เล่ห์รักกลกาล 200-206

ตอนที่ 200 หากรู้ว่าใครบงการอยู่เบื้อ...

 

 “อะไรนะ”


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้นอย่างไม่เชื่อ มองหลินซูเหย่าด้วยความสงสัย


 


 


หลินซูเหย่าก็มิได้โง่ นางรู้ดีว่าจากการแสดงออกต่างๆ นานา ของตนก่อนหน้านี้ เยี่ยเม่ยย่อมไม่เชื่อนางแน่ ดังนั้นจึงรีบอธิบาย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อข้า แต่เจ้าไปดูก่อนเถอะ หลอกเจ้าหรือไม่ มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”


 


 


ถึงแม้การกระทำทั้งหลายก่อนหน้าของสตรีตรงหน้า ทำให้เยี่ยเม่ยไม่มั่นใจจริงๆ


 


 


แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่กล้าเดิมพัน หากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นางไม่ได้ช่วยเหลือ แล้วจิ่วหุนเกิดเรื่องขึ้น นางแบกรับผลลัพธ์ไม่ไหว


 


 


ดังนั้น เยี่ยเม่ยไม่พูดจา ก็รีบเดินออกไป


 


 


หลินซูเหย่าติดตามไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เยี่ยเม่ยเดินไปพลาง ถามไปพลาง “เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


จะว่าไปแล้ว เยี่ยเม่ยยังคิดว่าตัวเองสะเพร่าเกินไปแล้ว จิ่วหุนบาดเจ็บ ส่วนนางฟุบหลับไปเพราะว่าเหนื่อยมาก


 


 


 “ข้าได้ยินท่านพ่อกับแม่ทัพเซียวสนทนากัน…” หลินซูเหย่าติดตามเยี่ยเม่ยไป ทว่าอย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็เป็นคนที่มีฝีมือติดตัว ดังนั้นนางต้องวิ่งตามถึงจะทัน


 


 


เยี่ยเม่ยแววตาเย็นวาบ หันกลับไปมอง หลินซูเหย่า ทว่ายังไม่หยุดฝีเท้า


 


 


หลินซูเหย่าเล่าต่อทันที “ความหมายของพวกเขาคือ พวกเขารู้แล้วว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วคือจิ่วหุน รู้ว่าคืนนี้มีคนจำนวนมาสังหารเขา แต่ก็ไม่ยื่นมือเข้าช่วย”


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น “ข้าว่าไม่ใช่แค่ไม่ช่วยหรอกกระมัง”


 


 


หากคนจำนวนมากทำการลอบสังหารจริง การที่พวกเขาปะปนเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ก็เพียงพอจะพิสูจน์แล้วว่า คนพวกนี้ถูกปล่อยเข้ามาอย่างจงใจ


 


 


หลินซูเหย่ามิได้โง่ เข้าใจเหตุผลนี้ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับบิดาตน ดังนั้นนางไม่กล้าพูดมาก


 


 


กลับถามว่า “เพียงแต่แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือเปล่าว่าเสี่ยวจิ่วคือจิ่วหุน”


 


 


คำถามนี้ เยี่ยเม่ยไม่ตอบ


 


 


ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ตอบคำถามออกไปอย่างพลการจะยิ่งแสดงความโง่เขลาออกไป


 


 


ระหว่างพูดคุย เยี่ยเม่ยเข้ามาถึงเรือนของจิ่วหุนแล้ว เป็นดังความคิด หน้าเรือนไม่มีคนเฝ้าประตูเลยสักคนเดียว ไม่ว่าพูดอย่างไร จากการแสดงออกของเสี่ยวจิ่วในสนามรบ พวกแม่ทัพเหล่านั้นก็ส่งองครักษ์หลายคนมาอารักขาหน้าเรือนเขา


 


 


ทว่าวันนี้ ไม่มีเลยสักคนเดียว


 


 


เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นคาวเลือดพุ่งเข้ามาทันที เยี่ยเม่ยกับหลินซูเหย่ามองไป ก็เห็นในห้องมีศพนอนเกลื่อน ทั้งยังถูกตัดหัว สภาพตรงหน้าสยดสยองมาก


 


 


บนพื้นนองไปด้วยเลือด


 


 


สภาพเช่นนี้ หลินซูเหย่ามองแล้วก็กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก กลอกตาสิ้นสติไปแล้ว


 


 


เมื่อนางล้มลง เยี่ยเม่ยก็ได้สติรับร่างนางเอาไว้


 


 


เห็นหลินซูเหย่าหน้าขาวซีด คนไม่เหลือสติอีก กลับทำให้เยี่ยเม่ยเลิกสงสัยว่าเบื้องหน้าคือฉากที่แม่นางผู้นี้จัดไว้หรือไม่ ขวัญอ่อนขนาดนี้ จะเอาความกล้ามาวางแผนเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


ดูท่า หลินซูเหย่าผู้นี้ถึงจะชอบทำเป็นฉลาดแกมโกงไปบ้าง ชวนให้คนรังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ชั่วช้า


 


 


เวลานี้นางไม่มีเวลาสนใจแม่นางผู้อ่อนแอนี่อีก นางวางหลินซูเหย่าที่หน้าประตู พิงไว้กับเสา จากนั้นก็สำรวจรอบห้องจิ่วหุน


 


 


บนพื้นคือรอยเลือด ดูจากร่องรอยการต่อสู้แล้ว เยี่ยเม่ยก็มองออกทันทีว่า จิ่วหุนยืนรับศึกอยู่ข้างเตียง


 


 


เยี่ยเม่ยมองศพบนพื้น มีร่องรอยกระบี่บนร่าง ทั้งยังรอยเท้าไม่ชัดเจนหลายรอยอยู่รอบๆ


 


 


รวมไปถึงหลังคาที่แตกออก ยังมีร่องรอยที่หน้าต่าง


 


 


นางหลับตาลง ภาพการต่อสู้ในห้องนี้วิ่งฉายอยู่ในสมอง


 


 


ลอบสังหาร หลังคา หน้าต่าง…


 


 


รอยเลือด


 


 


ในที่สุด…


 


 


เยี่ยเม่ยก็เปิดตาออก มองไปที่หลังคา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิ่วหุนต้องเลือกกระโดดหนีไปทางหลังคาแน่


 


 


นางกระโดดทะยานขึ้นไปบนหลังคา


 


 


สำรวจรอยเลือดด้านบน เห็นรอยเท้า เยี่ยเม่ยเดินตามรอยเท้าไปสองก้าว จากนั้นสายตาก็สงบลง…


 


 


ที่พื้นยังมีรอยเลือดคล้ายถูกลากสายหนึ่ง


 


 


ดูท่าคงมีคนเลือดไหลไม่หยุดผู้หนึ่ง อีกทั้ง…


 


 


คนลอบสังหารจำนวนมาก หากหนึ่งในนั้นบาดเจ็บ ก็สมควรร่นถอยไป ให้คนอื่นผลัดเข้ามาสังหารต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียชีวิต เลือดพวกนี้น่าจะไม่ใช่เลือดของพวกที่มาลอบสังหาร


 


 


ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าเลือดพวกนี้เป็นของจิ่วหุน


 


 


ยามที่สายตาทอดยาวออกไปอีกหน่อย เยี่ยเม่ยก็นั่งยองดูอยู่ครู่หนึ่ง สายตาพลันปรากฏเพลิงโทสะ


 


 


ลากไปได้ไม่กี่ก้าว เลือดสดสีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม…


 


 


หมายความว่าอย่างไร


 


 


จิ่วหุนถูกพิษอีกครั้งแล้ว


 


 


คนพวกนี้ใช้พิษ ทั้งยังไล่สังหารจิ่วหุนอยู่นาน


 


 


ไม่ทันให้คิดมากอีก นางไม่อาจเสียเวลาโมโหอยู่ที่นี่ต่อไป เยี่ยเม่ยไม่พูดไม่จา ก็รีบไล่ตามรอยเลือดไป


 


 


สถานที่ที่จิ่วหุนจะไปเป็นทิศทางของเรือนที่นางพักอยู่


 


 


เยี่ยเม่ยเดินตามเส้นทางสายนี้ หลังจากทะยานอยู่บนหลังคาไปสิบกว่าเมตร นางก็ชะงักไปเล็กน้อย รอยเลือดไปอีกทางหนึ่ง


 


 


จิ่วหุนเปลี่ยนทิศทางแล้วหรือ


 


 


ทำไมเขาไม่ไปหานาง เพราะอะไรถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนางทันที ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเส้นทางเล่า


 


 


หรือว่าด้านหน้ามีทหารไล่ล่ามา หรือว่า


 


 


เขาไม่อยากทำให้นางลำบากไปด้วยกันแน่


 


 


ในขณะที่ใช้ความคิดอยู่ที่นี้ เยี่ยเม่ยยิ่งทวีความเดือดดาลในใจ โมโหที่คนกลุ่มนี้ไล่สังหารจิ่วหุน ทั้งโมโหที่จิ่วหุนไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนาง เดินทางถึงครึ่งทางก็ชิงเปลี่ยนใจไปก่อน


 


 


เยี่ยเม่ยเปลี่ยนเส้นทางทันที ติดตามรอยเลือดไป


 


 


ยามค่ำคืน ซินเยว่เยี่ยนที่เพิ่งเดินออกจากห้องของซือหม่าหรุ่ย คนทั้งสองสนทนากันจนล่วงเลยถึงเวลานี้ มองเห็นบนหลังคามีเงาร่างคน คล้ายกับเป็นเยี่ยเม่ย นางกระโดดขึ้น ติดตามไป


 


 


เยี่ยเม่ยรีบร้อนวิ่งทะยาน สายตาสอดส่องไปทั่วสารทิศ


 


 


ตลอดทางมาไม่มีร่องรอยต่อสู้เลย รอยเลือดหยุดที่ริมแม่น้ำ ก็ไม่เห็นอีกแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้สายตาสงบนิ่งลง


 


 


ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางหันหน้ากลับไปอย่างว่องไว เห็นผู้มาก็มุ่นคิ้ว “เป็นเจ้า”


 


 


 “เกิดอะไรขึ้นแล้ว” ซินเยว่เยี่ยนถามออกไปทันที


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกกระวนกระวายใจ รีบตอบ “จิ่วหุนเกิดเรื่องแล้ว ข้าไล่ตามมาถึงตรงนี้ ตลอดทางบนพื้นไม่มีร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดมาหยุดอยู่แค่ที่นี่ ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ จิ่วหุนกระโดดลงไป เมื่อไม่มีทางหนี เขากระโดดน้ำหนีเอาชีวิตรอด”


 


 


 “เอ๋” ซินเยว่เยี่ยนนิ่งไปเล็กน้อย นางไม่อยากเชื่อ เมื่อตอนบ่ายยังดีๆ อยู่เลยนิ


 


 


แต่นางตระหนักได้แล้ว เยี่ยเม่ยเรียกว่า จิ่วหุน… เยี่ยเม่ยไม่ปิดบังฐานะของจิ่วหุนอีก อย่างนั้นก็พิสูจน์ได้ว่า “ฐานะของจิ่วหุนแตกแล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “อืม ไม่รู้ว่าเจ้าพวกไร้เหตุผลที่ไหนไล่สังหารเขา ข้าสะเพร่าเอง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนจับจ้องยามที่พิษกำเริบลอบสังหารเขา” เยี่ยเม่ยโทษตัวเอง สีหน้าคล้ำง้ำงอ


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรีบเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ไม่ใช่ปัญหาของเจ้าเลย ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาหาโอกาสลอบสังหารได้ ก็เท่ากับว่าพวกเขาติดตามจิ่วหุนมาเป็นเวลานานแล้ว ต่อให้ป้องกันก็ไม่ทัน”


 


 


สายตาเดือดดาลของเยี่ยเม่ยก็สงบลงราวน้ำในแม่น้ำ กัดฟันเอ่ยว่า “หากข้ารู้ว่าใครมันบงการอยู่เบื้องหลัง ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นแน่” 

 

 


ตอนที่ 201 เป่ยเฉินอี้ มอบตัวจิ่วหุนมา

 

เพลิงโทสะของเยี่ยเม่ยลุกโหมกระหน่ำ 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่มองอยู่ยังตกใจ “คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีผลต่อเจ้าขนาดนี้”  


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองอีกฝ่าย เล่าเสียงนิ่ง “เจ้าจะรู้อะไร ตอนที่เขาหนีเอาชีวิตรอดก็มุ่งตรงมาที่เรือนของข้า จู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางไป นี่ยังบอกอะไรได้อีกเล่า” 


 


 


เห็นได้อย่างชัดเจน… 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนสูดลมหายใจลึก พลันรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ ถูกบีบคั้นจนถึงขั้นนี้เขายังเปลี่ยนเส้นทางหนี นี่คือการปกป้อง ยอมตาย แต่ไม่ยอมทำให้นางตกที่นั่งลำบาก 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกดเสียงต่ำลง “ข้าเข้าใจแล้ว หวังว่าเขาจะปลอดภัย”  


 


 


เพียงแต่ร่างกายถูกพิษแล้ว ระหว่างทางยังได้รับบาดเจ็บติดต่อกัน บนพื้นยังมีเลือดพิษอยู่ นั่นก็แสดงว่าเขาถูกพิษอีกครั้ง แล้วกระโดดน้ำในฤดูหนาวเพื่อหนีตาย เป็นเช่นนี้… 


 


 


โอกาสรอดชีวิตของจิ่วหุนยังเหลืออีกเท่าไรกันเชียว 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พูดมากอีก สำรวจไปยังพื้นที่รอบๆ แม่น้ำอย่างรวดเร็ว บนพื้นยังมีร่องรอยการไล่ล่า ห่างจากฝั่งไปไม่กี่เมตร ถึงไม่พบรอยเท้าอีก 


 


 


ทว่ายังไม่มีร่องรอยการต่อสู้เช่นเดิม 


 


 


หมายความว่า 


 


 


อย่างน้อยจิ่วหุนก็ไม่ตายด้วยน้ำมือของคนชุดดำพวกนี้ 


 


 


มิเช่นนั้นต่อให้บนพื้นไม่มีศพ แต่อย่างน้อยก็ควรมีรอยเลือด 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเองก็มองเรื่องเหล่านี้ออก เพียงแต่…นางมองแม่น้ำทีหนึ่ง ถามด้วยความระมัดระวังว่า “เจ้าว่าเขาจะ…” 


 


 


จะตายอยู่ในน้ำหรือไม่ 


 


 


 “ไม่มีทาง” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยังไม่ทันเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบทขึ้นมาทันที “จิ่วหุนไม่ใช่เด็กที่อ่อนแอ เขาไม่ตายง่ายๆ แน่” 


 


 


คำพูดเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่ซินเยว่เยี่ยนมองออกว่าเยี่ยเม่ยก็ลนลานแล้ว 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนไม่รู้ว่าเวลานี้ตัวเองสมควรเอ่ยอะไรออกไป 


 


 


จู่ๆ เยี่ยเม่ยก็มองแม่น้ำที่เย็นยะเยือกสายนั้นทีหนึ่ง ซินเยว่เยี่ยนเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ทว่าไม่ทันห้ามปราม เยี่ยเม่ยก็กระโดดลงน้ำไปแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยดำลงไป ตามหาจิ่วหุน 


 


 


ยามนี้ซินเยว่เยี่ยนก็ลนลานอยู่บ้าง วันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ สายน้ำเย็นเฉียบขนาดนี้ เยี่ยเม่ยกระโดดลงไปหาคน หากเกิดขาชาเพราะน้ำเย็นขึ้นมา เกรงว่าชีวิตของอีกฝ่ายคงต้องทิ้งไว้ที่นี่ 


 


 


ทว่าดูจากสีหน้าของเยี่ยเม่ย นางมองออกว่าตนเองห้ามไม่อยู่แน่ 


 


 


ดังนั้น ไม่ว่านางจะกังวลเพียงไหน อย่างดีก็ทำได้แค่เฝ้าอยู่ที่ริมฝั่ง หลังจากเฝ้ารอเยี่ยเม่ยดำน้ำลงไปแต่ละครั้ง แล้วโผล่หัวขึ้นมา รอว่าครั้งไหนที่เยี่ยเม่ยดำนานเกินไป อาจเกิดเรื่องขึ้น นางก็จะรีบโดดลงไปช่วย 


 


 


หลังจากหนึ่งชั่วยามกว่าผ่านไป 


 


 


บริเวณแม่น้ำรอบๆ นี้หาจนทั่วแล้ว เยี่ยเม่ยอ่อนล้าสุดกำลัง ภายใต้การช่วยเหลือของซินเยว่เยี่ยน นางก็ขึ้นมาจากแม่น้ำได้ เยี่ยเม่ยกลับดีใจ “แม่น้ำสายนี้ไหลไม่แรงมาก ดังนั้นในระยะเวลาสั้นไม่อาจพัดจิ่วหุนจากไปไกลแน่ ข้าสำรวจอย่างละเอียดแล้ว ยังหาไม่พบ…นั่นก็หมายความว่า จิ่วหุนยังไม่ตาย”  


 


 


 “ข้าเองก็คิดว่าอาศัยความสามารถของเขา ไม่สมควรตายอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาบาดเจ็บแล้ว ต่อให้ตกลงไปในแม่น้ำ ก็น่าจะไปได้ไม่ไกล พวกเราลองหาดูรอบๆ ริมแม่น้ำดูก่อน” ซินเยว่เยี่ยนรีบเสนอ เพราะกลัวว่าเยี่ยเม่ยจะทำเรื่องอันตรายอย่างดำน้ำหาคนอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


ต่อให้เยี่ยเม่ยมีร่างกายแข็งแรงเป็นเหล็กกล้า ในฤดูหนาวเช่นนี้ดำน้ำหาคนมีแต่จะแข็งตายเท่านั้น 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยปีนขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตามหาคนไปรอบๆ พร้อมกับซินเยว่เยี่ยน  


 


 


เวลานี้มีแต่พวกนางเท่านั้นที่ตามหาคนได้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูญเสียกำลังภายในขั้นหนึ่งไป ต่อให้เขาฝืนโคจรลมปราณฟื้นฟูกำลัง แต่เยี่ยเม่ยเข้าใจดี กำลังวังชาของเขายังไม่ฟื้นฟูกลับมา หากฝืนออกมาสั่งให้คนทั้งหมดช่วยตามหา เกรงแต่ว่าจะทำให้ผู้คนพบเห็นว่าเขาร่างกายอ่อนแอ นำอันตรายมาสู่ชีวิตของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ 


 


 


อีกอย่างเจ้าเมืองหลินกับแม่ทัพเซียวดูจิ่วหุนถูกไล่สังหาร นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าในใจของพวกเขา นักฆ่าอย่างจิ่วหุนสมควรตาย อย่างนั้นหวังให้พวกเขาช่วยหาคน ไม่แน่ว่าพวกเขาจะตกลง ต่อให้ตกลง เยี่ยเม่ยก็ไม่วางใจ 


 


 


ฝีเท้าของคนทั้งสองนับว่าก้าวไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เยี่ยเม่ยพละกำลังถดถอย แต่เพราะความร้อนใจจึงเดินได้ว่องไวนัก 


 


 


ผ่านไปสักพัก ก็ตรวจสอบบริเวณรอบแม่น้ำจนครบถ้วน แต่ก็ยังไม่พบร่องรอย 


 


 


เยี่ยเม่ยกลัดกลุ้มไม่น้อย ทั้งกังวล “ไม่มีร่องรอยเลย” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง มุ่นคิ้วเอ่ยว่า “ร่างกายเจ้าเปียกหมดแล้ว หากยังไม่กลับไปเปลี่ยนชุดอีก ไม่ช้าเจ้าต้องป่วยแน่ หากเจ้าป่วย ก็ยิ่งไม่มีใครปกป้องเขาอีกแล้ว เจ้ากลับไปเปลี่ยนชุดก่อน พวกเราค่อยหาวิธีการกันใหม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ขยับเขยื้อน นางยืนนิ่งตรงที่เดิม ใคร่ครวญเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว 


 


 


ใครอยากให้เกิดมีเรื่องกับจิ่วหุน  


 


 


หลังจากมีเรื่องกับจิ่วหุนแล้วส่งผลเสียถึงใครมากที่สุด ใครได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด 


 


 


ใครที่มีโอกาสเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง 


 


 


หากจิ่วหุนไม่ตาย และไม่อาจหนีไปได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นต้องมีคนพาตัวเขาไปแน่ อย่างนั้นคนผู้นั้นคือใครกัน แล้วเป้าหมายที่เอาตัวจิ่วหุนไปคืออะไร 


 


 


คำถามแต่ละคำถามผุดขึ้นมาไม่หยุด 


 


 


ในไม่ช้า สมองเยี่ยเม่ยคิดถึงคำพูดของจิวมั่วเหอ เป่ยเฉินอี้แอบวางแผนเล่นงานนาง อย่างนั้น…เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเป่ยเฉินอี้หรือไม่ 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเห็นว่าหลังจากตัวเองพูดจบ เยี่ยเม่ยก็ไม่ขยับอีก ยามนี้ยิ่งร้อนรน “เยี่ยเม่ย เจ้าต้องรักษาสุขภาพ ไม่เช่นนั้น…” 


 


 


 “ข้าจะไปหาเป่ยเฉินอี้” 


 


 


เยี่ยเม่ยก้าวเท้าออก เดินสวบๆ กลับเข้าไปในเมือง 


 


 


เป่ยเฉินอี้?  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตะลึงอึ้งเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเยี่ยเม่ยถึงได้มีบทสรุปเช่นนี้ นางรีบติดตามฝีก้าวของเยี่ยเม่ย ถามว่า “เป่ยเฉินอี้เหรอ เรื่องนี้เกี่ยวกับเขาเหรอ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” 


 


 


 “ไม่มี” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


ฝีก้าวของนางยังไม่หยุดนิ่ง รีบเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้ แต่ข้าคิดแล้ว คนที่ทำเรื่องนี้ได้หมดจดเช่นนี้ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เขาก็คือคนที่น่าสงสัยมากที่สุด”  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนงุนงง “หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


หรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จิ่วหุนพิษกำเริบพอดี ถึงถูกลอบสังหาร 


 


 


ฝีเท้าของเยี่ยเม่ยไวมาก ตอบกลับไปทันที “จิ่วหุนบาดเจ็บวันแรก ทำไมถึงมีคนมาลอบสังหารเขาทันที อีกทั้งพวกทหารที่เดิมชมชอบจิ่วหุนมาก จู่ๆ ก็รู้ฐานะของจิ่วหุนในวันนี้พอดิบพอดี จึงไม่ยอมช่วยเหลือเขา อีกอย่างการลอบสังหารครั้งนี้รอบคอบ รัดกุมมาก แม้แต่สภาพร่างกายของจิ่วหุน หรือว่าเวลาใดที่ใช้พิษกับจิ่วหุนแล้วจะประสบความสำเร็จก็คำนวณไว้เรียบร้อย เรื่องนี้เมื่อเอามาร้อยเรียงกัน เจ้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตะลึงงัน “เจ้าพูดถูก ต่อให้เป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่น่าบังเอิญมาเกี่ยวเนื่องกันแบบนี้” 


 


 


ส่วนสายตาเยี่ยเม่ยในเสี้ยวนาทีนี้เยือกเย็นลง “ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ ผู้บงการยังคำนวณได้ว่า วันนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะต้องใช้กำลังภายในขั้นหนึ่งช่วยจิ่วหุน ไม่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะแข็งแกร่งปานใด คืนนี้ก็ต้องพักฟื้นเท่านั้น ส่วนคนข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคืนนี้ก็ต้องคอยคุ้มกันความปลอดภัยอยู่ข้างกายเจ้านาย…”  


 


 


อย่างนั้นคืนนี้คนที่จะออกมาช่วยได้ก็เหลือแค่คนเดียว ซินเยว่เยี่ยนก็แค่บังเอิญติดตามมาเท่านั้น 


 


 


 “แผนการล้ำเลิศปานนี้ นอกจากเป่ยเฉินอี้ ทั่วทั้งชายแดนข้ายังคิดถึงคนที่สองไม่ออก เป่ยเฉินเสียงไม่มีทางมีมันสมองเช่นนี้แน่” เยี่ยเม่ยสรุป 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนนิ่งไปแล้ว คิดว่าคำพูดของเยี่ยเม่ยมีเหตุผล 


 


 


ระหว่างเอ่ย เยี่ยเม่ยก็มาถึงหน้าประตูห้องเป่ยเฉินอี้ นางเตะองครักษ์ที่เข้ามาขวางทางออก ใช้เท้าถีบประตูห้อง 


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยเดินเข้าประตูมา ก็แผดเสียงดังว่า “เป่ยเฉินอี้ ส่งตัวจิ่วหุนมา”   

 

 


ตอนที่ 202 เจ้าแต่งงานกับข้า เขาก็จะไ...

 

 


 


 


เยี่ยเม่ยเข้ามาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดดุดัน คนทั้งหมดต่างมองอย่างหวาดๆ 


 


 


แต่ที่น่าแปลกก็คือ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วเป่ยเฉินอี้ยังไม่เข้านอน เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะที่มีกระดานหมากวางอยู่ ทั้งในมือเขายังถือหมากสีดำไว้ตัวหนึ่ง เป่ยเฉินอี้หันข้างมองเยี่ยเม่ยที่หน้าประตู  


 


 


ภายใต้แสงเทียน รัดเกล้าทองบนผมเขาเปล่งประกายเงาวับ  ที่มุมด้านหลังรัดเกล้าเป็นเส้นไหมทองเกี่ยวรัดกับเส้นผมดำ ยิ่งแสดงออกถึงความสูงศักดิ์เกินใครของเขา ดูวิจิตรงดงามไร้ที่ติ 


 


 


ดวงตาเรียวยาวหรี่ลงมองเยี่ยเม่ยที่เปียกปอนไปทั้งร่าง เส้นเสียงทุ้มของเขาเอ่ยตามมาว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยมาหาข้ายามดึกเช่นนี้ มีเรื่องอันใดกัน ต้องการให้เป่ยเฉินอี้รับใช้อะไรหรือ” 


 


 


 “อย่าเสแสร้งเลย” เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำ เอ่ยวาจาไร้สาระ 


 


 


นางสาวเท้าสวบๆ เข้าไปเบื้องหน้าเป่ยเฉินอี้ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด แววตาเต็มไปด้วยไอสังหาร จ้องมองกระดานหมากด้านหน้าเป่ยเฉินอี้  


 


 


หญิงสาวกวาดตามองสถานการณ์บนกระดานหมาก คล้ายกับสถานการณ์ของชายแดนในยามนี้ไม่มีผิด 


 


 


บุรุษผู้นี้เป็นยอดฝีมือในการเดินหมากจริงๆ คนคนเดียวกลับวางหมากเช่นนี้ออกมาได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยถอนสายตากลับ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้า “บอกที่อยู่ของจิ่วหุนมา อย่าบีบให้ข้าต้องลงมือ” 


 


 


ระหว่างเอ่ยคำพูดนี้ มือของนางก็จับอยู่ที่พัดข้างเอวแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับคลี่ยิ้มออก โยนหมากในมือลงในที่ใส่หมาก เงยหน้ามองเยี่ยเม่ย  


 


 


สายตาสูงศักดิ์ของเขาเผยความเย็นเยือกทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทง แววตาเย็นชาทว่าลุ่มลึกนั้นมองที่ใบหน้าเยี่ยเม่ย “ทำไมเจ้าถึงคิดว่า เรื่องที่เกิดกับจิ่วหุนเกี่ยวข้องกับข้าด้วย” 


 


 


 “หรือท่านคิดจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับท่าน” เยี่ยเม่ยย้อนถาม สายตานิ่งตั้งใจสังเกตสีหน้าของเป่ยเฉินอี้ 


 


 


เป่ยเฉินอี้ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ แสดงออกถึงความลุ่มลึกเจ้าเล่ห์ “เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ ไม่สู้แม่นางเยี่ยเม่ยนั่งลง เดินหมากตานี้กับข้า เป่ยเฉินอี้ย่อมบอกคำตอบกับเจ้าแน่” 


 


 


 “อย่าคิดจะถ่วงเวลา ข้าไม่มีความอดทนมากนัก” เยี่ยเม่ยปฏิเสธคำชวนของเขาอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


หากเวลานี้จิ่วหุนยังถูกไล่สังหาร ตัวนางนั่งเดินหมากอยู่ที่นี่ ไม่เท่ากับพลาดโอกาสในการช่วยเขาไปหรอกหรือ 


 


 


เป่ยเฉินอี้ถูกปฏิเสธเช่นนี้กลับไม่โมโห ซ้ำคลี่ยิ้มออกมา ย้อนชมเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ยช่างฉลาดนัก ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเป่ยเฉินอี้ กลับถูกเจ้าเปิดโปงอย่างง่ายดาย” 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันแววตาวาวโรจน์ ตระหนักอะไรบางอย่างได้จากคำพูดนี้ 


 


 


สายตามองเป่ยเฉินอี้ตรงหน้า “อย่างนั้นคือจิ่วหุนยังไม่ตกอยู่ในกำมือท่านหรือ ยามนี้ท่านกำลังรอข่าวสารจากนักฆ่ากลุ่มนั้นสินะ” 


 


 


หากไม่เป็นเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แผนถ่วงเวลากับนางแล้ว 


 


 


ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา ประกายยิ้มแย้มในตาของเป่ยเฉินอี้ยิ่งชัดเจน แววตาลุ่มลึกของเขากวาดมองเยี่ยเม่ย “การยอมรับว่าตัวข้าใช้แผนถ่วงเวลา ก็เท่ากับต่อให้เจ้าก่อนก้าวหนึ่ง แม่นางเยี่ยเม่ย สถานการณ์ที่ชายแดนเริ่มปะทุแล้ว เพื่อคนข้างกายของเจ้า เจ้าสมควรเลือกจุดยืนเสียที” 


 


 


คำพูดของเป่ยเฉินอี้คำเดียว เอ่ยจุดสำคัญออกมาสามอย่าง 


 


 


ประการแรก เป็นการยอมรับว่าการคาดเดาของเยี่ยเม่ยถูกต้อง จิ่วหุนยังไม่ถูกจับ 


 


 


ประการที่สอง แสดงออกว่าเมื่อครู่เขาจงใจเผยพิรุธออกไปในคำพูด ทำให้เยี่ยเม่ยเดาได้ว่า จิ่วหุนยังไม่ถูกจับ ต่อให้เขากับเยี่ยเม่ยเดินหมากด้วยกัน ก็ยอมต่อให้นางก่อน 


 


 


ประการที่สามก็คือข่มขู่ให้เยี่ยเม่ยเลือกจุดยืนของตน 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ แววตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยจิตสังหารจ้องดวงตาเขา “ตอนนี้ท่านกล้าต่อให้ข้าก้าวหนึ่ง ไม่กลัวว่าสุดท้ายจะพ่ายแพ้ให้ข้าหรือไง”  


 


 


เป่ยเฉินอี้ผู้นี้เริ่มเปิดฉากต่อสู้แล้ว เขากลับอ่อนข้อให้นางง่ายๆ ยอมรับว่าเป็นแผนถ่วงเวลา ซ้ำยังบอกนางว่าจิ่วหุนยังไม่ถูกจับ 


 


 


ควรบอกว่าเขาเชื่อมั่นตัวเองเกินเหตุ หรือบอกว่าเขา…ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยสักน้อยกันแน่ 


 


 


บรรยากาศเปลี่ยนไปดุเดือดขึ้น 


 


 


 


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังคำเยี่ยเม่ยไม่คัดค้าน กลับลูบลายปักสีแดงเข้มบนแขนเสื้อตัวเองเบาๆ “ต่อให้เจ้าสามก้าวแล้วจะเป็นอย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยเดินมาถึงจุดนี้ เป่ยเฉินอี้คิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจแล้วว่า หมากกระดานนี้ ข้านำเจ้าไปหลายก้าวแล้ว” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยเงียบไป 


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยคำพูดชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้…นี่เป็นการต่อกรของเขากับนาง ในระหว่างที่นางยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ เขาก็ชิงเปิดฉากก่อนแล้ว อีกทั้งเตรียมการไว้หลายก้าว ดังนั้นเขาไม่ใส่ใจก้าวแรกของนางเลยสักน้อย 


 


 


ถึงกระทั่งยอมให้นางสามก้าวโดยไม่ใส่ใจ 


 


 


อย่างนั้นเขาวางแผนไว้ล่วงหน้าไปกี่ก้าวแล้วกันแน่ 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกตะลึง มองใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติอีกครั้ง รวมถึงความสูงศักดิ์และเย็นชาที่ฉายออกมาจากหว่างคิ้ว ทำให้นางรับรู้ถึงความอันตราย 


 


 


ถูกแล้ว บุรุษผู้นี้อันตรายมาก การประมือกับเขา พลาดก้าวเดียวเท่ากับพ่ายแพ้ทั้งกระดาน  


 


 


แม้กระทั่งในยามที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว ก็อาจจะถูกเขาวางหมากนำไปหลายก้าวแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยหลับตาลง สูดลมหายใจ รู้ดีว่ายามนี้หาใช่เวลามาโมโหเป่ยเฉินอี้ ความปลอดภัยของจิ่วหุนมาเป็นอันดับแรก 


 


 


นางสะกดความเดือดดาลในใจลง มองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ดังนั้นที่ข้ามาหาท่านในยามนี้ ท่านก็คำนวณได้อย่างนั้นหรือ” 


 


 


 “ไม่ผิด” เป่ยเฉินอี้ยอมรับตามสัตย์จริง 


 


 


เสียงเขาเพิ่งจะสิ้นสุดลง เยี่ยเม่ยก็ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อ พุ่งเข้าใส่ใบหน้าเป่ยเฉินอี้  


 


 


ในขณะที่มีดสั้นกำลังจะกรีดถูกใบหน้าเป่ยเฉินอี้  


 


 


อี้อ๋องไม่ขยับเลยสักนิด ดวงตาเรียวยาว มองสตรีเบื้องหน้า เอ่ยเสียงเนิบออกมาประโยคหนึ่ง “มีดเล่มนี้กรีดลงมา แม่นางเยี่ยเม่ยเคยคิดถึงผลลัพธ์บ้างหรือไม่” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา มีดของเยี่ยเม่ยพลันหยุดชะงักหน้าเขาพอดี ทิ้งระยะห่างไว้ไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตรก็จะแทงถูกใบหน้าเขาแล้ว 


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยในยามนี้ค่อยสงบลง 


 


 


ถูกแล้ว เป่ยเฉินอี้ยอมรับว่าเขาคาดคำนวณได้ อย่างนั้น…เขาย่อมไม่มีทางไม่เตรียมการ หากมีดของนางแทงลงไปจริง 


 


 


ในขณะใช้ความคิด 


 


 


 


 


 


เป่ยเฉินอี้จับข้อมือนางไว้ ดวงตาเรียวจ้องเยี่ยเม่ย เสียงหนักแน่นเอ่ยว่า “ขอเพียงเจ้าแทงลงมา ไม่ว่าคืนนี้เจ้าตายหรือข้าตาย จิ่วหุนก็ไม่อาจมีชีวิตรอดแล้ว อย่างไรเสียสภาพร่างกายของเขา เจ้าก็คงจะรู้ดี” 


 


 


 “พูดให้ชัดเจน” เยี่ยเม่ยยังไม่เก็บมีดสั้น สายตาเย็นเยียบมองใบหน้าเป่ยเฉินอี้  


 


 


เป่ยเฉินอี้ยิ้มคล้ายไม่ใส่ใจ “เพราะว่าขอเพียงแม่นางเยี่ยเม่ยลงมือกับข้า เช่นนั้นคนที่ไล่สังหารจิ่วหุนก็จะมีมากขึ้นอีกหลายร้อยคน อีกทั้งแม่นางเยี่ยเม่ยก็จะพัวพันกับข้าอยู่ที่นี่เพราะเรื่องนี้ เมื่อออกไปไม่ได้ ก็ไม่อาจช่วยเหลือจิ่วหุนได้ ลองคิดดูอีกที แม่นางเยี่ยเม่ยลองเดาดู จากสติปัญญาของเป่ยเฉินอี้ ข้าจะไม่รู้ทิศทางที่จิ่วหุนหนีไปเชียวหรือ” 


 


 


ครั้นเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็เย็นวาบไปทั้งร่าง 


 


 


เขากำลังขู่นาง ขอเพียงนางลงมือ เขาก็จะให้คนนับร้อยมุ่งไปฆ่าจิ่วหุน เขาถึงกับบอกนางว่า เขารู้ทิศทางที่จิ่วหุนหนีไป 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่กล้าเสี่ยง บุรุษผู้นี้ฉลาดมาก หากเขาคาดเดาทิศทางที่จิ่วหุนหนีไปได้จริงๆ… 


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก จ้องเป่ยเฉินอี้ “ทำอย่างไร หมากตานี้ท่านถึงยอมรามือ” 


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะเสียงต่ำลง เอ่ยจริงจังว่า “เจ้าแต่งงานกับข้า เขาก็จะไม่ตาย”  

 

 


ตอนที่ 203 ความอัปยศในวันนี้ ข้าจะคืน...

 

เมื่อเป่ยเฉินอี้เอ่ยออกมา


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยตะลึงงัน…


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่อยู่หน้าประตูก็หน้าตางุนงง นี่นางโง่แล้วหรือไม่ ทำไมนางถึงไม่เข้าใจแนวคิดของเป่ยเฉินอี้เลยสักน้อย


 


 


เขาต่อปากต่อคำเยี่ยเม่ยอยู่ตั้งนาน แล้วเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมา


 


 


หรือเพราะว่า… เยี่ยเม่ยหน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีไม่ผิดเพี้ยน


 


 


ในระหว่างที่นางสงสัย


 


 


เยี่ยเม่ยได้สติ จ้องมองใบหน้าสูงศักดิ์ไร้ที่ติ พ่นคำพูดออกมา“ท่านเสียสติแล้วหรือ”


 


 


นอกจากคำพูดนี้ นางยังคิดหาคำอธิบายอื่นไม่ได้อีก


 


 


นับตั้งแต่พวกนางพบหน้ากันครั้งแรก เป่ยเฉินอี้ก็สงสัยว่านางเป็นคนที่ใครบางคนส่งมาต่อกรกับเขาหรือเปล่า อีกเดี๋ยวเขาก็วางแผนให้ร้ายคนข้างกายนาง แล้วยังเผยออกมาตามตรงว่าเขาวางแผนเล่นงานนาง เยี่ยเม่ยก็รู้ว่าเขาส่งข่าวไปที่ต้ามั่ว เตรียมเอาชนะนางให้ได้


 


 


ไปๆ มาๆ เวลานี้เขากลับเสนอเงื่อนไขเช่นนี้


 


 


เขาเสียสติไปแล้วใช่ไหม


 


 


ต่อให้เป็นคนหลายบุคคลิก ก็ไม่น่าเป็นถึงขั้นนี้


 


 


 “หากการเสียสติไปสามารถอธิบายการกระทำของเป่ยเฉินอี้ อย่างนั้นแม่นางคิดว่าเป่ยเฉินอี้บ้าไปแล้ว เป่ยเฉินอี้ก็ไม่ถือสา” เป่ยเฉินอี้กลับไม่ใส่ใจ ดวงตาเรียวยาวยังคงจับสังเกตสีหน้าของเยี่ยเม่ยอยู่ตลอด


 


 


จากนั้นเมื่อเห็นว่าหลังจากเขาเอ่ยจบ ใบหน้ามีเพียงความไม่อยากเชื่อและแปลกประหลาดใจ เขาก็รู้สึกเจ็บปวด


 


 


ปฏิกิริยาเช่นนี้…


 


 


หรือนางจะไม่ใช่อาซีจริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยเก็บมีดสั้น ออกแรงชักมือที่ถูกเขาจับออกกลับมา เป่ยเฉินอี้ไม่ดึงดัน เขาคลายมือปล่อยเยี่ยเม่ย


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้นิ่งๆ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ว่าเป้าหมายของท่านคืออะไร ข้าตอบได้เพียงประโยคเดียวนั่นก็คือ ไม่มีทางแต่งกับท่าน”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินอี้คล้ายไม่ใส่ใจเลยสักน้อย ไม่โกรธเลยสักนิด


 


 


กลับหัวเราะเสียงต่ำมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “อย่างนั้น เป่ยเฉินอี้ก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเจ้าช่วยเหลือคนแล้ว”


 


 


 “หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยเม่ยพลันชะงักไป จากนั้นก็ถามอย่างรวดเร็ว “คนที่จะฆ่าจิ่วหุนไม่ใช่ท่านหรือ”


 


 


ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงใช้คำว่าช่วย


 


 


แต่ไม่ใช้คำว่าปล่อยตัวล่ะ


 


 


เป่ยเฉินอี้ยิ้มทันที ดวงตาเรียวยาวกวาดมองเยี่ยเม่ย “เป่ยเฉินอี้เอ่ยตอนไหนว่า ข้าจะฆ่าเขา รูปการณ์ในตอนนี้เกี่ยวข้องกับข้าก็จริง แต่ว่าเป่ยเฉินอี้หาใช่ผู้บงการ ทั้งไม่ใช่คนลงมือ ข้าเพียงแค่ช่วยเสนอความเห็นให้กับคนลงมือ ช่วยพวกเขาเท่านั้นเอง ”


 


 


ดังนั้น สถานะของเป่ยเฉินอี้ก็แค่ช่วยชี้แนะคนลงมือตัวจริงว่า เวลาไหนสมควรจัดการจิ่วหุนถึงเหมาะสม


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยมีสีหน้าไม่เชื่อ


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ในท่าทางสูงศักดิ์ของเขา เผยความโอหังดูแคลนคนทั่วหล้าออกมา “เจ้าสงสัยข้า เพราะเจ้ารู้ว่าข้าคิดเล่นงานเจ้า จิ่วหุนเกิดเรื่องแล้ว เป็นความสูญเสียอย่างร้ายแรงให้กับเจ้า แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ อาศัยสติปัญญาของเป่ยเฉินอี้ ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรจำเป็นต้องทำด้วยตัวเองหรือ ขอเพียงเป่ยเฉินอี้เอ่ยไม่กี่ประโยค ก็มีพวกโง่งมด้านนอกพร้อมจะบุกแทนข้า”


 


 


 “อย่างนั้น ผู้บงการตัวจริงกับคนลงมือก็ถูกท่านหลอกใช้แล้วอย่างนั้นหรือ” เยี่ยเม่ยเข้าใจคำพูดของเป่ยเฉินอี้อย่างรวดเร็ว เขาก็แค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าคำพูดไม่กี่คำ ก็ทำให้ผู้อื่นลงมือกับจิ่วหุนได้แล้ว


 


 


 “ไฉนต้องพูดไม่น่าฟังเช่นนั้นด้วย” สายตาเป่ยเฉินอี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อธิบายว่า “ข้าช่วยพวกเขาสังหารศัตรูคู่แค้น ช่วยผู้บงการคำนวณเวลาที่เหมาะสมที่สุด พวกเขาช่วยข้ากำจัดผู้ช่วยของเจ้า นี่สมควรบอกว่าต่างฝ่ายต่างพึ่งพา ไฉนพอเจ้าพูดออกมาถึงได้เป็นการหลอกใช้ได้เล่า”


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง คร้านจะถกเถียงกับเป่ยเฉินอี้อีก


 


 


ฝ่ายเป่ยเฉินอี้ก็อธิบายต่อว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยลองเดาดูว่า เมื่อเจ้าปฏิเสธการขอแต่งงานของเป่ยเฉินอี้ ข้าที่เดือดดาลจะไม่เพียงไม่ช่วยเจ้าช่วยเหลือคน กลับยังจะช่วยสังหารคนทิ้งแทนเสีย”  


 


 


เยี่ยเม่ยหัวใจกระตุก ตระหนักได้ทันที “ดังนั้น คืนนี้คนของท่านยังไม่ลงมือ ท่านรอจนข้ามาหาท่าน…ก็เพราะจะดูท่าทีของข้า เพื่อตัดสินว่าจะฆ่าคนหรือช่วยคนเพื่อข้าดีใช่หรือไม่”


 


 


ช่างเป็นหมากที่ยิ่งใหญ่นักเชียว


 


 


วางแผนให้คนอื่นฆ่าจิ่วหุน ตัวเองไม่ต้องลงมือ เมื่อเรื่องสำเร็จ มือไม่เปื้อนเลือดทั้งยังกำจัดศัตรูได้


 


 


ทั้งยังแอบวางแผนการจัดฉากอยู่ข้างหลัง เตรียมหาโอกาสที่เหมาะสมช่วยคน


 


 


 “ไม่ผิด” เป่ยเฉินอี้นัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม ยอมรับคำพูดของเยี่ยเม่ย


 


 


สายตาของเยี่ยเม่ยพลันเป็นเย็นเยียบ “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากข้าตกลงแต่งงานกับท่าน ท่านช่วยจิ่วหุน คนที่ถูกท่านหลอกใช้กลุ่มนั้นจะหันมาจัดการท่านแทน ท่านร่วมมือกับพวกเขาทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นศัตรูของพวกเขา นี่คือวิธีร่วมมือกับผู้อื่นของท่านหรือ”


 


 


 “ร่วมมือหรือ” เป่ยเฉินอี้รู้สึกว่าคำพูดนี้น่าสนใจมาก สายตาเขาเผยความเหยียดหยัน “โลกใบนี้มีใครคู่ควรร่วมมือกับข้าเป่ยเฉินอี้บ้าง พวกโง่เง่ากลุ่มนั้นน่ะหรือ ต่อให้เป่ยเฉินอี้ย้ายข้าง ฆ่าพวกเขาจนหมด พวกเขาจะทำอะไรได้”


 


 


ยามเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยเวลานี้ก็นิ่งไปแล้ว


 


 


ถูกแล้ว จากความสามารถที่บุรุษผู้นี้แสดงออก แม้คนพวกนั้นจะถูกหลอกใช้ ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเป่ยเฉินอี้ได้


 


 


ด้วยเหตุนี้ เป่ยเฉินอี้จึงสรุปว่า “ที่ว่าผู้ร่วมมือกันจำเป็นต้องมีความสามารถทัดเทียมกัน ไม่เช่นนั้นก็เป็นแค่หมากในมือคนเข้มแข็งเท่านั้น ดังนั้นแม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าคิดได้หรือยัง จะให้เป่ยเฉินอี้ช่วยชีวิตจิ่วหุน หรือว่าจะให้เป่ยเฉินอี้ช่วยคนพวกนั้นฆ่าจิ่วหุน”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ แววตาเยี่ยเม่ยเย็นยะเยือกมองหน้าเป่ยเฉินอี้


 


 


นางเอ่ยเสียงนิ่ง “ต้องบอกว่าทุกครั้งที่สนทนากับท่าน ข้าล้วนได้รับความรู้ ทั้งยังต้องขอบคุณคำพูดของท่าน ทำให้ข้าเข้าใจแล้วว่าจะช่วยจิ่วหุนอย่างไร ”


 


 


 “อ้อ” เป่ยเฉินอี้กลับดูสนใจมากขึ้น


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องอีกฝ่าย “จากวิชาพรางกายของจิ่วหุน หลังจากเอาตัวรอดได้จากน้ำ คิดจะหลบซ่อนตัวไม่ให้ถูกคนพบเห็น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ท่านมั่นใจถึงเพียงนี้ เอาชีวิตจิ่วหุนมาข่มขู่ข้า นอกเสียจากว่าท่านคาดเดาได้แล้วว่าจิ่วหุนจะหลบไปทิศทางใด อย่างนั้น…”


 


 


บรรยากาศรอบด้านนิ่งสงบ


 


 


เยี่ยเม่ยยกมุมปาก “ท่านเดาทิศทางที่เขาไปได้ ข้า…เดาไม่ได้หรือไง”


 


 


จริงด้วย ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน


 


 


จนกระทั่งเป่ยเฉินอี้เอ่ยออกมา เขาเดาได้ว่าจิ่วหุนหนีไปที่ไหน…ถึงเยี่ยเม่ยจะไม่เข้าใจจิ่วหุนมากเป็นพิเศษ แต่เป่ยเฉินอี้ก็ไม่เข้าใจไปมากกว่านาง แล้วทำไมเขาถึงเดาได้


 


 


แล้วนางจะเดาไม่ได้เล่า


 


 


หลังจากต่อคำกับเป่ยเฉินอี้สักพัก ความจริงนางก็ครุ่นคิดอยู่ตลอด ตอนนี้…ในสมองของนางปรากฎสถานที่หนึ่งขึ้นมาแล้ว


 


 


 “ดีมาก” เป่ยเฉินอี้พยักหน้า โบกมือเบาๆ ชิงเกอก็เข้าใจทันที ส่งสัญญาณออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสัญญาณถูกส่งให้ข้างนอก ดวงตาก็เย็นเยียบ


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “แม่นางเยี่ยเม่ยต้องรีบไปช่วยเขาแล้ว คนของเป่ยเฉินอี้เริ่มลงมือแล้ว ในเมื่อเจ้าเดาสถานที่ได้ อย่างนั้นต่อไปนี้พวกเราแข่งขันกันด้วยเวลา”


 


 


เวลา หากนางไปทันก็ช่วยจิ่วหุนไว้ได้


 


 


หากไปไม่ทัน…


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง “ท่านไม่ขวางข้า”


 


 


หากเป่ยเฉินอี้ลงมือรบเร้าพัวพันนาง ช่วงเวลาที่ไม่อาจปลีกกายจากไปได้นั้นก็ยากที่นางจะช่วยจิ่วหุนได้


 


 


เป่ยเฉินอี้ยิ้มมองเยี่ยเม่ย เสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า “ข้าเคยบอกจะต่อให้เจ้าสามครั้ง นี่ถือว่าครั้งที่สองแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ย รีบไปเถอะ รักษาโอกาสที่ข้ามอบไว้ให้ให้ดี”


 


 


เยี่ยเม่ยเข้าใจ นี่คือการต่อให้ของเขา แต่ก็เป็นการดูแคลนสติปัญญาของนางด้วย


 


 


ความปลอดภัยของจิ่วหุนเป็นเรื่องสำคัญ เยี่ยเม่ยหมุนตัวก้าวเท้าจากไป เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เป่ยเฉินอี้ ความอัปยศในวันนี้ ข้าจำใส่ใจไว้แล้ว ภายหน้าจะชดใช้คืนเป็นทวีคูณแน่” 

 

 


ตอนที่ 204 พวกเจ้า ยั่วโทสะจิ่วหุนแล้ว

 

สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย เงาร่างพลิ้ววูบ คนก็หายออกจากเรือนแล้ว


 


 


ชิงเกอมองเป่ยเฉินอิ้ด้วยความสงสัย เอ่ย “ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่า ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยเคียดแค้นท่าน”


 


 


 “อ้อ” เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองชิงเกอ น้ำเสียงน่าฟังของเขาในยามนี้เย็นชาอย่างถึงขีดสุด “อย่างนั้นเจ้าคิดว่า ข้าสมควรใช้วิธีใดถึงเรียกว่าถูกต้องกัน”


 


 


ชิงเกอชะงักไป เอ่ยว่า “หากท่านคิดจะแต่งกับนางจริง อย่างน้อยก็ควรทำให้นางรู้สึกดีด้วย”


 


 


ไม่อย่างนั้นจะมีแม่นางคนไหนที่กินอิ่มว่างงาน เอาเรื่องความสุขทั้งชีวิตมาล้อเล่น แต่งงานกับคนที่จ้องเป็นศัตรู วางแผนให้ร้าย รวมถึงข่มขู่ตัวเองกัน หรือรังเกียจที่ชีวิตสุขสงบเกินไป วันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายจึงแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ


 


 


ใบหน้าสูงศักดิ์ไร้ที่ติของเป่ยเฉินอี้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงสุขุมว่า “จากสายตาที่นางมองข้าในครั้งแรก ข้าก็รู้ดีว่ามีคนเล่าเรื่องผลการศึกทั้งหลายของข้าให้นางฟังก่อนที่ข้าจะมาถึงแล้ว”


 


 


เป่ยเฉินอี้เน้นคำว่าผลการศึกเป็นพิเศษ


 


 


ชิงเกอเข้าใจในบัดดล ผลการศึก…ในสายตาของบุรุษ ท่านอ๋องกวาดล้างไปทั่วหล้า กำจัดสามราชวงศ์ ถือเป็นผลการศึกที่โดดเด่น ทว่าในสายตาของสตรี…โดยเฉพาะสงครามกับราชวงศ์จงเจิ้งครั้งนั้น ย่อมไม่มีความรู้สึกดีๆ กับท่านอ๋องแน่


 


 


ชิงเกอมุมปากกระตุก อดใจไม่ไหว ถามออกไปว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าใครคือคนที่แอบแทงข้างหลังท่าน”


 


 


นี่ก็มากพอแล้ว


 


 


ยังมีเรื่องให้นินทาอะไรอีก เรื่องของท่านอ๋องกับราชวงศ์จงเจิ้ง เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนี้ พวกเขาถึงกินอิ่มนอนหลับว่างงานไปเล่าให้แม่นางเยี่ยเม่ยฟังด้วยเล่า


 


 


พวกเขาว่างกันนักหรือไง ไม่มีงานมีการทำแล้วใช่หรือไม่


 


 


 “นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ายังนึกถึงใครคนที่สองไม่ออก” เป่ยเฉินอี้ตอบคำถามออกมาทันควัน


 


 


ระหว่างเอ่ย เขาก็หยิบหมากสีขาวออกมาตัวหนึ่งวางลงบนกระดาน หมากเม็ดเล็กๆ ที่ดูเรียบง่าย กลับเกี่ยวพันกับสถานการณ์ทั่วทั้งกระดาน “ศึกนี้ก็อยู่ที่ว่านางจะยื้อแย่งเวลาไปได้หรือไม่ รวมถึงความสามารถที่แท้จริงของจิ่วหุนด้วย”


 


 


สภาพร่างกายของจิ่วหุนดำเนินมาถึงขั้นไหน ยังใช้กระบวนท่าร้ายกาจออกมาได้หรือเปล่าอยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว


 


 


ชิงเกอถอนใจ มองท่านอ๋องของตนทีหนึ่ง กลิ่นอายราชันย์ทั่วร่าง ความสุขุมที่มีเฉพาะผู้ทรงสติปัญญาเหนือหล้า เพียบพร้อมทั้งความฉลาดและความกล้าหาญ ซ้ำยังมีรูปโฉมน่ามอง สิ่งเหล่านี้คือท่านอ๋องของเขาไม่ผิดแน่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแทงข้างหลัง เพื่อกำจัดศัตรูหัวใจ


 


 


แต่ว่า


 


 


 “ท่านอ๋อง ถึงการแทงข้างหลังร้ายแรงมาก แต่ว่าพวกเราจำเป็นต้อง…ทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายลงไปอีกหรือ” ชิงเกอถามต่ออย่างรวดเร็ว


 


 


เป่ยเฉินอี้กวาดสายตามองชิงเกอ เอ่ยเสียงขรึมว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ใจนางไปแล้ว ทั้งยังวางหลุมพรางดักข้ากับนางไปแล้วด้วย ต่อให้ข้าอยากได้ใจนางเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ถือสาเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก ต่อให้ได้รับความรู้สึกดีๆ จากนางก็ไม่อาจได้ตัวนาง ทั้งยังจะทำให้แผนการทั้งหมดของข้ารวนไปหมด อย่างนั้นไม่สู้ให้อุบายจะดีกว่า”


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้


 


 


เป่ยเฉินอี้วางหมากลงตัวหนึ่ง คราวนี้เป็นหมากสีดำ เข้าสกัดหมากขาวเมื่อครู่ให้ตกที่นั่งลำบาก  ไม่ช้าเขาก็เอ่ยว่า “อีกอย่าง ข้าเพียงต้องการตัวนาง หาใช่ใจนาง”


 


 


นางคือเยี่ยเม่ย


 


 


แต่ในใจเขารักจงเจิ้งซี


 


 


 “ข้าน้อยทราบแล้ว” ชิงเกอรีบพยักหน้า


 


 


ก็ถูก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์ด้วย อีกอย่างที่ท่านอ๋องต้องการตัวแม่นางเยี่ยเม่ยก็เป็นเพราะว่านางมีใบหน้าเสมือนองค์หญิงซีเท่านั้น


 


 


ชิงเกอพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านอ๋อง ท่านว่า…เรื่องในคืนนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคาดเดาได้หรือไม่”


 


 


เมื่อเขาถามออกมา เป่ยเฉินอี้ยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถาม สีหน้าลุ่มลึกสุดหยั่งได้


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยห้อตะบึงออกจากชายแดน ไม่ช้าก็ไปถึงภูเขาที่ใกล้กับชายแดนมากที่สุด


 


 


ซินเยว่เยี่ยนวิเคราะห์ได้ไม่เลว จิ่วหุนบาดเจ็บต้องหนีไปได้ไม่ไกล ดังนั้นเขาต้องเลือกสถานที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยหลบซ่อนตัว หรือว่าสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเพื่อหลบซ่อน


 


 


เพราะอะไรถึงเดาว่าเป็นบนเขาน่ะหรือ


 


 


นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่จิ่วหุนเอาเงินให้เยี่ยเม่ยเคยบอกว่า เขายังมีเงินจำนวนมากเก็บไว้ในถ้ำ อย่างนั้นก็พอบอกได้ชัดเจนเลยว่า สำหรับเขาอย่างน้อยถ้ำก็เป็นสถานที่ที่เก็บสมบัติได้ ทั้งยังเป็นที่ที่ยากต่อการสังเกตเห็น


 


 


ถึงเขาไม่ใส่ใจเงินทอง แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าสถานที่ที่อยู่จนคุ้นเคยก็คือถ้ำ


 


 


ไม่ว่าจะวิเคราะห์ในแง่ไหน การที่จิ่วหุนไปหลบซ่อนตัวในถ้ำบนเขาใกล้ๆ นี้ ก็ถือว่าเป็นการอธิบายที่สมเหตุสมผล


 


 


เยี่ยเม่ยหวังว่าตัวนางจะเดาไม่ผิด


 


 


และนางก็มั่นใจว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิด


 


 


ซินเยว่เยี่ยนไม่เข้าใจสถานการณ์ เห็นเยี่ยเม่ยวิ่งไปเช่นนี้ ก็ไม่ถามมาก รีบวิ่งติดตามไปทันที


 


 


……


 


 


บนเขา


 


 


จิ่วหุนหอบสังขารบาดเจ็บเดินเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในมืดมิด เขาก็ไม่จุดไฟ อย่างไรเสียยามนี้คนที่ไล่ตามสังหารด้านนอกมีจำนวนมาก ขอเพียงจุดไฟก็เป็นการเปิดเผยที่อยู่ของตน


 


 


เขานั่งบนพื้น ฉีกชายเสื้อตัวเองออก พันแผลที่มือ


 


 


จากนั้นก็สกัดจุดชีพจรที่บ่าเพื่อห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว


 


 


ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนมีรอยเลือดของเขา ถึงเขาจะกำจัดอย่างระมัดระวังไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหลุดรอดไปได้ ยามนี้หากออกไปลบรอยเลือด ก็ยิ่งจะมีโอกาสถูกล้อมฆ่าอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงโคจรกำลังที่เหลืออยู่ ปรับลมหายใจฟื้นฟูพละกำลังในการต่อสู้ ก่อนที่นักฆ่ากลุ่มแรกจะมาถึง


 


 


จิ่วหุนปิดตาลงทันที เริ่มปรับลมหายใจ


 


 


บนชุดสีขาวปลอดเต็มไปด้วยรอยเลือด ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขามีสภาพน่าอนาถเช่นนี้


 


 


ระหว่างโคจรพลัง เขาก็กระอักเลือดเสียออกมาอีกครั้ง


 


 


พิษแผลงฤทธิ์ออกมาแล้ว


 


 


คราวนี้ เขาไม่อาจปรับลมหายใจได้อีก ผลลัพธ์ของการฝืนโคจรพลังก็คือยิ่งกระตุ้นให้พิษในกายทำงานไวขึ้น


 


 


ในขณะนี้เอง


 


 


ปากถ้ำพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น


 


 


ฝีเท้าของคนที่ไล่ตามมาครั้งนี้มีจำนวนคนถึงร้อยคน ต่างจากกลุ่มนักฆ่าชุดก่อน ดูแล้วน่าจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง


 


 


ไม่ช้า ฝีเท้าของคนกลุ่มแรกก็ติดตามมา มีคนจำนวนหลายร้อย


 


 


สายตาจิ่วหุนเยือกเย็นลง


 


 


รอจนคนเหล่านั้นพุ่งเข้ามาในถ้ำ จิ่วหุนเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา แววตานิ่งสงบดังน้ำนิ่ง เผยความอำมหิตออกมา


 


 


เขาเอ่ยคำพูดออกมาทีละคำ “พวก-เจ้า-ยั่ว-โท-สะ-จิ่ว-หุน-แล้ว”


 


 


คำพูดของเขาดังอยู่ในถ้ำมืดมิด ฟังแล้วชวนหวาดกลัวมาก


 


 


น้ำเสียงคล้ายทูตอสุราจากขุมนรก ทำให้คนชุดดำที่เข้ามาในถ้ำในเวลานี้เกิดความหวาดหวั่น


 


 


หลังจากคนผู้หนึ่งเดือดดาล ก็จะระเบิดพลังออกมา การบีบคั้นคนให้จนตรอก จะนำมาซึ่งการตอบโต้กลับอย่างรุนแรง


 


 


ในขณะที่พวกเขาหวาดกลัว กระบี่ในมือของจิ่วหุนถูกใช้ค้ำยันร่างยืนขึ้นมา


 


 


มองไปที่กลุ่มคนเบื้องหน้า เขากดเสียงต่ำเอ่ย “พวกเจ้าเคยได้ยิน อสุราภูตผีร่ำไห้ ซากศพทอดยาวไปพันลี้หรือไม่”


 


 


คนชุดดำทั้งหลายเบิกตากว้าง


 


 


อสุราภูตผีร่ำไห้เป็นสุดยอดกระบวนท่า ระเบิดพลังออกมาเพียงครั้งเดียวก็เกิดคนตายเป็นเบือ ทว่ากระบวนท่าเลื่องชื่อนี้ หลายร้อยปีที่ผ่านมามีคนใช้ออกเพียงแค่สองคนเท่านั้น อีกทั้งคนทั้งสองยังมีอายุจะแปดสิบปีไปแล้ว


 


 


จิ่วหุนก็แค่เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าคนหนึ่ง


 


 


จะเป็นไปได้อย่างไร


 


 


ไม่ช้า


 


 


พวกเขาก็รับรู้แล้วว่าความรู้ของตนช่างคับแคบ 

 

 


ตอนที่ 205 อสุราภูตผีร่ำไห้ ซากศพทอดย...

 

หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่น


 


 


ประกายกระบี่ปรากฎไปทั่วสารทิศ อีกทั้งไอกระบี่นี้ล้วนแผ่พุ่งออกมาจากคนคนเดียว


 


 


ยามที่เยี่ยเม่ยกับซินเยว่เยี่ยนรีบมาถึงภูเขา เพียงเห็นการระเบิดอย่างรุนแรงเบื้องหน้า ซ้ำยังมีประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนสาดแสงออกจากทั่วสี่ด้านแปดทิศ


 


 


 “ระวัง”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเตือนเยี่ยเม่ยทันที


 


 


เยี่ยเม่ยถอยร่นหลบประกายกระบี่มาหลายก้าวก่อนที่ซินเยว่เยี่ยนจะเอ่ยปาก ส่วนประกายกระบี่ที่นางหลบได้นั้นพุ่งแทงต้นไม้ใหญ่เกิดเป็นเสียงแตกเปรี๊ยะดังสนั่น


 


 


ภาพที่เห็นเบื้องหน้า เป็นเงากระบี่จำนวนมหาศาลเช่นนี้


 


 


พุ่งทะลวงทั่วทุกสารทิศ


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมองกำลังภายในจากที่ไกลๆ ก็รีบเอ่ยปากว่า “นี่คือวิชาของจิ่วหุน”


 


 


วันที่จิ่วหุนประมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางเคยเห็นมาก่อน กระบวนท่าอสุราภูตผีร่ำไห้นี้ถูกกระบวนท่าเดียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสะกดไว้ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และหลังจากสิ้นสุดกระบวนท่านี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ได้ชัยเหนือจิ่วหุน


 


 


ดังนั้น นี่ต้องเป็นจิ่วหุนไม่ผิดแน่


 


 


สิ้นเสียงซินเยว่เยี่ยน รอบด้านก็กลับสู่ความสงบ ส่วนกลิ่นอายกระบี่ของจิวหุนก็หายไปจนหมดสิ้น ไอสังหารและประกายกระบี่ล้วนกลับสู่ความสงบดังเดิม


 


 


 “ไป”


 


 


เยี่ยเม่ยรีบพุ่งไปยังทิศทางที่เกิดการระเบิด


 


 


ส่วนซินเยว่เยี่ยนก็ติดตามฝีเท้าของเยี่ยเม่ยไปอย่างรวดเร็ว


 


 


คนทั้งสองวิ่งไปในภูเขาได้หนึ่งกิโลกว่า ยามที่เห็นสภาพเบื้องหน้า อย่าว่าแต่ซินเยว่เยี่ยนเลย แม้กระทั่งเยี่ยเม่ยยังอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


สภาพด้านหน้ายังสยดสยองกว่าที่นางเห็นในห้องจิ่วหุนเสียอีก


 


 


ที่พื้นเต็มไปด้วยศพของคนเจ็ดแปดร้อยคน


 


 


ดูจากทิศทางแล้ว ถูกแรงระเบิดออกมาจากถ้ำ บางศพมีสภาพสมบูรณ์ ส่วนบางศพก็แขนขาขาดกระจาย ซากศพกองเกลื่อนไปทั่ว


 


 


…..


 


 


 “จิ่วหุน” เยี่ยเม่ยได้สติกลับมา ร้องเรียกด้วยความตกตะลึง นางทะยานเข้าไปในถ้ำ


 


 


ศพมีมากเกินไปแทบไม่มีที่ว่างให้เหยียบเลย เยี่ยเม่ยไม่มีเวลามาโยนศพไปกองไว้ฝั่งเดียว นางเหยียบศพพุ่งเข้าไปในด้านใน


 


 


ไม่ช้า นางก็พบจิ่วหุนที่อยู่ภายในถ้ำ


 


 


นักฆ่าทั้งหมดสวมชุดดำ มีเพียงจิ่วหุนที่สวมชุดสีขาว ถึงแม้ชุดขาวย้อมไปด้วยเลือดสีแดง แต่ในถ้ำที่มืดมิดก็ยังแยกออก


 


 


เสี้ยวเวลานี้ ทั้งร่างจิ่วหุนคือเลือด เขานอนหมดสติอยู่บนพื้น


 


 


เขาใช้ลมปราณที่มีไปกับกระบวนท่าเมื่อครู่จนหมดแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พูดพร่ำ พุ่งเข้าไปแบกจิ่วหุน จากนั้นรีบออกจากถ้ำโดยพลัน


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยังยืนอยู่นอกถ้ำ มองซากศพเหล่านี้ไม่ได้สติอยู่นาน ศพตั้งมากมาย…อีกทั้งคนนับพันพวกนี้ล้วนมีวิชาติดตัว ไม่ใช่ทหารธรรมดา ยิ่งไม่ใช่พวกไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่


 


 


แต่กระบวนท่าเดียวของจิ่วหุน สังหารคนได้ทั้งหมด


 


 


อสุราภูตผีร่ำไห้ในตำนาน ร้ายกาจถึงขั้นนี้เชียว เคราะห์ดีที่กระบวนท่านี้ของจิ่วหุนถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสะกดได้ ไม่เช่นนั้น ผู้ชมรวมถึงตัวนางและพวกซือหม่าหรุ่ยหลบช้าไปสักนิดเดียว ก็คงประสบเคราะห์กรรมแล้วใช่หรือไม่


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนก็เย็นวาบไปทั่วสรรพางค์กาย


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นอีกฝ่ายอยู่ในอารามตกตะลึง เอ่ยปากเร่งว่า “รีบไป ยังมีคนไล่ตามมาอีก”


 


 


 “อืม” ซินเยว่เยี่ยนได้สติ รีบทะยานตามเยี่ยเม่ยไป


 


 


ระหว่างที่วิ่งห้อตะบึงกลับไปยังชายแดน ซินเยว่เยี่ยนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนี้คนในเมืองต่างรู้ตัวตนที่แท้จริงของจิ่วหุนหมดแล้ว พวกเราพาเขากลับเมือง จะปลอดภัยจริงหรือ”


 


 


 “ยามนี้ไม่มีเวลามาคิดมากแล้ว ซือหม่าหรุ่ยอยู่ที่เมืองชายแดน ร่างกายของจิ่วหุนเป็นเช่นนี้ มีแต่หานางเท่านั้นข้าจึงวางใจ” เยี่ยเม่ยตอบกลับคำหนึ่งอย่างรวดเร็ว


 


 


เรื่องอื่นค่อยว่ากันภายหลัง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้ารับ


 


 


หลังจากที่พวกนางเพิ่งออกจากเขามาได้ ก็มีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งติดตามมา ล้อมเยี่ยเม่ยและซินเยว่เยี่ยนเอาไว้


 


 


ผู้นำกลุ่มคนชุดดำเอ่ยปากว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ ถูกพิษแล้วยังใช้กระบวนท่านี้ออกมาได้ แม่นางเยี่ยเม่ย เป้าหมายของเราในคืนนี้ไม่ใช่เจ้า หากเจ้าวางเขาลง ก็จากไปได้อย่างปลอดภัย”


 


 


 “เจ้ารู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อมาก กลางค่ำกลางคืนถึงมายืนเล่าเรื่องตลกอยู่ตรงนี้หรือไง” เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างเย็นชา


 


 


ชายชุดดำโมโห กวาดตามอง คนชุดดำกลุ่มนั้นก็ยกอาวุธขึ้นเตรียมพร้อม


 


 


เยี่ยเม่ยมองซินเยว่เยี่ยน “อาการบาดเจ็บของจิ่วหุน ไม่อาจรั้งรอได้ เจ้าพาเขากลับเมืองไปก่อน ข้าจะระวังหลังเอง”


 


 


 “ไม่ได้” ซินเยว่เยี่ยนรีบปฏิเสธ “ยามเขาไม่มีสติมีเพียงเจ้าที่เข้าใกล้เขาได้ ดังนั้นเจ้าพาเขากลับไปได้เท่านั้น อีกอย่างสถานการณ์ในชายแดนก็ซับซ้อน หากไม่ใช่เจ้ากลับไปด้วยตัวเอง เกรงว่าพวกแม่ทัพเหล่านั้นจะสังหารจิ่วหุน ก็ไม่มีใครขวางได้ ดังนั้นมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ต้องกลับไป”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยจบ ก็มองเยี่ยเม่ย “เจ้าพาเขาไป ข้าจะระวังหลังให้”


 


 


 “เจ้าไหวไหม” เยี่ยเม่ยมองคนทั้งหมด ถึงมีเพียงห้าสิบกว่าคน แต่เยี่ยเม่ยมองออกว่าล้วนเป็นยอดฝีมือ ร้ายกาจกว่าบรรดานักฆ่าก่อนหน้ามาก


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยกมุมปากสูง “สู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือจิ่วหุนข้าไม่มีความมั่นใจ แต่สู้กับพวกเขา ได้แน่ รีบไป”


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นซินเยว่เยี่ยนหน้าตามั่นใจ ไม่คล้ายเสแสร้ง ก็พยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี ข้าไปก่อน เจ้าระวังตัวด้วย”


 


 


 “อืม” ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า


 


 


เยี่ยเม่ยทะยานออกไป


 


 


คนชุดดำรีบตามไปขวาง แต่ซินเยว่เยี่ยนรีบดึงแถบผ้าสีม่วงออกจากชายเสื้อ สะบัดไปยังคนกลุ่มนั้น


 


 


ฟาดเหล่าคนที่คิดขวางเยี่ยเม่ยล้มกราวลงพื้น


 


 


จากนั้น นางยืนขวางหน้าคนชุดดำทั้งหลาย กวักมือเรียก “มา คิดจะไล่ตามนาง ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อน ซินเยว่เยี่ยน หัวหน้าผู้อาวุโสหมู่ตึกกูเยว่น้อมรับมือ”


 


 


หัวหน้าคนชุดดำหน้าเขียวคล้ำ


 


 


เกี่ยวพันกับหมู่ตึกกูเยว่ก็ชวนให้คนปวดหัว อีกฝ่ายยังเป็นหัวหน้าของสามผู้อาวุโสด้วย…


 


 


 “แม่นางซิน จิ่วหุนเป็นเหมือนปีศาจร้ายของชาวยุทธ เจ้าจะช่วยเขาจริงๆหรือ เจ้าสอดมือเข้ามายุ่งในยามนี้ ชื่อเสียงของหมู่ตึกกูเยว่…”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตัดบท “ชื่อเสียงของหมู่ตึกกูเยว่ คนตัวกระจ้อยอย่างเจ้าพูดไม่กี่คำก็สามารถทำลายได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


 “เจ้า” คนชุดดำเดือดดาลถึงขีดสุด “ฆ่า”


 


 


สิ้นเสียง คนชุดดำทั้งหลายก็พุ่งเข้ามาสังหารซินเยว่เยี่ยน


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยกแถบผ้าในมือฟาดไปที่พวกเขา


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยกลับถึงเมือง ก็แบกจิ่วหุนไปที่ห้องซือหม่าหรุ่ยทันที


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกำลังหลับอยู่ เห็นเยี่ยเม่ยแบกจิ่วหุนที่เลือดโชกกลับมาก็สะดุ้งตกใจ ซือหม่าหรุ่ยสีหน้าง้ำงอ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”


 


 


เดิมทีนางไม่สนิทกับจิ่วหุน แต่เพราะเยี่ยเม่ยนางถึงเห็นจิ่วหุนเสมือนน้องชาย คิดไม่ถึงว่าไม่พบกันไม่กี่ชั่วยาม เจ้าหนุ่มนี่จะอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปแล้ว


 


 


 “อย่าเพิ่งพูดเลย ช่วยเขาก่อนเร็ว” เยี่ยเม่ยมองห้องของซือหม่าหรุ่ย ถ้าวางจิ่วหุนลงบนเตียงซือหม่าหรุ่ย ในยุคโบราณนี้จะทำลายชื่อเสียงของซือหม่าหรุ่ย  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเห็นเยี่ยเม่ยมองไปรอบๆ ห้องตัวเองสีหน้าลังเล ก็รู้ทันทีว่าเยี่ยเม่ยคิดอะไรอยู่ “ไม่เป็นไร วางเขาบนเตียงข้าเถอะ ชาวยุทธ์ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ช่วยคนสำคัญกว่า”


 


 


“ได้”

 

 

 


ตอนที่ 206 เพิ่มขุมพลังข้างกายเยี่ยเม...

 

เยี่ยเม่ยวางจิ่วหุนบนเตียงซือหม่าหรุ่ย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบลงมือรักษาคนทันที


 


 


ข่าวที่เยี่ยเม่ยกลับเข้ามาถึงเมืองแพร่ออกไปนานแล้ว เหล่าทหารก็มองเยี่ยเม่ยแบกจิ่วหุนเข้ามา


 


 


ภายใต้การชักนำของเจ้าเมืองหลิน บรรดาแม่ทัพรวมถึงเหล่าหทารมาถึงหน้าประตูห้องซือหม่าหรุ่ย หวังว่าเยี่ยเม่ยจะรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของจิ่วหุน รีบส่งตัวปีศาจออกมาโดยไว


 


 


เยี่ยเม่ยไม่วางใจซินเยว่เยี่ยน กำชับซือหม่าหรุ่ยคำหนึ่งว่า “ข้าจะไปรับซินเยว่เยี่ยน ก่อนข้ากลับมาไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าห้องเจ้าโดยเด็ดขาด”


 


 


ทันทีที่คนพวกนี้เข้ามา ต้องสังหารจิ่วหุนแน่ ไม่แน่ว่าซือหม่าหรุ่ยจะรับมือไหว


 


 


 “เข้าใจแล้ว” หมอสาวพยักหน้า มองประตูทีหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เจ้าวางใจเถอะ ก่อนเจ้ากลับมา ใครก็เข้ามาในห้องไม่ได้สักก้าวเดียว”


 


 


 “อืม”


 


 


เยี่ยเม่ยวางใจ นางไม่เดินออกไปทางประตูหลัก แต่โจนทะยานออกไปทางหน้าต่าง


 


 


……


 


 


นอกเมือง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยังถูกนักฆ่ากลุ่มนั้นล้อมไว้ เยี่ยเม่ยและจิ่วหุนหนีจากไปได้ทำให้นักฆ่าเหล่านี้อยู่ในอารมณ์คุกรุ่น


 


 


ทุกคนต่างเอาชีวิตเข้าแลกกับซินเยว่เยี่ยน


 


 


ระหว่างต่อสู้ ฝุ่นดินคลุ้งตลบ


 


 


ซินเยว่เยี่ยนในฐานะหนึ่งในสามผู้อาวุโสแห่งหมู่ตึกกูเยว่ประมือกับพวกเขาได้ครึ่งชั่วยาม ยังไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อย บนพื้นมีศพคนชุดดำสิบกว่าคน


 


 


ในการต่อสู้อย่างดุเดือด คนชุดดำยิ่งไม่อาจรับมือได้


 


 


ในเวลานี้เอง บุรุษสวมอาภรณ์รัดรูปสีดำก็เดินเนิบๆ เข้ามา ในมือเขามีกระบี่ยาว ด้านหลังติดตามด้วยคนสิบกว่าคน คนเหล่านั้นกระจายซ่อนตัวอยู่รอบๆ ไม่ลงมือ


 


 


ส่วนบุรุษชุดรัดรูปสีดำนั้น ใช้สายตาเต็มไปด้วยไอสังหารมองซินเยว่เยี่ยน


 


 


นักฆ่าเห็นผู้มา ก็รีบถอยไปทันที “ลูกพี่”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหันไปมองดู คิดไม่ถึงว่าจะเป็นชิงเกอที่อยู่ข้างกายเป่ยเฉินอี้


 


 


กระบี่ยาวในมือชิงเกอยกขึ้น ชี้ซินเยว่เยี่ยน ตวาดเสียงนิ่งว่า “สตรีชอบแส่หาเรื่องชาวบ้าน ช่างน่ารำคาญนัก”


 


 


 “หึ” ซินเยว่เยี่ยนหัวเราะเสียงเย็น สายรัดในมือตวัดใส่ชิงเกอ “ข้าน่ารำคาญแค่ไหน ก็ยังชวนให้คนหลงรักมากกว่าเจ้านายที่ชอบก่อเรื่องก่อราวของพวกเจ้า”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป็นการยั่วโทสะของชิงเกอผู้ภักดี


 


 


ไอสังหารฉายออกมาจากดวงตาเขา กระบี่ในมือยิ่งเต็มไปด้วยไอเข่นฆ่า “รนหาที่ตาย”


 


 


ระหว่างคนทั้งสองปะทะกัน ชิงเกอผู้ติดตามอันดับหนึ่งข้างเป่ยเฉินอี้ย่อมมีวรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าซินเยว่เยี่ยน เหล่านักฆ่าด้านข้างรีบเข้าไปล้อม ช่วยชิงเกอสังหารซินเยว่เยี่ยน 


 


 


คราวนี้ ต่อให้ซินเยว่เยี่ยนมีวรยุทธ์สูงส่ง เวลานี้ก็ยากจะรับมือไหว


 


 


เวลาผ่านไปเพียงชั่วก้านธูป ซินเยว่เยี่ยนที่กอบกุมชัยชนะเอาไว้แต่แรก ภายใต้การจู่โจมของชิงเกอและกลุ่มนักฆ่า ก็ค่อยๆ ปรากฏแววพ่ายแพ้


 


 


 “ผู้อื่นเกรงกลัวหมู่ตึกกูเยว่ แต่อี้อ๋องไม่เกรงกลัว แม่นางซิน ในเมื่อเจ้าชอบสอดเรื่องชาวบ้าน วันนี้ก็ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เถอะ”


 


 


ชิงเกอเอ่ยจบ กระบี่ยาวก็พุ่งแทงหน้าอกซินเยว่เยี่ยน


 


 


ซินเยว่เยี่ยนหลบอย่างว่องไว แต่ไม่อาจหลบเลี่ยงการลอบจู่โจมจากด้านหลังได้ ระหว่างที่นางหมุนกายก็ถูกคนชุดดำด้านหลังเสือกกระบี่เข้าใส่บ่า


 


 


ครั้นเห็นสถานการณ์ต่อสู้ไม่เอื้อประโยชน์ให้ตน ซินเยว่เยี่ยนยังไม่หวั่นเกรง สายตาเย็นชามองชิงเกอ “คิดจะให้ข้าทิ้งชีวิตไว้ ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่”


 


 


 “หนึ่งต่อหนึ่ง เจ้าอาจมีทางรอด แต่หนึ่งต่อสามสิบเจ็ดคน เจ้าไร้หนทางรอดแน่”


 


 


ชิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตัดสินว่าซินเยว่เยี่ยนต้องตายแน่ อีกอย่างนอกจากคนทั้งสามสิบเจ็ดคนแล้ว ยังมีคนที่เขานำมาด้วยอีกสิบกว่าคนหลบซ่อนตัวอยู่


 


 


ต่อสู้กับชิงเกอ ซินเยว่เยี่ยนไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้ แต่เมื่อมีคนจำนวนมากล้อมจู่โจม นางยากจะหนีได้


 


 


ขณะนี้เอง


 


 


เสียงสดใสของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น แฝงไปด้วยไอสังหารเย็นเยียบ “ถ้าอย่างนั้น สองคนสู้สามสิบเจ็ดคนเล่า”


 


 


ระหว่างเอ่ย กระบี่เล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในวงต่อสู้


 


 


กระบี่แทงเข้ามาทางด้านขวามือของซินเยว่เยี่ยน เสียบหัวใจคนที่คิดจะลอบจู่โจมนาง คนทั้งหมดหันกลับไปมอง ก็พบสตรีชุดขาวนางหนึ่ง ชายกระโปรงพลิ้วลู่ลม ใบหน้างดงามเย็นชา นั่นก็คือจงรั่วปิง


 


 


ชิงเกอเห็นจงรั่วปิงมาช่วยเสริมทัพ ยามนี้พลันตกตะลึง


 


 


เมื่อจงรั่วปิงรั้งมือกลับ กระบี่ที่ปักอยู่บนร่างคนชุดดำก็ถูกกำลังภายในชักนำให้กลับเข้าสู่มือนาง


 


 


นางใช้กระบี่ชี้ชิงเกอและพวก “บุรุษกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตีสตรีคนเดียว นับเป็นความสามารถอันใด วันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าให้เละเลย”


 


 


ชิงเกอสายตาเย็นวาบ มองจงรั่วปิง “ดูท่าคงอยากหาที่ตายจนทนไม่ไหวแล้ว หน่วยลอบโจมตี ฆ่า”


 


 


สิ้นเสียงชิงเกอ คนชุดดำสิบคนที่เร้นกายอยู่ก็กระโดดออกมา คนสิบคนนี้ยังมีวรยุทธ์สูงล้ำกว่าห้าสิบคนนั้นมาก


 


 


ทั้งหมดเข้าล้อมอย่างรวดเร็ว


 


 


เมื่อมียอดฝีมือสิบคนเข้าร่วม การมาของจงรั่วปิงก็ไม่ได้ช่วยให้ได้เปรียบมากขึ้นเลย


 


 


ทว่าในเวลานี้เอง คนชุดดำผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาชิงเกออย่างลนลาน เมื่อถึงข้างกายก็เอ่ยปากว่า “ลูกพี่ไม่ดีแล้ว เยี่ยเม่ยออกจากเมืองมาแล้ว”


 


 


ชิงเกอมองสถานการณ์ตรงหน้า คิดจะสังหารสตรีสองคนนี้ในเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปไม่ได้ ทันทีที่เยี่ยเม่ยมาถึง สถานการณ์ก็จะกลับตาลปัตร


 


 


เขาตัดสินใจเฉียบขาด มองคนทั้งหมด “ถอย”


 


 


คนชุดดำได้รับคำสั่งก็ล่าถอยไป


 


 


ในเวลาเดียวกัน ชิงเกอมองสตรีทั้งสองนาง “วันนี้ถือว่าปล่อยพวกเจ้าไปก่อน ครั้งหน้าพวกเจ้าไม่โชคดีแบบนี้แน่”


 


 


 “แน่จริงเจ้าก็อย่าหนี มาตัดสินแพ้ชนะกับข้าก่อน” จงรั่วปิงไม่ยอมถอย


 


 


ถึงแม้ในยามนี้พวกนางไม่ได้เปรียบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พื้นฐานของนางก็จะปรากฏข้อได้เปรียบ สะกดคนพวกนี้เอาไว้ได้


 


 


พวกนางไม่แน่ว่าจะแพ้ ดังนั้นเห็นชิงเกอโอหัง นางก็ยิ่งไม่ยินยอม


 


 


 “ยังมีโอกาสหน้าอีก”


 


 


เมื่อเอ่ยจบชิงเกอใช้วิชาตัวเบาล่าถอยออกไปสิบกว่าจ้าง คนชุดดำทั้งหมดติดตามไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็หายไปในความมืด


 


 


เดิมจงรั่วปิงคิดไล่ตามไป ทว่าซินเยว่เยี่ยนรั้งนางเอาไว้ “อย่าไปเลย สถานการณ์ที่ชายแดนไม่สู้ดีนัก ทุกคนต้องการกำจัดจิ่วหุน หากพวกเขาลงมือ เยี่ยเม่ยคนเดียวจะเสียเปรียบได้ เรื่องสำคัญที่สุดของพวกเราในยามนี้คือไปช่วยเสริมทัพให้เยี่ยเม่ย”


 


 


 “อืม” จงรั่วปิงพยักหน้า


 


 


เมื่อเห็นบาดแผลบนบ่าซินเยว่เยี่ยน ก็ล้วงยาออกจากชายเสื้อทำแผลให้สหาย


 


 


ซินเยว่เยี่ยนแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้ากลับไปถอนหมั้นที่เมืองหลวงไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่”


 


 


 “ถอนหมั้นแล้ว” ระหว่างเอ่ย จงรั่วปิงก็ช่วยรัดผ้าพันแผล


 


 


จากนั้นปรายตามองซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง “ท่านพ่อรู้เรื่องที่ข้าประมือกับเยี่ยเม่ย ทั้งรู้ด้วยว่านางละเว้นชีวิตข้า ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้ข้าเก็บข้าวของ หลังจากถอนหมั้นวันที่สองก็โยนข้าออกจากบ้าน บอกว่าจากการกระทำของเยี่ยเม่ย สมควรคบหาเป็นสหาย ให้ข้ารีบมาช่วยนาง”


 


 


พูดถึงบิดา จงรั่วปิงก็จนปัญญา


 


 


ซินเยว่เยี่ยนอยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก เอ่ยปากว่า “อย่างนั้นพวกเราไปเถอะ”


 


 


 “ดี”


 


 


เมื่อพวกนางเอ่ยจบ ก็เห็นเยี่ยเม่ยวิ่งมาไกลๆ ยามเห็นว่าคนทั้งสองปลอดภัยไร้เรื่องราว เยี่ยเม่ยก็คลายใจลง ไม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอีก รีบหมุนกายกลับ “กลับเมืองเถอะ คนพวกนั้นท่าทางดุดัน เกรงว่าซือหม่าหรุ่ยคนเดียวจะรับมือไม่ไหว”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม