ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 201-208

 ตอนที่ 201 โต้วาที เสน่ห์ของอวี๋กานกาน (1)


 


 


อวี๋กานกานถูกหวังไอ้เจินเดินจูงให้มานั่งด้านหน้า งานสัมมนาวันนี้ เธอก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ได้กะจะออกความเห็นอะไร


 


 


ในตอนที่เซียวเสี่ยวอิงเริ่มอภิปราย อวี๋กานกานรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ เหมือนว่าตัวเองกำลังจะถูกเรียกชื่อ


 


 


เป็นดังคาด


 


 


“แพทย์แผนจีนสืบทอดมายาวนานเป็นพันๆ ปี แทนที่จะกล่าวว่าเพราะความทันสมัยของแพทย์แผนตะวันตก ทำให้แพทย์แผนจีนอยู่ในสภาวะตกต่ำ มิสู้กล่าวว่าแพทย์แผนจีนตกต่ำเพราะความเสื่อมทรามของตนเอง” เซียวเสี่ยวอิงกล่าวต่อ “ถึงแม้ดิฉันจะเป็นแพทย์แผนจีนเช่นกัน แต่สิ่งที่ดิฉันเจ็บปวดและขยะแขยงมากที่สุดก็คือพวกบรรดาแพทย์แผนจีนที่ชอบพูดให้ซับซ้อนเพื่อสร้างความสับสน เอะอะอะไรก็ก็บอกกับคนไข้ว่าหยินหยางเบญจธาตุ[1] พูดเหลวไหลไปเรื่อย”


 


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของเซียวเสี่ยวอิงชำเลืองไปมองอวี๋กานกาน “คุณหมออวี๋ เห็นว่าคุณอายุยังน้อย วิชาแพทย์ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้ มิเช่นนั้นคุณคงไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ ดิฉันมีคำถามหนึ่งข้ออยากจะถามคุณหมออวี๋”


 


 


อวี๋กานกานตอบกลับอย่างมีมารยาท “คุณหมอเซียวชมเกินไปแล้วค่ะ ในฐานะรุ่นน้องดิฉันไม่บังอาจโอ้อวดตนเอง คุณปู่ของดิฉันวิชาแพทย์สูงส่ง ดิฉันก็แค่ศึกษามาจากท่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังต้องรบกวนขอคำแนะนำจากพวกรุ่นพี่อีกเยอะเลยค่ะ”


 


 


น้ำเสียงของเซียวเสี่ยงอิงแฝงไว้ด้วยเลศนัย “คุณหมออวี๋บอกว่าแพทย์แผนจีนกำเนิดจากอภิปรัชญา นี่ไม่เท่ากับบอกว่าแพทย์แผนจีนเป็นวิชาความรู้ที่มีจุดบอด ทำให้ผู้อื่นเกิดความสับสนแบบนี้ รังแต่จะทำให้แพทย์แผนจีนไม่มีวันไล่ตามแพทย์แผนตะวันตกได้ทัน”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มแล้วตอบ “ก็เหมือนกับแพทย์แผนตะวันตกที่มีจุดกำเนิดมาจากวิชาเคมีและกายวิภาคศาสตร์อันละเลียดซับซ้อน ส่วนแพทย์แผนจีนมีจุดกำเนิดมาจากทฤษฎีหยินหยางและเบญจธาตุ…”


 


 


เซียวเสี่ยวอิงพูดแทรกอวี๋กานกานขึ้นมาด้วยท่าทียืนกรานแน่วแน่ “ตำราแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศของพวกเรา ‘ตำรับจัดการโรคห้าสิบสองอย่าง’ ในตำราไม่เคยกล่าวถึงหยินหยาง เบญจธาตุ อภิปรัชญาเริ่มเข้าสู่แพทย์แผนจีนตอนสมัยซ่งใต้ ช่วงที่สาวกลัทธิขงจื้อเข้ามามีอิทธิผลในวงการแพทย์ อาศัยศาสตร์ที่ง่ายที่สุดคือยาต้มเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน คิดว่าตนเองสามารถท่องบทกลอนยาต้ม[2]ได้ไม่กี่บทก็สามารถเป็นแพทย์รักษาผู้คนได้ หึ! ที่แพทย์แผนจีนเสื่อมเสียก็เพราะน้ำมือของคนพวกนี้”


 


 


วาจาเสียดสีเหน็บแนม เซียวเสี่ยวอิงใช้การกระทำของสาวกขงจื้อ หลอกด่าอวี๋กานกานว่าไร้ความสามารถ ไม่มีความรู้ด้านวิชาแพทย์ หวังแต่จะหาผลประโยชน์จากวงการนี้


 


 


อวี๋กานกานไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นจุดสนใจเพราะเรื่องอายุ ทั้งยังเป็นเหตุให้คนอื่นเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากตั้งแต่เธออายุสิบขวบ คุณปู่ก็สอนให้เธอจับชีพจร วินิจฉัยโรคและจ่ายยาแล้ว


 


 


ถ้อยคำเสียดสีดูถูกเหยียดหยามของเซียวเสี่ยวอิง ไม่ได้ทำให้อวี๋กานกานรู้สึกโกรธแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่ได้พูดถาถถางกลับ ทำเพียงแค่พูดอย่างจริงจังและใจเย็น “แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่สือเจิน[3]เองก็เป็นสาวกขงจื้อ ฉะนั้นจะเหมารวมว่าสาวกขงจื้อไม่ดีทั้งหมดไม่ได้ ที่กล่าวกันว่าแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ซับซ้อนจับต้องไม่ได้ แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้ชี้ถึงศาสตร์แพทย์แผนจีนทุกแขนง แต่ชี้ถึงศาสตร์ของเส้นลมปราณและจุดฝังเข็ม ซึ่งในสมัยนั้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของแพทย์แผนตะวันตกยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งพวกนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นจึงเกิดวลีที่ว่าแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ที่จับต้องไม่ได้ขึ้น แต่ในปัจจุบันแพทย์ตะวันตกได้ทำการพิสูจน์ไปนานแล้วว่าจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณมีอยู่จริง”


 


 


สีหน้าของเซียวเสี่ยวอิงปรากฏความเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย ศาสตร์ของเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มได้รับการมีพิสูจน์ว่ามีอยู่จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่ายัยอวี๋กานกานนี่จะมีวิชาความรู้จริง


 


 


อวี๋กานกานพูดต่อ “แพทย์แผนตะวันตกใช้การตรวจร่างกายและการทดสอบทางเคมี เพื่อยืนยันว่าคนไข้มีอาการป่วย แต่วิธีตรวจของแพทย์แผนจีนจะใช้การมอง ดม ถามและจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกมีวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานต่อโรคแต่ละโรค ซึ่งไม่เหมือนกับแพทย์แผนจีน หนึ่งร้อยคนเรียนแพทย์แผนจีน สามารถสรุปออกมาเป็นทฤษฎีหนึ่งร้อยทฤษฎีที่แตกต่างกันออกไป แพทย์แผนจีนไม่มีหลักพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ผู้เรียนยากที่จะเข้าใจ ผู้ใช้ยากที่จะนำไปใช้ อาศัยเพียงแต่เนื้อหาในตำราแพทย์อย่างเดียวไม่มีทางที่จะกลายเป็นแพทย์ที่เก่งกาจได้ ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุที่ฉันพูดว่าแพทย์แผนจีนซับซ้อนและเข้าใจได้ยากค่ะ”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เบญจธาตุ หมายถึง ธาตุทั้งห้า ประกอบไปด้วย น้ำ ไฟ ไม้ โลหะและดิน


 


 


[2] บทกลอนยาต้ม เป็นกลอนหรือบทเพลงสูตรยา ช่วยให้สามารถจำสูตรยาได้ง่ายยิ่งขึ้น


 


 


[3] หลี่สือเจิน ได้รับฉายาว่าเป็น ราชาแห่งสมุนไพรจีน มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง เขาได้ใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตเขียนตำราสมุนไพรจีน ‘เปิ่นเฉ่ากังมู่’ ขึ้น ภายในตำราบันทึกสรรพคุณของสมุนไพรไว้ 1,892 ชนิด และใบสั่งยากว่า 11,000 ใบ ทั้งยังแบ่งหมวดหมู่ชัดเจนโดยแบ่งสมุนไรที่มาจากพืชและมาจากสัตว์ ปัจจุบันตำราเล่มนี้เป็นหนึ่งในตำราเล่มสำคัญสำหรับผู้ที่ศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 202 โต้วาที เสน่ห์ของอวี๋กานกาน (2)


 


 


หัวใจของเซียวเสี่ยวอิงกระตุกวูบ จู่ๆ ก็หัวตื้อไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอวี๋กานกานกลับอย่างไรดี


 


 


“มีผู้คนมากมายที่มีอคติต่อแพทย์แผนจีนจากก้นบึ้งของหัวใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมแพทย์แผนจีนหลายคน พวกเขารู้สึกว่าการป้องกันการเกิดโรคและการพยุงอาการป่วยของโรคเรื้อรังเป็นจุดเด่นของแพทย์แผนจีน แต่ว่าแพทย์แผนจีนไม่ใช่หมอเฉื่อยที่มีดีแค่ประคับประคองอาการอย่างแน่นอนค่ะ! เมื่อสองพันปีก่อน ตอนที่ศาสตร์ของแพทย์แผนตะวันตกยังไม่เผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีน เหล่าบรรดาผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยที่เป็นโรคซับซ้อนรักษายาก มีใครคนไหนบ้างคะที่ไม่พึ่งพาแพทย์แผนจีนและสมุนไพรจีน”


 


 


อวี๋กานกานกล่าวถึงตรงนี้ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ถ้าจะกล่าวว่าอภิปรัชญาทำให้แพทย์แผนจีนโดนดูถูกเหยียดหยาม มิสู้กล่าวว่าหมอเฉื่อยที่มีดีแค่ประคับประคอง คำนี้ต่างหากที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามแพทย์แผนจีน ไม่อยากให้ผู้คนรู้สึกว่าแพทย์แผนจีนรักษาอาการไม่รักษาโรค แต่รักษาทั้งโรคและอาการ นี่เป็นเพียงความคิดเห็นเล็กน้อยจากรุ่นน้องอย่างดิฉัน รุ่นพี่ทุกท่านโปรดอย่าถือสา” ในขณะที่พูด อวี๋กานกานยืนขึ้นและโค้งคำนับ


 


 


เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้น ผู้อาวุโสหวงจ้องมองอวี๋กานกาน ภายในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อย ก่อนจะโน้มไปข้างใบหูของหัวหน้าสมาคม “แผ่นผับโฆษณาแพทย์แผนจีนของสมาคมเราที่กำลังจะถ่าย ไม่ใช่ว่าต้องการแพทย์สองคนหรอกหรือ ผมว่าให้เสี่ยวอวี๋กับเสี่ยวซย่าไปถ่าย”


 


 


หัวหน้าสมาคม กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างลำบากใจ “แต่ว่าก่อนหน้านี้คุยกันมาตลอดว่าจะให้เสี่ยวซูกับเสี่ยวซย่าไปนี่”


 


 


ผู้อาวุโสหวงยิ้มแล้วกล่าว “แผ่นผับโฆษณาปีนี้ ไม่ใช่ว่ามีคอนเซปต์ยุคคนหนุ่มสาว สนับสนุนให้คนมาเรียนแพทย์แผนจีนมากขึ้นหรอกหรือ พูดถึงวัยรุ่น ผมว่าเสี่ยวอวี๋ดูจะเหมาะสมกว่าเล็กน้อย อีกอย่างผมถามผู้อำนวยการเฉินมาแล้ว เสี่ยวอวี๋เป็นแพทย์ที่ค่อนข้างมีความสามารถเลยทีเดียว”


 


 


หัวหน้าสมาคมขบคิด ก่อนจะยอมรับข้อเสนอ “ได้ครับ งั้นก็เอาเป็นเสี่ยวอวี๋”


 


 


ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


 


 


เมื่องานสัมมนาจบลง ผู้อาวุโสหวงเดินมาหาอวี๋กานกาน จากนั้นแจ้งข่าวนี้ให้กับอวี๋กานกานทราบ เธอตกตะลึงเป็นอย่างมากจนนิ่งค้างไปเรียบร้อย


 


 


หวังไอ้เจิ้นยิ้มแล้วพูดกับอวี๋กานกาน “ยินดีด้วยนะ กานกาน พยายามเข้าล่ะ”


 


 


“ต้องตอบแทนผู้อาวุโสหวง อย่าทำโอกาสที่ผู้อาวุโสหวงให้เธอศูนย์เปล่าล่ะ”


 


 


“จากนี้ต้องเผยแผ่แพทย์แผนจีนของพวกเรา ทำให้แพทย์แผนจีนโชติช่วงชัชวาล”


 


 


มองดูอวี๋กานกานยืนอยู่ตรงกลางที่ลายล้อมไปด้วยผู้คน รอยยิ้มอันแสนฝืนฉีกที่ประดับอยู่บนใบหน้าของซูจิ่วซาน ค่อยๆ มลายหายเข้าไปในดวงตากลายเป็นลมเหมันต์และธารน้ำแข็ง


 


 


ในฐานะที่เป็นแพทย์หญิงวัยสาวผู้มีสิทธิอย่างเต็มที่ในการยืดอกภาคภูมิใจ ซูจิ่วซานคิดมาตลอดว่าตนเป็นลูกรักของพระผู้เป็นเจ้า[1] แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองถูกล้อมรอบไปด้วยความมืดมิดจากทั่วทุกมุมโลก รอบข้างไม่เหลืออะไรเลย เห็นเพียงตรงหน้ามีแสงสว่างบริสุทธิ์อยู่วงหนึ่ง ซึ่งตรงกลางมีอวี๋กานกานยืนอยู่


 


 


แม้ว่าตัวแทนถ่ายโฆษณายังไม่ได้ถูกกำหนดออกมา แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นเธออย่างแน่นอน ทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงมาเปลี่ยนเป็นอวี๋กานกาน เธอไม่ยอม ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถตะโกนร้องออกมาตรงๆ ได้ นั่นรังแต่จะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเธอไม่คู่ควร


 


 


เซียวเสี่ยวอิงคาดไม่ถึงเลยว่าตนเองไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเผด็จศึกอวี๋กานกาน ทำให้มันอับอายขายขี้หน้าไม่สำเร็จไม่พอ ยังโดนอวี๋กานกานย้อนมาสังหารตัวเธอเองอีก จะขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ไม่ได้ และที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือเธออยากจะช่วยซูจิ่วซาน ผลปรากฏว่ากลับทำให้ซูจิ่วซานเสียโอกาสในการเป็นตัวแทนการถ่ายโฆษณา


 


 


เซียวเสี่ยวอิงรู้สึกละอายใจ ตอนพักรับประทานอาหาร เธอเรียกซูจิ่วจาน หวังจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน


 


 


ซูจิ่วซานเหลือบมามองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที ซูจิ่วซานไม่อยากสนใจเซียวเสี่ยวอิง เธอเพียงแค่ต้องการยืมมือของเซียวเสี่ยวอิง ให้ทุกคนได้เห็นว่าอวี๋กานกานเป็นแค่คนไร้ความสามารถที่ไม่เอาไหนเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวเสี่ยวอิงจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แค่โต้วาทีงานสัมมนาก็ยังเอาชนะอวี๋กานกานไม่ได้


 


 


เธอจะทำให้คนพวกนี้ต้องรู้สึกเสียใจภายหลัง การที่ไม่เลือกเธอนั้นต่างหากที่เป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดของวงการแพทย์แผนจีน!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ลูกรักของพระผู้เป็นเจ้า อุปมาถึงคนที่บุญวาสนาดี ทำอะไรราบรื่น ใครเห็นใครก็รักใคร่เอ็นดู


ตอนที่ 203 อ่อยใครก็ไม่อ่อยนาย


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกเหลือเชื่อ เธอเองก็ไม่รู้ว่าแผ่นผับโฆษณานี้คืออะไร ยิ่งไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คนที่ทางสมาคมหมายตาไว้คือซูจิ่วซานและซย่าเฉิงโจว เนื่องจากเธอถูกโยงว่าเป็นคนปล่อยข่าวลือเรื่องซย่าเฉิงโจวไม่รับรักซูจิ่วซาน ดังนั้นอวี๋กานกานจึงพยายามอยู่ห่างจากสองคนนี้ให้ได้มากที่สุด


 


 


วันกำหนดถ่ายแผ่นผับโฆษณาใกล้เข้ามาทุกที ตอนพักรับประทานอาหาร อวี๋กานกานตามหาซย่าเฉิงโจว ต้องการจะสอบถามเรื่องสถานที่และเวลา


 


 


ตอนนี้โรงอาหารไม่มีคน อวี๋กานกานถือถาดอาหารเดินตรงเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับซย่าเฉิงโจว เธอได้ยินมาว่าซย่าเฉิงโจวมีประสบการณ์ด้านการถ่ายโฆษณามาก่อน จึงถามไว้เพื่อเป็นแนวทาง “การถ่ายโฆษณาครั้งนี้ พวกเราต้องเตรียมอะไรไหม”


 


 


ซย่าเฉิงโจวชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “มาตามนัดก็พอ”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “อ่อ” พร้อมกับพยักหน้า “แล้วแผ่นผับนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ”


 


 


“ทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไรเรื่องแค่นี้คุณก็ยังไม่รู้? แล้วยังจะถ่ายอยู่อีก?” น้ำเสียงของซย่าเฉิงโจวแฝงไว้ด้วยความเหน็บแนม สีหน้าแววตาเย็นชา


 


 


“คะ?” อวี๋กานกานขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาเจือไว้ด้วยความสับสนงุนงง


 


 


ซย่าเฉิงโจวไม่ได้ตอบอวี๋กานกาน ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จังหวะที่เอื้อมมือไปหยิบถาดอาหาร มือของเขาชนเข้ากับถ้วยน้ำซุปของอวี๋กานกาน ทำให้ซุปกระเด็นออกมาเล็กน้อย ทั้งยังเปรอะแขนเสื้อของซย่าเฉิงโจวอย่างพอดิบพอดี


 


 


อวี๋กานกานหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดไปที่แขนเสื้อของซย่าเฉิงโจวทันที ผลปรากฏว่าถูกซย่าเฉิงโจวสะบัดออกอย่างรุนแรง พร้อมทั้งตวาดเสียงดังลั่น “พอแล้ว!”


 


 


ดูเหมือนว่าเขาขยะแขยงอวี๋กานกานเป็นอย่างมาก


 


 


อวี๋กานกานสะดุ้งตกใจ เพลิงโกรธพุ่งทะยานขึ้นมา เธอแทบอยากจะเอาถ้วยน้ำซุปถ้วยนั้นราดลงไปตรงๆ บนศีรษะของซย่าเฉิงโจว หมอนี่สวมสุดสูทราคาแพงทั้งตัว มีออร่าของผู้ดีมีการศึกษาเปร่งประกายออกมาตั้งศรีษะจรดปลายเท้า ดูสะอาดเอี่ยมอ่อง เป็นผู้เป็นคน ทำไมถึงได้ไร้เหตุผลและดูหมิ่นคนอื่นแบบนี้ วางมาดยิ่งใหญ่เหมือนกับไพ่นกกระจอกสองห้าแปด[1]ไม่มีผิด


 


 


หรือจะเป็นเพราะข่าวลือนั่น?


 


 


อวี๋กานกานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยกันสองครั้ง พูดอธิบายอย่างใจเย็น “คุณหมอซย่าคะ วันนั้นที่คุณกับคุณหมอซูคุยกันตรงระเบียง ฉันไม่ได้ยะ..”


 


 


สีหน้าซย่าเฉิงโจวแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที พูดตัดบทอวี๋กานกาน “แพทย์แผนจีนต้องการแค่คนที่มีเจตนารมณ์อยากจะเป็นหมอจริงๆ งานสัมมนาเป็นงานสำหรับแลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น ไม่ใช่งานที่จะให้ใครมาชุบตัวสร้างชื่อเสียงจอมปลอม ทำตัวสะดีดสะดิ้ง”


 


 


อวี๋กานกานโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ “…”


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะต้องถ่ายแผ่นผับโฆษณา เธอไม่มีทางมานั่งสนทนากับหมอนี่แน่ หมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้มาดูถูกเหยียดหยาม ลบหลู่ศักดิ์ศรีความเป็นคนของเธอ!


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะเสียงเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบประหนึ่งธารน้ำแข็ง “ฉันชุบตัวสร้างชื่อเสียงจอมปลอมหรือไม่ คนไข้ในอนาคตของฉันพวกเขาจะเป็นคนตัดสินเอง ส่วนเรื่องทำตัวสะดีดสะดิ้ง แม้ว่าฉันจะชอบให้ท่าผู้ชาย มีแฟนหลายคน เหยียบเรือหลายแคม นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน เกี่ยวอะไรกับนายไม่ทราบ นายคงไม่คิดไปเองว่าการที่ฉันมาคุยกับนายแค่สองสามประโยค คือฉันกำลังให้ท่านายหรอกนะ ฉันอ่อยหมาอ่อยแมวที่ไหน ก็ไม่ไม่มีทางอ่อยนาย”


 


 


อวี๋กานกานโยนทิชชู่ลงบนโต๊ะ จากนั้นก้าวเท้าเดินออกมาทันที เธอไม่ได้ต้องการให้มันรุนแรงแบบนี้ แต่กริยามารยาทของซย่าเฉิงโจว มันน่าขยะแขยงเกินไปแล้วจริงๆ


 


 


น่ารำคาญใจ


 


 


ซูจิ่วซานยืนอยู่ด้านนอกโรงอาหาร บังเอิ้นบังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี เธอขวางทางอวี๋กานกานไว้นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรังเกียจและความขยะแขยง จ้องมองอวี๋กานกานด้วยคำเตือน “เธอคงไม่ได้กำลังคิดว่าใช้วิธีนี้แล้วจะดึงดูดความสนใจจากรุ่นพี่ซย่าได้ใช่ไหม”


 


 


มุมปากอวี๋กานกานกระตุก “คุณหมอซู คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ”


 


 


“เข้าใจผิดหรือเปล่า ใจเธอรู้ดีที่สุด” ซูจิ่วซานหัวเราะเสียงเย็น “ฉันต้องขอเตือนเธอไว้ อย่าคิดว่าตัวเองยังสาวแล้วผู้ชายทุกคนจะชอบ รุ่นพี่ซย่าเป็นผู้ชายสุขุมนุ่มลึก เขาไม่มีทางชอบผู้หญิงอย่างเธอ!”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไพ่นกกระจอกสองห้าแปด ไพ่เลขสอง ห้า และแปดถือเป็นไพ่ที่มีความสำคัญกับการชนะ เนื่องจากสามารถเรียงเข้าคู่ได้หลายรูปแบบ 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 204 แมวเหมียวบนหิมะ


 


 


อวี๋กานกานทนไม่ไหวแล้ว เธอกลอกตาขึ้นฟ้าชนิดที่ว่าไม่สนใจภาพลักษณ์กุลสตรีใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


ผู้ชายสุขุมนุ่มลึก?


 


 


ซย่าเฉิงโจวน่ะนะ? ผู้ชายไร้เหตุผลน่ะสิไม่ว่า


 


 


ซูจิ่วซานชอบซย่าเฉิงโจวเลยเห็นเขาเป็นของล้ำค่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นก็จะชอบซย่าเฉิงโจว เห็นเขาเป็นของล้ำค่าเหมือนที่ตัวเองเห็น!


 


 


สองคนนี้ช่างเป็นคู่สรรค์สร้าง นิสัยเหมือนกัน ไม่เห็นหัวใคร ทะนงว่าตนเองถูกต้อง ถ้าไม่ได้ครองคู่กันต้องเป็นเภทภัยต่อคนอื่นอย่างแน่แท้!


 


 


แน่นอนว่าหลังจากผ่านเรื่องราวเหล่านี้ อวี๋กานกานก็ไม่ได้ไปหาซย่าเฉิงโจวอีกเลย ทางสมาคมแจ้งเวลาและสถานที่ถ่ายโฆษณาให้กับเธอ เธอเตรียมตัวไปด้วยตนเองเพียงคนเดียว โชคยังดีที่สถานที่ถ่ายทำอยู่ไม่ไกล เดินเท้าแค่สิบนาทีนิดๆ


 


 


ช่วงวันหยุดสองสามวันนี้เธอเอาแต่อยู่ในหอพัก แม้ว่าวันนี้ทุกหนทุกแห่งจะยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ทว่ามองเห็นพระอาทิตย์บนท้องฟ้าแล้ว พอดีเลยได้เดินออกกำลังกายสักหน่อย


 


 


ด้านหน้าสมาคมมีแผงลอยขายเนื้อแพะเสียบไม้ย่างอยู่ร้านหนึ่ง อวี๋กานกานเลือกมาย่างสองสามไม้ เดินไปกินไป ในขณะที่กำลังจะส่งไม้เสียบเข้าปาก เธอได้ยินเสียงแมวร้องอยู่หลายครั้ง “เมี๊ยว….”


 


 


อวี๋กานกานหันไปตามทิศทางของเสียงร้องเห็นเจ้าเหมียวตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาทางเธอ ขนสีเทามันวาวเรียบลื่น ลวดลายสวยงาม มองแวบแรกเหมือนเห็นลูกเสือน้อยน่าเกรงขามกำลังนั่งอยู่ตรงปลายเท้า มันมองเธอด้วยสายตาแสนเชื่องพร้อมกับส่งเสียงร้อง “เมี๊ยว~”


 


 


อวี๋กานกานงับเนื้อแพะย่างหนึ่งคำ จากนั้นสอดส่องสายตามองไปรอบๆ ทว่าก็ไม่เห็นใครสักคน เธอนั่งยองๆ ลงบนพื้น ปลายนิ้มแตะลงบนใบหูแหลมๆ ของเจ้าเหมียว “เจ้าหนูเป็นแมวบ้านใครเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ หืม”


 


 


หรือว่าเป็นแมวจรจัด ไม่น่าจะใช่ นี่มันแมวลายเสือสีเงิน เป็นแมวที่มีราคาสูง อีกอย่างทั่วทั้งตัวก็ดูสะอาดสะอ้าน มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าเจ้าของดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี


 


 


“เมี๊ยว~” เจ้าเหมียวเงยหน้าของมันขึ้นพร้อมกับส่งเสียงร้องอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายสุกใสประหนึ่งอำพันเม็ดงามส่งแสงระยิบระยับ เกิดเป็นแสงทรงกลดสีเหลืองอร่ามที่ทั้งอบอุ่นและสดใสมีชีวิตชีวา เจ้าเหมียวจ้องตรงมาที่อวี๋กานกานโดยไม่ละสายตา ราวกับว่ามันกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง


 


 


อวี๋กานกานสวาปามเนื้อแพะย่างเรียบร้อยไปแล้วหนึ่งไม้ เธอหยิบไม้ใหม่ขึ้นมายืนไปตรงหน้าเจ้าเหมียว “แกอยากกินบ้างใช่ไหม”


 


 


ดวงตาของเจ้าเหมียวกระพริบอย่างช้าๆ แล่บลิ้นสีชมพูออกมาเลียบนเนื้อแพะสองสามครั้ง ก่อนจะเอาศีรษะของมันไปคลอเคลียอยู่กับขาของอวี๋กานกานและส่งเสียงร้องอีกครั้ง “เมี๊ยว~”


 


 


น้ำเสียงเจื้อยแจ้ว น่ารักน่าชัง


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังถูกความน่ารักหลอมละลาย อยากจะอุ้มเจ้าเหมียวไปเลี้ยงเสียเอง แต่ถ้าเธออุ้มไปแล้วเจ้าของแมวออกตามหาล่ะ?


 


 


เธออุ้มเจ้าเหมียวขึ้นจากพื้นหิมะ เหมือนกับว่าเจ้าเหมียวทนหนาวมานาน มันมุดเข้าอ้อมอกของอวี๋กานกานเหมือนกับว่าในที่สุดก็หาไออุ่นพบ ดวงตากลมโตจดจ้องมาที่เธอ “เมี๊ยว~”


 


 


นะ นี่แทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในโลก


 


 


อวี๋กานกานมองซ้ายแลขวา เธอไม่ได้จะขโมยแมวนะ รออีกสิบนาที ถ้าหลังจากสิบนาทีผ่านไปแล้วยังไม่มีเจ้าของมารับ เธอจะอุ้มกลับไป อากาศหนาวขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้เจ้าเหมียวร่อนเร่อยู่ท่ามกลางหิมะ มันต้องหนาวแย่แน่


 


 


รถที่จอดอยู่ริมถนนคันหนึ่ง จู่ๆ ก็เปิดประตูออกมา อวี๋กานกานนึกว่าเป็นเจ้าของแมวที่ออกมาตามหา ผลปรากฏว่าเป็นฟังจือหันที่ลงมาจากรถ เขาสวมเสื้อเชิ้ตทับด้วยโอเวอร์โค้ทขนสัตว์สีน้ำตาลเข้ม ทั้งยังพันคอพันคอสีดำ


 


 


“ทำไมนายมาอยู่นี่” อวี๋กานกานอุ้มเจ้าเหมียวเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างฟังจือหัน


 


 


ฟังจือหันอยู่ในรถนานแค่ไหนแล้วนะ ครั้งนี้จงใจมาหาเธอหรือเปล่า แต่เขาไม่ได้โทรศัพท์มาหาเธอ หลายครั้งที่เธอคาดเดาคิดเข้าข้างตัวเอง ครั้งนี้อวี๋กานกานจึงไม่กล้าด่วนสรุปว่าฟังจือหันออกมาหาเธอ


ตอนที่ 205 นี่แม่ เรียกแม่สิ


 


 


ฟังจือหันเดินมาหยุดตรงหน้าอวี๋กานกาน ใช้นิ้วมือแตะเบาๆ ลงไปที่ปลายจมูกของเธอ เหมือนกับที่อวี๋กานกานทำกับเจ้าเหมียวเมื่อสักครู่ไม่มีผิด


 


 


หนุ่มหล่อสาวสวยยืนสบตากันบนพื้นหิมะ พร้อมกับแมวเหมียวน่ารักน่าชังที่กำลังเอียงศีรษะน้อยๆ ของมัน บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ บรรยากาศโดยรวมช่างงดงามราวกับรูปวาดชิ้นเอก


 


 


อวี๋กานกานย่นจมูก “คุณตัวแทนบริษัทผู้สนับสนุนมาทำอะไรที่นี่หรือคะ”


 


 


ฟังจือหันตอบพร้อมกันเลื่อนสายตามองไปยังสิ่งที่อยู่ในอ้อมอกของอวี๋กานกาน “หาแมว”


 


 


อวี๋กานกานนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง หลุบสายตาลงมองไปยังเจ้าเหมียวที่อยู่ในอ้อมอกของตนเอง เอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจ “แมวนาย?”


 


 


ฟังจือหันพยักหน้า “อืม”


 


 


“นะ นาย เลี้ยงแมวเป็นด้วยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานแปลกใจถึงขีดสุด เธอนึกว่าคนอย่างฟังจือหันที่เลือกสรรแต่บุปผาบนภูเขาหิมะ[1] จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็น่าจะเลือกจำพวกดุร้ายไร้เทียมทามอย่างทิเบตัน มาสทิฟฟ์[2] ปรากฏว่าเขากลับเลี้ยงแมวลายเสือสีเงินน่ารักน่าชังเสียอย่างงั้น ซึ่งว่าไม่จะมองอย่างไรก็ดูไม่เข้ากันเสียเลย


 


 


“นายเลี้ยงมานานแค่ไหนแล้ว” คงไม่ใช่ว่าเพิ่งไปซื้อมาเพื่อหลอกล่อเธอหรอกนะ


 


 


“สิบห้าปีแล้ว”


 


 


คำตอบของฟังจือหันทำให้อวี๋กานกานต้องตะลึงงันไปอีกครั้ง เธอก้มลงมองเจ้าเหมียวที่อยู่ในอ้อมอก “นายว่าไงนะ เจ้าเหมียวนี่อายุสิบห้าปีแล้วเหรอ”


 


 


แสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบลงบนร่างกายของฟังจือหันเกิดเป็นแสงเรือนรอง ชายหนุ่มรูปงามราวกับภาพวาดยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ทุกสัดส่วนบนใบหน้าอันหมดจดปานประหนึ่งหิมะกำลังบอกกับเธออย่างจริงจังว่าเขาไม่ได้พูดโกหก


 


 


อวี๋กานกานถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มันชื่ออะไรเหรอ”


 


 


ฟังจือหันกระตุกยิ้ม หยอกเย้า “อวี๋กานกาน”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


โกหกกันชัดๆ


 


 


เธอพองแก้ม “หลอกใครมิทราบ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”


 


 


ฟังจือหันยืนแขนออกมาโอบไหล่ของอวี๋กานกาน จากนั้นเดินไปทางรถยนต์ที่จอดอยู่


 


 


อวี๋กานกานขัดขืน “จะลากฉันไปไหนอีกเนี่ย”


 


 


“กินข้าว?”


 


 


“แต่ฉันต้องไปถ่ายแผ่นผับโฆษณา”


 


 


“กี่โมง”


 


 


“บ่ายสองครึ่ง”


 


 


ฟังจือหันเข้าสู่ความเงียบ เขายัดเธอเข้าไปในรถตรงที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นจึงขึ้นรถนั่งประจำที่แล้วเอ่ยปากถาม “ถ่ายที่ไหน”


 


 


อวี๋กานกานคาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับบอกสถานที่ถ่ายทำไปด้วย “นี่ก็จะบ่ายสองแล้ว เลยเวลามื้อเที่ยงมาตั้งนานแล้ว ทำไมนายยังไม่กินข้าว”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้ขับรถออกไปทันที ร่างกายสูงใหญ่เอนเข้าหาเบาะรถ เอียงศีรษะเล็กน้อย ถาม “คุณชอบแมวตัวนี้เหรอ”


 


 


อวี๋กานกานก้มลงมองเจ้าเหมียวที่อยู่ในอ้อมกอด เจ้าเหมียวส่งเสียงร้องอันแสนน่ารักทันที “เมี๊ยว~”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มแล้วตอบ “ก็มันน่ารักมากนี่นา แล้วตกลงมันชื่ออะไรกันแน่”


 


 


ฟังจือหันถาม “ถ้าเป็นคุณ คุณจะตั้งชื่อมันว่าอะไรล่ะ” 


 


 


อวี๋กานกานใช้สองมือจับเจ้าเหมียวแล้วชูขึ้นเพื่อสำรวจดู “นายดูลายเสือสีขาวสลับเทาบนร่างมันสิ เป็นขดส๊วยสวย แถมยังเหมือนกับยาจุดกันยุง ถ้าเป็นฉัน ฉันจะตั้งชื่อมันว่าเจ้ายาจุดกันยุง”


 


 


ฟังจือหันตอบกลับมาหนึ่งพยางค์ด้วยท่าทีที่เรียบนิ่ง “อือ”


 


 


“แล้วสรุปมันชื่ออะไร”


 


 


“ยาจุดกันยุง”


 


 


อวี๋กานกานดวงตาเบิกโต อ้าปากพะงาบๆ เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกเหลือเชื่อ เธอมองหน้าฟังจือหัน ถามด้วยความตกใจ “เรื่องจริงไหมเนี่ย”


 


 


ฟังจือหันพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “จริง”


 


 


เขายืนมือออกมาลูบไปตรงศีรษะของเจ้ายาจุดกันยุง จากนั้นกำชับ “นี่แม่แก เรียกแม่สิ”


 


 


ยาจุดกันยุงเชื่องมาก มันหันหน้ามาทางอวี๋กานกานจากนั้นส่งเสียงร้อง “เมี๊ยว”


 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกำลังร้องว่าแม่หรือเปล่า


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าหัวใจพองโต หัวเราะออกมา


 


 


“ผมดูแลมันมาสิบห้าปีแล้ว ตอนนี้ถึงคราวคนเป็นแม่อย่างคุณต้องดูแลมันบ้าง” น้ำเสียงของฟังจือหันผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง เหมือนว่าได้โยนเรื่องวุ่นวายอะไรบางอย่างทิ้งไป


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] บุปผาบนภูเขาหิมะ อุปมาถึง ของหายาก


 


 


[2] ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) เป็นสุนัขพันธุ์เก่าแก่ มีขนาดตัวที่ใหญ่โต ขนยาวหนาโดยเฉพาะตรงบริเวณลำคอจึงทำให้ดูคล้ายกับสิงโต นิสัยฉลาดและดุร้าย มักเลี้ยงไว้เพื่อดูแลฝูงสัตว์หรือเฝ้ายาม เคยเป็นสุนัขที่มีราคาแพงที่สุดในโลก   


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 206 ทำใจไม่ได้ รอคุณห้าม


 


 


โดนจู่โจมแบบไม่ทันคาดคิดอย่างต่อเนื่อง อวี๋กานกานจ้องฟังจือหันตาค้าง นึกว่าตัวเองฟังผิด


 


 


ฟังจือหันพูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “อาหารและบ้านของมันอยู่กระโปรงหลัง อย่าลืมหยิบล่ะ”


 


 


ฟังจือหันพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยราวกับกำลังพูดประโยคบอกเล่าทั่วไป อวี๋กานกานถลึงตาใส่ “แมวนาย ทำไมฉันต้องเป็นคนเลี้ยงด้วย ฉันไม่เอาด้วยหรอก”


 


 


“คุณไม่อยากเลี้ยง งั้นมันก็กำพร้าแม่ซะแล้วสิ โยนทิ้งไปเถอะ” น้ำเสียงของฟังจือหันจู่ๆ ก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งในทันควัน


 


 


ฟังจือหันพูดพลางยื่นมือไปกดปุ่มลดกระจก จากนั้นยื่นมือมาอุ้มแมวออกจากอ้อมกอดของอวี๋กานกาน ทั้งยังตั้งท่าชูเจ้าเหมียวขึ้น เหมือนว่ากำลังจะโยนมันออกไปจริงๆ


 


 


เจ้าเหมียวส่งเสียงร้องอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง “เมี๊ยว~”


 


 


อ้อมอกว่างเปล่าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว รวมทั้งไออุ่นที่ถูกพรากจากไป ในใจของอวี๋กานกานรู้สึกว่างเปล่าโหรงเหรง บวกกับได้ยินเสียงร้องบอกเจ้าเหมียว เธอรู้สึกเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง อวี๋กานกานไม่คิดอะไรทั้งนั้น รีบคว้ามือห้ามฟังจือหันทันที “อย่านะ”


 


 


สีหน้าของฟังจือหันเรียงนิ่งไร้อารมณ์ประหนึ่งน้ำธารน้ำใสสะอาด  “ขนาดคนเป็นแม่ยังไม่ต้องการแกแล้ว…”


 


 


เส้นขีดสีดำพาดไปทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน “ฉันเลี้ยง!”


 


 


หมอนี่เอาแต่ใจตัวเองทั้งยังเผด็จการขนานแท้


 


 


อวี๋กานกานบ่นพึมพำ “ฉันเลี้ยง แต่ว่าฉันมาที่นี่เพื่อสัมมนา ฉันจะเอาเวลาที่ไหนมาช่วยนายเลี้ยง นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันพักอยู่หอพัก เลี้ยงแมวไม่ได้”


 


 


ฟังจือหันอุ้มยาจุดกันยุงวางกลับลงบนอ้อมอกของอวี๋กานกานอย่างเบามือ จากนั้นกล่าวเสียงเบา “คุณจะพักที่บ้านก็ได้นะ”


 


 


อวี๋กานกานทำหน้าเหนื่อยหน่าย “ฉันกลับไป๋หยางต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร นายไม่รู้หรือไง”


 


 


เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็แอบอดคิดถึงบ้านและคลินิกไม่ได้


 


 


รวมถึงอาจารย์ด้วย…


 


 


แม้ว่าอวี๋กานกานจะไม่ได้อยู่เมืองไป๋หยาง แต่เธอฝากซงฉาไป๋ให้ช่วยไปถามความคืบหน้าที่สถานีตำรวจอยู่ตลอด ทว่าทุกครั้งก็ยังคงหินจมมหาสมุทร ไร้เสียงตอบรับ[1]


 


 


ยาจุดกันยุงที่อยู่ในอ้อมอกไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันเพิ่งรอดพ้นจากมหันตภัยมาหมาดๆ คลอเคลียออดอ้อนอวี๋กานกานอยู่ในอ้อมกอด มันติดเธอเป็นอย่างมาก เหมือนว่าอวี๋กานกานไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับมันตั้งแต่แรก ทั้งยังดูเหมือนสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี


 


 


เมื่อครุ่นคิดถึงจุดนี้ อวี๋กานกานขมวดคิ้วด้วยความสงสัย กำลังจะเอ่ยปากถามฟังจือหัน ทว่าฟังจือหันกลับพูดขึ้นมาก่อน “ผมหมายถึงบ้านของพวกเราที่ปักกิ่ง”


 


 


น้ำเสียงทุ่มต่ำแกมแหบเล็กน้อย นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นละมุมละไมของเขาจ้องมองเข้าไปยังส่วนลึกในดวงตาของอวี๋กานกาน ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย เสน่ห์ล้นทะลัก เนื่องจากอากาศหนาวฟังจือหันจึงติดกระดุดขึ้นไปจนถึงเม็ดสุดท้ายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่นั้นกลับยิ่งขับให้ลำคอเรียวสวยของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น รอบกายแผ่กระจายออร่าของผู้สูงศักดิ์


 


 


ช่างยั่วยวนดึงดูดให้ติดกับ อวี๋กานกานจ้องไปจ้องมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจของเต้นเองค่อนข้างเต้นเร็ว ลำคอค่อนข้างแหบแห้ง ศีรษะรู้สึกร้อนผ่าว


 


 


เสน่ห์ของผู้ชายคือภัยร้าย


 


 


ขนตาของอวี๋กานกานกระพริบเบาๆ สองครั้งราวกับปีกของผีเสื้อ เธอกระแอมออกมาเบาๆ “จะถึงเวลานัดแล้ว นายไม่ยอมออกรถสักที งั้นฉันเดินไปเองแล้วกัน”


 


 


ฟังจือหันเหลือบไปดูเวลา บ่ายสองแล้ว เป็นเวลาที่อวี๋กานกานควรจะเริ่มออกเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำ รถยนต์จึงเคลื่อนตัวไปยังด้านหน้า


 


 


อวี๋กานกานอุ้มยาจุดกันยุงไว้ในอ้อมอก บ่นพึมพำ “เมื่อกี้ถ้าฉันไม่ขวางนาย นายจะทิ้งยาจุดกันยุงจริงๆ เหรอ”


 


 


“คุณคิดยังไงล่ะ”


 


 


“เลี้ยงมาตั้งสิบห้าปี นายทำใจทิ้งลงเหรอ” อวี๋กานกานรู้สึกว่าเมื่อครู่เธอตื่นตระหนกไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าฟังจือหันจงใจแกล้งให้เธอตกใจ มิหนำซ้ำเธอยังหลงกลอีก


 


 


ฟังจือหันยอมรับออกมาตรงๆ “ทำใจไม่ได้”


 


 


อวี๋กานกานเดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าเขียว โวยวายด้วยความโกรธ “แล้วยังจะทิ้งอีกน่ะนะ?”


 


 


นัยน์ตาของฟังจือหันแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ยและเย้าหยอก “รอคุณห้ามไง”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] หินจมมหาสมุทร ไร้เสียงตอบรับ หมายถึง ไม่มีข่าวคราว ไร้วี่แวว


ตอนที่ 207 เจ้าแมวเหมียว ปะทะ พิราบต๊อง


 


 


สิบนาทีต่อมา รถยนต์ของฟังจือหันขับมาจอดตรงด้านนอกโรงแรมที่เป็นสถานที่ถ่ายทำแผ่นผับโฆษณา ตลอดทางที่ขับมา ฮีตเตอร์ในรถให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี ฟังจือหันจึงถอดเสื้อโค้ทและผ้าพันคอออก เขาหันไปมองอวี๋กานกานที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่กลัวร้อนบ้างเลยหรือไง อวี๋กานกานยังคงสวมเสื้อหนาวขนเป็ด พันผ้าพันคอพร้อมทั้งหดคอเล็กน้อย เผยให้เห็นเพียงใบหน้าจิ้มลิ้มเท่านั้น ตอนเล่นกับเจ้าเหมียว เธอมักจะทำปากจู๋ส่งเสียงจุๆ เหมือนกับนกพิราบต๊องไม่มีผิด


 


 


มุมปากของฟังจือหันยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเอิบอิ่มมีความสุข


 


 


อวี๋กานกานเปิดประตูลงจากรถยนต์ วางเจ้าเหมียวในอ้อมกอดไว้บนเบาะรถ จากนั้นมองไปยังฟังจือหันแล้วกล่าว “ฉันต้องไปถ่ายโฆษณาละ เจ้าเหมียวนี่ต้องให้นายดูแลก่อน ไว้ฉันกลับมาเอา”


 


 


ฟังจือหันสวมเสื้อโค้ท ลงรถมากับอวี๋กานกานด้วย


 


 


สายตาของอวี๋กานกานชำเลืองไปมองเจ้าเหมียวที่อยู่ในรถ เธอลังเลเล็กน้อย เอ่ยปากถาม “ทำไมนาย…ถึงลงมาด้วย”


 


 


“อือ”


 


 


“แล้วแมวล่ะ? ปล่อยไว้ในรถเหรอ” อวี๋กานกานกระพริบตาปริบๆ นิ้วมือชี้ไปหายาจุดกันยุงที่อยู่ในรถ


 


 


“อือ” ฟังจือหันยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


 


 


“อืออะไรของนาย นายจะทิ้งยาจุดกันยุงไว้ในรถลำพังได้ยังไง ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาจะทำยังไง” อวี๋กานกานรู้สึกว่าแมวเหมียวก็เหมือนกับเด็กน้อย ทิ้งไว้ในรถลำพังเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง


 


 


ลมหนาวโบกสะพัด ผมของอวี๋กานกานปลิวไสวติดใบหน้ายุ่งเหยิงไปหมด ฟังจือหันเดินมาหยุดตรงหน้า ใช้มือเกลี่ยปอยผมที่ยุ่งเหยิงไปด้านหลัง “ด้านนอกหนาว…”


 


 


หลังจากจัดผมจนเข้าที่เอาทางแล้ว ฟังจือหันอาศัยจังหวะนี้ มือของเขาเคลื่อนมาวางบนไหล่ของอวี๋กานกาน โอบเธอเดินเข้าไปยังห้องโถงของโรงแรม ถูกฟังจือหันโอบไว้ในอ้อมกอดแบบนี้ ร่างกายและหัวใจของอวี๋กานกานมีความรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด


 


 


อุณหภูมิในห้องโถงของโรมแรมอบอุ่นมากทีเดียว เมื่อเดินเข้าไปอวี๋กานกานเบี่ยงไหล่หลุดจากการโอบของฟังจือหันอย่างแนบเนียน เธอพูดอย่างค่อนข้างเนียมอาย “ถ่ายโฆษณาน่าจะใช้เวลาแปปเดียว นายไปจัดการธุระของนายก่อนดีกว่า ไว้ถ่ายเสร็จแล้วฉันค่อยโทรหานาย”


 


 


อวี๋กานกานพูดยังไม่ทันจบดี ด้านหลังพลันเกิดเสียงทะเลาะกันอย่างดุเดือนขึ้น


 


 


อวี๋กานกานหันไปมองตามเสียง ด้านหลังของเธอมีแม่ลูกคู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองโต้เถียงกันอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าใบหน้าแกงก่ำ ลำคอขึ้นเป็นเส้นเอ็นปูดโปน


 


 


ฟังจือหันถาม “คุณถ่ายที่ไหน”


 


 


อวี๋กานกานหันกลับมามองฟังจือหัน “น่าจะในโรงแรมนี้นี่แหละ”


 


 


ทางด้านหลังลูกสาวของคุณป้าโมโหจนทนไม่ไหวแล้ว เธอสะบัดมือแล้วเดินหนีออกมา ทิ้งให้คุณป้ายืนหอบหายใจระรัวอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นจู่ๆ คุณป้าก็ทรุดลง ขบฟัน ฝ่ามือกุมอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจ มืออีกข้างจับเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างก่อนจะค่อยๆ ทรุดลงไปนอนกับพื้น


 


 


สายตาของคุณป้ามองไปยังแผ่นหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไปของลูกสาว เธอพยายามยกแขนขึ้น เหมือนว่าต้องการจะส่งเสียงเรียกลูกสาวของตนเอง ทว่าเสียงกลับไม่ยอมออก ฝ่ามือค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ ก่อนจะสลบเหมือดไปในทันที


 


 


ผู้คนโดยรอบที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกใจ พากันกรูเข้ามามุงดู


 


 


“เฮ้ย มีคนเป็นลม!”


 


 


“คุณป้าท่านนี้เขาเป็นอะไร”


 


 


“จู่ๆ ก็เป็นลม ควรเข้าไปดูหน่อยไหม”


 


 


“รีบเรียกรถพยาบาลเร็ว”


 


 


……


 


 


อวี๋กานกานหันไปมองคนที่เป็นลม เป็นคุณป้าที่เพิ่งทะเลาะกับลูกสาวเมื่อกี้นี้นี่นา ผู้จัดการโรงแรมเห็นคนเป็นลมนอนสลบอยู่บนพื้น จึงรีบพุ่งเข้าไปหมายจะช่วยพยุงขึ้น อวี๋กานกานรีบส่งเสียงปราม “ห้ามขยับตัวผู้ป่วยนะคะ!”


 


 


อวี๋กานกานเดินเข้ามาอย่างว่องไว พูดกับผู้จัดการ “ฉันเป็นหมอค่ะ”


 


 


ผู้จัดการโรงแรมมองอวี๋กานกานด้วยสายตางุนงง “ทำไมถึงห้ามขยับ อากาศหนาวขนาดนี้ปล่อยให้นอนอยู่บนพื้น…”


 


 


คนที่มุงดูอยู่คนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “ฉันได้ยินมาว่าถ้าอาการป่วยกำเริบ การขยับตัวผู้ป่วยจะยิ่งส่งผลเสีย ยังไงก็รอรถพยาบาลดีกว่า”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 208 ความเอาใจใส่ของฟังจือหัน อบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ


 


 


อวี๋กานกานนั่งยองลงตรงด้านข้างของคุณป้า ยื่นมือออกไปตรวจชีพจร ในขณะเดียวกันก็สังเกตสีหน้าของคุณป้าไปด้วย มีเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที อวี๋กานกานวินิจฉัยเบื้องตนว่าเกิดอาการหอบเฉียบพลันบวกกับโรคหัวใจกำเริบ


 


 


ลูกสาวของคุณป้าเดินออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่ายังเดินไปได้ไม่ไกลกลับได้ยินเสียงคนตะโกนว่ามีคนเป็นลม หัวใจของเธอกระตุกวูบ ความคิดแล่นขึ้นมาทันทีว่าแม่ของตนนั้นป่วยเป็นโรคหัวใจ เธอรีบวิ่งกลับมาอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นว่าคนที่นอนสลบอยู่บนพื้นเป็นแม่ของตนเอง สีหน้าของคนเป็นลูกสาวซีดเผือด ตะโกนร้องอย่างตื่นกลัว “แม่ แม่เป็นอะไรไปคะ แม่!”


 


 


อวี๋กานกานหันมาถาม “คุณป้ามีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจใช่ไหม”


 


 


ลูกสาวตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมา เธอรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง พยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


“พกยามาด้วยหรือเปล่า” คนไข้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจ โดยปกติแล้วมักจะพกยาฉุกเฉินติดตัวมาด้วยเสมอ


 


 


ลูกสาวค่อยๆ รวบรวมสติคืนกลับมา รีบล้วงยาออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง ทว่ามือของเธอสั่นมาก ทำอย่างไรก็เปิดฝาขวดยาไม่ออก อวี๋กานกานหยิบขวดยาจากมือของลูกสาว เทยาจิ้วซินหวัน[1] ออกมา ป้อนใส่ปากคุณป้า “กรุณาอย่ามุงค่ะ ช่วยถอยออกไปหน่อยนะคะ อากาศจะได้ถ่ายเทได้สะดวก”


 


 


อวี๋กานกานหันมามองลูกสาวของคุณป้าอีกครั้ง กล่าว “คุณไม่ต้องกลัวนะคะ รีบโทรหาสายด่วนเรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยค่ะ อีกอย่างถอดเสื้อโค้ทของคุณออกด้วยค่ะ คนป่วยจำเป็นต้องรักษาความอบอุ่นของร่างกาย มิฉะนั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างใหญ่หลวง”


 


 


ในขณะที่พูดอวี๋กานกานเองก็ถอดเสื้อหนาวขนเป็ดของตัวเองไปด้วย คุณป้าท่านนี้ชรามากแล้ว ปล่อยให้นอนสัมผัสกับพื้นโดยตรงในวันที่อากาศหนาวขนาดนี้ ความเย็นเข้าสู่ร่างกายจะยิ่งทำให้อาการทรุดลงกว่าเดิม


 


 


ท่อนแขนเรียวยาวรั้งไม่ให้อวี๋กานกานถอดเสื้อหนาวออก อวี๋กานกานเงยหน้าขึ้นมองเห็นฟังจือหัน เขาถอดเสื้อโอเวอร์โค้ทขนสัตว์ของตัวเองออกเรียบร้อยแล้ว จากนั้นยื่นมาให้เธอ “ใช้ของผม”


 


 


อบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ อวี๋กานกานคลี่ยิ้มออกมา เธอค่อยๆ ยกลำตัวด้านข้างของคุณป้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ให้ฟังจือหันใช้เสื้อโค้ทปูลงบนพื้น จากนั้นจึงวางคุณป้าลงกลับท่าเดิมอย่างเบามือ


 


 


ลูกสาวของคุณป้า ใช้เสื้อโค้ทของตัวเองห่มให้กับผู้เป็นแม่ จากนั้นมองไปยังอวี๋กานกานด้วยสายตาร้อนรน “คุณเป็นหมอใช่ไหมคะ”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า


 


 


ลูกสาวของคุณป้าถามด้วยแววตาแดงก่ำ “แล้วตอนนี้อาการของแม่เป็นอย่างไรคะ”


 


 


อวี๋กานกานจับชีพจรเพื่อตรวจเช็คอาการให้คุณป้าอีกครั้ง อาการค่อนข้างหนัก ทานยาไปแล้วดูเหมือนจะไม่เป็นผล ตั้งแต่เด็กเธอมีนิสัยชอบพกกล่องฝังเข็มติดตัวไว้เสมอ อวี๋กานกานหยิบกล่องฝังเข็มออกมาจากกระเป๋าหน้าอก หยิบเข็มเงินออกมา รวบรวมสมาธิ เตรียมฝังเข็มเพื่อปฐมพยาบาลฉุกเฉิน จู่ๆ ก็มีมือของใครไม่รู้มาจับแขนด้านที่เธอถือเข็ม ก่อนจะกระชากเธอออกมา


 


 


เพื่อให้สภาพอากาศถ่ายเทได้สะดวก ทุกคนจึงอยู่ห่างออกจากอวี๋กานกานและคุณป้าท่านนั้นค่อนข้างไกล ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ ก็จะมีใครไม่รู้เข้ามาลงไม้ลงมือกับอวี๋กานกาน


 


 


ฟังจือหันเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน นัยน์ตาเย็นเยียบ เดินพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังช้าไปอยู่ดี อวี๋กานกานถูกกระชากออกมา เธอเซถอยหลังหลายก้าวจนเกือบจะล้ม โชคดีที่ฟังจือหันช่วยพยุงเอวของเธอไว้ได้ทัน จากนั้นโอบอวี๋กานกานไว้ในอ้อมกอด นัยน์ตาสีดำล้ำลึกแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงจ้องมองมาที่เธอโดยไม่ละสายตาแม้แต่น้อย “ไม่ได้ล้มใช่ไหม”


 


 


อวี๋กานกานส่ายหน้าโดยที่ยังตื่นตกใจอยู่ เธอหันไปมองซย่าเฉิงโจวซึ่งเป็นคนที่กระชากเธอออกมา ซย่าเฉิงโจวขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเย็นชา ตวาดลั่น “นี่ใช่เรื่องที่เธอจะมาทำมั่วๆ ได้เหรอ!”


 


 


ซย่าเฉิงโจวพูดจบก็นั่งยองๆ ลงบนพื้นจับชีพจรให้คุณป้าทันที ทว่ามือของเขายังไม่ทันได้สัมผัสข้อมือของคุณป้า ก็ถูกคนคนหนึ่งถีบกระเด็นเสียก่อน


 


 


ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ปรายตามองจากจุดที่อยู่สูงกว่า เอ่ยเสียงเย็น “ขอโทษมา”  


 


 


 


 


——


 


 


[1] จิ้วซินหวัน ชื่อเต็ม su xiao jiu xin wan แปลตรงตัวได้ว่า ยาเม็ดรักษาหัวใจชนิดออกฤทธิ์ทันที เป็นยาจีนชนิดหนึ่ง มาในรูปแบบเม็ดเล็กๆ มีสรรพคุณ กระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดและลมปราณ สลายลิ่มเลือดอุดตัน ลดอาการปวด ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคหลอดเลือดหัวใจที่เกิดจากเลือดคั่งเพราะพลังปราณติดขัด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม