ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 201-220
201 ไฉนวันนี้ฝ่าบาทถึงมีเวลาว่างเสด็จมาที่นี่
เฉินยางโต้กลับเสียงเรียบ “หงอวี้กูกูสามารถย่อสองชั่วยามแล้วยังเดินได้ปกติด้วยหรือ ไม่เช่นนั้นท่านทำให้ข้าดูก่อน หากท่านสามารถย่อสองชั่วยามแล้วขาไม่ชาทั้งยังเดินต่อได้อีกละก็ ข้าก็จะยอมรับ ท่านอยากจะจัดการข้าอย่างไรก็เชิญ”
ทั้งวังอย่าว่าแต่หงอวี้เลย แม้แต่หมัวมัวที่ดูแลกฎระเบียบในวังโดยเฉพาะก็ไม่มีใครสามารถย่อตัวสองชั่วยามแล้วไม่ขมวดคิ้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงย่อเสร็จแล้วลุกขึ้นมาเดินต่อได้อีก คำสั่งนี้เป็นการหาเรื่องอยู่จริง แต่ที่หงอวี้มาก็เพราะต้องการจะหาเรื่อง ดังนั้น คำพูดของเฉินยางจึงแลกมาด้วยการถูกตีเท่านั้น
“เชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดีดีกว่า อย่าได้ริอ่านคิดเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการนัก ให้เจ้าทำอย่างไรก็ทำตามนั้น นี่เป็นระเบียบในวัง เจ้าไม่เชื่อฟังก็มีแต่ต้องถูกโบยตีเท่านั้น ในวังมีคนเป็นพันเป็นหมื่น คนชอบเถียงไหนเลยไม่มี แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอม เพราะอะไรหรือ ก็เพราะหากเถียงก็มีแต่ต้องตาย คนที่เถียงเก่งกว่าเจ้ายังมีอีกมาก สุดท้ายก็ต้องจำยอมเช่นกัน ข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้สร้างความวุ่นวายนัก ไม่เช่นนั้น…เจ้าจะลำบากเสียเอง”
หงอวี้พูดก็มีเหตุผล เฝิงเยี่ยไป๋เองก็ไม่อยู่ ตอนนี้นางอยู่ในกำมือไทเฮา ขอเพียงตอนถูกลงโทษไม่ถูกส่วนที่โผล่ออกมานอกเสื้อผ้า ระวังใบหน้าและแขนขาไว้ป้องกันเฝิงเยี่ยไป๋กลับมาเอาเรื่องก็พอ ตอนที่หงอวี้ฟาดนางอยู่นั้นก็ไม่กล้าใช้แส้ ด้วยกลัวจะทิ้งรอยเอาไว้ นางจึงใช้ไม้ลงโทษตีบนตัวนาง ก็เหมือนเอามีดทื่อมาขูดเนื้อ เจ็บอยู่ข้างใน พอเปิดเสื้อผ้าดู นอกจากแดงแล้ว ก็ไม่มีรอยอะไรอีก
จิตใจของแม่สามีผู้นี้ก็ช่างเ**้ยมโหดยิ่งนัก เฉินยางข่มความโกรธไว้ แล้วออกแรงหยัดยืนขึ้น นางถูกตี สะบักสะบอมแล้วยังก็หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกทรมานอีก อย่างไรเสียนางก็เป็นคนเลือกเอง เช่นนั้นแล้วก็ต้องเดินอย่างสง่า จะให้ไทเฮาหัวเราะไม่ได้ ในเมื่อไทเฮาไม่อยากให้นางได้ดีนัก เช่นนั้นนางก็จะต้องได้ดี ใครมาหาเรื่องนาง นางก็ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นั้นสบายใจได้เช่นกัน
ทางฝั่งฮ่องเต้ ครั้นได้ยินว่าเฉินยางถูกกูกูที่ดูแลระเบียบอยู่ข้างไทเฮาทรมานจนสะบักสะบอม ก็อยากจะไปเยาะเย้ย หากมีที่ให้ลงโทษระบายโทสะได้ ก็ทำให้เขาสะใจพอดี ตนยังแตะต้องเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ตอนนี้ก็จริง แต่ยังแตะต้องผู้หญิงของเขาได้อยู่ ตอนแรกพระองค์วางแผนไว้ว่าจะให้นางเข้ามาอยู่ในวัง ตอนนี้ก็ได้เรื่องพอดี นางเข้ามาหาเอง ช่างเสียแรงที่ตนอุตส่าห์วางแผนในตอนนั้นนัก หากรู้ว่าไทเฮาจะทำเช่นนี้ พระองค์ก็คงใช้ไม้นี้ไปนานแล้ว ไยต้องรอจนป่านนี้ค่อยงัดแผนสำรองออกมาใช้
หลี่เต๋อจิ่งเฝ้าปรนนิบัติฮ่องเต้ตามเสด็จไปที่ตำหนักของไทเฮา ตั้งแต่พระนางมอบราชโองการไปแล้วพระองค์ก็เป็นแขกที่มาไม่บ่อยนัก วันนี้เมื่อพระองค์เสด็จมา ไทเฮาก็ยังคงระมัดระวังอยู่ ท่าทางที่ปฏิบัติต่อฮ่องเต้ก็เรียบเฉย นางทักทายเชิญฮ่องเต้ให้นั่งลงแล้วให้หงอวี้รินชา นางจิบไปคำหนึ่งก่อน เมื่อไม่เห็นว่าบนพระพักตร์ฮ่องเต้มีความไม่สบอารมณ์นัก จึงถามว่า “ไฉนวันนี้ฝ่าบาทถึงมีเวลาว่างเสด็จมาหาข้าได้”
ฮ่องเต้เม้มพระโอษฐ์ยิ้ม “หากไม่มีธุระอันใด ข้าจะมาเยี่ยมไทเฮาบ้างก็มิได้หรือ” ควันจากน้ำชาในแก้วลอยกรุ่น ฮ่องเต้ดื่มไปคำหนึ่งแล้วตรัสเหมือนมิได้ตั้งใจว่า “ข้าได้ยินว่าเฝิงเยี่ยไป๋ส่งภรรยาเข้าวังมาเรียนระเบียบหรือ แล้วคนเล่า เรียกออกมาให้ข้าได้ชมเสียหน่อย ตกลงเป็นคนงามเช่นไรถึงได้ครองใจเขา”
ไทเฮาฟังจบก็นึกคลางแคลงใจ ฮ่องเต้หมายความว่าอย่างไร หรือจะก้าวตามรอยพระบิดาของพระองค์เช่นนั้น สะใภ้คนนี้แม้นางจะไม่ชอบ แต่อย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นผู้หญิงของเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ จะให้ขายหน้าถึงรุ่นลูกไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ไทเฮาจึงส่ายหน้า ไม่ตอบรับ
——
202 ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว
ฮ่องเต้เห็นว่าไทเฮาไม่เห็นด้วย ก็พอเดาความคิดของนางออก จึงยิ้มตรัสว่า “ไทเฮาวางใจได้ ในใจข้ามีใครอยู่ ในใจไทเฮาก็น่าจะรู้ดี ข้าบอกว่าอยากพบ ก็เพียงแต่อยากพบเท่านั้น มิได้มีความหมายอย่างอื่น”
ไทเฮาเบือนหน้าหนีไม่มองฮ่องเต้ ความไม่สบายในใจมิได้ลดลงเลย “วันนี้ที่ฝ่าบาทเสด็จมาก็เพื่อจะมาเยี่ยมเฉินยางหรือ แม่เด็กนั่นเพิ่งจะได้เรียนระเบียบ ท่าทางต่างๆ ก็ยังทำได้ไม่คล่อง หากล่วงเกินฝ่าบาทจะเป็นความผิดมหันต์ รอให้วันหลังนางเรียนระเบียบเสร็จแล้ว ข้าค่อยให้นางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ได้เช่นกัน”
ไทเฮาเห็นฮ่องเต้โตมากับตา นิสัยของเขานั้นนางย่อมรู้ดีกว่าใคร พระองค์ไม่มาที่นี่โดยไร้สาเหตุ ในเมื่อมาแล้ว ในพระทัยย่อมมีแผนบางอย่างเป็นแน่ ยิ่งพระองค์ซ่อนเอาไว้ ในใจไทเฮาก็ยิ่งไม่สงบ ตอนนี้พวกนางสองคนแม่ลูกล้วนอยู่ในกำมือของพระองค์ หากฮ่องเต้เป็นคนชั่วที่สามารถทรยศได้ เช่นนั้นแล้วพวกนางสองแม่ลูกก็คงต้องตายอยู่ที่เมืองหลวงเสียแล้ว
“ไม่ใช่ว่าไทเฮาไม่ชอบสะใภ้คนนี้หรือ ไฉนถึงให้ข้าพบหน่อยมิได้”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าข้าชอบหรือไม่ นี่เป็นกฎระเบียบในวัง ฝ่าบาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ลดตัวลงมาเพื่อจะพบนาง แม่นางคนนี้วาสนามิได้ดีนัก ข้าเกรงว่านางจะรับวาสนานี้ไม่ไหว”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ฮ่องเต้จะดื้อรั้นต่อไปก็ไร้ความหมาย พระองค์ยืนขึ้นเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่ประตู หลี่เต๋อจิ่งรอรับเสด็จอยู่ตรงนั้น พอเห็นฮ่องเต้เสด็จออกมาก็รีบเรียกคนเตรียมเกี้ยว ฮ่องเต้หันไปทอดพระเนตรไทเฮา ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา หลี่เต๋อจิ่งเห็นแล้วขนลุกทันที รอจนพ้นประตูตำหนักของไทเฮาแล้วถึงได้ทูลถามว่า “ฝ่าบาท ไทเฮานาง…”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา “บังอาจ เรื่องของข้าถึงเวลาที่เจ้าจะถามหรือ เก็บปากตัวเองไว้ให้ดีๆ สำคัญกว่าสิ่งใด เรื่องที่วันนี้ข้าไปเยี่ยมไทเฮาหากเจ้ากล้าพูดออกไปแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดหัวเจ้าเสีย”
ปากหลี่เต๋อจิ่งตอบรับไป ในใจกลับคิดว่า คงเพราะกลัวเฝิงเยี่ยไป๋รู้เข้าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น อย่างอื่นเขาไม่รู้ แต่แผนระหว่างพั่งไห่กับฮ่องเต้นั้น ช่วงหลายวันนี้เขาก็สืบทราบมาพอประมาณแล้ว ตั้งแต่อดีตวีรบุรุษก็ยากจะผ่านด่านหญิงงาม วิธีจัดการกับผู้ชายที่ได้ผลที่สุดก็คือผู้หญิง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอให้โอกาสมาแล้วค่อยส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฝิงเยี่ยไป๋ รายละเอียดของแผนนั้นมีเพียงพั่งไห่และฮ่องเต้ที่รู้ ถึงตอนนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมาหรือเฝิงเยี่ยไป๋รู้ตัวเสียก่อน พั่งไห่ย่อมหนีไม่พ้นความผิดอย่างแน่นอน ถูกตัดหัวก็เป็นเพียงรับสั่งประโยคเดียวของฮ่องเต้มิใช่หรอกหรือ ยืมดาบฆ่าคน ทั้งสบายใจและไม่ทิ้งร่องรอย
ฮ่องเต้เงยพระพักตร์มองท้องฟ้า ท้องฟ้าขมุกขมัวหม่นหมอง เมฆดำซ้อนทับเป็นชั้นๆ หนักอึ้งจนเหมือนจะตกลงมาเช่นนั้น นกที่อยู่ตรงขอบฟ้าราวกับรอยหมึกที่หยดลงบนกระดาษ สะดุดตายิ่งนัก ฮ่องเต้ถอนหายใจ ทำเอาคนที่ปรนนิบัติอยู่ต่างตกใจจนตัวสั่น นี่พระองค์ยังมีสิ่งใดไม่พอพระทัยอีกหรือ เป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เห็นว่าตอนที่ใครปรนนิบัติจะทำผิดพลาดอะไรนี่
“หลี่เต๋อจิ่ง”
ฮ่องเต้เรียก
หลี่เต๋อจิ่งรีบขึ้นไปคำนับแล้วฟังคำสั่ง ในใจหวาดกลัว “กระหม่อมมาแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอันใด”
“พรุ่งนี้ฝนจะตกหรือไม่”
ไฉนถึงได้ถามถึงเรื่องดินฟ้าอากาศขึ้นมา นี่เป็นงานของสำนักดาราศาสตร์ไม่ใช่งานของเขาเสียหน่อย แต่ในเมื่อฮ่องเต้ก็ถามขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องตอบ ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มยิ่งนัก พรุ่งนี้ต้องฝนตกแน่ๆ ตอบผิดก็ไม่กลัว อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนของสำนักดาราศาสตร์
“ทูลฝ่าบาท ท้องฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้ พรุ่งนี้ต้องฝนตกแน่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงกังวลถึงที่นาทางใต้หรือ”
“ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว!”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงราบเรียบ
203 เหลียงอู๋เย่ว์เจ้าใช้ได้เลย
ช่วงนี้ฝั่งซู่อ๋องนั้นวุ่นวายนัก ทำเอาฮ่องเต้หัวปั่น อีกทั้งในราชสำนักยังมีสายลับของซู่อ๋อง ฮ่องเต้ทรงกริ้วเรื่องที่ต้องเอาใจประชาชน ซู่อ๋องทำต่างจากฮ่องเต้ ซู่อ๋องมีความเมตตากับประชาชนมากกว่า ปกป้องประชาชน ทั้งละเว้นภาษีและไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ประชาชนที่อยู่เมืองบริเวณรอบๆ เห็นแล้วก็พากันตาร้อน ต่างไปที่เมืองเหมิง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจะไม่ใช่เรื่องดีนัก ผู้ที่เป็นถึงฮ่องเต้หากเสียความนับถือจากประชาชนแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้ที่ครองอยู่นั้นก็เท่ากับใกล้จบสิ้นลงเช่นกัน
ตอนนี้ชื่อเสียงดีงามของฮ่องเต้ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงความเมตตาต่อพระอนุชาผู้นี้แล้ว ซู่อ๋องทำถึงขนาดนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่ลงมือจัดการเขา ในสายตาของประชาชนที่อยู่เบื้องล่างแล้ว ฮ่องเต้จึงเป็นผู้มีคุณธรรม เมื่อเป็นผู้มีคุณธรรม เช่นนั้นแล้วชีวิตของพวกเขาก็อยู่รอดปลอดภัยได้ แม้จะเคยได้ยินว่าทางฝั่งซู่อ๋องนั้นมีชีวิตที่ดีกว่า แต่อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นฮ่องเต้อย่างแท้จริง ตั้งแต่อดีตมาผู้ที่ก่อกบฏนั้นลงเอยด้วยดีจะมีสักกี่คน พวกเขาเป็นเพียงประชาชนธรรมดา ไม่ได้ขออะไร ขอเพียงมีชีวิตสงบสุข ทำตามฮ่องเต้อย่างซื่อสัตย์เสียจะดีกว่า ซู่อ๋องแพ้ พวกเขาก็ปลอดภัยอยู่รอด ซู่อ๋องชนะ ฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฆ่าประชาชน อยู่อย่างสงบเสงี่ยมนั้นย่อมดีเหนือสิ่งอื่นใด
กลับมาพูดถึงเฝิงเยี่ยไป๋ องครักษ์เดนตายที่เหลียงอู๋เย่ว์จัดให้เขานั้นเขาก็ได้ไปดูกับตาตัวเองแล้ว มีอยู่หลายคนที่เขาคุ้นตา ตอนที่อยู่เมืองหรู่หนานนั้นก็เคยได้เห็น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าหลังจากนั้นจะต้องพบเจอกันอีก ฝีมือของเขาหากอยู่ในยุทธภพแล้วถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ฝีมือของคนเหล่านี้เขาก็เคยลองทดสอบมาแล้ว นับว่าไม่เลว ที่เขาว่าไม่เลวนั้นก็เท่ากับดีมากแล้ว อย่างน้อยใช้จัดการหูตาที่ฮ่องเต้ส่งเข้ามาในจวนก็เหลือเฟือ
ในเมื่อจะซื้อ ก็คือซื้อชีวิตของพวกเขา ชีวิตของมือสังหารแพงนัก คนหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องทองคำสองหมื่นตำลึง สิบคนก็ต้องใช้ทองคำสองแสนตำลึง ทองคำสองแสนตำลึงซื้อเพียงคนไม่กี่คน อีกอย่างไม่แน่ว่าอาจจะตายวันไหนสักวันหนึ่งก็เป็นได้ หากเป็นคนอื่น จะต้องรู้สึกไม่คุ้มค่าแน่นอน ทว่านี่เป็นเรื่องที่คนนอกดูสนุกแต่คนในดูวิธี คนเหล่านี้ฝีมือดี ซื้อมาไม่ขาดทุน เงินพวกนี้สำหรับเขาแล้วไม่ถือว่ามากนัก
เงินไม่สามารถออกจากเขาตรงนี้ได้ ในเมื่อฮ่องเต้ส่งคนมาเฝ้าจับตาเขา เช่นนั้นแล้วหากจู่ๆ เอาเงินออกจากคลังมากมายเช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องสงสัยแน่นอน ดังนั้นแล้วจึงได้แต่มอบตั๋วเงินให้พวกเขาไปแลกที่หรู่หนาน ส่วนคนกลางที่เป็นคนประสานงานไปยังตลาดมืดนั้น หากเก็บเอาไว้ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเป็นภัยอย่างแน่นอน ในเมื่อคนก็ซื้อไว้แล้ว คิดอยากจะฆ่าคนก็ไม่ต้องให้เขาลงมือเอง เพียงแค่ขยับปาก คนผู้นี้ก็หายไปแล้ว ดียิ่งนัก ลงมืออย่างรวดเร็วว่องไว เพียงปาดคอ คนก็ตายแล้ว เลือดยังไม่ทันได้ไหลออกมาเลย ให้คนเช่นนี้ทำงานเขาถึงจะวางใจได้
เรื่องที่เหลียงอู๋เย่ว์ช่วยเฝิงเยี่ยไป๋ซื้อมือสังหารนั้นไม่รู้เข้าหูเว่ยหมิ่นได้อย่างไร ยังมีเรื่องที่เฉินยางเข้าวังเรียนระเบียบนั่นอีก เว่ยหมิ่นโกรธจนเอามือเท้าเอา ชี้หน้าเหลียงอู๋เย่ว์ด่าว่า “เจ้านี่มันใช้ได้เสียจริง มีความสามารถแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับรู้จักปิดบังข้า ข้าก็ว่าอยู่ว่าสองวันนี้เจ้าวิ่งวุ่นออกไปข้างนอกตลอด เหลียงอู๋เย่ว์ เจ้านี่มันตัวดีนัก”
เหลียงอู๋เย่ว์ก้มหน้าฟังคำสั่งสอนของนาง เห็นนางโกรธจนทนไม่ไหว ก็นึกห่วงร่างกายของนาง กระนั้นกลับไม่กล้าปราม ได้แต่เอ่ยปากพูดว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเจ้า เป็นเฉินยางที่ยอมอยู่ในวังเรีนยระเบียบกับไทเฮาเอง เรื่องที่เฝิงเยี่ยไป๋ไหว้วานให้ข้าซื้อมือสังหารที่ตลาดมืดให้เขานั้น… ในจวนท่านอ๋องล้วนมีแต่สายสืบของฮ่องเต้ เขาต้องมีคนที่ไว้ใจได้สักคนสองคนถึงจะทำงานได้สะดวก ข้าไม่ช่วยเขาก็ไม่มีใครช่วยเขาแล้ว บอกเจ้าหรือ… บอกเจ้าเจ้าก็ช่วยไม่ได้ อีกอย่างข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย”
——
204 เรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้แต่ข้าทำได้
ที่เว่ยหมิ่นโกรธนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาช่วยเฝิงเยี่ยไป๋ ที่นางโกรธคือพวกเขาไม่ยอมบอกอะไรนางเลย เฝิงเยี่ยไป๋ก็ช่าง เหลียงอู๋เย่ว์ก็ยังมาปิดบังนางอีก คิดว่านางปากไม่สนิทกลัวนางจะหลุดข่าวออกไปหรืออย่างไร
“เหลียงอู๋เย่ว์ เจ้าจำฐานะของตัวเองให้ขึ้นใจ ตอนนี้เจ้าเป็นจวิ้นหม่าของข้า เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็จะยุ่งเกี่ยวไม่ได้แล้วหรือ ข้าจะบอกเจ้าให้ พวกเราเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเดียวกัน หากเจ้าและเฝิงเยี่ยไป๋เป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็ดิ้นไม่หลุดเหมือนกัน”
เหลียงอู๋เย่ว์ถูกบีบจนพูดอะไรไม่ออก ไฉนไม่ว่าคำพูดอะไร พอถึงปากเว่ยหมิ่นพูดออกมาอีกกลับกลายเป็นว่าเขาไร้เหตุผลเสียแล้ว
เว่ยหมิ่นโมโห ชี้ศีรษะของเหลียงอู๋เย่ว์พูดว่า “เจ้า… คราวหน้ามีเรื่องใดห้ามปิดบังข้าอีก อย่างน้อยข้าก็ยังเป็นท่านหญิง อย่างไรเสียก็เก่งกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ที่เป็นท่านอ๋องเพียงชื่อกระมัง เรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้ข้าทำได้ รู้หรือไม่”
“ขอรับๆๆ รู้แล้ว ท่านหญิงสั่งสอนได้ถูกต้องยิ่งนัก” เหลียงอู๋เย่ว์ยิ้มอย่างหน้าด้าน “เจ้าพูดอะไรก็ถูก”
เว่ยหมิ่นหึใส่เขา “เจ้าสุนัขรับใช้ ทำเป็นแต่กระดิกหางเท่านั้น ข้าบอกเจ้ารอบหนึ่งเจ้าจงจำไว้ให้ดี หากยังมีครั้งต่อไปอีก ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
ไม่ใช่ว่าตีคือสนิทด่าคือรักเช่นนั้นหรือ เว่ยหมิ่นเป็นห่วงเขาอยู่กระมัง ในใจเหลียงอู๋เย่ว์หวานล้ำประหนึ่งถูกฉาบด้วยน้ำผึ้งมิปาน ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกชอบ ค่อยๆ กลั้นยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ปากฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงหลังศีรษะเสียแล้ว
“ยิ้มเซ่อซ่าอะไรอยู่” เว่ยหมิ่นเอามือจิ้มเขา “เจ้าคิดอะไร เป็นบ้าหรืออย่างไร ยิ้มได้น่าตีนัก”
จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร ต่อให้นางด่าเขาก็ยังดีกว่าทำหน้าเย็นชาใส่เขาทั้งวันเสียอีก จะห่างเหินกับคนคนหนึ่งมันง่ายนัก เพียงแค่ปล่อยเขาไว้ไม่สนใจ ถือเสียว่าไม่มีคนคนนั้นอยู่ ผ่านไปไม่นานก็จะทนไม่ไหว หลายวันก่อน ไม่รู้ว่าเว่ยหมิ่นยังทำใจไม่ได้หรืออย่างไร ปฏิบัติกับเขาได้เฉยชายิ่งนัก ตอนนี้กลับดีขึ้น ยอมด่าเขาแล้ว เขาไม่สนว่าการด่านี้จะเป็นเพราะความหวังดีหรืออะไร อย่างไรเสียก็ดีกว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาไปตลอดอยู่มาก
เขาหุบปาก แต่ก็ทนไม่ได้ แสร้งทำเป็นยิ้มขึ้นมา “ไม่ได้ยิ้มอะไร เจ้ามีเรื่องใดหรือ”
เว่ยหมิ่นมองเขาด้วยความประหลาดใจ คนคนนี้สมองเพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร ยิ้มซื่อบื้อไม่หยุด “เจ้ารีบเอาหน้าของเจ้าออกไปให้พ้นเสีย ข้ามองแล้วรู้สึกสยองยิ่งนัก หากเจ้าป่วยก็รีบไปหาหมอหลวง อย่าให้คนอื่นว่าได้ว่าจวนข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี”
เหลียงอู๋เย่ว์ทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ข้าดีอยู่ ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร หากเจ้าไม่ชอบดู เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยิ้ม”
ช่างเหมือนเด็กเสียจริง หลายปีมาแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักน้อย เวลากระฟัดกระเฟียดขึ้นมาก็เหมือนเด็กที่ยังไม่โต ทำท่าบุ้ยปาก ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าที่ตัวเองทำอย่างนั้นมันน่าขายหน้าเพียงใด เว่ยหมิ่นส่ายหน้พลางถอนหายใจ “พอได้แล้ว ข้าต้องเข้าวัง หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปเดินเล่นคนเดียว ขอเพียงเรื่องเดียว อย่าได้ไปหาเฝิงเยี่ยไป๋อีก พวกเจ้าอยู่ใกล้เกินไปฮ่องเต้จะสงสัยเอาได้ ถึงตอนนั้นทั้งสองบ้านล้วนส่งคนมาเฝ้าจับตา เช่นนั้นแล้วจะไม่มีทางรอดได้อีก”
เหลียงอู๋เย่ว์ตอบรับคำเบาๆ กระนั้นเขาก็ไม่วางใจปล่อยให้นางเข้าวังคนเดียว “ไม่อย่างนั้นมิสู้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า หากฮ่องเต้กักตัวเจ้าอีก ข้าจะได้ช่วยเจ้าออกมาได้”
“เจ้าช่วยข้าหรือ เจ้าจะช่วยข้าอย่างไร” แม้คำพูดนี้จะโง่ไปสักหน่อย แต่ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่น เว่ยหมิ่นตบไหล่เขา ท่าทางคล้ายปลอบใจ “วางใจเถิด เจ้าเป็นจวิ้นหม่าของข้าที่ทุกคนต่างรู้กันดี ฮ่องเต้จะเอาแต่พระทัยเพียงใดก็คงไม่ถึงกับไม่สนพระพักตร์ของพระองค์เองแล้วไปแย่งภรรยาคนอื่นกระมัง!”
ตอนที่ 205 มีอะไรบ้างที่พระองค์ทำไม่ได้
เหลียงอู๋เย่ว์บ่นพึมพำ “มีพ่อเช่นไรก็มีลูกเช่นนั้น ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทำออกมาได้ มีอะไรบ้างที่พระองค์ทำไม่ได้”
เว่ยหมิ่นรู้ว่าเขากลัว ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ พอนับนิ้วดู พวกเขาก็รู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้ว เหลียงอู๋เย่ว์โตกว่าเฝิงเยี่ยไป๋หนึ่งปี ปีนี้ก็ยี่สิบเจ็ดแล้ว นางเด็กที่สุด ปีนี้ก็ยี่สิบสามแล้ว หากเป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปเหมือนเช่นเฉินยาง ก็ควรจะแต่งงานตั้งแต่อายุสิบสี่สิบห้าแล้ว อายุเช่นนาง ควรจะมีลูกวิ่งเล่นไปทั่วแล้ว แต่นางกลับเสียเวลาอันมีค่าไปหกเจ็ดปีเพื่อรอเฝิงเยี่ยไป๋ ตอนนี้รอถึงแล้ว คนกลับไม่ใช่ของตนเสียแล้ว เสียดายที่นางรักมาตั้งหลายปี สุดท้ายแล้วกลับมีเพียงความว่างเปล่า แต่ยังถือได้ว่าสวรรค์เมตตานาง ส่งเหลียงอู๋เย่ว์มาให้นาง เขาเป็นคนที่รู้นิสัยใจคอนางดี เหมาะที่จะฝากชีวิตได้ แต่นางยังทำใจไม่ได้ ในใจยังคิดถึงคนนั้นอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีที่วางใส่คนนี้ได้
นางรู้ว่าเป็นเช่นนี้ออกจะไม่ยุติธรรมกับเขานัก แต่นางจะทำอย่างไรได้ หากสามารถถอนคนคนหนึ่งออกจากใจได้เร็วเช่นนี้ ความรักของนางที่มีมาหลายปีนี้มิใช่เท่ากับเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ
สุดท้ายนางก็ใจอ่อน ถอนหายใจช้าๆ เสียงก็อ่อนลง “เจ้ายังไม่รู้นิสัยข้าอีกหรือ เจ้าก็ทำใจให้สบายเสียเถิด ฮ่องเต้จะยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าก็ไม่สนใจ คิดจะขังข้าอยู่ในวังรึ ไม่ได้ทาง”
เหลียงอู๋เย่ว์ตอบด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วส่งนางถึงประตู “อย่าอยู่นานนัก รีบๆ กลับมา”
นางแอบรักข้างเดียวมานาน ความรู้สึกนั้นนางรู้ดีกว่าใคร เหลียงอู๋เย่ว์รู้สึกเช่นไรนางย่อมรู้ดี ในใจทรมานเหมือนดั่งถูกไฟเผา ตนเองก็เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งรู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋แต่งงาน ใจนางก็ราวกับถูกเพลิงผลาญ ความรู้สึกแค้นมีอยู่เต็มอก แต่จะแค้นใครได้ แค้นเฝิงเยี่ยไป๋หรือ แค้นอะไรเขา เขาไม่เคยบอกชอบนางเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งไม่มีใจจะถ่วงช่วงเวลาอันมีค่าของนาง แค้นเว่ยเฉินยางหรือ ก็แค้นไม่ได้ ตอนที่นางแต่งงานกับเฝิงเยี่ยไป๋นางก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร คำสั่งของบิดานางตัดสินใจอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมา จะโทษใครก็ไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษตัวเอง ที่ถูกความรักบังตาจนไปรักผิดคน
“เหลียงอู๋เย่ว์… เจ้ามานี่” นางขึ้นรถม้าแล้วก็ชะโงกหน้าออกไปเรียกเขา
เหลียงอู๋เย่ว์ทำหน้างุนงงเดินเข้าไปหา คิดว่านางจะสั่งอะไรอีก กำลังเงี่ยหูรอฟังอยู่นั้น จู่ๆ ก็ถูกเว่ยหมิ่นจับหน้ายกขึ้นมา ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร ก็ถูกนางจูบเข้าให้
เว่ยหมิ่นก็ยังเป็นหญิงสาวอยู่ เรื่องการจูบคนนั้นครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก พอจูบเสร็จ นางก็รีบหดศีรษะกลับเข้าไปรถม้า ใบหน้าแดงก่ำจนดูไม่ได้ ก่อนจะเร่งคนขับรถม้าให้รีบขับรถม้าออกไป
จนกระทั่งเหลียงอู๋เย่ว์ได้ยินคนขับรถม้าร้อง “ไป!” ถึงได้สติกลับมา เขาเป็นลูกผู้ชาย ถูกผู้หญิงจับหน้าแล้วจูบนั้นช่าง…เสียหน้าเหลือเกิน ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเว่ยหมิ่นก็ไม่ได้ เขาตะโกนใส่คนขับรถม้าว่า “หยุด” แล้วก็ถลกชายเสื้อขึ้นรถม้าไป เว่ยหมิ่นเห็นเขาขึ้นมาก็เบือนหน้าหนี ปากบ่นพึมพำ “เจ้าขึ้นมาทำไม ลงไปเสีย!”
“ไม่ได้!” เหลียงอู๋เย่ว์เอามือนางทั้งสองข้างออก แล้วกุมไว้ในมือแน่น “เจ้าจูบข้าแล้ว ข้าต้องจูบคืน”
สีหน้าเว่ยหมิ่นยิ่งแดงขึ้นไปอีก คราวนี้มือถูกเขาจับเอาไว้ยิ่งไม่มีอะไรมาบัง หน้าแดงซ่านประหนึ่งจะมีเลือดหยดออกมาปานนั้น “จูบบ้าอะไร รีบปล่อยข้า!”
สิ้นเสียง เหลียงอู๋เย่ว์ก็ขยับริมฝีปากเข้ามาใกล้แล้ว ตอนแรกเขาคิดจะจูบปากนาง แต่กลัวว่านางจะโกรธ สุดท้ายจึงเปลี่ยนใจ เพียงแค่จูบบนใบหน้าที่แดงก่ำของนางเท่านั้น
——
ตอนที่ 206 ทำร้ายคนเป็นคู่
เว่ยหมิ่นไม่ทันระวัง ถูกเหลียงอู๋เย่ว์จูบกลับ ตลอดทางก็หวานซึ้งกันอยู่เช่นนี้จนเข้าไปในวัง แม้แต่ไทเฮาก็รู้สึกถึงบางอย่าง จึงตรัสถามนางและเหลียงอู๋เย่ว์ขึ้นมา
เว่ยหมิ่นพูดจาอ้ำอึ้ง บอกเพียงว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ให้ไทเฮาไม่ต้องเป็นกังวลนัก
อย่างไรเสียไทเฮาก็เป็นป้าแท้ๆ ของนาง ความคิดของเว่ยหมิ่นนางจะดูไม่ออกได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องชายหญิงนี้ที่สำคัญสุดก็ยังต้องให้ทั้งสองฝ่ายรักซึ่งกันและกัน อย่างไรเสียผู้หญิงก็หน้าบาง รุกอยู่ฝ่ายเดียวชั่วคราวยังพอได้ แต่การใช้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ไปทั้งชีวิต หากชายคนนี้ไม่ยอมรับผู้หญิงคนนี้ เช่นนั้นแล้วชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก็จะลำบาก แต่นางดูออก เหลียงอู๋เย่ว์ปักใจกับเว่ยหมิ่น หาผู้ชายที่รักตัวเองพบย่อมดีเสียยิ่งกว่าอะไร เว่ยหมิ่นมีชีวิตที่ดีได้ นางก็ถือว่าหมดห่วงไปแล้วเรื่องหนึ่ง
ไทเฮาชี้ที่นั่งตรงข้ามให้เว่ยหมิ่นนั่งลง “ข้าขอถามเจ้า เมื่อไหร่เจ้าถึงคิดจะแต่งงานกับอู๋เย่ว์หรือ พ่อแม่เจ้าด่วนจากไป ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งต้องมาแต่งงานล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่ง ป้าอย่างข้าอับอายกับคำฝากฝังของพ่อเจ้าก่อนจะจากไปนัก ในเมื่อตอนนี้ก็มีคนในใจแล้ว แต่งงานเร็วๆ ก็ดี ฝั่งฮ่องเต้นั้น…จะได้ไม่ต้องกังวลอีก”
ตอนนี้ในวังวุ่นวายกันหมดแล้ว ไม่พูดถึงเฝิงเยี่ยไป๋แล้ว ตัวนางที่เป็นท่านหญิงนั้นก็อยู่อย่างไม่สงบนัก หากแต่งงานตอนนี้ ใครจะรู้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก นางจิบชาแล้วยิ้มพูดว่า “ไฉนเสด็จป้าถึงได้รีบร้อนกว่าข้าเสียอีกเล่า รอให้เวลาผ่านไปอีกหน่อย… ข้าเป็นห่วงทางฝั่งพี่ชายนี้นัก พวกเรามอบราชโองการออกไปแล้ว ชีวิตก็อยู่ในกำมือของฮ่องเต้แล้ว เนื้อหาในราชโองการมีเพียงข้าและเสด็จป้าเคยได้อ่าน กลัวเพียงว่าฮ่องเต้จะคิดรีบฆ่าปิดปาก ตอนนี้กำลังวางแผนอยู่!”
มือของไทเฮาที่นับลูกประคำอยู่นั้นพลันชะงัก “เป็นไปไม่ได้กระมัง พระองค์คิดจะฆ่าคนปิดปาก ไม่กลัวพวกเราเปิดเผยเนื้อหาของราชโองการให้ทุกคนได้รู้หรือ ถึงตอนนั้นต่อให้พระองค์ฆ่าพวกเรา พระองค์ก็คงเป็นฮ่องเต้ได้อีกไม่นานแล้ว”
เว่ยหมิ่นพูดว่า “เสด็จป้า ท่านใช้ชีวิตอยู่ในวังนานเช่นนี้ ฮ่องเต้มีนิสัยเป็นอย่างไร ท่านยังไม่รู้อีกหรือ หากเขาคิดจะฆ่าพวกเราย่อมต้องเตรียมการเป็นอย่างดี จะรอให้พวกเราเปิดเผยเนื้อหาราชโองการให้ทุกคนได้รู้แล้วค่อยลงมือได้อย่างไร”
นิสัยของฮ่องเต้เขียนอยู่บนพระพักตร์ แต่แผนการล้วนอยู่ในใจ ไทเฮาจะไม่รู้ได้อย่างไร พอเว่ยหมิ่นพูดเช่นนี้นางก็เริ่มกังวลขึ้นมา “เช่นนั้นแล้วความหมายของเจ้าคือ…”
“สงบนิ่งดูความเคลื่อนไหวก่อนเถิดเพคะ หากเป็นท่านพี่ละก็ เกรงว่าคงจะมีแผนอยู่ก่อนแล้ว ตอนที่เขายังเรียนหนังสืออยู่ในวังนั้นก็แข่งขันกับฮ่องเต้ ตอนนี้อุตส่าห์เป็นโอกาสที่ทั้งสองคนจะได้สู้กันตรงๆ ทั้งสองฝ่ายจะต้องสู้สุดแรง เวลาเช่นนี้พวกเราก็อย่าได้สร้างความวุ่นวายเลยเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้าเห็นด้วย
เว่ยหมิ่นเห็นว่าได้โอกาสเหมาะ จึงแกล้งทำเป็นถามโดยไม่ตั้งใจว่า “ข้าได้ยินว่าเฉินยางเรียนระเบียบอยู่กับเสด็จป้า เสด็จป้าให้นางอยู่ในวังได้อย่างไรหรือเพคะ”
ครั้นพูดถึงเฉินยางไทเฮาก็กริ้วขึ้นมา นางขยำผ้าแล้วทุบมุมโต๊ะอย่างแรง ตรัสอย่างโกรธแค้นว่า “เจ้าเด็กนี่ช่างไร้ระเบียบยิ่งนัก เห็นคนแล้วแม้แต่ทักทายยังทำไม่เป็น เยี่ยไป๋เป็นผู้สืบทอดตระกูลเฝิงเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ เรื่องแต่งงานมีภรรยานั้นก็ยิ่งต้องระมัดระวัง แต่เจ้าเด็กนี่ข้ายิ่งดูก็ยิ่งไม่พอใจ เฝิงเยี่ยไป๋ก็ดันไม่ยอมปล่อยมือนางไป ข้าจึงได้แต่ให้นางอยู่ในวังแล้วให้หงอวี้สอนระเบียบนางด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นแล้ววันหลังนางจะยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีกเลยหรือ”
เว่ยหมิ่นได้ยินก็นึกโทษตัวเอง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นไยต้องปากมากพูดกับไทเฮาเรื่องที่ว่าเฉินยางเป็นคนโง่ด้วย ตอนนี้คนก็หายดีแล้ว ไม่ต่างอะไรจากคนปกติ แต่ในใจไทเฮาต่อต้านไปแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ยอมแสดงสีหน้าที่ดีกับเฉินยาง พอได้ยินเหลียงอู๋เย่ว์กลับมาเล่าให้นางฟังอีกว่าพระนางถึงกับมีความคิดที่จะแยกสามีภรรยาให้ออกจากกัน คราวนี้ก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเสียแล้ว
ตอนที่ 207 ให้นางพักเถิด
“เสด็จป้า…” เว่ยหมิ่นเหลือบมองสีหน้าไทเฮาแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “เว่ยเฉินยางผู้นี้เมื่อก่อนอาจจะโง่ไปบ้าง แต่โชคดีที่ได้หมอเทวดารักษา ตอนนี้นางหายดีเหมือนคนปกติทั่วไปแล้ว อีกอย่างตอนที่ข้าอยู่เมืองหรู่หนานก็เคยอยู่กับนางพักหนึ่ง แม่นางคนนี้เป็นคนไม่เลวนัก ทั้งยังดีกับท่านพี่ ตอนนี้นางเพียงแต่อายุยังน้อย บางครั้งมารยาทอาจจะไม่ค่อยดีนัก ข้าก็พอจะมองออกว่าท่านพี่ชอบนางอยู่”
ไทเฮามิได้มีสีหน้าอะไร พูดเพียงว่า “นางไม่เลวหรือ เว่ยหมิ่นเจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว เมื่อวานยังเถียงหงอวี้อยู่เลย สอนระเบียบนาง ฝึกย่อคำนับเสร็จก็บอกว่าตัวเองขาชายืนไม่ขึ้น นั่งอยู่ที่พื้นไม่ยอมไป ยังบอกหงอวี้ว่า หากเป็นนางก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ นางเด็กนี่ อยู่ต่อหน้าเยี่ยไป๋แล้วกลายเป็นคนละคน ต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังก็เป็นอีกอย่าง อาศัยมีเยี่ยไป๋หนุนหลังให้นาง คิดว่าข้าจะทำอะไรนางไม่ได้อย่างนั้น”
คนเราหากรักบ้านก็พลอยรักนกกาด้วย เกลียดบ้านก็เกลียดกาด้วย ครั้งที่แล้วตอนที่นางไปจวนอ๋องก็เคยเจอแล้ว ทั้งสองคนยังคุยกันอยู่นาน เป็นเช่นที่ไทเฮาตรัสเสียที่ไหน อาจเพราะมีภาพลักษณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว จนตอนหลังจะทำอย่างไรก็ทำใจชอบนางไม่ได้เสียแล้ว
“ข้าเห็นว่าเฉินยางมิได้เป็นคนเช่นนั้นเลย บางครั้งอาจจะมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้ เสด็จป้าอย่าเพิ่งร้อนใจ มิสู้ให้ข้าไปดูก่อน เด็กผู้หญิงอยู่ด้วยกันย่อมพูดคุยกันได้ ข้าจะได้ไปสืบให้ท่าน ดูว่านางเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”
ไทเฮาพยักหน้า “ก็ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ข้าเหนื่อยแล้วพอดี ตอนเที่ยงเจ้าก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว อยู่ที่นี่ทานมื้อเที่ยงเสีย พวกเราป้าหลานสองคนจะได้พูดคุยกันเสียบ้าง”
เว่ยหมิ่นตอบรับ แล้วตามนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาออกจากประตูไปที่ห้องข้าง
ฝ่ายเฉินยางยืนอยู่ในลาน บนศีรษะมีถ้วยน้ำวางอยู่ ยืนนิ่งไม่ขยับ อากาศช่วงเดือนหกนั้นร้อนยิ่งนัก แถมยังเป็นเวลาก่อนเที่ยงอีก แสงแดดร้อนจัดส่องลงมา ต่อให้ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ก็ร้อนจนทำเอาคนทนแทบไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางยังใส่ชุดในวังอยู่ ตั้งแต่ข้างบนจนถึงข้างล่างล้วนเย็บสนิทไม่มีที่ให้ลมผ่านเข้าไปได้ เสื้อผ้าของนางจึงเปียกชุ่ม ใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังกัดฟันอดทนอยู่ คาดว่าคงยืนมานานแล้ว เริ่มจะสั่นขึ้นมา ถ้วยที่อยู่บนศีรษะก็โงนเงนเกือบจะร่วงลงมา
นางไม่เคยเรียนระเบียบในวัง ย่อมไม่รู้ความโหดเ**้ยมของเรื่องนี้ เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าทรมานเช่นไร หงอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในที่ร่ม มือถือไม้ลงโทษอยู่ ดูท่าทางเช่นนั้นคาดว่าคงเตรียมจะเข้าไปตีหากนางทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย
เว่ยหมิ่นหันไปถามนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างๆ “นางยืนอยู่ที่นี่มานานเพียงใดแล้ว”
นางกำนัลน้อยคิดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ตนนำของว่างไปถวายไทเฮานั้นนางก็ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว ถึงตอนนี้นับเวลาดูคาดว่าน่าจะสักสองชั่วยามกว่าได้ นางจึงตอบไปตามตรง
สองชั่วยามกว่า อากาศร้อนเช่นนี้ ไทเฮาคิดจะทรมานนางให้ตายหรืออย่างไร หากเฝิงเยี่ยไป๋เห็นเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่ นางก้าวเข้าไปในลานกลางแจ้ง ในมือนางกำนัลน้อยไม่มีของที่จะบังแดดได้ ขณะที่นางกำนัลน้อยกำลังลนลานไม่รู้จะทำอย่างไร หงอวี้เห็นเข้า ก็เดินเข้ามาหา “คารวะท่านหญิง ท่านหญิง ไฉนท่านถึงมาที่นี่เพคะ”
อย่างไรเสียก็เป็นคนสนิทของไทเฮา เว่ยหมิ่นจะไม่ไว้หน้าก็ไม่เหมาะนัก จึงกระตุกมุมปากแล้วพูดว่า “หงอวี้กูกูลำบากเสียแล้ว อากาศร้อนเช่นนี้ ยังต้องสอนระเบียบอยู่ที่นี่อีก”
หงอวี้พูดว่ามิบังอาจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านเองก็รู้จัก นางคือพระชายาท่านอ๋องของพวกเรา ยอมอยู่ในวังเรียนระเบียบเอง”
เว่ยหมิ่นตอบรับคำเบาๆ แล้วชี้ไปที่เฉินยางพลางพูดว่า “ให้นางพักก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับนาง”
——
ตอนที่ 208 ล้วนแสร้งทำทั้งสิ้น
คำพูดของเว่ยหมิ่นหงอวี้ไม่กล้าไม่ฟัง อีกอย่างเว่ยหมิ่นสามารถมาถึงที่นี่ดูเว่ยเฉินยางได้นั้นก็คงจะได้รับพระราชทานอนุญาตจากไทเฮาแล้ว จึงเข้าไปบอกให้นางไม่ต้องยืนแล้ว ให้นางไปที่ระเบียงทางเดินหาเว่ยหมิ่น
เมื่อครู่ได้เห็นเว่ยหมิ่นนางยังรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ในความประหลาดใจนั้นก็ยังจำได้ว่าที่นี่ยังอยู่ในวัง จึงไม่ได้พุ่งเข้าไปอย่างไร้มารยาทนัก หงอวี้ถือไม้ลงโทษตามอยู่ข้างหลังนาง นางรู้สึกเสียวสันหลัง เวลาเดินก็ยังต้องเกร็งไว้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ืไม้ลงโทษจะฟาดลงมาเมื่อไหร่ ข้างหลังเป็นจุดที่เปราะบางที่สุด หากจู่ๆ นางฟาดไม้ใส่ เช่นนั้นแล้วคงได้เจ็บเจียนตายเป็นแน่
หงอวี้เดินตามหลังนาง แล้วเตือนนาง “เห็นท่านหญิงต้องคำนับ เมื่อวานเพิ่งสอนเจ้าไป ลืมอีกแล้วหรือ”
เฉินยางกำมือแน่น กำลังจะย่อตัวคำนับ นึกไม่ถึงว่ากลับถูกเว่ยหมิ่นประคองขึ้นมา เว่ยหมิ่นดึงนางมาอยู่ข้างๆ ตัวเอง ยิ้มพูดว่า “หงอวี้กูกูจำผิดหรือไม่ ตอนนี้เฉินยางเป็นพระชายาแล้ว พวกเรามีฐานะเท่ากัน หากจะต้องพูดถึงมารยาทต้องทำให้ครบละก็ เฉินยางนางเป็นภรรยาของพี่ชายข้า หากนับเช่นนี้แล้วข้ายังต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้ด้วยซ้ำ พวกเราพี่น้องอยากจะคุยกัน กูกูก็ต้องเห็นกับตาว่าพวกเราคำนับให้ซึ่งกันและกันถึงจะยอมพาคนออกไปใช่หรือไม่”
หงอวี้พูดมิบังอาจอย่างรู้ตัวแล้วนำคนออกไป
เฉินยางเห็นหงอวี้เดินไปไกลแล้ว หลังที่ตั้งตรงอยู่นั้นก็ทรุดลงมาทันที นางเอาแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ มือพัดโบกลมไม่หยุด “ไปเสียที ข้าเหนื่อยแทบตาย”
เว่ยหมิ่นยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนให้นาง “เจ้าจริงจังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ล้วนแสร้งทำทั้งสิ้น!”
“ไม่แสร้งทำไม่ได้เลย ในมือนางถือไม้ลงโทษ หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องถูกตี” นางปากไว พริบตาเดียวก็หลุดเผยออกมาหมดแล้ว นางจึงตั้งสติกลับมาแล้วพูดกลบเกลื่อนด้วยความเขินอายว่า “คือว่าถ้าทำผิดเรื่องใหญ่ถึงจะถูกตี เพียงแค่นางกำนัลน้อยที่ข้าเคยเห็น ที่ถูกตีก็มีหลายคน นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย… ท่านอย่าเอาไปเล่าให้เฝิงเยี่ยไป๋ฟังเลย ไม่เช่นนั้นไทเฮาก็จะตรัสว่าข้าเป็นพวกต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่งลับหลังเป็นอีกอย่างหนึ่ง นิสัยหยิ่งยโสอดทนไม่ได้ ไปฟ้องเฝิงเยี่ยไป๋เพื่อทำลายความสัมพันธ์แม่ลูกของพวกเขา”
เว่ยหมิ่นหลุดหัวเราะออกมา “ไทเฮาว่าเจ้าเช่นนี้หรือ”
เฉินยางถึงได้รู้สึกตัว เว่ยหมิ่นเป็นหลานสาวของไทเฮา ตัวเองนินทาไทเฮาต่อหน้าเว่ยหมิ่นเช่นนี้ ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ สีหน้าของนางจึงเศร้าหมองเล็กน้อย บิดผ้าไปมาแล้วไม่พูดอะไรอีก
“ข้าได้ยินพวกเขาว่าเป็นเจ้าเองที่ยอมอยู่ในวังเรียนระเบียบหรือ”
“อืม” เฉินยางมองพื้นที่ร้อนระอุข้างนอกนั่น นึกถึงว่าพอเว่ยหมิ่นไปแล้วนางยังต้องกลับไปยืนฝึกระเบียบอยู่ ในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
เว่ยหมิ่นจ้องมองนางแล้วถามว่า “ทำไมหรือ”
เฉินยางถามนางกลับด้วยความสงสัย ตอนแรกไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ ก็เหมือนคิดได้อย่างนั้น จึงแสร้งวางท่าเป็นผู้ใหญ่ “ตอนที่ข้ามาท่านพ่อของข้าก็บอกข้าแล้ว แม่สามีเป็นคนที่อยู่ด้วยได้ยากที่สุดบนโลกนี้ ท่านคิดดู ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จู่ๆ ก็แย่งลูกชายของนางไป คนเป็นแม่เลี้ยงลูกชายมานานเช่นนี้ ไม่ว่าทำอะไรตอนหลังก็ต้องแบ่งครึ่งหนึ่งกับลูกสะใภ้ ผู้เป็นแม่จะต้องไม่มีความสุขแน่ๆ จะหาเรื่องลูกสะใภ้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม่สามีก็เป็นแม่แท้ๆ ครึ่งหนึ่ง วันหลังก็ต้องกตัญญูต่อท่านไปตลอดชีวิต หากไม่กตัญญูคนอื่นจะนินทาเอาได้ สามีก็จะไม่สนใจ แม้ความสัมพันธ์ของท่านพี่และไทเฮาจะไม่ดีนัก แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเขาไม่ช้าก็เร็วก็ต้องคืนดีกัน จะมีใครคิดจะไม่มีแม่ไปตลอดชีวิตบ้าง ขอเพียงไทเฮาไม่รังแกจนข้าตาย ข้าก็ยังคงรับมือได้อยู่”
ตอนที่ 209 แทบจะเหมือนสมบัติที่มีชีวิต
คำพูดของนางก็มีเหตุผล จากมุมมองของเว่ยหมิ่น เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่ได้รู้เรื่องเท่าเฉินยางเลย ไทเฮาอาจจะเพียงถูกบังตาเท่านั้น มองไม่เห็นความดีของสะใภ้คนนี้ ท่านพ่อของนางช่างเป็นครูที่ดีเสียจริง เลี้ยงลูกสาวคนเดียวก็ยังสามารถสอนได้เช่นนี้ ช่างเป็นคนที่มีความสามารถอย่างยากจะได้พบนัก ในใจก็รู้สึกเคารพเว่ยฟูจื่อขึ้นมาทันที นางหันหน้ามองแดดที่กำลังแผดเผาอยู่บนหัว อากาศเช่นนี้ออกไปฝึกยืนระเบียบไม่ตายเลยหรือ จู่ๆ นางก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา แล้วเสนอเฉินยางว่า “วันนี้อากาศร้อน ข้าจะไปพูดกับไทเฮา พวกเราออกจากวังไปเล่นได้หรือไม่”
เฉินยางตอนแรกดีใจ จากนั้นก็ก้มหน้าด้วยความเศร้าพูดว่า “ไม่ได้ ไทเฮาให้หงอวี้กูกูสอนระเบียบข้า เป็นเรื่องที่ไม่อาจขาดได้แม้เพียงวันเดียว ท่านไปบอกไทเฮา ไทเฮาจะต้องคิดว่าเป็นข้าที่ยุยงท่าน กลับมาข้าก็จะถูกลงโทษอีก ท่านหญิงท่านก็สงสารร่างกายเปราะบางของข้าเถิด รอให้ข้าเรียนระเบียบเสร็จแล้วค่อยไปแล้วกัน”
เว่ยหมิ่นหัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “ข้าเป็นใคร ข้าเป็นท่านหญิง ไทเฮาก็มีหลานสาวข้าเพียงคนเดียว ข้าขอร้องนาง จะมีเหตุผลอะไรที่นางไม่ตอบรับ เจ้าวางใจเสียเถิด”
แม้เว่ยหมิ่นจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่หากมีใจคิดจะเที่ยวขึ้นมาก็ยังคงเหมือนเด็กอยู่เช่นนั้น บอกจะไปเที่ยวก็ไปเที่ยว ไม่รอช้าเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่อยู่กินข้าวที่ไทเฮานี้แล้ว นางหาข้ออ้างแล้วยืมตัวเฉินยางออกไป ทั้งสองคนคุยกันไปเล่นกันไป นั่งอยู่ในรถม้าออกจากวังไปพร้อมกัน
ทางฝั่งนี้ เว่ยหมิ่นเพิ่งพาเฉินยางออกจากวัง สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ตัวนางก็คาบข่าวไปให้พั่งไห่แล้ว นี่เป็นสาวใช้ที่ครั้งที่แล้วฮ่องเต้ให้ไทเฮาเลือกให้นาง มีด้วยกันสองคน ล้วนเป็นสายตาของฮ่องเต้ ฮ่องเต้อยู่ในวังมานาน หากอยากรู้เรื่องใต้ฟ้า สายตาย่อมขาดไม่ได้ เพียงสายตาที่ฮ่องเต้ส่งออกไปด้วยพระองค์เองไม่ถึงหนึ่งพันก็ต้องมีแปดร้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าขุนนางที่อยู่ใต้ฮ่องเต้นั่นแล้ว ตอนนี้เว่ยหมิ่นไม่อยู่ในสายตาที่พระองค์จะเห็นได้ ก็ยิ่งต้องส่งคนไปเฝ้าไว้ นางและเฝิงเยี่ยไป๋ต้องแอบไปมาหาสู่กันอยู่ไม่น้อย หากจับผิดนางได้ เอาไปโยนใส่เฝิงเยี่ยไป๋ก็ได้เช่นกัน
เฉินยางและเว่ยหมิ่นถือว่าคุยกันได้ถูกคอนัก พอเกิดความคิดจะเที่ยวขึ้นมาก็ล้วนเป็นเด็ก ของที่ชอบของเด็กผู้หญิงก็ไม่ต่างกันนัก ชอบเสื้อผ้าเครื่องประดับ เวลาอยู่ด้วยกันก็คุยสัพเพเหระ ให้พวกนางสองคนอยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วยาม ก็ดีกันอย่างกับอะไรดี
ตอนแรกที่เว่ยหมิ่นไปวันนี้คือคิดจะกล่อมไทเฮาให้ปล่อยเฉินยางออกมา เพียงแต่พอได้คุยกับเฉินยางตลอดทางนี้ ตัวเองกลับถูกนางสนุกเสียเอง เจ้าเด็กนี่ดีจริงๆ เฝิงเยี่ยไป๋ได้นางไปก็เหมือนดั่งได้สมบัติไปเช่นนั้น เมื่อก่อนโง่อยู่ก็ทำให้คนรัก ตอนนี้หายดีแล้ว ทั้งตัวเต็มไปด้วยความฉลาดและน่าสนุกเสียจริง แทบจะเหมือนสมบัติที่มีชีวิตเลย
เพียงแค่พวกนางสองคนเล่นอยู่ด้วยกันช่างน่าเบื่อหน่ายนัก เว่ยหมิ่นกลับไปเรียกเหลียงอู๋เย่ว์ เพราะไม่กี่ชั่วยามก่อนทั้งสองคนก็มีเรื่องน่าอายเช่นเรื่อง ‘จูบ’ นั่น ตอนนี้เจอกันแล้วก็ไม่สบายใจนัก เว่ยหมิ่นหน้าแดง เหลียงอู๋เย่ว์ก็เก็บตัว เฉินยางอยู่ตรงกลางก็ยิ่งลำบาก พูดกับคนนี้คนนี้ก็เขินอายไม่ยอมตอบ พูดกับคนนั้นคนนั้นก็ตอบอ้ำอึ้งพูดไม่ชัด ได้ ปิดปากเสีย รอให้รถม้ามาถึงหน้าประตูจวนท่านอ๋อง เฉินยางถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง ผู้ดูแลเห็นเฉินยางกลับมาแล้ว ก็ทักทายว่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นก็เงยหน้าเห็นทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลัง ก็ทักทายไปทีละคน ถึงได้ไปเชิญเฝิงเยี่ยไป๋ ระหว่างทางก็คิดไปพลางแล้วเรียกสาวใช้ส่งข่าว ถึงได้ไปที่ห้องหนังสือเชิญเฝิงเยี่ยไป๋ออกไป
——
ตอนที่ 210 วิญญาณหลุดจากร่างแล้วหรือ
แม้เฝิงเยี่ยไป๋จะอยู่เมืองหลวง แต่การค้าที่เมืองหรู่หนานนั่น เรื่องสำคัญก็ยังต้องให้เขาตัดสินใจ จะให้เขาตัดสินใจก็ต้องให้คนส่งจดหมายวิ่งไปมาระหว่างสองที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเสียเวลาแถมยังถูกจับผิดได้ง่าย ในใจจึงคิดจะทำการค้าที่เมืองหลวง เช่นนั้นแล้วก็จะมีเรื่องวุ่นวายน้อยลงและก็สะดวกขึ้น เพียงแต่การทำการค้าขายนั้นเขาก็ยังไม่สามารถทำเองได้ เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะเห็นเขามีอำนาจมากขึ้นโดยไม่สนใจและเข้ามายุ่ง ถึงตอนนั้นเกรงว่าร้านยังไม่ทันได้เปิด ก็ต้องปิดก่อนแล้ว
เรื่องนี้จะให้เหลียงอู๋เย่ว์ทำก็คงไม่ได้ เกรงว่าเขาก็คงถูกฮ่องเต้ส่งคนเฝ้าจับตาไว้แล้ว คนใดที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนใช้ไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องหาคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา มือสังหารที่เขาซื้อกลับมาเหล่านั้น คิดว่าก็คงไม่ใช่คนที่จะมีความสามารถในการทำการค้าได้ หากจะต้องจัดการจริงๆ ก็คงมีแต่ตัวเอง จึงได้แต่ให้พวกเขาช่วยหาร้านค้า แล้วค่อยหาผู้ดูแลร้าน วันหลังบัญชีรายละเอียดต่างๆ ก็ต้องส่งมาให้เขาตรวจสอบตามเวลา อาจจะยุ่งยากไปสักหน่อย แต่อย่างไรเสียก็ดีกว่าวิ่งไปมาระหว่างเมืองหรู่หนานกับเมืองหลวง
ตอนที่ผู้ดูแลเคาะประตูนั้น เขากำลังคิดจะเรียกคนไปสั่งของเข้าร้านที่เมืองหหรู่หนาน เขาบอกให้เข้ามา แล้วเก็บสมุดบัญชีเข้าไปในลิ้นชักอย่างไม่รีบร้อน บนโต๊ะได้เปิดวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรแล้วถามเขาว่ามีเรื่องใด
ผู้ดูแลเหลือบมองบนโต๊ะของเขา แล้วพูดโดยไม่แสดงพิรุธว่า “พระชายากลับมาแล้ว ยังมีท่านหญิงและจวิ้นหม่า ตอนนี้รอท่านอยู่ที่โถงหน้าอยู่”
เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะเรียนระเบียบให้ดีอยู่เลย ต้องอดทนไม่เจอเขาตั้งเดือนหนึ่ง ไฉนถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้ ในใจเขาร้อนรนเหมือนปลาที่ดิ้นไปมา แต่พอคิดย้อนกลับมา ไฉนเว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ก็อยู่ คาดว่าคงเป็นเว่ยหมิ่นนั่นเข้าวังพาคนออกมา ไม่เช่นนั้น เฉินยางยังดีๆ อยู่ ไทเฮาจะปล่อยนางออกมาได้อย่างไร
ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้เจอเว่ยหมิ่นแล้วต้องชมนางเสียหน่อย เขากำลังคิดถึงภรรยาอยู่เลย นี่ก็ส่งมาให้เขาแล้ว ช่างเป็นแม่นางที่รู้ใจเสียจริง
หากเหลียงอู๋เย่ว์ไม่ถือว่าผ่านผู้หญิงมามากมายก็เป็นชายเจ้าชู้ที่ขึ้นชื่อแห่งเมืองหรู่หนาน หยอกเล่นกับแม่นางไม่เคยหน้าแดงเลย จูบแก้มอะไรนั่นไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยทำมาแล้ว เพียงแต่เป็นเว่ยหมิ่นก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลูกผู้ชายบิดตัวไปมาเหมือนดั่งแม่นางเช่นนั้น แก้มข้างหนึ่งที่ถูกเว่ยหมิ่นจูบตอนเช้านั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังแดงไม่หาย เฉินยางเห็นแล้วก็ยังรู้สึกอายแทน
พวกเขาไม่พูด เฉินยางก็พอเดาได้บ้าง เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจ เฝิงเยี่ยไป๋และเหลียงอู๋เย่ว์ไม่ใช่หลิวเซี่ยฮุ่ย[1]ที่สงบใจได้ โดยเฉพาะที่เมืองหรู่หนานนั้นก็มีชื่อเสียงนัก ข้างกายไม่เคยขาดผู้หญิง อย่างไรก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้เลย
บรรยากาศที่ห้องโถงนั้นประหลาดยิ่งนัก ตอนที่เฝิงเยี่ยไป๋มาถึง เฉินยางนั่งนิ่งสายตาสังเกตรอบๆ ทำท่าไม่สนเรื่องอื่น กลับมาดูที่เว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ ทั้งๆ ที่นั่งติดกัน แต่คนหนึ่งมองฟ้าอีกคนมองดิน ไม่เหมือนกับทะเลาะกัน แต่ก็อึดอัดน่าดู
น่าแปลกแล้ว วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ
“พวกเขาสองคนเป็นอะไรหรือ” เขาขึ้นไปกุมมือเฉินยาง แล้วดึงนางมาอยู่ข้างๆ “วิญญาณหลุดจากร่างแล้วหรือ”
เฉินยางส่ายหน้าแล้วความงุนงง “ไม่รู้ ตั้งแต่ที่เจอกันก็หน้าแดง และก็ไม่ได้พูดอะไรเลย”
เฝิงเยี่ยไป๋รู้จักเหลียงอู๋เย่ว์เป็นอย่างดี เขาเป็นคนแสร้งเอาหน้า ไม่ชอบอยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรก็ชอบไปที่หอนางโลม ไปหาแม่นาง ถึงกับค้างคืนที่หอนางโลมอยู่บ่อยๆ วันๆ ไม่อยู่บ้าน คนนอกดูแล้ว ก็คือคนที่ไม่เอาไหน จนถึงตอนหลัง บ้านของแม่นางได้ยินว่าเป็นเขาที่มาขอแต่งงานก็ปิดประตูแม้แต่แม่สื่อก็ไม่ให้เข้า
——
[1] หลิวเซี่ยฮุ่ย ชายในประวัติศาสตร์จีน เป็นที่กล่าวขานในเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ กล่าวกันว่าสามารถควบคุมตัวเองได้แม้จะมีหญิงนั่งอยู่ในอ้อมกอด
ตอนที่ 211 ไฉนถึงดำลงขนาดนี้
คนอื่นไม่เข้าใจเขา แต่เฝิงเยี่ยไป๋รู้เป็นอย่างดี เจ้าว่าเขาไปหาแม่นางที่หอนางโลม ก็ไม่ผิด เขาไปแล้ว แถมไปหาไม่น้อยเสียด้วย แต่ละคนงามดั่งนางฟ้า แต่เขาไม่เคยผ่านค่ำคืนกับแม่นางคนใดเลย แตะคือแตะ แต่มักจะหยุดอย่างสมควร บางครั้งชุดก็ถอดแล้ว สติในหัวก็ตึงขึ้นมา คนก็รู้สึกตัวทันที พอรู้สึกตัวก็วิ่งหนีไป นานวันเข้า ก็บอกว่าเขาไร้ความสามารถ คำพูดนี้ช่างเสียหน้ายิ่งนัก ใครเป็นผู้ชายล้วนแต่ทนไม่ได้ แต่เหลียงอู๋เย่ว์ทนเอาไว้ แถมยังยิ้มล้อเล่นกับคนอื่น เพื่อเรื่องนี้ ท่านพ่อของเขาได้หาหมอให้เขาไม่น้อย พวกเขาตระกูลเหลียงเก่าแก่ล้วนมีลูกชายคนเดียวมาสามรุ่นแล้ว จะให้ขาดผู้สืบตระกูลที่เขานี้ไม่ได้ ผู้เฒ่าเหลียงร้อนรนยิ่งนัก แต่ในใจเหลียงอู๋เย่ว์กลับรู้สึกดีใจ เขาปกป้องร่างกายของเขาเสมือนดั่งแม่นางที่รักษาความบริสุทธิ์ หากคนในใจยังอยู่ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะข้ามผ่านเส้นนี้ไม่ได้
เพียงแต่คำพูดนี้พูดกับเฉินยางไม่ได้ เหลียงอู๋เย่ว์เป็นคนที่เอาชนะอยู่ลึกๆ หากเจ้าพูดเรื่องของเขาไปหมดแล้ว เช่นนั้นไม่เท่ากับตบหน้าเขาต่อหน้าทุกคนหรือ หน้าตาของผู้ชายสำคัญมาก โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าเว่ยหมิ่น ยิ่งจะให้เขาเสียหน้าไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนมาทำอะไร” เฝิงเยี่ยไป๋ทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ โตป่านนี้แล้ว กลับยังทำตัวเหมือนเด็กที่ยังไม่โตอยู่เช่นนั้น ไม่ทันไรก็หน้าแดง
เว่ยหมิ่นกระแอมเบาๆ ลูบใบหน้าที่แดงเรื่อ พูดกลบเกลื่อนว่า “วันนี้อากาศร้อน ข้า… เมื่อครู่ข้าเข้าวังไปพบไทเฮา เห็นเฉินยางเรียนระเบียบลำบากนัก จึง… จึงยืมคนกับไทเฮาออกมา คิดว่าอากาศที่ร้อนเช่นนี้ควรจะออกไปเล่นน้ำถึงจะถูก”
เหลียงอู๋เย่ว์ก็พูดจาส่งเสริมว่า “ใช่ อากาศร้อนเช่นนี้ เล่นนน้ำเหมาะที่สุดแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋หันไปมองเฉินยาง ดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา “เพิ่งเข้าวังได้ไม่กี่วัน ไฉนถึงดำลงขนาดนี้”
แต่ละวันตากแดดอยู่เช่นนั้นจะไม่ดำได้อย่างไร ตอนที่นางส่องกระจกเองก็ยังตกใจ หนึ่งเดือนผ่านไป จะไม่ต่างจากถ่านในห้องครัวเลยหรือ แต่จะบ่นกับเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่ได้ นางจึงเยาะตัวเองยิ้มพูดว่า “ดำเสียที่ไหน ไฉนข้าถึงไม่รู้ ดำก็ดี ผิวกร้านก็ดี ท่านพ่อข้ามักจะว่าข้าเป็นเด็กผู้หญิงผิวกร้านเสียหน่อยก็ดี ทนหกล้ม ไม่ถึงกับเป็นโรคง่ายๆ หรอก ภูตผีปีศาจเห็นแล้วก็ยังต้องหลบ”
พูดจบก็ส่งสายตาให้เว่ยหมิ่น ส่งสัญญาณให้นางอย่าหลุดปาก
เว่ยหมิ่นกำลังจะอ้าปากพูด พอเห็นสายตาที่นางส่งมา ก็หุบปากลงอย่างเศร้าหมอง
“ไม่ได้ให้เจ้าทำงาน ยิ่งไม่ได้จะให้เจ้าลำบาก จะผิวกร้านไปทำไมกัน ไม่ใช่คนใช้เสียหน่อย” วิธีของกูกูในวังนั้นเขารู้เป็นอย่างดี เมื่อก่อนตอนที่เรียนหนังสืออยู่ในวังนั้น เวลาว่างเหล่าองค์ชายก็ชอบไปวังในดูนางกำนัล นางกำนัลที่มาใหม่ล้วนต้องเรียนระเบียบอยู่เดือนหนึ่ง ตั้งแต่คุกเข่าคำนับจนถึงท่าทางการพูดการจา แต่ละอย่างต้องฝึกฝนซ้ำๆ เช่นบนหัววางถ้วยน้ำเอย มือถือถ้วยชาที่รินน้ำชาอยู่เต็มไม่อาจขยับได้เอย เหยียบกระถางดอกไม้ผ่านท่อนซุงที่ตั้งอยู่เอย วิธีมีมากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายระเบียบเรียนเสร็จแล้ว ชีวิตคนก็หมดไปแล้วครึ่งชีวิต
ก่อนที่เขาจะไป ดูจากท่าทางของไทเฮาแล้วไม่น่าจะเมตตากับเฉินยาง ตอนนี้ที่เห็นอยู่ก็มีเพียงดำลงเล็กน้อย บนตัวมีบาดแผลหรือไม่ก็ยังดูไม่ออก เขากลัวเพียงว่านางจะถูกรังแกแล้วไม่ยอมบอกเขา
“ไทเฮาไม่ได้หาเรื่องเจ้ากระมัง” เขาถลกแขนเสื้อของนางขึ้น ทั้งสองแขนสะอาดเกลี้ยง ไม่เห็นมีแผลใดๆ
ตอนที่ 212 อาจารย์ที่ใช้ไม่ได้
“ไม่” เฉินยางม้วนแขนเสื้อลง คิดว่าจะโกหกก็ต้องจริงครึ่งโกหกครึ่ง จึงพูดว่า “พวกเราต้องเรียนย่อ ยืน คุกเข่า กราบ ในห้องพื้นที่น้อย ทำท่าทางไม่สะดวก เวลาฝึกก็ต้องมีหกล้มกันบ้าง แม้หงอวี้กูกูจะเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้จงใจหาเรื่อง ลำบากคือลำบาก แต่ก็ใช่ว่าจะทนไม่ได้”
ตอนนี้นางกำลังหงุดหงิดกับตัวเองอยู่ ไทเฮาคิดว่านางจะต้องทนไม่ไหว และรอไล่นางไปเป็นแน่ แต่นางไม่ นางจะต้องทนต่อไปให้ไทเฮาดู แม่สามีนี้ไม่ถูกชะตากับนาง เช่นนั้นแล้วนางก็ต้องอยู่ในสายตาของนาง ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่นอน เรื่องแค่นี้จะเป็นอะไรไป! ท่านพ่อของนางเลี้ยงนางจนโตไม่ใช่เพื่อจะให้คนอื่นมารังแก จะมองว่านางมาจากชนบทแล้วก็จะดูถูกนางไม่ได้ ใครไม่ใช่ลูกที่พ่อแม่เลี้ยงมาบ้าง นางเองก็มีลูกชาย ใจพ่อแม่เป็นเหมือนกัน นางจะทำใจเ**้ยมโหดได้อย่างไร!
เฝิงเยี่ยไป๋ก็ยังไม่วางใจ จึงดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด “กลางคืนยังต้องกลับไปหรือไม่”
“พรุ่งนี้เช้ายังต้องฝึกยืนระเบียบอยู่ กลางคืนต้องกลับไป” นางอธิบายด้วยท่าทางจริงจัง แต่แอบกำมือแน่น มือของเฝิงเยี่ยไป๋วางอยู่บนโต๊ะ นางก็ถูกเขากอดไว้อยู่อีก หลังแตะกับแขนของเขาพอดี นางไม่ได้บอกเขา บนตัวนางมีแผลที่ถูกหงอวี้เอาไม้ลงโทษฟาด แตะไม่ได้ พอแตะแล้วก็เจ็บเจียนตาย
“กลางคืนไม่กลับไปแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าเข้าวังเป็นเพื่อนเจ้า” เฝิงเยี่ยไป๋เป็นคนที่มีสายตาแหลมคมยิ่งนัก สังเกตสีหน้าของนางผิดแปลกไป จึงขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอะไรหรือ”
นางทนไม่ไหวกระตุกมุมปากสองครั้ง แล้วสูดหายใจลึกๆ และตอบสนองอย่างรวดเร็ว เอาแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากถอนหายใจพูดว่า “อากาศร้อนนัก แค่นั่งก็เหงื่อออก”
เว่ยหมิ่นก็รีบพูดกลบเกลื่อน “พวกเราไปอวี้เฉวียนซานจวง [1] เถิด ที่นั่นเย็นสบาย ไปแล้วกระโดดน้ำ กระโดดน้ำลงไปแล้ว เรียกได้ว่าเย็นสบายทั้งตัวเลย!”
ช่างไม่อายนัก อะไรก็กล้าพูด เฝิงเยี่ยไป๋กลัวว่านางจะสอนเฉินยางจนเสียคน จึงทำหน้าบึ้งสั่งสอนว่า “ข้าว่าเจ้านับวันก็ยิ่งไร้ระเบียบมากขึ้นแล้ว ยังจะกระโดดน้ำอีก นี่คือเรื่องที่แม่นางควรทำหรือ ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าอยู่ในวังหลายปีเช่นนี้เรียนอะไรไปเสียบ้าง ไม่มีความเป็นแม่นางเอาเสียเลย” จากนั้นเขาก็หันศีรษะมากำชับเฉินยางว่า “เจ้าก็อย่าได้เรียนตามนาง นางเป็นคนที่ไร้ระเบียบนัก ตั้งแต่เด็กก็เล่นอยู่แต่กับเด็กผู้ชาย ไม่เคยได้หยุดเลย พวกเราไม่เหมือนกัน เป็นกุลสตรีที่มีระเบียบ ควรจะชอบเครื่องประทินโฉม เรื่องปีนป่ายโลดเต้นนี้ เรียนไม่ได้!”
เว่ยหมิ่นถูกพูดเช่นนี้ก็โกรธขึ้นมา “ไฉนข้าถึงไม่มีความเป็นกุลสตรีเสียแล้ว ที่ข้าสอนเฉินยางล้วนเป็นเรื่องดี ใช่หรือไม่ เฉินยาง”
เฉินยางอุตส่าห์มีคนที่คุยกับนางได้ แม้ว่าความสัมพันธ์เทียบรุ่นของทั้งสองคนจะต่างอยู่เล็กน้อย แต่ใจนางก็เข้าหาเว่ยหมิ่นอยู่ กำลังจะพยักหน้าเห็นด้วย เฝิงเยี่ยไป๋ก็ขวางอยู่หน้านางแล้วพูดว่า “อาจารย์ที่ใช้ไม่ได้จะสอนลูกศิษย์ดีๆ ได้อย่างไร เรื่องในบ้านของพวกเราไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล ภรรยาของข้าข้าสอนเองได้”
เหลียงอู๋เย่ว์ก็ไม่พอใจขึ้นมา ร้องโอ๊ยยืนขึ้นมา “ว่าใครใช้ไม่ได้หรือ รบกวนก่อนจะพูดอะไรก็ดูคนก่อน ข้ายังยืนอยู่ที่นี่อยู่เลย รังแกคนรังแกถึงหัวข้าแล้วหรือ”
เฉินยางหัวเราะขึ้นมา “ข้าสิถึงจะเป็นอาจารย์ที่ใช้ไม่ได้ เมื่อครุ่ระหว่างทางยังสอนเหลียงอู๋เย่ว์พูดกับเว่ยหมิ่นอยู่เลย พวกเขาสองคนไม่พูดคุยกัน ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัด ข้าที่เป็นอาจารย์นี้ใช้ไม่ได้ ยังเป็นท่านพี่ที่มีความสามารถ สองสามประโยคก็ทำให้พวกเขาพูดคุยได้แล้ว”
ดูนั่น ช่างเป็นเด็กที่พูดเก่งเสียจริง กล่อมทั้งสองฝั่ง แถมยังไม่ผิดใจกับใครอีก ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกรัก
——
[1] ซานจวง เทียบได้กับสถานตากอากาศในปัจจุบัน
ตอนที่ 213 หลังจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร
ได้ทั้งคุยและหัวเราะกันไปแล้ว พริบตาเดียวก็ถึงตอนเที่ยง เฉินยางยังต้องกลับวังก่อนที่ประตูวังจะลงกลอนตอนกลางคืน บอกว่าจะไปอวี้เฉวียนซานจวงนี้ก็ต้องไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ผู้ดูแลของจวนอ๋องได้เตรียมรถม้าสองคัน ครอบครัวละหนึ่งคัน ส่วนนี้ก็เอาใจใส่ เฉินยางนั่งอยู่ในรถและเปิดผ้าม่านคอยมองไปข้างหลังอยู่ตลอด ก็ไม่รู้ว่าเหลียงอู๋เย่ว์เว่ยหมิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง คราวนี้นางไม่อยู่ พวกเขาก็คงไม่เขินอายเช่นนั้นแล้วกระมัง!
จู่ๆ เฝิงเยี่ยไป๋ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตนให้เจี่ยชีไปหาผู้ดูแลร้านที่ประวัติขาวสะอาดมาให้ ตามปกติแล้วคนอย่างพวกเขานั้นล้วนเป็นผู้ช่ำชองในยุทธภพ การจะหาคนจึงใช้เวลาเพียงแค่จิบชาเท่านั้น เพียงแต่เขาไปตั้งแต่เที่ยง กลางคืนเพิ่งจะกลับมา ถามเขา เขาก็ตอบอ้ำอึ้ง เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้กลัวว่าเขาจะทรยศ ทุกอย่างมีกฎ หากเขาทรยศ ไม่ต้องให้ตนลงมือ คนอื่นที่เขาซื้อกลับมาก็จะฆ่าเขาเอง
สุดท้ายหลังจากที่ถามอย่างละเอียดแล้วถึงได้รู้ว่า เจี่ยชีมีลูกสาวคนหนึ่ง ปีนี้หกขวบ เมื่อวานลูกสาวถูกแม่ของนางลงกลอนขังอยู่ในห้อง ภรรยาของเจี่ยชีเป็นคนไม่ระมัดระวัง นางคิดว่าเวลาออกไปซื้ออาหาร หากพาลูกสาวไปด้วยจะไม่สะดวก และก็กลัวลูกสาวจะวิ่งหลง จึงลงกลอนให้ลูกสาวอยู่ในห้อง ตอนที่กลับมาถุงเงินก็ถูกคนขโมยไปอีก กุญแจที่อยู่ในถุงเงินก็หายไปเช่นกัน ผู้หญิงเวลาเจอเรื่องไม่คาดฝันก็คิดไม่ออก จึงไปหาเจี่ยชี และก็บังเอิญว่า ตอนที่เจี่ยชีไปหาผู้ดูแลร้านอยู่นั้นเห็นเวลายังไม่เย็นจึงซื้อขนมให้ลูกสาวของตน เห็นภรรยาของเขากำลังเอาก้อนหินทุบประตู ลูกสาวร้องไห้อยู่ในบ้าน พอถามจนรู้เรื่องแล้วก็ถอนหายใจ หันหลังกลับไปจับโจร จากนั้นโจรก็ถูกจับได้ ถูกเขาตัดมือทั้งสองข้างทิ้ง เพียงแต่โจรนั้นเจ้าเล่ห์นัก ตอนที่ไล่ล่าตามหาอยู่นั้นเสียเวลาไปเล็กน้อย ถึงได้กลับมาช้า
เฝิงเยี่ยไป๋ได้ฟังเรื่องราวจากเขาแล้ว ในใจก็รู้สึกเศร้า คนที่ทำงานเช่นนี้ล้วนไม่มีลูกมีภรรยา เพราะกลัวถูกคนอื่นจับจุดอ่อนแล้วเอามาข่มขู่ได้ ผู้ว่าจ้างก็เลี่ยงที่จะจ้างมือสังหารที่มีลูกมีภรรยา หากมีคนเอาจุดนี้มาเล่นงานตัวเอง เก็บคนเช่นนี้ไว้อยู่ข้างตัวก็ไม่ปลอดภัย แต่ที่ทำให้เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกเศร้าไม่ใช่จุดนี้ ที่เขารู้สึกเศร้าคือ เขาเป็นมือสังหาร เป็นผู้ที่มือเปื้อนไปด้วยเลือด ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างเขาแม้แต่ลูกกับภรรยาก็มีครบแล้ว ส่วนตัวเขาเองจนถึงตอนนี้ก็ยังใช้ชีวิตที่แยกกันอยู่กับภรรยา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกเลย พวกเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ร่วมหอกันเลยด้วยซ้ำ พอมาเทียบกันแล้ว เขาเศร้ายิ่งนัก ชีวิตที่ตัวเองเป็นอยู่คืออะไร!
แต่เฉินยางไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย นางยังหันหน้ามายิ้มพูดกับเขาอยู่เลย “ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนจะเขินอายอยู่เช่นนั้นอีกหรือไม่ หากยังไม่ยอมคุยกัน วันหลังจะทำอย่างไรดี!”
เวลานางยิ้มสองตาจะหรี่โค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว มองไม่เห็นลูกตา เหมือนดั่งร่องที่หรี่ลงมา นางคลี่ยิ้มกว้าง เผยฟันขาวสดใส แม้มิได้เป็นความงามที่ ‘ยิ้มแล้วมีเสน่ห์’ แต่เป็นความงามที่บริสุทธิ์ หากมองดูอย่างละเอียดยังจะสังเกตเห็นถึงความใสซื่อด้วยซ้ำ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มนั้นกลับหวานล้ำเหมือนเข้ามาอยู่ในใจเช่นนั้น พอเห็นนางยิ้มขึ้นมา เขาก็รู้สึกราวกับดอกไม้บานในหัวใจ รู้สึกว่านางงดงามจนชวนให้หวั่นไหว
ลำคอของเขาแห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ กลืนน้ำลายไปสองอึกแล้วปริปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าสนใจว่าหลังจากนี้พวกเราสองคนจะเป็นอย่างไรมากกว่า”
คำพูดของเขาไม่สื่อความหมายออกมาตรงๆ ทำเอาเดาไม่ถูก เฉินยางไม่เข้าใจจึงถามว่า “พวกเราเป็นอย่างไรหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นมือเข้าไปในเสื้อของนาง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ มีเพียงเขากับนางสองคน ประตูรถม้าก็ปิดสนิท ข้างนอกจึงไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน เขาหัวเราะอย่างไม่ประสงค์ดีนัก มือไม้ก็เริ่มซุกซนอย่างไม่เกรงกลัวขึ้นมา
ตอนที่ 214 ท่านมันหน้าไม่อาย
“เด็กดี เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ” เขาเป่าลมอยู่ข้างหูนางเบาๆ “คนที่อายุเท่าข้า ควรจะมีลูกวิ่งเล่นไปทั่วแล้ว แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีลูกเลย พูดออกไป คนอื่นจะคิดว่าข้ามีปัญหา ผู้ชายของเจ้ารู้สึกเสียหน้านัก!”
เฉินยางถามตามคำพูดของเขา “ท่านมีปัญหาอันใด ก็ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋คิดเพียงแค่ว่านางแกล้งโง่ ทั้งสองมือจึงสอดเข้าไปใต้รักแร้ของนาง แล้วยกนางขึ้นมานั่งบนตักตัวเอง “แกล้งโง่กับข้าหรือ ตอนนี้เจ้าฉลาดแล้ว กล้าแกล้งโง่กับข้าแล้วหรือไร”
เฉินยางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ข้าไม่ได้แกล้งโง่”
เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นหลอกล่อ กระซิบพูดข้างหูนางว่า “ยังบอกว่าไม่ได้แกล้งโง่อีก คำพูดของข้าเมื่อครู่หมายถึงอะไร ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ”
ถึงเข้าใจก็ต้องแกล้งไม่รู้เรื่อง เฉินยางรู้สึกคันหูยุบยิบ คิดจะยกมือขึ้นมาเกา แต่ถูกเขาจับมาวางไว้บนเอวเขาเอง “ข้าพูดว่า…” เขากดเสียงต่ำแล้วพูดข้างหูนางเบาๆ ว่า “ข้าอยากได้เจ้าอย่างสมบูรณ์”
ตอนแรกก็ไม่ได้เป็นอะไร ด่านนี้ควรจะผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่ระหว่างนั้นกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงปล่อยมาจนถึงวันนี้ แล้วยังมีไทเฮาที่เข้ามาแทรกอีก พวกเขาที่เป็นสามีภรรยากันนั้นช่างลำบากยิ่งนัก แต่ละครั้งที่เริ่มผูกพันขึ้นมา ก็มักจะต้องพบเจอเรื่องเช่นนั้น เขารอไม่ไหวแล้ว และก็จะไม่รออีกต่อไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อ เขาคงได้บ้าตายไปจริงๆ วันนี้จังหวะเหมาะเจาะเป็นโอกาสดีที่ยากจะได้พบนัก
เฝิงเยี่ยไป๋ซุกหน้าซบที่คอของเฉินยาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อยว่า “คืนนี้ก็อย่าเข้าวังไปเลย พรุ่งนี้เช้าข้าค่อยส่งเจ้าเข้าไป”
คราวนี้เฉินยางกลับจริงจังขึ้นมา “ไม่ได้! ตกลงไว้แล้วว่าเรียนระเบียบก็คือเรียนระเบียบ ถ้าไม่กลับไปหากไทเฮาทรงทราบเข้าจะไม่ดี หากแม้แต่เรียนระเบียบก็ยังไม่ตั้งใจ กลับไปไทเฮาก็คงจะชูป้ายแดงให้ข้าแล้ว”
“อะไรคือชูป้ายแดง”
“ข้าเป็นคนใฝ่เรียน วันนี้ขาดเรียนไปวันหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้เช้าหากยังล่าช้าอีก ที่เรียนมาเมื่อวันก่อนก็จะลืมเอาได้”
เฝิงเยี่ยไป๋กอดนางแล้วยิ้ม “ความจำเจ้าแย่เช่นนั้นเชียวหรือ เพิ่งเรียนไปก็ลืมเสียแล้ว”
นางบุ้ยปากพูดว่า “ก็หัวข้าไม่ค่อยดีนี่!”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรดี” เขาเอาใบหน้าถูกับคอนางด้วยความน้อยใจ แล้วจับมือนางลูบที่อกตัวเอง “ข้าก็ทนมานานแล้วเหมือนกัน”
ทันทีที่มือของเฉินยางแตะถูกอกของเขา ก็หดกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วด่าเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “ท่าน…ท่านมันหน้าไม่อาย!”
เฝิงเยี่ยไป๋หัวเราะนาง “ไม่แกล้งโง่แล้วหรือ ตอนนี้รู้ว่าคืออะไรแล้วหรือ”
ใบหน้าของนางร้อนผ่าว หูก็เริ่มเห่อร้อนขึ้นมา นางหันหลังไป หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก ข้างหลังนางมีมือคู่หนึ่งยื่นมาโอบกอดนางเอาไว้ กุมมือที่สั่นด้วยความไม่สงบของนาง “เชื่อฟังข้า คืนนี้ไม่ต้องกลับไปแล้วกัน”
นางยังคงต่อต้านเฮือกสุดท้าย “แต่ว่า…ถ้าไม่กลับไปจะไม่…”
คำว่า ‘ดี’ ที่เหลือนั้นยังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกเขากลืนเข้าไปในปาก เฉินยางร้องอู้อี้อยู่เล็กน้อย หลังศีรษะถูกเขาใช้มือข้างหนึ่งรองพิงกับผนังรถม้า
เมื่อรถม้าเข้าไปในเขตของซานจวง เส้นทางเปลี่ยนเป็นขรุขระ เพียงแต่นางที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นกลับนั่งอย่างสงบเสงี่ยมผิดปกติ
หลับจูบผ่านไป นางหอบหายใจ สองมือยันพื้น รักษาระยะห่างจากเขาด้วยความโกรธเล็กน้อย “ท่าน… ไฉนถึงยื่นลิ้นออกมา ท่านคิดจะให้ข้าหายใจไม่ออกจนตายหรือไร!”
เขาคว้ามือของนางทั้งสองข้างแล้วจับไพล่ไว้ข้างหลังอีกครั้ง “อีกรอบแล้วกัน ข้าจะสอนเจ้า”
เฉินยางเอียงศีรษะหลบ “ไม่เอา! ข้า… ข้ามึนหัวแล้ว เหมือนจะเป็นเพราะหายใจไม่ออก ข้าต้องพักเสียหน่อย ข้า… ข้าทำไม่ได้ ข้าใช้ไม่ได้”
ตอนที่ 215 คืนนี้น่าจะอีกยาวไกล
เฝิงเยี่ยไป๋ยังอยากดำเนินการขั้นต่อไป แต่ทว่ารถม้ากลับหยุดเสียแล้ว คนขับรถด้านนอกก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ท่านอ๋อง ถึงอวี้เฉวียนซานจวงแล้วขอรับ”
เด็กน้อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มของนางพลางคิดว่าตนไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ “คืนนี้น่าจะอีกยาวไกล สบายใจตอนนี้จะไม่เร็วไปหน่อยหรือ”
เฉินยางเพิ่งวางหินที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจได้ไม่ทันไรก็ต้องยกหินก้อนนั้นขึ้นมาอีก หน้าที่เพิ่งหายแดงไม่ทันไรก็กลับร้อนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นางไม่มองเขาเลยแม้แต่น้อย ทำท่าฮึดฮัดแล้วลงจากรถม้าไป
ทางเหลียงอู๋เย่ว์และเว่ยหมิ่นดูแล้วเรียบร้อยดี ตอนลงจากรถม้ามีคุยมีหัวเราะกัน ฝ่ายเฉินยางหน้าแดงก่ำไม่หาย ก้มหน้างุดเดินไปข้างหน้าโดยไม่มองทาง เฝิงเยี่ยไป๋จึงจับแขนนางไว้เพื่อไม่ให้นางล้ม คิดอยากประคองนางไว้ในอ้อมแขน แต่เจ้าเด็กน้อยกลับไม่ยอมเสียนี่
เว่ยหมิ่นมองเห็นความผิดปกติ จึงตั้งใจถามเฝิงเยี่ยไป๋ด้วยความไม่เข้าใจว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้ารังแกนางหรือ”
เหลียงอู๋เย่ว์ถามต่อแกมหยอกล้อว่า “นางยังเด็กอยู่ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน ไม่ใช่ว่า…เจ้าลงไม้ลงมือกับนางหรอกนะ”
เฉินยางยิ่งก้มหน้าลงต่ำ มองปลายนิ้วเท้าไม่พูดไม่จา
เฝิงเยี่ยไป๋ปัดแมลงวันน่ารำคาญสองตัวที่บินไปบินมา ก่อนจะโอบเฉินยางเข้ามาโดยไม่ฟังข้อแก้ตัว ริมฝีปากของเขาระงับรอยยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่ แต่กลับต้องแสร้งทำเป็นปลอบนางด้วยท่าทีจริงจัง “อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น”
เฉินยางเงยหน้ามองเขา แก้มทั้งสองข้างยังคงแดงดั่งก้อนเมฆยามตะวันลับฟ้า ยิ่งมองยิ่งสวยจน
เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกเหมือนเสี้ยนเข้าตาจนไม่อาจดึงออกได้ จึงอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มของนางอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกพอใจยิ่งนัก จึงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “โกรธจริงๆ หรือ”
“ไม่ ข้าไม่ได้โกรธ” นางส่ายหัว แต่กลับยู่ปากจนแทบจะเอาตะเกียงน้ำมันไปแขวนไว้ได้ “คราวหน้าคราวหลังท่าน…ท่านอย่ามาทำรุ่มร่ามข้างนอกได้หรือไม่…ข้างนอกมีคนอื่น…ถึงจะเป็นในรถม้า…แต่ทำแบบนั้นมันก็ไม่ดี”
ที่แท้เป็นเพราะนางถือสาเรื่องนี้ ขอเพียงนางไม่โกรธและมิใช่ว่าไม่ยินยอม พูดอะไรมาก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ตอนนี้เขารู้สึกดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่เฉกเช่นเมื่อครั้งยังหนุ่ม จึงโอบไหล่ของนางไว้ แต่ทว่าเมื่อคิดถึงคำของนางเมื่อครู่ ก็ต้องรีบหยุดตัวเองและปล่อยมือ แล้วเดินตามนางเข้าไปข้างในติดๆ
อวี้เฉวียนซานจวงนับว่าเป็นสถานที่พักร้อนที่ดีแห่งหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ สามารถมองเห็นลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านได้อยู่ทุกที่ เดิมทีที่นี่เป็นที่ตั้งของวัดเจี้ยนกั๋ว ต่อมาวัดย้ายออกไป จึงเปลี่ยนมาเป็นซานจวง เป็นราชนิเวศน์สำหรับราชนิกูลโดยเฉพาะ เหล่าองค์หญิงองค์ชายและบรรดาขุนนางทั้งหลายมักจะมาพักผ่อนช่วงฤดูร้อนที่อวี้เฉวียนซานจวง ช่วงนี้เป็นช่วงที่อวี้เฉวียนซานจวงบรรยากาศดีที่สุดและมีคนค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยความที่ซานจวงกว้างใหญ่ ดังนั้นจึงไม่วุ่นวายมากนัก พวกเขาเลือกค้างแรมในส่วนที่ค่อนข้างเงียบสงบ แล้วรับประทานอาหารกันก่อน หน้าร้อนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะกินอาหารที่มันเกินไป ดังนั้นจึงเป็นอาหารรสอ่อนจานเล็กๆ สักสองสามจานกับผลไม้ตามฤดูกาล เท่านี้ก็แก้ร้อนได้ดียิ่งนัก
หลังรับประทานอาหารแล้ว เว่ยหมิ่นเสนอให้ไปแช่สระร้อยบุปผา ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของอวี้เฉวียนซานจวง สระแห่งนี้ใช้หินอ่อนก่อเป็นกำแพงแล้วตกแต่งด้วยไม้สีขาว น้ำในสระใส่สมุนไพรและกลีบบุปผานานาชนิด ไม่เพียงแต่จะดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ สตรีที่มาตากอากาศต่างมาแช่ตัวที่นี่กันทั้งนั้น
เฉินยางไม่เคยได้ยินเรื่องสระร้อยบุปผานี้มาก่อน พอได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกแปลกใหม่ ดูน่าสนใจยิ่งนัก จึงอยากไปดูสักหน่อย
การแช่น้ำ เดิมทีเป็นเรื่องที่น่าไปลองสัมผัสดู โดยเฉพาะมาเป็นคู่ชายสองหญิงสองเช่นนี้ด้วยแล้ว ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยก็ดูจะไม่เข้าที แต่ทว่าสระร้อยบุปผานั้นเป็นสระเฉพาะของผู้หญิง ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ชายตัวโตไปแช่ให้กายหอม หากผู้ชายอยากแช่ก็มีสระที่อุดมไปด้วยสมุนไพรบำรุงเฉพาะของผู้ชาย แยกจากสระผู้หญิงอย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสที่จะเสพสุขทางสายตาก็ไม่มีเสียแล้ว
——
ตอนที่ 216 สวยเกินไปแล้ว
สระร้อยบุปผาและสระสมุนไพรของผู้ชายถูกกั้นด้วยถนน บ่าวรับใช้เดินนำพาเฉินยางและเว่ยหมิ่นไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงชายหนุ่มสองคนที่เฝ้ารอด้วยความปรารถนา
เดินทางมาเป็นเวลานาน เฉินยางทนไม่ไหวกับเหงื่อที่เหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวมานานแล้ว สระร้อยบุปผาอากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย น้ำในสระก็เย็นสดชื่น กลิ่นหอมของกลีบดอกไม้หอมฟุ้งกลบกลิ่นสมุนไพร เมื่อสูดดมจึงมีเพียงกลิ่นหอมสดชื่น นางอิงแอบอยู่ที่กำแพงหินอ่อนอย่างเงียบๆ ช่วงเวลาสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งมักทำให้รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น
เว่ยหมิ่นแหวกว่ายไปหาเฉินยางด้วยความอยากรู้ที่มีอยู่ในใจ แล้วใช้สองมือวักน้ำสาดไปที่เฉินยาง ทำให้เฉินยางตื่นจากภวังค์ จากนั้นถามนางด้วยท่าทางแช่มชื่น “เมื่อครู่ในรถม้า เจ้ากับเฝิงเยี่ยไป๋มีเรื่องอะไรหรือ หน้าเจ้าแดงไปหมด ดูสิตอนนี้ก็ยังไม่หายแดง”
เฉินยางเช็ดหน้าแล้วเบือนหน้าหนี “ไม่มีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
เว่ยหมิ่นยังคงไม่ยอม ถามต่อด้วยรอยยิ้มรู้ทัน “เจ้ายังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีก ตอนนี้ไม่มีกระจก หากมีกระจกเจ้าควรส่องสักหน่อย ดูว่าหน้าตัวเองแดงขนาดไหน อย่ามาพูดบ่ายเบี่ยงกับข้า พูดความจริงกับข้าดีกว่า มิเช่นนั้นข้าไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
คนเช่นนี้มีที่ไหนกัน พอถึงคราวตัวเองบ้างแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอถึงคราวคนอื่นกลับไม่ยอมแถมยังซักไซ้ไล่เลียงไม่หยุด เฉินยางวักน้ำสาดนางกลับไป ก่อนจะหัวเราะตอบกลับไปว่า “เจ้ายังจะถามข้าอีก ทีเจ้ากับเหลียงอู๋เย่ว์ยังไม่พูดให้ชัดเจนเลยว่าเกิดอะไรขึ้น กลับมาให้ข้าสารภาพ ไม่ยุติธรรมเสียเลย”
เว่ยหมิ่นจงใจวางมาดเป็นท่านหญิง “ข้าเป็นท่านหญิงนะ”
เฉินยางไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย “เช่นนั้นข้าก็คือพระชายาอ๋อง นับดูแล้วเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ด้วยซ้ำ”
เฮ้อ เจ้าเด็กน้อยเรียนรู้ที่จะเอาตำแหน่งข่มผู้อื่นแล้วหรือ แต่ว่านางก็หัวเร็วไม่เบา เว่ยหมิ่นว่ายน้ำมาจับตัวเฉินยางแล้วจั๊กจี้รักแร้นาง “แกล้งวางอำนาจต่อหน้าข้าหรือ กล้าไม่เบาเลยนะเจ้าเนี่ย หากไม่มีข้า ป่านนี้เจ้าก็ยังคงยืนอยู่ใต้แดดเปรี้ยงนั่นแหละ”
เฉินยางโดนจี้จนหยุดหัวเราะไม่ได้ พยายามหลบไปด้วยขอร้องไปด้วย “ใช่ๆ ครั้งนี้ข้าอาศัยบารมีท่านหญิง ข้าผิดไปแล้วๆ ท่านหญิงยกโทษให้ข้าด้วย หากยังจี้ข้าไม่หยุด…ข้าหัวเราะจนหายใจไม่ทันแล้ว”
เว่ยหมิ่นยอมปล่อยนางไป เมื่อเล่นกันจนเหนื่อยแล้วจึงมาพิงกำแพงหินอ่อนเพื่อพักผ่อน ร่างกายตั้งแต่ลำคอลงไปแช่อยู่ในน้ำ บรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่ค่อยชิน เฉินยางพิงอยู่ข้างๆ เว่ยหมิ่น เกรงว่านางจะถามเรื่องในรถม้าอีก เฉินยางจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรแล้วหลับตาลงงีบหลับ
ที่จริงควรถึงเวลาพักแล้ว แต่ความเงียบสงบในป่าอันเวิ้งว้างเช่นนี้ เสียงเพียงเล็กน้อยก็ได้ยินอย่างชัดเจน สระข้างๆ มีเสียงน้ำ เหมือนมีคนเพิ่งเข้ามาในสระน้ำ เฉินยางจึงลืมตาหันไปดู เป็นหญิงสาวสวยในชุดกระโปรงยาวลายดอกบัว รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ก้าวลงสระมายืนอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา ผมยาวสลวยลอยพลิ้วไหวไปกับสายน้ำ มองดูแล้วประหนึ่งเทพธิดาบุปผาที่ผุดขึ้นมาจากกลางน้ำ ใบหน้างามดั่งลูกท้อผิวพรรณสะอาดหมดจด งดงามราวกับภาพที่จิตรกรบรรจงวาด ดุจดั่งเทพธิดามาจุติยังโลกมนุษย์หญิงสาวนางนี้สวยเกินมนุษย์ธรรมดา แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันอย่างเฉินยางยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ หรือว่าเทพธิดาบนสวรรค์ก็คงจะงามเช่นนี้
เว่ยหมิ่นเองก็สวยไม่แพ้กัน แต่ทว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า นางกลับไม่มีท่วงท่างดงามดุจดั่งเทพธิดาเช่นหญิงสาวนางนั้น ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่านางเป็นหญิงสาวจากตระกูลไหน
“แม่นาง” เว่ยหมิ่นเกาะหินเงยหน้าถามนาง “ข้ามาที่นี่บ่อยครั้งนัก แต่กลับไม่คุ้นหน้าแม่นางเลย ไม่ทราบว่าแม่นางเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกหรือ”
ตอนที่ 217 สาวงามมักมาพร้อมกับความโชคร้าย หญิงสาวยิ้มก่อนจะยืนขึ้นในน้ำเดินไปหาเว่ยหมิน “ท่านหญิงสายตาเฉียบคมนัก ข้าคือน่าอวี้ เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด ดังนั้นข้าจึงใช้ชีวิตอยู่แต่ในจวนไม่เคยออกไปไหน วันนี้ได้ยินว่าสระร้อยบุปผาของอวี้เฉวียนซานจวงมีฤทธิ์บำรุงร่างกาย ดังนั้นข้าจึงลองมาดู” แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินว่ามีหญิงสาวจากตระกูลขุนนางนางคนใดที่งดงามทั้งใบหน้าและกิริยาทเช่นนี้ เว่ยหมิ่นจึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “เจ้าเป็นบุตรีของขุนนางท่านใดหรือ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” น่าอวี้ตอบ “ท่านพ่อข้าเป็นเสนาบดีกรมทหารเจี่ยงเหว่ย เพียงแต่เพราะข้าร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก เลยไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น ดังนั้นคนภายนอกจึงรู้ว่ามีพี่ชาย แต่ไม่รู้ว่ามีข้า” เว่ยหมิ่นคิดในใจ เหตุใดหญิงสาวแต่ละคนจากตระกูลใหญ่ล้วนแต่มีร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด ร่างกายอ่อนแอมันร้ายแรงมากหรือ หรือจะเป็นจริงตามคำกล่าวที่ว่าสาวงามมักเกิดมาพร้อมกับความโชคร้าย แต่ว่าคิดๆ ดูแล้วท่านเสนาบดีเจี่ยงเหว่ยก็น่าสงสาร ลูกชายเพียงคนเดียวในตระกูลก็ต้องโทษประหารเพราะยักยอก ตัวเขาเองก็เกือบโดนไล่ออก เหลือเพียงลูกสาวคนเดียว ถึงแม้จะสวยกว่าหญิงงามคนใดในเมือง แต่ดูแล้วโรคที่เป็นมานานก็ยากจะรักษาหาย เรื่องที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือเสนาบดีเจี่ยงเหว่ยผู้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา จะมีบุตรสาวที่งดงามถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้คนฟังต้องประหลาดใจ จนต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี เฉินยางพูดไม่ทันพวกนาง จึงยืนฟังอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ทว่าน่าอวี้กลับสังเกตถึงนาง จึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเฉกเช่นหญิงสาวที่ได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างครบถ้วน แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันไพเราะดั่งสายน้ำ กระนั้นสายตาที่มองเฉินยางนั้นดูไม่ค่อยแน่ใจ “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้คือ…” เว่ยหมิ่นตอบแทนนางว่า “ท่านนี้คือภรรยาหลวงของกู้หลุนอ๋อง พระชายาแห่งจวนกู้หลุนอ๋อง” ข้าราชบริพารทั่วทั้งราชสำนักไม่มีผู้ใดรู้ถึงเจตนาแท้จริงของฮ่องเต้ที่มีพระราชโองการมอบบรรดาศักดิ์กู้หลุนอ๋องให้แก่เฝิงเยี่ยไป๋ ซึ่งแท้จริงแล้วตำแหน่งอ๋องของเขานี้มีเพียงแต่ชื่อ แต่ไม่สามารถใช้ทำอะไรได้ ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนที่ชอบเขา อีกทั้งขุนนางเหล่านั้นยังไม่มีโอกาสได้พบเฝิงเยี่ยไป๋ หากมีโอกาสพบกันจะต้องมีคำพูดดูถูกเหยียดหยามทำให้อับอายไม่น้อยเป็นแน่ คนพวกนั้นทำเหมือนชอบช่วยเหลือผู้อื่นแต่ความจริงแล้วกลับรอที่จะซ้ำเติม ด้วยเหตุนี้เว่ยหมิ่นจึงไม่เพียงแต่มองน่าอวี้ด้วยสายตาไร้ความเกลียดชัง แต่แววตากลับระบายด้วยรอยยิ้มอย่างถ่อมตัวและมีมารยาท ยิ่งให้เกียรติกันมากเท่าใด ความประทับใจที่มีต่อนางในคราแรกก็มากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง แม่นางคนนี้ดูเป็นคนดีทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทีอวดเบ่งวางอำนาจแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ทักษะอย่างอื่นของเว่ยหมิ่นไม่มีอะไรมาก ส่วนทักษะในการมองคนก็เรียนรู้แบบครูพักลักจำ เว่ยหมินรู้สึกว่าแม่นางคนนี้ไม่เลวเลย อุปนิสัยอย่างอื่นก็คงไม่ต่างกันมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ นางกับท่านพ่อของนางคนนั้นจึงดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด เฉินยางเป็นคนไม่คิดมาก ใครยิ้มให้นาง นางก็ยิ้มให้คนนั้น น่าอวี้เผยความเป็นตัวเองออกมา โดยเฉพาะมีเว่ยหมิ่นที่ช่างพูดช่างคุยอยู่ด้วย เฉินยางจึงชอบนางเป็นพิเศษ และด้วยความเป็นผู้หญิง คุยกันแค่เพียงสองสามประโยคก็สามารถคุยกันต่อไปได้เรื่อยๆ ระยะห่างของพวกนางจากอยู่คนละสระ ก็ค่อยๆ ย้ายมาแช่สระเดียวกัน และจากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนกัน แต่ทว่าด้วยความที่น่าอวี้ร่างกายไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถอยู่เล่นสนุกกับพวกนางต่อได้ น่าอวี้แช่น้ำอยู่เพียงครู่เดียว สาวใช้ก็เดินนำเสื้อผ้ามาหานางก่อนจะพูดว่าถึงเวลากินยาแล้ว น่าอวี้ขึ้นจากสระแล้วกล่าวลา เฉินยางกับเว่ยหมิ่นยังรู้สึกไม่อยากจากนาง แต่ทว่าทำไม่ได้ จึงกล่าวลาก่อนจะมองนางเดินจากไปจนลับตา บ่าวรับใช้กำลังช่วยสวมเสื้อผ้าให้กับน่าอวี้ ผู้นำสองคนเดินนำอยู่ข้างหน้า น่าอวี้ไอไม่หยุดตลอดทางโดยมีบ่าวรับใช้คอยลูบหลังให้ แต่ทว่าเมื่ออาการป่วยของนางกำเริบขึ้นมาก็ยากที่จะสงบลงได้ ขณะนั้นเองน่าอวี้แม้แต่จะเดินยังเดินไม่ไหว บ่าวใช้ตื่นตระหนกรีบประคองน่าอวี้มานั่งที่หินข้างทาง ระหว่างนั้นก็ตะโกนร้องให้คนช่วย ——
ตอนที่ 218 วีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ยามนี้ ผู้คนหากไม่ใช่พักเที่ยงอยู่ ก็คือแช่อยู่ในบ่อ ไม่มีใครว่างมาเดินเล่นอยู่บนถนน บริเวณรอบๆ ว่างเปล่า สาวใช้ตื่นตกใจ หากคุณหนูเกิดอะไรขึ้น นางก็คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เพียงแต่นอกจากตะโกนช่วยด้วยแล้วก็ไม่มีวิธีอื่น จะทิ้งคุณหนูไว้แล้วไปหาคนก็ไม่ได้ หากเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้นางมีเก้าชีวิตก็ไม่พอประหาร
ขณะที่กำลังร้อนรนทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น ข้างหน้าก็มีคนเดินมา เขาสวมชุดสีเขียวเรียบง่าย สะท้อนความสง่าออกมา เพียงแต่ใบหน้าของเขานั้นช่างน่าสนใจนัก สาวใช้มองจนเหม่อลอย ลืมที่จะลูบหลังเจ้านาย ประหนึ่งถูกกระชากวิญญาณออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น นางอ้าปากค้าง แล้วถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ นางไม่รู้หนังสือ คิดคำที่จะพรรณนาใบหน้าที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ออก จะบอกสวยงามหรือ ก็ไม่ใช่เพียงแค่สวยงามเท่านั้น หน้าตาของเขานั้นช่างไร้ที่ติเสียจริง เทพเซียนที่ลงมาเกิดคงเป็นเช่นนี้กระมัง!
เฝิงเยี่ยไป๋ได้รับจดหมายจากเจี่ยชี บอกว่าเรื่องของร้านค้านั้นได้ความแล้ว ยามนี้ถึงได้หาเวลาว่างมาพบ คิดจะหาที่ที่สงบสั่งเจี่ยชีเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางกลับเจอภาพนี้ เขาไม่ใช่เป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ยิ่งไม่มีความเมตตาที่จะไปช่วยคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา อีกอย่างผู้ที่มายังซานจวงนี้ได้ล้วนไม่ธรรมดา ยามนี้เขามีศัตรูรอบทิศ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปอีก อย่างไรเสียระวังไว้ก่อนก็ดี ใครจะรู้ว่าก้าวต่อไปจะก้าวเข้าไปติดในกับดักแล้วหรือไม่
สาวใช้เหม่อลอยอยู่นาน นางจนปัญญา จึงทำใจกล้าเดินขึ้นไปโค้งคำนับ ขอร้องเขาว่า “คุณชาย คุณหนูบ้านข้าจู่ๆ โรคก็กำเริบ ขอร้องท่านได้โปรดช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เฝิงเยี่ยไป๋เหลือบมองสาวใช้คนนี้โดยไร้สีหน้าใดๆ แล้วหันไปมองผู้หญิงที่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน ไม่มีท่าทีว่าจะช่วยแต่อย่างใด “หลบไป!”
สาวใช้ไม่หลบ นางคุกเข่าลงทันที “คุณชาย ขอร้องท่านโปรดเมตตา ช่วยคุณหนูบ้านข้าเถอะ รอให้บ่าวกลับไปแจ้งนายท่าน นายท่านก็ตอบแทนคุณชายอย่างงามแน่ๆ”
น่าอวี้เอามือลูบอกตัวเองพูดด้วยเสียงอ่อนว่า “อวี๋เอ๋อร์ อย่าได้เสียมารยาท นี่คือท่านกู้หลุนอ๋อง ยังไม่รีบคำนับอีก!” พูดจบนางก็พูดต่อว่า “ท่านอ๋องโปรดอภัย สาวใช้ของข้านั้นไม่รู้ระเบียบ ขอท่านอย่าได้ถือสา… แค็กๆ … ร่างกายของข้านี้ใช้ไม่ได้นัก ไม่อาจคำนับให้ท่านอ๋องได้ ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
พอนางพูดจบทั้งหมดนี้ สีหน้าก็ซีดเผือดลงกว่าเก่า คนงามก็เป็นคนงาม แม้จะป่วยอยู่ก็ยังงามเช่นเดิม หากบอกว่ามองครั้งแรกคือประหลาดใจ เช่นนั้นแล้วท่าทางอ่อนแอนั้นก็ยิ่งชวนให้เมตตาสงสารจากใจ
เพียงแต่คนงามอย่างไร ในสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋แล้วก็เพียงแค่มีสองตาหนึ่งจมูก ไม่มีอะไรพิเศษ เพียงแต่เห็นท่าทางของนางมีมารยาท ไม่เหมือนหญิงทั่วไป อีกทั้งได้ยินสาวใช้คนนั้นพูดถึงนายท่านที่บ้าน จึงเกิดความอยากรู้ขึ้นมา “ไม่ทราบว่าท่านพ่อของแม่นางเป็น…”
น่าอวี้โขลกไออย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง สาวใช้เห็นเข้า ก็ลูบหลังนางไปพลางตอบเขาไปพลางว่า “ทูลท่านอ๋อง นายท่านบ้านข้าคือเสนาบดีกรมทหารเจี่ยงเหว่ยเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหว่ย! บังเอิญเหลือเกิน ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะยืมมือเขาซื้อนักฆ่ามา นึกไม่ถึงว่าวันนี้ก็บังเอิญเจอกับลูกสาวที่ป่วยหนักของเขาอีก ทันใดนั้นความคิดก็เปลี่ยนไป ในใจคิดอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ยอมเป็นคนมีเมตตาช่วยคนเสียรอบหนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นลูกสาวของใต้เท้าเจี่ยง” เขาอมยิ้มก้าวเท้าเดินเข้าไป ถามสาวใช้ว่า “จะส่งคุณหนูบ้านเจ้าไปที่ใดหรือ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้นเขาก็อุ้มน่าอวี้ขึ้นมา นางถูกวางอยู่ในอ้อมแขนของเขาเบาๆ พอมองใกล้ๆ … ก็ยังเป็นเพียงสองตาหนึ่งจมูกหนึ่งปากเหมือนเดิม เพียงแต่ได้สัดส่วนดี ในสายตาของเขาแล้ว อย่างมากก็เพียงแค่ดูดีเท่านั้น
ตอนที่ 219 พระชายาเป็นคนดีมาก
น่าอวี้พาดแขนโอบคอของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ นางและเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้แต่ลมหายใจก็ผสานกัน คนที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่างเช่นนี้ ช่างชวนให้หลงใหลเสียจริง น่าอวี้ทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมอง ก็สบสายตาของเขาที่มองมาพอดี ทันใดนั้นก็ใจเต้นตึกตัก รีบเบนสายตาออกไปอย่างร้อนรน
“ไม่ทราบว่าแม่นางเจี่ยงบ้านอยู่ที่ใด” เฝิงเยี่ยไป๋กระตุกมุมปาก อุ้มนางไว้แล้วยกขึ้นเล็กน้อย
น่าอวี้ถูกเขายกเช่นนี้ วิญญาณแทบลอยออกจากร่างแล้ว นางป้องปากไออีกสองที พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ทำให้ท่านอ๋องลำบากเสียแล้ว ท่านส่งข้าที่ศาลาข้างหน้าเป็นพอ ท่านแม่ของข้ารอข้าที่นั่น หากไปไกลกว่านี้ถูกคนเห็นเข้าจะไม่งามนัก”
แม่นางผู้นี้ก็รู้ตัวดี เฝิงเยี่ยไป๋ตอบเบาๆ แล้วก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ในคอน่าอวี้รู้สึกคาวขึ้นมา ยังอยากจะไออยู่ สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ได้ ทนจนหน้าแดงก่ำ นางเอาผ้ามาปิดจมูกและปาก พอดีขึ้นแล้วถึงได้พูดเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเจอพระชายาและท่านหญิงอยู่ที่สระร้อยบุปผา”
เฝิงเยี่ยไป๋มองนางเล็กน้อยพลางรับคำ จากนั้นไม่พูดอะไรต่อ
น่าอวี้รู้สึกว่าต้องพูดอะไรบ้างเล็กน้อย หากแต่พอร้อนรนขึ้นมาก็ไออีกครั้ง เพียงแต่ไออยู่ในอ้อมแขนคนอื่นช่างเสียมารยาทนัก นางจึงเอาผ้ามาปิดหน้าไว้ แล้วผูกไว้ที่หลังศีรษะ เช่นนี้ก็ดีขึ้นแล้ว
“พระชายาเป็นคนดีมาก ก่อนหน้านี้ข้าคุยกับนาง ไม่มีวางมาดใดๆ เลย”
นางยังจะมีมาดอะไรได้อีก ต่อให้เจ้าชมจนนางเปรียบประหนึ่งฮ่องเต้ นางก็ยังเป็นเช่นนั้น นิสัยเหมือนเด็ก ใครดีกับนางเพียงเล็กน้อย นางก็แทบให้ใจไปทั้งหมด ยังหวังจะให้นางวางมาดหรือ ไม่มีทาง
เพียงแต่พอได้ยินคนอื่นพูดถึงนางเช่นนี้ ในใจเขาก็ดีใจอยู่ ความรู้สึกนั้นอธิบายไม่ถูกนัก ราวกับได้ยินคนอื่นชมลูกตัวเองเช่นนั้น รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เพียงแต่ในใจก็รู้สึกดี
“นางพูดอะไรกับเจ้าหรือ”
เมื่อพูดถึงเฉินยาง เขาก็เหมือนคนที่ออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง แลดูอบอุ่นขึ้นมาทันที หัวใจเต้นรัวอยู่ในแผงอกร้อนผะผ่าว แม้แต่น่าอวี้ก็รู้สึกได้ ในใจพลันรู้สึกเศร้าหมองอยู่บ้าง เพียงแต่ในเมื่อเริ่มพูดขึ้นมาแล้วก็ต้องพูดให้จบ นางจึงเล่าเรื่องที่ทั้งสามคนคุยกันที่สระให้เขาฟังคร่าวๆ
ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่เรื่องลูกสาวบ้านนี้กับผู้ชายบ้านนั้น เรื่องความรักความแค้นต่างๆ นานา แล้วก็มีเรื่องที่เว่ยหมิ่นไล่ถามเฉินยางไม่หยุด ถามว่าเขาและเฉินยางตกลงทำอะไรกันในรถม้า พอพูดถึงตรงนี้น่าอวี้ก็อยากรู้เช่นกัน เพียงแต่คงไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ ไม่เช่นนั้นเฉินยางก็คงไม่ถูกเว่ยหมิ่นถามจนพูดไม่ออก
เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ก็ฟังอย่างออกรส บางครั้งก็ยิ้มขึ้นมา ท่าทางเช่นนั้นมองแล้วทำเอาคนหลงใหลจนยากจะถอนตัวออกมาได้ น่าอวี้ไม่กล้ามองเขาอีก เบือนหน้าหนีไป
ครั้นมาถึงที่ศาลา เฝิงเยี่ยไป๋วางนางลง นางทั้งรู้สึกโล่งอกทั้งเศร้าหมอง อย่างไรเสียนางก็เป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ มารยาทต้องดีงาม หลังจากขอบคุณก็กล่าวคำลากับเขา เพียงแต่ใจนั้นกลับเหมือนมิได้เป็นของตัวเองเสียแล้ว
เกิดอะไรขึ้น บ้าไปแล้วหรืออย่างไร นางแอบจิกฝ่ามือตัวเอง อดอิจฉาเฉินยางขึ้นมาไม่ได้ ว่าแล้วโชคของคนไม่เกี่ยวกับฐานะและชื่อเสียง ของของใครอย่างไรก็หนีไม่พ้น
อวี๋เอ๋อร์เห็นนางเหม่อลอย จึงเรียกนาง “คุณหนู… คุณหนู… ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
น่าอวี้ตั้งสติด้วยความลุกลี้ลุกลนแล้วส่ายหน้า ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อวี๋เอ๋อร์ “ไม่มีอะไร ไม่ได้คิดอะไร ประคองข้ากลับไปเถิด ฮูหยินน่าจะรอนานแล้ว”
อวี๋เอ๋อร์กลับพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณหนู ครั้งต่อไปพวกเราก็พกยาติดตัวไว้บ้างเถิดเจ้าค่ะ หากมีเหตุการณ์เหมือนเช่นวันนี้อีก บ่าวได้ตกใจตายก่อนพอดี”
——
ตอนที่ 220 คิดถึงแต่กลับไปไม่ได้อีก
น่าอวี้ส่ายหน้า “ยาลูกกลอนนั่นข้าไม่ชอบกิน ไม่ต้องเอาด้วยไปหรอก วันนี้โดนลม ไม่เป็นอะไรมาก กลับไปไม่ต้องบอกฮูหยินนะ มีเพียงเราสองคนรู้เรื่องนี้ก็พอแล้ว”
อวี๋เอ๋อร์บุ้ยปาก พยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจเท่าไรนัก “บ่าวสามารถปิดบังไว้ให้ได้เจ้าค่ะ แต่ร่างกายของท่านนั้นจะปิดบังไว้ได้หรือ ควรจะให้หมอมาดูตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะฮูหยิน…”
“พอแล้ว” น่าอวี้เคาะกลางฝ่ามือนาง “ร่างกายของข้าข้ารู้ดี”
มีคนบอกว่าคนงามอับโชค คำคำนี้ช่างถูกต้องเสียจริง ร่างกายของนางไม่ค่อยสู้ดีนัก ถ้าจะพูดถึงการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น นางก็ป่วยมาเป็นแรมปีแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรงอะไร ก็แค่ทำให้ทรมาน วันๆ เห็นแต่ยาหม้อก็กระดกลงท้อง ร่างกายจึงมีกลิ่นของยามาโดยตลอด คนที่ยังดีๆ อยู่ๆ ก็ถูกทรมานเหมือนคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ช่างน่าอดสูนัก
หลังจากที่น่าอวี้เดินจากไปไม่นาน เฉินยางกับเว่ยหมิ่นก็ขึ้นจากสระน้ำเช่นเดียวกัน อย่าพูดว่าแค่ลงไปแช่เท่านั้น แต่ทำเช่นนี้ทำให้ร่างกายโล่งสบายมากจริงๆ
เฉินยางบิดขี้เกียจ ไม่อยากขึ้นมาจากน้ำเลย นางมองทะลุผ่านร่องนิ้วมือไปยังอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตก ภายในใจห่อเ**่ยว นึกไม่ถึงเลยว่าจะแช่อยู่ในน้ำได้นานขนาดนี้ คิดคำนวณเวลาดูแล้ว ควรถึงเวลาที่จะต้องกลับวังแล้ว วันดีๆ ช่างผ่านพ้นไปเร็วเหลือเกิน พอนึกถึงว่าพรุ่งนี้เมื่อได้ยินเสียงไก่ขันก็ต้องลุกขึ้นมายืนตัวตรงแล้ว แข้งขาของนางพลันอ่อนแรง ถอนหายใจเบาๆ รอจนเว่ยหมินเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วจึงค่อยออกไปพร้อมกัน
พอออกมาแล้วถึงมองเห็นเฝิงเยี่ยไป๋กับเหลียงอู๋เย่ว์รอพวกนางอยู่ตรงทางออก เฉินยางเห็นสีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋แลดูไม่ค่อยเหมือนเช่นปกติ พอนึกขึ้นได้ก็สะกิดแขนเสื้อของเว่ยหมิน แล้วเดินต่อไป
เหลียงอู๋เย่ว์ส่งเสียงกระแอมแล้วมองไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนางสองคนถึงไปด้วยกันได้ เหลือแค่เราสองคนจะทำอย่างไรดี”
เฝิงเยี่ยไป๋สาวเท้าก้าวยาวๆ เดินตามไป เจ้าหมอนี่หน้าบาง ยังไม่ทันได้ดึงอารมณ์เมื่อครู่กลับมาเลย เขาอมยิ้มอยู่คนเดียว ยิ่งมองนางก็ยิ่งน่าหลงรักจริงๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยมือไปได้ เป็นแบบนี้ก็ดี หัวใจอยู่ที่นางไปหมดแล้ว ถึงอยากจะไปอย่างไรก็ไปไม่ได้
ไม่มีใครสนใจเขา เหลียงอู๋เย่ว์โทษในความน่าเบื่อของตัวเอง แล้ววิ่งเหยาะๆ ตามไป ไม่นานก็ตามพวกนางทัน
เว่ยหมินถามเฉินยาง “วันนี้จะยังกลับวังอยู่หรือไม่ ข้าว่าไม่ต้องกลับเถอะ นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว”
เฉินยางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ช่างเถอะ ถ้ารีบไปก่อนที่ประตูวังจะปิดก็น่าจะยังทัน อย่างไรเสียตอนที่พวกเราออกมาก็ไม่ได้บอกกับไทเฮาไว้ก่อนว่าคืนนี้จะไม่กลับ จะไม่ทำอะไรทำให้ไทเฮาไม่สบายพระทัยอีก”
พอเฝิงเยี่ยไป๋ได้ยิน รู้สึกมีกลิ่นแปลกๆ จึงรีบดึงหน้ากลับ วันนี้ที่เขาได้บอกความในใจกับนางไปเหมือนนางไม่ได้ยินเลย บอกนางไปว่าพรุ่งนี้ถึงจะส่งนางกลับ ทำไมถึงไม่ฟังบ้างเลย
“คืนนี้ไม่ต้องกลับไปหรอก” เขาทำหน้าเข้มดึงนางเข้ามา “ถึงเจ้าจะอยากกลับก็กลับไม่ได้”
ใจของเฉินยางเต้นตึกตัก ไม่กล้ากระดุกกระดิก บนใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มแห้งๆ “ไหนว่าเราคุยกันไว้แล้วอย่างไร แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าข้าเรียนจบเร็วก็จะได้กลับบ้านเร็วไม่ใช่หรือ”
ที่ตกลงกันไว้เป็นอย่างนี้จริง แต่ในใจเขากลับรู้สึกแปลกๆ พูดเสียดิบดีว่าจะไม่หลบเขา พอถึงตอนนี้ยังจะกลัวเขาอยู่อีก ช่างประหลาดนัก เขาไม่ใช่คนเลวที่จุดไฟเผาฆ่าคนตายเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ไว้หนวดไว้เคราอะไร หน้าตาก็ไม่ได้มีแผลเป็นหรือรอยบากน่ากลัว พออยู่กับนางไฉนตนจึงกลายเป็นยมบาลไปเสียได้ หรือเป็นเพราะนางไม่ได้รอคอยอยากจะพบเขา ถ้าเป็นคนอื่น ใครๆ ก็อยากเข้ามาประจบเอาใจเขาทั้งนั้น เรียกได้ว่าตัวเองอยู่ในที่ที่เป็นสุขแต่กลับหาความสุขไม่ได้จริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น