บุปผาเคียงบัลลังก์ 201-221
201 หลิ่วเหยียนได้แผนการ
เมื่อนาทีก่อนหลิ่วเหยียนยังคิดแผนรับมือไม่ได้ แต่ในชั่วขณะที่ได้ยินเสียงมั่วมั่วก็บังเกิดแผนการขึ้น
หลิ่วเหยียนหันหลังให้มั่วมั่ว ฟังปากของนางพร่ำพูดไม่ได้หยุด นังเด็กคนนี้อะไรๆ ก็ดีหมด เสียแต่ถูกหลอกง่าย โง่เกินไป ไม่มีทางไปได้ถึงไหนในวังนี้
หลิ่วเหยียนเติมฟืนในเตาไฟเล็กแล้วตั้งกาต้มชา จากนั้นหันกลับมายิ้มหวาน
มั่วมั่วมองดูนางอย่างกระตือรือร้น นางกำนัลในวังนั้นแบ่งเป็นหลายระดับ นางกำนัลที่ครอบครัวมีฐานะก็จะถูกส่งเข้าวังเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล แต่ส่วนมากจะเป็นแบบหลิ่วจุ้ยกับหลิ่วเหยียนที่เพราะครอบครัวยากจนจึงต้องเข้าวังมาเพื่อปากท้อง
และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วจะต้องทำงานที่ลำบากที่สุด ต่ำชั้นที่สุดของในวัง
พวกที่กดหัวรังแกพวกนางไม่ได้มีแต่นายหญิงน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังมีนางกำนัลที่มีเรื่องด้วยไม่ได้อีกสารพัน พวกนางต่ำต้อยราวมดปลวก เงามืดในใจพวกนางจึงเกิดจากความรู้สึกต้อยต่ำที่ยิ่งก่อตัวเพิ่มขึ้นทุกที
และนี่จึงทำให้พวกนางได้เรียนรู้ว่า เมื่อมีโอกาสคราใดให้รีบลงมือโจมตีฝ่ายตรงข้าม หากต้องการประสบความสำเร็จในสถานที่นี้ หลิ่วเหยียนมีความเชื่ออย่างลึกล้ำว่า ฟ้าดินจะไม่ปรานีคนที่ไม่เห็นแก่ตัวเอง
ดังนั้น ‘มั่วมั่ว ขอโทษนะ!’
หลิ่วเหยียนพูดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่บนใบหน้าหรือแม้แต่ภายในใจไม่ได้มีความรู้สึกลำบากใจใดๆ เพราะนางมีพื้นเดิมเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว
“นี่พี่ คราวนี้เซียงฉือคงไม่รอดแล้วใช่ไหม ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีวันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข”
มั่วมั่วรู้สึกสุขใจ ถึงแม้นางจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับหลิวชิง แต่เพราะหลิ่วเหยียนบอกนางว่า เดิมจินกุ้ยเฟยคิดจะส่งเสริมนาง แต่จู่ๆ อวิ๋นเซียงฉือก็ปรากฏกายขึ้นดังนั้นในตอนนี้มั่วมั่วจึงใจร้อนอยากให้เซียงฉือถูกตัดสินโทษ
“น้องสาว เจ้าน่ะอยู่ในวังยังไม่นานพอก็เลยไม่รู้เรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนที่โสมมพวกนั้นสินะ”
หลิ่วเหยียนยกน้ำชาที่เตรียมเสร็จแล้วออกมานำไปวางไว้เบื้องหน้ามั่วมั่ว
แต่คำพูดนี้ของนางทำให้มั่วมั่วต้องขมวดคิ้วแน่น
“พี่ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
หลิ่วเหยียนดื่มชาคำหนึ่งนิ่งๆ สมาธิแน่วแน่ไม่วอกแวก กวาดตามองถ้วยชาของมั่วมั่วแล้วถอนใจเบาๆ
“เจ้าน้องโง่เอ๊ย พวกเราพี่น้องอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว พี่ก็เห็นเจ้าเป็นน้องสาวอย่างจริงใจ ถึงได้พูดแบบนี้กับเจ้า”
“เฮ้อ พี่ก็ทนไม่ได้หรอกนะที่จะต้องเห็นเจ้ากลายเป็นเครื่องสังเวยในการแก่งแย่งกันในวังแบบนี้”
หลิ่วเหยียนขมวดคิ้วแล้วจิบน้ำชาต่อ ดูราวกับเป็นห่วงมั่วมั่วอย่างยิ่ง แต่คำพูดนางมีแต่จะทำให้มั่วมั่วงงงวย
“พี่ เหตุใดถึงพูดเช่นนี้ ข้างงไปหมดแล้ว”
มั่วมั่วไม่สนใจดื่มชา นางดึงมืองามๆ ของหลิ่วเหยียนไว้บีบจนแน่น ราวกับมันคือฟางช่วยชีวิตในนาทีสุดท้าย
หลิ่วเหยียนจึงตอบไปด้วยท่าทีสงบ
“ฟังไม่เข้าใจหรือน้องเอ๋ย เจ้าจำเรื่องที่ใต้เท้าชิงอี๋มาถามคำถามในวันนี้ได้ไหม สอบถามที่ไปที่มาของนางกำนัลเล็กๆ อย่างพวกเราเรียงตัวไปเลย ยังมีอีกนะ ใต้เท้าสวี่อี้ไม่อนุญาตให้หมัวหมัวในกองคดีลงทัณฑ์อวิ๋นเซียงฉือเลย เจ้ารู้ไหมล่ะว่าทำไม”
หลิ่วเหยียนยังคงมีท่าทางสงบ แต่คำพูดที่ฟังดูลึกลับนั้นทำให้มั่วมั่วต้องขมวดคิ้วแน่นแล้วนิ้วก็กำแน่นโดยไม่รู้ตัว
นางมีความเชื่อถือหลิ่วเหยียนอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้นางยังพูดออกมาเช่นนี้อีก
ใจของนางจึงไม่อาจสงบลงได้
“พี่หลิ่วเหยียน เรื่องพวกนี้เกี่ยวพันกันยังไง ไม่ใช่เพื่อชี้ยันตัวเซียงฉือ…”
มั่วมั่วเอ่ยปาก นางไม่เข้าใจเรื่องที่หลิ่วเหยียนพูดมานี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่นางมองดูท่าทางของหลิ่วเหยียนแล้วเกิดความรู้สึกไม่สู้ดี
202 หลิ่วเหยียนหลอกล่อ
มั่วมั่วยังพูดไม่จบ หลิ่วเหยียนก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยิ่งทำให้มั่วมั่วใจฝ่อ
“พี่ก็พูดมาเถอะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกันอย่างไร เหตุใดถึงได้บอกว่าข้าจะกลายเป็นเครื่องสังเวยกันล่ะ”
มั่วมั่วเริ่มร้อนรน สายตาล่อกแล่ก เพราะการพูดค้างๆ คาๆ ของหลิ่วเหยียนเช่นนี้ ทำให้นางสงสัยและหวาดหวั่น
กฎเกณฑ์ต่างๆ ในวังนางไม่รู้เรื่องและไม่อาจมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปรงเช่นหลิ่วเหยียน แต่คำพูดของหลิ่วเหยียน ทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าตนเองจะมีชีวิตไม่ยืนยาว
หลิ่วเหยียนเห็นท่าทางลนลานของมั่วมั่วแล้วก็รู้ว่าตนเองสามารถแทรกเข้าไปในใจของนางได้แล้ว อย่างน้อยคำพูดพวกนั้นก็คงทำให้นางหวั่นไหวได้บ้าง ยังไงนางก็ไม่ใช่คนที่มีความคิดมากนักอยู่แล้ว
มั่วมั่วเขย่าแขนหลิ่วเหลียน น้ำเสียงยิ่งร้อนรนขึ้น
“พี่ พี่สาวคนดีรีบบอกข้าเถอะ ในวังนี้ข้าก็มีแต่พี่คนเดียวเท่านั้นที่เชื่อถือได้” มั่วมั่วลนลานด้วยรู้สึกยิ่งกังวลใจ นางเชื่อว่าหลิ่วเหยียนไม่โกหกพกลม เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีสาเหตุ
หลิ่วเหยียนเมื่อเห็นถึงเวลาแล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า ใต้เท้าสวี่อี้คนนั้นเห็นชัดว่าเข้าข้างเซียงฉือ วันนี้เจ้าหากระโปรงเปื้อนเลือดพบแล้วนำไปส่งที่กองคดี เจ้าคิดว่าเป็นผลงานความชอบหรือ เจ้าอย่าลืมนะว่าในตอนนั้นเซียงฉือไม่ลนลานสักนิดเดียว รู้ไหมล่ะว่าทำไม”
หลิ่วเหยียนจิบชาอย่างมีจังหวะจะโคนเป็นธรรมชาติไม่จงใจ แต่เมื่อถามคำถามแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้มั่วมั่วก็ไม่รู้ว่าทำไม
“นั่นน่ะสิ แล้วทำไมหรือ”
มั่วมั่วถาม นางไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีปัญหาตรงไหน ถึงหลิ่วเหยียนจะบอกว่าสวี่อี้ช่วยเหลือเซียงฉือ นางยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดอยู่ เพราะตามที่เคยปฏิบัติกันมา หากในวังมีคนตายขึ้นมา ไม่ว่าใครมาตรวจสอบล้วนทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้หายไป
แต่เรื่องในตอนนี้มีหลักฐานตั้งมากมาย สวี่อี้ทั้งไม่ยอมปล่อยแต่ก็ไม่ได้ลงทัณฑ์
“ทำไมน่ะหรือ เฮอะๆ…”
“เจ้าน้องโง่ พวกนางกำลังหาคนตายแทนอย่างไรล่ะ!”
“วันนี้เจ้าล่วงเกินเซียงฉือ น่ากลัวว่าคนที่พวกนางจะคิดถึงก่อนเพื่อนก็คือเจ้านี่แหละ”
นิ้วมือที่ทากระวานสีแดงของหลิ่วเหยียนจิ้มเบาๆ ไปบนหน้าผากมั่วมั่ว แต่น้ำเสียงเย็นเยียบอย่างอับจนปัญญาแบบนั้นฟังเหมือนหนังสือพิพากษาสำหรับมั่วมั่ว นางนั่งกลับลงยังที่เดิมอย่างแรงทำอะไรไม่ถูก
“พี่ แล้วเรื่องวันนี้ ข้า พวกนาง จะทำอย่างไรดี!”
มั่วมั่วตื่นตระหนก เรื่องที่หลิ่วเหยียนพูดมานางไม่สามารถพิจารณาได้ทัน แต่จิตใจถูกคำพูดของหลิ่วเหยียนสั่นสะเทือนจนพูดอะไรไม่ถูก
คำพูดสับสนเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร จะแก้ตัวแบบไหน
“พี่ก็รู้นี่นาว่าไม่ใช่ข้านะ แล้วเหตุใด…”
“พี่พูดไม่ใช่หรือว่าพวกนางใกล้จะปิดคดีได้อย่างง่ายดายแล้ว หลักฐานก็มีแล้ว แต่เหตุใดถึงต้องเป็นข้า มันไม่ถูกต้องนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าอย่างสิ้นเชิง…”
ถึงแม้ความคิดของมั่วมั่วจะสับสนอยู่ คำพูดของหลิ่วเหยียนก็ฟังดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่นางยังพอจับประเด็นสำคัญได้
หลิ่วเหยียนเองก็รู้ว่าคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนั้น ไม่อาจจะหลอกนางได้ทั้งหมด
ดังนั้นจึงได้พูดต่อ
“เด็กโง่เอ๊ย เจ้ามาอยู่ตำหนักอวี้หยวนนานแค่ไหน แล้วเซียงฉือล่ะนานแค่ไหน เหตุใดคนอื่นไต่เต้าขึ้นเป็นถึงนางกำนัลอาวุโสได้ ส่วนเจ้ายังไม่ก้าวหน้าสักที นั่นน่ะเพราะเขามีคนคอยหนุนหลังกันอยู่”
“เรื่องในวันนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้สืบสวนถึงที่สุด เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคนคนนี้จะถูกคนในตำหนักอวี้หยวนฆ่าตายหรือไม่ก็ตาม สวี่อี้จะต้องหาคนออกมารับผิดให้ได้ ถ้าหากเป็นเซียงฉือไม่ได้แล้ว เช่นนั้นจะเป็นใครกันล่ะ”
203 มั่วมั่วหลงกล
การที่หลิ่วเหยียนสามารถเป็นนางกำนัลอาวุโสในตำหนักอวี้หยวนได้นั้น สิ่งสำคัญคือปากที่พูดเก่งของนางที่รู้จักใช้ได้ถูกที่ถูกเวลา ทั้งยังรู้วิธีหลอกล่อคนอีกด้วย
และเพราะแบบนี้นางจึงยังอยู่ได้โดยไม่ล้มในวังนี้ ส่วนมั่วมั่วนั้นโง่เขลาแต่ไรมา ทั้งยังคอยติดสอยห้อยตามนาง เพียงนางหลอกล่ออีกสักเล็กน้อย มั่วมั่วย่อมต้องเชื่อคำพูดนาง
เมื่อเห็นมั่วมั่วบิดผ้าเช็ดหน้าที่ถืออยู่ในมือจนแน่นก็รู้ว่างานนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“น้องสาว ข้ากับเจ้าทำงานร่วมกันมาหลายปี เจ้าเคยเห็นพี่โกหกเจ้าหรือ เรื่องนี้ข้าสอบถามมาจากเกาหมัวหมัวของกองคดี วันนี้นางถูกดุด่าทำร้ายก็เพราะไปโต้แย้งเรื่องของเซียงฉือนั่นแหละ”
“เจ้าน่ะไม่รู้บ้างเลยว่าในวังนี้มีคนมากมายที่ไม่เลือกวิธีการลงมือเพื่อให้ตนเองอยู่รอด”
หลิ่วเหยียนวางมือทาบลงบนหลังมือมั่วมั่วแล้วปลอบนางเบาๆ
นางรู้ว่าตอนนี้ใจของมั่วมั่วเริ่มคลอนแล้ว เพียงนางให้ยาแรงเร่งอีกนิด เมื่อนั้นทุกสิ่งก็จะสำเร็จ
หลิ่วเหยียนถอนใจแล้วมองดูสายตาที่ซึมทื่อของมั่วมั่ว
“น้องสาว ตอนนี้เจ้าจะมามัวโง่รออยู่ไม่ได้ จะต้องรุกเข้าจู่โจม ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่เป็นฝ่ายรอความตาย สาวใช้ที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้ในตำหนักเรายังมีน้อยเกินไปหรือไร ไม่ต้องไปสนใจว่าพวกนางเตรียมจะใส่ร้ายใคร อย่างน้อยพาตัวเองออกให้พ้นก่อน คนถ้าไม่เห็นแก่ตัวฟ้าดินจะไม่ปรานีนะ”
คนไม่เห็นแก่ตัวฟ้าดินจะไม่ปรานี!
มั่วมั่วจับจุดสำคัญของคำพูดนี้ได้ สายตาที่มืดหม่นเมื่อครู่จึงเปล่งประกายขึ้นมาทันที
“พี่ช่วยข้าด้วย พี่หลิ่วเหยียน พี่ต้องมีวิธีแน่ๆ ใช่ไหม!”
“วันนี้พวกนางกำนัลพากันลือรื่องที่เหลียนชินอ๋องที่นุ่มนวลเสมอมาเกิดโทสะหนัก เห็นท่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในแน่ๆ พี่นี่ฉลาดจริงๆ แม้แต่กุ้ยเฟยยังชมว่าพี่ฉลาด พี่ต้องช่วยข้าได้แน่ จากนี้ไปข้าจะเชื่อฟังพี่อย่างแน่นอน”
“พี่หลิ่วเหยียนจะให้ข้าทำอะไรข้าก็จะไปทำ พี่หลิ่วเหยียนจะต้องช่วยข้านะ”
“วันนี้เรื่องที่ข้าทำเซียงฉือจะต้องเกลียดแค้นข้าแน่ นางจะต้องปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใส่ร้ายให้ข้าตาย!”
สาวใช้นางนั้นขยับแขนไปมา น้ำมูกน้ำตาร่วงอ้อนวอนหลิ่วเหยียน ซึ่งนางยิ้ม
“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ถ้าเจ้าเชื่อพี่พี่ก็จะคิดหาวิธีการให้ ในวังนี้การจะมีชีวิตอยู่ต่อไปคือสิ่งสำคัญที่สุด เจ้าว่าใช่ไหม”
พูดจบหลิ่วเหยียนก็เข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูมั่วมั่วอยู่หลายคำ เมื่อเห็นนางมือเท้าเย็นตาแข็งทื่อ หลิ่วเหยียนจึงพูดปลอบแล้วส่งนางกลับไป
ในวังไม่เคยขาดคนฉลาดหลักแหลม หลิ่วเหยียนสามารถอยู่รอดถึงวันนี้ได้ สิ่งสำคัญคือนางมีความอำมหิตและละเอียดรอบคอบ
เมื่อครู่นางยังกังวลและหวาดกลัวอยู่ แต่ตอนนี้นางได้สร้างการป้องกันขึ้นถึงสองชั้น
ถึงจะไม่รู้ว่าวันนี้สวี่อี้ได้หลักฐานอะไรมาไว้ในมือ
แต่นางจะไม่สนใจว่าเป็นหลักฐานแบบไหน นางจะทำให้ง่ายที่สุดก็คือทำลายมันทิ้งเสีย
แต่นางก็ยังกลัวว่านี่อาจจะเป็นกับดัก
แน่นอนว่าการที่นางมีความรู้สึกตื่นตัวเช่นนี้ได้นั้นต้องขอบคุณจินกุ้ยเฟย อีกทั้งบรรดาเจ้านายที่ว่างเกินไปวันๆ คิดแต่จะทรมานสาวใช้ที่ทำให้นางได้เรียนรู้ สมัยนั้นนางยังเป็นเพียงคนรับใช้ระดับล่าง
เป็นเพราะว่ากินไม่อิ่มท้อง ดังนั้นจึงมักไปขโมยกินของว่างของเจ้านาย
พอเจ้านายจับได้ก็จะสอบถามหาตัวคนขโมย คนที่ยอมสารภาพเองจะถูกทำโทษให้อดข้าวหนึ่งวัน แต่ถ้าหากไม่ยอมรับแล้วถูกจับได้จะถูกตีสามสิบไม้
ทั้งหมดที่ยอมรับสารภาพจะถูกเจ้านายทรมานเจียนตาย ดังนั้นนางรู้ว่าการยอมรับสารภาพเองก็คือความตายจึงมีเพียงคิดหาวิธีให้คนอื่นออกรับแทน เพื่อที่นางจะได้มีทางรอด
204 คุยกันฉันหญิง
อากาศในเมืองหลวงนี้ค่อนข้างเย็นเสมอมา พอถึงค่ำคืนของฤดูร้อนจะอบอุ่น ลมที่พัดมาให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง
คืนนี้ สวี่อี้เพื่อต้องการสืบหาความจริงจึงได้ใช้แผนใหญ่ที่หรงเฉิงเยี่ยวางเอาไว้ แผนการนี้เพื่อจะล่อให้คนร้ายตัวจริงออกมา แต่ว่าแผนการเช่นนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนร้ายจะติดกับหรือไม่
แน่นอนว่าเหยื่อใหญ่แบบนี้ สวี่อี้เองก็ไม่แน่ใจว่าในเวลานั้นจะสามารถทนนิ่งอยู่ได้เหมือนในขณะนี้หรือไม่
ขณะนี้นางกำลังจิบชาอยู่กับเซียงฉือ พูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตราวกับทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อมาพบหน้ากันจึงมีเรื่องคุยไม่รู้จบ โดยเฉพาะการได้เสพสุขด้วยบทกลอนและตัวอักษรร่วมกับเซียงฉือ
วันนี้พวกนางไม่คุยกันเรื่องคดี ไม่พูดเรื่องความอยุติธรรมที่บ้านสกุลอวิ๋นได้รับ คุยกันแต่เรื่องสนุกๆ ตามประสาหญิงสาว
“น้องเซียงฉือ ตัวอักษรของเจ้านี่ช่างงดงามโดดเด่นหาใดเสมอเหมือน อ่อนช้อยพลิ้วเบา มีความไม่ไยดีต่อโลก แต่รุ่งโรจน์หากอยู่บนเส้นทางข้าราชการ เหมือนดั่งเจตจำนงท่านปู่อย่างมาก วันนี้นับว่าสวี่อี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
สวี่อี้ยกถ้วยขึ้น คืนนี้นางตั้งใจจะไม่นอนตลอดคืน ถึงนางจะไม่พูด แต่การดื่มชาเข้มข้นถ้วยแล้วถ้วยเล่าเช่นนี้ทำให้เซียงฉือคาดเดาได้ อีกทั้งวันนี้ที่ได้หลักฐานมา จนถึงเวลานี้นางก็ยังไม่เอ่ยปากออกมาสักคำ ถึงสวี่อี้จะไม่บอกหรือหรงเฉิงเยี่ยจะไม่บอกก็ตาม
แต่เซียงฉือก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วยแล้วบางส่วน เกรงว่านางทั้งสองจะต้องร่วมแสดงละครเรื่องเดียวกัน มิเช่นนั้นหรงเฉิงเยี่ยคงไม่ผ่อนคลายเช่นนี้ และสวี่อี้คงจะไม่จริงจังแบบนี้ เจตนาเลือกวันนี้ทำความรู้จักกับนาง และคงจะรู้เรื่องนางอย่างปรุโปร่ง
นางเองก็รู้แจ้งแต่พูดไม่ได้
เซียงฉือยิ้มแล้วมองดูตัวอักษรที่เพิ่งเขียนขึ้น สวี่อี้เป่าเบาๆ อย่างหวงแหน
แต่พลันเซียงฉือคิดถึงใครคนหนึ่ง ยิ่งในเวลาเช่นนี้จะยิ่งคิดถึงเป็นพิเศษ คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คิดถึงรอยยิ้มที่อบอุ่นของเขา
ท่านปู่เข้มงวดมาก เซียงฉือไม่ได้มีลายมือดีมาตั้งแต่เล็ก บ่อยครั้งเหลือเกินที่ถูกทำโทษให้คัดแล้วคัดเล่า คัดไปทั้งน้ำตา ความทรงจำตอนนั้นไม่ดีเท่าไร
แต่ในเวลาเช่นนั้นเหอเจี่ยนสุยจะยกโต๊ะเล็กๆ มานั่งข้างนาง แล้วเขียนหนังสือ วาดภาพเป็นเพื่อนนาง
ตอนนี้ถ้าเขาอยู่ที่นี่ จะต้องวาดภาพดอกท้อได้สมจริงจับตายิ่งกว่าเป็นแน่
“กำลังคิดอะไรอยู่”
สวี่อี้เห็นเซียงฉือกำลังคิดจนเลื่อนลอยจึงได้รอสักครู่แล้วถามออกไปเบาๆ
เซียงฉือเงยหน้ามองสวี่อี้ยิ้มๆ แล้วพูดว่า
“บทกลอน อักษร ภาพวาด ดูเหมือนจะยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง”
“มิใช่หรือ?”
เซียงฉือยิ้มในดวงตาใสกระจ่าง แต่เมื่อใจหวั่นไหวเล็กน้อย นางก็เริ่มคิดถึงเหอเจี่ยนสุย นางจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ จะมัวยึดเขามาเป็นฟางช่วยชีวิตของตนไม่ได้ พอเกิดความจำเป็นคราใดก็จะคิดถึงทุกครั้ง
แบบนี้จะเป็นภาระแก่นาง และเป็นภาระของเหอเจี่ยนสุยด้วยเช่นกัน
“นั่นสินะ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ยากแล้ว พี่เจี่ยนสุยบ้านสกุลเหอตอนนี้มาถึงเมืองหลวงเข้ารับหน้าที่เสนาบดีฝ่ายการศึกษาแล้ว วันข้างหน้าย่อมมีโอกาสได้พบหน้ากันเป็นแน่”
“อืม…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้สวี่อี้ก็รู้สึกแปลกใจ สายตาเซียงฉือใสกระจ่าง แต่ไหวระยิบ นางจึงพูดต่ออย่างไม่เก็บซ่อนคำพูด
“นี่ย่อมจะมีโอกาส น้องสาวคนดีอย่าได้ละทิ้ง ครั้งนี้ลองสอบข้าราชสำนักสตรีดู ถึงจะบอกว่าติดขัดเรื่องสถานะของเจ้า แต่เหลียนชินอ๋องจะต้องช่วยได้แน่ๆ เจ้าจะต้องมีความหวังนะ”
เซียงฉือที่ท้อแท้ใจอยู่ถูกสวี่อี้มองออกและพูดออกมาจนได้
ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวัง ทุกวันนางจะคาดหวังแล้วก็ผิดหวัง แต่ว่านางก็อยู่อย่างเข้มแข็งตลอดมา การได้มีชีวิตอยู่รอดเป็นโชคดีอย่างที่สุด หากจะได้มากกว่านั้นนางก็จะไม่ปิดกั้นตนเอง
ตอนที่ 205 คืนลมฝนกระหน่ำ
การอยู่ในวัง แผนการนั้นคนเป็นคนกำหนด ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับฟ้า
แรกเริ่มในคืนนี้ลมราตรียังพัดอย่างสงบ แต่จู่ๆ เกิดมีฝนตกหนักลงมา สายลมบ้าคลั่งพัดกิ่งท้อกระทบหน้าต่าง พาใจให้รู้สึกหงอยเหงา
สวี่อี้หาผ้าคลุมมาคลุมให้เซียงฉือ ลมในยามราตรีจะค่อนข้างเย็น
เซียงฉือเห็นปฏิกิริยานั้นแล้วก็หันกายกลับมายิ้มน้อยๆ กับนาง
“ขอบใจมาก สวี่อี้”
สวี่อี้ยิ้มตอบจางๆ อารมณ์สบายๆ ของเมื่อครู่ถูกเก็บขึ้นแล้ว ทั้งสองหยุดสนทนาเรื่องบทกลอนความรัก เพราะเพิ่งมีข่าวคราวเข้ามาถึงหูของสวี่อี้เมื่อครู่
พวกนางจัดแจงเสื้อผ้าให้กระชับ รอคอยคนที่พวกนางเฝ้ารอมาทั้งคืนคนนั้น
“น้องสาวคนดี วันนี้แหละที่จะเปิดโปงโฉมหน้าแท้จริงของคนคนนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงจะไม่มีหลักฐานโดยตรง แต่เพียงความเคลื่อนไหวของนางในวันนี้ อย่างไรพวกเราก็มีโอกาสแล้ว”
สวี่อี้พูดจบก็ถือโคมไฟเดินนำออกประตูไป นางพาหมัวหมัวผู้ดูแลของกองคดีไปด้วยสองคน ทั้งยังมีทหารองครักษ์ที่จัดเตรียมไว้อีก
คืนนี้นางจะปิดประตูตีแมวจึงจงใจปล่อยด้านหน้าของกองคดีให้ว่างแต่กระชับข้างในไว้ เพื่อจะล่อให้พวกตีนแมวคิดว่าสบโอกาส
เมื่อครู่หลิวหมัวหมัวมาแจ้งว่ามีคนของตำหนักอวี้หยวนมาจริงๆ
สวี่อี้กับเซียงฉือจะยังไม่ปรากฏตัวออกมา สวี่อี้สั่งการหลิวหมัวหมัวแล้วให้นางออกไปต้อนรับ ส่วนพวกนางหลบอยู่ในมุมมืดเพื่อแอบดูฝ่ายตรงข้าม
“แม่นางมาจากตำหนักไหน ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดจึงมายังกองคดีอีก”
หลิวหมัวหมัวก็เป็นคนผ่านประสบการณ์มามาก ถึงแม้จะตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงหญิงสาวจึงค่อยวางใจและเป็นธรรมชาติขึ้น
นางผ่อนคลายแล้วแต่อีกฝ่ายคือมั่วมั่วที่ยังตื่นเต้น ถึงหลิ่วเหยียนจะกำชับไว้หลายรอบ แต่เมื่อมาถึงกองคดีจริงๆ ก็ไม่วายต้องหวาดกลัว
อีกทั้งลมฝนที่ข้างนอกยิ่งทำให้ใจนางหวั่นไหว
“หมัวหมัว ข้ามาจากตำหนักอวี้หยวน แม่นางเซียงฉือถูกคุมขังอยู่ในกองคดีนี้ ข้าได้รับพระบัญชาจากกุ้ยเฟยให้มาส่งเสบียงให้นาง และยังมีคำพูดที่จะฝากถึงนางอีกด้วย ขอหมัวหมัวได้โปรดอำนวยความสะดวกให้ด้วยเถิด”
หลิวหมัวหมัวฟังคำพูดนั้นแล้วไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่ แต่ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างประจบ ทำให้เซียงฉือที่แอบอยู่ด้านข้างต้องยกหัวแม่มือไปทางสวี่อี้
คนที่เลือกไม่เพียงร้ายกาจแต่การแสดงก็ยังดีอีกด้วย ฉากนี้หากเป็นตนเองก็คงจะหลงเชื่อเช่นกัน ในวังนี้เป็นที่ซ่อนเสือซุ่มมังกรจริงๆ
“โอ้ย พวกเราในวังมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าอีกหน่อยกุ้ยเฟยก็จะได้เป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน พระดำรัสของกุ้ยเฟยก็คือพระราชเสาวนีย์ข้ารู้ดี แม่นางพูดแบบนี้เห็นเป็นอื่นไกลไปได้”
“ข้าจะส่งเสบียงเข้าไปให้เอง แม่นางรออยู่ในห้องนี้สักครู่ก่อนก็แล้วกัน”
หลิวหมัวหมัวพูดให้มั่วมั่วคลายกังวลแล้วจะนำเสบียงไปจากมือนาง
แต่มั่วมั่วเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วย่อมไม่มีทางที่จะล้มเลิก นางยึดอีกด้านหนึ่งของกล่องอาหารไว้แล้วยิ้มกระอักกระอ่วน
“เมื่อครู่หมัวหมัวคงยังฟังไม่ชัดเจน กุ้ยเฟยของพวกเรามีพระดำรัส จะให้ข้าบอกกับแม่นางเซียงฉือด้วยตนเอง ถ้าหมัวหมัวเป็นคนที่เข้าใจอะไรดีก็ควรให้ข้าเข้าไปเอง”
คำพูดพวกนี้หลิ่วเหยียนเป็นคนสอนนางมา นางเป็นเพียงคนรับใช้ระดับล่างในตำหนักที่วันๆ ทำแต่งานหนัก เรื่องแบบนี้หากไม่ใช่หลิ่วเหยียนแนะนำให้ มีหรือที่นางจะกล้าพูดออกมา
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เอาเข้าจริงกลับไม่มีความมั่นใจเพียงพอ หลิวหมัวหมัวเหลือบมองดูนาง เริ่มรู้สึกไม่พอใจ “แม่นางพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เพราะข้าหวังดีหรอกนะ ในคุกน่ะมีหนูยั้วเยี้ยไปหมด แมลงสาบก็แทบจะกินคนได้ แม่นางไม่รับความหวังดีก็ช่าง แต่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างใด”
ตอนที่ 206 หลอกล่อเหยื่อ
หลิวหมัวหมัวหน้างอเป็นจวักดูก็รู้ว่านางกำลังไม่พอใจ มั่วมั่วยังคงยืนลอบทอดถอนใจอยู่กับที่ เป็นแบบที่พี่หลิ่วเหยียนบอกไว้จริงๆ
หลิวหมัวหมัวยึดกล่องอาหารไว้อย่างเหนียวแน่น มั่วมั่วแรงน้อยกว่าไม่สามารถดึงให้หลุดได้ ต้องโอดครวญในใจว่าตนเองทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่างจริงๆ
หลิวหมัวหมัวเลิกคิ้วที่หนาและดำของตน มองดูมั่วมั่วอย่างเหยียดหยาม
“เจ้าคนนี้นี่ ข้าดูเจ้าไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย เป็นนางกำนัลอาวุโสของตำหนักอวี้หยวนจริงหรือ หรือว่าแอบอ้างพระราชเสาวนีย์ของกุ้ยเฟย”
“บังอาจมาพูดจากับข้าแบบนี้ คอยดูเถอะว่าข้าทำงานยุติธรรมแค่ไหน จะให้เจ้าเข้าไปอยู่ในคุกใหญ่สักคืน!”
สีหน้าหลิวหมัวหมัวเกรี้ยวกราดต่างกับความนุ่มนวลและมีอัธยาศัยของเมื่อครู่ลิบลับ ทำให้มั่วมั่วเริ่มหวาดกลัว แต่ในใจกลับยิ่งเชื่อมั่นหลิ่วเหยียนอย่างเต็มเปี่ยม
นั่นเพราะนางรู้ทุกอย่างจริงๆ จึงทำให้ยิ่งเชื่อถือคำพูดของนาง
เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงหยิบถุงเงินออกมาจากข้อมือ แล้วยิ้มส่งให้หลิวหมัวหมัว พูดว่า
“หมัวหมัวอย่าโกรธไปเลย ในเมื่อนางกำนัลอาวุโสในตำหนักเราถูกจับมาคนหนึ่ง กุ้ยเฟยจึงต้องหาอีกคนหนึ่งขึ้นมาแทน จากนี้พวกเราก็คุ้นเคยกันแล้วล่ะนะ นี่เป็นของขวัญแรกพบหน้าที่ข้าขอมอบให้ หวังว่าหมัวหมัวเป็นผู้ใหญ่จะไม่ถือสาผู้น้อย”
มั่วมั่วพูดจบหลิวหมัวหมัวก็ไม่ได้สนใจอะไรนาง แต่ชั่งดูน้ำหนักของถุงเงินในมือ และคงเพราะพอใจกับน้ำหนักนั้น จึงไม่ได้มองมั่วมั่วอย่างเ**้ยมเกรียมอีก
อีกทั้งน้ำเสียงก็อ่อนลงมาไม่น้อย
“ถึงจะเป็นคนใหม่แต่ก็รู้ธรรมเนียมดีนี่นะ วันหน้าจะได้ไปมาหาสู่กันได้ ในกองคดีเรามีกฎระเบียบว่าตอนกลางคืนคุกใหญ่จะต้องลั่นดาลหนาแน่น แต่วันนี้ข้าจะเสี่ยงกับการถูกบั่นคอ เปิดประตูให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ข้ารับเงินบ้างคงไม่เกินเลยไปกระมัง ใช่ไหมแม่นาง”
หลิวหมัวหมัวพูดจบก็หัวเราะร่าเก็บถุงเงินไว้แล้วเตรียมเดินนำนางเข้าไปในเรือนจำ
ขณะนั้นสวี่อี้พยักหน้าให้กับหมัวหมัวที่ด้านหลังอีกคนหนึ่ง แล้วดูนางรีบเร่งเดินออกไป
“หลิวหมัวหมัว? ทำอะไรล่ะนี่ ใต้เท้าสวี่อี้กำชับไว้แล้วว่าวันนี้ในเรือนจำมีหลักฐานสำคัญเก็บไว้อยู่ เหตุใดจึงยังปล่อยให้ใครเข้ามาง่ายๆ แบบนี้อีก”
หวังหมัวหมัวที่รีบเร่งตามมาพูดขึ้นอย่างดุๆ แล้วเดินขึ้นไปจับตัวหลิวหมัวหมัวไว้ ทั้งสองคนส่งสายตากันไปมา ส่วนมั่วมั่วได้ยินคำพูดของพวกนางแล้วใจก็ระทึกขึ้น
หลิวหมัวหมัวจึงพูดขึ้นบ้างว่า
“โธ่เอ๊ย หวังหมัวหมัวเจ้าลืมไปแล้วหรือไง หลักฐานนั่นน่ะใต้เท้าสวี่เอาไปเก็บไว้ในห้องหนังสือของนางนานแล้ว ก็แค่สมุดเล็กๆ เล่มหนึ่ง ข้าว่าคงไม่มีอะไรสำคัญหรอกน่า ส่วนแม่นางคนนี้เป็นคนของตำหนักอวี้หยวนที่กุ้ยเฟยส่งมา”
ทั้งคู่ส่งลูกกันไปมา และยังเอ่ยถึงที่เก็บหลักฐานออกมาอย่างชัดแจ้ง มั่วมั่วก็ไม่ได้โง่เขลานัก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรู้ว่าเป้าหมายของนางในครั้งนี้ไม่ใช่ในเรือนจำเพราะฉะนั้นถึงจะเข้าไปในตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์
มั่วมั่วคิดได้เช่นนั้น นางมองหมัวหมัวทั้งสองด้วยสีหน้ายุ่งยาก หลิวหมัวหมัวจึงส่งสายตาให้มั่วมั่วให้นางยัดเงินให้หวังหมัวหมัว ส่วนหวังหมัวหมัวยังคงปักหลักยืนขวางอยู่ตรงกลางไม่ให้นางผ่านไปเหมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ก็ไม่ปาน
มั่วมั่วพ่นลมเย็นออกจมูกพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อไม่สะดวกก็จะไม่เข้าไปแล้ว ขอรบกวนหมัวหมัวช่วยนำกล่องอาหารนี้ให้แม่นางเซียงฉือด้วยเถิด”
แล้วจึงวางกล่องอาหารลงในมือของหลิวหมัวหมัว น้ำเสียงไม่พอใจนัก จากนั้นหันกายเตรียมออกไป หลิวหมัวหมัวดึงนางไว้พูดว่า
“แม่นางบอกไม่ใช่หรือว่ากุ้ยเฟยมีรับสั่งมาถึง”
“แล้วจะไม่เข้าไปได้หรือ?”
หลิวหมัวหมัวมองมั่วมั่วอย่างจริงจัง ดูยังจะร้อนรนกว่ามั่วมั่วเสียอีก
ตอนที่ 207 ติดกับ
ถึงแม้เซียงฉือจะชาญฉลาด แต่ในตอนนี้กลับไม่เข้าใจว่าสวี่อี้กำลังทำอะไร
เมื่อถูกหลิวหมัวหมัวจับเอาไว้ มั่วมั่วก็ชะงักไปแล้วจึงหันหน้ากลับมาพูดขึ้นว่า
“กุ้ยเฟยมีรับสั่ง บอกให้นางให้ความร่วมมือในการไต่สวนของกองคดีแต่โดยดี อย่าได้คิดคดในทางไม่ดีอีก”
มั่วมั่วพูดออกไป นึกรังเกียจพวกหมัวหมัวกองคดีอยู่ในใจว่าหน้าเงินกันทุกคน จะผ่านประตูเข้าไปยังต้องใช้เงินมากขนาดนั้น ถ้านางรู้ก่อนว่าของนั้นเก็บไว้ในห้องหนังสือ จะมาที่นี่ให้ลำบากทำไม
หลิวหมัวหมัวถึงจะรู้ว่าคำพูดของนางไม่น่าเชื่อถือสักเท่าใด แต่ก็พยักหน้าแล้วส่งนางออกไป
หวังหมัวหมัวกลับมารายงานทันใด สวี่อี้เพียงพยักหน้า ส่วนเซียงฉือไม่รู้ว่านางกำลังปิดบังอะไรอยู่ แต่ท่าทางแบบคนมีแผนการไว้แล้วของสวี่อี้ ทำให้นางสบายใจขึ้น
แล้วจึงตามนางออกไปจากที่เดิมโดยถูกนางจูงมือเดินไปข้างนอก
มองดูมั่วมั่วที่ไปจากกองคดี แล้วหันหน้ากลับมาพูดยิ้มๆ
“พวกเราไปรอที่ห้องหนังสือกันเถอะ”
เซียงฉือมองดูสายตาที่เชื่อมั่นของนาง พลันรู้สึกว่านางกำลังเปล่งแสงระยิบระยับจริงๆ
“ได้”
สวี่อี้ดึงนางแล้ววิ่งหัวเราะกันไป พวกนางล้วนเป็นหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ที่อยู่อย่างเคร่งครัดเสมอมา การได้ปล่อยตัวตามสบายสักครั้งทำให้รู้สึกเป็นสุข
ความสุขที่ได้ออกนอกลู่นอกทางบ้างเช่นนี้เกินกว่าจะบรรยาย อากาศด้านนอกผสมกลิ่นไอดิน เพราะฝนเพิ่งจะตกผ่านไป ท้องฟ้ายามนี้จึงเหมือนกระจกหน้าต่างที่ถูกชำระล้างจนสะอาด งดงามไม่มีฝุ่นเกาะ
“เจ้า ช่างร้ายกาจนัก”
เพียงวิ่งไปไม่ทันไรก็ต้องหอบเบาๆ เมื่อเห็นสวี่อี้หายใจอย่างสงบ เซียงฉือถอนใจโดยไม่รู้ตัว กังฟูที่ฝึกมาตอนเด็กนั้น ดูเหมือนจะถดถอยไปเมื่อเข้ามาอยู่ในวัง
จู่ๆ สวี่อี้ฉุดนางเข้าไปในมุมมืด แล้วมองไปยังเงามืดที่ส่งเสียงสวบสาบอยู่ไม่ไกล
“นั่นมัน?”
เซียงฉือส่งเสียงออกไปอย่างไม่ทันคิด จึงถูกสวี่อี้ปิดปาก
“ชู่ว!”
สายตานางดูเจ้าเล่ห์เหมือนนายพรานที่ชาญฉลาด เซียงฉือพยักหน้าแล้วมองตามนาง มั่วมั่วที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่ กำลังเดินเข้ามาจากประตูเล็ก ย่อตัวค่อยๆ ย่องเท้าเบาๆ เข้าไปในห้อง
ประตูห้องหนังสือมีแม่กุญแจขัดไว้อย่างเห็นได้ชัด นางเห็นช่องหน้าต่างที่ถูกลมพัดอ้าอยู่ช่องหนึ่ง จึงมุ่งเข้าไป แล้วเปิดออกอย่างเบามือ
ด้านในมีเพียงความมืด นางจึงรวบกระโปรงแล้วกระโดดเข้าไป เด็กสาวคนนี้ถึงการแสดงจะไม่เท่าไหร่ แต่การกระทำเช่นนี้ดูคล่องแคล่วอย่างยิ่ง
สวี่อี้ก็ตามไปทางด้านนั้นแต่ไม่ได้คิดจะตามเข้าไป เซียงฉือก็ไม่คิดจะตัดสินใจทำอะไรเองซึ่งทำให้เสียการทั้งหมดได้
มั่วมั่วคลำไปในความมืดด้านใน พวกนางมองดูอยู่ข้างนอกก็ไม่ได้เห็นชัดเจนนัก แต่เพียงไม่นาน มั่วมั่วก็เตรียมจะจากไป
ขณะกำลังจะออกไป สวี้อี้ก็นำพวกหมัวหมัวล้อมนางไว้ทันที แล้วปิดปากนางไว้อย่างไม่ให้สุ้มเสียง จับนางเข้าไปในเรือนจำ จากนั้นสวี่อี้เปิดการสอบสวนนางทันทีเหมือนกับแผนการทุกอย่างที่นางวางไว้แล้ว
มั่วมั่วถูกมัดอยู่กับม้านั่ง ปากนางถูกคลายออกแล้ว ดูตระหนกอย่างยิ่ง ตัวสั่นเทาอย่างตกใจไม่น้อย
“มั่วมั่ว เจ้าแอบอ้างคำสั่งของกุ้ยเฟย และยังเขามาในที่ต้องห้ามของกองคดีเพื่อขโมยหลักฐานสำคัญอีก เจ้ารู้ไว้ด้วยว่าข้อหาพวกนี้เพียงข้อเดียวก็สามารถปลิดชีวิตของเจ้าได้แล้ว”
“พูดมา มีคนบงการเจ้าอยู่ใช่หรือไม่!”
“สารภาพชื่อคนที่อยู่เบื้องหลังมา แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”
เซียงฉือยืนอยู่ข้างๆ สวี่อี้ ถึงจะไม่ได้เห็นซึ่งหน้า แต่ก็สามารถรู้สึกถึงอำนาจที่แผ่ออกมาจากสวี่อี้ได้
ตอนที่ 208 สอบหาผู้บงการ
เซียงฉือนั่งอยู่ด้านข้างเห็นสายตามั่วมั่วซึมเซา คิดว่าพวกหมัวหมัวที่จู่ๆ ปรากฏกายขึ้นมาทำให้นางทำอะไรไม่ถูก
นางสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ปากส่งเสียงประหลาด ฟังคำถามของสวี่อี้ไม่เข้าหู บางทีหากรอให้นางค่อยๆ สงบลงสักครู่ก็น่าจะดีขึ้น
แต่ว่าวันนี้พวกนางไม่มีเวลาขนาดนั้น
แววตาสวี่อี้เย็นเยียบและกำลังคิดจะลงทัณฑ์ แต่เซียงฉือพลันลุกขึ้น
“ใต้เท้าสวี่ ให้เซียงฉือทดลองดูสักครั้ง จะได้หรือไม่?”
เซียงฉือคารวะสวี่อี้แล้วเสนอตัวเอง นางไม่รู้วิธีการสอบสวนนักโทษ แต่นางเข้าใจคนในตำหนักอวี้หยวนดี มั่วมั่วเป็นเด็กสาวเรียบๆ และเพราะความไม่ประสาจึงถูกหลอกใช้
เมื่อสวี่อี้พยักหน้า เซียงฉือจึงเดินไปข้างกายมั่วมั่วแล้วจับมือเย็นเฉียบของนางเบาๆ เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้ จากนั้นถามขึ้นเบาๆ ว่า
“มั่วมั่ว ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ได้เป็นคนทำ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ใต้เท้าสวี่ถามอะไรเจ้าก็ตอบไป เจ้าจะไม่เป็นอะไรหรอก”
“มั่วมั่วมองข้า ถ้าตอนนี้เจ้าไม่พูดความจริงก็เตรียมเป็นแพะรับบาปแทนคนที่ใช้เจ้ามาได้เลย ถึงเวลานั้นไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้แล้ว เจ้าเข้าใจไหม”
น้ำเสียงของเซียงฉืออ่อนโยนอย่างยิ่ง ต่างกับพวกหมัวหมัวที่ดุดันราวปีศาจพวกนั้นราวฟ้ากับเหว ก่อนหน้านี้มั่วมั่วเจ็บแค้นเซียงฉืออย่างยิ่ง แต่ตอนนี้นางไม่แค้นเคืองแล้ว นางมีแต่ความกลัว
ถึงจะเป็นนางกำนัลชั้นล่างมานาน แต่ข้อหาที่สวี่อี้พูดขึ้นเมื่อครู่นางรู้ดีทั้งหมด ทุกข้อหาล้วนทำให้นางตายได้หลายร้อยรอบทั้งสิ้น
แต่ว่านางหวาดกลัวเกินไปจนไม่สามารถพูดออกมาได้
เส้นผมของนางยุ่งเหยิงเพราะการดิ้นรนขัดขืนเมื่อครู่ ดวงตาถูกน้ำตากลบจนเลือนราง
“ไม่ต้องกลัว เพียงแค่บอกออกมาว่าคนที่ใช้เจ้ามารอเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วใต้เท้าสวี่ก็จะอภัยให้เจ้า”
เซียงฉือค่อยๆ โน้มน้าว ถึงเมื่อก่อนคำพูดตำหนิของมั่วมั่วต่อนางยากจะฟังได้ แต่นางก็ให้อภัย อย่างไรก็เป็นเพียงคนน่าสงสารที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้เท่านั้น
“นาง…นาง…”
มั่วมั่วที่เข้ามาในกองคดีแล้วปิดปากไม่พูดอะไรจู่ๆ พูดออกมาคำสองคำ ทำให้ทุกคนดีใจขึ้นมา
สวี่อี้จึงถามต่อด้วยตนเอง
“คนที่บงการเจ้าคือใคร ใช่คนในตำหนักอวี้หยวนหรือไม่”
นางใจร้อนรีบถามขึ้น แต่เพราะท่าทางเด็ดขาดเกินไป กดดันจนมั่วมั่วร้องไห้ออกมา
เซียงฉือจึงปลอบนางต่อ พูดเบาๆ ว่า
“ขอเพียงเจ้าพูดออกมาแล้วทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรแล้ว ใช่หลิ่วเหยียนหรือไม่”
เซียงฉือลองเชิงถามออกไป แล้วก็เห็นสายตาของมั่วมั่ววาบขึ้นทันใด แต่แล้วก็ลนลานหลบซ่อน
เซียงฉือกับสวี่อี้กำลังสอบสวนมั่วมั่ว แต่หลิ่วเหยียนที่หลบอยู่ในมุมมืดเห็นและเข้าใจทุกอย่างในทันที
นางรีบวิ่งไปในเส้นทางที่จะมุ่งสู่ตำหนักเจิ้งหยาง ตอนนี้นางต้องไปหากุ้ยเฟยให้ได้ คืนนี้กุ้ยเฟยค้างอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ตามกฎบัญญัติแล้วกุ้ยเฟยจะต้องจากไปก่อนฮ่องเต้จะตื่นบรรทม
ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่ากุ้ยเฟยจะออกจากตำหนักเจิ้งหยางเพื่อกลับตำหนักอวี้หยวน หากนางยังคิดจะมีชีวิตรอดก็จะต้องพบกับกุ้ยเฟยในระหว่างทางนี้ให้ได้
นางจึงต้องรีบไป นี่เป็นแผนสำรองที่นางเตรียมไว้ นางสงสัยแต่แรกแล้วว่านี่ต้องเป็นกับดัก แต่ก็ไม่อาจที่จะไม่ไปทดลองดู และเพราะนางได้เตรียมแพะรับบาปแทนไว้แล้ว
หลิ่วเหยียนถือโคมไฟยืนอยู่บนทางหิน ทุกครั้งกุ้ยเฟยจะต้องใช้เส้นทางนี้กลับสู่ตำหนักอวี้หยวน ส่วนคืนนี้มีหลิ่วจุ้ยตามเสด็จไปที่ตำหนักเจิ้งหยาง
ตอนที่ 209 หลิ่วเหยียนอ้อนวอน
กุ้ยเฟยถวายงานฮ่องเต้อยู่หนึ่งคืน แต่หรงจิงจะต้องตื่นเช้าเพื่อออกว่าราชกิจในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นกุ้ยเฟยจึงต้องกลับออกไปก่อนที่หรงจิงจะตื่น นี่เป็นบทบัญญัติแต่ครั้งบรรพกาล คงมีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์อยู่กับฮ่องเต้ได้ตลอดคืน
กุ้ยเฟยในตอนนี้จึงยังง่วงงุนอยู่ เกี้ยวก็เดินช้าเสียอย่างยิ่ง นางนั่งโยกไปคลอนมาอยู่บนนั้นอย่างไม่สบายตัว
และยังคงรุดหน้ากันไปทั้งสะลึมสะลือ พลันรู้สึกว่ามีเสียงเรียกนางดังขึ้นเบาๆ
ประสาทรับรู้ของจินกุ้ยเฟยจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา นางเหลียวมองไปรอบข้าง แล้วก็เห็นหลิ่วเหยียนยืนอยู่ข้างทางกำลังมองนางอยู่
“หลิ่วเหยียนหรือ วันนี้เป็นเวรของหลิ่วจุ้ยกับหวังหมัวหมัวไม่ใช่หรือไร”
ชั่วขณะที่กุ้ยเฟยเห็นนางก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ถึงนางจะยังง่วงเพลีย แต่ก็จำได้ว่านางเจตนาให้หลิ่วเหยียนอยู่ในตำหนัก แต่เหตุใดมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ได้
ความรู้สึกแรกของนางคิดว่าคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเซียงฉือที่อยู่ในกองคดีทำให้ความง่วงหายไปครึ่งหนึ่งในทันที แล้วมองไปยังหลิ่วเหยียน ปากร้องสั่ง
“หยุดเกี้ยว!”
หลิ่วจุ้ยติดตามอยู่ที่ข้างเกี้ยวอีกฝั่ง เมื่อเกี้ยวหยุดลงแล้วจึงได้มองเห็นหลิ่วเหยียน
หลิ่วเหยียนรีบโผเข้าไปอย่างรู้งาน แล้วกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูกุ้ยเฟย คิ้วเรียวของจินกุ้ยเฟยคว่ำลง มองหลิ่วเหยียนด้วยสายตาเย็นเฉียบเสียดกระดูก
หลิ่วเหยียนได้แต่ให้นางจ้องอยู่เช่นนั้นไม่กล้าหลบเลี่ยง
“ตามข้ามานี่!”
หลิ่วจุ้ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนางและไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วเหยียน แต่นางรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะสีพระพักตร์จินกุ้ยเฟยไม่ดีนัก
นางไม่คิดจะตามไปในตอนนี้เพราะหวังหมัวหมัวถูกเรียกให้ตามไปแล้ว นางจึงไม่สะดวกที่จะตามเข้าไปร่วมฟัง
จินกุ้ยเฟยเดินไปถึงบริเวณที่โล่งแล้วมองหน้ามองหลัง เมื่อยืนนิ่งแล้วก็หมุนกายกลับมา สายตาเย็นเยียบ
“พูดให้ชัดเจน เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!”
น้ำเสียงจินกุ้ยเฟยเหน็บหนาวอย่างที่สุด แต่หลิ่วเหยียนในตอนนี้จนตรอกไร้ทางถอยแล้ว
“หลิวชิงถูกหม่อมฉันฆ่าตายเองเพคะ กุ้ยเฟยต้องช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ ที่หม่อมฉันทำไปก็เพื่อพระองค์”
“เมื่อปีกลายนางกำนัลเสี่ยวหงหลังถูกพระองค์สั่งตีตายแล้วเขาเป็นคนเอาไปโยนทิ้งลงในบ่อร้าง คนคนนี้พอเหล้าเข้าปากก็พูดจาเหลวไหล และคิดวางแผนจะใช้เรื่องพวกนี้เพื่อข่มขู่พระองค์”
“กุ้ยเฟยเพคะ เพราะความตระหนกหม่อมฉันจึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะทรงให้สอบสวน กุ้ยเฟยเพคะ ช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”
หลิ่วเหยียนรู้แน่ชัดว่าเรื่องคืนนี้เป็นกับดัก ไม่รู้ว่าสวี่อี้ได้หลักฐานอะไรไว้ในกำมือ ทั้งนี้ทั้งนั้นนางไม่มีทางถอยอีกแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงต้องอาศัยอำนาจของจินกุ้นเฟยเพื่อปกป้องตัวเอง
ถึงแม้เวลานี้นางกำลังทำเรื่องเสี่ยงอย่างที่สุด แต่นางคิดทบทวนแล้ว และนี่เป็นวิธีเดียวไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
“นังคนนี้ เหตุใดจึงกล้าทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นนะ!”
“แล้วยังไปมี…”
หวังหมัวหมัวพูดอย่างมีความหมาย หลิ่วเหยียนใช่ว่าจะไม่เข้าใจจึงรีบชิงพูดต่อ
“หมัวหมัวไม่รู้อะไร หลิวชิงใช้กำลังกับข้า ข้าถูกบีบคั้นจนลนลาน เขายังบอกอีกว่าจะไปพึ่งพิงซูเฟย เพราะว่าซูเฟยสามารถให้อำนาจและความร่ำรวยกับเขาได้ ส่วนกุ้ยเฟยก็ไม่อยู่ในตอนนั้น ข้าเองก็เหมือนต้องมนตร์ไปขณะหนึ่ง”
“กุ้ยเฟยเพคะ โปรดทรงเห็นแก่หม่อมฉันที่รับใช้พระองค์มานานปี ถึงจะไม่มีความดีความชอบแต่ก็มีความอุตสาหะ ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ จากนี้ไปหม่อมฉันจะขอพลีกายถวายชีวิตเพื่อพระองค์อย่างไม่มีเกี่ยงงอนเลยเพคะ”
หลิ่วเหยียนกอดชายกระโปรงกุ้ยเฟย ฟูมฟายร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา
พื้นดินยามนี้เย็นเฉียบ ความเย็นซึมเข้าสู่เท้าทั้งคู่ของนางเป็นระลอก
“กุ้ยเฟยเพคะ จะทำอย่างไรดีเพคะ”
หวังหมัวหมัวเห็นหลิ่วเหยียนในสภาพนั้น นางมองดูคิ้วขมวดมุ่นของจินกุ้ยเฟย ไม่กล้ารีบพูดอะไรออกมามาก เพียงแค่ถามขึ้นเช่นนั้น
ตอนที่ 210 จินกุ้ยเฟยตัดสินใจ
ถึงแม้หลิ่วเหยียนจะพูดอย่างน่าเห็นใจเต็มประดา อีกทั้งยังจงรักภักดีต่อจินกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชีวิตของนางนี้มีค่าพอแก่การช่วยเหลือหรือไม่ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญในการพิจารณาของจินกุ้ยเฟย
จินกุ้ยเฟยไม่พูดอยู่นานเอาแต่พิเคราะห์ดูหลิ่วเหยียน หวังหมัวหมัวก็ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรถูก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะช่วยหลิ่วเหยียนสักครั้งหรือไม่
หลิ่วเหยียนเห็นสายตาจินกุ้ยเฟย นางรู้ว่าตอนนี้จินกุ้ยเฟยกำลังประเมินอยู่ว่ามีความจำเป็นที่จะเก็บนางไว้หรือไม่
นางจึงพูดออกไปอย่างจำใจ
“กุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันรับใช้พระองค์มานานปีด้วยความจงรักภักดี ตำหนักอวี้หยวนของพวกเราสงบสุขราบรื่นตลอดมา แต่ก็มีคนบางคนพอเข้ามาแล้วก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน”
“แต่เพราะพระองค์โปรดและทรงประสงค์ใช้ความสามารถของนาง หม่อมฉันเลยมีเจตนาที่จะช่วยปกป้องนางจึงได้ส่งนางกำนัลมั่วมั่วเข้าไป ซึ่งตอนนี้นางถูกคุมขังอยู่ในคุกแล้ว ขอเพียงรับสั่งของพระองค์ก็จะสามารถปกป้องคนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์ยิ่งกว่าได้เพคะ”
หลิ่วเหยียนเพื่อปกป้องตัวเองจึงส่งมั่วมั่วไปขโมยหลักฐาน เป็นการยิงนกสองตัวด้วยกระสุนนัดเดียว เพื่อจะได้รู้ว่าข่าวที่ได้มาเป็นจริงหรือเท็จ ทั้งยังเป็นการโยนหินถามทาง เพื่อตัวเองจะได้ไม่ก้าวเข้าสู่แดนอันตราย
และเพราะการวางแผนความปลอดภัยสองชั้นแบบนี้จึงทำให้หลิ่วเหยียนอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้
คำพูดของหลิ่วเหยียนพิสดารสุดอำมหิต นางผลักเพื่อนออกไปเพื่อรักษาชีวิต ถึงจะบอกว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่หวังหมัวหมัวมักรู้สึกว่าหลิ่วเหยียนคนนี้ไม่ต่างอะไรกับอสรพิษ ไม่รู้ว่าจะแว้งกัดกุ้ยเฟยเข้าเมื่อไร
นางรู้สึกเย็นวาบตามแผ่นหลัง แต่จินกุ้ยเฟยกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ
“สละเรือเพื่อรักษาขุน ทำได้งดงาม หวังหมัวหมัว ไปบอกสาวใช้คนนั้น ว่าข้าจะดูแลครอบครัวนางอย่างดี”
จินกุ้ยเฟยมองหลิ่วเหยียนและรู้สึกชื่นชมความอำมหิตที่เด็ดขาดนั้น ในความรู้สึกของนาง สตรีหากไม่อำมหิตฐานะจะไม่มั่นคง หากคิดจะปกป้องตน การเสียสละเบี้ยตัวเล็กตัวน้อยไปบ้างก็เป็นการสมควร
ที่สำคัญ เบี้ยเล็กเบี้ยน้อยพวกนี้ไม่เคยเข้าตานางอย่างแท้จริงตั้งแต่ไรมา
จินกุ้ยเฟยพูดจบก็เดินกลับไปยังเกี้ยวของตนอย่างสบายใจราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแล้วกลับไปนอนยังตำหนัก
วันรุ่งขึ้น
หลังจากที่หวังหมัวหมัวออกจากกองคดีไปไม่นาน มั่วมั่วได้ทิ้งหนังสือเลือดยอมรับความผิดที่ได้กระทำไว้ แล้วเอาหัวโขกกำแพงฆ่าตัวตาย
หลังได้รับรู้เรื่องนี้ เซียงฉือนั่งนิ่งไม่พูดจา ส่วนสวี่อี้นั้นหัวเราะเยาะขึ้นมา
จะหาความยุติธรรมได้ที่ไหนในวังนี้ จะมีก็แต่เพียงความประสงค์ของเจ้านาย เรื่องนี้นางถูกเบื้องบนสั่งการลงมาแล้วว่าให้จบลงเพียงเท่านี้ นางเองก็ไม่ใช่คนบ้าที่จะไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เพื่อคนบ้าตัณหาคนหนึ่ง
จากนั้นข่าวหัวหน้าหน่วยองครักษ์หลิวชิงถูกฆ่าที่แพร่สะพัดในวังจึงถึงจุดสรุป
รางวัลและคำชมเชยจากเบื้องบนมีมากมาย ส่วนเซียงฉือก็กลับตำหนักอวี้หยวน
อีกไม่นานก็จะถึงวันลงชื่อสมัครสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว หญิงสาวในวังที่พอมีความอยู่บ้างจะพากันไปสมัคร และเซียงฉือก็มีความตั้งใจเช่นนั้น
ระยะนี้นางจะไปรับใช้เบื้องพระพักตร์กุ้ยเฟยตามปกติในเวลากลางวัน ตอนกลางคืนจะไปหาสวี่อี้เพื่อปรึกษาเรื่องขั้นตอนต่างๆ ในการสอบข้าราชสำนักสตรี
ส่วนปัญหาเรื่องการลงชื่อสมัครสอบที่ทำให้นางปวดศีรษะมาตลอดนั้นก็เริ่มมีความชัดเจน
ด้วยการชักนำของสวี่อี้ ทำให้บ้านสกุลสวี่ บ้านสกุลเหออีกทั้งตระกูลนักการศึกษาทั้งหลายเป็นแกนนำ โดยมีเหลียนชินอ๋องเป็นผู้ถวายฎีกาขอประทานพระบรมราชานุญาตให้บุตรสาวของขุนนางต้องโทษที่เข้ามาอยู่ในวังมีสิทธิ์ในการเข้าสอบ
เหตุผลข้อแรกเป็นเพราะที่ผ่านมาอัตราของข้าราชสำนักสตรีที่สอบผ่านนั้นต่ำมาก ข้อที่สอง การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่ประจักษ์ว่าฮ่องเต้มีพระเมตตาและน้ำพระทัยกว้างขวาง
ส่วนตัวหรงจิงนั้นก็ไม่ชื่นชอบเรื่องการรับโทษพัวพันต่อเนื่องที่บรรพชนสืบทอดต่อกันมาอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงพยักหน้าเห็นด้วย
ตอนที่ 211 จดหมายจากเหอเจี่ยนสุย
เรื่องสตรีต้องโทษสามารถเข้าร่วมการสอบได้หรือไม่นั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในราชสำนัก โดยขุนนางส่วนใหญ่จะเห็นด้วย บางส่วนเห็นว่าเป็นเรื่องเมตตาดีงาม คิดว่าเป็นการเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเองในวันข้างหน้าก็ดีเหมือนกัน
เสียงคัดค้านไม่ได้รุนแรงมากนัก ดังนั้นจึงผลักดันให้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ทำให้เซียงฉือได้รับโอกาสเข้าลงชื่อสมัครได้สำเร็จ
ในเรื่องนี้แน่นอนว่าเป็นผลงานของสวี่อี้ แต่ที่เซียงฉือดีใจที่สุดคือการได้รับจดหมายจากเหอเจี่ยนสุย
หลายวันก่อนเพราะมัวแต่ยุ่งหรืออาจเพราะประหวั่นพรั่นใจ จนกระทั่งได้เห็นซองจดหมายที่วาดภาพดอกเหมยจึงพลันคิดถึงชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาได้
‘เหอเจี่ยนสุย ท่านสบายดีหรือไม่’
ตั้งแต่วินาทีที่กำไลหยกขาวหลุดออกไปจากกายนาง เซียงฉือเพียรพยายามควบคุมความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับเขาอย่างเต็มที่
นางทั้งหวาดหวั่นและคาดหวัง แต่เพราะเก็บกดเอาไว้นาน จู่ๆ ได้เห็นจดหมายที่ไม่ได้เห็นมานานเช่นนั้นจึงคล้ายดั่งอยู่คนละภพ
รอยยิ้มนางจางบาง สวี่อี้มองอย่างไม่เข้าใจเพราะคิดไว้ว่านางควรจะดีใจอย่างยิ่ง
แต่เห็นท่าทางนางแล้วสวี่อี้ต้องขมวดคิ้ว ถึงแม้นางจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่ไม่ถนัดเรื่องราวความรักของชายหญิง ไม่เข้าใจสภาพจิตใจที่กำลังต่อสู้กันเองอย่างวุ่นวายสับสนภายในใจของเซียงฉือ
“เซียงฉือ เจ้าเป็นอะไรไป”
“ขอเพียงเจ้าสอบข้าราชสำนักสตรีได้ ฝ่าบาทก็จะทรงกำหนดการวิวาห์ให้ได้ ถึงเวลานั้นขอให้เหลียนชินอ๋องไปช่วยทูลขอความกรุณาให้พวกเจ้าก็จะได้อยู่ด้วยกันในไม่ช้าแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้าก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าสมควรจะได้รับกับคนที่เล่นและเติบโตมาด้วยกัน ชีวิตที่คนมากมายพากันอิจฉา พวกเจ้าจะต้องได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เจ้าก็จะมีความสุขด้วย”
สวี่อี้เป็นพวกเย็นชาเสมอมา แต่อาจเพราะว่าระยะนี้นางมีเวลาคลุกคลีอยู่กับเหลียนชินอ๋องมากจึงทำให้นางใฝ่ฝันถึงชีวิตคู่สามีภรรยาที่มีความเคารพนบนอบต่อกัน
ทำให้คำพูดที่พูดออกมามีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนหญิงสาวปกติทั่วไปมากขึ้น
แต่เซียงฉือกลับเกิดความลำบากใจขึ้นมา
นางเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น ตอนถูกจองจำ เหอเจี่ยนสุยไม่ยอมทิ้งขว้างนาง แม้ตอนนี้นางเข้ามาเป็นข้ารับใช้ จมปลักทั้งชีวิตอยู่หลังกำแพงวังเช่นนี้ เขาก็ยังคงคอยเคียงข้างอย่างอ่อนโยน
เป็นเหอเจี่ยนสุยที่คอยปกป้องดูแลนางทั้งสิ้น ส่วนนางนั้นได้แต่ถ่วงและสร้างความลำบากแก่เขา
บ่อยครั้งที่อวิ๋นเซียงฉือจะเหยียดหยามตนเอง โดยเฉพาะในวันเวลาที่มืดมนไร้แสงสว่างเหล่านั้น นางไม่สามารถที่จะคอยรับการเอาใจใส่ของเหอเจี่ยนสุยที่มีต่อนางได้ด้วยจิตใจสงบสุขดุจเคยได้
นางกังวล หวาดหวั่น เกรงว่าหากวันดีๆ เช่นนี้จู่ๆ หายไป นางก็จะร่วงลงสู่ความมืดไร้ขอบเขตไปทันที
เซียงฉือคิดเป็นเวลานานโดยไม่พูดจา สัมผัสนิ้วมือไปตามขอบรูปวาดดอกเหมยอันปราณีต ลูบไล้อย่างแผ่วเบา ใจนางโลดแล่นไปตามมุมขอบนั้น
“สวี่อี้ ขอบใจเจ้ามากที่นำจดหมายนี้มาให้ข้า แต่จู่ๆ ข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา ถึงแม้จะรู้ว่าวันหน้าข้าอาจจะได้เดินไปบนเส้นทางแห่งความสุขที่ข้าเฝ้าคอยมานานพร้อมกับเหอเจี่ยนสุยก็ตาม”
“แต่วันนี้ข้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่ไร้ความทุกข์ปลอดความกังวลอย่างเมื่อก่อนที่วันๆ คิดเพียงว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเขาอย่างไรอีกแล้ว ท่านปู่ของข้าแบกรับความอยุติธรรม ความอดสูอยู่ในแดนไกล ท่านอายุมากแล้ว ยังต้องจากบ้านเกิดไปรับโทษทัณฑ์ทรมานหนาวเหน็บอยู่ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือเช่นนั้น”
“ถ้าหากข้าได้รับโทษแบบเดียวกับพวกท่าน ข้าคงรู้สึกดีกว่านี้มาก แต่ว่า…”
น้ำตาของเซียงฉือรื้นขึ้นในตา สวี่อี้มองด้วยความเห็นใจ
“จะให้ข้าอยู่อย่างมีความสุขเพียงคนเดียวได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ข้าเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น มีเลือดของพวกท่านไหลเวียนอยู่ในตัว จะให้อยู่อย่างสงบสบายใจ มีความสุขเพียงคนเดียวไปวันๆ แบบนั้น ไม่คู่ควรกับการเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น”
ตอนที่ 212 เตรียมสอบข้าราชสำนักสตรี
เซียงฉือทอดถอนใจ สวี่อี้เห็นใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่บุตรสาวสายตรงบ้านสกุลอวิ๋นผู้หยิ่งทะนงต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ อยู่แบกรับความผิดทั้งที่นางไม่ได้เป็นผู้ก่อ
แต่ต้องยอมรับในทุกสิ่งทั้งหมดนี้
เพียงเพราะนางแซ่อวิ๋นและนางเป็นคนรู้ผิดชอบชั่วดี
เซียงฉือกอดจดหมายจากไปแล้วเก็บมันซุกไว้ในที่ลึกอย่างยิ่ง นางเกรงกลัวคำพูดและความอ่อนโยนของเหอเจี่ยนสุยที่อยู่ในนั้น อีกทั้งเกรงเหอเจี่ยนสุยจะบอกกับนางว่าเขาจะรอนางตลอดไป
นางไม่กล้าอ่าน กลัวตัวเองจะถูกความสุขนั้นยั่วยวนใจ
นางจะต้องเป็นข้าราชสำนักสตรีเพื่อล้างมลทินให้วงศ์ตระกูล กู้ชื่อเสียงที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของท่านปู่กลับคืนมา นางไม่สามารถจะอยู่อย่างเห็นแก่ตัวเพียงลำพังเช่นนั้น
นางจะต้องบากบั่นมุมานะเพื่อผู้เฒ่าและเด็กเล็กร้อยกว่าชีวิตของบ้านสกุลอวิ๋น จะต้องเป็นเสาหลักของทุกคนในบ้านสกุลอวิ๋นเหมือนท่านปู่ในสมัยนั้นให้ได้
เซียงฉือคิดเรื่องพวกนี้เวียนวนอยู่ในหัวรอบแล้วรอบเล่าจึงทำให้ตัวเองไม่ยื่นมือไปหาจดหมายฉบับนั้น
นางดูรายการที่ยังต้องเตรียมสำหรับการสอบอีกครั้งและตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า วันใดที่คดีเก่าของท่านปู่ยังไม่ได้รับการพลิกฟื้น วันนั้นก็จะยังไม่ใช่วันที่นางจะแต่งงาน
“เหอเจี่ยนสุย ขอโทษนะ”
นางส่งสายตามองดูในลิ้นชักเป็นครั้งสุดท้าย ในเมื่อเรื่องนี้นางตัดสินใจแล้วจึงไม่คิดจะไปดูอีก อันจะเป็นการเพิ่มความทุกข์ใจให้ตนเอง
หากวันใดวันหนึ่งในภายหน้านางเกิดสำนึกเสียใจขึ้นมา และชีวิตในอนาคตทั้งหมดต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะวันนี้ ไม่รู้ว่านางในเวลานี้จะรู้สึกสำนึกเสียใจบ้างหรือไม่
แต่เวลานี้นางที่อยู่ในวังหลังได้ตัดสินใจแล้ว และจะลงมือกระทำอย่างจริงจัง
การจุดตะเกียงอ่านตำราในตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นเพราะเวลากลางคืนเงียบสงบ นางได้เปลี่ยนเวรกะกลางวันกับหลิ่วจุ้ยเป็นกะกลางคืนทั้งหมด เช่นนี้จะทำให้นางมีเวลาดูตำรามากขึ้น
ช่ำชองเรื่องกฎระเบียบในวัง ชำนาญจารีตประเพณี มีความรู้ดีด้านกฎหมาย เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องสอบในการสอบรอบแรก นางมีเวลาไม่มาก ถึงจะมีความทรงจำดีพอควร แต่ยังต้องการเวลาในการท่องจดจำให้ได้
วันเวลาผ่านไปแบบนี้ต่อเนื่องตลอดเดือน แล้วก็ถึงวันสอบข้าราชสำนักสตรี
ช่วงนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วงอากาศเริ่มเย็นลง อากาศทั้งสี่ฤดูกาลของเมืองหลวงจะชัดเจนและแต่งแต้มได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นจึงงดงามยิ่งในทุกฤดู
ตื่นขึ้นในตอนเช้าอากาศเย็น เซียงฉือคลุมผ้าคลุม หอบเครื่องเขียนแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักเหวินอิง สถานที่สอบรอบแรก
การสอบข้าราชสำนักสตรีไม่ได้จัดขึ้นแต่เพียงในวัง ทุกภาคทั่วประเทศล้วนมีสนามสอบรอบแรกนี้ ซึ่งตำหนักเหวินอิงก็เป็นสนามสอบหนึ่งด้วย แต่ว่าหญิงสาวจากภายนอกสมัครสอบกันน้อยและอัตราผู้สอบผ่านก็ไม่สูง สตรีเช่นสวี่อี้นี้ยิ่งมีน้อยมาก
วันนี้ลมค่อนข้างแรง ตอนตื่นขึ้นในตอนเช้าหลิ่วจุ้ยได้มอบผ้าคลุมให้นางด้วยความตั้งใจเป็นพิเศษ ผ้าคลุมทำจากผ้าต่วนกำมะหยี่ขาวราวหิมะ เป็นวัสดุที่ดีที่สุดเท่าที่หลิ่วจุ้ยจะจัดทำได้
คงจะเป็นของดีที่นางเฝ้าเก็บอย่างทะนุถนอมตลอดมา
“พี่หลิ่วจุ้ย ผ้าคลุมนี้อบอุ่นจริงๆ ขอบคุณพี่มาก”
เซียงฉือหอบผ้าคลุมยิ้มร่าหมุนอยู่ในที่นั้นสองรอบ
“เด็กโง่ ถึงพี่จะไม่ได้เข้าร่วมการสอบ แต่ได้ยินคนเขาพูดกันว่าข้าราชสำนักสตรีพวกนั้นน่ะ จะมองสำรวจการแต่งกายของเจ้าตั้งแต่การสอบรอบแรก เพื่อดูว่าเป็นคุณหนูจากครอบครัวมีฐานะหรือไม่”
“ถ้าไม่มีของมีราคาค่างวดติดตัวบ้าง นอกจากนางจะไม่ให้ผ่านแล้วยังอาจฉุดรั้งให้สะดุดแบบลับๆ อีก พี่เองช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ก็เลยเย็บผ้าคลุมนี้ให้เจ้า เอาไว้เป็นหน้าเป็นตาบ้างก็ยังดี”
หลิ่วจุ้ยก็รักเซียงฉือ เห็นนางเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง นางไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องอื่นใดได้ แต่หากมีข่าวคราวอะไรก็จะใส่ใจฟังเพื่อเซียงฉือ
ตอนที่ 213 การสอบรอบแรก
วันนี้หลิ่วจุ้ยขอลางานกับหวังหมัวหมัวเป็นกรณีพิเศษแล้วไปยังตำหนักเหวินอิงเป็นเพื่อนเซียงฉือ ถึงแม้ตอนนี้ผู้หญิงที่รู้หนังสือมีจำนวนไม่น้อย แต่พวกที่เขียนเป็นคำนวณเป็นจริงๆ อีกทั้งเชี่ยวชาญเรื่องจารีตประเพณีในวังนั้นมีไม่มาก
หลิ่วจุ้ยเมื่อส่งเซียงฉือเข้าตำหนักเหวินอิงไปแล้วก็ไปหาพี่ๆ น้องๆ จากตำหนักอื่นเพื่อสนทนา เซียงฉือมองดูประตูหน้าที่มั่นคงของตำหนักเหวินอิงด้วยความเคารพยำเกรง
การสอบวันนี้มีสามด่าน วัตถุประสงค์เพื่อขจัดหญิงสาวที่มีแผนหวังฉกฉวยโอกาสแล้วคัดเอาคนที่มีความสามารถจริงๆ เพื่อเข้าสู่เส้นทางข้าราชสำนักสตรี
เซียงฉือยกชายกระโปรงเดินขึ้นบันไดเข้าไปในตำหนักหน้าของตำหนักเหวินอิง
สวี่อี้เป็นหนึ่งในข้าราชสำนักสตรีที่รับผิดชอบการสอบรอบแรกในครั้งนี้ นางยืนรออยู่หน้าประตูแต่เช้า จัดการให้ผู้สมัครตามลำดับหมายเลขที่สมัครเข้าไปในห้องเล็กๆ ของพวกนางแต่ละคน
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับการสอบเข้ารับราชการของผู้ชายภายนอก โดยจะกักไว้ในคอกเล็กๆ เพื่อให้เขียนเรื่องจารีตประเพณีในวังจากที่ท่องจำมา
เซียงฉือเห็นสวี่อี้และรับป้ายเล็กๆ จากมือนางแล้วเดินเข้าไปในห้องของตน นั่งรอเวลาเริ่มสอบ
ใจของนางในตอนนี้สงบอย่างยิ่งเหมือนยามปกติ เพียงเกิดความตื่นเต้นเล็กน้อยว่าสามารถเข้าร่วมการสอบข้าราชสำนักสตรีได้ ซึ่งเป็นความเร้าใจอย่างหนึ่งสำหรับนาง
เวลาผ่านไปทุกนาที การสอบรอบแรกนี้ง่ายทีเดียว ไม่ต้องใช้ความเข้าใจ เพียงอาศัยการเขียนออกมาจากการท่องจำ เขียนเรื่องแบบฉบับของสตรีให้จบตั้งแต่ต้น
ความทรงจำของเซียงฉือนับว่าใช้ได้ ถึงแม้ตอนท่องจำจะติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาในการสอบให้ผ่านรอบแรกนี้ การสอบด่านนี้เพื่อเป็นการดูลายมือของหญิงสาวว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ ท่องจำได้แม่นยำเพียงใด
แบบฉบับของสตรีมีจำนวนคำไม่มากนัก เป็นการเตรียมความรู้พื้นฐานของการสอบข้าราชสำนักสตรี กลั่นกรองเอาพวกที่หวังพึ่งโชคออกไป การสอบในตอนเช้าตรู่เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็จะเข้าไปสอบในด่านถัดไป
เซียงฉือได้ยินเสียงฆ้องทองแดงตีดังสามครั้ง นางเขียนจนจบหมดแล้วและกำลังตรวจทานเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่ออ่านจบรอบแล้วไม่พบข้อผิดพลาดจึงลุกขึ้นส่งกระดาษคำตอบ
ในด่านนี้จะมีข้าราชสำนักสตรีตรวจและตัดสินทันทีว่าสอบผ่านหรือไม่ เซียงฉือส่งกระดาษคำตอบให้ผู้คุมสอบแล้วคารวะอย่างนอบน้อม ยืนคอยฟังผลอยู่ด้านข้าง สวี่อี้กวาดตามองรอบหนึ่งแล้วก็ประทับตรา ผู้คุมสอบอีกสามคนด้านล่างต่างพยักหน้า เซียงฉือจึงมั่นใจมาก
สวี่อี้เก็บกระดาษข้อสอบเข้าไว้บนโต๊ะ มองดูเซียงฉือแล้วพูดเสียงหนักแน่น
“ผู้เข้าสอบหมายเลขห้าสิบสอง อวิ๋นเซียงฉือ สอบผ่าน!”
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ นางรับป้ายสีเขียวจากมือสวี่อี้ และเห็นมีคนชี้ทางบอกนางไปยังสถานที่สอบถัดไป
การสอบทั้งหมดในวันนี้ง่ายมาก ข้อสอบที่สองเป็นการท่องเรื่องจารีตและกฎเกณฑ์ของสังคม รอบนี้เป็นการทดสอบทักษะการพูดของผู้เข้าสอบและการออกเสียงว่าชัดเจนหรือไม่
ส่วนด่านที่สามเป็นการพิจารณาบุคลิกลักษณะ การคัดเลือกข้าราชสำนักสตรีในวังต้องการพวกหน้าตาดี รูปร่างสมส่วน ข้อเรียกร้องยังสูงกว่าการคัดเลือกสาวงาม บนร่างกายจะมีรอยแผลหรือตำหนิไม่ได้
ทั้งสามด่านนี้สำหรับเซียงฉือแล้วไม่นับว่ายาก แต่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับหญิงสาวคนอื่นๆ
และนี่จึงทำให้สวี่อี้วางใจ ขอเพียงให้เซียงฉือได้มีโอกาสเข้าร่วมการสอบ โอกาสที่จะสอบผ่านมีสูงมาก
และครั้งนี้ทางกองงานเย็บปักซึ่งเป็นงานที่เซียงฉือถนัดได้ประกาศรับคนจำนวนมาก สวี่อี้จึงได้วางใจเช่นนี้
ทั้งสามด่านในวันนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเซียงฉือออกพ้นประตูหน้าของตำหนักเหวินอิง ก็เห็นหลิ่วจุ้ยเดินอมยิ้มเข้ามาหา
“ผ่านแล้วหรือ”
หลิ่วจุ้ยเฝ้ารออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย เมื่อมองเห็นเซียงฉือจึงยิ้มอย่างเบิกบานใจ พวกนางกำนัลในวังนี้พากันพูดว่า มีแต่พวกสมองเสื่อมแล้วเท่านั้นที่ไปสอบข้าราชสำนักสตรี การสอบข้างในนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้เลย
แต่ว่าท่าทางที่ผ่อนคลายของเซียงฉือเช่นนั้น ทำให้นางรู้สึกแปลกใหม่
ตอนที่ 214 ให้รางวัลตนเอง
ท่าทางการยิ้มของเซียงฉือกับท่าทีที่มั่นใจผ่อนคลาย ทำให้หลิ่วจุ้ยวางใจที่แขวนอยู่ลงไปได้
นางผลักเซียงฉือเบาๆ ยิ้มอย่างอบอุ่น
“ผ่านแล้วสินะ ไหนขอข้าดูทีว่าป้ายหน้าตาเป็นอย่างไร”
เซียงฉืออารมณ์ดีตามหลิ่วจุ้ยไปด้วย แล้วจึงส่งป้ายหยกในมือให้นางดู
“ใช่แล้ว สอบผ่านแล้วๆ…”
หลิ่วจุ้ยแย่งป้ายหยกมาแล้วถือพลิกไปมาอยู่ในมือ มองดูอย่างตั้งใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างงดงามจริงๆ เซียงฉือ เจ้านี่เก่งจริงๆ!”
ในระหว่างทางกลับ หลิ่วจุ้ยยกยอเซียงฉือจนเลิศเลอ ทั้งคู่หัวเราะอย่างครึกครื้นตลอดทางกลับตำหนักอวี้หยวน
ผ่านการสอบรอบแรกไปแล้ว เซียงฉือจึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง
ถัดจากนี้จะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง และยังมีการสอบแยก ถึงจะบอกว่าเข้มงวดมาก แต่เซียงฉือมีความมั่นใจตัวเองอยู่หลายส่วน การทดสอบหน้าพระที่นั่งเป็นการดูความสามารถโดยรวม การบริหารจัดการงานและความสามารถในการแก้ไขปัญหา
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้สำหรับเซียงฉือแล้ว ขอเพียงตอบอย่างระมัดระวัง ย่อมไม่เป็นปัญหาใหญ่
เซียงฉือที่กลับถึงตำหนักอวี้หยวนแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งหลิ่วจุ้ยกลับได้ แล้วนางจึงนำซองจดหมายเล็กๆ ที่มีรูปวาดดอกเหมยสีแดงออกมาจากลิ้นชัก
สงสัยนักว่าข้างในจะเป็นอะไร นางไม่ต่างกับเด็กน้อยที่พอได้ทำเรื่องที่ควรยกย่องแล้วก็นั่งไม่เป็นสุขโยกไปมา
“ถือเสียว่ามันเป็นรางวัลชิ้นหนึ่งที่จะให้ตัวเองก็แล้วกัน ข้าต้องรักษาใจไว้ได้แน่ๆ”
“การไม่ยอมอ่านจดหมายผู้อื่นเหมือนจะขาดการอบรมบ่มเพาะ ท่านปู่รู้เข้าจะต้องไม่พอใจแน่ๆ ใช่ไหม”
วันนั้นเซียงฉือตัดสินใจแล้วอย่างหนักแน่น แต่วันนี้เมื่อได้รับป้ายผ่านการสอบรอบแรกแล้ว ใจของนางพลันผ่อนคลาย ในเวลาเช่นนี้นางจะคิดถึงเหอเจี่ยนสุยขึ้นมา
สมัยก่อนเมื่อนางได้รับคำชื่นชมจากท่านปู่ก็จะมีเขาอยู่เป็นเพื่อน วันเวลาเช่นนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
เซียงฉือพลันคิดถึงวันนั้นที่นางอยู่กับสวี่อี้ ทั้งคู่เขียนหนังสือท่องบทกลอนด้วยกัน แต่มักรู้สึกว่ายังขาดสิ่งใดอยู่ ที่จะทำให้ได้มีวันเวลาเปี่ยมความสุขดั่งเช่นประมุขทั้งสามตระกูลในอดีต
“เอาเถอะ ถือว่าเป็นรางวัลก็แล้วกัน”
เซียงฉือลังเลอยู่นานกว่าจะเตรียมเปิดจดหมาย นางเปิดซองออกแล้วดึงจดหมายข้างในอย่างเบามือ
ในซองจดหมายเป็นการดาษจดหมายสีชมพูแผ่นหนึ่ง เมื่อคลี่เบาๆ ก็มีกลิ่นหอมของดอกท้อซ่านกระจายออกมา
เซียงฉือสามารถนึกภาพความใส่ใจอย่างยิ่งของเหอเจี่ยนสุยในการเขียนจดหมายฉบับนี้ได้
นางยังไม่ได้อ่านก็หัวเราะพรวดออกมาเสียก่อน
“เซียงฉือ?”
ประตูห้องพลันถูกเปิดออก เสียงใสๆ ของหญิงสาวดังผ่านเข้ามาจากข้างนอก เซียงฉือตั้งตัวไม่ทันจึงรีบเก็บจดหมายในมือขึ้นพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าอย่างลนลาน
เมื่อหันกลับไปก็เห็นเซียงซือกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูมองดูเซียงฉืออย่างตะลึง
“น้องสาวกำลังทำอะไรอยู่ ไม่คิดจะให้พี่เห็นเสียด้วย”
เซียงซือออกจากตำหนักอวี้หยวนไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว คงเพราะวันนี้เป็นวันสอบข้าราชสำนักสตรี ดังนั้นนางกำนัลส่วนใหญ่จากตำหนักต่างๆ จึงได้ถูกปล่อยตัวออกมาได้
ทำให้เวลานี้เซียงซือมายืนอยู่ที่หน้าประตู สายตานางจ้องแน่วไปยังด้านหลังของเซียงฉือ
เซียงฉือลอบถอนใจ ถูกคนอื่นเห็นเข้าจนได้
ถึงเซียงซือจะไม่ใช่คนนอก แต่อย่าเพิ่งพูดออกมาในเวลานี้จะดีกว่า
“ท่านพี่พูดอะไรแบบนั้น ก็แค่งานที่กุ้ยเฟยสั่งให้ทำน่ะ ท่านพี่นั่งก่อนเถอะ จะมัวยืนอยู่ทำไมกัน”
เซียงฉือเก็บจดหมายอย่างรวดเร็วแล้วเชื้อเชิญเซียงซือให้นั่งพัก
เพราะเมื่อครู่ตกใจ ตอนนี้ใจของเซียงฉือจึงยังเต้นโครมคราม แต่ก็พยายามแสดงให้เห็นว่าสงบอย่างสุดกำลัง
“เชอะ ไม่คิดจะให้พี่ดูก็เลยพูดไปนั่น”
ถึงเซียงซือจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงแต่อย่างไร
ตอนที่ 215 รับสั่งกุ้ยเฟย
เซียงฉือเชิญเซียงซือดื่มน้ำชา สองพี่น้องไม่ได้พบกันมานานพอควรจึงน่าที่จะเป็นบรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียว แต่เพราะความทะเล่อทะล่าของเซียงซือจึงเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้น
เซียงฉือรินน้ำชาให้นาง เมื่อเห็นว่าเซียงซือมีวันเวลาที่ดีหลังออกจากตำหนักอวี้หยวนไปแล้วก็สบายใจขึ้น
“ท่านพี่ก็ได้ป้ายหยกผ่านการสอบครั้งแรกแล้วใช่ไหม”
เซียงฉือตาแหลมคม เพียงครู่เดียวก็มองเห็นป้ายหยกสีขาวที่เสียบอยู่ที่เอวของเซียงซือ
เซียงซือก็ไม่ได้เกรงใจ อมยิ้มแล้วรีบนำออกมา
“ข้าได้ยินจากหงหงว่าเจ้าก็ได้มาเหมือนกัน ไหนเอามาให้พี่ดูหน่อย พวกเราพี่น้องไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้มานานแล้ว”
เซียงซือทอดถอนใจรู้สึกหดหู่ มองดูเซียงฉือตาใส
“ครั้งนี้นับว่าพวกเราฝ่าความลำบากออกมาได้แล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ ควรต้องขอบคุณใต้เท้าราชครูและผู้อาวุโสของบ้านสกุลเหออย่างมากที่ทำให้พวกเรามีโอกาสนี้ได้”
“ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะนัดเจ้าไปพบกับผู้คุมสอบด่านถัดไปด้วยกัน ข้าถามนางกำนัลเก่าแก่พวกนั้นแล้ว พวกนางบอกว่าควรต้องรู้ธรรมเนียมสักหน่อย มิเช่นนั้นพวกเขาจะทำให้การของพวกเราสะดุดได้”
เซียงซือจงใจเบาเสียงไปพูดอยู่ที่ข้างหูเซียงฉือ เซียงฉือฟังแล้วเกิดความลังเลในใจ สภาพในวังเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดจึงจะต้องมีเงินถึงจะมีอำนาจได้
เซียงฉือก้มหน้าไม่พูดไม่จา เซียงซือมองดูนางส่วนใจก็คิดคำนวณไปด้วย
“เจ้ารับใช้อยู่ข้างกายกุ้ยเฟย คงจะได้รับประโยชน์ไม่น้อย หรือว่าตัดใจไม่ได้”
“น้องเซียงฉือ เรื่องนี้ถ้าไม่จ่ายค่าตอบแทนบ้างก็คงจะไม่บรรลุเป้าหมายนะ”
คำพูดของเซียงซือทำให้เซียงฉือกังวลคลางแคลง นางรับใช้กุ้ยเฟยยังไม่นานเท่าไร เงินที่ได้ตามอัตราในแต่ละเดือนก็ไม่มาก ครั้งก่อนปักกระโปรงหิ่งห้อยเรืองแสงให้กุ้ยเฟยก็ถูกหลิ่วเหยียนกลั่นแกล้ง รางวัลที่ควรจะได้เลยกลายเป็นการทำคุณไถ่โทษไป
เซียงซือพูดว่าไปอยู่ข้างกายกุ้ยเฟยแล้วคงได้รับประโยชน์มาไม่น้อย แต่ว่าตอนนี้นางกลับกระเป๋าแห้ง
ขณะพวกนางกำลังสนทนากันอยู่ในห้อง หลิ่วเหยียนก็มาถึงพอดีจึงได้ยินคำสนทนาของเซียงซือกับเซียงฉือเข้า ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้เซียงฉือจะได้รับของมีค่าจากกุ้ยเฟยมามากน้อยแค่ไหน แต่ความลับใดๆ ย่อมไม่มีในตำหนักนี้
จะว่าไปแล้ว เซียงฉือก็ไม่ได้มีอะไรดีมากไปกว่าพวกคนรับใช้ขั้นสองขั้นสามพวกนั้นมากนัก
คิดถึงตรงนี้แล้ว หลิ่วเหยียนก็คิดได้วิธีหนึ่ง
แต่แล้วนางรีบส่งเสียงกระแอมไอขึ้นที่หน้าประตู
“เซียงฉือ กุ้ยเฟยเรียกเจ้าไปหา”
เซียงฉือได้ยินเสียงหลิ่วเหยียนจึงรีบไปเปิดประตู นางเห็นสีหน้าหลิ่วเหยียนมองตนอย่างรังเกียจแล้วมองผ่านไปยังเซียงซือที่อยู่ด้านหลังนาง จากนั้นพ่นลมเย็นออกจมูก
“เร็วหน่อย กุ้ยเฟยเรียกหาเจ้าอยู่นะ”
ความสัมพันธ์ของหลิ่วเหยียนกับเซียงฉือแต่ไรมาก็ไม่ดีเท่าไร ตอนนี้ต้องมาเรียกนางสีหน้าจึงดูไม่ได้ ส่วนเซียงฉือเย็นชากับนางมาโดยตลอด ถึงแม้ยังต้องร่วมมือกันทำงานก็ตาม ระยะนี้กุ้ยเฟยฟังคำของหวังหมัวหมัว สงบจิตสงบใจบำรุงดูแลร่างกาย
ขณะนี้ตำหนักอวี้หยวนจึงอยู่ในสภาพสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง
เซียงฉือยืนอยู่หน้าประตูไม่คิดจะเชิญนางเข้าไป แต่หลิ่วเหยียนยังคงส่งสายตาลอกแลกกราดมองดูข้างใน เซียงฉือยืนบังไว้แล้วพูดยิ้มๆ
“ขอบใจแม่นางหลิ่วเหยียน ช่วยทูลกุ้ยเฟยด้วยว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เซียงฉือพูดอย่างไม่เกรงใจ หลิ่วเหยียนถูกนางขวางไว้สีหน้าไม่สบอารมณ์ พ่นลมเย็นออกจมูกแล้วหมุนกายเดินจากไป
“กุ้ยเฟยสั่งให้เจ้าไปเดี๋ยวนี้!”
เซียงฉือก็ไม่กล้าชักช้า มิเช่นนั้นหลิ่วเหยียนอาจจะพูดให้ร้ายอะไรนางต่อหน้ากุ้ยเฟยได้จึงรีบเร่งตามไป
กุ้ยเฟยกำลังรับอาหารเที่ยงอยู่ หลายวันมานี้เชื่อคำพูดของหมอหลวง ดื่มยาที่มีทั้งรสขมและฝาด ดังนั้นตลอดหลายวันนี้จิตใจจึงไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไร
ตอนที่ 216 แผนการกุ้ยเฟย
เซียงฉือตามหลิ่วเหยียนเข้าไปในห้องของกุ้ยเฟยแล้วยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้ากุ้ยเฟย
“เซียงฉือ ข้ารู้ว่าตำหนักอวี้หยวนเล็กเกินไป จะช้าหรือเร็วเจ้าก็ต้องจากไป ข้าไม่ใช่คนตระหนี่ ของพวกนี้เป็นรางวัลให้เจ้าทั้งหมด”
เสียงของกุ้ยเฟยนุ่มนวลอ่อนหวาน หลายวันมานี้แม้ยาน้ำจะเฝื่อนขม แต่จินกุ้ยเฟยก็มีเลือดฝาดขึ้นมาก ทว่าคำพูดของนางทำให้เซียงฉือไม่เข้าใจ
อวิ๋นเซียงฉือยอมรับว่าตนเองอยู่ในตำหนักอวี้หยวนไม่นาน ทั้งยังอยู่อย่างเรื่อยๆ ไม่มีทั้งความดีความชอบหรือความผิดมีโทษอะไร แต่เมื่อเห็นกล่องเครื่องประดับที่กลุ่มสาวใช้ด้านหลังหวังหมัวหมัวยกมาแล้วเห็นว่าครั้งนี้กุ้ยเฟยมือหนัก ของขวัญที่มอบให้ล้ำค่าอย่างยิ่ง
“ตั้งแต่หม่อมฉันเข้าตำหนักมา กุ้ยเฟยทรงเมตตาให้ความสำคัญ หม่อมฉันรู้สึกประหม่าเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเพียงโชคดีผ่านการสอบรอบแรกมาได้เท่านั้นเพคะ”
“พระมหากรุณาธิคุณที่ประทานแก่หม่อมฉันนี้ หม่อมฉันไม่มีวันจะลืมเลือนเพคะ”
“พระองค์ทรงเมตตาสงสาร หม่อมฉันซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง แต่หม่อมฉันไม่มีความดีความชอบอันใดจึงไม่อาจรับรางวัลที่ประทานมากมายเช่นนี้ได้เพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือแม้จะรู้ว่าสถานะของข้าราชสำนักสตรีมีความพิเศษ นางกำนัลหากสอบได้แล้วล้วนเฟื่องฟูขึ้นทันตา ฐานะจะแตกต่างไปอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงว่ากุ้ยเฟยจะใส่ใจถึงเพียงนี้
ในตอนนี้นางประหม่าจริงๆ กังวลว่าหลิ่วเหยียนได้พูดอะไรไว้หรือไม่ นางไม่ต้องการไปล่วงเกินอะไรกุ้ยเฟยเข้าในช่วงเวลาสุดท้ายนี้
จินกุ้ยเฟยมองดูเซียงฉือและสะบัดมือ เหล่าคนข้างหลังวางของพระราชทานแล้วก็ถอยออกไป
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ หวังหมัวหมัวพูดไว้ไม่ผิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด กับพวกบุญคุณเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เจ้าไม่เห็นมันอยู่ในสายตา”
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าซาบซึ้งใจที่ข้าเห็นความสำคัญ ดังนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ในวังหลังนี้ถึงแม้ฐานะของข้าราชสำนักสตรีจะสูงกว่านางกำนัลอยู่มาก แต่จะอย่างไรก็ยังคงเป็นบ่าว ต้องมีเจ้านายให้ความสำคัญจึงจะมีโอกาส มิฉะนั้น…”
กุ้ยเฟยพ่นลมเย็นออกจมูกแล้วค่อยๆ ช้อนตากวาดมองดูอวิ๋นเซียงฉือ เมื่อนางเห็นสายตาจินกุ้ยเฟยแล้วก็พูดขึ้นว่า
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ”
“กุ้ยเฟยทรงให้ความสำคัญกับหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมต้องสำนึกในพระกรุณาธิคุณเพคะ”
เวลานี้อวิ๋นเซียงฉือเหตุใดจะไม่เข้าใจว่าการสอบข้าราชสำนักสตรีนี้ โอกาสที่นางกำนัลจะสอบได้เท่ากับศูนย์ และคนพวกนี้ก็รั้งตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่งในวังซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกุ้ยเฟยได้
ดังนั้นในเวลานี้จึงต้องดึงเข้าเป็นพวกไว้ก่อน ถึงแม้เซียงฉือจะคิดได้เช่นนี้ แต่นางยังไม่รู้ว่าจินกุ้ยเฟยได้คิดแผนการที่ล้ำหน้ายิ่งกว่า
“คุยกับคนฉลาดนี่ช่างสบายเหลือเกิน”
“เซียงฉือ ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้าอีกแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากตระกูลผู้มีการศึกษา โวหารบทกวีหรือศิลปะเขียนวาดล้วนโดดเด่น ในการสอบครั้งนี้มีตำแหน่งข้าราชสำนักสตรีแผนกอักษรของตำหนักเจิ้งหยางว่างอยู่ ข้าหวังให้เจ้าเข้ารับตำแหน่งนี้”
จินกุ้ยเฟยใช้น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพูดคำพูดที่นางคิดว่ามั่นใจเต็มที่ออกมา
ข้าราชสำนักสตรีแผนกอักษรต่างจากข้าราชสำนักสตรีทั่วไป เป็นตำแหน่งสำคัญที่รับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ สามารถพบเห็นฮ่องเต้ได้ทุกวัน ซึ่งย่อมจะคุ้นเคยกับกิจวัตรและความชอบของฮ่องเต้เป็นอย่างดี ถ้าหากไปจับจองที่ตรงนั้นได้จะเป็นแรงหนุนอย่างมากให้กับจินกุ้ยเฟย
ที่สำคัญเพราะซูเฟยได้จัดผิงผิงเข้าไปรับใช้ด้านขีดเขียนอยู่ และหลายวันนี้ได้เป็นที่โปรดปรานอยู่มาก ทำให้กุ้ยเฟยถึงกับตาร้อน
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือผ่านการสอบข้าราชสำนักสตรีรอบแรกมาแล้ว และเพราะมีความมั่นใจในตัวนางมาก เส้นทางต่อจากนี้ขอเพียงเซียงฉือไม่พลาดและนางคอยช่วยผลักด้านอยู่ข้างๆ เรื่องนี้ย่อมสามารถทำได้สำเร็จ
แต่ว่านางคิดไม่ถึง
“กุ้ยเฟยทรงเมตตา แต่หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่มีความสามารถเช่นนั้นเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือปฏิเสธคำขอของนาง คุกเข่าสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าจินกุ้ยเฟย แต่เสียงเบาอย่างยิ่งราวกับไม่ได้ถูกเปล่งออกมาจากนางในที่นั้น
ตอนที่ 217 เซียงฉือขัดพระประสงค์
การปฏิเสธของเซียงฉืออยู่นอกเหนือความคาดหมายของจินกุ้ยเฟย สายตาจินกุ้ยเฟยเย็นเยือกลงทันที เซียงฉือที่ถูกมองถึงกับก้มหน้าลง
“อวิ๋นเซียงฉือ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะไม่ไป ใช่หรือไม่”
เซียงฉือราวกับสามารถได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของจินกุ้ยเฟย ด้วยความไม่อยากเชื่อ ไม่อาจจะเข้าใจทำให้จินกุ้ยเฟยมองอวิ๋นเซียงฉือราวเป็นคนฟั่นเฟือน
“ข้าเคยพูดไปแล้วว่าหากคิดจะช่วยทั้งครอบครัวเจ้า ทางที่ดีคือร่วมมือกับข้าเสีย หรือว่าเจ้าต้องการจะให้ทั้งครอบครัวตายพร้อมกับเจ้าไปด้วย”
ตั้งแต่วันแรกที่เซียงฉือเข้าสู่ตำหนักอวี้หยวนก็รู้ว่านางไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากบ่วงผูกรัดของจินกุ้ยเฟยได้ ไม่ว่าเวลาใด นางก็คือเป้าหมายของการขู่เข็ญของจินกุ้ยเฟย
ครอบครัวของอวิ๋นเซียงฉือคือจุดอ่อนของนางที่ถูกจินกุ้ยเฟยกุมไว้ในกำมือ ทำให้นางไม่อาจเพิกเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของจินกุ้ยเฟยได้
“กุ้ยเฟยทรงระงับความพิโรธด้วยเพคะ”
“หม่อมฉันฐานะต่ำต้อยไม่บังควรถวายการรับใช้ฝ่าบาท ไม่ได้เป็นเพราะว่าหม่อมฉันไม่ยอมทุ่มเทเพื่อพระองค์ แต่เพราะความสามารถของหม่อมฉันมีจำกัด อีกทั้งเรื่องนี้ซูเฟยก็คงจะลงมือทำอะไรเป็นแน่ หม่อมฉันจึงคิดว่าหากพระองค์ทรงอบรมขัดเกลาหญิงสาวคนอื่นก็จะทรงใช้สอยได้เต็มที่กว่าเพคะ”
เซียงฉือรู้ว่าที่กุ้ยเฟยต้องการให้นางอยู่ข้างกายฝ่าบาทก็เพราะซูเฟยได้ปล่อยผิงผิงไว้ข้างกายฝ่าบาทคนหนึ่งแล้ว นางจึงไม่ต้องการให้ตนเองตกอยู่ในสภาพเป็นรอง
คำพูดอวิ๋นเซียงฉือฟังดูก็มีเหตุผล แต่ความรู้สึกของจินกุ้ยเฟยในตอนนี้ก็คือเซียงฉือปฏิเสธนาง
ในใจจึงยิ่งนึกรังเกียจนางมากขึ้น
“เซียงฉือ กุ้ยเฟยให้โอกาสเจ้าแล้วอย่ามัวทำไม่รู้สำนึก ในวังนี้มีหญิงสาวที่ต้องการไต่เต้าขึ้นมาจำนวนมาก เจ้ารู้ไว้เสียด้วยว่าการบดขยี้เจ้าให้ตายนั้นยังง่ายกว่าการบี้มดตัวหนึ่งเสียอีก”
“แม่นางเซียงฉือเป็นลูกกตัญญู คิดว่าคงอยากรู้สภาพของบิดาในระยะนี้อย่างยิ่งกระมัง”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหวังโมโมแล้ว ความหยิ่งทะนงในใจเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง วันนั้นที่หลิวชิงคิดจะรังแกนาง นางได้พูดไปแล้วว่ายินดีที่จะตายดีกว่าจะยอมเสียศักดิ์ศรี
ความหยิ่งทะนง ความไม่ยี่หระของนางเป็นธาตุแท้ที่ทำให้นางยืนหยัดอยู่มาได้ถึงวันนี้ และหวังหมัวหมัวก็ทิ่มแทงเข้าจุดเจ็บปวดที่สุดของนาง
เซียงฉือไม่พูดจา นางรู้สึกอ้างว้างเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง นางไม่ต้องการถูกควบคุมเช่นนี้ นางกำลังลังเลและต่อสู้อยู่กับความหยิ่งทะนงของตน
ขณะนั้นที่ด้านนอกประตูของโถงหน้าบริเวณเทียบราชรถหยกในตำหนักอวี้หยวนก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น อ่อนเบาแต่หนักแน่น และน้ำเสียงยังแฝงความร้อนรน
“กุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันยินดีเพคะ!”
เซียงซือผลักประตูเดินเข้ามาจากด้านนอกที่เทียบราชรถแล้วคุกเข่าลงข้างๆ เซียงฉือ
เซียงฉือลืมไปแล้วว่าเซียงซือก็ได้ติดตามนางมารออยู่ด้านนอกประตูด้วย ตอนนี้นางไม่อาจคิดอะไรได้ทันมากนักเพราะการปรากฏตัวของเซียงซือ คำพูดของเซียงซือทำให้นางตกเป็นรอง
เซียงฉือตกใจอย่างยิ่ง ได้แต่ลอบมองดูสีหน้าของจินกุ้ยเฟย
การแอบฟังเจ้านายพูดคุยเป็นข้อห้ามใหญ่ ถ้าหากจินกุ้ยเฟยอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้วละก็ จะต้องให้ลากนางออกไปตีจนตายทันที เซียงฉือใจกระโดดไปถึงคอหอยไม่กล้าเอ่ยปาก
แต่ยังคงมองดูกุ้ยเฟยอย่างร้อนรน หวังว่าจะพบเห็นอะไรในแววตาของนางบ้าง กุ้ยเฟยตระหนกน้อยๆ แววตาที่ตกใจในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความโกรธในท้ายที่สุดริมฝีปากกระดกขึ้นช้าๆ
“เจ้าหรือ เซียงซือ? ข้าขับเจ้าออกจากตำหนักอวี้หยวนไปนานแล้ว และยังพูดด้วยว่าไม่ต้องการเห็นเจ้าอีก!”
หัวไหล่ของเซียงซือสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง
นางเพิ่งรู้สึกคิดกลัวขึ้นมา เหงื่อเย็นไหลลงตามหลัง แต่หากจะให้นางสำนึกเสียใจในตอนนี้ คำพูดที่พูดออกไปแล้วก็จะกลายเป็นน้ำที่ถูกสาดทิ้งไป นางจึงกลืนน้ำลายลงแรงๆ แล้วมองเซียงฉือ
ตอนที่ 218 เซียงซือขออาสา
สายตาจินกุ้ยเฟยเย็นเยียบ เซียงซือถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อครู่ตนเองบุ่มบ่ามเกินไป แต่ว่านางหักห้ามใจไม่ได้ นางคิดถึงฝ่าบาท เรื่องนี้ถึงจะไม่มีใครรู้ แต่ตอนนางอยู่ที่นอกห้อง ได้ยินกุ้ยเฟยเอ่ยกับเซียงฉือถึงข้าราชสำนักสตรีด้านอักษร
นางไม่สามารถปฏิเสธความเย้ายวนใจนั้น ความหวังที่จะได้พบหน้าหรงจิงทุกวันคืน
นางหลงรักฝ่าบาท ความคิดถึงได้หลอมสติปัญญานางให้ละลายไปสิ้น
อีกทั้งตอนที่เซียงฉือออกจากห้องไปนางได้แอบเปิดจดหมายที่เซียงฉือเก็บซ่อนไว้ ยิ่งได้อ่านถ้อยคำที่เหอเจี่ยนสุยเขียนถึงนางแล้ว ยิ่งบังเกิดความริษยาขึ้นในใจ
ถึงนางจะรู้ว่าตนเองกับเซียงฉือเป็นญาติที่ผูกพันกันทางสายเลือด แต่ก็ไม่อาจควบคุมความริษยาของตนได้ ตั้งแต่เล็กจนโต นางและเซียงฉือต่างเป็นบุตรสาวบ้านสกุลอวิ๋น แต่เหอเจี่ยนสุยให้ความสนิทสนมกับเซียงฉือเป็นอย่างยิ่ง
กับนางที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกว่าเสียอีกกลับทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น ขนาดว่าพบกันโดยบังเอิญก็ยังทำตัวห่างเหินอย่างเกรงใจ
นางมักรู้สึกว่าเป็นเพราะเหอเจี่ยนสุยเห็นนางเป็นบุตรสาวสายรองจึงดูแคลนนางเสมอมา จึงยิ่งริษยาเซียงฉือมากขึ้น แต่ตอนนี้บ้านสกุลอวิ๋นล่มแล้ว ยังจะมีบุตรสาวสายตรงสายรองอะไรอีก ทั้งคู่ต่างเป็นนางกำนัลเล็กๆ ที่ถูกคนเหยียบย่ำตามใจ
แต่ว่าเหอเจี่ยนสุยยังคงเสมอต้นเสมอปลายต่อเซียงฉือ
นางริษยา พอได้ยินกุ้ยเฟยพูดถึงข้าราชสำนักสตรีด้านอักษรจึงทำให้ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมา
แม้สายตากุ้ยเฟยในขณะนี้จะไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง แต่นางจะต้องฉกฉวยโอกาส ทุ่มเทเต็มที่เพื่อความรักของตน
เซียงซือคิดดังนั้นแล้วจึงเงยหน้ามองจินกุ้ยเฟย พูดขึ้นด้วยท่าทีสงบ
“กุ้ยเฟยทรงประทานอภัยโทษด้วยเพคะ หม่อมฉันได้สำนึกตัวแล้ว ขอพระองค์โปรดประทานโอกาสให้หม่อมฉันสักครั้ง หม่อมฉันยินดีทำคุณไถ่โทษ เป็นข้ารับใช้สนองพระกรุณาธิคุณ โปรดทรงเห็นแก่ความจริงใจของหม่อมฉัน ประทานอภัยในความผิดพลาดที่แล้วมาด้วยเถิดเพคะ”
“หม่อมฉันจะสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ขอพระองค์โปรดประทานโอกาสให้หม่อมฉันอีกสักครั้งเถิดเพคะ”
เซียงซือพูดจบก็โขกศีรษะลงไปอย่างแรง จินกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นจึงมองดูอวิ๋นเซียงฉือที่อยู่ข้างกันอีกครั้ง ทั้งสองคนมีความละม้ายคล้ายกันอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมนางมีความเชื่อมั่นในตัวเซียงฉือมากกว่า
และนางก็มีความประหลาดใจ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่เหตุใดคนหนึ่งปฏิเสธ ส่วนอีกคนกลับร้อนรนเช่นนี้
นางเห็นเป็นเรื่องน่าสนุก ถึงแม้ยังโกรธอยู่แต่ก็เกิดความสนใจในพวกนาง ปลอกกันเล็บจึงดันศีรษะเซียงซือขึ้นแล้วเชยใบหน้าน้อยๆ นั้นขึ้นดู
“เซียงซือ?”
จากนั้นหันไปเชยใบหน้าเซียงฉือขึ้นอีกคน มองเปรียบเทียบซ้ายขวา
“เซียงฉือ?”
“เจ้าสองคนเป็นพี่น้องกัน เป็นลูกสาวขุนนางต้องโทษทั้งคู่ แต่คนหนึ่งปฏิเสธ ส่วนอีกคนร้อนรน อยากรู้เสียจริงว่าบ้านสกุลอวิ๋นของพวกเจ้าอบรมลูกสาวกันอย่างไร”
ตั้งแต่เล็กจนโต ของของอวิ๋นเซียงฉือล้วนเป็นของที่ดีที่สุด ส่วนทุกสิ่งของนางล้วนต้องพยายามด้วยตนเองเพื่อให้ได้มา ความรักของท่านปู่ การเห็นความสำคัญของคนรุ่นบิดา นางล้วนต้องช่วงชิงด้วยตัวเองทั้งสิ้น
แต่อวิ๋นเซียงฉือมักจะไม่สนใจในทุกสิ่งที่นางต้องวางแผนแทบตายเพื่อให้ได้มาแม้แต่น้อย
เซียงฉือมองเซียงซือและสบเข้ากับสายตาเซียงซือพอดี สายตาของเซียงฉือมีความประหลาดใจและกังวล แต่ยังคงไม่มีความร้อนรนเสียดายในส่วนที่ควรเป็นของตนเลย
เป็นของที่นางไม่เห็นค่าควรต้องการอีกแล้วสินะ
เซียงซือรู้สึกไม่สบอารมณ์ นางก้มหน้าลงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร
เซียงฉือมองดูเซียงซือด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน เหมือนนางยังเข้าใจญาติผู้พี่คนนี้ไม่มากพอ สายตานางวาววับขึ้นเดี๋ยวหนึ่งแล้วเป็นปกติอย่างรวดเร็วสงบใจดูเหตุการณ์ต่อไป ทิ้งคำตอบที่ตอบยากนั้นเอาไว้ให้นาง
ตอนที่ 219 ส่งเสริมเซียงซือ
ถึงแม้เซียงฉือจะนึกปลงในใจ แต่ก็ไม่กล้าให้กุ้ยเฟยรอนานจึงเอ่ยปากขึ้น
“ขอทรงพิจารณาด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้มีความตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เพราะหม่อมฉันเป็นพวกหุนหันพลันแล่น ความคิดอ่านไม่สุขุมเพียงพอ ไม่เหมาะจะเสนอตัวอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ หากมีอันต้องสูญเสียชีวิตก็เป็นการสมควร แต่หากต้องทำให้พระองค์ทรงเดือดร้อนด้วยก็จะเป็นความผิดของหม่อมฉัน ดังนั้นจึงไม่กล้ารับปากเพคะ”
“หม่อมฉันได้รับพระเมตตาให้ความสำคัญ มอบหมายตำแหน่งที่สำคัญเช่นนั้นให้ ยิ่งทำให้ยำเกรงหวาดหวั่น หากเกิดความประหม่าขึ้นต่อเบื้องพระพักตร์แล้วทำให้ฝ่าบาททรงเอือมระอาก็จะทำให้พระองค์ต้องพลอยยุ่งยากไปด้วยเพคะ”
เซียงฉือเจตนาเตือนเซียงซือไปด้วย ท่านปู่ที่ฉลาดปราดเปรื่องสุดยอดและคลุกคลีอยู่ในวงราชการมาทั้งชีวิตยังสะดุดล้มลงได้ แล้วถ้าหากต้องไปอยู่รับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ทุกวี่วัน วันไหนที่ฮ่องเต้รู้ฐานะของพวกนางเข้า คงต้องเอือมและสงสัยในตัวพวกนางเป็นแน่ ไม่แน่ว่าวันนั้นอาจเป็นวันตายของพวกนางก็ได้
เรื่องพวกนี้กุ้ยเฟยไม่สนใจ เพราะชีวิตพวกนางนั้นไม่ได้มีราคาค่างวดสักแดงเดียวสำหรับนาง
เซียงฉือก็ไม่ต้องการให้เซียงซือเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า และการที่ทั้งครอบครัวต้องถูกจองจำก็เป็นเพราะฮ่องเต้ที่เลอะเทอะองค์นี้ นางไม่ต้องการมีความเกี่ยวพันอันใดกับฮ่องเต้องค์นั้น
พูดตามความหมายแล้ว จะว่าหรงจิงคือศัตรูคู่อาฆาตของพวกนางทั้งสองก็ไม่ผิด
แต่นางเห็นสายตาของเซียงซือแล้วรู้สึกว่านางไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังกลับแวววาวเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเรื่องนี้
ส่วนเซียงซือฟังเซียงฉือเหมือนกำลังบอกปัดก็ร้อนใจอย่างยิ่งจึงรีบพูดออกไปอย่างลนลาน
“ท่านปู่เคยพูดว่า บุตรทั้งเก้าของมังกรล้วนมีความแตกต่างกัน หม่อมฉันกับเซียงฉือถึงจะสืบทอดสายเลือดเดียวกัน แต่นิสัยกลับไม่ค่อยเหมือนกันเพคะ”
“และในวังหลังนี้ไม่ช้าก็เร็วกุ้ยเฟยก็จะทรงเป็นผู้กุมอำนาจ หม่อมฉันเพียงใส่ใจระมัดระวังมากขึ้น ย่อมต้องช่วยเป็นกำลังให้พระองค์ได้เพคะ”
“ขอกุ้ยเฟยทรงเมตตาส่งเสริมหม่อมฉันด้วยเพคะ ภายภาคหน้าหม่อมฉันจะไม่ลืมพระกรุณาในวันนี้เลยเพคะ”
เซียงซือลนลานเกินไปจริงๆ ไม่มีความสุขุมสักนิด เซียงฉือถึงกับต้องส่ายหน้าในใจเมื่อได้ฟังคำพูดของนาง แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้นางก็ไม่มีความสามารถพอจะแก้ไขได้ ถ้าหากกุ้ยเฟยยอมรับ วันข้างหน้านางคงต้องทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจ แต่หากไม่ยอมรับ เกรงว่าวันนี้เซียงซือคงต้องถูกทารุณกรรมอย่างที่สุด
เซียงฉือก้มหน้าหลับตาลง นางกำลังคิดหาวิธีที่ดีที่สุด
ขณะนั้นสายตาหวังหมัวหมัวก็จับอยู่บนร่างคนทั้งสองอย่างประหลาดใจเช่นกัน เมื่อจินกุ้ยเฟยเห็นเซียงฉือก้มหน้าลงจึงค้อน
แต่พอฟังคำพูดของเซียงซือแล้ว กลับยิ่งรู้สึกว่าสาวใช้คนนี้พูดเป็นรู้จักพูด คุ้มที่จะเอามาขัดเกลา
กุ้ยเฟยชอบฟังคำยกยอปอปั้นของพวกสาวใช้ตลอดมาอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย
เซียงฉืออ่อนใจได้แต่ยิ้ม มองดูใบหน้ายิ้มแย้มงดงามของเซียงซือแล้วพลันคิดขึ้นได้ว่า นางคืออวิ๋นเซียงฉือ ส่วนอวิ๋นเซียงซือก็คืออวิ๋นเซียงซือ นางไม่สามารถบรรจุความคิดของตัวเองเข้าไปให้กับเซียงซือได้
ปล่อยนางให้ไปทำในสิ่งที่ตนเองชอบก็เป็นการให้นางได้สมปรารถนา แบบนี้ก็ใช่จะไม่ดีที่ตรงไหน
เซียงฉือยิ้ม ตอนนี้กุ้ยเฟยเลิกสนใจในตัวเซียงฉือแล้ว ถึงครั้งก่อนเซียงซือจะถูกนางขับออกจากตำหนักอวี้หยวน แต่ตลอดมาความทรงจำของนางไม่สู้ดีนัก เรื่องนี้จึงเกือบถูกลืมไปหมดแล้ว
ทั้งตอนนี้ยังเกิดความรู้สึกว่าเซียงซือคนนี้รู้กาลเทศะมากกว่าเซียงฉือและยังตรงใจนางมากกว่าอีกด้วย
ถึงแม้หวังหมัวหมัวจะเอาแต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ แต่ก็รู้ว่ากุ้ยเฟยได้ตัดสินใจแน่แล้ว
นางมองดูเซียงฉือด้วยความรู้สึกเสียดาย
เซียงฉือเงยหน้าขึ้นมองหวังหมัวหมัว ยิ้มจางๆ อย่างอบอุ่น แล้วจึงหันกลับไปมองเซียงซือ
“กุ้ยเฟยทรงมีชะตาสูงเกริกเกียรติ ท่านพี่ก็เป็นคนมีวาสนา การที่กุ้ยเฟยทรงส่งเสริมท่านพี่เช่นนี้คงเป็นเพราะชะตากำหนดโดยมีหม่อมฉันเป็นตัวเชื่อมโยง ทำให้พระองค์ได้สมพระราชหฤทัย”
ตอนที่ 220 เนื้อความจดหมาย
เซียงซือและกุ้ยเฟยต่างได้สมดั่งปรารถนา เรื่องนี้จึงจบลงอย่างน่ายินดีอย่างยิ่ง
เซียงฉือถึงจะปฏิเสธกุ้ยเฟยไปตรงๆ เช่นนั้นแล้ว แต่เพราะเรื่องของครอบครัว ในใจจึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง สิ่งสำคัญเพราะนางเข้าใจ สมัยนั้นซูเฟยก็เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง
การได้เสนอหน้าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เสมอๆ ย่อมมีโอกาสที่จะต้องตาฮ่องเต้บ้าง แต่ใจของเซียงฉือคิดถึงแต่เหอเจี่ยนสุย นางกับเขามีการหมั้นหมายกันอยู่ก่อน และเขาก็ไม่เคยทรยศนาง จะให้นางเป็นคนไร้คุณธรรมไร้หัวใจได้อย่างไร เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เรื่องที่มองไม่เห็นทางแก้ปัญหาได้ดีเช่นนี้แต่ต้น กลับถูกเซียงซือแทรกเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ทำให้นางสามารถปลีกตัวได้อย่างปลอดโปร่ง
เซียงซือเมื่อกุ้ยเฟยให้ความสำคัญจึงถูกกุ้ยเฟยรั้งตัวไว้รับใช้ข้างกายทันที ส่วนเซียงฉือกลับห้องของตนไป
เซียงฉือรู้โดยไม่ต้องคิดว่า ช่วงระยะเวลานี้ บรรดาหญิงสาวที่ผ่านการสอบรอบแรกแล้วต่างกำลังเตรียมการกันอยู่ในวังหลัง วิ่งเต้นเพื่ออนาคตทางราชการของตนเอง
แต่เซียงฉือนั่งเพียงลำพังอยู่ในห้อง มองดูจดหมายที่ถูกหยิบออกมา
“รู้สึกแปลกๆ อยู่ หรือว่าเซียงซืออ่านไปแล้ว?”
เซียงฉือมองดูตรงปากซอง รู้สึกเหมือนมีรอยยับอยู่ เมื่อดึงจดหมายออกมา ก็พบว่าวิธีการพับต่างจากแบบที่เหอเจี่ยนสุยเคยพับตลอดมาทำให้นางรู้สึกโกรธ
“นางจะต้องหยิบจับไปแล้วแน่ เฮ้อ ไม่ควรวางจดหมายไว้ตรงนี้เลย”
เซียงฉือขมวดคิ้วแน่น ทำให้เห็นว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี เรื่องราวในวันนี้ทำให้นางไม่สบายใจ ความยินดีปรีดาก่อนหน้านี้จึงจืดจางลงไปมาก
ขณะที่ถือจดหมายอยู่นั้น นางมองดูตัวอักษรที่คุ้นเคย แต่ไม่ได้รู้สึกดีใจแทบคลั่งอย่างเมื่อครู่ก่อนซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกหนักใจ
เมื่อพลิกดูจดหมาย คำพูดอบอุ่นใจของเหอเจี่ยนสุยก็ผ่านเข้าในม่านตา
‘สามสารทพลัดพรากดั่งสามปีผ่าน อธิษฐานหวังได้พบคะนึงหา คำคิดถึงแม้นว่าด้อยราคา ปวดอุราเพราะรักลึกสุดทรวง ไม่ว่าหยกขาวจะอยู่แห่งหนใด จะตามไปอยู่ด้วยตราบนิรันดร’
เหอเจี่ยนสุยยังวาดภาพกระทงดอกบัว ในภาพอันอบอุ่นมีรูปชายหนุ่มหญิงสาวร่วมกันปล่อยกระทงดอกบัวลงในแม่น้ำข้างชิงเฉิงในเทศกาลโคมไฟอีกด้วย
ประโยค ‘ไม่ว่าหยกขาวจะอยู่แห่งหนใด จะตามไปอยู่ด้วยตราบนิรันดร’ ของเหอเจี่ยนสุยทำให้นางระลึกถึงท่าทางที่แข็งแกร่งกับสายตากระจ่างใสของเขา
ชายหนุ่มที่ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญคนนั้นเหมือนกับเมฆขาว ล่องลอยอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่บนท้องฟ้า หากเป็นเมื่อก่อน เซียงฉือก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับเขาสูงส่งบริสุทธิ์อยู่เช่นนี้ตลอดกาล ใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้ตลอดไป
แต่นางกลับยิ่งเหมือนดอกไม้ที่งดงามเปล่งประกาย ต้องคอยเก็บหนามของตนอย่างเต็มที่ ให้ตนเองไม่เป็นที่สะดุดตาอยู่ในวังลึกล้ำแห่งนี้ ซึ่งนับวันก็จะยิ่งห่างไกลจากตัวตนที่แท้จริงของตนไปทุกที
นางกอดจดหมายไว้ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้น จดหมายเช่นนี้เห็นท่าจะเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว นางรู้ดีว่าในวังมีคนมากและพูดมาก ถึงจะเป็นเซียงซือพี่สาวนางก็ตาม
รับประกันไม่ได้ว่าวันใดนางจะไม่พูดเหลวไหลออกมา และหากไปเข้าหูคนที่มีเจตนาไม่ดีเข้า ถึงตอนนั้นนางมีปากก็ยากจะแก้ตัว ทั้งยังอาจถูกปองร้ายได้อีกด้วย
นางเห็นเตาไฟเล็กที่ใช้สำหรับต้มน้ำชาแล้วจึงนำจดหมายออกไปเผาเสีย แต่เก็บซองจดหมายเอาไว้ เมื่อเห็นดอกเหมยบนซองก็ยิ้มออกมา
ยังจำได้ว่าในปีนั้น…
ตอนที่ 221 ใต้เท้าชิงอี๋
เซียงฉืออยู่แต่ในห้องจนรู้สึกเบื่อ ตลอดทั้งเดือนนี้ นางได้ใช้เวลาทั้งหมดของตนไปกับการท่องจำเรื่องจารีตประเพณี ตำรับตำราต่างๆ
แต่ก็ยังดีที่ความทุ่มเทนั้นไม่สูญเปล่า ความตั้งใจมุ่งมั่นสมดังปรารถนา สำหรับก้าวต่อไปของตน แม้เซียงฉือจะมีความคิดเบื้องต้นอยู่แล้ว แต่ยังคงต้องไปปรึกษากับสวี่อี้
เสียดายที่สวี่อี้กับนางพบกันช้าเกินไป นอกจากความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านแล้ว ทั้งคู่ยังคุยกันถูกคออย่างยิ่ง
นางรอเซียงซืออยู่ครู่หนึ่ง แต่เซียงซือยังไม่กลับมาเพราะออกไปข้างนอกกับหวังหมัวหมัว จึงรู้ว่าวันนี้นางจะไม่กลับมาหาแล้ว
นางจึงออกจากประตูตำหนักอวี้หยวน เดินไปยังกองคดี
ขณะเดินผ่านเรือนซิ่งฮวาก็บังเอิญพบใต้เท้าชิงอี๋เข้าพอดี นางคือใต้เท้าคนที่รับผิดชอบคดีของเซียงฉือร่วมกับสวี่อี้ ทั้งคู่พบกันที่ตรงระเบียง
เซียงฉือไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนางมากนักจึงเดินเข้าไปแล้วคารวะอย่างนอบน้อมจากนั้นเตรียมผละไป
จู่ๆ ลมก็กระโชกพัดแรง อากาศที่เดิมปลอดโปร่งพลันเกิดฝนตกหนัก ฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ตั้งตัวทำให้เซียงฉือที่ไม่ทันระวังเสื้อผ้าเปียกปอน จำเป็นต้องรีบถอยกลับไปหลบฝนอยู่ใต้ระเบียงของเรือนซิ่งฮวา
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องไปอยู่ที่เดียวกับชิงอี๋โดยปริยาย
ชิงอี๋สวมชุดทางการสีม่วงลายเมฆสดใสและแต่งหน้าอย่างประณีต ลักษณะนี้ดูเหมือนนางได้ไปพบกับบุคคลสำคัญมา สีหน้านางปลอดโปร่ง คิดว่าคงกลับมาพร้อมความสมหวัง
“คารวะใต้เท้าชิงอี๋ เซียงฉือขอขอบคุณในความกรุณาของใต้เท้าในคราก่อน ทำให้เซียงฉือมีโอกาสหลุดพ้นจากความผิดที่ไม่ได้ก่อเจ้าค่ะ”
เมื่อเซียงฉือเห็นสายตาของชิงอี๋จึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา นางมีฐานะต่ำ ย่อมไม่อาจให้ชิงอี๋เอ่ยปากก่อนได้
ส่วนชิงอี๋เมื่อเซียงฉือพูดขึ้นก่อน ใบหน้าที่ปั้นปึ่งเมื่อครู่จึงคลายลง
“แม่นางเซียงฉือเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีกับแม่นางด้วย เกรงว่าในไม่ช้านี้พวกเราสองคนคงจะได้เป็นขุนนางร่วมราชสำนักแล้ว ถึงเวลานั้นหวังว่าแม่นางเซียงฉือจะช่วยสนับสนุนด้วย”
ชิงอี๋ก็พูดอย่างเกรงใจ แต่พอพูดจบก็ไม่มีคำพูดอะไรอีก ขณะหนึ่งที่ไม่มีหัวข้อสนทนาจึงพากันกระอักกระอ่วนขึ้นมา
แต่ชิงอี๋เป็นคนมีความสามารถ นางปัดเส้นผมที่กระจายอยู่ตรงหน้าผากไปทัดกับหลังหูอย่างผ่อนคลาย แล้วถามขึ้นอย่างสนใจว่า
“เห็นแม่นางเซียงฉือสนิทสนมกับใต้เท้าสวี่อี้ หรือว่าครั้งนี้จะสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีในกองคดี หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีก”
เนื่องจากคดีของหลิวชิงในครั้งนั้นทำให้ชิงอี๋ถูกฮ่องเต้ตำหนิต่อหน้าผู้คน ทำให้นางไม่กล้าเชิดหน้าขึ้นต่อหน้าข้าราชสำนักสตรีคนอื่นมาเป็นช่วงเวลานาน
เรื่องนี้ถึงท้ายที่สุดจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซียงฉือ แต่ตลอดมาชิงอี๋ไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้และทำให้นางแค้นเคือง
เรื่องครั้งนั้นสำหรับนางแล้วเหมือนก้างที่ติดอยู่ในคอมาตลอด ทำให้นางไม่สบายใจเสมอมา จนกระทั่งถึงวันนั้นที่ซูเฟยเรียกหานาง
จึงได้มีวันนี้ที่เจตนาให้ได้พบกันขึ้น
แต่คิดไม่ถึงว่าฟ้าจะเป็นใจเข่นนี้ ทำให้นางมีโอกาสได้ทำเรื่องที่วางแผนไว้นานแล้วให้สำเร็จ
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องทั้งหลายทั้งปวงนั้น เซียงฉือไม่ได้รับรู้แต่อย่างไร
เซียงฉือได้แต่มองชิงอี๋ ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อนางสักเท่าใด นอกจากจะเสียดายที่ได้รู้จักกับสวี่อี้ช้าไป ส่วนชิงอี๋ก็เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ไม่เลวนักจึงไม่ได้รู้สึกไม่ชอบนางแต่อย่างไร และเพราะนางเป็นเพื่อนร่วมงานกับสวี่อี้ในกองคดี ในใจกลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคยเสียอีก
ดังนั้นกับคำถามของนางจึงไม่ได้ปิดบังซุกซ่อนอะไร
“ขอบคุณใต้เท้าที่ใส่ใจ แต่ว่าข้าราชสำนักสตรีในกองคดีล้วนเป็นผู้มีความฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่สุด เซียงฉือโง่เขลาเบาปัญญา จึงรู้สึกเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง เกรงว่าไม่มีความสามารถจะทำหน้าที่ได้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น