หวนแค้นชะตารัก 201-220

 201 ความในใจของกู้เหยี่ยน

 


รุ่งขึ้น ซูจิ่วซือพาจื่อหลานกับจื่อซูนั่งรถม้าไปที่ภูเขาเทียนเหมินซาน นางรู้ตำแหน่งหลุมฝังศพของซูหลิ่วคร่าวๆ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนแน่ พอไปถึงภูเขาเทียนเหมินซาน จึงแยกย้ายกันไปหาป้ายหลุมฝังศพ


 


 


จื่อหลานไปกับซูจิ่วซือ จื่อซูกับคนขับรถไปอีกทางหนึ่ง


 


 


ซูจิ่วซือยังมีบาดแผลเหลือไม่มาก ยกเว้นที่นิ้วมือ จึงไม่เป็นอุปสรรค จื่อหลานหิ้วตะกร้าใบเล็ก ในนั้นมีกระดาษเงินกระดาษทอง นายกับบ่าวเดินตามกันไป


 


 


“คุณหนู เหนื่อยไหม”


 


 


เดินไปครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นป้ายหลุมศพ จื่อหลานเกรงว่าซูจิ่วซือจะเหนื่อย จึงถามอย่างห่วงใย


 


 


ซูจิ่วซือส่ายหน้า “ข้าไม่เหนื่อย เราเดินหาไปเรื่อยๆ เถอะ”


 


 


ทั้งสองไปต่ออีกครู่หนึ่ง จู่ๆ ซูจิ่วซือก็ได้ยินเสียงสนทนา นางหันไปมองจื่อหลาน ทำท่าจุ๊ปาก ไม่ให้ส่งเสียง


 


 


จื่อหลานพยักหน้า ทั้งสองย่องตามกันไปหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่


 


 


ซูจิ่วซือมองไป เห็นป้ายหลุมศพแห่งหนึ่ง มีผู้ชายสวมเสื้อนวมสีเขียวคล้ำยืนอยู่หน้าป้าย แม้เขาไม่ได้หันมา แต่ซูจิ่วซือเห็นเงาด้านหลังของเขาก็จำได้ กู้เหยี่ยนนั่นเอง


 


 


พ่อบ้านจวนสกุลกู้หิ้วตะกร้าไม้ไผ่ ยืนข้างหลังกู้เหยี่ยนอย่างนอบน้อม


 


 


กู้เหยี่ยนรับตะกร้าไม้ไผ่ ทำท่าบอกพ่อบ้านให้ออกไป


 


 


พ่อบ้านรีบถอยออกไป เฝ้าดูอยู่ห่างๆ


 


 


กู้เหยี่ยนคุกเข่าลงกับพื้น หยิบเหล้ากาหนึ่งและขนมอีกหลายจานออกมาจากตะกร้า ซูจิ่วซืออยู่ไม่ห่างจากกู้เหยี่ยน มองเห็นอย่างชัดเจน ล้วนแต่เป็นขนมที่ซูหลิ่วชอบ


 


 


กู้เหยี่ยนยังจำเรื่องนี้ได้


 


 


กู้เหยี่ยนหยิบถ้วยเหล้าสองใบ ยกกาเหล้า รินใส่ถ้วย เอาไปวางหน้าป้ายหลุมถ้วยหนึ่งแล้วยกอีกถ้วยหนึ่งขึ้น


 


 


“ซูหลิ่ว ยี่สิบปีแล้ว เจ้ายังโทษข้าหรือไม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรทำกับเจ้าอย่างนั้น ไม่ควรผลักเจ้า ไม่ควรยั่วให้เจ้าโกรธ หลายปีมานี้ ข้ามาหาเจ้าตลอด แต่ละปีข้าจะบอกขอโทษเจ้า เจ้าให้อภัยข้าหรือไม่”


 


 


ซูจิ่วซือซึ่งหลบหลังต้นไม้ใหญ่ยิ้มหยันในใจ ชาตินี้นางไม่ให้อภัยกู้เหยี่ยนเด็ดขาด แค่คำขอโทษเพียงคำเดียวก็จะเอามาแลกกับการให้อภัย กู้เหยี่ยนหนอหน้าไม่อายจริงๆ ตอนนั้นตัดรอนอย่างไร้เยื่อใย แต่ตอนนี้กลับมาทำท่าอาลัยอาวรณ์ซูหลิ่วที่ตายไปแล้ว ไม่รู้สึกขยะแขยงหรือ


 


 


กู้เหยี่ยนคุกเข่าลงกับพื้น แหงนหน้าดื่มเหล้ารวดเดียวหมด จากนั้นก็รินเหล้าอีกถ้วยหนึ่ง “ข้าตั้งแต่เล็กครอบครัวยากจน ถูกดูหมิ่นมาตลอด อยากยกฐานะให้สูงเหนือคนอื่น ไม่อยากอยู่ใต้ฝ่าเท้าใคร


 


 


ใช่ ตั้งแต่แรกข้าก็พยายามใกล้ชิดเจ้า หากได้แต่งงานกับเจ้า ข้าก็สามารถยกฐานะได้อย่างรวดเร็ว ในที่สุดข้าก็สมหวัง ความพยายามที่ทุ่มเทลงไปไม่สูญเปล่า อาศัยฐานะของจวนอันผิงโหว ข้าจึงได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


สิ่งที่ข้าอยากได้ข้าก็มีหมดแล้ว เดิมทีข้าควรจะขอบใจเจ้า รักและดูแลเจ้าไปตลอดชีวิต แต่ข้าไม่ชอบความอวดเก่งในตัวเจ้า ยิ่งเจ้าโดดเด่นเหนือคนอื่น ยิ่งสะกิดข้าให้นึกถึงความต่ำต้อยในอดีต


 


 


เวลาที่ข้าอยู่กับเจ้า ใครๆ ก็หัวเราะเยาะข้า รู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้า แม้ข้าจะมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่ดูถูกข้า ยังคิดว่าข้าไม่คู่ควรกับเข้า”


 


 


พอพูดถึงตรงนี้ กู้เหยี่ยนก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มของการสำนึกผิด “ข้าอยากพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง แต่ตราบใดที่ยังมีเจ้าก็เหมือนเตือนให้ข้ารู้ว่า ข้าอาศัยเจ้าเป็นบันไดปีนขึ้นไป


 


 


เข้าไม่เคยพบผู้หญิงที่โดดเด่นอย่างเจ้ามาก่อน ข้าชื่นชมเจ้า แต่ก็ไม่ชอบความโดดเด่นของเจ้า


 


 


คำนี้แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยพูดกับเจ้ามาก่อน ข้าเก็บไว้ในใจมาตลอดยี่สิบกว่าปี เมื่อก่อนข้าไม่ยอมรับ คิดแต่ว่าเจ้าไม่ใช่ภรรยาที่ดี ไม่รู้จักใช้ชีวิตอย่างธรรมดาอยู่กับสามีอบรมลูก ต่อมาข้าจึงเข้าใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้า แต่เป็นเพราะข้ารู้สึกต้อยต่ำเกินไป”


202 สำนึกผิด 

 


 


กู้เหยี่ยนพูดจบก็วางถ้วยเหล้าในมือลง ลูบชื่อบนป้ายหลุมศพ ค่อยๆ เลื่อนมือผ่านคำว่าซูหลิ่ว 


 


 


เขายังจำคืนแรกที่แต่งงานได้ เขาเปิดผ้าคลุมศีรษะสีแดงให้ซูหลิ่ว ซูหลิ่วเหลือบตาขึ้น ยิ้มให้เขาอย่างร่าเริง พูดกับเขาว่า “ท่านพี่ ชีวิตที่เหลือขอให้ท่านพี่นำทางแล้วนะเจ้าคะ” 


 


 


ชั่วขณะนั้นเขาตะลึงในความงามของซูหลิ่ว เขาเกิดความคิดว่าจะดูแลนางไปตลอดชีวิตจริงๆ แต่ความคิดนี้ต่อมาเขากลับลืมไปแล้ว 


 


 


เขาเกิดในครอบครัวยากจน หลังจากแต่งงานกับซูหลิ่ว คนรอบข้างล้วนแต่เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ คนเหล่านี้ดูถูกกู้เหยี่ยน ทำให้กู้เหยี่ยนยิ่งนึกถึงชาติกำเนิดของตน อยากวางตัวหยิ่งต่อหน้าซูหลิ่ว  


 


 


แต่ซูหลิ่วเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองจากภายใน  


 


 


เวลาอยู่ต่อหน้านาง กู้เหยี่ยนจึงไม่อาจวางตัวหยิ่ง ซูหลิ่วเป็นคนสวย ชาติกำเนิดสูงส่ง เก่งทุกด้านทั้งดีดพิณเล่นหมากล้อมเขียนหนังสือวาดรูป ขี่ม้ายิงธนูก็เก่ง อ่านหนังสือโบราณทุกชนิด อ่านหนังสือมากกว่าเขา 


 


 


เขาเกลียดความหยิ่งทะนงของซูหลิ่ว พยายามจำกัดนางไม่ให้อวดเก่งเกินไป จึงขอร้องนางต่างๆ นานา ซูหลิ่วเองก็ควบคุมตัวเองได้มาก แต่แม้จะเป็นอย่างนี้ เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจ 


 


 


ช่วงเวลานี้เองที่เขาพบซูเหม่ย 


 


 


ซูเหม่ยแตกต่างจากซูหลิ่วอย่างสิ้นเชิง ซูเหม่ยเป็นลูกภรรยาน้อย มีความรู้สึกว่าตนเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย สู้ซูหลิ่วไม่ได้แม้แต่น้อยเช่นเดียวกับเขา นางนิสัยอ่อนโยนเอาใจเก่ง เทิดทูนกู้เหยี่ยนมาก และรักใคร่ในตัวกู้เหยี่ยนมาก ทำให้กู้เหยี่ยนค้นพบความพึงพอใจจากนาง ความรู้สึกนี้ซูหลิ่วไม่อาจมอบให้เขาได้ 


 


 


“ซูหลิ่ว ข้าขอโทษ ข้าไม่คู่ควรกับเจ้า ไม่ควรแต่งงานกับเจ้าเพื่อยกฐานะของตน ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าเอง 


 


 


ข้านึกว่าข้ารักซูเหมย จนกระทั่งเจ้าจากไปข้าจึงเข้าใจ ข้าไม่เคยรักซูเหม่ย ในใจข้ามีคนที่ข้ารักมาตลอดก็คือเจ้า 


 


 


ช่วงหลายปีหลังแต่งงาน ข้าพยายามยกฐานะตัวเองให้สูงขึ้น นอกจากอยากทำเพื่อตระกูลแล้ว ที่สำคัญก็เพราะอยากให้ตัวข้าคู่ควรกับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ใส่ใจเลย นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าคู่ควรกับเข้า แต่เจ้ากลับมองข้าม 


 


 


ข้าจึงหลงใหลในตัวซูเหม่ย ติดกับดักอ่อนโยนของนาง ซูเหม่ย ถ้าชาติหน้ามีจริง เจ้าจะให้โอกาสข้าชดเชยให้เจ้าหรือไม่” 


 


 


กู้เหยี่ยนเอาหน้าแนบป้ายหลุมศพ กอดป้ายไว้แน่น ซูหลิ่วเคยบอกเขาว่า ไม่ว่าเขาจะมีชาติกำเนิดอย่างไร นางก็ไม่ใส่ใจ ขอแต่ให้หัวใจของเขากับนางแนบชิดกันก็พอ 


 


 


เวลานั้นเขารู้สึกว่าซูหลิ่วคงคิดไว้แล้วว่าชาตินี้เขาคงไม่มีทางสร้างผลสำเร็จ และดูถูกเขา ในใจเขาจึงกดดัน แม้แต่ซูหลิ่วก็ยังคิดอย่างเดียวกับคนอื่น ที่ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถสร้างฐานะด้วยตัวเองได้  


 


 


หลังจากซูหลิ่วจากไปแล้ว เขาจึงเข้าใจว่าซูหลิ่วไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลยจริงๆ คนที่ใส่ใจเรื่องนี้คือซูเหมยต่างหาก 


 


 


โง่จริงๆ  เขาทอดทิ้งคนที่มอบหัวใจให้เขาไปแล้ว 


 


 


กู้เหยี่ยนยังคงไม่ปล่อยมือ เขากอดป้ายหลุมศพของซูหลิ่วไว้แน่น “หลิ่วเอ๋อร์ ตอนที่เจ้าป่วย ถ้าข้าไม่เมินเฉย พาเจ้าไปหาหมอ บางทีอาจจะรักษาโรคของเจ้าให้หายได้ เราสองคนคงไม่เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่” 


 


 


กู้เหยี่ยนถามตัวเอง ซูจิ่วซือซึ่งหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ตะลึงมองกู้เหยี่ยน 


 


 


นางไม่รู้ว่ากู้เหยี่ยนพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร นางเข้าใจมาตลอดว่ากู้เหยี่ยนกับซูเหมยร่วมมือกันวางยาพิษนาง เวลานี้พอได้ยินกู้เหยี่ยนพูด ดูเหมือนเขาไม่รู้เลยว่านางถูกวางยา เขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ หรือ 


 


 


ถ้ากู้เหยี่ยนไม่รู้เรื่องนี้ แสดงว่าซูเหมยก็เป็นคนลงมือคนเดียว 


 


 


—— 


203 ความข้องใจของกู้เหยี่ยน 

 


 


แม้กู้เหยี่ยนจะไม่รู้เรื่องนี้ นางก็ไม่มีวันอภัยให้กู้เหยี่ยน คนที่หักหลังนางก็คือกู้เหยี่ยน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจลบล้างได้ 


 


 


นางกับกู้เหยี่ยนหมดวาสนาต่อกันแล้ว ชาติหน้า นางไม่ปรารถนาที่จะพบกู้เหยี่ยนอีก 


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางต้องให้กู้เหยี่ยนรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ให้กู้เหยี่ยนเห็นชัดเจนว่าเขาโง่เขลาเพียงใด ซูเหมยซึ่งดูภายนอกเป็นคนอ่อนโยนได้ทำอะไรลับหลังเขาบ้าง 


 


 


ซูจิ่วซือเดินออกมาจากหลังต้นไม้ เดินเข้าไปถึงหน้าป้ายหลุมศพ มองใบหน้าเศร้าหมองของกู้เหยี่ยนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ตอนนั้นท่านลุงทำความผิดต่อท่านป้า เวลานี้ไยจะต้องมาแสร้งทำเป็นเศร้าโศกเสียใจ อย่างนี้แล้วท่านป้าคงไม่อยากพบท่านลุงอีก” 


 


 


พอได้ยินเสียงพูด กู้เหยี่ยนหันไป เห็นสายตาที่เย็นชาและเย้ยหยัน เขาสะกดความรู้สึก ถามด้วยความประหลาดใจ “จิ่วซือ เจ้ามาทำไม” 


 


 


“ข้ามาเยี่ยมท่านป้า ดูแล้วเวลานี้คนที่ท่านป้าไม่อยากเห็นที่สุดก็คือท่านลุง เรื่องนี้ท่านลุงไม่รู้ตัวเลยหรือ” 


 


 


ซูจิ่วซือพูดพลางเดินเข้ามาที่ป้ายหลุมศพ บนป้ายสลักชื่อซูหลิ่ว ว่ากันว่ากู้เหยี่ยนเป็นคนสลักด้วยตัวเอง พ่อของเขาเคยประกอบอาชีพนี้ กู้เหยี่ยนจึงทำเป็น 


 


 


ซูจิ่วซือรู้สึกอยากเย้ยหยัน ตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่รู้จักดูแล ตายไปแล้วทำอย่างนี้มีประโยชน์อะไร  


 


 


ซูจิ่วซือเป็นผู้น้อย กู้เหยี่ยนถูกซูจิ่วซือเย้ยหยันซึ่งหน้าจึงรู้สึกเสียหน้า เขาทำหน้าบึ้ง “เรื่องระหว่างข้ากับป้าของเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เจ้ายังเด็ก บางเรื่องเจ้ายังไม่เข้าใจ” 


 


 


“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตอนนั้นทำไมท่านลุงจึงให้อาซูเหมยวางยาพิษท่านป้า ในเมื่อตั้งใจจะวางยาให้ท่านป้าตาย ทำไมเวลานี้จึงคิดถึงท่านป้า การกระทำอย่างนี้ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หวังว่าท่านลุงจะช่วยแก้ข้อสงสัย” 


 


 


“จิ่วซือ เจ้าพูดอะไร วางยาพิษอะไรกัน  เรื่องนี้เจ้าได้ยินมาจากไหน” 


 


 


กู้เหยี่ยนจ้องหน้าซูจิ่วซืออย่างตกตะลึง ไม่เชื่อคำพูดของซูจิ่วซือ 


 


 


อาการป่วยของซูหลิ่วติดจากซูหมิงซึ่งติดโรคมาจากหนานเจียง เรื่องนี้หมอก็พิสูจน์แล้ว ซูหลิ่วต้องการช่วยน้องชาย จึงติดโรคจากซูหมิงโดยไม่ตั้งใจ เอาโรคจากเขามาใส่ตัว 


 


 


ซูจิ่วซือยังเด็ก ไม่อาจรู้เรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อน ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้เป็นไปได้มากว่าซูหมิงหรือนางหวังเป็นคนบอก หรือว่าการตายของซูหลิ่วจะเกี่ยวข้องกับซูเหมย 


 


 


“ข้าเคยได้ยินท่านแม่พูดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น เรื่องนี้แม่ข้าเป็นคนบอกเอง ท่านป้าไม่ได้ป่วยเป็นโรค แต่ถูกวางยา เวลานั้นพ่อข้าไปหนานเจียงจริง ติดโรคกลับมาจริง แต่อาการป่วยของท่านพ่อมองเห็นได้จากภายนอก ไม่ถึงกับตาย  


 


 


เรื่องที่ทำร้ายท่านป้าจนถึงชีวิตจริงๆ ก็คือมีคนเอายาพิษที่ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ ใส่ในอาหาร ทำให้ร่างกายท่านป้าอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ท่านลุงกลับคิดว่าเป็นเพราะติดโรคจากพ่อข้า 


 


 


ความจริงแล้วท่านป้าตายเพราะถูกวางยา หมอที่รักษาท่านป้าต้องมีปัญหาแน่ ถ้าท่านลุงเอาใจใส่ท่านป้าอย่างจริงจัง ตอนนั้นคงเห็นความผิดปกติแน่  


 


 


แต่เสียดายที่ท่านลุงไม่ใส่ใจอาการป่วยของท่านป้า เวลานั้นท่านลุงอยากให้ท่านป้าตายเร็วๆ จะได้แต่งงานกับอาซูเหมยเร็วขึ้น” 


 


 


กู้เหยี่ยนเริ่มอึดอัด และนึกสงสัย เวลานั้นซูหมิงไปหนานเจียงจริง พอกลับมาก็ติดโรคประหลาด หมอหมดทางรักษา ไม่รู้ว่าซูหมิงเป็นโรคอะไร ที่หนานเจียงก็มีโรคประหลาดอยู่ไม่น้อย 


 


 


ซูหลิ่วห่วงซูหมิงมาก ถึงกับไปดูแลซูหมิงที่จวนอันผิงโหวด้วยตัวเอง ต่อมาซูหมิงหายป่วย ซูหลิ่วกลับจวนไม่กี่วันก็ล้มป่วย  


 


 


เวลานั้นซูหลิ่วเพิ่งคลอดไม่นาน สุขภาพยังไม่แข็งแรงนัก  



ตอนที่ 203

 


204 สืบสวนเรื่องราวในอดีต

 


 


ทุกคนมีความเห็นพ้องกันว่าซูหลิ่วร่างกายอ่อนแอจึงติดโรคจากซูหมิง หมอในจวนก็บอกอย่างนี้


 


 


ต่อจากนั้นสุขภาพของซูหลิ่วก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ กู้เหยี่ยนเวลานั้นกำลังหวานชื่นกับซูเหม่ย ไม่ได้ใส่ใจซูหลิ่ว ทั้งยังมีงานราชการยุ่ง จึงไม่ได้ถามไถ่อาการของซูหลิ่ว


 


 


เขาเคยพาซูหลิ่วไปรักษาที่ซูโจว แต่หมอที่ซูโจววินิจฉัยไม่ออก ไม่รู้ว่าซูหลิ่วป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่


 


 


ทำไมซูจิ่วซือจึงมั่นใจว่าซูหลิ่วถูกวางยาพิษ ถ้าซูหมิงรู้ความผิดปกตินี้ตั้งแต่แรก ทำไมจึงไม่พูดเรื่องนี้กับเขา ด้วยนิสัยของซูหมิงต้องมาหาเขาแน่


 


 


พี่น้องคู่นี้รักใคร่กันดีมาก ซูหมิงปกป้องซูหลิ่วผู้เป็นพี่สาวเป็นพิเศษ ไม่บอกเรื่องนี้ให้ตนรู้ แต่กลับบอกซูจิ่วซือ ช่างไม่สมเหตุสมผลเลย


 


 


เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในอดีต ซูจิ่วซือเองก็แปลก เรื่องเหล่านี้ ดูเหมือนนางรู้อย่างชัดเจน ราวกับประสบกับตัวเอง


 


 


“จิ่วซือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะใส่ใจ เรื่องของป้าเจ้า ข้ารู้ดีกว่าเจ้า ซูหมิงถ้านึกสงสัยอยู่ก่อน ทำไมปิดบัง เขาต้องมาบอกให้ข้ารู้ก่อน”


 


 


“ถ้าท่านลุงไม่เชื่อคำพูดของข้าก็ไปสืบดู แล้วดูว่าข้าพูดจริงหรือไม่ อาการป่วยของท่านพ่อในตอนหลังก็ไม่ต่างจากท่านป้า เดิมทีท่านพ่อคิดว่าโรคจากหนานเจียงกำเริบ ต่อมาท่านพ่อรู้จักคนหนานเจียงคนหนึ่ง เขาบอกท่านพ่อเองว่าไม่มีโรคนี้ แต่เป็นเพราะถูกวางยาพิษ


 


 


ท่านพ่อเหลือเวลาไม่มาก ไม่ทันตรวจสอบเรื่องนี้ก็เสียชีวิตก่อน ท่านพ่อกับท่านป้าถูกวางยาพิษชนิดเดียวกัน นี่ยังไม่ใช่คำตอบหรอกหรือ หลังจากที่ท่านป้าตาย สาวใช้คนสนิทของท่านป้าก็ไปอยู่กับอาซูเหมย ท่านลุงไม่รู้สึกว่าผิดปกติหรือ ไม่คิดหรือว่าอาซูเหมยติดสินบนหงเหลียนไว้แล้ว”


 


 


คำนี้ซูจิ่วซือพูดเอง ถ้าไม่ใช่เพราะซูเหมยบอกไว้ก่อนที่นางจะสิ้นลม นางคงไม่คิดว่าตนถูกวางยาพิษ


 


 


หลังฟื้นชีพ นางอยากสืบดูว่าเวลานั้นซูเหมยใช้ยาพิษอะไรให้ตน แต่เหตุการณ์ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว ร่างของนางกับซูหมิงกลายเป็นกระดูกแล้ว ไม่อาจตรวจศพได้


 


 


การสืบสวนเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ได้แต่เริ่มจากหงเหลียน แต่เมื่อก่อนซูจิ่วซือมีงานติดพันอยู่ จึงไม่มีเวลามาจัดการ อีกทั้งหงเหลียนเป็นคนใกล้ชิดซูเหมย นางจึงจัดการได้ไม่ถนัด ตอนนี้เริ่มจากการให้กู้เหยี่ยนตรวจสอบเรื่องนี้คงดีไม่น้อย


 


 


พอได้ยินคำพูดของซูจิ่วซือ กู้เหยี่ยนก็ไม่พูดต่อ สีหน้าครุ่นคิด เขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง


 


 


เขาไม่เคยสงสัยว่าการตายของซูหลิ่วเกี่ยวข้องกับซูเหมย เวลานี้พอได้ยินซูจิ่วซือพูด เขาจึงนึกสงสัย อยากตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ถ้าเกี่ยวข้องกับซูเหมยจริง เขาไม่มีวันปล่อยซูเหมยแน่


 


 


เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ซูจิ่วซือไม่อยากคุยกับกู้เหยี่ยนอีก นางยืนหน้าป้ายหลุมศพ พูดขึ้น “ข้าอยากคารวะท่านป้าตามลำพังสักครู่ ท่านลุงมาก่อนก็กลับไปก่อนเถอะ ถ้าอยากให้ท่านป้าสงบ ท่านลุงควรรีบตรวจสอบเรื่องนี้”


 


 


หมอที่เคยตรวจซูหลิ่วตอนนั้นตายไปนานแล้ว การจะรู้ความจริงเวลานั้น มีแต่ต้องเริ่มจากตัวหงเหลียน ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องทำเพื่อซูหลิ่วให้ได้


 


 


กู้เหยี่ยนไม่พูดไม่จา รีบเดินออกไป


 


 


ซูจิ่วซือมองป้ายหลุมศพ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้หันกลับไปมอง นางคิดมาตลอดว่ากู้เหยี่ยนกับซูเหมยร่วมมือกันวางยาพิษตน เวลานี้แม้รู้แน่ชัดแล้วว่ากู้เหยี่ยนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่นางก็ไม่อาจให้อภัยกู้เหยี่ยนในเรื่องต่างๆ ที่เขาเคยทำ


 


 


——


ตอนที่ 205 เจ้าเป็นใครกันแน่


 


 


แต่นางคงไม่ฆ่ากู้เหยี่ยนแน่ กว่านางจะคบหาเป็นเพื่อนกับกู้หลียวนไม่ใช่ง่ายๆ ถ้ากู้เหยี่ยนตายด้วยน้ำมือนาง สองพี่น้องคู่นี้คงไม่ให้อภัยนางแน่


 


 


นางแค้นกู้เหยี่ยน แต่กู้เหยี่ยนเป็นพ่อของสองพี่น้อง เวลานี้คนที่ทำร้ายนางจนตายไม่ใช่กู้เหยี่ยน นางไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตกู้เหยี่ยน ไว้ชีวิตเขา ให้เขารับกรรม รับกรรมด้วยตัวเอง ต่อจากนี้ไปนางกับกู้เหยี่ยนก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรอีก


 


 


เมื่อแน่ใจว่ากู้เหยี่ยนไปแล้ว ซูจิ่วซือก็ให้จื่อหลานไปเฝ้าอยู่ห่างๆ  ตนเองคุกเข่าอยู่หน้าป้ายหลุมศพ ยื่นมือไปคลำชื่อของตนเอง ใบหน้ามีรอยยิ้มขมขื่น


 


 


“ซูหลิ่ว ได้ยินหรือไม่ กู้เหยี่ยนเสียใจ น่าหัวเราะหรือไม่ เขายังอยากให้มีชาติหน้า เขาไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาอีกชาติหนึ่งแล้ว ชาตินี้ซูหลิ่วไม่ต้องการกู้เหยี่ยน ให้เขาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้”


 


 


ซูจิ่วซือยื่นมือไปลูบป้ายหลุมศพต่อ “ข้าจะดูแลหลียวนกับชิงเฉิงให้ดี และยังจะดูแลซูเหิงกับเหลียงอินด้วย เจ้าอยู่อย่างสงบเถอะ! เรื่องที่เจ้ายังทำไม่สำเร็จ ข้าจะทำให้สำเร็จ ชาตินี้ ข้าจะมีชีวิตอยู่ให้ดีแทนเจ้า”


 


 


“ซูหลิ่ว วันหลังข้าคงไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าอีก วันนี้ข้ามาก็เพื่อบอกเจ้า เวลานี้ข้าสบายดี ลูกๆ ก็สบายดี”


 


 


ขณะที่พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของซูจิ่วซือก็มีรอยยิ้มพอใจ “สวรรค์ทรงโปรดพวกเรา ทำให้เรามีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ข้าไม่มีวันทำเรื่องโง่ๆ อีก ไม่มีวันให้คนอย่างนั้นทำร้ายข้า เจ้าวางใจเถอะ”


 


 


“จิ่วซือ เจ้าพูดอะไร”


 


 


เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำให้ซูจิ่วซือสะดุ้ง นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงของกู้เฉินหรง แน่นอนว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ กู้เฉินหรงได้ยินหมดแล้ว


 


 


แต่กู้เฉินหรงแอบอยู่ที่ไหน ทำไมได้ยินคำพูดของตน ชั่วขณะนั้น ซูจิ่วซือกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที


 


 


แล้วนางก็เข้าใจทันที ข้างป้ายหลุมศพมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบังแดดไว้ ถ้าเดาไม่ผิด กู้เฉินหรงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ก่อนหน้านี้แล้ว


 


 


กู้เฉินหรงจ้องหน้าซูจิ่วซือ ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกใดๆ บนใบหน้านี้รอดสายตาไปได้ “ทำไมเจ้าจึงพูดอย่างนี้กับท่านป้า จิ่วซือ เจ้ากลับมาอีกชาติหนึ่งหมายถึงอะไร โอกาสเริ่มต้นใหม่คืออะไร จิ่วซือ เจ้าเป็นใครกันแน่”


 


 


การที่ซูจิ่วซือมีความผูกพันกับซูหลิ่วเป็นพิเศษ เป็นเรื่องที่เขาไม่เข้าใจมาตลอด


 


 


และสายตาที่ซูจิ่วซือมองกู้เหยี่ยนก็ทำให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก และที่ซูจิ่วซือมีความแค้นต่อซูเหมยอย่างล้ำลึก นางไม่ยอมรับสกุลกู้เลย แต่กลับดีต่อกู้หลียวนและกู้ชิงเฉิงอย่างน่าประหลาดใจ


 


 


ความลักลั่นนี้ทำให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก รู้สึกว่าซูจิ่วซือมีความลับในตัวไม่น้อย


 


 


เมื่อครู่ขณะที่ได้ยินคำพูดของซูจิ่วซือ เขาก็นึกถึงที่ซูจิ่วซือขี่ม้ายิงธนูได้อย่างชำนาญ เคยอ่านเพลงกระบี่ตระกูลถัง และยังเข้าวังไปสอนพระสนมในวังได้ นี่แสดงว่าซูจิ่วซือมีความรอบรู้มากกว่าคนทั่วไป


 


 


เขาเคยสอบถามซูเหลียงอิน รู้ว่าหลังจากที่ซูจิ่วซือฟื้นขึ้นมานิสัยก็เปลี่ยนไปไม่น้อย และเมื่อก่อนซูจิ่วซือไม่มีโอกาสสัมผัสเรื่องเหล่านี้ เกี่ยวกับความสามารถของซูจิ่วซือ เขาเองก็ประหลาดใจมาก ใครหนอที่สอนซูจิ่วซือ คนที่สอนนางขี่ม้ายิงธนูไม่ใช่หวังเฉิงแน่


 


 


พอเขาได้ยินเรื่องราวเมื่อครู่ สมองก็เกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ น่าอัศจรรย์เกินไป แต่ถ้าเขาคาดเดาถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีคำอธิบายที่สมเหตุผล


 


 


“เจ้ามานานหรือยัง”


 


 


“ข้ามาตั้งแต่ท่านพ่อยังไม่ไป เจ้าพูดอะไรกับท่านพ่อ ข้าได้ยินหมด จิ่วเอ๋อร์ เจ้าคือป้าซูหลิ่วใช่หรือไม่”


 


 


ตอนที่ถามคำถามสุดท้าย กู้เฉินหรงเต็มไปด้วยความสงสัยและตึงเครียด


ตอนที่ 206 เตรียมกลับแคว้นเจียง 


 


 


 


 


 


ซูจิ่วซือสงบลง กู้เฉินหรงสงสัยเรื่องของนางมานานแล้ว นางก็ได้แต่พูดอ้ำอึ้งมาตลอด เวลานี้คำพูดที่กู้เฉินหรงได้ยิน ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขา การที่เขานึกขึ้นได้อย่างนี้ก็เป็นเรื่องปกติ  


 


 


ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ไม่อยากปิดบังกู้เฉินหรง ดวงตานางไม่มีริ้วคลื่นความลังเลใดๆ  มองหน้ากู้เฉินหรงพลางพยักหน้า  


 


 


“ใช่ ข้าคือซูหลิ่ว เวลานั้นข้าตายไปแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมพอฟื้นขึ้นมาก็ผ่านไปยี่สิบปี ทำไมจึงกลายเป็นซูจิ่วซือ แต่ข้าเป็นซูหลิ่วจริงๆ  เป็นซูหลิ่วที่ถูกซูเหมยวางยาพิษตายตอนนั้น” 


 


 


กู้เฉินหรงยังไม่ทันได้สติ นางจะเป็นซูหลิ่วได้อย่างไร เหลวไหลจริงๆ ถ้านางเป็นซูหลิ่ว นางก็เป็นแม่แท้ๆ ของกู้หลียวนกับกู้ชิงเฉิง และเป็นภรรยาที่กู้เหยี่ยนแต่งงานด้วย เป็นไปได้อย่างไร… 


 


 


“เจ้าเคยเห็นข้าตั้งแต่เล็ก เฉินหรง รู้ไหมว่าทำไมข้าจึงรู้เหตุการณ์ตอนที่ข้าช่วยเจ้าได้ชัดเจน เพราะข้าเป็นคนช่วยเจ้าเอง เวลานั้นเจ้ายังเล็ก นึกไม่ถึงว่าไม่นาน เจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว 


 


 


ข้าคือซูหลิ่ว เป็นคนรุ่นอาวุโส ข้าจะอยู่กับเจ้าได้อย่างไร สวรรค์โปรดให้ข้าฟื้นชีพขึ้นมา ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ ข้าต้องให้ซูเหมยได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม 


 


 


เจ้าสงบใจกลับแคว้นเจียงเถอะ วันหลังเจ้าคงจะได้แต่งงานกับแม่นางที่ดี เจ้าเป็นคนเก่ง ต้องมีผู้หญิงมากมายชอบเจ้า ข้าไม่เหมาะกับเจ้า ต่อไปไม่ต้องมาเสียเวลาอยู่กับข้าอีก” 


 


 


ในที่สุดกู้เฉินหรงก็ได้สติ เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเข้าไปหาซูจิ่วซือ “จิ่วซือ ในใจเจ้ายังรักท่านพ่อหรือไม่” 


 


 


ซูจิ่วซือทำท่าเหมือนได้ยินเรื่องตลก “เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


“แล้วเจ้าแค้นเขาหรือไม่” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่พูด ถือว่ายอมรับ  


 


 


“ในเมื่อไม่รักแล้วทำไมจึงแค้น จิ่วซือ ในใจเจ้ายังมีท่านพ่ออยู่” กู้เฉินหรงยิ้มอย่างขมขื่น “มิน่าเจ้าจึงไม่ยอมรับข้า สาเหตุที่แท้จริงก็คือหัวใจเจ้ายังไม่ได้กลับมา ในใจเจ้ายังมีท่านพ่อ จิ่วซือ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ เดินทางกลับแคว้นเจียง วันหลังข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่ได้อธิบาย ถ้าเขาคิดอย่างนี้ก็ให้คิดไปเถอะ 


 


 


บางทีต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้นเขาจึงจะตัดใจได้ เขาควรกลับแคว้นเจียงนานแล้ว นางเองก็อยากให้เขากลับไปเร็วๆ  เวลานี้ในที่สุดเขาก็บอกนาง เขาจะกลับแคว้นเจียง ในใจนางรู้สึกอาลัยอาวรณ์ 


 


 


ในที่สุดเขาก็ไปแล้ว วันข้างหน้าคงไม่ได้พบกันอีก! 


 


 


นางคือซูหลิ่ว ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความกล้าที่จะรักกู้เฉินหรง เขาควรจะมีผู้หญิงที่ดีกว่านี้ คนที่สามารถรักเขาได้อย่างสุดหัวใจ แต่ในใจนางนั้นมีอะไรมากเกินไป  


 


 


แม้ในใจจะเจ็บปวด ทว่าใบหน้าก็ยังฝืนยิ้มออกมา “ดีมาก เจ้าควรจะกลับไปนานแล้ว เฉินหรง ขอให้เดินทางปลอดภัย พอถึงตอนนั้นข้าไม่ส่งเจ้าแล้วกัน” 


 


 


“ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าส่ง จิ่วเอ๋อร์ พอข้าไปแล้ว เจ้าอยู่ให้สบายใจนะ อย่าให้ใครมารังแกเจ้าได้ ถ้ามีใครมารังแกเจ้า ก็เขียนจดหมายถึงข้า ข้าจะสั่งสอนมันเอง” 


 


 


“ได้” 


 


 


ซูจิ่วซือรับปาก แต่นางรู้ กู้เฉินหรงไปแล้ว นางคงไม่รบกวนเขา และไม่อาจเขียนจดหมายถึงเขา 


 


 


“จะไปเมื่อไร” 


 


 


ในที่สุดซูจิ่วซือก็ถามออกมาจนได้ 


 


 


“ยังไม่รู้ คงอีกไม่กี่วัน จิ่วเอ๋อร์ เจ้าอาลัยอาวรณ์ข้าหรือ” 


 


 


“อย่างน้อยข้าก็ได้เห็นเจ้าเติบโต ข้าอาลัยอาวรณ์เจ้าจริงๆ ” ซูจิ่วซือยิ้ม 


 


 


“ยังดีที่ได้ยินคำพูดของเจ้าคำนี้ ข้าส่งเจ้ากลับไปนะ” 


 


 


ซูจิ่วซือสั่นหัว อะไรที่ควรจะพูดก็พูดหมดแล้ว นางควรกลับจวนเสียที 


 


 


“มือยังเจ็บหรือไม่” 


 


 


“ไม่เจ็บแล้ว” 


 


 


—— 


ตอนที่ 207 อย่าลืมข้า 


 


 


 


 


 


“จิ่วเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นซูหลิ่วหรือซูจิ่วซือ ในสายตาของข้า เจ้าก็คือเจ้า อย่าให้ข้าเรียกเจ้าเป็นป้าเลย แม้เจ้าจะเคยช่วยข้าตอนเด็ก เคยเป็นผู้อาวุโสของข้า แต่ข้าไม่มีวันถือเจ้าเป็นผู้อาวุโส นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว 


 


 


เจ้าเองก็อย่าวางตัวเป็นผู้อาวุโสต่อหน้าข้า ท่านพ่อคิดถึงเจ้ามาตลอดหลายปีมานี้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยวางความรู้สึกนี้เสีย ถ้ายังนึกถึงตลอดไปไม่ลืมเลือน เจ้าจะอยู่ไม่มีความสุข ข้าอยากให้เจ้าอยู่อย่างมีความสุขทุกวัน” 


 


 


กู้เฉินหรงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สั่งเสียซูจิ่วซืออย่างละเอียด พอได้ยินกู้เฉินหรงสั่งเสียอย่างนี้ ในใจของซูจิ่วซือก็พูดไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร หัวใจปวดร้าวขึ้นมา 


 


 


นางเกือบจะบอกกู้เฉินหรงว่าข้าจะไปกับเจ้า แต่สติก็ช่วยยับยั้งไว้ นางกับกู้เฉินหรงเดิมทีก็ไม่ควรจะคบกัน ความบังเอิญนี้ควรจะยุติได้แล้ว 


 


 


“เฉินหรง อย่ายุ่งเรื่องของผู้อาวุโส” 


 


 


กู้เฉินหรงพูดอย่างไม่พอใจ “เมื่อครู่เพิ่งเตือนเจ้าว่าอย่าถือตัวเป็นผู้อาวุโส ลืมเร็วจริงๆ เมื่อยี่สิบปีก่อนเจ้าเพิ่งอายุยี่สิบสาม เท่ากับข้าตอนนี้ ไม่ถึอว่าเป็นผู้อาวุโสของข้า เราสองคนเพียงแต่ไม่ใช่รุ่นเดียวกัน ถึงอย่างไรข้าก็อายุมากกว่าเจ้า” 


 


 


“เรื่องนี้สำคัญหรือ” 


 


 


“สำคัญแน่นอน ข้าไม่ยอมเสียเปรียบแน่” 


 


 


พอกู้เฉินหรงล้อเล่นอย่างนี้ซูจิ่วซือก็หัวเราะ “ใช่ คุณชายกู้ไม่เคยยอมเสียเปรียบใคร แต่ก็ทำอะไรโง่ๆ ตั้งหลายอย่าง” 


 


 


“อะไรที่ทำเพื่อเจ้าไม่ใช่เรื่องโง่ๆ เดิมทีเจ้าก็มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ถือว่าเป็นลิขิตฟ้า” 


 


 


“เป็นลิขิตฟ้าจริงๆ” 


 


 


ซูจิ่วซือแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ยามนี้ฟ้ามืดมัวเหมือนจะมีฝน ตรงกับความรู้สึกของนางในยามนี้พอดี  


 


 


“ฝนจะตกแล้ว รีบเดินเร็วเข้า” 


 


 


จู่ๆ กู้เฉินหรงก็ยื่นมือมาจับแขนซูจิ่วซือ ซูจิ่วซือไม่ขัดขืน ปล่อยให้กู้เฉินหรงดึงนางเดินไปข้างหน้า นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว 


 


 


ตลอดทางทั้งสองไม่มีใครพูดจา พอขึ้นไปบนรถม้า กู้เฉินหรงก็พูดกับซูจิ่วซือเหมือนปกติ ตลอดทางพูดถึงเรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับกู้หลียวนและกู้ชิงเฉิง อยากให้ซูจิ่วซือสบายใจ 


 


 


ซูจิ่วซือฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็หัวเราะขึ้นมา นางสนใจเรื่องที่กู้เฉินหรงเล่าเป็นพิเศษ 


 


 


ไม่ทันรู้ตัว รถม้าก็มาถึงหน้าประตูจวนอันผิงโหว ซูจิ่วซือเปิดม่านรถม้าออก ลงจากรถ เงยหน้าขึ้นมองกู้เฉินหรงพลางยิ้ม “เอาล่ะ ลาก่อนนะเฉินหรง” 


 


 


“อืม รีบเข้าไปเถอะ อย่าลืมทำแผลนะ” 


 


 


“ได้ ข้าไปก่อนละ” 


 


 


ซูจิ่วซือปล่อยม่านรถม้าลง หันหลังเดิน พอเดินไปไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงกู้เฉินหรงดังขึ้นที่ด้านหลัง “จิ่วเอ๋อร์ อย่าลืมข้านะ” 


 


 


ซูจิ่วซือชะงักเท้า แต่ไม่หันไป “ข้าความจำดีมาก” 


 


 


พอพูดอย่างนี้แล้ว ซูจิ่วซือก็รีบเข้าไปในจวนอันผิงโหว กู้เฉินหรงกลับไม่ปล่อยม่านในมือลง รู้ว่าประตูจวนอันผิงโหวปิดอยู่ 


 


 


ซูจิ่วซือก้มหน้าเดินอย่างรีบเร่งตลอดทาง จนจื่อหลานกับจื่อซูตามไม่ทัน 


 


 


ครู่หนึ่งซูจิ่วซือก็เดินมาที่ห้อง นางเข้าไปในห้องตามลำพัง ปิดประตู พิงตัวกับบานประตู ถอนหายใจยาว กลั้นน้ำตาที่ไหลออกจากเบ้ากลับคืนเข้าไป ฝืนยิ้มออกมา นี่เป็นเรื่องดีสำหรับกู้เฉินหรง แคว้นเจียงเป็นสถานที่ที่เขาจะแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ 


 


 


กู้เฉินหรงได้ประทับอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนางโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะการอำลาครั้งนี้ นางคงไม่รู้สึกอย่างนี้ 


 


 


เฉินหรง หวังว่าต่อไปเจ้าจะอยู่สุขสบาย


ตอนที่ 208 ทำอย่างนี้สมควรหรือ 


 


 


 


 


 


พอกลับถึงจวนสกุลกู้ กู้เฉินหรงก็นั่งคนเดียวในห้อง แหงนหน้าดื่มเหล้าอึกใหญ่ ทว่าด้วยเพราะกรอกเหล้าเข้าปากเร็วเกินไป เหล้าจึงไหลจากมุมปากหกเลอะชุดคลุมยาวสีม่วง  


 


 


มีเสียงหนึ่งดังเบาๆ อยู่ใกล้ๆ กู้เฉินหรงไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร “ทำไมไม่ไปเฝ้าที่จวนอันผิงโหว มาทำอะไรที่นี่” 


 


 


“ผู้น้อยจัดคนเฝ้าจวนอันผิงโหวไว้แล้ว คุณชายวางใจเถอะ หลังจากเราออกไปจากเมืองหลวง ผู้น้อยจะให้คนสี่คนอยู่รักษาการณ์ใกล้ๆ จวนอันผิงโหว เพื่อคุ้มกันคุณหนูซู” 


 


 


กู้เฉินหรงพยักหน้า “ดีมาก นั่งสิ อย่ายืนบังหน้าข้า” 


 


 


กู้เฉินหรงชี้ไปที่ข้างตัว ปิงอวิ๋นกลับไม่กล้านั่ง นางสั่นหัว “ผู้น้อยจะนั่งเคียงข้างนายน้อยได้อย่างไร” 


 


 


“ยืนด้วยกันได้ทำไมนั่งด้วยกันไม่ได้” กู้เฉินหรงดื่มเหล้าต่อ เขาอยากดื่มให้เมา แต่ดื่มเท่าไรก็ไม่เมา บ้าจริงๆ ยิ่งดื่มสติยิ่งแจ่มชัด  


 


 


ปิงอวิ๋นรู้ว่ากู้เฉินหรงอารมณ์ไม่ดี จึงนั่งข้างๆ กู้เฉินหรง “คุณชายอย่ายื้อเวลาต่อไปเลย ควรออกจากเมืองหลวงได้แล้ว” 


 


 


“ถ้าออกไปเร็ว จิ่วซือต้องสงสัยแน่ ให้นางเห็นข้าจากไปอย่างปลอดภัยนางจึงจะวางใจ” 


 


 


“คุณชายคิดแทนคุณหนูซูทุกอย่าง ทำไมไม่บอกความจริงให้คุณหนูซูรู้” 


 


 


ปิงอวิ๋นไม่เข้าใจเจตนาของกู้เฉินหรงแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าทำไมต้องปิดบังซูจิ่วซือ แม้แต่จะจากไปก็ยังต้องให้ซูจิ่วซือสบายใจก่อน 


 


 


“บอกนางว่าอย่างไร ให้นางรู้ว่าข้าคงมีชีวิตอยู่ไม่นาน ให้นางอยู่แต่ละวันด้วยความรู้สึกผิดหรือ ปิงอวิ๋น เจ้าไม่เคยรักใคร เจ้าจึงไม่เข้าใจ ถ้าข้าไม่สามารถปกป้องนางได้เต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับนางก็คือถอยออกไปจากชีวิตของนาง ให้นางอยู่อย่างมีความสุข ทำอะไรที่นางอยากทำ ไม่แน่ชะตาของข้าอาจจะดีมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นี่เป็นเดิมพันของข้า ข้าไม่อยากให้นางได้รับผลกระทบไปด้วย” 


 


 


ปิงอวิ๋นไม่เข้าใจเรื่องของความรักความผูกพัน รู้แต่ว่ากู้เฉินหรงดีต่อซูจิ่วซือมาก ดีจนนางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ นายน้อยของนางเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรัก ไม่รู้ว่าจะกระทบต่อภารกิจใหญ่ในวันข้างหน้าหรือไม่ 


 


 


“นายน้อยคิดแทนคุณหนูซูทุกอย่าง ทำอย่างนี้สมควรหรือ” 


 


 


กู้เฉินหรงส่ายกาเหล้า วางกาเหล้าในมือลง “ได้ทำเพื่อนาง ข้าก็พอใจแล้ว สมควรแน่ ปิงอวิ๋น เรื่องนี้เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก” 


 


 


“ตลอดชีวิตของผู้น้อยก็ไม่อยากเข้าใจเรื่องอย่างนี้ คิดแต่จะจงรักภักดีต่อเจ้านาย คุณชายคิดว่าสมควร ผู้น้อยมองอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่าไม่สมควร ถ้าซูจิ่วซือทำกับคุณชายอย่างเดียวกัน ผู้น้อยก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่คุณหนูซูเย็นชากับคุณชายมาตลอด ไม่ยอมรับความรักของคุณชายเลย” 


 


 


ในที่สุดปิงอวิ๋นก็พูดความรู้สึกในใจของตนออกมา  


 


 


กู้เฉินหรงสีหน้าบึ้ง “ปิงอวิ๋น เจ้าบังอาจจริงๆ กล้าหัวเราะเยาะข้าเชียวหรือ” 


 


 


“ผู้น้อยไม่กล้า เพียงแต่รู้สึกว่าคุณชาย…โง่” 


 


 


คำสุดท้าย ปิงอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมา 


 


 


กู้เฉินหรงไม่ใส่ใจคำพูดของปิงอวิ๋น  


 


 


“คนเราเกิดมาในโลก ก็ทำอะไรโง่ๆ บ้าง เมื่อก่อนข้ายินดีทำมาตลอด แต่หลังจากรู้ฐานะที่แท้จริงของจิ่วซือ ข้าจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมนางจึงเย็นชาต่อข้าอย่างนี้ 


 


 


นางเองก็เคยโง่มาก่อน โดนหลอก เรื่องนี้โทษนางไม่ได้ ข้าห่วงนาง นางเป็นคนดีแต่ไม่ได้รับผลดีตอบแทน การช่วยเหลือนางที่ผ่านมา ข้าทำด้วยความเต็มใจ ข้าอยากแต่งงานกับนาง แต่นางไม่ตกลงก็ได้” 


 


 


ปิงอวิ๋นก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “คุณชายโดดเด่นขนาดนี้ ถ้าคุณหนูซูอยู่กับคุณชายก็จะได้ยกฐานะขึ้น คุณหนูซูช่างไม่เห็นคุณค่าเอาเสียเลย” 


 


 


—— 


ตอนที่ 209 ไทเฮาทรงสงสัย 


 


 


 


 


 


“เจ้าดูถูกจิ่วซือเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนางไม่ใช่ใครฐานะเหนือกว่าใคร แต่เป็นการช่วยเหลือกัน เอาล่ะ คุยเรื่องนี้เจ้าคงไม่เข้าใจแน่ เหมือนดีดพิณให้วัวฟัง” 


 


 


ปิงอวิ๋นไม่เข้าใจจริงๆ นางรู้สึกว่าความรักความผูกพันระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ชาตินี้นางไม่มีวันยุ่งเกี่ยวแน่ 


 


 


“เจ้าออกไปเถอะ! ข้าจะอยู่คนเดียวสักครู่” 


 


 


“ได้ คุณชายพักให้เร็วหน่อย ถ้าจิตใจไม่สบาย ก็จะอยู่ไม่เป็นสุข” 


 


 


“พูดอย่างกับว่าข้าจะไปตาย ถ้าสวรรค์ให้โอกาสข้า ข้าต้องอยู่ต่อไปแน่” 


 


 


กู้เฉินหรงหรี่ตามองไกลออกมา สองมือในแขนเสื้อกำหมัดแน่น 


 


 


ปิงอวิ๋นไม่เข้าใจแววตาของกู้เฉินหรง บางครั้งนางรู้สึกว่านายน้อยคนนี้ช่างเร้นลับเหลือเกิน นางดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่บางครั้งก็เป็นคนธรรมดา อย่างเช่นเวลาอยู่กับซูจิ่วซือ เขาเหมือนเด็กอายุสามขวบ 


 


 


สองวันต่อมา เสิ่นไทเฮาก็มีพระบัญชาให้ซูจิ่วซือเข้าเฝ้า แม้ทาแป้งแต่งหน้า แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าได้ วงสีดำรอบตายังปรากฏชัด 


 


 


“จิ่วซือ ช่วงนี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนเต็มที่หรือ เจ็บแผลหรือไม่” 


 


 


ซูจิ่วซือยังคงพันแผลที่นิ้วมือ นางไม่ใช่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แต่ไม่ได้พักผ่อนเลยต่างหาก 


 


 


ไม่รู้ว่ากู้เฉินหรงจะไปวันไหน นางอยากถักเชือกลายมงคลให้เขาก่อนไป กู้เฉินหรงเคยขอไว้ แต่นางไม่ได้ทำให้ 


 


 


นอกจากนิ้วหัวแม่มือแล้วนิ้วอื่นยังเจ็บอยู่ การถักเชือกลายมงคลจึงทำลำบาก 


 


 


จื่อหลานจะช่วย แต่นางไม่ให้ช่วย นางใช้ฟันและการช่วยเหลือของจื่อหลาน อดนอนมาสองคืนแล้ว ในที่สุดก็ถักเสร็จเส้นหนึ่ง แม้ระวังเต็มที่ แต่นิ้วมือก็เจ็บขึ้นมาอีก ผ้าพันแผลมีรอยเลือดซึมออกมาให้เห็น 


 


 


“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงห่วงใย หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” 


 


 


“เจ็บที่นิ้วปวดถึงใจ เจ็บนิ้วมือเป็นเรื่องน่ากลัว ข้าให้หมอหลวงสั่งยาสงบใจให้เจ้าก็ยังไม่หาย ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว นิ้วมือเจ้ายังไม่ดีขึ้น ประเดี๋ยวให้หมอหลวงรักษาแผลให้เจ้าอีกครั้ง” 


 


 


เสิ่นไทเฮาทรงสังเกตเห็นรอยเลือดสีแดงสดบนผ้าพันแผลของซูจิ่วซือ พระสุรเสียงมีความห่วงใย 


 


 


“แผลเล็กน้อยไทเฮาทรงห่วงใยปานนี้ หม่อมฉันไม่สมควร หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ” ซูจิ่วซือนอบน้อม ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ  


 


 


“เจ้าเด็กคนนี้ไม่ใจเสาะสักนิด จิ่วซือ เรื่องพระสนมโหรวไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทำไมเจ้ารับผิดเสียเอง รู้หรือไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร” 


 


 


ตั้งแต่กู้เฉินหรงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้นางฟัง ซูจิ่วซือจึงรู้ว่าถ้านางเข้าวัง ไทเฮาต้องตรัสถามเรื่องนี้ เสิ่นไทเฮาไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ พระนางทรงเอาใจใส่นาง ทรงห่วงนาง แต่ก็ทรงระแวงอยู่ หากนางทำผิดจริง เสิ่นไทเฮาคงไม่ให้อภัยแน่ 


 


 


ซูจิ่วซือคิดไว้แล้วว่าจะทูลอย่างไร จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น ค้อมศีรษะทูลว่า “เวลานั้นในห้องมีเพียงหม่อมฉันกับพระสนมกู้ หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันกับนางไม่ได้ทำผิด พระสนมกู้เป็นพี่สาวของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงอยากปกป้องพี่สาวคนนี้” 


 


 


“เจ้ากับนางไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน นึกไม่ถึงว่าจะมีความผูกพันกันลึกซึ้งอย่างนี้” 


 


 


ซูจิ่วซือไม่กล้าพูดปด นางทูลอย่างจริงจัง “หม่อมฉันกับพระสนมกู้ไม่คุ้นเคยกัน แต่พระสนมกู้เป็นลูกสาวของท่านป้า หม่อมฉันเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านป้าบ่อยๆ ท่านพ่อรู้สึกละอายใจมาตลอดเมื่อนึกถึงท่านป้า หม่อมฉันจึงอยากปกป้องพระสนมกู้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว” 


 


 


ในเมื่อใครต่อใครก็คิดว่าซูหมิงเอาโรคจากหนานเจียงมาติดซูหลิ่วจนตาย การที่ซูจิ่วซือพูดอย่างนี้จึงสมเหตุผล ไม่ได้พูดปด 


ตอนที่ 210 พระสนมโหรวโหดร้าย


 


 


 


 


ไทเฮาตรัสชม “ช่างเป็นเด็กมีคุณธรรมจริงๆ  รีบลุกขึ้นเถอะ!”


 


 


“เพคะ”


 


 


ซูจิ่วซือลุกขึ้น นางไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว ร่างกายจึงอ่อนแอ เวลานี้นางเหนื่อยล้าจริงๆ ตอนลุกนางเซจนเกือบจะล้ม ยังดีที่นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตาไวรีบเข้ามาประคอง


 


 


“รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้หมอหลวงไปรักษาเจ้าที่จวนอันผิงโหว”


 


 


“เพคะ หม่อมฉันทูลลา”


 


 


ซูจิ่วซือค้อมคารวะ แล้วถอยออกไป


 


 


จื่อหลานประคองซูจิ่วซือ เห็นสีหน้าของซูจิ่วซือเหนื่อยล้าอย่างเห็นชัด จึงเตือน “คุณหนู เชือกถักลายมงคลทำเสร็จแล้ว พอกลับจวน คุณหนูนอนหลับให้เต็มที่เถิดเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าคุณหนูจะเป็นลม”


 


 


“งั้นก็กลับจวน”


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า นางอยากนอนหลับให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นจะปวดหัว


 


 


ทั้งสองมุ่งหน้าเดินไปยังประตูวัง ขณะผ่านอุทยานหลวง มีเงาคนสีแดงดอกท้อมาขวางข้างหน้าซูจิ่วซือ “ไทเฮาทรงโปรดปรานองค์หญิงจริงๆ ”


 


 


พอเห็นพระสนมโหรว สมองที่เลือนรางของซูจิ่วซือก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที นางถวายบังคมพระสนมโหรว แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพอสมควร “ถวายบังคมพระสนมโหรว”


 


 


“องค์หญิงไม่ต้องเกรงใจ”


 


 


น้ำเสียงของพระสนมโหรวนุ่มนวล ให้ความรู้สึกเหมือนออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ


 


 


นางทาแป้งหอม กลิ่นอบอวลฟุ้งออกมาเป็นระยะ ทำให้ซูจิ่วซือขมวดคิ้ว พระสนมโหรวเพิ่งแท้งไม่นาน ก็ฟื้นฟูแข็งแรงเป็นปกติแล้ว สีหน้าดูสดใส


 


 


“วันนี้อากาศไม่ร้อน แต่ข้างนอกลมแรง พระสนมยังต้องพักฟื้น ไม่ควรถูกลม”


 


 


“ข้านอนมาหลายวันแล้ว ควรออกมาเดินบ้าง องค์หญิงคงลำบาก มือยังไม่หายหรือ”


 


 


“ขอบใจพระสนมที่ห่วง อีกไม่กี่วันมือก็คงจะหาย วันนี้พบพระสนม ข้ารู้สึกสงสัย ไม่ทราบว่าพระสนมจะช่วยข้าแก้ข้อสงสัยได้หรือไม่”


 


 


พระสนมโหรวจับมือไฉ่ซือเพื่อพยุงตัว ยิ้ม “องค์หญิงมีข้อสงสัยอะไรก็ถามได้เลย เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ เถอะ”


 


 


ซูจิ่วซือกับพระสนมโหรวเดินเคียงกันไป รักษาระยะห่างสองสามก้าว ในอุทยานหลวงมีกลิ่นรวยริน แม้ไม่ใช่ฤดูดอกไม้บานเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็มีดอกไม้บานอยู่บ้าง พอลมพัดก็มีกลิ่นหอมโชยเป็นระยะ


 


 


เมืองหลวงยามฤดูร้อนอากาศไม่ร้อนมาก แคว้นเว่ยตั้งอยู่ทางภาคเหนือ ฤดูร้อนอากาศจึงเย็นกว่าแคว้นเจียงซึ่งอยู่ภาคใต้


 


 


“พระสนมโหรวเดิมทีวันนั้นวางแผนไว้อย่างไร”


 


 


พระสนมโหรวหัวเราะออกมา “องค์หญิงฉลาดอย่างนี้ ยังเดาไม่ออกหรือ”


 


 


“พระสนมเป็นแม่คน หม่อมฉันไม่อาจคาดคิดว่าจะมีแม่ที่ใจร้ายอย่างนี้”


 


 


“ใจร้ายแล้วอย่างไร เพื่อรักษาตัวรอด บางครั้งก็ต้องใจร้ายบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สาหัสกว่า ลูกคนนี้ไม่มีวาสนาได้เกิดมาในโลก”


 


 


พระสนมโหรวไม่แสดงความรู้สึกเสียดาย นางสงบมาก ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา


 


 


“เดิมทีข้าวางแผนไว้ว่าจะอาศัยเด็กคนนี้มาใส่ร้ายเจ้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่ตกหลุมพราง พอดีฮองเฮาเข้ามาร่วมด้วย ข้ารู้ว่าเจ้าใส่ใจกู้หลียวน ข้าก็อยากดูว่าเจ้าใส่ใจเรื่องของพระสนมกู้หรือไม่ ในเมื่อนางเป็นญาติผู้พี่ของเจ้า นึกไม่ถึงว่าข้าจะชนะพนัน เจ้าใส่ใจพระสนมกู้จริงๆ ”


 


 


“พระสนมโหรววางแผนไว้แล้วหรือว่าจะไม่เอาลูกไว้”


 


 


“ในเมื่อรักษาไว้ไม่ได้ ทำไมต้องเสียเวลาคิดด้วย” พูดจบพระสนมโหรวก็หลุบตา แล้วเหลือบตาขึ้นอย่างรวดเร็ว แววตาไร้ความรู้สึก


 


 


“เสือไม่กินลูก พระสนมช่างโหดร้ายจริงๆ ข้าได้เห็นแล้ว”


ตอนที่ 211 พบชิงเฉิง


 


 


 


 


“องค์หญิงชมเกินไปแล้ว สักวันหนึ่งองค์หญิงจะเข้าใจ สิ่งที่เรียกว่าความเมตตาจะทำให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส การมีชีวิตรอดไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีอย่างองค์หญิง”


 


 


พระสนมโหรวพูดเหมือนเย้ยตัวเอง


 


 


“พระสนมพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร”


 


 


“องค์หญิงไม่เข้าใจหรือ” พระสนมโหรวไม่พูดต่อ ยื่นมือไปแตะระย้าที่เครื่องประดับผม


 


 


ซูจิ่วซือรู้ว่าคำพูดนี้หมายถึงกู้เฉินหรง แต่นางไม่เข้าใจว่าพระสนมโหรวมีข้อตกลงอะไรกับกู้เฉินหรง พระสนมโหรวไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาแน่ สิ่งที่พระสนมโหรวต้องการมีอย่างเดียว คือชีวิตของกู้เฉินหรง


 


 


กู้เฉินหรงบอกว่าเขากุมความลับของพระสนมโหรวไว้ในมือ หลายวันมานี้ นางเห็นกู้เฉินหรงมีเรื่องครุ่นคิด ในใจนางจึงอดห่วงเขาไม่ได้


 


 


“ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพระสนมโหรวจริงๆ ”


 


 


“ไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ เวลานี้ยังไม่เข้าใจสักวันหนึ่งก็จะเข้าใจเอง องค์หญิงรีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ไปละ”


 


 


พระสนมโหรวหาว พาไฉ่ซือออกไป


 


 


ซูจิ่วซือรู้สึกปวดหัว สองวันมานี้นางเหนื่อยจริงๆ จื่อหลานเห็นซูจิ่วซือไม่ปกติ รีบเข้ามาประคอง


 


 


“ไปกันเถอะ!”


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู”


 


 


ซูจิ่วซือได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงอันผิง แต่จื่อหลานกับจื่อซูยังเรียกนางเป็นคุณหนูเหมือนเดิม ซูจิ่วซือเองก็ไม่ได้บอกให้เปลี่ยน


 


 


ซูจิ่วซือพาจื่อหลานเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็มีนางกำนัลเดินตามมาหา ซูจิ่วซือจำได้ว่านางกำนัลผู้นี้ ชื่อเสี่ยวเหลียน เป็นคนใกล้ชิดของกู้ชิงเฉิง ซูจิ่วซือยิ้มให้เสี่ยวเหลียน “แม่นางเสี่ยวเหลียน”


 


 


“ในที่สุดก็ตามทันองค์หญิง องค์หญิง เจ้านายของข้าต้องการพบองค์หญิงเพคะ”


 


 


ถ้าเป็นคนอื่น ซูจิ่วซือคงไม่อยากไปหา แต่ชิงเฉิงเป็นข้อยกเว้น ซูจิ่วซือพยักหน้า “แม่นางเสี่ยวเหลียนนำทางเถอะ”


 


 


“เชิญองค์หญิง”


 


 


เสี่ยวเหลียนทำท่าเชิญ แล้วเดินนำทางไป


 


 


กู้ชิงเฉิงอยู่ตามลำพังที่วังจื่อจิง วังจื่อจิงตั้งอยู่โดดเดี่ยว รอบข้างเงียบสงัด บริเวณนั้นมีป่าไผ่ ยามว่างกู้ชิงเฉิงมักจะเล่นกู่เจิงที่ป่าไผ่ และเวลานี้นางกำลังเล่นกู่เจิงอยู่ที่ป่าไผ่


 


 


ซูจิ่วซือเดินตามเสียงกู่เจิง มองแต่ไกลก็เห็นกู้ชิงเฉิง


 


 


นางสวมชุดผ้าโปร่งสีเขียวอ่อนนั่งอยู่หน้ากู่เจิง แต่งตัวเรียบง่ายสง่างาม สีหน้าสงบ เสียงกู่เจิงดังกังวานออกจากปลายนิ้ว ช่างไม่เหมือนพระสนมวังใน แต่คล้ายเทพธิดาบนสวรรค์


 


 


เสี่ยวเหลียนจะเข้าไปรายงาน แต่ซูจิ่วซือปรามไว้


 


 


ซูจิ่วซือเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ ยืนพิงต้นไผ่ หลับตาฟังอย่างตั้งใจ นางเข้าใจเรื่องดนตรีดี ท่วงทำนองที่กู้ชิงเฉิงเล่นก็ไม่ต่างจากนิสัยของเจ้าตัว ไม่ใช่อารมณ์ของสาวน้อย แต่มีความใจกว้าง แฝงไว้ซึ่งความทระนง


 


 


“จิ่วซือ เพลงนี้เป็นอย่างไร”


 


 


“นี่คือบทเพลงแห่งทะเลทราย บรรยายถึงทัศนียภาพในทะเลทรายกว้าง สะท้อนถึงความอ้างว้างว่างเปล่าของทะเลทราย เสียงกู่เจิงของเจ้า แม้ยามหลับตา ก็ยังรู้สึกเหมือนเห็นภาพทะเลทราย”


 


 


กู้ชิงเฉิงลุกขึ้น สีหน้าประหลาดใจ “เจ้าก็เข้าใจดนตรีดีนี่”


 


 


“พอรู้บ้าง จึงเข้าใจ”


 


 


กู้ชิงเฉิงยิ้ม “เช่นนั้นเราสองคนก็รู้ใจกัน สีหน้าเจ้าไม่ดีเลย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”


 


 


“ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าหลายวันมานี้ไม่ได้พักผ่อนให้ดี ชิงเฉิง แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


กู้ชิงเฉิงเดินเข้ามาหาซูจิ่วซือ ยิ้มให้ซูจิ่วซือ “ข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้แหละ ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างสงบ จิ่วซือ เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”


ตอนที่ 212 ฝันถึงกู้เฉินหรง 


 


 


 


 


 


ป่าไผ่อากาศเย็นสบาย พอลมพัดโชยมา ก็มีเสียงดังซ่าๆ ซูจิ่วซือรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าลูกสาวของนางสวยจริงๆ สายตาที่มองกู้ชิงเฉิงก็อ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ “เราสองคนเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องขอบใจ” 


 


 


“เดิมทีข้าคิดว่าข้าคงไม่มีพี่น้อง นึกไม่ถึงว่าจะพบเจ้า เวลานี้ยังไม่ค่ำ เจ้าหลับสักครู่เถอะ หรือไม่ก็นอนในวัง ข้าจะให้คนไปทูลไทเฮา ไทเฮาคงไม่คัดค้าน” 


 


 


กู้ชิงเฉิงเห็นซูจิ่วซืออ่อนเพลีย จึงไม่ให้ซูจิ่วซืออยู่ที่ป่าไผ่ แต่จะให้ซูจิ่วซือค้างคืนในวัง 


 


 


นี่เป็นความปรารถนาของซูจิ่วซืออยู่แล้ว นางเองก็อยากหาโอกาสพูดคุยกับกู้ชิงเฉิง 


 


 


ครั้งก่อนในสภาพอย่างนั้น นางไม่อาจพูดกับกู้ชิงเฉิงมากนัก เวลานี้มีโอกาสได้อยู่กับลูกสาวนานหน่อย นางจึงยินดีมาก รับปากทันที “ดี” 


 


 


ซูจิ่วซือคงเหนื่อยมาก พอล้มตัวลงนอน ไม่นานก็เคลิ้มหลับไป นางฝันหลายเรื่อง เห็นตนเองกับกู้หลียวนและกู้ชิงเฉิงได้รู้จักกัน ทั้งสองเรียกกู้เฉินหรงว่าพ่อ ใช่ ในฝันนางแต่งงานกับกู้เฉินหรง 


 


 


ซูจิ่วซือสะดุ้งตื่น เหลวไหลจริงๆ ทำไมจึงฝันอย่างนี้ กู้เฉินหรงเป็นน้องชายของกู้หลียวนไม่ใช่หรือ บ้าไปแล้ว ถึงกับฝันว่าตนแต่งงานกับกู้เฉินหรง  


 


 


ไม่รู้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร ที่นางไม่ฝันถึงกู้เหยี่ยน คนในฝันกลับกลายเป็นกู้เฉินหรง 


 


 


ซูจิ่วซือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว นางหลับไปตลอดบ่าย 


 


 


ซูจิ่วซือลุกจากเตียง ขณะเปิดประตู จื่อหลานก็เข้ามา คารวะ “คุณหนู ตื่นแล้ว” 


 


 


“องค์หญิง ตื่นแล้วหรือเพคะ พระสนมเตรียมอาหารเย็นเรียบร้อย องค์หญิงล้างหน้าล้างตาแล้วก็ไปเถอะ! นายหญิงทูลไทเฮาแล้ว ไทเฮาทรงเห็นด้วยให้องค์หญิงพักที่วังจื่อจิงคืนนี้” 


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้า ครู่หนึ่งก็มีนางกำนัลยกน้ำและเครื่องใช้มาให้ หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ เสี่ยวเหลียนก็พาซูจิ่วซือไปที่ห้องอาหาร 


 


 


กู้ชิงเฉิงรอซูจิ่วซือที่ห้องอาหารก่อนแล้ว บนโต๊ะอาหารหลากหลายเต็มไปหมด ปกติกู้ชิงเฉิงกินน้อยมาก แต่เพื่อต้อนรับซูจิ่วซือ จึงให้คนครัวเตรียมอาหารมากมาย 


 


 


กู้ชิงเฉิงแม้ถูกลดตำแหน่งเป็นพระสนมระดับกุ้ยเหริน แต่เฟิ่งอวิ๋นหล่างยังทรงดูแลกู้ชิงเฉิงอย่างลับๆ เช่นกู้ชิงเฉิงชอบความสงบ ก็ไม่จัดให้พระสนมอื่นอยู่ที่วังจื่อจิง และยังโปรดให้จัดห้องครัวเล็กสำหรับนางโดยเฉพาะ ซึ่งตอนที่นางเป็นกุ้ยเฟยก็ได้รับการดูแลเช่นนี้ และไม่ได้ลดระดับลง 


 


 


ชีวิตความเป็นอยู่ของกู้ชิงเฉิงไม่ได้ลดระดับลง ทุกคนจึงรู้ว่ากู้ชิงเฉิงมีฐานะพิเศษที่วังใน ไม่มีใครกล้ามารบกวนกู้ชิงเฉิง  


 


 


“ไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินอะไร จึงเตรียมของตามใจชอบ นั่งเถอะ!” 


 


 


“ข้ากินได้ทุกอย่าง” 


 


 


ความจริงซูจิ่วซือเป็นคนจู้จี้เรื่องกินมาก แต่เมื่ออยู่กับกู้ชิงเฉิง นางไม่ได้พูดความจริง แทบจะบอกกู้ชิงเฉิงว่า ขอเพียงเป็นของที่กู้ชิงเฉิงเตรียมให้ นางกินได้ทุกอย่าง 


 


 


กู้ชิงเฉิงตักน้ำแกงไก่ให้ซูจิ่วซือถ้วยหนึ่งพลางยิ้มน้อยๆ “น้ำแกงไก่รสชาติดี ลองชิมดู” 


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้าชิมคำหนึ่ง แล้วพยักหน้าชม ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับทำให้ซูจิ่วซือรู้สึกอบอุ่นมาก  


 


 


ตอนที่นางจากโลกไป กู้ชิงเฉิงยังไม่ถึงสองขวบ อีกทั้งนางป่วยมาตลอด จึงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกู้ชิงเฉิง ไม่เคยได้ยินกู้ชิงเฉิงเรียกนางว่าแม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับนาง เวลานี้มีโอกาสกินอาหารร่วมกับกู้ชิงเฉิง นางจึงพอใจอย่างยิ่ง 


ตอนที่ 213 สองแม่ลูกพูดคุยความในใจ 


 


 


 


 


 


หลังอาหาร ทั้งสองไปเดินเล่นที่สนาม กู้ชิงเฉิงนั่งบนพื้นยกสูง แหงนหน้ามองดวงจันทร์สว่างสดใสบนท้องฟ้า พูดน้ำเสียงอาวรณ์ “คืนพระจันทร์วันเพ็ญอีกแล้ว” 


 


 


“ชิงเฉิง เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป” 


 


 


“ข้าเป็นคนในวัง ยังจะทำอะไรได้อีก อยู่วังนี้ตลอดไป ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ” 


 


 


“ข้าได้ยินหลียวนพูดเรื่องของเจ้า ใจเจ้ายังรักฝ่าบาทใช่ไหม” ซูจิ่วซือไม่อาจทนเห็นลูกสาวอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิต ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าในกำแพงวังตลอดไป 


 


 


“รักหรือไม่รักไม่ใช่เรื่องสำคัญ ฝ่าบาทไม่เชื่อใจข้า ตอนนั้นข้าพยายามอธิบาย ข้ากับจางเฉิงไม่มีอะไรกัน พระองค์กลับยืนยันจะประหารจางเฉิง สุดท้ายก็บีบจางเฉิงให้ฆ่าตัวตาย จางเฉิงเป็นเพื่อนคนเดียวของข้าในวัง ข้าทำให้จางเฉิงตาย ข้าไม่อาจให้อภัยพระองค์ และไม่อาจให้อภัยตัวเอง” 


 


 


น้ำเสียงของกู้ชิงเฉิงแม้ราบเรียบ แต่ซูจิ่วซือยังคงมองเห็นความรู้สึกผิดในดวงตาของกู้ชิงเฉิง นางอยากตบไหล่ของกู้ชิงเฉิง แต่มือมีผ้าพันแผลอยู่ พอยื่นมือออกไปครึ่งทางก็หดกลับ พูดปลอบโยน “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ชิงเฉิง อย่าโทษตัวเองเลย ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเจ้าเป็นคนให้เขาหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่ ข้าจะเอาของอย่างนั้นให้เขาได้อย่างไร เป็นผ้าเช็ดหน้าที่ข้าทำหาย หลังจากจางเฉิงฆ่าตัวตาย ข้าจึงรู้ว่ากู้เฝิ่นไต้เป็นคนเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไป บ่ายวันที่ผ้าเช็ดหน้าหาย ข้ากับนางอยู่ด้วยกัน เวลานั้นข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่านางจะวางแผนไว้ก่อนแล้ว” 


 


 


ซูจิ่วซือเข้าใจความหมายที่กู้ชิงเฉิงพูด จางเฉิงรักกู้ชิงเฉิงอยู่ก่อน เมื่อมีโอกาสได้รับผ้าเช็ดหน้าของกู้ชิงเฉิงก็ไม่ยอมทิ้ง แต่เก็บไว้กับตัวจึงเป็นเรื่องธรรมดา นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหลักฐานให้กู้เฝิ่นไต้ใส่ร้ายว่าทั้งสองลักลอบเป็นชู้กัน 


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบกู้เฝิ่นไต้ไม่ปรากฏตัวเลย เรื่องนี้จึงไม่มีใครสงสัยในตัวนาง อย่างมากก็มีแต่กู้ชิงเฉิงเท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็นคนใส่ร้าย 


 


 


เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อกู้เฝิ่นไต้ ทั้งสองแม้โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แต่กู้เฝิ่นไต้ไม่ได้ถือว่ากู้ชิงเฉิงเป็นพี่น้องของพระนาง 


 


 


“ชิงเฉิง เจ้าโกรธกู้เฝิ่นไต้หรือไม่” 


 


 


“ก่อกรรมมามากกรรมย่อมตามสนอง นางไม่มีวันพบจุดจบที่ดีแน่ ข้าอยู่นี่ยังมีที่สงบ แต่นางสุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย ข้ารอดูจุดจบของนางอยู่” 


 


 


“นางไม่คิดจะละเว้นเจ้า เจ้าต้องระวังนางไว้” 


 


 


ซูจิ่วซือยังคงห่วงกู้ชิงเฉิง แม้เวลานี้กู้เฝิ่นไต้ถูกกักบริเวณ แต่เป็นเพียงชั่วคราว อีกไม่นานกู้เฝิ่นไต้ก็จะออกมา รอนางออกมาแล้วคงเกิดเรื่องแน่ 


 


 


กู้ชิงเฉิงขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีวันละเว้นนางแน่ จิ่วซือ เจ้าเองก็ระวัง เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าไม่อยากให้เจ้าพลอยเดือดร้อน” 


 


 


“กู้เฝิ่นไต้มองว่าข้าเป็นหนามตำตา ถึงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น กู้เฝิ่นไต้ก็ไม่ละเว้นข้าแน่ ชิงเฉิง ข้าจะปกป้องเจ้า” 


 


 


กู้ชิงเฉิงมองซูจิ่วซือด้วยความประหลาดใจ นึกว่าตนฟังผิด นางอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าเป็นน้องสาวข้า เรื่องปกป้อง ข้าต่างหากที่ควรจะปกป้องเจ้า แม้ข้าจะอยู่ในวังจื่อจิงไม่ออกไปไหน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาไม่น้อย ทำไมดูถูกข้าอย่างนี้เล่า” 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น” 


 


 


ซูจิ่วซือรีบอธิบาย 


 


 


“จิ่วซือ เจ้าไม่เหมือนเมื่อตอนเด็กเลย” 


 


 


“คนเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง ชิงเฉิง ข้าอยากให้เจ้ามีความสุข” 


 


 


กู้ชิงเฉิงหัวเราะหึอย่างขมขื่น ไม่พูดไม่จา ได้แต่มองไกลออกไป นางกับเฟิ่งอวิ๋นหล่างก้าวมาถึงขั้นนี้ ยังจะมีความสุขได้อีกหรือ 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างเคยรับปากนางไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะทรงเชื่อใจนางเสมอ แต่สุดท้ายพระองค์ทรงกลืนคำตรัสนี้ นางจึงตัดสินใจแล้วว่า คงจะอยู่วังจื่อจิงไปจนแก่ตาย 


ตอนที่ 214 บีบหงเหลียนให้สารภาพ 


 


 


 


 


 


ในห้องหนังสือจวนสกุลกู้  


 


 


หงเหลียนคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ากู้เหยี่ยน นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในใจรู้สึกวิตก พอเห็นสีหน้าเครียดของกู้เหยี่ยน นางก็กระสับกระส่ายขึ้นมาทันที 


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงกู้เหยี่ยน ในที่สุดหงเหลียนก็อดไม่ได้ ถามอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าผู้น้อยทำผิดอะไร นายท่านโปรดอธิบาย” 


 


 


“เมื่อยี่สิบปีก่อน เจ้าทำอะไรกับซูหลิ่ว” 


 


 


คำพูดนี้ทำให้หงเหลียนหน้าซีด 


 


 


ทำไมกู้เหยี่ยนอยู่ดีๆ ก็ยกเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนมาพูด หรือว่าเขาตรวจพบอะไร เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้นไม่มีร่องรอยเลย เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าซูหลิ่วป่วยตายเพราะโรคที่ซูหมิงติดมาจากหนานเจียง 


 


 


พอเห็นสีหน้าของหงเหลียนเปลี่ยนไป กู้เหยี่ยนก็เข้าใจทันที เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ เขาโกรธจนควบคุมไม่อยู่ พูดเสียงกร้าว “หงเหลียน เจ้าบังอาจนัก กล้าวางยาพิษซูหลิ่ว 


 


 


ตั้งแต่เล็กเจ้าก็ใกล้ชิดกับซูหลิ่วมาตลอด นางเชื่อใจเจ้าขนาดนั้น เจ้ายังทำร้ายนางถึงชีวิต บ่าวสารเลวอย่างนี้ ข้าจะลงโทษอย่างหนัก ไม่เพียงแต่เจ้า ยังมีครอบครัวพี่ชายเจ้าอีก ข้าจะไม่ละเว้น ข้าจะให้พวกเจ้าไปอยู่ในหลุมกับซูหลิ่ว” 


 


 


คำพูดนี้ทำให้ซูเหลียนตกใจ รีบโขกหัว “นายท่าน นายท่านเข้าใจผิด บ่าวถึงจะมีความกล้าล้นฟ้าก็ไม่กล้าทำร้ายฮูหยิน เรื่องนี้นายท่านเข้าใจผิด ฮูหยินดูแลข้ามาตลอด บ่าวจะทำชั่วอย่างนี้ได้อย่างไร” 


 


 


“เจ้าไม่ต้องแก้ตัว จะเล่าเรื่องตอนนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียด หรือจะให้ฆ่าครอบครัวพี่ชายเจ้าก่อน ข้าได้ยินว่าเมื่อเดือนที่แล้วหลานเจ้าเพิ่งแต่งงาน ชีวิตของครอบครัวอยู่ในกำมือเจ้า ข้าให้โอกาสเจ้าแค่ครั้งเดียว จะบอกหรือไม่บอก เจ้าตัดสินใจเอง” 


 


 


หงเหลียนกระวนกระวาย โขกหัวครั้งแล้วครั้งเล่า “นายท่าน เข้าใจผิด บ่าวไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ ฮูหยินตายเพราะอะไรนายท่านก็รู้แน่แก่ใจ” 


 


 


“พ่อบ้านหลิว เข้ามา” 


 


 


กู้เหยี่ยนไม่ใส่ใจหงเหลียน กลับเรียกพ่อบ้านหลิวเข้ามา พอได้ยินเสียงเรียก พ่อบ้านหลิวก็เดินเข้ามา ถามอย่างนอบน้อม “นายท่านมีอะไรจะสั่ง” 


 


 


“เจ้าส่งคนไปหาครอบครัวพี่ชายหงเหลียน สับเนื้อทุกคนให้หมากิน”  


 


 


พ่อบ้านหลิวตะลึง หงเหลียนเป็นคนใกล้ชิดที่ซูเหมยไว้ใจ ไปทำอะไรให้กู้เหยี่ยนไม่พอใจ ถึงกับจะสับเนื้อครอบครัวพี่ชายนาง วิธีนี้มีแต่ใช้กับศัตรูคู่อาฆาตเท่านั้น 


 


 


เดิมทีพ่อบ้านหลิวก็อยากถาม พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของกู้เหยี่ยน จึงกลืนคำพูดลงไป อย่าไปแตะโดนเคราะห์ ไม่เช่นนั้นกู้เหยี่ยนจะเอาเขาเป็นที่ระบายความโกรธ จึงรับปากอย่างนอบน้อม “ขอรับ” 


 


 


พอเห็นพ่อบ้านหลิวจะไป หงเหลียนก็ร้อนใจ เข้าไปกอดขาพ่อบ้านหลิวไว้ “อย่าไปนะ” 


 


 


“มานี่ ดึงตัวหงเหลียนออก” 


 


 


กู้เหยี่ยนออกคำสั่งต่อ วันนี้เขาต้องบีบหงเหลียนให้บอกเรื่องราวทั้งหมดให้ได้ 


 


 


หงเหลียนกลัวจริงๆ นางตายไม่เป็นไร แต่ครอบครัวพี่ชายจะตายไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


“นายท่าน ข้าบอก ข้าบอก ขอร้องละนายท่านละเว้นพี่ชายบ่าวเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขาไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว” 


 


 


“พ่อบ้านหลิว ออกไปก่อน” 


 


 


พ่อบ้านหลิวรีบออกไปอย่างนอบน้อม หงเหลียนคลานเข่าเข้าไปหา ก้มหน้าพูด “ตอนนั้นฮูหยินถูกวางยาพิษจริงๆ บ่าวเป็นคนวางยาพิษเอง” 


 


 


“ใครใช้ให้เจ้าทำ” 


 


 


แม้จะรู้แน่ชัดแล้วว่าเป็นใคร แต่กู้เหยี่ยนก็ยังอยากฟังจากปากของหงเหลียน 


 


 


“ไม่มีใครใช้ บ่าวเป็นคนทำเอง” 


 


 


หงเหลียนรู้ดีว่าตนหนีไม่พ้นความตาย นางไม่ได้ซัดทอดซูเหมย ยอมรับความผิดทั้งหมดเอง 



ตอนที่ 215 โยนให้หมากิน 


 


 


 


 


 


“ทำไมเจ้าต้องทำอย่างนี้ด้วย” 


 


 


แม้ไม่เชื่อคำพูดของหงเหลียน แต่กู้เหยี่ยนก็ยังอยากฟังว่านางจะตอบอย่างไร 


 


 


“ฮูหยินดูแลข้าดีก็จริง แต่ฮูหยินเป็นคนเข้มงวด พี่ชายของบ่าวตอนหนุ่มไม่รู้จักคิด ติดหนี้พนันตั้งมากมาย บ่าวไปขอร้องฮูหยิน ขอให้ฮูหยินช่วยเพี่ชาย ฮูหยินปฏิเสธ บ่าวจึงแอบขโมยเครื่องประดับของฮูหยินไปใช้หนี้แทนพี่ชาย ฮูหยินโกรธบ่าวมาก ลงโทษบ่าวอย่างรุนแรง 


 


 


เรื่องนี้ทำให้บ่าวแค้น จึงได้ลงมือทำ บ่าวสมควรตาย หลายปีมานี้บ่าวไม่เป็นอันสงบ รู้สึกผิดต่อฮูหยิน เวลานี้นายท่านรู้ก็ดีแล้ว บ่าวขอยอมตาย” 


 


 


หงเหลียนโขกหัวอย่างแรง 


 


 


“เจ้าเอายาพิษอะไรมาให้ซูหลิ่ว” 


 


 


กู้เหยี่ยนถามต่อ 


 


 


“บ่าวก็ไม่รู้ว่าเป็นยาพิษอะไร ซื้อจากคนวงการนักเลง คนนั้นบอกว่าเอาใส่ในอาหารให้กินครั้งละน้อยทุกวัน ก็จะไม่มีใครรู้ บ่าวอยากทดลอง ไม่รู้จริงๆ ว่านักเลงคนนั้นขายยาพิษอะไรให้บ่าว” 


 


 


กู้เหยี่ยนยืนอยู่ข้างหน้าหงเหลียน ก้มลงมองนาง “ซูเหมยใช้ให้เจ้าทำใช่หรือไม่” 


 


 


หงเหลียนเงยหน้าขึ้น สั่นหัวอย่างหวาดกลัว “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฮูหยิน ฮูหยินเป็นคนใจดีมีเมตตา จะใช้ให้บ่าวทำเรื่องนี้ได้อย่างไร มาถึงขั้นนี้แล้ว บ่าวก็ไม่จำเป็นต้องหลอกนายท่าน ทุกอย่างที่บ่าวพูดเป็นความจริงทั้งหมด นายท่านโปรดพิจารณา” 


 


 


หงเหลียนจำเป็นต้องรับความผิดทั้งหมดเอง ถ้านางซัดทอดซูเหมย ก็จะเดือดร้อนไปถึงครอบครัวของพี่ชายนาง 


 


 


พี่ชายนางแม้เป็นคนไม่เอาไหน แต่ก็เป็นพี่ชายแท้ๆ นางไม่อาจทอดทิ้งพวกเขา ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ตอบแทนพ่อแม่ที่ปรโลก 


 


 


ปีนั้นซูเหมยก็ใช้ครอบครัวพี่ชายนางมาควบคุมนางไว้ หลายปีผ่านมา นางไม่อาจทรยศซูเหมย ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็สูญเปล่า นางเป็นคนวางยาพิษ เวลานี้จึงถือว่าเอาชีวิตชดใช้ชีวิตของซูหลิ่ว หลายปีมานี้ เรื่องนี้เป็นปมในใจของนางมาตลอด เพียงแต่นางไม่กล้าคิดมาก 


 


 


กู้เหยี่ยนไม่พูดไม่จา ห้องหนังสือเงียบสงัด หงเหลียนเครียดจนสุดทน นางไม่รู้ว่ากู้เหยี่ยนจะเชื่อคำพูดของนางหรือไม่  


 


 


กู้เหยี่ยนกับซูเหมยเป็นสามีภรรยากันมายี่สิบปีแล้ว พอหงเหลียนปฏิเสธอย่างหนักแน่น เขาก็เชื่อคำพูดของหงเหลียน 


 


 


ในสายตาของเขา ซูเหมยแม้เป็นคนมี แต่ก็ไม่ถึงขั้นนี้ เขารู้สึกว่าซูเหมยเองก็ควบคุมหงเหลียนไม่ได้นานแล้ว นางเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา 


 


 


จู่ๆ กู้เหยี่ยนก็ชักกระบี่ที่แขวนผนังออกมา แทงท้องของหงเหลียนทีหนึ่ง หงเหลียนร้องโหยหวน ล้มลงกับพื้น พื้นแดงฉาน  


 


 


“เข้ามา เอาหงเหลียนไปโยนให้หมาป่ากินที่ที่ทิ้งศพอนาถา” 


 


 


กู้เหยี่ยนชักกระบี่ออก สั่งอย่างอำมหิต 


 


 


“นายท่าน บ่าวสมควรตาย แต่ขอร้องนายท่านอย่าทำร้ายครอบครัวพี่ชายข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา” 


 


 


หงเหลียนข่มความเจ็บปวดที่ท้อง พูดออกมาอย่างยากเย็น 


 


 


“เอาตัวไป” 


 


 


กู้เหยี่ยนไม่รับปากและไม่ปฏิเสธ หงเหลียนอยู่จวนสกุลกู้มาหลายปี รู้ความคิดของกู้เหยี่ยนดี ครอบครัวพี่ชายนางปลอดภัยแล้ว กู้เหยี่ยนไม่ทำร้ายครอบครัวพี่ชายนางแน่ 


 


 


ครู่หนึ่งก็มีคนลากหงเหลียนออกไป หงเหลียนโล่งอก ก้มหน้า นางรู้ว่าคราวนี้ตนต้องตายแน่ ซูเหมยช่วยนางไม่ได้ และไม่ช่วยนางแน่  


 


 


กู้เหยี่ยนปล่อยมือ กระบี่ในมือหล่นพื้นส่งเสียงดังกังวาน ซูหลิ่วถูกวางยาพิษตายจริงๆ ส่วนเขาไม่รู้อะไรเลย ว่าไปแล้วก็เพราะเวลานั้นเขาไม่ได้ใส่ใจซูหลิ่ว 


 


 


กู้เหยี่ยนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนทำผิดต่อซูหลิ่ว วันข้างหน้าถ้าพบกันในปรโลก เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับซูหลิ่วอย่างไร ไม่กล้าคาดหวังว่าซูหลิ่วจะให้อภัยเขา


ตอนที่ 216 ในที่สุดก็พูดความจริง 


 


 


 


 


 


หลังจากหงเหลียนถูกลากตัวออกมา กู้เฉินหรงซึ่งหลบอยู่นอกประตูก็รีบซ่อนตัว พอคนเดินห่างไปแล้ว เขาจึงติดตามอย่างเงียบๆ กู้เหยี่ยนถามจบแล้ว แต่กู้เฉินหรงยังมีเรื่องจะถามหงเหลียนอีก 


 


 


พอถึงที่ทิ้งศพอนาถา รถม้าของจวนสกุลกู้ก็หยุด คนงานสองคนหามร่างของหงเหลียนเดินเรียงหน้า โยนหงเหลียนไปยังกองศพอย่างแรง  


 


 


ที่ทิ้งศพอนาถามีแต่เป็นศพไร้ญาติ บริเวณนั้นมีหมาป่า ศพที่ถูกทิ้งส่วนใหญ่ถูกหมาป่าแทะ กลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งกระจายไปไกล  


 


 


หลังจากรถม้าสกุลกู้ออกไปแล้ว กู้เฉินหรงซึ่งหลบอยู่ในที่ลับตาจึงปรากฏตัว ที่ทิ้งศพเหม็นจริงๆ เขาขมวดคิ้ว ทนดมกลิ่นเดินไปหาหงเหลียน 


 


 


เวลานี้หงเหลียนกำลังหายใจเฮือกสุดท้าย พอได้ยินเสียงคนเดิน นางก็ผงกหัวขึ้นอย่างยากเย็น เห็นกู้เฉินหรง นางตะลึงงัน “คุณชายรอง…” 


 


 


กู้เฉินหรงเหยียบตรงปากแผลที่ท้องของหงเหลียนอย่างไร้ความปรานี ความเจ็บปวดนี้ทำให้หงเหลียนเหงื่อไหล ใบหน้าบิดเบี้ยว 


 


 


“คุณชายรอง …” 


 


 


“คนที่สั่งให้เจ้าทำตอนนั้นคือซูเหมยใช่หรือไม่” 


 


 


กู้เฉินหรงเหยียบท้องของหงเหลียน ถามอย่างเ**้ยมเกรียม 


 


 


“บ่าวไม่รู้ว่าคุณชายพูดอะไร” 


 


 


“เรื่องที่เจ้ากับท่านพ่อพูดคุยกันข้าได้ยินหมด เจ้าไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าข้า ข้าขอถามอีกครั้ง คนที่สั่งให้เจ้าทำตอนนั้นคือซูเหมยใช่หรือไม่” 


 


 


“อะไรที่ควรพูดบ่าว…ก็พูดหมดแล้ว” 


 


 


“ที่ทิ้งศพอนาถาไม่ใช่ที่เหมาะ ตายในนี้ก็ไม่รู้ว่าจะลงนรกหรือไม่ เจ้าพยายามปกป้องครอบครัวของพี่ชายเจ้าไม่ใช่หรือ ให้ข้าส่งครอบครัวเจ้ามาอยู่พร้อมหน้ากัน ดีไหม” 


 


 


หงเหลียนรีบเบิ่งตากว้าง “คุณชาย อย่า…บ่าวขอร้อง…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับครอบครัวพี่ชายของบ่าวแม้แต่น้อย” 


 


 


“ข้าต้องการฟังความจริงเท่านั้น เจ้ายังมีโอกาสครั้งสุดท้าย ป้าหงเหลียน คิดดูให้ดี” 


 


 


หงเหลียนไม่กล้าบอกกู้เหยี่ยน เพราะหากกู้เหยี่ยนรู้ กู้เหยี่ยนต้องไปหาซูเหมยแน่ 


 


 


แต่กู้เฉินหรงไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องตอนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขานัก ถึงเขารู้ก็ไม่อาจไปพูดกับซูเหมยได้ พอเห็นสายตาดุดันของกู้เฉินหรง นางก็กลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าเขาจะทำร้ายครอบครัวพี่ชาย 


 


 


“บ่าวจะบอก เรื่องนี้ความจริงแล้วฮูหยินเป็นคนสั่ง” 


 


 


“ในที่สุดก็พูดความจริง” กู้เฉินหรงยกเท้าออก ถามต่อ “ซูเหมยติดสินบนเจ้าอย่างไร” 


 


 


หงเหลียนไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ครู่หนึ่งนางจึงพูดเสียงขาดห้วนเป็นระยะ “พี่ชายข้าได้รับโทษประหารข้อหาฆ่าคน หลักฐานอยู่ในมือฮูหยิน บ่าว…บ่าว…ไม่กล้าขัดขืน” 


 


 


“ไม่ว่าเจ้าจะทรยศนายด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นี่เป็นจุดจบที่เจ้าสมควรได้รับ” 


 


 


กู้เฉินหรงทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วหันหลังออกไป ที่นี่เหม็นสาบจริงๆ ขืนอยู่ต่อเขาคงทนไม่ไหวแน่ ซูเหมยทำร้ายซูจิ่วซืออย่างนี้ ก่อนไปเขาจะแก้แค้นให้ซูจิ่วซือ ไม่ให้โอกาสซูเหมยทำร้ายซูจิ่วซืออีก 


 


 


หงเหลียนมาถึงเส้นแบ่งความเป็นความตายแล้ว นางหลับตาไม่สนิท ราวกับมองเห็นซูหลิ่วเดินเข้ามาหา กับซูหลิ่ว นางยังรู้สึกผิดอยู่ ตอนนั้นซูหลิ่วเอาใจใส่นางไม่น้อย นางทรยศซูหลิ่ว 


 


 


แต่เรื่องที่นางบอกก็เป็นความจริง พี่ชายนางไม่เอาไหน ซูหลิ่วไม่อยากใส่ใจเรื่องของพี่ชายนาง แต่นางไม่ใส่ใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง เป็นพี่ชายแท้ๆ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางมาตลอด 


 


 


ข้าขอโทษ คุณหนู ข้ากำลังจะไปรับโทษที่ปรโลก 


 


 


วันนี้เป็นวันที่หงเหลียนเคยนึกว่าคงมาถึงสักวันหนึ่ง แต่นางไม่กล้าตายง่ายๆ  นางกลัวว่าพอนางตาย ซูเหมยจะทำให้ครอบครัวพี่ชายเดือดร้อน นางจึงจงรักภักดีต่อซูเหมยมาตลอดหลายปี และอยากให้ซูเหมยดูแลครอบครัวพี่ชายให้มากหน่อย 


 


 


 


 


 


——


ตอนที่ 217 ทำลายมือทั้งสองข้างของนาง 


 


 


 


 


 


รุ่งเช้าซูจิ่วซือจึงออกจากวัง นางกลัวว่ากู้เฉินหรงจะไปแล้ว ดังนั้นพอออกจากวังจึงไม่ได้กลับไปที่จวนอันผิงโหว แต่ไปจวนสกุลกู้ก่อน อยากเอาเชือกถักลายมงคลมอบให้กู้เฉินหรง 


 


 


ขณะที่กำลังเข้าไปในจวนสกุลกู้ นางยังไม่ทันไปหากู้เฉินหรง ซูเหมยก็เรียกนางไปหา 


 


 


ซูเหมยรู้ว่าหงเหลียนตายแล้ว เวลานี้ความโกรธแค้นในใจไม่มีที่ระบาย พอเห็นซูจิ่วซือมาหากู้เฉินหรง จึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ 


 


 


ซูจิ่วซือตามสาวใช้จวนสกุลกู้เข้าไปในห้องของซูเหมย ซูเหมยนั่งเอนตัวบนเตียง ในห้องจุดกำยานสงบใจ มีสาวใช้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ นวดขมับให้ 


 


 


พอเห็นซูจิ่วซือเดินเข้ามา ซูเหมยให้สาวใช้ที่นวดขมับออกไป ลืมตาขึ้น จ้องมองซูจิ่วซืออย่างเย็นชา “ไม่เห็นองค์หญิงอันผิงไม่กี่วัน องค์หญิงไม่รู้จักทักทายท่านอาแล้วหรือ” 


 


 


“บางคนไม่คู่ควรเป็นอา ซูฮูหยินมีอะไรจะสั่งสอนหรือ” 


 


 


ในเมื่อฐานะของนางเวลานี้คือองค์หญิงอันผิง ไม่จำเป็นต้องเอาใจฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง ซูเหมยก็ทำอะไรนางไม่ได้ 


 


 


ซูเหมยลุกขึ้นนั่ง “ข้าประเมินฝีมือเจ้าต่ำไป กล้าใส่ร้ายกู้เฝิ่นไต้จนถูกกักบริเวณ เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าหรือ” 


 


 


“เรื่องนี้ซูฮูหยินเข้าใจผิดมาตลอด กู้เฝิ่นไต้จงใจทำร้ายข้า ที่พระนางตกอยู่ในสภาพอย่างนี้เป็นเพราะกรรมที่ตนก่อไว้” 


 


 


ซูจิ่วซือสีหน้าราบเรียบ เวลานี้นางกับซูเหมยเป็นคู่ต่อสู้ที่มีกำลังเสมอกัน น้ำเสียงที่พูดกับซูเหมยจึงเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่จำเป็นต้องนอบน้อม ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีก 


 


 


สายตาของซูเหมยหยุดอยู่ที่นิ้วมือที่มีผ้าพันแผลของซูจิ่วซือ ดวงตาฉายแววอำมหิต เจ้าเด็กนี่ไม่เห็นนางอยู่ในสายตา นางต้องสั่งสอนให้หนัก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง 


 


 


นางเป็นองค์หญิงอันผิงแล้วจะเป็นอย่างไร แม้ตนไม่อาจทำอะไรนางได้มากนัก แต่ทำให้มือสองข้างนั่นพิการได้ 


 


 


พอคิดได้อย่างนี้ ซูเหมยจึงพยักหน้าให้สาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆ สาวใช้สองคนนี้เข้าใจความหมาย จึงเข้าไปจับซูจิ่วซือไว้ 


 


 


ขณะที่จื่อหลานกำลังจะพุ่งเข้าไปปกป้องซูจิ่วซือ เสียงซูเหมยก็ร้องสั่งขึ้น สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกผลักประตูเข้ามา จับจื่อหลานไว้ 


 


 


“ซูฮูหยิน ทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร คุณหนูของข้าได้รับการแต่งตั้งจากไทเฮาให้เป็นองค์หญิง ถ้าฮูหยินบังอาจทำร้ายนาง ไทเฮาคงไม่ให้อภัยซูฮูหยินแน่” 


 


 


ซูเหมยยิ้ม “พอได้เป็นองค์หญิงก็เปลี่ยนไป แม้แต่คนใช้ใกล้ชิดก็พูดเสียงกระด้าง” 


 


 


พูดจบ ซูเหมยก็ลุกเดินมาอยู่หน้าซูจิ่วซือ ยังคงรักษากิริยาอ่อนโยนน่าใกล้ชิด “จิ่วซือ นิ้วมือเจ้ายังเจ็บอยู่ อาสะใภ้ไม่วางใจ ข้ามียารักษาแผลชั้นดี จะทาให้เจ้า!” 


 


 


พูดจบก็หยิบขวดลายเขียวออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง เดินเข้ามาหาซูจิ่วซือช้าๆ แล้วสั่ง “เข้ามา เอาผ้าพันแผลองค์หญิงออก ข้าจะทายาให้องค์หญิงเอง” 


 


 


ซูเหมยเน้นคำว่าทายาอย่างหนักแน่น นางจะทำให้มือคู่นี้พิการ พูดจบก็ปรายตามองซูจิ่วซือ ยิ้มที่มุมปาก สายตานั้นอำมหิต 


 


 


ซูจิ่วซือเข้าใจเจตนาของซูเหมยดี นิ้วมือของนางบาดเจ็บอยู่ก่อน พอถึงตอนนั้นซูเหมยก็พ้นจากข้อสงสัยทุกอย่าง ไม่มีใครจับผิดนางได้เลย 


 


 


สาวใช้สองคนกลัวว่าซูจิ่วซือจะดิ้น จึงจับซูจิ่วซือไว้แน่น 


 


 


พอได้ยินซูเหมยสั่ง แม่เฒ่าคนหนึ่งก็เข้ามา ดึงผ้าพันแผลที่มือของซูจิ่วซือออกอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดที่แล่นเข้าไปถึงหัวใจทำให้ซูจิ่วซือขมวดคิ้ว 


 


 


ซูจิ่วซือขยับมือไม่ได้ แต่ขยับเท้าได้ พอเห็นซูเหมยเข้ามายืนข้างหน้า นางก็ยกเท้าขึ้น กระทืบหลังเท้าของซูเหมยอย่างแรง


ตอนที่ 218 เจ้าคู่ควรเป็นแม่ของข้าหรือ


 


 


 


 


ซูจิ่วซือกระทืบลงไปอย่างแรง ถือโอกาสตอนที่ซูเหมยยังไม่ได้สติ รีบโถมตัวเข้าไป ชนซูเหมยจนสุดตัว ซูเหมยเพิ่งถูกกระทืบเท้า แล้วถูกชนอีก นางเซถลาไปข้างหลังหลายก้าว


 


 


ด้านหลังมีโต๊ะตัวหนึ่ง เอวจึงกระแทกโต๊ะอย่างแรง ซูเหมยร้องโอยด้วยความเจ็บปวด น้ำตาแทบไหล


 


 


สาวใช้ทั้งสองจับซูจิ่วซือไว้แน่น กลัวว่าซูจิ่วซือจะดิ้นหลุดอีก


 


 


แม่เฒ่ารีบเข้ามาประคองซูเหมย ถามอย่างตกใจ “ฮูหยิน ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ!”


 


 


ซูเหมยทนเจ็บ ลุกขึ้นยืนตรง เดินไปข้างหน้าซูจิ่วซือ จับข้อมือซูจิ่วซือไว้ “จิ่วซือ ในเมื่อเจ้าไม่ชอบให้แม่เฒ่าถอดผ้าพันแผล งั้นข้าจะถอดให้เจ้าเอง”


 


 


พูดจบ ซูเหมยก็กระชากผ้าพันแผลที่มือของซูจิ่วซือออก ผ้าพันแผลแดงฉานทันที มีเลือดสดๆ ซึมออกมา


 


 


ซูเหมยเตรียมจะดึงอีก ขณะนั้นเองจู่ๆ ก็มีคนผลักประตูห้องเข้ามา กู้เฉินหรงเตะเข้าที่ลำตัวของซูเหมย ยื่นมือไปคว้าซูจิ่วซือเข้ามากอดแนบอก ด้วยแรงเตะทำให้ซูเหมยกระเด็นออกไป แล้วกระแทกลงกับพื้น


 


 


คนรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างตาค้าง นึกไม่ถึงว่ากู้เฉินหรงจะกล้าเตะฮูหยิน แม่เฒ่าได้สติจะตะโกนเรียกคนมาช่วย กู้เฉินหรงตะโกนขึ้น “ปิงอวิ๋น…”


 


 


ทันทีที่กู้เฉินหรงพูดจบ เงาคนสีดำเงาหนึ่งก็แวบเข้ามาชั่วพริบตา คนใช้ทั้งหมดในห้องก็สลบไป ซูเหมยนอนที่พื้นตะลึงมองปิงอวิ๋น นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าในจวนสกุลกู้จะมียอดฝีมืออย่างนี้ด้วย


 


 


หลังจากจัดการกับสาวใช้ในห้องแล้ว ปิงอวิ๋นก็ออกไปพร้อมกับปิดประตู ราวกับว่าไม่ได้เข้ามาในห้อง แม้แต่จื่อหลานก็ยังตะลึงงัน ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ


 


 


“เจ้ามาได้อย่างไร”


 


 


ซูจิ่วซือไม่ได้บอกกู้เฉินหรงไว้ก่อน นึกไม่ถึงว่ากู้เฉินหรงรู้ว่านางอยู่ที่นี่กับซูเหมย


 


 


“ถ้าข้าไม่มา คงไม่รู้ว่าเจ้าลำบาก ขอดูมือหน่อย”


 


 


กู้เฉินหรงพูดจบก็จับมือซูจิ่วซือ ตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียด


 


 


พอเห็นรอยเลือดสีแดงสดบนผ้าพันแผล กู้เฉินหรงก็ห่วงมาก “แย่แล้ว บาดแผลเจ้าเพิ่งจะหาย คราวนี้เปิดออกอีก เดี๋ยวข้าให้คนมาพันแผลให้”


 


 


กู้เฉินหรงพูดจบก็เตรียมจะพาซูจิ่วซือออกไปจากห้อง ซูจิ่วซือสั่นหัว “รอเดี๋ยว ไม่ต้องห่วงเรื่องแผล ข้ายังมีธุระ”


 


 


กู้เฉินหรงจึงนึกขึ้นได้ว่าซูเหมยยังอยู่ในห้อง เขาคลายมือปล่อยซูจิ่วซือ เดินเข้าไปหาซูเหมย


 


 


ซูเหมยมองกู้เฉินหรง แววตาราวกับจะฆ่าให้ตาย เลี้ยงเสือเสือแว้งกัดหรือนี่ ตอนนั้นนางเห็นกู้เฉินหรงฉลาดปราดเปรียว ยอมฆ่าคนทั้งหมู่บ้านสกุลหลิวเพื่อชิงตัวเขา


 


 


หลายปีมานี้ กู้เฉินหรงไม่เคยทำให้นางผิดหวัง นึกไม่ถึงว่าพอโตขึ้นเขากลับทำร้ายนางเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง การเลี้ยงดูกู้เฉินหรงเป็นเรื่องที่นางรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิต  


 


 


“เจ้าลูกอกตัญญู! ข้าเป็นแม่เจ้า เจ้าเห็นแม่คนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่ ทำไมถึงอกตัญญูอย่างนี้ หลายปีที่ผ่านมาข้าสู้อุตส่าห์ทนลำบากเลี้ยงดูเจ้าจนโต บุญคุณที่เลี้ยงดูยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด แต่เจ้ากลับลืมคุณธรรมความกตัญญู”


 


 


กู้เฉินหรงก้มลงมองซูเหมย ยิ้มหยัน “ตอนที่เจ้าฆ่าพ่อแม่ข้าเคยนึกถึงคุณธรรมหรือไม่ เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาพูดเรื่องคุณธรรมความกตัญญูกับข้า เจ้าคู่ควรเป็นแม่ของข้างั้นหรือ”


 


 


 


 


——


ตอนที่ 219 ทำร้ายไม่ลง


 


 


 


 


ซูเหมยสีหน้าเปลี่ยน นางทำลายมุกโลหิตไปแล้ว แต่ทำไมกู้เฉินหรงจึงรู้เรื่องนี้ ใครเป็นคนบอกเขา หรือว่าหงเหลียน?


 


 


ซูเหมยสงสัยหงเหลียนขึ้นมาทันที


 


 


“ซูเหมย ไม่ต้องแก้ตัว เรื่องเมื่อก่อนข้านึกออกนานแล้ว เจ้าทำอะไรลงไปข้ารู้ดี


 


 


เจ้าบอกว่าเจ้าทนลำบากเลี้ยงดูข้าจนโต น่าขันจริงๆ  ตั้งแต่ต้นจนถึงเดี๋ยวนี้เจ้าถือข้าเป็นเบี้ยไว้ใช้ประโยชน์เท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือ เจ้าทำไม่ดีกับข้า ข้ายังพอทนได้ แต่ข้าไม่ยอมให้เจ้ารังแกจิ่วซือเด็ดขาด”


 


 


ซูเหมยนึกไม่ถึงว่ากู้เฉินหรงจะฟื้นความจำได้ มุกโลหิตที่นางใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อเป็นของปลอม


 


 


ซูเหมยโกรธจนแทบกระอักเลือด นางสะกดความเจ็บปวดพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น “ถ้าไม่มีข้า จนถึงเดี๋ยวนี้เจ้าก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เป็นคนบ้านป่า เวลานี้เจ้ามีทุกอย่างก็เพราะข้ามอบให้ เฉินหรง ข้าเป็นคนทำให้เจ้ามีชีวิตหรูหราสุขสบาย”


 


 


“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านแม่ว่า ข้าก็ควรขอบใจ แต่เจ้าทำเพื่อตัวเอง ถึงกับฆ่าแม่ข้าต่อหน้าต่อตาข้า และยังฆ่าทุกคนในหมู่บ้านสกุลหลิว จนถึงเดี๋ยวนี้ เจ้ายังไม่สำนึกผิด ยังมีหน้ามาพูดอีก ซูเหมย ข้าจะฆ่าเจ้าตอนนี้ แก้แค้นแทนพ่อแม่ข้า”


 


 


กู้เฉินหรงนึกไม่ถึงว่าซูเหมยไม่สำนึกผิดเรื่องที่ทำตอนนั้น ที่เขาไม่ได้จัดการซูเหมย เดิมทีเพราะนึกถึงบุญคุณที่ได้เลี้ยงดูเขาให้เติบโตมาในจวนสกุลกู้


 


 


เวลานี้พอเห็นสีหน้าท่าทางของซูเหมย เขาก็เกิดความคิดอยากฆ่านาง คนอย่างนี้ปล่อยไว้ทำไม ขืนปล่อยไว้จะเป็นภัยต่อซูจิ่วซือ


 


 


กู้เฉินหรงพูดจบก็บีบคอซูเหมย ซูจิ่วซือมองด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร ถ้าซูเหมยตายอย่างนี้ก็สบายเกินไป


 


 


ซูจิ่วซือไม่คิดจะเอาชีวิตของซูเหมยตอนนี้ แต่อยากให้ซูเหมยสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ให้นางลิ้มรสความเจ็บปวดจากการตกลงมาจากที่สูง


 


 


แต่ซูเหมยฆ่าพ่อแม่กู้เฉินหรงสร้างความแค้นให้กับกู้เฉินหรง ซูจิ่วซือจึงไม่ได้ห้ามเขา


 


 


ซูเหมยนึกไม่ถึงว่ากู้เฉินหรงจะกล้าบีบคอตนจริงๆ  นางตกใจขึ้นมาทันที พูดขอร้อง “เฉินหรง ข้าเป็นแม่เจ้า หลายปีมานี้ข้าดูแลเจ้าอย่างดี เจ้าจะฆ่าข้าจริงหรือ”


 


 


“สกุลกู้ต่างหากที่ดูแลข้า ไม่ใช่เจ้า วันนี้ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าแน่”


 


 


แม้ปากจะพูดอย่างนี้ แต่กู้เฉินหรงก็ไม่ได้ลงมือรุนแรง เขาถือว่าซูเหมยเป็นแม่ของเขามาตลอด ตอนเด็กเขายังหวังว่าซูเหมยจะรักเขาบ้าง การลงมือฆ่าซูเหมยด้วยตัวเอง เขารู้สึกไม่สบายใจ ไม่อาจลงมืออย่างไม่ลังเล


 


 


เมื่อเห็นว่ากู้เฉินหรงทำไม่ลง ซูจิ่วซือก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจ ขณะที่เตรียมจะเตือนกู้เฉินหรง จู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูห้องเข้ามา


 


 


“พี่รอง ทำอะไร!”


 


 


กู้จื่อหยวนมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตกใจ รีบวิ่งเข้ามา ผลักกู้เฉินหรงออก


 


 


ซูเหมยกระแอมไอเบาๆ สีหน้าหวาดกลัว ไม่พูดไม่จา ไออย่างต่อเนื่อง


 


 


กู้จื่อหยวนลูบหลังซูเหมยแล้วพุ่งเข้าใส่กู้เฉินหรง จับเสื้อของกู้เฉินหรงไว้ “เจ้าทำกับท่านแม่อย่างนี้ได้อย่างไร! พี่รองบ้าไปแล้วหรือ นี่ท่านแม่ของเรานะ เมื่อกี้จะทำอะไร จะฆ่าท่านแม่หรือ”


 


 


กู้เฉินหรงไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ดึงมือกู้จื่อหยวนออก “เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”


 


 


“จื่อหยวน แม่กับพี่รองไม่มีเรื่องอะไร แค่เข้าใจผิดเล็กน้อย แม่เรียกจิ่วซือเข้ามา อยากทายาให้ เฉิงหรงนึกว่าแม่จะทำร้ายจิ่วซือ เลยโกรธจะทำร้ายแม่ อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มาทำลายความเป็นพี่น้องเลย”


ตอนที่ 220 กู้เฉินหรงผู้อ่อนโยน  


 


 


 


 


 


คำพูดของซูเหมยยิ่งทำให้ความเป็นพี่น้องห่างกัน กู้จื่อหยวนไม่พอใจกู้เฉินหรงอยู่ก่อนแล้วเพราะซูจิ่วซือ เวลานี้พอเห็นกู้เฉินหรงทำเพื่อซูจิ่วซือถึงกับจะฆ่าท่านแม่ ความรู้สึกโกรธยิ่งทวีคูณ 


 


 


“เป็นลูกชาย ทำไมจึงอกตัญญูอย่างนี้ พี่รอง จิ่วซือเป็นคู่หมั้นของข้า ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาปกป้อง” 


 


 


ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องตึงเครียดถึงขีดสุดแล้ว ซูจิ่วซือยังคงปกป้องกู้เฉินหรง “เพราะเจ้ายังไม่รู้ว่าแม่เจ้าเคยทำอะไรให้กู้เฉินหรงบ้าง” 


 


 


จู่ๆ กู้เฉินหรงก็ยื่นมือไปจับข้อมือซูจิ่วซือ แล้วพูดขึ้น “จิ่วซือ ไปกันเถอะ” 


 


 


พูดจบก็พาซูจิ่วซือออกไปจากห้อง กู้จื่อหยวนอยากตามออกไป แต่พอเห็นซูเหมยสีหน้าอ่อนล้า สุดท้ายเขาก็อยู่กับซูเหมย  


 


 


สภาพเช่นนี้ทำให้ซูเหมยพอใจ เดิมทีนางก็ไม่อยากให้กู้จื่อหยวนใกล้ชิดกับกู้เฉินหรงเกินไป และไม่อยากให้กู้จื่อหยวนแต่งงานกับซูจิ่วซือ การที่กู้จื่อหยวนตัดใจจากสองคนนี้ได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด 


 


 


กู้เฉินหรงพาซูจิ่วซือมาที่ห้องของเขา แล้วบอกปิงอวิ๋นให้ค้นหากล่องยา 


 


 


พอเห็นแผลตกสะเก็ดที่นิ้วมือของซูจิ่วซือกลายเป็นแผลเปิดอีก เขาก็อดห่วงไม่ได้ “แผลเจ้ายังไม่หายดี ทำไมจึงรีบมาที่จวนสกุลกู้ ข้าจะใส่ยาให้ เจ็บหน่อยนะ อดทนหน่อย” 


 


 


กู้เฉินหรงพูดจบก็ให้ซูจิ่วซือนั่งบนม้านั่ง ตัวเขาคุกเข่าลงข้างหน้าซูจิ่วซือ เอายาทาอย่างเบามือ ยาเย็นๆ พอแตะถูกแผลก็ทำให้เกิดความรู้สึกแสบ ซูจิ่วซือหดมือกลับ 


 


 


“ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” กู้เฉินหรงพูดจบก็เป่าที่มือของซูจิ่วซือ ท่าทางเก้งก้าง ลมเย็นพัดถูกนิ้วมือของซูจิ่วซือ นางรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที  


 


 


ดูเหมือนว่านางจะซาบซึ้งในการกระทำของกู้เฉินหรง  


 


 


“จิ่วซือ วันหลังไม่ว่าอย่างไรก็อย่าแต่งงานกับจื่อหยวน เขาชอบเจ้าก็จริง แต่เขาไม่พ้นจากเงาของซูเหมย เขาปกป้องเจ้าไม่ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่ปล่อยซูเหมยแน่ วันหลังเจ้าจะแต่งงานกับใครก็ได้ แต่กับจื่อหยวนไม่ดีแน่” 


 


 


“ชาตินี้ข้าไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้” 


 


 


พอได้ยินนางพูดอย่างนี้ กู้เฉินหรงก็เงยหน้าขึ้น พูดเล่นๆ “พอข้าไปเจ้าก็จะไม่แต่งกับใครเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้ารอข้าก็แล้วกัน ไม่แน่ผ่านไปหลายปี ข้าจะมาหาเจ้า แล้วเจ้าก็อาจจะอยากแต่งงานกับข้าพอดี” 


 


 


“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ก็ต้องรู้ว่าทำไมข้าจึงพูดอย่างนี้” 


 


 


“ปล่อยวางอดีตก็พอ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับท่านพ่อผ่านอะไรมาบ้าง แต่ข้ารู้ว่าท่านพ่อทำร้ายเจ้า จิ่วซือ เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดี อย่าคิดถึงแต่อดีตเลย” 


 


 


ซูจิ่วซือหัวเราะ “กู้เฉินหรง ขอบใจเจ้า” 


 


 


“ข้าก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานกับเจ้า ขอบใจข้าทำไม ข้าก็มีจุดหมายของข้าเอง” กู้เฉินหรงพูดล้อเล่น แล้วอดหัวเราะไม่ได้ 


 


 


จากนั้นทั้งสองก็ไม่พูดไม่จา พอกู้เฉินหรงทายาให้ซูจิ่วซือแล้ว ก็พันแผลให้อย่างระมัดระวัง กว่าจะเสร็จเวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วยาม 


 


 


กู้เฉินหรงนั่งคุกเข่าที่พื้นเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ขาทั้งสองข้างชาไปหมด เขาลุกขึ้นนวดขา ถอนหายใจแล้วยืนตรง “ก่อนแผลหายอย่าออกไปข้างนอก ถ้าเรื้อรังขึ้นมาคงไม่ดีแน่” 


 


 


ซูจิ่วซือหยิบเชือกถักลายมงคลออกจากอกเสื้อ ยื่นให้กู้เฉินหรง “เชือกถักนี้ให้เจ้า ขอให้เดินทางปลอดภัย” 


 


 


กู้เฉินหรงรับเชือกถักลายมงคลมาวางบนฝ่ามือแล้วลูบ แววตาสีหน้าอ่อนโยน “เจ้ามาหาข้าหรือ” 


 


 


——

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม