้งกฎ 


 


 


 


 


 


หากบอกว่านางได้ยิน แล้วเหตุใดนางถึงยังยิ้มได้อย่างเรียบเฉยเช่นนั้น? หากบอกว่าไม่ได้ยิน แล้วเหตุใดจึงต้องทำทีอ้อมค้อมให้อนุสี่พูดด้วย นางก็คาดเดาความคิดของอวี้อาเหราไม่ออกเลย 


 


 


“เอาเถิด ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรก็เตรียมตัวเข้างานเลี้ยงให้เร็วเสียหน่อย” อวี้อาเหรากล่าววาจา ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย “อนุสี่รอก่อน ข้ามีเรื่องจะสั่งความท่านสักหน่อย” 


 


 


“เจ้าค่ะ” อนุสามมองดูพวกนางเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป 


 


 


เมื่อเห็นว่านางจากไปแล้ว อนุสี่ก็เงยหน้าขึ้น ยอบกายลงคารวะแล้วเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองมีอะไรจะสั่งความหรือเจ้าคะ” 


 


 


“เรื่องที่จะสั่งนั้นไม่มีหรอก เพียงแต่มีคำถามอยากจะถามอนุสี่เท่านั้น” 


 


 


“คำถามอะไรหรือเจ้าคะ” อนุสี่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะรีบถามกลับ 


 


 


“ก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่อยากรู้ว่าเหตุใดเมื่อครู่อนุสี่จึงปล่อยนางไป” อวี้อาเหราเองก็ไม่ปิดบัง เอ่ยคำถามที่อยู่ในใจของตนเองออกมาโดยตรง อนุสี่ลอบมองนางแล้วจึงเอ่ยปากบอกอย่างสงสัย “ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าคุณหนูรองกำลังกล่าวถึงอะไร เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าน้อยไม่ชอบที่จะขัดแย้งกับผู้ใด มีคำพูดที่กล่าวว่าเรื่องใดปล่อยไปได้ก็ควรปล่อย ข้าน้อยอยากให้ทุกคนต่างเป็นสุข ไม่ทราบว่าคำตอบเช่นนี้คุณหนูรองพอใจหรือไม่” 


 


 


“อืม ข้าพอใจแล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า “ท่านไปเถิด” 


 


 


“เจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัว” อนุสี่หมุนตัวแล้วเดินจากไป 


 


 


เจาเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหรา “คุณหนู เหตุใดถึงไม่ออกปากลงโทษกับอนุสามโดยตรงล่ะเจ้าคะ” 


 


 


“ออกปากลงโทษโดยตรงจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ ข้าจะเหลือนางเอาไว้ให้ทรมานเล่น และจะทำให้ผู้อื่นได้รู้ว่าต่อไปนี้หากกล้ายั่วโมโหข้าแล้วจะมีจุดจบอย่างไร อีกอย่างก็ยังเป็นการตั้งกฎในจวนไปในตัว มิเช่นนั้นหากวันนี้อนุสามกล้าว่าร้ายข้าต่อหน้าคนในจวน ต่อไปคนอื่นๆ จะพูดอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพราะอย่างนั้น…” 


 


 


“เช่นนั้นคุณหนูจึงอยากจะเชือดไก่ให้ลิงดู เหมือนเช่นที่ทำกับอนุรองเมื่อเช้านี้ เพื่อให้พวกนางไม่กล้าที่จะหาเรื่องคุณหนูอีก” เจาเอ๋อร์เข้าใจเจตนาลึกๆ ของนางในทันที 


 


 


อวี้อาเหราพยักหน้าด้วยความชื่นชม “เจาเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับข้ามานานเพียงนี้ นับวันก็ยิ่งฉลาดขึ้นมากทีเดียวนะ” 


 


 


“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณหนูสั่งสอนเจ้าค่ะ พวกเราเข้าไปกันเถิด ยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้อากาศก็หนาวเย็นยิ่งนัก อีกไม่นานท่านอ๋องและอนุรองก็คงจะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เอ่ยเตือนขึ้น 


 


 


อวี้อาเหราเดินเข้าไปด้านใน ในห้องนั้นมีเตาผิงไฟ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมาก 


 


 


โต๊ะกลมทำจากไม้จันทร์แดงวางจานอาหารหลากหลายชนิด ส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วห้อง 


 


 


“ท่านอ๋องเสด็จ!” เสียงองครักษ์จากด้านนอกดังขึ้น อวี้อาเหราและอนุอีกสองคนจึงเงยหน้าขึ้นมองตาม 


 


 


หลิงอ๋องประคองอนุรองเข้ามาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าคนทั้งหมดมากันพร้อมแล้ว บรรยากาศรื่นรมย์กลมเกลียวตรงหน้าก็ทำให้เขาอดที่จะยิ้มแย้มขึ้นมาไม่ได้ “มากันครบแล้ว รีบนั่งลงเถิด” 


 


 


“เพคะ” ทั้งสามพยักหน้า 


 


 


หลังจากที่หลิงอ๋องเดินเข้ามานั่งแล้ว มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นเยียนเอ๋อร์เสียเล่า” 


 


 


“เยียนเอ๋อร์กล่าวว่าไม่ง่ายนักที่ในจวนจะมีเรื่องมงคล จำต้องดื่มสุราอวยพร เช่นนั้นนางจึงไปยังคลังเก็บสุราเพื่อไปนำเหล้ามาเพคะ นี่ก็เป็นเหล้าที่นางบ่มด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้สองสามวันได้ขุดขึ้นมาจากสวนหลังจวน ยามนี้ก็สบโอกาสพอดีเพคะ” 


 


 


“เช่นนี้เองหรือ นางช่างเป็นลูกที่กตัญญูต่อมารดาของนางเสียจริง” หลิงอ๋องพยักหน้ารับอย่างยินดี 


 


 


อวี้อาเหรามองไปยังอนุรองคราหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันหน้าไปทางหลิงอ๋อง “ลูกยินดีด้วยเพคะที่เสด็จพ่อทรงมีทายาท” 


 


 


“ดีๆๆ” หลิงอ๋องเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งดีใจจนยิ้มไม่หุบ 


 


 


เกรงว่านี่จะเป็นยิ้มกว้างที่มาจากใจนับตั้งแต่ครั้งแรกในรอบหลายวัน 

 

 

 


ตอนที่ 213-214

 

ตอนที่ 213 แย่งชิงขวดยานัตถุ์ 


 


 


 


 


 


ผ่านไปไม่นาน อวี้จื่อเยียนก็เดินเข้ามา ในมือของนางโอบอุ้มสุราไว้ไหหนึ่ง ส่วนสาวใช้ที่ติดตามมาด้านหลังก็ถือไหสุราเข้ามาอีกสองสามไห วางเอาไว้ที่โต๊ะด้านหลัง แล้วจึงจัดแจงเสื้อผ้าพร้อมทั้งทำการคารวะหลิงอ๋อง “ลูกคารวะเสด็จพ่อเพคะ” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” หลิงอ๋องเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


หลังจากที่สาวใช้รินสุราให้กับทุกคนจนเต็มจอแล้ว ทุกคนก็ยกจอกสุราขึ้นมาแล้วชูไปทางหลิงอ๋อง “ขออวยพรให้ท่านอ๋องเพคะ” 


 


 


“นั่งลงเถิด วันนี้เราอารมณ์ดี ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูหรือรวมไปถึงเหล่าอนุและสาวใช้ ข้าขอตกรางวัลให้จงหนัก!” หลิงอ๋องโบกมืออย่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตกรางวัลผู้ใต้อาณัติเป็นการใหญ่ เงินทองมากมายล้วยใช้จ่ายเพื่อการนี้ 


 


 


เมื่อได้ยินว่าเขาจะตกรางวัล อวี้อาเหราและอวี้จื่อเยียนก็รีบร้องขึ้นว่า “เสด็จพ่อเพคะ” 


 


 


“หืม?” นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอ๋องเพิ่งจะเคยเห็นพวกนางทั้งสองคนร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน ทันใดนั้นก็หันมามองในทันที 


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกเพียงอยากขอ…” ขณะที่อวี้จื่อเยียนกำลังจะเอ่ยปากพูดนั้น อวี้อาเหราก็รีบชิงพูดในทันทีว่า “เสด็จพ่อ ในเมื่อท่านกล่าวจะประทานรางวัล ลูกก็ได้ยินมาว่าที่เสด็จพ่อมีขวดยานัตถุ์หยกขาวลายกล้วยไม้อยู่ขวดหนึ่ง เช่นนั้นจะประทานให้ลูกได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


“เจ้าก็อยากได้ขวดยานัตถุ์หรือ” อวี้จื่อเยียนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดแทรกขึ้นอย่างไม่พอใจ 


 


 


หลิงอ๋องและผู้คนทั้งหลายพากันตกตะลึง และไม่คิดว่าพวกนางที่ไม่ถูกกันนั้นจะต้องการของสิ่งเดียวกัน 


 


 


อวี้อาเหรากวาดตาอวี้จื่อเยียนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอร้องหลิงอ๋องต่อ “หวังว่าเสด็จพ่อจะประทานให้ลูกเพคะ”  


 


 


“ไม่ได้ ขอเสด็จพ่อทรงประทานให้เยียนเอ๋อร์เถิดเพคะ” อวี้จื่อเยียนไม่ยอมรับในทันที นางอยากได้ขวดยานัตถุ์ก็เพราะว่าจะเอาไปต่อรองกับหวังกงกง ในวังนั้นหวังเซิ่งเต๋อมีอำนาจไม่น้อย หากสามารถต่อรองกับเขาได้ต่อไปนางและท่านแม่ก็คงจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เมื่อถึงตอนนั้นแม้แต่อวี้อาเหราเองก็คงไม่อาจรังแกนางได้ง่ายๆ 


 


 


อีกอย่าง ในหมู่หญิงสาวสูงศักดิ์ด้วยกันนั้น นางมีหน้าตาที่งดงาม เป็นบุตรสาวภรรยาน้อยแล้วอย่างไร ในเมื่อหน้าตาของนางดีกว่าบุตรสาวจากภรรยาเองตั้งมากมายนัก 


 


 


แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่า อวี้อาเหราก็ยังต้องการขวดยานัตถุ์เช่นเดียวกัน! 


 


 


ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิงล้วนได้ยินมาว่าหวังกงกงนั้นชื่นชอบขวดยานัตถุ์ นอกจากจะนำไปให้เขาแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดอีก เพราะเช่นนั้นอย่างไรเสียนางก็ไม่อาจให้อวี้อาเหราได้มันไปแน่ 


 


 


หลิงอ๋องมองไปที่คนทั้งสองด้วยความลำบากใจ “แต่พ่อก็มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น จะให้อย่างไร..” 


 


 


“เสด็จพ่อ ยามนี้ท่านแม่กำลังตั้งครรภ์ มีคุณูปการต่อจวนหลิงอ๋องยิ่ง เยียนเอ๋อร์จะขอประทานขวดยานัตถุ์ก็ไม่ได้เชียวหรือเพคะ” อวี้จื่อเยียนเริ่มยกเรื่องความดีความชอบขึ้นมาอ้าง 


 


 


และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อเห็นว่าหลิงอ๋องเริ่มที่จะหวั่นไหวขึ้นมา อวี้อาเหราก็รีบพูดขึ้นว่า “นับตั้งแต่เสด็จแม่จากไป ลูกก็ไม่เคยร้องขออะไรจากเสด็จพ่ออีกเลย ยามนี้เพียงแค่ขวดยานัตถุ์เล็กๆ เพียงขวดเดียว เสด็จพ่อก็จะประทานให้ผู้อื่นหรือเพคะ ถ้าเช่นนั้นแล้วตำแหน่งธิดาเอกแห่งจวนอ๋องของลูกจะมีความหมายอะไรกันเพคะ” 


 


 


“น้องสาวกล่าวผิดเสียแล้ว” อวี้จื่อเยียนมองนาง “เป็นเพราะเจ้ามีสถานะเป็นถึงธิดาเอก ไม่ว่าต้องการอะไรมีหรือจะไม่ได้ว่า ภายหลังสิ่งของที่ดีกว่าขวดยานัตถุ์ก็จะล้วนเป็นของเจ้า เช่นนั้นครั้งนี้ก็ยอมให้พี่เถิดนะ” 


 


 


“ไม่ได้” อวี้อาเหราส่ายหน้าอย่างหนักแน่น หากเป็นคนอื่นมายื้อแย่งของอะไรกับนางก็คงจะใจอ่อนยอมยกให้ไปแล้ว แต่เพราะนี่เป็นอวี้จื่อเยียน ไม่ว่านางจะพูดอะไรตนก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด! ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลพรากลงมาทันที “เสด็จพ่อ หากจะมอบให้พี่สาว ลูกก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วเพคะ แต่ว่าเมื่อเช้าลูกเพิ่งถูกอนุรองและพี่สาวเข้าใจผิด มาตอนนี้ก็ยัง…” 


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้า สีหน้าของอวี้จื่อเยียนและอนุรองก็กลายเป็นไม่น่าดูขึ้นมา 


 


 


หากไม่ใช่เพราะนางตั้งใจให้เกิดขึ้น นางก็คงไม่อาจตกหลุมพรางได้โดยง่าย เมื่อคิดเช่นนี้ อวี้จื่อเยียนก็ต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน 


 


 


อนุรองไม่อาจตีสีหน้าเรียบเฉยต่อไปได้อีกแล้ว สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในทันที “วันนี้เป็นข้าน้อยที่เข้าใจคุณหนูรองผิดไป ทำผิดกับนางก็เหมือนทำผิดต่อพระชายา เพราะอย่างนั้นท่านอ๋องก็ทรงประทานขวดยานัตถุ์ให้คุณหนูรองเถิดเพคะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 214 ปิ่นหยกรูปดอกโบตั๋น 


 


 


 


 


 


“ท่านแม่!” อวี้จื่อเยียนไม่ยินดีแม้แต่น้อย เหตุใดจึงจะต้องยื่นของให้ศัตรูเช่นนี้! นี่นางก็ยังเป็นท่านแม่ของตนจริงๆ หรือ เช่นนั้นจึงพูดเพื่ออวี้อาเหราถึงเพียงนี้ 


 


 


เมื่อหลิงอ๋องได้ยินอนุรองพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าลง “ดี หากเช่นนั้นพ่อก็มอบขวดยานัตถุ์ให้อาเหราแล้วกัน” 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ” แม้ในใจของอวี้อาเหราจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดอนุรองถึงขอขวดยานัตถุ์ให้นาง นางคงไม่มีทางนึกถึงเรื่องบุญคุณอะไรขึ้นมาได้แน่ หรือว่าบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ถูกนางจัดการไปครั้งหนึ่งแล้ว เช่นนั้นจึงไม่กล้าที่จะก่อเรื่องอะไรอีก 


 


 


ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ อวี้จื่อเยียนก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรให้มากความ ทำเพียงส่งสายตาเรียบเย็นจ้องมองไปทางอวี้อาเหรา ท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


หลิงอ๋องโบกมือยกใหญ่ รับสั่งให้คนนำขวดยานัตถุ์หยกขาวมา อวี้อาเหราเมื่อรับมาแล้วก็เปิดดู เห็นเป็นขวดยานัตถุ์หยกขาวอยู่ในกล่องกำมะหยี่ ด้านบนสลักด้วยลายดอกกล้วยไม้งดงาม นางเห็นแล้วก็ดีใจจนยิ้มมุมปาก แต่อวี้จื่อเยียนยิ่งเห็นยิ่งโกรธเคือง 


 


 


หากไม่มีอวี้อาเหราที่สมควรตายเข้ามาก่อกวน ขวดยานัตถุ์นี้ก็คงจะเป็นของนางแล้ว! 


 


 


เมื่อหลิงอ๋องเห็นดังนั้น ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าก็อย่าได้เสียใจไปเลย วันนี้พ่อได้ปิ่นหยกมาใหม่ ได้ยินมาเป็นของของราชวงศ์ก่อน ไม่ได้ด้อยไปกว่าขวดยานัตถุ์นี้เท่าไหร่หรอก พ่อให้เจ้าดีหรือไม่” 


 


 


“ปิ่นหยก?” อวี้จื่อเยียนตกตะลึงเล็กน้อย 


 


 


หลิงอ๋องให้คนนำปิ่นนี้เข้ามา เป็นปิ่นปักผมที่แกะสลักเป็นรูปดอกโบตั๋นสวยงามวิจิตรยิ่งนัก ดูแล้วคงเป็นของมีค่ามีราคา ดวงตาของอวี้จื่อเยียนส่องประกาย ในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ไม่ชักสีหน้าอีกต่อไป 


 


 


ทุกคนเริ่มรับประทานอาหาร ดื่มกินกันอย่างมีความสุข มีเพียงอนุสามนั้นที่มองอวี้อาเหราอย่างกระวนกระวายเป็นบางครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แล้วก็ทำให้เหงื่อผุดพรายขึ้นมา ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ยามที่นางยิ้มนั้นก็ราวกับมีเรื่องอะไรอยู่ในใจอย่างลึกซึ้ง จนทำให้รู้สึกหวาดระแวงว่านางนั้นได้ยินสิ่งที่ตนพูดออกไปหรือไม่กันแน่ 


 


 


หลังจากที่อวี้อาเหราทานอาหารแล้ว ก็เดินนำเจาเอ๋อร์และขวดยานัตถุ์กลับไป 


 


 


เมื่อนายบ่าวทั้งสองกลับมาถึงเรือนพัก เจาเอ๋อร์ก็เปิดกล่องกำมะหยี่ออกดู เอ่ยชื่นชมออกมาว่า “สมแล้วเจ้าค่ะที่เป็นของดี ช่างงดงามยิ่งนัก ของเช่นนี้ให้หวังกงกงไปก็ยังเสียดายอยู่บ้าง แต่จะว่าไปแล้วปิ่นหยกที่ท่านอ๋องมอบให้กับคุณหนูใหญ่นั้นก็งดงามเป็นอย่างมากเลยนะเจ้าคะ” 


 


 


“แม้นเสียดายก็ต้องตัดใจ” อวี้อาเหราเก็บกล่องไป “อย่ามัวพูดเรื่องเสียดายอะไรเลย กระทั่งของชิ้นนี้ก็ได้มาแล้ว ยังกลัวอีกหรือว่าหลังจากนี้ของดีๆ จะไม่ตกเป็นของพวกเราอีก ส่วนปิ่นหยกที่อวี้จื่อเยียยได้ไปนั้นก็ไม่เห็นว่าจะสักเท่าไหร่ ให้นางดีใจไปคนเดียวเถิด” 


 


 


หลังจากที่ได้ไปเห็นของงดงามที่แท้จริงที่จวนเซิ่นอ๋องแล้ว ท่าทีของนางก็นิ่งสงบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


เมื่อมองไปยังกำไลหยกเลือดที่อยู่บนข้อมือของตัวเอง นางก็ยิ้มออกมา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกชอบ เพราะมันสามารถเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาล มากพอที่จะซื้อเมืองเฟิ่งเฉิงทั้งเมืองเลยทีเดียว แต่นางกลับไม่ได้เปิดเผย นางมักจะสวมเสื้อปิดเอาไว้เสมอ เพราะกลัวว่าจะมีคนขโมยไป 


 


 


เมื่อเจาเอ๋อร์เห็นรอยยิ้มของนางแล้ว ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าจะ ถึงได้ยิ้มออกมาเช่นนี้” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก เจ้ารีบไปทำเรื่องของเจ้าเถิด” อวี้อาเหราบอกปัดอย่างเกียจคร้าน 


 


 


เจาเอ๋อร์นิ่งไป “หรือว่าคุณหนูกำลังคิดถึงเซิ่นซื่อจื่อ?” 


 


 


“ข้าจะคิดถึงเขาทำไมกัน” อวี้อาเหราหมดคำที่จะกล่าว เขาก็ไม่ใช่เงินหรือของมีค่าเสียหน่อย เหตุใดนางต้องคิดถึงเขาด้วยเล่า! เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ถลึงตาจ้องมองเจาเอ๋อร์ “พูดอะไรเหลวไหล เจ้าบอกว่าจะไปเตรียมอาหารมื้อดึกให้ข้ามิใช่หรือ! ยังไม่รีบไปอีก!” 


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู” เจาเอ๋อร์ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ 

 

 

 


ตอนที่ 215-216

 

ตอนที่ 215 มีเรื่องขอความช่วยเหลือ 


 


 


 


 


 


นั่งลงไปบนเก้าอี้ไม่ทันร้อน เจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกก็วิ่งเข้ามาในห้องด้วยความร้อนรนเสียแล้ว “คะ…คุณหนู ท่านอ๋องเสด็จมาเจ้าค่ะ…” 


 


 


“เสด็จพ่อเสด็จมาแล้วเหตุใดเจ้าต้องตกอกตกใจด้วยเล่า” อวี้อาเหรากลอกตามองคราหนึ่ง 


 


 


“มิได้เจ้าค่ะ อนุรองอีกทั้งคุณหนูใหญ่ก็ตามท่านอ๋องมาด้วยเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ละล่ำละลักกว่าที่นางจะพูดจบ นี่ก็น่าแปลกยิ่งนัก สองแม่ลูกนั่นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ถูกกับคุณหนูของนาง แล้วเหตุใดถึงมาเยือนถึงที่นี่ด้วยตัวเองเช่นนี้เล่า? 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งอึ้งไป ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ก่อนจะโยนเตาอุ่นมือไปบนโต๊ะด้านข้าง หันไปสอบถามกับเจาเอ๋อร์อย่างละเอียด “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้มองผิดไป” 


 


 


“ไม่ผิดเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รีบส่ายหน้าในทันที 


 


 


“ท่านอ๋องเสด็จ!” ไม่ทันให้นางได้ถามอะไรต่อ ก็บังเกิดเสียงรายงานดังขึ้นจากทางด้านนอก เมื่อมองไปอีกทีก็เห็นว่าหลิงอ๋องเดินเข้ามาพร้อมทั้งอนุรองและลูกสาว อวี้อาเหราปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นปกติ แม้ว่านางจะไม่ได้ลนลานเหมือนเช่นเจาเอ๋อร์ แต่ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย 


 


 


“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ” 


 


 


“อืม ลุกขึ้นเถิด” หลิออ๋องเข้ามาประคองนางเอาไว้ 


 


 


อนุรองและอวี้จื่อเยียนจึงแย้มยิ้มตาม “คารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ” 


 


 


“อ๊ะ เหตุใดอนุรองและพี่สาวต้องคารวะข้าด้วยเล่า” อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจ หากเพียงมาเยือนถึงหน้าประตูก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่อวี้จื่อเยียนที่แสนหยิ่งทระนงและไม่ชอบนางถึงกับคารวะให้นาง นี่ก็ช่างน่าแปลกยิ่งนัก นางรู้สึกไม่วางใจเลย 


 


 


“คุณหนูรองกล่าววาจาน่าขันยิ่งนักเจ้าค่ะ หากพวกเราไม่คารวะให้ท่านแล้วจะคารวะใครกัน” อนุรองยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นป้องปากหัวเราะอย่างงดงามสดใส ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าตนเองท้องได้สองวัน ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่ออย่างคนกินดีอยู่ดี เมื่อแย้มยิ้ม ใบหน้าของนางก็ดูงดงามขึ้นหลายส่วน 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งอึ้งไป ฝืนยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปหาหลิงอ๋อง “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเสด็จมาดึกดื่นถึงเพียงนี้มีเรื่องอะไรหรือเพคะ” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก พ่อเพียงมาดูเจ้าเท่านั้น อีกอย่างเป็นเพราะอนุรองและเยียนเอ๋อร์มีเรื่องอยากจะมาขอความช่วยเหลือเจ้าน่ะ” หลิงอ๋องตอบกลับ  


 


 


“มีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือหรือเจ้าคะ” อวี้อาเหรามองไปทางอนุรองและอวี้จื่อเยียนอย่างตกตะลึง นางคิดว่าดวงตะวันจะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ว ไหนเลยพวกนางจะเข้ามาขอความช่วยเหลือด้วยตัวเองทั้งที่มีใบหน้าแย้มยิ้มเช่นนี้ได้ เมื่อคิดดังนั้น นางก็ลอบสบถในใจ 


 


 


หากนางปล่อยให้สองแม่ลูกผู้นี้สมหวังก็แปลกแล้ว! 


 


 


อวี้จื่อเยียนลอบดึงชายเสื้อของอนุรอง เพื่อให้นางออกปาก 


 


 


อนุรองอ้าปากขึ้น แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงมองหน้าหลิงอ๋องเท่านั้น 


 


 


เช่นนั้นหลิงอ๋องจึงจำต้องเปิดปากขึ้นว่า “ก็เรื่องที่ฝ่าบาททรงประสงค์ที่จะจัดงานเลี้ยงเลือกคู่ให้องค์ชายแห่งเป่ยเจียงนั่นละ วันนี้หวังกงกงมาส่งเทียบเชิญให้กับเจ้ามิใช่หรือ เช่นนั้นอนุรองจึงอยากจะไปชมความคึกคักในวังหลวงด้วย แม้ว่าพ่อจะสามารถไปงานนี้ได้ แต่กลับไม่มีเทียบเชิญที่ฮ่องเต้พระราชทานให้จึงก็ไม่อาจพาผู้อื่นไปได้ อีกทั้งสถานะของพวกนางก็ไม่ค่อยสะดวกใจนัก ในจวนหลิงอ๋องนี้มีเพียงเจ้าที่มีเทียบเชิญอยู่ในมือ จึงสามารถพานางเข้าไปได้ ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่” 


 


 


“ใช่แล้วๆ” อนุรองแย้มยิ้มออกมาอย่างงดงาม “หากพวกเราสามคนแม่ลูกเข้าวังพร้อมกันก็ได้ช่วยดูแลกันได้” 


 


 


“แม่ลูก? อนุรองคงเข้าใจผิดแล้วกระมัง เสด็จแม่ของข้าเป็นพระชายาแห่งจวนหลิงอ๋อง หากท่านคิดจะนับข้าเป็นลูกสาวก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง…” ริมฝีปากของอวี้อาเหราเผยรอยยิ้มเย็น เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าอนุรองและอวี้จื่อเยียนนั้นกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ คิดจะใช้โอกาสนี้เข้าไปเชิดหน้าชูตาในหมู่บุปผางาม แต่มีนางเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ คาดว่าอนุรองคงเป่าหูหลิงอ๋องให้พามาถึงที่นี่ แน่นอนว่าหากเป็นต่อหน้าหลิงอ๋องแล้ว นางคงยากที่จะปฏิเสธแน่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 216 ปิดประตูตีแมว 


 


 


 


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ใบหน้าของอนุรองและอวี้จื่อเยียนก็เผือดสี มองมาทางนางด้วยสีหน้าไม่น่าดูนัก 


 


 


วาจาเมื่อครู่นี้ก็เท่ากับว่านางกำลังตีแสกหน้าพวกนางสองแม่ลูกมิใช่หรือ 


 


 


เมื่อหลิงอ๋องได้ยินเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก “แม้ว่าพวกนางจะเป็นอนุ แต่ก็นับว่าได้ทำเพื่อจวนของเราไว้มาก มิสู้ลูกเห็นแก่สถานะของพ่อ ยอมให้พวกนางไปด้วยเถิด” 


 


 


“ไม่ใช่เพราะว่าลูกไม่ยินดีที่จะให้พวกนางไปนะเพคะ” สีหน้าของอวี้อาเหรายังคงเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม ค่อยๆ อธิบายอย่างช้าๆ “แต่ว่าอนุรองนั้นกำลังตั้งครรภ์ สมควรที่จะรักษาตัวอยู่ในจวน ในวังมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ถ้าหากไม่ระวังแล้วถูกชนล้มกระแทกขึ้นมา โทษทั้งหมดคงจะมาตกอยู่ที่ลูกเหมือนเช่นเมื่อเช้านี้ แม้จะมีหลายปากพูดก็อาจจะแก้ต่างไม่ได้ เช่นนี้แล้วลูกไหนเลยจะกล้าพสนางพวกนางเข้าวังด้วยเพคะ” 


 


 


“เรื่องนี้…” ในใจของหลิงอ๋องเกิดความสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


ที่อวี้อาเหรากล่าวมานั้นก็ไม่ผิด เช้าวันนี้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น นี่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีครั้งต่อไป 


 


 


เมื่อเห็นหลิงอ๋องทำท่าจะโอนเอียงไปตามคำพูดของอวี้อาเหราแล้ว อนุรองก็ร่ำไห้น้ำตานองหน้า “คุณหนูรองกล่าวอะไรกัน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ โทษแต่เพียงเยียนเอ๋อร์ที่เป็นกังวลเกินเหตุจนกล่าวโทษท่าน ในจวนก็น่าจะเข้าใจอารมณ์ของนางดี แต่ไหนแต่ไรมานางก็มักใจร้อนหุนหันพลันแล่น พวกเราสองแม่ลูกก็พึ่งพาอาศัยกันมาตลอด หากไม่เป็นห่วงกันก็คงน่าแปลกนัก เพราะเช่นนั้นหากคุณหนูรองยังไม่หายโกรธ ข้าน้อยจะยอมคุกเข่าขอโทษท่านก็ได้!” 


 


 


“คุกเข่า? ท่านแม่!” อวี้จื่อเยียนตกอกตกใจ เหตุใดนางจะต้องคุกเข่าให้อวี้อาเหราด้วย? เช่นนั้นก็ก็ไม่เท่ากับยอมแพ้หรอกหรือ! 


 


 


อนุรองตะคอกด้วยเสียงเคร่งเครียด “ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีกหรือ!” 


 


 


หลิงอ๋องไม่สบายใจ “เจ้าตั้งครรภ์อยู่จะมาคุกเข่าอะไรกัน นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น ช่างมันเถิด” 


 


 


“ใช่แล้ว หากอนุรองยังคงคุกเข่าต่อหน้าข้า หากคนนอกมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าข้าใช้สถานะตัวเองรังแกท่าน เมื่อถึงเวลานั้นคนที่เสียชื่อเพราะเรื่องนี้ก็คงจะเป็นข้า ที่ท่านทำเช่นนี้เพราะตั้งใจจะให้ข้าดูเป็นคนไร้ความเมตตาใช่หรือไม่” อวี้อาเหรากล่าววาจาเชือดเฉือน พลิกกลับง่ายๆ เพียงชั่วขณะเดียวปัญหาของเรื่องนี้ก็ตกลงไปสู่อนุรองเสียแล้ว 


 


 


สีหน้าของอนุรองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันในทันที ไม่กล้าที่จะคุกเข่าต่อไปอีก 


 


 


การคุกเข่านั้นเดิมทีเป็นเพียงการแสดงที่นางต้องการให้หลิงอ๋องได้เห็นเท่านั้น แต่เมื่ออวี้อาเหรากล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว ผลลัพธ์ก็กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้หลิงอ๋องบังเกิดความเห็นอกเห็นใจได้ ทว่ากลับรู้สึกได้ว่านางนั้นกำลังแสดงละคร แต่เรื่องการเข้าวังนั้นอย่างไรเสียก็ต้องทำให้ได้! ในยามที่นางกำลังลำบากหาทางออกไม่พบนั้น อวี้อาเหราก็พยักหน้า แล้วยอมรับปากตกลง 


 


 


“เพื่อไม่ให้เสด็จพ่อต้องลำบากพระทัย ข้าก็จะพาพวกท่านเข้าวัง แต่อย่างไรก็ต้องขอกล่าวเสียก่อนว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ก็อย่าได้มาโทษข้า มิเช่นนั้นก็คงไม่ผิดไปจากที่ข้าพูดไว้แล้ว!” 


 


 


หากไม่ใช่เพราะต้องการสร้างความประทับใจต่อหน้าหลิงอ๋อง นางก็คงจะไม่พาพวกตีสองหน้าเช่นนี้ไปด้วยแน่ เดิมทีในวังหลวงนั้นก็มีคนมากมายนักที่เห็นนางขัดหูขัดตา เมื่อถึงตอนนั้นหากพวกนางร่วมมือกันแล้วนางก็คงเหมือนตกลงไปในรังมดแดง ที่ไม่ว่าอย่างไรก็คงถูกกัดจนเจ็บไปเสียหมด 


 


 


เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงหญิงสาวที่ทำร้ายนางที่ยังคงหาตัวไม่พบ ก็ไม่รู้เลยว่าครั้งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง 


 


 


ถ้าหากไม่ใช่เพราะได้รับเทียบเชิญโดยตรงจากฝ่าบาท นางก็คร้านที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่น่าคึกคักจะตายเช่นนี้! 


 


 


แม้จะบอกว่าเป็นการเข้าวังเพื่อเข้าร่วมงานคัดเลือกพระชายาให้องค์ชายเป่ยเจียง แต่สำหรับพวกนางที่เป็นเพียงหญิงธรรมดาเดินดินนั้น จะไม่เท่ากับเอาชีวิตเสี่ยงเล่นๆ หรอกหรือ? โชคดีที่รัชทายาทถูกกักไว้ในวังตะวันออก มิเช่นนั้นคงต้องพบเจอกับความยุ่งยากมากกว่าเดิมเป็นแน่ 


 


 


เมื่อเห็นนางตอบรับ อนุรองและอวี้จื่อเยียนก็ยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน “ขอบพระคุณคุณหนูรอง!” 


 


 


“เอาเถิด” อวี้อาเหราโบกมืออย่างรำคาญ หากไม่มีหลิงอ๋องอยู่ด้วย นางก็คงสั่งเจาเอ๋อร์ปิดประตูตีแมวไปแล้ว


ตอนที่ 217 กินมื้อดึก 


 


 


 


 


 


“เวลาก็ล่วงเลยมาดึกดื่นแล้ว เจ้าก็รีบพักผ่อนเสียเถิด” เมื่อเห็นว่าเรื่องราวล้วนลงเอยได้ดีแล้ว หลิงอ๋องก็ไม่อยากรั้งเวลาต่อไป กล่าวเพียงไม่กี่คำก็พยุงอนุรองออกไปจากห้อง 


 


 


เมื่อทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว เจาเอ๋อร์จึงค่อยๆ เดินเข้ามา เอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านก็รังเกียจพวกอนุรองสองแม่ลูกมาโดยตลอดมิใช่หรือเจ้าคะ เห็นๆ อยู่ว่าพวกนางมีจุดประสงค์ที่ไม่ดี แล้วเหตุใดท่านถึงได้ตอบตกลงคำขอ พาพวกนางเข้าวังด้วยเล่าเจ้าค่ะ” 


 


 


“ข้ามีแผนในใจแล้ว นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถิด” อวี้อาเหราสะบัดชายเสื้ออย่างเงียบงัน 


 


 


“แต่ว่าคุณหนูยังไม่นอน ให้บ่าวอยู่ปรนนิบัติก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ข้ายังไม่ง่วง หากง่วงก็จะไปนอนเอง” น้ำเสียงของอวี้อาเหราเรียบเฉยเป็นอย่างมาก 


 


 


“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นคุณหนูก็พักผ่อนเร็วๆ หน่อยนะเจ้าคะ บ่าวขอลา” เจาเอ๋อร์อยู่ข้างกายนางมาหลายวันแล้ว แน่นอนว่าย่อมเข้าใจถึงอารมณ์ของนางดี เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ไม่บ่นอะไรอีก ยอมถอยออกไปแต่โดยดี 


 


 


อวี้อาเหราช้อนสายตาขึ้นมาจากบนโต๊ะ มองไปยังความมืดมิดภายนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง ท้องฟ้าในยุคปัจจุบันก็เป็นสีดำมืดเช่นนี้ แต่โดยรอบยังมีโคมไฟส่องสว่าง เต็มไปด้วยความคึกคักของผู้คน แตกต่างจากที่นี่ที่เงียบสงบเป็นอย่างมาก นางนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ หลุบสายตาลง 


 


 


บนโต๊ะมีจานขนมดอกเบญจมาศอยู่สองจาน เดิมทีนางตั้งใจจะนำมาให้เริ่นหว่านเอ๋อร์ได้ทาน แต่เพราะนางโกรธฟู่เส่าชิงจึงได้หนีไปเสียแล้ว 


 


 


ขนมที่เหลือก็ยังคงเหลืออยู่เช่นนี้ ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีอาหารอร่อยอยู่รายล้อม แต่ยามที่อยู่บนโต๊ะอาหารนั้นก็เอาแต่ปะทะคารมกัน นอกจากหลิงอ๋องแล้วก็แทบจะไม่มีใครรับประทานอาหารด้วยใจสงบเลย ทำได้เพียงแค่ชิมไม่กี่คำ ตอนนี้นางก็รู้สึกหิวยิ่งนัก ดังนั้นจึงร้องเรียกออกไปด้านนอก “พวกเจ้า ไปบอกเจาเอ๋อร์ยกอาหารมื้อดึกมาให้ข้าที” 


 


 


“เจ้าค่ะ” คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจาเอ๋อร์ที่ร้องตอบกลับมาในทันใด 


 


 


“เหตุใดเจ้ายังไม่ไปนอนอีก” อวี้อาเหราชะงัก เมื่อครู่นางบอกให้เจาเอ๋อร์ไปพักผ่อนแล้วนี่ 


 


 


“บ่าวคิดว่าคุณหนูจะต้องหิวเป็นแน่ เช่นนั้นจึงไม่กล้าไปนอน และก็เป็นอย่างที่บ่าวคาดเดาเอาไว้จริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ” บนใบหน้าของเจาเอ๋อร์เผยรอยยิ้มซุกซน อากาศด้านนอกทั้งมืดมิดและหนาวเย็นผิดกับความอบอุ่นด้านในอย่างชัดเจน ใบหน้าของอวี้อาเหราอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย “ในเมื่อเจ้ายังไม่นอนก็ไปนำเหล้าจากคลังมาสักไหเถิด มาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอก” 


 


 


“แต่ว่าแผลของคุณหนู…” 


 


 


“ไม่เป็นไร ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างการดื่มเหล้าก็ยังเป็นการทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วยมิใช่หรือ” 


 


 


“จะว่าไปก็ใช่เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไปนำเหล้ามา คุณหนู ท่านทานยาบำรุงมาตั้งหลายวันแล้วก็ทานให้มากๆ เถิดนะเจ้าคะ สองสามวันมานี้เห็นท่านผ่ายผอมลงบ่าวก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก” 


 


 


“รีบไปเถิด วันนี้ข้าอยากกินเนื้อเยอะๆ เลย” 


 


 


อวี้อาเหราพยักหน้าลง มองตามแผ่นหลังบอบบางของเจาเอ๋อร์หายไปภายใต้แสงเทียนสลัว 


 


 


ผ่านไปไม่นานนัก นางก็ถือของกลับมามากมาย ในมือมีทั้งเหล้าและเนื้อ 


 


 


อวี้อาเหราดื่มเหล้าที่เจาเอ๋อร์รินให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางที่ยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าก็นั่งลงกินด้วยกันสิ” 


 


 


“จะได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านเป็นคุณหนู ส่วนบ่าวเป็นบ่าว…” เจาเอ๋อร์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มีที่ไหนกันที่ให้บ่าวไพร่นั่งตีตนเสมอเจ้านายเช่นนี้ 


 


 


“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียตอนนี้ก็มีแค่เราสองคน เจ้ารีบนั่งลงเถิด ข้ารำคาญความอ้อยอิ่งเช่นนี้เต็มทนแล้ว” อวี้อาเหราดุขึ้นด้วยความไม่พอใจ เจาเอ๋อร์จึงรีบกระวีกระวาดนั่งลงในทันที ก่อนจะยกจอกเหล้าดื่มเข้าปากเสียอึกใหญ่ จนเกือบจะกระฉอกออกมา 


 


 


“เจ้าจะรีบร้อนดื่มอะไรถึงเพียงนั้น” อวี้อาเหราหัวเราะ ยกจอกเหล้าที่ทำจากหยกขาวขึ้นส่องกับแสงเทียน หยดเหล้าใสส่องประกายอยู่บนจอกเหล้าหยกขาววูบวาบไปมา ราวกับสายน้ำใสในอ่างที่ต้องละอองคลื่น จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำเสียงแผ่วเบา “สุราเลิศรสดังใจหมาย หยกขาวงามดังดวงเดือน ได้ดื่มเหล้ากินกับแกล้มเช่นนี้ช่างเป็นวันที่สุขใจยิ่งนัก…” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 218 หัวเราะเยาะ 


 


 


 


 


 


“หยกขาวดวงเดือนอะไรหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์มองท่าทีเลือนลอยของนางด้วยความตกตะลึง 


 


 


อวี้อาเหราได้สติขึ้นมาก็รีบส่ายหน้าในทันที เมื่อได้ดื่มเหล้าแล้วอารมณ์ของนางก็เปลี่ยนไปเป็นระทมทุกข์ ยกจอกเหล้าขึ้นแล้วยิ้มให้กับเจาเอ๋อร์ “พวกเรามาชนแก้วกันดีหรือไม่” 


 


 


“ชนแก้วคืออะไรเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ถูกศัพท์ใหม่ทำให้ชะงักไปอีกครั้ง 


 


 


“ชนแก้วก็คือคนสองคนชนแก้วกันแล้วร่วมกันดื่มเหล้าอย่างไร เร็วๆ เข้าสิ” หลังจากที่อวี้อาเหราอธิบายแล้ว ก็รีบเร่งรัดอีกฝ่ายขึ้นในทันที 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รู้สึกว่าเป็นการละเล่นที่แปลกใหม่ดี เช่นนั้นจึงยกจอกเหล้าขึ้นชน 


 


 


ทั้งสองดื่มเหล้าจนกระทั่งค่อนคืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมามาย ฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดสภาพ เจาเอ๋อร์นั้นยังคงดีหน่อย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอย่างมึนงงก็เห็นว่าคุณหนูของตนเมาเสียแล้ว เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ก่อนจะพยุงนางไปที่เตียงเพื่อนอน ส่วนตนเองก็ถอยออกไป ยังดีที่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันที่ต้องเข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง มิเช่นนั้นคุณหนูของนางคงตื่นไม่ไหวแน่ 


 


 


วันต่อมา เมื่ออวี้อาเหราตื่นขึ้นก็รู้สึกปวดหัวอย่างหนัก ดื่มมากไปก็เป็นเช่นนี้นี่เอง 


 


 


ได้พักผ่อนหนึ่งวันถึงได้ค่อยดีขึ้น เวลาผ่านไปเจ็ดวัน เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่จัดงานเลี้ยงในวังหลวงแล้ว วันนี้ทั่วทั้งจวนก็วุ่นวายกันตั้งแต่เช้าตรู่ ทางด้านอนุรองนั้นก็ยิ่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เจาเอ๋อร์ช่วยอวี้อาเหราแต่งหน้ามวยผมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังคงกังวลอีกว่าว่าจะใส่ชุดเช่นไรดี 


 


 


คุณหนูของตนนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อีกทั้งนางยังลืมว่าจะต้องตัดชุดเพื่อเข้าวังอีกด้วย หากสวมเสื้อผ้าชุดที่เคยใส่ไปเมื่อครั้งที่แล้วเข้าไปในงานเลี้ยง ก็คงจะต้องถูกเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูหัวเราะเยาะลับหลังเป็นแน่ 


 


 


อวี้อาเหราได้ฟังคำแล้ว แต่ก็ยังไม่สนใจอยู่ดี “เจ้าจะไปสนใจทำไมว่าพวกนางจะพูดว่าอะไร ขอเพียงเป็นคนสวย เพียงใส่ชุดเก่าๆ ขาดๆ ก็ยังดูดีกว่าเหล่าคุณหนูสมองกลวงพวกนั้นตั้งเยอะ” 


 


 


“แม้ว่าคุณหนูจะพูดเช่นนี้ แต่งานเลี้ยงในวังหลวงนั้นไม่เหมือนงานทั่วไปนะเจ้าคะ หากแต่งกายไม่ดีก็เท่ากับทำให้จวนของเราเสียหน้า อีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องขึ้นรถม้าเข้าวังแล้ว พวกเราไม่มีทางหาชุดได้ทันแน่เลยเจ้าค่ะ นี่ก็เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเองที่ลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปเสียได้ ถ้าหากทำให้จวนของเราขายหน้า บ่าวจะรับผิดชอบได้อย่างไรเจ้าคะ!” เจาเอ๋อร์โทษตัวเองไม่หยุด


 


 


เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะนางเลินเล่อ นางเคยรอบคอบกว่านี้ แต่เพราะหลายวันมานี้ต้องคอยจัดการเรื่องของเฉียนหลงจู๊ ทำให้ลืมเรื่องที่จะต้องตัดเย็บเสื้อผ้าไปเสียสนิท นี่ก็ไม่เท่ากับเป็นความผิดของนางหรือ 


 


 


“ไม่เป็นไร เจ้าอย่าได้รู้สึกผิดไปเลย จะว่าไปแล้วเรื่องของเฉียนหลงจู๊ก็เป็นเพราะข้ามอบหมายให้เจ้าทำ หากจะโทษใครสักคนก็ควรจะเป็นความผิดของข้า” อวี้อาเหราส่ายหน้าแล้วเอ่ยปลอบเจาเอ๋อร์ ถามขึ้นพร้อมทั้งคิ้วที่ขมวดมุ่น “นี่ก็ไม่มีกระโปรงชุดอื่นเลยหรือ” 


 


 


“อาภรณ์ที่ใช้สวมใส่ทุกวันย่อมมีอยู่มากเจ้าค่ะ เพียงแต่ชุดที่ใส่ออกงานนั้นเป็นรูปแบบของเมื่อหลายปีก่อน หากสวมใส่ไปงานก็คงจะถูกหัวเราะเยาะแน่ ยามนี้เมื่อคิดขึ้นว่าทุกคนแต่งตัวด้วยความงดงามวิจิตร แต่คุณหนูกลับสวมเสื้อผ้าแบบนั้นไปคงต้องถูกเย้ยหยันแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ!” 


 


 


“เช่นนั้นแล้วมีวิธีอื่นอีกหรือไม่” 


 


 


“ไม่มีเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูไม่ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้ตัดชุดใหม่ ยามนี้ก็ไม่มีชุดสวยๆ เอาไว้ใส่แล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าของเจาเอ๋อร์แฝงความทุกข์ระทม 


 


 


อวี้อาเหราเท้าคางครุ่นคิด หากมัวแต่วิตกกังวลก็คงไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่เร่งรีบมากที่สุดก็คือการหาชุดแบบที่ทันสมัยและไม่เคยสวมมาก่อน นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่บ้าง ก็แค่งานเลี้ยงธรรมดาๆ เท่านั้นเองมิใช่หรือ ทำอย่างกับจะไปเดินพรมแดงไปได้ แต่สำหรับหญิงสาวในยุคโบราณแล้ว ก็คงจะเหมือนงานเดิมพรมแดงจริงๆ ล่ะนะ 


 


 


“แล้วชุดของเสด็จแม่เล่า ไม่มีแล้วหรือ” 


 


 


“ขอบ่าวนึกก่อนนะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์นิ่งไปสักครู่ ก่อนจะส่ายหน้าออกมา “ไม่มีเจ้าค่ะ” 


ตอนที่ 219 ทำอย่างไรดี 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งงัน เรื่องนี้ช่างยุ่งยากเสียจริง… 


 


 


เจาเอ๋อร์นั้นก็เอาแต่ขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ 


 


 


ในเวลานี้เอง ทางฝั่งสาวใช้ของอนุรองก็ได้เข้ามาไถ่ถามว่าจะเข้าวังกันได้หรือยัง 


 


 


เจาเอ๋อร์หาข้ออ้างบอกให้นางออกไปก่อน จากนั้นก็หันมาพูดด้วยความวิตกว่า “เมื่อครู่นี้สาวใช้นางนั้นก็ได้มองเข้ามาด้านในด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็น คงจะเห็นว่ายามนี้คุณหนูยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เช่นนั้นก็น่าจะรู้แล้วกระมังเจ้าคะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น…” 


 


 


“อืม เจ้าไปหาทางรั้งตัวอนุรองไว้เสีย” อวี้อาเหราสั่งอย่างหนักแน่น 


 


 


“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พยักหน้าลง 


 


 


ในขณะที่พวกนางกำลังคิดหาวิธีการอยู่นั้น อนุรองก็ส่งหญิงรับใช้เข้ามาอีกคน 


 


 


หลังจากที่เจาเอ๋อร์ออกไปรับหน้าแล้ว นางก็กลับเข้ามาอีกครั้งด้วยใบหน้าโกรธเคือง 


 


 


“เป็นอะไรไป หรือว่าสาวใช้คนนั้นทำให้เจ้าโกรธหรือ” อวี้อาเหรามองสีหน้าท่าทีของนาง  


 


 


“นางไม่ได้ทำให้บ่าวโกรธหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อครู่นี้สาวใช้นางนั้นกล่าวว่าหากคุณหนูรองมีเหตุขัดข้องจนไม่อาจไปร่วมงานได้ เช่นนั้นก็ให้นำเทียบเชิญมาให้พวกนางเสีย พวกนางไม่มีทางทำให้จวนของพวกเราเสียหน้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทแน่ อย่างไรเสียก็ต้องมีคนไปเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ลอกเลียนแบบตามต้นฉบับที่สาวใช้พูดไม่ขาดตกบกพร่อง 


 


 


เช่นนั้นอวี้อาเหราก็พลันโกรธขึ้นมาทันที “พวกนางก็ชักกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดูท่าทางคงกำลังหวังว่าข้าจะไปไม่ได้สินะ” 


 


 


หากว่านางไปไม่ได้จริงๆ หลิงอ๋องก็ย่อมแก้ไขสถานการณ์โดยการส่งอนุรองและอวี้จื่อเยียนไปงานเลี้ยงแทนเป็นแน่ ยามนั้นเมื่อไม่มีนางแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะถูกสองแม่ลูกจะใส่ความอย่างไรบ้าง 


 


 


นางที่อารมณ์สงบเมื่อครู่นี้พลันบังเกิดเพลิงโทสะขึ้นมา ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วสั่งความกับเจาเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปนำเสื้อผ้าที่ข้ามีมาทั้งหมด ข้าก็ไม่มีทางเชื่อว่าข้าจะไม่มีชุดดีๆ สักชุดใส่ไปงานเลี้ยง!” 


 


 


เจาเอ๋อร์รีบพยักหน้ารับคำ 


 


 


เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหมดถูกนำมาแล้วโยนลงบนเตียง อวี้อาเหราค่อยๆ ดูทีละตัว ชุดพวกนี้ก็มีรูปแบบธรรมดาๆ อย่างเช่นที่ว่าจริงๆ ทั้งไม่สวยทั้งล้าสมัย คิดๆ ดูแล้วคงเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้อวี้อาเหราถูกพวกอนุรองรังแกเสียจนแม้แต่ชุดสวยๆ ก็ไม่อาจมีไว้ในครอบครองเป็นแน่ เสื้อผ้าเช่นนี้หากใส่ออกไปก็คงถูกหัวเราะเยาะจนตาย อนุรองคงคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว เช่นนั้นจึงกล้าที่จะส่งคนเข้ามาไถ่ถาม 


 


 


แต่ว่านางก็ไม่มีทางยอมให้สองแม่ลูกนั่นสมปรารถนาเป็นแน่! 


 


 


มองไปยังเสื้อผ้าที่กองอยู่บนเตียงเหล่านั้นแล้ว นางก็เลือกชุดที่ใหม่ที่สุดและสวยที่สุดขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วถึงกล่าวกับเจาเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปเตรียมชุดเข็มและด้ายสำหรับปักผ้ามาให้ข้าที แล้วไปเด็ดดอกไม้จากสวนด้านหลังมาด้วย จำได้หรือไม่” 


 


 


“หา? คุณหนูท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ไม่เข้าใจ 


 


 


“ประเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจเอง” มุมปากของอวี้อาเหรายกยิ้มขึ้น ในดวงตาวาบประกายรอยยิ้ม ในเมื่ออนุรองอยากจะให้เรื่องชุดเป็นปัญหาสำหรับนาง มันก็ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เพียงฟังคำสั่งแล้วไปเตรียมของ 


 


 


เมื่อนางถือของทั้งหมดเข้ามาในห้องแล้ว ก็เห็นอวี้อาเหรากำลังใช้กรรไกรตัดกระโปรงชุดนั้นหลายรอย กระโปรงชุดนี้หากจะบอกว่าเป็นสีขาวก็ไม่ใช่ เป็นสีชมพูก็ไม่เชิง อีกทั้งเมื่อรวมกับรูปแบบที่เป็นที่นิยมเมื่อหลายปีก่อน ยามนี้ก็ดูล้าสมัยและน่าเกลียดเป็นอย่างมาก แล้วยังจะตัดกระโปรงเป็นรูเช่นนี้อีกหรือ คิดได้ดังนั้นเจาเอ๋อร์ก็เข้าไปจับข้อมือของนางเอาไว้ในทันที  


 


 


“คุณหนู ท่านจะโกรธอนุรองก็ได้ แต่อย่างไรก็ไม่ควรเอากรรไกรมาเล่นเช่นนี้นะเจ้าคะ หากตัวท่านบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน”  


 


 


“เล่นอะไรกัน นี่ข้าก็กำลังทำชุดกระโปรงให้ตัวเองใหม่อยู่ต่างหากเล่า!” อวี้อาเหราหมดคำจะพูด นางก็ดูเป็นคนที่ชอบระบายอารมณ์ลงที่ข้าวของอย่างนั้นหรือ 


 


 


“อะ…อ้อ ถ้าเช่นนั้นคุณหนูก็ทำต่อไปเถิดเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์มองเห็นสีหน้าแววตาของนางแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปห้ามปรามอีก และยิ่งไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าหากไม่ระวังแล้วจะถูกกรรไกรแทงเอาได้ แต่ว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่มีทางเชื่อว่าคุณหนูของนางกำลังทำเสื้อผ้าสำหรับออกงานอยู่ นี่ก็ไม่ใช่ว่านางกำลังทำไปมั่วๆ หรอกหรืออย่างไร 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 220 เย็บชุดออกงาน  


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราตัดเอาผ้าด้านบนในส่วนที่ไม่ต้องการออก หากมองเพียงเผินๆ คงจะเห็นว่านางทำไปโดยไม่มีแบบแผน แต่การกระทำของนางนั้นก็คล่องแคล่วไม่น้อย ก่อนที่นางจะสนด้ายกับเข็มปักผ้า ขยับมือบนชุดกระโปรงราวกับบินพลิ้ว ท่าทางดูคล่องแคล่วยิ่งนัก ในภพก่อนนางอยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องพึ่งพาตัวเอง อีกทั้งยังต้องคอยหลบหนีผู้ที่ต้องการจับตัวนาง ดังนั้นจึงเดินทางไปในหลายๆ ที่ หลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จด้วยตัวเอง เสื้อผ้าขาดบ้างพังบ้างเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย ในสถานการณ์ที่ไร้ผู้ใดคอยช่วยเหลือ มีเพียงมือของนางที่จะซ่อมแซมได้ เพราะอย่างนั้นจึงค่อยๆ ฝึกฝนจนเก่งกาจ 


 


 


นิสัยของนางจริงๆ แล้วเป็นคนเกียจคร้าน หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ นางก็ไม่มีทางลงมือทำเอง 


 


 


แต่กับเรื่องเสื้อผ้านั้นไม่เหมือนกัน เพราะเป็นของที่ต้องสวมใส่ เมื่อเก่าหรือขาดอย่างไรก็ต้องทำเอง 


 


 


ความสามารถของคนเรานั้นช่างไร้ขีดจำกัด เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับ ความสามารถก็ถูกเค้นออกมาเสียหมด ในยามนั้นเพื่อการหลบหนีเหล่าผู้จับกุม นางจึงทำได้เพียงกระโจนเข้าไปอยู่ในสถานที่อันรกร้าง ถ้าหากนางไม่ดิ้นรนก็คงจะต้องอดตายอยู่ที่นั่นเป็นแน่ 


 


 


ในขณะนั้นเอง นางก็ปักลายดอกไม้ที่มีรูปแบบทันสมัยไว้ด้านบนของชุดจนสำเร็จ ท้ายที่สุดจึงค่อยๆ ใช้กลีบดอกไม้ติดลงบนกระโปรง รอจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้สวมใส่ลงไปบนร่าง กลับทำให้เจาเอ๋อร์ที่ได้เห็นดวงตาเป็นประกาย ขยี้ตาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “คุณหนู นี่ก็เป็นชุดที่ท่านตัดเองจริงๆ หรือเจ้าคะ” 


 


 


ส่วนที่ควรตัดออกก็ถูกตัดออกไปจนหมด ด้านบนประดับประดาตกแต่งไปด้วยกลีบดอกไม้สีอ่อนจำนวนไม่น้อย ตัวกระโปรงบางส่วนยาวลากพื้น ช่วงเอวถูกรัดให้ดูบอบบางมากยิ่งขึ้น จนทำให้ผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะใช้มือกำเสียให้รอบ ชุดกระโปรงที่ผ่านการปรับแก้แล้วยิ่งทำให้นางดูสดใสและอรชร ราวกับมีกลิ่นดอกไม้จางๆ กรุ่นกำจายออกมา 


 


 


เมื่อเสริมด้วยใบหน้างดงามของอวี้อาเหราแล้ว ก็ยิ่งทำให้ทั่วทั้งร่างของนางเปล่งประกาย 


 


 


เสื้อผ้าชุดนี้หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็ไม่ถือว่าสวยงามอะไรนัก ทว่าเมื่อมาอยู่ในยุคโบราณก็ถือว่าแปลกใหม่อยู่บ้าง 


 


 


อีกส่วนหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบใดก็ขึ้นอยู่กับผู้สวมใส่ ผิวของอวี้อาเหราขาวราวกับหิมะ ใบหน้างดงาม ท่าทีงามสง่า ราวกับจะส่องประกายออกมา แล้วนี่จะไม่สวยได้อย่างไรเล่า? 


 


 


ยิ่งนางสวมเสื้อที่ผ่านการปรับแก้มาจนดูเหมือนเทพบุปผา แม้ว่าจะไม่ได้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่คิดเอาไว้ แต่ก็ถือว่าไม่เลวนัก โดยเฉพาะลายปักรูปดอกไม้ที่ดูธรรมดาๆ ในยุคปัจจุบันก็ช่างดูมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร มีความสวยงามที่แสนเย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ทิ้งซึ่งความอ่อนน้อม 


 


 


ชุดเป็นสีชมพูอ่อนบาง เต็มไปด้วยความสดใส 


 


 


นางหมุนตัวอยู่หน้าคันฉ่องรอบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ 


 


 


เจาเอ๋อร์เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตะลึงเป็นที่สุด “คุณหนูเก่งจริงๆ เจ้าค่ะ แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังเย็บเป็น ต่อไปหากไม่มีหลิงอ๋องแล้ว เพียงพึ่งพาสองมือของท่านก็มีชีวิตรอดอยู่ได้เป็นแน่!” 


 


 


“ไม่ได้หรอก ข้าขี้เกียจจะตาย” อวี้อาเหราส่ายหน้า แต่ก็กลับขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ชะงัก 


 


 


“เจ้าดูสิ เสื้อผ้าชุดนี้ไม่เข้ากับทรงผมของข้าเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นเจ้าเกล้าผมให้ข้าใหม่ดีหรือไม่” 


 


 


“จริงด้วยเจ้าค่ะ…” เจาเอ๋อร์เมื่อพิศมองอย่างละเอียด จากนั้นถึงได้พยักหน้า “บ่าวจะรีบเกล้าให้คุณหนูใหม่เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”  


 


 


แม้จะกล่าวว่างานจำพวกเย็บปักนั้นเจาเอ๋อร์ทำไม่เป็น แต่เรื่องทำผมนั้นนางไม่เป็นสองรองใคร เพียงไม่นานก็สามารถเกล้ามวยผมเป็นทรงสวยงามได้แล้ว เมื่อรวมเข้ากับเสื้อผ้าที่นางสวมอยู่ ก็ทำให้นางดูงดงามราวกับเทพบุปผาที่ร่วงหล่นมาจากสรวงสวรรค์ เจาเอ๋อร์มองผ่านคันฉ่องด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะประดับประดาทรงผมด้วยเครื่องประดับต่อไป 


 


 


อวี้อาเหราส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว หากใส่เครื่องประดับศีรษะพวกนี้เข้าไปอีกคงดูน่าขันยิ่งนัก” 


 


 


“แต่ถ้าหากไม่ประดับเลย ก็จะทำให้ผู้อื่นดูถูกจวนอ๋องของเราได้นะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์เองก็ขมวดคิ้วมุ่น 


ตอนที่ 221 หม่นหมองไร้ราศี 


 


 


 


 


 


“เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจำได้ว่ายังมีดอกโบตั๋นเหลืออยู่สองดอก สีขาวแซมแดง เช่นนั้นก็นำมาปักผมเสียเป็นอย่างไร” อวี้อาเหราเสนอความคิด 


 


 


“จริงด้วยเจ้าค่ะ!” ดวงตาของเจาเอ๋อร์เป็นประกาย ก่อนจะรีบไปหยิบดอกโบตั๋นสองดอกนั้นมา 


 


 


ดอกไม้มีขนาดเท่าฝ่ามือของเด็ก อวี้อาเหราปักดอกไม้เอาไว้คนละแห่ง เมื่อส่องคันฉ่องอีกครั้งก็เห็นว่าตัวนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ดูราวกับสาวงามที่ผุดขึ้นมาจากพุ่มดอกไม้ เจาเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมออกมาด้วยความตกตะลึง “คุณหนูงดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!” 


 


 


“เอาเถิด เวลาผ่านก็ล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว พวกเรารีบไปขึ้นรถม้าเข้าวังกัน” อวี้อาเหราพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ 


 


 


ในยามที่นางหมุนกายออกไปด้านนอกนั้น อวี้อาเหราก็ร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน “เจ้าไปรายงานอนุรองกับเสด็จพ่อหน่อย ว่าประเดี๋ยวข้าจะตามไป” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รีบไปในทันที 


 


 


เวลาที่ยิ่งกระชั้นชิดมากขึ้น คาดว่ายามนี้หลิงอ๋องและอนุรองก็คงรอจนร้อนรนแล้วกระมัง  


 


 


จนกระทั่งอวี้อาเหาจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกไปทางประตู พบว่าหลิงอ๋องและคนอื่นๆ ก็ได้รออยู่ที่หน้าประตูอยู่นานแล้ว ยามที่เห็นนางสวมเสื้อผ้าชุดนั้นแล้วเดินเข้ามาด้วยสายตาเปล่งประกาย เขาก็มองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “เจ้า…เจ้า…” 


 


 


“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ” อวี้อาเหรายิ้มแล้วก้มตัวทำความเคารพ 


 


 


อนุรองชะงักไป 


 


 


อวี้จื่อเยียนเมื่อเห็นเสื้อผ้าของอวี้อาเหราแล้วก็ย้อนกลับมาดูของตัวเอง นางสั่งตัดชุดร้านเสื้อซั่งอวิ๋นที่มีชื่อเสียงของเมืองเฟิ่งเฉิงล่วงหน้าตั้งหลายวัน เป็นชุดกระโปรงยาวสีม่วง ทั้งรูปแบบและการตัดเย็บมาจากช่างที่มีฝีมือดีที่สุด แต่หากมองจากสายตาของคนภายนอกแล้ว ชุดของนางถึงแม้จะดูสวย แต่เมื่อเทียบกับชุดของอวี้อาเหราแล้วก็ดูหม่นหมองลงไปไม่น้อย 


 


 


นี่ก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะรูปแบบของชุดนางก็ยังไม่ทันสมัยเท่าของอวี้อาเหรา ที่เพียงมองก็รู้สึกราวกับเปล่งประกายขึ้นตรงหน้าเสียแล้ว 


 


 


สีหน้าของนางยิ่งไม่น่าดูมากยิ่งขึ้น นางก็เกลียดเสียอยากจะเอากรรไกรมาตัดเสื้อของอวี้อาเหราทิ้งให้หมด! 


 


 


อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปยิ้มให้อนุรองและอวี้จื่อเยียน “เป็นความผิดของข้าเอง ปล่อยให้อนุรองกับพี่สาวต้องรอนานแล้ว” 


 


 


“ไม่เป็นไร” หลิงอ๋องโบกมือ จ้องมองใบหน้าของนางด้วยความเหม่อลอย 


 


 


นางก็ช่างเหมือนพระชายาในยามเยาว์วัยยิ่งนัก หรืออาจจะพูดได้ว่าเหมือนราวกับเป็นคนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น! 


 


 


เมื่ออนุรองและอวี้จื่อเยียนเห็นหลิงอ๋องพูดดังนั้น แน่นอนว่าก็ไม่กล้ามีความเห็นเป็นอื่น อนุรองรีบยิ้มกว้างออกมาในทันที “เกรงว่าคุณหนูรองคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้เสียเวลา พวกเราย่อมจะเข้าใจอยู่แล้ว” 


 


 


เดิมทียังคงคิดว่านางไม่มีเสื้อผ้าใส่เป็นแน่ คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใส่ไฟนางต่อหน้าหลิงอ๋อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอวี้อาเหราจะสวมเสื้อผ้าตัวใหม่มา อีกทั้งยังงดงามถึงเพียงนี้ นี่ก็ช่างไม่เหมือนกับเสื้อผ้าจากร้านตัดเสื้อซั่งอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าสวยงามกว่ามาก เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วนางก็มองไปยังลูกสาวของตัวเอง ทันใดนั้นใบหน้าก็ซีดเผือดไร้ราศี อดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกโมโหขึ้นมาในใจ 


 


 


แม้ว่าอวี้จื่อเยียนจะไม่พอใจนัก แต่นางก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา โอกาสที่จะได้เข้าวังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากนางยั่วโมโหอวี้อาเหราเข้า ไม่ต้องพูดเรื่องที่จะได้เข้าไปในงานเลี้ยงเลย แม้แต่ได้ก้าวเท้าเข้าวังนางก็คงไม่มีโอกาส 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงได้มาช้าเช่นนี้เล่า” หลิงอ๋องไม่โกรธ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงสาเหตุ 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งเงียบไป ก่อนจะลอบส่งสายตาให้กับเจาเอ๋อร์ 


 


 


เจาเอ๋อร์รับรู้ความนัยที่นางต้องการจะสื่อ จึงรีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “ขอท่านอ๋องทรงโปรดอภัยด้วยเพคะ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบ่าวประมาทเลินเล่อ ไม่ได้ไปเตรียมชุดจากร้านซั่งอวิ๋นมาก่อน เพราะอย่างนั้นคุณหนูจึงไม่มีชุดใส่ออกงานเพคะ” 


 


 


“แล้วชุดเดิมไปไหนเสียเล่า” หลิงอ๋องสงสัย 


 


 


“ชุดของคุณหนูนั้นก่อนหน้านี้เก่าจนขาดแล้วขาดอีก รูปแบบก็ล้าสมัย หากสวมเข้าวังไปเกรงว่าจะขายหน้ามาถึงจวนหลิงอ๋องเพคะ ดังนั้นแล้ว…” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 222 ไม่รู้เรื่องอะไร 


 


 


 


 


 


“ดังนั้นอะไร”  


 


 


“ดังนั้นในสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกเช่นนี้ คุณหนูจึงต้องลงมือเย็บเสื้อผ้าขึ้นมาด้วยตัวเอง ก็คือที่คุณหนูสวมใส่อยู่บนร่างในขณะนี้เพคะ” เจาเอ๋อร์เอ่ยอย่างตะกุกตะกักจนกว่าจะพูดจบ 


 


 


หลิงอ๋องตกตะลึงขึ้นมาในทันใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหราอีกครั้ง “ชุดนี้เจ้าทำเองหรือ” 


 


 


“เพคะ” อวี้อาเหราพยักหน้ารับเงียบๆ “เสื้อผ้าชุดนี้เป็นชุดที่ลูกนำเสื้อผ้าเก่าๆ มาปรับใหม่จริงๆ เพคะ ฝีมือไม่ประณีตนัก ก็ไม่ควรใส่ออกงานเลยจริงๆ แต่เพราะว่าลูกไม่อยากให้คนมาดูถูกจวนอ๋องของเรา และไม่อาจไปที่ร้านซั่งอวิ๋นเพื่อสั่งทำอีกชุดได้ เช่นนั้นจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว ขอให้เสด็จพ่อทรงอภัยให้ลูกด้วยเพคะ” 


 


 


“อภัยอะไรกัน” หลิงอ๋องไม่พอใจ “เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง เหตุใดแม้แต่ชุดดีๆ สักชุดถึงไม่มีเลยเล่า เจ้าบ่าวพวกนี้มัวทำอะไรกันอยู่!” 


 


 


“เสด็จพ่อ ทรงอย่าโทษคนเหล่านั้นเลยเพคะ พวกเขาเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่เลินเล่อเช่นนี้เป็นแน่” อวี้อาเหราเอ่ยชี้นำจนทำให้หลิงอ๋องต้องหรี่ตาลง ก่อนจะหันไปทางอนุรอง “หลายปีมานี้เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องราวภายในจวน แต่เจ้ากลับทำกับอาเหราเช่นนี้หรือ” 


 


 


“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ!” อนุรองคุกเข่าลงในทันที แล้วก้มหน้าลงกล่าวว่า “หม่อมฉันดูแลคุณหนูรองอย่างดีมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากพระชายาจากไปพวกสุนัขรับใช้เหล่านั้นจะกล้ารังแกคุณหนูรอง แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ได้เป็นต้นเหตุ แต่อย่างไรเสียก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้ เมื่อเห็นคุณหนูรองต้องทนลำบากถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนักเพคะ” 


 


 


“เจ้าไม่รู้เรื่องหรือ” หลิงอ๋องไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือเท่าไรนัก แต่เมื่อคำนึงถึงเด็กที่อยู่ในท้องนางแล้วน้ำเสียงก็พลันอ่อนลง “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด กำลังท้องอยู่ อย่าได้คุกเข่าเลย” 


 


 


“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ เพคะ มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะปล่อยให้คุณหนูรองถูกรังแกได้อย่างไรกันเพคะ” อนุรองน้ำตาไหลนองหน้าด้วยความระทม ราวกับทรมานเพราะความรู้สึกผิดกระนั้น จนทำให้หลิงอ๋องที่มองอยู่นั้นเกิดใจอ่อนขึ้นมา แต่ใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสี 


 


 


“เสด็จพ่อ พวกเรารีบเข้าวังกันเถิดเพคะ มิเช่นนั้นแล้วหากฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับผิดชอบได้นะเพคะ” อวี้จื่อเยียนเอ่ยเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ 


 


 


“อืม ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้กลับมาแล้วค่อยว่าก็แล้วกัน” หลิงอ๋องพยักหน้าลง แล้วขึ้นรถม้าไปก่อน 


 


 


“ตามข้ามาเถิด” อวี้อาเหราแอบปรายตามองสองแม่ลูก แล้วจึงค่อยขึ้นไปบนรถม้า 


 


 


เมื่อคนทั้งหมดขึ้นมากันจนครบแล้ว รถม้าจึงออกเดินทางไปยังวังหลวง 


 


 


หลังจากที่ลงจากรถม้าแล้ว หลิงอ๋องก็ออกคำสั่งว่า “อาเหรา เจ้าพาอนุรองกับเยียนเอ๋อร์เข้าวังเถิด งานเลี้ยงจัดขึ้นที่สวนบุปผาหลวงทางด้านนั้น พ่อจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน อีกสักครู่จึงค่อยตามไป เจ้าคอยดูแลให้ดี โดยเฉพาะเด็กในท้องของอนุรอง” 


 


 


“เพคะ ลูกทราบแล้วเพคะ” แม้ปากของอวี้อาเหราจะตอบรับ ทว่าในใจกลับลอบสบถอย่างเย็นชา 


 


 


“คุณหนูรอง พวกเราก็เข้าไปกันเถิด” อนุรองมองไปยังพระราชวังด้วยความร้อนรน สิบปีก่อนหน้านี้ นางก็ออกมาจากที่แห่งนี้เพื่อเข้าสู่จวนหลิงอ๋อง เป็นเพราะฝ่าบาททรงประทานนางให้เป็นอนุภรรยา เพราะอย่างนั้นเพียงชั่วพริบตาก็ก้าวข้ามผ่านสถานะสาวใช้ไปเป็นอนุรองในทันที เห็นได้ว่าเป็นโชคดีที่ยากจะได้รับ 


 


 


สิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือ หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในจวนหลิงอ๋องแล้วนางก็สามารถให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวอย่างละหนึ่งคน แม้แต่ในยามที่พระชายายังคงพรชนม์ชีพนั้นนางก็มีสถานะสูง ไม่ต้องพูดถึงหลายปีหลังมานี้ หลังจากที่พระชายาในหลิงอ๋องให้กำเนิดอวี้อาเหราแล้วจากไป แม้นางจะไม่ได้ตำแหน่งพระชายา แต่ก็กุมกิจการต่างๆ ของจวนเอาไว้ในมือ ใครๆ ต่างก็ให้ความนับถือกันทั้งนั้น 


 


 


และสิ่งที่นางเกลียดชังก็คือ เรื่องราวที่เปลี่ยนไปหลังจากที่อวี้อาเหราตกหน้าผา! 


 


 


นี่จะทำให้นางไม่เกลียดได้อย่างไรกัน? 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าพร้อมสาวเท้าเดินไป ผ่านไปสักพัก อนุรองก็ยิ้มร้ายขณะที่พูดว่า “คุณหนูรอง ผ้าเช็ดหน้าของข้าน้อยตกพื้นเสียแล้ว อยากจะกลับไปเก็บเสียหน่อยเจ้าค่ะ” 


ตอนที่ 223 ผ้าเช็ดหน้าตก 


 


 


 


 


 


“ผ้าเช็ดหน้าตกพื้น? เช่นนั้นข้าจะไปหากับท่านเอง” อวี้อาเหราขมวดคิ้ว 


 


 


“ไม่…ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” อนุรองรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไหนเลยข้าน้อยจะกล้าใช้คุณหนูรอง ข้าน้อยไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ” 


 


 


“เช่นนั้นก็ไปเถิด” อวี้อาเหราไม่พูดมาก ยอมให้อีกฝ่ายไปแต่โดยดี 


 


 


เจาเอ๋อร์ชะงัก “คุณหนู นี่อนุรองคิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่าเจ้าคะ” 


 


 


“หึ พวกนางคิดจะทำอะไรเจ้าก็ยังดูไม่ออกอีกหรือ” อวี้อาเหราแค่นเสียงเย็นพร้อมยกยิ้ม “บอกว่าผ้าเช็ดหน้าตกอะไรกัน ไร้สาระ ดูท่าคงเป็นเพราะว่านางไม่อยากให้ข้าไปด้วยเป็นแน่ คงจะเป็นเพราะชุดที่ข้าใส่วันนี้จะทำให้อวี้จือเยียนดูด้อยลงไป จึงกลัวว่าจะมีใครมาเปรียบเทียบ เช่นนั้นก็เลยอยากจะเข้างานไปตามลำพังเสียมากกว่า” 


 


 


“พรืด” เจาเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วผู้คนก็ต้องเห็นอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้นจะไม่ยิ่งรู้สึกอับอายหรอกหรือเจ้าคะ” 


 


 


“ใครจะไปรู้ว่าใจของพวกนางคิดอะไรอยู่” อวี้อาเหราคร้านที่จะอธิบาย “พวกเราไปดูที่ห้องเสวยกันสักหน่อยเถิด” 


 


 


“คุณหนูจะไปที่ห้องเสวยทำไมหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ชะงัก ตามความคิดที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอวี้อาเหราไม่ทัน 


 


 


“เมื่อเช้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตัว ข้าก็หิวจนท้องร้องระงมไปหมดแล้ว ตอนนี้จึงอยากทานอะไรเสียหน่อย” อวี้อาเหราตอบ 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รู้สึกจนใจอยู่บ้าง คุณหนูของนางนั้นไม่มีใจอยากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางก็ตั้งใจที่จะมาหาของกิน แล้วรอชมเรื่องสนุกๆ ก็เท่านั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกอับจนขึ้นมา ก่อนจะเดินตามไปยังห้องเสวย 


 


 


เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง อวี้อาเหราก็เพิ่งจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เอ่ยถามขึ้นว่า “วันนี้ฉู่ป๋ายจะมาด้วยหรือไม่” 


 


 


“บ่าวก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ส่ายหน้า เมื่อเห็นนางมีท่าทีกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนั้นจึงปิดปากหัวเราะ “คุณหนูจะให้บ่าวไปถามให้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


“ไม่ต้อง ข้าเพียงแต่คิดว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าข้าจะไปที่ไหนก็พบแต่เขา ทว่ายามนี้กลับพบเห็นเขาน้อยครั้ง จู่ๆ จึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างก็เท่านั้น” อวี้ออาเหราส่ายหน้า 


 


 


“อ้อ” เจาเออร์ตอบรับพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม 


 


 


ในยามที่ทั้งสองคนเดินมาจะถึงห้องเสวยแล้ว เจาเอ๋อร์ก็พูดขึ้นมาว่า “ให้บ่าวเข้าไปเองเถิดเจ้าค่ะ หากเสื้อผ้าคุณหนูสกปรกแล้วจะยุ่งยากเอาได้ แล้วพวกข้างในเห็นเข้าก็ต้องคุกเข่าทำความเคารพอีก คงจะวุ่นวายมาก” 


 


 


“ได้ เจ้าไปเถิด” อวี้อาเหรานั่งอยู่ที่ศาลาใกล้ๆ เพื่อรอให้เจาเอ๋อร์นำของว่างมาให้รองท้อง ในใจคิดว่างานเลี้ยงในวังนั้นช่างลำบากลำบนอะไรเช่นนี้ ต้องตื่นแต่เช้ามาแต่งหน้าทำผม จนถึงตอนนี้ท้องของนางก็หิวเสียแย่แล้ว แต่ทำได้เพียงกินของว่างเพื่อรองท้องเท่านั้น ที่นางต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่าอย่างไรเสียสตรีทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิงก็ไม่มีใครยอมใคร นางก็กลัวว่าตัวเองจะด้อยกว่าผู้อื่นก็เท่านั้น 


 


 


ชีวิตช่างไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบันที่นางต้องทุกข์ทรมานและหนีตาย แม้ว่าจะเสี่ยงภัย แต่ก็มีความอิสระ แต่เมื่อคิดถึงว่าตนเองที่อยู่ภายใต้การปกครองของโอรสสวรรค์ หากไม่ใช้หัวสมองในการดำเนินชีวิตเสียบ้าง เช่นนั้นก็คงไม่มีสมองไว้ให้รักษาอีกแล้ว 


 


 


ในระหว่างที่กำลังวุ่นวายใจอยู่นั้น นางก็ใช้มือรองศีรษะแล้วฟุบไปกับโต๊ะหิน วันนี้อากาศหนาวเย็นนัก เจาเอ๋อร์เตรียมเสื้อคลุมกันลมขนจิ้งจอกให้นางตัวหนึ่ง เมื่อสวมแล้วจึงไม่ค่อยรู้สึกหนาวเย็นสักเท่าไร แต่วันนี้เป็นงานเลี้ยงในวังหลวง หญิงสาวที่เข้าร่วมงานล้วนแล้วแต่สวมชุดบางเบา แม้แต่อนุรองที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ทำเพียงสวมเสื้อคลุมด้านนอกเท่านั้น 


 


 


เมื่อมองออกไปยังที่ไกลๆ นางก็มองเห็นเงาร่างของคนบางคนกำลังเดินเข้ามา 


 


 


เมื่อเพ่งมองดูแล้วก็เห็นว่าเป็นอนุรองและอวี้จื่อเยียนนั่นเอง พวกนางเดินมากับเหล่าฮูหยินและคุณหนูตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่ง มุมปากของอวี้อาเหราก็ยกโค้งขึ้น ราวกับพวกนางจะมองเห็นตัวเองแล้ว จึงค่อยๆ เดินเข้ามาหา 


 


 


แม่ลูกคู่นี้ กำลังวางแผนอะไรอยู่อีกเล่า 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 224 ไม่ถึงกับตาบอด 


 


 


 


 


 


“คุณหนูรองมานั่งอยู่ตรงนี้เอง ให้ข้าน้อยหาเสียทั่ว ยังคิดว่าท่านน่าจะหลงทางเสียอีก กำลังจะให้คนไปรายงานท่านอ๋องอยู่เชียว ไม่คิดว่าเมื่อได้พบปะพูดคุยกับเหล่าฮูหยินและคุณหนู แล้วจะมาเจอท่านที่นี่” อนุรองยืนนิ่งอยู่ตรงด้านหน้า ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาในทันใด 


 


 


“อนุรองตามหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” อวี้อาเหราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นสัมผัสได้ถึงสายตาที่สาดประกายมายังร่างของนางได้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะช้อนสายตาเย็นชาขึ้นมองสำรวจไปยังกลุ่มของหญิงสาวเหล่านั้น สายตาของนางทำให้หญิงเหล่านั้นตกใจจนต้องถอนสายตามองประเมินของพวกนางกลับไป 


 


 


“ข้าน้อยก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านน่ะสิเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องคงต้องลงโทษข้าน้อยแน่” อนุรองยิ้มเล็กน้อย 


 


 


ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างกายอนุรองในชุดงดงามหรูหราลอบดึงชายแขนเสื้อของนางไว้ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่จะเชื่อว่า “นี่คงไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องหรอกกระมัง ช่างงดงามเป็นที่สุด เป็นสาวงามอย่างจริงแท้!” 


 


 


“ใช่แล้ว” สีหน้าของอนุรองแข็งค้าง 


 


 


ฮูหยินผู้นั้นเชยดวงตาขึ้นมองสำรวจอวี้อาเหราอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากอย่างมีมารยาท “วันนี้คุณหนูช่างแต่งกายได้งดงามยิ่งนัก ไม่ทราบว่าชุดนี้ไปซื้อมาจากที่ใดหรือ ดูแล้วไม่เหมือนกับชุดที่ช่างมีฝีมือในเมืองเฟิ่งเฉิงทำขึ้นมาเลย” 


 


 


“นี่ก็ไม่ใช่ชุดที่ช่างมีฝีมือทำขึ้นมาจริงๆ” อวี้อาเหรายิ้มบางๆ 


 


 


ฮูหยินผู้นั้นดูก็รู้ว่าไม่อยากพูดอะไรมาก จึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ จากนั้นก็ปรายตามองไปยังอวี้จื่อเยียน แล้วอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกันขึ้นมา แน่นอนว่าธิดาภรรยารองผู้นี้สู้ธิดาภรรยาเอกไม่ได้เลย เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่พบคุณหนูรองนั้นก็คิดว่าคุณหนูใหญ่งดงามเป็นอย่างมาก ทว่าในยามนี้ อย่างไรเสียก็เทียบกันไม่ติดจริงๆ 


 


 


คนที่เหลืออยู่ต่างพากันจ้องมองมายังอนุรองและอวี้จื่อเยียนสองแม่ลูกราวกับชมดูละครสนุกๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน และความบริภาษมาดร้าย  


 


 


อวี้จื่อเยียนกำมือแน่น “น้องสาว ไมใช่ว่าข้าจะว่าเจ้าหรอกนะ ยามนี้ท่านแม่ของข้ากำลังตั้งครรภ์จึงทำอะไรไม่ค่อยสะดวกนัก เสด็จพ่อที่นำเข้าไปก่อนได้ฝากให้เจ้าช่วยดูแล แต่ในใจของเจ้าคงไม่อยากจะเดินด้วยกันกับพวกเรา พวกข้าแม่ลูกนั้นมีสถานะต่ำต้อยจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาได้ แต่เจ้าเคยนึกถึงทายาทของจวนอ๋องของพวกเราบ้างหรือไม่” 


 


 


ทันทีที่กล่าวจบก็เท่ากับผลักความรับผิดชอบมาให้อวี้อาเหรา ในใจของนางลอบหัวเราะหยัน นี่ก็เป็นพวกนางสองแม่ลูกแท้ๆ ที่ต้องการไปเก็บผ้าเช็ดหน้า แต่ตอนนี้กลับพูดขึ้นมาเช่นนี้เสียได้ อีกทั้งยังใส่ร้ายว่านางกำลังรังแกอนุรองที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เช่นนี้จะไม่ได้เท่ากับชี้ว่านี้เป็นความรับผิดชอบของนางหรอกหรือ 


 


 


และทันใดนั้นเอง สายตาของเหล่าคุณหนูและฮูหยินที่กำลังชมดูเรื่องสนุกก็สาดส่องกลับมาอีกครั้ง 


 


 


“พี่สาว ท่านพูดไปถึงไหนกัน…” อวี้อาเหรากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ม้าหินด้วยท่าทางที่น่าสงสาร “เป็นเพราะอนุรองกล่าวว่าผ้าเช็ดหน้าตกแล้วจะกลับไปเก็บเองแท้ๆ ข้าไม่วางใจจะตามไปด้วยก็ไม่ยอม อีกทั้งข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอาหารเช้า เช่นนั้นจึงให้สาวใช้ไปนำอาหารว่างมาให้ เพราะกลัวว่าเด็กในท้องของอนุรองจะหิวแย่ แต่ว่า…กลับกลายเป็นข้าที่ผิดอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ไปนำอาหารว่าง?” อวี้จื่อเยียนหัวเราะเสียงเย็นชา “แล้วอยู่ที่ใดเล่า? ตอนพวกเราเดินมาถึงนั้นก็เห็นเพียงแต่เจ้าที่นั่งอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ คงไม่ใช่ว่ากำลังตบตากันอยู่หรอกใช่หรือไม่ แม้ว่าข้าจะตาเซ่อไปบ้าง แต่ข้าก็ไม่ได้ตาบอด!” 


 


 


จริงด้วย นางก็แค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้นสินะ คนทั้งหมดได้ยินดังนั้นก็พากันคล้อยตาม 


 


 


“ก็บอกแล้วว่าได้สั่งสาวใช้ไปนำมาให้ แน่นอนว่าตอนนี้นางก็ต้องไม่อยู่แล้วน่ะสิ” อวี้อาเหรากลอกตา 


 


 


ทุกคนพยักหน้า ที่พูดมาก็มีเหตุผล 


 


 


อวี้จื่อเยียนแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ ยังคงไม่เชื่อว่าจะเป็นจริงเช่นอวี้อาเหราพูด แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่านั่นจะเป็นข้อแก้ตัวไปเรื่อยเปื่อย  


ตอนที่ 225 ปะทะกัน 


 


 


 


 


 


ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังฟาดฟันกันอยู่นั้น เจาเอ๋อร์ก็ได้ยกกล่องอาหารออกมาจากห้องเสวย เมื่อเห็นพวกนางยืนล้อมอวี้อาเหราอยู่ก็ตกใจยิ่งนัก สาวเท้ายาวๆ เข้าไปข้างหน้า ก่อนจะรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวลว่า “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” 


 


 


“เจ้ามาพอดีเลย” มุมปากของอวี้อาเหรายกยิ้มด้วยความยินดี ก่อนจะปรายตามองไปยังอวี้จื่อเยียน “คุณหนูใหญ่บอกว่าข้าไม่ยอมเดินไปกับพวกนางเพราะเกรงว่าจะเป็นการลดสถานะของตัวเอง อีกทั้งข้ายังไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งเสด็จพ่อ ต้องให้อนุรองที่กำลังตั้งครรภ์ออกเดินทางตาหาข้าไปทั่ว” 


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์รีบถามกลับอย่างโกรธเคืองในทันที “คุณหนูของข้านั้นเห็นว่าอนุรองทำผ้าเช็ดหน้าตกจึงไม่ได้ตามไป หากจะโทษก็ไม่ควรโทษคุณหนูนี่เจ้าคะ!” 


 


 


เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินแล้ว ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าใครกันแน่ที่เป็นคนกล่าววาจาโกหก 


 


 


สีหน้าของอวี้จื่อเยียนย่ำแย่ลงในทันใด ทำได้แต่เพียงจ้องมองเจาเอ๋อร์อย่างคับแค้น 


 


 


อวี้อาเหรารับเอากล่องอาหารจากมือของเจาเอ๋อร์มา ก่อนจะหยิบจานของว่างสองสามจานออกมาให้ผู้อื่นได้ดู สุดท้ายแล้วก็จ้องมองไปยังอวี้จื่อเยียนด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะเอาขนมมาโป้ปดผู้ใดหรอกใช่หรือไม่ นี่เจ้าก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ก็อย่าได้กล่าวอีกเลยว่าข้าและเจาเอ๋อร์กำลังวางแผนการอะไรกันอยู่” 


 


 


“นางเป็นสาวใช้ของเจ้า แน่นอนว่าต้องช่วยเจ้าพูด…” อย่างไรเสียอวี้จื่อเยียนก็ไม่ยอมจำนน  


 


 


อวี้อาเหรากล่าววาจาขึ้นอย่างจนใจว่า “ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านต่างก็ได้เห็นแล้ว เมื่อครู่นี้เจาเอ๋อร์ไม่ได้อยู่กับข้า อีกอย่างข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกท่านจะมา หรือว่าข้ามีจิตทิพย์ จึงสามารถล่วงรู้ได้ว่าพวกท่านจะมา เช่นนั้นจึงให้เจาเอ๋อร์ไปเตรียมของว่างเอาไว้กระมัง?” 


 


 


“คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้อง” คนเหล่านี้เข้าใจขึ้นมาในทันที เพราะอย่างนั้จึงต่างพากันบริภาษอวี้จื่อเยียน 


 


 


“คุณหนูใหญ่ แม้ว่าท่านจะไม่ชอบคุณหนูรอง แต่ก็ไม่ควรใส่ความนางเช่นนี้!” 


 


 


“ใช่แล้วๆ!”  


 


 


หากเรื่องเช่นนี้ยังมองไม่ออกว่าใครถูกหรือใครผิด เช่นนั้นก็คงจะเป็นคนที่โง่เขลามากที่สุดในเมืองเฟิ่งเฉิงเป็นแน่แท้ 


 


 


คำด่าทอล้วนแล้วแต่พุ่งตรงไปหาอวี้จื่อเยียน จนทำให้สองแม่ลูกไม่มีหน้าที่จะรั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ฮูหยินและคุณหนูเหล่านี้ได้อีก ทว่าเรื่องราวในครั้งนี้เป็นพวกนางรนหาที่เอง หากไม่ใช่เพราะจิตริษยาของอวี้จื่อเยียนก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ยุ่งยากเช่นนี้เป็นแน่ อวี้อาเหราทำเพียงแค่ยืนมอง จากนั้นก็หลุบสายตาลง “ในเมื่อพี่สาวไม่อยากเห็นหน้าข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปเองเจ้าค่ะ” 


 


 


“เหตุใดถึงเป็นคุณหนูรองที่ต้องไปเล่า เห็นชัดๆ ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของคุณหนูใหญ่…” เมื่อทุกคนได้เห็นท่าทางที่น่าสงสารของอวี้อาเหราแล้ว ในใจก็รู้สึกสงสารจนไม่อาจทนได้ เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทนนาง 


 


 


“พวกเจ้า!” อวี้จื่อเยียนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ถลึงตาจ้องมองอวี้อาเหรา 


 


 


“บุตรสาวของอนุอย่างไรเสียก็เป็นบุตรสาวของอนุ ไหนเลยจะมีวันเชิดหน้าชูตาได้” ฮูหยินผู้หนึ่งแค่นเสียงหยันออกมาอย่างเย็นชา วาจานี้ทำให้อนุรองและอวี้จื่อเยียนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง สุดท้ายแล้วอนุรองก็ทำได้เพียงตีหน้าเรียบเฉยและเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองอย่าได้โกรธไปเลย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าน้อยสั่งสองบุตรสาวไม่ดี จนทำให้เหล่าฮูหยินและคุณหนูหัวเราะเยาะเอาได้” 


 


 


“ท่านแม่ นี่เป็นเพราะอวี้อาเหราจงใจชัดๆ…” 


 


 


“หุบปาก เจ้ายังไม่รีบมากับแม่อีกหรือ!” 


 


 


สีหน้าของอนุรองเปลี่ยนอปลงไปเป็นไม่น่าดูมากขึ้น ลากแขนของอวี้จื่อเยียนแล้วเดินจากไป 


 


 


เมื่อสองแม่ลูกจากไปแล้ว อวี้อาเหราก็หันไปส่งยิ้มบางให้กับเหล่าฮูหยินและคุณหนูทั้งหลาย “ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลืออาเหรา อาเหราซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” 


 


 


ทุกคนหันมามองนางด้วยความตกตะลึง ในยามที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์วุ่นวายนางยังคงมีท่าทางที่เรียบสงบ เหมือนคุณหนูตระกูลผู้ดีที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดีทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยแม้แต่น้อย ได้ให้กำเนิดบุตรสาวที่ทั้งงดงามและกตัญญูเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกถอนหมั้นเสียได้นะ 


 


 


แต่ก็ดีแล้วที่ถูกถอนหมั้น ไม่อย่างนั้นหากนางต้องแปดเปื้อนเพราะองค์รัชทายาทแล้ว นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 226 สงบนิ่งเยือกเย็น 


 


 


 


 


 


“คุณหนูรองอย่าได้เกรงใจไปเลย เจ้าและข้าล้วนแล้วแต่มีฐานะเป็นธิดาเอก ไหนเลยจะปล่อยให้คนพรรค์นั้นเหยียบย่ำเอาได้ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าใจดีเกินไป หากเป็นข้าแล้วละก็จะต้องทำให้พวกนางหลาบจำไปอีกนานเลยทีเดียว!” สุภาพสตรีผู้นั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะที่กล่าวขึ้น 


 


 


“อ้อ? ข้าลืมถามไปเสียว่าฮูหยินคือ…” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นแล้วถาม 


 


 


“ข้าคือภรรยาเอกสายรองในจวนราชเลขากรมขุนนาง”  


 


 


“ที่แท้ท่านก็คือเริ่นฮูหยิน” อวี้อาเหราหัวเราะออกมาน้อยๆ หากจำไม่ผิดหญิงสาวผู้งดงาม มีดวงตารูปหงส์ตรงหน้านี้ก็เป็นภรรยาของท่านอาของเริ่นหว่านเอ๋อร์ เป็นน้องสะใภ้ของท่านราชเลขากรมขุนนาง เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วนางก็ยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น “ไม่ทราบว่าหว่านเอ๋อร์มาถึงหรือยังเจ้าคะ” 


 


 


“คุณหนูรองรู้จักหว่านเอ๋อร์ด้วยหรือ” เริ่นฮูหยินพยายามเก็บซ่อนสีหน้าแปลกใจของตนเองเอาไว้ 


 


 


“ย่อมต้องรู้จักแน่เจ้าค่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้า “เพียงแต่เพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่นานเท่านั้น ทว่าข้าและนางก็สนิทสนมจนกลายเป็นพี่น้องกันเสียแล้ว เสียใจที่ไม่ได้เจอให้เร็วกว่านี้” 


 


 


“เช่นนั้นหรือ” รอยยิ้มของเริ่นฮูหยินพลันเปลี่ยนไปเป็นกระตือรือร้นมากขึ้น ก่อนที่คิ้วของนางจะค่อยๆ ขมวดเข้าหากันน้อยๆ “แม้ว่าวันนี้หว่านเอ๋อร์จะมากับข้า แต่หลังจากนั้นนางกลับอยากที่จะออกไปเดินเล่นเพียงคนเดียว ยามนี้ก็ไม่รู้ว่านางวิ่งเล่นไปถึงที่ใดแล้ว หากเจ้าไม่พูดขึ้นมาเสียก่อนข้าก็คงลืมไปเสียสนิท นี่ถ้านางหายไปข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีหน้าไปบอกกล่าวพี่ใหญ่อย่างไร” 


 


 


“ฮูหยินอย่าได้รีบร้อนไปเลยเจ้าค่ะ หว่านเอ๋อร์นางโตถึงเพียงนั้นย่อมไม่มีทางพลัดหลงในวังหลวงแน่ หากแม้นางหลงทาง ทว่าในวังก็มีนางกำนัลและขันทีมากมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกเจ้าค่ะ” อวี้อาเหราเอ่ยปลอบนางเล็กน้อย 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้วางใจ” เริ่นฮูหยินยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน 


 


 


เมื่อพวกนางกล่าววาจากันจบแล้ว เจาเอ๋อร์ก็เข้ามากระซิบข้างหู “ยามนี้เวลาก็ล่วงเลยมาไม่น้อย งานเลี้ยงจวนจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“อืม ข้ารู้แล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้าเงียบๆ เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยปากกับเริ่นฮูหยินว่า “ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว พวกเราไปยังพระราชอุทยานกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าหว่านเอ๋อร์อาจจะอยู่ที่นั่นแล้วก็ได้” 


 


 


“ไปสิ” จากนั้นกลุ่มฮูหยินและคุณหนูก็พากันเดินไปที่พระราชอุทยานพร้อมกัน 


 


 


แท้จริงแล้วนางก็ไม่ได้คาดคิดว่าเพิ่งจะเข้ามาในวังก็จะสามารถสานสัมพันธ์อันดีกับเหล่าฮูหยินกลุ่มนี้ได้ ก่อนหน้านี้หากหลบได้ก็หลบ แต่ใครจะรู้ว่าอวี้จื่อเยียนและอนุรองนั้นจะหาเรื่องเดือดร้อนมาให้นาง เพราะฉะนั้นนี่ก็อย่าได้โทษนางเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกนางสองคนแม่ลูกสมควรได้รับ เรื่องดีๆ ไม่ทำแต่กลับหาเรื่องอับอายมาให้ 


 


 


หลังจากมาถึงพระราชอุทยานแล้ว ก็มีคนมาถึงจำนวนไม่น้อย ทุกคนล้วนแต่งกายอย่างวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก 


 


 


หลังจากที่พวกนางเดินเข้ามาก็พลันได้รับความสนใจจากผู้ที่มองมาจำนวนมาก และไม่ต้องแปลกใจเลยว่าสายตาพวกนั้นล้วนมองจ้องมาที่อวี้อาเหรา เมื่อคิดดูแล้วนี่ก็ไม่ได้มีอันใดที่แปลกไปนัก เพราะนางไม่เพียงแต่เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง แต่ภายนอกก็ยังกล่าวขานกันงว่านางยังเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่จะมีสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นไท่จื่อเฟย[1] ไฉนเลยจะไม่ดึงดูดสายตาของผู้คนได้ 


 


 


ใบหน้าของอวี้อาเหราเรียบเฉยขณะที่เดินผ่านผู้คน ไม่สนใจสายตาที่มองมาที่ตนเองแม้แต่น้อย 


 


 


จนใจก็เพียงแต่นางก็ไม่ใช่ลิงที่อยู่ในสวนสัตว์เสียหน่อย จะมามองนางเพื่ออะไรกัน ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใหม่หรือยุคโบราณ ก็มักจะมีคนเช่นนี้อยู่เสมอ 


 


 


เริ่นฮูหยินมองนางด้วยความรู้สึกชื่นชม แม้นจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้นางก็ยังคงมีท่าทีเรียบเฉยไม่แปรเปลี่ยน เผยให้เห็นถึงความสง่างามอันสมบูรณ์แบบออกมา ทั้งเมื่อเสริมด้วยอาภรณ์ที่ราวกับเซียนบุปผาแล้วก็ยิ่งทำให้นางดูโดดเด่นและมั่นใจ งดงามราวกับเทพเซียนแห่งสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า 


 


 


ท่าทางสงบนิ่งเยือกเย็นเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถแตะต้องได้! 


 


 


อาภรณ์ยาวของนางลากแตะพื้นน้อยๆ ดูสง่างาม ทำให้คนที่อยู่ด้านข้างราวกับได้กลิ่นหอมของมวลบุปผาบางเบา รู้สึกจิตใจเหม่อลอยออกไปชั่วขณะ 


 


 


 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ไท่จื่อเฟย หมายถึง พระชายาขององค์รัชทายาท 


ตอนที่ 227 ทานของว่าง 


 


 


 


 


 


อาภรณ์ที่ทั้งโดดเด่นและทันสมัยไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของเหล่าบรรดาชายหนุ่มล้วนเปล่งประกาย ทว่าเหล่าสตรีกลับกำหมัดด้วยความริษยา ที่กลับไม่สามารถทำตัวให้โดดเด่นสวยงามได้เท่าอวี้อาเหรา ในใจคิดว่าไหนเลยจะมีผู้ที่สวมเสื้อผ้าได้งดงามเท่านี้ ไม่ใช่สิ ควรจะต้องกล่าวว่าเมื่อชุดนี้สวมใส่ลงบนร่างของนางแล้วก็กลับดูดีขึ้นมาก ไม่เช่นนั้นหากเป็นคนทั่วไปสวมใส่แล้ว ก็ไม่มีทางดูมีความมั่นใจและสง่างามได้เพียงนั้นแน่ 


 


 


อวี้อาเหราเดินเข้าไปด้านในด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงที่ข้างกระถางดอกโบตั๋นสีขาวเหล่านั้น สายตามองไปยังท้องฟ้า ยามนี้เวลาก็ใกล้เที่ยงวันเข้าไปแล้ว นางก็หิวเสียจนท้องร้องออกมา แล้วเหตุใดยามนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของฝ่าบาทกันนะ 


 


 


เจาเอ๋อร์เห็นใบหน้าของนางไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก จึงถามขึ้นว่า “คุณหนู เช่นนั้นพวกเราก็เข้างานกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ทานขนมที่บ่าวเตรียมมาให้จากในห้องเสวยเมื่อครู่สักหน่อย หากเอาแต่รอฝ่าบาทอยู่เช่นนีก็ไม่รู้ว่าจะเสด็จมาเมื่อใด วันนี้ท่านยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะเจ้าคะ” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันไปเห็นว่าเริ่นฮูหยินกำลังพูดคุยอยู่กับบรรดาฮูหยินเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วนางจึงไม่เข้าไปรบกวน เดินตามเจาเอ๋อร์เข้าไปนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง ที่กลับกลายเป็นที่นั่งด้านหน้าสุด ส่วนด้านขวามือนั้นเป็นตำแหน่งของหลิงอ๋อง ด้านซ้ายไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ด้านบนนั้นกลับไม่มีชื่อใครกำกับไว้ 


 


 


“นี่คือที่นั่งของใครหรือ” นางเอ่ยถามนิ่งๆ 


 


 


“บ่าวก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่เจ้าหน้าที่พิธีการกำหนด ในเมื่อได้นั่งข้างจวนหลิงอ๋องของพวกเราเช่นนี้ สถานะก็คงไม่ต่ำต้อยเป็นแน่” เจาเอ๋อร์เอ่ยตอบ 


 


 


“อืม รีบนำของว่างมาให้ข้าทานเถิด” อวี้อาเหราสั่งพลางนั่งลง ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ คนจำนวนไม่น้อยต่างเข้ามาในงานกันแล้ว ทว่าคนทั้งหมดล้วนมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจ จนนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจ ยามที่กำลังทานอาหารไม่ว่าใครต่างก็ไม่ชอบให้ผู้ใดมองทั้งนั้น เช่นนั้นคิ้วของนางยิ่งขมวดเข้าหากันเรื่อย “จริงสิ ข้าก็ไม่เห็นอนุรองและอวี้จื่อเยียนเลย เสด็จพ่อให้ข้าดูแลพวกนาง เมื่อถึงเวลานั้นหากพวกนางหายไปคงไม่ดีแน่ ประเดี๋ยวก็ออกไปสั่งให้เหล่าองครักษ์ช่วยกันตามหาหน่อยเถิด” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พยักหน้าลงในทันใด ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “แต่คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่พาชิงอวิ๋นมาด้วยล่ะเจ้าคะ” 


 


 


“ข้าพาเจ้ามาคนเดียวก็พอแล้ว อีกทั้งข้างกายยังมีพวกต้าเว่ยคอยคุ้มกันอยู่ ส่วนชิงอวิ๋นนั้นแน่นอนว่ามีเรื่องอื่นให้ทำอยู่แล้ว” อวี้อาเหราตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน ก้มหน้าลงทานของว่างในมือคำแล้วคำเล่า อาหารในวังหลวงนั้นช่างแตกต่างกันจริงๆ แม้เพียงของว่างชิ้นเล็กๆ ก็ยังทำออกมาได้งดงามและอร่อยมาก เพียงไม่นานก็ทานจนหมดไม่เหลือ 


 


 


หลังจากที่เจาเอ๋อร์กลับมาแล้ว เมื่อเห็นว่านางทานเช่นนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “คุณหนูดูคุณหนูในจวนอื่นสิเจ้าคะ มีใครทานอาหารเหมือนท่านบ้าง พวกนางล้วนนั่งรออย่างสุภาพเรียบร้อย แม้ว่าจะหิวก็ไม่กล้าทานอะไร แต่คุณหนูกลับ…” 


 


 


“นั่นเป็นเพราะว่าแม้พวกนางจะตายแต่ก็ไม่ยอมเสียหน้า แต่ข้านั้น…ยอมเสียหน้า แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ท้องหิวเด็ดขาด” มือของอวี้อาเหรายังไม่หยุด ยังคงหยิบของว่างเข้าปากต่อไป ทำให้ยามที่พูดจาติดๆ ขัดๆ ฟังไม่รู้เรื่องอยู่บ้าง 


 


 


เจาเอ๋อร์รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง ไม่กล่าวอะไรกับนางอีก เพราะไม่อยากให้ของที่อยู่ในปากของนางหกหล่น แล้วคุณหนูจวนอื่นเห็นเข้าจะหัวเราะเยาะเอาได้ 


 


 


แม้ว่าอวี้อาเหราจะทานอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรนัก 


 


 


จนกระทั่งหลังจากที่นางทานไปสักพัก นางถึงค่อยๆ รามือลง ในปากนั้นก็ยังบ่นพึมพำไม่หยุด “อร่อยก็อร่อยอยู่หรอก แต่ว่าเจาเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเอามาเพียงเท่านี้เล่า” 


 


 


นางนั้นเป็นคนถ้าไม่มีเนื้อก็จะไม่ทาน หากเอาแต่ทางของว่างหรือขนมก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ผลปรากฏว่ายามนี้นางทานของหวานไปมากเพราะว่าหิวจัด จนทำให้นางรู้สึกหวานเลี่ยนเป็นอย่างมาก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 228 ใจลอย 


 


 


 


 


 


“ตอนแรกบ่าวก็คิดจะนำของอย่างอื่นมาด้วยเจ้าค่ะ แต่เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นมองไม่ดี จริงๆ แล้วในห้องครัวยังมีไก่ย่างอยู่ แต่โชคดีที่บ่าวไม่ได้เอามา มิเช่นนั้นหากให้ใครเห็นว่าคุณหนูใช้มือถือไก่ย่างทานคงจะโดนเอาไปพูดลับหลังแน่ๆ เจ้าค่ะ” 


 


 


“เอาเถิด” อวี้อาเหราจึงจำต้องปล่อยวางความคิดเมื่อครู่ไป 


 


 


ยามที่นางกำลังเคาะฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างใจลอยอยู่นั้น ด้านนอกก็มีหญิงสาวในอาภรณ์สีเหลืองไข่ไก่เดินเข้ามานางหนึ่ง อวี้อาเหราเบิกดวงตากว้างจ้องมองไปอย่างพิจารณา ก่อนจะนิ่งงันไป “นั่นก็คือเริ่นหว่านเอ๋อร์มิใช่หรือ” 


 


 


เมื่อจาเอ๋อร์มองตามสายตาของนางไป ก็พยักหน้าลงน้อยๆ “เป็นคุณหนูหว่านเอ๋อร์จริงๆ เจ้าค่ะ” 


 


 


“พี่เหรา” เริ่นหว่านเอ๋อร์เองก็มองเห็นนางแล้วเช่นกัน จึงเดินผ่านฝูงชนเข้ามาหา 


 


 


“เมื่อครู่นี้ข้าพบกับฮูหยินบ้านรองของเจ้าด้วย” อวี้อาเหราตอบ 


 


 


“ท่านพบอาสะใภ้ของข้าแล้วหรือเจ้าคะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์นิ่งอึ้งไปสักพัก 


 


 


“อืม นางคงกำลังพูดคุยอยู่ด้านนอก หากเจ้าอยากพบนางก็ไปเถิด” 


 


 


“ข้าไม่ไปดีกว่าเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์แค่นจมูก “อาสะใภ้ชอบบงการให้ข้าทำนั่นทำนี่ หากนางพบข้าเข้าคงต้องด่าว่าสั่งสอนข้าเป็นครึ่งค่อนวันแน่ ข้าก็ฟังจนหูชาหมดแล้ว” 


 


 


นางกล่าววาจาด้วยสีหน้าท่าทางที่พยายามผ่อนคลาย ทว่าใบหน้ากลับไม่ค่อยยิ้มแย้มแม้แต่น้อย  คิดๆ ดูแล้วนางอาจจะยังคงเจ็บปวดเรื่องฟู่เส่าชิงอยู่กระมัง 


 


 


อวี้อาเหรามองนางอย่างพิจารณา อดไม่ได้ที่จะถามนางว่าขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้ากับองค์ชายเป่ยเจียง…” 


 


 


“พี่เหรา ท่านอย่าได้พูดถึงคนผู้นั้นเลยเจ้าค่ะ ยามนี้เมื่อข้านึกถึงคำพูดที่เขาพูดกับข้าเมื่อวานแล้ว…” เริ่นหว่านเอ๋อร์พูดไปๆ น้ำเสียงของนางก็เริ่มที่จะแผ่วเบาลง ปลายหางตาราวกับมีหยาดน้ำเอ่อคลอ 


 


 


อวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็รีบปิดปากลงไม่กล่าววาจา “ก็ได้ ข้าไม่พูดก็ได้ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลยนะ หากฝ่าบาดทอดพระเนตรเห็นเข้าก็คงไม่ดีนัก” 


 


 


“อืมๆ ขอบคุณพี่เหราเจ้าค่ะ” เช่นนี้แล้วเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็พยายามที่จะฝืนยิ้มออกมา  


 


 


อวี้อาเหราเข้าใจเป็นอย่างดี แม้นเมื่อวานฟู่เส่าชิงจะปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น แต่ในเวลาสั้นๆ เริ่นหว่านเอ๋อร์ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยวางลงได้ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เพราะหลังจากนี้นางจะได้ไม่ต้องจมอยู่ในวังวนเช่นนี้อีก เมื่อถึงตอนนี้แม้จะเสียใจแต่ก็คงจะสายเกินไปแล้ว 


 


 


ไม่ว่าฟู่เส่าชิงจะมีเจตนาอะไรกันแน่ที่จงใจกล่าววาจาทำร้ายจิตใจผู้อื่นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว 


 


 


ในสมองของนางย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อวานที่นางเตะฟู่เส่าชิงไปอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธ ในยามนี้ที่นางพอจะสงบอารมณ์ลงได้แล้ว ก็หลีกเลี่ยงที่จะไม่รู้สึกผิดไม่ได้ บางครั้งอารมณ์ของนางก็หุนหันพลันแล่นจนเกินไป จนอดไม่ได้ที่จะทำกิริยาเช่นนั้นออกไป  


 


 


ถูกแล้วที่เจาเอ๋อร์จะกล่าวเช่นนั้น นางนั้นไม่ว่าอะไรก็ดีไปเสียหมด ยกเว้นเรื่องอารมณ์ที่ดูจะแย่อยู่บ้าง 


 


 


ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใครที่จะสมบูรณ์ไม่มีข้อด่างพร้อยอยู่เลย แน่นอนว่าก็ต้องมีข้อบกพร่องกันบ้างทั้งนั้น 


 


 


“พี่เหรา ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ เหตุใดถึงใจลอยเช่นนี้?” เริ่นหว่านเอ๋อร์ยกมือขึ้นโบกตรงหน้านางสองสามครั้ง เรียกอยู่นานก็ยังไม่เห็นอวี้อาเหราได้สติกลับมา เช่นนั้นจึงทำได้แต่เพียงมองไปทางเจาเอ๋อร์ “นางเป็นอะไรไปกัน” 


 


 


“แค่กๆ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ บางครั้งคุณหนูก็มักจะเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์กระแอมไปออกมาด้วยความจนใจ ทันใดนั้นก็ลอบหัวเราะเล็กน้อย “ทุกครั้งที่คุณหนูใจลอยนั้น ไม่พ้นต้องคิดถึงแต่เซิ่นซื่อจื่อเป็นแน่เจ้าค่ะ” 


 


 


“เซิ่นซื่อจื่อ?” เริ่นหว่านเอ๋อร์ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “พี่เหรากับเซิ่นซื่อจื่อเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ” 


 


 


“เจ้าเด็กนี่ เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ” หลังจากที่อวี้อาเหราได้สติขึ้นมา ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกนางเข้ามาในหู ทันใดนั้นก็เคาะหัวเจาเอ๋อร์ด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก แล้วแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจว่า “หากเจ้ายังกล้าสอนอะไรไม่ดีให้หว่านเอ๋อร์อีก ระวังท่านพ่อของนางจะคิดบัญชีเจ้า” 


 


 


“โอ๊ย บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ…” เจาเอ๋อร์หดคอ ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา “แต่ว่าบ่าวก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่เจ้าคะ” 


 


 


“เจ้า…” อวี้อาเหราหมดคำที่จะว่ากล่าวในทันที 

 

ตอนที่ 229 เขินอายกลายเป็นโกรธ 


 


 


 


 


 


“เจาเอ๋อร์ ดูท่าทางพี่เหราจะโกรธจริงๆ เสียแล้ว” เริ่นหว่านเอ๋อร์มองคนทั้งสองด้วยความร้อนใจอยู่บ้าง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า ราวกับกำลังลอบหัวเราะอยู่ไม่มีผิด 


 


 


เจาเอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ ลอบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นเพราะบ่าวหลุดพูดความในใจของคุณหนูออกมา เช่นนั้นคุณหนูถึงได้เขินอายจนกลายเป็นโกรธไปเสียแล้ว อ๊ะ บ่าวไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ!” 


 


 


เมื่อเห็นอวี้อาเหราถลึงตามองมา นางก็รีบหุบปากลงในทันที 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์เห็นท่าทางของพวกนางเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ความโศกเศร้าภายในใจก็เลือนหายไปไม่น้อย อวี้อาเหราที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ต้องนิ่งอึ้งไป ถึงแม้เริ่นหว่านเอ๋อร์จะไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง แต่ใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณอ่อนนุ่มแดงระเรื่อ ดวงตาวาววับเป็นประกายก็ยิ่งทำให้นางดูน่ารักน่าเอ็นดู โดยเฉพาะลักยิ้มตรงข้างมุมปากทั้งสองก็ยิ่งทำให้นางดูน่ารักจับใจ 


 


 


ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง เริ่นฮูหยินก็ได้เดินเข้ามาจากทางด้านนอก เห็นเข้ากับเริ่นหว่านเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ที่นี่พอดี เช่นนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ เอ่ยปากอย่างไม่พอใจนักว่า “หว่านเอ๋อร์ เจ้าไปที่ใดมา ที่นี่ไม่ใช่จวนของเรา หากไปชนเข้ากับเหล่าองค์หญิงและพระสนมชายาเข้าจะทำอย่างไร” 


 


 


“ท่านอาสะใภ้” รอยยิ้มบนใบหน้าของเริ่นหว่านเอ๋อร์จางหายไปในทันที “ข้าเพียงแต่ไปเดินเล่นเท่านั้น ไหนเลยจะไปชนใครเข้าได้เจ้าคะ” 


 


 


“ไม่มีเรื่องอะไรก็ถือว่าดีแล้ว” มุมปากของเริ่นฮูหยินค่อยๆ เผยออก “เมื่อครู่ข้าพบกับคุณหนูรองเข้า ถึงได้รู้ว่าพวกเจ้ารู้จักกัน ยามนี้เจ้ามีเพื่อนแล้ว ก็นั่งลงดีๆ อย่าได้เที่ยวเดินเพ่นพ่านอีก ประเดี๋ยวงานเลี้ยงในวังหลวงก็จะเริ่มขึ้นแล้ว” 


 


 


“หว่านเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พยักหน้าลง 


 


 


เริ่นฮูหยินถอนสายตากลับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันมองไปทางอวี้อาเหรา “ขอให้คุณหนูรองโปรดช่วยดูแลหว่านเอ๋อร์ด้วย นางยังเด็กนักไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เกรงว่าจะก่อเรื่องขึ้นในวังเข้า ตัวข้ายังต้องรับรองเหล่าขุนนางและเหล่าฮูหยิน เช่นนั้นจึงต้องรบกวนท่านแล้ว” 


 


 


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้าเล็กน้อย 


 


 


เมื่อเห็นว่าเริ่นฮูหยินจากไปแล้ว เริ่นหว่านเอ๋อร์ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา “โชคดีที่ไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่แน่ว่านางอาจจะลากข้าไปพูดคุยฉอเลาะกับพวกบรรดาฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นอีก น่ารำคาญยิ่งนัก” 


 


 


“อาสะใภ้ของเจ้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะเดินเผ่นพล่านก็เท่านั้น” อวี้อาเหราหัวเราะน้อยๆ 


 


 


ผ่านไปไม่นานนัก งานเลี้ยงก็ค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น เริ่นหว่านเอ๋อร์ถูกเริ่นฮูหยินลากไปนั่งที่ด้านหลัง ผ่านไปสักครู่ก็เห็นหลิงอ๋องเดินเข้ามา เมื่อเห็นนางเขาก็นั่งลง แล้วถามขึ้นว่า “พวกอนุรองไปไหนเสียเล่า” 


 


 


“อนุรองพาพี่สาวไปไหนไม่ทราบเพคะ แต่เสด็จพ่อทรงวางใจได้ ลูกได้ส่งเหล่าองครักษ์ให้ออกไปตามหาแล้ว เชื่อว่าไม่น่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่เพคะ” อวี้อาเหราหันกลับมาเอ่ยตอบ 


 


 


เมื่อหลิงอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ใคร่จะยินดีนัก “พวกนางก็ช่างเหลือเกินจริงๆ อุตส่าห์บอกแล้วว่าเมื่อเข้าวังมาแล้วอย่าไปไหนโดยลำพัง ให้ติดตามเจ้าไว้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้จักประสาถึงเพียงนี้!” 


 


 


“เสด็จพ่ออย่าได้โทษอนุรองและพี่สาวเลย อาจจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้ล่าช้าอยู่ก็ได้เพคะ”  


 


 


“อืม”  


 


 


สองพ่อลูกนั่งอยู่บนที่นั่ง พากันมองออกไปยังหน้าประตูทางเข้าเป็นบางครั้ง 


 


 


ผ่านไปไม่นานนัก อนุรองและอวี้จื่อเยียนก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นหลิงอ๋องนั่งอยู่ก็รีบยอบกายลงคารวะทันที 


 


 


“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ชักช้าเช่นนี้” น้ำเสียงของหลิงอ๋องแฝงด้วยความไม่พอใจ  


 


 


อวี้จื่อเยียนเงยหน้าขึ้นแล้วมองมาที่อวี้อาเหราด้วยความโกรธเคือง หากไม่ใช่เพราะนางและเหล่าฮูหยินคุณหนูพวกนั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้นางก็คงไม่ต้องเสียหน้า จนต้องหลงทางอยู่ในวังหลวง ดีที่ต้าเว่ยมาพบพวกนางเข้าเสียก่อน มิเช่นนั้นนางก็คงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมา 


 


 


“พี่สาว ท่านมองข้าทำไมหรือ” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย 


 


 


“มองทำไมน่ะหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้าตั้งใจทำให้พวกเราแม่ลูกต้องอับอายขายหน้า พวกเราก็คงจะไม่…” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 230 หมื่นหมื่นปี 


 


 


 


 


 


อวี้จื่อเยียนอดไม่ได้ที่จะเผยความโกรธแค้นออกมาให้เห็น จึงบันดาลโทสะใส่อวี้อาเหรา ในใจเต็มไปด้วยความเคืองโกรธและกล่าวโทษ 


 


 


อวี้อาเหราไม่พอใจขึ้นมาทันที “เจ้ากล่าวเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


อวี้จื่อเยียนไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก อนุรองเองก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา หลิงอ๋องมองเพียงเล็กน้อย พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็นเจาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย “เจ้าว่ามาสิว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น” 


 


 


“เรื่องเป็นเช่นนี้เพคะ…” หลังจากที่เจาเอ๋อร์เหลือบสายตามองไปทางอวี้อาเหรา เมื่อเห็นนางพยักหน้าลงแล้วถึงได้เอ่ยปากพูด บอกกล่าวเรื่องราวของอนุรองและอวี้จื่อเยียนออกมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้ฟังแล้ว หลิงอ๋องก็ยิ่งโกรธมากขึ้น “พวกเจ้าช่างสร้างเรื่องสร้างราวยิ่งนัก รู้จักแต่ทำให้ข้าเสียหน้า คิดจะหาแต่เรื่องมาให้เสมอ!” 


 


 


“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ” อนุรองก้มหน้าลง “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเยียนเอ๋อร์ทำไม่ถูก ทำให้คุณหนูรองอารมณ์ไม่ดี แต่เรื่องนี้แม้ว่าพวกเราจะผิด แต่คุณหนูรองก็ไม่ควรทำให้พวกเราเสียหน้าต่อหน้าคนอื่น พวกเรานั้นยังดี แต่ผู้อื่นจะเข้าใจว่าเรือนหลังของจวนหลิงอ๋องนั้นไม่ปรองดอง” 


 


 


อวี้อาเหราได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะ “เช่นนั้นหากยึดตามวาจาของอนุรองแล้ว ก็หมายความว่าข้าจำต้องอดทน ถึงแม้จะถูกพวกท่านรังแกอย่างไร้เหตุผล?” 


 


 


“ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น…” อนุรองตกตะลึง 


 


 


“เช่นนั้นท่านหมายความว่าอย่างไร?” อวี้อาเหราเอ่ยถามเสียงเย็น “เมื่อวานเป็นพวกท่านที่ขอร้องให้ข้าพาเข้าวัง จากนั้นก็จะทำให้ข้าขายหน้าต่อหน้าคนนอกใช่หรือไม่ อีกอย่าง เรื่องนี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกท่านตั้งใจให้เกิดขึ้น แล้วเหตุใดถึงต้องการให้ข้าถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะด้วย เรื่องทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่โยนมาให้ข้า เรื่องบัวกีบม้าและน้ำแกงตะพาบน้ำเมื่อวานนี้ แต่เดิมข้าคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่ในเมื่อวันนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ทำให้ข้าสงสัยว่าอนุรองกับพี่สาวไม่ชอบหน้าข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ข้อสงสัยของนางก็ทำให้หลิงอ๋องไม่อยากจะอดกลั้นอีกต่อไป จ้องมองอนุรองและอวี้จื่อเยียนอย่างไม่พอใจนัก “เรื่องวันนี้เดิมทีเป็นความผิดของพวกเจ้า แล้วยังกล้าจะโทษอาเหราอีก อีกทั้งเรื่องอาภรณ์เมื่อเช้าข้าก็ยังไม่ได้คิดบัญชี จะให้ไต่สวนในวังหลวงก็คงไม่เหมาะ แต่หากยังมีครั้งหน้า ไม่ว่าเจ้าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ก็ให้ระวังตัวให้ดีเถิด!” 


 


 


ระวังตัว? ร่างของอนุรองตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาในทันใด ไม่กล้าที่จะพูดอะไรขึ้นมาอีก หลิงอ๋องนั้นใส่ใจเด็กในท้องเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นทายาทก็ไม่เป็นที่ต้องการ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาโกรธเคืองมากเพียงใด 


 


 


อวี้อาเหราเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  


 


 


ทั้งสองทำได้เพียงแต่ค่อยๆ เดินไปทางที่นั่งด้านหลัง 


 


 


เมื่ออวี้อาเหราเห็นสองแม่ลูกจากไปแล้ว นางจึงเหยียดยิ้มมุมปากขึ้น ยังคิดอยากจะใช้ประโยชน์เด็กในท้องอีกหรือ หลิงอ๋องนั้นไม่ใช่คนเลอะเลือน แม้ว่าจะหลงใหลรักใคร่อนุรองเพียงใด แต่ก็ยังแบ่งแยกถูกผิดได้ เพราะฉะนั้นนางจึงใช้เรื่องนี้ตลบหลังพวกนางสองแม่ลูกเสีย! 


 


 


หลิงอ๋องก้มหน้าลง ความโกรธบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว “อาเหรา เป็นเพราะพ่อไม่ดีเอง ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว” 


 


 


“เสด็จพ่อ…” อวี้อาเหรานิ่งไป นางไม่ได้ลำบากเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเรื่องที่อนุรองและอวี้จื่อเยียนทำนั้นจะเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับนางอยู่บ้าง แต่นางนั้นไม่ได้เป็นพวกที่จะจัดการได้ง่ายๆ อย่างไรก็จะต้องหาเรื่องแก้แค้นให้จงได้ 


 


 


“ฮ่องเต้เสด็จ!” ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัดลงในทันใด จนสามารถได้ยินเสียงดอกไม้และใบไม่กระทบกับสายลม หลังจากเสียงร้องแหลมของขันทีผ่านเข้ามา ฮ่องเต้ที่ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองทองก็ก้าวยาวๆ เข้ามา สายพระเนตรกวาดมองไปรอบด้านด้วยความเคร่งขรึมแต่ไม่ทิ้งซึ่งความสง่างาม 


 


 


ทุกคนพากันนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบโน้มกายลงถวายบังคม “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!” 


ตอนที่ 231 อ่อนแอจนปลิวลม 


 


 


 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” พระสุรเสียงก้องกังวานไปทั่วพระตำหนัก ทั่วทั้งบริเวณล้วนเงียบสงบ เสียงนี้ราวกับเป็นเสียงระฆังที่ดังในยามเช้า ทิ้งไว้เป็นร่องรอยภายในใจของทุกคน 


 


 


หลังจากที่ฮ่องเต้ประทับนั่งลงแล้วก็เงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อยมองไปรอบบริเวณ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยความนิ่งงันว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นองค์ชายเป่ยเจียงเล่า งานเลี้ยงนี้ก็จัดขึ้นเพื่อเขาแล้วเหตุใดเขาถึงไม่ปรากฏตัว” 


 


 


“ทูลฝ่าบาท คิดว่ายังคงมาไม่ถึง บ่าวจะส่งคนไปตามเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หวังเซิ่งเต๋อตอบ 


 


 


“ดูเหมือนเสวียนจี เจ้าสองและเจ้าสามก็ยังมาไม่ถึงเช่นกัน จริงสิ เซิ่นซื่อจื่อเล่า เหตุใดวันนี้ถึงได้หายไปหลายคนนัก เจ้าได้ส่งเทียบเชิญให้พวกเขาหรือไม่” 


 


 


“ฝ่าบาทได้โปรดตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไหนเลยจะกล้าขัดราชโองการ” หวังเซิ่งเต๋อตกใจ ครั้นแล้วถึงได้ปรับสีหน้าแล้วเอ่ยตอบว่า “องค์หญิงใหญ่ทรงรับสั่งว่าจะเสด็จมากับเริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟย ส่วนทางเซิ่นซื่อจื่อนั้น…”  


 


 


อวี้อาเหราเอียงหูรอฟัง 


 


 


“คนจากจวนเซิ่นอ๋องรายงานว่า ร่างกายของเซิ่นซื่อจื่อไม่ค่อยแข็งแรง เช่นนั้นจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เซิ่นชื่อจื่อป่วยอีกแล้วหรือ” ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น ไม่ทราบว่าในดวงพระเนตรนั้นกำลังฉายความรู้สึกใด 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” หวังเซิ่งเต๋อพยักหน้า 


 


 


“ให้หมอหลวงไปดูอาการที่จวนเซิ่นอ๋องด้วย” ฮ่องเต้รับสั่ง 


 


 


“บ่าวเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังเซิ่งเต๋อรับคำก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลัง จากนั้นฮ่องเต้ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองไปทางทุกคนอีกครั้ง พลางตรัสขึ้นว่า “วันนี้องค์ชายจากเป่ยเจียงเสด็จมาจากแดนไกล เราจึงตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับเขา ในวังนั้นได้จัดมหรสพไว้มากมาย หากคุณหนูจากจวนใดมีความสามารถทางด้านร้องรำก็เชิญเข้ามาร่วมสนุกได้” 


 


 


หลังจากตรัสจบ ขันทีก็ส่งสายตาทันที นางกำนัลจำนวนหนึ่งก็ยกอาหารเข้ามา ดูทั้งสวยงามและน่ารับประทาน 


 


 


ภายในตำหนักตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรางดงาม พระตำหนักที่ประดับประดาไปด้วยทองคำและอัญมณีดูไม่มีชีวิตชีวา ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด ไม่มีเสียงจอแจจนเกิดไปนัก หลังจากยกอาหารมาวางแล้ว ที่ด้านนอกก็มีเสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้น เริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟยที่แต่งกายอย่างหรูหราก็เดินเข้ามาพร้อมกัน ขนาบข้างด้วยจวินเสวียนจีและจวินไหวซ่ง ดูช่างงดงามไร้ที่ติ 


 


 


จวินเสวียนจีสวมอาภรณ์ตัวยาวที่ทำจากดิ้นเงินดิ้นทอง ทว่าเพียงชุดเรียบง่ายนั้นนางกลับแต่งออกมาได้อย่างโดดเด่นยิ่งนัก เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วดูสะดุดตา มองคราแรกก็สามารถแยกนางออกได้แล้ว เครื่องประทินโฉมที่บางเบาแต่สง่างามยิ่งทำให้นางดูงดงามขึ้นอีกหลายส่วน ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายของชนชั้นสูง ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเลียนแบบได้ 


 


 


อย่างเช่นจวินไหวซ่งที่อยู่ด้านข้างนางนั้นก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ใบหน้าที่เดิมทีไม่โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ยามนี้เมื่ออยู่ข้างจวินเสวียนจีแล้วก็ยิ่งดับแสงเข้าไปอีก 


 


 


ทว่าด้านหลังของจวินไหวซ่งนั้นกลับยังมีหญิงสาวร่างบอบบางในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนอีกนางหนึ่ง นางก้มหน้าก้มตาลงด้วยท่าทีสำรวม ดูบอบบางราวกับว่าหากมีสายลมพัดผ่าน ร่างของนางก็สามารถลอยปลิวไปตามลมได้ ใบหน้าเล็กเรียวของนางนั้นดูงดงามสะคราญ ระหว่างคิ้วมีแต้มสีแดงเข้มอยู่หนึ่งจุด ร่างกายอรชรดูงดงามยิ่งนัก 


 


 


อวี้อาเหรามองนางจนตกตะลึง “นางเป็นใครกัน” 


 


 


“คุณหนูคงจะลืมแล้วกระมัง นางก็คือองค์หญิงสาม จวินไหวโหรวอย่างไรเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ตอบ 


 


 


“อ้อ ที่แท้นางก็คือจวินไหวโหรวที่นอนป่วยเกือบตลอดทั้งปีนั่นเอง” จวินมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา  


 


 


ใบหน้าด้านข้างของจวินไหวโหรวก้มลงต่ำ มองไม่ออกถึงอารมณ์ที่แสดงออกมา แต่ริมฝีปากของนางนั้นเม้มเข้าหากันเล็กน้อย เพื่อรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้บนหน้า ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น แม้ว่านางจะดูอ่อนแอ แต่สายตานั้นกลับดูสดใส ฟันขาวสะอาด ดวงตาสุกใสแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เส้นผมสีดำสนิทที่ทอดยาวไปด้านหลังนั้นดูอ่อนนุ่มเป็นยิ่งนัก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 232 ปากหวานก้นเปรี้ยว 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราเงียบงันไป ก่อนจะได้ยินเจาเอ๋อร์เอ่ยพึมพำอยู่ข้างๆ ว่า “ได้ยินมาว่ามารดาขององค์หญิงสามนั้นเป็นเพียงนางกำนัลที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ยามนั้นได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากให้กำเนิดองค์หญิงสามแล้วก็ลาโลกไปก่อนวัยอันควร จนกระทั่งจากไปแล้วก็ยังไม่มีตำแหน่งและสถานะแม้แต่น้อย ชาติกำเนิดของนางก็ช่างต่ำต้อยยิ่งนัก ทว่าด้วยความที่ฝ่าบาททรงรักใคร่สงสาร จึงมีรับสั่งให้เริ่นกุ้ยเฟยเลี้ยงดูองค์หญิงจนเติบใหญ่ เริ่นกุ้ยเฟยมีอำนาจในวังหลัง สถานะสูงส่งเป็นที่น่าเคารพ เพราะอย่างนั้นองค์หญิงสามจึงพอมีสถานะขึ้นมาบ้าง มิเช่นนั้นแล้วนางคงมีชีวิตไม่ต่างจากนางกำนัลคนหนึ่งเจ้าค่ะ” 


 


 


อวี้อาเหราถอนสายตาออกมาจากร่างของจวินไหวโหรว ก่อนที่สายตาจะย้ายไปมองยังร่างของเริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟย 


 


 


ไม่ต้องกล่าวนางก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าหญิงผู้วาดดอกไม้ไว้สีแดงไว้บนหน้าผาก มีหน้าตางดงามเหมือนฮองเฮาพระองค์ก่อนนั้นคงจะเป็นเจี่ยซูเฟยไม่ผิดแน่ นางงดงามสมคำล่ำลือ งดงามแม้กระทั่งจวินเสวียนจีก็ไม่อาจทัดเทียมได้ จึงไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะให้ความรักใคร่มานานปีไม่เสื่อมคลาย ส่วนใหญ่คงจะเป็นเพราะนางมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับฮองเฮาพระองค์ก่อน 


 


 


แต่พระธิดาของนางอย่างจวินเสวียนจีนั้น กลับดูไม่ค่อยเหมือน 


 


 


ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นก็คงจะเป็นเริ่นกุ้ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะไม่ได้งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างเจี่ยซูเฟย แต่ก็ดูงามสง่า และมีท่าทีของฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินอยู่ด้วยหลายส่วน 


 


 


สายตาของคนเหล่านี้มองตรงไปยังด้านหน้า ก่อนจะยอบกายลงถวายบังคม “ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” ดูไปแล้วฝ่าบาทก็ช่างมีความสุขยิ่งนัก ทรงโบกพระหัตถ์และบอกให้พวกนางยืนขึ้น 


 


 


หลังจากที่พวกนางแต่ละคนนั่งลงแล้ว ฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรจวินไหวโหรวด้วยความแปลกพระทัย “เหตุใดวันนี้โหรวเอ๋อร์ถึงมาได้ ที่ป่วยหนักหายแล้วหรือ” 


 


 


“ทูลเสด็จพ่อ ที่ป่วยหนักครั้งก่อนมิอาจกล่าวได้ว่าหายแล้วเพคะ แต่เพราะหลายวันมานี้ได้หมอหลวงช่วยดูแล ตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมาก ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงใส่พระทัย แต่โหรวเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอนัก วันทั้งวันเอาแต่นอนซมอยู่บนเตียง มิอาจเข้าเฝ้าเสด็จพ่อได้ ในใจก็รู้สึกผิดยิ่งนักเพคะ” จวินไหวโหรวลุกขึ้นยืนโดยอาศัยการประคองจากสาวใช้ด้านข้าง 


 


 


“เจ้ารีบนั่งลงเถิด ฝ่าบาทไม่ทรงตำหนิเจ้าหรอก” เมื่อเริ่นกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมา 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่” จวินไหวโหรวนั่งลงอย่างว่าง่าย 


 


 


ฮ่องเต้ทรงพระสรวลน้อยๆ “เจ้าแข็งแรงขึ้นก็ดีแล้ว ส่วนเราย่อมมีคนคอยปรนนิบัติอยู่แล้ว กุ้ยเฟย มารดาแท้ๆ ของโหรวเอ๋อร์ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน เจ้าก็ดูแลนางดีๆ เถิด” 


 


 


“เพคะ หม่อมฉันรับพระบัญชา” 


 


 


“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในยามนี้เองเจี่ยซูเฟยก็ร้องขึ้นว่า “องค์หญิงโหรวนั้นช่างน่าสงสารจริงๆ มารดานั้นจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แม้แต่สถานะก็ไม่มี หากไม่ใช่เพราะได้พี่หญิงกุ้ยเฟยคอยดูแล ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร…” 


 


 


“อะแฮ่ม” เริ่นกุ้ยเฟยกระแอมอย่างไม่ค่อยพอใจนัก 


 


 


แน่ชัดว่าเจี่ยซูเฟยนั้นจงใจที่จะหาเรื่องทำให้จวินไหวโหรวรู้สึกลำบาก ตัวนางนั้นแม้ว่าจะได้รับความสงสารจากฮ่องเต้ แต่มารดาของนางนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้รังเกียจ แม้ว่าจะเสียชีวิตไปมากกว่าสิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับการอวยยศเลยแม้แต่น้อย เพราะสถานะเช่นนี้ แม้ว่านางจะถูกเลี้ยงดู เติบโตขึ้นข้างกายของเริ่นกุ้ยเฟย แต่นางก็มีธิดาของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นหลายปีมานี้นางจึงได้รับสายตาเย็นชาจากคนในวังไม่น้อย 


 


 


แต่ว่าเจี่ยซูเฟยจะพูดถึงคนที่ตายไปเพื่อเหตุใดกัน 


 


 


เมื่อฝ่าบาทได้สดับเช่นนี้ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง พระขนงขมวดเข้าหากันแน่น 


 


 


เจี่ยซูเฟยเองก็รู้สึกว่าตนเองหลุดวาจาที่ไม่ควรจะเอ่ยออกไป ทันใดนั้นนางก็ยกยิ้ม แล้วยกจอกเหล้าบนโต๊ะขึ้นมา “เป็นหม่อมฉันที่กล่าววาจาผิดไปเพคะ หากฝ่าบาทและองค์หญิงโหรวไม่พอใจ หม่อมฉันก็ขออภัยด้วยเหล้าจอกนี้” 


 


 


“เจี่ยซูเฟยตรัสเกินไปแล้วเพคะ” จวินไหวโหรวฝืนยิ้มออกมา 


 


 


อวี้อาเหรามองพวกนางแสดงละครตบตากัน ก่อนจะดื่มสุราที่อยู่บนโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย งานเลี้ยงของวังหลวงอะไรกัน ชาววังเหล่านี้กลับเล่นละครปากหวานก้นเปรี้ยวให้ดูต่างหากเล่า ได้ยินแล้วก็เบื่อยิ่งนัก นางเท้าศีรษะแล้วมองไปด้านหลัง ก่อนจะเห็นว่าอวี้จื่อเยียนจ้องมองมาที่นางด้วยความดุร้าย 


ตอนที่ 233 สร่างเมา 


 


 


 


 


 


นางเหยียดมุมปากยิ้มอย่างจนใจ ก่อนจะเหลือบมองไปทางเริ่นหว่านเอ๋อร์ 


 


 


อีกฝ่ายหมอบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก เพราะถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำให้รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เมื่อเห็นสายตาของนางส่งมาก็รีบขยิบตาให้ในทันที 


 


 


อวี้อาเหรายกจอกเหล้าไปทางนาง แล้วดื่มลงไป 


 


 


อีกด้านหนึ่งนั้น ฮ่องเต้เห็นว่ามีแต่อาหารไม่มีการเริงระบำ ก็หันไปมองเจี่ยซูเฟย “มหรสพในงานเลี้ยงครั้งนี้มอบหมายให้เจ้าเป็นคนจัดการ เหตุใดจึงไม่เห็นมีเลยเล่า” 


 


 


“เสวียนจี การแสดงเล่า” เจี่ยซูเฟยหันหน้ากลับไปถามจวินเสวียนจี 


 


 


“เสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่าได้ทรงร้อนพระทัยไป ประเดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้วเพคะ” จวินเสวียนจียิ้มบางๆ สองมือประสานปรบเป็นจังหวะ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงประโคมดนตรีดังขึ้นในพระตำหนัก มีนางระบำเดินเข้ามาจากด้านนอก แล้วเริงระบำด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้ามาด้านใน 


 


 


เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็เอ่ยชื่นชมพลางยิ้มขึ้น “ไม่เลว” 


 


 


จวินเสวียนจีทอดมองด้วยความพึงพอใจ จนกระทั่งสายตาเหลือบมามองอวี้อาเหราราวกับไม่ได้จั้งใจ สีหน้าของนางจึงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะชื่นชมการเริงระบำต่อ  


 


 


อวี้อาเหราแค่นจมูก กล่าวกับหลิงอ๋องขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกดื่มสุราเร็วไปสักหน่อย ขอออกไปเดินเล่นด้านนอกให้สร่างเมาหน่อยนะเพคะ” 


 


 


“อืม เจ้าไปเถิด แต่อย่าเถลไถลเล่า” หลิงอ๋องตอบรับอย่างเบิกบานใจ ก่อนสั่งขึ้นอีกว่า “เจาเอ๋อร์ เจ้าไปคอยดูแลคุณหนูด้วย” 


 


 


อวี้อาเหราหันไปขยิบตาให้เริ่นหว่านเอ๋อร์ นางเองก็หาข้ออ้างออกไปเช่นเดียวกัน 


 


 


สายพระเนตรของฝ่าบาททอดมองมายังร่างของพวกนางอย่างเงียบๆ ก่อนจะเคลื่อนย้ายสายพระเนตรกลับไปอีกคร้ง 


 


 


เมื่อมาถึงด้านนอกตำหนัก เสียงดนตรีก็ยิ่งแผ่วเบาลง อวี้อาเหรานวดคลึงหน้าผากของตนเองเบาๆ แล้วสั่งเจาเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปนำน้ำแกงแก้เมาค้างมาให้ข้าทีเถิด เมื่อครู่ไม่ทันระวังจึงดื่มไปมากหน่อย เวียนหัวไปหมดแล้ว” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงถอยไป 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์มองนาง แล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่เหรา ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าเห็นท่านยกสุราดื่มเข้าไปไม่น้อยเลย” 


 


 


“ไม่เป็นไร เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าสุรานี้เพียงลงคอไปก็ไม่เท่าไหร่ แต่ยามออกฤทธิ์กลับร้ายแรงนัก ข้าเพียงแค่รู้สึกเวียนหัวตาลายเท่านั้น นั่งอยู่ด้านในก็วิงเวียน ดังนั้นเลยออกมาข้างนอก ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” อวี้อาเหราว่า เมื่อเห็นเริ่นหว่านเอ๋อร์มีสีหน้าเงียบขรึม จึงชะงักไป “เจ้าเป็นอะไรไป” 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้า ไม่ยอมพูดจา 


 


 


แต่กระนั้นอวี้อาเหราก็รู้ดีอยู่แก่ใจ “เจ้าคิดถึงองค์ชายเป่ยเจียงอีกแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“…เจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์เห็นนางมีทีท่ามั่นใจ นางก็อึกๆ อักๆ อยู่สักพักก่อนจะยอมพยักหน้าแต่โดยดี “แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นกับข้า แต่เพราะมีสายสัมพันธ์ต่อกันมานานหลายปี จะไม่ให้เจ็บปวดใจได้หรือเจ้าคะ” 


 


 


อวี้อาเหราเม้มปากเล็กน้อย “ก็จริง” 


 


 


เรื่องเช่นนี้หากเกิดขึ้นกับใครก็ไม่วายจะต้องเป็นทุกข์ แล้วเด็กสาวที่ซื่อบริสุทธิ์อย่างเริ่นหว่านเอ๋อร์จะทนได้อย่างไร แม้ว่านางจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ในจิตใจก็ยังคงเศร้าหมองอยู่นั่นเอง 


 


 


ลมหนาวพัดผ่านใบหน้า ทิ้งความหนาวเย็นเอาไว้ ต้นไม้และดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้อย่างพิถีพิถันถูกสายลมพัดผ่านตัวต้นและกิ่งใบ จนสั่นไหวอยู่ท่ามกลางลมหนาว 


 


 


หลังจากเงียบงันไปสักครู่ เริ่นหว่านเอ๋อร์ก็แย้มยิ้มออกมา “พี่เหรา อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของข้าเลย ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้องแต่งงานกับผู้อื่น แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า!” 


 


 


“อืม คิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อวี้อาเหรารู้ว่านางพยายามที่จะฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น จึงทำได้แต่เพียงพยักหน้าคล้อยตาม  


 


 


เจาเอ๋อร์ยกน้ำแกงแก้เมาค้างเข้ามา “คุณหนู ท่านดื่มเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


อวี้อาเหรายกน้ำแกงขึ้นดื่มสองสามอึก ทันใดนั้นหัวสมองก็โล่งสบายไม่น้อย คงต้องบอกว่าสุราในวังหลวงนั้นไม่เหมือนกับเหล้าของที่อื่น แม้ว่านางจะคอแข็งอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อดื่มสุราชนิดนี้เข้าไปก็ทำให้เวียนหัวได้ง่ายๆ  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 234 ละอายใจ 


 


 


 


 


 


“คุณหนู คุณหนูหว่านเอ๋อร์ พวกเราก็ออกมาข้างนอกได้สักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้พวกเราก็กลับเข้าไปดีหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อนางดื่มน้ำแกงแก้เมาค้างจนหมดถ้วยแล้ว เจาเอ๋อร์ก็รีบพูดขึ้น อวี้อาเหราและเริ่นหว่านเอ๋อร์จึงสาวเท้าเข้าไปในตำหนัก แต่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูก็พลันพบเข้ากับเงาร่างที่คุ้นตา 


 


 


ฟู่เส่าชิงสวมอาภรณ์หรูหราสีแดงสดเดินเข้ามา ความสง่างามของเขาพุ่งเข้าสู่สายตาในทันที ใบหน้าหล่อเหลาไปกันได้ดีกับเสื้อผ้าหรูหรา ดูสะดุดตาเสียยิ่งกว่าฉลองพระองค์ลายมังกรของฮ่องเต้ เส้นผมไม่ได้ถูกจัดการอย่างละเอียดลออนัก เพียงใช้ผ้าผูกผมสีแดงผูกเอาไว้เท่านั้น แต่กลับดูงดงามเป็นเอกลักษณ์อย่างเป็นธรรมชาติ 


 


 


ด้านข้างของเขาก็คือจวินอู๋เหินที่สวมชุดปักลายดอกไห่ถังสีขาวพื้นสีน้ำเงินเข้ม 


 


 


คนทั้งสองดูงดงามเปล่งประกาย ท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก! 


 


 


อวี้อาเหรามองไปยังฟู่เส่าชิง ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา “องค์ชายเป่ยเจียง ท่านที่สวมชุดสีแดงมาเช่นนี้ วันนี้ก็เตรียมที่จะแต่งงานแล้วหรือ” 


 


 


“แต่งงานอะไรกัน” แววตาของฟู่เส่าชิงฉายประกายจริงจัง “ข้าจะแต่งงานวันนี้เสียที่ไหน หากข้าคิดที่จะแต่งงานจริง จะแต่งวันไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น อย่างไรเสียก็มีหญิงสาวมากมายที่พร้อมจะแต่งให้ข้าอยู่แล้ว เกรงแต่ว่าข้าจะไม่ชอบพวกนางก็เท่านั้น” 


 


 


อวี้อาเหราพรูลมหายใจออกมา “ความสามารถทางการพูดของเจ้านี่เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” 


 


 


“ไหนเลยจะเก่งเท่าคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเล่า” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้มอย่างไม่จริงจังนัก “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณหนูรองนั้นก็ยังดึงดันไล่ตามองค์รัชทายาทมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้ใจองค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย ช่างทำให้ความพยายามของเจ้าต้องเสียเปล่ายิ่งนัก” 


 


 


“พอแล้ว!” น้ำเสียงที่อ่อนโยนอยู่เป็นนิจของเริ่นหว่านเอ๋อร์แปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงเล็กแหลมทันที สองเบ้าตาแดงก่ำหันไปมองฟู่เส่าชิง “พี่ชิง ท่านอยากจะว่าข้าว่าหน้าไม่อายที่วิ่งตามท่านมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ว่าข้าเสียสิ เหตุใดถึงต้องอ้อมค้อมต่อว่าพี่เหราด้วย” 


 


 


เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวอย่างน้อยครั้งที่จะได้เห็นของนางนั้น ฟู่เส่าชิงก็ชะงักงันไปในทันที 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์สูดจมูก “อีกอย่าง หลังจากนี้ข้าจะไม่ไล่ตามท่านอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะต้องทำให้ใครต้องลำบากใจอีก!” 


 


 


“หว่านเอ๋อร์” ฟู่เส่าชิงนิ่งงัน ดวงตาที่แฝงรอยยิ้มเอาไว้หม่นหมองลงเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาอ้าค้าง อยู่ในท่าทีเช่นนี้เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา น้ำตาก็ไหลรินลงมาทันทีอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ดูราวกับน้ำหลากที่ไหลทะลัก เพียงพริบตาที่ไหลลงมานั้นจะหยุดอย่างไรก็หยุดไม่อยู่เสียแล้ว 


 


 


จวินอู๋เหินมองมาที่พวกเขาอย่างไม่เข้าใจนัก “เหตุใดถึงร้องไห้เสียแล้วเล่า หรือว่าข้าก็พลาดอะไรไปอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“หุบปาก” อวี้อาเหราและฟู่เส่าชิงตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน 


 


 


เรื่องนี้จวินอู๋เหินไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นเขาจึงทำได้แต่เพียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่กล้าพูด 


 


 


อวี้อาเหราจ้องมองฟู่เส่าชิง จากนั้นก็ลากตัวเริ่นหว่านเอ๋อร์ไป “ไปเถิด พวกเราไม่ต้องไปสนใจเขา เข้าไปด้านในกันก่อน หากท่านพ่อและท่านอาสะใภ้ของเจ้ามาพบเข้าคงยากที่จะอธิบายแน่” 


 


 


แต่ยามที่พวกนางกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน กลับไม่รู้เลยว่าฝ่าบาทและเหล่าผู้คนที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น ได้ลุกจากที่นั่งเดินตรงเข้ามากันทั้งหมดแล้ว 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” ในเวลาไม่นาน ฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรพวกเขาเหล่านั้นด้วยความสงสัย จนเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเริ่นหว่านเอ๋อร์ “เหตุใดแม่นางหว่านเอ๋อร์ถึงได้ร้องไห้ ใครรังแกเจ้าหรือ” 


 


 


เริ่นกุ้ยเฟยเองก็ชะงักไป “ใช่แล้ว หว่านเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร” 


 


 


“ท่านพี่ ข้า…” เริ่นหว่านเอ๋อร์พูดตะกุกตะกักขณะที่เงยหน้าขึ้นไปมองฟู่เส่าชิง นางรู้นิสัยพี่สาวของตนเอง รวมถึงท่านพ่อและท่านอาสะใภ้ของตัวเองเป็นอย่างดี หากรู้ว่านางถูกพี่ชิงรังแกเข้าจะต้องโกรธเคืองเป็นแน่ นางเองก็ไม่กล้าพูด แม้ว่าตอนนี้ในใจของนางจะรังเกียจ แต่ความรู้สึกที่มีมาตลอดหลายปีนั้นไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า เหตุใดจึงจะใจร้ายปล่อยให้เขาโดนทำร้ายได้เล่า 


ตอนที่ 235 เคืองตา 


 


 


 


 


 


“หืม?” เริ่นกุ้ยเฟยเลิกคิ้วขึ้น ทันใดนั้นก็คาดเดาความในใจของนางได้ จึงกวาดสายตาไปทางฟู่เส่าชิง นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่จะทำให้น้องสาวของนางร้องไห้ได้อีก น้ำเสียงของนางจึงเย็นชาลง แต่ก็ยังคงไม่กล้าที่จะบันดาลโทสะต่อหน้าฝ่าบาท เช่นนั้นจึงลอบเหน็บแนมขึ้นว่า “วันนี้องค์ชายเป่ยเจียงสวมใส่อาภรณ์งดงามยิ่งนัก หญิงสาวทั่วทั้งตำหนักก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้เลยเพคะ” 


 


 


เมื่อหัวข้อสนทนาถูกดึงไปทางฟู่เส่าชิง สายตาของทุกคนจึงเคลื่อนย้ายไปจากใบหน้าเริ่นหว่านเอ๋อร์ 


 


 


ฟู่เส่าชิงผุดรอยยิ้มลึกล้ำขึ้นมาอีกครั้ง “แน่นอนอยู่แล้ว” 


 


 


“เจ้า” สีหน้าของเริ่นกุ้ยเฟยดูไม่ดีนัก นางอับจนคำพูดโดยพลัน ด้วยเพราะไม่เคยเจอใครที่หน้าไม่อายถึงเพียงนี้มาก่อน หากเป็นคนอื่นเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็คงจะยอมถอยไปแล้ว ไหนเลยจะกล้าตอบรับเช่นนี้เล่า 


 


 


เพื่อระบายอารมณ์โกรธที่มีนั้น สายตาของนางก็กลับมามองที่ร่างของเริ่นหว่านเอ๋อร์อีกครั้ง พร้อมแค่นเสียงเย็นออกมา “หว่านเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กลัวไป จงพูดออกมาเถิดว่าใครกันที่กล้ารังแกเจ้า เราจะไม่ปล่อยไว้แน่!” 


 


 


ไม่ต้องรอให้เริ่นหว่านเอ๋อร์เอ่ยปาก เจี่ยซูเฟยก็พูดสอดขึ้นมาว่า “โอ พี่หญิงของน้อง คุณหนูหว่านเอ๋อร์อาจจะไม่ได้ถูกรังแกก็เป็นได้นะเพคะ ไม่เสียทีที่ได้ชื่อวาพี่สาวที่แสนดี รักและเป็นห่วงน้องสาวถึงเพียงนี้ หากข้ามีพี่สาวดีๆ เช่นนี้บ่างก็คงจะดียิ่งนัก” 


 


 


จวินเสวียนจีดึงชายเสื้อของเสด็จแม่ของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้นางไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่ง 


 


 


ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเจี่ยซูเฟยไม่ได้พูดเพื่อแสดงออกให้เห็นถึงเจตนาที่ดีต่อสองพี่น้องตระกูลเริ่น นางนั้นเจ็บแค้นเริ่นกุ้ยเฟยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ด้วยเพราะพวกนางมีชาติกำเนิดไม่ต่างกัน แต่เพียงแค่นางไม่อาจให้กำเนิดองค์ชาย ส่วนเริ่นกุ้ยเฟยกลับให้กำเนิดองค์ชายใหญ่และองค์หญิงสี่ รวมทั้งเลี้ยงดูองค์หญิงสาม ด้วยเหตุผลนี้นางจึงได้นั่งตำแหน่งกุ้ยเฟย ไม่อย่างนั้นตำแหน่งนี้ก็ควรจะเป็นของนางเสียด้วยซ้ำ! 


 


 


นางเพียงมีใบหน้าเหมือนฮองเฮาพระองค์ก่อนเท่านั้น แต่กลับไม่อาจให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้! 


 


 


เริ่นกุ้ยเฟยยังคงรักษาท่าทีสง่างามของตัวเองเอาไว้ได้ “หากน้องหญิงอยากได้พี่สาวสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยากมิใช่หรือ พวกเราเข้าวังมาพร้อมกัน แม้ว่าข้าจะอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปี แต่พวกเราก็เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ก็ถือว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้าเช่นกันมิใช่หรืออย่างไร” 


 


 


“เพคะ…” เจี่ยซูเฟยโดนบังคับให้ยอมรับ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


ทุกคนเห็นพวกนางสองคนกำลังเชือดเฉือนกัน ก็อดไม่ได้ที่จะชมดูละครสนุกๆ 


 


 


ฝ่าบาทขมวดพระขนงอย่างไม่ค่อยจะยินดีนัก “เรากำลังถามคุณหนูหว่านเอ๋อร์ แล้วพวกเจ้าจะพูดเรื่องตัวเองกันขึ้นมาด้วยเหตุใดกัน” 


 


 


“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ” เริ่นกุ้ยเฟยและเจี่ยซูเฟยก้มหน้าลงในทันที 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์สูดจมูกน้อยๆ กล้ำกลืนความอาดูรในใจแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หว่านเอ๋อร์มิได้เป็นอะไรเพคะ เพียงแต่เมื่อครู่ออกมาด้านนอกกับพี่เหรา ไม่ระวังทำให้ทรายปลิวเข้าตาจึงเกิดระคายเคือง น้ำตาเลยไหลไม่หยุดเช่นนี้เพคะ” 


 


 


“เคืองตารึ” ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงด้วยท่าทีที่เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อนัก 


 


 


“เพคะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์พยักหน้ารับ 


 


 


เริ่นกุ้ยเฟยเห็นนางถูกฮ่องเต้ไต่ถามถึงเพียงนี้ ก็รู้ว่านางนั้นมีอะไรในใจที่ไม่อาจพูดได้ พอดีที่นางหันมาเห็นอวี้อาเหราเข้า จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย น้องสาวของหม่อมฉันคนนี้ไม่ถูกกับลมฝุ่นมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังบ่อน้ำตาตื้น เช่นนั้นจึงชอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ จริงสิเพคะ วันนี้คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องก็มาด้วย เมื่อเห็นคุณหนูรองแล้วหม่อมฉันก็นึกถึงองค์ชายรัชทายาทขึ้นมา ครั้งก่อนที่ทรงแอบหนีออกมาจากวังตะวันออกจึงถูกคุมตัวเอาไว้เป็นเวลานาน ตอนนี้พระพลานามัยของไทเฮาก็ยังไม่ดีขึ้น ฝ่าบาททรงปล่อยรัชทายาทออกมาเถิดเพคะ คิดว่าคงได้รับบทเรียนจากเรื่องครั้งนี้แล้ว คงจะไม่ทรงกล้าทำเรื่องเหลวไหลอีก” 


 


 


“ไม่กล้าทำเรื่องเหลวไหลรึ” ฮ่องเต้แค่นพระสุรเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “หากเจ้าบอกว่าคนอื่นไม่กล้ายังพอจะเชื่อได้บ้าง แต่รัชทายาทนั้น…” 


 


 


รัชทายาทนั้นถูกจำขังมาตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว มีครั้งใดบ้างที่เขาจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น 


 


 


เริ่นกุ้นเฟยก็รู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ เช่นนั้นจึงกล่าววาจาโน้มน้าวด้วยความระมัดระวัง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 236 ปล่อยองค์รัชทายาท 


 


 


 


 


 


“ไม่มีผู้ใดที่จะสมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่างหรอกเพคะ คนเราย่อมที่จะเคยทำเรื่องผิดพลาดกันบ้าง ไทเฮาทรงรักใคร่พระราชนัดดา ครั้งนี้ขอให้พระองค์ทรงเห็นแก่พระพลานามัยของไทเฮา ปล่อยรัชทายาทสักครั้งเถิดเพคะ ต่อไปหากทรงกล้าที่จะทำเรื่องอะไรเหลวไหลอีก ไทเฮาก็คงไม่อาจจะตรัสอะไรได้แน่ ต้าเยี่ยนของเรานั้นล้วนเอาความดีงามและความกตัญญูเป็นที่ตั้ง ฝ่าบาทต้องกระทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีถึงจะถูกต้องนะเพคะ” 


 


 


“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ฮ่องเต้นิ่งคิดอยู่สักครู่ แล้วจึงหันมาออกคำสั่งกับหวังกงกง “หวังเซิ่งเต๋อ เจ้าไปถ่ายทอดราชโองการปล่อยตัวองค์รัชทายาทที่วังตะวันออก แล้วนำเขามาที่ตำหนักนี้ บอกเขาว่าครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระอาการประชวรของไทเฮาและคำทูลขอของเริ่นกุ้ยเฟย เราก็ไม่มีทางปล่อยตัวเขาเป็นอันขาด!” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทูลให้องค์รัชทายาททรงทราบ” หวังกงกงรีบรับคำสั่งในทันที 


 


 


เมื่อเห็นเขาจากไปแล้ว เจี่ยซูเฟยก็หันไปทางเริ่นกุ้ยเฟย “พี่หญิงกุ้ยเฟยช่างมีจิตใจที่ดียิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าหากองค์ชายใหญ่รู้เข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


ฝ่าบาทนั้นให้ความสำคัญต่อองค์ชายใหญ่เสมอมา ในปีนั้นเดิมทีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แต่สุดท้ายไทเฮาและขุนนางส่วนหนึ่งกลับร้องขอให้แต่งตั้งพระโอรสที่เกิดจากฮองเฮาขึ้นเป็นรัชทายาทเพื่อดำรงไว้ซึ่งสายเลือดแห่งราชวงศ์ แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทนั้นก็ไม่เคยชอบอุปนิสัยไม่เอาไหนขององค์รัชทายาทแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจยอมรับได้ แต่เนื่องจากเห็นแก่หน้าฮองเฮาจึงต้องยอมแต่งตั้ง 


 


 


คงต้องบอกว่าเป็นเพราะองค์ชายใหญ่เลือกเกิดผิดครรภ์ หากเขาเป็นโอรสของฮองเฮา ตำแหน่งรัชทายาทก็คงเป็นของเขาแล้ว! 


 


 


และเพราะเรื่องนี้ทำให้หลายปีมานี้องค์ชายใหญ่ก็มักจะต่อต้านองค์รัชทายาทมาตลอด แม้ว่าจะรู้กันทั่วและเห็นกับตาแต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปาก แต่ช่วงนี้ความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีต่อองค์รัชทายาทนั้นก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ และวันใดที่สิ้นไทเฮา หากเขายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่องที่จะปลดเขาลงจากตำแหน่งองค์รัชยาทก็เป็นเรื่องของเวลา ไม่ว่าอย่างไรแผ่นดินนี้ก็คงไม่อาจส่งมอบให้กับคนเจ้าสำราญเช่นนั้นได้แน่ 


 


 


ส่วนองค์ชายใหญ่นั้นไม่เพียงแต่เป็นพระโอรสพระองค์โต อีกทั้งยังเป็นที่น่านับถือ เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งสืบทอดมากที่สุด 


 


 


นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เจี่ยซูเฟยนั้นเจ็บแค้นเริ่นกุ้ยเฟยยิ่งนัก หากนางสามารถให้กำเนิดโอรสสักคนก็คงจะดีไม่น้อย… 


 


 


“น้องหญิงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรจื่อหร่านนั้นไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยมาก่อน แต่ซูเฟยนั้นไม่มีบุตรชาย ย่อมที่จะไม่เข้าใจเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว” เมื่อเห็นเจี่ยซูเฟยพูดจาเชือดเฉือน เริ่นกุ้ยเฟยนั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่ใจเย็นอะไรนัก ทันใดนั้นก็ยั่วยุอีกฝ่ายด้วยการพูดจาแทงใจดำ 


 


 


“เจ้า!” สีหน้าของเจี่ยซูเฟยไม่น่าดูในพริบตา 


 


 


เช่นนั้นจวินเสวียนจีรีบเข้ามาดึงเสด็จแม่ของตัวเองในทันที ก่อนจะหันไปยิ้มกับเริ่นกุ้ยเฟยแล้วกล่าวว่า “เริ่นกุ้ยเฟยมีน้ำพระทัยกว้างขวาง เสด็จแม่ของหม่อมฉันเองก็นับถือพระองค์เสมอมา” 


 


 


“องค์หญิงเสวียนจีเกรงใจเกินไปแล้ว” ใบหน้าของเริ่นกุ้ยเฟยยังคงแย้มยิ้ม แต่สายตาที่มองจวินเสวียนจีกลับเต็มไปด้วยความไม่อาจดูแคลน นางรู้จักที่จะนิ่งเงียบและผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่เหมือนเช่นเจี่ยซูเฟยที่ไม่ค่อยระมัดระวัง บุตรสาวของนางคนนี้นับว่ารับมือได้ยากกว่าแม่ของนางเสียอีก 


 


 


ฝ่าบาทแย้มพระสรวลออกมาอย่างคลายความกังวล “กุ้ยเฟยนั้นเรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแต่จิตใจนั้นช่างเปี่ยมด้วยกรุณา มิเช่นนั้นเราคงไม่แต่งตั้งให้นางเป็นถึงกุ้ยเฟยแล้วดูแลวังหลังเช่นนี้” 


 


 


“เพคะ” ทุกคนก้มหน้าลงอย่างเห็นพ้อง “กุ้ยเฟยทรงพระกรุณา” 


 


 


สีหน้าของเจี่ยซูเฟยยิ่งดูไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นางพูดมาทั้งหมดจะส่งผลประโยชน์ต่อผู้อื่น ช่างน่าคับแค้นยิ่งนัก! 


 


 


อวี้อาเหรามองพระสนมทั้งสองที่กำลังต่อสู้คะคานกัน ไม่ว่าที่ใดที่มีสตรี ที่นั่นย่อมมีการชิงดีชิงเด่น แม้กระทั่งในจวนหลิงอ๋องเองก็เป็นเช่นนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับวังหลวงเล่า นี่ยังไม่นับตำแหน่งผู้ครองแคว้นอีก ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปเท่าไรบ้าง 


 


 


เรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกันนั้นนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการลากนางเข้าไปเกี่ยวด้วย 


 


 


นี่เท่ากับเป็นการลากนางออกมาปรากฏกายต่อหน้าธารกำนัลหรือมิใช่? ไม่ว่าใครต่างก็อยากอยู่ในความสนใจทั้งนั้น แต่คงไม่มีผู้ใดที่อยากจะถูกมองเหมือนเป็นลิงที่อยู่ในสวนสัตว์ 


 


 


เมื่อกล่าวจบ ฮ่องเต้ก็เตรียมตัวที่จะกลับเข้าสู่ตำหนัก เมื่อปรายตามองไปเห็นจวินไหวซ่งยืนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามว่า “เหตุใดเซียวเฟยยังไม่กลับวังอีก” 


ตอนที่ 237 ไท่จื่อเฟย [1] 


 


 


 


 


 


“เสด็จแม่กล่าวว่าจะอยู่สำนักปฏิบัติธรรมสักหลายวัน เพื่อที่จะได้ตั้งจิตศึกษาพระธรรม ถวายพระพรแก่เสด็จพ่อ ไม่เกินปลายปีนี้ก็จะกลับมาเพคะ” จวินไหวซ่งรีบตอบในทันที 


 


 


“สำนักปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองเฟิงเฉิง อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลนัก ตอนนี้อากาศก็หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ เจ้าส่งของไปให้เสด็จแม่ของเจ้ามากๆ หน่อยเถิด นางจะได้ไม่ต้องลำบากมาก ร่างกายของเราก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวล” เพียงเท่านี้ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรอีก พลันหันหลังแล้วเดินกลับไป 


 


 


เซียวเฟยผู้เป็นพระมารดาขององค์หญิงรองนั้นไม่เหมือนผู้อื่น มีใจฝักใฝ่ในธรรมะ ไม่ชอบชีวิตอันฟุ้งเฟ้อในวังหลวง ด้วยเพราะมีอุปนิสัยเช่นนี้จึงได้ออกจากวังไป ในหนึ่งปีสี่ฤดูกาลนั้นนางใช้เวลาเสียครึ่งปีเพื่ออยู่ในสำนักปฏิบัติธรรม สำหรับเรื่องนี้แล้วฮ่องเต้เองก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามนั้น 


 


 


แต่ก็เป็นเพราะว่าเซียวเฟยนั้นอยู่ห่างจากการแก่งแย่งชิงดี ชีวิตความเป็นอยู่จึงถือว่าไม่เลว ส่วนจวินไหวซ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็หัวไวปากหวาน จึงได้รับความรักเอ็นดูจากฮ่องเต้ไม่น้อย สองแม่ลูกจึงไม่ค่อยมีเรื่องโกรธแค้น และไม่จำเป็นต้องผูกใจเจ็บกับผู้ใด 


 


 


ทุกคนต่างเดินตามกันเข้าไปในตำหนัก เสียงบรรเลงดนตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง 


 


 


ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ไล่เหล่านางรำให้ถอยออกไปด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนนั่งลงบนพระราชบัลลังก์อันวิจิตรงดงามในพระตำหนัก ก้มพระพักตร์ลงมองฟู่เส่าชิง “องค์ชายเป่ยเจียงเสด็จมาช้ายิ่งนัก เช่นนี้จะต้องถูกลงโทษด้วยการดื่มเหล้าสักหลายจอก” 


 


 


“ไม่ค่อยได้ดื่มเหล้าในวังหลวงนัก แม้ฝาบาทจะทรงลงโทษให้ดื่มเป็นร้อยจอกก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะพระสรวลออกมาเสียงดัง ผ่านไปชั่วครู่ถึงหยุดหัวเราะลง “เราได้ยินมาว่าองค์ชายโปรดสุราเลิศรส เช่นนั้นจึงให้คนเตรียมเหล้าบรรณาการหลายไหมาเป็นพิเศษ ส่งไปยังเรือนพักรับรองของท่านแล้ว” 


 


 


“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เส่าชิงแย้มยิ้มกว้างยิ่งขึ้น 


 


 


ฮ่องเต้ยังหันไปสั่งกับหวังกงกงที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าสั่งลงไปว่าให้รับรององค์ชายเป่ยเจียงให้ดี อย่าได้ขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด” 


 


 


“กระหม่อมสั่งการลงไปเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงตอบกลับพลางแย้มยิ้ม 


 


 


“เจ้านี่ก็ช่างรู้ใจเรานัก” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ลงอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับไปมองฟู่เส่าชิงอีกครั้ง “ต้าเยี่ยนและเป่ยเจียงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา วันนี้องค์ชายเป่ยเจียงได้เสด็จมาเยือน เราจึงปรารถนาที่จะเจริญสัมพันธไมตรีด้วยการพระราชทานสมรส ในงานเลี้ยงวันนี้ก็เชิญเหล่ากุลสตรีมาไม่น้อย ไม่ทราบว่าองค์ชายทรงหมายตาผู้ใดไว้บ้างหรือไม่” 


 


 


ฟู่เส่าชิงชะงักไป ก่อนค่อยๆ วางจอกเหล้าลง สายตาของเขามองกวาดไปท่ามกลางฝูงชน จนมองไม่ออกว่าเขากำลังมองผู้ใดอยู่กันแน่ หลังจากนั้นไม่นานก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “ในเมื่อฝ่าบาทออกเอ่ยตรัสเองเช่นนี้ กระหม่อมก็ไม่ขอเกรงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เอาสิ” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ตอบรับอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ 


 


 


อวี้อาเหราตีสีหน้าเรียบเฉย ฝ่าบาทก็ประสงค์ให้ฟู่เส่าชิงเลือกหญิงสาวเองเช่นนี้เลยหรือ นางรีบส่งสายตาไปยังเริ่นหว่านเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังในทันใด 


 


 


เห็นเพียงนางก้มหน้าลงต่ำ ใช้ฟันกัดริมฝีปากน้อยๆ 


 


 


ฟู่เส่าชิงมองอยู่ไม่นาน ทันใดนั้นก็สอดส่ายสายตาไปทางซ้ายและขวาจนมาหยุดที่อวี้อาเหรา กระนั้นรอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ “ฝ่าบาท โปรดทรงกรุณาพระราชทานคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องมาเป็นไท่จื่อเฟยของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง?” ฮ่องเต้ชะงักไปในทันที 


 


 


ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในตำหนักตลอดจนอวี้อาเหราเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์หันมามองอวี้อาเหราด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อนัก 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ” อวี้อาเหราตกใจเสียจนมือสั่น 


 


 


“เมื่อเรามาถึงเมืองเฟิ่งเฉิงนั้นก็รู้สึกถูกใจในตัวเจ้าอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงขอให้ฝ่าบาทพระราชทานเจ้าให้กับข้า” ใบหน้ายิ้มแย้มของฟู่เส่าชิงไม่มีความคลุมเครืออยู่เลยแม้แต่น้อย จนทำให้คนที่พบเห็นนั้นรู้สึกว่าเขาล้อเล่นแต่ก็ไม่เชิง เพราะความจริงแล้วกลับไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของเขาออกเลย 


 


 


ไม่ทันที่จะรอให้ฮ่องเต้ออกปาก ทันใดนั้นก็มีเงาร่างเงาหนึ่งเดินก้าวยาวๆ เข้ามา แล้วร้องบอกฟู่เส่าชิงว่า “องค์ชายเป่ยเจียงกล่าววาจาน่าขันยิ่งนัก นางยังเป็นไท่จื่อเฟยของเราอยู่ ไหนเลยจะยกให้เป็นไท่จื่อเฟยของท่านได้” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ไท่จื่อเฟย หมายถึง พระชายาขององค์รัชทายาท 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 238 ฝันไปเถิด 


 


 


 


 


 


จวินฉางอวิ๋นเดินเข้ามาในตำหนักด้วยโทสะพลุ่งพล่าน ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยความหยิ่งทระนง ไม่ได้พบกันหลายวัน เขาที่ถูกจองจำเอาไว้ในวังตะวันออกนั้นดูเงียบขรึมลงไปมาก สายตาเย็นชาจ้องมองไปทางฟู่เส่าชิงและอวี้อาเหรา ในใจเต็มไปด้วยความเยียบเย็น ความแค้นที่มีต่ออวี้อาเหราในวันวานเขายังคงจำมันได้อย่างชัดเจน ไหนเลยจะยอมปล่อยนางไปแต่งงานกับฟู่เส่าชิงได้ง่ายๆ ฝันไปเสียเถิด! 


 


 


“ใช่แล้ว คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเป็นว่าที่ไท่จื่อเฟย ได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งนานแล้ว เช่นนั้นจะพระราชทานนางให้แก่องค์ชายได้อย่างไรเพคะ” เริ่นกุ้ยเฟยมองไปที่รัชทายาทชั่วครู่ 


 


 


ฟู่เส่าชิงหยักไหล่ ท่าทีราวกับว่าไม่ได้ฟังแม้แต่น้อย 


 


 


ใบหน้าของอวี้อาเหรานิ่งเงียบ มือกำเข้าหากันแน่น ไม่ว่าจะเป็นจวินฉางอวิ๋นหรือฟู่เส่าชิง นางก็ไม่อยากจะแต่งกับใครทั้งนั้น และนางก็ยิ่งไม่อยากให้ร่างกายของตัวเองถูกคนอื่นครอบงำไปทั้งร่าง นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ในช่วงเวลานี้แม้แต่สิทธิ์ในการปฏิเสธนางก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ทำไม่สามารถที่จะทำได้ 


 


 


หากนางมุทะลุทำอะไรออกไป เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการฆ่าคนทั้งจวนหลิงอ๋องให้ตาย! 


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบๆ ก่อนจะตรัสขึ้นว่า “เริ่นกุ้ยเฟยกล่าวได้ถูกต้อง คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท ได้ทำการหมั้นหมายกับรัชทายาทเอาไว้นานแล้ว หากแต่งกับพระองค์ก็คงจะผิดจารีต เรื่องนี้มิอาจยอมได้!” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นความหมายของฝ่าบาทคือ…” ฟู่เส่าชิงมองอย่างนิ่งๆ 


 


 


“องค์ชายได้โปรดเลือกคนอื่นเถิด” ฮ่องเต้ว่า 


 


 


“เช่นนั้นก็ได้” ฟู่เส่าชิงไม่ได้ดึงดันต่อไป เขาหันกลับมามองอีกครั้ง ก่อนสายตาจะหยุดลงบนร่างของจวินเสวียนจี กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอเลือกองค์หญิงพระองค์นี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เสวียนจี?” ฮ่องเต้ชะงัก 


 


 


เจี่ยซูเฟยไม่ใคร่ยินดีนัก รอยยิ้มแข็งค้างขณะที่เอ่ย “เสวียนจีกำเนิดและถูกเลี้ยงดูในวังมาตั้งแต่ยังเล็ก หม่อมฉันรักและตามใจจนเสียคน เกรงว่าหากแต่งไปอยู่เป่ยเจียงแล้วจะทำให้องค์ชายทรงเสียพระพักตร์ได้นะเพคะ” 


 


 


ชื่อเสียงความเสเพลขององค์ชายเป่ยเจียงดังไกลไปทั่วหล้า ผู้ใดเลยจะกล้ายกลูกสาวให้แต่งงานกับคนไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้เล่า แม้ว่าว่าจะมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าอำนาจของเป่ยเจียงนั้นอยู่ในกำมือของจักรพรรดินี มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกขับไล่ออกจากเป่ยเจียงเช่นนี้ 


 


 


นอกจากนั้นแล้ว จักรพรรดินีแห่งเป่ยเจียงนั้นยังเป็นคนที่เก่งกาจยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นเพียงหญิงแต่ก็ได้นั่งตำแหน่งกษัตริย์ ซึ่งเป็นคนแรกในรอบหลายพันปี ฝีไม้ลายมือนั้นเก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจวินเสวียนจีจะเฉลียวฉลาดอีกสักเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อของจักรพรรดินีแห่งเป่ยเจียง เพราะฉะนั้นใครจะกล้าส่งลูกสาวเข้าปากเสือกันเล่า แล้วตำแหน่งองค์ชายของฟู่เส่าชิงก็ไม่รู้ว่าจะถูกกำจัดทิ้งเมื่อใด 


 


 


เกรงว่ามีเพียงแต่น้องสาวโง่ๆ ของเริ่นกุ้ยเฟยที่ดูยินยอมพร้อมใจอยู่คนเดียวกระมัง 


 


 


ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ “เสวียนจีเป็นองค์หญิงพระองค์โต เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์และบ้านเมือง ให้เราคิดไตร่ตรองดูก่อนเถิด” 


 


 


เมื่อได้ยินฮ่องเต้กล่าวออกมาเช่นนี้ ในของเจี่ยซูเฟยก็เต้นระรัว ฮ่องเต้อาจจะส่งลูกสาวของตัวเองเข้าปากเสือเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีก็เป็นได้ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดรนทนไม่ได้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หากนางต้องแต่งออกไปไกลบ้าน หม่อมฉันจะทำอย่างไรเล่าเพคะ” 


 


 


“เจี่ยซูเฟยโปรดวางใจ หลังจากแต่งงานแล้วเราจะอยู่ที่เมืองเฟิงเฉิงแห่งนี้” ฟู่เส่าชิงกลับพูดขึ้นมาเช่นนี้ 


 


 


ชั่วขณะนั้นเจี่ยซูเฟยก็อึกอัก อับจนคำพูดที่จะกล่าว หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงหน้าตาของทั้งสองแคว้น เช่นนั้นนางคงกล่าวออกไปว่าลูกสาวของข้าไม่มีวันแต่งกับเจ้าไปเสียนานแล้ว 


 


 


“เสด็จแม่ วางพระทัยเถิดเพคะ” จวินเสวียนจีเดินเข้ามาดึงชุดกระโปรงของเสด็จแม่ตัวเองด้วยใบหน้านิ่งเฉย 


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟู่เส่าชิงเล็กน้อย ในใจของนางเข้าใจดี และเสด็จพ่อก็ยิ่งเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีกว่าผู้ใด องค์ชายเป่ยเจียงนั้นไม่มีอำนาจในมือเลยแม้แต่น้อย หากไม่มีตำแหน่งองค์ชาย เขาก็คงจะไม่มีแม้แต่ข้าวจะกรอกลงท้อง เพราะฉะนั้นเสด็จพ่อไม่มีทางให้นางแต่งกับคนเช่นนี้แน่ 


 


 


ดังนั้น นางจึงไม่ได้รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด 


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม