เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 201-224

 ตอนที่ 201 ความสัมพันธ์คลุมเครือ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเปิดเวยปั๋ว โพสต์ล่าสุดของเซียวอู๋อี้คือ [บังเอิญเจอผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับนักวาดการ์ตูนคนหนึ่งมาดื่มชากับภรรยาที่ร้านน้ำชา] ด้านล่างเป็นรูปเหยียนเค่อก้มหน้า มือยกถ้วยน้ำชา ส่วนตรงข้ามกันเป็นผู้หญิงผมยาวตรงในชุดกระโปรงสีชมพู และรูปที่ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งกินข้าวกับเหยียนเค่อ 


 


 


ผู้ชายคือคนเดียวกัน ส่วนตัวตนของนักวาดการ์ตูนคนนั้นไม่ต้องบอกก็รู้กันดี 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเดือดดาลจนถึงขีดสุด และก็กลับกลายเป็นสงบนิ่ง แถมยังนั่งพินิจชื่นชมรูปที่เซียวอู๋อี้ถ่ายที่ร้านน้ำชาอีกด้วย 


 


 


รู้สึกว่าเหยียนเค่อแต่งตัวคุ้นมาก วันนี้ตนก็น่าจะเห็นเหมือนกัน 


 


 


ครุ่นคิดอยู่นานก็นึกไม่ออกว่าเคยเดินสวนกับเขาหรือไม่ ทำได้เพียงยอมแพ้ นั่งพินิจรูปนี้อย่างตั้งใจ 


 


 


เมื่อเธอเห็นกาน้ำชาสองใบก็ขมวดคิ้ว ต่อให้เธอกับเซียวอู๋อี้ดื่มชาด้วยกันก็ไม่ได้แยกกาเหมือนพวกเขา เหยียนเค่อเกลียดผู้หญิงคนนี้แค่ไหนกันล่ะเนี่ย 


 


 


จากนั้นรายละเอียดต่างๆ ก็ปรากฏออกมาให้เห็น ท่าทางที่เหยียนเค่อยกถ้วยชาขึ้นดูไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด มือถือถ้วยชารู้สึกว่าจะหล่นลงได้ตลอดเวลา ถ้าคิดดูก็จะรู้ว่า รำคาญคนที่อยู่ตรงข้ามแค่ไหน… 


 


 


คอมเม้นต์ข้างใต้ก็หารายละเอียดพวกนี้เจอเช่นกัน ค่อนแขวะว่าเซียวอู๋อี้ไม่มีสมอง จิตใจสกปรก คิดแต่เรื่องน่าขยะแขยง 


 


 


แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็ยังอึดอัดใจอยู่ดี ถ้านั่นเป็นภรรยาของเหยียนเค่อล่ะ นอนนิ่งอยู่บนโซฟาสักพักจึงจะกลับสู่ภวังค์ เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเหยียนเค่ออยู่แล้ว พวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เซียวอู๋อี้ต่างหากที่เป็นศัตรูเบอร์หนึ่ง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่คิดอะไรได้แล้วก็โพสต์รูปแผ่นหลังของทั้งคู่ลงบนเวยปั๋วอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะอธิบาย [ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาคนนั้นดีเอามากๆ แล้วก็ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องแต่งงานของเขาเลย ถ้าเขาแต่งงานฉันจะยินดีกับเขาทันทีอย่างแน่นอน] แถมยังแปะประกาศเรื่องหนึ่ง คือฝ่ายตนได้ทำการฟ้องร้องที่เซียวอู๋อี้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเธอเรียบร้อยแล้ว 


 


 


…… 


 


 


เหยียนเค่อกอดโทรศัพท์แล้วผล็อยหลับไป ไม่รู้เลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


ชวีไหน่ทำงานล่วงเวลาเห็นรูปเจ้านายของตนที่ถูกปล่อยออกไปก็ทำการปิดบัญชีทางการเวยปั๋วของเซียวอู๋อี้ทันที 


 


 


ค่อนแขวะในใจ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่บริษัทมอบให้ แต่นี่ยังไปทำร้ายเจ้านายอีก ไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วสินะ 


 


 


…… 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหลับไปเพียงสี่ชั่วโมง คุณแม่ซย่าก็มาสะกิดปลุก 


 


 


“ตื่นได้แล้ว ไปบ้านคุณตา” 


 


 


“ทำไมไม่ไปบ้านคุณปู่ล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วกำผ้าห่มไม่ปล่อยแล้วพึมพำ 


 


 


“ใครไม่รู้บ้างว่าปู่แกตามใจแกน่ะฮะ ถ้าฉันบังคับให้แกแต่งงาน ปู่แกก็มีอาการแรงกว่าพ่อแกอีก แล้วก็ลุงคนโตของแกด้วย” คุณแม่ซย่าเปิดม่านออกแล้วพึมพำ “บอกว่าต่อไปต้องหาลูกเขยที่มีความสามารถ ไม่อย่างนั้นปู่กับลุงแกจะตีให้พิการเลย” 


 


 


“แม่หวังสูงจัง” ซย่าเสี่ยวมั่วลุกจากเตียงแล้วสางผม “เมื่อคืนบอกว่าผู้ชายสองขาคนหนึ่งก็พอ ตอนนี้มาบอกว่าจะเอาคนมีความสามารถ ถ้าลูกเขยแม่เพิ่งลืมตาดูโลกจะร้อนใจจนร้องไห้แล้วหรือเปล่า” 


 


 


“เถียงเก่ง!” คุณแม่ซย่าเฉดนิ้วใส่กะโหลกเธอ “รีบไปแต่งตัวสวยๆ ซะ เราจะได้รีบไป” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสไตล์ค่อนข้างโบราณ ปกคอเป็นสีฟ้าคราม ตรงขอบปักลายดอกกล้วยไม้สวยงาม ชายกระโปรงเป็นสีขาว ประณีตงดงามและดูเรียบร้อย 


 


 


คุณพ่อซย่ามองดูสองสาวเดินลงมาจากบ้านก็รู้สึกภูมิใจ เมียของตนว่าสวยแล้ว แต่ลูกสาวสวยยิ่งกว่า เขาช่างเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก 


 


 


ตลอดทางไปบ้านคุณตา ซย่าเสี่ยวมั่วก็หลับไปตื่นหนึ่ง 


 


 


บ้านคุณตาของซย่าเสี่ยวมั่วอยู่ทางตอนใต้ของเมือง แถมบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ติดภูเขาใกล้แม่น้ำเป็นของรัฐบาลอีกด้วย 


 


 


ตอนเด็กๆ เธออยู่ที่นี่ตลอด โดนพี่ใหญ่เหยียบย่ำอยู่ทุกวัน คิดถึงความซื่อของลูกพี่ลูกน้องผู้ชายอีกคน เธอก็รู้หลักเหตุผลหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก ก็คือ ปัญญาชนผู้มีความรู้รับมือยากเสียยิ่งกว่าทหารที่มีกำลังและความกล้าหาญอีก 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 202 แฟนสาวของพี่ชายคนโต 


 


 


การเดินทางกินเวลาถึงสี่ชั่วโมง ซย่าเสี่ยวมั่วยังคงนอนหลับอยู่บนรถ คุณพ่อซย่ากับคุณแม่ซย่าก็ลงจากรถไปก่อน ไม่ได้สนใจเธอ 


 


 


เสิ่นมั่วหลีนั่งอยู่บนโซฟา ไม่เห็นเด็กสาวเดินตามคุณอาของตนมาก็ถามขึ้น “น้าครับ ซย่าเสี่ยวมั่วไม่มาเหรอ” 


 


 


คุณแม่ซย่าชี้ไปด้านหลัง “หลับอยู่บนรถน่ะ ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย แล้วแฟนเธอล่ะ” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีดื่มชาหนึ่งคำอย่างสงบ แล้วยกอ่างน้ำที่วางอยู่ข้างๆ โซฟามาวางบนโต๊ะ 


 


 


คุณแม่ซย่าชะโงกหัวมองไปด้านในบ้าน 


 


 


ในเวลานี้คุณพ่อน่าจะออกไปด้านนอก ไม่อยู่บ้าน มีแค่เสิ่นมั่วหลีที่พักอยู่บ้าน หรือว่าสาวน้อยคนนั้นจะโดนคุณพ่อลากออกไปเดินเล่นแล้วกันนะ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วตื่นแล้วจึงพบว่าเหลือเพียงตัวเองที่ยังอยู่บนรถ เช็ดคราบน้ำลายตรงมุมปาก ลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้าน ได้ยินเสียงเย็นชาของพี่ชายของตนดังขึ้น “เขาค่อนข้างขี้อายน่ะครับ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรีบวิ่งเข้าไปโอบไหล่พี่ชายของตนอย่างตื่นเต้นดีใจ “แฟนพี่ล่ะ พามาให้ฉันดูหน่อย” 


 


 


ยังไม่ถึงเวลาอาหาร เธอตื่นได้ทันเวลาพอดี 


 


 


เสิ่นมั่วหลีดันมือของซย่าเสี่ยวมั่วออกอย่างรังเกียจ “เธออย่าทำให้เขาตกใจสิ” 


 


 


“ฮั่นแน่ๆ มีคนที่พี่ปกป้องด้วยเหรอเนี่ย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” เธอโวยวาย 


 


 


ใบหน้าขาวสะอาดเย็นชาของเสิ่นมั่วหลี ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แม้แต่น้ำเสียงก็เป็นแบบโมโนโทน ทำเพียงใช้มือลูบกลีบดอกบัวสีขาวตรงหน้าของตน “เขาชื่อชิงจิน” 


 


 


“เส้นเลือดดำ[1]?” ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูเขาลูบกลีบดอกไม้อย่างงุนงง 


 


 


“ชื่อในยุคปัจจุบันคือ ‘ชิงเหอ[2]’” 


 


 


คุณพ่อซย่าคุณแม่ซย่ายังคงรอให้ผู้หญิงที่เขาพูดถึงปรากฏตัวออกมา แต่มองซ้ายแลขวาแล้วก็ยังไม่เห็นใคร 


 


 


“เอ่อ” ซย่าเสี่ยวมั่วที่รู้สึกตัวก่อนใคร ยื่นมือไปจิ้มอ่างน้ำตรงหน้าของตน แล้วเอ่ยถามอย่างลังเล “ดอกไม้ดอกนี้คงไม่ใช่แฟนพี่หรอกใช่ไหม” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีพยักหน้าราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา “เขามีสถานะเป็นแฟนของฉัน เขามีชีวิตนะ ฉันเลี้ยงเขาให้โตมาเองเลย ฉันจะรับผิดชอบเขาเอง” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหลุดหัวเราะออกมา งั้นเธอไปปลูกแตงกวาบ้างดีกว่า 


 


 


“พี่บอกว่าขี้อายมากเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่หาต้นไมยราบสักต้นล่ะ” เธอลูบกลีบดอกบัว ยิ้มทักทายกับเขา “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของแฟนคุณ” 


 


 


คุณแม่ซย่าโมโหเด็กไม่รู้ประสาพวกนี้จนเดินออกจากบ้านไปแล้ว แต่คุณพ่อซย่ายังกอดพุงนั่งขำอยู่ 


 


 


เสิ่นมั่วหลียังคงดื่มชาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่อย่างใด ไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าขันสักนิด 


 


 


“พี่เจ๋งมากเลย ฉันก็จะหาสักคนเหมือนกัน” ซย่าเสี่ยวมั่วดีใจเป็นอย่างมาก 


 


 


เสิ่นมั่วหลีปรายตามองเธอหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยออกมาตามตรง “ถ้าใช้มุกนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งจะใช้ซ้ำไม่ได้แล้วนะ แล้วฉันก็พูดความจริงด้วย” 


 


 


“ไม่มั้ง ชาติที่แล้วพี่เป็นฤๅษีหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วมีสีหน้าตกตะลึง ทำไมมันประหลาดเช่นนี้ 


 


 


เสิ่นมั่วหลีส่ายหัว “พวกเขาให้ฉันหาคนมีชีวิต ฉันหาไม่เจอ ก็เลยคบไปก่อน ถึงจะเป็นใบ้ก็เถอะ” 


 


 


“งั้นฉันคบกับหมาบ้านฉันดีกว่า ยังไงก็มีครบทุกอย่าง” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีพยักหน้า “เธอก็เหมาะจะคบกับพวกสัตว์ดีนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเหลือบมองเขา “ปัญญาชนที่สุภาพเรียบร้อยอย่างพี่ด่าคนอื่นงั้นเหรอ!” 


 


 


“คนกินธัญพืชห้าอย่าง การพูดคำหยาบคายเป็นความสามารถที่พลั้งเผลอออกมา ทุกคนล้วนมีมาตั้งแต่เกิด” เสิ่นมั่วหลีเอ่ยตอบอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงไพเราะทำให้คนฟังรู้สึกสบายหู 


 


 


“นี่ แล้วไม่มีนักเรียนมาชอบพี่เลยเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วศอกใส่เขาเบาๆ ในสมองจินตนาการฉากในละครโศกนาฏกรรมของเด็กสาวที่มาตามจีบพี่เสิ่นคนหล่ออย่างยากลำบาก 


 


 


เสิ่นมั่วหลีเหลือบมองเธอ “สมอง…คิดแต่อะไรก็ไม่รู้” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งมองเขาอย่างหมดคำจะพูด อย่านึกว่าเธอไม่รู้ว่าศาสตราจารย์เสิ่นเปลี่ยนรูปปากกลางคันนะ แถมยังจะพูดสำนวนผิดๆ นั่นอีก ไม่สมเป็นคนมีความรู้เลยจริงๆ 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] เส้นเลือดดำ ในภาษาจีนอ่านว่า ชิงจิน (พ้องเสียงกับชื่อดอกบัว) 


 


 


[2] ชิงเหอ ชื่อดอกบัวสายพันธุ์หนึ่ง 



ตอนที่ 203 มิ่งขวัญ 


 


 


เสิ่นมั่วหลีโตกว่าซย่าเสี่ยวมั่วแค่ปีเดียว แต่ระดับสมองของทั้งคู่ห่างไกลกันกว่าร้อยปี 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ยอมใครทั้งนั้น แต่กลับนับถือพี่ชายของตนมากๆ 


 


 


บนโลกนี้มีคนหนึ่งประเภทที่มีความสามารถหนึ่งที่เรียกว่าไม่ต้องสอนก็เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง อย่างเช่นพี่ชายของเธอ 


 


 


คนประเภทนี้ไม่ใช่แค่โอรสกษัตริย์เท่านั้น แต่เขาเป็นคนที่คุณยายเมิ่ง[1]ยอมปล่อยตัวไปด้วย 


 


 


งานอดิเรกความสนใจของเสิ่นมั่วหลีล้วนเกี่ยวข้องกับวัตถุโบราณ การจัดแจกันดอกไม้ ศิลปะการชงชา ขี่ม้ายิงธนู และศิลปะชั้นสูงอย่างการบรรเลงดนตรีเครื่องสาย หมากรุกจีน พู่กันจีน วาดภาพ 


 


 


สิ่งเหล่านี้เขาล้วนทำเป็นตั้งแต่ในวัยที่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว แถมนายคนขี้โกงคนนี้ ก่อนขึ้นมอต้นก็สนใจแค่เรื่องเหล่านี้เท่านั้น แต่เมื่อขึ้นมอปลายอาจจะรู้สึกว่าของพวกนี้ไม่น่าสนใจแล้ว เขาไม่เอาที่หนึ่งในสายศิลป์ แต่ไปเรียนสายวิทย์อยู่สามปี สุดท้ายก็ได้อันดับหนึ่งของสายวิทย์ระดับมณฑลมา แล้วไปเรียนต่อในด้านภาษาจีนโบราณในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด 


 


 


คนประเภทนี้ อย่าคิดจะท้าทายเขา เขาจะทำให้คุณรู้ว่าทำไมตัวคุณถึงโง่เง่าแบบนั้น 


 


 


“ครั้งนี้พี่กลับมาอยู่บ้านกี่วัน” 


 


 


“ไม่นานหรอก” เสิ่นมั่วหลีเช็ดใบบัว ดวงตานิ่งสงบและลึกซึ้งจับจ้องไปที่ดอกไม้ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้คนรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ทำให้คนรู้สึกว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัวมากมายเช่นกัน 


 


 


“เธอจะมองฉันทำไม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอาแต่จ้องใบหน้าด้านข้างของเขา ถึงแม้ว่าเสิ่นมั่วหลีจะไม่ใส่ใจนักแต่ก็ถามขึ้น 


 


 


“ฉันคิดว่ารอบตัวฉันมีแต่คนหล่อ ต่อไปฉันจะหาสามียังไงดีอะ” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะหาสามี เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “งั้นเธอก็อยู่เป็นมิ่งขวัญให้เหล่าสาววัยกลางคนต่อไปเถอะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วคิดไม่ทัน นี่หมายความว่าพี่ชายชมเธอว่าสวย แต่เพราะว่ามีสายเลือดเดียวกันเลยคบกันไม่ได้ ไม่อยากเอาเปรียบสาววัยกลางคนคนอื่นหรือเปล่า 


 


 


เสิ่นมั่วหลีเห็นว่าเธอยิ้มมีความสุขก็ไม่ไปขัด การค่อนแคะจะทำอย่างเปิดเผยได้ยังไง ชิงจิน 


 


 


ของเขานี่สิที่ฉลาดและเป็นที่รักมากว่า 


 


 


“พี่รองกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่เห็นเลยล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วนึกขึ้นได้ว่ายังมีพี่ชายอีกคน แต่ตัวเธอไม่รู้จักพี่คนนั้นเลย ทำได้เพียงถามความเห็นของพี่ใหญ่ก่อน “พี่รองหน้าตาเป็นยังไงเหรอ” 


 


 


“คุณปู่พาออกไป ส่วนจะเป็นยังไง เธอดูเองแล้วกัน” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีเป็นปัญญาชนที่แท้จริง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วบ่น “นี่ พี่เป็นต้นไผ่[2]หรือไง” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีไม่พูดอะไร เช็ดใบบัวเสร็จก็เริ่มอ่านหนังสือต่อ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ไปกวนเขา นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ พี่ชายเธอไม่ชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่พกโทรศัพท์ไว้กับตัว ไม่ใช้อุปกรณ์สื่อสารพวกนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว 


 


 


หนังสือเพียงหนึ่งเล่มก็ทำให้เขาหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบได้ ราวกับตัดขาดกับสรรพสิ่งรอบข้าง คุณเข้าไปในโลกของเขาไม่ได้ และจะไม่มีวันเข้าใจด้วย 


 


 


ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งหาวอยู่บนโซฟาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างดังของคุณตาและเสียงของชายวัยรุ่นอีกคนดังออกมาจากนอกบ้าน  


 


 


ไม่เหมือนกับเสียงราบเรียบราวกับปลงสิ้นทุกอย่างของพี่ใหญ่ เสียงของผู้ชายคนนี้น่ารักและสดใส น่าจะเป็นคนที่ร่าเริงนะ 


 


 


จะว่าไปพี่รองของเธอจะโตกว่ากันสักกี่เดือนกันเชียว โตกว่ากันแค่วันเดียวก็กดคนอื่นได้แล้วจริงๆ 


 


 


เสิ่นมั่วหลีปิดหนังสือ ใช้สันหนังสือสะกิดขาของเธอ แล้วเอ่ยสั่งสอน “ไม่มีมารยาทเลยหรือไง” 


 


 


“อ้อ” ซย่าเสี่ยวมั่วรีบวิ่งออกไปต้อนรับ เป็นเด็กนั่งอยู่ในบ้านไม่ทักไม่ทายถือว่าเป็นการเสียมารยาท กระโดดโลดเต้นไปหาคุณตาของตนอย่างร่าเริง 


 


 


แต่คุณแม่ซย่าดึงเธอไว้ก่อนที่เธอจะกระโดดถึงตัว “คุณตารับแกไม่ไหวหรอก ไปกระโดดใส่พี่ชายแกไป” 


 


 


พอซย่าเสี่ยวมั่วโดนแม่เธอดึงไว้ภาพลักษณ์ก็ป่นปี้หมดแล้ว ดึงปกคอเสื้อแล้วจัดเสื้อให้เรียบร้อย 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] คุณยายเมิ่ง หรือ เมิ่งผัว เป็นเทพเจ้าในตำนานจีนโบราณ มีความสามารถในการลบความทรงจำของวิญญาณ 


 


 


[2] ต้นไผ่ เป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสี่ปัญญาชนของจีน 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 204 พี่ชายคนรอง 


 


 


เสิ่นมั่วหลีเดินเข้ามาหาช้าๆ คุณแม่ซย่ามองดูหลานชายคนโต แล้วสอนลูกสาวของตน “ดูพี่คนโตแกซิ เป็นสาวเป็นนางจะมากระโดดโลดเต้นได้ยังไง!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพึมพำเสียงเบา “เอาหนูไปเทียบกับพวกสาวๆ ได้ด้วยหรือไง” 


 


 


เสิ่นมั่วหลีปรายตามองเธอหนึ่งที 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหุบปากฉับทันที 


 


 


เมื่อเสิ่นจิ้งเฉินเห็นซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ รู้สึกว่าสายฟ้ากำลังจะผ่าลงมาที่ตัวเขา 


 


 


เขารู้แค่ว่าคุณอานามสกุลซย่า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้เลยว่าน้องสาวของตนจะชื่อว่า ‘ซย่าเสี่ยวมั่ว’ … 


 


 


“พี่!” ซย่าเสี่ยวมั่วคล้องแขนคุณตาแล้วทักทายกับพี่ชายคนรองของตนอย่างน่ารัก ทำไมรู้สึกว่าพี่ชายคนรองถึงหน้าคุ้นๆ กันนะ? 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินประหลาดใจแต่ก็รีบกลับมาเป็นปกติ ความรักจากพระเจ้ามาถึงอย่างรวดเร็วอะไรปานนี้ เขารู้สึกตื่นเต้นในใจ ยายคนนี้จำเขาไม่ได้แล้วงั้นเหรอ 


 


 


“อืม” เขาลูบหัวของซย่าเสี่ยวมั่ว “คุณลุงกับคุณป้าของเธอฝากของมาให้ แล้วฉันก็ซื้อของมาให้เธอด้วย เดี๋ยวเข้าไปเอาที่ห้องด้วยนะ” 


 


 


“อื้มๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วกดความรู้สึกแปลกๆ ในใจเอาไว้ พยักหน้าอย่างว่าง่าย ช่างเขาสิ ยังไงเสียนี่ก็เป็นพี่ชายจริงๆ ของเธอ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของซย่าเสี่ยวมั่วก็หัวเราะในใจ ฮ่าๆๆ ให้ไอ้เหยียนมาเห็นภาพนี้จะโมโหจนกระอักเลือดเลยไหมนะ มีน้องสาวคนนี้นี่มันดีจริงๆ 


 


 


คุณแม่ซย่ารู้ว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่รู้จักกัน จึงแนะนำ “พี่ชายแกชื่อเสิ่นจิ้งเฉิน ทำงานอยู่ที่ศูนย์วิจัย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยซ้ำอีกครั้งอย่างประหลาดใจ “เสิ่นจิ้งเฉิน?” ก่อนจะจ้องหน้าพี่ชายคนรองของเธอไม่หยุด 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินเธอเรียกชื่อเขาก็ตอบรับอย่างเอาใจ 


 


 


คุณแม่ซย่าตีเธอเข้าหนึ่งที “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่” 


 


 


“อะไรอะ หนูเคยเจอพี่ชายหนูแล้ว” ในที่สุดซย่าเสี่ยวมั่วก็นึกออก “งานเลี้ยงวันเกิดหนูปีนี้ก็เคยเจอเขาแล้ว” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินรู้สึกเหมือนหายนะคืบคลานเข้ามา เขาไม่รู้เรื่องราวระหว่างซย่าเสี่ยวมั่วกับเหยียนเค่อเลย ถ้าถามเรื่องเหยียนเค่อขึ้นมา ถ้าตนพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดอะไรออกไปจะโดนตามฆ่าทีหลังหรือเปล่าเนี่ย 


 


 


คุณแม่ซย่าไม่เข้าใจ สายตามองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคน “ไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไม…” 


 


 


คุณตาของซย่าเสี่ยวมั่วโดนพวกเขาทำให้มึนงงไปหมด “อย่ามัวแต่พูดเรื่องจริยธรรมครอบครัวที่น่าปวดหัวนั่นอยู่เลย เข้าไปคุยข้างในดีกว่า” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วตอบรับ รู้สึกว่าพี่ชายคนรองน่าจะเป็นคนแบบเดียวกับเธอ ต้องไม่ใช่คนน่าเบื่อเหมือนพี่ใหญ่แน่นอน 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเดินตามอยู่ด้านหลัง แอบส่งข้อความหาเหยียนเค่อ [เรื่องก่อนหน้านี้ที่นายไปเป็นแฟนคนอื่นเขาน่ะ สารภาพมาตามความจริงเลยนะ] 


 


 


เหยียนเค่อดูแล้วก็ลบทิ้งทันที ตอนนี้เขางานยุ่งเป็นหมาหอบแดดแล้ว ยังจะมาสารภาพบ้าอะไรอีก 


 


 


ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วคิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกลูกคนรวยมีอิทธิพล และก็ไม่ได้คิดอะไรกับตัวตนที่แท้จริงของเหยียนเค่อมากนัก เพียงแค่ส่งสายตาให้พี่ชายคนรอง สั่งเขาเสียงเบา “ห้ามพูดชื่อเหยียนเค่อเด็ดขาดเลยนะ พี่บอกไปว่ารู้จักสวีรั่วชี” 


 


 


ใครจะรู้ว่าถ้าแม่ตนรู้ว่าพี่รองกับเหยียนเค่อเป็นเพื่อนกัน จะบีบบังคับให้เขาไปเป็นลูกไม่แท้ของตัวเองอีกหรือเปล่า 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินพยักหน้า ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่วิธีของซย่าเสี่ยวมั่วก็ตรงกับความต้องการของเขาพอดี 


 


 


ทั้งคู่มองตากัน สมคบคิดทำเรื่องชั่วร้าย 


 


 


คุณตามองดูหลานชายหลานสาวนั่งด้วยกัน ทั้งคู่เข้ากันได้เขาก็ดีใจ “ดูพวกเขาสองคนสิ เข้ากันได้ดีจริงๆ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินแอบมีความสุขในใจ เข้ากันได้ดีมาก 


 


 


ทั้งคู่ถ่ายรูปด้วยกันบนโซฟา ‘โอบไหล่กอดคอ’ ‘สนิทชิดเชื้อ’ เสิ่นมั่วหลีพยายามอยู่ให้ห่างสองคนนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินจงใจส่งรูปซย่าเสี่ยวมั่วหอมแก้มเขาไปให้เหยียนเค่อรูปหนึ่ง ความรักตลอดหลายปีระหว่างพี่น้องหวนคืนมาอีกครั้ง เขาพอใจกับน้องสาวคนนี้อย่างถึงที่สุด 


 


 


“หน้าร้อนปีหน้าฉันจะพาเธอไปเที่ยวที่สวิสต์เซอร์แลนด์ หน้าหนาวปีนี้จะไปเมือง G ก็ได้นะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหลายปีมานี้ได้รับแต่การปฏิบัติอันโหดร้ายจากเสิ่นมั่วหลี ลูกพี่ลูกน้องอีกคนก็เอาแต่ซื้อของ ไม่รู้จักความบันเทิงเลยสักนิด เสิ่นจิ้งเฉินคือสิ่งที่สวรรค์ส่งมาทดแทนให้เธอจริงๆ 



ตอนที่ 205 อยู่ด้วยกันสามคน 


 


 


เหยียนเค่อได้รับข้อความจากเสิ่นจิ้งเฉินอีกก็รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ช่างน่ารำคาญ แต่พอกดเปิดดู ก็เห็นรูปภาพหนึ่ง ในรูปมีคนที่ตนกำลังคิดถึงจุ๊บหน้าหมาๆ ของเสิ่นจิ้งเฉิน! 


 


 


โทรศัพท์ในมือถูกกำเสียแน่น ข้อนิ้วที่แต่เดิมก็ขาวอยู่แล้วตอนนี้ก็ยิ่งขาวมากขึ้นกว่าเดิม 


 


 


ผู้ช่วยหวังกลืนน้ำลาย นี่ต้องเคียดแค้นกันถึงขนาดไหนเลยเนี่ย 


 


 


“ต่อครับ” เหยียนเค่อบอกกับคนตรงหน้าที่หยุดพูด 


 


 


การประชุมยังคงดำเนินต่อ เหยียนเค่อส่งข้อความตอบกลับให้เสิ่นจิ้งเฉิน ก่อนจะฟังรายงานอันน่าเบื่อหน่ายต่อไป 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินที่ได้รับข้อความข่มขู่ก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น กอดแขนซย่าเสี่ยวมั่วแล้วเอ่ย “น้องจ๋า เธอรักพี่รองไหม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะบอกว่าเธอรักพี่รอง แต่รู้สึกว่าพูดไม่ถนัดปาก พูดอยู่นานก็พูดไม่ชัดสักที 


 


 


สุดท้ายแม้แต่เสิ่นมั่วหลีคนหน้าตายยังหัวเราะออกมา 


 


 


“ลองพูดว่าเธอรักพี่ใหญ่สิ” 


 


 


“ฉันรักพี่ใหญ่” 


 


 


“ไหนพูดว่ารักพี่รองซิ” 


 


 


“ฉันระพี่รอง…” ซย่าเสี่ยวมั่วโดนแกล้งเหมือนเป็นลิงก็ไม่พอใจ “เฮอะ ฉันรักเสิ่นจิ้งเฉิน!” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินหัวเราะเหมือนคนไม่เต็มเต็ง แล้วเดินไปเอาของขวัญให้เธออย่างมีความสุข 


 


 


“มีน้องสองคน คนหนึ่งโง่ อีกคนปัญญาอ่อน” เสิ่นมั่วหลีพูดสรุป 


 


 


ตอนแรกคุณแม่ซย่ายังคิดว่าเด็กที่ไปโตอยู่เมืองนอกจะเข้ากับคนยากเสียอีก แต่นิสัยกลับเหมือนลูกสาวของเธอเลย ทำให้สนิทกันมากขึ้น 


 


 


…… 


 


 


“ฉันรอวันที่เหยียนเค่อจะเรียกฉันว่าพี่ชาย” 


 


 


ทั้งสองคนนั่งตกปลาอยู่ที่ริมสระน้ำ เสิ่นจิ้งเฉินผิวปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพูดขึ้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วร้อง “อ๋า” อย่างคนแกล้งโง่ รู้ว่าพี่ชายกับเหยียนเค่อสนิทกันมาก แต่ว่าถ้าตนบุ่มบ่ามเข้าไปถามข้อมูลของเหยียนเค่อทำให้พี่ชายของเธอลำบากใจแบบนี้ก็คงไม่ดีเท่าไร 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินพอใจกับน้องสาวของตนมาก ทั้งสองคนคุยกันรู้เรื่อง แถมน้องสาวตนยังรู้ว่าควรวางตัวให้เหมาะสมอย่างไร เมื่อไรควรเข้าหาและเมื่อไรควรล่าถอย คุยกันแล้วรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก 


 


 


เขากับพี่ใหญ่ถึงแม้ว่าจะทำสายงานเดียวกัน แต่ทั้งคู่กลับมีระยะห่างต่อกัน 


 


 


เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นที่โดดเด่นยอดเยี่ยมคนหนึ่งเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่ถกปัญหากับพี่ใหญ่มักจะรู้สึกอับอายขายหน้า แล้วพี่ใหญ่ก็เป็นคนที่ไม่มีนิสัยเหยียดหยามคนอื่นหรือหัวเราะเยาะเลย ต่อให้คุณทำผิดเขาก็จะแค่ชี้ออกมาแล้วปล่อยให้ผ่านไป ไม่สนใจในชื่อเสียงเกียรติยศราวกับเทพเจ้า เมื่อนำทั้งคู่มาเปรียบเทียบกันแล้วก็ทำร้ายจิตใจเขาเป็นอย่างมาก 


 


 


เสิ่นมั่วหลีที่ตอนเที่ยงไม่ได้เข้าไปนอนกลางวันยกดอกไม้ของตนออกมาอาบแดด เดินมาถึงตรงที่พวกเขานั่งอยู่พอดี ได้ยินเสิ่นจิ้งเฉินผิวปากก็หัวเราะเบาๆ 


 


 


“พี่ก็ผิวปากเป็นด้วยเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินถามขึ้น และก็ไม่ได้คิดว่าเสิ่นมั่วหลีจะมาผิวปากให้พวกเขาฟัง 


 


 


เสิ่นมั่วหลีคราง “อืม” ตอบกลับ เด็ดใบไม้ออกมาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เอนข้างๆ กัน นิ้วขาวสว่างชุ่มชื้นลูบไปตามใบไผ่เรียวยาว เอ่ยเยาะตัวเอง “แก่แล้วน่ะ ไม่ได้ผิวปากนานแล้ว” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกระอักเลือด พวกเราสามคนก็อายุพอๆ กันไหมล่ะ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินนิสัยเด็กเสียยิ่งกว่าเหยียนเค่ออีก ได้ยินพี่ชายพูดเช่นนี้ก็ไม่พอใจ “ผมจะอายุสิบแปดตลอดไป” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วร่วมด้วย “ฉันสิบหก” 


 


 


“…” เสิ่นมั่วหลีถึงกับพูดไม่ออก หน้าไม่อายกันเลยจริงๆ 


 


 


ยามบ่ายของฤดูใบไม้ร่วง สระน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ ใบไม้โดนสายลมพัดพา เสียงเป่าใบไม้อันไพเราะและเสียงผิวปากอย่างเบิกบานใจลอยขึ้นไปยังท้องฟ้าแจ่มใสด้านบน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วฮัมเพลงอย่างมีความสุขครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายใบหน้าด้านข้างและด้านหลังของพี่ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สองตัวอยู่หลายภาพ เพราะว่าเป็นรูปด้านข้าง แถมยังถ่ายจากที่ไกลๆ อีก ทำให้เห็นแค่ว่าเป็นหนุ่มหล่อ แต่มองไม่ชัดเจนนัก 


 


 


เธอโพสต์รูปเหล่านี้ลงบนเวยปั๋วเป็นเซอร์วิสให้กับแฟนคลับ 


 


 


เธอเองก็รู้ว่าต้องทำตัวให้ได้รับความสนใจสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะนึกว่าเธอกลัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง  


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 206 ไปดูงาน 


 


 


เหยียนเค่อเห็นโพสต์ล่าสุดของซย่าเสี่ยวมั่วในเวยปั๋วก็รู้สึกหมดปัญญา 


 


 


เขาไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกกับซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไร แต่ตอนนี้ความคิดที่จะแหกอกเสิ่นจิ้งเฉินนั้นแรงกล้าเอามาก 


 


 


หมอนั่นไปล่อลวงซย่าเสี่ยวมั่วได้ยังไง แถมผู้ชายที่อยู่ใกล้ซย่าเสี่ยวมั่ว รู้สึกว่าจะหล่อกว่าเขาเสียอีก… 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นหรือเปล่านะ… 


 


 


นายคนนี้ลืมไปจนหมดสิ้นแล้วถึงความจริงที่ว่าเขากับซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้เป็นอะไรกัน 


 


 


ผู้ช่วยหวังเห็นเจ้านายของตนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ลองถามหยั่งเชิง “แผนการมีปัญหาตรงไหนหรือเปล่าครับ” 


 


 


เหยียนเค่อส่ายหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “ดีครับ ให้ฝ่ายวางแผนจัดการให้ดี แล้วก็จับตามองสาขาย่อยของเหยียนกรุ๊ปด้วย ถ้าสำนักงานใหญ่ของพวกเขากล้าทำอะไรกับสาขาของเรา ก็จัดการสาขาย่อยของฝ่ายนั้นเลย” 


 


 


“ครับ” 


 


 


เหยียนเฟิงเตรียมตัวเคลื่อนไหวอีกครั้ง ตอนนี้หมากในมือมีเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหน 


 


 


พี่น้องไม่ถูกกัน ไม่ได้มีขึ้นแค่ในอดีตเท่านั้น ปัจจุบันยังมีให้เห็นมากมาย 


 


 


เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่ชายเขาตอนนี้จะเอาอะไรมาเดิมพัน ถ้าเอาเหยียนกรุ๊ปมาเดิมพันนั้น เขาก็ไม่กล้าเอาหรอก 


 


 


ตอนเที่ยงเขากลับไปบ้านรอบหนึ่ง กินข้าวกับคู่หมั้นของตน คิดว่าเสิ่นจิ้งเฉินได้นั่งกับซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ 


 


 


“เหยียนเค่อ!” 


 


 


ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เหยียนเค่อนั่งเหม่อ จนแม้แต่คุณแม่เหยียนก็รู้สึกฉุนขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว 


 


 


เหยียนเค่อวางชามแล้วนวดขมับ “ผมอิ่มแล้วครับ กลับบริษัทก่อนนะครับ ตอนบ่ายต้องไปดูงาน” 


 


 


คุณแม่เหยียนยังไม่ทันถามว่าเขาจะไปนานเท่าไร เหยียนเค่อก็เดินไปหยิบเสื้อโค้ตที่ห้องรับแขกแล้วออกจากบ้านไป มองข้ามสวีอิ๋งอิ๋งโดยสิ้นเชิง 


 


 


วันนี้สวีอิ๋งอิ๋งเห็นเขาสวมชุดสูทสีดำแล้วก็ตกตะลึงไป 


 


 


ผู้ชายคนนี้หล่อเหลากว่าเหยียนเฟิงมากจริงๆ ดูเป็นคนที่เข้าหาได้ง่าย แต่การเข้าหาได้ง่ายนั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่เขาอนุญาตด้วย  


 


 


แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้เธอก็ยังชอบเหยียนเฟิงมากกว่าอยู่ดี ผู้ชายคนนี้แสดงอารมณ์ออกมาทั้งหมด ไม่เหมือนคนที่ทำการใหญ่ได้เลยสักนิด 


 


 


คนที่ทำการใหญ่ได้อย่างแท้จริงจะให้คุณเห็นในด้านที่เขาอยากให้เห็นเท่านั้น สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น 


 


 


ตอนบ่ายเหยียนเค่อไปดูงานที่อเมริกาจริงๆ ส่วนผู้ช่วยหวังก็ไปอเมริกาใต้ 


 


 


บ้านของเซ่าหมิงฟ่านอยู่ที่อเมริกา เหยียนเค่อมาคุยเรื่องธุรกิจจึงรอให้ถึงวันแล้วกลับพร้อมกัน 


 


 


“นายจะกลับเมื่อไร” 


 


 


“ก่อนวันหมั้นสวีรั่วชี” 


 


 


“ไปด้วยกันไหม” 


 


 


“อืม” 


 


 


เมื่อถึงอเมริกายังเป็นตอนเช้าอยู่ เหยียนเค่อเองก็ไม่รีบ หลับสักงีบที่บ้านของเซ่าหมิงฟ่าน เมื่อตื่นก็เอาเรื่องที่เสิ่นจิ้งเฉินจะแย่งซย่าเสี่ยวมั่วไปจากเขามาบอกเซ่าหมิงฟ่าน 


 


 


“ไม่ใช่ไอ้ฉินซื่อหลานหรอกเหรอเนี่ย” 


 


 


“ฉินซื่อหลานน่ะกลัวตาย เพราะฉะนั้น เสิ่นจิ้งเฉินตายแน่” เหยียนเค่อผูกเนกไทแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านหัวเราะเบาๆ “นายบอกว่านายไม่ชอบเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องไปขวางทางรักของเขาด้วยล่ะ” 


 


 


เหยียนเค่อทำตัวไร้เหตุผล “ถึงไม่ชอบก็มาเป็นน้องสะใภ้ไม่ได้! ฉันไม่เห็นด้วย” 


 


 


“นายก็ใส่ใจดีเนอะ” เขาเหยียดยิ้ม หมุนตัวเข้าไปรินน้ำในห้องรับแขก “รีบทำให้มันจบ ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวฉันช่วยนายเอง” 


 


 


“นายช่วยไม่ได้!” พอองค์เจ้าเหยียนผู้นิสัยเด็กประทับร่าง ฟังอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านที่ทำดีแต่ได้ชั่วมาแทนรู้สึกเหนื่อยใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากให้เขาพักผ่อนสักสองสามวันละก็ ทำไมต้องหาเรื่องให้ตัวเองด้วยนะ 


 


 


การคุยธุรกิจครั้งนี้เป็นการเปิดประชุมปรึกษาหารือ เสียงตอบรับของบริษัทนี้ดีมาก ติดอันดับสูงๆ ของโลก อยากเข้ามาดูแลหนานซานมาโดยตลอด เดิมทีประธานของพวกเขาจะไปประชุมที่เมือง N ด้วยตนเอง แต่เหยียนเค่อไม่อยากอยู่บ้านแล้ว จึงอาศัยโอกาสนี้มาพบเสียเลย 



ตอนที่ 207 โต๊ะประชุม 


 


 


เหยียนเค่อปกติแล้วคุยง่าย แต่เมื่อนั่งโต๊ะประชุมแล้วก็มีเพียงปัญหาที่ว่า เขาอยากหรือไม่อยากเท่านั้น 


 


 


ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสนิทก็ทำให้คนรู้สึกว่าหนุ่มชาวจีนคนนี้ช่างเย็นชาและเฉียบแหลมจนไม่กล้าสบตา 


 


 


เขามีผู้ช่วยผู้จัดการมาด้วยเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ส่วนอีกบริษัทกลับนั่งกันจนเต็มโต๊ะประชุมรูปทรงสี่เหลี่ยม 


 


 


ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามมารยาทสักครู่ก่อนจะเข้าสู่หัวข้อหลัก 


 


 


ในช่วงแรก ด้านโครงการ การโฆษณา รวมไปถึงสถานที่นั้น ความเห็นของทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่ในตอนหลัง การแบ่งกำไรนั้นเห็นข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ภาษาอังกฤษของเหยียนเค่อเป็นสำเนียงบริทิชแบบต้นตำรับ สำเนียงช้าและสง่างาม เสียงเข้มทุ้มต่ำราวกับเชลโล่ “หุ้นของหนานซานจะไม่แบ่งให้บริษัทลงทุนใดๆ ทั้งสิ้นครับ การแบ่งกำไรก็ไม่สมเหตุสมผล แต่ว่ายังเจรจาได้ แต่เรื่องหุ้นส่วนไม่ขอเจรจาครับ” 


 


 


คำพูดของเหยียนเค่อทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ท่ามกลางความเงียบในการขบคิดอย่างลึกซึ้ง 


 


 


ส่วนเขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ 


 


 


ง่วงจะตายอยู่แล้ว คุยกันทีก็สี่ชั่วโมง นั่งจนเขาปวดก้นกบไปหมด ไม่รู้ว่ายายคนไร้จิตสำนึกอย่าง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วทำอะไรอยู่ 


 


 


ตัวเองเหนื่อยแทบตายเพื่อเอาที่ดินของหนานซานมา ไม่รู้ว่ายายคนที่ทำให้เขาได้ไอเดียนี้ในตอนแรกจะไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนกัน 


 


 


ตัวเขาชอบหรือไม่ชอบเธอกันแน่นะ… 


 


 


เขาครุ่นคิดว่าควรจะลองไปทำพวกแบบทดสอบอะไรแบบนี้ดีหรือเปล่า แถมยังดูเหมือนว่าจะมีเรื่องน่าปวดหัวที่ใหญ่กว่า 


 


 


เขาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองกับซย่าเสี่ยวมั่วมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าถ้ายายนั่นรู้ความจริงแล้วจะยกมีดมาฆ่าเขาตายหรือเปล่า 


 


 


ห้องประชุมถูกกดให้อยู่ในความเงียบ เหยียนเค่อยังคิดว่าต่อไปจะเอาใจซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไร ทันใดนั้นผู้รับผิดชอบของอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดและไม่ยอม “เอาล่ะครับ ผมคิดว่าเราถอยให้ได้อีกแค่สามเปอร์เซ็นเท่านั้น นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว และหวังว่าตอนสิ้นปี ทาง YAN จะมอบสวัสดิการให้กับบริษัทของเรานะครับ” 


 


 


เหยียนเค่อออกจากภวังค์ มองคนตรงหน้าของตนปราดหนึ่ง คำพูดที่เดิมทีเตรียมจะพูดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในคอ ก่อนจะพยักหน้า 


 


 


ความจริงผู้ช่วยของเขากำลังรอให้เหยียนเค่อปาเอกสารแล้วเดินออกไปอยู่ แต่ไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะมีพลังมากขนาดนี้ กดคนในห้องประชุมได้หมด 


 


 


ไฟห้องประชุมถูกเปิดขึ้น 


 


 


ผู้รับผิดชอบของฝ่ายนั้นเช็ดเหงื่อเย็นแล้วลุกขึ้นจับมือกับเหยียนเค่อ ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อลงบนเอกสาร สำเร็จวัตถุประสงค์ของการร่วมมือกันครั้งใหม่ 


 


 


ผู้ชายคนนี้แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ไม่มีทางอ่อนข้อให้เลย น่ากลัวจริงๆ 


 


 


เหยียนเค่อไม่รู้ว่าหลังจากตอนอายุยี่สิบที่ตนกลายเป็นตำนานวอลล์สตรีทแล้ว จะได้กลายเป็นคนที่รับมือยากที่สุดในการประชุมของอเมริกาด้วย 


 


 


“เมื่อวานบอสเท่มากเลยครับ จริงๆ!” ผู้ช่วยพิเศษที่ได้มาคุยเรื่องสัญญากับเหยียนเค่อครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก รายงานสถานการณ์ให้ผู้ช่วยหวังฟังก็เอาแต่พูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา 


 


 


ผู้ช่วยหวังรำคาญจึงพูดขัดขึ้นเสียก่อน “ผมเคยเจอหลายครั้งแล้ว ดังนั้นผมนึกภาพออก ผมก็จะประชุมแล้วครับ” 


 


 


เหยียนเค่อมองสายตานับถือของผู้ช่วยพิเศษก็ส่ายหัว ถ้าเมื่อกี้เขาบอกว่าเขาแค่นั่งเหม่อ จะมีคนเชื่อไหมนะ 


 


 


แต่ว่าในห้องประชุมมืดๆ มีเพียงแสงสีขาวจ้าจากโปรเจ็กเตอร์เท่านั้น เขาไม่ง่วงจนหลับไปก็ดีเท่าไรแล้ว 


 


 


สำหรับเซ่าหมิงฟ่าน ผลลัพธ์แบบนี้อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว คนที่คุยธุรกิจกับเหยียนเค่อคงไม่อยากลองมันอีกเป็นครั้งที่สอง 


 


 


ในงานเลี้ยงและสถานบันเทิง เขาเป็นเหยียนเค่อที่เต้นรำเพื่อดึงดูดสายตาของเพศตรงข้าม 


 


 


บนโต๊ะประชุมและในห้องประชุม เขาจะเป็นคนที่แสดงความสามารถออกมาให้เห็น เป็นฐานข้อมูลมีชีวิตที่กัดไม่ปล่อย 


 


 


“คุยกันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลยใช่ไหม” 


 


 


“ก็พอได้” เหยียนเค่อนั่งพิงมุมโซฟาแล้วหาวหวอด “ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกาไม่น่าฟังเลย เหมือนหูฉันจะพังอย่างไรอย่างนั้น” 


 


 


“ฉันว่าสำเนียงบริทิชไม่น่าฟังกว่าอีก เหมือนออกเสียงไม่ชัดอะ” 


 


 


“ดังนั้นภาษาจีนกลางดีสุด” เหยียนเค่อพูดเสียงเบา 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านเขย่าคนแก้วไวน์ ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อ “ถ้ารักประเทศก็กลับไปสิ อยู่อเมริกาจะให้ไปหาคนพูดจีนกลางจากที่ไหน” 


 


 


“ฉันก็พูดกับนายอยู่นี่ไง” เหยียนเค่อตอบเขาอย่างเกียจคร้าน “พรุ่งนี้กับมะรืนน่าจะมีงานเลี้ยง สองวันสุดท้ายไปซื้อของขวัญกลับไปฝากพวกเขาสักหน่อย” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 208 มิตรภาพระหว่างเพื่อน 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านหมดสนุก “ถ้าจะซื้อของก็ไปคนเดียวเถอะ คิดว่านายมาแล้วจะได้ไปเที่ยวด้วยกันสักหน่อย ตอนนี้ตารางดันเต็มหมดแล้วซะงั้น” 


 


 


“งั้นนายช่วยไปงานเลี้ยงให้ฉันไหมล่ะ” เหยียนเค่อหารือกับเขา 


 


 


“ทำไมนายไม่ให้ฉันช่วยซื้อของขวัญให้ล่ะ” 


 


 


“ก็ได้” เหยียนเค่อตอบรับ “เดี๋ยวเอาลิสต์ให้ อันที่ต้องซื้อนายก็ไปซื้อมาให้ฉันที” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านนึกว่าเขาจะเขียนลิสต์มาให้อย่างละเอียด อย่างเช่นว่าซื้ออะไรแบบนี้ สุดท้ายกลับเขียนมาเป็นแถวว่า ‘แม่ พ่อ คู่หมั้น สวีรั่วชี สวีอันหราน ฉินซื่อหลาน พ่อแม่คู่หมั้น…’ 


 


 


“นายนี่แม่ง คู่หมั้นนายเป็นใครฉันยังไม่รู้ นายจะให้ฉันดูหน้าผีแล้วซื้อของให้หรือไง” 


 


 


“มีด้วยเหรอ” เหยียนเค่อถามกลับอย่างจริงจัง 


 


 


“จะไม่มีได้ไง ฉันจะเป็นบ้าแล้วรู้ไหม” 


 


 


“ฉันหมายถึงว่าการดูหน้าผีแล้วซื้อของน่ะ มีด้วยเหรอ” 


 


 


ทำไมความคิดของเซ่าหมิงฟ่านกับเขามันไม่ไปด้วยกันนะ 


 


 


ถึงแม้ว่าเซ่าหมิงฟ่านจะเป็นคุณชายที่รสนิยมแปลกๆ คนหนึ่งก็เถอะ แต่เขากับเหยียนเค่อไม่เหมือนกันเลยสักนิด 


 


 


เขาแตกต่างกับคนอื่นแค่เรื่องกิน แต่เหยียนเค่อแตกต่างกับคนอื่นในทุกๆ ด้าน 


 


 


“ไม่มี!” เขาตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ให้ฉันดูหน้าซย่าเสี่ยวมั่วแล้วซื้อของให้ดีไหม” 


 


 


“นายกล้าเหรอ!” เหยียนเค่อไม่ยอม ทำได้เพียงสั่งไปหนึ่งคำ “นายไปถามสวีอันหรานละกัน หรือไม่ก็สืบหาผู้หญิงที่ชื่อว่าสวีอิ๋งอิ๋ง” 


 


 


เหยียนเค่ออยากจะงีบสักหน่อย ไม่อยากสละเวลานอนอันมีค่าของตัวเองมาตอบคำถามเขาว่า 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเป็นมารปีศาจจากภพภูมิไหนเลยสักนิด 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านได้ยินชื่อสวีอิ๋งอิ๋ง ในใจก็รู้ดี “ฉันเคยเจอเธอ ลูกสาวคนรองของบ้านสามตระกูลสวี จิตใจไม่ใสสะอาดเลย” 


 


 


“เฮ้อ คนที่มาตกหลุมรักคนอย่างฉันมีแต่คนไม่ดี” เหยียนเค่อถอนหายใจ 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านยิ้มบางๆ นี่เขาด่าตัวเองอยู่ใช่ไหม 


 


 


แต่ว่าผู้หญิงชื่อสวีอิ๋งอิ๋งคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีจริงๆ พวกเขาไม่ต้องหาคู่แต่งงานที่สมฐานะแล้ว ผู้หญิงที่เข้ากันได้ดีน่ะเยี่ยมที่สุดแล้ว 


 


 


สถานะของผู้หญิงคนหนึ่งก็แค่ของแถม ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักเท่าไร 


 


 


ถ้าแต่งผู้หญิงอย่างสวีอิ๋งอิ๋งเข้าบ้าน สู้แต่งผู้หญิงที่ฐานะทางบ้านปานกลางแต่จิตใจงดงามดีกว่า 


 


 


กว่าเหยียนเค่อจะตื่นก็ตีสองแล้ว เซ่าหมิงฟ่านยังไม่นอน นั่งกอดโน้ตบุ๊กหาอะไรดู 


 


 


“ทำไม นายก็กลุ้มใจเหรอ” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านไม่ตอบ ถอนหายใจเสียงเศร้า “อันหรานก็มีคู่แล้ว นายเองก็ใกล้แล้ว ฉินซื่อหลานก็ใกล้แล้วเหมือนกัน คิดไปคิดมาก็เหลือแค่ฉัน” 


 


 


“มีเสิ่นจิ้งเฉินอยู่เป็นเพื่อนนายอีกคนไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“นายบอกว่าเสิ่นจิ้งเฉินมีซย่าเสี่ยวมั่วไม่ใช่เหรอ” 


 


 


เหยียนเค่อไม่พอใจ “ฉันใกล้แล้วอะไรล่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง” 


 


 


“ช่างเถอะ ฉันยอมเป็นคู่ชาย-ชายกับเสิ่นจิ้งเฉินดีกว่าอยู่กับนาย” 


 


 


“เวรเอ๊ย” ช่วงนี้มันอะไรกันนักนะ โดนผู้หญิงรังเกียจนี่ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ผู้ชายก็เริ่มจะรังเกียจเขาแล้ว 


 


 


ฟ้ามืดเวลาตีสองทำให้คนอึดอัด แสงดาวส่องประกาย ราวกับเศษเพชรที่ฝังประดับบนผ้าผืนสีดำ ส่องแสงแวววับ 


 


 


วัยรุ่นอายุมากสองคนดื่มเบียร์คลายความกลัดกลุ้มใจ 


 


 


ชีวิตของทุกคนในวัยยี่สิบถึงสามสิบต่างก็เหมือนกับถูกกดปุ่มเร่งเวลา 


 


 


เรียนจบ แต่งงานมีลูก เรื่องใหญ่ในชีวิตทั้งหมดต่างก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านี้ 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านเอ่ยเตือน “ถ้าไม่ไหวให้ฉันกลับไปช่วยไหม” 


 


 


เหยียนเค่อซาบซึ้งกับเพื่อนของตนเป็นอย่างมาก ใครไม่รู้บ้างว่าหมอนี่หนีมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าหลบมารักษาใจ แต่ตอนนี้กลับยอมกลับไปเพราะตน 


 


 


ทั้งคู่กำลังจะนั่งจ้องตากันในความเงียบ แต่จู่ๆ เหยียนเค่อก็หรี่ตาก่อนจะเอ่ย “ถึงฉันจะซึ้ง แต่วันนี้นายบอกว่าฉันไม่ไหวหลายรอบแล้วนะ นายเป็นพวกชายรักชายจริงๆ แล้วปะเนี่ย” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านละสายตาออกอย่างทื่อๆ เสียบรรยากาศหมด รู้สึกสงสารซย่าเสี่ยวมั่วขึ้นมาตะหงิดๆ 


 


 


ถ้ามีแฟนแล้วไม่โดนแฟนโมโหสิแปลก 


ตอนที่ 209 ที่พึ่ง 


 


 


เหยียนเค่อมือหนึ่งจับราวกั้น เงยหน้ากระดกเบียร์ ทุกท่วงท่าอากัปกริยาราวกับพระราชา 


 


 


สองมือของเซ่าหมิงฟ่านไขว้ทับกันบนราวกั้น หันไปมองท่าทางของเขาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอิจฉา “นายชีวิตสบายสุดละ ชาติที่แล้วต้องเป็นฮ่องเต้ที่ทำประโยชน์ไว้มากแน่นอน” 


 


 


เหยียนเค่อวางกระป๋องเบียร์ที่ดื่มหมดแล้วไว้ข้างตัว นั่งพิงราวกั้นแล้วเอ่ยเสียงเศร้า “ไม่ว่าใครก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ฉันยังอิจฉาซย่าเสี่ยวมั่วเลย” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านฟังจบก็หัวเราะเหยียด นั่งตัวตรง “เทียบกันได้ที่ไหน สาวน้อยคนนั้นไม่ได้เรื่องมากเหมือนนายสักหน่อย ถ้านายไปแปลงเพศก็ได้อยู่นะ” 


 


 


“บ้านแกสิ” เหยียนเค่อปรายตามองเขา 


 


 


เขาหวังว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ถ้ามีแฟนหนุ่มก็ขอให้สามารถปกป้องให้เธอไม่มีเรื่องทุกข์ใจไปตลอดชีวิตได้ 


 


 


เฮ้อ รู้สึกว่าเขาจุ้นจ้านมากเกินไปจริงๆ 


 


 


ทั้งคู่นั่งกินลมในยามค่ำคืน หัวใจคิดถึงหญิงสาวที่ไม่ใช่คนของตัวเอง 


 


 


ความกลัดกลุ้มเศร้าหมองอันเงียบสงบหลบซ่อนตัวอยู่ในท้องฟ้ายามพลบคล่ำอันมืดมิด แผ่ซึมไปทั่วบรรยากาศ มีเพียงสายลมที่เงียบสงัดพัดผ่านรอยต่อของเสื้อผ้า พัดพาความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ร่วง 


 


 


…… 


 


 


อาจจะเพราะว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วและเสิ่นจิ้งเฉินเล่นด้วยกันทั้งวันแล้วก็สนิทสนมกันเสียยิ่งกว่าพี่ชายน้องสาวแท้ๆ เสียอีก คุยกันได้ทุกเรื่องเลย 


 


 


“พี่ ยายนี่แหละ มาหาเรื่องฉันอีกแล้ว!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังหาที่พึ่งอยู่ 


 


 


เซียวอู๋อี้เอาตัวเข้าแลก เธอก็จะให้ครอบครัวของเธอช่วยบ้าง ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกผิดต่อการที่เซียวอู๋อี้โยนความผิดให้เธอแย่เลย 


 


 


ก็ฉันมีครอบครัวคอยช่วยนี่ ใครจะทำไม! 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองปราดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก “เขาต้องแพ้แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเขียนแถลงการณ์ให้เธอได้นะ เธออยากได้แบบกลอนคู่หรือว่ากลอนยาวล่ะ” 


 


 


“เอ่อ…แล้วพี่รู้ได้ไงว่าฉันจะชนะ” 


 


 


ถ้าฉันอยากให้เธอแพ้ เหยียนเค่อก็ไม่ยอมหรอก เสิ่นจิ้งเฉินบ่นในใจ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “น้องสาวฉันเป็นคนดี พระเจ้าจึงคุ้มครอง เธอไม่ต้องสนใจหรอก มีคนจัดการให้เธอแล้ว” 


 


 


ทำไมที่พึ่งพิงคนนี้ไม่หนักแน่นแข็งแรงเหมือนพ่อของตนเลยนะ ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ยอม เอาโพสต์ที่ตนลงรูปให้เขาดู 


 


 


“ดูสิ เขาบอกว่าพี่ขี้เหร่อะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองปราดหนึ่ง เซียวอู๋อี้คอมเม้นต์ด้านล่างว่า [เป็นผู้หญิงต้องเคารพและรักในตัวเอง ต้องถนอมตัวเอง หาผู้ชายอายุมากแบบนี้มาเป็นที่พึ่งให้ตัวเองจนน่าเวทนา แฟนคลับอย่าเลียนแบบนะคะ] 


 


 


เขาเลิกคิ้วขึ้น กดติดตามเวยปั๋วของซย่าเสี่ยวมั่ว แล้วโพสต์รูปเซลฟี่อย่างกล้าหาญด้วยชื่อบัญชีที่ได้รับการยืนยันตำแหน่งว่าเป็นนักวิชาการณ์, นักเขียน, หัวหน้าศูนย์วิจัยภาษาจีน 


 


 


ใช่แล้ว โพสต์รูปเซลฟี่…อวดใบหน้าอันหล่อเหลาของตน ก่อนจะ @ ซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


[คุณไม่มีแม้แต่ที่พึ่งอายุมากแล้วยังคิดจะมาเทียบกับมั่วมั่วของเราอีก] เสิ่นจิ้งเฉินร้องเหอะ ก่อนจะจุดไฟให้เธอเพิ่มอีก 


 


 


เห็นโพสต์ที่จริงจังของเสิ่นจิ้งเฉินแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็ตะลึงไป เธอไม่ได้หมายความว่าแบบนี้… 


 


 


แค่จู่ๆ เธอก็มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่าเสิ่นจิ้งเฉินจะทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ 


 


 


แถมบุคลากรของประเทศอย่างเขามาโพสต์รูปเซลฟี่จะส่งผลกระทบไม่ดีหรือเปล่า 


 


 


“พี่รอง พี่ทำแบบนี้ไม่โดนคนว่าเรื่องการประพฤติตัวเหรอ” 


 


 


เสิ่นมั่วหลียกแก้วขึ้นดื่มน้ำ เดินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงซย่าเสี่ยวมั่วก็ไขข้อข้องใจให้ “เสิ่นจิ้งเฉินมีบรรยายเยอะ เป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว ผู้มีอิทธิพลของศูนย์วิจัยน่ะ” 


 


 


“งั้นเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วดวงตาเป็นประกาย “เจ๋งขนาดนั้นเลย?” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินกำลังวุ่นกับการค่อนแคะคนอื่นอยู่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของตนให้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “แน่นอนสิ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะ นึกไปถึงพี่ใหญ่แล้วถามขึ้นอย่างฉงนสงสัย “พี่ใหญ่หล่อกว่านี่นา ทำไมพี่ใหญ่ไม่ใช่ล่ะ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเหลือบตามองเธอปราดหนึ่ง ยายนี่ไม่รู้จักพูดจาดีๆ เอาซะเลย 


 


 


เสิ่นมั่วหลีโดนเธอชมเข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ลูบคางตัวเองขบคิดก่อนจะเอ่ย “ฉันน่าจะเป็นพวกผู้มีอิทธิพลในด้านวัตถุโบราณมั้ง” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินหัวเราะแล้วอธิบาย “พี่ใหญ่ไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น ไม่มีใครอยากทำให้พี่ใหญ่เราไม่พอใจหรอก ดังนั้นก็เลยเป็นฉันยังไงล่ะ” 


 


 


“อ้อ” พูดไปพูดมา ยังไงซะพี่ใหญ่ก็เจ๋งกว่า เสียดายที่ที่พึ่งคนนี้แตะต้องไม่ได้ และก็ไม่กล้าแตะต้องเสียด้วย 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 210 งานเลี้ยง 


 


 


ในงานเลี้ยงหลังจากเซ็นสัญญาของบริษัทนั้น 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านที่ตอนแรกไม่อยากมา ในตอนนี้ก็มาร่วมงานด้วย เป็นผู้ช่วยพิเศษให้เหยียนเค่ออย่างเต็มตัว 


 


 


ส่วนผู้ช่วยพิเศษของเหยียนเค่อโดนเขาใช้ให้ไปซื้อของขวัญแล้ว เรื่องเล็กๆ พวกนั้นไม่ต้องถึงมือเขาหรอก 


 


 


“ฉันไม่สนใจผู้หญิงต่างชาติเลยสักนิด” เซ่าหมิงฟ่านถอนหายใจ มองดูสาวๆ อวบอึ๋มที่อยู่เต็มงาน “คิดถึงสาวใต้บ้านเราจังเลย” 


 


 


“เดี๋ยวก็มา” 


 


 


เหยียนเค่อเล่นงานคนตาไม่กะพริบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เซ่าหมิงฟ่านตามมาเอง อันนี้จะโทษเขาไม่ได้ 


 


 


“ประธานเหยียน รอคอยการทำงานร่วมกันครั้งหน้านะครับ” 


 


 


“แน่นอนครับ บริษัทของคุณดูดีมากเลย ถ้าได้ร่วมงานกันก็เป็นเกียรติของผมอย่างยิ่งเลยครับ”  


 


 


เหยียนเค่อพูดคุยกับเขาด้วยรอยยิ้มจอมปลอม 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านรู้จักคนในวงการนี้เยอะกว่า ยังไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยพิเศษเลยก็โดนแย่งตัวไประหว่างทางเสียก่อน 


 


 


ต่อให้ไม่มีเขา เหยียนเค่อก็ต้องมางานคนเดียวอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว 


 


 


แสงแดดส่องกระทบปลายผมเป็นสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างของชายชาวเอเชียนั้นอ่อนโยนแต่ก็โดดเด่น ดูมีมารยาทและเปี่ยมไปด้วยความสามารถ ไม่แพ้ชายหนุ่มมากฝีมือรูปร่างกำยำท่าทางเย็นชาเหล่านั้นเลย 


 


 


ไม่นานนักรอบตัวก็มีหญิงสาวสี่ห้าคนเข้ามารุมล้อม 


 


 


เหยียนเค่อเขย่าคนแชมเปญในแก้วอย่างนึกรำคาญ มือหนึ่งล้วงกระเป๋า สีหน้าเย็นชา 


 


 


แต่ผู้หญิงกลุ่มนั้นกลับไม่รู้สึกตัวสักนิด ยังคงยืนถามเหยียนเค่อนู่นนี่นั่นอยู่ข้างๆ 


 


 


“เหมือนว่าบริษัทของคุณจะขาดแคลนผู้ชายนะครับ” น้ำเสียงของเหยียนเค่อยังดีอยู่ แต่ใช้คำได้เถรตรงเกิน 


 


 


ผู้หญิงที่ตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างสูงคนนั้นถือแก้วแล้วหันหลังเดินจากไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือสองสามคนก็ไม่แสร้งทำเป็นฟังไม่ออก ทำได้เพียงแยกย้ายกันไป 


 


 


ผู้หญิงต่างชาติถึงจะรับมือยากและกระตือรือร้นกว่าสาวบ้านเรา แต่ผู้หญิงบ้านเรามักจะฟังภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง สาวต่างชาติได้ยินคำพูดปฏิเสธที่ตรงไปตรงมาแล้วก็จะไม่มาตอแยคุณอีก 


 


 


แบบนี้ก็ดี ทำให้เหยียนเค่อดูเหมือนคนที่เข้าถึงยาก ดูดุดันจนทำให้คนไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย 


 


 


ส่วนเซ่าหมิงฟ่านก็เนื้อหอมไม่ใช่น้อย เหยียนเค่อไล่ออกไปได้เท่าไร เขาก็เรียกเข้ามาได้เท่านั้น 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านมีจิตใจที่สงบนิ่งบริสุทธิ์ และมีความเศร้าที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ชัดเจนนัก ทำให้คนเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว 


 


 


เหยียนเค่อเหลือบมองไปทางเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะมีบริกรมาพาเข้าไปห้องด้านในเพื่อพบปะกับท่านประธานของบริษัทนี้ 


 


 


“เป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับ YAN และหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ร่วมงานกันอย่างมีความสุขนะครับ” 


 


 


“ครับ” เหยียนเค่อยิ้มแล้วชนแก้วกับอีกฝ่าย 


 


 


ปกติแล้วก็ต้องมีการถ่ายภาพร่วมกัน มีงานแถลงข่าว แต่เหยียนเค่อไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงต้องพับเก็บไป 


 


 


ในฐานะที่เป็นเจ้าของสัญญา ก็ควรจะเป็นเหยียนเค่อที่ต้องขึ้นพูดปราศรัย แต่อยู่ในถิ่นของคนอื่นแล้วให้เขาขึ้นไปพูดอีกก็รู้สึกแปลกๆ ดังนั้นจึงถูกเขาปฏิเสธไปอีก 


 


 


การที่เหยียนเค่อมาด้วยตัวเอง ทำให้บริษัทนี้ประหยัดแรงไปเยอะ 


 


 


ซูอี้พาฉินจานเข้ามาก่อนที่งานจะเริ่ม 


 


 


เหยียนเค่อที่ยืนอยู่ด้านข้างของเวทีเห็นสองสามีภรรยาก่อน แน่นอนว่าซูอี้ก็เห็นเหยียนเค่อที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด ทั้งคู่จึงยกแก้วขึ้นทักทายกัน 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านยืนอยู่ด้านล่างไม่รู้ว่าเหยียนเค่อเจอใครเข้า แต่ก็ทำให้รอยยิ้มสดใสเหือดหายไป ตอนนี้แทนที่ด้วยสีหน้าที่ดูใจดี แต่จิตใจมีความคิดชั่วร้ายอยู่ 


 


 


ตลอดการพูดปราศรัยอันยืดยาวนั้น เหยียนเค่อเอาแต่ยืนเป็นผ้าม่านอยู่ข้างๆ เมื่อพูดถึง YAN ก็ยิ้มเล็กน้อย กว่าขั้นตอนเหล่านี้จะสิ้นสุด เขาก็ยืนจนเมื่อยขาไปหมด 


 


 


สุดท้ายก็จบลงเสียที หัวหน้าสูงสุดของทั้งสองฝ่ายจับมือกัน งานจึงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ 


 


 


ซูอี้เดินไปต้อนรับเหยียนเค่อทันทีที่ลงจากเวที แล้วยื่นกำปั้นไปทักทายเขาก่อนจะพูดเชิงหยอกล้อ “นายนี่ก็ประหยัดเงินดีนะ ถ้าอยู่ที่ถิ่นเราคงเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่” 


 


 


“ฉันชอบแบบนี้” เหยียนเค่อพิงโต๊ะ ยืนจนเมื่อยขาแต่ไม่มีที่ให้นั่ง 



ตอนที่ 211 ศัตรูหัวใจ 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นซูอี้และฉินจาน ความรู้สึกแปลกๆ ในแววตาก็แวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว จึงเอ่ยทักทายซูอี้และเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลังของเหยียนเค่อ “เขามาทีเดียวแต่จ่ายเงินซื้อของเยอะกว่าเงินจัดงานเลี้ยงเสียอีก ประหยัดเงินจริงจริ๊ง” 


 


 


“ไสหัวไป” เหยียนเค่อตอบอย่างหงุดหงิด ยกแก้วขึ้นชนกับซูอี้ด้วยท่าทางจริงจัง “ขอบคุณนะฉินจาน” 


 


 


ฉินจานที่ยืนอยู่ด้านหลังซูอี้ชะโงกหัวออกมา “นายจะขอบคุณฉันแล้วไปบอกเขาทำไม” 


 


 


“ถ้าเขาไม่แต่งงานกับเธอแล้วฉันจะรู้จักเธอได้ยังไงล่ะ” 


 


 


“ตลกแล้ว ถ้าฉันไม่แต่งงานกับเขาแล้วนายจะรู้จักเขาได้ยังไงล่ะ!” ฉินจานถลึงตาใส่เขา เลวจริงๆ 


 


 


ฉินจานและเหยียนเค่อรู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านก็เป็นไปได้สวย ต่อมาฉินจานแต่งเข้าบ้านซูอี้ เหยียนเค่อกับซูอี้จึงเปลี่ยนจากคู่ค้าทางธุรกิจ กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน 


 


 


“คร้าบๆๆ ขอบคุณนะเธอ” เหยียนเค่อไม่กล้าทำให้เธอโมโห 


 


 


“ขอบคุณฉันเรื่องอะไร” ฉินจานก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเขาจะขอบคุณเธอทำไม เอาแต่ยืนอยู่ด้านหลังซูอี้ 


 


 


เหยียนเค่อไม่พูดอะไรมาก เพียงเอ่ยว่า “ซย่าเสี่ยวมั่ว” 


 


 


“อ๋อ!” ฉินจานร้องตอบเสียงดัง เอ่ยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “มั่วมั่วเป็นคนรู้จักของพวกนายเหรอเนี่ย ฉันนี่มีวาสนากับนายจริงๆ” 


 


 


ยังไม่ทันคุยเสร็จก็ถูกซูอี้ดึงกลับมายืนอยู่ด้านหลังเสียก่อน 


 


 


ฉินจานที่ถูกยืนบังหยิกหลังมือของซูอี้ระบายอารมณ์ 


 


 


ผู้ชายคนนี้เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ 


 


 


ฉินจานเคยหลงใหลได้ปลื้มกับความหล่อเหลาของเหยียนเค่อจนสารภาพรักกับเขา แน่นอนว่า 


 


 


เหยียนเค่อไม่ได้ตอบตกลง ฉินจานจำได้ตราบจนทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เจอกันก็ยังรู้สึกเสียดาย ทำเอาซะซูอี้กลัวว่าภรรยาตัวเองจะหนีตามเหยียนเค่อไปเสียแล้ว 


 


 


และผู้หญิงที่เซ่าหมิงฟ่านรักและจดจำมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือฉินจาน จนถึงตอนนี้ก็ยังลืมไม่ลง 


 


 


ที่ซูอี้มาที่นี่ก็รู้สึกกดดันในใจอยู่ไม่น้อย 


 


 


ส่วนฉินจานไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของสามีตนแม้แต่นิด ถึงเธอจะเห็นว่าเซ่าหมิงฟ่านดู 


 


 


กระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ได้เห็นเหยียนเค่อก็ดีใจจนไม่สนใจอะไรแล้ว แถมยังคิดว่าเมื่อไรจะได้เม้าท์กับเหยียนเค่อแบบตัวต่อตัวสักที 


 


 


ซูอี้มองความคิดพิเรนทร์ของเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้ตลอดการพูดคุยเขาไม่ปล่อยเธอไปเลยสักนิด 


 


 


“เหยียนเค่อคือคนที่ส่องแสงท่ามกลางผู้คนในตำนาน ไม่มีอะไรมาบดบังแสงได้” ฉินจานมอง 


 


 


เหยียนเค่อที่ดูเฉลียวฉลาด มากประสบการณ์ท่ามกลางผู้คนมากมายแล้วก็น้ำลายไหล 


 


 


ซูอี้ยื่นนิ้วไปจิ้มกะโหลกเธออย่าหงุดหงิด “เธอคิดว่าเขาเป็นพระยูไลหรือไง แถมยังส่องแสงได้อีก…” 


 


 


“…” ฉินจานตะลึงงันไปกับมุกของสามีตนครู่หนึ่ง พลันเงียบปากแล้วยืนมองอย่างคลั่งไคล้ต่อไป 


 


 


หลังจากเรื่องราวทุกอย่างสิ้นสุดและลงตัวแล้ว ความสัมพันธ์ของเซ่าหมิงฟ่านและซูอี้ก็เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แถมตอนนั้นฉินจานยังเป็นคนตัดสินใจเองด้วย ซูอี้และเซ่าหมิงฟ่านเองก็ไม่ได้มาแข่งขันประชันกันแต่อย่างใด ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ชาย ระหว่างกันไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน คุยกันได้อย่างสนุกสนาน 


 


 


เหยียนเค่อที่เสร็จจากงานเลี้ยงเดินกลับมาเห็นว่าผู้ชายสองคนมีเรื่องคุยกันมากมายก็อดแปลกใจไม่ได้ จึงเดินเข้าไปหา 


 


 


“ไง ศัตรูหัวใจมาเจอกัน คงไม่ได้เคียดแค้นกันกว่าเดิมหรอกใช่ไหม” 


 


 


ฉินจานหันไปมองเขา สายตาจับจ้องมองมาไม่ขาดตอนไปแม้แต่ช่วงเดียว 


 


 


ซูอี้ส่งสายตาปรามภรรยาของตน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหมดปัญญา “นายต่างหากที่เป็นศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งน่ะ” 


 


 


“เพ้อเจ้อ!” ฉินจานคิดว่ายังก่อเรื่องไว้ไม่มากพอ จึงเถียงกลับ “เหยียนเค่อคือเทพบุตรของฉัน” 


 


 


เหยียนเค่อยุยงใส่ไฟอย่างนึกสนุก “นายสู้ฉันไม่ได้หรอก” 


 


 


ซูอี้โดนภรรยาตัวเองเล่นงานจนโมโหไม่ออกแล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้าพาฉินจานไปบริษัทเลย เพราะเธอเห็นพวกเด็กหนุ่มวัยขบเผาะแล้วชอบก้าวขาไม่ออก 


 


 


เหยียนเค่อก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ตบบ่าเขาเป็นการปลอบโยน “ไม่เป็นไรน่า เทพบุตรมีเยอะ แต่สามีมีคนเดียวนะ” 


 


 


ซูอี้กลอกตามองบน อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนระดับเทพเหมือนกันนี่นา ที่ได้ฉินจานมาแล้วก็ไม่ยอมรักษาไว้ให้ดี 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 212 หาคนปลอบใจ 


 


 


“นายรีบเล่าเรื่องซย่าเสี่ยวมั่วสิ” ฉินจานมองเหยียนเค่ออย่างเร่งเร้า “พวกนายสองคนรู้จักแล้วไปสปาร์คกันได้ไง” 


 


 


เหยียนเค่อมองเธออย่างงุนงง ซูอี้จึงอธิบาย “เขียนนิยายต่อไม่ได้น่ะ” 


 


 


“เอ่อ…” เหยียนเค่อพูดสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยเตือน “มั่วมั่วกำลังวาดการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นเธออย่าเข้าไปยุ่ง” 


 


 


ฉินจานพยักหน้า “ฉันรู้ นายยังเล่าไม่ละเอียดเท่าการ์ตูนเลย” 


 


 


พ่อพระเอกที่ถูกรังเกียจกุมหัวใจแล้วส่ายหัว “เธอนี่นะ ถ้าเธอรู้ดีขนาดนั้นแล้วจะถามฉันทำบ้าอะไร” 


 


 


หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เหยียนเค่อได้รับอะไรมากมาย แถมยังได้ผูกมิตรกับบริษัทที่อยากจะทำงานร่วมกันอีกหลายบริษัท บริษัท YAN มีสาขาอยู่ที่อเมริกา เหยียนเค่อจึงไปดูงานที่นั่นต่อ เมื่อนัดทานข้าวมื้อเย็นกับพวกเขาเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวไปก่อน 


 


 


…… 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเล่นอยู่ที่บ้านคุณตา สนุกจนแทบบ้า ตอนกลางคืนพาเสิ่นจิ้งเฉินออกไปหาหิ่งห้อย หลอกเสิ่นจิ้งเฉินจนเขาอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก 


 


 


“น้องเล็ก ยุงกัดพี่จะตายอยู่แล้วนะ ไหนล่ะหิ่งห้อย” 


 


 


“เอ่อ…” ช่วงเดือนนี้ไม่มีหิ่งห้อยแล้ว แต่เธอก็หลอกเขาออกมาได้แล้ว จะล้มเลิกก็ไม่ได้ ซย่าเสี่ยวมั่วพูดตะกุกตะกัก “มัน…น่าจะจงใจไม่ออกมามั้ง” 


 


 


ลางสังหรณ์บอกเสิ่นจิ้งเฉินว่า ยายคนหลอกลวงนี่กำลังโกหกกัน 


 


 


“เรากลับกันเถอะ พี่เหนื่อยแล้ว” 


 


 


“ก็ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่แกล้งเขาอีก ทำได้เพียงเดินตามเสิ่นจิ้งเฉินกลับบ้าน 


 


 


เพียงไม่กี่วัน ธาตุแท้ของเสิ่นจิ้งเฉินที่เป็นทาสน้องสาวก็เผยออกมาแล้ว ตอบรับทุกคำขอของ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่ว ทำลายทุกอุปสรรคขวางกั้น 


 


 


คุณแม่ซย่ารู้สึกว่าครั้งนี้ไม่ควรกลับมาเลย 


 


 


หลานชายคนโตสร้างเรื่องแฟนสาวที่เป็น ‘พืช’ หลานคนรองก็พูดเก่ง ถามอะไรก็ตอบหมด ไม่หงุดหงิดเลยสักนิด 


 


 


ส่วนลูกสาวตนถูกลากออกไปเล่นโดยพี่ชายคนรองที่ในสายตามีเพียงแต่เธอเท่านั้น 


 


 


“วันมะรืนฉันก็จะกลับแล้ว” เสิ่นจิ้งเฉินไม่รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วรู้เรื่องที่สวีรั่วชีจะหมั้นหรือเปล่าจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่รายงานการเดินทางของตัวเองให้ฟังเท่านั้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ถ้าพี่กลับฉันก็จะกลับด้วย อยู่บ้านก็โดนพี่ใหญ่แกล้ง” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่เทพเจ้าของประชาชนอย่างเสิ่นมั่วหลีโดนคนกล่าวหาว่ารังแกคนอื่น ไม่มีใครเชื่อหรอก 


 


 


ความทุกข์ที่กลายเป็นขยะไร้ประโยชน์ในชั่วพริบตาของซย่าเสี่ยวมั่ว คนอื่นไม่เข้าใจหรอก 


 


 


ทุกคนจำงานหมั้นตอนต้นเดือนตุลาคมได้ แต่เจ้าของงานกำลังถูกสวีอันหรานเรียกตัวกลับโดยด่วน 


 


 


“เธอจะหมั้นอยู่แล้วนะ ทำไมยังไม่กลับมาอีก” 


 


 


“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวกลับตอนเช้ามืดวันนั้น” สวีรั่วชีเป็นไข้นิดหน่อย รู้สึกเวียนหัว เมื่อพูดจบจึงวางสายทันที สวีอันหรานโทรไปอีกรอบก็ไม่มีคนรับ โมโหจนเขาแทบจะคลั่งอยู่แล้ว 


 


 


ตกกลางคืน กลุ่มเพื่อนสนิทก็ใช้สายโทรศัพท์ภายในวิดีโอคอลกัน นอกจากเสิ่นจิ้งเฉินแล้ว ทุกคนก็มีสีหน้าไม่ดีนัก 


 


 


เหยียนเค่อหาวหวอด เอ่ยอย่างรำคาญ “วันนี้คุยเรื่องทำสัญญาทั้งวัน พวกนายมีอะไรก็รีบพูดมา” 


 


 


สวีอันหรานส่งไฟล์พิธีในงานหมั้นโดยละเอียดของสวีรั่วชีให้ดูฉบับหนึ่ง ให้เพื่อนๆ ช่วยดูสักหน่อย ก่อนจะนั่งนิ่งเงียบด้วยสีหน้าดุดันน่ากลัว 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนเขาหลายคนถึงดูไม่ค่อยปกติ จึงส่งรูปภาพให้พวกเขาดูอยู่หลายรูป แต่ละรูปหลายแบบคละกันไป  


 


 


“นายหยุดพักผ่อนนานเกินไปหรือเปล่า” เหยียนเค่อมองดูคนสองคนที่นั่งโอบกันบนหน้าจอ ก็เอ่ยถามอย่างน่าสะพรึงกลัว 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินใส่ไฟเพิ่มอย่างไม่กลัวตาย “ถ้าเสร็จงานสวีรั่วชีแล้ว ฉันก็น่าจะพามั่วมั่วไปเที่ยว” 


 


 


เซ่าหมิงฟ่านมองเขาปราดหนึ่ง ถ้าไม่กลัวตายก็เอาเลย 


 


 


เหยียนเค่อไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายนิสัยเด็กคนนี้ จึงหันไปคุยกับสวีอันหราน “ถ้าเสร็จเรื่องน้องสาวนายแล้วก็ช่วยมาจัดการเรื่องลูกพี่ลูกน้องนายด้วย” 


 


 


สวีอันหรานพยักหน้า จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย “นายปัญหาเยอะสุดแล้ว” 


 


 


ส่วนคนอื่นที่ต่างก็มีเรื่องกลุ้มใจ เมื่อได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที 


 


 


เมื่อปรียบเทียบกันแล้วก็รู้ว่าเรื่องของตัวเองช่างเล็กน้อยเหลือเกิน 


 


 


เหยียนเค่อหน้านิ่ง ที่แท้เขามาเพื่อปลอบใจไอ้พวกนี้เหรอเนี่ย 



ตอนที่ 213 เตรียมตัว 


 


 


หลังจากที่เสิ่นจิ้งเฉินกลับไปก่อนแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่บ้านคุณตาอีกหนึ่งวันแล้วก็กลับเช่นกัน 


 


 


ตอนเหยียนเค่อไปมีคนไปด้วยเพียงคนเดียว แต่ตอนกลับมาจำนวนคนเพิ่มเป็นกลุ่มใหญ่ 


 


 


ฉินจานกับสวีรั่วชีแค่รู้จักกันธรรมดาเท่านั้น สาวสวยสองคนอยู่ด้วยกันแต่ให้ความรู้สึกไม่เข้ากันแปลกๆ ที่เธอมาครั้งนี้ เหตุผลหนึ่งก็คือทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก อีกเหตุผลหนึ่งก็คือให้เกียรติสวีอันหรานและเหยียนเค่อ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินกลับมาเร็ว เขากับฉินซื่อหลานจึงอยู่ช่วยงานสวีอันหรานอยู่สองสามวัน 


 


 


ห้องโถงพิธีเป็นแบบปิด ต่อให้เป็นตอนกลางวัน แต่แสงไฟภายในงานกลับมืดสลัว ใช้จัดพิธีเปิด พิธีปิดและกิจกรรมต่างๆ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองดูรายการกิจกรรมสุดท้ายแล้วก็รู้สึกไม่เข้าใจ “นี่มัน…ทำไมถึงมีซย่าเสี่ยวมั่วล่ะ” 


 


 


“ซย่าเสี่ยวมั่วต้องมาอยู่แล้วสิ” ฉินซื่อหลานไม่รู้ว่าเขาจะถามทำไม 


 


 


“แต่ซย่าเสี่ยวมั่วไม่เหมือนคนที่รู้เรื่องนี้เลยนะ” วันทั้งวันเหมือนคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น แต่ทั้งสองคนสนิทกันขนาดนั้น เธอก็น่าจะต้องร้อนใจกว่าน่ะสิถึงจะถูก 


 


 


สวีอันหรานเดินมาคลี่คลายข้อสงสัย “เสี่ยวชีบอกว่าเธอส่งการ์ดเชิญเอง ไม่ได้ให้ที่บ้านส่งไป” 


 


 


“อ๋อ” เสิ่นจิ้งเฉินก็ยังไม่ยอมอยู่ดี “งั้นกิจกรรมสุดท้ายอันนี้เปลี่ยนเป็นฉันแล้วกัน” 


 


 


“นายอยากโดนสับหรือไง” ฉินซื่อหลานมองเขาตาขวาง “นี่มันกำหนดไว้เรียบร้อยนานแล้ว ถ้านายกล้าเปลี่ยนก็เตรียมตัวตายได้เลย” 


 


 


“…วุ่นวายจริงๆ” เสิ่นจิ้งเฉินพึมพำ ครุ่นคิดว่าเมื่อไรจะได้แนะนำซย่าเสี่ยวมั่วให้พวกเขารู้จัก สีหน้าของพวกเขาจะต้องตลกมากแน่ๆ 


 


 


พวกเหยียนเค่อมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพียงแต่เดินเล่นอยู่ในนั้น ก่อนจะหันไปสนใจความกดดันในใจของสวีอันหราน ทั้งกลุ่มสมน้ำหน้าเขาแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน 


 


 


เมื่อถึงบ้าน เหยียนเค่อยังไม่ทันขึ้นบ้านไปเปลี่ยนชุดก็โดนแม่เรียกไว้เสียก่อน 


 


 


“มีอะไรครับ” เหยียนเค่อนั่งลงข้างๆ กันอย่างอารมณ์ดี 


 


 


“พรุ่งนี้ลูกไปงานกับหนูอิ๋งอิ๋งนะ” ตอนนี้คุณแม่เหยียนมองเขาอย่างหงุดหงิดกลุ้มใจ 


 


 


เหยียนเค่อฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว แต่พอแม่มาบอกเขาแบบนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน 


 


 


“ผมรู้แล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรผมขึ้นห้องก่อนนะ” 


 


 


“แม่ไม่สนว่าลูกจะไม่พอใจอะไร แต่ลูกต้องอดทน ลูกต้องแต่งงานกับสวีอิ๋งอิ๋ง” คุณแม่เหยียนพูดกับแผ่นหลังเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว 


 


 


“ไม่ว่าผมจะยอมหรือเปล่าก็ตาม…ทำไมแม่ไม่ลองถามฝ่ายหญิงดูล่ะครับว่ายอมหรือเปล่า” เหยียนเค่อพูดทิ้งทายประโยคหนึ่งแล้วขึ้นห้องไป อารมณ์จากที่ดีๆ อยู่ก็ถูกบีบให้แหลกสลาย 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋ง ฉันจะรอดูว่าเธอจะมาไม้ไหนอีก เหยียนเค่อร้องเหอะอย่างเหยียดหยาม 


 


 


ผู้หญิงโง่เง่าพรรค์นี้จะมาเป็นภรรยาของเขาได้ยังไง 


 


 


สองสามวันมานี้ที่เหยียนเค่อไม่อยู่ ความสัมพันธ์ของสวีอิ๋งอิ๋งและเหยียนเฟิงก็ใกล้ชิดมากขึ้นไม่น้อย 


 


 


“เหยียนเฟิง พี่ดีกว่าเหยียนเค่อเยอะเลย” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งนั่งบนโซฟา จ้องคนที่กำลังทำงานอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ 


 


 


ดวงตาของเหยียนเฟิงฉายแววเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยยิ้มๆ “เหยียนเค่อโดนชมมาตั้งแต่เด็กจนโต เก่งกว่าฉันมาตลอด” 


 


 


“ไม่หรอกค่ะ เหยียนเค่อดูเหมือนพวกลูกคนรวยที่ไม่ทำงานทำการ พี่ดีกว่าอีก” 


 


 


ตาของสวีอิ๋งอิ๋งน่าจะมีปัญหาจริงๆ 


 


 


เหยียนเฟิงยังคงยิ้มต่อไป ถึงแม้ว่าข้อมูลในรายงานจะทำให้สมองของเขาแทบระเบิดก็ตาม แต่เขาก็ยังชวนสวีอิ๋งอิ๋งคุยเล่นต่อ “สองสามวันมานี้ลำบากอิ๋งอิ๋งแย่เลย ที่ต้องมาที่นี่” 


 


 


“ไม่หรอกค่ะ ลำบากที่ไหนกัน” สวีอิ๋งอิ๋งหน้าแดง ในใจรู้สึกถึงความหวานปานน้ำผึ้ง 


 


 


“เธอกับเหยียนเค่อเป็นคู่หมั้นกัน มาหาฉันทั้งวันแบบนี้ คนจะมองไม่ดีเอาได้นะ” 


 


 


ถึงแม้ว่าเหยียนเฟิงจะอยากหลอกใช้เธอ แต่ถึงโดยส่วนตัวแล้วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอกกลับกลายเป็นอีกเรื่อง 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งหน้าซีด โอดครวญเสียงเบา “ฉันไม่อยากแต่งงานกับเหยียนเค่อ” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 214 สมคบคิด 


 


 


เหยียนเฟิงนึกไม่ถึงว่าเธอจะตกหลุมพรางของตนรวดเร็วขนาดนี้ จึงเดินเข้าไปกระซิบถามเสียงเบา  “งั้นอิ๋งอิ๋งอยากแต่งงานกับฉันเหรอ” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งมองผู้ชายร่างใหญ่ตรงหน้าของเธออย่างตกตะลึง ใบหน้าเห่อร้อน หลบสายตาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉัน…” 


 


 


“ฉันล้อเล่นน่า” เหยียนเฟิงหัวเราะเสียงดัง แล้วจับติ่งหูของเธอเล่น “อิ๋งอิ๋งเขินแล้วน่ารักจังเลยนะ” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งในใจก็แอบผิดหวัง แต่ก็โดนการกระทำอันใกล้ชิดนั้นเล่นงานจนหัวใจวุ่นวาย 


 


 


“เฮ้อ เหยียนเค่อเอาแต่คิดจะแย่งเหยียนกรุ๊ปไปจากฉัน เดิมทีเขาก็มีหุ้นด้วยส่วนหนึ่ง แต่เขาจะเอาในส่วนของฉันด้วย ฉันไม่รู้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับน้องชายคนนี้ดี” เหยียนเฟิงบีบนวดหัวคิ้ว แสร้งทำเป็นหมดปัญญา 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งได้ยินแบบนี้ก็สงสารเหยียนเฟิง จึงปลอบใจเขา “เขาสู้พี่ไม่ได้หรอก” 


 


 


“ผู้หญิงดีๆ อย่างเธอต้องไปแต่งงานกับเขานี่มันช่าง…” เหยียนเฟิงลูบผมเธอ แล้วเอ่ยอย่างเสียดาย 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งมีสีหน้ากลัดกลุ้ม จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นได้ ดวงตาเป็นประกาย “ถ้าสมมติว่า…เหยียนเค่อไม่ได้ข่มขู่พี่ แล้วพี่จะอยากแต่งงานกับฉันไหม” 


 


 


“ผู้หญิงดีๆ อย่างเธอ ฉันจะยอมปล่อยไปให้คนอื่นได้อย่างไรล่ะ” เหยียนเฟิงจ้องมองเธออย่างตั้งอกตั้งใจ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งลูบใบหน้าของตัวเองแล้วเอ่ยรับประกัน “ฉันจะช่วยพี่เอง ในเมื่อเหยียนเค่อเล่นตุกติกก่อน พี่ก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับเขา” 


 


 


ในใจของเธอมีแผนการที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว แผนการที่ทำให้เหยียนเค่อขัดขวางเส้นทางของเหยียนเฟิงไม่ได้อีก 


 


 


เหยียนเฟิงมองดูผู้หญิงที่กลับไปอย่างเบิกบานใจ ความรู้สึกบางอย่างฉายผ่านในดวงตา ผู้หญิงคนนี้โง่จริงๆ 


 


 


เมื่อเหยียนเค่อมาถึงบริษัทในตอนบ่ายก็เห็นสวีอิ๋งอิ๋งนั่งอยู่ในห้องรับรองด้วยท่าทางยโสโอหัง 


 


 


“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงของเหยียนเค่อไม่ปิดบังความไม่ชอบใจของตนเลยสักนิด 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งลดนิตยสารในมือลงแล้วมองเขาปราดหนึ่ง “คุณน้าบอกว่าให้นายพาฉันไปเลือกชุดราตรีกับทำผม” 


 


 


เหยียนเค่อแสยะยิ้ม ลูกคุณหนูจริงๆ เริ่มมาสั่งให้เขาทำนู่นทำนี่แล้ว 


 


 


จึงหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วโยนบัตรให้หนึ่งใบ “เธอไปเองแล้วกัน ฉันไม่ว่าง” 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งไม่รับ เธอไม่อยากให้เหยียนเค่อไปกับเธอสักนิด แต่ถ้าเหยียนเค่อโดนเธอตามรังควานจนไม่มีเวลาว่าง เหยียนเฟิงก็จะได้จัดการเขาได้อย่างเต็มที่ 


 


 


เหยียนเค่อมองเธอหนึ่งที แล้วเก็บบัตรบนโต๊ะกลับคืนมา เสียเงินให้ผู้หญิงคนนี้ซื้อของแล้วรู้สึกเหมือนโดนขูดเลือดขูดเนื้อ 


 


 


เหยียนเค่อเดินตามสวีอิ๋งอิ๋งช็อปปิ้งไปทั่วทั้งย่านการค้าและศูนย์ห้างสรรพสินค้า 


 


 


แฟนเก่าเขาทุกคนไม่เคยมีใครกล้าตื๊อให้มาช็อปปิ้งด้วยกันเลยสักคน ส่วนซย่าเสี่ยวมั่วนั้นสู้พวกผู้ชายยังไม่ได้เลย ไม่ชอบเดินซื้อของสักนิด นี่ถือเป็นประสบการณ์การเดินช็อปปิ้งอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตของเขา 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวรัดรูปสีแดงสด ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากระจกอย่างพึงพอใจ 


 


 


พนักงานแนะนำสินค้านึกว่าทั้งคู่เป็นคู่รักกัน จึงพูดกับเหยียนเค่ออย่างกระตือรือร้น “แฟนคุณใส่ชุดนี้แล้วดูดีมากเลยนะคะ รูปร่างส่วนโค้งส่วนเว้าสวยมากเลยค่ะ” 


 


 


เหยียนเค่อร้องเหอะแล้วค่อนแคะอย่างไม่ไว้หน้า “ตัวหงิกตัวงอน่ะเหรอ” แถมยังบอกว่าส่วนโค้งส่วนเว้าอีก โค้งเว้ากับผีน่ะสิ 


 


 


พนักงานขายยังไม่รู้ตัว ชะงักไปนิดหนึ่งเกือบจะหัวเราะก๊ากออกมา คุณผู้ชายคนนี้พูดจาตรงไปตรงมาชะมัด 


 


 


“ไม่สวยเหรอ” สวีอิ๋งอิ๋งจงใจเดินไปเดินมาตรงหน้าของเหยียนเค่ออยู่หลายรอบ และส่งยิ้มให้เขาอย่างที่ตนคิดว่ามีเสน่ห์สุดๆ 


 


 


เหยียนเค่อแอบค่อนแคะในใจ ถ้าเธอเอวบางเหมือนซย่าเสี่ยวมั่วแล้วมาโชว์ฉันจะไม่ว่าเลย แต่หุ่นทรงแอปเปิ้ลอย่างนี้ยังมีหน้ามาโชว์อะไรอีก 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเห็นว่าเขาเบือนหน้าหนีก็นึกว่าเขาเขิน เบะปากแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินไปถอดเปลี่ยนชุดนี้ออก แล้วพูดกับเหยียนเค่อ “พรุ่งนี้ฉันจะใส่ชุดนี้ไป” 


 


 


เหยียนเค่อไม่ได้ออกความเห็นอะไร แอบสารภาพบาปในใจ เฮ้อเพื่อน ฉันไม่ได้อยากทำร้ายดวงตาของพวกนายเลยนะ หวังว่าพวกนายจะพอทนดูได้



ตอนที่ 215 ดินเนอร์ 


 


 


สวีอันหรานเอาชุดพิธีที่สวีรั่วชีต้องใส่ไปให้ที่คอนโดของเธอเรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกลังเลในใจ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้สวีรั่วชีจะกลับมาไหม 


 


 


ห้องที่ว่างเปล่าไม่มีความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตเลยสักนิด โซฟาถูกคลุมด้วยผ้าขาวป้องกันฝุ่นสกปรก 


 


 


ไม่มีใครรู้ว่างานพรุ่งนี้จะราบรื่นไหม 


 


 


ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา ทุกแผนการที่คิดไว้ไม่แน่นอนตามการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ 


 


 


ถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จ เขากับสวีรั่วชีก็ไม่รู้เช่นกันว่าเมื่อไรจะได้อยู่ด้วยกัน 


 


 


ส่วนเหยียนเค่อในตอนนี้โดนยายสวีอิ๋งอิ๋งทรมานจบแทบบ้าแล้ว เธอไม่ได้เป็นคนหมั้นเองสักหน่อย แถมยังตื่นเต้นจนเห็นอะไรก็ซื้อไปหมด 


 


 


“ต่อไปที่บ้านก็วางเตียงกับโซฟาแบบนั้นแล้วกัน” สวีอิ๋งอิ๋งนั่งลงบนโซฟาผ้าแล้วรู้สึกว่าไม่เลว 


 


 


เหยียนเค่อไม่อยากจะจินตนาการเรื่องอนาคตไปกับเธอเลยสักนิด ดูนาฬิกาข้อมือปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยเตือน “สามชั่วโมงนี้สำหรับฉันแล้วหาเงินได้หลายสิบล้านเลยนะ” 


 


 


“แต่ฉันประเมินค่าไม่ได้นะ” สวีอิ๋งอิ๋งเข้าใจความหมายของเขา เอ่ยอย่างหยิ่งผยอง 


 


 


เหยียนเค่อแอบพยักหน้าในใจ ก็ประเมินค่าไม่ได้จริงๆ ของที่ไม่มีค่าจะประเมินค่าได้อย่างไรกัน 


 


 


เขาคิดไว้แล้วว่าหลังจากนี้จะหลบพ้นจากเงื้อมมือมารของเธอได้อย่างไร ดังนั้นวันนี้ทำได้เพียงรับมืออย่างสงบเท่านั้น 


 


 


เหยียนเค่อยอมรับข้อเสนอการไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารธีม Sugar กับสวีอิ๋งอิ๋งแล้ว 


 


 


Sugar ก็เป็นร้านอาหารธีมร้านหนึ่งภายใต้การดูแลของ YAN ผู้ควบคุมใหญ่สุดคือเหยียนเค่อ แต่ความจริงแล้วเป็นร้านที่เสิ่นจิ้งเฉินจัดการดูแลอยู่ และไม่มีใครมาขุดคุ้ยเบื้องลึกเบื้องหลัง ดังนั้นจึงมีคนรู้น้อยมากว่าเป็นธุรกิจของ YAN 


 


 


เพราะว่าเป็นร้านอาหารสไตล์คู่รัก เหยียนเค่อไม่เคยมากินอาหารที่นี่ แต่การตกแต่งของร้านนั้น 


 


 


เหยียนเค่อเป็นคนร่างเค้าโครงด้วยตัวเอง 


 


 


ธีมหลักของร้านอาหารนี้คือความหวานและความเพ้อฝัน 


 


 


ชั้นหนึ่งตกแต่งสไตล์หวานๆ เป็นหลัก เหมาะกับคู่รักในช่วงที่เพิ่งคบหากันใหม่ๆ ทั้งชั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจินตนาการของเด็กสาวที่มีต่อความรัก มุมผนังฝังประดับกากเพชร สีธีมหลักคือสีชมพูสดใส 


 


 


ส่วนชั้นสองเหมาะกับคู่รักที่ความรักมั่นคงลงตัวแล้ว บรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนก็เหมาะกับการฉลองวันครบรอบแบบต่างๆ 


 


 


บนฝ้าเพดานแขวนมุกดาอิ่มน้ำต่างระดับคละกันไป เมื่อสะท้อนกับแสงไฟอันอ่อนโยนก็กลายเป็นสีพระจันทร์เหลืองนวล โดยใช้สีฟ้าอ่อนเป็นหลัก 


 


 


ห้องที่ทั้งคู่จองไว้คือห้องกั้นของชั้นหนึ่ง 


 


 


พูดตามตรง เหยียนเค่อนั่งตรงข้ามสวีอิ๋งอิ๋งแล้วก็กินอะไรไม่ค่อยลง แต่ครั้งแรกเริ่มให้ความรู้สึกที่แย่ขนาดนี้ ครั้งที่สองไม่ว่าจะกินกับใครคงต้องรู้สึกดีมากแน่นอน 


 


 


…… 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเที่ยวเล่นที่บ้านคุณตา ก็สบายใจขึ้นไม่น้อย หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่สนใจเรื่องของเซียวอู๋อี้อีก 


 


 


เธอลองทำอาหารเมนูที่หลากหลายทุกวัน วาดต้นฉบับเก็บไว้บ้างบางคราว แถมยังน้ำหนักขึ้นมาสองกิโลฯด้วย 


 


 


อันหร่านโทรศัพท์หาเธออย่างสนอกสนใจ สอบถามถึงแผนการของเธอ “เมื่อไรเธอจะลาออกมาอยู่ฮุยเถิงอะ” 


 


 


สัญญาสิ้นสุดแล้ว อันหร่านก็ลาออก สัญญาฉบับใหม่ก็ยังไม่มา ซย่าเสี่ยวมั่วตอบหนึ่งคำก่อนจะเอ่ยชวน “เธอก็ม้วนเสื่อกลับมาไหมล่ะ” 


 


 


“เธอคิดว่าฮุยเถิงเป็นที่ที่ใครอยากเข้าก็ได้งั้นเหรอ” อันหร่านโดนน้ำเสียงไม่ใส่ใจของเธอทำร้ายเข้าเต็มๆ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ตอบ มักจะรู้สึกว่าการเซ็นสัญญากับบริษัทเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย จู่ๆ ก็คิดอยากจะทำงานคนเดียวขึ้นมา 


 


 


อันหร่านกระแอมก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “ในฐานะคนพิเศษ ฉันเข้ามาทำงานที่ฮุยเถิงแล้วนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วตกใจจริงๆ ก่อนจะอวยพรเธอ “ยินดีด้วยนะ” 


 


 


“ไม่ต้องมายินดีเลย ฉันเข้ามาทำงานที่ฮุยเถิงเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว” อันหร่านพึมพำ ก่อนจะแอบกระซิบบอกเธอ “ฉันเจอเซียวอู๋อี้ตอนประชุมตอนเช้าทุกวัน สีหน้าที่อยากจะฆ่าฉันแต่ทำไม่ได้ของยายนั่น เห็นแล้วโคตรสะใจเลย” 


 


 


“อย่าทำอะไรเกินงาม เอาแต่พอดีก็พอ” ซย่าเสี่ยวมั่วนวดแป้ง กำลังจะทำเกี๊ยวน้ำให้ตัวเองกิน 


 


 


“ได้ เธอมาเซ็นสัญญาที่ฮุยเถิงพรุ่งนี้ละกัน” อันหร่านกำหนดตารางให้เธอ 


 


 


“ไม่มีปัญหา” ซย่าเสี่ยวมั่วคิดว่าอย่างไรเสียพรุ่งนี้เธอก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เข้าไปเซ็นสัญญาก่อนค่อยว่ากัน 


 


 


ทั้งคู่คุยกันไม่จบไม่สิ้นสักที สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องวางสายเพราะโทรศัพท์ของอันหร่านแบตหมด 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 216 เพิ่มความสนิทสนม 


 


 


ก่อนที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะยกชามใบเล็กขึ้นมากินเกี๊ยวน้ำนั้นก็ถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงบนเวยปั๋วก่อน จากนั้นจึงสวาปามอย่างมีความสุข 


 


 


โทรศัพท์มีเสียงดังแจ้งเตือนอยู่ตลอดเวลา เธอเองก็ไม่มีเวลาไปสนใจดู เมื่อกินหมดแล้วก็ยังอยากจะยัดหม้อลงท้องอยู่ดี 


 


 


แล้วเธอก็จับตัวคนที่ @ มาเพียงคนเดียวท่ามกลางการคอมเม้นต์และกดไลก์มากมายได้ 


 


 


เป็นนายเหยียนเค่อคนน่ารำคาญนั่นอีกแล้ว เธอลูบคางตัวเอง ก่อนจะกดเข้าไปดู 


 


 


เหมือนกับครั้งแรก มีเพียงรูปภาพกับมือ ที่แตกต่างก็คือ มือนั้นไม่ได้ดูจงใจยื่นออกมาเหมือนรูปก่อนหน้านี้ เพียงแค่หยิบส้อมโผล่เข้ามาในเฟรมเท่านั้น 


 


 


นายคนนี้มันว่างและกวนประสาทมากแค่ไหนกันนะ ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูอาหารวางเต็มโต๊ะของเขาแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย เพิ่งกินข้าวเสร็จทำไมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่อิ่มเลยนะ 


 


 


…… 


 


 


ของหวานล้างปากหลังอาหารค่อยๆ มาเสิร์ฟ 


 


 


เหยียนเค่อค่อนข้างชอบกินของหวาน แถมร่างกายยังเผาผลาญดีอีกต่างหาก กินเท่าไรก็ไม่อ้วน 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งมองจานไอศกรีมเค้กและผลไม้ราดน้ำผึ้งที่ใส่รวมกันในจานเดียวตรงหน้า จิ้มมากินสองสามคำก็ไม่กล้ากินต่ออีก 


 


 


ผู้ชายตรงหน้ากินไอศกรีมเค้กรสช็อกโกแลตเข้าไปก้อนใหญ่ แถมยังกินเค้กมูสไปอีกก้อนหนึ่ง กินของหวานที่สั่งมาจนหมด ไม่เหลือทิ้งให้สิ้นเปลืองเลย 


 


 


เหยียนเค่อมองของหวานของสวีอิ๋งอิ๋งที่ไม่พร่องลงไปเลยสักนิดก็ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


ถ้าเขากินข้าวกับซย่าเสี่ยวมั่วคงไม่มีใครห้ามใคร แถมทั้งคู่ยังแย่งกันกินอีกต่างหาก เพียงแต่ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกินได้ไม่เยอะเท่าไรนัก 


 


 


เมื่อออกจากภวังค์ เขาก็พบว่าตัวเองคิดถึงซย่าเสี่ยวมั่วอีกแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกหมดแรง 


 


 


เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหาร 


 


 


หลังจากขึ้นรถแล้วเหยียนเค่อก็เอาถุงตรงหน้ายื่นให้เธอ 


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งงุนงงเล็กน้อย หมอนี่ทำไมถึงให้ของเธอได้ล่ะ 


 


 


เหยียนเค่ออธิบายสั้นๆ “ซื้อมาจากอเมริกา” 


 


 


“อ๋อ” ความหยิ่งทะนงในตนเองของเด็กสาวกำเริบ เมื่อสวีอิ๋งอิ๋งได้รับของขวัญก็รู้สึกอารมณ์สั่นไหวโดยไม่ทราบสาเหตุ 


 


 


เหยียนเค่อไม่รู้ว่าเธออารมณ์สั่นไหว เขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียเงินซื้ออะไรไป ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วทำสตรอเบอร์รี่มิลค์เชค แก้วใหญ่ให้ตัวเอง เล่นกับหมา เขียนการ์ตูนอย่างที่ทำประจำวัน แต่ตอนนี้เพิ่มการคุยกับเสิ่นจิ้งเฉินเพื่อเพิ่มความสนิทสนมเข้ามาด้วย 


 


 


ตอนที่เหยียนเค่อจ่ายเงิน เสิ่นจิ้งเฉินก็รู้ว่ามีบางคนกำลังจีบสาวอยู่ จึงสำรวจคู่หมั้นในตำนานของ 


 


 


เหยียนเค่อผ่านภาพจากกล้องวงจรปิด หลังจากเห็นแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก 


 


 


คนแบบนี้จะสู้ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยังไง ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาจะยุยงให้เหยียนเค่อมาแย่งน้องสาวของตัวเองไปเลย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่โดนคิดหาทุกวิถีทางเพื่อส่งตัวให้เหยียนเค่อไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ กำลังให้เสิ่นจิ้งเฉินดูบ้านของตัวเองแบบสามร้อยหกสิบองศาอยู่ 


 


 


คราวก่อนรีบร้อนมากไปหน่อย เขานั่งที่ห้องรับแขกอยู่ชั่วครู่เท่านั้น เห็นการจัดและตกแต่งได้ไม่ชัดเจนนัก อยากดูว่าน้องสาวเธอยังขาดอะไรอีก เขาจะได้ซื้อไปเพิ่มให้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเรียกร้องอย่างเกรงใจ “ว่างเมื่อไรก็ซื้อโซฟาเม็ดโฟมให้ฉันสักตัวนะ” 


 


 


“เธอชอบแบบไหนล่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแคปรูปภาพจากเว็บขายของออนไลน์ให้เขา ให้เขาไปซื้อตามนี้ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินที่กำลังวิดีโอคอลกับน้องสาวของตนอย่างเบิกบานใจอยู่นั้นก็ได้รับโทรศัพท์จาก 


 


 


เหยียนเค่อ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขารับโทรศัพท์ก็ปิดปากฉับอย่างรู้จักกาลเทศะ จ้องมองท่าทางรับโทรศัพท์อันหล่อเหลาของพี่ชายตัวเองแล้วน้ำลายไหล 


 


 


“โทรมามีอะไร” 


 


 


ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร เสิ่นจิ้งเฉินมองซย่าเสี่ยวมั่วปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ฉันวิดีโอคอลกับซย่าเสี่ยวมั่วอยู่” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินชื่อตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง 


 


 


คุยกันผ่านสายตากับพี่ชายตัวเองสักครู่ เสิ่นจิ้งเฉินก็หยิบโทรศัพท์ไปชิดกับคอมพิวเตอร์ “มั่วมั่ว เธอพูดอะไรหน่อยสิ” 


 


 


“ให้ฉันพูดอะไรอะ” 


 


 


น้ำเสียงสบายๆ ของหญิงสาวทะลุผ่านคลื่นไฟฟ้าสองชั้นส่งผ่านเข้าหูของเหยียนเค่อ เขากระแอมเสียงเบา อยากจะฉีกเสิ่นจิ้งเฉินเป็นชิ้นๆ 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเก็บโทรศัพท์กลับมาแล้วยิ้มชั่วร้าย “พี่ชาย เป็นไงล่ะ ไม่ยอมเชื่อ” 


 


 


เขาแอบสะใจ ดูซิว่าคราวนี้ใครจะเรียกใครว่าพี่กันแน่ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วถามเสียงเบา “เสิ่นมั่วหลีเหรอ” 


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินส่ายหัวอย่างลึกลับ ใช้นิ้วมือชี้ไปด้านหลัง เป็นเชิงว่าตนจะออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า ไปทำงานของตัวเองเช่นกัน 


ตอนที่ 217 ความมืดมิดก่อนยามฟ้าสาง


 


 


“นายไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม” เหยียนเค่อขบฟัน


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินยืนพิงกำแพง อ้าปากหัวเราะเสียงดัง


 


 


“พรุ่งนี้เจอกันก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


“ได้สิ” เสิ่นจิ้งเฉินพอเดาได้ว่าเวลานี้เหยียนเค่อกำลังทำอะไรอยู่


 


 


ตอนนี้เหยียนเค่อกำลังห่อตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างกลัดกลุ้ม


 


 


เมื่อถึงบ้าน คุณแม่เหยียนก็พูดไปต่างๆ นานา บอกว่าเขาทำตัวแย่ๆ ใส่สวีอิ๋งอิ๋ง บอกว่าพี่ใหญ่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ แถมยังหยิบปฏิทินมาให้เขาเลือกวันหมั้นอีกต่างหาก


 


 


อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นโลกจริงๆ ตายกันให้หมดนี่แหละ


 


 


หน้าต่างยังไม่ได้ปิด ผ้าม่านที่ยาวลากพื้นถูกลมพัดสัมผัสพื้นห้องเป็นระยะ ส่งเสียงกระทบกันเบาๆ


 


 


ยายโง่ซย่าเสี่ยวมั่วนั่นคงไม่ได้ปิดหน้าต่างเหมือนกันสินะ ห้องอยู่ชั้นล่างขนาดนั้นก็ไม่กลัวโจรปีนขึ้นมาเลยหรือไง


 


 


เขาพลิกตัวลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง มองดูกล่องใบเล็กที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงแล้วก็ถอนหายใจ สร้อยข้อมือเพชรเส้นสวยนอนอยู่ด้านในนั้นไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินกลับมาคุยกับซย่าเสี่ยวมั่วต่อ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอารูปที่เธอวาดเล่นๆ ให้เสิ่นจิ้งเฉินดู


 


 


“โอ้โห เหมือนนะเนี่ย” เสิ่นจิ้งเฉินมองรูปหน้าบนกระดาษแล้วยิ้มอย่างลำพองใจ “คนหล่อวาดยังไงก็หล่ออยู่ดี”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตา “ถ้าฉันวาดไม่เป็น ถึงพี่จะหล่อเป็นเทพบุตรก็วาดออกมาได้ไม่ดีหรอก”


 


 


“คร้าบๆๆ มั่วมั่วเก่งที่สุดเลย” เสิ่นจิ้งเฉินอ้าปากหาว เหนื่อยมาทั้งวันก็อยากไปนอนแล้ว “ฉันไปนอนก่อนนะ เธอก็อย่าดึกล่ะ พรุ่งนี้น่าจะมีเรื่องให้ต้องไปทำ”


 


 


“เรื่องอะไรเหรอ!” ซย่าเสี่ยวมั่วตาเป็นประกาย “จะส่งโซฟามาให้ฉันแล้วเหรอ”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินจะยิ้มก็ไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “ยายคนเห็นแก่เงิน ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวฉันบอกเธอเอง”


 


 


“ได้ค่ะๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วตอบกลับแบบขอไปที นอกจากโซฟาแล้ว สำหรับเธอก็ไม่มีอะไรไม่น่าสนใจอีก


 


 


……


 


 


กว่าสวีรั่วชีจะกลับบ้านก็เที่ยงคืนแล้ว เห็นชุดพิธีที่วางอยู่บนเตียงและการ์ดเชิญที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็แอบพูดออกมาในใจ ตายแล้ว


 


 


เธอดันลืมส่งการ์ดเชิญก่อนที่จะออกไป ในตอนนี้จะโทรหาซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้อีก ต่อให้ซย่าเสี่ยวมั่วจะรับโทรศัพท์ แต่พรุ่งนี้เช้าก็จะนึกว่าตัวเองฝัน แล้วก็จะลืมเรื่องนี้ไป


 


 


สวีรั่วชียีหัวตัวเองอย่างร้อนใจ ตั้งนาฬิกาปลุก เธอไม่เปลี่ยนชุด ไม่สนใจแม้แต่ชุดพิธี ล้มตัวลงนอนบนเตียง


 


 


สำหรับการหมั้นนั้น สวีรั่วชีไม่ได้คาดหวังหรือรู้สึกเสียใจอะไรทั้งนั้น


 


 


ในเมื่อแต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจะแต่งกับใครก็คงเหมือนกัน


 


 


แถมผู้ชายคนนั้นก็มีประโยชน์ต่อสวีอันหรานด้วย ถึงเธอจะเคยเห็นแค่รูปก็เถอะ…


 


 


เธอเหนื่อยมากเกินไปแล้วจริงๆ พลิกตัวห่มผ้าก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา


 


 


ในเรื่อง ‘บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเลือด[1]’ กล่าวว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนมันเปราะบางขนาดไหนกันนะ แต่ว่า จะมีสักกี่คนที่กระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด โดยหลงลืมไปว่าอะไรคือขอบเขต คนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทำยังไงจึงจะทำให้ความสัมพันธ์ยาวนานได้ แค่สี่คำเท่านั้น คือต้อง ‘รู้จักเลอะเลือน’ บ้าง’


 


 


ถ้าเธออยากจะรักษาความสัมพันธ์กับสวีอันหรานให้ยาวนานต่อไปได้ ก็ต้องรู้จักเลอะเลือนบ้าง  แถมยังต้องจำขอบเขตระหว่างทั้งคู่เอาไว้ให้ดี


 


 


สวีอันหรานเองก็หลับไปตั้งนานแล้ว แต่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะในความฝันสวีรั่วชีจูงมือคนอื่นแล้วมาบอกลาเขา


 


 


รุ่งสาง ท้องฟ้ามืดสนิท แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่ามันจะสว่างไสวในวินาทีข้างหน้า


 


 


วันนี้เขามาเพื่อฉุดเจ้าสาว ที่คุณพ่อสวีโมโหก็เพราะว่าลูกชายของตนยอมคิดแผนร้ายอย่างการฉุดเจ้าสาวแบบนี้ออกมา แต่กลับไม่บอกความจริงกับตนก่อน


 


 


แผนนี้ของสวีอันหรานก็ร้ายจริงๆ แต่คนของเฉิงซีก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำกับน้องสาวเขาแบบนี้หรอก


 


 


และครั้งนี้เขาก็มาช่วยเหยียนเค่อจัดการด้วย เขาไม่ลืมหรอกว่าเหยียนเฟิงมีความสัมพันธ์


 


 


แน่นแฟ้นกับพวกคนของเฉิงซีมากแค่ไหน


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเลือด หรือ Billy Lynn’s Long Halftime Walk ภาพยนตร์ปี 2016 เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของเบน ฟาวเทน (Ben Fountain)


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 218 สวีรั่วชีหมั้น


 


 


เช้าตรู่วันต่อมา ก็ได้รับโทรศัพท์จากสวีอันหรานก่อนที่นาฬิกาปลุกของสวีรั่วชีจะดังขึ้น


 


 


“ฮัลโหล” สวีรั่วชีลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก


 


 


“ตื่นได้แล้ว จัดการตัวเองให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉันจะไปรับ”


 


 


สวีรั่วชีรู้สึกจมูกตันๆ หายใจไม่สะดวก พูดเสียงอื้ออึง “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันขับรถไปเองดีกว่า”


 


 


การแต่งงานเพื่อธุรกิจแบบนี้ ถึงจะบอกว่าเป็นงานหมั้น แต่ความจริงแล้วทำให้เป็นงานเลี้ยงเชิงธุรกิจเสียจะดีกว่า ก็แค่ให้ผู้มีอิทธิพลมาประชันขันต่อกันก็เท่านั้น


 


 


สวีรั่วชีแต่งหน้าจัด ชุดกระโปรงพิธีที่ต้องใส่ถูกเธอขยำเป็นก้อนแล้วยัดไว้ใต้ผ้าห่ม จึงยับจนใส่ไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงเลือกชุดพิธีสีดำที่รูปแบบคล้ายๆ กันออกมาจากตู้เสื้อผ้า


 


 


เมื่อแต่งตัวแต่งหน้าจนดูดีแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องหาชุดให้ซย่าเสี่ยวมั่วด้วย


 


 


“มั่วมั่ว นี่สวีรั่วชีนะ” เธอสวมรองเท้าส้นสูงแล้วแนะนำตัวเองกับซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยังคงมึนงงอยู่ เจ็ดโมงกว่า เธอยังไม่ตื่นเต็มตาเลย


 


 


“อืม” เธอมุดหัวเข้าไปในผ้าห่ม ปิดเปลือกตาแล้วครางตอบรับอย่างเกียจคร้าน


 


 


“วันนี้ฉันหมั้น ที่โรงแรมซีเหยียน เธอมาเอาบัตรเชิญกับฉันก่อนแล้วกัน”


 


 


“หืม?!” ซย่าเสี่ยวมั่วใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว แผดเสียงแหว สบถคำด่าออกมา “เธอจะหมั้นแต่มาบอกฉันวันหมั้นเนี่ยนะ! ฉันเป็นคนที่เธอรักที่สุดหรือเปล่าเนี่ย!”


 


 


เธอลงจากเตียงก่อนจะรีบเปิดตู้เสื้อผ้าดูว่ามีชุดพิธีที่ยังไม่ได้ตัดป้ายยี่ห้อบ้าง


 


 


สวีรั่วชีที่มีออร่าของสาวที่โตเต็มวัยอธิบาย “ก็ช่วงก่อนหน้านี้ฉันอยู่แอฟริกา เช้ามืดวันนี้เพิ่งกลับมาไหมล่ะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบชุดตัวหนึ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบเท่าไรนัก แต่เป็นเสื้อผ้าเพียงตัวเดียวที่ยังไม่เคยใส่ออกมาจากตู้แล้วรีบเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว


 


 


“เธอไปตามหาความฝันที่แอฟริกาหรือไง แม้แต่เรื่องหมั้นเธอยังไม่บอกฉันเลย!”


 


 


ชุดกระโปรงพิธีตัวยาวสีขาวขอบชมพู เมื่อสวมลงบนร่างของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วดูเรียบไปหน่อย


 


 


เธอก็ไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว อย่างมากก็แค่อาจจะทำให้สวีรั่วชีไม่พอใจ


 


 


สวีรั่วชีอยู่ที่แอฟริกาจนไม่อยากกลับมาแล้ว ถึงแม้ว่าเพื่อนผิวสีเหล่านั้นรูปลักษณ์จะแตกต่างจากชาวเอเชียอยู่มากก็ตาม แต่คนที่นั่นอัธยาศัยดีมาก


 


 


เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดก่อนเป็นอันดับแรก สมองของเธอยังไม่ได้เปลี่ยนจากยุคดึกดำบรรพ์มาเป็นสังคมปัจจุบันเลย


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรีบร้อนออกจากบ้าน ไม่มีเวลาสนใจแล้วว่าจะประหยัดเงินหรือเปล่าแล้ว วิ่งไปดูไปว่ามีรถแท็กซี่ไหม


 


 


ช่วงเวลาก่อนแปดโมงเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนก่อนเข้างาน แม้แต่รถแท็กซี่ต่างก็บรรทุกผู้โดยสารเต็มไปหมด


 


 


ขณะที่เธอกลุ้มจนแทบจะถลกหนังหัวตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนบีบแตรอยู่ด้านหลังตน


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหันกลับไปมองหนึ่งที พลันเอ่ยในใจ ไม่รู้จัก จากนั้นจึงกำโทรศัพท์แน่นแล้วเดินต่อไป


 


 


รถคันนั้นขับตามหลังเธอมาแล้วบีบแตรไม่หยุด ซย่าเสี่ยวมั่วทำได้เพียงหยุดเดิน มองฟิล์มกระจกสีดำมืดแล้วในใจก็แอบคาดหวัง แต่เมื่อกระจกรถเลื่อนลงมาแล้วเธอก็หันหัวกลับแล้วก้าวเดินต่อไปทันที


 


 


“มั่วมั่ว เธอจะไปไหน” หลี่หมิงฉวีตะโกนถามเธอด้วยท่าทางที่ไม่สง่างามเอาเสียเลย


 


 


“ไม่เกี่ยวกับนาย” ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ไว้หน้าเช่นกัน


 


 


“เธอจะไปงานหมั้นของสวีรั่วชีใช่ไหม ฉันก็จะไปเหมือนกัน”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินชื่อของสวีรั่วชีก็หยุดเดิน ครุ่นคิดไตร่ตรอง อย่างไรเสียก็เรียกรถไม่ได้ งั้นก็ทนเอาหน่อยแล้วกัน


 


 


เธอเปิดประตูเข้าไปนั่ง พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไปหมู่บ้านจิ่งหลาน”


 


 


“เธอจะไปงานหมั้นของสวีรั่วชีไม่ใช่เหรอ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอธิบาย “ฉันจะไปเอาบัตรเชิญกับเสี่ยวชี ดังนั้นรบกวนนายไปส่งฉันที่นั่นหน่อย”


 


 


“เวลาไม่พอแล้วนะ” หลี่หมิงฉวีดูนาฬิกาข้อมือ แล้วมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างตน “วันนี้ฉันไม่มีคู่ควง เธอมาคู่กับฉันดีไหม”


 


 


“ไม่ดี!” ซย่าเสี่ยวมั่วขมวดคิ้ว ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด


 


 


หลี่หมิงฉวีพูดเกลี้ยกล่อมเธออย่างจริงจัง “งานเลี้ยงเริ่มตอนเก้าโมงเก้านาที ตอนนี้จะแปดโมงแล้ว เธอก็ยังไม่ได้แต่งหน้าทำผมเลยด้วย ดังนั้น…”


ตอนที่ 219 เข้างาน


 


 


เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของซย่าเสี่ยวมั่วดังขัดจังหวะคำพูดของหลี่หมิงฉวีเสียก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากสวีรั่วชี ซย่าเสี่ยวมั่วก็รีบกดรับทันที “เสี่ยวชี”


 


 


“เธอไม่ต้องมาแล้ว ฉันถึงโรงแรมแล้ว เธอมาหาฉันที่โรงแรมเลย เดี๋ยวฉันให้คนเอาบัตรเชิญไปให้”


 


 


“ได้”


 


 


กดวางสาย ซย่าเสี่ยวมั่วยอมรับข้อเสนอของหลี่หมิงฉวี ก่อนจะเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ขอบคุณนะ”


 


 


“ฉันดีใจมากจริงๆ” จู่ๆ หลี่หมิงฉวีก็พูดขึ้นมา แล้วขับรถเข้าไปในร้านสำหรับแต่งตัวแต่งหน้าทำผม


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองในตำแหน่งที่คุ้นเคยก่อนจะเลือกชุดพิธีตัวยาวสีแดงเพลิงออกมาตัวหนึ่ง ชุดพิธีเข้ารูปโชว์ไหล่ ทำให้ส่วนโค้งเว้าของซย่าเสี่ยวมั่วงดงาม แถมยังดูสูงเพรียวอีกด้วย


 


 


เมื่อพบทางออกของปัญหา เธอก็ไม่รีบร้อนแล้ว ปล่อยให้สไตล์ลิสต์ทำผมให้เธอไป


 


 


ผมที่ยาวถึงเอวในตอนแรกถูกรวบขึ้นไปม้วนไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งปล่อยให้ยาวถึงเอว ปลายผมดัดเป็นลอนใหญ่แล้วย้อมเป็นสีน้ำตาล เผยให้เห็นทั้งใบหน้าอย่างชัดเจน ไม่ได้ตัดผมหน้าม้าและปล่อยไรผม บนใบหน้าแต่งสีจัดจ้านและประณีตอย่างที่เห็นได้ยาก


 


 


เมื่อแต่งตัวทำผมเสร็จแล้วซย่าเสี่ยวมั่วก็ใส่รองเท้าส้นสูงสิบเซนฯวิ่งซอยเท้าออกจากร้าน


 


 


ส่วนหลี่หมิงฉวีก็คอยระวังหลังให้เธอ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วล่ะเกลียดจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่เลือกกระโปรงรัดรูปขนาดนี้หรอก แม้แต่ก้าวขายังก้าวไม่ได้เลย พอเดินเร็วเข้าหน่อยสองขาก็เสียดสีกันแล้ว


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงนึกไปถึงเนื้อเพลงนั่นได้ ที่ร้องว่า ‘เสียดสีๆ เป็นจังหวะการก้าวเท้าของปีศาจ…’


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วมาถึงที่หมายแล้วก็ได้รับบัตรเชิญ แต่เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่หมิงฉวีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ จึงต้องฝืนเป็นคู่ควงให้เขาอย่างไม่เต็มใจ


 


 


อย่างไรเสียก็ติดหนี้บุญคุณไม่ได้ ตอบแทนให้หมดไปจะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก


 


 


เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้ามาในงาน ก็เป็นที่จับตามองของผู้คนทันที แม้แต่เสียงอึกทึกครึกโครมก่อนหน้านี้ก็เบาลงไป


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่มีเวลาไปสนใจเท่าไร กวาดสายตาหาร่างของสวีรั่วชีในงาน


 


 


“ฉันจะไปหาสวีรั่วชี ถ้ามีกิจกรรมอะไรฉันค่อยมาหานายแล้วกัน” เธอรีบปลีกตัวออกไปโทรหา


 


 


สวีรั่วชีทันที


 


 


เหยียนเค่อเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ควงหลี่หมิงฉวีเดินเข้ามาตั้งแต่ทีแรกแล้ว แล้วสองคนนั้นก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าวิ่งหายไปไหนแล้ว


 


 


ฉินซื่อหลานเห็นว่าเขาสีหน้าเคร่งขรึม จึงกระทุ้งศอกใส่เขาแล้วถามขึ้น “เป็นอะไรไป”


 


 


เหยียนเค่อส่ายหัว “ทางสวีรั่วชีเป็นยังไงบ้าง”


 


 


“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็แค่ลืมหาผู้หญิงมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวช่วยดื่มเหล้าน่ะสิ”


 


 


ฉินซื่อหลานรู้ว่างานคงไม่ดำเนินไปถึงช่วงชนเหล้าหรอก เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น


 


 


“บอกเขาว่าห้ามเอาตัวซย่าเสี่ยวมั่วไป ถ้าช่วยดื่มเหล้าล่ะก็เดี๋ยวฉันช่วยเขาเอง”


 


 


ฉินซื่อหลานรู้สึกว่าวันนี้เหยียนเค่อดูแปลกๆ แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากนัก นำเรื่องนี้ไปรายงานสวีรั่วชี


 


 


สวีรั่วชีได้ยินแล้วก็แสยะยิ้ม “ไปบอกเขาว่า ถ้าเขายอมใส่ชุดเพื่อนเจ้าสาว ก็มาช่วยฉันดื่มเหล้าได้”


 


 


ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ถึงความคออ่อนของซย่าเสี่ยวมั่วสักหน่อย จะให้เธอมาช่วยดื่มเหล้าได้อย่างไรล่ะ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเดินไปตามทางที่สวีรั่วชีบอกตั้งนานกว่าจะหาเจอ เห็นสวีรั่วชีนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง จึงพุ่งเข้าไปผลักเธอล้มลง


 


 


“โอ้โห” สวีรั่วชีเห็นเธอแต่งองค์ทรงเครื่องซะสวยก็เอ่ยหยอกล้อ “เธอมาหมั้นเองใช่ไหมเนี่ย”


 


 


“ยังมีหน้ามาพูดอีก!” ซย่าเสี่ยวมั่วตีหลังเธอ “ทำไมเธอถึงหมั้นซะแล้วล่ะ! ผู้ชายคนนั้นคือใคร”


 


 


“ฉันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน” สวีรั่วชีตอบอย่างไม่จริงจัง


 


 


“นี่เธอ!” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนพูดไม่ออก “เธอชอบพี่ชายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยอมแต่งงานกับคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ล่ะ!”


 


 


สวีรั่วชีส่ายหัว “ก็เขาไม่ชอบฉันนี่”


 


 


“เธอยังไม่ทันได้สารภาพรักก็แต่งงานออกไปซะแล้ว เธอบ้าหรือเปล่าเนี่ย” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนความดันขึ้น ยายเด็กนี่เชื่อถือไม่ได้ยิ่งกว่าตัวเธอเองอีกนะเนี่ย “เธอหาเรื่องหรือไง ต้องแต่งงานออกไปใช่ไหมเธอถึงจะพอใจ”


 


 


สวีรั่วชีสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เดิมทีเธอรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรให้ต้องเสียใจเลย แต่พอได้ยิน


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพูดแบบนี้แล้วก็น้ำตาร่วง ทำเอาซะซย่าเสี่ยวมั่วตกอกตกใจหมด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 220 อวยพร


 


 


“ฉันก็ไม่อยาก ฉันไม่อยากแต่งงานกับคนอื่นเลยสักนิด ฉันชอบเขามาตั้งหลายปี ตั้งแต่ยังไม่เป็นพี่น้องกันจนถึงตอนนี้ แต่สายตาของเขาไม่เคยมองมาที่ฉันเลย เขาบอกว่าเขามีคนที่อยากใช้ชีวิตด้วยแล้ว แต่คนนั้นไม่ใช่ฉัน เขาไม่สนใจฉันเลย”


 


 


เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอก็รู้สึกอารมณ์อ่อนไหวได้ ความเจ็บปวดรวดร้าวเกือบหนึ่งเดือนประดังประเดมาในหัวอีกครั้ง สวีรั่วชีร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับสัตว์ตัวน้อยผู้น่าสงสาร “ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ไม่ว่าฉันจะอยู่ห่างจากเขามากแค่ไหน แต่หัวใจของฉันก็มีแต่เขา ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไงดี”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วคลายหมัดที่เธอกำเอาไว้แน่นให้ออก ก่อนจะปลอบประโลม “เธอยังมีฉันนะ จริงๆ นะ เราไม่หมั้นแล้วโอเคไหม ไม่หมั้นแล้ว”


 


 


สวีรั่วชีสะอื้นไห้ท่าทางราวกับจะร้องออกมาจนน้ำตาเหือดแห้ง แต่ก็ค่อยๆ หยุดลงเมื่อใกล้ถึงเวลาเปิดงาน เหลือเพียงแต่สะอึกเบาๆ เท่านั้น


 


 


“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันต้องไปแต่งหน้าสักหน่อย เธอไปรอข้างนอกก่อนแล้วกัน” ส่งเสียงสะอึกจนน่าสงสาร


 


 


“เธอไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ใช่ไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นห่วง จับมือเธอไว้แน่นไม่ปล่อย


 


 


สวีรั่วชีที่กลับสู่สภาวะปกติหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีเพื่อให้จิตใจตัวเองสงบลงก่อนจะพยักหน้า “จริงๆ เดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว” แถมยังยิ้มให้ซย่าเสี่ยวมั่วอีก “ฉันคือสวีรั่วชีนะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นรอยยิ้มที่น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้ก็ยังคงไม่วางใจ เมื่อเรียกช่างแต่งหน้ามาแล้วจึงจะกล้าถอยออกไป ก็แค่กลัวว่าเธอจะคิดไม่ตกแล้วทำเรื่องบ้าๆ อะไรลงไปน่ะสิ


 


 


พิธีกรข้างหน้าเริ่มพูดเปิดงานแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วเดินหลบแสงไฟไปยังบริเวณข้างเวที กอดอกขบคิด กำลังคิดว่าจะทำลายงานหมั้นของสวีรั่วชียังไงดี


 


 


การจัดแต่งของที่นี่เป็นแบบบริการตนเอง ไม่ได้แยกเป็นกลุ่มของเด็กวัยรุ่นกับกลุ่มญาติผู้ใหญ่


 


 


ไม่รู้ว่าพิธีกรพูดอะไร แต่ด้านล่างเวทีเต็มไปด้วยเสียงกู่ร้อง จากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงอายุน้อยคนหนึ่งขึ้นมาโชว์อุ่นเครื่อง


 


 


ยังเหลือเวลาอีกห้านาทีกว่าๆ เธอคิดจนหัวแทบแตกแล้วก็ยังคิดไม่ออก เธอจะให้สวีรั่วชีตะโกนบนเวทีว่า ‘ฉันไม่อยากแต่งงานกับคุณ’ ก็ไม่ได้อีก ต่อให้เธออยาก แต่สวีรั่วชีก็คงไม่ทำแบบนั้นแน่นอน ผู้หญิงปากอย่างใจอย่างแบบเธอน่ะ


 


 


ขณะที่ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังขบคิดอยู่นั้น ก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งโอบแล้วพาขึ้นไปบนเวที


 


 


“คุณเป็นใครน่ะ” ขณะที่เธอกำลังจะดิ้นให้หลุดอยู่นั้นก็ได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นไม้อ่อนๆ ลอยมาจากชายคนนั้น


 


 


“ฉันเอง” เป็นเสียงของคนที่คาดไว้ดังมาจากด้านบนศีรษะ เธอทำได้เพียงเดินข้างเขาแต่โดยดี ยังไม่ทันได้ถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ


 


 


หลังจากสองกิจกรรมอุ่นเครื่องผ่านไปแล้วนั้น เก้านาฬิกาเก้านาที ฤกษ์งามยามดีในตำนานก็มาถึง


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกเหยียนเค่อประคองให้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้บาร์ มองเขาปากอ้าตาค้าง


 


 


บนใบหน้าหล่อเหลาของเหยียนเค่อนานๆ ทีจะไร้ซึ่งความรู้สึก นั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์ข้างๆ เธอ ขาข้างหนึ่งเหยียบที่วางเท้าด้านล่าง ขาอีกข้างแตะลงบนพื้น


 


 


เสียงของพิธีกรดังมาจากด้านหลัง “ตามคำขอของคุณสวีรั่วชี เธออยากนำเวลาที่สำคัญและงดงามที่สุดในพิธีเปิดให้กับเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ยินคำอวยพรต่อชีวิตในอนาคตจากคุณซย่าเสี่ยวมั่ว และหวังว่าคุณซย่าเสี่ยวมั่วจะมีความสุขตลอดไป”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วตีเข้าที่เข่าที่นั่งงออยู่ของเหยียนเค่อ เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันไม่อยากอวยพรให้เขา!”


 


 


เหยียนเค่อมองยายโง่นี่หนึ่งที โชคดีที่ไม่ได้เปิดไมค์ ถ้าคนทั้งงานได้ยินแผนล่มหมดแน่


 


 


“เธอก็อวยพรไปเถอะน่า อย่าก่อเรื่อง”


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งมองคู่หนุ่มสาวที่นั่งอยู่บนเวทีแล้วกำหมัดแน่น เล็บยาวจิกลงบนฝ่ามือจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด


 


 


เหยียนเฟิงนั่งปลอบประโลมเธออยู่ข้างๆ ก่อนจะถามหยั่งเชิงเสียงเบา “เธอชอบเหยียนเค่องั้นเหรอ”


 


 


“ฉันไม่ได้ชอบ” สวีอิ๋งอิ๋งรีบแก้ต่างให้ตัวเอง “แต่เขาทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น มันไม่ให้เกียรติฉันเลย จะให้ฉันสู้หน้าคนอื่นได้ยังไง!”


 


 


“อย่าโกรธไปเลย ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเขาคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน” ดวงตาของเหยีนเฟิงฉายแววประกาย ก่อนจะยิ้มบางๆ


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งมองผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าสีเดียวกับตนบนเวทีแล้วก็กัดริมฝีปาก ครุ่นคิดในใจ ซย่าเสี่ยวมั่วใช่ไหม ฉันจะให้เธอตายโดยไม่รู้ตัวเลยคอยดู


ตอนที่ 221 กว่าจะได้ออกงานด้วยกัน


 


 


เหยียนเฟิงมองหญิงสาวที่ใบหน้าบิดเบี้ยว ก็แอบเย้ยหยันในใจ ผู้หญิงโง่เง่าคนนี้ทำให้เขาไม่ต้องพูดอะไรมาก


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูเนื้อเพลงบนขาตั้งตรงหน้า ก่อนจะเหลือบมองเหยียนเค่อหนึ่งทีด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ส่วนเหยียนเค่อก็มีสีหน้าเดียวกับเธอ ช่วยเปิดไมค์บนขาตั้งให้ ก่อนจะหันกลับไปขอเพลงกับวงดนตรีที่อยู่ด้านหลัง


 


 


ทั้งคู่นั่งใกล้กันเป็นอย่างมาก เข่าของซย่าเสี่ยวมั่วชนกับขาของเขา มือหนึ่งประคองไมโครโฟนไว้


 


 


เดิมทีเหยียนเค่อจะเล่นเปียโน แต่พอสติหลุดก็เลยมานั่งอยู่ข้างๆ เธอเสียได้ ตอนนี้ก็เดินออกไปไม่ได้แล้ว ถือไมค์ไว้ในมือโดยไม่ใช้ขาตั้ง


 


 


หลังจากทั้งงานเงียบลงแล้ว ก็มีเสียงคนที่คุ้นเคยส่งเสียงเชียร์อยู่ด้านล่างเวที


 


 


ท่วงทำนองอันคุ้นเคยดังขึ้น คนที่ส่งเสียงกู่ร้องอยู่ด้านล่างก็เงียบลง


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัวอย่างจนปัญญา หาจังหวะที่แม่นยำเพื่อจะเข้าเพลง


 


 


“เธอคือการจากลาของสายลมในยามค่ำคืนที่ค่อยๆ จางหายไปและทางช้างเผือกที่วับวาบไม่ชัดเจน…


 


 


เธอคือภาพอันสดใสยามฟ้าสางในสายตาของฉัน


 


 


เธอคือเวลาที่ร้องฮัมเพลงเบาๆ ราวกับแสงดาวพร่างพรายไปทั่วทั้งตรอกถนน


 


 


แป้นเปียโนสีดำขาวส่องแสงทองยามรุ่งเช้า


 


 


ขอให้เธอมีพลังอยู่เสมอ ขอให้เธอเป็นดวงอาทิตย์ของตัวเอง


 


 


ขอให้เธอหยุดอยู่ในยามที่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันแบบนี้ตลอดไป


 


 


แสงสว่างในดวงตาของเธอยังคงระยิบระยับบอกเล่าถึงความบ้าคลั่งเหล่านั้น


 


 


มีความฝันที่ฉันอยากจะเก็บมันไว้กับเธอ….”


 


 


เสียงใสของหญิงสาวมีความแหบพร่าเล็กน้อยค่อยๆ ดังขึ้น นุ่มนวลราวกับไวน์เข้มข้น


 


 


มือของเธอวางอยู่บนหน้าขาของเหยียนเค่อ นิ้วมือเคาะเข้าที่ขาของเขาเบาๆ ตามจังหวะเพลง นัยน์ตาหลุบมองขาตั้งด้านหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เปี่ยมไปด้วยความรักที่เธอมีต่อสวีรั่วชีลงในบทเพลงนี้


 


 


เมื่อมือของซย่าเสี่ยวมั่วหยุดเคาะ ท่วงทำนองเพลงก็ดังขึ้น ถึงท่อนร้องของเหยียนเค่อ


 


 


“เธอคือบทเพลงเล่าเรื่องความทรงจำและความรักในอดีตที่ร้องให้ฉันฟังเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


 


เธอคือดอกไม้ที่เบ่งบานในหัวใจของฉันตลอดสี่ฤดู


 


 


เธอคือสีสันและน้ำหมึกบนกระดาษที่เขียนข้อความที่ฉันชอบที่สุด


 


 


เมื่อในหัวใจมีเธอ ดวงตาก็เบิกบานไปด้วยความสุข…”


 


 


เป็นครั้งแรกที่ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเหยียนเค่อร้องเพลง ก็หลงใหลในน้ำเสียงไพเราะของเขาในทันที


 


 


ทั้งคู่ไม่ได้ซ้อมมาก่อน ในเนื้อเพลงก็ไม่ได้ทำเครื่องหมายบอกไว้ แต่ก็ร้องต่อกันได้อย่างรู้ใจ


 


 


ท่อนสุดท้ายเป็นท่อนที่ทั้งสองคนต้องร้องประสานเสียงกัน


 


 


เสียงใสของหญิงสาวกับเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มผสมผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งคู่ไม่ได้มองตากันเลยตลอดเพลง เพียงแค่ร้องเพลงเดียวกันเงียบๆ เท่านั้น แต่ก็มีเพียงความรู้สึกที่ล่องลอยไปมา โดยมีเพียงทั้งคู่เท่านั้นที่รู้


 


 


สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หญิงสาวในชุดพิธีสีแดงเพลิงบนเวที รูปร่างเล็กในชุดพิธีรัดรูป กระโปรงยาวลากพื้น ขนตางอนกระทบกับแสงไฟ ทำให้ใบหน้าทั้งดูงดงามและน่าหลงใหลไปในที


 


 


ส่วนผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอนั้นท่าทางสะอาดสะอ้านและเย็นชา ชุดสูทสีดำธรรมดาเข้ากับใบหน้างดงามดุจภาพวาด มีท่าทางสบายๆ


 


 


ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้ส่งสายตาสื่อสารกันเลยตลอดทั้งเพลง แต่ตำแหน่งมือที่ไม่สะดุดตานั้นกลับทำให้ไม่สามารถละเลยไปได้


 


 


คนที่คุ้นเคยกับเหยียนเค่อต่างก็กำลังครุ่นคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคยกับ


 


 


เหยียนเค่อต่างก็คิดว่าจับคู่นี้แยกกันได้ไหม


 


 


หลี่หมิงฉวีมองดูคนบนเวทีแล้วกำหมัดแน่น เมื่อครู่ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าจะไปหาสวีรั่วชีนั้น เขาร้องห้ามไว้ไม่ทัน ตอนนี้กลับมาร้องเพลงอยู่กับผู้ชายคนนั้นบนเวทีเสียอย่างนั้น


 


 


ฉินจานควงแขนซูอี้แล้วเอ่ยอย่างอิจฉา “ว้าว ทั้งสองคนเหมือนมีซัมติงกันเลย ในที่สุดก็ได้มาออกงานด้วยกันแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจที่แต่งงานไปเร็วขนาดนั้น”


 


 


“คุณว่าอะไรนะ” ซูอี้หน้านิ่ง มองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ


 


 


ฉินจานกลัวเขาโกรธเป็นที่สุด จึงรีบอธิบาย “ฉันหมายความว่า ถ้าแต่งงานช้า มั่วมั่วจะได้มาร้องเพลงให้ฉันไง”


 


 


สีหน้าของซูอี้จึงดูดีขึ้นมาหน่อย เพื่อเป็นการยับยั้งภรรยาของเขาไว้ เขาก็คงต้องช่วยเหยียนเค่ออีกแรงแล้วล่ะ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 222 คลื่นใต้น้ำ


 


 


ตัวตนของเหยียนเค่อดูลึกลับมาตลอด มีคนรู้จักเขามากมาย แต่คนที่เคยเจอเขาช่างน้อยนิด


 


 


ตอนแรกเขายังอยากจะลองเป็นพิธีกรด้วย แต่ถูกสวีอันหรานด่ากลับมาก่อน ดังนั้นเขาทำได้เพียงหาโชว์พิเศษให้ตัวเองเท่านั้น


 


 


ผู้ช่วยหวังที่รู้เรื่องล่วงหน้าก็รู้สึกหมดคำพูด ได้เพียงทำประชาสัมพันธ์ให้ดีก่อนล่วงหน้า ป้องกันพวกคนโง่ที่จะปล่อยรูปของเหยียนเค่อออกไป


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินมองหนุ่มสาวที่ดูเหมาะสมกันอย่างมากบนเวที คอยถ่วงเวลาให้คู่หมั้นของสวีรั่วชีมาถึงที่นี่ช้าหน่อย


 


 


คุณชายใหญ่ตระกูลฉู่ร้อนใจจนไฟจะลุกแล้ว โดนขับคนรถเบียดไม่เท่าไร แถมจู่ๆ ก็โดนต่อยอีกต่างหาก นั่งรอจัดการเรื่องอยู่ที่สถานีตำรวจอยู่นานแล้ว ไม่ว่าจะยืนยันตัวตนของตัวเองอย่างไรก็ไร้ประโยชน์


 


 


เหยียนเค่อนึกว่า ถ้าสวีอันหรานฉุดเจ้าสาว ทางที่ดีคือให้บ้านตระกูลสวีถอนหมั้นแล้วขอโทษบ้านตระกูลฉู่ แต่สวีอันหรานกลับไม่ทำเช่นนั้น จะฉุดเจ้าสาวคนอื่นไปแถมยังจะให้ฝ่ายนั้นขอโทษด้วย


 


 


แผนเดิมคือ สวีอันหรานพาเจ้าสาวหนีไปเลย แต่หลังจากสวีอันหรานไม่เห็นด้วยกับแผนนี้แล้วก็เปลี่ยนเป็นให้ฝ่ายชายมาสาย ส่วนบ้านตระกูลสวีก็ถอนหมั้นได้อย่างสวยงาม


 


 


แผนนี้ยุ่งยากกว่าแผนเดิมอยู่มาก ถ้าเกิดคนอื่นมาเห็นเข้า เรื่องก็จะจัดการยากมากขึ้น แถมการทำให้ฝ่ายชายมาสายได้ก็ต้องมีการลงมือลงไม้เหมือนกัน


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วถูกพาลงจากเวที ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรเหยียนเค่อก็กำชับขึ้นก่อน “เธอระวังตัวด้วย ฉันมีเรื่องต้องไปทำต่อ ไปก่อนนะ”


 


 


เธอมองคนที่เดินหายเข้าไปในฝูงชนอย่างงุนงง ทำได้เพียงยกชายกระโปรงเดินไปหาหลี่หมิงฉวี


 


 


งานหมั้นเริ่มขึ้นแล้ว แต่เพราะว่าฝ่ายชายมาสาย ทำได้เพียงเปิดงานเลี้ยงก่อน


 


 


เมื่อสวีอันหรานขึ้นไปบนเวที หัวใจดวงน้อยของซย่าเสี่ยวมั่วก็กระตุกสั่นไหว ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว แต่กลับไม่กล้าคิดต่อ


 


 


“ทุกท่านคิดเสียว่าเป็นงานเลี้ยงธรรมดาแล้วกันนะครับ หวังว่าวันนี้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะสนุกกันให้เต็มที่”


 


 


ทุกคนสังเกตได้ถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน จึงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกหลี่หมิงฉวีโอบไว้ในอ้อมกอดตัวแข็งเกร็ง ฟังเขาแนะนำคนนั้นคนนี้ให้รู้จัก


 


 


กลุ่มคนของเฉิงซีก็ส่งเสียงแซวถามขึ้น “นี่สาวบ้านไหนที่โดนนายหลอกมากันล่ะเนี่ย”


 


 


หลี่หมิงฉวีแนะนำอย่างไม่ปกปิด “นี่คือรักแท้ในชีวิตของผม ซย่าเสี่ยวมั่วครับ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจว่าเขาจะแนะนำตัวยังไง อย่างไรเสียรักแท้ของเธอไม่ใช่เขาก็แล้วกัน


 


 


ในใจยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านสวีรั่วชี นั่งอยู่บนโซฟาอย่างร้อนอกร้อนใจ


 


 


พวกหลี่หมิงฉวีก็โทรศัพท์ติดต่อคุณชายใหญ่ตระกูลฉู่ไม่หยุด ไม่รู้ว่าเวลาที่สำคัญแบบนี้ฉู่อวิ๋นมัวไปทำบ้าอะไรอยู่


 


 


“เธอเป็นห่วงสวีรั่วชีเหรอ” หลี่หมิงฉวีกุมมือเธอไว้


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอยากสลัดออก แต่แรงน้อยเกินไปทำได้เพียงปล่อยให้เขาจับไว้ ขณะกำลังจะพยักหน้านั้น ก็รู้สึกว่าด้านหลังศีรษะมีลมเย็นพัดผ่าน ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว


 


 


เมื่อหันไปก็เห็นเหยียนเค่อพาผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา สายตานั้นเยือกเย็นราวกับศรธนู ยิงปักลงบนตัวของซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเบ้ปาก พวกเขาก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำหน้าเหมือนภรรยาที่พลัดพรากจากสามีมานานอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“ได้ยินมาว่างานหมั้นของประธานเหยียนก็ใกล้แล้วนี่นา ยินดีด้วยนะครับ” หลี่หมิงฉวีโอบซย่าเสี่ยวมั่วให้ยืนขึ้นทักทายกับเขา


 


 


ครั้งแรกที่เจอไม่รู้ว่าเขาคือเหยียนเค่อ ตอนนี้เขาต้องกู้หน้าและจิตใจที่โดนทำร้ายของตัวเองกลับมาให้ได้ก่อน


 


 


“เช่นกัน” เหยียนเค่อตอบกลับสั้นๆ ชูแก้วให้ทุกคน แต่สายตากลับเหลือบมองไปทางซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


พ่อแม่ของสวีอันหรานรู้แผนการของพวกลูกชายตนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องแล้วออกจากงานไปตั้งนานแล้ว คนของตระกูลฉู่ต่างก็ตามหาคุณชายใหญ่ของพวกเขาอยู่ พวกผู้ใหญ่ก็ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องกะทันหันแบบนี้ คนที่ออกจากงานได้ก็จากไปนานแล้ว เหลือเพียงเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน สถานการณ์ภายในงานราวกับคลื่นใต้น้ำ แต่ละฝ่ายต่างก็กำลังเคลื่อนไหว



ตอนที่ 223 สถานการณ์ตึงเครียด


 


 


เหยียนเค่อกรอกเหล้าเข้าปากหลายแก้ว อารมณ์ความรู้สึกก็พลุ่งพล่าน เอาแต่จ้องซย่าเสี่ยวมั่วไม่ละสายตา


 


 


เหยียนเฟิงก็เดินเข้ามาร่วมด้วย


 


 


“พวกนายรั้งตัวน้องชายฉันไว้ทำไมเหรอ”


 


 


เหยียนเค่อเงยหน้าขึ้นไปมองเขาปราดหนึ่ง มองท่าทางราวกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องช่างลึกซึ้งแล้วก็รู้สึกอยากจะอ้วก


 


 


ในที่สุดสายตาบีบคั้นนั้นก็จากไปแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เงยหน้าขึ้นเห็นผู้หญิงคนนั้นระทวยอิงแอบในอ้อมแขนของเหยียนเค่อ แล้วก็เหยียดยิ้ม


 


 


สวีอิ๋งอิ๋งเห็นสายตาที่มองมาของซย่าเสี่ยวมั่วก็จ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว นึกไม่ถึงว่าซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ทันมองชัดว่าเธอหน้าตาเธอเป็นอย่างไรก็เบนสายตาหนีแล้ว


 


 


“ทุกคนก็คุยกันเพราะเห็นว่าเป็นน้องชายนายไง” เฉิงนั่วเรียกเหยียนเฟิงให้นั่งลงข้างๆ


 


 


เฉิงซีเป็นอำนาจและอิทธิพลของเหยียนเฟิง เป็นพวกขยะไร้ประโยชน์ที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กจนโต


 


 


ในทางธุรกิจนั้นถูกเหยียนเค่อข่มเอาไว้ตลอด อยากร่วมงานกับเหยียนเค่อหลายต่อหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจึงจดจำความแค้นที่มีต่อเหยียนเค่อกับสวีอันหรานไว้ในใจมาโดยตลอด


 


 


เหยียนเค่อไม่สนใจสักนิด เขามาก็เพื่อมาดูซย่าเสี่ยวมั่วเท่านั้น


 


 


มือของหลี่หมิงฉวีโอบเอวของเธอแน่น ดึงซย่าเสี่ยวมั่วไปอยู่ในอ้อมแขนของตน ทำเอา


 


 


เหยียนเค่อยิ่งมองยิ่งเดือดดาล


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอยากรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคน แต่เพราะว่ามือเขาแรงเยอะมากเกินไป เธอก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้ง ทำได้เพียงยืนนิ่งเกร็งอย่างกล้ำกลืน ไม่สนใจสายตาของเหยียนเค่อที่มองมา


 


 


หลี่หมิงฉวียิ่งได้ใจ แถมยังจะจูบซย่าเสี่ยวมั่วท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนอีกต่างหาก


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแกะมือของเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “ฉันจะไปห้องน้ำ”


 


 


สวีอันหรานมองฉู่อวิ๋นที่เดินเข้ามาจากประตูด้านหลัง ขณะกำลังคิดว่าควรจะลงมือเลยดีไหมนั้น ก็ได้ยินเสิ่นจิ้งเฉินวิ่งมาบอกเขาอย่างรีบร้อน “เหยียนเค่อเล่นงานหลี่หมิงฉวีแล้ว”


 


 


สวีอันหรานก็ไม่ลังเลแล้ว ถลกแขนเสื้อขึ้น เมื่อประตูเปิดออกก็กระโดดถีบทันที


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วเดินออกไป บรรยากาศภายในโต๊ะก็เปลี่ยนแปลง


 


 


เหยียนเค่อจะลุกขึ้นเดินตามซย่าเสี่ยวมั่วไป แต่กลับถูกหลี่หมิงฉวีดึงตัวไว้เสียก่อน “ประธาน


 


 


เหยียนจะไปทำอะไรเหรอ”


 


 


เหยียนเค่อเกลียดการที่คนอื่นมาโดนตัวเขาที่สุด พลิกมือแล้วบิดข้อมือของหลี่หมิงฉวีออก


 


 


หลี่หมิงฉวีโอดครวญก่อนจะยกขาเตะเข้าที่บริเวณท้องของเหยียนเค่ออย่างไม่กลัวตาย


 


 


เหยียนเค่อตะแคงตัวหลบ ยกขาขึ้นถีบขาที่ช่วงก่อนหน้านี้เพิ่งจะรักษาจนหายดี


 


 


หลี่หมิงฉวีเจ็บจนร้องไม่ออก ขาข้างหนึ่งคุกเข่านั่งลงบนพื้น ขาอีกข้างก็แหกแยกออกไปด้านหน้าด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาด นั่งอยู่ท่านั้น เจ็บปวดเจียนตาย


 


 


เดิมทีก็มีความขัดแย้งกันทางอำนาจอยู่แล้ว พอลงมือทำร้ายร่างกาย บรรยากาศตึงเครียดในค่ำคืนนี้ก็ถูกจุดขึ้น


 


 


เฉิงนั่วและกลุ่มเพื่อนสมัยเด็กถีบแก้วน้ำไปทางเหยียนเค่อ ในมือถืออาวุธ


 


 


เหยียนเฟิงก็เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแบบออกนอกหน้าไม่ได้ จึงพาสวีอิ๋งอิ๋งมานั่งดูอยู่ข้างๆ


 


 


สถานการณ์โกลาหลในทันที หลายตระกูลที่มีความแค้นสะสมกันมานานก็เริ่มฉีกหน้ากัน


 


 


เหยียนเค่อไม่ว่าทางด้านไหนก็โดดเด่นที่สุดทั้งนั้น ตอนอยู่ยุโรปก็เคยติดตามทหารของหน่วยคอมมานโดที่เกษียณแล้วจึงได้เรียนวิชาต่อสู้ ทหารรับจ้างห้าคนยังสู้เขาไม่ได้ พวกลูกเศรษฐีที่เที่ยวเล่นใช้ชีวิตไปวันๆ เหล่านี้ต้องเทียบไม่ได้แน่นอน


 


 


แต่เมื่อจำนวนคนเยอะ เขาจึงถูกคนใช้เก้าอี้ฟาดลงบนร่างอยู่หลายทีเช่นกัน


 


 


ฉินซื่อหลานเข้ามาช่วยแก้ปัญหา แต่ท่าทางเหมือนมารอดูเรื่องสนุกมากกว่า


 


 


“ไอ้ห่าเอ๊ย นายมาหาเรื่องให้ฉันเพิ่มใช่ไหมวะเนี่ย”


 


 


ฝีมือของฉินซื่อหลานรวดเร็ว แม่นยำ และทรงพลัง แต่ไม่ใช่กับการชกต่อยปกติเช่นนี้ เหมาะกับการโจมตีใกล้ๆ เท่านั้น ถ้าในมืออีกฝ่ายมีอาวุธ เขาก็ไม่มีทางแสดงฝีมือออกมาได้เลย แถมยังต้องป้องกันสองมืออันล้ำค่าของตนอีก


 


 


คนของตระกูลฉู่และตระกูลสวีต่างก็ไม่รู้จะเข้าไปช่วยอย่างไร ไม่ว่าจะเข้าข้างฝ่ายใดต่างก็ต้องทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจทั้งสิ้น พวกซูอี้และเซ่าหมิงฟ่านที่เป็นคนค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีศัตรูคู่แค้นที่ไหนทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมและคอยห้ามอยู่ข้างๆ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าการที่ตนเดินไปเข้าห้องน้ำจะทำให้เกิดสงครามนองเลือดเช่นนี้ หลบอยู่ในมุมไม่กล้าออกมา แถมยังคิดในใจว่า แม้แต่พระเจ้ายังคิดว่างานหมั้นของสวีรั่วชีในครั้งนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเลย ฟ้ามีตาจริงๆ


 


 


เหยียนเค่อล้มเฉิงนั่วและคนของตระกูลหลี่อีกสองสามคนได้ ฉินซื่อหลานที่ตามอยู่ด้านหลังแอบเตะซ้ำไปอีกสองที


 


 


เพิ่งจะจัดการสองสามคนข้างหน้าไป ข้างหลังก็มีคนกระโจนเข้ามาอีกกลุ่มหนึ่ง ฉินซื่อหลานไม่ได้สังเกตว่ามีเก้าอี้ฟาดมาที่หลังของตน เหยียนเค่อเหลือบไปเห็นเข้า ก็หมุนตัวกระโจนเข้าไปรับไว้แทน เตะขาไปด้านหลังจนคนนั้นกระเด็นออกไป


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 224 หลังจบเรื่อง


 


 


วินาทีที่ฉินซื่อหลานถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนของเหยียนเค่อ เขาก็ตกตะลึงไปทันที คนที่โถมตัวใส่แผ่นหลังของตนร้องดัง อึก หนึ่งทีก่อนจะรีบปล่อยเขา หันไปก็เห็นว่าเหยียนเค่อหันไปล้มได้อีกสองคนแล้ว


 


 


สวีอันหรานใช้ข้ออ้างที่ว่า ‘ฉู่อวิ๋นไม่เคารพน้องสาวฉัน’ ทำร้ายเขาจนสลบเหมือดแล้วพาส่งโรงพยาบาล


 


 


สวีรั่วชีมองดูเขาที่เปลี่ยนไปอย่างประหลาดใจ ในใจรู้สึกรับไม่ได้


 


 


สวีอันหรานอย่างจะอธิบายกับเธอ แต่เสิ่นจิ้งเฉินพูดแทรกขึ้นมาก่อนว่าห้องโถงด้านหน้าวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว เขาสั่งกำชับให้สวีรั่วชีเข้าไปอยู่ในห้องดีๆ ส่วนตัวเขาจะออกไปจัดการปัญหาอันแสนเละเทะนั่นก่อน


 


 


คนที่กลัวมีเรื่องต่างก็แยกย้ายกลับไปไม่น้อยแล้ว ส่วนคนที่มีความแค้นก็ยังทะเลาะกันอยู่


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วออกจากห้องน้ำแล้วเดินกลับไปที่งาน ในใจรู้สึกถึงลางร้าย


 


 


ก็เห็นร่างของฉินซื่อหลานและเหยียนเค่อจากที่ไกลๆ รวมไปถึงกลุ่มคนที่ล้มระเนระนาดอยู่


 


 


คนฉลาดหลักแหลมอย่างเธอจึงโทร 110 เรียกตำรวจทันที


 


 


หลังจากเหยียนเค่อและทุกคนรู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนโทรเรียกตำรวจ แต่ละคนก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป มีเพียงสวีรั่วชีที่หัวเราะอย่างสะใจ


 


 


ตำรวจมาถึงอย่างรวดเร็ว ส่วนสวีอันหรานก็ออกมากู้สถานการณ์


 


 


ในที่สุดห้องโถงขนาดใหญ่ที่สับสนอลหม่านนี่ก็สงบลงเสียที


 


 


สวีอันหรานรีบส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล เมื่อเดินผ่านพวกเขาก็แสร้งเหยียบเข้าที่มือ ‘โดยไม่ได้ตั้งใจ’ อย่างสะใจ


 


 


ตำรวจมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาให้ปากคำกลับไม่มีสักคนยอมพูดว่าคนที่ก่อเรื่องคือใคร


 


 


เพราะว่าต่างก็เป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง ตำรวจต่างก็ไม่กล้าทำให้ใครไม่พอใจ เห็นว่าไม่ทะเลาะกันแล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบเก็บกองกำลังตำรวจกลับไปทันที


 


 


ความสัมพันธ์ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นแฟ้น ถึงจะแก้แค้นกันจนเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของประเทศแน่นอน


 


 


มีความโกรธแค้นใดก็จะชำระแค้นกันโดยส่วนตัว ถ้ามาชำระแค้นกันข้างนอกต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน


 


 


เหยียนเค่อสะบัดข้อมือที่บวมช้ำ มองดูคนกลุ่มนั้นที่ถูกหามออกไปก็รู้สึกสะใจ


 


 


พอตำรวจมา ซย่าเสี่ยวมั่วก็วิ่งกลับเข้ามา ตอนเดินผ่านหลี่หมิงฉวียังจงใจเหยียบมือที่มาโอบเอวเธออย่างแรงอีกด้วย


 


 


เหยียนเค่อได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลังก็หันไปมอง


 


 


“นายไม่เป็นไรนะ?” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เห็นข้อมือเขาจึงถามขึ้น


 


 


“ไม่เป็นไร” เหยียนเค่อเกร็งหลัง ไม่กล้าขยับมาก


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะขอบคุณที่เขาล่มงานหมั้นของสวีรั่วชี จู่ๆ ก็ถูกเสิ่นจิ้งเฉินที่มาจากไหนไม่รู้ขัดจังหวะเข้าเสียก่อน


 


 


“ทำไมนายวู่วามแบบนี้วะ!” เสิ่นจิ้งเฉินถลาเข้าไปชกเหยียนเค่อเข้าหนึ่งทีอย่างเดือดดาล แต่ถูก


 


 


ฉินซื่อหลานห้ามเอาไว้เสียก่อน


 


 


“ไอ้รองบาดเจ็บอยู่ จะทำอะไรก็ดูหน่อย”


 


 


“แม่งเอ๊ย ใครกันแน่ที่ไม่ดูให้ดีน่ะฮะ ไปทำให้พวกนั้นเจ็บตัวขนาดนั้น ถ้าเป็นไอ้ใหญ่ฉันก็จะทนหรอกนะ แต่คนที่ไม่เหมาะสมจะทำแบบนี้อย่างนายคิดจะหาเรื่องหรือไง!” เสิ่นจิ้งเฉินปวดกบาล คุยกันดิบดีแล้วแท้ๆ ว่าออกไปก่อนค่อยคิดบัญชี…


 


 


ต่อให้ไอ้สารเลวฉู่อวิ๋นนั่นมาสาย แต่พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำร้ายอีกฝ่ายนี่นา


 


 


เหยียนเค่อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันไม่ได้เริ่มก่อนสักหน่อย หลี่หมิงฉวีดึงตัวฉันก่อน อีกฝ่ายจงใจยั่วโมโห แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”


 


 


เซ่าหมิงฟ่านที่เพิ่งไปลบคลิปวิดีโอแล้วกลับมาดูเรื่องสนุกถึงกับกระอักเลือด


 


 


“จริงหรือเปล่า” เสิ่นจิ้งเฉินถามเซ่าหมิงฟ่านอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


เซ่าหมิงฟ่านพยักหน้าอย่างเอือมระอา “จริง” หลี่หมิงฉวีดึงตัวเหยียนเค่อไว้ก่อนจริงๆ แต่ยั่วยุหรือเปล่านั้นไม่มีใครรู้


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่บนโซฟาถูกทุกคนละเลย ทำได้เพียงจัดระเบียบความสัมพันธ์ของพวกเขาเงียบๆ


 


 


สวีอันหรานเห็นซย่าเสี่ยวมั่ว ก็เดินเข้ามาตบบ่าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เธอไปหาเสี่ยวชีเถอะ อยู่ที่นี่เดี๋ยวโดนลูกหลง”


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินเพิ่งจะเห็นเธอ จึงรีบร้อนเข้ามาถาม “ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”


 


 


“ไม่ค่ะๆ” เธอโบกมือ ดึงแขนเสื้อเสิ่นจิ้งเฉินไว้ อาศัยจังหวะนี้พูดฟ้องขึ้น “ฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องขอ


 


 


งหลี่หมิงฉวีเหมือนกัน แถมวันนี้เขายังมาลูบมาคลำฉันด้วย!”


 


 


ในยามนี้ถ้าไม่หาที่พึ่งก็ไม่มีเวลาที่เหมาะสมแล้ว


 


 


เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินแล้วก็โมโห กำหมัดแน่นจนข้อต่อนิ้วลั่นดัง กร๊อบ “ฉันเข้าใจแล้ว เธอรีบไปอยู่กับสวีรั่วชีเถอะ”


 


 


“อืม”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม