วาสนาบันดาลรัก 200-228

 200

“คุณหนูสี่ ระวัง!” ในหัวหลัวเทียนเฉิงว่างเปล่า เขาพุ่งเข้าไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวกับชูสยาจวิ้นจู่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกัน ชูสยาจวิ้นจู่อยู่ด้านหน้า เจินเมี่ยวอยู่ด้านหลัง


 


 


ลูกธนูปริศนาดอกนั้นแหวกอากาศมาด้วยความเร็วอย่างที่สุดจนเกิดเสียงวืดอันเสียดแหลมขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวฝึกยุทธ์ทุกวัน การเคลื่อนไหวตัวจึงว่องไวกว่าคนปกติ


 


 


เมื่อคมธนูใกล้เข้ามาตรงหน้า ชูสยาจวิ้นจู่ตกตะลึงอึ้งงันไปเสียแล้ว เจินเมี่ยวกลับผลักนางออก ชูสยาจวิ้นจู่ที่นิ่งแข็งไปแล้วนั้นจึงร่วงตกจากหลังม้า


 


 


ดีที่พื้นหญ้านั้นอ่อนนุ่ม คนจึงมิได้รับบาดเจ็บสาหัสอันใด


 


 


แต่เจินเมี่ยวกลับหลบไม่ทัน เมื่อเห็นธนูพุ่งมาตรงหน้า ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ไปถึงกระดูก เป็นความหนาวเหน็บที่มิใช่ความหนาวเมื่ออยู่ใต้หิมะยามเหมันต์ แต่เป็นความเย็นเยียบที่พร้อมคร่าชีวิตนางไปอย่างไร้เยื่อใย ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาในทันใด และทำให้คนต้องหดศีรษะเข้าหาร่างไปตามสัญชาตญาณแห่งตน


 


 


มีดทำอาหารที่นางยกขึ้นบังกายตนส่งแสงวิบวับ ได้ยินเพียงเสียงกังวานใสดังติงตัง


 


 


ธนูปริศนาร่วงตกลงแทงถูกหลังม้า


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เป็นผู้มีฝีมือในการควบขี่ม้า ม้าที่ใช้จึงเป็นม้าดุดันพันธุ์ดี อาจเพราะเห็นนายตนร่วงตกพื้นไปแล้วจึงมิยินยอมให้คนแปลกหน้าขี่หลัง หรือเพราะธนูปริศนาแหลมคมเกินไปก็มิอาจทราบได้ ม้าดุดันตัวนั้นจึงร้องฮี้เสียงยาวแล้วพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ก่อนหน้านี้พยัคฆ์ร้ายเกือบนะทำอันตรายเจาเฟิงตี้ แต่หลังจากที่มันต่อสู้โรมรันกับหลัวเทียนเฉิง เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างก็ล้อมวงเข้าไปรวมตัวกันเพื่ออารักขาเขา


 


 


 เรื่องราวที่เกิดขึ้นและพลิกผันไปอย่างรวดเร็วและกะทันหันนี้ มีเพียงหลัวเทียนเฉิงผู้ซึ่งคุ้นเคยกับเสียงของเจินเมี่ยวที่สุดเท่านั้นที่จับสังเกตได้


 


 


หลังจากที่ชูสยาจวิ้นจู่ตกม้า เจินเมี่ยวก็คว้ามีดทำอาหารขึ้นสกัดธนูปริศนา ธนูจึงปักลงบนหลังของม้าดุดันตัวนั้นทำให้มันทะยานวิ่งหนีไป เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วดุจประกายไฟ แม้ผู้อื่นคิดจะช่วยเหลือก็มิทันเสียแล้ว


 


 


รอกระทั่งทุกคนมีสติวิ่งตามไปก็เห็นเพียงเงาร่างสีน้ำเงินเข้มทะยานขึ้นไปบนอากาศแล้วกระโดดลงบนหลังม้า คนทั้งสองจึงหายลับไปท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายพร้อมกับม้าที่ดุดันตัวนั้น


 


 


“โอ้ ชูสยาของข้า…” หย่งอ๋องรีบลงจากหลังมาวิ่งเข้าไปหาชูสยาทันที


 


 


เจาเฟิงตี้สงบสติอารมณ์ไว้แล้วเอ่ยกำชับว่า “รีบเข้าไปช่วยชูสยาจวิ้นจู่เร็วเข้า กองทัพพยัคฆ์มังกรแยกกันออกไปตามหาคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงและฮูหยิน!”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป สีหน้าเขาดูสงบนิ่งยิ่ง “จะต้องหาคนให้พบให้ได้!”


 


 


เมื่อชำเลืองมองธนูที่ร่วงตกอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “กู่หมิง เรื่องธนูดอกนี้มอบให้เจ้าเป็นผู้ตรวจสอบ!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” บุรุษผู้นั้นยกมือขึ้นประกบกัน


 


 


แต่ในใจกลับรู้สึกขมขื่นขึ้นมา


 


 


เขาและหลัวเทียนเฉิงเป็นผู้บัญชาการเช่นเดียวกัน เป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงสุดในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินที่เดินทางมาในครั้งนี้


 


 


ในสถานการณ์ที่วุ่นวายปานนี้ การคิดจะหามือยิงธนูนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย แม้ในใจจะไม่ยินยอมแต่ยังคงเดินเข้าไปเก็บลูกธนูที่วางตกอยู่บนพื้นหญ้าอย่างสงบนิ่งนั้นขึ้นมาในที่สุด


 


 


“ลูกรักของพ่อ เจ้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่” หย่งอ๋องประคองชูสยาจวิ้นจู่ขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล “บอกแล้วว่าให้อยู่ที่จวน เจ้าก็ไม่ฟัง ครานี้เป็นอย่างไร เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว…”


 


 


หย่งอ๋องบ่นพึมพำ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว


 


 


เขาไม่ควรใจอ่อนให้นางเลยจริงๆ เมื่อคิดว่าบุตรสาวต้องแต่งไปยังดินแดนหมานเหว่ยจึงได้พานางออกมาล่าสัตว์ด้วย โดยมิสนว่าสตรีสูงศักดิ์มากมายที่มาล้วนเป็นภรรยาของขุนนางใหญ่ทั้งสิ้น ไม่มีแม่นางน้อยใดที่ยังมิออกเรือนสักคน


 


 


หย่งอ๋องสำรวจไปทั่ว เมื่อมิพบบาดแผลจึงค่อยๆ วางใจลง “ชูสยา ต่อไปมิอาจเอาแต่ใจได้อีกแล้ว…”


 


 


“ท่านพ่อ!” ตั้งแต่ตกจากหลังม้า ชูสยาจวิ้นจู่ก็ตกอยู่ในสภาวะเลื่อนลอย เมื่อมีสติคืนมานางจึงคว้าจับแขนเสื้อบิดาไว้ “คุณหนูสี่สกุลเจินเล่า”


 


 


“คุณหนูสี่สกุลเจิน?” ในเวลาอันรวดเร็วนี้หย่งอ๋องจึงยังมิทันเข้าใจ


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลับไม่ต่างอันใดกับคนที่ตื่นจากฝัน “ไม่ได้แล้ว ข้าต้องไปช่วยนาง!”


 


 


นางมองไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดจะกระโดดขึ้นหลังม้ากลับพบว่าม้ารักนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สุดท้ายจึงนึกขึ้นได้ว่าม้าของนางได้พาเจินเมี่ยววิ่งหนีไปแล้ว


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พลันร้อนใจขึ้นมา


 


 


นางเป็นนายของม้าดุดันตัวนั้น ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจมันได้มากกว่านางอีกแล้ว


 


 


บรรดาผู้คนที่เข้ามาเพื่อจะช่วยพยุงล้วนชะงักงันไป ชูสยาจวิ้นจู่แย่งเอาเชือกจากคนที่อยู่ใกล้นางมากที่สุดไว้แล้วดึงคนผู้นั้นลงมา “เอาม้าให้ข้ายืมเดี๋ยวนี้!”


 


 


“รีบขวางองค์หญิงไว้!” เจาเฟิงตี้และหย่งอ๋องร้องขึ้นพร้อมกัน


 


 


มิต้องให้พวกเขาพูดคนเหล่านั้นก็ลงมือปฏิบัติไปก่อนแล้ว


 


 


เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นติดต่อกันอย่างกะทันหัน การช่วยไม่ทันท่วงทีนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะเรื่องเกิดขึ้นเร็วยิ่ง แต่หากให้ชูสยาจวิ้นจู่หนีไปทั้งที่มีคนมากมายอยู่ข้างกายเช่นนี้ พวกเขาคงต้องยอมตายนับพันนับหมื่นครั้งแล้ว


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ถูกห้ามไว้ นางร้อนใจจึงยกมือขึ้นตบหน้าคนที่คว้าข้อมือนางไว้


 


 


“ชูสยา อย่าได้ทำตัวเหลวไหล!” เจาเฟิงตี้เดินเข้ามาหา


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่อ่อนลงทันที “เสด็จลุง หม่อมฉันต้องไปช่วยนาง”


 


 


หลานสาวผู้นี้เขาเฝ้ามองนางมาตั้งแต่เล็กจนโต เจาเฟิงตี้รักใคร่เอ็นดูยิ่ง การที่ต้องแต่งไปดินแดนหมานเหว่ยยิ่งทำให้มีความสงสารเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน น้ำเสียงที่เอ่ยจึงมิได้แข็งขึงเท่าใดนัก “เราส่งคนออกไปตามแล้ว”


 


 


“แต่ม้านั่นวิ่งเร็วมาก”


 


 


“หลัวซื่อจื่อตามไปด้วย มีเขาอยู่นางไม่มีทางเป็นอันใดแน่”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ตกจากหลังม้า นางอึ้งงันอยู่นานจึงมิเห็นเหตุการณ์หลังจากนั้น ดวงตาจึงเต็มไปด้วยความกังวล “เสด็จลุง ธนูนั่นพุ่งมาที่หลาน แต่คุณหนูสี่เข้ามารับแทน นาง นาง..”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็มิอาจเอ่ยต่อไปได้ น้ำตานางคลอเบ้าขึ้นมา แต่เพราะอยู่ต่อหน้าคนมากมายจึงมิยอมแสดงความอ่อนแอของตน นางกัดริมฝีปากเพื่อข่มกลั้นมันไว้


 


 


ตอนนั้นเจาเฟิงตี้อยู่ไกล ทั้งยังถูกรุมล้อมจึงเห็นไม่ถนัด เมื่อได้ยินชูสยาเอ่ยเช่นนี้จึงปลอบใจว่า “คุณหนูสี่สกุลเจินเป็นคนมีวาสนา นางจะต้องไม่เป็นอันใดแน่”


 


 


เวลานี้เสียงหนึ่งจึงดังขึ้น “ฝ่าบาท องค์หญิง ฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงมิได้รับบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เจาเฟิงตี้มองกู่หมิงที่ไปเก็บธนูดอกนั้นกลับมาคราหนึ่ง


 


 


กู่หมิงรีบอธิบายว่า “ตอนนั้นหม่อมฉันเห็นชัดเจนยิ่ง ธนูดอกนี้พุ่งเข้าปะทะกับกริชที่อยู่ในมือฮูหยินพอดี”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ใจก็เต้นแรงขึ้นมา


 


 


ของสิ่งนั้นคือกริชกระมัง


 


 


แต่มิคล้ายเลย มันใหญ่กว่ากริชอยู่มาก…


 


 


ขณะที่กู่หมิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นกลับมีคนปากมากเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้ากู่ดูผิดแล้ว”


 


 


ผู้ใดช่างกล้าตัดบทเช่นนี้


 


 


กู่หมิงพลันเงยหน้าขึ้นหวังจะถลึงตาใส่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายหกจึงสงบเสงี่ยมท่าทีลง


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่หน้าขาวซีดทันใด “ดูผิดหรือ พี่หก พูดเช่นนี้ นางได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ”


 


 


มุมปากองค์ชายหกขยับยกขึ้น “มิได้รับบาดเจ็บ“


 


 


ชูสยาจวิ้จู่กลับขมวดคิ้วมุ่น “แล้วท่านจะบอกว่าใต้เท้ากู่ดูผิดได้อย่างไรเล่า! พี่หก เวลานี้แล้วท่านยังพูดเหลวไหลอีก! ”


 


 


“เขาดูผิดจริงๆ ที่เจินเมี่ยวถือไว้ใช่กริชที่ไหนกันเล่า เป็นมีดทำอาหารชัดๆ!”


 


 


มีดทำอาหารหรือ


 


 


คนทั้งหลายมีสีหน้าคล้ายถูกฟ้าผ่ากระนั้น


 


 


ทุกอย่างพลันเงียบไปทันที ได้ยินเพียงเสียงนกร้องเท่านั้น


 


 


ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงคิดอันใดอยู่กันแน่ถึงได้พกมีดทำอาหารไว้ในอกเสื้อ!


 


 


มิถูก…หากเป็นกริชเล่มหนึ่งจริงๆ ด้วยรูปร่างที่เล็กแคบของมันอาจจะสกัดธนูไม่อยู่ก็เป็นได้ เช่นนั้นธนูคงได้แทงทะลุร่างนางแน่!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้คนทั้งหลายต่างก็ต้องตกใจ


 


 


ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงช่างโชคดีนัก!


 


 


ใช่แล้ว ฝ่าบาทเคยตรัสว่าฮูหยินผู้สืบทอดนั้นเป็นคนมีวาสนา


 


 


คนทั้งหลายต่างหันไปมองเจาเฟิงตี้ แววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส


 


 


เจาเฟิงตี้รับรู้ได้ถึงสายตาของเหล่าขุนนาง ความภาคภูมิพลันเกิดขึ้นมาทันที เขากระแอมไอแล้วเอ่ยว่า “ชูสยาได้ยินแล้วหรือไม่ คุณหนูสี่มิได้รับบาดเจ็บทั้งยังมีหลัวซื่อจื่อตามไปด้วย ด้วยความสามารถของหลัวซื่อจื่อ เขาจะต้องปกป้องนางได้แน่”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ได้ฟังแล้วจึงค่อยๆ วางใจลง


 


 


เจาเฟิงตี้หมุนกายกลับไป “เอาล่ะ ตามเรากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเถิด…”


 


 


คนทั้งหลายต่างขึ้นขี่ม้าตามเจาเฟิงตี้ไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เจาเฟิงติ้มิได้หันไปมองไท่จื่อที่เหม่อลอยดั่งวิญญาณหลุดจากร่างแม้เพียงครั้งเดียว


 


 


สตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นตามมาถึงพอดี ไท่จื่อเฟยยังมิทราบเรื่องราวก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นไท่จื่อมีสีหน้าแปลกไปก็เข้าใจว่ากำลังเสียขวัญจึงเข้าไปปลอบโยน “ไท่จื่อ กลับตำหนักเถิด หม่อมฉันจะต้มน้ำแกงสงบใจให้พระองค์ดื่ม…”


 


 


ประโยคหลังยังมิทันได้เอ่ยจบก็ถูกสายตาเย็นชาสิ้นหวังของไท่จื่อแช่แข็งไว้เสียแล้ว


 


 


ไท่จื่อเฟยอ้าปากขึ้นคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่ก็เงียบลงในที่สุด


 


 


ไท่จื่อผลักไท่จื่อเฟยให้พ้นทางแล้วพลิกร่างขึ้นบนหลังม้า


 


 


ไท่จื่อเฟยมองสำรวจคราหนึ่งจึงเดินไปหยุดที่หน้านางเจี่ยง “นางเจี่ยง เจ้ามาที่นี่กับองค์หญิงก่อนใคร น่าจะทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”


 


 


นางเจี่ยงตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่งยวด พลันส่ายหน้าเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่รู้ หม่อมฉันไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น!”


 


 


นางจับเชือกไว้แน่นแล้วพุ่งทะยานไปหาโอวหยางเจ๋ออย่างไม่แม้จะใส่ใจต่อมารยาทที่พึงกระทำ


 


 


ไท่จื่อเฟยเห็นเช่นนี้แล้วจึงมิถามให้มากความอีก แล้วรีบตามไท่จื่อไป


 


 


ครั้นกลับถึงเรือนหลังตำหนัก นางเจี่ยงจึงเริ่มรู้สึกว่ามือเท้าอ่อนแรง นางคว้าแขนโอหยางเจ๋อไว้แล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าเสียมารยาทแล้ว ไท่จื่อเฟยจะลงโทษข้าหรือไม่”


 


 


แววตาของโอวหยางเจ๋อคลุมเครือไม่สดใส เขาเอ่ยช้าๆ ว่า “เกรงว่าต่อไปไท่จื่อเฟยคงมิได้ใส่ใจเรื่องนี้แล้ว”


 


 


แผ่นดินนี้อาจเกิดความวุ่นวายขึ้น


 


 


“เช่นนั้นน้องเจินจะเป็นอันใดหรือไม่”


 


 


“ไม่หรอก หลัวซื่อจื่อวรยุทธ์สูงส่ง จะต้องปกป้องฮูหยินตนได้แน่ บางทีพวกเขาอาจจะกลับมาทันกินอาหารเที่ยงมื้อนี้ด้วยซ้ำ”


 


 


น่าเสียดายที่ทุกคนคาดการณ์ในทางที่ดีมากเกินไป กระทั่งฟ้ามืด กองกำลังที่ออกไปค้นหาคนก็กลับมา จึงทราบข่าวว่าไม่มีความคืบหน้าใดเลยต่างหาก


 


 


“เหตุใดจึงหาคนไม่พบ!” เจาเฟิงตี้ทุบโต๊ะแสดงอิทธิฤทธิ์ของพญามังกรเต็มที่


 


 


คนที่อยู่หัวแถวคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างขอรับโทษ “หม่อมฉันไร้ความสามารถ ทั้งที่ออกไปตามหาตามทิศทางนั้นแล้วแต่ก็หาหลัวซื่อจื่อไม่พบพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


บริเวณโดยรอบของตำหนักเป่ยเหอแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่นัก เมื่อฟ้ามืดก็ยิ่งไร้หนทางที่จะหาเจอ


 


 


“ม้ายังไม่ตาย มันจะเปลี่ยนทิศวิ่งไม่ได้เชียวหรือ ออกไปหาให้ทั่วทุกทิศ ไม่ว่าอย่างไรต้องตามคนกลับมาให้ได้!”


 


 


“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หากออกตามหาตามทิศทางที่ม้าวิ่งไปแล้วเหตุใดจึงหาหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวไม่พบเล่า


 


 


บริเวณโดยรอบของตำหนักเป่ยเหอมิใช่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไร้เส้นขอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผืนป่าใหญ่และพื้นที่ต่ำสูงสลับกันไปมาอีกด้วย


 


 


เมื่อหลัวเทียนเฉิงเห็นม้าวิ่งเข้าไปในป่าทึบ ด้วยความเร็วเช่นนี้หากพุ่งชนเข้ากับต้นไม้เก่าแก่ ม้าคงต้องตาย คนคงต้องดับเป็นแน่


 


 


หลัวเทียนเฉิงนั่งอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยว เขาโอบนางไว้ในอ้อมกอด แล้วเอ่ยขึ้นข้างหูว่า “คุณหนูสี่เจ้าหลับตาลงเสีย”


 


 


“หลับตาแล้ว” เจินเมี่ยวหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง


 


 


ม้าวิ่งเร็วเพียงนี้ เร็วเสียจนคนอกสั่นขวัญแขวน แต่เพราะด้านหลังมีคนอยู่อีกผู้หนึ่ง ใจจึงสงบลงได้อย่างประหลาด


 


 


“ข้าทิ้งมีดไปแล้ว!”


 


 


นางตื่นเต้นจนลืมว่ามีดที่ตนเก็บไว้นั้นถูกทิ้งไปแล้ว


 


 


“ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูเจินเมี่ยว แล้วกอดนางกระโดดลงจากหลังม้า


 


 


อาจเพราะฝนตกติดต่อกันหลายวัน พื้นที่ที่คนทั้งสองกลิ้งไปนั้นจึงเป็นเพียงดินนิ่มๆ และเมื่อมันต้องแบกรับน้ำหนักของคนทั้งสอง ไม่นานพวกเขาก็จมลงไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลิ้งลงไปด้านข้าง  คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเนินชัน คนทั้งสองจึงกลิ้งลงไปไม่หยุด


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกอยู่รางๆ ว่าตนกลิ้งมานานดั่งชั่วชีวิต คล้ายว่าจะไม่มีวันสิ้นสุดกระนั้น


 


 


ชั่วขณะที่กำลังจะหมดสติจึงนึกถึงวาจาประโยคหนึ่งขึ้นมา


 


 


บัดซบยิ่ง หากวาจาของบุรุษเชื่อถือได้จริง แม่หมูคงปีนต้นไม้ได้เป็นแน่!


201

ตอนที่เจินเมี่ยวฟื้นขึ้นนั้นนางรู้สึกปวดตามเนื้อตัวยิ่งประหนึ่งร่างถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ก็มิปาน ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา


 


 


นางกัดลิ้นเพื่อเรียกสติตนแล้วฝืนลืมตาขึ้น


 


 


สิ่งที่เห็นในครรลองสายตาคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มืดดำไร้รอยต่อ ดาราดวงน้อยส่งแสงวาวระยับล้อมรอบจันทราไว้


 


 


ในช่วงเวลาอันกะทันหันเช่นนี้เจินเมี่ยวจึงยังมิทันรู้ตัวว่าตนอยู่ที่ใดกันแน่


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน สติปัญญาก็เริ่มฟื้นคืนมาและระลึกย้อนหลังถึงเหตุการณ์ทุกอย่างอีกครา


 


 


ตอนนั้นนางหลับตาลงอย่างว่าง่าย ทั้งโยนมีดทิ้ง แล้วหลัวเทียนเฉิงก็อุ้มนางกระโดดลงจากหลังม้า หลังจากนั้นก็ไม่ทราบแล้วว่าตนกลิ้งไปถึงที่ใด


 


 


ใช่แล้ว หลัวเทียนเฉิง!


 


 


เจินเมี่ยวรีบหันไปมองบริเวณโดยรอบอย่างหวาดหวั่นใจ


 


 


ร่างสีน้ำเงินเข้มนอนนิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลนัก


 


 


ยามราตรีเช่นนี้หากมิใช่แสงจันทร์ส่องสว่างมากพอ เกรงว่านางคงมองไม่ออกแน่


 


 


เจินเมี่ยวลุกคลุกคลานเข้าไป


 


 


“ซื่อจื่อ?” เห็นชัดว่าอาภรณ์ด้านหลังของคนผู้นั้นขาดลุ่ยดูไม่ได้ไปนานแล้ว ทั่วร่างมีบาดแผลขีดข่วนทั้งหนักบ้างเบาบ้างนับไม่ถ้วน เจินเมี่ยวปวดแปลบขึ้นมาในใจ นางข่มความหวาดกลัวไว้แล้วยื่นมือไปจ่อที่จมูกเขา


 


 


นางผ่อนลมหายใจโล่งอกดุจคนที่ได้รับการช่วยเหลือแล้วก็มิปาน


 


 


เจินเมี่ยวค่อยๆ พลิกตัวหลัวเทียนเฉิงขึ้น ตรวจดูอย่างละเอียดอยู่เป็นนาน


 


 


นอกจากบาดแผลที่ขีดข่วนด้านหลังนั้นแล้ว ที่ร้ายแรงที่สุดคงเป็นต้นขาด้านซ้ายที่ถูกกิ่งไม้แหลมปักคาอยู่ลึกไม่น้อย แม้เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว แต่กิ่งไม้ยังคงปักคาอยู่ มองแล้วทำให้คนแตกตื่นตกใจยิ่ง ยามราตรีช่างมืดมนเหลือเกิน นางต้องเดินเข้าไปมองใกล้ๆ จึงสามารถเห็นได้ถนัดว่าเป็นสิ่งใดภายใต้แสงอันเลือนรางจากจันทรา


 


 


นางโค้งกายก้มหน้าหาอยู่นาน ในที่สุดก็เห็นบุปผาดอกเล็กขนสีม่วง มันคือต้นชื่อไช่ [1]


 


 


แม้ต้นชื่อไช่จะพบเห็นได้ทั่วไปตามภูเขาและป่าย่อมๆ แต่มันกลับเป็นของวิเศษที่หาได้ยากยิ่ง


 


 


มีครั้งหนึ่งนางออกไปปีนเขาคนเดียว ไม่ทันระวังจึงหกล้มได้รับบาดเจ็บ นักท่องเที่ยวผู้หนึ่งผ่านมาจึงใช้สิ่งนี้หยุดเลือดให้นาง


 


 


นางค่อยๆ ดึงรากมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วกลับไปหาหลัวเทียนเฉิง


 


 


เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ แล้วฉีกอาภรณ์บนร่างตนออกมากดขอบแผลไว้ นางกัดริมฝีปากตน หลับตาลง ดึงกิ่งไม้ออกมาทันทีแล้วใช้ผ้าปิดที่บาดแผลอย่างรวดเร็ว


 


 


เสียงร้องหึดังขึ้น หลัวเทียนเฉิงลืมตาขึ้นมาทันใด แล้วเอ่ยด้วยกระแสเสียงโกรธกรุ่น “คุณหนูสี่ เจ้าจะฆ่าสามีตนหรือไร!”


 


 


โลหิตสดซึมทะลุผ้าออกมาเปรอะเปื้อนนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกงามนั้นอย่างรวดเร็ว


 


 


เจินเมี่ยวไม่มีเวลาแม้จะใส่ใจคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาผู้นั้น นางคว้ามือเขาไปวางกดไว้บนบาดแผล “กดไว้ก่อน”


 


 


หน้าหลัวเทียนเฉิงขาวซีด ทว่านัยน์ตากลับสว่างใสเป็นพิเศษ เขาจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา


 


 


เจินเมี่ยวยัดต้นชื่อไช่เข้าปากตนไปทั้งราก ท่ามกลางอาการอึ้งงันของหลัวเทียนเฉิง


 


 


เจินเมี่ยวคุ้นชินกับอาหารเลิศรสมาตลอด สิ่งนี้ขมจนน้ำตานางแทบไหลออกมาแล้ว ทว่าปากกลับมิหยุดเคี้ยวเลย ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เอาสมุนไพรที่เคี้ยวจนละเอียดแล้วใส่แผลให้เขา


 


 


แววตาหลัวเทียนเฉิงพลันเปลี่ยนเป็นล้ำลึก “คุณหนูสี่ เจ้าทำอันใดกัน”


 


 


“หยุดเลือดให้ท่านอย่างไรเล่า”


 


 


“เจ้ารู้ว่าสิ่งนี้ใช้หยุดเลือดได้?”


 


 


ความลำบากเช่นไรเขาล้วนพบเจอมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงสงครามอันยาวนานในชาติก่อนทำให้เขารู้ว่าต้นหญ้านี้มีสรรพคุณหยุดเลือดได้


 


 


ทว่าผู้ใดบอกเขาได้บ้างว่าเหตุใดสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในเรือนกลับทราบเรื่องนี้เช่นกัน!


 


 


เขาอยากจะรู้ยิ่งว่านางจะตอบคำถามนี้เช่นไร


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด “วาจานี้มิใช่ไร้สาระยิ่งหรอกหรือ หากไม่ทราบแล้วไยข้าต้องเอามันมาใช้หยุดเลือดให้ท่านเล่า”


 


 


หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากตน


 


 


ความรู้สึกที่ถูกมองว่าเป็นคนโง่งมนี่คือเรื่องราวใดกัน


 


 


มิถูก! สตรีโง่งมผู้นี้ตอบอันใดมักมิตรงคำถาม เมื่อครู่ที่เอ่ยไปเขาหมายความเช่นนั้นหรือไรกัน!


 


 


ครั้นคิดจะลุกขึ้นมาถกเถียงก็เจ็บแผลจนต้องสูดปาก


 


 


“อย่าขยับ” มืออุ่นร้อนกดลงมาทันใด


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้าลงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาพันบาดแผลให้เขา เมื่อเสร็จก็อดชำเลืองมองบริเวณเหนือแผลนั้นมิได้


 


 


อืม ต้องตรวจสอบบริเวณนั้นสักหน่อยดีหรือไม่


 


 


การกลิ้งลงมาเช่นนั้น นอกจากตนจะฟกช้ำไปทั้งร่างแล้วก็มิได้มีบาดแผลใหญ่อันใดบ่งบอกว่าเขาคุ้มกันตนไว้อย่างดียิ่ง เช่นนั้นคงมิอาจไม่ตรวจสอบบาดแผลให้เขาอย่างละเอียดเพียงเพราะเขินอายได้


 


 


ชั่วขณะนั้นเจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าความเป็นคนของตนได้ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว นางยื่นมือออกไปดึงกางเกงของใครบางคนด้วยความท่าทีสุขุม


 


 


“คุณหนูสี่ เจ้าทำอันใดกัน!” หลัวเทียนเฉิงโกรธเสียจนหน้าแดงก่ำ


 


 


เจินเมี่ยวตบบั้นท้ายที่ขาวและงอนนั้นด้วยความดีใจ “โชคดีที่ส่วนนี้มิได้รับบาดเจ็บ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกตรงหน้าดำมืดไปหมด หรือเขาควรจะหมดสติไปให้รู้แล้วรู้รอดดี


 


 


เขาถูกสตรีผู้หนึ่งลูบบั้นท้าย!


 


 


“คุณหนู…สี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอันใดเรียกว่าการสงวนท่าที”


 


 


ครั้นเห็นคนผู้หนึ่งสามารถด่าทอได้อย่างแข็งขัน ความอ่อนโยนและเห็นใจที่มีแต่เดิมของเจินเมี่ยวก็พลันหายไป นางเม้มปากแล้วตบตรงบริเวณนั้นอีกคราหนึ่ง “เลิกโวยวายได้แล้ว ข้ายังต้องใส่ยาให้ท่านอีก”


 


 


“ตรงนั้นของข้ามิได้รับบาดเจ็บเสียหน่อย!”


 


 


เจินเมี่ยวมิได้เงยหน้าขึ้นมา นางเริ่มแกะอาภรณ์ที่มีเลือดแห้งเกรอะกรังติดอยู่กับบาดแผลตรงบริเวณด้านหลังของเขาออก


 


 


“ต้องดูก่อนถึงจะรู้มิใช่หรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกัดฟันเอ่ย “เจ้าถามข้าก่อนได้!”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกน้อยใจขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ก็มิใช่เคยเห็นแล้วหรอกหรือ”


 


 


ผู้ใดกันที่กอดเกี่ยวทรมานนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าจะขัดขืนเช่นไรก็ไม่เป็นผล แม้จะมีเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวก็ตามเถิด แต่สิ่งที่ควรเห็นก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือ


 


 


เหตุใดเมื่อถึงคราต้องรักษาบาดแผลกลับรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเล่า


 


 


ความคิดของบุรุษช่างยากจะคาดเดาจริงๆ


 


 


หลัวเทียนเฉิงถลึงตามองเจินเมี่ยว แต่จากใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและคราบโลหิตนั้นสามารถมองเห็นได้เพียงความสุขุมเยือกเย็นโดยไม่มีท่าทีเดือดดาลแต่อย่างใด


 


 


ผ่านไปนานจึงเอ่ยเสียงต่ำออกมาว่า “คุณหนูสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอันใดคือความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง”


 


 


เจินเมี่ยวดึงอาภรณ์ออกจากแผลที่หลังของเขาสำเร็จแล้ว เมื่อมองบาดแผลที่ไขว้สลับกันไปมาเป็นทางยาวแล้วจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ เรื่องนี้ประเดี๋ยวเราค่อยถกกัน ให้ข้าจัดการบาดแผลของท่านให้เสร็จก่อนเถิด”


 


 


มือนางเลื่อนลงไปด้านล่างเพื่อดึงกางเกงขึ้นมาให้เขาแล้วลุกขึ้นไปหาต้นชื่อไช่


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าเกียรติยศของเขาในชาตินี้นั้นป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว


 


 


เขาถึงกับลืมว่าตนยังมิได้ดึงกางเกงขึ้น จึงเปลือยบั้นท้ายถกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงกับนางซึ่งเป็นสตรี


 


 


เขาเอาหน้ามุดลงไปในวงแขนของตนเงียบๆ


 


 


ชั่วชีวิตนี้ไม่อยากเห็นหน้านางอีกแล้วทำอย่างไรดี


 


 


เจินเมี่ยวหอบเอาชื่อไช่กลับมาเป็นกองแล้วเคี้ยวมันใส่แผลให้เขา กระทั่งลิ้นชาไปหมด จึงรับรู้ได้เพียงความขมฝาดที่กระจายอยู่ทั่วลำคอเท่านั้น


 


 


นางคว้านหาบางอย่างในความมืดอยู่นาน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทียินดียิ่ง “หากระบอกน้ำเจอแล้ว!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่นิ่งเงียบอยู่นานจึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเจินเมี่ยวยกกระบอกน้ำที่มีรูปทรงเหมือนเขาสัตว์ขึ้นอดแปลกใจมิได้ “มาจากที่ใดกัน”


 


 


เจินเมี่ยวเผยท่าทีมาดมั่นออกมา “ข้าพกมาเองอย่างไรเล่า โชคดีที่มิได้ทำหล่นหายไป”


 


 


หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากตน


 


 


แค่ออกมาล่าสัตว์ ครึ่งวันก็กลับแล้ว นางไม่เพียงพกมีดมาด้วยแต่ยังพกกระบอกน้ำมาอีกหรือ


 


 


เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจโลกของสตรีหรือสตรีของเขามิใช่คนของโลกใบนี้กันแน่


 


 


เจินเมี่ยวไม่รู้ตัวเลยว่าสามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางกำลังพร่ำบ่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ นางเปิดฝากระบอกน้ำออก แล้วจ่อไว้ที่ริมฝีปากเขา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ซื่อจื่อ ดื่มน้ำ”


 


 


เมื่อมองสองมือขาวเนียนนั้นแล้วหลัวเทียนเฉิงก็เผยอปากขึ้น


 


 


รสหวานล้ำสายหนึ่งกระจายไปทั่วปากและลำคอ


 


 


เขาอยากจะคุกเข่าให้นางเหลือเกิน…นี่มันน้ำผสมน้ำผึ้งชัดๆ!


 


 


แววตาที่หลัวเทียนเฉิงใช้มองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจ “คุณหนูสี่ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าพกอันใดมาอีก”


 


 


เจินเมี่ยวเปิดเสื้อที่ยาวคลุมถึงบั้นท้ายตนออกมา…เอวที่บางดุจกิ่งหลิวนั้นห้อยแขวนด้วยถุงเล็กๆ เป็นสาย


 


 


หลัวเทียนเฉิงตะลึงตาค้างไปทันที


 


 


เขาสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดสองวันมานี้เอวของเจินเมี่ยวถึงได้หนาขึ้นมาไม่น้อยเลย!


 


 


“ตรงนี้ใส่เกลือไว้ ตรงนี้ใส่น้ำผึ้งขวดเล็ก ตรงนี้ใส่พริกป่น…” เจินเมี่ยวแนะนำไปตามลำดับ


 


 


ดังนั้นที่นางพกมีดทำอาหารออกมาก็เพื่อหาโอกาสทำอาหารใช่หรือไม่


 


 


หลัวเทียนเฉิงหมดแรงเอ่ยวาจาไปทันใด


 


 


“ดื่มอีกสักอึกเถิด” เจินเมี่ยวประคองร่างเขาไว้ ค่อยๆ ป้อนน้ำอย่างระมัดระวัง


 


 


น้ำชุ่มฉ่ำไหลรินลงสู่ท้อง ความหวานล้ำนั้นยังคงวนเวียนอยู่ไม่รู้คลายคล้ายขนนกเบาหวิวที่คอยปัดแกว่งแผ่วเบาไปมาในหัวใจเขากระนั้น


 


 


เจินเมี่ยวมีสีหน้าเสียดายยิ่ง “เดิมคิดว่าอาจจะได้กินย่างเนื้อในป่าถึงนำเครื่องปรุงรสเหล่านี้มาด้วย น่าเสียดายที่มีดหายไปแล้ว มีดที่คมบางเช่นนั้น สามารถนำมาป้องกันตัวและทำอาหารได้ในคราวเดียว…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกใจอ่อนยวบขึ้นมาจึงคิดจะหยิกแก้มป่องยุ้ยของนางแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขน สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงอ่อนว่า “รอกลับไปก่อนจะซื้อให้เจ้าใหม่”


 


 


“อืม”


 


 


“คุณหนูสี่ เจ้าเอากริชที่เอวข้าไปเถิด อย่างไรก็สามารถป้องกันตัวและทำอาหารได้เหมือนกัน” หลัวเทียนเฉิงผลิยิ้มน้อยๆ แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายตนค่อยๆ เย็นขึ้นทั้งเวียนศีรษะอีกด้วย


 


 


เจินเมี่ยวดึงเอากริชที่อยู่ข้างเอวหลัวเทียนเฉิงมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อตน แล้วล้วงเอาขนมปั้วเฮอออกมาจากถุงที่ซ่อนไว้ในอกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “ซื่อจื่อ อย่าเพิ่งนอน กินอันใดสักหน่อยเถิด”


 


 


“เจ้ากินเถิด” หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจออกมา


 


 


เขาช่างโชคร้ายนัก ทั้งที่วางแผนไว้นับร้อยแต่สุดท้ายก็ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อยู่วันยังค่ำ


 


 


ธนูดอกนั้น…เมื่อชาติก่อนมิได้มีเหตุการณ์นี้เสียหน่อย


 


 


ที่แท้แล้วต้องการพุ่งเป้าไปที่ชูสยาจวิ้นจู่หรือเจินเมี่ยวกันแน่


 


 


เขาสะเพร่าเอง ในเมื่อเขายังเปลี่ยนไป แล้วยังจะมีอันใดคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงได้เล่า


 


 


แต่น่าเสียดายที่ทำให้นางต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย…


 


 


มือข้างหนึ่งวางประทับลงตรงหัวคิ้วเขา


 


 


“ซื่อจื่อ ขมวดคิ้วคิดอันใด เวลานี้จะต้องดูแลสุขภาพให้ดี ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าก็อาจมีคนมาช่วยเราแล้ว”


 


 


“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า


 


 


หากหาไม่เจอเล่า หรือคนที่มามิได้คิดจะช่วยเล่า


 


 


หลัวเทียนเฉิงมิได้เอ่ยวาจานี้ออกมา


 


 


เหตุใดต้องทำให้นางกังวลใจด้วยเล่า หากเขายังมีลมหายใจอยู่จะต้องปกป้องนางจนถึงที่สุดแน่


 


 


หากมิอาจผ่านด่านนี้ไปได้ เช่นนั้นชาติหน้าเขาค่อยรับโทษจากนางแล้วกัน


 


 


“ซื่อจื่อ” เจินเมี่ยวพลันขยับเข้าไปใกล้ “เหตุใดท่านต้องทำท่าทางดุจจะต้องตายจากกันเช่นนั้นเล่า”


 


 


หลัวเทียนเฉิงใจเต้นขึ้นมา


 


 


เขาคิดว่านางไร้เดียงสาจนไม่รู้จักความทุกข์ นึกไม่ถึงว่านางจะมีความรู้สึกที่ไวถึงเพียงนี้


 


 


“วางใจเถิด ข้ามิได้บาดเจ็บอันใด มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าจะปกป้องท่านเอง” ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมักเปราะบางเป็นพิเศษ นางแค่ให้คำมั่นแก่เขาอย่างหนักแน่นก็พอแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ในใจ


 


 


นางแย่งวาจาเขาอีกแล้ว!


 


 


หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบอยู่นาน แต่ใจพลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด จึงเอ่ยวาจาหนึ่งออกมา “คุณหนูสี่ เจ้าเชื่อเรื่องชาติก่อน ชาติหน้าหรือไม่”


 


 


เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง “เชื่อ”


 


 


น้ำเสียงที่เอ่ยต่อมาพลันเปลี่ยนไป “แต่ข้าคิดว่า หากไม่มีความทรงจำแล้ว ชาติก่อนหรือชาตินี้ของคนผู้หนึ่งก็กลับกลายเป็นคนสองคนไปอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นจะมีชาติก่อนหรือชาตินี้หรือไม่ มีอันใดต่างกันเล่า”


 


 


เสียง ‘ปึง’ พลันดังขึ้น คล้ายไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งกระแทกชนหัวใจอันหนาแข็ง


 


 


เปลือกอันแข็งหนาที่ห่อหุ้มใจไว้เป็นชั้นๆ แตกละเอียดร่วงหล่นเป็นชิ้นๆ


 


 


ความรู้สึกสับสนที่รัดรึงหลัวเทียนเฉิงมาปีกว่าพลันได้รับการปลดปล่อย


 


 


หลังจากที่เขาตายแล้วฟื้นคืนมาอีกครั้ง คนที่เขาได้พบตอนนี้คงมิใช่คนเดียวกันกระมัง


 


 


เช่นองค์หญิงฟังโหรวที่ตนได้ช่วยชีวิตไว้ หากตอนนั้นมิรออยู่ใต้กำแพงวัง ผู้ใดจะทราบว่านางจะกลายเป็นคนเช่นนี้เล่า


 


 


เขาไม่อยากมีชีวิตใหม่อีกแล้ว หากชาติหน้าได้พบกันอีก คนที่เขาพบคงมิใช่คุณหนูสี่ที่อยู่ตรงหน้าแน่


 


 


เขา…อยากเจอแค่คุณหนูสี่ที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น


 


 


ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้!


 


 


ครานี้เขาจึงกินขนมปั้วเฮอเข้าไปโดยไม่ปฏิเสธมันอีก แล้วเอ่ยถามว่า “คุณหนูสี่ ชื่อเล่นของเจ้าคืออันใด”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยว”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ต้นชื่อไช่ เป็นพืชทีมี่ดอกสีม่วงเป็นขนๆ ใช้เคี้ยวแล้วปิดแผลหยุดเลือดได้


202

“เจี๋ยวเจี่ยว? ไพเราะยิ่ง” มุมปากหลัวเทียนเฉิงเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปให้เรียกข้าว่าจิ่นหมิง”


 


 


“อืม” เจินเมี่ยวตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วหยิบขนมปั้วเฮอขึ้นมาอีกชิ้น “จิ่นหมิง ท่านกินอีกหรือไม่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่ายศีรษะ “พอแล้ว ข้าจะนอนก่อนสักครู่ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่ต้องกลัว หากมีอันใดให้เรียกข้า”


 


 


เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วลง เพราะคนนั้นผล็อยหลับไปแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าร่างกายเขาอ่อนแออย่างมาก


 


 


ยามค่ำคืนนั้นอากาศหนาวมาก อาภรณ์ของหลัวเทียนเฉิงก็ขาดแหว่งไม่เหลือชิ้นดี


 


 


เจินเมี่ยวถอดเสื้อนอกตนออกห่มให้เขา แล้วนอนแนบชิดอยู่ข้างกายเขา


 


 


ร่างทั้งสองแนบชิดกันทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง


 


 


มือหนึ่งของเจินเมี่ยวกำกริชไว้ ตาลืมขึ้นอย่างยากจะหลับลง


 


 


พระจันทร์ถูกเมฆทะมึนบังไว้หมดแล้ว ทั่วสารทิศเต็มไปด้วยความมืดดำ เสียงของแมลงที่ส่งเสียงร้องนั้นชัดเจนเป็นพิเศษ ทั้งยังมีสายลมที่โบกสะบัด กิ่งไม้พัดโยกคล้ายดั่งเงาปีศาจที่ยืนนิ่งรอโอกาสเข้าโจมตี


 


 


ไม่รู้ว่าความหวาดระแวงนี้คงอยู่ไปนานเท่าใด แต่สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวแล้วเผลอหลับไปขณะที่กอดร่างอุ่นร้อนนั้นไว้แน่น


 


 


ในที่สุดฟ้าก็สว่างเสียที


 


 


เจินเมี่ยวถูกร่างที่ร้อนดุจเหล็กในเตานั้นปลุกให้ตื่น


 


 


นางยื่นมือไปลูบคราหนึ่งถึงกับต้องสะดุ้ง


 


 


เป็นไข้เสียแล้ว!


 


 


เจินเมี่ยวหวาดหวั่นขึ้นมา นางลองเรียกชื่อเขาอยู่สองครา แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลย


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้นมองสำรวจไปโดยรอบ


 


 


ตรงที่พวกเขาร่วงตกลงมาคล้ายจะเป็นที่ลุ่มต่ำระหว่างเนินเขา บริเวณโดยรอบเป็นต้นไม้สูงต่ำหนาแน่นเต็มไปหมด มีผลไม้หลากสีห้อยแขวนอยู่บ้างประปราย


 


 


เจินเมี่ยวค้นอยู่นาน แต่ก็ไม่เจอสิ่งใดที่ใช้ประโยชน์ได้จากตัวหลัวเทียนเฉิงเลย นอกจากเงินไม่กี่ตำลึงที่ถูกนางเก็บยัดใส่ถุงเงินไว้


 


 


นางจึงออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างไม่ล้มเลิกความตั้งใจ จึงพบธนูคันหนึ่ง กระบอกใส่ลูกธนู อันว่างเปล่า และลูกธนูที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บริเวณนั้นซึ่งมีเพียงสองดอกที่ยังสมบูรณ์อยู่


 


 


ธนูเล็กพกง่ายคันนี้เป็นของเจินเมี่ยว นางหาต่อไปอีกครู่ใหญ่แต่อย่างไรก็มิพบธนูของหลัวเทียนเฉิงจึงจำต้องปล่อยวางแต่กลับพบเข้ากับหยกชิ้นหนึ่ง


 


 


มิใช่…ควรต้องบอกว่าหยกที่แตกออกเป็นสองชิ้นมากกว่า


 


 


เจินเมี่ยวจำได้ว่าวันที่ยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสนั้น เหล่ากั๋วกงได้มอบของขวัญให้แก่นาง ภายหลังนางจึงมอบต่อให้หลัวเทียนเฉิง


 


 


การแกะสลักหยกแม้ประณีตไม่น้อย แต่สีสันกลับไม่นับว่าสวยนักเพราะขาดความใสวาวอันงดงามของหยกไป แต่เมื่อถูกแสงแดดสาดส่องกลับเห็นว่าภายในมีเงาดำๆ เกิดขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวจึงพบเข้ากับความลับของหยกชิ้นนี้


 


 


คิดไม่ถึงว่าด้านในจะหลอมกุญแจดอกหนึ่งไว้!


 


 


กุญแจดอกนี้มีสีใกล้เคียงกับหยกมาก เมื่อหลอมไว้ภายในจึงรู้สึกเพียงว่าหยกนั้นมีสีสันไม่ใสวาวเท่าที่ควร แต่กลับมองไม่ออกถึงความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ภายใน


 


 


สายตาของเจินเมี่ยวร่วงตกไปลายเส้นสีทองตรงรอยเชื่อมของหยก


 


 


ที่แท้ลายเส้นสีทองนี้มีเพื่อปกปิดรอยเชื่อมของหยกนั่นเอง


 


 


กุญแจที่ซ่อนอยู่ในหยกช่างดูมีลับลมคมในนัก เจินเมี่ยวรีบเก็บข้าวของทันที นางแบกธนูขึ้นบ่าแล้วกลับไปหาหลัวเทียนเฉิง


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส เมฆลอยคล้อยสูงดั่งฐานปืนใหญ่


 


 


ลักษณะเมฆเช่นนี้ อีกไม่เกินสี่ห้าชั่วยามคงต้องมีฝนตกลงมาแน่


 


 


เขาตัวร้อนเพียงนี้หากถูกฝนอีก…เจินเมี่ยวไม่กล้าคิดต่อแล้ว


 


 


นางมิอาจนั่งรอความตายได้ หากคนพวกนั้นหาพวกเขาไม่พบเล่า หากมีสัตว์ป่าโผล่มาเล่า


 


 


เจินเมี่ยวแบกหลัวเทียนเฉิงขึ้นหลัง ในหัวพยายามระลึกถึงประสบการณ์ในป่าของตน


 


 


นางต้องหาต้นน้ำ มีต้นน้ำต้องมีบ้านคนแน่


 


 


ต่อให้ยังไม่พบบ้านคนแต่ถ้ามีต้นน้ำ นางก็สามารถหาวิธีก่อไฟ เช็ดตัวให้เขา ทั้งยังสามารถต้มน้ำแกงไล่พิษเย็นได้


 


 


เรื่องความสามารถในการคำนวณทิศทางของเจินเมี่ยวมิได้ดีนัก นางจึงเดินไปตามความรู้สึกตนแต่จมูกของนางก็มิได้อยู่ว่าง


 


 


ที่ใดมีต้นน้ำ กลิ่นโคลนก็ต้องลอยตามลมมาด้วย หากอยู่ไม่ไกลนางย่อมได้กลิ่นของมันแน่


 


 


พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น แม้จะเป็นปลายสารทฤดูแล้ว แต่เมื่อต้องแบกคนผู้หนึ่งเป็นเวลานานเช่นนี้เหงื่อก็ยังคงซึมไหลออกมาอยู่เช่นเดิม


 


 


แต่เจินเมี่ยวกลับมิกล้าพัก


 


 


ก่อนฟ้ามืดนางจะต้องหาถ้ำที่เหมาะสมสักแห่งเพื่อพักในค่ำคืนนี้


 


 


นางเดินย่างเท้าไปทีละก้าวเช่นนี้ไม่ทราบนานใด พลันได้กลิ่นคาวเลือดลอยมา


 


 


เจินเมี่ยวชะงักฝีเท้าตนทันที


 


 


กลิ่นคาวเลือดนี้เกิดจากสัตว์ที่กำลังต่อสู้กัน สัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บกำลังเลียแผล หรือสัตว์ที่ตกลงไปในกับดักกันแน่


 


 


หากเป็นสัตว์ที่กำลังต่อสู้กันนั่นย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง แต่หากเป็นสัตว์ที่บาดเจ็บก็รับประกันได้ว่าวันนี้เรามีอาหารกินแล้ว ไม่ว่าหลัวเทียนเฉิงหรือนางล้วนต้องการเนื้อเพื่อบำรุงกำลังทั้งสิ้น


 


 


หากมันติดอยู่ในกับดัก นั่นเป็นคงเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง เพราะนางอาจจะหาร่องรอยจนพบที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัย


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจได้


 


 


นางต้องไปดูให้แน่ใจ


 


 


เวลาเช่นนี้ ไม่ว่าทางใดล้วนอันตรายทั้งสิ้น อย่างไรก็มิสู้ลองเสี่ยงดูสักครา


 


 


เจินเมี่ยวขยับเพื่อจับคนข้างหลังให้แน่นขึ้น นางไม่มีทางปล่อยเขาไว้ที่นี่ เพราะเมื่อกลับมาอาจพบว่าสามีตนถูกหมาป่าคาบไปกินแล้วก็เป็นได้


 


 


หากมีอันตรายก็เผชิญด้วยกันเถิด


 


 


เมื่อแบกคนเดินไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวจึงมิอาจเงียบกริบได้ เจินเมี่ยวได้แต่เดินให้ช้าลง กิ่งไม้ใบหญ้าเกี่ยวขาดอาภรณ์ราคาแพงของนางไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่นางมิอาจมัวแต่พะวงกับเรื่องนี้ได้


 


 


กลิ่นคาวเลือดรุนแรงขึ้นทุกขณะ เจินเมี่ยวหยุดเดินแล้วซ่อนตัวในพุ่มหญ้า นางค่อยๆ แหวกใบไม้มองลอดออกไปตรงหน้า


 


 


มีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ


 


 


คนผู้นั้นแต่งกายอย่างหน่วยองครักษ์จิ่นหลินทั่วไป ในมือเขามีดาบวงพระจันทร์เล่มยาวที่กำลังหั่นเนื้อกระต่ายอย่างคล่องแคล่ว ข้างกายยังมีกองฟืนที่ยังมิได้ใช้กองอยู่


 


 


เจินเมี่ยวมีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที ต้องเป็นคนที่มาช่วยนางแน่!


 


 


เจินเมี่ยวยื่นเท้าออกไปก้าวหนึ่งแต่กลับชะงักหยุดเสียก่อน นางจ้องมองเงาคนผู้นั้น เหตุใดจึงรู้สึกแปลกๆ เล่า มีบางอย่างที่ผิดแผกไปอยู่แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคือสิ่งใด


 


 


เจินเมี่ยวเป็นคนที่เชื่อในความรู้สึกของตนมาแต่ไหนแต่ไร นางคิดครู่หนึ่งก็วางหลัวเทียนเฉิงลง แล้วย่องไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นจึงแสร้งส่งเสียงบางอย่างออกมา


 


 


คนผู้นั้นพลันยืนขึ้นสำรวจไปโดยรอบด้วยความระแวดระวัง แล้วเดินมายังทิศทางที่หลัวเทียนเฉิงอยู่


 


 


เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงที่นอนราบอยู่อย่างสงบบนพื้น คนผู้นั้นกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว


 


 


เจินเมี่ยวกำคันธนูตนแน่น


 


 


แปลกอย่างที่นางคิดจริงๆ หากเป็นทหารที่มากับขบวนเสด็จ เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงก็ควรต้องดีใจจนพุ่งเข้ามาหาแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงมีท่าทางระแวดระวังเช่นนั้นเล่า


 


 


โดยเฉพาะคนผู้นี้ที่เป็นคนของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน หลัวเทียนเฉิงเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแท้ๆ นี่ยิ่งแปลกหนักเข้าไปอีก


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา


 


 


นางเพิ่งจะหัดเรียนยิงธนูมาไม่นานนี้เอง หากยิ่งผิดพลาดไป…ก็เกรงว่าตนอาจจะสู้กับคนผู้นี้ไม่ได้


 


 


เฮ้อ นางย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอนอยู่แล้ว! แต่นางก็จำต้องลองดูสักตั้ง


 


 


ความสงสัยที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความรู้สึกของนางทั้งสิ้น หากเขาเป็นทหารอารักขาจริง แต่นางกลับหลบซ่อนตัวเช่นนี้มิเท่าต้องเสียโอกาสที่ตนจะถูกช่วยเหลือไปหรอกหรือ


 


 


แต่หากเป็นคนร้ายใจไม่ซื่อ แล้วทั้งสองปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันก็คงไม่ต่างอันใดกับเนื้อปลาบนกระทะเหล็กทีเดียวเชียว


 


 


เจินเมี่ยวค่อยๆ ยกธนูขึ้นแล้วเล็งไปที่หัวใจคนผู้นั้น


 


 


คนผู้นั้นเพ่งมองอยู่เพียงครู่ก็ขยับเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวหวาดกลัวขึ้นมา มือที่จับธนูสั่นน้อยๆ


 


 


นางเห็นคนผู้นั้นยกดาบวงพระจันทร์เล่มยาวขึ้นเตรียมฟันลงไป


 


 


เจินเมี่ยวจึงปล่อยมือ ลูกธนูพุ่งเข้าไปหาคนผู้นั้นทันที


 


 


เสียงปั๊กดังขึ้นคราหนึ่ง ลูกธนูปักลงไปบนบั้นท้ายของคนผู้นั้น


 


 


เมื่อธนูพุ่งเข้าปักที่บั้นท้ายอย่างกะทันหันเช่นนี้ คนผู้นั้นก็ร้องโหยหวนขึ้นแล้วหมุนตัวกลับหลังทันที และเห็นเจินเมี่ยวที่ยกคันธนูค้างไว้เข้าพอดี ความเย็นเยือกสายหนึ่งพาดผ่านดวงตาเขาไป เขายกดาบขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาทันที


 


 


เจินเมี่ยวยังมิทันได้ยิงธนูดอกที่สองด้วยซ้ำ เพราะอยากจะยิงให้แม่น เจินเมี่ยวจึงขยับเข้าไปใกล้ยิ่ง ทำให้นางไม่มีเวลามากพอที่จะน้าวสายธนูอีกครา


 


 


เจินเมี่ยวทิ้งคันธนูลงแล้วหมุนตัววิ่งหนีทันที


 


 


คนผู้นั้นวิ่งตามไป เจินเมี่ยวคล้ายสัมผัสได้ถึงไอเย็นของดาบเล่มยาวที่ตามติดอยู่ด้านหลัง


 


 


นางค่อยๆ ล้วงเอากริชในแขนเสื้ออกมา แต่กลับได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นที่ด้านหลัง ตามติดด้วยเสียงวัตถุหนักๆ ร่วงลงพื้น


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นทันทีจึงเห็นคนผู้นั้นล้มคะมำลงไปบนพื้น ด้านหลังมีกริชปักลึกอยู่ตรงหัวใจ


 


 


“จิ่นหมิง” เจินเมี่ยวร้องขึ้นด้วยความดีใจ แล้ววิ่งเข้าไปทันที


 


 


คล้ายเขาได้ใช้แรงที่มีไปกับการโจมตีศัตรูเมื่อครู่หมดแล้ว ยามนี้จึงใช้มือยันพื้นไว้ทั้งหอบหายใจโดยแรง


 


 


“จิ่นหมิง ท่านฟื้นแล้ว?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่ฟื้นแล้วจะทำฉันใด จะให้มองเจ้ายิงธนูปักบั้นท้ายผู้อื่นอีกหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น คนผู้นี้ พูดจาดีๆ จะตายหรือไร


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เจ้าควรต้องรู้ว่า การบาดเจ็บที่บั้นท้ายมิทำให้คนตายได้ และไม่แน่ว่าจะทำให้เขาดุร้ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ”


 


 


“ข้ารู้ แต่ข้าเล็งไปที่หัวใจเขา!” เจินเมี่ยวกลั้นอาการหน้าแดงนั้นไว้ สุดท้ายจึงกลายเป็นโทสะ


 


 


“หึๆๆ” เสียงหัวเราะอันสดใสดังขึ้นแผ่วเบา แล้วตามติดด้วยเสียงไอที่รุนแรง


 


 


เจินเมี่ยวรีบเข้าไปประคองเขาแล้วตบหลังให้ “เป็นถึงเพียงนี้แล้วยังจะมาหัวเราะอีก จิ่นหมิง ท่านฟื้นตั้งแต่เมื่อใดหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ตอนที่เจ้าวางข้างลงพื้น”


 


 


เขารู้สึกว่าตนได้เข้าไปอยู่ในห้วงแห่งฝันอันยาวไกลเหลือเกิน ในฝันเขานอนอยู่บนเตียงอันนุ่มสบาย อย่างไรก็ไม่ยอมตื่น แต่เมื่อเตียงนุ่มๆ เปลี่ยนเป็นพื้นอันเย็นแข็ง เขาก็ตื่นขึ้นมาทันที


 


 


เขามองนางค่อยๆ เดินห่างออกไปอยู่เงียบๆ และมองคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้อย่างสงบนิ่ง


 


 


แค่มองเพียงครู่เดียวเขาก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้ต้องไม่ใช่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินอย่างแน่นอน!


 


 


ชั่วขณะนั้น เขาไม่รู้ว่าเลยว่ากายหรือใจของเขากันแน่ที่เหน็บหนาวมากกว่ากัน


 


 


กระทั่งคนผู้นั้นร้องโหยหวนแล้วหมุนกายวิ่งไปด้านหลัง เมื่อเห็นธนูที่ปักอยู่ที่บั้นท้ายเขา 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงฉวยโอกาสนี้ล้วงเอากริชที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าสะบัดใส่เขา คร่าชีวิตคนผู้นั้นให้ดับดิ้นไปในคราเดียว


 


 


เมื่อเห็นดวงตาแวววาวคู่นั้น หลัวเทียนเฉิงก็ได้แต่ยิ้มเยาะตนเอง


 


 


แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาขาดมาตลอดมิใช่โชคดี แต่เป็นความเชื่อใจต่างหาก!


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มจนหางตาหยักโค้งขึ้น “จิ่นหมิง เรามีอาหารกินแล้ว”


 


 


กล่าวจบก็ลุกขึ้นไปเก็บเนื้อกระต่ายอีกครึ่งหนึ่งไว้ แล้วไปลูบคลำตามตัวคนที่ตายแล้วผู้นั้น นางจึงได้กระดาษจุดไฟ เชือกปอและอื่นๆ ยังมีเงินเบี้ยอีกเล็กน้อย แม้แต่กระบอกน้ำที่เอวเขา นางก็เอามาด้วย


 


 


เจินเมี่ยวถอดเอาเสื้อตัวนอกของคนผู้นั้นออกมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วนำไปห่อของที่จำเป็นเหล่านั้น แม้แต่กองฟืนนางก็มิยอมปล่อยผ่าน ทั้งยังเก็บดาบเล่มยาวของเขามาด้วย แล้วค่อยกลับไปหาหลัวเทียนเฉิง


 


 


เจินเมี่ยวจะแบกเขาขึ้นหลังแต่เขากลับเอ่ยว่า “ไม่ต้อง เจ้าพยุงข้าเดินไปก็พอ”


 


 


เจินเมี่ยวมิสนใจเขา “ขาท่านบาดเจ็บอยู่ หากเป็นหนักกว่าเดิมจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นไปอีก”


 


 


นางแบกเขาขึ้นหลังโดยไม่อธิบายอันใดอีก เพียงเอ่ยว่า “เราหาถ้ำสักแห่งพักกันก่อนเถิด ข้าจะได้ทำน้ำแกงกระต่ายให้ท่านกินด้วย”


 


 


เมื่อต้องอยู่บนหลังของเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าใจเขารู้สึกเช่นไร เพียงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจอย่างรุนแรง


 


 


ผ่านไปนานจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เหตุใดถึงดูออกว่าคนผู้นั้นมีบางอย่างผิดปกติ”


 


 


“ใช้ความรู้สึก คราแรกก็บอกมิถูกเช่นกันว่าแปลกที่ตรงใด แต่เมื่อครู่ตอนที่ถอนเสื้อเขาออกจึงนึกได้ คนผู้นี้ผอมบางเกินไป ชุดที่ใส่จึงดูไม่เข้ารูป หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมิใช่องครักษ์หน่วยพิเศษหรอกหรือ เช่นนั้นคงต้องใส่ใจกับเรื่องภาพลักษณ์อยู่บ้างกระมัง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงตกใจขึ้นมา


 


 


หากทุกคนใช้ความรู้สึกเช่นนี้ได้ ผู้อื่นคงปลอมตัวปะปนเข้ามาไม่ได้แน่!


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว?”


 


 


“หืม?”


 


 


“ต่อไป เรามาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวเหนื่อยจนหอบหายใจ “ข้าก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอดอยู่แล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น


 


 


นางพูดถูก คนที่ทุกข์ทรมานมาตลอดมีแค่เขา!


 


 


“จิ่นหมิง” เจินเมี่ยวหยุดไปครู่หนึ่ง “ข้าคิดว่า ต่อไปท่านกินให้น้อยลงหน่อยดีกว่า”


 


 


หลัวเทียนเฉิง “…”


 


 


เหลือเกินจริงๆ พวกเขาคงไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แน่ๆ


203

เมื่อถึงถ้ำแห่งหนึ่งเจินเมี่ยวก็รื้อข้าวของออกมาตรวจดู


 


 


กระบอกน้ำสองกระบอก กระบอกจุดไฟหนึ่งชุด เชือกปอหนึ่งม้วน ตะขอกรงเล็บพยัคฆ์ ดาบยาวหนึ่งเล่ม กริชสองเล่ม ธนูเล็กหนึ่งคัน ฟืนหนึ่งมัด กระต่ายหนึ่งตัว


 


 


“จิ่นหมิง ให้ท่าน” เจินเมี่ยวนำกริชที่ปลิดชีวิตคนผู้นั้นคืนให้หลัวเทียนเฉิง “คิดไม่ถึงว่าท่านจะมีกริชซ่อนอยู่ในรองเท้าด้วย มิน่าเล่าตอนนั้นข้าถึงหาไม่พบ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหางตากระตุกคราหนึ่ง “อ้อ กล่าวเช่นนี้ เงินหลายตำลึงของข้า เจ้าเป็นผู้เอาไปเองงั้นหรือ”


 


 


“ใช่แล้ว” เจินเมี่ยวหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมา “แม้แต่เงินเบี้ยในตัวคนผู้นั้นข้าก็เอามาใส่ไว้ด้วยกัน มีไม่น้อยเลยทีเดียว”


 


 


เส้นโลหิตเขียวเข้มตรงขมับหลัวเทียนเฉิงกระตุกคราหนึ่ง


 


 


การฉวยโอกาสล้วงเอาเงินในตัวเขาขณะที่เขาไม่ได้สติประหนึ่งเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งนี้ หมายความเช่นใดกัน


 


 


เพราะนางคิดว่าหากเขาสิ้นลมไปก็สามารถฝังกลบได้เลยเช่นนั้นหรือ


 


 


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจเลยจริงๆ!


 


 


หลัวเทียนเฉิงพิงไปกับผนังถ้ำหินอย่างหมดแรง แล้วเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าอยากจะกินน้ำแกงเนื้อกระต่าย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะทำให้ข้ากิน”


 


 


ไม่มีหม้อและถ้วยชาม แม้แต่จานบิ่นแตกก็ไม่มี เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่านางจะทำน้ำแกงเนื้อกระต่ายได้อย่างไร


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ


 


 


สามีผู้ยิ่งใหญ่กำลังแสดงอาการแง่งอนใส่นางงั้นหรือ


 


 


อืม ขอเพียงเขาไม่คลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก นางก็ทำให้เขาได้ทุกอย่าง


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้น ปัดเศษดินออกจากร่างตน


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าจะไปที่ใด” เจินเมี่ยวเดินมุ่งไปที่ปากถ้ำ หลัวเทียนเฉิงจึงอดเอ่ยถามขึ้นมามิได้


 


 


“ข้าจะไปหาฟืนมาเพิ่ม ครู่เดียวก็กลับมาแล้ว” เจินเมี่ยวรีบร้อนเดินออกไปโดยไม่แม้จะหันหลังกลับมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงห้ามไว้ไม่ทัน ทั้งไร้หนทางจะไปห้ามปราม


 


 


เขาในยามนี้ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรง อาการไข้ก็ยังมิทันทุเลา ไม่ต่างอันใดกับคนใกล้ตาย แค่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายประคองตนไว้เท่านั้น


 


 


หลังจากที่เจินเมี่ยวจากไปแล้ว ทั่วทั้งถ้ำก็คล้ายมืดสนิทลงทันใด เงียบกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจ


 


 


เวลาที่ล่วงเลยไปช่างยาวนานคล้ายไม่มีวันสิ้นสุดลงได้กระนั้น มันทั้งทรมานและยากจะทานทน ทุกขณะที่ผ่านไปช่างทุกข์ระทมยิ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงวางฝ่ามือลงและจิกเล็บลงไปบนพื้นจนเกิดเป็นรอยขีดข่วนขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจ


 


 


ปากถ้ำพลันเกิดเงาทะมึนขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้ไผ่โชยมา


 


 


เจินเมี่ยวอุ้มฟืนแห้งมัดใหญ่และลำไผ่ขนาดเท่าข้อมือหนาหลายท่อนเข้ามาวางไว้ แล้วหยิบกระบอกจุดไฟเดินเข้าไปหาหลัวเทียนเฉิง “สิ่งนี้ใช้อย่างไรหรือ”


 


 


“ข้าเอง”


 


 


แค่แรงในการจุดไฟนั้นเขายังพอมี


 


 


ผ่านไปไม่นาน ไฟก็ถูกก่อขึ้น ความอบอุ่นภายในถ้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีเพียงเสื้อตัวในที่บางและขาดวิ่น เมื่อได้ผิงไฟร่างกายจึงค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ภายใต้กองไฟที่ส่องสะท้อนนั้น คล้ายว่าใบหน้าที่ขาวซีดของเขากลับดูดีขึ้นไม่น้อย


 


 


เจินเมี่ยวยกริมฝีปากหยักโค้งขึ้น นางใช้กริชฟันลงไปบนผิวไม้ไผ่


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าทำอันใดหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยแล้วอธิบายว่า “เฉาะผิวด้านบนมันออกเล็กน้อยก็สามารถต้มเนื้อได้แล้ว”


 


 


ท่อนไม้ไผ่ที่ใหญ่และเนื้อแข็งเพียงนี้ การใช้กริชเฉาะเปลือกมันออกมานั้นช่างยากนัก แต่เจินเมี่ยวกลับไม่รีบร้อน นางค่อยๆ ทำไปทีละนิดอย่างตั้งใจคล้ายว่าโลกของนางมีเพียงลำไผ่ในมือนี้เท่านั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองท่าทีเช่นนั้นของนางแล้วรู้สึกจิตใจสงบอย่างที่สุด คล้ายว่าพายุโลหิตอันคาวคลุ้งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่อยู่ไกลแสนไกลก็มิปาน


 


 


แรกเริ่มเขาต้องต่อสู้กับพยัคฆ์ดุร้าย ต่อมาก็มีธนูปริศนาพุ่งเข้าใส่นาง ม้าสะดุ้งตกใจ พวกเขากลิ้งตกลงไปในที่แห่งใดก็ไม่ทราบ ทั้งต้องเจอคนไล่ตามฆ่าอีก นางแบกคนที่เป็นดั่งภาระเช่นเขามาด้วย แต่เหตุใดยังสงบนิ่งเช่นนี้อยู่ได้เล่า


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงอดเอ่ยถามออกไปมิได้


 


 


เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยอันใดยังคงเฉาะลำไผ่นั้นต่อไป


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว?”


 


 


“เสร็จแล้ว!” เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าดีใจ นางยกขึ้นอวดให้หลัวเทียนเฉิงดู “จิ่นหมิง ท่านดู ข้าต้องการทำให้มันมีหน้าตาเช่นนี้ ต้องเฉาะให้เป็นรูแค่เพียงครึ่งหนึ่งของกระบอกไม้ไผ่เท่านั้น อืม เมื่อครู่ ท่านพูดอันใดกับข้าหรือไม่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้าอย่างจนใจ


 


 


สำหรับนาง เรื่องพวกนั้นที่เขาพูดคงไม่มีความสำคัญเท่ากับไผ่ต้นนี้กระมัง หรือไม่ก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับอาหารมื้อสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้


 


 


เจินเมี่ยวเอากระบอกไม้ไผ่วางลงบนกองไฟ


 


 


กระบอกน้ำสองกระบอกนั้น กระบอกหนึ่งเป็นของนางซึ่งมีน้ำผสมน้ำผึ้งเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ส่วนอีกกระบอกนางค้นมาจากตัวคนผู้นั้นซึ่งเหลือไม่ถึงครึ่งเช่นกัน


 


 


นางเทน้ำจากทั้งสองกระบอกออกมาใส่ลำไม้ไผ่นั้น แล้วใช้กริชหั่นเนื้อกระต่ายให้เป็นแผ่นบางที่สุด


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าใช้น้ำหมดแล้ว หากพรุ่งนี้เรายังออกไปไม่ได้จะทำอย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


ด้วยพละกำลังที่เขามี หากได้กินอาหารมื้อนี้ พรุ่งนี้ก็คงจะมีแรงฟื้นคืนมาแล้ว แต่บาดแผลที่ขากลับมิใช่จะหายได้ชั่วข้ามคืน


 


 


“อีกไม่นาน ฝนก็น่าจะตกแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้ด้วยหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวคิดครู่หนึ่ง สีหน้านางเต็มไปด้วยความสงสัย “เรื่องนี้มันดูยากนักหรือ”


 


 


‘เพล้ง ’ เสียงหัวใจของใครบางคนแตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาทันที


 


 


“เรื่องนี้มิใช่เรื่องง่ายสักนิด!”


 


 


การพยากรณ์ดินฟ้าอากาศเป็นหน้าที่ของชินเทียนเจี้ยน[1] มิใช่หรือ


 


 


เจินเมี่ยวมิได้สนใจอันใดมากนัก นางหั่นเนื้อกระต่ายอีกครึ่งหนึ่งให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลานี้น้ำในกระบอกไม้ไผ่ก็เริ่มเดือดแล้ว เพราะใช้ลำไม้ไผ่ต้มน้ำกลิ่นที่กำจายออกมาจึงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไผ่ด้วย


 


 


นางใส่เนื้อแผ่นบางลงไปในกระบอกไม้ไผ่ที่น้ำกำลังเดือด แต่เนื้ออีกครึ่งหนึ่งกลับหั่นเป็นชิ้นๆ โรยเกลือใส่ แล้วใช้ใบไผ่ห่อเนื้อไว้ นางหยิบมีดเล่มยาวมาขุดหลุมใต้กองไฟ เอาเนื้อกระต่ายที่ห่อด้วยใบไผ่ใส่ลงไปในหลุมแล้วใช้ดินและขี้เถ้าฝังกลบ


 


 


เพราะว่าเนื้อกระต่ายหั่นเป็นแผ่นบางมาก ไม่นานจึงเปลี่ยนสี กลิ่นหอมก็โชยออกมา


 


 


ท้องหลัวเทียนเฉิงร้องขึ้นทันที


 


 


เจินเมี่ยวหยิบช้อนไม้ไผ่ที่ตนเหลาไว้นานแล้วขึ้นมาคน รอจนน้ำแกงข้นขึ้นจึงใส่เกลือลงไป แล้วยกกระบอกไม้ไผ่วางลงที่พื้นอย่างระมัดระวัง นางส่งช้อนไม้ไผ่ให้หลัวเทียนเฉิง “ท่านกินเองได้หรือไม่ หากไม่ได้ข้าจะป้อนท่านเอง”


 


 


“ได้” หลัวเทียนเฉิงกำช้อนไม้ไผ่นั้นแน่น ตักเอาเนื้อและนำแกงขึ้นซด


 


 


อาจเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้องมาเกือบสองวัน แม้แต่น้ำแกงที่มีเนื้ออยู่น้อยนิดทั้งยังปรุงรสด้วยเกลืออย่างเดียว แต่รสชาติกลับดียิ่ง โดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบไผ่นั้นสามารถขจัดความมันเลี่ยนได้เป็นอย่างดี


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว อย่าเอาแต่มองข้า เจ้าก็กินด้วยกันเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวหิวจนหน้าอกแนบติดกับแผ่นหลังแล้ว ท้องก็ปวดอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ คนทั้งสองนั่งเบียดชิดกันและผลัดกันกินคนละคำอยู่เช่นนั้น ไม่นานก็หมดไม่มีเหลือ


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงพิงผนังหินหลับไป


 


 


เจินเมี่ยวก็เบียดเข้าไปในอกเขาอย่างไม่เกรงใจ นางนอนเอนอยู่บนต้นขาเขาพลางลูบท้องที่อิ่มแน่นของตนอย่างเหม่อลอย


 


 


กองไฟที่แผดเผาส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ และค่อยๆ มอดดับไป


 


 


ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง เสียงฟ้าร้องดังขึ้นทันใด เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงตกลงมาทันที


 


 


ถ้ำที่พวกเขาพักอยู่บนที่ราบสูงน้ำจึงเข้ามามิได้ ที่ปากถ้ำนั้นคล้ายมีม่านน้ำห้อยแขวนอยู่ก็มิปาน


 


 


เจินเมี่ยวดีดตัวขึ้นมาทันที


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันตื่นขึ้น บ่นพึมพำว่า “ฝนตกจริงๆ ด้วย”


 


 


กล่าวไปแล้วก็แปลกจริงๆ หากผู้อื่นบอกว่าอีกไม่นานฝนจะตก เขาคงแค่นเสียงเยาะหยัน แต่นางแค่พูดไปตามปากเพียงประโยคเดียว เขากลับแปลกใจที่เหตุใดนางจึงทราบ แต่มิเคยสงสัยในวาจาของนางสักนิด


 


 


เจินเมี่ยววิ่งเอากระบอกน้ำไปรองน้ำที่ปากถ้ำ เมื่อเต็มแล้วก็กลับมาก่อไฟต้มน้ำ นางตัดไม้ไผ่ที่เหลือได้อีกสามกระบอกจึงนำไปรองน้ำแล้วต้มให้เดือดเช่นกัน


 


 


เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จจึงผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมาได้


 


 


อย่างน้อยน้ำเหล่านี้ก็มากพอจะประทังไปได้ถึงวันมะรืน


 


 


ครั้นหันกลับมา หลัวเทียนเฉิงก็หลับไปเสียแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวยิ้ม ลูบตรงหัวคิ้วเขาแผ่วเบา แล้วขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ


 


 


ร่างกายหลัวเทียนเฉิงฟื้นตัวมากขึ้นในวันถัดมาตามคาด แต่เจินเมี่ยวยังคงนำยาสมุนไพรใส่แผลให้เขาเช่นเดิม


 


 


พวกเขาพักฟื้นในถ้ำนั้นอีกหนึ่งวัน ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็สามารถเดินได้เองเพียงแค่มีคนประคองเท่านั้น คนทั้งสองจึงจากถ้ำแห่งนั้นไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปมองถ้ำแห่งนั้นด้วยสายตาล้ำลึกคราหนึ่ง


 


 


หลังพายุฝนผ่านไป ท้องฟ้าจึงแจ่มใสเป็นพิเศษ แต่ทางเดินกลับมิได้สะดวกนัก


 


 


คนทั้งสองเดินอย่างทุลักทุเลไปด้วยกัน ทั้งยังล้มอยู่หลายหน โคลนเปรอะเปื้อนเต็มหน้าและเสื้อผ้า


 


 


 เมื่อเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินร้องเพลงขึ้นเขามาตัดฟืนพบเข้ากับวานรสองตัวซึ่งเปื้อนโคลนจนแยกรูปโฉมไม่ออกนั้น เขาก็ขว้างขวานใส่แล้วหันหลังวิ่งหนีด้วยความตกใจ


 


 


หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปรับขวานนั้นไว้อย่างแม่นมั่น


 


 


ในที่สุดก็พบคนแล้ว เจินเมี่ยวมีสีหน้ายินดียิ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงกำขวานแน่น ทว่าสีหน้ากลับราบเรียบอย่างยากจะบรรยาย


 


 


ในเมื่อมีคนตามฆ่าพวกเขา เขาก็มิอาจรับประกันได้ว่าการพบคนคือเรื่องดี โดยเฉพาะในยามที่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่เช่นนี้


 


 


ยังมิได้ทันตัดสินใจว่าจะตามไปดีหรือไม่ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ย้อนกลับมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงระแวดระวังว่า “เออ พวกเจ้าเอาขวานนั้นคืนข้าได้หรือไม่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามองขวานในมือตน


 


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นตกใจจนร้องไห้ออกมาพลางยกนกกระทาตัวหนึ่งขึ้น “ข้าแลกด้วยสิ่งนี้ดีหรือไม่ ขวานนั้นบิดาข้าให้มา มิอาจทิ้งขว้างได้ ฮือๆๆ…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกุมขมับ


 


 


หรือเขาแยกตัวออกจากโลกภายนอกนานเกินไปจนไม่สามารถเข้าใจความคิดของปุถุชนได้แล้ว


 


 


ไม่! พวกเขาอยู่ในป่าเพียงสามวันเท่านั้นกระมัง


 


 


เจินเมี่ยวกลับแย่งขวานนั้นมาแล้ววิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วด้วยความเบิกบาน “ให้เจ้า”


 


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้มทั้งน้ำมูกน้ำตา แล้วส่งนกกระทาให้เจินเมี่ยวไป “ให้เจ้า”


 


 


เจินเมี่ยวถือนกกระทาวิ่งกลับมาเอ่ยด้วยความยินดีว่า “จิ่นหมิง ประเดี๋ยวเราก็จะได้กินนกย่างกระทากันแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าความเป็นคนของตนได้ร่วงตกลงมาอีกเล็กน้อยแล้ว


 


 


การเอาขวานของผู้อื่นไปแลกกับนกกระทาของเขานั้นเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หรือ


 


 


ขณะกำลังถกเถียงในใจตน เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คล้ายมีสติคืนมาจึงตบต้นขาตนฉาดใหญ่ “เอ๊ะ พวกเจ้ามิใช่ปีศาจวานรหรอกหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน แล้วตามด้วยอาการเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


มารดามันเถอะ ผู้ใดเป็นปีศาจวานรกันเล่า ตระกูลเจ้าต่างหากที่เป็น!


 


 


หนุ่มน้อยถึงกับวิ่งเข้ามาหา “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เป็นคนใช่หรือไม่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงปล่อยไอสังหารออกมา เจินเมี่ยวจึงเข้าไปขวางหน้าเขาไว้ แล้วฝืนยิ้มให้กับหนุ่มน้อยผู้นั้นพลางเอ่ยว่า “น้องชาย เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ยังต้องถามอีกหรือ”


 


 


หนุ่มน้อยผู้นั้นตกใจจนต้องถอยหลังหนี “หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้ เดิมข้ามั่นใจว่าใช่ แต่ครั้นเจ้ายิ้มก็เริ่มสับสนขึ้นมาอีกแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวจึงเบนใบหน้าเขียวคล้ำของตนไปทางอื่น


 


 


สามีผู้ยิ่งใหญ่รีบใช้ไอสังหารของท่านขจัดเจ้าปีศาจที่ไม่ทราบโผล่มาจากที่ใดตนนี้ทีเถิด!


 


 


“แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้ได้เล่า” เด็กหนุ่มเริ่มสอบถาม


 


 


“ข้ากับภรรยาจะไปเยี่ยมบ้านมารดานาง ระหว่างทางพบเข้ากับโจร จึงหนีตายจนตกเขาไป โชคดีที่มิตาย แต่ก็มีสภาพอย่างที่เห็น น้องชายเจ้าให้ที่พักพิงกับเราได้หรือไม่ ข้ากับภรรยามิได้กินอันใดมาสองวันแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลอบสำรวจเขาเงียบๆ เป็นนาน คนผู้นี้อายุยังน้อย ฝีเท้าหนักยิ่ง ฝ่ามือนิ้วมือด้านเพราะเกิดจากการตัดฝืนมาหลายปี เขาย่อมไม่มีวรยุทธ์อย่างแน่นอน


 


 


แต่ที่ทำให้เขาปักใจเชื่อได้รวดเร็วเพียงนี้กลับมิใช่เพราะเหตุผลเพียงนั้นดอก


 


 


มือสังหารจะโง่เขลาปานนี้เชียวหรือ!


 


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นจิตใจดียิ่ง เมื่อได้ยินหลัวเทียนเฉิงกล่าวเช่นนี้ก็พาเขากลับไปที่หมู่บ้านตนทันที


 


 


บ้านของเขาอยู่ด้านหลังหุบเขานี้พอดี ทั้งไกลจากบ้านของผู้อื่นไม่น้อย ตอนที่พาสองคนนี้กลับไปจึงไม่มีผู้ใดพบเห็น


 


 


หลัวเทียนเฉิงพอใจยิ่ง


 


 


“ท่านแม่ ข้าช่วยคนสองคนนี้กลับมาด้วย”


 


 


สตรีผู้หนึ่งเดินออกมาพอดี


 


 


สตรีผู้นั้นอัธยาศัยดียิ่ง นางเชิญคนทั้งสองเข้าบ้าน ทั้งต้มน้ำให้พวกเขาล้างหน้า อาบน้ำ


 


 


กระทั่งคนทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว สตรีผู้นั้นเห็นก็ถึงกับอึ้งงันจนเผลอทำชามข้าวคว่ำล้มไปทันที


 


 


 


 


——


 


 


[1] ชินเทียนเจี้ยน ตำแหน่งขุนนางผู้รับผิดชอบงานเฝ้าสังเกตดวงดาวเพื่อคำนวณและประกาศใช้ปฏิทินหลวง


204

ถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างหยาบใบหนึ่งกลิ้งตกลงพื้น เพราะพื้นเป็นดินถ้วยจึงไม่แตก แต่กลิ้งไปหลายตลบแล้วหยุดลงที่ปลายเท้าของหลัวเทียนเฉิง


 


ถ้วยใบนั้นใส่ไข่ไว้สองฟอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้วยจึงเปื้อนไข่ที่แตกและเศษดิน


 


หลัวเทียนเฉิงกลับไม่รังเกียจ เขาก้มลงไปเก็บแล้วส่งคืนให้ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “ท่านน้า ระวังด้วย”


 


เวลานี้อาทิตย์กำลังร่วงตก น้ำค้างสารทฤดูยังมิทันสิ้น ต้นไม้สูงล้อมแน่นดุจกำแพงนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองร่วงปลิดปลิวดุจภมรที่บินว่อนไปมากกว่าครึ่งแล้ว


 


รูปโฉมของบุรุษผู้นี้เฉิดฉายดุจแสงจันทรา ภาพของคนผู้นั้นในความทรงจำได้ย้อนกลับมาอีกครา


 


สตรีผู้นั้นเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจึงรับถ้วยไว้แล้วเอ่ยว่า “ท่านทั้งสองนั่งรอสักครู่ก่อนเถิด” แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวทันที


 


“ท่าทีของท่านน้าดูแปลกพิกลนัก” เจินเมี่ยวที่คอยระแวดระวังมาตลอดสองวันนั้นอ่อนแรงทั้งใจและกาย นางเริ่มฝืนทนไม่ไหวแล้วจึงพูดพลางอ้าปากหาว


 


“คงตะลึงในรูปโฉมของเจ้ากระมัง” หลัวเทียนเฉิงเก็บสายตากลับมาแล้วมองออกไปด้านนอก


 


เรือนหลังนี้สร้างติดกับภูเขาจึงอยู่ในพื้นที่ที่สูงทำให้มองเห็นหมู่บ้านทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย


 


ทั้งสี่ทิศเป็นหุบเขาเขียวขจีล้อมรอบบ้านเรือนหลายสิบหลังไว้ ทางเดินก็แคบและคดเคี้ยว ชาวบ้านหลายคนที่งานเสร็จแล้วต่างทยอยเดินกลับเรือนตน ควันไฟสีขาวลอยคลุ้งขึ้นจนแทบผสมเป็นเนื้อเดียวกับเมฆหมอกบนหุบเขาสูง


 


หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ห่างไกลจากโลกภายนอกยิ่ง เกรงว่าแม้แต่นายอำเภอก็ยังลืมพื้นที่แห่งนี้ที่จดบันทึกไว้ด้วยซ้ำ


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง


 


เจินเมี่ยวสะลึมสะลือพึมพำขึ้นว่า “ข้างดงามจนผู้คนต้องตะลึงตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า”


 


หลัวเทียนเฉิงอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ได้ยินนางเอ่ยขึ้นอีกว่า “ใช่แล้ว หากเอ่ยถึงเรื่องรูปโฉมก็ควรจะเป็นเพราะท่านจึงจะถูก”


 


เรื่องเหลวไหลอันใดกันอีกเล่า


 


หลัวเทียนเฉิงคิดจะหัวเราะเยาะแต่กลับเห็นนางสัปหงกดุจไก่จิกข้าวสาร นางถึงกับนั่งหลับเลยทีเดียว


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกจนใจยิ่ง ทั้งรู้สึกปวดใจด้วยเช่นกัน


 


คุณหนูสูงศักดิ์คนอื่นๆ มีชีวิตที่หรูหราสะดวกสบาย มิต้องพูดถึงเรื่องสัปหงกเลย เพียงแค่ขนมที่เข้าปากมิหวานถูกใจก็คงทุกข์ระทมอยู่เป็นนานแล้ว แต่นาง…แบกเขาเดินไปทั่ว กลับไม่ส่งเสียงบ่นเลย ทั้งมิพูดเอาความชอบด้วย คล้ายว่าทุกอย่างควรเป็นเช่นนี้มาแต่แรก


 


นัยน์ตาหลัวเทียนเฉิงเปล่งประกายแวววาวดุจท้องฟ้าอันสดใสหลังถูกสายฝนชะล้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความอ่อนโยนร่วงตกลงบนใบหน้าอันขาวสะอาดของเขาและคงอยู่เช่นนั้นมิหายไปไหน


 


กล่าวไปแล้วก็เป็นเขาเองที่ไร้ความสามารถ ทำให้นางต้องพบกับโชคร้ายเช่นนี้


 


แต่ในใจส่วนลึกกลับเกิดความยินดีอันยากจะเอื้อยเอ่ยขึ้นมาอย่างล้นหลาม


 


หากมิเป็นเช่นนี้เขาคงไม่มีเชื่อแน่ว่าจะถูกสตรีร่างบอบบางแบกตนเดินซวนเซฝ่าฟันอันตรายไปตลอดทางได้


 


สตรีผู้นี้เป็นของเขา


 


ครั้นคิดถึงตรงนี้กลับรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็มิได้มีอันใดเลวร้ายนัก


 


มื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นแบกถังน้ำกลับมา “พวกท่าน พวกท่านเป็นใครกัน”


 


เหตุใดบุคคลรูปงามทั้งสองนี้จึงมาอยู่ที่บ้านเขาได้ เพราะแสงแดดแยงตาทำให้เห็นหน้าตาไม่ชัดนัก แต่กลับรู้สึกว่างดงามเจิดจ้ายิ่งจึงอดตกใจมิได้ “พวกท่านเป็นเซียนหรือ”


 


เขาวางถังน้ำลงแล้ววิ่งเข้าไปใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว สายตาจ้องหลัวเทียนเฉิงไม่กะพริบ “ข้ารู้แล้ว พวกท่านมาจับปีศาจวานรคู่นั้นใช่หรือไม่”


 


หลัวเทียนเฉิงตัวแข็งทื่อไปทันใด


 


“ความจริงท่านเข้าใจผิด พวกเขาไม่ใช่ปีศาจวานร แม้ว่าตอนนั้นข้าจะเข้าใจผิด…”


 


หลัวเทียนเฉิงทนฟังไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจผิดนั้นมิเป็นไร แต่น้องชายอย่าเข้าใจผิดเป็นพอ”


 


หนุ่มน้อยผู้นั้นเบิกตากว้างขึ้นทันใด เขายกมือขึ้นชี้ “ท่าน ท่าน…”


 


“ใช่ ข้าก็คือปีศาจวานรผู้นั้น” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตัดบททันที แล้วอุ้มเจินเมี่ยวเดินตรงเข้าไปในห้อง


 


เขาบาดเจ็บที่ขาอยู่ เมื่ออุ้มคนไว้จึงยิ่งเดินไม่ถนัดมากขึ้นไปอีก


 


สตรีผู้นั้นถือชามน้ำแกงเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย


 


หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา “ท่านน้า ภรรยาข้าเหนื่อยมากจึงหลับไป ข้าขอให้นางนอนพักตรงนี้ก่อนได้หรือไม่”


 


“เช่นนั้นตามข้ามาทางนี้เถิด” สตรีผู้นั้นวางชามน้ำแกงลงแล้วเดินนำหลัวเทียนเฉิงเข้าไปในห้อง


 


เรือนพักธรรมดาของชาวบ้านมีแค่สามห้องเท่านั้น สตรีผู้นั้นชี้ไปยังเตียงคั่งในห้องตะวันตก “ผ้าห่มและฟูกรองเก่าแล้ว แต่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ หวังว่าคุณชายจะไม่รังเกียจ”


 


หลัวเทียนเฉิงวางเจินเมี่ยวลงอย่างเบามือ เมื่อคลี่ผ้าห่มออกคลุมให้นางแล้วจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านน้าพูดอันใดกัน เราสองคนสามีภรรยามารบกวนแท้ๆ แต่กลับยังมิทันได้เอ่ยขอบคุณในน้ำใจของท่านด้วยซ้ำ”


 


สตรีผู้นั้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ


 


เมื่อได้มองใกล้ๆ เช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่คล้ายกันแล้ว อาจเพราะวาจาท่าทีของเหล่าคุณชายสูงศักดิ์คงคล้ายๆ กันไปหมดกระมัง


 


“คุณชาย ข้าทำอาหารเสร็จแล้ว ท่านกินก่อนเถิด”


 


หลัวเทียนเฉิงเดินตามสตรีผู้นั้นออกไป


 


บนโต๊ะมีผักกาดขาวผัดเส้น ต้มฟักหนึ่งชาม ผัดไก่หนึ่งจานและน้ำแกงผักป่าชามโตแสนธรรมดา


 


ทว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นกลับตื่นเต้นดีใจยิ่ง “ท่านแม่ มีไก่ให้กินด้วยหรือ”


 


เขายื่นตะเกียบออกไปคีบแต่สตรีผู้นั้นกลับตีตะเกียบของเขาคราหนึ่ง


 


หนุ่มน้อยผู้นั้นดูท่าจะเคารพมารดามากจึงมิกล้ากิน หลัวเทียนเฉิงเองก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย


 


ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะยากจนหรือแปลกพิกลอย่างไร แต่นางกลับปฏิบัติประหนึ่งพวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนก็มิปาน


 


แต่ตอนนี้พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบาก มิได้มีหน้ามีตาหรือเกียรติอันใดปานนั้นแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ทันที


 


คนเช่นเขา ยามสูงศักดิ์ดุจดั่งบุปผาบนเขาสูง ทว่าหากต้องโอนอ่อนประนีประนอม ทุกกริยากลับทำให้คนรู้สึกดั่งสายลมที่พัดหวิวในยามวสันต์ ทุกคนจึงคล้อยตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว


 


การกินข้าวครั้งนี้จึงเป็นไปอย่างมีความสุข


 


เจินเมี่ยวหลับไม่ยอมตื่น หลัวเทียนเฉิงก็มิปลุกนาง เขาอยากให้นางหลับอย่างเต็มอิ่ม


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นแบกขวานไปตัดฟืนตรงลานกลางเรือน


 


ส่วนมารดาเมื่อทำงานบ้านเสร็จก็นั่งเย็บผ้าโดยใช้แสงนวลจากดวงจันทร์


 


หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปหาสตรีผู้นั้น


 


“คุณชาย” นางคล้ายหวาดกลัวหลัวเทียนเฉิงอย่างมาก เมื่อใจพะว้าพะวัง ปลายเข็มจึงทิ่มปลายนิ้ว โลหิตพลันผุดขึ้นมาดุจเม็ดมุก


 


หลัวเทียนเฉิงนั่งลงเอ่ยถามอย่างเถรตรงยิ่ง “ท่านน้า ท่านคิดว่าข้าเหมือนผู้ใดหรือ”


 


สตรีผู้นั้นร่างแข็งทื่อไปทันที ผ่านไปนานจึงมีสติคืนมา แล้วเอ่ยตอบด้วยท่าทีอึดอัด “คุณชายพูดจาขบขันแล้ว ข้าคนต่ำต้อยไหนเลยจะเคยพบบุคคลเช่นคุณชายได้”


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอีกคราอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ท่านน้ามิใช่มารดาแท้ๆ ของน้องชายผู้นั้นกระมัง”


 


วาจานี้ทำให้สตรีผู้นั้นหน้าถอดสี เอ่ยสิ่งใดไม่ได้ดั่งคนเห็นผีก็มิปาน “ท่านทราบได้อย่างไร”


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มแต่มิเอ่ยสิ่งใด


 


สายตาในการมองคนของเขานับว่าแหลมคมไม่น้อย


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุราวสิบสี่สิบห้า แม้สตรีผู้นี้จะดูคล้ายคนอายุสามสิบกว่าแล้วเพราะตรากตรำทำงานมาหลายปี แต่หากสังเกตให้ดีจะทราบว่านางอายุแค่ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดเท่านั้น


 


การมีบุตรในวัยสิบสามสิบสี่มิใช่ไม่มี แต่อย่างไรก็มีไม่มาก โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนาเช่นนี้ สตรีต้องทำงานหนัก แม้รั้งรอจนถึงอายุสิบหกสิบเจ็ดก็ยังถือว่าเร็วเกินไปด้วยซ้ำ


 


แต่วาจาและท่าทีของสตรีผู้นี้กลับแตกต่างกับคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้อย่างยิ่ง


 


ในเมื่อมีข้อสงสัยก็ย่อมต้องหาคำตอบสักหน่อย


 


แม้การบีบคั้นสตรีผู้หนึ่งจะเป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรมแต่เขาก็อยากรู้จริงๆ ว่านางคิดว่าเขาเป็นใคร


 


การสอบปากคำเป็นสิ่งที่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินชำนาญอยู่แล้ว เมื่อถูกคาดคั้นมากเข้า สตรีผู้นั้นก็ทนไม่ได้จึงเอ่ยความจริงออกมาในที่สุด


 


ที่แท้นางเคยเป็นแม่นมให้กับตระกูลร่ำรวยในอำเภอแห่งหนึ่ง แต่เพราะคนกลั่นแกล้ง เด็กน้อยที่ดื่มนมนางจึงเกือบไม่รอดชีวิต นายท่านโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจึงขายนางให้ผู้อื่น นางผ่านเรื่องราวมามากมายสุดท้ายได้แต่งงานเป็นภรรยาใหม่ของนายพรานล่าสัตว์ผู้หนึ่งและตัดสินใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งนี้


 


น่าเสียดายที่นายพรานผู้นั้นอายุสั้นยิ่ง เขาเข้าป่าไปแล้วก็มิได้กลับมาอีกเลยแต่ทิ้งบุตรชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มไว้หนึ่งคน แม้พวกเขาจะมิใช่สายเลือดเดียวกัน ทว่าต่างดูแลซึ่งกันและกันมาตลอดทำให้ความผูกพันลึกซึ้งมากขึ้นตามกาลเวลา


 


“บางทีข้าอาจจะจำผิด มิทราบเหตุใดเห็นคุณชายแล้วถึงรู้สึกว่าคล้ายนายท่านผู้นั้นยิ่ง” เมื่อกล่าวจบนางก็มีท่าทีประหม่า


 


หลัวเทียนเฉิงถามถึงที่อยู่และฐานะของคนในตระกูลนั้นอย่างละเอียด นางก็เอ่ยตอบออกมาจนหมดสิ้น


 


กระทั่งเขาเอ่ยขอบคุณ สตรีผู้นั้นจึงมีสติกลับคืนมา นางรู้สึกกลัดกลุ้มใจยิ่งที่เหตุใดถึงเอ่ยเรื่องนั้นออกมาอย่างมิอาจอดกลั้น นี่มิใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ


 


“ท่านน้าวางใจเถิด เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางเกี่ยวโยงมาถึงท่านแน่ ท่านช่วยเราคนสองสามีภรรยาไว้นับเป็นพระคุณอันหาที่สิ้นสุดมิได้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงพูดพลางคลำหาถุงเงินตามความเคยชินตน ด้วยคิดจะหยิบเงินสักตำลึงให้แต่กลับล้วงได้เพียงความว่างเปล่า จึงนึกได้ว่าเงินในตัวถูกภรรยาเก็บไปหมดแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกร้อนเห่อที่หน้าขึ้นมาเล็กน้อย


 


นางเคยทำงานในตระกูลรวยจึงดูออกอยู่บ้าง เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของหลัวเทียนเฉิงก็เข้าใจเจตนาของเขาทันทีจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายและภรรยาต้องพบกับโจรร้าย เงินทองสูญหายนั้นไม่นับเป็นอันใดได้ เมื่อเรื่องร้ายผ่านไปย่อมต้องพบกับโชคครั้งใหญ่แน่นอน อย่างไรก็พักที่นี่ไปก่อนเถิด”


 


นางคิดว่าเงินทองของสามีภรรยาคู่นี้ล้วนถูกโจรปล้นไปหมดแล้ว และนางก็มิคิดจะขับไล่เขาไปด้วยเหตุผลนี้


 


คุณชายผู้นี้มีฐานะสูงส่ง นางช่วยไว้ก็นับเป็นบุญคุณ หากไล่ไปคงสร้างความโกรธแค้นให้เขาแน่ เช่นนั้นมิใช่โง่เง่ามากหรอกหรือ


 


หลัวเทียนเฉิงกลั้นหายใจเดินเข้าไปในห้องด้วยคิดจะไปเอาเงินในถุงเงินที่ผูกติดกับตัวเจินเมี่ยวไว้ แต่เขาเพิ่งจะแตะถูกตัวนาง สองมือของนางก็จับเขาไว้เสียก่อน


 


หลัวเทียนเฉิงคิดว่าเจินเมี่ยวตื่นแล้ว ทว่าเมื่อมองนางอีกคราก็เห็นสองตาปิดแน่น ลมหายใจสม่ำเสมอ เห็นชัดว่ากำลังหลับสบาย แต่สองมือนั้นกลับกุมถุงเงินไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ท่าทีเช่นนี้คล้ายสุนัขที่หวงกระดูกยิ่ง


 


หลัวเทียนเฉิงทั้งโมโหทั้งขบขันแต่กลับมิกล้าปลุกนาง


 


ในเมื่อทราบสาเหตุความผิดปกติของสตรีผู้นั้นแล้ว เขาก็มิจำเป็นต้องรีบร้อนอันใด อาศัยพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อนดีกว่า


 


การเคลื่อนไหวมิสู้อยู่อย่างสงบ แผนการลอบทำร้ายเหล่านั้น ตอนนี้ยังยากจะคาดเดาว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่


 


พวกเขาเป็นเพียงปลาที่ติดร่างแหไปด้วยหรือเป็นเป้าหมายของคนร้ายโดยตรงก็ยังมิอาจทราบได้


 


เรื่องใดที่เกี่ยวพันกับโอรสสวรรค์ย่อมซับซ้อนจนมิอาจแยกแยะให้กระจ่างได้ทั้งสิ้น


 


แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับอารองหรือไม่ เขาก็มิอาจเดินทางกลับเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นปลอดภัยเป็นแน่


 


โอกาสเช่นนี้หายากเหลือเกินมิใช่หรือ


 


หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากขึ้นยิ้มเย็น


 


เพื่อมิให้เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ ขึ้น พวกเขาต้องอยู่ที่นี่ก่อน แค่ให้เงินแก่นางเพื่อซื้อยามารักษาบาดแผลก็พอ


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นนามว่าอาหู่ เขาเป็นนายพรานเช่นบิดา ในเมื่อต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ การบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมารดาเขาไปซื้อยารักษาแผลบ้างย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใด


 


การรักษาตัวครานี้ยาวนานถึงครึ่งเดือน


 


เมืองหลวงวุ่นวายไปหมด


 


เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วอย่างยิ่ง ในสายตาของเขา ธนูดอกนั้นย่อมพุ่งเป้าไปที่ชูสยาจวิ้นจู่แน่นอน


 


ลี่อ๋องคิดก่อกบฏ ความวุ่นวายในชิงเป่ยจักต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนี้แน่ แต่ดินแดนหมานเหว่ยอยู่ติดกับชิงเป่ย แล้วเขาจะยอมให้ชูสยาจวิ้นจู่แต่งออกไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร


 


เจินเมี่ยวช่วยชูสยาจวิ้นจู่ไว้ย่อมมีความชอบใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งมิต้องกล่าวถึงหลัวเทียนเฉิงที่เข้าไปช่วยจักรพรรดิไว้เลย


 


ในใจของจ้าวเฟิงตี้นั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงเป็นขุนนางคนสนิทไปเสียนานแล้ว หากฝึกฝนเขาสักหน่อยก็สามารถเก็บไว้คอยรับใช้จักรพรรดิองค์ต่อไปได้


 


หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับคนทั้งสอง เขาย่อมรู้สึกดั่งถูกหยามเกียรติและเจ็บปวดใจไปในขณะเดียวกัน


 


เจาเฟิงตี้จึงส่งกองกำลังทั้งหมดออกไปตามหา


 


ทั่วทั้งเป่ยเหอจึงพลันคึกคักขึ้นมา


 


ทว่าจวนกั๋วกงกลับดูเหน็บหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนอาการป่วยตนไว้ เพื่ออ่านสารที่ส่งมาจากเป่ยเหอออกมาทีละคำ


 


นางเถียนเดินเข้ามาอย่างร้อนรน


 


นางซ่งเดินเข้าไปหานางทันทีโดยมิรอให้นางพูดก่อน “พี่สะใภ้รองมีเรื่องอันใดหรือ ค่อยๆ พูดจาเถิด”


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจทนรับกับข่าวสารที่หนักหน่วงอันใดได้อีกแน่


 


แต่สตรีเถียนกลับมิไยดีนางซ่ง นางเอ่ยด้วยนัยน์ตาแดงก่ำว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า…ว่าพบศพต้าหลังแล้วเจ้าค่ะ”


205

เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวนเช่นนี้ การกักบริเวณของนางเถียนจึงคล้ายถูกยกเลิกไปโดยปริยาย หลายวันมานี่นางวิ่งวุ่นทำทุกอย่างสุดกำลังจึงสามารถทวงคืนงานที่มอบหมายให้นางซ่งดูแลกลับมาได้หลายส่วน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินถึงกับเซถลา


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า!” นางซ่งยื่นมือเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้


 


 


นางเถียนก็เข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่าน…ท่านต้องถนอมสุภาพตนเองไว้ก่อน…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับค่อยๆ ยืนหลังตรงขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย


 


 


นางสวมชุดแพรสีน้ำเงินเข้มพิมพ์ลายเมฆาทอง แม้จะไม่สบายแต่มิได้ดูซีดเซียวอ่อนแออย่างหญิงชราทั่วไป ในดวงตาคล้ายมีลูกไฟก่อตัวขึ้นทำให้คนเห็นแล้วต้องสะดุ้งตกใจเสียมากกว่า


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายืนหลังตรงดุจพู่กัน นางบีบมือนางซ่งโดยแรงอย่างไม่รู้ตัว “พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าย่อมต้องรักษาสุขภาพตนเองก่อนอยู่แล้ว นางเถียน ผู้ใดเป็นคนพบศพของต้าหลังหรือ”


 


 


“เออ ผู้บัญชาการกู่เจ้าค่ะ” นางเถียนรู้สึกว่าท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าช่างแปลกพิกลนัก


 


 


คนอายุปูนนี้แล้ว หากได้ยินข่าวร้ายไหนเลยจะสงบเยือกเย็นได้เช่นนี้ หรือว่าต้าหลังยังไม่ตาย


 


 


หึๆ ไม่ว่าต้าหลังจะตายหรือไม่ ก็ต้องตายอยู่ดี


 


 


ต้าหลังกับนางเจินหายสาบสูญไปพร้อมกับม้าที่แตกตื่นนั้นเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้แก่พวกเขา เช่นนี้จะไม่มีผู้ใดสงสัยพวกเขาแน่นอน


 


 


หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะกำจัดต้าหลัง แต่ที่ยังคงไม่ลงมือเสียทีด้วยกลัวว่าจะเกิดข่าวลือเสื่อมเสียมาแก่ตน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าสูญเสียบุตรชายคนโตและสะใภ้ไปจึงรักใคร่ต้าหลังดุจสมบัติล้ำค่า หากเกิดความสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แน่


 


 


“ใต้เท้ากู่ผู้ซึ่งรับตำแหน่งผู้บัญชาการเช่นเดียวกับต้าหลังผู้นั้นหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือนางซ่งพลางนั่งลง “เขาเห็นกับตาแล้วหรืออย่างไร”


 


 


นางเถียนเผยสีหน้าเศร้าโศก นางหยิบผ้าขึ้นเช็ดขอบตาตน “ในจดหมายเขียนว่าพบศพคนผู้หนึ่งที่เชิงเขา แต่เพราะใบหน้าถูกสัตว์ป่าแทะไปกว่าครึ่งแล้วจึงดูไม่ออก แต่จากรูปร่างนั้นคล้ายต้าหลังยิ่ง…”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ นางเถียนก็สะอื้นขึ้น


 


 


“ห้ามร้องไห้เด็ดขาด!” ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าเคร่งขรึมไม่เหมือนหญิงชราที่เพิ่งได้ฟังข่าวร้ายสักนิด “เช่นนั้นนางเจินเล่า”


 


 


นางเถียนส่ายหน้า “ในจดหมายมิได้เขียนไว้ คิดว่าคงยังหาตัวไม่พบเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้ารองกับเจ้าสามใกล้จะถึงเป่ยเหอแล้วกระมัง”


 


 


หลังจากเกิดเหตุพยัคฆ์บุกเข้าทำร้ายเจาเฟิงตี้ แม้เขาไม่คิดจะล่าสัตว์ต่อแล้วแต่ก็มิได้เดินทางกลับวังทันที ยังคงอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน กระทั่งแน่ใจว่าตามหาหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวไม่พบแล้วจึงทิ้งทหารไว้บางส่วนเพื่อทำการค้นหาต่อ ที่เหลือก็คุ้มครองขบวนเสด็จกลับวัง


 


 


การเดินทางกลับเมืองหลวงใช้เวลาเพียงเจ็ดแปดวันเท่านั้น


 


 


เรื่องที่จวนต่างๆ ทราบล้วนเป็นเรื่องเมื่อเจ็ดแปดวันก่อน


 


 


จวนเจิ้นกั๋วกงย่อมต้องส่งคนของตนออกไปตามหาเช่นกัน


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวต้องอยู่เป็นหลักให้จวน นายท่านสามสกุลหลัวก็เอาแต่ทำตัวเหลวไหล เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของคุณชายรองและคุณชายสาม


 


 


นางเถียนพยักหน้า “น่าจะใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ ในจดหมายยังเขียนอีกว่าอยากให้จวนเราส่งคนไปยืนยัน…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดอันใดอีก เพียงนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ สายตามองออกไปแสนไกล


 


 


เมื่อต้นไม้ใบสีเหลืองเข้มแซมเขียวนอกหน้าต่างต้องเผชิญกับสายลมที่พัดโบกในยามราตรี จึงทำให้ใบไม้ที่เหลืออยู่บนยอดนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยขับให้บรรยากาศดูเหน็บหนาวมากขึ้นไปอีก


 


 


สาวใช้สองคนที่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสำหรับฤดูสารทก็คล้ายได้รับผลกระทบจากบรรยากาศภายในจวนไปด้วย พวกนางจึงทำงานของตนอย่างเงียบๆ ทำให้จวนแห่งนี้ยิ่งดูเศร้าหมองมากขึ้น


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า เราต้องส่งจดหมายไปแจ้งแก่จวนเจี้ยนอานปั๋วหรือไม่เจ้าคะ” นางเถียนเอ่ยหยั่งเชิง


 


 


น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าพลันแหลมสูงขึ้น “ส่งจดหมายแจ้งอันใดกัน ยามนี้ยังหาต้าหลังและหลานสะใภ้ไม่พบมิใช่หรือ! เหตุใดแค่พบศพคนผู้หนึ่งจึงมั่นใจว่าเป็นต้าหลังแล้วเล่า!”


 


 


สะใภ้ทั้งสองต่างไม่กล้าพูดจาอันใดอีก


 


 


“นางเถียน เจ้ารีบให้เจ้ารองเขียนจดหมายแจ้งแก่ใต้เท้ากู่ไปว่าจะต้องใช้น้ำแข็งรักษาศพนั้นไว้แล้วส่งมาที่เมืองหลวง ข้าจะมิยอมให้ผีไร้ญาติใดมาสวมรอยต้าหลังเด็ดขาด!”


 


 


“เจ้าค่ะ สะใภ้จะไปบอกแก่ท่านพี่เดี๋ยวนี้ ท่านโปรดทำใจให้สบาย ต้าหลังเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ไม่แน่ว่า…อาจจะจำผิดคนก็เป็นได้” นางเถียนมีสีหน้าทุกข์ตรม แต่กลับร้อง ‘ถุย’ อยู่ในใจ


 


 


สตรีชราตายยากผู้นี้…หากเป็นผู้อื่น ได้ฟังข่าวเช่นนี้คงเสียใจจนหน้ามืดและล้มป่วยจนไม่อาจลุกขึ้นมาสร้างความวุ่นวายได้อีก แต่เหตุใดสตรีชราในจวนนางผู้นี้ไม่เพียงยืนอยู่ได้แต่ยังสงสัยว่าศพนั้นเป็นต้าหลังจริงหรือไม่อีกด้วย


 


 


นางคงแต่งเข้าผิดตระกูลเป็นแน่!


 


 


นางเถียนไปหานายท่านรองสกุลหลัวด้วยความหงุดหงิดใจ


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า” นางซ่งย่อกายลง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ต้าหลังรูปโฉมโดดเด่น มิใช่คนที่จะอายุสั้น นางเจินท่าทีมีวาสนายิ่ง พวกเขาจะต้องปลอดภัย ฝ่าบาททรงเคยตรัสว่านางเจินเป็นบุคคลมีวาสนามิใช่หรือเจ้าคะ”


 


 


หลังจากที่เจาเฟิงตี้กลับถึงเมืองหลวง วาจาเอ่ยชมว่าเจินเมี่ยวเป็นผู้มีวาสนาก็กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้ยามนี้จะมิทราบร่องรอยของเจินเมี่ยวแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางเป็นอันใดไปแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิฉาดใหญ่เลยทีเดียว แล้วใครจะกล้าปากมากเล่า


 


 


ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังน้ำเสียงอันอ่อนโยนและมั่นใจของนางซ่ง อารมณ์ก็ต้องดีขึ้นเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็มิร้อนใจเท่ากับฟังวาจาของนางเถียนเป็นแน่


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าก็เช่นกัน นางจึงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยว่า “ระยะนี้จวนของเราคงวุ่นวายไม่น้อย เจ้าต้องระวังให้มาก อย่าให้พวกที่มาสอบถามเรื่องราวนำไปลือเหลวไหล อย่างน้อยก็รอให้คนทางนั้นกลับมาเสียก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


“สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากนางซ่งกลับไป ฮูหยินผู้เฒ่ากลับหมดแรงลงทันที แผ่นหลังที่ตั้งตรงคล้ายไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดพลันอ่อนพับลงไปหลายส่วน หยาดน้ำตาคลอเอ่อขึ้นทันที


 


 


น้ำตานั้นร่วงหล่นลงบนชุดแพรสีน้ำเงินเข้มจึงมิเด่นชัดเกินไป แต่กลับทำให้สีของอาภรณ์เข้มชัดขึ้นหลายส่วน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าสติเลื่อนลอยไปไกลดั่งภาพวาดที่ขาดสีสัน


 


 


แม่นมหยางที่ยืนอยู่ด้านหลังถอนหายใจออกมา


 


 


สามีสติเลอะเลือน บุตรคนโตและสะใภ้ตายจาก บุตรคนเล็กหายสาบสูญ ยามนี้หลานชายและหลานสะใภ้ยังไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ต่อให้เป็นคนใจเหล็กก็มิอาจทานทนไหว ช่างยากนักที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะอดทนมาจนถึงยามนี้ได้


 


 


แม่นมหยางมิกล้าเอ่ยอันใดอีก


 


 


เวลานี้บางทีการร้องไห้ออกมาอาจจะดีกว่าก็เป็นได้


 


 


“แม่นมหยาง” ฮูหยินผู้เฒ่าพลันเอ่ยขึ้น “พระดำรัสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ทรงตรัสว่าหลานสะใภ้เป็นผู้มีวาสนา ใช่หรือไม่”


 


 


“แน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


“ผู้มีวาสนาย่อมไม่มีทางเป็นหม้าย ดังนั้นต้าหลังย่อมต้องปลอดภัย ใช่หรือไม่”


 


 


แม่นมหยางพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าค่ะ”


 


 


ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าต้องห้ามล้มป่วยไปในตอนนี้เด็ดขาด


 


 


บทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่หากสามารถยืดเวลาไปอีกสักระยะให้ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ ทำใจ อย่างน้อยก็จะมิป่วยล้มพับไปเช่นยามนี้แน่


 


 


“แม่นมหยาง ข้าหิวแล้ว เจ้าไปยกน้ำแกงรังนกต้มน้ำตาลและขนมซานเย่ามาให้ข้าที”


 


 


“เจ้าค่ะ” แม่นมหยางถอนหายใจโล่งแล้วเดินออกไป


 


 


ครั้นนางเถียนกลับถึงเรือนซินหยวนก็เล่าทุกอย่างให้นายท่านรองสกุลหลัวฟัง


 


 


สองสามีภรรยาที่เย็นชาต่อกันมานานพลันกลับมาชิดใกล้กันอีกครั้งเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้


 


 


“ท่านพี่ ต้าหลังตายแล้วจริงหรือ”


 


 


นายท่านรองเดินวนไปมาเอื่อยเฉื่อย “ก็ไม่แน่ หากยังไม่พบนางเจินก็ยากจะแน่ใจได้”


 


 


นางเถียนรู้สึกตกใจไม่น้อย “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงได้หาศพที่คล้ายต้าหลังไปทิ้งไว้เร็วปานนี้เล่า”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวถลึงตาใส่นางเถียนคราหนึ่ง “ผู้ใดว่าข้าทำเล่า”


 


 


นางเถียนยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก “แล้วเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


นายท่านรองรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ข้าจะรู้ได้อย่างไร การเสด็จประพาสครานี้ก็มิได้ไปด้วยเสียหน่อย”


 


 


ตั้งแต่ทราบเรื่องนี้เขาก็ลอบส่งคนออกไปติดตามทันที ไม่ว่าต้าหลังจะเป็นหรือตาย เขาจะต้องทำให้ต้าหลังตายให้ได้ แต่มิเคยคิดจะหาศพผู้อื่นมาทำให้คนเข้าใจผิดสักนิด


 


 


แม้นี่จะเป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดจึงยังรู้สึกมิสบายใจอยู่ไม่น้อย


 


 


นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้แท้ๆ หากเขาไม่จับไว้ให้มั่นก็สมควรตายยิ่ง!


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ต้าหลังก็มิอาจมีชีวิตกลับมาได้


 


 


เขามีความชอบที่ช่วยเหลือจักรพรรดิ นางเจินก็ช่วยองค์หญิงไว้ หากเขากลับมา ตำแหน่งในจวนและในวังของเขาก็ยิ่งยากที่จะสั่นคลอนได้ เช่นนั้นตนคงเป็นดั่งตะกร้าสานใส่น้ำที่มิอาจคว้าอันใดได้เลย


 


 


“เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหลกับท่านแม่เด็ดขาด ท่านอายุมากแล้ว หากล้มป่วยขึ้นมาจะทำฉันใด”


 


 


นางเถียนรู้สึกขัดใจยิ่ง อยากเอ่ยอันใดก็เอ่ยมิได้


 


 


นายท่านรองโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “สตรีโง่งม! หากท่านแม่เป็นอันใดไป ข้าต้องไว้ทุกข์ถึงสามปี ต่อให้ได้ตำแหน่งผู้สืบทอดมาก็ยังคงต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนอีกสามปี ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไหนเลยจะรอถึงสามปีได้”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็กัดฟันตนไว้อย่างเกรี้ยวโกรธเมื่อเห็นท่าทีของนางเถียน “อีกอย่างนั่นก็เป็นมารดาข้า ข้ามิเคยคิดอยากให้ท่านตาย เจ้าช่วยจำเรื่องนี้ไว้ด้วย!”


 


 


นางเถียนยิ้มเหยเก “ท่านพี่เย้าข้าเล่นหรือ ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


“ไม่คิดก็ดีแล้ว” นายท่านรองสกุลหลัวลุกเดินออกไปทางห้องตำราทันที


 


 


ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่านเข้ามา…เมื่อภรรยาอายุมากขึ้น ความอ่อนโยนเอาใจใส่ที่เคยมีเหล่านั้นกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าวน่ารังเกียจ


 


 


ครั้นคิดเช่นนี้ ในหัวก็ปรากฏภาพสตรีผู้หนึ่งในตรอกซิ่งฮวาที่แม้ไม่ประทินโฉมกลับยังงดงามผุดผาดเหนือคนธรรมดา


 


 


จวนเจี้ยนอานปั๋วก็เต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าตรมเช่นกัน


 


 


แม้วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองที่เหล่ยเกอบุตรชายของเจินฮ่วนอายุครบหนึ่งปี แต่ทุกคนก็เพียงกินข้าวร่วมกันอย่างเรียบง่าย


 


 


นางเวินผ่ายผอมลงไปในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ดวงตาสองข้างบวมเป่งตลอดเวลา


 


 


นางเจี่ยงจึงเอ่ยเตือนสติว่า “น้องสะใภ้ น้องสามกับเจินฮ่วนก็เดินทางไปตามหาแล้ว หากเจ้าล้มป่วยอีกคน นางอวี๋คนเดียวคงดูแลเจ้ากับเหล่ยเกอไม่ไหวแน่ ข้าว่าเมี่ยวเอ๋อร์ไม่มีทางอายุสั้น ครานี้จะต้องรอดปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอน”


 


 


เหล่ยเกอคลอดก่อนกำหนด แม้จะดูแลใกล้ชิดอย่างไรกลับไม่เพียงพอ หากร้อนหรือหนาวจนเกินไปก็ล้มป่วยได้ง่ายดาย หนึ่งมานี้คนของบ้านสามล้วนเฝ้าถนอมเหลอยเกอมาตลอด


 


 


นางเวินมองเหลยเกอในอ้อมอกของนางอวี๋ที่กำลังน่ารักน่าชัง เขายื่นมือออกมาให้นางอุ้มด้วย


 


 


นางเวินรีบรับมาอุ้มไว้แล้วฝืนยิ้มออกมา “พี่สะใภ้พูดถูก เพื่อเหลยเกอ ข้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็อดขอบตาแดงขึ้นมาอีกมิได้


 


 


นางอวี๋ลูบหลังนางเวินแผ่วเบา


 


 


“นางเวินเจ้าเป็นถึงย่าคนแล้ว ต้องอดทนไว้รู้หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วที่เกล้าเก็บผมไว้อย่างเรียบร้อยไม่มีหลุดลุ่ยสักเส้น แต่ผมขาวกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


 


 


อาโฉวก้าวเท้าฉับๆ เข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าใจหวิวขึ้นมาแต่ยังฝืนเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ”


 


 


เวลาเช่นนี้คงเป็นข่าวจากเป่ยเหอเป็นแน่


 


 


นางเวินกลับมิอาจฝืนทนได้อีกต่อไป สายตาเอาแต่จ้องอาโฉวอย่างตกตะลึงจนเกือบจะทำเหลยเกอหลุดมือด้วยซ้ำ


 


 


นางอวี๋รับเหลยเกอไปแล้วประคองนางไว้


 


 


เรื่องสำคัญเช่นนี้อาโฉวไหนเลยจะกล้าชักช้า นางจึงกัดฟันเอ่ยไปว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ มีจดหมายแจ้งมาจากจวนเสนาบดีว่ากูไหน่ไหน่ทราบข่าวเรื่องต้าไหน่ไหน่จวนเจิ้นกั๋วกงแล้วตกใจจนตกเลือดจึงอยากพบฮูหยินสามสักคราเจ้าค่ะ”


 


 


เสียงเพล้งดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าปัดถ้วยชาตกแตก ส่วนนางเวินนั้นล้มพับไปเสียนานแล้ว 


206

นางเจี่ยงมีสติมากที่สุดจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า น้องสะใภ้สาม เยี่ยนเอ๋อร์เพียงตกเลือด มิได้บอกว่ารักษาเด็กเอาไว้มิได้เสียหน่อย ยามนี้เราควรรีบไปดูจะดีกว่า น้องสะใภ้สามข้าจะไปกับเจ้าเอง” 


 


 


สาวใช้ประคองนางเวินไว้ เดิมก็ซูบซีดอยู่แล้ว เมื่อมองดูยามนี้ยิ่งเหมือนบุปผาที่ร่วงโรยมานานวัน ซีดเซียวไร้สีสันยิ่ง 


 


 


มือของนางสั่นไม่หยุด ทุกวาจาที่เอ่ยล้วนต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง “ไม่ต้องดอก…พี่สะใภ้ ในจวนมีเรื่องมากมายที่ท่านต้องดูแล อย่าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเหนื่อยเลย เรื่องของเยี่ยนเอ๋อร์ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว” 


 


 


นางเจี่ยงจึงมิได้ดึงดันอันใดอีก 


 


 


ผู้มีฐานะเป็นสะใภ้นั้นมิอาจกระทำตามใจ การที่คนของตระกูลมารดาจะมาเยี่ยมจึงเป็นเรื่องปกติยิ่ง หากนางเวินจะไปพักสักหลายวันก็ไม่มีผู้ใดว่าอันใด แต่นางอยู่ในฐานะผู้ดูแลจวน หากนางไปด้วยเกรงว่าทางนั้นจะรู้สึกว่าพวกตนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว 


 


 


ตัวนางนั้นมิเป็นไรดอก แต่เยี่ยนเอ๋อร์ยังต้องอยู่กับตระกูลนั้นไปอีกนาน หากมีวาจาซุบซิบเกิดขึ้นก็มิทราบต้องทนรับกับโทสะของผู้ใดบ้าง 


 


 


เดิมกลัวว่านางเวินจะทนรับเรื่องร้ายติดต่อกันสองครานี้ไม่ไหวจึงคิดไปเป็นเพื่อนนาง แต่กลับลืมไปว่านางเวินนั้นมีความแข็งกร้าวอย่างหนึ่งที่สตรีทั่วไปไม่มี 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเวิน เจ้ากลับไปเก็บของแล้วออกเดินทางเถิด นางเจี่ยงให้คนเปิดห้องเก็บทรัพย์สินแล้วนำเอารังนกโลหิตที่ไท่โฮ่วพระราชทานให้ครานั้นให้นางเวินด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ มีสติกลับมา แล้วทอดถอนใจอยู่ในอกว่าเหตุใดเรื่องร้ายๆ จึงเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้นเสียที! 


 


 


ได้ยินคำว่ารังนกโลหิต นางหลี่ก็คิ้วกระตุกทันที ใจเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว 


 


 


นี่เป็นของล้ำค่ายิ่ง ปีนั้นนางคลอดบุตรแฝดจนร่างกายอ่อนแอลงมายังไม่มีโอกาสได้กินรังนกชนิดนี้เลย 


 


 


ระยะนี้เจินปิงเจินอวี้กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยเรื่องหมั้นหมาย แต่ที่ทำให้คนประหลาดใจและยินดียิ่งคือ ตระกูลหวังอันเก่าแก่แสดงเจตนาคล้ายสนใจในตัวเจินอวี้ 


 


 


นางหลี่ทราบดีว่าที่บุตรสาวทั้งสองสามารถแต่งเข้าตระกูลใหญ่ได้นั้นย่อมมีสาเหตุจากพี่สาวทั้งสองที่ออกเรือนไปก่อนหน้าไม่มากก็น้อย 


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีเหตุจากความสัมพันธ์ดุจผ้าผืนเดียวของพี่น้องนั้นเอง 


 


 


เพื่อสิ่งนี้…แม้นนางหลี่จะไม่พอใจเท่าใด นางก็มิอาจแสดงออกมาได้ ทำเพียงลอบแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งเท่านั้น 


 


 


นางเจี่ยงตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนที่คนทั้งหลายกำลังจะแยกย้าย ม่านประตูกลับถูกแหวกออก บุรุษรูปร่างสูงโปร่งสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวขุ่นเดินเข้ามาพอดี 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่าแปลกใจยิ่ง “เจ้ารอง เหตุใดจึงกลับมาในเวลานี้เล่า?” 


 


 


แล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที “หรือมีข่าวจากเป่ยเหอ?” 


 


 


ผู้ที่มาคือนายท่านรองสกุลเจิน 


 


 


นายท่านรองสกุลเจินอายุเกือบสี่สิบแล้ว แต่เพราะรูปงามดุจเทพเซียน ดูอย่างไรก็คล้ายอายุเพียงสามสิบต้น แต่กลับไร้ท่าทีดุจเด็กหนุ่ม ชุดคลุมตัวยาวสีขาวขุ่นนั้นเรียบกริบไร้รอยยับใดๆ เมื่อยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงแดดจากด้านนอกลอดส่องเข้ามาสะท้อนให้เห็นแสงเรืองรองวงหนึ่งขึ้นรอบผมสีดำขลับนั้น ทำให้คนมิอาจเบนสายตาหนีไปได้ 


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านรองสกุลเจินจึงเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกขอลากลับเองขอรับ เพราะอยากจะไปตามหาคนกับน้องสามที่เป่ยเหอด้วยตนเอง” 


 


 


เป่ยเหอนั้นส่งสารมาแจ้งจริงๆ ในสารกล่าวว่าพบศพของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว แต่ข่าวนี้มีเพียงจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนเจี้ยนอานปั๋วเท่านั้นที่ทราบ 


 


 


ทว่าข่าวนี้เขาจะไม่บอกฮูหยินผู้เฒ่าเด็ดขาด มิเช่นนั้นเมื่อได้ฟังว่าคุณชายผู้สืบทอดต้องพบกับเหตุอันไม่คาดฝัน แล้วเมี่ยวเอ๋อร์จะพบมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร 


 


 


เมื่อคิดถึงหลานสาวที่รูปร่างหน้าตาคล้ายตนเหลือเกินผู้นั้น นายท่านรองสกุลเจินก็เจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ 


 


 


“ไม่มีก็ดีแล้ว…ไม่มีก็ดี” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบหอบเอาใจที่ร่วงหล่นของตนกลับคืนมา 


 


 


บุตรชายผู้นี้ของนางมิเคยกล่าวคำปด 


 


 


เวลานี้นางหวังจะได้ยินข่าวจากเหอเป่ยยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะมีข่าวอันใดแจ้งมา 


 


 


นายท่านรองสกุลเจินหลุบม่านตาต่ำ มุมปากหยักโค้งเกิดเป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน “ท่านแม่วางใจเถิด ลูกจะไปจัดการเองขอรับ” 


 


 


เขามิได้พูดปดเพียงแต่หลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยจุดสำคัญของเรื่องไปก่อนเท่านั้น 


 


 


นางหลี่กลับอดมิได้ “ท่านพี่ น้องสามมิใช่ไปแล้วหรือ หากท่านไปอีกคงเหลือแต่พี่ใหญ่ที่คอยดูแลจวนแล้ว” 


 


 


คนผู้นั้นกล้ากระทั่งยิงธนูดอกนั้นออกมาต่อหน้าพระพักตร์เชียว ผู้ใดจะทราบว่าจะมีคนร้ายหลบซ่อนอยู่มากมายเท่าใด หากลงมือทำร้ายท่านพี่เข้าจะทำฉันใด! 


 


 


คิดถึงตรงนี้ก็ลอบด่าทออยู่ในใจอีกคำรบ 


 


 


เด็กสาวอัปรีย์นั้นสร้างความเดือดร้อนให้บ้านนางตั้งแต่อยู่ในจวนแล้ว ยามนี้ออกเรือนไปแล้ว แต่เหตุใดยังกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้บ้านนางได้อีก! 


 


 


เวลานี้นางหลี่กลับลืมเรื่องที่บุตรสาวตนสามารถแต่งเข้าตระกูลใหญ่ๆ ได้นั้นล้วนมาจากบารมีของพี่สาวไปเสียสิ้น 


 


 


นายท่านรองสกุลเจินมองนางหลี่คราหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฮูหยินวางใจเถิด ก่อนหน้านี้ข้ารับราชการอยู่ต่างเมืองอยู่หลายปี พี่ใหญ่ก็ดูแลจวนของเราให้รุ่งเรืองมาได้กระทั่งบัดนี้ แต่น้องสามมิเคยออกไปต่างเมือง เจินฮ่วนก็อายุยังน้อย ข้ารู้สึกไม่วางใจจริงๆ” 


 


 


นางหลี่คิดจะพูดอันใดอีกครา แต่เจินอวี้กลับกระตุกดึงอาภรณ์นางไว้ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วรู้สึกมีเหตุผลยิ่งจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าลาแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถิด เจ้าสามออกไปจัดการเรื่องเองเช่นนี้ทำให้คนเป็นห่วงจริงๆ ทั้งข้ายังได้ยินมาอีกว่าจวนกั๋วกงส่งหลานชายสองคนไปแทน เกรงว่าคงมีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องราวไม่มากเท่าใดนัก” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็พลันหยุดไปแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “ที่ข้ากลัวคือหลัวซื่อจื่อกับเมี่ยวเอ๋อร์มิได้เป็นอันใดแต่กลับถูกคนใจคดคิดทำร้ายเอาก่อนเสียมากกว่า เจ้ารอง เจ้าพาคนไปมากหน่อยเถิด” 


 


 


นายท่านรองสกุลเจินเลิกขึ้นช้าๆ 


 


 


ท่านแม่ช่างเป็นผู้มองทะลุปรุโปร่งยิ่ง มิน่าเล่าเมื่อสมัยยังสาวถึงได้พยุงจวนปั๋วที่แทบจะล้มลงอยู่รอมร่อนี้ให้กลับคืนมาสู่สภาวะปกติได้ 


 


 


“ขอรับ ลูกทราบแล้ว” นายท่านรองสกุลเจินหมุนกายไปมองนางเวิน “น้องสะใภ้สาม เจ้าวางใจ ข้าจักต้องพาเมี่ยวเอ๋อร์กลับมาให้ได้” 


 


 


“ขอบพระคุณพี่รองมากเจ้าค่ะ” นางเวินย่อกายคารวะ 


 


 


นางไม่วางใจจริงๆ ที่จะให้คนไม่ได้เรื่องนั้นไปตามหาบุตรสาว และในเวลาสำคัญเช่นนี้เองนางถึงต้องยอมรับอย่างจนใจว่า นอกจากสามีแล้วก็มีเพียงบุตรชายเท่านั้นที่นางสามารถพึ่งได้ นางไม่สามารถออกไปตามหาคนด้วยตนเองได้ 


 


 


นายท่านรองสกุลเจินมิใช่คนอืดอาด เมื่อแจ้งแก่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็รีบเก็บข้าวของออกเดินทางทันที แม้นนางหลี่อยากเอ่ยสิ่งใดก็ไม่มีแม้แต่โอกาสด้วยซ้ำ 


 


 


ครั้นกลับถึงสวนฟางเฟย นางหลี่ก็เอ่ยขึ้นด้วยโทสะว่า “การหมั้นหมายของบุตรสาวมิเคยใส่แต่กลับไปมองบุตรคนอื่นเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าเสียแล้ว!” 


 


 


เจินปิงและเจินอวี้ฟังวาจานี้แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน 


 


 


เจินปิงอุปนิสัยอ่อนโยนจึงมิได้เอ่ยอันใด แต่เจินอวี้กลับเป็นคนปากไวเถรตรงจึงเอ่ยสวนกลับไปทันทีว่า “ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน ตอนนี้ยังมิทราบด้วยซ้ำว่าพี่สี่เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง หากลูกเป็นบุรุษคงตามอาสามออกไปตามหากแล้ว แต่ท่านกลับเอาการหมั้นหมายของลูกมาเปรียบกับความเป็นความตายของพี่สี่ หากวาจานี้แพร่ออกไป ข้ากับพี่หาคงมิต้องออกเรือนแล้ว คงต้องกินเจสวดมนต์อยู่วัดเพื่อขอพรให้ทุกคนญาติพี่น้องของเราปลอดภัยกลับมาแทน!” 


 


 


นางหลี่โมโหจนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ “เจ้า เจ้าลูกคนนี้ แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้ารู้หรือไม่!” 


 


 


หากท่านพี่เป็นอันใดไป พวกนางจะอยู่อย่างไร แต่วาจาอัปมงคลเช่นนี้นางจะพูดออกมาได้อย่างไร 


 


 


น้ำเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านแม่คงเคยได้ยินเรื่องรังนกตกร่วง ย่อมมิอาจฟักไข่กระมัง ข้าว่าท่านแม่คิดถึงจวนเราก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


นางหลี่แทบบไม่อยากจะเชื่อ “ปิงเอ๋อร์ แม้แต่เจ้าก็พูดเช่นนี้หรือ?” 


 


 


เจินปิงก้มหน้าต่ำมิกล้าส่งเสียง 


 


 


บุตรสาวที่เชื่อฟังมาตลอดก็ยังเป็นเช่นนี้ทำให้นางหลี่ร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “พวกเจ้าสองคนช่างโง่นัก ถูกขายไปแล้วยังต้องช่วยผู้อื่นนับเงินอีก ได้…เราจะไม่พูดเรื่องของเมี่ยวเอ๋อร์ก็ได้ แต่เหยียนเอ๋อร์ตกเลือดแล้ว พวกเจ้ามิเห็นหรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับนำรังนกโลหิตไปให้นาง ตอนที่แม่คลอดพวกเจ้า ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่งก็ยังมิเคยได้กิน! เป็นเพราะท่านย่าพวกเจ้าลำเอียงรักแต่บ้านใหญ่และบ้านสาม หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงคราพวกเจ้าออกเรือนก็คงไม่เหลืออันใดแล้ว” 


 


 


นางหลี่ยิ่งคิดยิ่งโมโห หากมิใช่เพราะร่างกายนางอ่อนแอลงเหตุใดจึงไม่มีบุตรชายเสียทีเล่า 


 


 


สองพี่น้องอึ้งงันไปกับวาจาของนางหลี่ 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งเจินปิงจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ท่านแม่กล่าวผิดแล้ว ลูกได้ยินมาว่าตอนนั้นจวนของเราลำบากยิ่ง ท่านยังถึงกับเคยขายสินเดิมที่ติดตัวมาเพื่อเชิญท่านหมอมารักษาท่าน คิดดูแล้วหากยามนั้นมีรังนกโลหิตชั้นดี ท่านย่าก็ต้องให้ท่านแน่เจ้าค่ะ” 


 


 


เจินอวี้กลับเอ่ยตรงยิ่งกว่า “ท่านแม่ รังนกนั้นมิใช่ได้รับพระราชทานมาเมื่อคราพี่สี่ออกเรือนหรือ? พี่สี่มอบให้ท่านย่าเพื่อแสดงความกตัญญู หากท่านย่าจะมอบให้พี่รองก็มิเห็นแปลกอันใด?” 


 


 


นางหลี่ถูกบุตรสาวทั้งสองเอ่ยขัดจนพูดสิ่งใดไม่ออกแล้ว 


 


 


เดิมเจินอวี้ก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อถูกยั่วอารมณ์มากเข้าจึงเอ่ยวาจาเถรตรงออกมาอีกประโยค “อีกอย่างพี่รองกินของที่ได้จากตระกูลมารดาตน มิใช่ตระกูลสามีมอบให้เสียหน่อย เรื่องนี้จะเปรียบกันได้เสียที่ไหน?” 


 


 


ครานี้กลับแทงถูกจุดตายของนางหลี่เข้าอย่างจัง 


 


 


นางเป็นบุตรอนุที่ไม่ได้รับความเอ็นดูอันใด หลังจากคลอดบุตร ตระกูลบ้านมารดาก็เพียงส่งของขวัญมาเป็นพิธีเท่านั้น การติดต่อสัมพันธ์กันเป็นเช่นนี้มาตลอด 


 


 


“พวกเจ้าสองคน ออกไปเดี๋ยวนี่!” 


 


 


เจินปิงยังคิดจะชี้แจงอีกสักหน่อยแต่ถูกเจินอวี้ลากออกไปก่อน 


 


 


เมื่อถึงบริเวณลับตาคนในสวนดอกไม้ เจินปิงจึงเอ่ยว่า “น้องหก เหตุใดเจ้าต้องพูดเช่นนั้น เกรงว่าครานี้ท่านแม่คงจะโกรธจริงๆ แล้ว” 


 


 


คนทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไฮ่ถัง 


 


 


เวลานี้ใบไฮ่ถังได้ร่วงหล่นจนหมดต้นแล้ว เหลือเพียงผลของมันที่เกาะอยู่เต็มยอดไม้ทำให้กิ่งของมันโน้มลงต่ำยิ่ง 


 


 


เจินอวี้เอื้อมมือไปเด็ดลูกไฮ่ถังแล้วกำเล่นอยู่ในมือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว “พี่ห้า ฟ้าย่อมมีฝน คนย่อมมีภัย หากท่านแม่ยังคิดไม่ได้ ข้าเกรงว่าสักวันคงต้องทำความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่มิอาจแก้ไขได้เป็นแน่” 


 


 


เจินปิงก็คว้ากิ่งไฮ่ถังไว้แล้วกัดฟันเอ่ยด้วยความโกรธเคืองเช่นกัน “ข้าไม่เข้าใจ ท่านพ่อเป็นบุรุษที่ดีถึงเพียงนั้น เหตุใดท่านแม่ถึงได้เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นด้วยเล่า?” 


 


 


หากนางพบบุรุษเช่นบิดาเกรงว่าหลงใหลในเวลาอันรวดเร็ว แม้นคิดจะหาเรื่องยังคิดไม่ออกว่าจะเอาสิ่งใดมากล่าวตำหนิ 


 


 


เจินอวี้โยนลูกไฮ่ถังลงพื้น เอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นมัว “ข้าคิดถึงสาเหตุนี้มาตั้งแต่เล็ก กระทั่งตอนนี้ยังไม่เข้าใจเลย!” 


 


 


นางเวินรีบไปยังจวนเสนาบดีทันที เมื่อทำความเคารพต่อเหล่าไท่จวินจวนเสนาบดีแล้วจึงเดินตามสะใภ้ใหญ่สกุลจู้ไปเยี่ยมเจินเหยียน 


 


 


สีหน้าของเจินเหยียนมินับว่าแย่นัก แต่เมื่อเห็นนางเวินขอบตากลับแดงก่ำขึ้น แต่เพราะนางจู้ผู้เป็นมารดาของสามีอยู่ด้วย นางจึงมิกล้าพูดอันใดมาก 


 


 


นางจู้กลับคล้ายเข้าใจจึงเอ่ยปลอบใจครู่หนึ่งแล้วหลบออกไป 


 


 


นางเวินคว้าตัวเจินเหยียนมาพิจารณาอย่างละเอียดคราหนึ่ง “เหยียนเอ๋อร์ เจ้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่ แม่ตกใจแทบตาย” 


 


 


“ข้ามิเป็นอันใด” เจินเหยียนเบ้ริมฝีปากตน “ท่านแม่ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับน้องสี่ พวกท่านกลับปิดบังข้าไว้ ข้าเสียใจยิ่ง!” 


 


 


“เจ้าตั้งครรภ์อยู่ แม้นรู้เข้าก็ไม่มีอันใดนอกจากกังวลใจเท่านั้น” 


 


 


ทั้งสองต่างมองตากันแล้ว ต่างเป็นห่วงเจินเมี่ยวจึงมีวาพูดคุยกันมากมา แต่เจินเหยียนมิได้เป็นอันใดมาก หากนางเวินค้างแรมที่นี่คงไม่เหมาะนัก 


 


 


เจินเหยียนกำชับอยู่หลายคราว่าหากมีข่าวคราวใดมาจักต้องบอกนาง นางเวินก็รับปาก แต่กลับถอนหายใจอยู่ในอก 


 


 


กระทั่งนางเวินจากไป เจินเหยียนจึงเผยสีหน้าขรึมขึ้น แล้วก้มหน้าซบกับหมอนร้องไห้ออกมา 


 


 


เมิ่งเหยียนเหนียนเดินเข้ามาปลอบ เจินเหยียนจึงเช็ดน้ำตา แล้วแค่นหัวเราะอยู่ในใจ 


 


 


น้องสี่เกิดเรื่อง ทุกคนพยายามที่จะปิดบังนาง แต่เพราะญาติผู้น้องแสนดีของสามีนางถึงได้ทราบข่าวนี้อย่างไรเล่า! 


 


 


ช่างเป็นบุคคลที่ฉลาดล้ำเกินผู้ใดเสียจริงๆ! 


 


 


“อาเหยียน ไม่สบายอีกหรือไม่?” 


 


 


เจินเหยียนเผยรอยยิ้มบางเบา “ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


ในที่สุดนายท่านสามสกุลเจินและขบวนที่รีบเร่งเดินทางอยู่นั้นก็ถึงเป่ยเหอเสียที ผู้บัญชาการกู่เข้ามาเชิญพวกเขาไปดูศพด้วยตนเอง 


207

ภายในโลงสีดำนั้นถูกถมไว้ด้วยน้ำแข็งจนเต็ม เมื่อเปิดฝาโลงออกก็คล้ายบรรยากาศรอบตัวหนาวเย็นขึ้นอีกหลายส่วน 


 


 


สีหน้าของกู่หมิงดูเคร่งขรึมยิ่ง “นายท่านสามสกุลเจิน เชิญท่านดูเถิด” 


 


 


ที่เขาอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนเพราะหนึ่งเขาไม่แน่ใจว่าศพในโลงเป็นหลัวเทียนเฉิงจริงหรือไม่ สองยังหาเจินเมี่ยวไม่พบ หากกลับไปเช่นนี้แล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เขาคงไม่ทราบจะทูลฝ่าบาทเช่นไร 


 


 


เมื่อคิดว่าทั้งสองตระกูลจักต้องส่งคนมาอย่างแน่นอน ตนจึงรอให้พวกเขามายืนยันศพและตามหาเจินเมี่ยวไปพลาง 


 


 


นายท่านสามสกุลเจินรวบรวมความกล้าหันไปมองคราหนึ่ง 


 


 


“นายท่านสามสกุลเจิน ใช่หรือไม่…” กู่หมิงยังมิทันกล่าวจบก็เห็นนายท่านสามสกุลเจินจับขอบโลงไว้แล้วอาเจียนออกมา 


 


 


แม้นศพนั้นจะใช้น้ำแข็งมิให้เน่าแต่ก็ผ่านมาสักระยะแล้ว ทั้งยังมีคนมาอาเจียนอยู่ข้างโลงอีกทำให้กู่หมิงเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้วเช่นกัน 


 


 


เจินฮ่วนกับเจี่ยงเฉินรีบเข้าไปประคองนายท่านสามไว้ 


 


 


เมื่อเห็นว่านายท่านสามหยุดอาเจียนแล้ว กู่หมิงจึงเดินเข้าไปเอ่ยถามอีกว่า “นายท่านสามสกุลเจิน…” 


 


 


นายท่านสามสกุลเจินเงยหน้าขึ้นมองกู่หมิงแล้วนึกภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่ขึ้นมาอีกจึงร้องอาเจียนขึ้นมาอีกทันใด 


 


 


กู่หมิงหน้าดำคล้ำไปครึ่งหนึ่ง แต่ต้องกดข่มไว้ด้วยคิดจะเอ่ยถามต่อ นายท่านสามสกุลเจินกลับโบกมือไหวๆ “ประ…ประเดี๋ยวก่อนน ตอนนี้ข้าเห็นหน้าท่านก็มักนึกถึงภาพที่เมื่อครู่ปรากฏขึ้นมา” 


 


 


ใบหน้ากู่หมิงเหยเกอย่างที่สุด 


 


 


ดูถูกกันเกินไปแล้ว เขากับผู้ที่นอนอยู่ในโลงนั้นมีความคล้ายคลึงกันเพียงนั้นเชียวหรือ? 


 


 


กู่หมิงรอให้นายท่านสามสกุลเจินอาการดีขึ้นอีกครั้งแล้วจึงฉีกยิ้มที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บฟันยิ่งนนั้นออกมา “นายท่านสามสกุลเจิน ท่านดูออกหรือไม่ว่าคนในโล่งนั้นคือคุณชายผู้สืบทอดหลัว?” 


 


 


นายท่านสามสกุลเจินอยากจะอาเจียนขึ้นมาอีก แต่กลับพบว่าไม่มีอันใดให้อาเจียนแล้ว จึงข่มใจเอาไว้ยกผ้าขึ้นมาเช็ดที่มุมปากตนแล้วเอ่ยว่า “อันใดกัน? เจ้าถามว่าศพในโลงนั้นใช่ลูกเขยข้าหรือไม่?” 


 


 


เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วส่ายหน้า 


 


 


กู่หมิงไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเศร้าโศก 


 


 


แม้นตนกับหลัวซื่อจื่อจะเหมือนแข่งขันกันอยู่ในที แต่เขายังหนุ่มแน่นทั้งมีความสามารถถึงเพียงนั้น หากคนที่นอนอยู่มิใช่เขานั้นก็หมายความว่าเขาอาจจะยังไม่ตาย อย่างไรก็นับเป็นเรื่องน่าดีใจ 


 


 


ยามนี้เขาได้ออกตามหาไปทั่วเป่ยเหอแล้วและยังค้นหาหมู่บ้านและอำเภอใกล้เคียงอีกด้วย แต่ก็ไม่พบเบาะแสแม้เพียงสักเล็กน้อย เช่นนั้นเขาก็จำต้องรีบกลับไปแล้ว หากยืดเยื้อไว้นานเกินไปไม่แน่อาจจะถูกลงโทษก็เป็นได้ 


 


 


กู่หมิงลังเลอยู่ในใจ ขณะกำลังจะสั่งให้คนปิดฝาโลงก็ได้ยินนายท่านสามสกุลเจินเอ่ยว่า “ขออภัย เมื่อครู่ข้ายังดูไม่ชัดเจน” 


 


 


มารดามันเถอะ! 


 


 


กู่หมิงหันไปมองด้วยใบหน้าดำมืด เกือบจะด่าออกมาเสียแล้วแต่ก็ข่มไฟโทสะเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นที่เมื่อครู่นายท่านสามส่ายหน้า…” 


 


 


“ยังดูไม่ชัด ข้าจะพยักหน้าได้หรือ?” นายท่านสามสกุลเจินรู้สึกงุนงงเล็กน้อย 


 


 


‘กร๊อบๆ’ เสียงหักข้อนิ้วมือของใครบางคนดังขึ้น พลางกัดฟันเอ่ยว่า “นายท่านสามพูดถูก ยังดูไม่ชัดย่อมต้องส่ายหน้า แต่หากท่านดูยังไม่ชัดแล้วอาเจียนออกมาด้วยเหตุใดเล่า?” 


 


 


“ก็ข้าเห็นใบหน้าที่ขาดแหว่งเหวอะหวะเช่นนั้นอย่างไรเล่า” น้ำเสียงของนายท่านสามสกุลเจินฟังดูเจ็บปวดยิ่ง 


 


 


ใบหน้าเช่นนั้นต้องให้ดูต่อไปเรื่อยๆ ถึงอาเจียนได้หรือ? อย่าล้อเล่นน่า! 


 


 


มารดามันเถอะ! 


 


 


กู่หมิงอยากจะด่าทอออกไปสักคราจริงๆ 


 


 


หากใบหน้ามิขาดแหว่ง เขาจะรอคนมาตรวจดูเพื่อยืนยันไปไยกัน? 


 


 


เจินฮ่วนเดินเข้ามาก้าวหนึ่ง “ขออภัยด้วย ท่านพ่อรีบเร่งเดินทางมานานเกินไป จึงรู้สึกไม่ใคร่สบายตัวนัก” 


 


 


กู่หมิงหน้าขรึมลง แต่กลับด่ากราดอยู่ในใจ ไม่สบายตัวหรือ? เห็นชัดว่าสติปัญญามีปัญหามากกว่า! 


 


 


“ให้ข้าดูแทนเถิด” เจินฮ่วนเดินเข้าไป เขาข่มความหวาดกลัวในใจไว้แล้วตรวจสอบศพนั้นอย่างละเอียด 


 


 


มองเพียงครู่ก็รู้สึกว่ารูปร่างเหมือนกันอย่างยิ่ง จึงเอาแต่จ้องมองใบหน้าอันเละเทะนั้น 


 


 


เจี่ยงเฉินก็เดินเข้ามาดูเช่นกัน 


 


 


คนทั้งสองมองอยู่พักใหญ่ แต่ก็รู้สึกลังเล 


 


 


รูปหน้านั้นหากพยายามดูสักหน่อยก็พอจะมองได้ว่าคล้ายหลัวเทียนเฉิงอยู่มาก 


 


 


แต่จะใช่หรือไม่ใช่นั้น ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆ 


 


 


ครั้นเห็นท่าทีของพวกเขา กู่หมิงก็ทราบแล้วว่ามิอาจยืนยันได้จึงถอนหายใจออกมาอย่างอดมิได้ ดูท่าคงต้องรอคนจากจวนกั๋วกงเสียแล้ว 


 


 


เคราะห์ดีที่วันต่อมาคุณชายรองและคุณชายสามก็มาถึง คนทั้งหลายจึงไปดูศพอีกครา คุณชายรอเลิกขากางเกงของคนผู้นั้นขึ้นดูครู่เดียวก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ผิด เป็นพี่ใหญ่ข้าเอง” 


 


 


ครั้นวาจานี้เอ่ยออกไป บรรยากาศพลันเงียบงันไป เจินฮ่วนกลับเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “คุณชายรอง 


 


 


แน่ใจหรือ?” 


 


 


น้ำเสียงของคุณชายรองดูเจ็บปวดอยู่ลึกๆ “แม้นจะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นความจริง ตอนเด็กพี่ใหญ่เคยถูกสุนัขวิ่งไล่จนล้มลงบนพื้นหิน หัวเข่าด้านซ้ายจึงมีรอยแผลเป็นคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่” 


 


 


แล้วชี้ให้ทุกคนดู 


 


 


ศพของบุรุษผู้นั้นมีแผลเป็นที่หัวเข่าจริงๆ แต่เพราะบาดแผลที่เกิดขึ้นใหม่ก็มีอยู่มากจึงบดบังแผลเป็นเก่าไปมากกว่าครึ่ง แต่หากพยายามดูให้ดีจะเห็นเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องขอให้ทุกท่านส่งหลัวซื่อจื่อกลับเมืองหลวงแล้ว” 


 


 


“ยังหาพี่สะใภ้ข้าไม่พบใช่หรือไม่?” คุณชายรองถาม 


 


 


กู่หมิงส่ายหน้า 


 


 


“เป็นไปไม่ได้ หลัวซื่อจื่อกับญาติผู้น้องข้าขี่ม้าตัวเดียวกัน จะพบเพียงคนเดียวแล้วไม่เหลือร่องรอยของอีกคนเลยได้อย่างไร” เจี่ยงเฉินที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงหนักแน่น “หากกระโดดลงจากหลังม้า ข้าเชื่อว่าหลัวซื่อจื่อจักต้องอุ้มนางกระโดดลงมาด้วยกันแน่ เช่นนั้นพวกเขาควรต้องอยู่ด้วยกัน” 


 


 


กู่หมิงเริ่มรู้สึกทนไม่ได้จึงเอ่ยออกมาในที่สุดว่า “ตอนที่พวกเราไปถึงนั้นกำลังมีสัตว์ป่าหลายตัวรุมล้อม…” 


 


 


เจินฮ่วนฟังแล้วดวงตาแดงก่ำขึ้นมา “ใต้เท้ากู่มิจำเป็นต้องพูดแล้ว หากน้องสาวยังอยู่ต้องเห็นคนตายต้องเห็นศพ มิเช่นนั้นเราจะไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด” 


 


 


เจี่ยงเฉินหลุบม่านตาลง พยายามควบคุมอารมณ์ของตนอย่างเต็มที่ 


 


 


“น้องสาม เจ้าไปส่งพี่ใหญ่กลับเมืองหลวง ข้าจะอยู่ตามหาพี่สะใภ้ก่อน” 


 


 


“พี่รอง ให้ข้าอยู่เถิด ข้าฝีมือดีกว่าท่าน” 


 


 


คุณชายรองมองกู่หมิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เลิกโต้แย้งได้แล้ว เชื่อข้า มีทหารมากมายเพียงนี้ ฝีมือของเจ้าคนเดียวนับเป็นอันใดได้” 


 


 


ทุกอย่างจึงเป็นไปเช่นนี้ เมื่อคุณชายสามกินข้าวเสร็จก็รีบเดินทางกลับเมืองหลวงทันที 


 


 


ระหว่างทางที่ไปส่งนั้นสองพี่น้องจึงเอ่ยล่ำลากัน คุณชายสามอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “พี่รอง ศพนั้นเป็นพี่ใหญ่จริงๆ หรือ?” 


 


 


คุณชายรองเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่พี่ใหญ่จะเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเหมือนพี่ใหญ่ทุกกระเบียด ทั้งยังมีรอยแผลเป็นที่ขาอีก เจ้าก็เห็นมิใช่แล้วมิใช่หรือ” 


 


 


คุณชายสามพลันห่อเ**่ยวลงทันใด เขาเอ่ยเหม่อลอยว่า “ใช่ แต่ข้าเพียงรู้สึกว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงจากไปเช่นนี้ได้” 


 


 


คุณชายรองถอนหายใจ “ใช่ ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อย่างไรเจ้าก็ต้องคุ้มครองศพพี่ใหญ่ให้ถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย อย่าให้เกิดความผิดพลาดใดได้ รู้ใช่หรือไม่?” 


 


 


“พี่รองวางใจเถิด นอกจากองครักษ์จากจวนเรา ใต้เท้ากู่ยังส่งทหารมาอีกจำนวนไม่น้อย แล้วจะมีอันใดผิดพลาดได้เล่า” 


 


 


โลงศพสีดำมืดนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองไปภายใต้สายตาสนอกสนใจของคนทั้งหลาย 


 


 


ณ วังจั่งกงจู่ 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เดินเข้าไปในห้องบรรทมของจั่งกงจู่ นางถอดรองเท้าปักลายนั้นออกแล้วเดินไปคุกเข่าลงข้างแท่นบรรทม 


 


 


“ท่านแม่ มีข่าวจากเป่ยเหอบ้างหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


สหายมีภัย นางคงทำได้เพียงขอร้องให้จั่งกงจู่ส่งคนออกไปตามหา นอกเหนือจากนี้คงทำได้เพียงรออย่างทุกข์ทนแล้ว 


 


 


จั่งกงจู่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเข้าใจ “ไม่มี” 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ขบริมฝีปากล่างตน “ท่านแม่ หากมีข่าวมาถึง ท่านต้องบอกลูกนะเจ้าคะ” 


 


 


“แน่นอน” 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ลุกขึ้นเดินถอยออกไปเงียบๆ 


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่หันไปมองสารที่เพิ่งดึงออกมาจากขานกส่งสารไม่นานก่อนหน้านี้ครู่หนึ่ง แล้วเรียกคนสนิทเมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ส่งคนไปอีกสิบคน ชิงศพของหลัวซื่อจื่อมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้ส่งเข้าเมืองหลวงมาได้เด็ดขาด” 


 


 


“ขอรับ” คนผู้นั้นรับคำแล้วก็จากไป 


 


 


“เดี๋ยวก่อน” 


 


 


คนผู้นั้นหยุดชะงักทันที 


 


 


“ห้ามให้ศพเสียหาย ดีที่สุดคือลอบนำมันมาที่วังแห่งนี้ แต่หากทำมิได้ก็หาสักที่เพื่อเก็บรักษาไว้ก่อน” 


 


 


“ข้าน้อยทราบแล้ว” คนผู้นั้นจึงออกไป 


 


 


เสียงดังปัง หน้าต่างถูกผลักออก ฉงสี่เซี่ยนจู่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบเรียบร้อย นางมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่โดยมิเอ่ยอันใด 


 


 


สองแม่ลูกสบตากันอยู่นาน เจาอวิ๋นจั่งกงจู่จึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ฉงสี่เข้ามาในห้องก่อน” 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ก้าวเท้าไร้สุ้มเสียงย่างเหยียบลงบนพรมเดินไปหาเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ 


 


 


เมื่อถึงตรงหน้ากลับไม่ยอมคุกเข่า แต่กลับยืนอยู่เช่นนั้นแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่จะมิอธิบายกับลูกสักหน่อยหรือ?” 


 


 


“อยากจะรู้อันใดหรือ?” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ยังคงท่าทีสงบนิ่งอย่างที่เคยเป็นคล้ายฉงสี่เซี่ยนจู่มิเคยเดินออกไปมาก่อน 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เม้มริมฝีปาก “อยากจะทราบว่าหลัวซื่อจื่อและเจินเมี่ยวเป็นเช่นใดบ้าง และอยากทราบว่าเหตุใดท่านแม่จึงส่งคนไปขัดขวางการเคลื่อนศพเข้าเมืองหลวงด้วย” 


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่จ้องมองเล็บที่ทาเป็นสีน้ำเงินแล้วยื่นสารนั้นให้ไป 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่รับมาอ่านครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อ” 


 


 


“หืม? เจ้าเคยเห็นฝีมือของหลัวซื่อจื่อหรือ?” 


 


 


“ไม่ แต่ลูกเชื่อความรู้สึกของตนเอง” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “และสายตาของเจินเมี่ยวด้วย” 


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่คลี่ยิ้มบางเบา “ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน” 


 


 


เด็กหนุ่มผู้นั้นเคยเผยกระบวนท่าวิชาที่ฝึกออกมาอย่างไม่รู้ตัว และมันก็เหมือนกับภาพวาดในตำราลับเล่มนั้นที่นางเก็บรักษาไว้เมื่อหลายปีก่อน ช่างแปลกเหลือเกินจริงๆ 


 


 


แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางสามารถยืนยันได้ นอกจากเคราะห์ร้ายอย่างที่สุดแล้ว เขาผู้ซึ่งมีเคล็ดวิชานั้นย่อมไม่มีทางตายไปง่ายๆ เช่นนี้แน่ 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดท่านแม่ยังทำเช่นนี้อีก?” 


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ลูบผมฉงสี่เซี่ยนจู่คราหนึ่ง “เราไม่เชื่อ ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่เชื่อ อย่างไรก็ต้องมีคนเชื่อ ขอเพียงเรื่องที่หลัวซื่อจื่อเป็นที่ยอมรับ เช่นนั้นไม่ว่าจะหาคุณหนูสี่สกุลเจินพบหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว ใจคนยากคาดเดา หากตำแหน่งผู้สืบทอดนี้เปลี่ยนมือไป เช่นนั้นหลัวซื่อจื่อก็ได้แต่ต้องตายไปตลอดกาลแล้ว” 


 


 


หายสาบสูญ ไร้หนทางพิสูจน์จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาในขณะนี้ อย่าน้อยในระยะเวลาสั้นๆ นี้จะไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดแน่ 


 


 


ขอเพียงหลัวเทียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ แม้นจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็ต้องกลับมาเมืองหลวงภายในหนึ่งปีนี้แน่ 


 


 


หากเกินเวลานี้ไปยังไม่กลับมา เช่นนั้นศพที่ถูกส่งเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้คงเป็นของจริง ถึงยามนั้นหากตำแหน่งผู้สืบทอดนี้จะตกแก่ผู้ใดก็ไม่มีความจำเป็นให้ผู้อื่นต้องกังวลใจแล้ว 


 


 


“ฉงสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” 


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เงยหน้าขึ้น มุมปากเคลือบด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านแม่ เรื่องพวกนี้ลูกเข้าใจ แต่อยากถามว่าเหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้เล่า?” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาที่ฉ่ำวาวดุจสายธารนั้นจ้องมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่นิ่ง แล้วเอ่ยถามออกมาทีละคำว่า “เหตุใดท่านแม่ต้องช่วยเหลือหลัวซื่อจื่อถึงเพียงนี้ด้วยเล่า?” 


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่อึ้งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เป็นคำขอของฉงสี่เองมิใช่หรือ?” 


 


 


ม่านตาฉงสี่เซี่ยนจู่สั่นระริกคราหนึ่ง ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “ขอบพระคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อเห็นเงาด้านหลังของฉงสี่ค่อยๆ ห่างออกไป เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ก็อยากจะถามเหลือเกินว่าเจ้าเชื่อหรือไม่ แต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มออกมา 


 


 


ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่คาดเดาว่าเขาจักต้องมิพบเจอเคราะห์ร้ายอย่างที่สุดนั้นก็รักษาอาการบาดเจ็บจากการพบเคราะห์ร้ายอย่างที่สุดหายเสียที เขาพาเจินเมี่ยวออกเดินทางจากหมู่บ้านแห่งนั้นและยังมีอาหู่ที่อยากจะไปเผชิญโลกภายนอกเดินตามหลังมาอีกผู้หนึ่ง 


208

หลัวเทียนเฉิงหมุนกายกลับไปอย่างรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “อาหู่ โลกภายนอกมิได้ดีอย่างที่เจ้าคิดดอก”


 


 


อาหู่เก็บข้าวของอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เขานำมาเพียงห่อสัมภาระเล็กๆ ห่อหนึ่งเท่านั้น ดูเผินๆคล้ายสัมภาระห่อเสื้อผ้าไปอาบน้ำเท่านั้น เมื่ออาหู่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ข้ามิเคยไปข้างนอกนั้นเลย จึงมิเคยคิดว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“เจ้ากลับไปตอนนี้ยังทัน หากตามเรามาอาจจะพบกับอันตรายก็เป็นได้” หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง เหตุใดจึงต้องมาพบกับคนโง่งมที่พูดอย่างไรก็มินำพาถึงเพียงนี้


 


 


อาหู่ตบหน้าอกตนคราหนึ่ง “แม้นหมีตาบอดข้าก็มิกลัว!”


 


 


ต่อมากลับทำหน้าตาสลด “พวกเจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้า มิอาจกลับคำรู้หรือไม่!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงอยากจะชกปากตนเองเหลือเกิน


 


 


ก่อนจากมาเขานำเงินไปให้จำนวนหนึ่งแล้วกล่าวตามมารยาทว่าหากวันหน้ามีโอกาสจักต้องตอบแทนแน่ แต่เจ้าคนโง่งมนี้กลับตอบว่าบุญคุณนั้นตอบแทนได้เดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ตามพวกเขามา


 


 


“ได้ แต่ต่อไปน้องชายห้ามเสียใจภายหลังและอย่าได้กล่าวตำหนิเราสองคนก็พอ” หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวเดินต่อไปข้างหน้าโดยอันใดให้มากความอีก


 


 


เจินเมี่ยวแบกสัมภาระรูปร่างยาวเดินตามไป


 


 


คนทั้งสามเดินอยู่บนเขาอยู่เป็นนาน กระทั่งฟ้าใกล้มืดจึงมองเห็นวัดร้างแห่งหนึ่ง


 


 


“คืนนี้พักที่นี่แล้วกัน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกับเจินเมี่ยว


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า


 


 


ตอนที่คนทั้งสามเดินเข้าไป กลับพบว่าด้านในวัดร้างนั้นมีคนนับสิบคนอยู่ในนั้น


 


 


คนพวกนั้นสภาพดูอเนจอนาถยิ่ง ต่างนอนกันอย่างสะเปะสะปะ เมื่อได้ยินเสียงจึงหันไปมองด้วยความตกใจ ครั้นเห็นบุรุษสอง สตรีหนึ่ง ทั้งอายุยังน้อยก็ลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก


 


 


เมื่ออีกฝ่ายยึดพื้นที่ไว้ก่อนแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงโค้งศีรษะให้ด้วยรอยยิ้มตามมารยาทพื้นฐานถือเป็นการทักทาย แล้วจึงค่อยเลือกนั่งลงที่มุมหนึ่งในวัดร้างนั้น


 


 


เขาวางสัมภาระที่แบกมาทั้งสองห่อวางลงบนพื้นแล้วเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “อดทนอีกหน่อยเถิด หากพบหมู่บ้านแล้วเราค่อยซื้อรถวัวลาก”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้หลัวเทียนเฉิงก็เบื่อหน่ายขึ้นมาอีก หมู่บ้านนั้นเล็กเกินไปจริงๆ ทั้งหมู่บ้านอย่าว่าแต่วัวสักตัวเลย แม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่มี!


 


 


เมื่อได้ยินคำว่าซื้อรถวัวลาก คนทั้งหลายเหล่านั้นต่างหันไปสบตากันตามสัญชาตญาณ เพราะอยู่ห่างไกลกันพอสมควร พวกเขาจึงเอ่ยซุบซิบเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินหรือไม่ ซื้อรถวัวลากได้ ดูท่าคงมีเงินไม่น้อย!”


 


 


บางคนจึงเกิดความคิดขึ้นมา “พี่ใหญ่ ครั้งนี้พวกเราทำงานผิดพลาด กลับไปก็ยังไม่ทราบว่าจะพูดกับนายท่านตระกูลตงอย่างไร หรือว่า…”


 


 


“ดูการแต่งตัวของพวกเขาแล้วก็มิได้ร่ำรวยปานนั้น หากคิดจะใช้พวกเขาไปชดเชยความเสียหายทั้งหมดนั้นเลิกคิดได้เลย แต่แม่นางน้อยผู้นั้น พวกเจ้าเห็นหรือไม่ งามเหลือเกิน หากยกให้เป็นอนุคนที่แปดของนายท่านตระกูลตง ไม่แน่ว่านายท่านอาจดีใจจนยกโทษให้เราทั้งหมดเลยก็ได้”


 


 


เสียงเคร้งดังขึ้น


 


 


คนทั้งหลายหันไปมองตามเสียงก็เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ในกลุ่มบุรุษสองสตรีหนึ่งนั้นหยิบหม้อใบเล็กออกมาทิ้งลงบนพื้น


 


 


บุรุษหล่อเหล่าผู้นั้นคล้ายทราบว่าเสียงเอะอะนี้รบกวนคนฝั่งนี้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วยิ้มให้


 


 


คนทั้งหลายนั้นรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างประหลาด


 


 


คนผู้หนึ่งพึมพำขึ้นว่า “มิใช่ว่าคนผู้นั้นได้ยินพวกเราพูดคุยกันแล้วหรือ?”


 


 


มีคนแย้งขึ้นว่า “ไกลเพียงนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร!”


 


 


คนผู้หนึ่งจึงเอ่ยอย่างระแวดระวังว่า “เราเลิกพูดกันเถิด รอให้พวกเขาหลับ เราค่อยลงมือ จะได้ไม่มีอันใดผิดพลาด”


 


 


คนทั้งหลายจึงหยุดพพูดคุยกันทันใด


 


 


หลัวเทียนเฉิงก่อไฟตั้งหม้ออย่างคล่องแคล่ว เจินเมี่ยวหยิบเนื้อกระต่ายที่จัดการทำความสะอาดตั้งแต่อยู่ริมแม่น้ำนั้นออกมาหั่นเป็นแผ่นๆ ลงไปในหม้อ แล้วค่อยหยิบแผ่นแป้งที่อบเสร็จแล้วมาปิ้งอีกครั้ง


 


 


กลิ่นหอมของเนื้อและแผ่นแป้งตลบอบอวลขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำมันจากเนื้อหยดลงบนกองไฟเสียงดังซู่ๆ


 


 


เจินเมี่ยวขยับเข้าไปถามว่า “เป็นอันใด หรือคนฝั่งนั้นพูดอันใดให้ท่านไม่ชอบใจ?”


 


 


คนทั้งสองอยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ หากอีกฝ่ายมีอารมณ์ที่เปลี่ยนไป เจินเมี่ยวไหนเลยจะสัมผัสมิได้


 


 


“มิได้ว่าอันใด”


 


 


“ไม่มี?” เจินเมี่ยวไม่เชื่อ “ไม่มีแล้วท่านจะโยนหม้อจนเกือบแตกด้วยเหตุใด? ทำเอาข้ากลัวว่าจะไม่มีข้าวกินเสียแล้วรู้หรือไม่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “พวกเขาบอกว่า รอให้เราหลับแล้วจะขโมยเงินและลักพาตัวเจ้าไป”


 


 


“อืม” เจินเมี่ยวเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วนางก็ปิ้งแผ่นแป้งต่อไป “แผ่นแป้งนี้หากปิ้งสักหน่อยจะอร่อยกว่าอบธรรมดาเสียอีก”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าแปลกใจยิ่ง


 


 


เขารู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือวาจาเมื่อครู่มิได้ทำให้นางกังวลเท่ากับการพลิกขนมแผ่นแป้งเลย?


 


 


ช่างมิให้โอกาสผู้อื่นได้ปลอบเลยรู้หรือไม่!


 


 


เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าสามีผู้ยิ่งใหญ่กำลังคิดสิ่งใด นางหยิบถุงใบเล็กจากเอวเปิดเอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาเปิดแล้วเทสิ่งที่อยู่ในนั้นลงบนเนื้อ


 


 


“สิ่งนี้กินได้หรือ?” เพราะความแปลกใจนี้ทำให้หลัวเทียนเฉิงลืมสิ่งที่กำลังคิดเมื่อครู่ไปทันที


 


 


ภายใต้เปลวไฟที่ส่องสะท้อนนี้ทำให้แก้มของเจินเมี่ยวแดงปลั่งไปหมด นางยิ่งหางตาหยักโค้ง “สิ่งนี้เรียกว่าจือหราน[1] เป็นเครื่องปรุงที่ดีมากยิ่งรู้หรือไม่ หากโรยใส่แผ่นแป้งไส้เนื้อนี้เล็กน้อยมันก็จะอร่อยยิ่งขึ้น ความจริงมันเหมาะใส่เนื้อย่างมากกว่า แต่เราเดินทางมานานเพียงนี้ การดื่มน้ำแกงนั้นจะเหมาะกว่า พรุ่งนี้ท่านไปล่าไก่ป่าสักตัวเถิด เราค่อยกินไก่ย่างกัน”


 


 


คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ช่วงเวลาอันเคราะห์ร้ายนี้กลับยังมีอันใดดีๆ บ้าง นางเห็นว่าในบ้านของอาหู่นั้นมีจือหรานตากแห้งอยู่ แต่ท่านน้าไม่รู้ว่ากินได้ นางจึงบอกเคล็ดลับไปว่าหากปวดท้องให้ผัดกิน


 


 


อาหู่ขยับใกล้เข้ามา เจินเมี่ยวจึงส่งแป้งแผ่นไส้เนื้อที่ปิ้งเสร็จแล้วให้เขา


 


 


อาหู่ประคองแผ่นแป้งไส้เนื้อไว้แล้วกัดกินคำใหญ่อย่างไม่กลัวร้อนแม้แต่น้อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยจึงชำเลืองมองเจินเมี่ยวครู่หนึ่ง


 


 


ช่างไม่มีจิตสำนึกบ้างเลยหรือ? ให้อาหารที่เพิ่งปิ้งเสร็จนั้นแก่ชายอื่นมิให้สามีตน


 


 


เจินเมี่ยวหยิบไม้ไผ่ที่เหลาจนกลายเป็นตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาคนน้ำแกงเนื้อกระต่าย แล้วเอ่ยอธิบายว่า “ท่านต้องบำรุงร่างกายอีกสักหน่อย ดื่มน้ำแกงก่อนดีต่อร่างกายยิ่ง”


 


 


เมื่อเห็นคนฝั่งนั้นกินอาหารกันอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะกลิ่นเนื้อที่ผสมผสานกับกลิ่นจือหรานที่หอมเป็นพิเศษนั้นมันต่างมุดเข้าไปในรู้จมูกของคนทั้งหลายอย่างซุกซน


 


 


หอมเหลือเกิน ช่างทำให้คนอดใจไว้ไม่ไหวเสียจริงๆ!


 


 


หลายคนนั้นมองหน้ากัน แล้วเดินเข้าไปหาทันที


 


 


คนที่เป็นหัวหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “น้องชาย การใช้ชีวิตนอกเรือนนั้นไม่ง่ายเลย พวกพี่ชายขอกินด้วยสักหน่อยจะได้หรือไม่?”


 


 


เห็นหรือไม่ว่าพวกเขามีนับสิบแต่อีกฝ่ายมีเพียงสามคนเท่านั้น


 


 


แม่นางน้อยนั้นมิต้องพูดถึงเลย ส่วนอีกสองคนหรือ ผู้หนึ่งเป็นบุรุษหล่อเหลา รูปร่างผอมบาง แค่มองก็รู้ทันทีว่าอ่อนแอจนมิอาจต้านลมไหว ส่วนอีกคนแม้นจะบึกบึนแต่จากท่าทางแล้วดูจะเป็นคนด้อยสติปัญญาอยู่สักหน่อย ทั้งอายุก็ยังน้อยเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มิจำเป็นต้องนับรวมเขาเลยด้วยซ้ำ


 


 


หากคนทั้งสามนี้ไม่โง่คงไม่มีทางปฏิเสธคำขอของพวกเขาแน่นอน


 


 


“ไม่ได้” เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


 


เพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะปฏิเสธ เมื่อได้ยินสองคำนี้ คนที่เป็นหัวหน้านั้นแทบจะนั่งลงหยิบอาหารขึ้นกินเองแล้ว


 


 


แต่คนอื่นอีกหลายคนกลับเข้าใจ สีหน้าจึงเปลี่ยนสีทันทีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่ ช่างไร้น้ำใจสิ้นดี คนที่บ้านเจ้ารู้หรือไม่?”


 


 


คนที่เป็นหัวหน้ามีสติกลับคืนมาแล้วจึงส่งสัญญาณให้คนทั้งหลายเงียบเสียก่อน สายตานั้นมองตกไปที่หลัวเทียนเฉิง “น้องชายบอกว่าไม่ได้หรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันไปถามเจินเมี่ยวว่า “ข้าพูดเบาไปหรือ?”


 


 


“ไม่” เจินเมี่ยวส่งถ้วยน้ำแกงเนื้อกระต่ายให้เขา “เลิกพูดเถิด กินก่อน กำลังร้อนๆ”


 


 


คนที่เป็นหัวหน้าหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “เหตุใดน้องชายจึงไร้ไมตรีเช่นนี้ ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านผู้ใดก็ล้วนพบความลำบากด้วยกันทั้งสิ้น”


 


 


หลัวเทียนเฉิงซดน้ำแกงร้อนคำหนึ่งแล้วรู้สึกสบายท้องขึ้นมา อารมณ์จึงดีไม่น้อย


 


 


ภรรยาเขาพูดถูก ดื่มน้ำแกงก่อนค่อยกินเนื้อ ช่างดีจริงๆ


 


 


เมื่ออารมณ์ดีจึงมิถือสาที่จะอธิบายให้เขาฟังเล็กน้อย “อ้อ ข้ามิใช่ไร้ไมตรี เพียงแต่เมื่อครู่ได้ยินพวกท่านบอกว่าจะขโมยเงินและลักพาภรรยาข้าไป จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย”


 


 


“เจ้าจะได้ยินได้อย่างไร!” คนทั้งหลายต่างตกใจยกใหญ่


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองอย่างแปลกใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ย่อมต้องใช้หูฟัง”


 


 


“เจ้าหนุ่ม​ แกล้งพวกเราหรือ​เช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่าเราไม่ไว้หน้าแล้วกัน ” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยหน้าตาเ**้ยมเกรียม​ แล้วล้วงมีดออกมาทันที


 


 


เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง​ “ท่านพี่​ ท่านบอกว่า​ราษฎร​ทั่วไปมิพกมีดเพราะจะถูกมือปราบจับมิใช่หรือ!”


 


 


หากมิเป็นเช่นนั้น​ นางจะห่อพันมีดตัดฟืนที่ซื้อมาจากบ้านหมู่บ้านท่านน้าอย่างยากลำบากด้วยเหตุใดกัน ส่วนดาบยาวที่ค้นจากองครักษ์ตัวปลอมผู้นั้น​ พวกเขาได้ขุดหลุมฝังไปนานแล้วเพราะมันเป็นอาวุธของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจึงไม่อยากพกไว้ให้เกิดความยุ่งยากใดๆ ขึ้น


 


 


“หึๆๆ แม่นางน้อยเจ้าช่างไร้เดียงสานัก​ พวกเราหลายคนเหมือนเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือ? ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออก? “


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าโดยแรง​ “ข้าดูออกแล้ว​ ท่านพี่​ ท่าท่านคงต้องออกแรงสักหน่อยก่อนกินข้าวแล้ว​ ข้าจะเฝ้าน้ำแกงเนื้อกระต่ายและแผ่นแป้งไส้เนื้อนี้ไว้อย่างดี​ ท่านวางใจได้”


 


 


“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว ” หลัวเทียนเฉิงทะยานเข้าไป​ใกล้​ พริบตาก็เตะคนสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้นั้นกระเด็นออกไป


 


 


แย่แล้ว​ เจอยอดฝีมือเข้าแล้ว!


 


 


คนเหล่านี้รู้วิชาต่อสู้อยู่บ้าง​ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็​ต่างล้วงเอาอาวุธ แสดงความโหดเ**้ยมของตนออกมา​ แล้วพุ่งเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงทันที


 


 


หลัวเทียนเฉิงแม้นเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บแต่การต่อกรกับคนเหล่านี้กลับมิได้เหลือบ่ากว่าแรงอันใด


 


 


บุรุษสองคนที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนักส่งสายตาให้กันแล้วแอบย่องไปทางเจินเมี่ยว


 


 


ขอเพียงจับภรรยาของเขาไว้ เขามีหรือจะไม่ยอมจำนน!


 


 


เสียงการต่อสู้นั้นปิดกั้นเสียงจากภายนอกไว้จนหมด บุรุษสองคนจูงมาเดินใกล้เข้ามาหวังหาที่พัก พวกเขาหยุดอยู่หน้าวัดร้าง เมื่อเห็นเหตุการณ์ข้างในนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง


 


 


พวกเขาเห็นบุรุษสองคนเดินเข้าไปล้อมสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง


 


 


ผู้มีใบหน้าดั่งเด็กน้อยอยากจะเข้าไปช่วยอย่างยิ่งแต่กลับถูกบุรุษอีกผู้หนึ่งห้ามไว้


 


 


“อย่าเพิ่งวู่วาม ผู้ใดจะทราบว่าทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นคนเช่นไร ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากล่าวเถิด”


 


 


คนที่เดินนำหน้าพยักหน้าแล้วหยุด เขาล้วงเอามีดบินออกมา


 


 


อาหู่ทั้งหวาดกลัวและตกใจ “พวกท่าน พวกท่านคิดจะทำอันใด? ”


 


 


“รีบหลบไปเสีย แล้วท่านปู่จะไว้ชีวิตเจ้า!” คนผู้หนึ่งเอ่ยขู่ขวัญ


 


 


เด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบหน้าดูหน้าตาขมขื่นจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาล้วงเอาไม้ง่ามยิงก้อนหินขึ้นมาเล็งใส่คนทั้งสองด้วยมืออันสั่นเทา “อย่าเข้ามาทำร้ายพี่สาวข้าเด็ดขาด มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นข้าจะยิงพวกท่านจริงๆ ด้วย”


 


 


“หึๆ เจ้าเด็กโง่ เจ้ายิงเลย!” หนึ่งในสองคนนั้นทำหน้าล้อเลียนวิ่งเข้ามาหา


 


 


หัวหน้าและพวกของเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว พวกเขาควรรีบจับตัวแม่นางน้อยนี้ไว้เสียดีกว่า


 


 


พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผาก แล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


คนอีกผู้หนึ่งเห็นคนตรงหน้าหยุดนิ่ง จึงไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้น เขาอ้อมเข้าไปที่ด้านหลังเจินเมี่ยว แต่ร่างก็ต้องหยุดนิ่งไปโดยพลันเช่นกัน


 


 


มือที่ลูกห่อผ้าของเจินเมี่ยวนิ่งไป นางมองคนทั้งสองที่นอนล้มอยู่บนพื้นอย่างตกตะลึง


 


 


คนทั้งสองมีรูโหว่ที่หน้าผาก โลหิตค่อยๆ ไหลออกมา ครู่เดียวโลหิตก็เปื้อนเต็มหน้าจนมองไม่ออกแล้วว่าเป็นผู้ใด


 


 


เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงที่เอ่ยดูแห้งผากเล็กน้อย “น้องชาย สิ่งนี้ของเจ้าเรียกไม้ง่ามยิงก้อนหินหรือ?”


 


 


นี่มิใช่ปืนที่ใส่เสื้อกั๊กจริงๆ ใช่หรือไม่?


 


 


หลัวเทียนเฉิงจัดการคนทั้งหลายจนเรียบร้อยไปนานแล้ว จึงยืนไพล่หลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง


 


 


อาหู่หน้าซีดขาวไปหมด เขาส่ายศีรษะเป็นระวิง “ข้า ข้าขอร้องพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟัง…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามาตบบ่าอาหู่คราหนึ่ง “น้องชาย ทำได้ไม่เลวเลย”


 


 


แล้วหันหลังกลับไปมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูวัดร้างด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


ผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “ขออภัย เข้าผิดประตูเสียแล้ว…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] จือหราน เป็นพืชชนิดหนึ่ง (เมล็ดคล้ายเปลือกข้าว) ดอกมีลักษณะชมพูแดงหรือขาว รูปร่างเรียวยาว ดอกออกในเดือนเมษายน ผลออกเดือนพฤษภาคม มีกลิ่นหอมเข้มข้น ทั้งยังมีสรรพคุณทาง


209

คนที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นเหล่านั้นเห็นคนมาก็ร้องให้ช่วยชีวิตดุจพบดวงดาวที่ช่วยชีวิต


 


 


คนผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นแคะหูตน ท่าทีดูไร้เดียงสายิ่ง


 


 


อันใดหรือ? ลมพัดแรงยิ่ง เขาไม่ได้ยินสิ่งใดเลย


 


 


คนอีกผู้หนึ่งที่ดูอายุมากกว่าหันไปยิ้มให้หลัวเทียนเฉิงแล้วเอ่ยว่า “พี่ชาย ฟ้ามืดแล้ว พวกเราแค่อยากหาที่พักแรมเท่านั้น”


 


 


บรรดาคนที่แขนเจ็บขาหักเหล่านั้นต่างมองหน้ากัน อยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา


 


 


สิ่งที่เรียกว่าจิตใจที่รักในคุณธรรมเล่า สิ่งที่เรียกว่าความซื่อสัตย์จริงใจเล่า?


 


 


หลัวเทียนเฉิงเบี่ยงกายหลบให้คนทั้งสองเดินเข้ามา แล้วกลับไปมองคนทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่แต่พิการกันเสียหมดแล้ว แล้วหันมองคนตายสองคนซึ่งมีรูโหว่บนหน้าผากแล้วพลันรู้สึกลำบากใจขึ้นมา


 


 


ตามความคิดของเขานั้น คนเหล่านี้มิได้มีความผิดถึงตาย แค่หักแขนหักขาพวกเขาแล้วทิ้งไว้ในวัดร้างตามมีตามเกิดก็พอแล้ว หึๆ แต่จะมีชีวิตอยู่รอดหรือหิวตายนั้นก็มิเกี่ยวข้องอันใดกับเขาแล้ว


 


 


คิดไม่ถึงว่าอาหู่จะทำสองคนนั้นตายเสียแล้ว เช่นนี้เขาคงต้องครุ่นคิดถึงเรื่องฆ่าคนปิดปากแล้ว แต่กลับมีคนเพิ่มมาอีกสอง หากฆ่าปิดปากจึงก็คงต้องฆ่าทั้งหมดนี่แล้ว


 


 


เช่นนี้ออกจะดูเลือดเย็นไปหรือไม่ หากทำให้ภรรยาหวาดกลัวจะทำเช่นไร?


 


 


เมื่อเห็นสามีผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งแสดงฝีมือไปเมื่อครู่หันมองมา เจินเมี่ยวก็เดินเข้าไปดึงแขนเสื้อเขา


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลื่อนมือไปกุมมือนางไว้ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “กลัวใช่หรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าคำถามนี้ตอบยากเหลือเกิน


 


 


บนพื้นมีคนตายที่มีรูโหว่ตรงหน้าผากทั้งโลหิตไหลออกมานอนอยู่เช่นนี้การตกใจนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่หากบอกว่ากลัว เจินเมี่ยวกลับคิดว่าตนมิได้รู้สึกถึงขั้นนั้นเลยจริงๆ


 


 


สตรีผู้หนึ่งที่เคยตายมาแล้วภพหนึ่งทั้งต้องยังเผชิญความตายมานับครั้งไม่ถ้วนในภพนี้ จิตใจจึงคล้ายถูกฝึกจนแข็งแกร่งขึ้นมาอีกเล็กน้อยกระมัง


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งนี้มิใช่สิ่งที่ควรจะอวดอ้างสักเท่าใดจึงเอ่ยรับคำทันทีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ แผ่นแป้งที่ปิ้งไว้กำลังจะเย็นแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินตามเจินเมี่ยวกลับไปนั่งที่กองไฟเตรียมกินอาหาร เมื่อเห็นศพที่นอนบนพื้นก็รู้สึกขัดตาจึงลุกขึ้น จึงลากศพนั้นไปไว้ฝั่งคนทั้งหลายที่นอนเจ็บอยู่ค่อยลงมือกินอย่างสงบใจได้ 


 


 


ทั้งสามฝ่ายนั้น ฝ่ายหนึ่งเจ็บจนต้องร้องไห้คร่ำครวญ อีกฝ่ายกินอย่างเอร็ดอร่อย และอีกสองคนนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมห้อง เงียบจนคล้ายมิได้อยู่ตรงนี้ สถานการณ์เช่นนี้มันช่างน่าแปลกใจอย่างยิ่ง


 


 


ครั้นมีบุรุษอีกสองคนเดินเข้ามา พวกเขาอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วค่อยหันไปมองที่หลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยว อาหู่


 


 


หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี แล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “ใช่หรือไม่?”


 


 


สายตาอีกคู่จึงมองไปที่หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะไม่ผิด”


 


 


แม้นคนทั้งสองจะสวมเสื้อผ้าธรรมดายิ่ง ทั้งยังปิดบังหน้าตาไว้ แต่กลับมิอาจปิดบังสายตาอันแหลมคมของเขาเอาไว้ได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน


 


 


สองคนนี้เขาเคยเห็นมาแล้วเมื่อชาติที่แล้ว พวกเขาเคยลอบสังหารองค์ชายหก แต่ล้มเหลวจึงหลบหนีไปพึ่งลี่อ๋องที่ชิงเป่ย


 


 


ภายหลังเขาจึงมาทราบโดยบังเอิญว่า คนทั้งสองนี้เป็นคนของอดีตองค์รัชทายาท


 


 


อดีตรัชทายาทผู้นี้ มิใช่องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดในเร็วๆ นี้ แต่เป็นพี่ชายของเจาเฟิงตี้ต่างหาก


 


 


 ได้ยินมาว่ารัชทายาทพระองค์นั้นเป็นคนที่มีความสามารถไม่น้อย แต่คล้ายเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องฉาวโฉ่ภายในวังทำให้องค์จักรพรรดิปลดจากตำแหน่ง หลังจากนั้นก็หายหาบสูญไป


 


 


ด้วยเหตุนี้ตำหนักตงกงจึงวางลง ต่อมาเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ต้องอภิเษกไปยังเผ่าเย่ว์อี๋ ในคืนวันอภิเษกกลับลงมือสังหารหัวหน้าเผ่า เจาเฟิงตี้ขอออกไปรบด้วยตนเอง ครานี้เองความสามารถจึงได้ประจักษ์แก่สายตาทุกคนและถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท


 


 


เรื่องในราชวงศ์ก่อนหลัวเทียนเฉิงมิทราบชัดเจนนัก แต่เขารู้ว่าคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้มาตามหาพวกเขาแน่ๆ


 


 


คนทั้งสองนั้นตรงไปตรงมายิ่ง เมื่อมั่นใจแล้วก็ชักดาบออกมาจากเอวแล้วพุ่งเข้าหาทันที


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเย็น


 


 


คนทั้งสองจึงชะงักหยุดครู่หนึ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินผ่านสองคนนั้นไปแล้วเอ่ยเนิบนาบมาว่า “ออกไปข้างนอกเถิด ข้ายังกินข้าวไม่เสร็จเลย อย่าทำให้หม้อต้องสกปรกดีกว่า”


 


 


กลุ่มคนที่บาดเจ็บนั้นถึงกับผงะหงาย สามีภรรยาคู่นี้เห็นเรื่องกินสำคัญเพียงนั้น!


 


 


ไม่นานเสียงกระทบกันของอาวุธก็ดังขึ้น แสงวิบวับของดาบ ไอสังหารกระจายไปทั่ว พริบตาก็ต่อสู้โรมรันกันจนแยกไม่ออกแล้ว


 


 


กลุ่มคนที่บาดเจ็บนั้นมิใช่คนธรรมดา จึงฉวยโอกาสนี้ทำแผลให้กัน เมื่อเห็นว่าด้านนอกคงต่อสู้กันอีกนาน สายตาที่มองเจินเมี่ยวและอาหู่จึงมิใคร่หวังดีนัก


 


 


คนที่ยังเคลื่อนไหวได้หลายคนนั้นมองสบตากันแล้วเข้าไปล้อมเจินเมี่ยวไว้


 


 


อย่างไรก็คงต้องตาย หากลากสองคนนี้ไปด้วยได้นับว่าได้แก้แค้นให้ตนแล้ว!


 


 


“พวกเจ้าอย่าเข้ามา หากเข้ามาข้าจะยิงทันที” อาหู่หยิบไม้ง่ามยิงก้อนหินขึ้นมา สีหน้าดูหวาดกลัว


 


 


คนทั้งหลายโมโหแทบตายแล้ว เพราะเจ้าเด็กคนนี้แสร้งเป็นสุกรหวังเขมือบพยัคฆ์ ทำให้พี่น้องของเขาต้องสังเวยชีวิต


 


 


“พี่น้องข้า จัดการเจ้าหนุ่มนั้นก่อนค่อยว่า”


 


 


“แค่กๆ” เสียงกระแอมไอดังขึ้นภายในวัด คนผู้มีใบหน้าตุ๊กตานั้นนั่งเล่นมีดบินในมือตน “ทุกท่านอย่าได้โยนหินซ้ำเติมคนคนใต้บ่อดีกว่า?”


 


 


“น้องชาย อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องจะดีกว่า!” คนผู้หนึ่งพูดขึ้นแล้วยื่นมือเข้าไปจับเจินเมี่ยว


 


 


บุรุษผู้นั้นย่อมต้องฆ่าคนปิดปาก หากมีสตรีผู้นี้ไว้ในมือก็ไม่แน่ว่าอาจมีทางรอดก็เป็นได้


 


 


ตั้งแต่ที่คนเหล่านั้นคอยมองมา เจินเมี่ยวก็เริ่มเปิดห่อสัมภาระตนไว้แล้ว รอจนคนเหล่านี้เข้ามาใกล้ นางก็หยิบมีดตัดฟื้นออกมาจากห่อสัมภาระพอดีแล้วยกมีดขึ้นฟันใส่มือคนผู้หนึ่ง


 


 


มือข้างหนึ่งมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา ในเวลาเดียวกันกริชเล่มหนึ่งก็บินเข้ามาจากนอกวัดร้างปักเข้าที่หัวใจคนผู้นั้นพอดี


 


 


มีดบินที่บุคคลผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตาถือเล่นอยู่นั้นร่วงตกลงบนพื้น แต่กลับลืมที่จะเก็บมันขึ้น สีหน้าเขาดูแข็งค้างไปราวกับหิน


 


 


ด้านนอกนั้นเป็นมือสังหารขั้นเทพจากที่ใดกัน ต่อสู้กับคนพวกนั้นอยู่แท้ๆ แต่ยังมีสายตามาสนใจเหตุการณ์ภายในวัดได้อีก ทั้งยังสลัดอาวุธเข้ามาในเวลาที่สำคัญอันทันท่วงทีอีกด้วย!


 


 


ยังมีแม่นางน้อยทีอ้อนแอ้นนี้อีก สวรรค์ เขามิได้มองผิดไปใช่หรือไม่ นั้นคือมีดตัดฟื้น?


 


 


บุรุษอีกผู้หนึ่งหยิบมีดบินขึ้นมา วางลงบนมือบุรุษหน้าตุ๊กตา แล้วตบบ่าเขาคราหนึ่ง “เจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ”


 


 


คนเหล่านั้นล้วนไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวแล้ว ได้แต่ร้องไห้อย่างไร้น้ำตาเท่านั้น


 


 


สวรรค์คงกำลังกลั่นแกล้งพวกเขาอยู่แน่ๆ เมื่อใดกันที่เด็กหนุ่มอายุสิบห้าใช้ไม้ง่ามยิงก้อนหินแทนธนู บุรุษหนุ่มบอบบางกลายเป็นเทพสังหาร ห่อสัมภาระของแม่นางน้อยมิได้พกเข็มเย็บปักแต่เป็นมีดตัดฟืน!


 


 


คนผู้หนึ่งก้มหน้าเอ่ยอย่างท้อใจว่า “พี่น้องข้า เลิกดิ้นรนเถิด พี่ใหญ่ดูออกหมดแล้ว นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของเราแน่ สวรรค์คงปีศาจมาจัดการพวกเราแล้ว”


 


 


ยามนี้หากมีกระต่ายวิ่งเข้ามากินคน เขาก็คงเชื่อ!


 


 


คนเหล่านั้นเราหยุดนิ่งอย่างว่าง่าย เจินเมี่ยวจึงค่อยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


 


 


การมองคนอื่นฆ่าคนกับตัวเองลงมือตัดมืดผู้อื่นนั้นไม่เหมือนกันสักนิด


 


 


ครั้นคิดถึงความรู้สึกตอนที่มีดฟันเข้าไปในเนื้อนั้นแล้ว ขนก็ลุกชันขึ้นมาทั้งร่าง


 


 


เจินเมี่ยวกดข่มความรู้สึกคลื่นไส้ไว้ แล้วเช็ดรอยเลือดบนมีดตัดฟืนนั้นออกด้วยใบหน้าขาวซีด ทั้งยังใช้น้ำล้างอีกรอบค่อยเก็บมันไว้ในห่อสัมภาระ คนในวัดที่มองมาล้วนบิดเบ้มุมปากพร้อมกัน


 


 


เสียงการต่อสู้ด้านนอกค่อยๆ เงียบลง หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามานั่งข้างเจินเมี่ยว “อาซื่อ มิเป็นอันใดใช่หรือไม่?”


 


 


อยู่ข้างนอกมิอาจเอ่ยนามจริงได้


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มิเป็นไร เพียงแค่รู้สึกกลัวเล็กน้อยเท่านั้น”


 


 


ทุกคนต่างแทบร้องไห้ออกมาแล้ว ในใจก็กล่าวว่าพี่สาวท่านเอ่ยเช่นนี้ไม่รู้สึกผิดเลยหรือไร เมื่อครู่ที่ใช้มีดตัดฟืนฟันมือคนนั้นมือแทบไม่สั่นด้วยซ้ำ!


 


 


หลัวเทียนเฉิงประคองเจินเมี่ยวที่กำลังตกใจกินแผ่นแป้งไส้เนื้อด้วยกัน


 


 


บุรุษหน้าตุ๊กตาและสหายของเขาลุกขึ้นยืน


 


 


นัยน์ตาเย็นเยือกคู่นั้นของหลัวเทียนเฉิงมองพวกเขาอย่างสงบนิ่ง บุรุษใบหน้าตุ๊กตาฝืนยิ้มให้คราหนึ่ง “คือฟ้าใกล้สว่างแล้วมิใช่หรือ พวกเราสองพี่น้องคงต้องรีบไปก่อน ไม่รับกวนทุกท่านแล้ว”


 


 


กล่าวจบคนทั้งสองก็เดินออกไปอย่างแข็งทื่อ


 


 


อาหู่มองไปด้านนอกอย่างงุนงง แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ยังมิทันถึงยามสองเสียหน่อยมิใช่หรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับมิสนใจคนทั้งสองที่จากไปนั้นสักนิด เขาหยิบท่อนไม้เข้าเติมเข้าในกองไฟ


 


 


ยามนี้คนเหล่านั้นแม้จะร้องคร่ำครวญยังมิกล้า ด้วยกลัวว่าจะเรียกความสนใจจากหลัวเทียนเฉิงขึ้นมา


 


 


ทว่าผ่านไปไม่นาน คนทั้งสองที่เพิ่งจากไปก็กลับมา ทั้งร่างดูมอมแมมยิ่งทั้งยังหายใจหอบไม่หยุด


 


 


บุรุษผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นมองข้ามกลุ่มคนใกล้ตายเหล่านั้นแล้วเอ่ยกับหลัวเทียนเฉิงว่า “มีหมาป่า!”


 


 


คนอีกผู้หนึ่งจึงกล่าวเสริมขึ้นว่า “ฝูงหมาป่า!”


 


 


เสียงแคร่กดังขึ้น ท่อนไม้หักออก หลัวเทียนเฉิงมองคนทั้งสองคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ดังนั้นพวกจึงกลับมางั้นหรือ?”


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตาร้อนใจทนแทบร้องไห้ออกมา “ขออภัยด้วย แต่นี่มิใช่เรื่องสำคัญในยามนี้ ประเดี๋ยวฝูงหมาป่าก็ตามมาทันแล้ว…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืนมองลอดหน้าต่างที่ผุพังของวัดร้างนี้ออกไปด้านนอก ก็เห็นว่าห่างออกไปราวสิบจั่งมีแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งขยับเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จึงเริ่มเห็นชัดขึ้นว่ามันคือสัตว์เดรัจฉานชนิดหนึ่ง


 


 


เขาอุ้มเจินเมี่ยวขึ้นโดยไม่แม้จะอธิบายอันใด แล้วร้องขึ้นว่า “อาหู่ ตามมา!”


 


 


พวกเขาถึงกลับพุ่งออกไปทันที


 


 


บุรุษใบหน้าดุจตุ๊กตาหันไปสบตากับสหายร่วมเดินทาง


 


 


บุรุษผู้นี้ช่างเ**้ยมเกินไปแล้ว ตนเองพุ่งเข้าไปต่อสู้กับฝูงหมาป่าไม่พอ แต่ยังเอาภรรยาและน้องชายไปด้วย?


 


 


บุรุษผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตารู้สึกผิดขึ้นมา “พวกเราก็ออกไปช่วยด้วยเถิด”


 


 


คนอีกผู้หนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


คนทั้งสองต่างเตรียมพร้อมจิตใจแล้วเดินออกไปหน้าประตูวัดก็เห็นฝูงหมาป่าใกล้เข้ามาแล้ว นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายสว่างวาบจ้องมองมาที่พวกเขา ดุจดวงไฟวิญญาณก็มิปาน


 


 


คนทั้งสองตัวสั่นงันงก แล้วเดินถอยหลังไปพร้อมกัน


 


 


แล้วคนทั้งสามนั้นเล่า?


 


 


เสียงต้นไม้สั่นดังขึ้นคราหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่นวลกระจ่างจึงสามารถมองเห็นต้นไม้แห้งหน้าวัดมีคนสามคนเบียดกันอยู่


 


 


คนทั้งสองมองฝูงหมาป่าอย่างขลาดๆ แล้วหันสบตากัน แล้วสบถออกมาพร้อมกัน


 


 


มารดามันเถอะ! ความจริงคือผู้อื่นออกมาแย่งพื้นที่หลบภัยของตนก่อนต่างหากเล่า!


 


 


ยามนี้มิอาจคิดอันใดให้มาก ภายใต้การคุกคามของฝูงหมาป่าเหล่านี้ คนทั้งสองจึงต้องแสดงฝีมือที่มิเคยปรากฏขึ้นมาก่อนออกมาด้วยการปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว


 


 


เพียงแต่ต้นไม้ต้นนั้นเล็กบางไปสักหน่อย บุรุษสองคนขึ้นไปอยู่จึงทำให้ต้นไม้สั่นโงนเงนอย่างแรง ทุกคราที่มันเอนเอียง เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นบนหน้าผากคนทั้งสองมากขึ้นทุกที


 


 


หากตกลงไปคงตกลงกลางฝูงหมาป่าพอดีเป็นแน่


 


 


เมื่อมองไปยังต้นไม้แห้งที่คนทั้งสองมิอาจขึ้นไปซ่อนตัวได้ ต่างก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา


 


 


ช่างเป็นดั่งสัจธรรมที่กล่าวไว้ว่า ไม่ว่าคนหรือเดรัจฉานล้วนเต็มไปด้วยความชั่วร้าย!


 


 


แม้นหมาป่าจะปีนต้นไม้ไม่ได้ แต่กรงเล็บมันคมยิ่ง หากพวกมันใช้กรงเล็บข่วนพร้อมกัน คาดว่าไม่นานต้นไม้ก็คงล้มลงแน่ คนทั้งสองต่างอกสั่นขวัญแขวนก็เห็นฝูงหมาป่าวิ่งเข้าไปในวัดร้าง


 


 


หืม??


 


 


“กลิ่นคาวเลือด” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


 


บุรุษใบหน้าดุจตุ๊กตาและสหายอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงเข้าใจในทันที


 


 


สวรรค์ กล่าวเช่นนี้ คนเหล่านั้นที่อยู่ในวัด…


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องอันน่าสงสารก็ดังขึ้นจากข้างใน


 


 


หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปปิดหูเจินเมี่ยวไว้


 


 


เจินเมี่ยวหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว


 


 


ถูกฆ่าตายกับถูกสัตว์ป่ากัดตาย แม้จะมีจุดจบที่เหมือนกัน แต่ขั้นตอนกลับมิใคร่เหมือนกันเท่าใด


 


 


หากคิดให้ถี่ถ้วนก็รู้สึกหนังศีรษะชาวาบไปหมด หากจะเข้าไปช่วยคนเหล่านั้น นางก็มิได้สูงส่งปานนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเบิกบานขึ้นจึงเลิกคิดไปเสีย แล้วซบลงในอกหลัวเทียนเฉิงหาที่สบายๆ หลับไปเสีย


 


 


รอกระทั่งฟ้าใกล้สางฝูงหมาป่าจึงจากไป หลัวเทียนเฉิงอุ้มเจินเมี่ยวกระโดดลงมาจากต้นไม้ เมื่อยืนมองเข้าไปอยู่หน้าประตูวัด ใจในกลับเกิดความแปลกใจขึ้นมา


 


 


เขาช่างโชคดีนัก กำลังคิดว่าจะอำพรางร่องรอยฆาตกรรมนี้เช่นไรอยู่พอดี ฝูงหมาป่านี้กลับเข้ามากัดแทะกระทั่งบิดามารดาล้วนจำไม่ได้แล้ว


210

หลัวเทียนเฉิงกันเจินเมี่ยวไว้ด้านหลัง มิให้นางมองเห็น แต่หลังจากอาหู่ได้เห็นก็วิ่งไปอาเจียนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลังจากนั้นก็วิ่งซวนเซกลับมาแล้วเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “น่าเสียดายยิ่ง”


 


 


บุรุษผู้มีใบหน้าตุ๊กตากับสหายของเขาสบตากัน


 


 


อย่างไรก็อายุยังน้อย จึงยังใจไม่แข็งพอ แต่กลับเห็นอาหู่เอ่ยถามเจินเมี่ยวอย่างระมัดระวังว่า “พี่สาว วันนี้ยังมีแผ่นแป้งไส้เนื้อให้กินอีกหรือไม่? เมื่อครู่ข้าอาเจียนออกไปหมดแล้ว น่าเสียดายยิ่ง…”


 


 


มารดามันเถอะ!


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตานั้นกับสหายของเขาลอบกล้ำกลืนโลหิตลงคอไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินขึ้นหน้าเข้ามาหนึ่งก้าว คนทั้งสองกำลังกังวลอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเดินถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วฝืนยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “แหะๆ พี่ชาย เราสองพี่น้องมีเรื่องด่วน ขอตัวไปก่อน”


 


 


แม้นจะกล่าวเช่นนี้จริงแต่กลับมิกล้าหมุนกายจากไป ทำเพียงถอยหลังไปอีกเท่านั้น


 


 


ผู้ใดจะทราบว่าคนผู้นี้จะไม่ลงมือสังหารเขาทันทีที่หันหลังให้ หมาป่ามา เขากล้ายังอุ้มภรรยากระโดดขึ้นต้นไม้โดยไม่บอกกล่าวสักคำ


 


 


“เดี๋ยวก่อน” หลัวเทียนเฉิงร้องเรียกคำหนึ่ง


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตาหน้าขรึมลงทันที “พี่ชาย การสังหารให้หมดนั้นมิเกินไปหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป แล้วลูบใต้คางตน “อืม ผู้น้อยเพียงแค่จะถามทางเท่านั้น”


 


 


“ถามทาง?” ในเวลากะทันหันเช่นนี้บุรุษใบหน้าตุ๊กตาจึงยังมิทันเข้าใจความหมาย


 


 


ทว่าบุรุษอีกคนที่ดูจะอายุมากกว่าสักหน่อยกลับมีสีหน้าระแวดระวัง เห็นชัดว่าไม่เชื่อว่าที่ดาวสังหารผู้นี้มิยอมให้พวกเขาไปมิใช่แค่เพื่อจะถามทาง


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าพวกเขาคงติดภาพหลัวเทียนเฉิงอันโหดเ**้ยมเข้าไปถึงเบื้องลึกจิตใจแล้ว จึงเกรงว่าคนทั้งสองจะตึงเครียดจนมิเอ่ยบอกทาง นางเม้มริมฝีปากเอ่ยพลางยิ้มว่า “พวกเราอยากจะถามทางจริงๆ คิดว่าพี่ชายทั้งสองท่านคงดูออกว่าพวกเราเพิ่งออกมาจากหุบเขา ยังมิเคยเห็นโลกภายนอก…”


 


 


พวกเราดูไม่ออกจริงๆ นั้นแล!


 


 


คนทั้งสองกู่ร้องตะโกนอยู่ในใจอ่างบ้าคลั่ง


 


 


“เมื่องเสี้ยนที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นไปทางใดหรือ?” หลัวเทียนเฉิงคร้านจะเสียเวลาอีกแล้ว


 


 


ในวัดร้างแห่งนี้ยังมีศพพิการอยู่อีกนับสิบศพ ที่นี่มิใช่ที่ควรอยู่นานนัก


 


 


“เดินตรงไปตามถนนหน้าประตูวัดไป เมื่อพบทางแยกก็เลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว” ผู้ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยจบก็มองหลัวเทียนเฉิง “หากไม่มีเรื่องใดแล้ว เช่นนั้นเราขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอันใด คนทั้งสองจึงเดินจูงม้าไป ในใจก็ลอบยินดีที่กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นนั้นดึงดูดความสนใจของฝูงหมาป่าไปจนหมดสิ้น ม้าสองตัวนี้จึงมีชีวิตรอดมาได้


 


 


ครั้นเห็นทั้งสองพลิกตัวขึ้นหลังม้า หลัวเทียนเฉิงพลันนึกอันใดขึ้นมาได้จึงรีบร้องเรียกไว้ว่า “รออีกเดี๋ยว!”


 


 


คนทั้งสองพลันนิ่งขึงไป แล้วล้วงมือยังตำแหน่งที่เก็บอาวุธลับ ค่อยหมุนกายกลับมาด้วยสีหน้าย่ำแย่


 


 


เป็นคนอย่างได้ทำอันใดเกินไป คิดฆ่าคนปิดปากก็ยังพอว่า แต่เขาถึงหลอกถามเอาประโยชน์แล้ว จึงค่อยฆ่าปิดปาก ต่อให้พวกเขาอ่อนแอเพียงใดก็รู้จักที่จะตอบโต้เช่นกัน!


 


 


คนทั้งสองหมุนกายกลับไปด้วยท่าทีองอาจแต่กลับเห็นบุรุษรูปงามนั้นยื่นมือออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ในมือมีเงินวางอยู่


 


 


“พี่ชายทั้งสอง ภรรยาข้าร่างกายอ่อนแอ มิอาจเดินไกลเช่นนี้ได้ มิทราบพอจะสละม้าให้สักตัวได้หรือไม่?”


 


 


คนทั้งสองมองเจินเมี่ยวผู้มีร่างกายอ่อนแอคราหนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก


 


 


หลังจากนั้นผู้ที่ดูมีอายุมากกว่าสักหน่อยก็วางเชือกใส่มือหลัวเทียนเฉิงอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดขึ้นม้าอีกตัวโดยไม่หยิบเอาแม้กระทั่งเงิน


 


 


บุรุษผู้มีใบหน้าตุ๊กตากระโดดตามขึ้นไป คนทั้งสองยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพ แล้วจากไปโดยมิเอ่ยอันใดเพียงคำ


 


 


เจินเมี่ยวยืนเบิกตาอ้าปากค้าง “มิเอาเงินไป ให้เราเฉยๆ งั้นหรือ?”


 


 


“คงมิขาดเงินกระมัง” หลัวเทียนเฉิงเก็บเงินไว้แล้วอุ้มเจินเมี่ยวขึ้นม้า


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง


 


 


นางสามารถขึ้นขี่ม้าเองได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ มิจำเป็นต้องอุ้มนางก็ได้ เหตุใดอาศัยอยู่บ้านอาหู่แค่เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น คนผู้นี้กลับมีท่าทีชิดใกล้กับนางมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


หลัวเทียนเฉิงจูงม้าเดินไปสองก้าวก็หยุด “อาหู่ เจ้าจูงม้าเดินไปก่อน ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ”


 


 


อาหู่เป็นเด็กหนุ่มแสนซื่อ เขาจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าเขาคงต้องการจัดการกับอารมณ์กำดัดบางอย่างของตน จึงมิได้ถามอันใดให้มากความ


 


 


หลัวเทียนเฉิงเก็บสายตาตนแล้วหมุนกายเดินเข้าไปในวัดร้าง


 


 


ด้านหลังพระพุทธรูปที่ล้มลงมาภายในวัดร้างมีแผ่นหินพิงแอบกับพระพุทธรูปนั้นอยู่เกิดเป็นช่องเล็กแคบๆ


 


 


แผ่นหินนั้นกระเพื่อมไหว แล้วค่อยๆ ขยับเคลื่อนออก คนผู้หนึ่งพยายามเบียดตัวออกมาอย่างยากลำบาก แล้วนั่งลงบนพื้นหายใจหอบด้วยความเหนื่อย


 


 


สายตากวาดมองไปยังภาพคนนอนเกลื่อนกลาดดุจอยู่ในนรกก็ตัวสั่นขึ้นมา นัยน์ตาแดงก่ำ เขากัดฟันเอ่ยว่า “เหล่าพี่น้อง ข้าหูซานจักต้องแก้แค้นแทนพวกเจ้าแน่ รอให้กลับไปพบนายท่านสกุลตงก่อนเถิด ข้าจักออกค้นหาตัวคนทั้งสามนั้นออกมาให้ได้ แล้วสับพวกเขาเป็นพันชิ้น!”


 


 


“แค่กๆ” เสียงไออันแจ่มชัดลอยมา


 


 


คนผู้นั้นพลันหันกลับไปมองตรงหน้าประตู


 


 


ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว เสียงวิหคยามสารทต่างแผ่วต่ำ อาภรณ์ของบุรุษปลิวไสวดั่งต้นไผ่ต้อนรับสายลม เขายืนอย่างสง่าอยู่หน้าประตู งดงามดุจภาพฝัน


 


 


แต่คนผู้นั้นกลับตกใจยิ่ง เขาถอยหลังติดกันหลายก้าวดุจเห็นผี 


 


 


เกิดอันใดขึ้น?


 


 


มิใช่ว่าหลีกหนีจากภยันตรายแล้วควรได้รับความสุขในบั้นปลายหรือ เขาควรเปิดปฐมบทแห่งการแก้แค้นอันดุเดือดมิใช่หรือ?


 


 


แล้วเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงย้อนกลับมาได้?


 


 


บุรุษหนุ่มผลิยิ้มบางเบา “ขออภัย ก่อนหน้านี้ข้ากลัวภรรยาตกใจกลัวจึงมิกล้าตรวจสอบให้              ละเอียด ตอนนี้ข้ากลับมาอุดรอยรั่วแล้ว”


 


 


คนผู้นั้น “…”


 


 


ไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็ตามไปจนทัน


 


 


มีมาขี่แล้ว เจินเมี่ยวจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก หลัวเทียนเฉิงกับอาหู่นั้น ผู้หนึ่งมีวรยุทธเก่งกาจ ผู้หนึ่งร่างกายบึกบึน การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมากจึงถึงประตูเมืองก่อนที่ประตูจะปิดพอดี เมื่อให้เงินสักเล็กน้อยก็สามารถเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น


 


 


สารทฤดูกำลังจะผ่านไป ฟ้าจึงมืดเร็วยิ่ง สองข้างทางของเมืองเล็กๆ นี้เต็มไปด้วยต้นไม้แน่นหนา แต่เงียบอย่างยิ่ง บ้านเรือนแต่ละหลังต่างจุดโคมไฟ แสงไฟทะลุหน้าต่างกระดาษส่องสว่างขึ้นในยามราตรีนี้ แม้นมิได้คึกคักอึกทึกเช่นเมืองหลวงแต่กลับให้ความรู้สึกสุขสงบอย่างยากจะพบเห็นชนิดหนึ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้ว


 


 


เมืองเล็กๆ เช่นนี้ การที่มีคนภายนอกเข้ามาคงเด่นสะดุดตาไม่น้อย


 


 


ทว่านี้เป็นเรื่องที่ทำอันใดมิได้จริงๆ ตระกูลที่มารดาอาหู่เอ่ยถึงก็อยู่ในเมืองนี้ อย่างไรก็ต้องไปตรวจสอบสักหน่อย


 


 


อีกอย่าง ยามนี้ก็มิได้มีอันน่ากลัว พวกที่ซ่อนคอยหาโอกาสลงมือต่อเขาแม้นจะมีมากก็แยกกระจายกันไปยังที่ต่างๆ เพื่อตามหาพวกเขา หากต้องเผชิญหน้าก็คงมีไม่กี่คน ถึงตอนนั้นผู้ใดจัดการผู้ใดก็เป็นเรื่องที่มิอาจสรุปได้


 


 


ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเร็วอย่างยิ่ง ครู่เดียวฝนก็ค่อยๆ เทลงมาพร้อมกับสายลมที่พัดปะทะร่าง ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน


 


 


เจินเมี่ยวกระชับคอเสื้อให้แน่นขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยิบเสื้ออีกตัวออกมาจากห่อสัมภาระเพื่อคลุมให้นาง เขาเอ่ยถามคนผ่านทางผู้หนึ่งจึงหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งจนเจอ


 


 


เสี่ยวเอ้อร์มองคนทั้งสามด้วยความลำบากใจ “คุณชาย ตอนนี้มีเพียงห้องเดียว ท่าน…”


 


 


ในใจรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดระยะนี้กิจการถึงได้ดีขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?


 


 


“ห้องเดียว?” หลัวเทียนเฉิงมองอาหู่คราหนึ่งอย่างไม่พอใจ


 


 


การพาเด็กหนุ่มผู้นี้มาด้วยนั้นยุ่งยากอย่างที่คิดจริงๆ


 


 


อาหู่มีสีหน้าอย่างผู้ไร้ความผิด “พี่เขย เช่นนั้นข้าปูผ้านอนพื้นก็ได้ ข้าไม่กลัวหนาว”


 


 


‘แคร่ก’ สติปัญญาของใครบางคนขาดผึงลง แล้วกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกร๊อบๆ


 


 


เจ้าเด็กบ้านี่ คิดจะนอนในห้องเดียวกันกับภรรยาเขางั้นหรือ?


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้มิได้ฉลาดตาไวอันใด เมื่อคิดว่าพอจะมีผ้าห่มอยู่จึงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าน้อยจะยกผ้าปูพื้นและผ้าห่มไปให้ แต่คงต้องเพิ่มเงินด้วยขอรับ”


 


 


อาหู่ไม่พอใจขึ้นมา “อันใดกัน อยู่ในห้องเดียวกันแท้ๆ แค่ผ้าห่มยังต้องเพิ่มเงินอีกหรือ? ไม่ได้!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหน้าดำคล้ำไปหมด แล้วตะโกนใส่อาหู่ว่า “นี่มิใช่เรื่องสำคัญ!”


 


 


แล้วหันไปมองเสี่ยวเอ้อร์อย่างเย็นเยือก “เจ้าบอกว่าให้เราสามคนพักห้องเดียวกันหรือ?”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์สะดุ้งตกใจขึ้นมา แต่ยังรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “น้องชายผู้นี้มิใช่น้องชายของภรรยาท่านหรอกหรือ ตอนนี้เราเหลือเพียงห้องเดียวแล้ว จึงมิอาจมากพิธีรีตองอันใดได้ เรียนท่านตามตรงว่า ตอนนี้แม้แต่คอกม้ายังเต็มขอรับ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงถลึงมองอาหู่ด้วยสายตาดุร้าย


 


 


ดีเหลือเกิน เขาคิดแล้วเชียวว่าเหตุใดเจ้าหนุ่มนี้ถึงได้เรียกเจินเมี่ยวว่าพี่สาวตลอดเวลา ทั้งยังเรียกเขาว่าพี่เขยอีก!


 


 


อาหู่เห็นหลัวเทียนเฉิงถลึงตาใส่ก็ยิ้มขลาดๆ แล้วเกาศีรษะตน “พี่เขย ข้ามิถือสาจริงๆ เรื่องนอนบนพื้น หากท่านกลัวสิ้นเปลืองเงินทอง เช่นนี้ผ้าห่มหมอนข้าไม่ใช้ก็ได้”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกำลังคิดจะชกหน้าเสี่ยวเอ้อร์หรือไม่ก็อาหู่สักครากลับได้ยินเสียงประตูใหญ่ด้านหลังดังขึ้น


 


 


เสียงใหญ่ดังกังวานเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเอ้อร์ เตรียมห้องให้ข้าห้าห้อง”


 


 


ผู้คนได้ยินก็หันไปมองจึงเห็นคนหกเจ็ดคนเดินตามบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามา


 


 


บุรุษหนุ่มผู้นั้นสวมชุดแพรไหมทั้งตัว หน้าตาคมคาย เพียงแต่แววตานั้นมีความดื้อรั้นอยู่หลายส่วน


 


 


“ได้ยินหรือไม่?” ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างบุรุษหนุ่มผู้นั้นถลึงตาให้เสี่ยวเอ้อร์


 


 


“เหลือ เหลือเพียงห้องเดียวขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยติดขัดเล็กน้อย


 


 


“ห้องชั้นดีหนึ่งห้อง?” บุรุษหนุ่มเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงฟังอยู่อ่อนโยน “ห้องเดียวก็ได้”


 


 


เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อร์อึ้งงันไม่ขยับเคลื่อนไหว ชายร่างใหญ่จึงเอ่ยว่า “ได้ยินหรือไม่ เตรียมห้องชั้นหนึ่งให้คุณชายเราก่อน แล้วค่อยเตรียมห้องธรรมดาสี่ห้องให้พวกเรา จำไว้ว่าจักต้องเปลี่ยนเครื่องนอนใหม่ทั้งหมด!”


 


 


“มิใช่ มิใช่ห้องชั้นหนึ่งแต่เหลือเพียงห้องธรรมดาห้องหนึ่งขอรับ”


 


 


“อันใดกัน!” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังบุรุษหนุ่มหน้าเครียดขึ้นมาทันใด


 


 


บุรุษหนุ่มขมวดคิ้ว


 


 


ชายร่างใหญ่มองสีหน้าบุรุษหนุ่มคราหนึ่งแล้วตบโต๊ะ “เรียกให้คนที่พักที่นี่ออกมาให้หมด แล้วยกห้องให้พวกเรามาสี่ห้อง!”


 


 


“เอ่อ มิอาจทำได้ขอรับ…” เสี่ยวเอ้อร์แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว


 


 


“เอาเถิด จินต้า อย่าทำให้ผู้อื่นลำบากใจเลย” บุรุษหนุ่มเอ่ยปากอย่างอดกลั้น


 


 


ชายร่างใหญ่เข้าใจความหมายของเขาแล้วจึงตบโต๊ะดังปังทำเอาโต๊ะพังเลยทีเดียว เขาตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนที่พักที่นี่จงออกมา เราต้องการห้อง!”


 


 


เจินเมี่ยวที่ถูกเบียดไปอยู่ในมุมหนึ่งมองดูอย่างสนอกสนใจ


 


 


นี้คงเป็นคุณชายเจ้าถิ่นในตำนานใช่หรือไม่? พาสุนัขรับใช้มาจริงๆ ด้วย!


 


 


ไม่นานก็มีเสียงดังมาจากบันได บุรุษร่างบึกบึนเดินลงมา จ้องมองไปโดยรอบคราหนึ่งแล้วถามว่า “จะให้สละห้องให้ผู้ใดหรือ?”


 


 


เมื่อเห็นบาดแผลบนขมับยาวไปถึงข้างแก้มของบุรุษร่างบึกบึนนั้นแล้ว จินต้าก็เกิดลังเลขึ้นมาอย่างยากจะเกิดขึ้นได้


 


 


การเห็นภัยย่อมหลบเห็นโชควิ่งเข้าใส่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ มองคราเดียวก็ทราบแล้วว่ามิควรไปแหย่เขา แม้พวกตนจะไม่กลัว แต่หากมิต้องปะทะกันได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า


 


 


เวลานี้ก็เริ่มมีคนทยอยเดินออกมาแล้ว


 


 


“ได้ยินว่ามีคนต้องการห้องหรือ?” บุรุษอ่อนวัยผู้หนึ่งยืนจับราวบันไดอยู่พร้อมส่งยิ้มมองมา


 


 


เสียงแคร่กดังขึ้น ราวบันไดถึงกับแตกหลุด


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ทั้งปวดใจและกลัวจนแทบร้องไห้ออกมาแล้ว


 


 


บุรุษอ่อนวัยสลัดไม้ในมือตนทิ้งอย่างไม่ไยดี “ยามนี้ยังจะมีผู้ใดพูดเรื่องสละห้องกับผู้น้อยอีกหรือไม่?”


 


 


จินต้าอดมองไปที่คุณชายตนมิได้


 


 


พวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ แม้นจะยโสโอหังไปบ้างแต่มิใช่คนโง่!


 


 


โรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเมืองเสี้ยนอันกันดารเช่นนี้ มีคนเช่นใดมาพักหนักหนาเล่า!


 


 


“เสี่ยวเอ้อร์ เอะอะเช่นนี้ จะมิให้คนพักผ่อนเลยหรือไร?” สตรีที่แต่งกายรัดรูปยืนเท้าเอวเอ่ยถามอยู่หน้าบันได นางสะบัดแส้ยาวในมือตนออกมาเกี่ยวเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้าหาตนแล้วค่อยๆ นั่งลง


 


 


เวลานี้เองก็มีคนอีกสองคนวิ่งตึงตังเข้ามา ผู้หนึ่งถือมีดบิน ผู้หนึ่งถือกระบองยาว


 


 


บุรุษหนุ่มเริ่มครุ่นคิด


 


 


โรงเตี๊ยมนี้เป็นจุดนัดประชุมผู้มีวรยุทธ์หรือไร?


 


 


ครั้นคนทั้งสองกวาดตามองไปโดยรอบก็ต้องร่างแข็งทื่อไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นคนคุ้นเคยจึงยิ้มออกมา


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตาทำใจกล้าเดินเข้าไปหา “พบกันอีกแล้ว แหะๆ”


 


 


“มาช้าไปเพียงก้าว เหลือห้องแค่ห้องเดียวแล้ว น้องชายช่วยสละห้องได้หรือไม่?”


 


 


“ได้” บุรุษหน้าตุ๊กตาลอบด่ามารดามันเถอะอยู่ในใจ แต่กลับรับปากด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วลากสหายตนขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว


 


 


คนอื่นๆ เห็นว่าไม่มีอันใดน่าดูแล้วจึงเดินขึ้นห้องไปเช่นกัน


 


 


หลัวเทียนเฉิงตบหลังเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังอึ้งอยู่คราหนึ่ง “เอาล่ะ ตอนนี้มีสองห้องแล้ว พาพวกเราไปเถิด”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์พาคนเดินไปด้านในอย่างมึนงง จินต้ากลับร้องขึ้นอย่างเ**้ยมเกรียมว่า “เดี๋ยวก่อน เราเป็นคนเรียกให้คนออกมาแท้ๆ พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”


 


 


“จำไว้ว่าต้องยกน้ำร้อนเข้ามาให้ด้วย ภรรยาข้าต้องการอาบน้ำ” หลัวเทียนเฉิงมิได้สนใจเขา เพียงจูงเจินเมี่ยวเดินอ้อมเศษสิ่งของที่ตกแตกพวกนั้นไป


 


 


พลันมีดาบยาวเล่มหนึ่งสกัดไว้ด้านหน้า จินต้าแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาเอ่ยว่า “น้องชายช่างไม่รู้ความเสียจริงว่าหรือไม่?”


211

หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวกลับไป คลึงหัวคิ้วแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “เจ้าเป็นพวกเห็นคนอ่อนแอต้องเข้าไปรังแกเช่นนั้นหรือ?”


 


 


จินต้ารู้สึกผิดปกติยิ่ง แขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพ แต่เหตุใดบุรุษหนุ่มธรรมดาที่มาจากหมู่บ้านในหุบเขากลับกล้าพูดจากแข็งกร้าวกับเขา ทั้งดูท่าทางแล้วก็ดูจะจัดการมิง่ายเลย


 


 


แต่อยู่ต่อหน้านายน้อยเขามิอาจอ่อนข้อยอมถอยเพียงเพราะความลังเลเล็กน้อยนี้ เช่นนั้นคงมิใช่สุนัขรับใช้ที่ชอบวางอำนาจแล้ว จินต้าจึงหัวเราะหยันเสียงดัง “หากรังแกเจ้า แล้วจะมีอันใดหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมิเอ่ยวาจาอันไร้ประโยชน์ เขาเดินขึ้นไปข้างราวบันได แล้วเหยียบลงบนท่อนราวไม้ที่แตกหักลงมานั้น แค่เขาใช้เท้าบดขยี้ ท่อนราวไม้นั้นก็กลายเป็นเศษไม้ทันที เขาเหลือบสายตาขึ้นท่ามกลางความเงียบอันประหลาดนั้นพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคิดจะรังแกอยู่หรือไม่?”


 


 


จินต้าหันไปมองบุรุษด้วยลำคอแข็งทื่อ


 


 


เห็นชัดว่าบุรุษหนุ่มนั้นพกสติปัญญามาด้วย เขาจึงกดข่มความเบื่อหน่าย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “พวกเขามิใช่เสี่ยวเอ้อร์ จะไปถามพวกเขาให้ได้อันใด?”


 


 


จินต้าเห็นด้วยยิ่ง นายน้อยฉลาดที่สุด เขาจะมายั่วบรรดาเทพสังหารเหล่านี้ไปไย แค่บีบบังคับเอาห้องกับเสี่ยวเอ้อร์ก็พอแล้ว ส่วนจะได้หรือไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องของเสี่ยวเอ้อร์แล้ว แน่นอนว่าหากไม่ได้ พวกเขาก็จักต้องคิดบัญชีกับเสี่ยวเอ้อร์แทน


 


 


จินต้าใช้สายตานับถือมองบุรุษหนุ่มคราหนึ่ง แล้วหมุนตัวหันไปถลึงตาดุร้ายให้เสี่ยวเอ้อร์ “ในเมื่อเจ้าเปิดโรงเตี๊ยมทำการค้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่ลูกค้าออกไป รีบไปจัดห้องให้เราเสีย มิเช่นนั้นพวกข้าคงต้องพังโรงเตี๊ยมเจ้าแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ


 


 


เรื่องราวนี้ไม่ใคร่ถูกต้องนัก เมื่อใดกันที่อันธพาลผู้ชอบข่มเหงรู้จักถอยทัพเล่า?


 


 


แต่ถ้าเขามิมารังแกสามีนางอีก นางก็คงมิวู่วามเข้าไปสอดแทรกเป็นแน่ นางมิคุ้นเคยกับคน กับสถานที่ ผู้ใดจะว่านี้เป็นผู้ใด


 


 


เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงก็คิดเช่นนี้เหมือนกันจึงเอ่ยเสียงเรียบกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “พาพวกเราไปห้องก่อนเถิด”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์มิกล้าล่วงเกินใครสักคนจึงได้แต่นำคนทั้งสามขึ้นบันไดไปด้วยเนื้อตัวสั่นเทา


 


 


ที่ชั้นหนึ่งนั้นจึงเหลือเพียงบุรุษหนุ่มและบ่าวผู้ติดตามเท่านั้น


 


 


จินต้าเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “นายน้อยท่านว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีอันใดแปลกประหลาดไปหรือไม่ เหตุใดโรงเตี๊ยมเล็กๆ ทว่าแต่ละคนคล้ายเป็นยอดฝีมือกันทั้งสิ้น?”


 


 


บุรุษหนุ่มก้มหน้าหมุนแหวนหยกที่อยู่ในมือตน แล้วยิ้มเย็น “มิใช่แค่ที่นี่หรอก ที่ชิงหยางก็เช่นกัน หรือเจ้าไม่รู้สึกว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามามากมาย บิดาข้าบอกว่ามีผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งหายสาบสูญ เมืองหลวงจึงส่งคนมากมายออกตามหา ทั้งมือปราบทหารในท้องที่ก็มิใช่ออกตามหาให้ขวักหรือ หากคนในยุทธภพจะมาร่วมสนุกด้วยมีอันใดแปลกเล่า หากหาตัวคนพบ เงินรางวัลที่ได้ก็พอให้พวกเจ้าใช้ไปทั้งชีวิต จะกลับไปใช้ชีวิตที่ดาบต้องเปื้อนเลือดทุกวันไปไยเล่า?”


 


 


จินต้าคลึงดวงตาคราหนึ่ง


 


 


แย่แล้ว แม้แต่นายน้อยของเขาก็เริ่มผิดปกติแล้ว เดือนที่แล้ว นายน้อยของเขายังพาเขาไปเกี้ยวแม่นางน้อยที่แผงขายหมูอยู่แท้ๆ ผู้ที่พูดจาเป็นเหตุเป็นผลตรงหน้านี้คือผู้ใดหรือ?


 


 


บุรุษหนุ่มมิได้เอ่ยอันใดอีก เดิมก็มิควรพูดอันใดกับบ่าวไพร่ให้มากอยู่แล้ว แต่ระยะนี้เขาถูกบิดากำชับไว้ว่าต้องเก็บหางตนทำตัวเป็นคนดีจึงรู้สึกอึดอัดเท่านั้น


 


 


เขามิใช่คนโง่จริงๆ เสียหน่อย ปกติแม้นจะชอบก่อเรื่อง เพราะแม้นเขาจะก่อเรื่องแต่ผู้อื่นก็มิอาจทำอันใดเขาได้ ทว่ายามนี้หากถูกคนบ้าบิ่นฟันคอเข้า เขาจะไปพูดกับผู้ใดได้เล่า


 


 


ต่อให้สุดท้ายกำจัดคนได้ แต่ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง


 


 


“อย่างไรพวกเจ้าก็ต้องหัดคิดสักหน่อย เรามาที่นี่เพื่อดูใบชาของตระกูลหู รีบทำธุระให้เสร็จแล้วรีบกลับดีกว่า อย่าได้ก่อเรื่องให้ข้าเชียว”


 


 


ทุกคนจึงยกมือขึ้นประกบกันเป็นการน้อมรับคำสั่ง


 


 


ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นจะจัดห้องอย่างไรให้บุรุษหนุ่มผู้นั้น เจินเมี่ยวก็มิได้กังวลใจแม้แต่น้อย นางอาบน้ำอย่างสบายใจ แล้วนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง


 


 


หลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วถือผ้าเข้ามาเช็ดผมให้นาง


 


 


เจินเมี่ยวยิ้ม “จิ่นหมิง คิดไม่ถึงว่างานที่สาวใช้ทำท่านก็ทำเป็นเช่นกัน”


 


 


“มันคงไม่ยากไปกว่าการฝึกยุทธ์ คัดอักษรกระมัง ไหนเลยจะทำไม่เป็น มีแต่ไม่อยากทำเท่านั้น”


 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังใจก็อุ่นร้อนขึ้นมา แล้วจึงเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง เช่นนั้นท่านเกล้ามวยผมเป็นหรือไม่?”


 


 


“ข้าคลายมวยผมเป็น” หลัวเทียนเฉิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


เจินเมี่ยวหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แล้วกลอกตาใส่เขา


 


 


เหลือเกินจริงๆ คนผู้นี้นับวันยิ่งแปลกขึ้นไปทุกที


 


 


เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศดูกระอักกระอ่วนจึงรีบเอ่ยว่า “เมืองเล็กๆ แห่งนี้ เหตุใดจึงมีผู้ฝึกยุทธ์มากนัก เรื่องนี้ดูไม่ค่อยปกติสักเท่าใดนัก”


 


 


“ช่างเถิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเรา เราไปที่จวนสกุลหูสักคราก็กลับเมืองหลวงแล้ว” หลัวเทียนเฉิงจับผมดำขลับที่อยู่ในมือเล่น


 


 


“จวนสกุลหู? จวนกั๋วกงมีญาติอยู่ที่นี่หรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบอยู่นานจึงเอ่ยว่า “คงต้องไปดูก่อนจึงจะทราบ”


 


 


เจินเมี่ยวนั่งลงแล้วเงยหน้ามองหลัวเทียนเฉิงอย่างไม่เข้าใจ


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้นาง หวีไปเรื่อยๆ กระทั่งเกือบเสร็จแล้วจึงเอ่ยว่า “ตอนที่แม่ของอาหู่พบข้าครั้งแรกนางบอกว่าจำคนผิด หลังจากนั้นข้าจึงไปสอบถามจึงรู้ว่านายท่านจวนสกุลหูนั้นหน้าตาคล้ายข้า ข้าถามถึงอายุของเขาแล้วดูใกล้เคียงกับอายุของอาสี่ที่หายตัวไปของข้าพอดี”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็มองหน้าเจินเมี่ยว เอ่ยด้วยนัยน์ตาดุจสายธารลึก “ท่านอาสี่หายสาบสูญไปหลังจากที่ไปสืบเรื่องที่ท่านปู่ตกม้า อยู่ไม่เห็นคนตายไม่เห็นศพ เรื่องนี้กลายเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของท่านย่า ขอเพียงมีเบาะแสสักน้อยนิด ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป”


 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังความลับของจวนกั๋วกงแล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านปู่ตกม้า มิใช่อุบัติเหตุหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็นคราหนึ่ง “ท่านปู่อยู่กับม้ามาทั้งชีวิต ถึงกับถูกขนานนามว่าเป็นแม่ทัพไม่พ่าย จะตกจากหลังม้าจนกลายเป็นคนสติเลอะเลือนได้หรือ เรื่องนี้ช่างน่าขำสิ้นดี!”


 


 


“เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าเราไปกันเลยเถิด”


 


 


“อืม รีบนอนเถิด” หลัวเทียนเฉิงวางผ้าเช็ดผมไว้ด้านข้างแล้วนอนลงข้างเจินเมี่ยว แต่กลับนอนไม่หลับ


 


 


หากบอกว่านายท่านสกุลหูนั้นเป็นอาสี่ของเขา เขาเองก็ยากจะเชื่อได้


 


 


หากอาสี่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่กลับไปจวนกั๋วกง แต่กลับใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอันแสนกันดารนี้มาหลายปี


 


 


เขาแค่อยากกอดความหวังหนึ่งในหมื่นไว้เพื่อความสบายใจของตนเท่านั้น


 


 


เขาคิดไปเรื่อยกระทั่งเผลอหลับไป


 


 


ราตรีดึกสงัด สายลมกลับมุดเข้ามาในช่องหน้าต่างอย่างไม่ปรานี นำความเหน็บหนาวเข้ามาสู่คนในห้อง


 


 


เจินเมี่ยวม้วนตัวมุดเข้าไปในอ้อมอกหลัวเทียนเฉิง เบียดเสียจนเขาตื่นขึ้นมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบาเดินไปยังกระโถนปลดทุกข์ พลันเหลือบไปเห็นเงาดำที่กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างพอดี  เขาจึงหยุดท่าทีปลดกางเกงนั้นทันที แล้วจ้องมองที่หน้าต่างอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


วัตถุทรงกระบอกค่อยๆ ถูกยื่นเข้ามาในช่องหน้าต่าง ควันกลุ่มหนึ่งฟุ้งขึ้นมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องเขม็ง


 


 


หรือนี่จะเป็นกำยานสยบวิญญาณที่คนกล่าวขวัญถึง


 


 


ชาติก่อนตอนที่เขานำทหารไปรบก็พบเจอเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย แต่ของที่ผู้ท่องยุทธภพทั้งหลายใช้กันเช่นนี้เขากลับยังมิเคยได้สัมผัสเลย


 


 


เขากลั้นหายใจรออย่างเงียบเชียบอยู่ไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออกเงียบๆ แล้วปิดลง เงาร่างสีดำทะมึนเดินเข้ามาภายใน


 


 


เงาดำนั้นค่อยๆ เดินไปที่เตียง จากแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทำให้มองเห็นวัตถุสีเงินที่อยู่ในมือคนผู้นั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากให้หยักโค้งขึ้น คอยจ้องมองการเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นเงียบๆ


 


 


เมื่อเข้าไปใกล้เตียงนอน คนผู้นั้นก็ยกสิ่งที่อยู่ในมือตนขึ้นสูง ทว่ากลับต้องชะงักค้างอยู่ในท่านั้น


 


 


เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงหายไปคนหนึ่ง ความรู้สึกแรกของคนทั่วไปคืองุนงง คนผู้นั้นหายไปไหนแล้ว?


 


 


คนผู้นี้ก็เช่นกัน หลัวเทียนเฉิงจึงฉวยโอกาสตอนที่คนผู้นั้นกำลังมึนงงเข้าไปปิดปากเขาไว้ มือหนึ่งก็จับแขนกดเขาลงกับพื้น แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”


 


 


คนผู้นั้นพยายามดิ้นขัดขืนแต่ก็มิอาจสลัดหลุดได้ ผ้าที่ปิดหน้าเอาไว้ปลิวไสวไปมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี เขากระชากผ้าปิดหน้าของคนผู้นั้นออก ใบหน้างามของสตรีผู้หนึ่งจึงปรากฏขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีอายุน้อยที่ใช้แส้ได้อย่างชำนาญผู้นั้น


 


 


น่าเสียดายที่มุมปากของนางมีโลหิตสีดำไหลออกมาแล้ว เห็นชัดว่านางฆ่าตัวตายไปแล้ว


 


 


“หน่วยกล้าตาย? ” หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วมุ่น  เขามิเคยสงสัยในตัวจอมยุทธเหล่านี้เลย


 


 


กล่าวไปแล้ว สตรีผู้นี้ก็มาก่อน พวกเขามาทีหลัง นางไม่มีทางที่จะรู้ก่อนแน่ แต่กลับบุกเข้ามาลงมือฆ่าคน ครั้นทำไม่สำเร็จก็ฆ่าตัวตาย


 


 


จอมยุทธทั่วไปจะเอายาพิษใส่ไว้ในปากเพื่อฆ่าตัวตายเมื่อทำภารกิจไม่สำเร็จหรือ?


 


 


หรือเป็นคนของอารอง?


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า


 


 


หากบอกว่าอารองส่งมาขัดขวางมิให้เขาเข้าเมืองหลวง เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าเขาคงไม่มียอดฝีมือมากมายเพียงนั้นกระมัง


 


 


หลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หากคิดจะดักรอให้เขาเดินเข้าไปหา แต่โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กใหญ่แถบเหอเป่ยย่อมต้องมีคนพวกนี้คอยท่าอยู่แน่ถึงได้รู้ทันทีที่พวกเขาสองสามีภรรยามาถึง


 


 


แต่หากเป็นเช่นนั้นคนที่ต้องใช้ย่อมมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย อารองคงไม่มียอดฝีมือมากถึงเพียงนั้นแน่


 


 


“จิ่นหมิง ท่านกับแม่นางใต้ร่างกำลังทำอันใดกันอยู่หรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงตกใจลุกผลุงขึ้น แล้วเอ่ยอึกๆ อักๆ ว่า “เอ่อ อาซื่อ เหตุใดเจ้าถึงตื่นขึ้นมาได้เล่า?”เจินเมี่ยวลุกขึ้นมานั่ง เมื่อนางยิ้ม ฟันขาวสะอาดนั้นจึงปรากฏขึ้นในความมืดทันที “หนาวจนต้องตื่นอย่างไรเล่า”


 


 


“เจ้ามิได้สูดกำยานสยบวิญญาณหรือ?” หลัวเทียนเฉิงหลุดปากถามไป เมื่อเอ่ยถามแล้วก็ต้องกลัดกลุ้มขึ้นมา


 


 


เหตุใดจึงรู้สึกว่าวาจานี้มีกลิ่นอายของการรนหาที่ตายเล่า?


 


 


“กำยานสยบวิญญาณ?” เจินเมี่ยวค้ำคางตนไว้ “ท่านพี่ ท่านคงต้องอธิบายอันใดสักอย่างแล้วกระมัง?”


 


 


หรือที่นางฝันว่าได้กลิ่นอันไม่น่าพิศมันนั้นจะเป็นกลิ่นของกำยานสยบวิญญาณ!


 


 


หลังจากนั้นเมื่อลืมตาก็พบสามีกำลังกดทับร่างสตรีหุ่นอวบแน่อยู่บนพื้น ความตื่นเต้นเร้าใจเช่นนี้มิได้ออกจะเกินไปหน่อยหรอกหรือ?


 


 


“อาซื่อ กำยานสยบวิญญาณนั้นสตรีผู้นี้เป็นคนทำ”


 


 


“อืม นั้นคงมิใช่เรื่องสำคัญกระมัง ที่สำคัญคือพวกท่านกำลังทำอะไรกันต่างหาก”


 


 


“เรา…” หลัวเทียนเฉิงคิดจะอธิบาย แต่กลับรู้สึกว่าเรื่องราวมิใคร่จะราบรื่นนัก รีบเดินเข้าไปหาเจินเมี่ยว เอ่ยกับนางเสียงแผ่วเบาว่า “อาซื่อ สตรีผู้นั้นเป็นหน่วยกล้าตาย นางกินยาพิษในปากฆ่าตัวตายไปแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองสตรีผู้นั้น


 


 


อืม ในห้องมืดเกินไป นางจึงเห็นเพียงหุ่นอันโค้งเว้าสวยงามนั้นก่อนอย่างอื่น


 


 


“มา” หลัวเทียนเฉิงไม่คิดปิดบังเจินเมี่ยว


 


 


ภายหน้าไม่ทราบว่าคนทั้งสองต้องเจออันตรายใดบ้าง การเลือกจะปิดบังเพื่อให้ทุกอย่างสงบลงมิใช่การปกป้องที่แท้จริง


 


 


เจินเมี่ยวขยับไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าใบหน้านางเขียวคล้ำไปหมด มุมปากมีเลือดสีดำกว่าปกติติดอยู่


 


 


“สตรีที่เจอเมื่อกลางวันมิใช่หรือ?” เจินเมี่ยวจำนางได้ แล้วจึงเอ่ยถามต่อว่า “แล้วตอนนี้จะทำเช่นใด?”


 


 


“ข้าจะเอานางกลับไปไว้ในห้องตัวเอง พรุ่งนี้เราก็จากไปแต่เช้ามืด เวลาอันรวดเร็วเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดพบความผิดปกติของสตรีผู้นี้แน่”


 


 


“อืม เช่นนั้นท่านรีบไปเถิด” เจินเมี่ยวนวดคลึงขมับตน


 


 


เรื่องนี้ช่างน่าตื่นเต้นยิ่ง เดิมนางคิดว่าจะได้เห็นละครความรักอันดูดดื่ม ทว่าพริบตากลับกลายเป็นละครสยองขวัญ?


 


 


ให้คนเตรียมใจก่อนมิได้หรือ


 


 


ขณะกำลังพร่ำบ่นในใจ ไฟด้านนอกก็พลันสว่างขึ้น เสียงหนึ่งดังลอยมา “แย่แล้ว มีคนตาย ข้าเห็นคนร้ายวิ่งเข้าไปในห้องนี้!”


 


 


เสียงฝีเท้าวิ่งสับสนอยู่นานนอกคล้ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


 


คนทั้งสองจ้องหน้ากัน แล้วเจินเมี่ยวก็ถามขึ้นว่า “ห้องนั้น คงมิใช่ห้องนี้กระมัง?”


212

เสียงฮึในลำคอดังขึ้นกลบเสียงวุ่นวายจากภายนอกจนหมด


 


 


แสงเทียนถูกจุดขึ้น เงาร่างของคนปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง หลัวเทียนเฉิงเปิดประตูออกทันที


 


 


ประตูบนชั้นสองต่างเปิดออก ผู้คนต่างทยอยเดินออกมา บางคนก็วิ่งเลยลงไปยังชั้นหนึ่ง


 


 


พลันมีคนถามขึ้นว่า “ห้องไหนหรือ?”


 


 


“ห้องนั้น…” คนที่ตอบยกมือขึ้นชี้ไปที่ห้องหลัวเทียนเฉิง


 


 


หลัวเทียนเฉิงจำได้ว่า คนเหล่านี้เป็นบ่าวที่มากับบุรุษหนุ่มผู้นั้น


 


 


เขามิได้สนใจคนเหล่านั้นแต่หันกลับไปมองบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่บนชั้นทางเดิน คิ้วเรียวหยักยกขึ้นพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่านี้หมายความเช่นไร?”


 


 


บุรุษหนุ่มผู้นั้นยังตาปรืออยู่เลย เสื้อคลุมตัวยาวที่สวมอยู่ยังมิทันผูกเสร็จด้วยซ้ำ เห็นชัดว่ากำลังหลับสนิทแต่เกิดมีเสียงเอะอะจึงรีบร้อนใส่เสื้อคลุมออกมาทั้งที่ยังงัวเงียอยู่ เขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่จึงเอ่ยตำหนิคนเหล่านั้นว่า “ดึกดื่นค่อนคืน เอะอะอันใดกัน?”


 


 


จินต้าหน้าดำคล้ำดุจก้อนดิน “นายน้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จินอู่ถูกฆ่าขอรับ!”


 


 


“อันใดกัน?” บุรุษหนุ่มพลันตื่นเต็มตาขึ้นมา แววตาสว่างวาบขึ้นในความมืดมิด “พูดให้ชัดเจนสิ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”


 


 


เวลานี้ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินว่ามีคนตายก็แทบจะขาอ่อนล้มพับไป จึงได้แต่จับเสาโรงเตี๊ยมไว้แล้วจ้องมองจินต้าเขม็ง


 


 


จินต้ารีบเอ่ยอธิบายว่า “ข้าน้อยและพวกถูกจัดให้ปูผ้านอนรวมกันในห้องโถง เมื่อครู่ข้าปวดเบาขึ้นมาจึงตื่น เมื่อรู้สึกว่ามีคนนอนทับอยู่บนขาก็จ้องมองดูพบว่าเป็นจินอู่ ตอนนั้นข้าน้อยยังด่าทอว่าเขามินอนให้เรียบร้อยทั้งยังเตะเขาไปคราหนึ่ง ผู้ใดจะทราบเขากลับตัวแข็งทื่อไม่ขยับสักนิด ข้าน้อยรู้สึกผิดปกติจึงพลิกตัวเขาขึ้นมาดูจึงเห็นรอยเลือดที่มุมปากและหมดลมไปนานแล้ว”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้จินต้าก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาภายหลัง เขาเอ่ยต่อว่า “ตอนนั้นข้าน้อยตกใจจนอึ้งไป ขณะที่กำลังตะลึงลานอยู่นั้นก็เห็นเงาดำวิ่งขึ้นชั้นสองวิ่งเข้าไปในห้องนั้น…” พูดพลางชี้ไปที่ห้องหลัวเทียนเฉิง


 


 


หลัวเทียนเฉิงขยับถอยหนึ่งก้าวเพื่อหลีกให้เปิดประตูห้อง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่างตาดีนัก เมื่อครู่บอกว่ากำลังตกตะลึงแต่กลับเห็นชัดว่าเดินเข้าไปในห้องข้า?”


 


 


โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิได้โอ่อ่าสวยงามเช่นในเมืองหลวง ห้องโถงชั้นหนึ่งมีไว้ให้คนมาดื่มกิน ด้านบนมีระเบียงทางเดินซึ่งเรียงรายไปด้วยห้องพักแขกที่เรียงติดกันนับสิบห้อง ประตูทุกห้องหน้าตาเหมือนกัน แค่เลขที่แขวนอยู่หน้าห้องจะต่างกันออกไป เมื่อเป็นเช่น คนที่ยืนอยู่ห้องโถงชัดล่างคงไม่อาจมองเลขห้องที่อยู่ด้านบนได้อย่างชัดเจนในเวลาดึกดื่นเช่นนี้แน่


 


 


จินต้าก็อึ้งงันไปเช่นกัน ใบหน้าปรากฏความมึนงงหลายส่วน


 


 


“จินต้า เจ้าพูดมาให้ชัดเจน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” บุรุษหนุ่มเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด


 


 


ข้ารับใช้แค่เพียงคนเดียวนั้นมิได้มีค่าอันใดมากมาย แต่หากมีคนคิดร้ายต่อเขาขึ้นมาย่อมมิอาจไม่ป้องกันไว้ก่อน


 


 


“ข้าน้อย ข้าน้อยเห็นว่า…” ความแน่ใจจของจินต้าในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความลังเล


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมาพลางมองไปที่เถ้าแก่ “โรงเตี๊ยมท่านเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น พรุ่งนี้ก็แค่ไปแจ้งความ ข้าขอตัวกลับห้องไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”


 


 


มิรอให้เถ้าแก่พูดอันใด จินต้าก็ถลึงตาขึ้น “ไม่ได้ ข้าเห็นว่าคนวิ่งไปทางนั้นชัดๆ มันต้องเป็นคนร้ายแน่นอน คนต้องอยู่ในห้องพวกท่านสองสามห้องนี้เป็นแน่ หากรอถึงพรุ่งนี้เช้า คนร้ายหนีไปแล้วจะทำฉันใด?”


 


 


บุรุษหลายคนที่ยืนอยู่ข้างจินต้าเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว นายน้อย เรามิอาจยอมให้จินอู่ต้องตายเปล่า”


 


 


บุรุษหนุ่มมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยกับเถ้าแก่ว่า “เถ้าแก่ ท่านก็ได้ยินชัดแล้ว เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคน เราอยากจะตรวจค้นดูสองสามห้องนี่สักหน่อย”


 


 


เกิดการฆาตกรรมขึ้นในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่นั้นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้าทันที


 


 


คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในห้องที่หลัวเทียนเฉิงพัก


 


 


หลัวเทียนเฉิงยื่นมือเข้าขวางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใด “ไม่ได้”


 


 


แม้นบุรุษจะไม่อยากมีเรื่อง แต่ก็เริ่มหงุดหงิดแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “หรือพี่ชายไม่บริสุทธิ์ใจ?”


 


 


บิดาของเขามีความสัมพันธ์อันดีกับนายอำเภอที่นี่ เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมก็ต้องไปติดต่อที่ศาลาว่าการ เขาไม่กลัวว่าคนผู้นี้จะทำอันใดเขาได้สักนิด


 


 


“ภรรยาข้ายังอยู่ในห้อง จะสะดวกให้พวกท่านเข้าไปค้นได้อย่างไร?”


 


 


“คงไม่กล้าให้ตรวจค้นกระมัง? ข้างในนั้นต้องมีอาวุธลับอยู่แน่!” ไม่ทราบว่าผู้ใดในกลุ่มแหกปากตะโกนออกมา


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตากับสหายมองหน้ากันแล้วยิ้มขืนออกมา


 


 


คนทั้งสามนี้ช่างเป็นดาวมฤตยูจริงๆ ไปที่ใดก็มีคนตายที่นั่น


 


 


เรื่องอื่นเขาไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ แม่นางน้อยอ้อนแอ้นผู้นั้นมีมีดตัดฟืนอยู่ในห่อสัมภาระ!


 


 


เมื่อมีคนช่วยสนับสนุน จินต้าและพวกพ้องก็ยิ่งลำพอง


 


 


พี่น้องเหล่านี้ของเขาล้วนฝึกเป็นผู้คุ้มกันมาด้วยกัน ความสัมพันธ์มิใช่ธรรมดา ไหนเลยจะลืมตาดูพี่น้องตนตายไปต่อหน้าได้ หากไม่กระชากตัวคนร้ายออกมาตอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยไปตามจับ บุปผาคงเ**่ยวกับข้าวคงเย็นชืดแล้วเป็นแน่


 


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังโวยวายกันอยู่นั้น เสียงประตูก็ดังขึ้น เจินเมี่ยวสวมชุดสีเขียวเปิดประตูออกมายืนอยู่หน้าประตู


 


 


ทุกคนพลันเงียบเสียงลงทันที


 


 


เจินเมี่ยวเบี่ยงตัวหลบแล้วเปิดประตูกว้างขึ้น


 


 


“ดูชัดแล้วหรือไม่ นอกจากข้าและสามี ข้าในยังมีอันใดอีกหรือไม่?”


 


 


ภายในห้องได้จุดเทียนไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดห้องออกกว้างจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน


 


 


“ไม่แน่ว่าฆาตกรอาจจะเป็นหนึ่งในพวกเจ้าสองคนก็เป็นได้ แล้วอาวุธก็…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตัดบทคนผู้นั้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไม่ว่าจะเป็นชิงทรัพย์ หรือขืนใจ เราสองคนก็คงมิลงมือกับบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งทั้งที่ไม่รู้จักหน้ากันด้วยซ้ำกระมัง” แต่กลับลอบคำนวณเวลาอยู่ในใจตน


 


 


คงใกล้ถึงยามสี่แล้วกระมัง และในเวลานี้เองเสียงฆ้องก็ดังขึ้น


 


 


มง…มง มง มง!


 


 


เสียงฆ้องดังขึ้นติดกันสามครานั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


 


หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดุจวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างแล้วก็มิปาน


 


 


“มี มีคนตาย…”


 


 


ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากัน


 


 


“ไปดูสิว่าข้างนอกเกิดเรื่องใดขึ้น!” บุรุษหนุ่มเอ่ยกำชับ


 


 


ไม่นานบุรุษสองคนที่ออกไปดูก็กลับมาด้วยสีหน้าขาวซีด


 


 


หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า “พบศพสตรีผู้หนึ่งที่หัวมุมถนนเส้นหลักขอรับ สตรีผู้นั้นเหมือนจะเป็นหญิงสาวที่ใช้แส้เมื่อวาน และนางก็พักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วยขอรับ”


 


 


“ไม่ผิด”อีกผู้หนึ่งจึงพยักหน้าหงึกหงัก “ชุดที่นางใส่ก็เป็นชุดเดียวกับเมื่อกลางวัน ตอนนั้นข้าน้อยรู้สึกว่าแปลกใหม่ยิ่งจึงได้มองดูอยู่หลายครา”


 


 


สตรีผู้นั้นสวมใส่ชุดรัดรูปทุกสัดส่วนซึ่งน้อยนักจะพบเห็นได้เช่นนี้


 


 


ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปหมด เสี่ยวเอ้อร์จึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องสตรีผู้นั้น เมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบแต่ความว่างเปล่า เมื่อดูละเอียดแล้วจึงเอ่ยรายงานถึงสภาพภายในว่า “เถ้าแก่ ไม่มีคนอยู่จริงๆ ขอรับ”


 


 


ครานี้เอง คนทั้งหมดจึงคิดเชื่อมโยงไปได้ว่าจินอู่คงถูกสตรีผู้นี้ฆ่าตาย


 


 


แต่เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก


 


 


สตรีผู้นั้นฆ่าจินอู่แล้วหนีไป แต่เหตุใดจึงตายอยู่ด้านนอกนั้นเล่า?


 


 


เมื่อราตรีอันวุ่นวายผ่านไป มีคนต้องสูญชีวิตไปถึงสองคน ย่อมต้องมีมือปราบเข้ามาตรวจสอบ


 


 


แต่ความสงสัยในตัวแขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมต่างถูกขจัดไปจนหมดสิ้น


 


 


เพราะตอนที่จินต้าร้องบอกให้จับคนร้าย คนในโรงเตี๊ยมต่างก็อยู่กันครบ ทั้งสถานที่พบศพของสตรีผู้นั้นก็ห่างจากโรงเตี๊ยมนับสิบจั้ง


 


 


ส่วนเรื่องที่สตรีผู้นั้นร่วงตกลงมาจนกระดูกแตกหัก ร่างแหลกเหลว กลับทำให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า


 


 


คดีนี้จึงกลายเป็นคดีที่มิอาจคลี่คลายได้ หลังจากนั้นก็มีเรื่องเล่ามากมายเล่าลือออกไป


 


 


แต่ที่เล่าลือกันมากที่สุดคือผู้ร้ายที่ลงมือฆ่าคนถูกวิญญาณร้ายทวงคืนชีวิต นี้แลที่เรียกว่าสวรรค์ย่อมมิปล่อยคนชั่วให้ลอยนวล แน่นอนว่านี้เป็นเรื่องเล่าหลังจากนั้น


 


 


บุรุษหนุ่มถูกมือปราบรั้งไว้เพื่อสอบปากคำทำให้เสียเวลายิ่ง สุดท้ายจึงยัดเงินให้เขาเพื่อจะได้หลุดจากคดีนี้


 


 


การตายของข้ารับใช้ผู้หนึ่งจะเทียบกับเรื่องสำคัญที่เขาต้องทำได้อย่างไร


 


 


หลัวเทียนเฉิงเจินเมี่ยวและอาหู่จากไปตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อสอบถามได้ความว่าจวนสกุลหูอยู่ทิศใต้ของเมือง หลัวเทียนเฉิงจึงจ้างรถม้าสองคันมุ่งหน้าไปยังทิศใต้


 


 


ตลอดทางนั้นเจินเมี่ยวต่างอดมองหลัวเทียนเฉิงมิได้


 


 


“อาซื่อ เจ้ามองอันใด? ข้าทำให้เจ้ากลัวใช่หรือไม่?” หลัวเทียนเฉิงยิ้มอ่อนโยน งดงาม


 


 


เสียงของเจินเมี่ยวออกจะแหบแห้งอยู่บ้าง “กลัวก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหลุบม่านตาลงต่ำ เอ่ยเยาะหยันตนว่า”ใช่ ข้าทิ้งศพสตรีผู้นั้นออกไปอย่างไร้เยื่อใย ออกจะดูโหดร้ายไปหน่อย เจ้ากลัวก็มิใช่เรื่องแปลก”


 


 


เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตน แล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “เรื่องความโหดร้ายนั้น ข้าคิดว่าพักเอาไว้ก่อนได้ แต่ท่านสามารถโยนศพของนางไปได้ไกลนับสิบจั้ง ท่านช่วยอธิบายเรื่องนี้สักหน่อยได้หรือไม่?”


 


 


เมื่อคิดถึงคืนเดือนดับ สายลมกระโชกแรง สามีของนางเปิดหน้าต่างแล้วทิ้งศพที่แข็งทื่อนั้นโยนออกไปไกลนับสิบจั้งด้วยท่าทีสุขุม ทำให้นางรู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก


 


 


ไม่มีแรงน้ำช่วยผลัก ทั้งไม่มีพลังดัชนีลมปราณ แล้วผู้ใดบอกนางได้ว่าเขาทำได้อย่างไร?


 


 


แพขนตาที่หลุบต่ำของหลัวเทียนเฉิงกะพริบไหวคราหนึ่ง วาดเป็นเส้นโค้งอันสวยงาม น้ำเสียงทุ้มต่ำกลัดกลุ้ม “อา ซื่อข้ารู้ว่าโยนออกไปไกลถึงเพียงนั้น ศพของนางย่อมแหลกเหลว เจ้าต้องคิดว่าข้ากระทำเรื่องที่โหดร้ายเกินไป”


 


 


กรอด!


 


 


เจินเมี่ยวแทบจะกัดฟันจนแตกละเอียดแล้ว


 


 


นางมิได้เอ่ยถึงปัญหาเรื่องความโหดร้ายเสียหน่อย!


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากขึ้น ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก


 


 


จะให้เขาพูดอย่างไรเล่า หลังจากที่ฟื้นคืนมา ปริมาณข้าวที่เขากินจากมื้อละหนึ่งถ้วยกลายเป็นหนึ่งหม้อ พลังที่เขามีก็มากขึ้นจนน่าอัศจรรย์ใจ


 


 


“อาซื่อ ถึงจวนสกุลหูแล้ว “


 


 


รถม้าหยุดลง อาหู่กระโดดลงจากรถม้า แหวกผ้าม่านเปิดให้ หลัวเทียนเฉิงออกมาก่อน แล้วยื่นมือให้เจินเมี่ยว


 


 


เจินเมี่ยวจับมือเขาไว้แล้วลงค่อยลงจากรถม้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นป้ายหน้าจวนเขียนไว้ว่า ‘จวนสกุลหู’


 


 


เมื่อให้เงินค่าจ้างรถม้าแล้ว คนทั้งสามก็เดินเข้าไป


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตาที่เพิ่งขี่ม้าเลี้ยวเข้ามาเห็นก็พลันกระตุกเชือกม้าขึ้น


 


 


สหายเขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดจึงหยุดเล่า ถึงจวนสกุลหูแล้วมิใช่หรือ?”


 


 


“พวกเขา…พวกเขาก็มาเช่นกันหรือ?” บุรุษใบหน้าตุ๊กตาชี้นิ้วไปข้างหน้า


 


 


สหายของเขามองไปตามทิศทางที่เขาชี้ คราแรกคือความตกใจ แล้วค่อยเอ่ยว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ มาก็มาสิ พวกเขามาแล้วเราก็จะไม่เข้าไปงั้นหรือ”


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตาน้ำตาไหลนองหน้า “เราไม่เข้าไปแล้วได้หรือไม่?”


 


 


สหายเขาจึงเอ่ยเตือนสติว่า “ที่นี่ไม่ใช่ป่าเขาลำเนาไพร เราจะกลัวเขาทำตัวส่งเดชไปไย? อีกอย่าง จากที่ข้าดู เรื่องที่เกิดขึ้นในวัดร้างนั้นเป็นเพราะคนพวกนั้นมีใจคิดร้ายก่อน แม้นเขาจะดูโหดเ**้ยมไม่น้อย แต่ก็มิใช่คนชั่วช้าอย่างที่สุดอันใดเทือกนั้น”


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “ตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมข้าเห็นคนผู้นั้นทิ้งของบางอย่างลงไปนอกหน้าต่าง”


 


 


“ทิ้งของบางอย่าง? แม้นการทิ้งสิ่งของส่งเดชจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่มันก็แค่บอกว่าเขาได้รับการสั่งสอนมาไม่มากพอเท่านั้น…”


 


 


บุรุษใบหน้าตุ๊กตามองสหายด้วยสายตาเจ็บปวด แล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “โยนออกไปไกลนับสิบจั้ง…”


 


 


“ไกลนับสิบจั้ง? เช่นนั้นเขาก็เพียงแค่โยนทิ้งไปไกลหน่อยเท่านั้นเอง…” สหายของเขาพลันหยุดชะงัก


 


 


ไกลนับสิบจั้ง? ศพสตรีที่ร่างแหลกเละดุจเนื้อโคลนนั้นหรือ?


 


 


ร่างเขาซวนเซเล็กน้อยจนเกือบตกจากหลังม้า เอ่ยด้วยนัยน์ตาคลอน้ำตาอุ่นว่า “สหาย โลกนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน พวกเรากลับบ้านเถิด”


 


 


ลมหนาวพัดกระโชกมาโดยแรง คุณชายสามมองคนกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าอย่างกะทันหันอย่างสุขุมยิ่ง


 


 


คนพวกนี้มิเอ่ยสิ่งใดแม้เพียงคำ แต่กลับพุ่งเข้ามาหาโลงศพนั้นทันที


 


 


แต่พวกเขายังมิทันได้เข้าใกล้ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งกระโจนเข้ามาต่อสู้ขัดขวางพวกเขาไว้


 


 


คุณชายสามโบกมือเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ให้พวกเขาสู้กันไปเถิด เราล่วงหน้าไปก่อน”


 


 


เขาก็ไม่ทราบว่านี้เป็นกลุ่มที่เท่าใดแล้ว


 


 


แรกเริ่มเขายังทุ่มเทขัดขวางต่อสู้ แต่ผ่านไปไม่นานก็มีคนกลุ่มใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ฆ่าฟันกันครานี้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยอีก เดินๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้ทำให้การเดินทางช้าลงไปบ้างแต่ก็ใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกทีแล้ว


 


 


กระทั่งตอนนี้เขาก็คร้านจะใส่ใจแล้วว่าคนกลุ่มใดเข้ามาชิงโลงศพ คนกลุ่มใดเข้ามาหยุดยั้งการชิงโลงศพ


 


 


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องนำศพของพี่ใหญ่กลับเมืองหลวงให้จงได้


213

ยอดหญ้าพัดไหว ใบไม้เหลืองกองพะเนิน เวลานี้เมื่อปีก่อน ดอกเบญจมาศกำลังผลิบาน กลิ่นสุราหมักหอมฟุ้ง ทุกปีงานเลี้ยงฉลองต่างๆ มักจัดขึ้นในช่วงนี้แต่ปีนี้เมืองหลวงกลับเงียบเหงาเป็นพิเศษ


 


 


ตั้งแต่จักรพรรดิเสด็จกลับจากเป่ยเหอ พระอารมณ์ก็มิใคร่จะดีนัก เหล่าขุนนางที่เจ้าเล่ห์ปานจิ้งจอกต่างพร้อมใจกันสงบปากสงบคำ อยู่อย่างระมัดระวังภายในจวนตน


 


 


ซูหยาไท่จื่อเฟยกลับรีบร้อนกลับตระกูลมารดา


 


 


วันนี้ฟ้าครึ้มอยู่ตลอด ครั้นนางลงจากรถม้าลมก็พัดหอมเอาปรอยฝนผ่านมา นางกำนัลสองคน ผู้หนึ่งคอยประคองไท่จื่อเฟย อีกผู้หนึ่งคอยกางร่มให้


 


 


เพราะเดินเร็วเกินไป สายฝนที่ดูนุ่มนวลแต่แข็งดุจเข็มนั้นตกกระทบแก้มนาง ทิ่มแทงเสียจนเจ็บแสบที่ข้างแก้ม


 


 


ไท่จื่อเฟยมิได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น รองเท้าปักลายขลิบทองของนางเปื้อนโคลนไปนานแล้ว ชายกระโปรงสีเขียวขลิบเงินก็เปียกเปื้อนในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


“ไท่จื่อเฟย ทรงเดินช้าลงอีกสักนิดเถิดเพคะ” นางกำนัลที่เอียงร่มไปกันสายฝนดุจเข็มน้ำแข็งให้นาง


 


 


ไท่จื่อเฟยผลักออกทันทีแล้วก้าวเท้าเร็วยิ่งขึ้น “ไม่ต้อง”


 


 


เมื่อถึงประตูก็ไล่นางกำนัลให้ออกไป แล้วพุ่งเข้าไปนั่งใต้ฝ่าเท้าบิดา ร่ำไห้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านช่วยไท่จื่อด้วยเถิด”


 


 


บิดาของไท่จื่อเฟย นามซูฮั่นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนาง เป็นบุคคลที่มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งยิ่ง แต่ที่ยากจะหาได้ยิ่งนั้นคือซูฮั่นอายุเพียงสี่สิบต้นๆ ภายหน้ายังมีเส้นทางอีกยาวไกลให้เดิน อย่างน้อยหลังจากที่ไท่จื่อเฟยกลายเป็นหวงโฮ่ว อำนาจในราชสำนักคงเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อใดที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว นั้นย่อมหมายความว่าได้มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว


 


 


ซูฮั่นเป็นคนฉลาด ย่อมทราบดีว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยตกมาถึงตระกูลตนได้อย่างไร


 


 


ตระกูลพระมารดาของเจาเฟิงตี้มิได้มีอำนาจมากนัก กว่าจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้นั้นต้องลำบากลำบนยิ่ง ครั้นยามเลือกหวงโฮ่วก็เลือกสตรีที่มิได้มีบรรดาศักดิ์สูงศักดิ์ทั่วไป เพราะมิต้องการให้ตระกูลหวงโฮ่วยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว


 


 


ทว่าผู้ใดจะทราบว่าหวงโฮ่วจะจากไปเร็วถึงเพียงนี้ เหลือเพียงรัชทายาทที่ยังเยาว์วัยทั้งไร้พระมารดา ครานี้เจาเฟิงตี้ก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ามากขึ้นไปอีก


 


 


หากให้แต่งกับภรรยาที่ตระกูลมีอำนาจก็กลัวว่าภายหน้ารัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วจะควบคุมพวกเขามิได้ ญาติฝ่ายภรรยามีอำนาจมากเกินไป แต่หากแต่งกับตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป ตระกูลมารดาขององค์ชายพระองค์อื่นที่มีอำนาจมากก็มีไม่น้อย รัชทายาทคงต้องลำบากแน่


 


 


ซูฮั่นอายุยังไม่มาก ทั้งมีตำแหน่งเป็นถึงรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนาง อาจมิกล้ากล่าวว่ามีลูกศิษย์ทั่วราชสำนัก แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน และที่พิเศษที่สุดคือเขามีซูหยาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว หากภายหน้าคิดจะสร้างสมอำนาจ จะทำได้ง่ายหรือในเมื่อไร้บุตรชาย?


 


 


เจาเฟิงตี้ยังมีแรงและกำลัง ในประวัติศาสตร์นั้นบรรดารัชทายาทที่อยู่ในตำแหน่งนานเกินไป สุดท้ายก็คล้ายมิได้มีอันใดเลย


 


 


แต่ตอนที่เจาเฟิงตี้เลือกบุตรสาวของเขา ซูฮั่นก็ทราบทันทีว่าเจาเฟิงตี้อยากจะปกป้องรัชทายาทผู้นี้จากใจจริง


 


 


ในเมื่อเห็นชัดในจุดนี้ เขาย่อมยินดีที่จะเข้าไปเป็นพระสสุระของแผ่นดินสักครา


 


 


แต่ผู้ใดจะคิดว่าจะมีรัชทายาทที่ทึ่มทื่อเช่นนี้เล่า!


 


 


ซูฮั่นคิดถึงความโชคร้ายของบุตรสาวแล้วก็อดเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันมิได้


 


 


หากเจ้าคิดจะดึงขาผู้อื่นก็แล้วไป ผู้ใดให้เจ้าเป็นรัชทายาทเล่า ผู้อื่นล้วนต้องเข้ามาห้อมล้อมเจ้า แต่เจ้ากับดึงขาตัวเอง เช่นนี้คงไม่ดีกระมัง?


 


 


ต่างกล่าวกันว่าเมื่อตกที่นั่งลำบากจึงเห็นความจริงใจ แต่เป็นรัชทายาทนั้นคาดว่าชั่วชีวิตคงมิเคยต้องตกอยู่ในความลำบากแม้เพียงครั้ง เพราะได้ชักนำไปไปสู่จักรพรรดิแทนแล้ว


 


 


นั้นมันเป็นถึงพยัคฆ์ จะให้จักรพรรดิร่วมต่อสู้แบกรับกับเจ้า มิใช่จะเกินไปหน่อยหรือ?


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฮั่นก็หวาดกลัวขึ้นมาในใจ


 


 


เดิมรัชทายาทก็มิใช่บุคคลที่มีความสามารถจนน่าตกใจอันใด กระทั่งกล่าวได้ว่าธรรมดาทั่วไปยิ่ง แค่มีตำแหน่งเป็นพระโอรสองค์โตเท่านั้น


 


 


องค์ชายที่มีพระชนมายุเหมาะสมแล้วหลายพระองค์ต่างยังมิถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องและย้ายออกไปนอกเมืองหลวง ทรงคิดจะเก็บไว้แทนที่หรือเพื่อฝึกฝนรัชทายาทกันแน่


 


 


พระทัยจักรพรรดินั้นล้ำลึกเกินคาดเดาจริงๆ


 


 


ซูฮั่นขบคิดอยู่เป็นนาน ยามนี้ก็ยังมิกล้ารับรองว่าเจาเฟิงตี้คิดจะทำเช่นใดกับรัชทายาท


 


 


“ท่านพ่อ…” ซูหยาเห็นซูฮั่นไม่เอ่ยอันใดเสียที จึงร้องเรียกขึ้นอีกครา


 


 


ซูฮั่นมีสติกลับมา เขามองดูบุตรสาวคราหนึ่ง


 


 


ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน บุตรสาวกลับผ่ายผอมไปมาก ใต้ตาก็มีรอยคล้ำ


 


 


สำหรับบุตรสาวคนเดียวผู้นี้ ซูฮั่นนั้นเลี้ยงดูประคองอยู่ในมืออย่างทะนุถนอมมาแต่เล็กจนโต เมื่อเห็นเช่นนี้จึงถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “หยาเอ๋อร์ เจ้าร้องไห้โวยวายเช่นนี้ ไม่เหลือเค้าของไท่จื่อเฟยแม้เพียงครึ่ง พ่อเคยสอนเจ้าให้ประพฤติตัวเช่นนี้หรือ?”


 


 


ซูหยาหยุดร้องไห้แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ท่านพ่อไม่ทราบอันใด วันนี้ไท่จื่อไปเยี่ยมพระอาการป่วย แต่กลับมิได้พบฝ่าบาทเลย แต่องค์ชายรอง องค์ชายสามกลับคอยปรนบัติอยู่ข้างพระวรกายอยู่ทุกวัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกเกรงว่า…”


 


 


เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เจาเฟิงตี้ตกใจไม่น้อย และเพราะเหตุนี้ทำให้เกิดปมในใจต่อไท่จื่อ หลังจากกลับถึงเมืองหลวง สุขภาพก็มิใคร่สู้ดีนัก ระยะนี้จึงมิได้ว่าราชการสักเท่าใด ส่วนมากก็พักผ่อนในตำหนัก


 


 


เรื่องที่รัชทายาทสูญเสียจิตใจอันดีงามนี้ ตนเองย่อมทราบดีอยู่แก่ใจ


 


 


“ช่วย จะให้พ่อช่วยอย่างไร?” ซูฮั่นถอนหายใจออกมา “นี้เป็นปมในใจของพวกเขาสองพ่อลูก คงต้องดูว่าไท่จื่อจะทำเช่นใดให้ฝ่าบาทพระทัยอ่อนได้แล้ว หากพ่อยื่นมือเข้าไปแทรกเรื่องก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก”


 


 


“เช่นนั้น เช่นนั้นไท่จื่อควรทำเช่นไรหรือ?”


 


 


ซูฮั่นรู้สึกไม่พอใจยิ่งที่รัชทายาทมิได้ดั่งใจ “ทำในสิ่งที่บุตรกตัญญูควรทำ!”


 


 


“บุตรกตัญญูควรทำอันใดหรือ?” ซูหยาเอ่ยพึมพำออกมา


 


 


ซูฮั่นพยุงนางขึ้นมา “หยาเอ๋อร์ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว ยามนี้เจ้าเป็นไท่จื่อเฟย ทุกการกระทำล้วนมีคนคอยจับจ้อง เวลานี้จักต้องห้ามทำอันใดที่ไม่เหมาะสมเด็ดขาด”


 


 


“อืม เช่นนั้นลูกกลับก่อนแล้ว”


 


 


กระทั่งซูหยาจากไป ซูฮั่นก็ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ


 


 


ไม่มีตระกูลมารดาค่อยปกป้อง สิ่งที่ไท่จื่อมีคือเกียรติและศักดิ์ของพระโอรสองค์โตและความรักอันแสนเปราะบางของบิดาเท่านั้น


 


 


สำหรับจักรพรรดิแล้วไม่มีคำว่าบิดาบุตร


 


 


หาก…หากไม่สำเร็จ…


 


 


ไม่ทราบว่าซูฮั่นคิดถึงสิ่งใดถึงเคาะนิ้วมือลงบนพนักวางแขนของเก้าอี้ไม้นั้น ท้องฟ้าอันอึมครึมยิ่งขับให้ใบหน้าเขาขมุกขมัวไม่ชัดเจน


 


 


ณ ตำหนักตงกง


 


 


นางกำนัลต่างเดินย่องอย่างเบามือเบาเท้า แต่ละก้าวล้วนมิกล้าส่งเสียงดัง กระโปรงก็มิกล้าให้ปลิวขยับ ปิ่นปักมิกล้าให้ส่ายไหว ด้วยกลัวว่าจะเกิดเสียงอันผิดแปลกจนก่อให้เกิดภัยมาถึงตัว


 


 


องค์รัชทายาทเดินเข้ามาในตำหนักโดยไม่ใส่ใจแม้จะเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อน


 


 


แววตาของรัชทายาทเป็นประกายขึ้น เขาเดินเข้ามาจับมือซูหยาไว้ “พ่อของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง?”


 


 


ซูหยาลังเลเล็กน้อย “ท่านพ่อบอกว่า ให้ท่านทำเรื่องที่บุตรกตัญญูควรทำ…”


 


 


“ทำเรื่องที่บุตรกตัญญูควรทำ?” รัชทายาทได้ยินก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาปัดถ้วยลายครามตกพื้นไป “ใจอันกตัญญูของข้านั้นน้อยกว่าน้องชายเหล่านั้นหรือ?”


 


 


ดูไม่ออกเลยจริงๆ น้องชายทั้งหลายของเขา ปกติก็แสร้งเป็นคนดีไม่มีที่ติ แต่ถึงตอนนี้กลับเผยหางออกมาแล้ว


 


 


เขายังไม่ถูกปลดเสียหน่อย!


 


 


รัชทายาทยิ่งคิดเรื่องวันนั้นแล้วก็ยิ่งมีโทสะ


 


 


เขามิได้เจตนาเสียหน่อย หากผู้ใดต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ตัวใหญ่เพียงนั้นจะเหลือสติปัญญาสักกี่ส่วนกันเชียว?


 


 


หากทราบว่าทางที่ตนวิ่งหนีไปนั้นมีเสด็จพ่ออยู่ เขาคงยอมถูกพยัคฆ์นั้นกัดเสียดีกว่า


 


 


แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเช่นกัน


 


 


หากถูกพยัคฆ์นั้นกัดเข้า ถ้าหนักหน่อยก็คงถึงกับชีวิต หากเบาหน่อยก็แขนขาขาด เรื่องตายนั้นมิต้องเอ่ยถึงดอก แต่ในประวัติศาสตร์มิเคยมีคนพิการขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์สักคน!


 


 


ถอยหนึ่งก้าวคือตาย เดินขึ้นหน้าอีกก้าวคือแพ้ หรือนี่เป็นลิขิตสวรรค์ ฉากสุดท้ายเขาต้องตายหรือ?


 


 


รัชทายาทนั่งลงทันที


 


 


“ไท่จื่อ…” ซูหยามิใส่ใจพื้นอันเละเทะนั้น นางคุกเข่าลง วางมือลงบนเข่าของรัชทายาท “ท่านอย่าคิดเช่นนั้น ในสถานการณ์เช่นนั้นท่านไหนเลยจะควบคุมอันใดได้ ฝ่าบาททรงพระปรีชา ย่อมต้องเข้าพระทัยดี เพียงแต่ยังมิอาจทำใจรับได้เท่านั้น ท่านเพียงทำอย่างที่ท่านพ่อพูดคือแสดงความจริงใจและกตัญญูต่อพระองค์ ฝ่าบาทย่อมมิตำหนิท่านแน่”


 


 


รัชทายาทฟังแล้วก็เงียบอยู่เป็นนานจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “หยาเอ๋อร์ วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ปล่อยให้ข้าได้คิดเงียบสักพักเถิด”


 


 


รัชทายาทออกจากตำหนักไปยังห้องทรงอักษรแล้วเรียกขุนนางฝ่ายตนเข้ามาพูดคุย


 


 


สถานการณ์ในจวนเจิ้นกั๋วกงก็อึมครึมไม่ต่างกัน


 


 


ชิงเกอถูกส่งกลับมาแล้ว เมื่อเห็นจื่อซู ไปเส้า และคนอื่นๆ ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่


 


 


จื่อซูสงบจิตใจก่อนจะเอ่ยถามว่า “ไม่มีข่าวของต้าไหน่ไหน่สักนิดเลยหรือ?”


 


 


ชิงเกอส่ายหน้า “ต่างค้นหาจนทั่วบริเวณนั้นแล้ว ส่วนเมืองใกล้เคียงก็ไม่มีข่าวคราวใดเลย คุณชายรองบอกว่าเราอยู่ที่นั่นก็เกะกะจึงส่งกลับมา”


 


 


“แล้วชิงไต้เล่า?” ไป๋เสาถาม


 


 


เมื่อเอ่ยถึงชิงไต้ ชิงเกอก็คลึงดวงตาดั่งคนมิได้รับความเป็นธรรม แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ชิงไต้ ชิงไต้นาง…”


 


 


“เกิดอันใดขึ้นกับนาง?” จื่อซูและคนอื่นๆ ต่างตกใจยกใหญ่


 


 


แม้นปกติชิงไต้จะมิใคร่พูดคุยกับผู้อื่น แต่ทุกคนทราบดีว่านางเป็นคนที่ซื่อจื่อมอบให้ต้าไหน่ไหน่ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดา


 


 


แม้นจะมิได้ผูกพันกันมากดั่งเช่นพวกนางที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่จื่อซูและทุกคนทราบดีแก่ใจว่า บางคราชิงไต้นั้นมีประโยชน์กว่าพวกตนมาก


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ ชิงเกอกลับทุบขาตนด้วยความหงุดหงิด “เมื่อได้ยินว่าจะส่งพวกเรากลับมา ชิงไต้นางก็หนีไป ถ้านางจะไปตามหาต้าไหน่ไหน่ เหตุใดจึงมิเรียกข้าไปด้วยเล่า!”


 


 


ทุกคนต่างรู้สึกหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้


 


 


แม้นชิงเกอจะมีพละกำลังมาก แต่นางเป็นคนซื่อๆ หากหนีออกไปคนเดียวจริง เกรงว่าแม้ถึงคนไม่ดีขายนางไป นางก็ยังคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ


 


 


“ชิงเกอ เจ้ากลับมาก่อนก็ดีแล้ว รอต้าไหน่ไหน่กลับมา เจ้าจะได้ทำอาหารขึ้นโต๊ะให้ต้าไหน่ไหน่กินอย่างไรเล่า” เยี่ยอิงเอ่ยปลอบใจ


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ทุกคนต่างก็เงียบงันขึ้นมา


 


 


เวลานี้เองอาหลวนกับเสี่ยวฉานก็เดินเข้ามาพอดี


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าอาหลวนดูไม่ค่อยดีนัก จื่อซูจึงถามว่า “อาหลวน มิใช่ออกไปซื้อยาหรือ เหตุใดจึงกลับมามือเปล่าเล่า”


 


 


เพราะความเป็นห่วงที่มีต่อเจินเมี่ยว ทำให้สาวใช้ในเรือนชิงเฟิงต่างมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานใจ อาหลวนร่างกายอ่อนแอจึงเป็นร้อนในเกิดตุ่มแดงขึ้นในลำคอ


 


 


เจ้านายเกิดเหตุไม่ทราบเป็นเช่นใดบ้าง สาวใช้ผู้หนึ่งไม่สบายย่อมมิกล้าเอ่ยบอกผู้อื่น ได้แต่เรียกเสี่ยวฉานออกไปซื้อยาเป็นเพื่อนเท่านั้น


 


 


อาหลวนเม้มริมฝีปากมิเอ่ยสิ่งใด เสี่ยวฉานกลับเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “พี่จื่อซู ช่างน่าโมโหจริงๆ ข้ากับพี่อาหลวนเพิ่งเดินออกไปถึงมุมประตูก็พบกับบ่าวผู้หนึ่ง เขาพูดวาจาไม่ดีกับพี่อาหลวน เรากลัวเขาจะเกาะติดไม่เลิกจึงรีบกลับมา”


 


 


“คนเช่นนั้นมิจำเป็นต้องไปใส่ใจ” จื่อซูเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


เสี่ยวฉานบุ้ยปาก “พี่จื่อซูไม่ทราบอันใด คนผู้นั้นยังพูดอีกว่า จะให้มารดาเขามาขอพี่อาหลวนกับฮูหยินรอง!”


 


 


ไป่หลิงโมโหขึ้นมา “ช่างไร้ยางอายนัก ถือโอกาสที่นายเราไม่อยู่มารังแกเรางั้นหรือ!”


 


 


ไป๋เสามองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไม่มีเจ้านาย พวกเราจะนับเป็นอันใดได้?”


 


 


เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไปคนทั้งหลายต่างก็เงียบงันไปทันที


 


 


อาหลวนหน้าตางดงาม โดดเด่นยิ่ง ในจวนกั๋วกงแห่งนี้มีคนจดจ้องนางอยู่ไม่รู้เท่าใด แต่เพราะนางเป็นสาวใช้ของเจินเมี่ยวจึงทำให้ไม่มีใครกล้าทำอันใด


 


 


เมื่อเจ้านายพวกนางเกิดเหตุขึ้น อย่าว่าแต่อาหลวนเลย คนอื่นๆ ก็มิทราบจะมีจุดจบที่ดีอันใดได้?


 


 


อาหลวนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ทุกคนมิต้องเป็นกังวลแทนข้า เวลาเช่นนี้แม้นเขาอยากจะยื่นมือเข้าแทรก ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่มีรับปากแน่”


 


 


“แต่ถ้าต่อไปเล่า…”


 


 


“ต่อไปหรือ?” อาหลวนแค่นยิ้มเย็น “ต้าไหน่ไหน่กลับมา พวกเขายังจะมีคำว่าต่อไปอีกหรือ? หากต้าไหน่ไหน่…ข้าก็จะโกนผมเป็นแม่ชีเสีย เช่นนั้นคำว่าต่อไปก็คงไม่มีแล้ว!”


214

“ที่เป่ยเหอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” องค์ชายหกกลับถึงตำหนักก็ถอดเสื้อคลุมออก ยกข้าร้อนขึ้นดื่ม


 


 


เป็นองค์ชายมิอาจทำตัวสนิทกับขุนนางได้ ในอดีตหลัวเทียนเฉิงเป็นเพียงองครักษ์ยังพอทำเนา แต่ยามนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ยิ่งมิอาจไม่หลบเลี่ยง


 


 


แต่องค์ชายหกรู้สึกนับถือในตัวหลัวเทียนเฉิงยิ่ง โดยเฉพาะวันที่ได้เห็นเขาต่อสู้กับพยัคฆ์ร้ายนั้น และการกระทำที่ทำให้คนในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยอมรับนับถือเขาหลังจากได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการนั้นอีกยิ่งทำให้กู่หมิงที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเช่นเดียวกับเขาดูธรรมดาไปเลยทีเดียว เขานับเป็นบุคคลผู้มีความสามารถอย่างยากจะพบเห็นได้


 


 


แม่ทัพที่เก่งกาจนั้นหายากยิ่ง โดยเฉพาะแม่ทัพที่เก่งกาจทั้งยังหนุ่มแน่น


 


 


องค์ชายหกยิ้มหยันให้แก่ตน


 


 


บุคคลที่มีอำนาจบารมีมากล้ำเหล่านั้น จะมีผู้ใดให้ความสำคัญกับองค์ชายที่ไร้อำนาจเช่นเขาเล่า?


 


 


แต่หลัวเทียนเฉิงที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์อยู่ในวังกลับคอยเตือนเขาอย่างคล้ายมีเจตนาคล้ายไม่เจตนาอยู่คราสองคราทำให้งานของเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ดี


 


 


“ศพของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงน่าจะมาถึงเมืองหลวงไม่เกินสามวันนี้พ่ะย่ะค่ะ” คนของเขาเอ่ยรายงาน


 


 


“ตลอดทางนั้นคงคึกคักไม่เบากระมัง?”


 


 


คนของเขาอึ้งงันไปแล้วพยักหน้า “คล้ายว่ามีหลายฝ่ายยื่นมือเข้ามาสอดแทรก มิเช่นนั้นศพคงถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์ชายหกวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก มุมปากเคลือบรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรจะเข้าร่วมสนุกด้วยสักหน่อย”


 


 


“องค์ชาย จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนของเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ


 


 


เรื่องนี้ผู้ใดจะยื่นมือเข้าแทรกล้วนกระทำได้ แต่องค์ชายไม่ควรอย่างยิ่ง หากจักรพรรดิทราบเข้า คงแย่เป็นแน่


 


 


“บอกให้เจ้าไปก็ไป จะพูดอันใดให้มากความ แค่อย่าทิ้งร่องรอยไว้ก็พอ อย่างไรก็ห้ามให้ศพนั้นเข้ามาในเมืองหลวงได้”


 


 


คนผู้หนึ่งที่สามารถต่อกรกับพยัคฆ์ร้ายได้ จะตายเพียงเพราะม้าตกใจวิ่งเข้าป่าหรือ?


 


 


หากเขาเชื่อก็คงเลอะเลือนไปแล้ว คงมีคนอยากจะได้ตำแหน่งผู้สืบทอดเจิ้นกั๋วกงไปอย่างสบายๆ มากกว่า


 


 


นอกจากรัชทายาทแล้ว ก็เป็นองค์ชายรองที่อายุมากที่สุด ส่วนองค์ชายสามนั้นมีอำนาจมากที่สุดเพราะตระกูลมารดาคอยค้ำชู องค์ชายสี่มีความสามารถทั้งชื่อเสียงโด่งดัง องค์ชายห้าดื้อรั้นจนเสด็จพ่อต้องมองพระเนตรเขียว หากเขายังไม่ทำอันใดสักอย่างบ้าง การทุ่มเทเก็บหางตนไว้อย่างระมัดระวังของเขาคงสูญเปล่ากลายเป็นเพียงคนนั่งดูละครเท่านั้นแล้ว


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นโค้งตัวแล้วถอยหลังออกไป


 


 


องค์ชายหกพลันคิดอันใดขึ้นมาได้จึงยกมือเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”


 


 


คนผู้นั้นหยุดชะงักทันที “องค์ชายมีอันใดจะกำชับหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


“ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเล่า…หาพบแล้วหรือไม่?”


 


 


คนผู้นั้นมององค์ชายหกด้วยแววตาสงสัยคราหนึ่ง


 


 


องค์ชายหกถูกมองเช่นนั้นก็เขินอายจนกลายเป็นโทสะ จึงเอ่ยตำหนิว่า “ข้าถามเจ้าอยู่ได้ยินหรือไม่!”


 


 


สติปัญญาของข้ารับใช้เหล่านี้ไปงอกอยู่ที่ก้นหมดแล้วหรือไร?


 


 


แววตาที่คล้ายบอกว่า ‘ท่านสอบถามเรื่องของภรรยาผู้อื่นไปไย…เสียสติแล้วหรือไร’ เช่นนั้นคือเรื่องราวใดกัน?


 


 


เป็นเพราะตอนที่เข้าไปเยี่ยมคารวะไท่เฟยแล้วเห็นพระองค์ทรงโศกเศร้าเพราะการหายตัวไปของนางเจินจึงได้เอ่ยถามดูเท่านั้น มิได้มีใจให้นางเสียหน่อย!


 


 


“ยังคงไม่มีข่าวคราวใดพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าใต้เท้ากู่กำลังคิดจะเข้าวังเพื่อทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


“ยังหาคนไม่เจอด้วยซ้ำ กู่หมิงกลับจะเข้าวังมาทูลรายงาน?” องค์ชายหกหน้าขรึมขึ้นมา


 


 


คนผู้นั้นจึงเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจอีกครา


 


 


องค์ชายหกบิดเบ้มุมปากตนแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าขึงขัง “เสด็จพ่อให้เขาไปตามหาคน แต่กู่หมิงผู้นี้กลับทำตัวไม่เข้าท่าขึ้นทุกวัน”


 


 


คนผู้นั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นได้แต่เอ่ยในใจว่าอย่างน้อยกู่หมิงก็เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นขุนนางขั้นสี่ เมื่อหาคนไม่พบก็คงมิอาจเฝ้าอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนกระมัง?


 


 


หน่อยองครักษ์จิ่นหลินเพิ่งจะก่อตั้งและกำลังอยู่ในช่วงจัดแบ่งอำนาจ หากรอไปอีกครึ่งปีผู้อื่นคงมีที่ยืนอันมั่นคงกันหมด แต่ครั้นเอ่ยถึงผู้บัญชาการกู่หรือ?


 


 


อ้อ ยังอยู่ที่เหอเป่ย เฝ้าค้นหาภรรยาของผู้บัญชาการหลัวอยู่อย่างไรเล่า


 


 


ว่าไปแล้ว ภรรยาผู้อื่นหายตัวไปก็มิได้เกี่ยวอันใดกับองค์ชายเสียหน่อย


 


 


หรือว่าเขามองข้ามสิ่งใดไป?


 


 


เขาต้องมองข้ามสิ่งใดไปแน่!


 


 


“รีบไปจัดเรื่องให้เรียบร้อยเถิด!” องค์ชายหกยกเท้าขึ้นเตะด้วยใบหน้าดำคล้ำ


 


 


เหตุใดแววตาของข้ารับใช้ผู้นี้จึงแปลกขึ้นทุกที เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก!


 


 


อากาศที่เหอเป่ยคล้ายว่าจะหนาวกว่าเมืองหลวงอยู่มาก เม็ดฝนที่หนาใหญ่คล้ายน้ำแข็งตกกระทบลงบนกาย ทำให้รู้สึกเย็นเยือกเหน็บหนาว


 


 


กู่หมิงจูงม้าเข้าไปหานายท่านรองสกุลเจินแล้วยกมือประกบกันแสดงความเคารพ “ใต้เท้าเจิน ที่นี่คงต้องรบกวนท่านแล้ว”


 


 


ใบหน้าของนายท่านรองสกุลเจินเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสุขุม “ใต้เท้ากู่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน”


 


 


กู่หมิงถอนหายใจออกมา “ได้อย่างไรกัน ข้าตามหาคนมานานเพียงนี้แต่ก็หาไม่พบ คงต้องกลับไปขอรับโทษแล้ว”


 


 


ในใจเขารู้สึกชื่นชมนายท่านรองสกุลเจินอยู่หลายส่วน หลานสาวที่ออกเรือนไปแล้วหายสาบสูญ เขาถึงกับยื่นหนังสือลาระยะยาวเพื่อมาตามหา แต่จวนกั๋วกงกลับส่งมาเพียงหลานชายเพียงคนเดียว


 


 


หากมิใช่เพราะใต้เท้าเจินมาที่นี่ เขามีหรือจะสามารถไปจากที่นี่ได้


 


 


“กู่หมิง…” เสียงหนึ่งดังลอยมา


 


 


คนทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเงาร่างสีแดงควบม้าใกล้เข้ามา


 


 


เมื่อมาถึงตรงหน้าก็พลิกกายลงจากหลังม้า ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง


 


 


“ถวายพระพรองค์หญิง” คนทั้งสองทำความเคารพพร้อมกัน


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เคาะแส้ม้าที่พับเก็บใส่มือตนคราหนึ่งพลางชำเลืองมองกู่หมิง “ใต้เท้ากู่ ได้ยินว่าท่านจะกลับเมืองหลวงหรือ?”


 


 


กู่หมิงปาดเหงื่อเย็นตนคราหนึ่ง


 


 


องค์หญิงพระองค์นี้ช่างเกาะติดไม่ปล่อยจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่เหอเป่ยก็ดึงดันจะอยู่ที่นี่ให้ได้ และคอยจับจ้องการทำงานของตนทุกวัน เขาจะล้มเลิกการตามหาเร็วหน่อยก็มิได้ เขาเหนื่อยจนแทบกลายร่างเป็นสุนัขแล้ว


 


 


ตอนที่ได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงเขายังลอบดีใจที่องค์หญิงชูสยาไปเมืองชิงหยางยังไม่กลับ คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาเร็วเพียงนี้


 


 


“เหตุใดใต้เท้ากู่จึงไม่ตอบเล่า?”


 


 


“หม่อมฉันมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ วันนี้หม่อมฉันได้รับพระบัญชาให้กลับเมืองหลวงจึงมิกล้าชักช้า ทำให้มิได้รอทูลลาองค์หญิงก่อน”


 


 


ตามโครงสร้างการก่อตั้งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นควรต้องมีผู้บัญชาการสี่คน ตอนนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น ศพของคุณชายผู้สืบทอดหลัวถูกเคลื่อนเข้าเมืองหลวงไปแล้ว เขาก็ตามหาคนอยู่ที่นี่ ในเมืองหลวงจึงมีผู้บัญชาการเพียงคนเดียว ย่อมต้องยุ่งมากเป็นแน่ ฝ่าบาทให้เขาอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ก็นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากยิ่งแล้ว


 


 


“ฮึ!” ชูสยาจวิ้นจู่สะบัดแส้ม้าออกคราหนึ่ง


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเจาเฟิงตี้ นางย่อมมิอาจพูดสิ่งใดได้ จึงทำได้เพียงบึ้งตึงใส่กู่หมิงเท่านั้น


 


 


นายท่านรองสกุลเจินจึงเอ่ยขึ้น “องค์หญิง หม่อมฉันมาแทนใต้เท้ากู่แล้ว ผู้ที่หายสาบสูญไปคือหลานสาวของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อตามหานางแน่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวมีสีหน้ากังวล แต่ยังคงท่าทีสง่างามมั่นคง เมื่อเอ่ยอธิบายอ่อนโยนเช่นนี้ ชูสยาจวิ้นจึงไม่มีวาจาใดจะกล่าว ทำได้เพียงถลึงตาใส่กู่หมิงคราหนึ่งเท่านั้น “แล้วแต่ท่านเถิด”


 


 


กู่หมิงยิ้มขืน เมื่อกล่าวอำลาแล้วจึงจากไป


 


 


“ขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับที่ประทับก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่จูงม้าเดินกลับมา เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ใต้เท้าเจิน ท่านว่าคุณหนูสี่อยู่ที่ใดหรือ เหตุใดจึงหาไม่พบเล่า? ”


 


 


นายท่านรองสกุลเจินสะบัดเม็ดฝนบนร่างตนออกแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “องค์หญิงมิต้องทรงเป็นกังวล หม่อมฉันเชื่อว่าเมี่ยวเอ๋อร์จักต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่องค์หญิงทรงต้องถนอมพระวรกายพระองค์ด้วย”


 


 


ธนูดอกนั้นพุ่งเป้ามาที่ชูสยาจวิ้นจู่ แต่องค์หญิงกลับดึงดันที่จะอยู่ที่นี่ ความปลอดภัยของนางย่อมต้องสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด


 


 


“ใต้เท้าเจินคงมิได้คิดว่า การที่ข้าผู้เป็นองค์หญิงอยู่ที่นี่เป็นการเพิ่มความยุ่งยากกระมัง?” ชูสยาจวิ้นจู่มองหน้านายท่านรองสกุลเจินพลางเอ่ย


 


 


นายท่านรองสกุลเจินคิดไม่ถึงว่าชูสยาจวิ้นจู่จะถามออกมาตามตรงเช่นนี้จึงอดอึ้งไปมิได้ แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หม่อมฉันไม่มีทางคิดเช่นนั้นแน่พ่ะย่ะค่ะ แต่กลับรู้สึกขอบพระทัยพระองค์ยิ่งที่ทรงประทับอยู่ที่นี่ ทำให้ทุกคนยังจดจำที่แห่งนี้ได้”


 


 


“ท่าน…ท่านรู้หรือ?” ชูสยาจวิ้นจูมิอาจเอ่ยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจได้ รู้สึกได้เพียงขอบตาที่ร้อนผ่อนของตน


 


 


แรกเริ่มที่นางดึงดันจะอยู่ที่นี่ คนทั้งหลายคงเข้าใจว่านางดื้อด้านไม่รู้ความ บนโลกใบนี้คงมีแต่นางคนเดียวที่เข้าใจ


 


 


นางไม่กล้าไป นางกลัวหากแล้วแต่กลับยังหาไม่เจอ เมื่อเวลาผ่านไป คนพวกนั้นก็จะกลับเมืองหลวงไปทูลรายงานอย่างเช่นที่ใต้เท้ากู่ทำ นางกลัวว่าพวกเขาจะลืมว่าที่นี่ยังมีคุณหนูสี่ที่ช่วยนางไว้จนไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่หรือตาย!


 


 


ขอแค่นางอยู่ที่นี่ ถึงรับรองได้ว่าจะมีทหารมากมายคอยตามหาคุณหนูสี่ และทำให้เสด็จอาผู้ปกครองใต้หล้านี้ไม่มีวันลืมเรื่องนี้


 


 


นายท่านรองสกุลเจินผลิยิ้มเบาบาง “หม่อมฉันทราบพ่ะย่ะค่ะ เมี่ยวเอ๋อร์เป็นสหายของพระองค์ หากสหายของหม่อมฉันเกิดเรื่อง หม่อมฉันก็จะไม่ไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มเป็นครั้งแรก


 


 


เวลานี้ที่อำเภอเป่าหลิง อากาศกลับสดใสยิ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวและอาหู่ยืนพิจารณาอยู่นอกจวนสกุลหูครู่หนึ่ง หลัวทียนเฉิงเดินเข้าไปเคาะประตู


 


 


หลังจากนั้นไม่นานประตูใหญ่สีดำทะมึนก็ถูกเปิดออก บุรุษที่แต่งตัวเป็นคนรับใช้ยื่นหน้าออกมา“พวกเรามาเยี่ยมคารวะนายท่านจวนสกุลหู”


 


 


“เยี่ยมคารวะ?” บ่าวผู้เฝ้าประตูพินิจคราหนึ่ง แล้งขมวดคิ้วมุ่น


 


 


นายท่านเคยบอกไว้แล้วว่า สองสามวันนี้อาจจะมีแขกมาเยี่ยมเยือน แต่การแต่งกายกลับไม่เป็นอย่างที่นายท่านบอกไว้


 


 


ทว่าเมื่อมองจากลักษณะของแขกที่มานั้น เขากลับเริ่มไม่แน่ใจ จึงลองเอ่ยถามดู “พวกท่านมาจากเมืองชิงหยางหรือไม่?”


 


 


เมืองชิงหยาง?


 


 


หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง ความรู้สึกบอกว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้คิดว่าพวกเขาเป็นใครสักคนหนึ่ง แต่เพื่อพบกับนายท่านของจวนแห่งนี้เขาจึงพยักหน้ารับ


 


 


อย่างไรก็ตามเมื่อพบหน้าก็คงทราบเองว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร ถึงตอนนั้นแม้นจะถูกเปิดโปงก็มิเป็นไร แต่สำคัญคือต้องรีบไปพบกับคนผู้นั้นให้เร็วที่สุด พวกเขาเสียเวลามามากแล้ว ยังไม่ทราบว่าท่านย่าจะเป็นห่วงจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว


 


 


โดยเฉพาะเรื่องมือสังหารในโรงเตี๊ยมนั้นอีก เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเขาก็หลุดพ้นจากการปิดล้อมของศัตรูมาได้แล้ว


 


 


หรืออาจเพราะที่นี่ค่อนข้างกันดารห่างไกล จึงสามารถสลัดหลุดคนเหล่านั้นได้โดยง่าย หากเป็นเมืองใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนมากมายรอเขาอยู่ก็ได้


 


 


ครั้นได้ยินว่ามาจากเมืองชิงหยาง บ่าวผู้เฝ้าประตูก็เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มทันที “ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยไปรายงานนายท่านก่อน”


 


 


ไม่นานบ่าวผู้เฝ้าประตูก็กลับมาเปิดประตูใหญ่ออก ชายที่ท่าทางคงเป็นพ่อบ้านเดินออกมา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เชิญท่านทั้งสามเข้ามาด้านในเถิด”


 


 


เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโถง พ่อบ้านจึงเอ่ยว่า “ผู้น้อยเป็นพ่อบ้านจวนสกุลหู ชื่อสกุลคือหูเช่นกันขอรับ”“พ่อบ้านหู” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงราบเรียบ


 


 


แม้นเขาจะสวมชุดธรรมทั่วไป แต่ท่าทีดั่งคุณชายสูงศักดิ์ที่มีนั้นกลับมิอาจปิดบังไว้ได้


 


 


เมื่อหันไปมองสตรีที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างบุรุษผู้นั้นก็เห็นว่านางนั่งหลังตรง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ท่าทางมิเหมือนสตรีชาวบ้านทั่วไปอย่างแน่นอน


 


 


“คือนายท่านของเราออกไปตรวจดูไร่ด้านนอก เหลือเพียงนายท่านผู้หญิงจึงไม่สะดวกพบแขก ท่านทั้งสามต้องการพักผ่อนรอก่อนหรือไม่ขอรับ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามต่อว่า “ไปตรวจไร่เวลานี้หรือ?”


 


 


“ขอรับ เพราะในไร่กำลังทำชาแท่งเหมือนที่ส่งไปที่ชิงหยางเมื่อไม่นานมานี้ นายท่านจึงไปตรวจดูอีกรอบ ถึงยามพลบค่ำก็จะกลับมาขอรับ”


 


 


พ่อบ้านพูดพลางโห่ร้องอยู่ในใจ


 


 


นายท่านคาดเดาไม่ผิดเลยจริงๆ ตระกูลเว่ยส่งคนออกมาขัดขวางการส่งชาแท่งรอบนั้น เคราะห์ดีที่สามารถส่งชาไปถึงอย่างปลอดภัย แต่ได้ยินมาว่าคนที่ตระกูลเว่ยส่งไปยังมิได้กลับมาเลย คงมิใช่เพราะทำงานไม่สำเร็จจึงหลบหนีไปแล้วกระมัง?


 


 


คนของชิงหยางกลับมาถึงนี้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ ดูท่าคงสนใจในชาแท่งชนิดใหม่นี้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจได้คู่ค่าใหม่ ทำให้ชานี้กลายเป็นชาที่ใช้เฉพาะในวังหลวงก็เป็นได้


 


 


“อืม” หลัวเทียนเฉิงรับคำเสียงเรียบ


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้าต่ำ เม้มริมฝีปากไว้ นางอยากยิ้มออกมาเหลือเกิน


 


 


ช่างรู้จักคล้อยตามได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เขาไปเรียนรู้กับผู้ใดมาหรือ?


 


 


หากพูดคุยต่อไปคงมิถูกจับได้แล้วถูกไล่ออกไปเพราะเขาเข้าใจว่าเป็นนักต้มตุ๋นกระมัง?


 


 


ในเวลานี้เอง หญิงสาวท่าทางเหมือนสาวใช้ก็เดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วร้องเรียกพ่อบ้านหูคราหนึ่ง


 


 


พ่อบ้านหูจึงกล่าวขออภัยแล้วเดินไปถาม “มีเรื่องอันใดหรือ?”


 


 


สาวใช้เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณชายไม่กินข้าวอีกแล้ว งอแงจะกินขนมฮวาเกา นายท่านผู้หญิงให้ท่านสั่งคนไปซื้อ” 


215

พ่อบ้านหูพยักหน้า “เรียนนายท่านผู้หญิงว่า ข้าทราบแล้ว”


 


 


ทว่าสาวใช้ผู้นั้นกลับมิยอมไป นางเดินมาหยุดตรงหน้าเจินเมี่ยวแล้วย่อกายคารวะ “ไท่ไท่ นายท่านผู้หญิงของเราเชิญท่านไปพูดคุยที่เรือนด้านในเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนโยนว่า “ไปเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวจึงเดินตามสาวใช้ออกไป


 


 


จวนสกุลหูนั้นมิได้ใหญ่โตอันใด มีเรือนเล็กแค่เพียงสามหลัง เรือนด้านหลังทางทิศใต้และเหนือคล้ายเพิ่งรื้อทำใหม่ ภายในบริเวณเรือนต่างปลูกต้นทับทิมและต้นกล้วยไว้หนาแน่น แต่กลับดูสะอาดเรียบร้อยยิ่ง


 


 


เจินเมี่ยวเดินตามสาวใช้ขึ้นบันไดไป มีสตรีสาวผู้หนึ่งเดินออกมาต้อนรับ นางส่งยิ้มก่อนเอ่ยว่า “แขกคนสำคัญมาเยือน แต่นายท่านกลับไม่อยู่ ช่างเป็นเรื่องที่เสียมารยาทยิ่งแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวพิจารณาสตรีผู้นี้อย่างละเอียดคราหนึ่ง


 


 


อายุนางราวยี่สิบปลาย ใบหน้ารูปไข่หงส์ คิ้วกิ่งหลิว หน้าตาชวนให้คนชมชอบยิ่ง นางใส่เสื้อเอ่าแขนเสื้อทรงกระบอกสีแดงอ่อนขับให้ผิวนางขาวนวลมากขึ้นไปอีก


 


 


แม้นมิอาจเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแต่ก็สวยงามน่าพิศ


 


 


สตรีผู้นั้นก็พิจารณาเจินเมี่ยวด้วยเช่นกัน


 


 


นางสวมเพียงเสื้อเอ่าสีเขียวกับกระโปรงสีขาว แต่กับขับให้ผมของนางดำขลับดุจหมึก ผิวขาวราวหิมะ รูปโฉมงดงามดุจดอกท้อยามเดือนสามที่ต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดง คล้ายความงามในโลกหล้าต่างมารวมอยู่บนตัวนางกระนั้น


 


 


นัยน์ตาของสตรีสาวผู้นั้นกลอกหมุนไปมา ในใจกล่าวว่าบุคคลเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง ได้ยินมาว่าผู้ที่มาจากตระกูลจินเมืองหยางชิงคือคุณชายตระกูลจิน แม่นางผู้นี้มีโอกาสติดตามมาด้วยได้ย่อมต้องเป็นที่รักชอบมากเป็นแน่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอนุในเรือนหรืออนุนอกเรือนของคุณชายผู้นั้นกันแน่


 


 


แต่หากบอกว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้อง นางกลับมิคิดถึงเลย เพราะตระกูลใหญ่เช่นนั้นย่อมต้องให้ความสำคัญกับการแต่งภรรยา หากแต่งภรรยาต้องแต่งที่เพียบพร้อม แต่งอนุต้องงดงาม


 


 


ถ้าภรรยาเอกมีรูปโฉมเช่นนี้ ยามติดต่อการค้าต้องถูกคนใจชั่วจับจ้องเป็นแน่ เช่นนี้มิใช่หาภัยใส่ตัวหรอกหรือ อีกอย่างภรรยาเอกไหนเลยจะออกมาข้างนอกด้วยได้เช่นนี้เล่า


 


 


ใบหน้าสตรีสาวพกพาไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีระยะห่างอยู่หลายส่วน นางเอ่ยทักทายขึ้นว่า “ข้าเพิ่งเคยเห็นสตรีที่งดงามเช่นน้องสาว รีบเข้าในเรือนเถิด”


 


 


นางมิอาจล่วงเกินตระกูลจินจากชิงหยาง แค่อนุผู้หนึ่ง…ความจริงในใจนางก็รู้สึกดูแคลนอยู่บ้าง


 


 


ท่าทีของสตรีสาวดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยทำให้เจินเมี่ยวอึ้งงันไป แล้วค่อยเข้าใจขึ้นมา


 


 


อ้อ งดงามเกินไปย่อมไม่มีสหาย!


 


 


สตรีสาวเชิญเจินเมี่ยวเข้าไปในเรือน เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวจึงเอ่ยว่า “น้องสาวเรียกข้าว่าพี่หูก็ได้”


 


 


เจินเมี่ยวคล้อยตามอย่างว่าง่าย เมื่อคลี่ยิ้ม ลักยิ้มสองข้างก็ปรากฏขึ้น “พี่หู ท่านเรียกข้าว่าอาซื่อก็ได้”


 


 


นางมิอยากเผยชื่อแซ่ตนให้ผู้อื่นทราบ


 


 


โลกภายนอกนี้มีคนชั่วมากมายเหลือเกิน นางมิอาจไม่ป้องกันไว้ก่อน


 


 


แต่สำหรับนางหู นางกลับยิ่งมั่นใจว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด ที่แท้ก็เป็นสตรีชั่วช้าที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแซ่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพียงหญิงที่ถูกซื้อมาเท่านั้น


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเจื่อนลงไปหลายส่วน


 


 


เจินเมี่ยวรู้แปลกใจยิ่ง


 


 


ท่าทีของสตรีสาวผู้นี้เปลี่ยนไปแปรมาไม่หยุด เพราะอันใดกันหรือ?


 


 


แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นที่มีความสำคัญต่อหลัวเทียนเฉิงยิ่ง นางจึงได้แต่สนทนาพูดคุยกับนางหูต่อไป


 


 


นางหูยังถามถึงเรื่องราวภายในตระกูลจินอีกด้วย


 


 


เจินเมี่ยวย่อมไม่ทราบแน่ เมื่อถูกถามจึงทำเพียงยิ้มแหย่เท่านั้น


 


 


แววนางของนางหูกลับยิ่งเพิ่มความดูแคลนขึ้นอีก เป็นเพียงอนุนอกเรือนดังคาด นางมิรู้เรื่องราวใดเกี่ยวกับตระกูลจินสักนิด


 


 


เจินเมี่ยวเริ่มหวาดหวั่นขึ้นมา


 


 


สถานการณ์ดูย่ำแย่ยิ่ง หรือเพราะเอ่ยถามสิ่งใดตนก็ไม่รู้ นางจึงเริ่มสงสัยเข้าให้แล้ว?


 


 


แต่หากนางสงสัย จะมองตนอย่างดูแคลนไปไย เหตุใดจึงมิเอ่ยถามออกมาตามตรงเล่า?


 


 


ทั้งสองต่างคนต่างคิด บรรยากาศกลับเริ่มวังเวงขึ้นมา


 


 


เวลานี้เองกลับมีเสียงร้องไห้ดังลอยจากด้านนอก ตามติดด้วยร่างของเด็กน้อยผู้หนึ่งที่วิ่งเข้าไปร่ำไห้อยู่ในอกนางหู “ท่านแม่ ขนมฮวาเกาไม่อร่อย…”


 


 


สาวใช้ที่ตามมาด้านหลังมีสีหน้าเลิกลัก “นายท่านผู้หญิง คุณชายร้องไห้เพราะขนมฮวาเกาวันนี้ไม่มีตราประทับลายบุปผาเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อเห็นบุตรชายร้องไห้ นางหูก็ขมวดคิ้ว “ทุกทีบนขนมฮวาเกาก็จะประทับลายกุหลาบมิใช่หรือ?”


 


 


“ร้านบอกว่าตราประทับพังจึงมิได้ประทับลายเจ้าค่ะ”


 


 


เด็กน้อยผู้นั้นร้องไห้เสียงดังขึ้นไปอีก “ท่านแม่ ข้าจะกินฮวาเกาที่ประทับลายดอกกุหลาบ!”


 


 


นางหูมองเจินเมี่ยวด้วยความประหม่า “ทำให้น้องสาวต้องขบขันแล้ว เด็กคนนี้ถูกตามใจเสียเคยตัว”


 


 


เจินเมี่ยวโบกมือไปมา “เด็กทุกคนก็เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น”


 


 


เด็กน้อยแค่เพียงสามสี่ขวบนั้นหรือ หากเขาได้ชอบสิ่งใดแล้วก็จะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด


 


 


ครั้นเห็นว่ามารดามิสนใจตนเอง เด็กน้อยก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เขาสะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ทัน


 


 


นางหูจึงร้อนรนขึ้นมา นางตบหลังบุตรชายพลางร้องบอกว่า “ยังไปรีบไปเชิญท่านหมออีก!”


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวได้พินิจดูอย่างละเอียดจึงเพิ่งเห็นว่าเด็กน้อยผอมเสียจนน่าสงสาร


 


 


สถานการณ์เช่นนี้ หากนางยังคงนั่งอยู่โดยไม่เอ่ยอันใดกลับยิ่งรู้สึกประหม่าจึงเดินเข้าไปเอ่ยว่า “บุตรท่านเป็นอันใดหรือ?”


 


 


เวลานี้นางหูกำลังร้อนรนใจจึงมิได้ใส่ใจต่อฐานะของเจินเมี่ยวแล้ว สามีของนางก็มิอยู่จึงรู้สึกไร้ที่พึ่งพิงทำให้อดระบายความทุกข์กับเจินเมี่ยวออกมามิได้ “เขาป่วยหนักเมื่อยังแบเบาะ จึงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษมาตลอด ผู้ใดจะทราบเมื่อโตขึ้นกลับมิใคร่ชอบกินข้าวเท่าใด”


 


 


“บุตรท่านชอบกินขนมจำพวกฮวาเกาเท่านั้นหรือ?”


 


 


มิน่าเล่าตระกูลที่มิต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่มกลับมีบุตรที่ผอมแห้งเช่นนี้ เป็นเพราะเลือกกินนี่เองนางส่ายหน้า “มิใช่ จังเกอเพียงเห็นว่าขนมฮวาเกาเป็นของแปลกใหม่จึงกัดกินเพียงคำสองคำเท่านั้น หากเป็นขนมเช่นเดียวกันแต่ไม่มีตราประทับบุปผา เขาก็จะไม่กินแม้เพียงคำ”


 


 


“เป็นเช่นนี้เอง” เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากพี่หูไม่รังเกียจ ข้าจะทำหมานโถวให้จังเกอกินดู”


 


 


โบราณว่ากินของผู้อื่น ปากย่อมหวาน หากนางเอาใจเด็กน้อยผู้นี้จนอยู่หมัด แม้นฐานะถูกเปิดเผยก็คงมิถูกไล่ตะเพิดออกไปโดยทันทีกระมัง


 


 


“หมานโถว?” นางหูเลิกคิ้วขึ้น “จังเกอไม่เคยกินสักครา”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากเผยยิ้ม “พี่หูไม่สู้ลองดูสักครา ไม่แน่ว่าจังเกออาจจะกินหมานโถวที่ข้าทำก็ได้”


 


 


“เช่นนั้น…ก็ได้” นางหูพยักหน้ารับ


 


 


เมื่อซื้อฮวาเกามาไม่ได้ จังเกอต้องงอแงไม่เลิกแน่ วันนี้ทั้งวันคงไม่ยอมกินอันใดแน่ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร


 


 


“รบกวนน้องสาวแล้ว ต้องขออภัยยิ่ง”


 


 


“มิเป็นไร ข้าชอบเด็กมาก”


 


 


“อาซิ่ง พา…ซื่อไท่ไท่ไปที่ห้องครัวด้วย”


 


 


ซื่อไท่ไท่? ฟังแล้วดูพิกลยิ่ง


 


 


เจินเมี่ยวเพียงสงสัยครู่หนึ่งก็ปล่อยมันทิ้งไป แล้วเดินตามสาวใช้ที่ชื่อว่าอาซิ่งไปห้องครัวด้วยความเบิกบาน


 


 


นานแล้วที่นางมิได้เข้าครัว คันไม้คันมือยิ่ง


 


 


เมื่อถึงห้องครัว นางก็กวาดตามองครู่หนึ่งก็ทราบแล้วว่าจะทำสิ่งใด


 


 


นางนำแป้งที่นวดแล้วมานวดผสมกับมันบดสีม่วง แล้วนำไปนึ่ง


 


 


นางอาศัยช่วงเวลานี้นำไข่นกกระทามาต้ม และเลือกสาลี่มาสองสามลูก ควักเอาตรงกลางออกมาแล้วเทไข่ดิบที่ตีจนเข้ากันลงไป


 


 


อาซิ่งมองอย่างตกตะลึงตาค้าง “ซื่อ…ซื่อไท่ไท่ เราสามารถใส่ไข่ดิบลงไปในสาลี่ได้ด้วยหรือ?”


 


 


“ทำเป็นสาลี่นึ่งไข่ได้” เจินเมี่ยวมิได้เงยหน้าขึ้น มือยังคงสาละวนทำต่อไป


 


 


เมื่อทำสาลี่เสร็จ นางก็หยิบเต้าหู้มาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอเหมาะ แล้วเทเนื้อสับละเอียดที่ปรุงเสร็จแล้วลงไปผัดในกระทะจนสุก สุดท้ายก็ใส่น้ำส้มที่ต้มจนเดือดราดลงไป กลายเป็นผัดเต้าหู้ราดน้ำส้ม


 


 


ต่อจากนั้นก็หั่นถู่โต้ว[1] หูหลัวปัว เห็ดหอมเป็นชิ้นๆ แล้วผัดรวมกันทำเป็นลูกชิ้นผักห้าสี


 


 


เมื่อปอกเปลือกไข่นกทาเสร็จก็นำหูหลัวปัวมาแกะเป็นหงอนไก่และปากไก่เสียบเข้าไป ใช้งาดำแต่งเป็นตา สุดท้ายจึงกลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวเล็กแสนน่ารัก แล้วนำไปวางคู่กับลูกชิ้นผักห้าสี


 


 


“สวรรค์ สวรรค์!” อาซิ่งไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา นางจ้องมองเขม็ง ตกตะลึงอึ้งงันไปเสียนานแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวได้ถอนหายใจออกมา เสียดายที่ไม่มีชิงเกอเป็นผู้ช่วย ทำให้นางออกจะวุ่นวายอยู่บ้าง


 


 


โชคดีที่ในห้องครัวนี้ได้ต้มน้ำแกงกระดูกหมูไว้แล้วนางจึงทำน้ำแกงกระดูกหมูสารพัดเห็ดเสียเลย


 


 


ส่วนแป้งสีม่วงก็นึ่งได้ที่พอดี นางจึงบิออกมาเป็นก้อนเล็กๆ อาซิ่งยังมิทันมองให้ชัดว่าเจินเมี่ยวทำ อย่างไรบ้าง นางเพียงรู้สึกว่าตาลายไปหมดแล้ว พริบตาก็กลายเป็นดอกกุหลาบเสียแล้ว นางวางลงบนหม้อนึ่งที่ไฟกำลังลุกไหม้ ผ่านไปครู่หนึ่งสาลี่ที่นึ่งไว้ชั้นบนสุดก็สุกพอดี


 


 


เจินเมี่ยวล้างมือพลางเอ่ยกับอาซิ่งว่า “ยกออกไปเถิด” แล้วเดินนำออกมาจากห้องครัวก่อน


 


 


ท่านหมอเพิ่งตรวจอาการให้จังเกอเสร็จพอดี เขาบอกเพียงว่าดื่มนมและกินอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้ไม่อยากอาหารอันใดเทือกนั้น


 


 


นางหูฟังวาจาทำนองนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนท่องได้อย่างลื่นไหล ที่นางเชิญหมอมาทุกครั้งที่จังเกอไม่สบายก็เพื่อให้ตนสบายใจก็เท่านั้น


 


 


นางหูจะหยิบขนมดอกกุ้ยให้จังเกอกิน จังเกอก็เม้มริมฝีปากไว้ ส่ายศีรษะดั่งกลองปัวล่าง[2]


 


 


กลิ่นหอมของอาหารลอยมาปะทะจมูก ช่างหอมหวนและสดใหม่


 


 


นางหูเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มพลางนั่งลง อาซิ่งที่อยู่ด้านหลังยกถาดใบใหญ่เข้ามา แล้วจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ


 


 


อย่างแรกคือสาลี่นึ่งไข่ ตามด้วย เต้าหูสีเหลืองส้ม และไข่ต้มนุ่มนิ่ม ดูแล้วช่างสบายตานัก


 


 


จังเกอยื่นหน้าออกมาดู


 


 


ตามด้วยจานกระเบื้องเคลือบสีเขียวใบใหญ่ ในจานมีลูกชิ้นผักห้าสีวางอยู่ ทั้งยังมีไก่ตัวผู้สีขาวน่ารักวางอยู่ด้วย


 


 


“มันกินได้หรือไม่?” จังเกอเอ่ยถามพลางชี้ไปยังไก่ตัวผู้ตัวน้อย


 


 


“ย่อมต้องได้แน่นอน” เจินเมี่ยวเอ่ยพลางยิ้มตาหยี


 


 


นางหูอึ้งงันไป รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จึงรีบเอ่ยต่อว่า “อาถาว ยืนเหม่อทำอันใด ยังไม่รีบมาป้อนคุณชายอีก”


 


 


สาวใช้ชุดสีชมพูที่อยู่ด้านหลังนางหูรีบใช้ตะเกียบคีบไข่นกกระทาป้อนจังเกอทันที


 


 


จังเกอส่ายหน้าแล้วบุ้ยใบ้ให้อาถาววางไก่ตัวผู้นั้นใส่มือตน เขามองมันอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่งค่อยกินมัน


 


 


นางหูมองจังเกออย่างตื่นเต้น


 


 


จังเกอยื่นมือมาชี้ “เอาอีก!”


 


 


นางหูหันไปมองเจินเมี่ยวทันใด นางเอ่ยอย่างยากจะปิดบังความตื่นเต้น “น้องสาว หรือว่าไข่นกกระทานี้มีรสชาติอร่อยกว่าไข่ทั่วไป?”


 


 


“พี่หูลองชิมดูก็จะรู้”


 


 


นางหูรีบคีบมันขึ้นมากินคำหนึ่ง แล้วก็ต้องอึ้งงันไป


 


 


ที่นางตกตะลึงมิใช่เพราะไข่นกกระทาอร่อยมาก แต่กลับกัน มันเป็นเพียงไข่ต้มธรรมดาทั่วไปเท่านั้น


 


 


แต่จังเกอกลับต้องการกินมันอีก!


 


 


นางมองเจินเมี่ยวอย่างไม่เข้าใจ เจินเมี่ยวจึงอธิบายว่า “จังเกออายุยังน้อย เดิมก็กินยากอยู่แล้ว เขาจะชอบกินสิ่งใดนั้นก็ต้องดูว่ามันสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ไหมก็เท่านั้น”


 


 


ขนมฮวาเกาก็เป็นเพียงขนมธรรมดา แต่จังเกอกลับงอแงจะกินให้ได้ เห็นชัดว่ามิได้ชอบกินเพราะรสชาติ ความแปลกใหม่ สวยงามต่างหากคือสิ่งที่เด็กน้อยสนใจที่สุด


 


 


จังเกอหยิบไข่นกกระทาที่หน้าตาเหมือนไก่ตัวผู้ขึ้นมาอีกดั่งคาด เขาเล่นมันอยู่ครู่หนึ่งค่อยกิน แล้วตามด้วยลูกชิ้นผักอีกสองลูก ไข่นึ่งอีกส่วนหนึ่ง


 


 


อาซิ่งย้อนกลับมาอีกครา นางวางหมานโถวสีม่วงรูปดอกกุหลาบลงบนโต๊ะน้ำชา


 


 


นางหูอดตกตะลึงจนต้องถอนหายใจออกมามิได้ “น้องสาว หมานโถวเช่นนี้เจ้าทำได้อย่างไร มันเหมือนดอกกุหลาบจริงๆ ไม่มีผิด!”


 


 


“ไม่ยากเลย เพียงแต่ต้องใช้ความตั้งใจสักหน่อยเท่านั้น”


 


 


เมื่อเห็นจังเกอหยิบหมานโถวกุหลาบไว้ในมือแล้วกัดชิมคำหนึ่ง นางหูก็อดน้ำตาร่วงเผาะมิได้


 


 


นางค่อยๆ เช็ดที่ขอบตาตน เอ่ยกำชับว่า “อาถาว ไปบอกกับพ่อบ้านหูที่เรือนหน้าว่าข้าจะให้ซื่อไท่ไท่กินข้าวที่นี่ ขอให้เขากล่าวขออภัยแขกแทนข้าด้วย”


 


 


“เจ้าค่ะ” อาถาวจึงเดินออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานก็กลับมาอีกครา เมื่อเห็นนางหูที่กำลังจับมือสนทนากับเจินเมี่ยวด้วยความตื่นเต้นก็อึกอักกับสิ่งที่ตนอยากจะเอ่ย


 


 


 


 


——


 


 


[1] ถู่โต้ว มันฝรั่ง


 


 


[2] กลองปัวล่าง คนไทยเรียกว่าป๋องแป๋ง


 

 

 


ตอนที่ 216

 

“มีอันใดหรือ?” นางหูปล่อยมือเจินเมี่ยว แล้วหันไปมองอาเถา


 


 


อาเถามีสีหน้าประหม่าเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “นายท่านผู้หญิง ข้างนอกมีคนกลุ่มหนึ่งมาเจ้าค่ะ บอกว่าเป็นตระกูลจินจากชิงหยาง”


 


 


“มีคนมาอีกหรือ?” คราแรกนางหูยังไม่เข้าใจจึงหันไปมองเจินเมี่ยว “น้องสาว เหตุใดจึงแบ่งกันมาสองกลุ่มเล่า?”


 


 


“นายท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ คนที่มาทีหลังต่างหากที่เป็นคนของตระกูลจิน พวกเขา…พวกเขาไม่ใช่…” อาเถาฝืนเอ่ยออกไปในที่สุด


 


 


ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ทราบว่าคนที่ตนมีใจนับถือไม่นานมานี้กลายเป็นคนหลอกลวงต่างก็ต้องแปลกใจสงสัยทั้งสิ้น


 


 


“ไม่ใช่หรือ?” นางหูรู้สึกมึนงงเล็กน้อย นางกะพริบตาปริบๆ แล้วเบิกกว้างขึ้นโดยพลัน “เจ้า เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลจินหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า


 


 


นางหูลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงหลอกข้า?”


 


 


เจินเมี่ยวยืนขึ้นตามนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “พี่หู เมื่อครู่ข้าก็บอกท่านแล้วว่าข้ามิใช่คนของตระกูลจิน”


 


 


“เจ้าบอกแล้ว?”


 


 


“ใช่ ท่านลืมแล้วหรือ?”


 


 


สตรีสกุลหูระลึกดูอีกคราก็ต้องกัดฟันตน


 


 


ก่อนหน้านี้ที่ตนสอบถามเรื่องตระกูลจิน นางก็บอกว่าตนมิใช่คนของตระกูลจินจึงมิทราบเรื่องในตระกูลจิน!


 


 


แต่…แต่ตนก็คิดว่าเพราะนางเป็นอนุนอกเรือนจึงไม่ทราบ!


 


 


นางหูกล้ำกลืนโทสะเอาไว้


 


 


กล่าวเช่นนี้กลับกลายเป็นว่านางนั้นแลที่คิดไปเอง?


 


 


“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ใช่คนของตระกูลจิน แล้วมาที่จวนข้าด้วยเหตุใด? ที่ซ่อนหัวโผล่หางเช่นนี้มีแผนใดกันแน่?” คิ้วกิ่งหลิวของนางหูขมวดแน่น แล้วพลันเข้าใจขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว พวกเจ้าต้องเป็นคนที่ตระกูลเว่ยส่งมาเป็นแน่!”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้นางก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา “มีอันใดหรือ ตระกูลเว่ยของพวกเจ้าส่งคนมาขัดขวางการขนส่งชาแท่งชนิดใหม่ของตระกูลหูเรายังไม่พอ ยามนี้กลับบุกเข้ามาในจวนข้าอย่างเปิดเผยเสียแล้วหรือ? เจ้าเป็นอนุคนที่เท่าใดของตาเฒ่าชั่วช้าตระกูลเว่ยนั้นหรือ?”


 


 


นี้มันเรื่องอลหม่านวุ่นวายชนิดใดกันอีกเล่า?


 


 


เจินเมี่ยวมึนงงไม่ทราบจะทำเช่นไรดี


 


 


“ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดหรือ?” หมานโถวกุหลาบม่วงที่จังเกอกันไปครึ่งหนึ่งแล้วนั้นร่วงตกลงจากมือ เขากำแขนเสื้อนางหูไว้แน่น


 


 


นางหูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายอยู่ที่นี่ นางก้มหน้ามองท่าทีหวาดกลัวของจังเกอ ในใจก็หงุดหงิดขึ้นมาจึงเอ่ยเสียงสูงว่า “อาเถา อาซิ่ง พวกเจ้ากลายเป็นคนตายแล้วหรือ เหตุใดจึงมิพาคุณชายออกไปอีก!”


 


 


อาเถาและอาซิ่งจึงมีสติคืนมา อาเถานั่งลงคุกเข่าอุ้มเอาจังเกออกไป


 


 


ผู้ใดจะทราบว่าจังเกอกลับผลักนางออก ปากก็เอาแต่ร้องว่า “ท่านแม่ ข้าอยากกินหมานโถวกุหลาบม่วง และก็ไก่น้อยนั้นด้วย…”


 


 


นางหูอึ้งงันไป หลังจากนั้นก็มองเจินเมี่ยวด้วยความรู้สึกซับซ้อน


 


 


บุตรชายเติบใหญ่ปานนี้แล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่กินอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่อาหารนี้กลับเป็นฝีมือของสตรีที่อยู่ตรงหน้า


 


 


นางเลี้ยงบุตรชายมาอย่างระมัดระวังจนถึงตอนนี้ นางเข้าใจลึกซึ้งยิ่งว่าบุตรนางอ่อนแอเพียงใด บางทีแค่ลมหนาวเพียงวูบเดียวก็อาจพรากชีวิตเขาไปได้ด้วยซ้ำ!


 


 


นางจักต้องบำรุงร่างกายของจังเกอให้แข็งแรง!


 


 


ทว่าจังเกอไม่ยอมกินข้าว ร่างกายจะแข็งแรงได้อย่างไรเล่า?


 


 


นางหูมีท่าทีเหม่อลอยไป นางมองจังเกอแล้วมองเจินเมี่ยว คล้ายได้ตัดสินใจอันใดบางอย่างลง นางจึงเอ่ยด้วยท่าทีมั่นคงแน่วแน่อย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าทำให้จังเกอได้กินอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก ข้ายังคงจะเรียกเจ้าว่าน้องสาวเช่นเดิม น้องสาวที่เจ้าติดตามตาเฒ่าชั่วช้าสกุลเว่ยอยู่ตอนนี้ ข้าคิดว่าคงไม่เรื่องความรู้สึกรักใคร่ฉันชายหญิงกระมัง สิ่งที่ตระกูลเว่ยให้เจ้าได้ จวนสกุลหูของข้าก็ให้ได้ ขอเพียงเจ้ายอมอยู่ที่นี่”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันชะงักไป แล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “สามีข้าอายุเพียงสามสิบกว่า ยังไม่มีอนุ…”


 


 


เจินเมี่ยวเบิกตาถลนออกมาทันที


 


 


สิ่งที่นางเข้าใจคือสตรีผู้นี้คิดว่านางเป็นอนุของชายชราชั่วช้าตระกูลหนึ่ง แต่นางยังบอกตนว่า เฮ้น้องสาว เจ้ากับตาเฒ่านั้นย่อมมิใช่รักแท้อันใด มิสู้อยู่ที่ตระกูลข้า สามีของข้าอายุยังน้อย รูปโฉมหล่อเหลาข้าให้เจ้าเป็นอนุก็ได้


 


 


ตระกูลคหบดีทั่วไป ศีลธรรมจรรยาอ่อนแอตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วหรือ?


 


 


“แค่กๆ” เจินเมี่ยวใช้มือปิดปากไว้แล้วกระแอมไอออกมาเสียงหนึ่งจึงเอ่ยว่า “พี่หู สามีของข้าอยู่ด้านนอกนั้น”


 


 


นางหูกลอกตาคราหนึ่ง “น้องสาวเจ้ามิจำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว ผู้ใดในอำเภอเป่าหลิงต่างก็ทราบทั้งสิ้นว่า อนุของนายท่านตระกูลเว่ยนั้นมีมากมายเพียงใด บุตรชายของเขาก็กินไม่เลือกเช่นกัน ครั้นเห็นอนุของบิดาก็ขอมาเป็นอนุตน เรื่องนี้มิใช่ไม่เคยปี สองปีก่อนก็เกิดเรื่องสกปรกเช่นนี้มาแล้วมิใช่หรือ ผู้อื่นลอบหัวเราะขบขันเขา แต่ตาเฒ่านั้นกลับเอ่ยอย่างสมเหตุสมผลว่า น้ำอันอุดมสมบูรณ์ย่อมมิปล่อยให้ไร่นาผู้อื่น”


 


 


มิน่าเล่ากิจการของตระกูลเว่ยถึงได้ยิ่งใหญ่ปานนี้ แม้นถูกผู้อื่นถลกหนังก็ยังฟื้นชีพกลับมาได้เช่นเดิม


 


 


หากปีนั้นสามีของนางไม่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อน ไม่แน่ว่ากิจการของตระกูลของนางรวมทั้งนางก็อาจจะกลายเป็นของสกุลเว่ยไปแล้วก็ได้


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางหูกลับรู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันทีที่รู้สึกว่าตนมีฐานะที่สูงกว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้า


 


 


เจินเมี่ยวกลับค่อยๆ หยิกแขนตนเอง


 


 


ที่แท้คำว่าน้ำอันอุดมสมบูรณ์ย่อมมิปล่อยให้ไร่นาผู้อื่นนั้นเป็นเช่นนี้เอง นาง…นางไม่เคยรู้มาก่อนเลย!


 


 


หากปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปคงยากแก้ไข เจินเมี่ยวจึงรีบหุบเก็บรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเย็นว่า “พี่หูเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับสามีมาจากแดนไกล มิใช่คนของตระกูลเว่ย ก่อนที่ท่านจะพูดเรื่องเหล่านี้ ข้าก็มิเคยได้ยินแม้แต่ชื่ของตระกูลเว่ยด้วยซ้ำ”


 


 


“มิใช่หรือ?” นางหูอึ้งงันไป นางบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกผิดหวังหรือโล่งอกกันแน่ “เช่นนั้นพวกเจ้าปลอมเป็นคนของตระกูลจินมาด้วยเหตุใด?”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกจนใจยิ่ง “พวกเรามาเยี่ยมคารวะนายท่านของที่นี่จริงๆ แต่คนของท่านคล้ายเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นผู้อื่นไป”


 


 


นางหูรู้สึกอึดอัดยิ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดดูก็คล้ายว่าอีกฝ่าจะมิได้พูดอันใดผิด ทั้งคิดถึงเมื่อครู่ที่เจินเมี่ยวลงมือทำอาหารด้วยตนเองอีก ท่าทีจึงดีขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นพวกเจ้ามาหาสามีข้าด้วยเรื่องใด?”


 


 


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ มันเป็นเรื่องของสามีข้า” เจินเมี่ยวมิได้บอกเจตนาที่แท้จริงออกไป


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญน้องสาวพักที่ด้านนอกก่อน รอให้สามีข้ากลับมาก่อนค่อยว่ากัน” เมื่อไม่ทราบฐานะที่แน่ใจของเจินเมี่ยว นางหูย่อมมิอาจปล่อยให้นางอยู่ในเรือนหลังแห่งนี้ได้


 


 


เจินเมี่ยวกลับเอ่ยว่ารบกวนแล้วคำหนึ่งอย่างเบิกบาน ครั้นจะเดินตามอาเถาออกไปด้านนอก


 


 


สาวใช้ผู้หนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาหา


 


 


นางหูเพียงรู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องที่แปรไปเปลี่ยนมาคล้ายละครที่งิ้วแสดงไม่มีผิด เมื่อเห็นท่าทางของสาวใช้ที่เข้ามาก็รู้ว่าต้องมีเรื่องใดแน่ จึงเอ่ยถามออกไปทั้งที่สาวใช้ยังมิทันได้เอ่ยปากด้วยซ้ำ “มีเรื่องใดอีก?”


 


 


สาวใช้ผู้นั้นหน้าซีดไปหมด น้ำเสียงที่เอ่ยก็สั่นเครือ “นายท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ ตระกูลเว่ย ตระกูลเว่ยส่งคนมากกลุ่มหนึ่งบอกว่าจะมาเอาเรื่องกับนายท่านเจ้าค่ะ! พ่อบ้านหูใกล้จะต้านไม่ไหวแล้วจึงให้ข้ามาขอคำปรึกษาเจ้าค่ะ”


 


 


นางหูได้ฟังก็โมโหขึ้นมา น้ำเสียงจึงแหลมสูงยิ่ง “เอาเรื่องหรือ? ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ทั้งที่ตระกูลเว่ยส่งคนมาขัดขวางการส่งชาแท่งของเราชัดๆ ท่านพี่มิไปคิดบัญชีกับพวกเขาก็ดีเพียงใดแล้ว พวกเขายังกล้ามาที่นี่เพื่อเอาเรื่องหรือ?”


 


 


สาวใช้ผู้นั้นมีท่าทีแตกตื่น นางเอ่ยเสียงสั่นว่า “นายท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ คือคนของตระกูลเว่ยบอกว่า บอกว่า…”


 


 


“ว่าอันใดเรา เจ้าจะให้ข้าร้อนใจตายหรือไร?”


 


 


“บอกว่าคนที่ตระกูลเว่ยส่งมาล้วนตายอยู่ในวัดร้างซึ่งเป็นอาณาเขตของตระกูลเฮ่อ พวกเขาสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของจวนเราเจ้าค่ะ!”


 


 


“ห๊า!” เจินเมี่ยวร้องออกมาแผ่วเบาแล้วปิดปากตนเอาไว้


 


 


ในใจได้แต่ลอบหลั่งน้ำตา ครานี้ดีเหลือเกินแล้ว นางคงมิอาจเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจได้ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเว่ยแล้วกระมัง เพราะคนกลุ่มนั้นที่นางเจอในวัดร้างนั้น พวกนางได้ฆ่าไปหลายคนเลยทีเดียว


 


 


นางหูมิได้ใส่ใจต่อเสียงร้องตกใจของเจินเมี่ยว เพราะตัวนางเองก็กำลังตกตะลึงกับข่าวนี้เช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมา นางก้าวเท้าออกไปด้านนอกทันที


 


 


“นายท่านผู้หญิง นายท่านไม่อยู่ ท่านออกไปคนเดียว…”


 


 


นางหูพูดโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง “ดูแลคุณชายให้ดี”


 


 


นอกจากอาเถาที่อุ้มจังเกออยู่ สาวใช้อื่นอีกสองคนก็ต่างเดินตามนางหูไป เจินเมี่ยวเองก็ย่อมต้องเดินตามออกไปเช่นกัน


 


 


เมื่อเดินผ่านประตูที่สองก็สามารถได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ลอยมาได้


 


 


นางหูกวาดตามองคราหนึ่ง บ่าวผู้หนึ่งรีบเข้ามารายงานว่า “นายท่านผู้หญิง คนของตระกูลเว่ยขวางอยู่หน้าประตู พ่อบ้านหูออกไปเจรจากับพวกเขาแล้วขอรับ”


 


 


“แขกเล่า?”


 


 


“แขก?” บ่าวรับใช้อึ้งงันไป “แขกยังคงรออยู่ในห้องโถงขอรับ”


 


 


เจินเมี่ยวไม่คิดเลยว่านางหูจะมิเดินออกไปแต่กลับตรงไปยังห้องโถงแทน


 


 


ในห้องโถงนั้นนอกจากจะมีหลัวเทียนเฉิงและอาหู่แล้วยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเพิ่มเข้ามา เขาก็คือบุรุษหนุ่มและข้ารับใช้ที่พวกนางเคยพบที่โรงเตี๊ยมนั้นเอง


 


 


เมื่อเห็นคนเดินเข้ามา คนในห้องโถงก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน


 


 


ชั่วขณะนั้นแม้นจะเห็นชัดว่าบุรุษหนุ่มสวมชุดเสื้อแพร ท่าทีหยิ่งยโสกว่าผู้ใด แต่นางหูก็อดหันไปมองที่หลัวเทียนเฉิงก่อนมิได้


 


 


คาดว่าน่าจะเป็นสัญชาตญาณที่สตรีทุกคนมี นางมั่นใจว่าบุรุษรูปงามที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดานั้นมิใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่


 


 


แต่สุดท้ายสติปัญญากับชนะสัญชาตญาณ นางหูเดินเข้าไปคารวะพอเป็นพิธีกับบุรุษหนุ่มผู้นั้น “ขอบังอาจถาม ท่านเป็นคุณชายตระกูลจินใช่หรือไม่?”


 


 


บุรุษหนุ่มกอดอกตนไว้อย่างสุขุมและสุภาพอยู่ในที “เป็นข้าเอง”


 


 


“ข้าขอคารวะคุณชาย ข้าเป็นนายท่านผู้หญิงของจวนสกุลหู ท่านพี่ออกไปที่ไร่ชายังมิกลับ ทำให้ท่านต้องรอแล้ว”


 


 


บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างเกียจคร้าน “แค่รอนั้นไม่เป็นไร ทั้งยังได้ดูละครฉากสนุกอีกด้วย คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกับคู่แข่งที่นี่”


 


 


พูดพลางชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง


 


 


นางหูเข้าใจขึ้นมาทันที “ทั้งสองท่านรู้จักกันหรือ?”


 


 


“เคยพบกันครั้งหนึ่งเท่านั้น” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


“ตอนนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่ทราบพี่ชายมาที่จวนสกุลหูด้วยเรื่องใด หรือมีเป้าหมายเดียวกันกับข้า?”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็หันไปหานางหู น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “จวนท่านคิดจะหาคู่ค้าถึงสองคน?”


 


 


มิทันรอให้นางหูอธิบาย หลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “ข้าไม่รู้เรื่องชา และไม่สนใจด้วย ที่มาจวนสกุลหูนั้นเพราะเรื่องบางอย่างเท่านั้น”


 


 


เขาเอ่ยไปตามแต่ใจ ทว่ากลับสร้างความสงสัยให้กับคนทั้งหลายยิ่ง


 


 


“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร พูดอันใดแล้วคุณชายเราต้องเชื่อ?” จินต้าอดเอ่ยออกมามิได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นหัวเราะคราหนึ่ง “ข้าเป็นใครมิจำเป็นต้องบอกพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เชื่อก็มิเกี่ยวอันใดกับข้า แต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ หากพวกเจ้าก่อเรื่องขึ้นมา ข้าจะไม่เกี่ยวก็คงมิได้”


 


 


“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าตนมีฝีมือยุทธ์เข้าหน่อยก็จะไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายของพวกเราเป็นใคร?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงแคะใบหูตน เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “อ้อ หากเจ้ามิเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา ก็คงไม่ดูโง่เขลาถึงเพียงนี้”


 


 


จินต้าอับอายจนกลายเป็นโทสะทำให้ลืมถึงท่าทีทรงพลังของอีกฝ่ายที่เคยแสดงให้เห็นแล้วในโรงเตี๊ยม เขาฟันดาบเข้าใส่ทันที


 


 


นางหูไหนเลยจะเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ นางจึงตกใจร้องเสียงหลงแผ่วเบา


 


 


เจินเมี่ยวกลับมองดูอย่างสนอกสนใจ


 


 


ดาบหยุดค้างอยู่กลางอากาศไม่ขยับ เพราะหลัวเทียนเฉิงใช้สองมือนั้นรับเอาไว้ แล้วค่อยๆ บิดเบาๆ จนดาบนั้นหักเป็นสองท่อน


 


 


ดาบส่วนบนที่หักร่วงตกลงพื้น เกิดเป็นเสียงเพล้งพล้างดังกังวาน


 


 


ผู้คนในห้องตามองอย่างอึ้งงัน


 


 


หลัวเทียนเฉิงหัวเราะคราหนึ่ง “เจ้าดูเถิด บางครา เจ้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญจริงๆ”


 


 


“เช่นนั้นสิ่งใดสำคัญเล่า?” แม้นมิได้มองเขา แต่บุรุษหนุ่มกลับอดถามออกมาตามสัญชาตญาณมิได้


 


 


“ที่สำคัญกว่าคือข้าเป็นใครต่างหาก”


 


 


กล่าวจบ หลัวเทียนเฉิงก็กวักมือเรียกเจินเมี่ยว “อาซื่อ มาหาข้าเร็ว”


 


 


เจินเมี่ยวยืดอกเชิดหน้าเดินเข้าไป


 


 


แค่กๆ ความรู้สึกเป็นเกียรติเช่นนี้คือเรื่องราวใดกัน?


 


 


“คนด้านนอกคล้ายว่าจะมีความเกี่ยวพันกับตระกูลของพวกท่านทั้งสอง คุณชายจินไม่สู้ไปจัดการเรื่องราวระหว่างพวกท่านก่อน เรื่องของข้านั้นมิได้รีบร้อนอันใด”


 


 


นี้คือการข่มขู่ จักต้องเป็นการข่มขู่อย่างแน่นอน รอให้กลับไปก่อนเถิด เขาจักต้องบอกท่านพ่อแน่!บุรุษหนุ่มคำรามด้วยโทสะอยู่ในใจ แต่ยังคงสะบัดมือเดินนำคนของตนออกไปด้านนอก

 

 

 


ตอนที่ 217

 

คนในห้องโถงต่างไม่ทราบว่าบุรุษหนุ่มเอ่ยสิ่งใดกับคนด้านนอก แต่ไม่นานบุรุษหนุ่มก็พาคนทั้งหลายกลับมา เมื่อนั่งลงบนเก้าอีกก็เอ่ยถามว่า “สามีของท่านจะกลับมาเมื่อใดหรือ?”


 


 


“ข้าได้ส่งคนไปตามท่านพี่ที่สวนแล้ว อย่างช้าที่สุดคงเป็นเวลาอาหารค่ำ ท่านพี่ก็คงกลับมาแล้ว”


 


 


“อืม” บุรุษหนุ่มเอ่ยรับคำไปตามปาก แต่ยังคงนั่งอยู่คุยอยู่เช่นนั้น


 


 


นางหูหันไปมองหลัวเทียนเฉิงอย่างไม่รู้ตัวอีกครา นางเพียงรู้สึกว่าเขามีท่าทางคล้ายกับท่านพี่ผู้อยู่ในความทรงจำของนางอยู่หลายส่วน แต่เมื่อมององคาพยพทั้งห้าแล้วก็บอกไม่ถูกว่ามีส่วนใดที่เหมือน


 


 


คงเป็นความคล้ายคลึงกันอย่างคนทั่วไปกระมัง นางหูปลอบใจตนเองเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมา


 


 


คนคล้ายกันได้มิแปลกอันใด แต่บุคคลที่มีความคล้ายคลึงท่านพี่ของนางอยู่หลายส่วนผู้นี้กลับมาหาท่านพี่ถึงที่ แล้วจะมิให้นางคิดมากได้อย่างไร


 


 


เวลานี้เอง นางหูก็อยากจะให้สามีมาปรากฏต่อหน้าเหลือเกินจะได้ถามเอาความจริงต่อเขา


 


 


ทั้งสามฝ่ายต่างไม่คุ้นเคยกัน การนั่งรออยู่เช่นนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนนัก นางหูจริงเอ่ยว่า “ไม่สู้ให้พวกท่านไปย้ายไปที่ห้องรับรองเพื่อพักผ่อนก่อน รอท่านพี่กลับมา ข้าจะส่งคนไปแจ้ง”


 


 


“ไม่ต้อง”


 


 


“ดีเช่นกัน”


 


 


บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับหลัวเทียนเฉิง


 


 


บุรุษหนุ่มถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างโมโห


 


 


ทั้งที่เขาคิดจะฉวยโอกาสนี้พูดคุยสอบถามถึงภูมิหลังของคนผู้นี้สักหน่อยแต่อีกฝ่ายกลับตอบรับการจัดการของนางหูอย่างง่ายดาย?


 


 


จักต้องเจตนากลั่นแกล้งเขาแน่ เจ้าคนสารเลวผู้นี้!


 


 


หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ยืนขึ้น “เช่นนั้นก็รบกวนหูไท่ไท่แล้ว ท่านเตรียมให้พวกเราเพียงสองห้องก็พอ”


 


 


เมื่อบุรุษหนุ่มขึ้นหลังพยัคฆ์แล้วจึงยากจะลง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงฝืนกล่าวออกมาว่า “ข้าไม่เหนื่อย หากจวนท่านมีสวนงามน่าชมก็ให้พวกเราไปเดินรับลมสักหน่อยเถิด”


 


 


 จินต้าค่อยๆ ก้มหน้าลง เอ่ยในใจว่า ท่านอย่าได้ตบหน้าตนจนบวมเพื่อให้ดูอ้วนท้วนเลย และไม่ควรตัดสินใจแทนพวกเขาด้วย!


 


 


เมื่อวานต้องปูผ้านอนในห้องโถงยังไม่พอ กลางดึกยังมีเหตุฆาตกรรมทำให้วุ่นวายอยู่ค่อนคืนมิอาจพักผ่อนอย่างเต็มที่ สิ่งที่พวกเขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือการนอนหลับสักตื่นบนเตียงนุ่มๆ ผู้ใดอยากจะออกไปเดินเล่นรับลมกัน!


 


 


บุรุษหนุ่มนำผู้รับใช้เดินออกไปรับลมหนาวในสวน


 


 


เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแขก เจินเมี่ยวก็เท้าคางมองหลัวเทียนเฉิงไม่วางตา


 


 


หลัวเทียนเฉิงถูกนางมองจนรู้สึกประหม่า จึงกระแอมไอเสียงหนึ่ง “อาซื่อ เจ้ามองอันใดหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวขยับเข้ามาใกล้ นางลูบไล้นิ้วมืออันเรียวยาวของอีกฝ่าย “จิ่นหมิง วันนี้ท่านช่างดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่ง”


 


 


นิ้วเรียวนี้ลูบอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่ามีอันใดแปลกไป แต่เหตุใดถึงได้บิดดาบเล่มใหญ่นั้นหักได้เล่า?


 


 


นิ้วมือของเจินเมี่ยวเนียนนุ่มขาวผ่องดั่งหัวหอมฉ่ำน้ำกระนั้น แม้นมิได้ทาสีตกแต่งเล็บแต่เล็บกลับมีสีอมชมพูอย่างคนมีสุขภาพดี ทั้งยังน่ารักอีกด้วย


 


 


เมื่อค่อยๆ ลูบไล้เช่นนี้ หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกว่านิ้วมือตนกลับเกิดอาการสั่นระริก อาการสั่นนี้ทะลุผ่านนิ้วมือแผ่กระจายไปทั่วร่างเกิดเป็นคลื่นโหมระลอกหนึ่งทำให้ร่างกายเกิดอาการขมวดเกร็งขึ้นมา เขาพลันชักมือออก


 


 


เจินเมี่ยวมึนงงไปชั่วขณะ


 


 


“อย่าดื้อ…” หลัวเทียนเฉิงใบหูแดงเรื่อขึ้นมา แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิ


 


 


“หืม?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่ง


 


 


“หากเจ้าคิดจะ…อย่างไร…อย่างไรก็ต้องรอให้ระดูมาก่อนค่อยว่า…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตะกุกตะกักออกมา


 


 


หากสาวใช้ทงฝังทั้งหลายของเขาคิดจะรั้งเขาไว้ในห้องก็มังจะสัมผัสเขาทั้งใช้สายตานับถือพร้อมป้อนคำหวานเช่นนี้เหมือนกัน


 


 


เขาในชาติก่อนชื่นชอบเสียจนโง่หัวไม่ขึ้น แต่หลังจากที่ฟื้นคืนมาเขากลับเหลือเพียงความรังเกียจและรำคาญเท่านั้น


 


 


ไม่เคยคิดเลยว่าการบอกใบ้เช่นเดียวกันนี้ เจี๋ยวเจี่ยวเพียงแค่ลูบไล้นิ้วมือเขาเท่านั้น เขากลับใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างยากจะควบคุม แต่ตัวเขาเองก็ยังแตกตื่น


 


 


“ข้าคิดอันใดหรือ? แล้วเกี่ยวอันใดกับระดูเล่า?” เจินเมี่ยวฟังแล้วรู้สึกดั่งมีเมฆหมอกปกคลุมเหนือหุบเขาก็มิปาน


 


 


หลัวเทียนเฉิงคิดว่าสามีภรรยาที่ร่วมทุกข์กันมาตลอดทางนั้น หากมีอันใดก็พูดกันได้ตามตรง เขาจึงกระแอมเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ตอนเข้าพิธีมงคล ข้าก็เคยพูดแล้วว่า เราจะไม่ร่วมหอกันจนกว่าระดูเจ้าจะมา แม้นเจ้าอยากจะทำเช่นนั้นอย่างมากแต่ก็อดทนไว้ก่อนจะดีกว่า”


 


 


“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวยังคงมีสีหน้าดุจถูกฟ้าผ่าเช่นนั้นอยู่นาน จึงหยิบหมอนขึ้นมาตีไปที่ใบหน้าหลัวเทียนเฉิง


 


 


“หลัวเทียนเฉิง ข้าอยากฆ่าท่าน ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!”


 


 


เขาใช้หัวแม่เท้ามองหรือไร? ถึงเห็นความชมชอบของนางได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงจับหมอนใบนั้นไว้ เอ่ยบ่นอย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “สตรีมักปากไม่ตรงกับใจ ทั้งที่เวลาพวกเจ้าอยากจะทำเช่นนั้นก็มักทำเช่นนี้แท้ๆ”


 


 


เจินเมี่ยวแทบจะกลั้นโทสะเอาไว้ไม่ได้แล้ว


 


 


ผู้ใดบอกนางหน่อยเถิดว่า นางอยากจะทำอันใดหรือ!


 


 


“อืม ดูท่าท่านพี่คงมีประสบการณ์มามาก?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “เฉินอวี๋ ลั่วเยี่ยนและคนอื่นๆ ก็มักทำเช่นนี้ทุกครั้ง”


 


 


เหลือเกินจริงๆ เชียว! เจินเมี่ยวกำหมัดแน่น


 


 


มีสามีที่ทึ่มทื่อปานนี้ นางว่านางควรตายก่อนเขาจะดีกว่า


 


 


นางโยนหมอนอิงทิ้งไว้ด้านข้างด้วยโทสะ แล้วนอนลงหันหลังให้เขาทันที


 


 


โกรธหรือ?


 


 


เมื่อนางนอนตะแคงข้างเช่นนี้กลับยิ่งขับให้ส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นเด่นชัดขึ้นมา หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าใจตนอ่อนยวบไปหมดทั้งดวงแล้ว เขายื่นมือไปวางทาบลงบนเอวคอดนั้นพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจี๋ยวเจี่ยว แต่เจ้าไม่เหมือนกันกับพวกนาง”


 


 


เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงบรรดาสาวใช้ทงฝัง เจินเมี่ยวก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใด


 


 


แต่นางก็ทราบดีว่า การมีอยู่ของคนเหล่านี้ ในยุคสมัยนี้ มันสมเหตุสมผลและถูกต้อง หากนางเกิดความสงสัยขึ้นมา นางไม่ยอมรับ เช่นนั้นนางก็จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด


 


 


ท่าทีที่เจินเมี่ยวมีต่อสาวใช้ทงฝังเหล่านั้นคือหากพวกนางไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้าก็เท่ากับพวกนางไม่มีตัวตน นางคงมิใช้ชีวิตอย่างไร้ความสุขเพียงเพราะคนเพียงไม่กี่คนกระมัง โลกนี้มิได้มีแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นความรักระหว่างชายหญิงสักหน่อย


 


 


ทว่าสามีแสนทึ่มทื่อของนางกลับกลัวว่าตนจะลืม จึงได้คอยเอ่ยถึงบรรดาสาวใช้ทงฝังขึ้นมาเพื่อให้นางรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกนางกระนั้นหรือ?


 


 


เมื่อหันไปมองท่าทีที่อยากจะปลอบโยนนางอย่างจริงใจนั้นแล้วก็อดกุมขมับไม่ได้


 


 


หากสามารถให้คะแนนการเอาใจสตรีได้ คนผู้นี้จักต้องได้คะแนนนับหมื่นแต้มเป็นแน่!


 


 


“ไม่เหมือนที่ตรงใดหรือ?” อยากจะดูอีกสักหน่อยว่าเขาจะทึ่มไปได้อีกเท่าใดกัน


 


 


หลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่พวกนางต้องการเช่นนั้น ข้ารู้สึกรำคาญยิ่ง แต่ยามที่เจ้าต้องการบ้าง ข้ากลับไม่รู้สึกรำคาญ…”


 


 


นางไม่ควรทดสอบเขาในเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ!


 


 


‘ข้าทายถูกอีกแล้ว’ เจินเมี่ยวค่อยๆ เบี่ยงหน้าหนี แล้วเผลอหลับไปพร้อมอารมณ์อันเบิกบานและเบื่อหน่ายไปพร้อมกัน


 


 


หลัวเทียนเฉิงนั่งมองอยู่นาน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าภรรยาตนช่างงามนักจึงยื่นมือเข้าไปโอบกอดนาง แล้วหยักยกมุมปากขึ้นยิ้ม


 


 


ไม่ทราบว่านอนหลับไปนานเท่าใด เจินเมี่ยวจึงได้ยินเสียงเคาะประตู นางจึงลืมตาตื่นทันที


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ เขานั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวข้างหน้าต่าง


 


 


เจินเมี่ยวจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงออกไปเปิดประตู


 


 


อาซิ่งยืนอยู่ด้านนอกนั้น “คุณชาย นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีนิ่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เขาหันไปเอ่ยว่า “อาซื่อ เราออกไปกันเถอะ”


 


 


เมื่อถึงห้องโถงก็เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ เขากำลังพูดบางอย่างกับนางหู


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอคราหนึ่ง


 


 


นางหูเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยกับบุรุษผู้นั้นว่า “ท่านพี่ คุณชายท่านนั้นมาแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงใจเต้นแรง ความรู้สึกตึงเครียดอันไร้รูปร่างนั้นส่งผ่านไปยังเจินเมี่ยว เจินเมี่ยวใช้แขนเสื้อบังไว้แล้วตอบหลังมือเขาเบาๆ คราหนึ่ง


 


 


บุรุษผู้นั้นหันหลังกลับมา มันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวอันแสนธรรมดา แต่ในสายตาหลัวเทียนเฉิงกลับรู้สึกว่าการหมุนตัวของเขาช่างเชื่องช้ายิ่ง ทำให้เขาทั้งร้อนใจและประหม่า ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเขาหมุนกายเร็วเกินไปทำให้เขาไม่มีเวลาได้เตรียมใจ


 


 


เมื่อเทียบกับความว้าวุ่นใจของหลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวกลับเยือกเย็นได้มากกว่า นางมองดูด้วยท่าทางนิ่งขรึม พลันภาพบุรุษท่าทางดุดัน หนวดเคราเต็มหน้าก็ปรากฏขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวประคองคางตนที่แทบจะร่วงตกลงมาไว้


 


 


นี่ นี่คือท่านอาสี่ที่สามีนางเอ่ยถึงหรือ?


 


 


ท่านอาสี่ที่คล้ายกับเขายิ่งงั้นหรือ?


 


 


แล้วก็ต้องสั่นสะท้านขึ้นมาเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้อันน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง


 


 


หลังจากนี้อีกสิบปี สามีผู้ยิ่งใหญ่ที่งดงามปานต้นหลานจือหยกจะกลายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ?


 


 


โหดร้ายอันใดปานนั้น จักต้องจำผิดคนเป็นแน่


 


 


เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับมองบุรุษไว้เครายาวผู้นั้นอย่างเหม่อลอย


 


 


ในขณะที่สบตากันนั้น เขาทั้งรู้สึกคุ้นเคยและแปลกหน้าไปพร้อมกัน สุดท้ายจึงกลายเป็นความไม่แน่ใจ


 


 


แววตาของบุรุษหนาวเครายาวผู้นั้นดูมึนงง


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องมองเขาเขม็งเพื่อหาค้นหาความจริงในก้นบึ้งนัยน์ตานั้น แต่กลับพบเพียงปากบ่ออันเงียบสงบไร้คลื่นซัด


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้าไปหา


 


 


บุรุษหนวดเครายาวจึงมีสติคืนมา เขาผลิยิ้มทันที “คุณชายท่านนี้…”


 


 


ตามติดด้วยเสียงร้องโหนสูง “อ๊าก…”


 


 


มันควรต้องร้องออกมาจริงๆ เพราะหลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปกระชากเสื้อด้านหลังของเขาออกจนแผ่นหลังขาวสะอาดนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ สักคำ


 


 


นางหูก็ตกใจจนกรีดร้องตามไปด้วย


 


 


อาซิ่งที่เป็นผู้นำทางคนทั้งสามมาที่ถึงกับตกตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์อันไม่น่าเชื่อนี้ หลังจากนั้นก็ได้แต่เกาศีรษะไปมา


 


 


นางรู้สึกดั่งลืมอันใดบางอย่างไป


 


 


แต่นั้นมิสำคัญ ความปลอดภัยของนายท่านต่างหากที่สำคัญที่สุด!


 


 


“ช่วย…”


 


 


เมื่อกำลังจะแหกปากร้องก็มีคนเข้ามาปิดปากนางไว้


 


 


เจินเมี่ยวฝืนยิ้มคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวก่อน รอให้สามีข้าอธิบายก่อน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษผู้นั้นนิ่ง


 


 


แผ่นหลังอันขาวสะอาดนั้นมีผีเสื้อเขียวเข้มตัวหนึ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้ยินเสียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นข้างหูว่า “ท่านอาสี่ เหตุใดแผ่นหลังของท่านจึงมีผีเสื้ออยู่ตัวหนึ่งเล่า?”


 


 


“เจ้าเด็กดื้อ กล้ามาแอบดูอาสี่อาบน้ำหรือ!”


 


 


เด็กน้อยเบ้ปาก “ข้ามิได้ดูอาสะใภ้สี่อาบน้ำเสียหน่อย ท่านอาสี่จะโกรธอันใดเล่า?”


 


 


บุรุษผู้นั้นหันกลับมา แต่ใบหน้ากลับเลือนรางไม่ชัดเจน “เจ้าเด็กดื้อ หากกล้าดูอาสะใภ้สี่อาบน้ำ ข้าคงต้องตีเจ้าจนก้นลายแน่!”


 


 


“เช่นนั้นท่านอาสี่บอกข้ามาเถิด ว่าเหตุใดแผ่นหลังของท่านถึงมีผีเสื้อด้วย?”


 


 


บุรุษหนุ่มเห็นว่าขู่อย่างไรหลานชายก็มิยอมไป จึงเอ่ยอธิบายอย่างจนใจว่า “ก่อนหน้านี้ได้ติดตามบิดาเจ้าไปออกรบจึงได้แผลเป็นกลับมา หากแต่งอาสะใภ้สี่ของเจ้าเข้ามาแล้วนางเห็นเข้าจะหวาดกลัวเอาได้ จึงไปสักรูปผีเสื้อตัวนี้แทน”


 


 


“ฮ่าๆๆ ที่แท้ท่านอาสี่ก็ทำเพื่อเอาใจสตรีนั้นเอง” เสียงอันสดใสดังระฆังทองของเด็กน้อยค่อยๆ เลือนหายไป


 


 


ในแววตาของหลัวเทียนเฉิงคล้ายยังมีความสงสัยเคลือบอยู่หลายส่วน แต่ปากกลับเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ท่านอาสี่…”


 


 


รอยยิ้มที่ดูเกรงอกเกรงใจของบุรุษหนวดเครายาวถูกแช่แข็งไว้ที่มุมปาก


 


 


คำสามคำนั้นคล้ายอัสนีที่ฟาดผ่าลงมากลางศีรษะเขา เกิดเป็นลมพายุฝนโหมกระหน่ำ


 


 


‘ท่านอาสี่ จู่ๆ ท่านปู่ตกม้าได้อย่างไรหรือ? ฝีมือการควบม้าของท่านปู่เชี่ยวชาญเก่งกาจถึงเพียงนั้น’


 


 


‘เจ้าสี่ เรื่องที่บิดาเจ้าตกจากหลังม้าย่อมต้องมีสาเหตุแน่ เจ้าไปตรวจสอบให้ละเอียด จำไว้ว่าอย่ากระโตกกระตากให้ผู้อื่นรู้’


 


 


‘ท่านพี่ จะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ เดี๋ยวก่อน คอเสื้อยังพบไม่เรียบร้อยเลย ให้ข้าทำให้ก่อน’


 


 


พวกเขาเป็นใคร?


 


 


ข้าคือผู้ใด?


 


 


บุรุษหนวดเครายาวรู้สึกคล้ายมีมีดแหลมทิ่มแทงเข้าใส่ศีรษะ เจ็บปวดอย่างที่สุด แล้วเขาก็ล้มลงไปทั้งยืนเช่นนั้น


 


 


ภายในห้องเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที


 


 


“พ่อบ้านหู รีบ…รีบไปแจ้งความเร็ว!” นางหูร้องเสียงสูงขึ้น


 


 


พ่อบ้านหูวิ่งออกไปด้านนอกทันที แต่มีวัตถุบางอย่างแฉลบผ่านข้างหูเขาไปฝังลึกลงตรงขอบประตูพอดี เมื่อมองให้ชัดจึงเห็นว่าเป็นก้อนเงินเบี้ยก้อนหนึ่ง


 


 


เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าพ่อบ้านหูทันที


 


 


ไม่มีผู้ใดเคยบอกเขาว่า การเป็นพ่อบ้านนั้นต้องเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้!

 

 

 


ตอนที่ 218

 

ในฤดูกาลนี้แม้นว่าอากาศจะสดใส แต่เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อากาศก็จะเหน็บหนาวขึ้นอีกมาก


 


 


บุรุษหนุ่มซ่อนมือไว้ใต้แขนเสื้อ เดินวนไปวนมาด้วยสีหน้าดุดัน


 


 


“นายน้อย ให้บ่าวออกไปถามดูสักหน่อยว่านายท่านผู้นั้นกลับมาแล้วหรือไม่?” จินต้าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง แต่สีหน้าตนก็มิได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใดนัก


 


 


สองชั่วยามแล้ว พวกเขาเดินตากลมหนาวอยู่ในสวนเก่าๆ นี้มาสองชั่วยามแล้ว!


 


 


“ไม่ต้อง ภรรยาเขาบอกแล้วมิใช่หรือว่า หากเขากลับมาจะรีบมาเชิญเราไปพบ” บุรุษหนุ่มเอ่ยปฏิเสธทันที


 


 


จะให้กลับไปเองงั้นหรือ?


 


 


ฮึ กลับไปเองดูไร้ซึ่งศักดิ์ศรียิ่ง ทั้งที่ตระกูลหูเป็นคนขอให้ตระกูลจินของเขามาแท้ๆ


 


 


บิดาบอกเขาว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูลจิน จึงมิอาจยอมลดศักดิ์ศรีเพียงเพราะว่าชาแท่งเหล่านั้นพิเศษยิ่ง มิเช่นนั้นย่อมถูกผู้อื่นจูงจมูกได้โดยง่าย


 


 


ไม่มีชาแท่งชนิดใหม่นี้ ตระกูลจินของเขาก็ขาดเงินทองและชื่อเสียงไปเพียงเล็กน้อย แต่ตระกูลหูกลับจะกลายเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ที่มีเงินมากสักหน่อยในเมืองอันทุรกันดารแห่งนี้ต่อไป


 


 


ต่อให้บิดาไม่เตือนเขาไว้ เขาก็ทราบดีว่าจักต้องไม่ให้ตระกูลหูข่มเหงเอาได้


 


 


ฮึ หากนายท่านตระกูลหูไม่มาเชิญเขาด้วยตนเอง เขาไม่มีทางไปเด็ดขาด


 


 


บุรุษหนุ่มตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แล้วเผยรอยยิ้มภาคภูมิออกมาพลางเดินทอดน่องต่อไป


 


 


มารดามันเถอะ ช่างหนาวเสียจริง เหตุใดจึงไม่มีคนมาเสียที?


 


 


เมื่อนายท่านตระกูลหูมิเป็นอันใดมาก นางหูจึงผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา


 


 


นางกันมองไปที่หลัวเทียนเฉิง “พวกท่านมาตามหาญาติจริงๆ หรือ? ท่านพี่ของข้าคืออาสี่ของท่าน?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “ย่อมต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน ผีเสื้อที่ด้านหลังของท่านอาสี่นั้นไม่มีทางผิดตัวแน่ แต่ดูท่าทางแล้ว ท่านอาสี่คงมีปัญหาเรื่องความทรงจำ เช่นนั้นก็รอให้ท่านอาสี่ฟื้นก่อนค่อยว่ากันเถิด”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันไปมองพ่อบ้านหูและอาซิ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ เรื่องนี้ย่อมมิอาจให้แพร่งพรายออกไป”


 


 


นางหูพยักหน้า “เรื่องนี้วางใจได้ พ่อบ้านหูและอาซิ่งไว้ใจได้”


 


 


พ่อบ้านหูและอาซิ่งซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ต่างรีบสาบานว่าต่อให้ตีจนตายก็จะมิปริปากพูดเด็ดขาด


 


 


พลันได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ตามหลักแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถรักษาความลับเอาไว้ได้…”


 


 


พ่อบ้านหูและอาซิ่งแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว


 


 


“แต่ในเมื่อเป็นคนที่ท่านอาสี่ไว้ใจ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”


 


 


ท่านอาสี่ยังมิฟื้น สำหรับนางหูแล้ว หลัวเทียนเฉิงย่อมต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ดังนั้นจึงมิได้เปิดเผยฐานะของจวนกั๋วกงออกไป


 


 


ส่วนนางหูเองก็มิอาจไว้ใจบุคคลที่จู่ๆ ก็บอกว่ามาตามหาญาติได้โดยง่าย นางจึงทำได้เพียงรอให้สามีฟื้นขึ้นมาเท่านั้น


 


 


เมื่อทุกอย่างสงบลง นางหูกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป ครั้นกวาดตามองห้องโถง สีหน้าก็เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “อาซิ่ง ตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่าหลังจากเชิญแขกทั้งสามท่านนี้มาแล้ว ให้เจ้าไปเชิญคุณชายตระกูลจินมามิใช่หรือ?” สวรรค์ นางรู้สึกมาตลอดว่าลืมอันใดไป ที่แท้…ที่แท้สัญชาตญาณของนางไม่ผิดเลยจริงๆ!


 


 


อาซิ่งรีบไปเชิญคุณชายตระกูลจินทันที


 


 


เมื่อคุณชายตระกูลจินพาคนของตนฝ่าลมหนาวกลับมาก็ทราบว่านายท่านตระกูลหูไม่สบาย เขาโกรธจนแทบขาดสติ


 


 


บุรุษหนุ่มด่าทอโวยวายด้วยอารมณ์รุนแรง หลัวเทียนเฉิงกลับมิพูดอันใด เขาเพียงเดินกระทืบเท้าข้างบุรุษหนุ่มผู้นั้นคราหนึ่งแล้วเดินกลับมา


 


 


เมื่อเห็นรอยเท้าที่กดทับลงไปบนพื้นหินนั้น บุรุษหนุ่มก็เงียบเสียงลงทันที


 


 


นางหูมองหลัวเทียนเฉิงด้วยสายตาลังเล คำถามที่คิดจะถามพลันหยุดอยู่ที่มุมปาก แล้วกลืนมันลงไปเงียบๆ


 


 


ภายใต้การข่มขู่วางอำนาจของหลัวเทียนเฉิง ทำให้บุรุษหนุ่มพาคนของเขากลับไปพักผ่อนที่ห้องเป็นการเรียบร้อยแล้ว


 


 


เมื่อเหลือคนอยู่เพียงไม่กี่คน หลัวเทียนเฉิงจึงอดถามออกมามิได้ว่า “ไม่ทราบท่านอาสี่รู้จักท่านได้อย่างไรหรือ?”


 


 


นางหูใจหายวาบขึ้นมา


 


 


นางเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลหู และมีน้องชายผู้หนึ่ง ยามนี้อายุยังไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ บิดามารดานางเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน หากมิใช่เพราะบังเอิญช่วยเหลือเขาไว้ และแต่งงานกันอย่างรีบร้อยทั้งที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ กิจการของตระกูลหูคงมิอาจรักษาเอาไว้ได้แน่


 


 


นางมิใช่คุณหนูไร้เดียงสาที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังเช่นนั้น


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบบุรุษหนุ่มผู้นี้เรียกตนว่าเป็นหลานของสามีนางมิเคยเรียกนางว่าอาสะใภ้สี่เลยสักคำ!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางหูก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา


 


 


หรือว่า…หรือว่าท่านพี่จะมีภรรยามาก่อนหน้านี้แล้ว?


 


 


ตอนนั้นนางจนตรอกแล้วจริงๆ การแต่งงานจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน นางจึงมิได้คิดอันใดมาก ต่อมาก็มีคำถามนี้ผุดขึ้นบ้างบางครั้ง แต่ว่านางก็ไม่อยากขบคิดให้ลึกซึ้ง


 


 


ตอนนั้นท่านพี่อายุยี่สิบห้าปีแล้ว อายุเท่านี้การมีภรรยาย่อมเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?


 


 


ไม่ ไม่ ควรต้องบอกว่า หากไม่มีภรรยาต่างหากจึงเป็นเรื่องผิดปกติ!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางหูก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้แต่ปลอบใจตนเองเงียบๆ ว่าท่านพี่ความจำเสื่อมจำอดีตมิได้ อย่างไรก็คงไม่มีทางจะไม่แต่งภรรยา นางก็แค่มาอยู่ในช่วงเวลานั้นพอดีจึงกลายเป็นคนผู้นั้นเท่านั้นเอง


 


 


ไม่ใช่นางก็คงเป็นผู้อื่นอยู่ดี


 


 


การสูญเสียความทรงจำของท่านพี่อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาลิขิตให้พวกเขาต้องมาพบกันและเป็นสามีภรรยากัน


 


 


ครั้นมองหลัวเทียนเฉิง นางหูก็ลอบตัดสินใจอันใดอยู่เงียบๆ


 


 


หากท่านพี่จำไม่ได้ นางจะไม่ยอมรับเรื่องท่านอาสี่อันใดนี้เด็ดขาด ยิ่งไม่อาจยอมให้พวกเขามาทำลายชีวิตอันสงบสุขที่นางกว่าจะมีได้ในวันนี้เด็ดขาด!


 


 


“ข้าคิดว่า ท่านพี่จะเป็นคนที่พวกท่านตามหาหรือไม่นั้น รอให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยว่าเถิด รอยสักแค่อย่างเดียวมิอาจพิสูจน์อันใดได้”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “เช่นนั้นก็รอให้ท่านอาสี่ฟื้นก่อนค่อยว่ากันเถิด”


 


 


เรื่องที่เขามั่นใจแล้วนั้นมิเป็นต้องให้ผู้อื่นมายืนยัน


 


 


หากท่านอาสี่จำได้ ทุกอย่างคงง่ายขึ้น แต่หากจำไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะทำให้ท่านอาให้สลบแล้วพากลับเมืองหลวง


 


 


อย่าได้กล่าวว่าทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อนางหู หรือบางทีท่านอาสี่อาจจะยินยอมที่จะมีชีวิตเช่นนี้ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วมันยุติธรรมกับท่านย่าที่ต้องทุกข์ทรมานกับการสูญเสียบุตรชายไป ยุติธรรมกับอาสะใภ้สี่ที่มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความรู้สึกและน้องหกเงียบขรึมไม่พูดจาหรือไม่?


 


 


อืม หวังว่าท่านอาสี่คงมิทำให้เขาต้องกระทำความผิดอย่างที่คิดไว้เถิด


 


 


หลัวเทียนเฉิงลูบคางตนพลางครุ่นคิดเงียบๆ


 


 


นางหูเห็นท่าทางของหลัวเทียนเฉิงแล้วก็เริ่มว้าวุ่นใจขึ้นมา นางจึงหันไปกำชับว่า “อาซิ่งไปอุ้มคุณชายมาหาข้าที”


 


 


ผ่านไปไม่นาน อาเถาก็อุ้มจังเกอกลับมา ด้านข้างมีอาซิ่งที่คอยยืนถือโคมไฟให้


 


 


ยามนี้ฟ้ามืดเร็วยิ่ง จังเกอขยี้ตาตนด้วยอาการง่วงงุน


 


 


“จังเกอ มาหาแม่เร็ว ยังมิได้กินข้าวเย็นเลย อย่าเพิ่งหลับล่ะ”


 


 


จังเกอมุดเข้าไปในอกนางหู


 


 


หลัวเทียนเฉิงลอบขมวดคิ้ว เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้แล้วก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมา


 


 


นางหูเป็นคนฉลาดจริงๆ นางอุ้มบุตรไว้กับตนตอนนี้ เพราะคิดว่าหากท่านอาสี่จำอันใดขึ้นมาได้ก็อาจจะตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อนางและลูกกระมัง


 


 


“นายท่านผู้หญิง นายท่านฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หนึ่งรีบมารายงาน


 


 


นางหูมีสีหน้าดีใจขึ้นมาครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ดูจะนิ่งขรึมไป นางก้าวเท้าเดินออกไป แต่ขาอีกข้างกลับก้าวไม่ออกดั่งมีรากงอกขึ้นกระนั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับจูงมือเจินเมี่ยวเดินออกไป


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” นางหูร้องขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันกลับไป


 


 


นางหูลอบสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อให้อารมณ์สงบลง แล้วเอ่ยว่า “ที่พวกท่านพูดมาเป็นเพียงการพูดแต่เพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็รอให้ข้าไปดูว่าท่านพี่เป็นอย่างไรก่อนสักครู่ ค่อยเชิญพวกท่านไปพบเขา”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงเบา เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่ว่า “ข้าต้องไปพบกับท่านอาสี่ให้ได้ตอนนี้!”


 


 


ท่านอาสี่หายสาบสูญไปนานแล้ว ท่านอาที่เขาเคยสนิทสนม ไม่รู้ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ดังนั้นเขามิอาจเสี่ยงให้นางหูเข้าไปพูดอันบางอย่างกับท่านอาสี่ตามลำพังเด็ดขาด


 


 


เขาแค่อยากจะสังเกตท่านอาสี่ให้ละเอียดตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาฟื้นขึ้นมาก็เท่านั้นเอง


 


 


บางทีท่านอาสี่ก็อาจจะยังจำอันใดมิได้ บางทีก็อาจจำได้แล้วแต่แสร้งทำเป็นความจำเสื่อม ขอเพียงเขามิให้โอกาสนางหูและอาสี่ได้มีโอกาสหายใจ เขาถึงจะสามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้!


 


 


วาจาอันไร้ซึ่งความเกรงใจนี้ทำให้นางหูโมโหขึ้นมา “นี้เป็นบ้านของข้า ข้าเป็นภรรยาของเขา ท่านทำเช่นนี้มิใช่ไร้มารยาทเกินไปหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผยยิ้มเย็นชาออกมา แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่า ผู้อื่นเป็นใครนั้นไม่สำคัญ” พูดพลางจูงมือเจินเมี่ยวเดินไปยังห้องที่บุรุษหนวดเครายาวผู้นั้นพักอยู่


 


 


ไม่ว่านางหูกับท่านอาสี่จะมีความสัมพันธ์กันเช่นไร แต่หากนางมาขวางมิให้เขากับท่านอาสี่พบกัน เขาก็มิถือสาที่จะกล่าววาจาประชดประชันต่อนางสักหน่อย


 


 


สตรีช่างน่ารำคาญจริงๆ อาซื่อของเขาจึงดีที่สุด นางมิเคยพูดจาเหลวไหลอันใดแม้แต่น้อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงลอบคิดอยู่ในใจระหว่างที่จับมือนุ่มนิ่มของเจินเมี่ยวไว้


 


 


เจินเมี่ยวย่อมมิเอ่ยวาจาเหลวไหลเป็นแน่ เพราะนางได้ถูกโลหิตสุนัขชามใหญ่สาดใส่เสียจนอึ้งงันไปแล้ว


 


 


แม้นแรกเริ่มหลัวเทียนเฉิงจะบอกว่ามาที่นี่เพื่อตามหาท่านอาสี่ของเขา แต่ในใจของนางกลับมิได้รู้สึกอันใดมากมายนัก


 


 


กระทั่งยามนี้จึงเพิ่งรู้สึกขึ้นมาได้ว่าบุรุษหนวดเครายาวผู้นั้นคือนายท่านสี่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?


 


 


เช่นนั้นอาสะใภ้สี่กับคุณชายหกจะทำฉันใดเล่า? แล้วจะทำอย่างไรกับนางหูและจังเกอเล่า?เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นบุรุษหนวดเครายาวกำลังจ้องมองลายฉลุหน้าต่างอย่างเหม่อลอย


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปหา


 


 


บุรุษหนวดเครายาวผู้นั้นจึงมองมา


 


 


“ท่านอาสี่?” หลัวเทียนเฉิงนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง


 


 


สบตากันอยู่นาน บุรุษหนวดเครายาวผู้นั้นจึงถอนหายใจยาว “ต้าหลัง”


 


 


ฝ่ามือที่กำแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อของหลัวเทียนเฉิงพลันคลายออก


 


 


เคราะห์ดีที่ท่านอาสี่ความจำฟื้นคืนแล้ว และโชคดีที่ท่านอาสี่ยังคิดที่จะรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของตนอยู่ มิใช่วิ่งหนีอย่างคนอ่อนแอ!


 


 


“ท่านพี่ พวกเขา พวกเขาเป็นญาติท่านจริงๆ หรือ?” นางหูมือสั่นขึ้นมา


 


 


จังเกอกอดคอนางหูไว้แล้วมองดูอย่างแปลกใจ


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวมองนางหูและจังเกอด้วยแววตาที่ดูสับสนอย่างยิ่ง แล้วพยักหน้าตอบเบาๆ ว่า “นางหู เจ้าออกไปดูว่าอาหารค่ำนั้นจัดเตรียมไปถึงไหนแล้วก่อนเถิด วันนี้ข้าได้พบกับหลานชาย คงต้องฉลองกันสักหน่อย”


 


 


นางหูฝืนแสดงท่าทียินดี แล้วหมุนตัวเดินออกไป


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวถอนหายใจออกมา


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะจัดการอย่างไรกับนางหูจึงจะเหมาะสม


 


 


“ภายในจวนเป็นอย่างไรบ้าง? เหตุใดเจ้าจึงหาที่นี่พบ?”


 


 


“ทุกอย่างปกติดีขอรับ ท่านปู่ท่านย่ายังสุขภาพแข็งแรงดี ส่วนหลานก็แต่งงานแล้ว หยวนเหนียงและจือฮุ่ยต่างก็มีคู่หมายแล้ว” แต่มาถึงที่นี่ได้อย่างไรนั้น หลัวเทียนเฉิงกลับไม่เอ่ยถึง


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวมองไปที่เจินเมี่ยว


 


 


“ท่านอาสี่” เจินเมี่ยวร้องเรียกเสียงกังวานใสคราหนึ่ง


 


 


ความปีติเกิดขึ้นในดวงตาของนายท่านสี่สกุลหลัว แล้วเอ่ยปากว่า “ต้าหลัง ในอดีตอาห่วงที่สุดก็คือเรื่องงานมงคลของเจ้า ยามนี้นับว่าวางใจได้แล้ว”


 


 


ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามอีกว่า “อาสะใภ้สี่ของเจ้า…”


 


 


“หลังจากที่ท่านหายตัวไป อาสะใภ้สี่ก็เสียใจกลายเป็นคนเงียบขรึม แต่…”


 


 


“แต่อันใดหรือ?” นายท่านสี่สกุลหลัวตึงเครียดขึ้นมา


 


 


“ตอนที่ท่านหายสาบสูญไปนั้น ความจริงอาสะใภ้สี่ได้ตั้งครรภ์แล้ว ต่อมาจึงคลอดเจ้าหก ยามนี้ก็ห้าปีแล้ว”


 


 


เมื่อคิดถึงเจ้าหก หลัวเทียนเฉิงก็อดดีใจมิได้


 


 


การไร้บิดานั้น แม้นจะชาติกำเนิดดีเพียงใดก็นับว่าชีวิตน่าสงสารยิ่ง ตอนนี้นับว่าไม่เป็นไรแล้ว


 


 


“ห๊ะ!” นายท่านสี่สกุลหลัวทั้งตกใจและยินดีไปพร้อมกัน


 


 


สำหรับความรู้สึกที่มีต่อนางชีและนางหูนั้นออกสับสน ซับซ้อนอยู่ไม่น้อย แต่การรู้ว่าตนมีทายาทแล้วนั้นกลับทำให้เขาแปลกใจและดีใจยิ่ง


 


 


เมื่อบอกเล่าสภาพโดยทั่วไปเสร็จแล้ว หลัวเทียนเฉิงกลับมิได้กังวลเรื่องที่นายท่านสี่สกุลเจินจะจัดการเช่นไรกับภรรยาทั้งสองของเขา แต่กลับถามออกไปตามตรงว่า “ท่านอาสี่ เหตุใดท่านจึงความจำเสื่อมเล่า?”

 

 

 


ตอนที่ 219

 

นายท่านสี่สกุลหลัวมิได้ตอบ เพียงมองเจินเมี่ยวและอาหู่คราหนึ่ง


 


 


เดิมอาหู่ก็ไม่ทราบอยู่แล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขามีสีหน้างุนงงอยู่ตลอด


 


 


เจินเมี่ยวจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาสี่ ท่านกับท่านพี่พูดคุยกันไปก่อนเถิด ข้าจะไปหาหู…หูไท่ไท่ก่อน เผื่อว่าจะมีอันใดให้ช่วยบ้าง”


 


 


จวนสกุลหูแม้นจะนับได้ว่าเป็นผู้มีฐานะในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีกิจการและไร่นา ทั้งยังมีบ่าวไพร่อีกหลายคน แต่หลายๆ เรื่องนายท่านผู้หญิงก็ยังคงต้องลงมือทำเองอยู่


 


 


แต่หากเป็นจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการเตรียมอาหารค่ำรับรองแขกแค่เอ่ยสั่งเพียงคำก็พอแล้ว กลับกันในจวนสกุลหูแห่งนี้ นางหูยังคงต้องไปดูแลด้วยตนเองว่าจัดเตรียมเป็นเช่นไรบ้างแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อหาเหตุผลที่เหมาะสมปลีกตัวออกมาเท่านั้น


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวมีวาจาที่มิสะดวกให้นางรับรู้ นางก็มิได้รู้สึกอึดอัดขัดใจอันใดสักนิด ความลับพวกนั้นน่ะหรือ นางรู้แล้วก็ไม่มีความสามารถไปช่วยแก้ไขได้ แต่หากมีอันใดต้องการให้นางช่วยเหลือหรือรับทราบ หลัวเทียนเฉิงย่อมต้องบอกนางอย่างแน่นอน


 


 


การไม่ไปขบคิดเรื่องที่เกินความสามารถตนนั้นเป็นอุปนิสัยที่มีมาแต่ไหนแต่ไรของนางเอง


 


 


ยามนี้นางแค่คิดถึงอาหารเลิศรสอย่างตับห่านราดน้ำแดง ไข่นกกระทาทอดกรอบ แป้งม้วนไส้ถั่วทอดกรอบ และนกเอี้ยงก้นลายที่นับวันยิ่งอ้วนพีตัวนั้นของนางด้วย


 


 


“อาหู่ ไปเถิด” เจินเมี่ยวจูงอาหู่เดินออกไป


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา “ต้าหลัง หลานสะใภ้คงจะตำหนิข้าแน่ กลับไปช่วยกล่าวขออภัยต่อนางแทนข้าด้วย แต่บางเรื่องนั้นยากที่จะพูดจริงๆ” สตรีผู้นั้นใจกว้างเสียยิ่งกว่าอันใด จะให้นางมาใส่ใจเรื่องพวกนี้หรือ แค่กๆ นั้นกลับเป็นการทำนางลำบากใจยิ่งกว่า


 


 


“ปีที่ปู่ของเจ้าตกม้านั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านย่าเจ้าหรือว่าข้าต่างก็สงสัยว่านี้มิใช่เหตุบังเอิญทั่วไป จึงคอยสืบเรื่องราวมาตลอด” นายท่านสี่สกุลหลัวเอ่ยปากพูด


 


 


หลัวเทียนเฉิงคอยฟังอย่างตั้งใจ


 


 


“คนดูแลม้าที่เป็นผู้ดูแลแค่เพียงม้าศึกของปู่เจ้าโดยเฉพาะก็ฆ่าตัวตายหลังจากเกิดเรื่องขึ้น แต่ตัวเขานั้นไม่มีภรรยาหรือบุตรเลย เบาะแสที่มีจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ข้าลอบสืบอยู่นานจึงทราบว่าเขามีญาติห่างๆ อยู่เป่ยเหอจึงได้ออกจากเมืองหลวงไปสืบดู”


 


 


“ท่านตามหาญาติห่างๆ ผู้นั้นของเขาพบหรือไม่?” หลัวเทียนเฉิงทราบดีว่าการสูญเสียความจำของท่านอาสี่ในครั้งนี้ต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวมีหนวดเคราเต็มหน้าจึงมองสีหน้าอารมณ์ของเขาไม่ออก มีเพียงแววตาที่ล้ำลึกขึ้นมา “พบ พบกับคนของเผ่าเย่ว์อี๋ที่หนีรอดมาได้!”


 


 


“อันใดกัน?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่ง


 


 


เผ่าเย่ว์อี๋ก็คือดินแดนที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ต้องแต่งออกไป แต่เพราะการกระทำที่ทำให้คนทั้งโลกต้องแตกตื่นของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ทำให้เกิดสงครามขึ้น ต่อมาจึงถูกฆ่าล้างเผ่าไป


 


 


“กล่าวเช่นนี้ คนของเผ่าเย่ว์อี๋ก็ยังคงเหลืออยู่ กระทั่งแฝงตัวเข้าไปในจวนเราได้? ข้าจำได้ว่าท่านย่าเคยบอกว่า สงครามปีนั้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นผู้ลงสนามเอง และบิดาของเขาก็เป็นแม่ทัพใหญ่”


 


 


“พวกเขาคิดจะแก้แค้นท่านพ่อ แก้แค้นจวนกั๋วกงของเรางั้นหรือ?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวพยักหน้า “ชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น ตอนนั้นข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน จึงได้สืบไปตามความคิดนี้ แต่ต่อมากลับพบว่าเรื่องราวกลับดูแปลกประหลาดมากขึ้นทุกที เผ่าเย่ว์อี๋ที่เหลือนั้นมีคนคอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่ และผู้ที่ช่วยเหลือก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตองค์รัชทายาทที่ถูกปลดด้วย!”


 


 


“อดีตรัชทายาทที่ถูกปลด?”


 


 


“ใช่ อดีตรัชทายาทที่หายสาบสูญไปในอดีตนั้นแล น่าเสียดายตอนที่ข้าสืบจนถึงตรงนี้แล้วกลับถูกพวกเขาจับได้ คนที่ข้าพาไปถูกฆ่าตายในการต่อสู้ครั้งนั้นจนหมด เหลือเพียงข้าที่หลบหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เมื่อจนตรอกจึงกระโดดลงไปในหุบเขาสูง เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกคราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”


 


 


“เป็นนางหูที่ช่วยท่านไว้?” หลัวเทียนเฉิงลอบทอดถอนใจกับโชคชะตาที่บังเอิญถึงเพียงนี้ เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านจึงแต่งเข้าบ้านนางเช่นนั้นหรือ?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่ เข้ามิได้แต่งเข้าบ้านนาง แต่ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่เกือบครึ่งปีจึงหายดี ไม่นานบิดานางหูก็เสียชีวิต มารดาของนางจากไปตั้งนานแล้ว ครั้นบิดาจากไปนางก็เหลือเพียงน้องชายที่ยังเยาว์วัย ทั้งยังต้องดูแลไร่ชาอีก คนภายในตระกูลต่างคิดไม่ดี คนภายนอกก็คอยจะหาผลประโยชน์ เราจึงตกลงอยู่กินกันในช่วงเวลาที่นางกำลังไว้ทุกข์ แม้นข้าจะอยู่ในจวนสกุลหู ดูแลกิจการของตระกูลหู แต่ก็มิได้แต่งเข้ามาเป็นลูกเขย แต่ลงนามในสัญญาต่อหน้าคนในตระกูลนาง หลังจากที่น้องชายนางเติบใหญ่ก็จะยกกิจการนี้ให้เขา”


 


 


เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นายท่านสี่สกุลหลัวก็ยิ้มหยันตนออกมา “ผู้ใดจะรู้ว่าชะตาชีวิตกลั่นแกล้งทำให้ข้าจำอดีตขึ้นมาได้ในวันนี้เล่า”


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้แต่เงียบงัน


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวตอบมือหลัวเทียนเฉิง “เอาเถิด อาสี่ย่อมจัดการเรื่องของตนเองให้เหมาะสม ว่าแต่เจ้าเถิด บอกมาได้แล้วกระมังว่าเหตุใดจึงหาที่นี่พบ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวฟังแล้วก็ต้องหวาดหวั่นใจไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยิ้มสดใสออกมา “ไม่เสียทีที่เราสองคนเป็นอาหลานกัน ต่างมาที่อำเภอเป่าหลิงเพราะถูกตามฆ่าเช่นกัน เรื่องที่เจ้าเจอครานี้ เกรงว่าคงมิธรรมดาแน่ กลับไปถึงเมืองหลวงเสียก่อนค่อยสืบสาวให้ละเอียด”


 


 


“ขอรับ” หลัวเทียนเฉิงพยักหน้ารับ สายตากลับมองตกไปที่หนวดเคราของนายท่านสี่สกุลหลัว “เหตุใดท่านอาสี่จึงไว้หนวดเคราเล่า?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวลูบแก้มตนแล้วเอ่ยว่า “มีครั้งหนึ่งข้าไปเมืองชิงหยาง จึงพบว่าตนถูกสะกดรอยตาม แม้นตอนนั้นจะสลัดหลุดจากคนผู้นั้นมาได้ แต่หลังจากกลับมาก็ครุ่นคิดอยู่นานถึงความผิดปรกตินี้ อาสี่ของเจ้าแค่สูญเสียความทรงจำ มิได้สูญเสียสติปัญญา ข้าจึงเริ่มไว้หนวดเคราตั้งแต่นั้นมา”


 


 


“หากเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเมืองชิงหยางจะมีคนของเผ่าเย่ว์อี๋อยู่?”


 


 


“หรือบางทีก็เป็นคนของอดีตรัชทายาทพระองค์ก่อน ผู้ใดจะรู้ได้เล่า” นายท่านสี่สกุลหลัวหัวเราะ


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นเหตุใดท่านอาสี่ถึงได้ใช้ชาแท่งชนิดใหม่นี้ไปทำการค้ากับตระกูลจินที่ชิงหยางเล่า?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวลูบเคราที่ขึ้นเต็มหน้าตน “อาจเป็นเพราะเรื่องนั้นทำให้ข้ามิอาจสงบใจได้กระมัง ไม่รู้ว่าตนเป็นใคร ไปล่วงเกินผู้ใดไว้ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย ตระกูลจินแห่งชิงหยางมีเส้นทางการค้าที่จะส่งชาเข้าวังหลวงได้ ข้าคิดว่าหากต้องนั่งรออย่างกระวนกระวาย รอให้ศัตรูที่ไม่รู้ว่าใครบุกเข้ามาหาข้า มิสู้ข้าทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก่อนที่เขาจะหาเจอ หึๆ หากรู้ว่าเรื่องราวจะยุ่งยากปานนี้ เกรงว่าคงจะเก็บหางไว้ทำตัวเป็นคนธรรมดาต่อไปแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา


 


 


แม้นท่านอารองจะสูญเสียความทรงจำ แต่อุปนิสัยยังคงไม่เคยยอมแพ้ให้กับสิ่งใด ชมชอบที่จะชิงลงมือควบคุมสถานการณ์ก่อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


“เช่นนั้นตอนนี้คุณชายจากตระกูลจินมาถึงแล้ว ท่านอาสี่คิดจะหลบเลี่ยงหรือไม่?”


 


 


“ไม่ คงจะฉวยโอกาสนี้เข้าเมืองหลวงไปเสียเลย!” นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มออกมา “ในเมื่อมีหลายฝ่ายกำลังตามหาข้า ไม่ทราบว่าเป็นมิตรหรือศัตรู เช่นนั้นข้าก็จะกระชากพวกเขาทุกคนให้ออกมา เราจะเข้าเมืองหลวงไปในฐานะคหบดี อย่างไรเสียข้าก็คิดจะเข้าเมืองหลวงอยู่แล้วหากชาแท่งชนิดใหม่นี้ได้รับการยอมรับจากตระกูลจิน”


 


 


หลานและอาทั้งสองคุยกันอยู่อีกนานจึงมีสาวใช้เข้ามาเชิญไปกินข้าว


 


 


ตระกูลคหบดีนั้นมิพิธีรีตองอันใดมาก จึงกินข้าวภายในห้องโถงเดียวกัน เพียงแต่แยกโต๊ะชายหญิงและมีฉากบังลมกั้นไว้


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยลอยข้ามฉากบังลมมาว่าพรุ่งนี้จะพาบุรุษหนุ่มไปเยี่ยมชมไร่ชา


 


 


นางหูกำลังกังวลใจหลายเรื่องจึงค่อนข้างเงียบขรึม


 


 


แต่จังเกอกลับดูสนิทสนมกับเจินเมี่ยวมากขึ้นอีกหลายส่วน จึงพูดคุยกับนางอยู่หลายคำ


 


 


เมื่อกินอาหารเสร็จ ทุกคนต่างก็กลับห้องตนไปพักผ่อน


 


 


“กล่าวเช่นนี้ นางหูก็มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตอาสี่” เจินเมี่ยวยืนขึ้นจ้องมองหลัวเทียนเฉิง


 


 


“เช่นนั้น…ท่านอาสี่คิดจะทำอย่างไรหรือ?”


 


 


“ท่านอาสี่? นี้มิใช่เรื่องที่ท่านอาสี่จะทำอันใดได้”


 


 


“หมายความว่าเช่นใด?” เจินเมี่ยวนั่งลงทันที


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับความรู้สึกของท่านอา ไม่ว่าเขาจะมีรักแรกพบกับนางหูก็ดี จะแต่งงานกับนางหูก็ช่าง อาสะใภ้สี่เป็นสะใภ้ที่แต่งเข้าตระกูลอย่างถูกต้องทุกอย่าง นางหูก็คงเป็นได้แค่อนุแล้ว หากท่านอาสี่คิดเห็นเป็นอื่น เกรงว่าท่านย่าคงได้ใช้ม้าเท้าตีเขาจนพิการเป็นแน่”


 


 


เจินเมี่ยวฟังหลัวเทียนเฉิงเล่าทุกอย่างออกมาอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรมชาติก็ได้แต่อึ้งงันไป


 


 


ความน้ำเน่าที่นางคิดไว้เล่า? การใช้วิธีดึงรั้งสารพัดรูปแบบเล่า? ที่แท้สิ่งที่นางคิดมาครึ่งค่อนวันกลับกลายเป็นว่าท่านอาสี่คิดสิ่งใดไม่สำคัญ กฎระเบียบต่างหากคือเหตุผลอันถูกต้อง!


 


 


นั้นหมายความว่านางหูคงทำได้เพียงเข้าเมืองหลวงไปเป็นอนุ หรือไม่ก็อยู่ที่นี่เช่นเดิมเท่านั้นหลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกมาหงิกแก้มเจินเมี่ยว เอ่ยถามอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เป็นอันใด อาซื่อ เจ้าเห็นใจนางหูหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่ เพียงแค่รู้สึกว่าโชคชะตาช่างกลั่นแกล้งคนเสียจริง แต่ก็มิถึงกันเห็นใจ…”


 


 


“เพราะอันใดหรือ?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสนใจขึ้นมา


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตามองเขาแล้วเอ่ยว่า “หากเป็นอย่างที่ท่านพูด ตอนนั้นท่านอาสี่ถูกนางหูช่วยไว้ ทั้งยังพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ถึงครึ่งปี นางหูต้องพบกับเรื่องร้ายเช่นนั้น ทั้งนางยังเอ่ยปากก่อน ท่านอาสี่ย่อมไม่มีทางปฏิเสธได้กระมัง ทว่าตอนนั้นท่านอาสี่ก็อายุยี่สิบห้าปีแล้ว บุรุษที่อายุเท่านี้มีหรือจะยังไม่แต่งงาน? ในเมื่อนางหูเลือกเช่นนี้ ก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเลือก มิใช่หรือ? หากพูดถึงความเห็นใจ ข้าคงเห็นใจอาสะใภ้สี่มากกว่า นางต่างหากที่ไม่มีโอกาสเลือกอันใดเลย ทำได้เพียงยอมรับความจริงข้อนี้เท่านั้น”


 


 


“อาซื่อ”


 


 


“หืม?


 


 


“เจ้าคิดได้เช่นคนมีสติปัญญาเช่นนี้ทำให้ข้าไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยจริงๆ” หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงต่ำ แต่ในใจกลับรู้สึกภาคภูมิอย่างยิ่ง


 


 


สตรีบางคนฉลาดแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ส่วนเรื่องใหญ่ๆ กลับไม่เข้าใจ ยังดีที่เจี๋ยวเจี่ยวของเขามิได้เป็นเช่นนั้น


 


 


เจินเมี่ยวยื่นมือออกมาหยิกเอวหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ท่านพูดจาไม่ดีอยู่ร่ำไป ข้าไม่คุ้นชินเช่นกัน!”


 


 


“หึๆ” หลัวเทียนเฉิงจับมือเจินเมี่ยวไว้ “อาซื่อ หากเป็นเจ้าเล่า หากเจ้าเจอสถานการณ์เช่นเดียวกับนางหู เจ้าจะทำฉันใด?”


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเป็นข้า ข้าก็คงจะหาบุรุษที่ยังไม่มีภรรยาสักคนแล้วรีบจัดงานแต่งอย่างรวดเร็วกระมัง ในพื้นที่แห่งนี้ตระกูลหูก็มิใช่เลวร้ายอันใด บุตรสาวก็มิได้อัปลักษณ์ คนที่อยากแต่งเข้ามาก็คงมีไม่น้อย แม้นการแต่งงานจะรวดเร็วไปสักหน่อยจึงมิอาจรับประกันได้ว่าจะได้คนดีที่สุด แต่ความเสี่ยงครั้งนี้สำหรับข้าแล้วก็สามารถทำใจยอมรับได้ แต่การเสี่ยงว่าสักวันตนต้องเปลี่ยนจากภรรยากลายเป็นอนุนั้นข้ากลับไม่มีทางรับได้อย่างแน่นอน”


 


 


ส่วนนายท่านสี่สกุลหลัวก็กำลังพูดคุยสนทนาอยู่เช่นกัน


 


 


“ท่านพี่มีภรรยาอยู่ที่จวนงั้นหรือ?” นางหูกำผ้าห่มแน่น


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวถอนใจแล้วพยักหน้า


 


 


“เช่นนั้น เช่นนั้นท่านคิดจะจัดการเช่นไรกับเราสองแม่ลูก?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวดึงมือนางหูเข้ามากุมไว้ แล้วเอ่ยว่า “เป็นข้าเองที่ผิดต่อพวกเจ้าสองแม่ลูก…”


 


 


นางหูสะบัดมืออก แล้วเอ่ยเสียงแหลมสูงว่า “ท่านพี่ ความหมายของท่านคือจะให้ข้าเป็นอนุ แล้วจังเกอก็กลายเป็นบุตรของอนุงั้นหรือ?”


 


 


ช่างเหลวไหลและน่าขบขันสิ้นดี เมื่อกลางวันนางยังรู้สึกสงสัยว่าสตรีที่ยืนอยู่ต่อหน้านางนั้นหากไม่เป็นอนุในเรือนก็เป็นอนุนอกเรือนแน่ แต่พริบตานางกลับเปลี่ยนจากภรรยากลายเป็นอนุไปเสียแล้ว!


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเงียบไป เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับ


 


 


นางหูรู้สึกดั่งตกลงไปในธารน้ำแข็ง ความเหน็บหนาวกระจายไปทั่วร่าง นางกัดฟันเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านพี่ก็กลับไปเถิด ข้าจะอยู่กับจังเกอที่นี่เอง”


 


 


นางไม่เชื่อว่าความผูกพันฉันสามีภรรยาที่ผ่านมาหลายปี กับบุตรชายน่ารัก และกิจการที่กำลังเจริญรุ่งเรืองนี้จะรั้งเขาไว้ไม่ได้!

 

 

 


ตอนที่ 220

 

เส้นโลหิตบนขมับนายท่านสี่สกุลหลัวปูดโปนขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด 


 


 


นางหูฝืนหันหน้าหนีไป 


 


 


หลังจากที่มารดาคลอดนาง หลายปีก็ยังไม่มีบุตรชาย นางจึงถูกเลี้ยงมาดุจบุตรชายก็มิปาน กระทั่งอายุสิบต้นๆ บิดาก็เริ่มหาบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล ทว่าคนพวกนั้นจะมีอันใดดีได้เล่า! 


 


 


อาจเพราะสวรรค์เมตตานาง เมื่อถึงวัยปักปิ่นมารนางก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา เวลานั้นเป็นช่วงที่นางใช้ชีวิตอย่างสบายใจที่สุด 


 


 


ผู้ใดจะทราบว่ามารดากลับจากไปหลังคลอดน้องชาย หากรอให้พ้นช่วงเวลาไว้ทุกข์ นางก็เป็นสตรีทึนทึกอายุสิบแปดแล้ว 


 


 


บิดาจึงรีบร้อนจะจัดงานมงคลให้กับนาง บางทีอาจเป็นลิขิตสวรรค์ทำให้ได้พบกับเขา 


 


 


เขาทั้งหล่อเหลาสง่างาม นางโตมาถึงเพียงนี้แล้วยังมิเคยเจอผู้ใดเช่นเขาเลย แม้นจำไม่ได้ว่าตนมีที่มาที่ไปอย่างไร ทว่าเขารู้หนังสือ ทั้งยังเป็นวรยุทธ์ แม้นจะไม่มีความทรงจำในอดีตแต่ที่มาก็ย่อมไม่ธรรมดาแน่ 


 


 


นางรู้ในตอนนั้นเองว่า นางไม่มีทางจะปล่อยบุรุษผู้นี้ไป นางไม่มีทางพบผู้ใดที่ดีกว่าเขา และเหมาะสมกว่าเขาอีกแล้ว! 


 


 


ในตอนนั้นนางตัดสินใจลองเสี่ยงสักครั้ง เพื่อให้ได้สามีที่มีความสามารถและรู้จักเอาใจใส่ และในวันนี้นางยังคงต้องเสี่ยงอีกสักครั้ง 


 


 


นางมิอาจยอมอ่อนข้อ หากยอมถอยแม้เพียงก้าวนั้นกลับกลายเป็นแม่น้ำลึกนับหมื่นจั่ง ตั้งแต่นี้ต่อไปนางกับจังเกอก็มิอาจหวนคืนกลับไปได้ 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง 


 


 


“เหมยเหนียง ข้ารู้ ว่าเรื่องนี้มันยากเกินไปจริงๆ” 


 


 


นางหูเช็ดน้ำตาตน 


 


 


ความรู้สึกผิด ความรัก ความผิดหวัง ปรากฏขึ้นในดวงตาของนายท่านสี่สกุลหลัว สุดท้ายกลับกลายเป็นความแน่วแน่ “แต่ต่อให้ยากกว่านี้ ข้าก็ยังต้องเลือกกลับไป ไม่…ไม่ ข้าไม่ทางเลือกต่างหาก ข้ามีเพียงหนทางเดียวให้เดิน นั้นคือกลับบ้าน เจ้าเข้าใจหรือไม่?” 


 


 


ที่นั่นเป็นบ้านที่เลี้ยงดูเขามา ยังมีบิดาที่สติไม่ค่อยดี ท่านแม่ที่ชราภาพ ภรรยาผู้ไร้ที่พึ่ง อย่างไรเขาก็มิอาจละทิ้งชีวิตและความรับผิดชอบของเขาได้ 


 


 


“หมายความว่า ท่านจะทิ้งพวกเราสองแม่ลูกงั้นหรือ?” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเผยรอยยิ้มขมขื่น “เหมยเหนียง เจ้าไม่เข้าใจหรือ นับตั้งแต่ที่ข้าจำทุกอย่างได้ ข้าก็ไม่มีทางอื่นใดให้เลือกแล้ว ยามนี้มีคนที่มีสิทธิ์เลือกคือเจ้า ว่าจะไปกับข้าหรืออยู่ที่นี่” 


 


 


ใบหน้านางหูค่อยๆ ซีดเผือดลง “หากข้ายืนยันที่จะอยู่ที่นี่เล่า ท่านก็จะพาจังเกอไปด้วย? ห๊ะ ใช่หรือไม่? ” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวกุมมือนางหูไว้อย่างปลอบประโลม “หากเจ้าต้องการจังเกอ เช่นนั้น…ก็ให้เขาอยู่กับเจ้าเถิด” 


 


 


สวรรค์ย่อมรู้ดีว่าการตัดสินใจเช่นนี้นั้นยากเย็นเพียงใด ทว่านี้ก็เป็นบทลงโทษที่เขาควรได้รับ 


 


 


“ให้อยู่กับข้า? ท่านพูดได้ไพเราะยิ่ง น้องชายยังเล็ก ท่านจากไปเช่นนี้ ท่านอยากให้ผู้อื่นมาคอยบงการชีวิตเรางั้นหรือ?” 


 


 


“เหมยเหนียง ไม่ว่าจะไปหรืออยู่ ข้าก็ย่อมต้องดูแลตระกูลหูเป็นอย่างดี หาก…หากเจ้าคิดจะแต่งงานใหม่ ก็ถือว่าเราแยกทางกันด้วยดีแล้ว” 


 


 


ความเหน็บหนาวกระจายไปทั่วร่างนางหู คล้ายโลหิตถูกสูบออกมาจนหมดกระนั้น ปากนางสั่นระริก “ท่านพี่ ท่านช่างใจร้ายนัก!” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวหัวเราะขมขื่น “ใช่” 


 


 


เขาควรได้รับบทลงโทษ ขอเพียงบทลงโทษนั้นมาลงที่เขาก็พอแล้ว 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของนายท่านสี่สกุลหลัว นางหูก็รู้ทันทีว่ามิอาจฉุดรั้งเขาไว้ได้ จึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านให้ท่านแม่ท่านกับ…กับพี่สาวมาอยู่ที่นี่ดีหรือไม่? เข้าจะยอมเป็นอนุของท่าน” 


 


 


ในเมืองแห่งนี้ ผู้ที่ยอมแต่งเป็นอนุนั้นมิใช่ไม่มี แม้นฐานะจะต่ำกว่าภรรยาเอกอยู่สักหน่อย แต่บุตรที่คลอดก่อนก็นับว่าเป็นทายาทของตระกูล 


 


 


ขอเพียงมาอยู่ในที่ของนาง นางก็ยังคงเป็นคนดูแลจัดการจวนสกุลหูแห่งนี้และยังมีอำนาจในมือเช่นเดิม ต่อให้นางเป็นอนุก็มิได้ต่ำต้อยไปกว่าภรรยาเอกสักนิด! 


 


 


“เหมยเหนียง ข้ายังมิได้บอกกับเจ้าว่า บิดาข้าคือกั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์อันดับหนึ่งที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา ตระกูลเรามิใช่ตระกูลพ่อค้าจึงไม่มีกฎการแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านอนุภรรยา” 


 


 


“อันใดกัน!” นางหูเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงโดยพลัน “กั๋ว…กั๋วกง?” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวพยักหน้าพลางยิ้มขมขื่น 


 


 


จากสิ่งที่เขาได้รับการอบรมมาทั้งหมดก็ทำให้เขามิอาจยอมรับเรื่องเหลวไหลอย่างการแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านอนุได้เช่นกัน! 


 


 


นางหูมองนายท่านสี่สกุลหลัวอย่างอึ้งงัน พลันยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเพียงตบมือนางเบาๆ เท่านั้น 


 


 


นางหูร้องไห้อยู่นานถึงครึ่งชั่วยามจึงหยุดลง นางเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “”ได้ ท่านพี่ ข้าจะไปกับท่าน ยอมเป็น…ยอมเป็นอนุของท่าน” 


 


 


“เหมยเหนียง…” 


 


 


นางหูเปลี่ยนน้ำเสียงทันที นางเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “แต่ข้ามีข้อแม้” 


 


 


“เจ้าพูดมา” 


 


 


“จังเกอ เขาไม่อาเป็นบุตรของอนุได้ ขอให้ท่านบอกกับพี่สาวว่าให้จังเกอมีฐานะดั่งบุตรของนางอีกคน” 


 


 


ใช่ เขาได้มอบทางเลือกให้กับนางแล้ว แต่หากนางหย่ากับเขาจริงๆ ก็ต้องแต่งให้กับชายแก่ที่นางไม่รู้สึกต้องตาอันใด ทั้งยังต้องคอยห่วงเรื่องโสมมเป็นกองของชายแก่นั้นอีกงั้นหรือ? 


 


 


แล้วจังเกอของนางจะทำอย่างไรเล่า! 


 


 


ต่อให้เป็นเพียงบุตรของอนุ แต่จังเกอก็เป็นถึงบุตรของนายท่านจวนกั๋วกง อย่างไรนางก็ต้องต่อสู้เพื่อจังเกอ! 


 


 


นางหูเกิดในตระกูลคหบดี อย่างไรก็ต้องเลือกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด 


 


 


ท่านพี่กับสตรีผู้นั้นมิได้พบกันมานานมากแล้ว ย่อมต้องมีระยะห่างต่อกันแน่ หากสตรีผู้นั้นรับปาก ตั้งแต่นี้ต่อไปจังเกอก็จะมีฐานะดุจบุตรภรรยาเอก แต่หากนางไม่รับปาก ท่านพี่ก็จักต้องยิ่งสงสารและรู้สึกผิดกับพวกนางสองแม่ลูก แค่ตอนนี้นางต้องยอมเสียเปรียบบ้างก็เท่านั้น นางไม่เชื่อว่า ตระกูลสูงศักดิ์เช่นนั้นจะไม่มีเรื่องลุ่มหลงอนุจนทำลายภรรยาเกิดขึ้นจริงๆ! 


 


 


บุตรชายบุตรสาวไม่เหมือนกัน แม้นบุตรชายของอนุภรรยาจะมิอาจสืบทอดตำแหน่งทายาทตระกูล แต่ภายหน้าก็ยังมีสิทธิ์ได้รับทรัพย์สินของตระกูล 


 


 


หากนางปล่อยเรื่องนี้ไปจริงๆ ภายหน้าจังเกอเติบโตขึ้นก็อาจจะตำหนินางได้ 


 


 


แต่ไหนแต่ไรนางหูก็เป็นคนเด็ดขาด เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่าทีดุร้ายนั้นจึงสลายไปเหลือเพียงความโศกเศร้า 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “ได้ ข้ารับปากเจ้า” 


 


 


เขากับนางชีเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่หนุ่มสาว ทั้งสองรักใคร่กันดียิ่ง ทว่าหลายปีที่เขาอยู่กับนางหูก็มิใช่ไม่มีความรู้สึกใดเลยสักนิด ทั้งยังมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้อีก 


 


 


ผ้าม่านถูกปิดลง ราตรียิ่งมืดมิดขึ้นทุกขณะ ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง 


 


 


วันต่อมานายท่านสี่สกุลหลัวก็พาคุณชายตระกูลจินไปที่ไร่ชา เพราะเคล็ดลับในการทำชาแท่งชนิดใหม่นี้มีเพียงนายท่านสี่สกุลหลัวที่ทราบ คุณชายตระกูลจินจึงได้เชิญเขากลับเมืองหยางชิงพร้อมกัน แล้วค่อยไปเมืองหลวงด้วยกัน 


 


 


วันที่เขาจากมาฟ้าสว่างใสเมฆเบาบาง ใบไม้แห้งถูกลมพัดปลิวว่อน 


 


 


นางหูยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นเงาด้านหลังแล้วนางจึงอุ้มจังเกอกลับเรือน 


 


 


“ท่านแม่ ท่านพ่อต้องออกเดินทางอีกแล้วหรือ? เมื่อใดจะกลับมาเล่า?” 


 


 


จังเกอแม้นร่างกายอ่อนแอแต่กลับฉลาดหัวไว อายุเพียงสามปีก็พูดจาได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว 


 


 


นางหูกอดจังเกอไว้แน่น “ไม่นาน ไม่นานท่านพ่อก็จะกลับมารับพวกเราแล้ว” 


 


 


ยิ่งใกล้ถึงเมืองหลวง อากาศก็คล้ายจะหนาวเย็นยิ่งขึ้น ต้นไม้สองข้างทางนั้นแห้งโกร๋นไร้ใบไปนานแล้ว หากเป็นยามเช้าตรู่กะจะมีหยาดน้ำแข็งเกาะเต็มกิ่งไม้ หากมีรถม้าผ่านมาแล้วชนหยาดน้ำแข็งที่ย้อยลงมาเข้า มันก็จะร่วงเกรียวกราวใส่เต็มร่างคนทันที 


 


 


คุณชายสามคาบหญ้าแห้งไว้ในปากแล้วพ่นมันออกมาโดยแรง เขาเช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “หลายวันมานี้ช่างยากลำบากนัก!” 


 


 


จากเป่ยเหอถึงเมืองหลวงนั้นเป็นระยะเวลาอันแสนสั้น แต่เขากลับเดินทางมาทั้งหมดครึ่งเดือน! 


 


 


กลุ่มคนประหลาดพวกนั้นมาจากที่ใดกันตั้งมากมายหรือ! 


 


 


ยามนี้ข้างทางไม่มีผู้คนสัญจรเลย คาดว่าอีกไม่นานก็คงมีคนโผล่มาแน่! 


 


 


ครูหนึ่งก็มีคนหลายคนกระโจนทะยานเข้ามา ในมือต่างมีดาบยาวถืออยู่ พวกเขาชูมันขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ 


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” คุณชายสามร้องขึ้น 


 


 


ฝ่ายตรงข้ามจึงหยุดมือลง 


 


 


แม้นฝ่ายของตนจะสูญเสียคนไปจำนวนมาก แต่คุณชายสามกลับมิขลาดกลัวดั่งครั้งแรกที่ถูกโจมตี เขาแยกเขี้ยวเอ่ยว่า “ต้องการมาชิงโลงศพใช่หรือไม่?” แล้วปรบมือ คนของเขาก็ร้องฮูลาขึ้นครู่หนึ่ง โลงศพก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทันที 


 


 


ให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายจึงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เข้าไปล้อมไว้ 


 


 


การแย่งชิงโลงศพนั้นคือเป้าหมายอันดับหนึ่ง เจ้านายกำชับมาเช่นนั้นโดยมิได้บอกให้ฆ่าคนปิดปากแต่อย่างใด 


 


 


เสียงธนูพุ่งสวบสาบเข้ามาคร่าชีวิตของคนที่เข้าไปใกล้โลงศพนั้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วคนอีกกลุ่มก็โผล่ออกมา 


 


 


ทั้งสองฝ่ายต่างกระโจนเข้าต่อสู้ฟาดฟันกันเป็นพัลวัน 


 


 


คุณชายสามเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจโลงศพแล้ว จึงโบกมือคราหนึ่ง “ให้พวกเขาสู้กันเถิด พวกเราไป” 


 


 


เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ใกล้เข้ามาทุกที รถม้ากลุ่มหนึ่งวิ่งตามหลังขึ้นมา 


 


 


คุณชายสามมองด้วยสายตาระแวดระวังคราหนึ่ง 


 


 


นั้นเป็นกลุ่มที่มีคนอยู่นับสิบคน รถลาลากสำหรับให้คนนั่งคันหนึ่ง ด้านหลังยังมีรถลาลากสำหรับบรรทุกสินค้าอีกสองคัน มีคนขี่ม้าอีกหลายคน ที่เหลือล้วนเดินเท้า 


 


 


หนึ่งในคนที่ขี่ม้าคือบุรุษหนวดเครายาวที่มิอาจมองหน้าให้ชัดได้ มีเพียงแววตาคู่นั้นที่เปล่งประกายเต็มเปี่ยมด้วยพลัง 


 


 


“น้องชายมีอันใดให้ช่วยหรือไม่?” 


 


 


คุณชายสามโบกมือไปมา “ไม่มี พวกท่านรีบไปเถิด หากเกิดเหตุอันใดกับพวกท่าน ข้าคงช่วยไม่ได้!” 


 


 


บุคคลที่นั่งอยู่ในรถลาลากพลันแหวกม่านออกมา บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งยื่นหน้าออกมา “นายท่านสกุลหู หากท่านคิดจะยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าคงมิอาจให้ท่านยืมคนของข้าได้” 


 


 


“คุณชายจินเย้าข้าเล่นแล้ว ข้าไหนเลยจะมีความสามารถไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นได้” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว คนในเมืองหลวงกำลังรอชาแท่งเที่ยวนี้อยู่เลยเชียว” บุรุษหนุ่มปล่อยม่านลงแล้วกลับเข้าไปนั่งตามเดิม 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวชำเลืองมองผู้ขับควบรถลาลากคราหนึ่ง 


 


 


คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานสะใภ้จะปลอมตัวเป็นคนขับควบรถลาลากได้เหมือนเช่นนี้ 


 


 


หลังจากนั้นก็หันไปมองคุณชายสามคราหนึ่ง 


 


 


หากมิใช่เพราะต้าหลังบอกไว้ เขาก็คงจำไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือเจ้าสาม! 


 


 


“ตามมาทันแล้ว” คุณชายสามรีบหันไปมองตรงหน้า 


 


 


เสียงวัตถุแหวกอากาศแว่วดังขึ้น คุณชายสามหลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณตน แล้วหันกลับไปมอง เป็นดาบใหญ่เล่มหนึ่งที่ทะยานพุ่งเข้ามา 


 


 


ตามติดด้วยเสียงเพล้งพล้างเสียงหนึ่ง ไม่ทราบว่าสิ่งใดที่สกัดดาบเล่มใหญ่นั้นจนกระเด็นปักลงบนพื้น  


 


 


คุณชายสามหันหลังไปมองครู่หนึ่ง ใบหน้าก็พลันซีดไปทันที 


 


 


คิดไม่ถึงว่าฝีมือของทั้งสองฝ่ายในครานี้จะต่างกันราวฟ้ากับเหว กลุ่มคนที่ได้รับใช้ชนะจึงตามพวกเขามาจนทัน 


 


 


คุณชายสามได้แต่ร้องแย่แล้วอยู่ในใจ 


 


 


กลุ่มคนเหล่านั้นแม้นจะได้รับบาดเจ็บมาแต่ด้วยฝีมือและจำนวนคนของเขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ 


 


 


เมื่อเห็นว่าสิ่งที่สกัดดาบบินเล่มใหญ่นั้นไว้ได้เป็นเพียงแค่ถุงหนังใส่น้ำธรรมดา คุณชายสามจึงหันไปมองนายท่านสี่สกุลหลัวแล้วเอ่ยเสียงสูงว่า “ท่านผู้แข็งแกร่ง ข้าเป็นคุณชายจากจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าคุ้มกันศพของพี่ใหญ่เข้าเมืองหลวงแต่ถูกคนชั่วขัดขวางไว้ ขอให้ท่านผู้แข็งแกร่งโปรดช่วยเหลือ จวนเจิ้นกั๋วกงจักต้องตอบแทนท่านอย่างที่สุด” 


 


 


“จวนเจิ้นกั๋วกง?” ผ้าม่านกลับถูกเปิดออกอีกครั้ง บุรุษหนุ่มยื่นหน้าออกมา “ท่านมีอันใดมายืนยัน?” 


 


 


เมื่อเห็นคนทั้งหลายนั้นใกล้เข้ามาทุกที คุณชายสามก็ยิ่งร้อนใจ “ยืนยันด้วยอันใดหรือ ก็คงต้องดูป้ายหยกที่พกติดกายแล้ว แต่ท่านก็ดูไม่ออกอยู่ดีว่าจริงหรือปลอม แต่หากพวกท่านเอื้อมมือเข้าช่วย รอให้ไปถึงจวนกั๋วกงก็ย่อมต้องทราบแล้วว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง” 


 


 


เวลานี้เองคนกลุ่มนั้นก็ตามมาถึงพอดี เมื่อเห็นว่ามีคนอีกกลุ่มเพิ่มเข้ามาก็ต่างมองหน้ากัน พยักหน้าแล้วพุ่งเข้าหาโลงศพพร้อมกัน 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวกระโดดออกจากหลังม้า เตะเท้าออกไปหลายคราบนกลางอากาศ คนกลุ่มนั้นกลับถูกเตะจนสลบไป 


 


 


เดิมทีบุรุษหนุ่มนั้นยังคงตัดสินใจไม่ได้ แต่เมื่อเห็นนายท่านสี่สกุลเจินชิงลงมือก่อนแล้วก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา 


 


 


จวนกั๋วกงหรือ หากบิดาทราบว่าเขามีบุญคุณต่อจวนกั๋วกงคงต้องดีใจจนแทบเสียสติแน่ 


 


 


“ยังยืนเหม่ออันใดอยู่อีก รีบเข้าไปช่วยเร็ว!” 


 


 


บิดาเคยบอกว่าเป็นพ่อค้าต้องยอมเสี่ยงอันตราย ขอเพียงผลตอบแทนนั้นคุ้มค่า 


 


 


บุรุษหนุ่มหัวเราะออกมา 


 


 


คุณชายสามลอบผ่อนลมหายใจออกมา มีคนโง่มาคอยช่วยกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า เขารีบบอกถึงผลตอบแทนที่อีกฝ่ายจะได้แล้วขอให้คนกลุ่มนี้คุ้มครองเขาไปจนถึงจวนกั๋วกง 


 


 


บุรุษหนุ่มเป็นคนเด็ดขาด เมื่อเขาตัดสินใจว่าสร้างหนี้บุญคุณ เขาก็เอาสินค้าออกมาจากรถจนหมดแล้วเอาโลงศพใส่เข้าไปแทนทั้งสิ่งของอื่นถมทับไว้ 


 


 


คุณชายสามและคนอื่นๆ ต่างแต่งกายเป็นคนของขบวนขนสินค้านี้ 


 


 


เดิมเขาก็ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว เมื่อปลอมตัวเช่นนี้จึงสามารถเดินทางเข้าเมืองหลวงได้อย่างสงบราบเรียบ 


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง คุณชายสามทั้งดีใจและเศร้าโศกจนยากจะแยก เขาร้องขึ้นต่อหน้าประตูด้วยเสียงแหบพร่าว่า “รีบเปิดประตูเร็ว เข้านำศพพี่ใหญ่กลับมาแล้ว!” 

 

 

 


ตอนที่ 221

 

ข่าวเรื่องการนำศพของคุณชายผู้สืบทอดกลับมาแพร่กระจายไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยังมิถึงลานกลางเรือนด้วยซ้ำ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถือไม้เท้าออกมาต้อนรับเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังเดินอย่างคล่องแคล่วยิ่ง กระทั่งทิ้งห่างผู้อื่นไปหลายก้าว 


 


 


“อยู่ที่ใด?” 


 


 


คุณชายสามเห็นท่านย่าดูเข้มแข็งกว่าที่ตนคิดไว้ก็ยกนิ้วขึ้นชี้ “ท่านย่า นั้นขอรับ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นโลงศพสีดำทะมึนหลังหนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป 


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า…” นางเถียนประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้ “ให้ท่านพี่ไปดูเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองนายท่านรองสกุลหลัว 


 


 


“ท่านแม่ ให้ลูกไปดูเถิด” 


 


 


“ได้ เจ้ารอง เจ้าต้องตรวจดูให้ละเอียดว่านั้นเป็นศพของต้าหลังหรือไม่” มือที่กำไม้เท้าของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นเทาเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสริมอีกว่า “เจ้าสาม เจ้าก็ไปดูด้วยเถิด” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวหรี่ตาเล็กน้อย ใจเต้นรัวเร็วขึ้นมา 


 


 


ฝาโลงที่ปิดอยู่นั้นค่อยๆ ถูกเลื่อนเปิดออก นายท่านรองและนายท่านสามสกุลหลัวเข้าไปดูพร้อมกัน 


 


 


แม้นอากาศจะเย็นแล้วทั้งยังมีน้ำแข็งถมไว้อีกชั้น แต่ศพที่นอนนิ่งอยู่ข้างในก็ยังคงเปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อย ทั้งยังส่งกลิ่นอันยากจะทานทนไหวออกมาอีกด้วย 


 


 


นายท่านสามสกุลหลัวเดินกลับมารวดเร็วดุจลมพายุ เขาคลึงดวงตาอันแดงก่ำของตนคราหนึ่ง “ท่านแม่ ข้างในนั้นไม่ใช่ต้าหลังขอรับ!” 


 


 


“จริงหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเผยสีหน้าตกใจระคนยินดีออกมา 


 


 


คนทั้งหลายในจวนกั๋วกงต่างเงียบไร้วาจา 


 


 


มุมปากของนายท่านรองสกุลหลัวหยักยกขึ้นสูง 


 


 


เจ้าสามช่างเหลวไหลนัก หากสามารถแยกออกได้ว่าข้างในเป็นบุรุษหรือสตรีด้วยเวลาอันรวดเร็วเพียงนั้นได้ ตนคงต้องคุกเข่าให้เขาแล้ว! 


 


 


เขาอดกลั้นมิสูดกลิ่นเหม็นที่ทำให้คนต้องกลั้นหายใจเอาไว้ แล้วจ้องมองอย่างละเอียดคราหนึ่งพลางเอ่ยว่า “น้องสาม เจ้าดูยังไม่ละเอียดด้วยซ้ำ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคล้ายยิ่ง” 


 


 


“จริงหรือ?” นายท่านสามสกุลหลัวเดินเข้าไปอย่างลังเล เขาเพียงชำเลืองมองเข้าไปในโลงครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าโดยแรง “ไม่มีทาง นี่มิใช่ต้าหลังอย่างแน่นอน” 


 


 


“เจ้าสาม เจ้าดูดีแล้วหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่ากำไม้เท้าแน่น อารมณ์ที่ประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลงทำให้ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกแบกรับไม่ไหวแล้ว 


 


 


นายท่านสามสกุลหลัวพุ่งเข้ามาประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้เบียดให้นางเถียนหลบไป “ลูกคิดว่าไม่ใช่ขอรับ ต้าหลังไหนเลยจะอัปลักษณ์เพียงนี้!” 


 


 


‘เปรี๊ยะ’ หน้ากากอันเศร้าสลดของนายท่านรองสกุลหลัวแตกละเอียดออกมาทันที เขาแหกปากคำรามร้อง “น้องสาม เจ้ากำลังเล่นตลกอันใดกัน!” 


 


 


นางเถียนบิดเบ้ปากคราหนึ่ง “น้องสาม ฮูหยินผู้เฒ่ามิอาจทนการล้อเล่นเช่นนี้ของท่านได้ดอก นี่มิใช่เวลาที่จะมาพูดจาเหลวไหลรู้หรือไม่” 


 


 


นายท่านสามสกุลหลัวกลอกตาไปมา แล้วหันไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านแม่ ลูกดูอย่างไรข้างในนั้นก็มิใช่ต้าหลังอย่างแน่นอน แต่พี่รองกับพี่สะใภ้กลับบอกว่าลูกพูดเหลวไหล พวกเขาหมายความว่าเช่นไรกัน?” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกสำลักจนเกือบขาดใจตาย ได้แต่ถลึงตาใส่นายท่านสามสกุลหลัว 


 


 


นางเถียนโกรธจนมุมปากบิดเบี้ยว “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านฟังเอาเถิด น้องสามพูดเช่นนี้ได้อย่างไร หรือคิดว่าท่านพี่อยากจะให้คนที่นอนอยู่ในนั้นเป็นต้าหลัง? เจ้าสามเดินทางนับพันลี้นำศพของพี่ใหญ่เขากลับมา แต่น้องสามมองเพียงครู่เดียวก็บอกว่าไม่ใช่ นี่มิใช่กำลังทำให้ท่านเลอะเลือนหรือ!” 


 


 


นายท่านสามสกุลหลัวมองนางเถียนด้วยสายตาประหลาดคราหนึ่ง “พี่สะใภ้รองจะตื่นเต้นไปไย ข้าก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้น” 


 


 


นางเถียนกล้ำกลืนโลหิตไว้ในลำคอ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับชำเลืองมองนางเถียนด้วยแววตาดุดัน แล้วจึงเอ่ยถามนายท่านสามสกุลหลัวว่า “เจ้าสาม เหตุใดเจ้าจึงคิดว่านั้นมิใช่ต้าหลัง?” 


 


 


นางเถียนได้แต่ข่มกลั้นไว้ 


 


 


ปกติฮูหยินผู้เฒ่าฉลาดหลักแหลมนักมิใช่หรือ ทั้งที่วันนี้น้องสามเอ่ยวาจาเหลวไหลยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงไม่ตำหนิ แต่ยังชักสีหน้าใส่นางอีก? 


 


 


ความจริงเป็นเพราะนางเถียนนั้นมิเข้าใจหัวใจคน 


 


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตายของคนที่รัก ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดเพียงใดก็คงอยากจะให้มี ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แม้นจะรู้ว่าปกตินายท่านสามสกุลหลัวจะมีอุปนิสัยเลื่อนลอยอยู่บ้าง แต่จิตใต้สำนึกภายในก็ยังเลือกที่จะเชื่อเขา กลับกันคำพูดที่ว่าศพในโลงนั้นเป็นต้าหลังต่างหากที่ฟังแล้ว หากไม่รู้สึกปวดใจจึงจะแปลก 


 


 


“ลูกเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพคน แม้นเห็นรูปหน้าคนที่นอนอยู่ในนั้นไม่ชัดเจน ทว่าแค่เพียงมองก็รู้สึกว่ามิใช่แล้ว ไม่เหมือน ไม่เหมือนจริงๆ ต้าหลังรูปงามปานนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ได้” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวกับนางเถียนโกรธแทบตายแล้ว 


 


 


นี้มันเป็นคำอันประหลาดใดกันเล่า เพราะใบหน้าเสียโฉมและศพเปลี่ยนรูปร่าง ดูอัปลักษณ์จึงมิใช่ต้าหลังแล้วเช่นนั้นหรือ? 


 


 


เขาสามารถหาศพที่มีสภาพเช่นนี้แต่ยังรูปงามอยู่ได้กระนั้นหรือ! 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน เจ้ารอง เจ้าต้องดูให้ละเอียดล่ะ ข้าจำได้ว่าบนหัวเข่าด้านซ้ายของต้าหลังมีแผลเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่” 


 


 


นางเถียนเกือบจะพ่นโลหิตออกมาแล้ว นางลอบกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อถึงสามารถควบคุมท่าทีของตนเอาไว้ได้ 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวลอบสูดลมหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์ตน “เช่นนั้นลูกจะดูให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุดขอรับ” 


 


 


เขาฝืนทนกับกลิ่นเหม็น ยื่นมือออกไปดึงขากางเกงของศพขึ้น จ้องมองอย่างจริงจังอยู่นาน แล้วลุกขึ้นข่มความรู้สึกอยากจะตัดมือตนทิ้งไปไว้ “ท่านแม่ ศพนี้มีแผลเป็นหัวเข่า…” 


 


 


เมื่อเห็นร่างฮูหยินผู้เฒ่าโงนเงน ก็รู้สึกห่วงใยอยู่หลายส่วน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือความยินดีจนต้องถอนหายใจโล่งอก แต่ทำได้เพียงข่มกลั้นอาการอยากหัวเราะของตนไว้แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านต้องรักษาสุขภาพตนให้ดี อย่างไรต้าหลังก็นับว่ากลับมาแล้ว เด็กคนนี้กตัญญูต่อท่านมาตลอด หากรู้ว่าท่านต้องเสียสุขภาพเพราะเขาคงไม่อาจสงบใจได้แน่” 


 


 


“เป็นต้าหลัง เป็นต้าหลังจริงๆ หรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าถอดสีไปนานแล้ว พริบตาจึงดูชราไปอีกหลายปี 


 


 


ครั้งแรกที่ทราบข่าวการตายของต้าหลังกระทั่งถึงวันนี้ก็เป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับฝืนทนมาตลอด นางคิดในใจว่าหากไม่เห็นกับตาจะไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด 


 


 


“ข้า ข้าจักต้องไปดูด้วยตาตนเองสักหน่อย” 


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ เมื่อครู่ท่านพี่ก็ดูอย่างละเอียดแล้ว ท่านอย่าดูเลย ท่านพี่พูดถูก หากท่านไม่สบายขึ้นมา ต้าหลังทราบเข้าคงมิอาจสงบใจได้” นางเถียนเอ่ยเตือนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ 


 


 


นางซ่งเดินขึ้นหน้าเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่า ให้สะใภ้เข้าไปดูดีหรือไม่ อย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่ควรทำอย่างสะเพร่า” 


 


 


นางเถียนไม่พอใจขึ้นมา “น้องสะใภ้สาม วาจานี้คงมิใคร่ถูกนัก ท่านพี่ตรวจดูนานปานนั้นแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่าสะเพร่า? อีกอย่างอาสะใภ้เช่นเจ้าจะรู้จักต้าหลังได้ดีเพียงใดกัน?” 


 


 


วาจานี้ที่พูดมาช่างแทงใจยิ่งนัก นางซ่งเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง นางเม้มริมฝีปากแน่น 


 


 


“เอาล่ะ ข้าจะไปดูเอง!” ฮูหยินผู้เฒ่ายกไม้เท้าในมือเคาะพื้นสองสามครา 


 


 


นางเถียนโกรธจนมุมปากบิดเบี้ยว 


 


 


นางนับว่าดูออกแล้ว นอกจากคนที่ตรวจดูศพจะบอกว่าผู้ที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ต้าหลัง หญิงชราผู้นี้ถึงจะไม่ดู มิใช่นั้นก็ยังแข็งใจดูสักคราให้ได้ 


 


 


นี้มันเรื่องอันใดกัน ทำดั่งตนและสามีมิใช่คนกระนั้น ดูไม่ออกจริงๆ ว่าภรรยาของน้องสามจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้! 


 


 


นางเถียนเพิ่งจะรู้ความจริงวันนี้นี่เอง 


 


 


หากน้องสามพูดถูก เช่นนั้นพวกเขาสองสามีภรรยาก็ลำบากแล้ว แต่หากบอกว่าไม่ใช่ ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่มีทางกล่าวตำหนิเป็นแน่ 


 


 


หญิงชราแทบอยากจะให้ทุกคนบอกว่าต้าหลังยังมีชีวิตด้วยซ้ำกระมัง! 


 


 


ไปดูเถิด ดูเถิด อย่าดูจนตาบอดไปแล้วกัน! 


 


 


“ท่านย่า หลานจะไปดูเองว่าเป็นพี่ใหญ่หรือไม่!” หลัวจือหยาพลันเดินออกมา ขอบตามีน้ำตาเอ่อล้น 


 


 


นางเถียนรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา 


 


 


บุตรอัปรีย์ นางเพิ่งจะพูดวาจาเช่นนั้นต่อนางซ่งไป แต่หลัวจือหยากลับโผเข้ามา นี้มิใช่ต้องการตบหน้านางหรือไร! 


 


 


นางดึงหลัวจือหยาไว้ แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “เจ้าเป็นเพียงสตรี จะมาร่วมสนุกอันใดด้วย!” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับคิ้วกระตุก 


 


 


ร่วมสนุก? 


 


 


ต้าหลังของนางกลับมา เรียกว่าการมาดู มาร่วมสนุกงั้นหรือ? 


 


 


หรือนางเถียนคิดเช่นนี้มาตลอด? 


 


 


สายตาจับผิดมองไปยังนางเถียน นางเถียนตื่นเต้นขึ้นมาจึงเริ่มแสร้งทำสีหน้าเศร้าใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า หากท่านจะดู เช่นนั้นสะใภ้จะประคองท่านไปดูเองเจ้าค่ะ สะใภ้เลี้ยงเด็กคนนี้มาตั้งแต่เยาว์ ในใจของสะใภ้เขาก็ไม่ต่างอันใดกับเจ้ารอง เจ้าสาม หากไม่ดูให้แน่ใจ สะใภ้เองก็ยากจะวางใจได้” 


 


 


ครั้นได้ยินนางเถียนเอ่ยถึงตน คุณชายสามก็มองไปที่มารดาตน ความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ 


 


 


หากศพที่นอนอยู่ในโลงนั้นเป็นตนเอง ท่านแม่ยังจะพูดจาเอ่ยเตือนท่านย่าอย่างเป็นเหตุเป็นผลเช่นนี้อยู่หรือไม่? 


 


 


เหตุใดจึงมิพุ่งเข้าไปร้องห่มร้องไห้ข้างโลงศพเล่า? 


 


 


คุณชายสามมิใช่คนละเอียดอันใด จึงเพียงรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ให้บอกว่าผิดแปลกที่ตรงใดกลับบอกไม่ถูก 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเดินทีละก้าวๆ ไปที่โลงศพ พลันได้ยินเสียงดังชัดยิ่งว่า “ท่านย่า…” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดชะงักทันที 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวกลับถอยหลังห่างออกไปจากโลงศพอย่างรวดเร็ว และเพราะความรีบร้อนเกินไป ขาจึงไปเกี่ยวเอาสิ่งใดมิทราบจนล้มลง 


 


 


“เสียงคุณชายผู้สืบทอดมิใช่หรือ!” บ่าวผู้มีไหวพริบผู้หนึ่งร้องขึ้น 


 


 


ทุกคนที่อยู่ใกล้โลงศพต่างถอยกรูออกมาเสียงดังพึ่บพั่บ 


 


 


เดิมมีคนคิดจะยื่นมือเข้าไปประคองนายท่านรองสกุลหลัวไว้ แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ก็หดมือกลับและถอยหลังไปตามสัญชาตญาณทันที นายท่านรองสกุลหลัวจึงล้มลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิได้ใส่ใจเลย เอาแต่หันมองไปรอบทิศ “ต้าหลัง ต้าหลัง เป็นเจ้าหรือไม่?” 


 


 


คนทั้งคนที่ยืนอยู่ข้างประตูซึ่งถูกคนทั้งหลายยืนบดบังไว้มาตลอดเดินออกมาโดยพลัน 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจูงมือเจินเมี่ยวเดินเข้ามา คุกเข่าลงดังพลั่ก “ท่านย่า หลานกลับมาแล้ว ทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วง หลานต้องขออภัยอย่างยิ่งขอรับ” 


 


 


เสียงโขกศีรษะดังโป๊กๆ ติดกันสามครั้ง แล้วค่อยยืนขึ้น 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองอย่างละเอียด 


 


 


คนทั้งสองแต่งกายเป็นคนขับรถลาก บนศีรษะยังมีงอบบังแดดกันฝนสวมอยู่ 


 


 


“เจ้าคือต้าหลังจริงๆ หรือ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงดึงงอบออก “ท่านย่า อาสามพูดไม่ผิด บุคคลที่อยู่ในนั้นอัปลักษณ์ยิ่ง จะเป็นหลานได้อย่างไร” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องหลัวเทียนเฉิงนิ่งดั่งถูกสาปก็มิปาน 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก็มิขยับเคลื่อนไหว ปล่อยให้นางจ้องต่อไป 


 


 


ขณะเดียวกันคนทั้งหลายในจวนต่างก็ร้องโห่ด้วยความยินดี 


 


 


มีเพียงนายท่านรองสกุลหลัวและนางเถียนที่มีสีหน้าย่ำแย่ดุจเมฆทะมึน เคราะห์ดีที่เวลานี้ไม่มีผู้ใดหันมองพวกเขาแม้แต่น้อย 


 


 


“ต้าหลัง?” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพลันยกไม้เท้าขึ้นฟาดใส่ร่างหลัวเทียนเฉิง นางตีไปพลางด่าทอไปพลาง “เจ้าเด็กชั่วช้า เหตุใดจึงมิรีบปรากฏตัวออกมา แต่กลับแอบซ่อนคอยขบขัน หรือว่าปีกกล้าขาแข็งแล้ว? วันนี้ย่าจะตีเจ้าให้ตาย แล้วเอาโลงนี้ใส่ศพเจ้าเสีย” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรีบหลบเป็นพัลวัน “โอ๊ะ ท่านย่า อย่าตีโดนหน้า อย่าโดนหน้าขอรับ” 


 


 


คนทั้งหลายต่างหัวเราะออกมา 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าตีไปพลางร้องไห้ไปพลาง 


 


 


เจินเมี่ยวดึงงอบออกแล้วหันไปมองดูด้วยรอยยิ้มตาหยี 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าระบายโทสะไปพอสมควรแล้วจึงวิ่งไปหลบข้างหลังเจินเมี่ยว 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดตีทันที “หลานสะใภ้?” 


 


 


“ท่านย่า หลานสะใภ้น้อมคารวะท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา “ผอมลงไปมาก กลับมาก็ดีแล้วๆ” 


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก แล้วร้องไห้ออกมาเช่นกัน “ผอมจริงๆ เจ้าค่ะ อยู่ข้างนอกไม่มีของดีๆ ให้กินเลย” 


 


 


สีหน้าหลัวเทียนเฉิงบิดเบี้ยวขึ้นมาครู่หนึ่ง เอ่ยตามตรงเพียงนี้ จะดีจริงๆ หรือ? 


 


 


“นางเถียน อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้ให้จัดเช่นยามเราฉลองวันตรุษ!” 


 


 


นางเถียนตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


“หลานสะใภ้อยากกินอันใดหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม 


 


 


“อยากกินขาหมูเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าหงึกหงัก “กินขาหมูนั้นดียิ่ง กินขาหมูนั้นดียิ่ง” 


 


 


นางเถียนอดกลอกตาไปมามิได้จริงๆ 


 


 


เหลือเกินจริงๆ อันใดที่เรียกว่ากินขาหมูดียิ่ง? 


 


 


น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะกลับดังขึ้น “ผู้ใดก็ได้มาพยุงข้าขึ้นเดี๋ยวนี้” 


 


 


คนทั้งหลายได้ยินก็หันไปมอง จึงเห็นนายท่านรองสกุลหลัวล้มคว่ำอยู่บนพื้น 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดียิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “พวกเจ้าช่างไร้ตานัก รีบเข้าไปพยุงนายท่านรองขึ้นมาเร็ว เอาล่ะ กลับเข้าเรือนกันเถิด อย่ามัวแต่ยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้เลย” 


 


 


มุมปากหลัวเทียนเฉิงเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า หลานยังพาคนผู้หนึ่งมาด้วยขอรับ” 

 

 

 


ตอนที่ 222

 

บุรุษที่มีหนวดเคราเต็มหน้าผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน แล้วหยุดยืนอยู่ด้านหน้าฮูหยินผู้เฒ่า 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าก้าวออกมาข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว มือไม้เริ่มสั่นระริก 


 


 


บุรุษที่เดินเข้ามาหานางนั้น แม้นจะมีหนวดเคราหนาปิดบังใบหน้าไว้ ทว่าดวงตาคู่นั้น…ดวงตาคู่นั้น ช่างคุ้นนัก! 


 


 


เมื่อคนผู้หนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ หากเป็นสามีภรรยากันก็อาจจะจำหน้ากันมิได้ ทว่ามารดาที่รักบุตรของตนอย่างลึกซึ้งมีหรือจะจำบุตรตนไม่ได้ 


 


 


แต่แม้นจะเป็นเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากลับยังมิกล้าเชื่อ 


 


 


นางรู้สึกว่านี้เป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง หากบุตรชายเดินเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ภาพฝันนี้ก็คงมลายหายไป เหมือนภาพฝันของนางที่เคยเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อบุตรชายเดินมาถึงตรงหน้าตน นางยังไม่ทันได้ถามสักคำด้วยซ้ำก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นทั้งเหงื่อเปียกชื้น แล้วทุกอย่างก็จะถูกกลืนหายไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ประดังเข้ามา 


 


 


เวลานี้เองฮูหยินผู้เฒ่าได้ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหลายออกมา 


 


 


นางโยนไม้เท้าทิ้ง แล้วหมุนกายวิ่งหนีทันที 


 


 


ไม้เท้านั้นกลับลอยกระเด็นตกใส่หลังของนายท่านรองสกุลหลัวที่บ่าวไพร่สองคนกำลังพยุงเขาลุกขึ้นยืนพอดี 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวอยู่ในฐานะที่สูงส่ง มีเกียรติมาโดยตลอด การล้มลงเช่นนี้ก็แย่พอแล้ว ไหนเลยจะทนรับเรื่องนี้ได้อีก ยามนั้นจึงร้องโหยหวนขึ้นมาคราหนึ่ง 


 


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้คนทั้งหลายต่างรู้สึกว่าตนมีตาไม่มากพอ ด้านหนึ่งอยากดูฮูหยินผู้เฒ่าที่ทิ้งไม้เท้าวิ่งหนีไป อีกด้านก็อยากมองนายท่านรองที่หลงลืมท่าทีสง่างามของตนจนร้องลั่นดั่งสุกรถูกเชือดทั้งยังอยากจะมองบุรุษผู้มีหนวดเคราเต็มหน้าที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนวิ่งหนีด้วย 


 


 


 ฮูหยินผู้เฒ่ามีบุตรทั้งหมดสี่คน และนางก็เป็นเช่นตระกูลอื่นทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับบุตรคนโตและเอ็นดูบุตรคนเล็ก 


 


 


แม้นนายท่านสี่สกุลหลัวมิได้ถูกตามใจจนเสียคน ทว่าหากเปรียบเทียบกับท่านอาวัยกลางคนที่เจ้าเล่ห์สุขุม หรืออ่อนโยนดุจหยกแล้วก็ยังออกจะดูมิปกติอยู่บ้าง 


 


 


คนทั้งหลายต่างรู้สึกตาลายไปหมด บุรุษหนวดเคราเต็มหน้าพุ่งเข้าไปกอดขาฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้โฮ 


 


 


“ท่านแม่…” 


 


 


อันใดกัน? 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึง 


 


 


ช่างน่าตกใจจริงๆ ไม่เสียทีที่คุณชายทั้งสองเป็นคนของจวนกั๋วกง คุณชายผู้หนึ่งพาคุณชายผู้สืบทอดและ ‘ศพ’ ของคุณชายผู้สืบทอดกลับมาพร้อมกัน ส่วนคุณชายอีกท่าน…หรือที่พากลับมาคือบุตรลับๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า? 


 


 


ถุยๆ คุณชายสองท่านนี้ ช่างกล้านำทุกอย่างกลับสู่เรือนตนจริงๆ เลยเชียว! 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวเดินประคองเอวตนเข้าไปหาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ต้าหลัง เจ้าพาผู้ใดมากัน เข้ามากอดขาฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้เหมาะสมที่ไหน!” 


 


 


“ผู้ที่หลานพากลับมา…ย่อมต้องเป็นบุตรชายของท่านย่าอย่างแน่นอน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยพลางยิ้ม 


 


 


“เหลวไหล!” นายท่านรองสกุลหลัวหนวดกระตุกขึ้นมาทันใด เขายกเท้าขึ้นจะถีบนายท่านสี่สกุลหลัว ปากก็เอ่ยไปว่า “บ่าวไพร่ รีบจับตัวเจ้าคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี้ไว้เร็ว!” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวนั่งคุกเข่าอยู่จึงทำเพียงเบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว “ท่านแม่ ท่านดู พี่รองรังแกข้าอีกแล้ว…” นัยน์ตาฮูหยินผู้เฒ่าหมุนกลอกไปมา สติค่อยๆ ฟื้นคืน นางวางมือลงลูบศีรษะนายท่านสี่สกุลหลัวแผ่วเบา “เจ้าสี่?” 


 


 


“ท่านแม่ เจ้าสี่ บุตรชายของท่านแม่กลับมาแล้ว ลูกช่างอกตัญญูนัก ทำให้ท่านต้องเสียใจ” 


 


 


ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโกลาหลขึ้นมาทันใด 


 


 


บ่าวไพร่ที่เข้ามาอยู่ในจวนทีหลังต่างถามกันว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ?” 


 


 


ผู้ที่ทราบเรื่องราวทั้งหมดมาก่อนก็เอ่ยว่า “นายท่านสี่ นายท่านสี่ที่หายสาบสูญไปถึงหกปีกลับมาแล้วอย่างไรเล่า!” 


 


 


“เอ๊ะ มิใช่บอกว่านายท่านสี่ได้…” 


 


 


“เฮอะ นี่นับเป็นอันใดได้ ศพของคุณชายผู้สืบทอดเคลื่อนมาถึงจวนแล้วแท้ๆ คนกลับยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนายท่านสี่ที่มิเคยพบแม้แต่ศพด้วยซ้ำ” 


 


 


“สมเป็นจวนกั๋วกงจริงๆ วาสนาโชคลาภช่างมากมีนัก” 


 


 


คนผู้หนึ่งกลับเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาว่า “ข้าว่า ผู้ที่มีวาสนาโชคลาภมากคือฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดต่างหาก” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร?” 


 


 


คนผู้นั้นทำปากยื่นทันที “พวกเจ้าลองคิดดูเถิด นายท่านสี่หายตัวไปหลายปีเพียงนี้แล้วแท้ๆ โดยเฉพาะสองปีก่อน จวนเราส่งคนออกไปตามหาตั้งมาเท่าใด แต่กลับมิเห็นแม้แต่เงา ครานี้ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดช่วยชีวิตองค์หญิงไว้ ม้าที่ขี่อยู่ตกใจวิ่งเตลิดหนีไปหาร่องรอยไม่พบอยู่เป็นนาน แต่คุณชายผู้สืบทอดกลับมิเป็นอันใด ทั้งยังพานายท่านสี่กลับมาด้วยอีก” 


 


 


คนที่เข้าใจความหมายแล้วจึงเอ่ยว่า “ใช่ๆ หากฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดมิขี่ม้าที่ตกใจวิ่งหนีไปตัวนั้นก็คงมิหายสาบสูญ หากมิหายสาบสูญคงมิพบกับนายท่านสี่ ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดช่างเป็นผู้มีโชคลาภวาสนาจริงๆ” 


 


 


วาจานี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่บ่าวไพร่ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมองบุตรชายที่กอดขาตนร้องไห้น้ำมูกไหลด้วยความอึ้งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองไปโดยรอบดั่งคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน 


 


 


“ท่านแม่ ท่านหาสิ่งนี้อยู่ใช่หรือไม่?” นายท่านรองสกุลหลัวส่งไม้เท้าให้ด้วยใจอันไม่ซื่อ ในใจคล้ายมีคลื่นพายุซัดสาดเป็นระลอก 


 


 


น้องสี่ยังไม่ตายหรือนี่! 


 


 


หลังจากความยินดีที่เกิดขึ้นชั่วขณะนั้นแล้วก็เหลือเพียงความหงุดหงิด 


 


 


น้องสี่นับถือชื่นชมพี่ใหญ่ที่สุด ทั้งยังสนิทชิดเชื้อกับหลานผู้นั้นยิ่ง ภายหน้าจักต้องเป็นอุปสรรคต่อเขาแน่! 


 


 


ยังมีความดีที่ต้าหลังได้ช่วยองค์จักรพรรดิและบุญคุณที่นางเจินได้ช่วยองค์หญิงไว้อีก 


 


 


ครั้นนายท่านรองสกุลหลัวคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกว่าอนาคตตนช่างมืดมนนัก 


 


 


คนพวกนี้กลับมาย่อมไม่มีเรื่องดีแน่ มิต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย วันนี้เขาไม่เพียงสะดุดล้มอย่างอเนจอนาถ แต่ยังถูกไม้เท้าที่ลอยมานั้นฟาดเสียจนเอวแทบหัก 


 


 


ยามท่านแม่รู้สึกตื่นเต้นมากๆ มักจะใช้ไม้เท้าตีคน หึๆ 


 


 


ฮูหยินรับไม้เท้ามา แล้วเดินอย่างรวดเร็วด้วยฝีเท้าอันว่องไวดุจบินได้ “เจ้าสี่ รีบตามแม่เข้าไปในเรือน เล่าให้แม่ฟังให้หมดถึงเรื่องหลายปีที่ผ่านมานี้ของเจ้า” 


 


 


เมื่อมองคนทั้งหลายที่กรูตรงไปยังเรือนส่วนกลาง นายท่านรองสกุลหลัวก็หน้าดำคล้ำขึ้นมา 


 


 


มิใช่ต้องยกไม้เท้าฟาดคนหรอกหรือ? 


 


 


ท่านแม่ ท่านยังคงลำเอียงเช่นเดิม! 


 


 


“ท่านย่า น้องสามได้ขอให้คุณชายตระกูลจินคุ้มกันเรามาส่งที่นี่ เพราะคุณชายตระกูลจินช่วยเหลือไว้ทำให้โลงศพนี้สามารถมาถึงจวนได้อย่างราบรื่นขอรับ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอารมณ์ดียิ่ง แต่สายกลับเหลือบไปเห็นนายท่านรองสกุลหลัวอย่างไม่ตั้งใจ 


 


 


“เช่นนี้เถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปมองกลุ่มคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่บริเวณประตูใหญ่ แล้วเอ่ยกับนายท่านรองสกุลหลัวว่า “เจ้ารอง จัดโต๊ะอาหารเลิศรส สุราชั้นดีเพื่อต้อนรับแขกด้วย ส่วนหลานๆ ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด แล้วค่อยมาหาย่า” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในเรือน 


 


 


เมื่อดื่มชาไปเป็นกาที่สอง ฮูหยินผู้เฒ่าก็วางถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายครามนั้นลง เช็ดขอบตาตนก่อนกล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าสี่ เจ้าสูญเสียความทรงจำและอาศัยอยู่ที่อำเภอเป่าหลิง ทั้งยังมีภรรยาและบุตรด้วย?” 


 


 


“ขอรับ” เพราะมีนางเถียน นางซ่งและคนอื่นๆ อยู่ด้วย นายท่านสี่สกุลหลัวจึงหน้าแดงขึ้นมา แต่โชคดีที่มีหนวดเคราเต็มหน้าทำให้มองไม่ออก เห็นเพียงใบหูอันแดงก่ำเท่านั้น 


 


 


“ช่างเถิด เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ บุญคุณเพียงหยดน้ำ ตอบแทนเท่าสายธาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุญคุณที่ช่วยชีวิต” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวก้มหน้าต่ำลงไปอีก “ลูกก็คิดเช่นนั้น หากไม่มีนางหู ลูกคงกลายเป็นเถ้ากระดูกไปนานแล้ว” 


 


 


อย่าว่าแต่แต่งนางเลย หากตอนนั้นนางเรียกเอาชีวิตเขาคืน เขาก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้เพียงเล็กน้อย 


 


 


“แล้วตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร?” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เรื่องที่ลูกมีภรรยามาก่อนนั้นได้บอกต่อนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากยังคิดจะอยู่กับลูกก็เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น แต่ตอนที่ลูกแต่งงานกับนางก็มีการจัดพิธีเช่นกัน แม้นมิใช่ฐานะที่แท้จริง แต่นางเป็นภรรยาเอกอยู่แท้ๆ จู่ๆ กลับต้องกลายมาเป็นอนุ ลูกจึงรู้สึกผิดต่อนางยิ่ง ดังนั้นลูกจึงคิดจะให้จังเกอมีฐานะดั่งเป็นบุตรของนางชีอีกคน” 


 


 


ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง 


 


 


นางเถียนหยักยกมุมปากขึ้น ตอนนี้นางกลับร้อนใจอยากจะเห็นท่าทีของน้องสะใภ้สี่นัก 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบถ้วยชาที่ว่างเปล่านั้นขึ้นมาเล่นในมือตน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “เป็นความคิดของเจ้าจริงๆ งั้นหรือ?” 


 


 


มิอาจมองเห็นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้นในแววตาอันล้ำลึกของฮูหยินผู้เฒ่าได้ 


 


 


“ขอรับ ลูกอยากจะชดเชยให้นางหู เพื่อลดความรู้ผิดของตน” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาว “ช่างเถิด นางหูช่วยชีวิตบุตรชายข้าไว้ การเลี้ยงดูหลานเช่นบุตรภรรยาเอกนั้นมีอันใดต้องเดือดร้อนเล่า” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้มุมปากนั้นกลับหยักยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้ามีแววล้ำลึกขึ้นอีกหลายส่วน “อย่างไรจวนของเราก็มิเคยมีหลานชายที่กำเนิดจากอนุสักคน” 


 


 


ในจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้มีเพียงคุณหนูสามคนเดียวเท่านั้นที่เป็นบุตรอนุ คุณชายคนอื่นๆ ล้วนกำเนิดจากภรรยาเอกทั้งสิ้น 


 


 


ใจของนางซ่งกลับผ่อนคลายขึ้นมาก 


 


 


แม้นนางกับนางชีจะไปมาหาสู่กันน้อยยิ่ง แต่ในใจส่วนลึกกลับสงสารนางไม่น้อย ดูจากสถานการณ์วันนี้แล้ว เกรงว่านางหูผู้นั้นคงจะใช้บุญคุณที่ช่วยชีวิตและความรักผูกพันที่มีร่วมกันฉันสามีภรรยาของตนมาเหยียบน้องสะใภ้สี่ให้จมดินเป็นแน่ 


 


 


หากเป็นเช่นนั้น น้องสะใภ้สี่ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว 


 


 


โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่คนเลอะเลือน วาจานี้จึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อย 


 


 


ในจวนแห่งนี้ไม่มีหลานชายที่เกิดจากอนุ ความจริงก็เพื่อจะบอกแก่นายท่านสี่สกุลหลัวว่าแม้แต่หลานชายที่เกิดจากภรรยาเอกก็มิได้เป็นเรื่องสำคัญหรือแปลกใหม่ นับประสาอันใดกับบุตรอนุที่ยกฐานะให้เทียบเท่ากับบุตรภรรยาเอก ฉะนั้นอย่าได้คิดจะก่อคลื่นลมฝนอันใดขึ้นมาได้ 


 


 


ครั้นคิดถึงเมื่อครั้งที่นายท่านสามมีชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก ตอนนั้นนางไม่อยากจะแต่งกับเขา ใจคิดถึงแต่พี่ชายที่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลนางผู้นั้นแต่เพียงผู้เดียว 


 


 


มารดากลับเตือนนางว่าสตรีจะออกเรือนนั้นต้องดูการดูแลจัดการของแม่สามีเป็นหลักสำคัญ ขอเพียงมิทำอันใดนอกกฎ ต่อให้มิเป็นที่รักของสามีก็คงไม่มีทางตกต่ำสักเท่าใดได้ 


 


 


ตระกูลที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์นั้นต่อให้มิได้รักใคร่ภรรยาเอกเท่าใด แต่ยังคงให้เกียรติเสมอ 


 


 


จริงดั่งท่านแม่ว่าไม่มีผิด นางแต่งเข้ามาหลายปีแล้ว แม้นท่านพี่จะทำตัวเหลวไหลสักเท่าใดแต่ก็มิเคยมีสาวใช้ทงฝังเลยสักคน แต่บุรุษที่นางรักชอบในตอนนั้นแต่งภรรยาได้เพียงสองปีไม่มีทายาท แม่สามีก็รีบหาสาวใช้ทงฝังมาประเคนให้ถึงห้องอยู่หลายคน 


 


 


แต่ก็มิอาจทราบได้ว่านายท่านสี่ผู้นี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เพียงใด 


 


 


“ท่านแม่วางใจเถิด ลูกเข้าใจทุกอย่างดีขอรับ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมองเขาด้วยสายตาตำหนิคราหนึ่ง “ในเมื่อเข้าใจแล้ว ยังไม่รีบไปพบภรรยาเจ้าอีก!” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวลุกขึ้นยืนโดยพลัน “อย่า…อย่าเพิ่ง…” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าขรึมลงทันที “มีอันใด?” 


 


 


ใบหูของนายท่านสี่สกุลหลัวแดงขึ้นมาอีกครา “ท่านแม่ อย่างไร…อย่างไรก็ให้ลูกได้จัดการตนเองสักหน่อยเถิด” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมา “ได้ ได้ หงฝู พานายท่านสี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หงสี่ไปเชิญฮูหยินสี่และเจ้าหกมาที่นี่” 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเดินตามสาวใช้ไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มโง่งม ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับให้นางเถียนและนางซ่งไปตรวจดูอาหารที่จะขึ้นโต๊ะ  


 


 


ยามนี้เองจึงหันมาสอบถามความเป็นไปกับหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว 


 


 


เมื่อฟังหลัวเทียนเฉิงเล่าจบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตบโต๊ะเสียงดัง “ไหนเลยจะมีเหตุผลเช่นนี้ได้ ถึงกับกล้าทำคนของจวนกั๋วกงเรา!” 


 


 


กล่าวจบก็ถอนหายใจอีกครา “ต้าหลัง ลำบากเจ้าแล้ว จวนกั๋วกงของเราแม้นมิอนุญาตให้สร้างกองทัพตน แต่กลับมีองครักษ์ลับ แต่เรื่องนี้มีเพียงปู่ของเจ้าที่ทราบ แต่เขากลับยังมิได้บอกเรื่องนี้แก่เจ้าก็กลายเป็นเช่นนั้นไปเสียแล้ว มิฉะนั้นเจ้าก็คงมิต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้” 


 


 


“ท่านย่า…” 


 


 


“ข้ารู้…ในอดีตเรื่องนี้มิอาจบอกได้กระทั่งฮูหยินกั๋วกง แต่คล้ายว่าปู่เจ้าจะมีลางสังหรณ์บางอย่างกระนั้น เขาจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง แต่ตอนนั้นเจ้ายังเล็กนัก ย่าจึงมิเคยพูดเรื่องนี้ออกมา” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพลันลุกเดินเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งก็ถือกล่องสีดำออกมา มันคล้ายทำจากเหล็กแต่ก็เหมือนมิได้ทำจากเหล็ก ทว่ากุญแจมัจฉาที่ปิดไว้นั้นช่างดูประณีตนัก 


 


 


“ในกล่องนี้มีป้ายคำสั่งที่ใช้สั่งการองครักษ์ลับ ข้อมูลและช่องทางการติดต่อพวกเขา ย่าขอมอบมันให้กับเจ้า แต่กุญแจนั้น ปู่เจ้ายังมิได้เอ่ยถึง หลายปีมานี้ย่าก็มิเคยค้นเจอเลย เจ้าคงต้องไปตามหาเอาเองแล้ว” 


 


 


“ขอรับ หลานขอบพระคุณท่านย่ายิ่ง” หลัวเทียนเฉิงรับกล่องนั้นมา 


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงดึงเอาถุงผ้าที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา นางค้นควักอยู่นานก็หยิบหยกที่แตกออกครึ่งหนึ่งขึ้นมา ตรงกลางหยกนั้นหลอมกุญแจดอกหนึ่งเอาไว้ 


 


 


นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่าและหลัวเทียนเฉิงแทบถลนออกมาแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “วันที่ยกน้ำชานั้นท่านปู่ให้ข้ามา แต่หลังจากที่ม้าตกใจพาเราวิ่งเตลิดไปในป่า เราตกจากหลังม้า หยกก็เลยแตกออกมา”


ตอนที่ 223 


เพราะกุญแจยังถูกผนึกอยู่ในหยก หลัวเทียนเฉิงจึงได้ข่มอาการหัวจใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งนั้นไว้ แล้วยัดมันใส่ในแขนเสื้อตน เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย “ประเดี๋ยวกลับไปหลานจะลองเปิดดูขอรับ” 


 


 


ความจริงมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว หยกที่เจิ้นกั๋วกงมอบให้กับมือ ด้านในมีกุญแจซ่อนอยู่ หากมันมิอาจเปิดกล่องใบนี้ได้ก็คงต้องกล่าวขออภัยแก่คนทั้งหลายแล้ว 


 


 


เปลวไฟสองดวงถูกจุดขึ้นในดวงตาของหลัวเทียนเฉิง เขามองเจินเมี่ยวด้วยแววล้ำลึกคล้ายจะหลอมละลายคนตรงหน้าให้กลายเป็นสายธารอันอ่อนโยนไหลแทรกซึมเข้าไปในใจของเขากระนั้น 


 


 


เจินเมี่ยวถูกมองจนใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างประหลาด นางอดกดหน้าอกตนเอาไว้มิได้ 


 


 


เป็นความรู้สึกที่ประหลาดยิ่ง 


 


 


สายตาหลัวเทียนเฉิงเลื่อนลงตามมือนาง สายตาที่มองกลับล้ำลึกมากยิ่งขึ้น 


 


 


คล้ายว่าเติบโตขึ้นมากแล้ว? 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมไอเสียงหนึ่ง 


 


 


นางได้แต่เอ่ยในใจว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ล้วนใจกล้าเช่นนี้หมดแล้วหรือ หากยังคงจ้องต่อไป แม้แต่หญิงชราเช่นนางก็ยังต้องหน้าแดง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเบนสายตาหนีด้วยเขินอาย ใบหูแดงก่ำ 


 


 


สีหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกนั้นถูกท่านย่าเห็นเข้าเต็มตา เขาอยากจะมุดลงพื้นเสียจริง! 


 


 


“ท่านย่า?” เจินเมี่ยวรู้สึกว่าความรู้สึกประหลาดนั้นได้ผ่านแล้ว จึงเผยรอยยิ้มหวานล้ำออกมา 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ชอบใจยิ่งจึงลูบศีรษะนางไปมาอย่างไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใดดี 


 


 


“เจ้าเด็กคนนี้…เจ้าเด็กคนนี้…” 


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ” หงสี่ยืนรายงานอยู่หน้าประตู 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าส่งสายตาให้หลัวเทียนเฉิงเก็บกล่องนั้นไว้ให้ดี แล้วเอ่ยเสียงสูงขึ้นว่า “รีบเชิญฮูหยินสี่เข้ามาเร็ว” 


 


 


ม่านผ้าฝ้ายวาดลายสาลิกาเคียงดอกเหมยถูกแหวกออก นางชีเดินจูงคุณชายหกเข้ามา 


 


 


นางชีใส่เสื้อตุ้ยจินตัวยาวสีเขียวอ่อนแซมบุปผาสีเข้ม กระโปรงขลิบเงิน เส้นผมเกล้าอย่างเป็นระเบียบ บนศีรษะปักปิ่นเงินเพียงเล่มเดียวเท่านั้น การแต่งกายของนางเรียบง่ายยิ่งไม่เหมือนฮูหยินในจวนสูงศักดิ์สักนิด ทั้งดูมีอายุมากกว่านางซ่งเสียอีก 


 


 


“สะใภ้น้อมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” นางชีย่อกายคารวะ แล้วสะกิดคุณชายหกคราหนึ่ง 


 


 


คุณชายหกเม้มริมฝีปากตนแล้วโค้งกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเงียบๆ 


 


 


“ต้าหลังกับหลานสะใภ้กลับมาแล้วหรือ?” นางชีเงยหน้าขึ้นเห็นหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว ดวงตาก็เผยแววยินดีออกมาแต่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบเหงาเย็นชาอย่างรวดเร็วคล้ายถ่ายที่ถูกเผาจนมอดดับ ความร้อนที่มีจึงค่อยๆ ลดลง 


 


 


“อาสะใภ้สี่” หลัวเทียนเฉิงหันไปทักทายนางชีด้วยรอยยิ้ม 


 


 


เจินเมี่ยวกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่า “อาสะใภ้สี่ วันนี้ท่านแต่งตัวได้พิเศษนัก งดงามยิ่งเจ้าค่ะ” 


 


 


นางชีเม้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มบาง “จริงหรือ หากเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” 


 


 


วันที่น่ายินดีเช่นนี้ ผู้อื่นจะได้มิมองนางแล้วรู้สึกอัปมงคล 


 


 


นางชีกุมมือคุณชายหกแน่น แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ให้เจ้าหกกับต้าหลังอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับท่านเถิด สะใภ้ขอตัวกลับก่อน เพราะมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “เรื่องอันใดหรือ? นางชี ต่อไป เจ้ามิต้องคอยเลือกถั่วพวกนั้นอีกแล้ว” 


 


 


หลัวจากที่นายท่านสี่สกุลหลัวหายตัวไป ผู้คนทั้งหลายต่างคิดอยู่ในใจว่าเขาตายแล้ว เมื่อยามนางชีรู้สึกสิ้นหวัง นางจะจะเอาถั่วชนิดต่างๆ มาเทใส่ด้วยกันแล้วค่อยๆ เลือกมันออกมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา 


 


 


นอกจากเวลาที่ต้องดูแลคุณชายหกแล้ว เวลาที่เหลือนางก็ใช้ไปกับการเลือกถั่ว ทุกอย่างก็จะผ่านไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ดีแต่ก็มิเคยเอ่ยถึงสักครั้ง 


 


 


การต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว หากเดินพลาดแม้เพียงก้าวก็ต้องถูกผู้คนตำหนิต่อว่า นางชีอยากจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนตน นางไหนเลยจะไปบังคับลากดึงผู้อื่นให้ออกมาเล่า 


 


 


จะดึงนางออกมาด้วยเหตุใดเล่า มาดูผู้อื่นสวมใส่เสื้อผ้างดงาม มีชีวิตอย่างสดใส ครื้นเครงหรือ? 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงปล่อยให้นางทำตามใจ 


 


 


นางชีก้มหน้าลง “เจ้าค่ะ สะใภ้จะเชื่อฟังฮูหยินผู้เฒ่า ต่อไปจะไม่เลือกถั่วแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เวลานี้เองหงฝูก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เมื่อกำลังจะเอ่ยรายงาน ฮูหยินผู้เฒ่ากลับส่ายหน้าให้นางเงียบๆ 


 


 


หงฝูเข้าใจทันที นางจึงเบี่ยงตัวเชิญคุณชายสี่สกุลหลัวที่จัดการตนจนกลายเป็นคนใหม่ให้เดินเข้ามา 


 


 


เจินเมี่ยวเบิกตาถลนจนแทบจะกระเด็นไปติดบนร่างนายท่านสี่สกุลหลัวแล้ว 


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านสี่สกุลหลัวโกนหนวดเคราแล้วจะน่ามองถึงเพียงนี้! 


 


 


สง่า สุขุม เจิดจรัส คล้ายพระอาทิตย์ที่แขวนอยู่กลางอากาศมิอาจทำให้คนเบนสายตาหนีไปจากเขาได้ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากขึ้นด้วยโทสะ ครู่หนึ่งจึงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา แล้วลอบจับที่บั้นท้ายเจินเมี่ยวคราหนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวหันกลับไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งแต่มิมองหน้านาง ทั้งยังบีบบั้นท้ายนางอย่างแรงคราหนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวเกือบจะกรีดร้องออกมา ได้แต่กัดริมฝีปากตนไว้แน่น 


 


 


เหลือเกินจริงๆ ชีวิตนางช่างรันทดอันใดเพียงนี้ ต้องมาเจอสามีที่จิตวิปริต ท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย ผู้อาวุโสอยู่กันเต็มห้อง ทั้งยังเป็นช่วงเวลาอันแสนซาบซึ้งที่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าได้พบกัน แต่เขากลับ…กลับมาจับบั้นท้ายนาง? 


 


 


บางทีอาจเพราะนางชีรับรู้ได้ถึงสายตาอันไม่ปกติของทุกคน นางจึงหันหลังกลับไปมอง แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไป 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเดินเข้ามาก้าวใหญ่ แล้วจับมือของนางชีไว้ “ซีเหนียง…” 


 


 


นางชีกะพริบตาปริบๆ นางดิ้นรนอย่างแรง แล้วยกมือสองข้างขึ้นปิดปากตนไว้ น้ำตาค่อยรินไหลร่วงหล่น 


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจยิ่งหนัก จึงดึงนางชีเข้ามากอดไว้โดยมิสนว่ายังมีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย “ซีเหนียง ข้ากลับมาแล้ว ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” 


 


 


“ท่านพี่…” ในที่สุดนางชีก็มีสติกลับมา นางตะโกนเรียกเขาปานจะขาดใจคราหนึ่ง ครั้นหลับตาลงก็หน้ามืดหมดสติไป 


 


 


“ซีเหนียง!” นายท่านสี่สกุลหลัวอุ้มนางชีขึ้น แล้วก้มหน้ามองคุณชายหก 


 


 


คุณชายหกยังเด็กนักทั้งร่างผอม รูปโฉมคล้ายนางชีมากหน่อย ทว่านายท่านสี่สกุลหลัวมองแค่ปราดเดียวก็มั่นใจว่านี้คือบุตรชายของเขา! 


 


 


“เจ้าหก ข้าคือพ่อของเจ้า” นายท่านสี่สกุลหลัวคุกเข่าลงทั้งที่ยังอุ้มนางชีอยู่ แล้วก้มลงหอมที่แก้มคุณชายหกโดยแรงคราหนึ่ง 


 


 


“แค่กๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าพลันกระแอมไอขึ้นสองสามครา 


 


 


คนในยุคสมัยนี้ต่างให้ความสำคัญกับเรื่อง กอดหลานไม่กอดลูก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้อื่นคงเอาไปนินทาเป็นแน่ 


 


 


เช่นนั้น เช่นนั้นนางคงทั้งกอดทั้งหอมบุตรชายไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าคิดอย่างเจ็บปวดใจ 


 


 


“ท่านแม่ ให้นางชีนอนที่เก้าอี้หลัวฮั่นสักครู่เถิด จะได้รีบเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการนาง”ฮูหยินผู้ทำหน้าพยัคฆ์ “นอนอันใดกัน อยากนอนเจ้าก็อุ้มภรรยาเจ้ากลับไปนอนที่เรือนตนเองเถิด รีบไปเร็ว ส่วนท่านหมอก็ค่อยเชิญมาพรุ่งนี้!” 


 


 


นางชีเพียงแค่ดีใจมากไปเท่านั้น ประเดี๋ยวก็คงฟื้น สองสามีภรรยาคงมีเรื่องมากมายให้ซักถาม นางเองก็มิได้เลอะเลือนไปแล้วเสียหน่อย จะเชิญหมอมาทำอันใด 


 


 


แต่อย่างไรพรุ่งนี้ก็คงต้องเชิญท่านหมอมาตรวจดูลูกหลานทั้งหลายที่จากบ้านไปไกลเหล่านี้สักหน่อย อยู่ข้างนอกนานเช่นนี้ หากเจ็บป่วยเป็นอันใดคงไม่ดีแน่ 


 


 


“เช่นนั้น เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อนแล้วขอรับ” นายท่านสี่สกุลหลัวอุ้มภรรยาทั้งจูงมือบุตรชายเดินออกไปอย่างมึนงง โดยมิรู้สึกถึงการมีอยู่ของหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวอีกสองคนอยู่เลยตั้งแต่แรกกระทั่งจากไป! 


 


 


“ต้าหลัง พวกเจ้าก็รีบกลับไปพักเถิด ถึงเวลากินเข้าแล้วค่อยมา ส่วนเรื่องของจวนอื่นๆ ข้าจะให้คนนำจดหมายไปแจ้ง เรื่องในวังอีก ภายในสองวันนี้พวกเจ้าจักต้องได้เข้าวังไปกล่าวขอบพระทัยเป็นแน่” 


 


 


“ขอรับ/เจ้าค่ะ” คนทั้งสองรับคำแล้วกลับเรือนชิงเฟิงไป 


 


 


ครั้นไปถึงเรือนก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที สาวใช้หน้าตาสะสวยทั้งหลายต่างพุ่งเข้ามาหาเจินเมี่ยว พวกนางต่างกอดเจินเมี่ยวไว้ด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา เบียดเอาหลัวเทียนเฉิงให้อยู่ในวงนอกทันที 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยืนกอดหน้าอกด้วยใบหน้าดำคล้ำพลางกลอกตาไปมา 


 


 


ชีวิตเขาช่างไร้หนทางจะไปต่อได้ ภรรยามิเห็นเขามีตัวตน นัยน์ตานั้นแทบจะแนบติดไปกับร่างท่านอาสี่แล้ว ครั้นกลับมาถึงเรือนตน สาวใช้รูปงามทั้งหลายก็ยังเห็นเขาไม่มีตัวตนเช่นกัน 


 


 


เขารู้สึกว่ามีบบางอย่างไม่ถูกต้อง สาวใช้ทงฝังเล่า เขาต้องการสาวใช้ทงฝัง! 


 


 


ครั้นเห็นสาวน้อยที่งดงามดุจหยกดั่งบุปผาซึ่งยืนแอบอยู่ตรงประตูจันทราที่เชื่อมระหว่างเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกอย่างขลาดกลัว หลัวเทียนเฉิงก็ยิ้มอย่างภาคภูมิแล้วกวักมือเรียก 


 


 


สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างมีสีหน้ายินดี แล้วทะยานเข้ามาหา สายตาที่มองหลัวเทียนเฉิงนั้นเรียกได้ว่าเป็นลึกซึ้งดุจความลึกของมหาสมุทร 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมา เขาหันไปมองเจินเมี่ยวที่ถูกสาวใช้กลุ่มใหญ่รุมล้อมด้วยท่าทีอวดเบ่ง แล้วกระแอมไอสองครา 


 


 


สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างหน้าเจื่อนไป แล้วหันสบตากันเลิกลัก 


 


 


แย่แล้ว ซื่อจื่อกำลังตำหนิว่าพวกนางไม่รู้จักรักษากฎระเบียบใช่หรือไม่ 


 


 


ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่ายามนี้ ดาวแห่งโชคของฮูหยินนั้นส่องสว่างมากเพียงใด นางเป็นดั่งดวงใจของคุณชายผู้สืบทอดเชียวล่ะ 


 


 


หากฮูหยินเห็นว่าพวกนางปฏิบัติตัวดีก็อาจจะให้พวกนางได้ปรนนิบัติคุณชายสักวันสองวัน! 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ท่านกลับมาแล้ว อนุคิดถึงท่านเหลือเกิน” สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามกระโจนเข้าไปหาเจินเมี่ยวทันที 


 


 


รอยยิ้มที่มุมปากของหลัวเทียนเฉิงแข็งค้างทันที เขายกเท้าก้าวเข้าไปในเรือนด้วยความโกรธกรุ่น 


 


 


เขาไม่มีหน้าอยู่อีกต่อแล้ว แม้แต่สาวใช้ทงฝังของเขาก็เป็นของนางงั้นหรือ? 


 


 


ในขณะที่อารมณ์กำลังขุ่นมัว ก็มีวัตถุสีดำพุ่งเข้ามา ครั้นเบี่ยงหน้าไปมองก็เห็นนกเอี้ยงก้นลายตัวหนึ่งบินเข้ามา เพราะมันบินเร็วเกินไป ขนของมันยิ่งปลิวว่อนแล้วค่อยๆ ร่วงลงตรงหน้าเขา 


 


 


เมื่อเห็นนกเอี้ยงก้นลายที่บินแหวกสาวใช้ทั้งหลายและสาวใช้ทงฝังเข้าไปตกอยู่ในอ้อมอกของเจินเมี่ยว ความรู้สึกย่ำแย่ก็แพร่ไปทั่วร่างหลัวเทียนเฉิง 


 


 


เขาเดินฝีเท้าหนักเข้าไปในห้อง แล้วอาบน้ำคนเดียวเงียบๆ 


 


 


ส่วนเจินเมี่ยวก็ถูกสาวใช้เชิญไปที่ห้องอาบน้ำ ทั้งขัดตัวแช่น้ำอบ ทั้งบีบนวด ทั้งหวีผมให้ ใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งชั่วยามจึงกลับถึงห้องได้ 


 


 


“ตัดใจกลับมาได้แล้วหรือ?” หลัวเทียนเฉิงที่นั่งอ่านตำราอยู่ข้างหน้าต่างโยนตำราทิ้งไปเสียงดังปังสถานการณ์คล้ายเพิ่งกลับมาจากหอฉู่เซียว แล้วถูกภรรยาสอบถามเอาความนี้คือเรื่องราวใดกัน? 


 


 


เจินเมี่ยวลูบจมูกตนไปมา 


 


 


เจินเมี่ยวเดินทางมาหลายวัน ประเดี๋ยวก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็นอีก นางรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน จึงให้สาวใช้ออกไปให้หมด ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียง แล้วนอนหันหลังให้กับหลัวเทียนเฉิง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงพลิกตัวเจินเมี่ยวขึ้นมาแล้วถลึงตาใส่นางนิ่ง 


 


 


“มองอันใด อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะอภัยให้ท่าน ที่ท่านลูบคลำสะเปะสะปะ” 


 


 


“ข้าลูบคลำสะเปะสะปะ หากข้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าก็คงยังเอาแต่จ้องท่านอาสี่นิ่งกระมัง?” 


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาไปมา “ท่านอาสี่น่ามอง เหมือนท่านอย่างไรเล่า ข้ามองนานสักหน่อยแล้วมีอันใดหรือ?” 


 


 


น่ามอง? เหมือนเขา? 


 


 


มุมปากหลัวเทียนเฉิงหยักยกขึ้น แต่ฉับพลันก็แข็งค้างไป “ไม่ถูก ในเมื่อเหมือนข้า เช่นนั้นเจ้าแค่มองข้าทุกๆ วันก็พอแล้วมิใช่หรือ?” 


 


 


“เลิกทำตัวเหลวไหลได้แล้ว!” เจินเมี่ยวปัดมืออีกฝ่ายออก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่นหมิง ท่านหึงหรือ?” 


 


 


“ผู้ใดหึงกัน?” หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เจ้าเป็นภรรยาข้า ก็ต้องมองแต่ข้า ไม่อนุญาตให้มองผู้อื่น แม้แต่ท่านอาสี่ก็มิได้!” 


 


 


“อืม ได้ ข้าจะมองแต่ท่าน” เจินเมี่ยวรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงรับปากคำหนึ่งแต่เมื่อกำลังจะปิดตาลง หนังตาก็ถูกคนใช้นิ้วมือถ่างให้เปิดขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตามองบนทันที 


 


 


สามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางทำตัวโง่งมเช่นนี้ นางควรทำอย่างไรดี? 


 


 


“มิใช่จะมองแต่ข้าหรือ?ร” 


 


 


“ได้ มองแต่ท่าน!” เจินเมี่ยวก็เริ่มหงุดหงิดแล้ว นางจึงลุกขึ้นมาจ้องหลัวเทียนเฉิง ใบหน้านั้นแทบแนบติดกัน สายตามองจ้องอีกฝ่าย 


 


 


เมื่อสายตาของคนทั้งสองประสานกันก็คล้ายวิ่งเข้าชนกับดอกไม้ไฟ แล้วดอกไม้ไฟนั้นก็มุดทะลุเข้ามาในกายตน ยิ่งแผดเผายิ่งสว่างไสว 


 


 


ฟ้ายังคงสว่างอยู่ แต่ภายในผ้าม่านผืนบางนั้นกลับค่อยๆ มืดลง กลิ่นหอมหลังจากการอาบน้ำเสร็จนั้นกระจายไปทั่ว โอบล้อมพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้นไว้ 


 


 


“ข้า…ข้านอนดีกว่า” เจินเมี่ยวรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา จึงรีบนอนราบลงกับพื้นเตียง แล้วหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้าตนไว้ แต่จู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างทับลงบนร่างตน 


 


 


“ทำเหมือนครั้งที่แล้วได้หรือไม่?” เสียงอันแหบพร่านั้นดังขึ้นที่ข้างหู แม้นมิได้กังวานชัดดั่งเช่นยามปกติแต่กลับทำให้คนหวั่นไหวยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวพลันเป็นใบ้ขึ้นมาทันที 


 


 


จุมพิตแผ่วเบาดุจเม็ดฝนที่ร่วงกระทบใบหน้านั้น ทำให้ร่างอันนุ่มนิ่มขาวกระจ่างนั้นสั่นสะท้านเป็นระลอก 


 


 


อาภรณ์ที่สวมใส่มิทราบถูกถอดออกไปตั้งแต่เมื่อใด เหลือเพียงร่างสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่เท่านั้น 


 


 


ทว่าหลัวเทียนเฉิงกลับพลิกตัวขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อย 

 

 

 


ตอนที่ 224

 

เจินเมี่ยวมองโลหิตที่ติดเต็มมือของอีกฝ่าย น้ำตาพลันคลอเบ้าขึ้นมา นางกุมที่ท้องน้อยตนแล้วเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ เหตุใดจึงรู้สึกว่าตำแหน่งที่เจ็บนั้นมิถูกต้องเล่า?” 


 


 


ตามที่เล่าลือกันมิใช่บอกว่าจะเจ็บที่ส่วนล่างจนแทบเป็นแทบตายมิใช่หรือ เหตุใดนางจึงปวดที่ท้องเล่า? 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองมือสองข้างของตน แล้วมองไปยังที่แห่งหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อว่า “อันใดกัน ข้ายังมิได้ล่วงล้ำเจ้าแม้เพียงน้อยนิด แล้วจะมีเลือดออกได้อย่างไร?” 


 


 


หรือเพราะมิได้ร่วมอภิรมย์กับหญิงสาวมานาน เขาจึงมิอาจควบคุมแรงของตนได้? 


 


 


คนทั้งสองต่างจ้องมองกันด้วยสีหน้ามึนงง 


 


 


ฉับพลันหลัวเทียนเฉิงก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาสะบัดมือออกอย่างรีบร้อนพลางเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “คุณหนูสี่ เจ้า…เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก!” 


 


 


“ห๊ะ?” 


 


 


“ระดูเจ้ามาแล้ว!” 


 


 


เจินเมี่ยวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมาได้ นางจึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างตนไว้ แล้วมองนางอีกฝ่ายด้วยความลังเลแต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา 


 


 


“มิต้องขอโทษ ข้าไม่ให้อภัยเจ้าเสียหรอก!” หลัวเทียนเฉิงหยิบกางเกงตัวหนึ่งขึ้นมาเช็ดที่มือตนด้วยใบหน้าถมึงทึง 


 


 


“กางเกงนั้นเป็นของข้า” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงโกรธจนหัวเราะออกมา “ไม่ใช้ของเจ้าเช็ด แล้วจะให้ใช้ของข้าเช็ดหรือไร? เจ้ายังพูดกับสาวใช้ได้ว่าไม่ทันระวังจึงทำเปื้อน แต่หากใช้ของข้าเช่น ข้าจะพูดอย่างไรเล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวกำผ้าห่มแน่นไม่พูดจา 


 


 


“ข้าจะไปห้องอาบน้ำ” เมื่อใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ลงจากเตียงไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ เมื่อมิได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ เลยจากที่ด้านหลัง จึงอดหันไปมองมิได้ 


 


 


เขาเห็นเจินเมี่ยวขมวดคิ้วนิ่วหน้า ขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มอย่างน่าสงสาร 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันก้าวเท้าไม่ออกไปในทันใด เขาหมุนตัวกลับมานั่งลงบนเตียง เอ่ยปลอบนางอย่างอดทนว่า “อย่าเสียใจไปเลย รอให้ร่างกายเจ้าสะอาดหมดจนเสียก่อน เหตุใดข้าชดเชยให้เจ้ามิได้เล่า?” 


 


 


เจินเมี่ยวแทบพ่นโลหิตออกมาแล้ว 


 


 


ในหัวใจของสามีผู้ยิ่งใหญ่ นางดูกระหายอยากเพียงนั้นเชียวหรือ 


 


 


คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดสูดลมหายใจเข้าทางปากไม่ได้ ที่จริงแล้วพวกเขาล้วนผิดทั้งสิ้น แรกเริ่มที่หลัวเทียนเฉิงแต่งกับนางต้องมิใช่เพราะต้องการรับผิดชอบนางอย่างแน่นอน แต่คงคิดว่านางควรจักต้องรับผิดชอบต่อเขามากกว่า!  


 


 


“เด็กดี เป็นเช่นนี้แล้ว มิอาจทำต่อไปได้จริงๆ มันไม่ดีต่อทั้งเจ้า…และข้า” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย 


 


 


นับวันเขาก็ยิ่งใจอ่อนต่อนางมากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นสตรีอื่นทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางใส่ใจแม้แต่น้อย 


 


 


“ท่านเข้าใจข้าถึงเพียงนี้ ข้าคงต้องขอบคุณท่านยิ่งแล้ว!” เจินเมี่ยวปัดมือเขาออกด้วยความโมโห 


 


 


“เจ้าโกรธเคืองอันใดข้ากันแน่?” หลัวเทียนเฉิงเขยิบเข้าไปใกล้ แต่เมื่อคิดว่ายังมิได้ล้างมือจึงระงับความอยากที่จะลูบใบหน้านางเอาไว้ 


 


 


ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาเป็นระลอกๆ เจินเมี่ยวมิสนใจถกเถียงกับคำถามอันน่าละอายนี่กับเขาแล้ว นางได้แต่กัดฟันเอ่ยว่า “ปวดท้อง” 


 


 


“ปวดท้อง?” เมื่อเห็นใบหน้าอันซีดขาวของเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็รีบยกมือขึ้นวางลงไปบนท้องนาง แล้วนวดเบาๆ พลางเอ่ยถาม “เป็นเพราะระดูมาหรือ?” 


 


 


“ท่านไม่ทราบ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วมุ่น “ข้าควรต้องทราบหรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป แล้วเข้าใจขึ้นมาในทันที 


 


 


การที่สตรีปวดท้องเมื่อยามระดูมานั้นมินับเป็นเรื่องที่น่าจะทราบได้จริงๆ สำหรับบุรุษที่ถูกย่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัยเช่นหลัวเทียนเฉิง 


 


 


“อาจกล่าวได้ว่า สตรีส่วนมากมักปวดท้องเมื่อระดูมา” เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นเรื่อยๆ “ท่านออกไปก่อนเถิด แค่เรียกพวกจื่อซูเข้ามาปรนนิบัติข้าก็พอแล้ว” 


 


 


“ได้ เช่นนั้นเจ้านอนพักก่อนเถิด” 


 


 


ครั้นหลัวเทียนเฉิงเดินออกไปพ้นประตู ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าไปยังเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตก 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที 


 


 


จื่อซูและสาวใช้คนอื่นๆ เพิ่งจะทำดูแลปรนนิบัติเจินเมี่ยวเรียบร้อยไป ตอนนี้นางกำลังนั่งพิงหมอนอิงจิบน้ำร้อนอยู่ 


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกแล้วหรือ?” 


 


 


“มิใช่เจ้าค่ะ” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวเห็นซื่อจื่อเดินไปทางเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกเจ้าค่ะ!” 


 


 


ครั้นวาจานี้กล่าวออกไปแล้ว มือที่ถือถ้วยชาของเจินเมี่ยวก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง 


 


 


จื่อซูกับไป๋เสาต่างหันไปมองค้อนให้เชวี่ยเอ๋อร์โดยแรง 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์ไม่ทราบว่าตนได้ทำอันใดร้ายแรงลงไปจึงได้แต่บีบอาภรณ์ตนพลางกะพริบตาปริบๆ 


 


 


“อืม ข้ารู้แล้ว” เจินเมี่ยววางถ้วยชาลง “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะนอนสักหน่อย” 


 


 


จื่อซูส่งสายตาคราหนึ่ง คนทั้งหลายก็ออกไปจนหมด 


 


 


จื่อซูเอ่ยปลอบขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจเลย ซื่อจื่อเพียงแค่กลัวจะรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน” 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ 


 


 


เพราะระดูมาจึงมิอาจกระทำเรื่องราวให้สำเร็จลงได้ สามีจึงไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝัง เรื่องนี้ทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าการที่สามีไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝังตามวันเวลาที่กำหนดไว้เสียอีก! 


 


 


หากเป็นอย่างหลังก็นับว่าใบไม้กิ่งก้านเป็นดั่งผ้าม่านปิดบังความอับอายไว้ แต่อย่างหลังนั้นเท่ากับการตบหน้านางจนดังเพี๊ยะๆ เลยทีเดียว 


 


 


เจ้าคนชั่วช้า ต่อไปจะไม่ยอมให้เขากอด ไม่ยอมให้เขาลูบคลำอีกต่อไป ให้เขาไปมีลูกวานรกับบรรดาสาวใช้ทงฝังเถิด! 


 


 


ครั้นเห็นเจินเมี่ยวไม่พูดจา จื่อซูก็กลัวว่านางจะทำตัวไม่ถูก จึงจัดมุมผ้าห่มให้นางครู่หนึ่งแล้วถอยออกไปเงียบๆ 


 


 


ไป๋เสากำลังเอ่ยตำหนิเชวี่ยเอ๋อร์อยู่ “เชวี่ยเอ๋อร์ เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว เหตุใดถึงได้ทำเรื่องสะเพร่าเช่นนี้ได้ เจ้าลืมเรื่องของเสี่ยวฉานที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วหรือ!” 


 


 


“ข้า…ก็ข้าโกรธที่เห็นซื่อจื่อไปเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกจึงได้รีบไปบอกต้าไหน่ไหน่อย่างไรเล่า” 


 


 


ไป๋เสายกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากนางคราหนึ่ง “แม้แต่เจ้ายังโกรธแล้วต้าไหน่ไหน่เล่า? เพื่อจะออกมาจากห้องต้าไหน่ไหน่แท้ๆ แต่กลับตรงไปยังเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกทันที ต้าไหน่ไหน่ทราบเข้าจะไม่มีโทสะได้อย่างไร?” 


 


 


“หรือ…หรือต้องปิดบังต้าไหน่ไหน่ไว้?” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสงสัย 


 


 


จื่อซูจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “เรื่องที่ต้าไหน่ไหน่เอ่ยถามย่อมมิอาจปิดบัง แต่เรื่องที่ทำให้ต้าไหน่ไหน่ต้องหงุดหงิดเจ้าจะเอ่ยขึ้นมาเพื่อประโยชน์อันใดหรือ? แค่สาวใช้ทงฝังไม่กี่คน ต้าไหน่ไหน่ไปกลั่นแกล้งคิดแค้นกับพวกนางขึ้นมาต่างหากจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าอย่างยิ่ง” 


 


 


“ถูกต้อง ยามนี้ต้าไหน่ไหน่เจริญวัยเต็มที่แล้ว เรื่องที่ต้องคิดนั้นมีมากมายนัก สาวใช้ทงฝังแค่สามคนนั้นเทียบไม่ได้แม้แต่วานรตัวหนึ่ง ยังจะสามารถพลิกแผ่นดินแผ่นฟ้าอันใดได้? ขอแค่จับตาพวกนางไว้มิให้มาก่อความวุ่นวายให้ต้าไหน่ไหน่ก็พอแล้ว” ไป๋เสาเอ่ยเสริม 


 


 


“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณพี่สาวทั้งสองที่ชี้แนะ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเพียงก้าวเข้าไปในเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตก สาวใช้ทงฝังทั้งสามก็ดีใจจนแทบเสียสติแล้ว พวกนางต่างเบียดตัวกันเข้ามารุมล้อมเขา 


 


 


“เลิกเบียดผลักกันได้แล้ว เข้ามาทั้งหมดนั้นแล” หลัวเทียนเฉิงก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุด 


 


 


ด้วยกัน? 


 


 


สาวใช้ทงฝังทั้งสามมองหน้ากัน 


 


 


หมายความว่าอย่างไรกัน? 


 


 


หรือ…หรือซื่อจื่อคิดจะ….กับพวกนางทั้งสามคนในคราวเดียว? 


 


 


คนทั้งสามมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที 


 


 


“ยังมัวเหม่อลอยอันใดกันอยู่อีก?” หลัวเทียนเฉิงเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามเข้ามาจึงขมวดคิ้วพลางกล่าวเร่ง 


 


 


“เจ้าค่ะ” คนทั้งสามเอ่ยรับคำ แล้วรีบก้มหน้าเดินเข้าไปทันที 


 


 


เฉินอวี๋ลอบเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นี่เป็นห้องของนาง หรือซื่อจื่อจะให้ตัวอัปรีย์ทั้งสองนั้น…บนเตียงของนาง 


 


 


ทว่าหากนางไม่ยอมแล้วทำให้ซื่อจื่อโมโห ต่อไปพวกนางทั้งสองคงมีชัยเหนือกว่านางแน่ 


 


 


ลั่วเยี่ยนกับซิ่วฮวาเองก็มีความลังเลอยู่เต็มหัวใจ 


 


 


การที่พวกนางทั้งสามเข้าปรนนิบัติซื่อจื่อพร้อมกันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเหลือเกินจริงๆ 


 


 


เมื่อหลัวเทียนเข้าไปในห้องก็มองหาเก้าอี้นั่งตามอัธยาศัยตน ครั้นหันกลับมาก็เห็นสาวน้อยผู้งดงามทั้งสามทีท่าทีเขินอายขลาดกลัว จึงอดถามไม่ได้ว่า “ขวยอายอันใดกัน?” 


 


 


คนทั้งสามพลันได้สติ 


 


 


ใช่แล้ว ซื่อจื่อมิได้แตะต้องพวกนางมาปีกว่าแล้ว หากพลาดโอกาสนี้ไป ภายหน้าคงยากจะมีโอกาสอีก 


 


 


“ซื่อจื่อ จะให้…ผู้ใดก่อนหรือเจ้าคะ?” อย่างไรก็เป็นห้องของนาง เฉินอวี๋จึงเริ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน 


 


 


“ได้ทั้งสิ้น” เขาเพียงจะมาถามบางอย่างนั้น มิจำเป็นต้องต่อแถวอันใด 


 


 


“คือ เรื่องนี้พวกเราคงมิกล้าตัดสินใจ…” 


 


 


“เช่นนั้นก็พร้อมกันเถิด” 


 


 


สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างหน้าแดงก่ำดั่งถูกไฟลนขึ้นมาทันใด 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองคราหนึ่ง 


 


 


ป่วยหรือไร ใบหน้าถึงได้แดงก่ำปานนั้น 


 


 


“ซื่อจื่อ เตียงของข้า…เกรงว่าจะมิอาจรับน้ำหนักของคนจำนวนมากเพียงนี้ได้เจ้าค่ะ” ช่างน่าอับอายเหลือเกินแล้ว เหตุใดซื่อจื่อถึงได้อาจหาญเพียงนี้ หรืออยู่ข้างนอกนานเกินไปทำให้อัดอั้นจนเป็นเช่นนี้?“นั่งบนเก้าอี้ก็จบแล้วมิใช่หรือ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างรำคาญ 


 


 


เขาอยู่กับอาซื่อนานเกินไปหรือ เหตุใดจึงได้รู้สึกว่าการสนทนากับสาวใช้ทงฝังเหล่านี้ช่างลำบากนัก? 


 


 


ยังดีที่เขาแค่มาถามเพียงหนึ่งถามเท่านั้น 


 


 


“บนเก้าอี้?” สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างปิดปากร้องขึ้นด้วยความตกใจพร้อมกัน 


 


 


นี่…มันช่างเป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินจริงๆ! 


 


 


“เอาล่ะ เลิกชักช้าได้แล้ว ข้ายังต้องรีบกลับไปอีก!” 


 


 


สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามพลันเข้าใจขึ้นมาทันที 


 


 


ที่แท้ซื่อจื่อก็เห็นรูโหว่จึงรีบสอดเข็มเข้ามา มิน่าถึงต้องการให้พวกนางสามคนปรนนิบัติพร้อมกัน 


 


 


โอกาสนั้นเสียไปแล้วยากจะได้คืน! 


 


 


ภายในช่วงเวลาอันคับขันเช่นนี้ สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามจึงยื่นมือไปปลดสายรัดเอวของตนอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกยืนขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าถมึงทึง ไม่แม้แต่จะสนใจเก้าอี้ที่ล้มคว่ำลงไปด้วยซ้ำ “พวกเจ้าทำอันใดกัน?” 


 


 


คนทั้งสามต่างหันไปมองหน้ากัน 


 


 


เรื่องที่ทำได้เพียงเข้าใจแต่มิอาจพูดอันใดออกไปได้เช่นนี้ จะให้พวกนางตอบว่าอย่างไรเล่า? 


 


 


สตรีของหลัวเทียนเฉิงในชาติก่อนนั้น นอกจากการมีความสัมพันธ์ที่เย็นชากระทั่งเรียกได้ว่าเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งกับนางเจินแล้ว เขาก็มีสาวใช้ทงฝังอยู่เพียงแค่นี้เท่านั้น ภายหลังมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นอำนาจมากขึ้นเขาก็มิได้แต่งภรรยาอีก ความเข้าใจต่อสตรีจึงพูดได้ว่ามีสักเท่าใด 


 


 


แต่ต่อให้เขาหัวทึบเพียงใด เมื่อเห็นคนทั้งสามปลดสายรัดเอวด้วยท่าทีเขินอายขลาดกลัวก็เข้าใจได้ในทันที ยามนั้นจึงหน้าบึ้งถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม แค้นเคืองจนอยากจะยกเท้าเดินหนีจากไป 


 


 


เหลือเกินจริงๆ สตรีสามคนนี้เห็นเขาเป็นเหล็กกล้าหรือไร ถึงได้คิดจะเข้ามาพร้อมกันเช่นนั้น! 


 


 


มิใช่ เรื่องสำคัญมิได้อยู่ที่ตรงนี้เสียหน่อย 


 


 


เรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้ พวกนางคิดออกมาได้อย่างไร? 


 


 


เขาข่มกลั้นความรู้สึกที่อยากจะเดินออกไปจากที่นี่เอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “ยามระดูพวกเจ้ามา หากปวดท้อง พวกเจ้าทำเช่นใด?” 


 


 


เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจ หลัวเทียนเฉิงก็ทิ้งสาวใช้ทงฝังที่ทำหน้าอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตาไว้ด้านหลังแล้วรีบจากไปทันที 


 


 


เมื่อกลับถึงห้องตำราก็ค้นหาโถน้ำร้อน[1]ที่เล็กและสวยงามประณีตแล้วเทน้ำร้อนลงไปพร้อมทั้งห่อด้วยผ้าขนสุ่ยเตียว[2] แล้วก้าวเท้าเดินมุ่งไปยังห้องเจินเมี่ยว 


 


 


เจินเมี่ยวโกรธจนนอนไม่หลับจึงกำลังนับแกะอยู่ เมื่อได้ยินเสียงคนมาจึงหันไปมองคราหนึ่ง นางคิดในแง่ร้ายทันทีว่า รวดเร็วปานนี้คงกระทำการไม่สำเร็จกระมัง 


 


 


“อาซื่อ ดีขึ้นแล้วหรือไม่?” 


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไม่พูดจา 


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่งโถน้ำร้อนให้นางทันที “ข้าไปถามมาแล้ว พวกนางบอกว่าใช้สิ่งนี้ได้ผลยิ่ง” 


 


 


เจินเมี่ยวมองโถน้ำร้อนนั้นแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจนั้นขับไล่ความเจ็บปวดออกไปมากกว่าครึ่งแล้ว 


 


 


“ข้าช่วยวางใส่ให้เจ้าเอง” 


 


 


“ข้าทำเองดีกว่า” เจินเมี่ยวรับมายัดใส่ไว้ในผ้าห่มตนแล้ว ค่อยๆ ขยับโถน้ำร้อนที่วางอยู่บนท้องตนไปไว้ด้านข้าง 


 


 


เมื่อถึงงานเลี้ยงฉลองยามค่ำคืน เจินเมี่ยวก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงยังคงไปร่วมงาน ยามนี้เองจึงเพิ่งทราบว่าตระกูลนางส่งท่านลุงรองและพี่ใหญ่ไปตามหานางที่เป่ยเหอ 


 


 


“หลานสะใภ้วางใจเถิด เมื่อกลางวันได้เขียนสารส่งไปแจ้งแล้ว คาดว่าใช้ม้าเร็วสักสามสี่วันก็คงถึงแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปลอบ 


 


 


“ทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วงแล้ว” 


 


 


นางชีเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่เป็นสี่ม่วงอ่อน เกล้าผมมัดเป็นมวยหางม้า ทั้งเหน็บดอกชบาใหญ่ไว้บนหูทำให้ดูสาวขึ้นจากในอดีตนับสิบปี 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นแล้ว พลันรู้สึกขาหมูหอมอร่อยมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงอดกินมากสักหน่อยมิได้ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงลอบสะกิดนางคราหนึ่ง “ยามนี้เจ้ามิควรกินของมันจัด” 


 


 


เมื่องานเลี้ยงฉลองสิ้นสุด ทุกคนต่างก็แยกกลับเรือนตน นายท่านรองสกุลหลัวก็หน้าตาบึ้งตึงขึ้นมาทันที 


 


 


นางเถียนมองแล้วก็พาให้หงุดหงิดจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ทำหน้าเช่นนี้ไปไย ท่านต่อว่าเจ้าสามไปเมื่อกลางวันนั้นยังไม่พออีกหรือ?” 


 


 


เมื่อคิดถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจของเจ้าสาม นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา 


 


 


หากบุตรชายที่แสนดีมีใจออกห่างจะทำฉันใดเล่า! 


 


 


“เจ้าจะรู้อันใด แค่เพียงต้าหลังกลับมา ต่อไปก็ไม่มีที่ให้เราได้ออกเสียงอันใดแล้ว!” 


 


 


“แล้วจะทำอันใดได้ ผู้ให้พวกเขาดวงดีปานนั้นเล่า!” เอ่ยถึงตรงนี้ นางเถียนก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ท่านพี่ทราบหรือไม่ว่าระดูของนางเจินมาแล้ว ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่เดือนนางก็อาจตั้งครรภ์ก็ได้ เช่นนั้นคงยุ่งยากมากเป็นแน่!” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] โถน้ำร้อน หรือในภาษาจีนคือทังผอจื่อ (汤婆子) ซึ่งมีมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง โถน้ำร้อนจะมีรูปทรงกลมแบน มักทำมาจากทองแดง ดีบุก หรือเซรามิก ด้านในกลวง ด้านบนมีรูสำหรับใส่น้ำร้อน มีฝาปิด มีหูหิ้วด้านบนคล้ายกาน้ำชาเล็กๆ  


 


 


[2] ขนสุ่ยเตียว คือขนมิงค์ 

 

 

 


ตอนที่ 225

 

นายท่านรองสกุลหลัวฟังแล้วถึงกับหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


นี่เป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นที่สุด 


 


 


หากต้าหลังมีทายาทสืบสกุล เรื่องทุกอย่างก็จะซับซ้อนขึ้นมาทันที 


 


 


เขาลุกขึ้นเดินวนเป็นวงกลม แล้วถลึงตาจ้องนางเถียนคราหนึ่ง “เจ้าไปสืบเมื่อคราแรกเริ่มนั้นได้ความมาว่าอย่างไรกันแน่” 


 


 


เขาเป็นบุรุษ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหาคู่หมายให้ต้าหลังย่อมมิสะดวกไปสืบเสาะสภาพของคุณหนูจวนอื่นๆ เรื่องนี้จึงให้นางเถียนเป็นผู้จัดการ 


 


 


นางเถียนได้ฟังก็โมโหขึ้นมา จึงเอ่ยโต้แย้งว่า “ท่านพี่เอ่ยเช่นนี้ช่างทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสียใจยิ่งนัก ผู้ที่ใช้วิธีนับพันนับร้อยจนสืบทราบมาได้ว่าคุณหนูจวนใต้เท้าหวังป่วยหนัก มิเช่นนั้นนางคงมิล้มป่วยตายหลังจากที่ตกลงหมั้นหมายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเช่นนั้น? ยังมีหลานสาวของใต้เท้าหลี่อีก หากมิใช่ข้าเป็นผู้สืบทราบว่านางลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่น สุดท้ายถูกจับได้จึงแขวนคอตายแล้วบอกกับผู้อื่นว่านางเกิดจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน ต้าหลังจะถูกลือว่าเป็นบุรุษผู้มีดวงพิฆาตภรรยาหรือไม่?” 


 


 


“แล้วนางเจินเล่า เจ้าจะว่าอย่างไร?” นายท่านรองสกุลหลัวยิ่งคิดยิ่งโมโห 


 


 


ตั้งแต่นางเจินเข้ามาอยู่ในจวนก็มีแต่เรื่องที่มิได้ดั่งใจ 


 


 


“นางเจิน…” นางเถียนกัดฟันแน่นคล้ายต้องการกัดให้ชื่อนี้แตกดับไปกระนั้น “ท่านก็ทราบว่าเรื่องนี้มิอาจกระทำเกินสามครั้งได้ หากปล่อยให้ผู้คนกล่าวหาว่าต้าหลังมีดวงพิฆาตภรรยา ฮูหยินผู้เฒ่าคงเกิดสงสัยแน่ ข้าสืบมาแน่ชัดแล้วว่านางเจินเป็นผู้มีอุปนิสัยชอบเอาชนะทั้งยังชอบข่มผู้อื่น จึงใช้วิธีนี้แต่งนางเข้ามา ด้วยอุปนิสัยของต้าหลังแล้วหากมิโวยวายเป็นระกาบินสุนัขกระโดดก็แปลกแล้ว แต่ผุ้ใดจะทราบ ผู้ใดจะทราบว่ากลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนไปได้ สตรีที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังมาตลอดเช่นนั้น อาจมีได้มีอุปนิสัยอย่างที่เจ้าสืบมาก็เป็นได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงทำอันใดมิได้ เจ้าคอยจับตาดูไว้ให้ดี หากถึงที่สุดจริงๆ ก็ทำให้นางมิอาจคลอดบุตรก็ออกมาได้ก็พอ” 


 


 


ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกมานั้นเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งก็มิปาน 


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ แล้วต้าหลังเล่า ท่านพี่คิดจะทำอย่างไร อย่าลืมว่าเขามีความชอบที่ช่วยองค์จักรพรรดิไว้ ไม่แน่ว่าเขาอาจได้เลื่อนขั้นอีกก็เป็นได้” 


 


 


นางผู้มีฐานะเป็นฮูหยินผู้หนึ่งนั้นทราบดีว่า ไม่มีคุณความดีใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการช่วยองค์จักรพรรดิให้พ้นอันตราย 


 


 


เกรงว่าภายหน้าท่านพี่คงยากจะจัดการเขาแล้ว 


 


 


หากต้าหลังมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้นางเจินไม่มีบุตรแล้วอย่างไร แค่สาวใช้ทงฝังสักคนคลอดบุตรก็นำมาเลี้ยงก็จบแล้ว ดังนั้นจุดสำคัญก็ยังอยู่ที่ตัวต้าหลังอยู่ดี 


 


 


“ความดีที่ช่วยองค์จักรพรรดิงั้นหรือ?” นายท่านรองสกุลหลัวยิ้มด้วยแววล้ำลึก “ยามนี้ย่อมต้องงามสง่าหาใดเปรียบยิ่ง แต่ท่านผู้นั้น…อย่างไรก็อายุมากแล้ว” 


 


 


“มิใช่กล่าวว่าท่านผู้ท่านโกรธเคืององค์รัชทายาทอยู่หรอกหรือ?” 


 


 


“ถึงได้บอกว่าสตรีเช่นพวกเจ้าเกศายาวแต่มองการณ์ใกล้ ท่านผู้นั้นให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทมากเสียจนองค์ชายพระองค์มิอาจเทียบได้ติด มิเช่นนั้นสองวันก่อนที่องค์รัชทายาทเฉือนเนื้อป้อนมารดาเลียนอย่างไช่หยวนเผย ท่านผู้นั้นกลับยินดีปรีดาอย่างยิ่ง” 


 


 


องค์รัชทายาทเป็นทั้งโอรสพระองค์โตทั้งมิใช่โอรสของสนม หากฝ่าบาทมิทรงคิดจะมอบตำแหน่งให้รัชทายาทสืบทอด เช่นนั้นจวนรองเสนาบดีซูคงไม่มีทางมีไท่จื่อเฟยได้ 


 


 


“องค์รัชทายาทถูกตำหนิเรื่องที่เกิดขึ้นในเป่ยเหอ แต่นั่นก็เป็นเพราะมิทันระวังจึงได้ชักนำพยัคฆ์ตัวไปหาท่านผู้นั้น ต้าหลังไม่เพียงจะได้รับรางวัลพระราชทานเท่านั้นแต่ทุกคนต้องกล่าวถึงความชอบของเขาด้วย เช่นนั้นไท่จื่อทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วจะเบิกบานพระทัยได้หรือ? เช่นนั้นอนาคต…” นายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยถึงตรงนี้เท่านั้น 


 


 


นางเถียนมิใคร่เข้าใจเรื่องในราชสำนักนัก แต่เมื่อนายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยเช่นนี้ กลับเข้าใจอย่างชัดเจนยิ่ง 


 


 


เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายยิ่ง เพราะเรื่องหากเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมีคนโชคร้ายและมีคนโชคดี ต่อให้คนที่โชคดีนั้นจะไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับคนโชคร้ายนั้นเลย แต่คนโชคร้ายได้เห็นคนโชคดีคราใดก็คงมิเบิกบานใจนัก 


 


 


นี่เรียกว่าการพาลโกรธไปเรื่อยนั้นเอง 


 


 


การถูกผู้ที่ภายหน้าจะกลายเป็นโอรสสวรรค์พาลโกรธนั้น… 


 


 


“ยามนี้ต้าหลังกำลังรุ่งโรจน์จึงมิอาจไปงัดข้อกับเขาได้ แต่หากอดทนอีกสักหน่อย บางทีต่อไปเราก็อาจจะไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ” นายท่านรองสกุลหลัวคิดถึงอนาคตอันงดงาม โทสะที่มีในใจจึงคลายลงไปไม่น้อย 


 


 


เมื่อวางเรื่องวุ่นวายในใจลงไปได้ นายท่านรองสกุลหลัวก็เอนตัวลงนอน มือวางบนเอวของนางเถียน 


 


 


นางเถียนหน้าร้อนเห่อขึ้นมาเล็กน้อย แล้วหมุนกายไปหา “ท่านพี่…” 


 


 


ในหัวพลันปรากฏภาพคนผู้หนึ่งที่แสนบริสุทธิ์งดงามขึ้นมาวูบหนึ่ง นายท่านรองสกุลหลัวจึงหมดอารมณ์ตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด จึงเอ่ยเพียงว่า “นอนเถิด” 


 


 


ตั้งแต่ซูเหนียงถูกขายออกไป เรือนที่ตรอกซิ่งฮวานั้นเขาก็ยังคงเก็บไว้เช่นนั้น มิอาจบอกได้ว่าเพราะเหตุใด แต่บางคราก็อดเดินเล่นที่นั่นสักครู่มิได้ 


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะหญิงงามล้ำที่อยู่เรือนข้างเคียงนั้นกระมัง 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวคิดแล้วไฟเร่าร้อนในทรวงก็ลุกโหมขึ้น แต่เมื่อมองคนที่นอนอยู่ข้างตนแล้วก็คร้านจะเคลื่อนไหวร่างกายจริงๆ 


 


 


นางเถียนรู้สึกดั่งถูกตบหน้าฉาดใหญ่ 


 


 


นางอายุเพียงสามสิบห้า สามสิบหกเท่านั้นซึ่งเป็นวัยที่รู้งานทุกอย่างดียิ่ง แต่ท่านพี่กลับมิได้ชิดใกล้กับนางมานานมากแล้ว 


 


 


หรือ…หรือเขายังคงคิดถึงอนุนอกเรือนที่ถูกขายทิ้งไปแล้วผู้นั้นอยู่? 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งมีโทสะ นางเถียนผุดลุกขึ้นนั่งทันที 


 


 


“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าเช่นไร?” 


 


 


“หมายความว่าเช่นไรอันใด? รีบนอนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว” นายท่านรองสกุลหลัวหลับตาลง 


 


 


นางเถียนหยิกเอวเขาคราหนึ่ง “เหนื่อยแล้วอันใดเล่า ท่านยังคงคิดถึงนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั้นอยู่อีกใช่หรือไม่?” 


 


 


“นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อันใด นางมิใช่เสียหน่อย!” คราแรกที่นายท่านรองสกุลหลัวนึกถึงคือเยี่ยนเหนียงผู้งดงาม 


 


 


นางเถียนพลันโมโหขึ้นมา นางหยิกแขนนายท่านรองสกุลหลัวคราหนึ่ง เสียงที่เอ่ยแหลมสูงขึ้นทันที “หากมิใช่ตัวอัปรีย์นั้นมีครรภ์แล้วยังมิรู้จักเจียมตัว เว้าวอนให้ท่านพาไปวัดหวารั่ว ช่างไม่กลัวว่าจะเผยร่างอันแท้จริงต่อหน้าพระโพธิสัตว์สักนิด!” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงซูเหนียงที่ถูกขายออกไปก็ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวมีโทสะขึ้นมาเช่นกัน 


 


 


สตรีที่น่ารักอ่อนหวานเช่นนั้น ทั้งยังตั้งครรภ์เลือดเนื้อของเขา หากมิใช่เพราะภรรยาใจร้ายผู้นี้ นางไหนเลยจะต้องถูกขายไปเช่นนี้! 


 


 


เขาสะบัดมือที่จับรั้งไว้ของนางเถียนโดยแรง อาจเพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเถียนตกลงมาจากเตียงทันที 


 


 


เสียงโครมครามดังขึ้น นางเถียนกลิ้งตกลงมาผมเผ้ายุ่งเหยิง อารมณ์โมโหที่มากเกินคณนานั้นทำให้นางมีท่าทีดุร้ายดุจไก่ชน นางปีขึ้นไปบนร่างนายท่านรองสกุลหลัวอย่างรวดเร็ว แล้วข่วนที่ใบหน้าเขาอยู่หลายที 


 


 


เหล่าสาวใช้ได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้นจึงรีบเข้ามาในห้อง แต่ละคนต่างตกตะลึงอึ้งงันไป 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวคำรามขึ้นด้วยความรีบร้อนทั้งโมโหยิ่ง “ยังมิรีบไสหัวไปอีก!” 


 


 


บรรดาสาวใช้ต่างรีบถอยออกไป 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวผลักนางเถียนออกโดยแรงแล้วใส่เสื้อคลุมเดินตรงไปยังห้องตำราโดยไม่สนใจเสียงร่ำไห้ที่ด้านหลังแม้แต่น้อย และในราตรีนั้นเองเขาจึงหลับนอนกับสาวใช้ที่ยกถ้วยยาไปให้เขา 


 


 


สาวใช้ผู้นั้นคือหลี่ว์เอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของนางเถียนนั้นเอง 


 


 


วันต่อมานางเถียนจึงทราบเรื่อง แล้วก็โวยวายขึ้นมาทันที 


 


 


บนใบหน้านายท่านรองสกุลหลัวยังมีรอยขีดข่วนสีแดงเป็นทางอยู่เลย จึงเขียนใบลาต่อศาลาว่าการไว้ก่อนแล้ว เมื่อนางเถียนโวยวายขึ้นเขาจึงเตะนางไปคราหนึ่ง “นางเถียน สตรีขี้อิจฉาริษยาเช่นเจ้าคิดจะกระทำผิดหลักเจ็ดประการของภรรยาหรือ แม้แต่จะนอนกับสาวใช้ยังทำไม่ได้หรือ?” 


 


 


นางเถียนมองหน้าที่ถูกข่วนเป็นลายของนายท่านรองสกุลหลัวแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยจึงมิกล้าต่อปากอีก 


 


 


เมื่อเห็นนางเถียนอ่อนลง นายท่านรองสกุลหลัวก็แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “ต่อไปก็ให้          หลี่ว์เอ๋อร์ไปอยู่ห้องตำราคอยรับใช้ข้า” 


 


 


สตรีผู้นี้นับวันยิ่งเหิมเกริม หากเขาปกป้องไม่ได้แม้แต่สาวใช้ทงฝัง แล้วยังจะมีความอันใดอยู่กัน! 


 


 


หลี่ว์เอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ด้วยความกลัวมาตลอดนั้นค่อยๆ หยักยกมุมปากขึ้น 


 


 


ตั้งแต่นางรับหน้าที่แทนจูเหยียน ฮูหยินรองก็คอยแต่เอานางไปเปรียบกับจูเหยียน ประหนึ่งว่า        จูเหยียนเป็นเมฆที่ลอยอยู่บนนภา นางเป็นเพียงโคลนดำบนดินกระนั้น! 


 


 


ล้วนเป็นสาวใช้ทั้งสิ้นจะมีผู้ใดเหนือกว่าใครเล่า นางก็เป็นคนเช่นกัน! 


 


 


ในเมื่อเจ้านายไม่เห็นนางเป็นคน นางก็คงทำได้แต่เพียงพยายามเพื่อให้ตนได้กลายเป็นเจ้านายคนหนึ่งเท่านั้นแล้ว 


 


 


เรื่องที่นางเถียนข่วนหน้านายท่านรองสกุลหลัวและนายท่านรองสกุลหลัวก็ได้ร่วมหลับนอนกับสาวใช้ของนางเถียนได้แพร่ไปรวดเร็วดุจสายลมหอบหนึ่ง พริบตาก็กระจายไปทั่วจวนกั๋วกง 


 


 


ตอนที่นางเถียนเดินไปเรือนอี๋อานระหว่างนางก็รู้สึกว่าบ่าวไพร่มองนางด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่ตลอดทาง 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างที่เคยผ่านมา 


 


 


“เจ้าสี่ ต้าหลัง วันนี้พวกเจ้าต้องวังด้วยกันใช่หรือไม่?” 


 


 


ก่อนที่นายท่านสี่สกุลหลัวจะหายตัวไป เขามีตำแหน่งเป็นขุนนาง เมื่อครานี้กลับมาแล้วก็ต้องเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิเช่นเดียวกัน 


 


 


แต่เจินเมี่ยวยังสามารถพักผ่อนอยู่ในจวนได้ก่อนเพราะหวงโฮ่วยังไม่รับสั่งให้เข้าเฝ้า 


 


 


“ขอรับ บุตรกำลังจะไปขอรับ” 


 


 


รอกระทั่งบุรุษทั้งหลายไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมองไปที่นางชี “นางชี เมื่อวานเจ้าสี่พูดอันใดกับเจ้าบ้างหรือ?” 


 


 


ใบหน้านางชีทาเคลือบแป้งประทินผิวไว้บางๆ ทำให้ดูดีเป็นพิเศษ เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแผ่วเบาพลางเอ่ยว่า “ช่วงเวลาที่ท่านพี่หายตัวไปนั้นต่างเล่าให้สะใภ้ฟังหมดแล้ว หูอี๋เหนียงช่วยท่านพี่ไว้ สะใภ้รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง หากเมื่อใดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเวลาเหมาะสมแล้วก็ไปรับเอาหูอี๋เหนียงและจังเกอมาเถิดเจ้าค่ะ พวกเขาจะได้มิต้องกังวลใจอันใดอีก” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว อย่างไรจังเกอก็เป็นเลือดเนื้อของเจ้าสี่ ส่วนนางหู นางช่วยชีวิตของเจ้าสี่ไว้ ข้าเองก็ซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ในเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนของจวนกั๋วกงของเรา เจ้าเองก็ต้องจัดสรรทุกอย่างให้ดี อย่าได้ปล่อยนางกระทำการตามใจเพียงเพราะมีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ จนภรรยามิเป็นภรรยา อนุมิใช่อนุ นั้นแลจึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลต้องพังพินาศ” 


 


 


“เจ้าค่ะ สะใภ้ทราบแล้ว” 


 


 


นางเถียนฟังก็ลอบเบ้ปาก 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าช่างลำเอียงนัก มิน่าเล่าแต่ก่อนท่านพี่จึงมักพูดว่าฮูหยินผู้เฒ่ารักเอ็นดูนายท่านสี่สกุลหลัวมากที่สุด แม้แต่สะใภ้ก็ยังปกป้องถึงเพียงนี้ 


 


 


ฮึ เมื่อวานนางถูกตบหน้าอย่างแรง เหตุใดจึงมิเห็นพูดจาแทนนางบ้างสักคำ 


 


 


คิดถึงตรงนี้ก็เผยรอยยิ้มจอมปลอมออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านคิดว่าควรไปที่อำเภอเป่าหลิงเมื่อใดจึงเหมาะสม สะใภ้จะได้ไปจัดการเตรียมไว้ก่อนเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองนางเถียนครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ยังไม่รีบร้อน รออีกสักหน่อยค่อยว่ากันเถิด”จวนกั๋วกงมิใช่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณคน แต่ก็มิอาจให้ผู้อื่นใช้บุญคุณมาข่มเหง 


 


 


หากรีบร้อนไปรับ นางหูผู้นั้นคงได้ใจมากกว่านี้เป็นแน่ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นบุคคลที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน กับนางหูนางรู้สึกซาบซึ้ง แต่ไม่คิดจะให้รับรู้ถึงความซาบซึ้งใจของตน 


 


 


ความคิดของสตรีที่ทำการค้า นางรู้ดีอยู่แก่ใจ 


 


 


ส่วนนางเถียน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องถอนหายใจ 


 


 


เจ้าสี่กับต้าหลังเพิ่งจะกลับมาถึง พวกเขาสองคนก็ทะเลาะกันขึ้นมา ทำให้นางไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดดี 


 


 


โชคดีที่เจ้าสี่กลับมาแล้ว จวนกั๋วกงแห่งนี้มีเขาและต้าหลังคอยดูแล ย่อมไม่มีทางล้มลงไปก่อนที่นางจะสิ้นใจเป็นแน่ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่เจินเมี่ยวอีกครา “หลานสะใภ้ ข้าเห็นสีหน้าเจ้าไม่สู้ดีนัก ยังมิดีขึ้นหรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวรีบเอ่ยต่อว่า “ท่านย่า หลานสะใภ้สบายดีเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อวานหลัวเทียนเฉิงได้กำชับนางไว้อย่างหนักแน่นว่าเรื่องที่ระดูมานั้นจักต้องเก็บเป็นความลับสักระยะ 


 


 


เมื่อผ่านคลื่นพายุฝนก่อนหน้านี้มาได้ทำให้นางเริ่มมองออกแล้วว่าชีวิตนั้นไม่ง่าย การระแวดระวังไว้ก่อนย่อมเป็นการดีกว่า 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นเทียบเชิญปึกหนึ่งให้นาง “เป็นเทียบที่จวนต่างๆ ส่งมาเชิญเจ้าหรือไม่ก็เทียบขอมาเยี่ยมเจ้าที่จวน ในช่วงสองวันนี้เจ้าคงต้องได้เข้าวัง หาผ่านสองวันนี้ไปเจ้าก็จัดการวางแผนตามอัธยาศัยเถิด ยังมีรายการของขวัญที่จวนต่างๆ ส่งมาให้อีก ประเดี๋ยวจะให้คนส่งไปที่เรือนชิงเฟิง” 


 


 


“ขอบพระคุณท่านย่ามากยิ่งเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นดื่ม ผู้คนทั้งหลายค่อยๆ ทยอยสลายตัว 


 


 


ระดูเจินเมี่ยวมา อาหลวนจึงค่อยประคองนางเดินไปอย่างช้าๆ เพราะมิใคร่สบายตัวนัก 


 


 


นางชีจูงมือคุณชายหกเดินไปเชื่องช้าอยู่ด้านหลัง 


 


 


“อาสะใภ้สี่ มีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ?” 


 


 


คล้ายว่านางชีได้ผ่านวันเวลาอันเศร้าหมองมานานเกินไป แม้นยามนี้จะสดใสขึ้นมาก แต่เวลาเพียงไม่นานก็มิอาจคุ้นชินกับการทักทายปราศรัยกับผู้อื่นเท่าใดนัก แต่เมื่อเจินเมี่ยวเผยยิ้มเช่นนี้ออกมาก็ทำให้ความลังเลที่มีแต่เดิมหายไปจึงเอ่ยปากถามว่า “หลานสะใภ้ นางหูผู้นั้นเป็นบุคคลเช่นใดหรือ?” 


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ฉลาด” 


 


 


ฉลาดหรือ นางชีก้มหน้าลงพึมพำออกมาคราหนึ่ง แล้วจึงเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา “ขอบใจเจ้ามาก อาสะใภ้ยังมิเคยได้เอ่ยขอบใจเจ้ากับต้าหลังที่พาท่านอาสี่กลับมาเลย” 


 


 


ระหว่างเดินทางไปที่วังหลวง นายท่านสี่สกุลหลัวและหลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยสนทนากันไปเรื่อย 


 


 


ก่อนจะลงจากม้า นายท่านสี่สกุลหลัวก็พลันถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า “หลายปีมานี้ พี่รองดีต่อเจ้าหรือไม่?” 

 

 

 


ตอนที่ 226

 

วาจานี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก


 


 


หลัวเทียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ท่านอารองดีต่อหลานมาตลอด เหมือนกับตอนที่ท่านอาสี่ยังมิหายสาบตัวไปนั้นแล”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวขมวดคิ้วคราหนึ่ง


 


 


ตอนนั้นเขายังหนุ่มแน่น ความคิดและจิตใจต่างมุ่งไปบนการศึกบนสนามรบจึงมิรู้สึกว่ามีตรงใดผิดปกติไป


 


 


แต่เมื่อผ่านการเป็นวาณิชมาหลายปี ทุกคราที่ย้อนกลับไปคิดถึงอดีตก็จะรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง


 


 


โดยเฉพาะท่าทีของพี่รองกับพี่สะใภ้รองในตอนที่พวกเขากลับถึงจวนในวันนั้น ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาหวังให้คนที่นอนอยู่ในโลงนั้นเป็นต้าหลังมากกว่าต้าหลังที่มีชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยพลัง


 


 


ทว่าวันเวลายังอีกยาวไกลนัก ค่อยๆ ดูกันไปก่อนเถิด


 


 


คนทั้งสองเดินเข้ามาในวังก็มองเห็นรัชทายาทและพระชายาที่มิทราบเดินลัดเลี้ยวมาจากซอกมุมใด จึงรีบหลบไปด้านข้าง


 


 


คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะเดินเข้ามาหา คนทั้งสองจึงถวายบังคมทันที


 


 


เสียงดังขึ้นเหนือศีรษะว่า “ดูสีหน้าท่าทางของหลัวซื่อจื่อนั้นไม่เลวเลย”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยืนตัวตรงขึ้น มุมปากห้อยแขวนรอยยิ้มบางเบา “เป็นเพราะพระบารมีของไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“มิกล้า กล่าวไปแล้วคงเป็นข้ามากกว่าที่ทำให้ท่านต้องลำบาก” เห็นชัดว่าวาจาเพื่อแสดงความเกรงใจของรัชทายาทแต่น้ำเสียงกลับฟังดูแปลกแปร่งยิ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ หม่อมฉันคงไม่มีที่อยู่แน่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์รัชทายาทขมวดคิ้วคราหนึ่งแล้วหันไปมองนายท่านสี่สกุลหลัว “ท่านนี้คือ…”


 


 


“หม่อมฉันคือคุณชายสี่แห่งจวนเจินกั๋วกงเป็นอาสี่ของหลัวซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“คุณชายสี่จวนกั๋วกง?” องค์รัชทายาทรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “อ้อ หรือเป็นแม่ทัพหลัวที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนท่านนั้น?”


 


 


จวนกั๋วกงมีแม่ทัพมากความสามารถถึงสามคน เจิ้นกั๋วกงมีสมญานามว่าแม่ทัพไม่พ่าย บิดาของหลัวเทียนเฉิงก็มีชื่อเสียงจากการวางแผนการรบอันชาญฉลาด และนายท่านสี่สกุลหลัวผู้นี้ก็ติดตามบิดาเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบกว่าๆ จึงถูกขนานนามว่าแม่ทัพหนุ่ม หากกล่าวแต่เพียงฝีมือการรบนั้น เขานับว่าอยู่เหนือบิดาและพี่ชาย


 


 


เพียงน่าเสียดายที่แม่ทัพทั้งสามนั้น ผู้หนึ่งสิ้นชีพ ผู้หนึ่งสติไม่ดี อีกผู้หนึ่งตกม้าและหายสาบสูญไป ทำให้คนทั่วหล้าต่างก็ต้องทอดถอนใจด้วยความเสียดาย


 


 


สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนสีไปมาอย่างชัดเจน ในที่สุดจึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ “หลัวซื่อจื่อช่างโชคดีนัก หายตัวไปไม่กี่วัน แต่กลับพาท่านแม่ทัพหลัวกลับมาด้วยได้ คิดว่าเสด็จพ่อคงทรงดีพระทัยยิ่ง ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกท่านแล้ว”


 


 


องค์รัชทายาทเดินจากไปด้วยมุมปากเครียดตึง พระชายาก็เดินตามไปติดๆ รอกระทั่งปลอดคนแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ไท่จื่อพระอารมณ์ไม่ดีหรือเพคะ?”


 


 


ไท่จื่อแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “อารมณ์ดีได้จึงแปลก เจ้ามิเห็นท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านต่อคำชมและคำต่อว่านั้นของเขาหรือ คงมิเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยกระมัง?”


 


 


“ไท่จื่อคิดมากไปแล้ว ข้าคิดว่าหลัวซื่อจื่อคงมิกล้าแสดงท่าทีไม่เคารพต่อพระองค์มากกว่า”


 


 


“เจ้าเข้าใจอันใด ไม่ง่ายเลยที่เสด็จพ่อจะลืมเรื่องนี้ไปได้ แต่แค่พวกเขาเข้าวังมาก็จะนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีก ต่อไปหากเห็นเขา เสด็จพ่อก็จักต้องคอยแต่คิดถึงเรื่องนั้นอยู่ร่ำไป เจ้าเองก็มิใช่ไม่เคยเห็นเหล่าน้องชายที่คอยจับจ้องดุจพยัคฆ์ร้ายเหล่านั้น หากความรักระหว่างบิดาและบุตรค่อยๆ ถูกบั่นทอนไปเช่นนี้ ไม่นานพวกเขาก็คงหาช่องว่างมุดเข้ามาจนได้ หากเขานับวันยิ่งมีหน้ามีตา คนทั่วหล้าก็ยิ่งลืมไม่ลง เกียรติยศของเขาในวันนี้ได้มาเพราะเหยียบย่ำข้าขึ้นมาแท้ๆ”


 


 


“ไท่จื่อ เช่นนั้นท่านคิดจะ…”


 


 


มุมปากรัชทายาทเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียมขึ้น “มีแต่คนตายเท่านั้นที่ทำให้คนลืมเขาได้อย่างรวดเร็ว”


 


 


หัวใจพระชายาพลันเต้นรัวเร็วขึ้น “ไท่จื่อ เรื่อง…เรื่องนี้ต้องปรึกษากับท่านพ่อก่อนสักหน่อยหรือไม่?”


 


 


พระชายาขององค์รัชทายาทมิใช่คนโง่เขลา แต่นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบิดา ทั้งบิดาของนางยังเป็นบุคคลที่มีความสามารถ การที่นางจะนึกถึงบิดาเป็นอันดับแรกนั้นมิใช่เรื่องแปลกอันใด


 


 


แต่วาจานี้กลับจี้ใจดำขององค์รัชทายาทเข้าพอดิบพอดี


 


 


“นางซู เรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ยังต้องไปปรึกษากับบิดาเจ้าอีกหรือ? เขาเป็นเพียงขุนนางใต้ตำหนักตงกงของข้ามิใช่หรือ?”


 


 


กล่าวไปแล้ว องค์รัชทายาทเองก็พึ่งพาพ่อตาผู้นี้ไม่น้อย การที่กลับมาเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิอีกคราก็เป็นเพราะคำแนะนำของพ่อตา แต่การความช่วยเหลือนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถูกชายาตนเอ่ยออกมาอย่างชัดแจ้งเช่นนี้จึงรู้สึกเสียหน้ายิ่ง


 


 


นางซูถึงกับเป็นใบ้เอ่ยสิ่งใดไม่ออก


 


 


ใบหน้านางยาวเรียวเล็กน้อย ยามปกติมุมปากมักแฝงไปด้วยรอยยิ้ม มองดูแล้วสง่างามยิ่ง ทว่าเมื่อหุบยิ้มลงกลับดูทุกข์ตรมขึ้นมาทันที


 


 


 องค์รัชทายาทเห็นแล้วก็ไม่สบายใจจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “เลิกทำหน้าทุกข์ทนเช่นนี้ได้แล้ว หากมีโชคลาภก็คงสลายหายไปหมดแล้ว เหตุใดจึงมิเรียนอย่างผู้อื่นเขาบ้าง!”


 


 


กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปทันที


 


 


พระชายาถูกต่อว่าจนหน้าเสีย ได้แต่นอนอิงหมอนร่ำไห้


 


 


หลัวเทียนเฉิงและนายท่านสี่สกุลหลัวถูกเชิญไปที่ตำหนักหย่างซินเพื่อเข้าเฝ้าเจาเฟิงตี้


 


 


ท่าทีของเจาเฟิงตี้นั้นไม่เลวเลย แต่ผ่ายผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด


 


 


คนทั้งสองถวายบังคมทันที


 


 


เจาเฟิงตี้เห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก็เบิกบานยิ่ง จึงสั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้คนทั้งสอง


 


 


ยามนี้ฝั่งตะวันออกมีสงคราม ฝั่งตะวันตกมีคนนอกคอยเข้ามาก่อกวนราษฎร รวมทั้งลี่อ๋องแห่งชิงเป่ยที่คิดการไม่ดีอีก เขารู้สึกว่าไม่มีแม่ทัพดีๆ ที่ใช้การได้เลยจริงๆ


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อกำลังคิดจะนอนพักกลับมีคนยื่นหมอนมาให้ ต้าโจวของเขาช่างมีโชควาสนาเสียจริง


 


 


เจาเฟิงตี้อารมณ์ดีอย่างยิ่งจึงสอบถามถึงเรื่องราวหลังจากที่หลัวเทียนเฉิงหายตัวไปและสิ่งที่นายท่านสี่สกุลหลัวได้พบเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอย่างอดทนอย่างยิ่ง


 


 


เพราะเกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาทที่ถูกปลดไปในรัชกาลก่อน คนทั้งสองจึงเจตนาหลบเลี่ยงไม่เอ่ยถึงในบางเรื่อง


 


 


“กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าพวกเจ้าปะปนมากับขบวนวาณิชขนใบชา ทั้งน้องสามของเจ้ายังขอให้ขบวนนั้นคุ้มครองโลงศพเจ้ามาส่งอีกด้วยงั้นหรือ?” เจาเฟิงตี้ยิ้มพลางส่ายหน้า “ช่างเป็นโชคดียิ่ง เราพูดไว้ไม่มีผิดเลย นางเจินนั้นเป็นบุคคลที่มีโชควาสนาแท้ๆ”


 


 


หากมิใช่เพราะนางเจินช่วยชูสย่าไว้ทำให้ม้าตกใจวิ่งหนีไป แล้วจะตามหาแม่ทัพใหญ่กลับมาคืนเขาได้อย่างไรเล่า!


 


 


คนที่ยิงธนูนั้นจักต้องเป็นคนของลี่อ๋องเป็นแน่ เขาคิดจะหยุดยั้งงานมงคลระหว่างต้าโจวและดินแดนหมานเหว่ย เพื่อมิให้ต้าโจวโอบล้อมชิงเป่ยมากกว่าไปกว่านี้


 


 


เกรงว่าลี่อ๋องคงไม่มีทางคิดถึงว่าธนูดอกนั้นมิได้ทำอันตรายองค์หญิงของเขาได้แม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้แม่ทัพใหญ่ที่จะมาต่อกรกับชิงเป่ยปรากฏตัวขึ้นแทน


 


 


เพียงแต่จุดนี้เขาคงยังมิเอ่ยมันออกไปชั่วคราว


 


 


เจาเฟิงตี้อารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นชาแท่งที่ขนเข้ามาในเมืองหลวงนั้นเจ้าเป็นผู้ศึกษาทำมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มเล็กน้อย “หม่อมฉันเอาความคิดและจิตใจไปหมกมุ่นอยู่กับมันมาหลายปี ครานี้เองจึงทราบว่าคนหยาบกระด้างก็สามารถงามสง่าขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฮ่าๆ กลับไปแล้วก็ส่งมันมาให้เราลองชิมสักหน่อยเถิด”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวรีบเอ่ยขอบพระทัยเป็นการใหญ่


 


 


วาจานี้ของเจาเฟิงตี้เท่ากับยกเอาตระกูลหูให้เป็นคู่ค้ากับราชวงศ์


 


 


เช่นนี้ต่อไปภายหน้าเขาก็มิต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีก


 


 


ด้วยฐานะของจวนเจิ้นกั๋วกง คนของต้นตระกูลหูคงมิกล้าคิดยึดเอาสมบัติของจวนสกุลหูแน่ และเมื่อมีเส้นทางการค้าชากับราชวงศ์ ต่อไปก็คงยิ่งคอยตามติดพึ่งพาจวนสกุลหูอย่างไม่มีเงื่อนไข


 


 


รอกระทั่งหลัวเทียนเฉิงและอาของเขาจากไปแล้ว เจาเฟิงตี้จึงไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงด้วยอารมณ์อันเบิกบาน เมื่อพบเข้ากับจ้าวหวงโฮ่วจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “หวงโฮ่ว ได้เรียกนางเจินเข้าวังหรือไม่?”


 


 


ทำให้จ้าวหวงโฮ่วงุนงงไปหมดแต่ก็มิกล้าเอ่ยถาม ได้แต่มีราชโองการไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงทันที


 


 


เมื่อหลัวเทียนเฉิงและนายท่านสี่สกุลหลัวไปถึงจวน ราชโองการก็มาถึงเช่นกัน


 


 


เจินเมี่ยวมิทันแม้แต่จะเอ่ยวาจาใดกับหลัวเทียนเฉิงก็ก้าวขึ้นเกี้ยวไปทันที จึงทำได้เพียงโบกมือให้เขาเท่านั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“เป็นอันใดไป?” นายท่านสี่สกุลหลัวตบบ่าเขาคราหนึ่ง


 


 


“สองสามวันมานี่นางเจินมิใคร่สบายดีนัก ข้าเกรงว่าน่าจะเกิดเป็นอันใดในวังขึ้นมา”


 


 


นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มปลอบใจ “วางใจเถิด ดูจากท่าทีของฝ่าบาทในวันนี้ ทรงมีความประทับใจที่ดีต่อนางเจินยิ่ง”


 


 


หัวเทียนเฉิงได้แต่กดความกังวลตนเอาไว้


 


 


“ไปนั่งเล่นที่ห้องตำราของเจ้าสักครู่เถิด”


 


 


ครั้นเมื่อเข้าไปในห้องตำรา นายท่านสี่สกุลหลัวก็มีสีหน้าจริงจังขึงขังขึ้นมาทันที “ต้าหลัง เข้าคิดว่าไท่จือคิดจะกำจัดเจ้า”


 


 


การขลุกตัวอยู่ในสงครามนั้นสร้างสัญชาตญาณเหล่านี้ให้กับเขา ทั้งยามนี้ยังรู้จักสังเกตวาจาและสีหน้าอีกด้วย เจตนาร้ายที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของไท่จื่อนั้นมิอาจมองข้ามไปได้เลยจริงๆ


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “ท่านอามองได้แม่นยำนัก แต่ว่า…อย่างไรไท่จื่อก็ยังมิใช่ฮ่องเต้”


 


 


เรื่องราวช่างอัศจรรย์นัก ชาติก่อนฝ่าบาทตกพระทัยจนประชวรอยู่บนแท่นพระบรรทม ไท่จื่อก็ถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ยามนี้ที่เขาเข้าไปขัดขวางไว้ ฝ่าบาทมิได้เป็นอันใดมากนัก ไท่จื่อก็มิได้ถูกปลดแต่กลับคิดจะสังหารเขาเสียอย่างนั้น


 


 


ดังนั้นจึงกล่าวว่า ทุกเรื่องราวล้วนมีสองด้านทั้งสิ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงหวนนึกถึงงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพหลังจากที่องค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่งขึ้นมา องค์ชายหลายพระองค์แข่งขันกันอย่างดุเดือดอย่างเห็นได้ชัด องค์ชายรองทรงถวายไก่ฟ้าสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลทั้งขอให้ฝ่าบาทมีพลานามัยที่แข็งแรง ผู้ใดจะคาดคิดว่าไก่ฟ้าสีขาวกลับสีตก ไก่ฟ้าสีขาวซึ่งแสดงถึงความเป็นมงคลนั้นกลับกลายเป็นไก่ป่าหลากสีไปเสียได้


 


 


เจาเฟิงตี้เดิมก็ล้มป่วยอยู่แล้ว เมื่อเห็นไก่ป่าเช่นนี้จะมีอันใดดีได้ องค์ชายรองจึงถูกตำหนิยกใหญ่ พระมารดาขององค์ชายรองมิได้มีตำแหน่งสูงอยู่แล้ว เขาจึงถูกคัดออกไปคนแรกจากบรรดาผู้ที่คิดชิงตำแหน่งรัชทายาท


 


 


ทว่าครานี้องค์รัชทายาทที่ยังมีตำแหน่งชื่อเสียงทุกอย่างพร้อมสรรพ ทั้งได้รับการช่วยเหลือผลักดันอย่างเหมาะสม โดยที่เขามิต้องยื่นมือเข้าไปแทรกด้วยซ้ำ ก็คิดว่าไก่ฟ้าตัวนั้นก็คงตกไปอยู่ในมือของรัชทายาทได้ไม่ยากนัก


 


 


องค์ชายทั้งหลายต่างอดทนมานานเหลือเกิน ในอดีตความรักความผูกพันระหว่างฮ่องเต้กับรัชทายาทนั้นลึกซึ้งยิ่ง ผู้ใดล้วนมิกล้ากระทำการส่งเดช


 


 


ทั้งยามนี้คล้ายว่ารัชทายาทจะกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งแล้ว แต่แม้นคันฉ่องที่แตกจะกลับมาประกอบใหม่ได้แต่ยังคงต้องมีรอยร้าวอยู่วันยังค่ำ ภายนอกงดงามดั่งแรกเริ่ม แต่ภายในนั้นมีรอยมีรูอยู่นับร้อย แค่ทุบเบาๆ มันก็แตกได้ทันที


 


 


คงไม่มีผู้ใดยอมละทิ้งโอกาสนี้แน่!


 


 


 เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยิ้มด้วยท่าทีนิ่งเฉย นายท่านสี่สกุลหลัวก็ถอนหายใจ


 


 


นับวันเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจหลานคนนี้


 


 


แต่วาจานี้ของเขาคล้ายแน่ใจว่าอย่างไรรัชทายาทก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่งกระนั้น?


 


 


ครั้นคิดถึงตรงนี้ นายท่านสี่สกุลหลัวอึ้งงันอยู่ในใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ต้าหลัง อามิอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว มีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจถ่องแท้ เจ้ารับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน อย่างไรก็ต้องมีความสามารถมากพอดี แต่หากคิดจะกระทำเรื่องใดก็ให้นึกถึงจวนกั๋วกงของเราให้มาก”


 


 


“ท่านอาสี่วางใจได้ หลานทราบดีว่าต้องทำเช่นไรขอรับ” เขามิใช่ไม่เชื่ออาสี่ แต่เรื่องบางเรื่องกระทำได้แต่พูดไม่ได้


 


 


เจินเมี่ยวนั่งอยู่ในเกี้ยวที่สั่นคลอนไปมาทำให้รู้สึกสบายตัวยิ่ง เรื่องปวดท้องนั้นมิต้องพูดถึง จิตใจของนางตอนนี้ก็กำลังตึงเครียด


 


 


มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าผ้าซับระดูนี้จะเชื่อถือได้หรือไม่ หากเกิดซึมเปื้อนออกมาระหว่างเดินอยู่ในวังหลวงเล่า…


 


 


แค่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา นางก็อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้เจ้าสิ่งนี้ นางไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด


 


 


มาเมื่อใดไม่มาแต่กลับเลือกมาเวลานี้


 


 


เมื่อเข้าเฝ้าหวงโฮ่วแล้วก็ไปเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว เคราะห์ดีที่ไม่มีอันใดผิดพลาดขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวเพิ่งจะผ่อนลมหายใจโล่งอกก็ได้ยินไท่โฮ่วเอ่ยว่า “นางเจิน เจ้าหายตัวไปครานี้ ไท่เฟยเป็นห่วงยิ่ง เจ้าไปเยี่ยมนางสักหน่อยเถิด”


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวไปถึง ไท่เฟยกำลังทาเล็บอยู่พอดี เมื่อเห็นนางมาก็มิเอ่ยถามสิ่งได้เพียงกวักมือให้คราหนึ่ง “เจ้าสี่เข้ามาสิ มา…ย่าจะทาเล็บให้เจ้าเอง”


 


 


“ไท่เฟย หม่อมฉันเล็บสั้น ไม่ทาจะดีกว่าเพคะ” การทาเล็บเป็นงานละเอียด ทั้งไท่เฟยยังเป็นผู้ชมชอบความสมบูรณ์แบบ หากรอให้ทาจนเสร็จคาดว่าผ้าซับระดูของนางคงใช้การไม่ได้แล้วเป็นแน่


 


 


เจินไท่เฟยกลับคว้ามือเจินเมี่ยวไปทาเล็บให้ทันที น้ำเสียงที่เอ่ยคล้ายดังมาจากที่แสนไกล “ข้าทาเล็บให้แค่อิ๋งเย่ว์เท่านั้น ตอนนี้ได้ทาให้เจ้าก็คล้ายได้ย้อนกลับไปในอดีตกระนั้น”


 


 


เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น แต่สุดท้ายก็มิอาจฝืนใจเอ่ยปฏิเสธได้


 


 


แต่ไท่เฟยกลับประณีตยิ่งกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก เจินเมี่ยวรู้สึกถึงลางร้ายขึ้นมาทุกขณะแล้ว กระทั่งทาเสร็จไปหนึ่งข้างนางจึงอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “ไท่เฟย หม่อมฉัน…”


 


 


เจินไท่เฟยยิ้มดุจบุปผาแย้ม “ไม่เลวเลย สีจะไม่หลุดไปนับเดือนเลยล่ะ เจ้าลองดมดู มันมีกลิ่นหอมของดอกไม้ด้วย”


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะหมดสติไปให้รู้แล้วรู้รอด นางนั้นประสาทไวยิ่งต่อเรื่องกลิ่น แล้วนี่คือกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ใดกัน มันคือกลิ่นคาวเลือดชัดๆ!


 


 


อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่งเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่เฟย…ขายหน้าก็ขายหน้าเถิด


 


 


เจินเมี่ยวรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยอธิบายสถานของนางออกมาแต่นางกำนัลผู้หนึ่งก็ร้องขึ้นว่า “องค์ชายหกเสด็จ…”

 

 

 


ตอนที่ 227

 

องค์ชายหกเสด็จ องค์ชายหกเสด็จ องค์ชายหกเสด็จ…


 


 


เจินเมี่ยวเมี่ยวคล้ายถูกสกัดจุด ได้แต่นั่งนิ่งเป็นดินเหนียวปั้นอยู่บนเก้าอี้


 


 


เจินไท่เฟยเป็นคนละเอียด เมื่ออากาศหนาวเย็นเช่นนี้ บนเก้าอี้จึงปูด้วยขนเตียวขาวที่ตัดทรงสวยงามเป็นรูปดอกเหมย


 


 


ขนเตียวขาวอันน่าตาย!


 


 


หลังจากนางได้ย้อมสีดอกเหมยลงบนขนเตียวทรงดอกเหมยนั้นก็ให้องค์ชายหกได้ชมดอกเหมยงั้นหรือ?


 


 


แค่เจินเมี่ยวคิดว่าตนต้องลุกขึ้นถวายพระพรองค์ชายหก ความหวาดหวั่นก็กระจายไปทั่วร่างๆ


 


 


ดังนั้นองค์ชายหกที่สวมอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างเดินเข้ามาด้วยมุมปากเคลือบรอยยิ้มจึงเห็นท่าทีเหม่อลอยอึ้งงันของนางเข้าพอดี


 


 


เจินไท่เฟยกลับลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าหก เหตุใดวันนี้จึงมาที่นี่ได้เล่า?”


 


 


องค์ชายหกปิดบังรอยขมขื่นนั้นไว้ในดวงตาแล้วเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเบิกบาน “ไท่เฟยกำลังจะไล่หม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


เจินไท่เฟยมองเขาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


เจินเมี่ยวมือเท้าแข็งไปหมด จึงเป็นธรรมดาที่นางจะมิเห็นบรรยากาศอันแปลกไประหว่างเจินไท่เฟยและองค์ชายหก


 


 


เจินไท่เฟยกำลังรู้สึกหวาดกลัวต่อองค์ชายหกอยู่ แต่เมื่อหันไปเห็นเจินเมี่ยวที่นั่งนิ่งไม่ขยับก็ขมวดคิ้วทันที


 


 


เด็กโง่งมผู้นี้…นี้มิใช่ยิ่งเป็นการดึงดูดความสนใจคนมากกว่าเดิมอีกหรือ


 


 


บางคราการคิดจะให้ผู้อื่นมองข้ามตนนั้นไม่ยาก แค่ทำตัวปกติอย่างคนส่วนใหญ่ก็พอแล้ว


 


 


ดังคาด องค์ชายหกจึงเดินเข้าไปหาแล้วมองเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม น้ำเสียงไม่เบาไม่ดังไม่เร็วไม่ช้า “คุณหนูสี่สกุลเจิน เห็นข้าแล้ว เจ้าควรทักทายสักหน่อยหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวยังคงนั่งแสร้งโง่งมต่อไป “ถวายพระพรองค์ชายหกเพคะ”


 


 


องค์ชายหกลูบคางตน “อืม กฎระเบียบเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อใดทำไมข้าไม่รู้เล่า? ตอนนี้ต่างพากันนั่งทักทายหมดแล้วหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวลอบกัดฟันตน


 


 


จะไม่ให้นางผ่านด่านนี้ไปง่ายๆ เลยใช่หรือไม่!


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นองค์ชายหกมองมาพอดี ดวงตาเรียวนั้นหยักโค้งลงเป็นเส้นโค้งอันน่าหลงใหล มุมปากห้อยแขวนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันทรงเสน่ห์


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะพูดเหลือเกินว่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้มันตกยุคไปแล้ว ท่านทราบหรือไม่?


 


 


แน่นอนว่าเจินเมี่ยวมิกล้าพูดออกไป ภายใต้สายตาอันบีบคั้นนั้นขององค์ชายหกนางก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงยื่นมือที่ทาเล็บเรียบร้อยแล้วนั้นออกไปพลางเอ่ยว่า “ไท่เฟยทาเล็บให้หม่อมฉัน ทรงตรัสว่าให้อยู่นิ่งๆ เพคะ”


 


 


กล่าวจบก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความยินดี นางช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง


 


 


นางดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าองค์ชายหกทรงให้ความเคารพต่อไท่เฟยเป็นอย่างยิ่ง


 


 


เจินไท่เฟยอดกุมขมับไม่ได้


 


 


เด็กสาวผู้นี้อยู่กับชาวบ้านจนโง่เขลาไปแล้วหรือ เขลาเสียจนนางมิอาจทนดูได้


 


 


“เช่นนั้นหรือ…” องค์ชายหกหัวเราะแผ่วเบา “เช่นนั้นข้าคงมาไม่ถูกเวลาเอง ไท่เฟยท่านทาเล็บให้นางต่อเถิด”


 


 


ไท่เฟยชำเลืองมององค์ชายหกคราหนึ่งแต่มิเอ่ยวาจาใด แล้วหยิบแปรงเล็กๆ ขึ้นมาทำต่อ


 


 


“เจ้าหกหากไม่มีอันใดก็กลับไปก่อนเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวดีใจยิ่ง


 


 


องค์ชายหกคอยสังเกตสีหน้านางอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทีของหน้าก็มิได้รู้สึกเสียใจกับการออกปากไล่ตนของไท่เฟยถึงเพียงนั้นแล้ว ทั้งยังเอ่ยเว้าวอนด้วยรอยยิ้มว่า “ไท่เฟย อย่างไรก็ให้หม่อมฉันดื่มชาสักถ้วยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ยกชามา” เจินไท่เฟยเอ่ยกำชับนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง


 


 


อย่างไรก็เป็นเด็กที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ แม้นนางจะล่วงรู้ความคิดอันวิปริตนั้นของเขาแล้วแต่ก็ยากจะทำเย็นชาต่อเขาได้


 


 


องค์ชายหกมาที่นี่ประจำ นางกำนัลจึงทราบดีว่าเขาชอบชาชนิดใด ไม่นานก็ยกชาบุปผาเข้ามาถ้วยหนึ่ง


 


 


องค์ชายหกค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม


 


 


รอกระทั่งเจินไท่เฟยทาเล็บจนเสร็จจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “นางเจิน เรามาทำการทักทายกันใหม่อีกสักรอบเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวเกือบจะร่วงตกจากเก้าอี้ไปทันใด


 


 


องค์ชายหกเห็นท่าทีของเจินเมี่ยวแล้วก็พาให้เบิกบานใจยิ่ง “คุณหนูสี่สกุลเจิน เหตุใดต้องทำท่าดั่งแม้ตายก็ไม่ยอมเช่นนั้นด้วยเล่า ข้ามิได้คิดจะบังคับอันใดเจ้าสักหน่อย”


 


 


“เจ้าหก!” เจินไท่เฟยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ชาก็ดื่มแล้ว ควรกลับได้แล้ว”


 


 


องค์ชายหกถอนหายใจแผ่วเบาแล้วลุกขึ้น “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา”


 


 


ขณะที่เอ่ยวาจาสายตาก็มองไปที่เจินเมี่ยว แล้วจึงค่อยๆ เดินจากไป


 


 


เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมาโดยแรง มือที่กำกระโปรงอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก


 


 


ทุกคราที่เห็นเขามักไม่มีเรื่องดี ต่อไปนางคงต้องดูฤกษ์ยามก่อนค่อยออกจากเรือนจะได้มิพบองค์ชายหกอีก!


 


 


“เจ้าสี่ ที่แท้แล้วมีเรื่องอันใดกันแน่? ”


 


 


เจินเมี่ยวมองบรรดานางกำนัลที่อยู่ในตำหนัก


 


 


นางเองก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเช่นกัน!


 


 


เจินไท่เฟยเข้าใจจึงโบกมือให้นางกำนัลและขันทีออกไป แล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “พูดมาเถิด ที่แท้เจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่?”


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นที่เป่ยเหอต่างแพร่กระจายไปทั่วแล้ว แผนการร้ายต่างๆ ในเรื่องนี้อาจมิได้มีแต่คนนอก หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้าหก?


 


 


หรือในช่วงที่เจินเมี่ยวหายตัวไปนั้นนางพบหลักฐานอะไรบางอย่างเข้า?


 


 


เจินไท่เฟยเกิดหวาดหวั่นใจขึ้นมา


 


 


นางเข้าใจเจ้าหก


 


 


เด็กคนนั้นแม้นภายนอกจะดูไร้แก่นสารไม่ยี่หระสิ่งใด แต่จริงๆ แล้วเขามีความทะเยอทะยานซ่อนอยู่


 


 


รัชทายาทค่อนข้างอ่อนแอ ยากจะทำการใหญ่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคิดการใหญ่โดยสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ฝ่าบาทรังเกียจรัชทายาทก็เป็นได้


 


 


กล่าวเช่นนี้ เรื่องพยัคฆ์ดุร้ายนั้นก็อาจมีคนเจตนาล่อมันเข้ามา


 


 


เจินไท่เฟยผู้ฉลาดปราดเปรื่องคิดไปสารพัดนับพันนับร้อยแผนการที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาชั่วขณะนี้


 


 


พลันได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “ไท่เฟย ระดูหม่อมฉันมา ตอนนี้คงเปื้อน…”


 


 


“ข้า…” เจินไท่เฟยแทบหายใจไม่ทันไปชั่วขณะ มุมปากยกขยับร้องเรียกให้นางกำนัลเข้ามา แล้วชี้ไปที่เจินเมี่ยว “ไปหาอาภรณ์สีใกล้เคียงกับฮูหยินผู้สืบทอดสวมอยู่มา อืม…เอาผ้าซับระดูผืนใหม่มาด้วยแล้วประคองฮูหยินผู้สืบทอดไปที่ห้องอาบน้ำ”


 


 


นางกำนัลใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจกระทำเรื่องใดล้วนมิแตกตื่นนั้น เมื่อได้ยินคำกำชับที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้ก็ยังต้องอึ้งงันไปเล็กน้อยแล้วหมุนตัวออกไป


 


 


“ไท่เฟย…” สีหน้าเจินเมี่ยวเต็มไปด้วยการฟ้องร้อง


 


 


เจินไท่เฟยกลอกตาคราหนึ่ง “ข้าอายุปูนนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะมีผ้าซับระดูหรือ? เจ้าควรจะดีใจที่ย่าเจ้าเป็นคนรอบคอบ และนางกำนัลพวกนั้นคล่องแคล่วว่องไว มิเช่นนั้นเจ้าคงได้ใช้ของผู้อื่นที่ซักสะอาดแล้วเท่านั้น”


 


 


เจินเมี่ยวคล้ายถูกฟันเข้าให้ในพริบตา


 


 


ไท่เฟย จำต้องพูดเรื่องที่น่าขนหัวลุกเช่นนั้นออกมาให้เลยหรือไร?


 


 


เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากวังไปอย่างรีบร้อน


 


 


คนในวังได้ยินลมก็บอกเป็นฝน เมื่อเห็นสีหน้ามิใคร่สู้ดีของเจินเมี่ยวก็อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้


 


 


“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักไท่เฟยนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”


 


 


“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักหวงโฮ่วนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”


 


 


“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักไท่โฮ่วนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”


 


 


“ที่แท้แล้วเป็นหวงโฮ่วหรือไท่โฮ่วกันแน่?”


 


 


“หลังจากที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงออกมาจากตำหนักหวงโฮ่วและไท่โฮ่วก็มีสี่หน้าย่ำแย่ยิ่ง ได้ยินมาถูกตำหนิเพราะทำตัวมิเหมาะสม”


 


 


เกี้ยวของเจินเมี่ยวยังมิทันถึงจวนกั๋วกงด้วยซ้ำ เสียงเล่าลือกลับแพร่ออกไปดั่งพายุพัดไฟให้ลุกลามก็มิปาน


 


 


 เมื่อถึงยามบ่ายก็มีราชโองการประกาศให้คุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ขุนนางขั้นสาม ทั้งปูนบำเหน็จทองสองร้อยชั่ง เงินหนึ่งพันตำลึง ที่นาอีกห้าร้อยฉิ่ง[1]…


 


 


เงินทองนั้นมิต้องพูดถึง แต่ที่นานั้นเป็นสิ่งที่พระราชทานให้แก่หลัวเทียนเฉิง อนาคตหากแยกเรือนไปก็มิจำเป็นต้องแบ่งให้ผู้ใด


 


 


มิต้องกล่าวถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปของคนทั้งหลายในจวน


 


 


กระทั่งสุดท้ายแม้แต่นายท่านสี่สกุลหลังก็ถูกย้ายไปฝึกทหารที่ห้าค่าย แต่กลับมิเอ่ยถึงรางวัลปูนบำเหน็จของเจินเมี่ยวแม้แต่น้อย


 


 


เจินเมี่ยวช่วยชีวิตองค์หญิงไว้จึงออกจะแปลกผิดปรกติอยู่บ้าง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้คนไปสอบถามข่าวลือต่างๆ แล้วจึงเรียกเจินเมี่ยวมาถามว่า “หลานสะใภ้ มีอันใดไม่เหมาะสมเกิดขึ้นที่ตำหนักไท่โฮ่วและหวงโฮ่วหรือไม่?”


 


 


“ไม่มีเจ้าค่ะ”


 


 


“แล้วไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วทรงมีพระอารมณ์เช่นใดบ้างหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “พระอารมณ์ดียิ่ง ไท่โฮ่วยังตรังว่ารอให้องค์หญิงชูสยาเสด็จกลับมาก่อนจะทรงรับสั่งให้ข้าเข้าวังอีกครา”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคิดไม่ตกได้แต่โบกมือให้นางออกไปได้ แล้วครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกครา


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจสักนิด


 


 


ความคิดของบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนยากจะคาดเดา หากต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ก็มิสู้เอาทำเรื่องที่ควรต้องทำจะดีกว่า


 


 


ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่ง หลัวเทียนเฉิงก็ยุ่งขึ้นมาอีก จึงเพียงหาเวลาว่างกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดากับเจินเมี่ยวเท่านั้น นอกจากนั้นก็มิได้เห็นแม้แต่เงาเขาตลอดทั้งวัน


 


 


เจินเมี่ยวพลิกดูเทียบเชิญทั้งหลาย


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ส่งเทียบขอเยี่ยม ส่วนคุณหนูใหญ่เจินหนิงส่งเป็นเทียบเชิญ นางคิดว่าควรต้องไปพบเจาอวิ๋นจังกงจู่สักหน่อยจึงเขียนเทียบขอเยี่ยมเพื่อพบหน้าตามเวลาที่เขียนไว้สักครา


 


 


เจินเหยียนตั้งครรภ์ ทั้งครรภ์ของนางยังมิใคร่ปลอดภัยนักจึงเขียนเทียบเชิญให้เจินเมี่ยวไปเยี่ยมแทน


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกเป็นห่วงจึงตัดสินใจไปที่นั่นก่อน


 


 


เมื่อไปถึงจวนรองเสนาบดีก็ย่อมต้องไปพบกับนางจู้ผู้ดูแลจวนและเป็นแม่สามีของเจินเหยียนก่อนเป็นอันดับแรก


 


 


หากนับตามอายุ เจินเมี่ยวเป็นผู้น้อย แต่หากนับตามยศศักดิ์ สามีของนางจู้เป็นเพียงขุนนางขั้นห้า เจินเมี่ยวนั้นทิ้งนางห่างไกลเป็นถนนเส้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ


 


 


นางจู้ให้ความเกรงใจต่อเจินเมี่ยวอย่างยิ่ง นางพาเจินเมี่ยวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อน


 


 


ครั้นเข้าห้องไปก็เห็นสตรีชราที่มีผมสีเงินยวงเต็มศีรษะกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัวฮั่น มีหญิงสาววัยกำดัดกำลังคุกเข่านวดขาให้นางอยู่


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนรองเสนาบดีนั้น เมื่อยามยังสาวนั้นต้องลำบากลำบนยิ่ง นางคอยจัดการดูแลทุกอย่างทั้งในและนอกเรือนเพื่อให้สามีได้ศึกษาตำราอย่างเต็มที่กระทั่งสามีสอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง ความทุกข์ทนนั้นจึงสิ้นสุดลง


 


 


หลายสิบปีมานี้บัณฑิตชั้นสูงที่ฐานะยากจนกลับสามารถไต่เต้าจนกลายเป็นรองเสนาบดีแห่งกรมพระคลัง ตระกูลเมิ่งเองก็นับเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวงยิ่ง เพียงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้เคยลำบากตรากตรำมามากกว่าสตรีสูงศักดิ์ในวัยเดียวกันทำให้ดูชรากว่าผู้อื่นอยู่บ้าง


 


 


เจินเมี่ยวคารวะผู้อาวุโสเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบเอ่ยว่า “รีบยกน้ำชามาให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดเร็ว”


 


 


สาวใช้น้อยผู้หนึ่งจึงยกน้ำชาเข้ามา หญิงสาวที่นวดขาอยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นไปรับถ้วยชามาส่งให้เจินเมี่ยว พร้อมทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานล้ำว่า “ฮูหยิน เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวมองหญิงสาวผู้นั้นอยู่หลายครา


 


 


สาวใช้ผู้นี้ช่างโดดเด่นกว่าผู้อื่นอยู่บ้างจริงๆ รอยยิ้มหวานล้ำนั้นทำให้คนชมชอบนัก เพียงแต่กระทำตัวมิใคร่จะเป็นไปตามระเบียบสักเท่าใด


 


 


การก้มหน้าก้มตายกชามาให้ต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สาวใช้พึงกระทำ


 


 


หรืออาจเพราะเป็นตระกูลบัณฑิตจึงมิเหมือนกับตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป?


 


 


ได้ยินมาว่าบัณฑิตมักมีจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่ง หากนางพิธีรีตองมากเกินไป เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าถูกดูแคลน จนทำให้เกิดความยุ่งยากแก่พี่รองคงไม่ดีเป็นแน่


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้เจินเมี่ยวจึงเผยยิ้มออกมา “ขอบคุณพี่สาวมาก” พูดพลางดึงปิ่นปักผมออกมาส่งให้ไป “ฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้จวนท่านล้วนฉลาดคล่องแคล่วกว่าจวนข้ายิ่ง ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบนัก”


 


 


เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไปก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งงัน หญิงสาวผู้นั้นก็หน้าแดงหูแดงมองจ้องที่ปิ่นนั้นคล้ายจะรับแต่ก็มิรับ


 


 


นางจู้โมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด ได้แต่ถลึงตามองหญิงสาวผู้นั้น


 


 


ในใจก็เอ่ยตำหนิว่าสมแล้วที่ตระกูลตกต่ำ เพราะช่างเป็นผู้ไม่รู้ความยิ่ง เจ้าเป็นแขกที่มาพักที่จวนแท้ๆ แต่กลับยกน้ำชาให้ผู้อื่นดุจตนเป็นสาวใช้ ยามนี้ถูกตบหน้าเข้าแล้วอย่างไรเล่า?


 


 


เพราะเห็นแก่หน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิได้เอ่ยอันใดให้มากความ ผู้ใดให้นางเรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านย่าเล่า


 


 


แต่ยามนี้เกียรติและศักดิ์ศรีของจวนรองเสนาบดีกลับถูกนางทำลายไปสิ้นแล้ว!


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ สงบสติอารมณ์ตน โทสะที่มีต่อเจินเมี่ยวได้แต่เก็บไว้ในมิกล้าเผยออกมา จึงหันไปพูดกับหญิงสาวผู้นั้นว่า “ยังไม่รีบรับไว้อีก!”


 


 


เดิมคิดจะแนะนำเด็กสาวผู้นี้ให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงได้รู้จัก แต่เกิดความเข้าใจผิดกันเช่นนี้แล้ว จะเอ่ยอันใดอีกได้อย่างไร!


 


 


หญิงสาวรับปิ่นที่ตกเป็นรางวัลนั้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า นางปิดหน้าแล้วเดินออกไป


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกว่าบรรยากาศมิใคร่จะดีนักจึงขอตัวไปในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


รอจนพบกับเจินเหยียนแล้วจึงเอ่ยบ่นว่า “พี่รอง สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าที่คอยปรนนิบัติในห้องช่างใจกล้านัก ข้าตกรางวัลเป็นปิ่นปักผมให้นาง นางกลับร้องไห้เดินออกไป”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฉิ่ง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน หนึ่งฉิ่งเท่ากับหนึ่งร้อยหมู่ หนึ่งหมู่เท่ากับสิบหกเอเคอร์โดยประมาณ

 

 

 


ตอนที่ 228

 

“สาวใช้คนใด?” เจินเหยียนรู้สึกแปลกใจขึ้นมา


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากำเนิดมาจากตระกูลยากจน เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งเช่นทุกวันนี้จึงเคร่งครัดในเรื่องกฎระเบียบยิ่ง ด้วยกลัวว่าหากทำอันไม่เหมาะสมจะถูกผู้คนครหา


 


 


สาวใช้ในห้องของนางยังระมัดระวังกริยา แม้กล้าแม้แต่จะหายใจแรงมากกว่าสาวใช้ของท่านย่าเสียอีก


 


 


เจินเหยียนหมายถึงย่าแท้ๆ ของนาง…ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋ว


 


 


ย่าของนางกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง เมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งมีเมตตา ต่างเห็นสาวใช้ในเรือนเป็นหลังหลานสาวก็มิปาน


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงเอ่ยบรรยายลักษณะว่า “อายุราวสิบหกสิบเจ็ด ดวงตาเม็ดซิ่งฉ่ำวาว ดูมีน้ำมีนวลยิ่ง”


 


 


เจินเหยียนมีสีหน้าประหลาดใจ “น้องสี่ เจ้าตกรางวัลให้นางหรือ?”


 


 


“ใช่ นางยกชาให้ข้า ท่าทีขันแข็ง ข้าคิดว่ามิควรมากวางท่าใหญ่โตจึงมอบปิ่นให้นางเป็นรางวัล”


 


 


เจินเหยียนจ้องมองเจินเมี่ยวอย่างตกตะลึงอยู่นาน จู่ๆก็ หัวเราะออกมา “น้องสี่ เจ้าช่างเป็นน้องที่ดีเหลือเกิน”


 


 


เจินเมี่ยวงุนงงกับเสียงหัวเราะนั้นยิ่ง


 


 


เจินเหยียนจึงอธิบายว่า “นั้นเป็นญาติผู้น้องของพี่เขยเจ้าต่างหาก”


 


 


“อันใดกัน?” เจินเมี่ยวเบิกตาอย่างตกตะลึง “มิใช่กระมัง ตอนที่ข้าเข้าห้องไปก็เห็นนางกำลังนวดขาให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ทั้งยังนวดอย่างชำนิชำนาญอีกด้วย”


 


 


มุมปากของเจินเหยียนแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “นวดอยู่ทุกวัน จะมิให้ชำนาญได้อย่างไร หากมิทำเช่นนี้ นางจะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรเล่า”


 


 


เจินเมี่ยวจึงเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา “พี่รอง ท่านไม่ชอบนางหรือ? นางเป็นญาติผู้น้องฝั่งมารดาหรือฝั่งบิดา?”


 


 


เจินเหยียนเบ้ริมฝีปาก “ฝั่งไหนก็มิอาจนับได้ ย่าของนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นตกมาถึงรุ่นของนางก็นับว่าเป็นญาติที่ห่างไกลกับจวนรองเสนาบดีนับสามพันลี้แล้ว”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากำเนิดจากตระกูลยากจน ญาติพี่น้องล้วนแต่งให้กับชาวนา กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ามีฐานะขึ้นมาก็คิดถึงบรรดาพี่น้องจึงคอยช่วยเหลือญาติพี่น้องมาตลอด


 


 


นานวันเข้า ญาติพี่น้องเหล่านั้นก็เริ่มมีที่ทางเป็นของตนขึ้นมาบ้าง


 


 


สตรีผู้นั้นเป็นบุตรสาวคนโตของบุตรชายคนเล็กซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


เมื่อได้ฟังเจินเหยียนอธิบาย เจินเมี่ยวก็ยิ่งแปลกใจ “เป็นญาติที่ห่างกันถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดจึงมาพำนักที่จวนรองเสนาบดีได้เล่า?”


 


 


เจินเหยียนยิ้มเยาะ “ญาติผู้น้องผู้นี้ไร้มารดาตั้งแต่แบเบาะ ย่าของนางเป็นผู้เลี้ยงดู ต่อมาทราบว่าตนไม่ไหวแล้วจึงห่วงว่าหลานสาวจะถูกแม่เลี้ยงรังแกจึงวางแผนอนาคตให้กับนางโดยการฝากฮูหยินผู้เฒ่ามาเลี้ยงดู โบราณกล่าวกันว่าร่ำรวยมั่งคั่งมิตอบแทนบ้านเกิดนั้นเปรียบดั่งการสวมใส่ผ้าแพรพรรณเดินเล่นในยามค่ำคืน (ไม่มีผู้ใดเห็น) ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบกระทำเรื่องเช่นนี้เป็นที่สุด”


 


 


เจินเหยียนพูดพลางยกน้ำผสมน้ำผึ้งขึ้นมาดื่ม แล้วเอ่ยด้วยความแค้นเคืองว่า “น้องสี่ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงตกเลือด? ตอนที่พวกเจ้าเกิดเรื่อง ทุกคนต่างปิดข้าไว้ แต่สตรีชั่วช้าผู้นั้นก็มาพูดคุย แสร้งทำเป็นเผลอพูดออกมา ข้ารู้ว่านางเจตนาแต่อดร้อนใจไม่ได้”


 


 


เดิมสตรีมีครรภ์ก็อ่อนไหวและกังวลง่าย ไหนเลยจะทนรับการกระทบกระเทือนจิตใจเช่นนี้ได้


 


 


เดิมเจินเหยียนไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับเจินเมี่ยว แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่ายามนี้น้องสาวเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอด เรื่องวุ่นวายในเรือนหลังย่อมมิน้อยไม่กว่านางแน่ การแสร้งว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นมิสู้ให้นางรับรู้มาสักหน่อย ต่อไปจะได้รู้ทันแผนการคนมากขึ้น


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เจินเมี่ยวได้ยินก็กัดริมฝีปากแน่น “หากรู้เช่นนี้แต่แรกข้าคงมิให้ปิ่นนางเป็นรางวัลแน่ สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ”


 


 


เจินเหยียนหัวเราะพรวดออกมา “ไม่ น้องสาวเจ้าทำได้ดีแล้ว ตอนนี้นางคงรู้สึกเสียหน้ายิ่ง คงต้องสงบเสงี่ยมไปอีกหลายวันเลยทีเดียว”


 


 


“พี่รอง เหตุใดนางจึงต้องทำร้ายพี่ด้วย หรือ…นางชอบพี่เขย?”


 


 


เจินเมี่ยวมิได้โง่เขลา เมื่อพิจารณาสักหน่อยก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นเช่นใดแล้ว


 


 


สตรีที่อาศัยพึ่งพิงผู้อื่นเช่นนี้ เหตุใดจึงกล้าทำร้ายผู้อื่นและทำเรื่องที่ไม่ผลดีต่อตนเองเล่า!


 


 


“หรือ…หรือนางคิดจะเป็นอนุของพี่เขย?”


 


 


เจินเหยียนแค่นยิ้มเย็น “เป็นอนุ? เจ้าดูเบานางเกินไปแล้ว หากข้าเป็นอันใดไป นางมีฮูหยินผู้เฒ่าคอยค้ำจุน ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นภรรยาใหม่ก็ได้ แต่หากมิเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยหากข้าสุขภาพไม่ดีมิอาจปรนนิบัติพี่เขยเจ้าได้ จนนางต้องลดตัวมาเป็นอนุก็คงยินยอมได้ ”


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วก็มีโทสะขึ้นมา


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจวนรองเสนาบดีจะมีเรื่องเลวร้ายที่ทำให้จิตใจย่ำแย่มากมายเพียงนี้


 


 


ญาติผู้น้องที่แทบไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันเลยกลับกล้าทำร้ายพี่สาวนาง!


 


 


เจินเหยียนกระตุกแขนเสื้อเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “นั่งลงเถิด ต่างออกเรือนกันหมดแล้วยังมิรู้จักเก็บอาการอีก ข้าถามเจ้าบ้าง สาวใช้ทงฝังพวกนั้น เจ้าปฏิบัติต่อพวกนางอย่างไรบ้าง คงมิตบตีด่าว่าตามอารมณ์กระมัง? แม้นสาวใช้ทงฝังจะมินับเป็นอันใดได้ แต่การทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเพราะของพวกนางก็มิคุ้มค่าเลยสักนิด”


 


 


“ไม่มีอันใด” เจินเมี่ยวส่ายศีรษะ “ข้าไม่พูดกับพวกนางด้วยซ้ำ”


 


 


“ไม่พูด? เช่นนั้นมิได้ ให้พวกนางคิดว่าเจ้าเป็นคนโง่เขลามิรู้จักพูดจา เช่นนั้นก็ยิ่งต่อปากต่อคำกับเจ้า”


 


 


“มิใช่ เป็นซื่อจื่อเองที่ให้พวกนางคอยอยู่แต่ในเรือนฝั่งตะวันตกอย่างเงียบๆ อย่าได้ออกมาเพ่นพ่านให้รำคาญสายตา”


 


 


เจินเหยียนที่กำลังเตรียมจะอบรมน้องสาวอีกคำรบก็ได้แต่ลอบกล้ำกลืนโลหิตลงคอไป


 


 


น้องสาวผู้นี้…คนโง่งมก็มีโชควาสนาของคนโง่งมเช่นกัน


 


 


“พี่รอง หรือท่านจะปล่อยให้นางกลั่นแกล้งท่านฝ่ายเดียว?”


 


 


เจินเหยียนลูบท้องตน “ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าบอกกับพี่เขยเจ้าแล้วว่า เมื่อใดที่เห็นญาติผู้น้องก็นึกถึงวาจาของนาง ครั้นคิดถึงคำพูดพวกนั้นก็จะปวดท้องขึ้นมา ให้นางอยู่ห่างๆ ข้าสักหน่อย รอจนคลอดแล้วค่อยหาเหตุผลไล่นางออกไป”


 


 


“จริงอย่างท่านว่า ตอนนี้การดูแลสุขภาพนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”


 


 


เจินเหยียนจึงเปลี่ยนมาสอบถามเรื่องราวที่ผ่านมาของเจินเมี่ยวอย่างละเอียดแทน


 


 


สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอยู่เมิ่งเหยียนเหนียนก็แหวกม่านเดินเข้ามา “อาเหยียน ข้าซื้อขนมจากร้านอู่เว่ยไจมาให้เจ้าด้วย”


 


 


เมื่อพบว่าเจินเมี่ยวอยู่ด้วยก็อดอึ้งงันไปไม่ได้


 


 


เจินเมี่ยวย่อกายคารวะเขาคราหนึ่ง “พี่เขย”


 


 


เมิ่งเหยียนเหนียนมิใช่บุตรคนโต อุปนิสัยจึงมิได้นุ่มลึกอันใด เขาหน้าแดงขึ้นมาอย่างอดมิได้ “น้องสี่ก็อยู่ด้วยหรือ อาเหยียน เจ้ากับน้องสี่กินขนมก่อนเถิด ข้าจะไปห้องตำรา”


 


 


“พี่เขย ท่านอยู่เป็นเพื่อนพี่รองเถิด ข้ามานานแล้วควรกลับเสียที”


 


 


เมื่อเข้าไปในห้องครานี้กลับไม่เห็นญาติผู้น้องคนนั้นแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากยิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ข้าช่างไร้มารยาทนักถึงกับเห็นญาติผู้น้องของพี่เขยเป็นสาวใช้ พี่รองอบรมข้ายกใหญ่ไปคราหนึ่งแล้ว ขอท่านโปรดเรียกนางออกมาสักหน่อยเถิด ข้าอยากจะขอโทษนางเจ้าค่ะ”


 


 


“เพราะนางกระทำตัวไม่เหมาะสมจึงทำให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดเข้าใจผิด จะให้เจ้าขอโทษนางได้อย่างไร”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


 


 


“ข้าทำไม่ถูกเอง หากมิพูดกับนางสักหน่อย กลับไปถึงจวนท่านย่าต้องตำหนิข้าเช่นกัน”


 


 


นางจะพูดเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงฟังด้วยหรือ!


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่ตะลึงงันไป แล้วรีบหันไปบอกสาวใช้ว่า “รีบไปเชิญคุณหนูมาเร็ว”


 


 


แล้วฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “เด็กสาวผู้นั้นอุปนิสัยดียิ่ง ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดอย่าได้ถือสา ทั้งมิจำเป็นต้องเล่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตกใจให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเลย”


 


 


หลังจากนั้นไม่นานเสียงม่านมุกกระทบกันก็ดังขึ้น หญิงสาวที่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้วเดินออกมา


 


 


เจินเมี่ยวหยักยกมุมปากขึ้นด้วยความภาคภูมิ


 


 


จักต้องร้องไห้อย่างหนักจนอาภรณ์เปียกปอนเป็นแน่


 


 


“คารวะฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด” หญิงสาวย่อกายคารวะนาง


 


 


สายตาเจินเมี่ยวมองไปที่ปิ่นปักผมบนศีรษะนาง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้


 


 


เหย่าเหนียงเป็นคนฉลาดหัวไว การใส่เครื่องประดับที่ผู้อื่นมอบให้เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติ ผู้ที่มอบให้เห็นแล้วจะไม่เบิกบานใจได้อย่างไร


 


 


เหย่าเหนียงทำได้ดียิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดในใจ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจินเมี่ยวผู้มิเคยปฏิบัติอย่างคนทั่วไป เวลานี้เองนางก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วรีบถอดกำไลหยกออกจากข้อมือส่งให้อย่างรวดเร็ว “คุณหนู ปิ่นนั้นข้ามอบให้เป็นรางวัลแก่สาวใช้ เจ้าประดับมาเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจในความผิดพลาดของตนเองยิ่ง รีบถอดออกมาเถิด กำไลนี้เป็นความจริงใจของข้า หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”


 


 


วาจานี้ดูเกรงอกเกรงใจไม่มีเศษเสี้ยวแห่งโทสะสักน้อยนิด แต่ใบหน้าของเหย่าเหนียงกลับแดงก่ำขึ้นมาทันใด นางต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นจึงสามารถข่มน้ำตามิให้ไหลออกมา


 


 


“ยังไม่รีบขอบคุณฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดอีก!” ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเครียดเกร็งขึ้นมาทันใด


 


 


“ขอบ…ขอบพระคุณฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด” เหย่าเหนียงกัดริมฝีปากไว้แล้วส่งปิ่นคืนให้เจินเมี่ยว พร้อมทั้งรับกำไลหยกนั้นมา


 


 


เจินเมี่ยวจึงรับปิ่นนั้นส่งต่อให้สาวใช้ที่นำทางนางมาที่ห้องนี้


 


 


สาวใช้ผู้นั้นรีบเอ่ยขอบพระคุณอย่างร่าเริงในทันใด


 


 


นี้เป็นปิ่นทองเชียวนา สมแล้วที่เป็นถึงฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง แม้แต่รางวัลที่ตกให้บ่าวไพร่ยังเป็นถึงปิ่นทอง


 


 


จวนรองเสนาบดีนั้นให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายอันงามสง่า บ่าวไพร่เช่นพวกนางหรือ อย่าว่าแต่ปิ่นทองเลย แม้แต่เครื่องประดับเงินยังน้อยนักได้จะได้เห็น


 


 


หางตาเจินเมี่ยวเหลือบไปมองท่าทีดีอกดีใจของสาวใช้ผู้นั้นแล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


ดีมาก คิดว่าที่มาของปิ่นทองนี้คงมากพอให้สาวใช้ผู้นี้บอกเล่าต่อออกไปอย่างไม่ตระหนี่


 


 


ไม่ว่าผู้ใดหากได้รับของล้ำค่าล้วนปรารถนาจะอวดอ้างบ้างทั้งสิ้น


 


 


ฮึ รังแกพี่สาวข้า ข้าก็จะให้บ่าวไพร่ทั่วจวนรองเสนาบดีต่างขบขันเจ้า!


 


 


เจินเมี่ยวคิดอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวอำลาไปด้วยความพอใจอย่างยิ่ง


 


 


คนเพิ่งไปได้ไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยปากด่าทอรวดเร็วดุจฟ้าผ่าแล้ว “ตัวโง่งม เอาของที่ผู้อื่นมอบให้เป็นรางวัลแก่บ่าวไพร่มาใส่ได้อย่างไร เจ้ามีหัวคิดหรือไม่!”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าลืมความคิดชื่นชมที่มีในคราแรกไปเสียสิ้น


 


 


เหย่าเหนียงทั้งอับอายทั้งโกรธเคืองทั้งกลัวว่าหากร้องไห้ออกมาจะยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคือง จึงข่มกลั้นไว้สุดชีวิต กระทั่งถึงห้องจึงร้องไห้ออกมายกใหญ่ ตกเย็นก็มิยอมกินข้าว


 


 


วันต่อมาก็ได้ยินเรื่องราวอันเหลวไหลของบรรดาสาวใช้ นางรู้สึกว่าทุกคนในจวนต่างกำลังขบขันนาง กระทั่งกลัดกลุ้มจนล้มป่วย นางรักษาตัวอยู่หลายวันจึงดีขึ้น


 


 


เรื่องหลังจากนี้จึงมิขอกล่าวถึงอีก


 


 


เจินเมี่ยวจากจวนรองเสนาบดีไปแล้วแต่ชิงเกอยังคงอาวรณ์กำไลหยกนั้น “ต้าไหน่ไหน่ กำไลหยกเนื้อดีเพียงนั้น ยกให้แม่นางผู้นั้นไปทำไมเล่าเจ้าคะ ทั้งนางทำไม่ดีต่อคุณหนูรองด้วย!”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ให้นางแต่นางก็มิอาจสวมใส่ นางอายุมากกว่าข้า กระดูกใหญ่กว่า ข้อมือก็ใหญ่เพียงนั้น คาดว่าคงทำได้แค่เอาไปขายเท่านั้น”


 


 


“นางย่อมมิกล้าขายเจ้าค่ะ กำไลท่านให้หากขายไปแล้วถูกผู้คนทราบเข้า นางคงไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆ แล้ว” อาหลวนกล่าว


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า “ข้ารู้”


 


 


ดังนั้นนางถึงได้เบิกบานใจอย่างไรเล่า


 


 


วันที่สอง เจินเมี่ยวก็ไปที่วังเจาอวิ๋นจั่งกงจู่


 


 


คราก่อนนางขี้ม้าที่ตื่นตกใจทำให้เกิดหวาดกลัวอยู่จึงเรียกอาหู่ควบรถม้าให้


 


 


ชิงเกอรู้สึกสงสัยในตัวบุคคลที่เจินเมี่ยวพากลับมายิ่ง นางจ้องอยู่นานจึงเอ่ยพึมพำออกมาว่า “แรงไม่เยอะเท่าข้าเสียหน่อย”


 


 


อาหู่ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็แลบลิ้น “มิได้อ้วนเช่นท่านสักหน่อย!”


 


 


เจินเมี่ยวดึงคนทั้งสองที่มิใช่เด็กน้อยแล้วออกจากกัน ก่อนที่จะเริ่มทะเลาะกันจริงๆ ขึ้นมา ในที่สุดก็เดินทางถึงวังจั่งกงจู่โดยสวัสดิภาพ


 


 


“นางเจิน นั่งเถิด” ท่าทีของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ดูเรียบเฉยแต่กลับมิได้ห่างเหิน


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกว่าจั่งกงจู่ยังคงดูน่าชิดใกล้อย่างที่ผ่านมามิเปลี่ยน


 


 


มีเพียงฉงสี่เซี่ยนจู่ที่หลุบม่านตาลงปิดบังความแคลงใจในดวงตาตนไว้


 


 


แววผิดหวังที่พาดผ่านไปในดวงตาของมารดาเมื่อครู่คืออันใดกัน?


 


 


เป็นเพราะ…คุณชายผู้สืบทอดหลัวมิได้มาพร้อมกับเจินเมี่ยวหรือไม่?


 


 


มารดานางดูจะให้ความสนใจกับคุณชายผู้สืบทอดหลัวเป็นพิเศษ ที่แท้แล้วเพราะเหตุใดกัน?


 


 


เมื่อออกมาจากห้องจั่งกงจู่ ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็เป็นผู้พานางไปหาเจินหนิง


 


 


เจินหนิงกำลังอุ้มหยอกล้อบุตรสาวอายุสามเดือนอยู่


 


 


เจินเมี่ยวรับมาอุ้มต่ออย่างระมัดระวัง พลันได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องขึ้นจึงก้มลงมองก็เห็นว่าเด็กน้อยยิ้มร่าอยู่แท้ๆ


 


 


“พี่ใหญ่ เสียงเด็กร้องไห้มาจากที่ใดหรือ?”


 


 


“อ้อ สิบกว่าวันก่อนสาวใช้ทงฝังของพี่เขยเจ้าคลอดบุตรสาวมาคนหนึ่ง แต่นางคลอดยากจึงสิ้นใจ ไปก่อน ข้าจึงเอาเด็กผู้นั้นมาเลี้ยงดู” เจินหนิงเอ่ยเสียงเรียบ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม