รักเล่ห์เร้นใจ 200-206

ตอนที่ 200 ข่าวเมาท์ในออฟฟิศ

 

เซียวจิ่งสือนั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน มองดูน้ำแกงไก่ตรงหน้า คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าทำไมอันเสี่ยวเซียวถึงมาเป็นเพื่อนสนิทกับหลินหว่านได้นะ


 


 


เธอมอบน้ำแกงไก่ตุ๋น บำรุงสุขภาพให้ฉันต่อหน้าหลินหว่าน ฉันสนิทกับเธอมากนักหรือไง


 


 


ตอนนี้หลินหว่านสูญเสียความทรงจำ จำเรื่องเมื่อก่อนของฉันไม่ได้ แต่อันเสี่ยวเซียวนี่กลับกล้าใช้จุดนี้มาแทรกกลางแผนฟื้นความสัมพันธ์ของฉันกับหลินหว่าน


 


 


คงไม่คิดจะทำงานที่นี่แล้วสินะ เซียวจิ่งสือคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจ


 


 


เซียวจิ่งสือยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงโทรหาหลินหว่านเรียกตัวเธอมาที่ห้องทำงานของเขา


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมาถึงห้องทำงาน เห็นเซียวจิ่งสือมีสีหน้าไม่ชอบใจนัก จึงถามว่า “ประธานเซียวคะ คุณเรียกฉันมามีธุระอะไรเหรอคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างโกรธๆ พูดเป็นเชิงต่อว่า “หลินหว่าน คุณเข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณหรือเปล่ากันแน่ ทำไมเมื่อวานผมเรียกคุณไปทานข้าว คุณยังต้องหาคนไปด้วยล่ะ เดิมทีผมอยากจะใช้เวลาอยู่กันตามลำพังสองคนบ้าง คุณจะได้นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนได้เร็วขึ้น ปรากฏว่าคุณกับพาเอาก้างขวางคอไปทั้งคนแบบนี้”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านยืนนิ่งไม่พูดจาก็พูดต่อไปว่า “อันเสี่ยวเซียวนี่ ผมดูก็รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่คนดีอะไรนัก คงคิดจะใช้คุณเพื่อบรรลุเป้าหมายอะไรสักอย่างล่ะซิ ผมตัดสินใจว่าจะไล่เธอออกไป”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าเซียวจิ่งสือกำลังโมโหขนาดนี้ ก็ลดเสียงเบาลง ตอบกลับเสียงอ่อนว่า “ฉันแค่เห็นว่าเธอเป็นเพื่อนก็เท่านั้นค่ะ จึงพาเธอไปทานข้าวด้วย ตอนนี้ฉันยังนึกเรื่องเมื่อก่อนไม่ออก ดังนั้นตอนนี้พวกเรายังไม่ใช่คู่รักกันนี่คะ”


 


 


เซียวจิ่งสือฟังคำพูดนี้แล้วยิ่งไม่ชอบใจหนักขึ้น พูดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีว่า “หลินหว่าน เมื่อไหร่คุณจะจำผมได้สักที เมื่อก่อนเราสองคนรักกันมากนะ เอาเถอะ ผมหวังว่าต่อไปคุณจะไม่เอาบุคคลที่สามเข้ามาในการนัดเดทของเราอีก”


 


 


“คุณกลับไปทำงานเถอะ” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำเขาแล้วก็ก้มหน้าคิดอะไรบางอย่าง ขณะกลับไปทำงานของตัวเองต่อไป


 


 


อันเสี่ยวเซียวกำลังงานยุ่ง ตอนที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียกเธอมาที่ห้องทำงาน แล้วพูดกับเธอว่า “อันเสี่ยวเซียว บริษัทได้พิจารณาแล้วว่าคุณไม่เหมาะที่จะอยู่กับเราต่อไป คุณถูกไล่ออกแล้ว”


 


 


อันเสี่ยวเซียวเบิ่งตาโตอย่างตกใจและหวาดกลัว พูดอย่างไม่เชื่อว่า “ทำไมถึงไล่ฉันออกคะ? ฉันทำผิดอะไรกัน?”


 


 


ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูดว่า “คุณทำผิดอะไร ตัวคุณย่อมรู้ดีแก่ใจที่สุด สรุปคือ ตามระเบียบของบริษัท ผมเห็นว่าคุณไม่เหมาะสมที่จะทำงานอยู่ในบริษัทต่อไป หวังว่าคุณจะเก็บข้าวของโดยเร็ว”


 


 


อันเสี่ยวเซียวเห็นท่าทางแบบนี้แล้ว เกิดอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เธอขวางทางผู้จัดการฝ่ายบุคคลไว้ พูดว่า “ผู้จัดการคะ คุณบอกฉันสิว่าฉันทำผิดอะไร ฉันจะแก้ไขปรับปรุงตัวค่ะ ฉันไม่อยากไปจากบริษัท คุณให้โอกาสฉันสักครั้งนะคะ”


 


 


ผู้จัดการฝ่ายบุคคลส่ายหน้าอย่างอับจน พูดว่า “นี่เป็นการพิจารณาตัดสินจากทางบริษัท ผมตัดสินเองไม่ได้หรอก หวังว่าต่อไปเธอจะมีงานที่ดีนะ”


 


 


พออันเสี่ยวเซียวรู้ว่าไม่มีทางแก้ไขแล้วก็ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างหมดแรง อีกนานกว่าจะลากสังขารกลับมาที่ออฟฟิศที่ทำงาน


 


 


อันเสี่ยวเซียวพอกลับถึงออฟฟิศ นึกไปนึกมาก็ยังคิดไม่ตก ตอนเช้าส่งน้ำแกงไก่ตุ๋นให้ประธานเซียว หรือว่าทำให้เขาโกรธ?


 


 


ผลตอบรับนี้มาอย่างกะทันหันจนอันเสี่ยวเซียวยอมรับไม่ลง เธอเริ่มคิดวางแผนในใจ เธอรู้ว่าประธานเซียวชอบอินเสี่ยวเสี่ยว ดูท่าว่าเขาคงจะฟังคำพูดของอินเสี่ยวเสี่ยวบ้าง ให้อินเสี่ยวเสี่ยวไปขอร้องประธานเซียวซะหน่อย บางทีเธออาจไม่ต้องถูกไล่ออกก็ได้


 


 


อันเสี่ยวเซียวมาหาอินเสี่ยวเสี่ยว พูดทั้งน้ำตานองหน้าว่า “เสี่ยวเสี่ยว พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันขนาดนี้ ตอนนี้ทางบริษัทจะไล่ฉันออก มีแค่เธอเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ เธอช่วยไปขอร้องท่านประธานเซียวให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลยนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจ พูดว่า “หา! กะทันหันขนาดนี้เชียว แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะตัดสินอะไรเลยนี่นา เรื่องนี้เป็นการตัดสินของทางบริษัททั้งหมด”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนสนิท แต่เธอกลับคิดจะใช้ฉันเป็นสะพานเรียกคะแนนนิยมกับเซียวจิ่งสือ เธอเป็นเพื่อนประสาอะไรกัน? ต่อให้ฉันช่วยเธอได้ ฉันก็ไม่อยากช่วยเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแบบเธอหรอก


 


 


อันเสี่ยวเซียวยังไม่หมดหวัง เธอดึงมืออินเสี่ยวเสี่ยวไว้ พูดว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ขอร้องล่ะ เธอช่วยฉันหน่อยนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอับจน พูดว่า “ขอโทษนะ ฉันช่วยเธอไม่ได้จริงๆ ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวกลับออฟฟิศของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ นึกในใจว่า ‘ฉันก็แค่ให้น้ำแกงไก่ชามเดียวเอง ถึงกับไล่ฉันออกเลยหรือไง ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้นะ? แล้วยังอินเสี่ยวเสี่ยวอีก ต่อหน้าก็บอกว่าเป็นเพื่อนกับฉัน แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังไม่ช่วยกันเลย อย่างนั้นเธอก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน’


 


 


ใบหน้าของอันเสี่ยวเซียวเผยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา แววตาฉายแววประสงค์ร้าย


 


 


ภายในออฟฟิศ คนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมโต๊ะที่นั่งของอันเสี่ยวเซียวไว้ อันเสี่ยวเซียวกระซิบว่า “พวกเธอรู้ไหมที่แท้อินเสี่ยวเสี่ยวก็เป็นแค่นังแพศยาคนหนึ่ง ตอนแรกฉันยังหลงเข้าใจว่าเธอบริสุทธิ์สะอาดขนาดไหน คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะใช้วิธีการชั้นต่ำมาอ่อยท่านประธานเซียวด้วย”


 


 


มีคนพูดเสริมว่า “ใช่เลย ฉันรู้อยู่แล้วว่าอินเสี่ยวเสี่ยวเป็นคนอย่างไร เธอมันแค่ดูบริสุทธิ์สดใสแต่ภายนอก ความจริงข้างในเป็นผู้หญิงร่านเหวี่ยงแหจับผู้ชายไปทั่ว”


 


 


คนส่วนหนึ่งที่ไม่รู้ความจริงเบิกตากว้าง ด้วยท่าทางว่าที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดต่อไปว่า “เมื่อวานฉันเห็นเธอยั่วยวนท่านประธานเซียวของเราต่อหน้าต่อตาเลย ใช้ทุกวิธีตกเบ็ดท่านประธานเซียวของพวกเราล่ะ”


 


 


มีคนพูดเสริมอีกว่า “เฮ้อ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันก็เห็นด้วยล่ะ หล่อนเป็นผู้หญิงแบบนี้นี่เอง”


 


 


อันเสี่ยวเซียวกรอกตาแล้วพูดอีกว่า “พวกเธอรู้ไหม ที่จริงเธอไม่ได้อ่อยแค่ท่านประธานเซียวล่ะ เธอยังเหยียบเรือสองแคมด้วย ทางหนึ่งทอดสะพานให้ท่านประธานของพวกเรา อีกทางก็ขลุกอยู่กับฮั่วเทียนอวี่”


 


 


ชั่วขณะนั้นภายในออฟฟิศก็มีแต่เสียงกระซิบกระซาบวิจารณ์กันกระหึ่ม…


 


 


ฮั่วเทียนอวี่เพิ่งเดินผ่านออฟฟิศของอันเสี่ยวเซียว ได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันก็มองมาอย่างสนใจ เห็นผู้คนล้อมวงกันอยู่ ฮั่วเทียนอวี่จึงเข้าไปฟังด้วย ที่แท้ก็กำลังเมาท์อินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


ฮั่วเทียนอวี่โกรธเป็นไฟ พุ่งเข้าออฟฟิศมาพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “พวกคุณนี่มันว่างจัดนะ เวลางานไม่ทำงาน มานั่งเมาท์กันอยู่นี่ อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นผู้หญิงน่ารักและใจดีขนาดนี้ พวกคุณยังให้ร้ายเธอถึงขนาดนี้ พวกคุณไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือไง พวกคุณกำลังสร้างข่าวลือรู้ตัวบ้างไหม”


 


 


พวกขาเมาท์ในออฟฟิศได้ฟังก็ไม่ชอบใจ โต้ขึ้นมาทันควัน “ฮั่วเทียนอวี่ คุณเข้าใจว่าคุณเป็นใครกันหา ตัวเองถูกปิดหูปิดตายังไม่รู้ตัวอีก คุณมันก็หน้าโง่ ไม่รู้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวคบเผื่อเลือก ตอนนี้เธออยู่กับประธานเซียวของพวกเรามีกินมีใช้สบายไปทั้งชาติ ถึงเวลานั้นเธอก็จะถีบหัวส่งคุณน่ะสิ”


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ถลึงตาจนแทบลุกเป็นไฟ เส้นเลือดคอเบ่งพอง แต่พอมาคิดดู จะทะเลาะกับคนพวกนี้ไปทำไมกันนะ?


 


 


ผู้ชายอย่างฮั่วเทียนอวี่จะมานั่งทะเลาะกับพวกผู้หญิงนี่ทำไมกัน ทะเลาะกันไปก็รังแต่จะทำให้เขาอารมณ์เสียเปล่าๆ ฮั่วเทียนอวี่โกรธจัด สะบัดหน้าเดินหนีไปโดยไม่สนใจพวกผู้หญิงเหล่านี้อีก 

 

 


ตอนที่ 201 ลมปาก

 

ภายในห้องน้ำของบริษัท อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ก็ได้ยินเสียงของอันเสี่ยวเซียว กำลังเมาท์อยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวได้ยินอันเสี่ยวเซียวพูดว่า “ฉันว่าอินเสี่ยวเสี่ยวนี่น่าสงสารจริงๆ เลย จนป่านนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เซียวจิ่งสือน่ะ ที่แท้แล้วไม่ได้ชอบเธอหรอก แค่เห็นเธอเป็นตัวแทนเท่านั้นเอง”


 


 


ผู้หญิงอีกคนพูดอย่างประหลาดใจว่า “คนที่เธอพูดถึงคืออินเสี่ยวเสี่ยวที่เพิ่งเข้าบริษัทเรามานะเหรอ? เธอทำไมเหรอ? ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดว่า “ใช่แล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวของบริษัทเรานี่ล่ะ ก่อนเธอจะมาทำงานที่นี่ บริษัทเราก็มีคนที่หน้าตาเหมือนเธอเด๊ะๆ เลย ตอนนั้นท่านประธานเซียวรักชอบผู้หญิงคนนี้มาก พวกเขาสองคนขลุกอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ผู้หญิงอื่นที่แอบชอบท่านประธานอยู่เห็นแล้วพากันอิจฉาใหญ่ ต่อมาผู้หญิงคนนั้นถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิตไปน่ะ”


 


 


ผู้หญิงนั้นได้ฟังก็อุทานอย่างแปลกใจว่า “โห น่ากลัวจัง ดูท่าว่าท่านประธานเซียวคงไม่ใช่คนที่พวกเราคนธรรมดาจะชอบได้ อันตรายเกินไปแล้ว มิน่าเล่าถึงมีคนวิจารณ์อินเสี่ยวเสี่ยวลับหลังอยู่เรื่อย ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่รู้ความจริง ช่างน่าสงสารเหลือเกินนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ในห้องน้ำ พอฟังสองสาวพูดจบ ก็ทำได้แค่ปิดปากตัวเองเอาไว้แน่นชนิดที่ไม่ยอมให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาเด็ดขาด


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกใจเย็นวาบไปครึ่งตัวอย่างตื่นตกใจ เหมือนกระโดดลงทะเลน้ำแข็งขั้วโลกในฤดูหนาวอย่างนั้นนั้น ตลอดทั้งร่างกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว


 


 


ตอนนั้นเอง อันเสี่ยวเซียวกับพวกออกมาจากห้องน้ำ สบตาส่งยิ้มซึ่งมีความหมายเป็นที่รู้กันออกมา


 


 


หลังเลิกงาน อินเสี่ยวเสี่ยวเดินกลับบ้านอย่างท้อแท้ ในหัวมีแต่คำพูดที่เป็นบทสนทนาในห้องน้ำวันนี้ พอเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นอันเสี่ยวเซียวที่เดินเข้ามาหา


 


 


อันเสี่ยวเซียวเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวก็เดินเข้ามาทักทายว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว บังเอิญจังนะ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเธอที่นี่”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “ใช่ บังเอิญจังนะ ทำไมเธอมาอยู่นี่ได้ล่ะ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว เมื่อก่อนเราเป็นเพื่อนกัน ตอนนี้ฉันอาจต้องไปจากบริษัทแล้ว ให้ฉันเลี้ยงข้าวเธอสักมื้อเป็นการอำลาเถอะนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ‘ยังมีอะไรจะคุยกันอีกนะ? แต่ในเมื่อเขาชวนแล้ว ก็ไปซะหน่อยก็แล้วกัน อย่างไรแล้วก็เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน’ เธอลังเลเล็กน้อยแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ พวกเราหาที่นั่งค่อยคุยกันเถอะ”


 


 


ภายในร้านอาหารที่ดูดีบรรยากาศสบายๆ แห่งหนึ่ง ทั้งสองสั่งอาหารที่ตัวเองชอบแล้ว ต่างก็พากันนั่งเงียบ บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมาบ้าง


 


 


อันเสี่ยวเซียวเงยหน้าขึ้นก็เห็นอินเสี่ยวเสี่ยวที่กำลังทานอาหาร พูดว่า “เสี่ยวเสี่ยว ฉันจะไปแล้วนะ แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ฉันเห็นว่ามีคำพูดบางอย่างควรจะบอกเธอ อันที่จริงเธออาจยังไม่เข้าใจบริษัทของเรานัก สภาพแก่งแย่งชิงดีกันในบริษัทนี้ค่อนข้างหนักหนาเอาการอยู่นะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งฟังอยู่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แค่รับคำขึ้นมาพอเป็นพิธี


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ‘ฉันไม่เชื่อเธออีกแล้ว เรื่องที่เธอทำก่อนหน้านี้มันมักใหญ่เกินตัว ฉันจะไม่เชื่อเธอง่ายๆ อีก ตอนนี้ยังมาพูดว่าบริษัทอย่างนั้นอย่างนี้อีก’ อินเสี่ยวเสี่ยวออกจะดูแคลนวิธีการแบบนี้ของเธออยู่บ้าง


 


 


อันเสี่ยวเซียวเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นัก จึงตัดสินใจพูดว่า “วันนี้ฉันอยากบอกเรื่องสำคัญกับเธอเรื่องหนึ่ง”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตอบเสียงเรียบ “ได้เลย เธอพูดสิ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดว่า “อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งฉันปิดเธอมาตลอด เพราะกลัวว่าเธอจะเสียใจ แต่ฉันรู้สึกว่าตอนนี้จำเป็นต้องพูดกับเธอแล้ว ท่านประธานเซียวของเราเป็นคนเจ้าชู้มากนะ มีแฟนสาวมาไม่รู้กี่คนแล้ว ฉันอยากให้เธออยู่ห่างจากเขาหน่อย”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวแอบค้อนอยู่ในใจ อันเสี่ยวเซียว เธอนี่ช่างเป็นหัวเผือกขนานแท้เลยนะ ฉันกับเซียวจิ่งสือตอนนี้ยังไม่มีอะไรกันเลย ต่อให้มีอะไรก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอเลยนี่ เธอไม่เห็นจะต้องพูดอะไรพวกนี้เลย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวก้มลงทานอาหารต่อไป ไม่สนใจคำพูดของอันเสี่ยวเซียว


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดต่อไปว่า “เธอรู้ไหมบริษัทเราก่อนหน้านี้มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อหลินหว่าน เธอเป็นแฟนของเซียวจิ่งสือ ต่อมาถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิต เซียวจิ่งสือจึงเห็นเธอเป็นหลินหว่านอย่างไรล่ะ”


 


 


พอได้ยินชื่อหลินหว่าน อินเสี่ยวเสี่ยวก็เริ่มสงสัยบ้างแล้ว ทุกครั้งที่เซียวจิ่งสือเจอเธอ จะเรียกเธอว่าหลินหว่าน หรือว่าเรื่องนี้เป็นความจริง ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า เมื่อก่อนเธอก็เคยได้ยินพวกเพื่อนร่วมงานพูดถึงหลินหว่านมาบ้าง หรือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นข่าวลือ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวแกล้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจคำพูดของอันเสี่ยวเซียว พูดเสียงเรียบว่า “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฉันกับเซียวจิ่งสือก็ไม่มีอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้ชอบเขา ดังนั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลใจแทนฉันหรอก ขอบคุณนะ” พูดจบก็ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


อันเสี่ยวเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกัน เรื่องแบบนี้ฉันก็ควรจะพูดให้เธอฟัง”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวยกแก้วไวน์แดงขึ้น ยิ้มกับอันเสี่ยวเซียวว่า “ขอบคุณนะ ก่อนเธอจะไปยังอุตส่าห์มาบอกเล่าความในใจกับฉัน ขอบใจมากนะ ฉันก็ขอให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยนะ”


 


 


ออกจากร้านอาหาร ทั้งสองบอกลากันกำลังจะแยกย้ายกลับบ้าน จู่ๆ อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดขึ้น “อันเสี่ยวเซียว เธอรอเดี๋ยวนะ ฉันอยากถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย ผู้หญิงคนที่ถูกทำร้ายเสียชีวิตก่อนหน้านี้ หน้าตาเหมือนฉันมากเหรอ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวผงกศีรษะพูดว่า “เหมือนเลยล่ะ ผู้หญิงที่ชื่อหลินหว่านนั่นหน้าเหมือนเธอเป๊ะเลย เซียวจิ่งสือแค่เห็นว่าเธอหน้าเหมือนกับผู้หญิงคนนั้นมาก เธอจึงเป็นแค่ตัวแทนของผู้หญิงที่ตายไปแล้วเท่านั้น เธอน่ะทางที่ดีก็อยู่ห่างจากเซียวจิ่งสือหน่อย เซียวจิ่งสือไม่ได้ชอบเธอจริงๆ หรอก”


 


 


พอเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวมีท่าทีหวั่นไหว เริ่มสงสัยว่าที่เธอพูดเป็นจริง อันเสี่ยวเซียวก็พูดต่อไปว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ที่ฉันพูดนี่ก็เพราะหวังดีกับเธอหรอกนะ ฉันไม่อยากให้เธอถูกหลอก ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นของเหลือเดนที่เขาเขี่ยทิ้งไปเปล่าๆ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังจบก็รู้สึกเจ็บปวดใจมาก สีหน้าบูดบึ้งไม่ค่อยน่าดูนัก แต่ยังพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา พูดว่า “อันเสี่ยวเซียว ขอบคุณนะ ทั้งบริษัทมีแต่เธอเท่านั้นที่พูดเรื่องพวกนี้กับฉัน”


 


 


อันเสี่ยวเซียวตบบ่าปลอบอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ได้รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเซียวจิ่งสือ ได้รู้ความจริงสักที เอาล่ะ ฉันก็พูดได้แค่นี้ล่ะ หวังว่าเธอจะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเซียวจิ่งสือ เขาก็แค่หนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นตัวสำรอง อย่าโง่ยอมทำเพื่อเขาแบบนั้น เอาล่ะ ฉันไปก่อนนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองตามหลังอันเสี่ยวเซียว ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ในหัวมีแต่คำพูดของอันเสี่ยวเซียวเมื่อครู่ รู้สึกเศร้าเสียใจเป็นที่สุด คิดไม่ถึงว่าเธอเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น นึกดูแล้วช่างน่าเศร้าซะเหลือเกิน


 


 


บนถนนที่รถติดเรียงราย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมา นาทีนี้อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าโลกนี้ตัวเองช่างโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นที่สุด 

 

 


ตอนที่ 202 สวมรอยแทน

 

อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของอันเสี่ยวเซียวแล้วรู้สึกผิดหวังเสียใจมาก


 


 


หลังจากได้มีการติดต่อคบหากันในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอดูเหมือนจะมีความรู้สึกลางเลือนว่าชอบเซียวจิ่งสือ อินเสี่ยวเสี่ยวไม่แน่ใจ แต่เธอรู้สึกได้ว่าตอนที่เห็นอันเสี่ยวเซียวเข้ามาตีสนิทกับเซียวจิ่งสือนั้น เธอรู้สึกหึงหวงขึ้นมา ตอนที่เห็นเซียวจิ่งสือมาปรากฏตัวตรงหน้า เธอรู้สึกดีใจ เมื่อเซียวจิ่งสือไม่อยู่ข้างกายเธอ เธอรู้สึกคิดถึง


 


 


เมื่อก่อนตอนอยู่ในบริษัท อินเสี่ยวเสี่ยวเคยได้ยินพนักงานบางคนแอบเมาท์กัน เรื่องที่เธอเป็นตัวสำรองแต่ว่าตอนนั้นเธอแค่ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไปโดยไม่สนใจเลย


 


 


ตอนนี้มานึกดูแล้ว ข่าวลือพวกนั้นล้วนเป็นความจริง เธอเป็นแค่ตัวสำรองของผู้หญิงอีกคน…


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกสับสนอย่างมาก เธอชอบเซียวจิ่งสือ ย่อมอยากจะให้เซียวจิ่งสือชอบเธอเช่นกัน แต่เธออยากให้เซียวจิ่งสือชอบเธอ เป็นความชอบเพียงหนึ่งเดียวชนิดที่ไม่อาจทดแทนกันได้ และไม่ใช่ความชอบในแบบที่เห็นเธอเป็นตัวสำรอง


 


 


สนามบินที่ห่างจากบริษัทของเซียวจิ่งสือไม่ไกลนัก เครื่องบินลำหนึ่งลงจอดช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดทันสมัย ใส่แว่นกันแดดสีดำลงมาจากเครื่องบิน เธอลากกระเป๋าสัมภาระเดินอยู่ในสนามบิน


 


 


ด้านนอกสนามบิน มีรถยนต์จอดอยู่คันหนึ่ง ดูเหมือนกำลังรอใครบางคน ผู้หญิงคนนั้นเดินมาถึงรถคันนั้น เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปนั่ง


 


 


“คุณหนูครับ ระหว่างที่คุณหนูไปต่างประเทศ คุณผู้หญิงเป็นห่วงคุณมาก พอทราบว่าวันนี้คุณหนูจะกลับมา เธอก็สั่งให้เตรียมอาหารไว้โต๊ะใหญ่ พวกเราจะกลับบ้านใหญ่กันตอนนี้หรือว่า…” คนขับรถถามขึ้นหลังจากอี้อวิ๋นฉังขึ้นรถ


 


 


“ตรงกลับอะพาร์ตเมนต์เลย” อี้อวิ๋นฉังขยับแว่นดำ พูดขัดขึ้นอย่างรำคาญ


 


 


“ครับ คุณหนู” คนขับรถฟังคำของอี้อวิ๋นฉัง ออกรถตรงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของอี้อวิ๋นฉังอย่างว่าง่าย


 


 


เมื่อครึ่งเดือนก่อน


 


 


เมื่อครึ่งเดือนก่อน อี้อวิ๋นฉังกลับประเทศ เธอไปต่างประเทศระยะหนึ่งเพื่อเรียนต่อด้านการแสดง หลังจบหลักสูตร เธอก็กลับประเทศ เป้าหมายคือเอาชนะใจเซียวจิ่งสือให้ได้


 


 


หลังกลับมาแล้ว ที่สนามบินนี้เช่นกัน คนขับรถคนเดียวกันนี้มารับเธอ อี้อวิ๋นฉังขึ้นนั่งบนรถ เล่นมือถือ ติดตามข่าวบนเวยปั๋ว ระยะนี้เธอเรียนการแสดงอยู่ต่างประเทศ จึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ดังนั้น เมื่อเธอได้เห็นข่าวการตายของอันซิงบนอินเทอร์เน็ตเข้าโดยไม่ตั้งใจจึงตกใจมาก


 


 


“อันซิงตายแล้วจริงเหรอนี่” อี้อวิ๋นฉังอุทานอย่างประหลาดใจ


 


 


“ใช่ครับ คุณหนู เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนครับ” คนขับพูดรับขึ้น


 


 


“จริงเหรอ? เธอตายยังไงน่ะ” อี้อวิ๋นฉังถาม


 


 


คนขับรู้ว่าอี้อวิ๋นฉังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอันซิง เขาจึงเรียบเรียงคำพูดแล้ว พูดว่า “ได้ยินมาว่าคุณหนูอันกับหลินหว่านทะเลาะแย่งชิงท่านประธานเซียว เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ตอนหลังไม่ทราบว่าอย่างไรกันแน่ พวกเธอทั้งสองคนพลาดตกลงไปในทะเลด้วยกันทั้งคู่”


 


 


“อะไรนะ” อี้อวิ๋นฉังรู้สึกเหลือเชื่อ นิ่งไปครู่หนึ่ง เธอเรียบเรียงเรื่องราวจากคำพูดของคนขับรถ แล้วถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “แกหมายความว่าหลินหว่านก็ตกลงไปในทะเลด้วยงั้นเหรอ”


 


 


“ครับผม” คนขับตอบ


 


 


“งั้นหลินหว่านเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเธอตายหรือเปล่า” อี้อวิ๋นฉังถามเสียงร้อนรน


 


 


คนขับส่ายหน้า ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ หลินหว่านหลังจากตกทะเลก็หายสาบสูญไป ได้ยินว่าท่านประธานเซียวระดมคนออกตามหาตัวเธอมากมาย แต่ยังไงก็หาไม่พบ ดังนั้นถึงตอนนี้จึงยังไม่มีข่าวของหลินหว่านเลยครับ”


 


 


อี้อวิ๋นฉังรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันไม่น่าเชื่อเอามากๆ จนกระทั่งเธอได้อ่านข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอจึงได้รู้ว่าเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ที่เธอไปเรียนต่อต่างประเทศนี้ อันซิงตกทะเลเสียชีวิต หลินหว่านหายสาบสูญ ส่วนเซียวจิ่งสือ เพราะเพื่อตามหาตัวหลินหว่าน เรียกได้ว่าเจ็บปวดรวดร้าวใจจากการสูญเสีย ทุ่มเทเรี่ยวแรงกายใจจนทรุดโทรมลง


 


 


พอรู้ข่าวนี้ อี้อวิ๋นฉังก็นึกแผนหนึ่งขึ้นมาได้ หลินหว่านตกทะเลไป ถ้าเป็นไปตามคาด เธอก็น่าจะจมน้ำตายไปแล้วเหมือนกับอันซิง แต่เซียวจิ่งสือยังตามหาตัวหลินหว่าน อย่างนั้น ทำไมเธอไม่เข้าไปแทนที่ซะเลยล่ะ


 


 


ดังนั้นเอง เธอจึงไปต่างประเทศอีกครั้ง คราวนี้ เธอไม่ได้ไปเรียนการแสดง แต่เมื่อเธอกลับมา จะสร้างเซอร์ไพรส์ขนาดใหญ่ให้เซียวจิ่งสือ


 


 


อี้อวิ๋นฉังนั่งอยู่บนรถ นึกถึงสีหน้าท่าทางของเซียวจิ่งสือตอนที่ได้เห็นเธอแล้ว หัวใจก็อดเต้นแรงขึ้นมาอย่างตื่นเต้นไม่ได้


 


 


หลังกลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์ คนขับก็จากไป อี้อวิ๋นฉังมาที่หน้ากระจก ถอดแว่นดำบนใบหน้าออก มองดูใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้านี้ เธอเหยียดยิ้มเย็นชา คนในกระจกก็เหยียดยิ้มเย็นชาเช่นกัน


 


 


อี้อวิ๋นฉังพอใจมาก นับแต่นี้ไป เธอก็คือหลินหว่าน


 


 


คืนนั้น อี้อวิ๋นฉังตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เธอรอคอยอยู่ทุกเวลานาทีที่เซียวจิ่งสือจะได้เห็นเธอ และรักเธอเหมือนกับเธอเป็นหลินหว่าน


 


 


วันรุ่งขึ้น อี้อวิ๋นฉังมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของบริษัทของเซียวจิ่งสือ


 


 


“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการพบใครคะ” พนักงานต้อนรับถามหญิงสาวที่สวมแว่นดำตรงหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มตามมารยาท


 


 


“ฉันมาหาจิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังถอดแว่นออก พูดกับพนักงานต้อนรับ


 


 


“ค…คุณ…คุณหลิน?” พนักงานต้อนรับพอเห็นอี้อวิ๋นฉังที่ถอดแว่นดำออกก็มีอาการเหมือนเห็นผี หลุดปากร้องเรียกเธออย่างตกใจ


 


 


จะว่าไปแล้ว หลินหว่านตกทะเลหายตัวไปก็เดือนกว่าแล้ว ตอนแรก เซียวจิ่งสือยังระดมคนออกตามหาตัวเธอทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เซียวจิ่งสือไม่ได้ส่งคนออกไปค้นหาตัวหลินหว่านแล้ว


 


 


ผ่านไปตั้งเดือนกว่าแล้ว โอกาสที่หลินหว่านจะยังมีชีวิตอยู่ดูจะเป็นไปไม่ได้แล้ว คนทั้งบริษัทพากันเข้าใจว่าท่านประธานเซียวยอมแพ้แล้ว และอยู่กับตัวสำรองนั่นแทน


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่า หลินหว่านจะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังมาที่บริษัท ตรงมาหาท่านประธานเซียวแบบนี้


 


 


“ตอนนี้จิ่งสือเขาอยู่บริษัทหรือเปล่าคะ” อี้อวิ๋นฉังถามอีกครั้ง


 


 


พนักงานต้อนรับตั้งสติได้แล้ว พูดว่า “คุณหลินคะ รอสักครู่ค่ะ” จากนั้นเธอก็รีบต่อโทรศัพท์สายในเข้าห้องทำงานของท่านประธาน บอกว่าหลินหว่านมาหา ต้องการพบท่านประธานเซียว


 


 


“ขอโทษนะคะ คุณหลิน ตอนนี้ท่านประธานเซียวไม่อยู่ที่บริษัท แต่ท่านกำลังกลับมาแล้วค่ะ คุณไปรอท่านประธานเซียวที่ห้องทำงานของท่านก็ได้ค่ะ”


 


 


พนักงานต้อนรับวางสายแล้วยังไม่อยากเชื่อสายตาที่เธอเห็นทั้งหมด แต่เธอยังคงพูดกับอี้อวิ๋นฉังอย่างนอบน้อม ถึงอย่างไรก่อนที่หลินหว่านจะตกทะเลไป เธอเป็นคนโปรดของท่านประธานขนาดไหน ทุกคนในบริษัทต่างก็รู้เห็นกันมาก่อน


 


 


“ขอบคุณค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูดกับพนักงานต้อนรับ จากนั้นมาที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ


 


 


ไม่นานนัก อี้อวิ๋นฉังก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอหันไปมอง เซียวจิ่งสือผลักประตูเปิดเข้ามา ยืนอยู่ที่หน้าประตู สายตามองตรงมาที่เธอ 

 

 


ตอนที่ 203 คุณเป็นใคร

 

เรื่องที่อินเสี่ยวเสี่ยวคือหลินหว่าน มีเพียงเซียวจิ่งสือกับเลขาของเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ คนอื่นๆ ในบริษัทแค่รู้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวกับหลินหว่านหน้าตาเหมือนกันเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเธอเป็นคนเดียวกัน


 


 


ดังนั้นเมื่อเขากลับถึงบริษัท พอได้ฟังคนของบริษัทบอกว่าหลินหว่านกลับมาแล้วนั้น เขานิ่งอึ้งไปครู่จากนั้นไม่มีทีท่าอะไร เพราะเขาไม่เชื่อเลยต่างหาก อินเสี่ยวเสี่ยวก็คือหลินหว่าน ในโลกนี้ จะมีหลินหว่านสองคนได้อย่างไรกัน


 


 


แต่ว่าเมื่อเขาเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เห็นว่าคนคนนั้นหน้าเหมือนหลินหว่านราวกับเป็นคนเดียวกัน เขาก็ตกตะลึงอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง หรือว่าอินเสี่ยวเสี่ยวฟื้นความทรงจำแล้ว มาเซอร์ไพรส์เขาหรือไงกัน


 


 


“หว่านหว่าน?” พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ร้องเรียก ‘หลินหว่าน’ อย่างตื่นเต้นดีใจ


 


 


“จิ่งสือ ฉันกลับมาแล้วค่ะ!” อี้อวิ๋นฉังพอเห็นเซียวจิ่งสือที่หน้าประตูห้องทำงาน ก็เดินก้าวเข้ามาตรงหน้าเขา พูดพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวล


 


 


อี้อวิ๋นฉังตั้งใจเลียนแบบท่าทางของหลินหว่าน แม้ว่าเธอกับหลินหว่านจะพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ในความทรงจำของเธอแล้ว หลินหว่านน่าจะเป็นผู้หญิงที่ดูนุ่มนิ่มอ่อนแอ พูดจานุ่มนวลอ่อนโยนประเภทนั้น


 


 


ดังนั้น หลินหว่านคงอาศัยบุคลิกท่าทางแบบนี้ ตกเบ็ดเซียวจิ่งสือมาได้ล่ะมั้ง


 


 


คิดแบบนี้แล้ว อี้อวิ๋นฉังก็ยิ่งทำท่าทางออดอ้อนต้องการคนดูแล อิงร่างเข้าหาเซียวจิ่งสือ พร้อมกับจับแขนเขาไว้ อิงศีรษะกับอกของเซียวจิ่งสือ พูดว่า “จิ่งสือ คุณรู้ไหมคะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันคิดถึงคุณมากเลยนะคะ”


 


 


เธอไม่ใช่หลินหว่าน! พริบตาที่เธออิงร่างเข้ามาเซียวจิ่งสือก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คว้ามือเธอดึงออกจากแขนเขา


 


 


อี้อวิ๋นฉังมองเขาอย่างตกตะลึง ใบหน้านี้ที่อยู่ตรงหน้าดูไปแล้วบอกได้เลยว่าแทบจะเหมือนกับหลินหว่านทุกประการ แต่เซียวจิ่งสือรู้ว่าเธอไม่ใช่หลินหว่านและยิ่งไม่ใช่อินเสี่ยวเสี่ยว เธอแค่มีใบหน้าที่เหมือนกับหลินหว่านเท่านั้น


 


 


ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะถูกเธอหลอกเอาได้ เพราะท่าทางของเธอกับหลินหว่านเหมือนกันมาก


 


 


แต่เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านอยู่ด้วยกันมานาน เขาแทบจะรู้ตัวทันทีเลยว่าเธอกับหลินหว่านต่างกัน เพราะปกติหลินหว่านจะไม่ใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเขาเด็ดขาด


 


 


เซียวจิ่งสือล็อคประตูห้องแล้วก้าวเข้าหาหญิงสาวตรงหน้าทีละก้าว ต้อนเธอจนติดกำแพง แล้วถามเธอด้วยสายตาเย็นเฉียบ “คุณเป็นใคร?”


 


 


“ฉันคือหลินหว่านไงคะ จิ่งสือ คุณเป็นอะไรไป คุณแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉัน เพราะไม่ต้องการฉันแล้วใช่ไหมคะ” อี้อวิ๋นฉันเห็นแบบนี้แล้วขมวดคิ้ว พูดโดยทำท่ากระเง้ากระงอดอย่างน่าสงสาร


 


 


พอเห็นเช่นนี้ เซียวจิ่งสือก็แน่ใจได้เลยว่าเธอไม่ใช่หลินหว่าน เขาถามอีกว่า “คุณคือหลินหว่านจริงเหรอ”


 


 


“แน่นอนสิคะ จิ่งสือ คุณสงสัยฉันด้วยหรือไงคะ” อี้อวิ๋นฉังถามพลางสบสายตาเซียวจิ่งสือตรงๆ


 


 


อี้อวิ๋นฉังมั่นใจอย่างมาก เธอเรียนเทคนิคการแสดงจากต่างประเทศ ตอนทำศัลยกรรมใบหน้าก็สืบค้นทำความเข้าใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของหลินหว่านอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเธอจึงไม่วิตกกังวลเลยกับการเลียนแบบท่าทางของหลินหว่าน


 


 


แต่เธอไม่รู้ว่า ทุกคนต่างก็มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอยู่ ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะลอกเลียนบุคลิกท่าทางของอีกคนได้เหมือนแค่ไหน เธอก็ยังเป็นตัวเธออยู่นั่นเอง ไม่ใช่คนอื่นไปได้ และในระหว่างการเลียนแบบนั้น ก็มักจะมีพิรุธเกิดขึ้นได้ พิรุธชนิดนี้ เมื่อมีคนที่รู้จักเข้าใจคนคนนั้นเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะยิ่งพบพิรุธได้โดยง่าย


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูผู้หญิงตรงหน้า ต่อให้เธอมีใบหน้าเหมือนกับหลินหว่านเป็นพิมพ์เดียวกัน แต่เขากลับยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกหน้า คนตรงหน้านี้นอกจากหน้าตาเหมือนหลินหว่านแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกับหลินหว่านเลย เพราะในร่างกายของเธอไม่ได้มีจิตวิญญาณของหลินหว่าน


 


 


แต่เซียวจิ่งสือกลับแปลกใจมาก ผู้หญิงตรงหน้านี้เป็นใครกันแน่ ทำไมเธอต้องปลอมตัวเป็นหลินหว่าน เธอเข้าหาเขาเพราะมีวัตถุประสงค์อะไรงั้นเหรอ


 


 


“ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่รู้สึกเหลือเชื่อน่ะ นึกไม่ถึงว่าคุณจะยังรอดชีวิตกลับมาได้อีก” เซียวจิ่งสือนิ่งไปครู่ก่อนจะพูดออกมา


 


 


เขาตัดสินใจว่าจะยังไม่ฉีกหน้ากากเธอชั่วคราว ดูว่าที่เธอแอบอ้างเป็นหลินหว่าน เพราะต้องการอะไรแน่


 


 


“จิ่งสือคะ คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน คุณไม่อยากให้ฉันกลับมาเหรอคะ” อี้อวิ๋นฉังฟังแล้วถามโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง


 


 


“เปล่านะ ผมแค่อยากรู้น่ะ คุณตกลงไปในทะเลแล้วกลับมาได้อย่างไรกันนะ” เซียวจิ่งสือคล้อยตามเธอแล้วตะล่อมถามต่อ


 


 


“ฉันตกลงไปในทะเลแล้ว พอดีมีชาวประมงที่ออกมาจับปลาช่วยไว้ค่ะ แต่พอฟื้นขึ้นมาพบว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บ ข้าวของทุกอย่างจมหายไปในทะเลหมด จึงติดต่อคุณไม่ได้แต่ยังดีนะคะ พอฉันหายดีจากอาการบาดเจ็บแล้วก็หาวิธีกลับมานี่ค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูดด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติที่สุด


 


 


อันที่จริง เมื่อคืนเธอซ้อมฉากที่เธอจะพบกับเซียวจิ่งสือไว้ก่อนแล้ว และเตรียมคำตอบสำหรับปัญหาที่เซียวจิ่งสืออาจถามเธอไว้หมดแล้วด้วย ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่มีทีท่าว่าโกหกเลยแม้แต่น้อย


 


 


“คุณบาดเจ็บตรงไหนเหรอ สาหัสไหมครับ?” เซียวจิ่งสือได้ฟังก็ถามอีกว่า “ให้ผมเรียกหมอมาตรวจดูไหมครับ”


 


 


อี้อวิ๋นฉังมีบาดแผลที่ไหนกัน เธอใจหายวาบรีบพูดเสียงปกติว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ จิ่งสือ นั่นมันก็ผ่านไปแล้ว บาดแผลของฉันก็หายดีแล้ว ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีกค่ะ”


 


 


ดวงตาของเซียวจิ่งสือเป็นสีเข้มขึ้นวูบ แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


อี้อวิ๋นฉังรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จิ่งสือคะ ฉันกลับมาเพราะอยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ เป็นอย่างไรคะ คุณดีใจหรือเปล่า”


 


 


“ดีใจครับ” เซียวจิ่งสือตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นพูดต่อว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ผมยังต้องจัดการกับงานเอกสารอีก ผมจะให้คนขับรถส่งคุณกลับบ้านก่อนนะ”


 


 


“ไม่นะ จิ่งสือ เราอุตส่าห์ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกแล้วทั้งที ฉันไม่อยากไปจากคุณค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูด “ฉันอยากจะอยู่ข้างๆ คุณนะคะ จิ่งสือ”


 


 


“ตามใจคุณ” เซียวจิ่งสือพูดจบก็กลับไปจัดการกับงานบนโต๊ะ


 


 


อี้อวิ๋นฉังถือว่าเซียวจิ่งสือยอมรับคำขอร้องของเธอ จึงอยู่รอเซียวจิ่งสือที่ห้องทำงานตลอดบ่าย และยังชงกาแฟให้เขาเป็นครั้งคราวอีกด้วย


 


 


แต่เซียวจิ่งสือแค่มองดูกาแฟถ้วยนั้นด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้ว่าเธอแอบอ้างเป็นหลินหว่านด้วยจุดประสงค์อะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดื่มกาแฟที่เธอชงแม้แต่คำเดียว


 


 


เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ทุกคนในบริษัทก็รู้ว่าหลินหว่านกลับมาแล้ว พวกเขาเริ่มพากันซุบซิบเรื่องนี้ ด้วยไม่มีใครคิดว่าหลินหว่านจะสามารถกลับมาได้อีก และยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลินหว่านพอกลับมาก็อยู่กับท่านประธานเซียวในห้องทำงานตลอดบ่าย ดูเหมือนว่าจะเป็นที่โปรดปรานยิ่งกว่าเดิมซะอีก


 


 


ตอนนั้นเอง พวกเขาก็นึกถึงอินเสี่ยวเสี่ยวขึ้นมาได้ พากันทอดถอนใจว่าอยงไรแล้ว ‘ตัวจริง’ ก็เป็น ‘ตัวจริง’ ส่วนตัวสำรองอย่างไรก็เป็นตัวสำรองอยู่ดี


 


 


นับแต่นั้นมา อี้อวิ๋นฉังก็มักจะปรากฏตัวที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ และยังทำอาหารฝีมือตัวเอง หรือไม่ก็ซื้อของทานเล่นหรือขนมร้านดังมาฝากเขาเป็นประจำ แต่เซียวจิ่งสือไม่เคยทานเลยแม้แต่คำเดียว


 


 


แต่อี้อวิ๋นฉังก็ไม่ยอมแพ้ ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นหลินหว่านแล้ว เธอไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะเอาชนะใจเซียวจิ่งสือไม่ได้


 


 


กลับกลายเป็นว่าคนทั้งบริษัทพากันตั้งตารอดู ‘หลินหว่าน’ กับอินเสี่ยวเสี่ยวพบหน้ากัน ถึงตอนนั้น คนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะได้มาเจอกัน ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้างสิ 

 

 


ตอนที่ 204 ตัวสำรอง

 

เรื่องที่ ‘หลินหว่าน’ กลับมาแล้วเล่าลือกันออกไป จนถึงหูของอินเสี่ยวเสี่ยวที่กำลังถ่ายละครซีรีย์อยู่พอดี


 


 


ตัวต้นเรื่องยังเป็นอันเสี่ยวเซียวที่โทรศัพท์ไปบอกอินเสี่ยวเสี่ยวเอง


 


 


ในสาย อันเสี่ยวเซียวบอกว่า ผู้หญิงที่เซียวจิ่งสือรักมากที่สุดกลับมาแล้ว เขารักตามใจเธอมากกว่าเมื่อก่อนซะอีก


 


 


เธอยังบอกอีกว่า ตัวสำรองอย่างเธออย่าไงไรแล้วก็เป็นแค่ตัวสำรองอยู่วันยังค่ำ เซียวจิ่งสือทิ้งเธอไปมันเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังแล้วรู้สึกเศร้าเสียใจมาก แต่เธอยังรักษาท่าทีฟังเธอพูดจนจบโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นวางสายไปด้วยความรู้สึกด้านชา


 


 


อันเสี่ยวเซียวก็ชอบเซียวจิ่งสือด้วย อินเสี่ยวเสี่ยวรู้ดี และเธอยังรู้ด้วยว่าอันเสี่ยวเซียวโทรมาหาเธอก็เพื่อจะได้เยาะเย้ยเธอ


 


 


แต่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่หวั่นเกรงเลย เธอชอบเซียวจิ่งสือมันก็เรื่องของเธอ ส่วนตัวสำรองนะเหรอ ไม่สิ เธอเป็นตัวเองเพียงหนึ่งเดียวมาตลอดตั้งแต่แรก


 


 


เธอรู้สึกอิจฉา ‘หลินหว่าน’ พร้อมกันนั้นก็อยากรู้มากว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่ จึงทำให้เซียวจิ่ง


 


 


สือหลงรักเธอได้ขนาดนี้ สูง สง่า สุภาพ เป็นผู้ดี หรือว่านุ่มนวลน่าทะนุถนอม ร่าเริงสดใสมีชีวิตชีวา หรือว่าอ่อนโยนรู้ใจผู้คน


 


 


อีกอย่าง หน้าตาของเธอ เหมือนกับเธอเป็นพิมพ์เดียวกันจริงๆ เหรอ


 


 


วันต่อมา อินเสี่ยวเสี่ยวมาที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ คนในบริษัทพอเห็นเธอเข้าก็ประหลาดใจไปตามกัน พร้อมกันนั้นก็แสดงทีท่าว่าจะรอดูละครโรงใหญ่ อินเสี่ยวเสี่ยวไม่สนใจพวกเขา ตรงไปที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ


 


 


“เอ๋ เสี่ยวเสี่ยว วันนี้ทำไมเธอมานี่ได้?” แต่คิดไม่ถึงว่าเธอกลับเจออันเสี่ยวเซียวเข้าที่หน้าลิฟท์ “เธอมาหาจิ่งสือหรือเปล่า เสี่ยวเสี่ยว อย่าหาว่าฉันไม่เตือนเธอนะ หลินหว่านเพิ่งไปที่ห้องทำงานของท่านประธานเซียวเมื่อกี้นี้เอง ฉันว่าเธออย่าไปหาเรื่องให้ตัวเองขายหน้าเลยจะดีกว่านะ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวมองดูอินเสี่ยวเสี่ยว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างสะใจขณะที่พูด


 


 


“งั้นเหรอ” อินเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังก็ใจกระตุก แต่ยังย้อนถามเสียงเรียบ


 


 


นับแต่ ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงกลับมาแล้ว บวกกับที่เธอต้องไปถ่ายละคร ทำให้เธอไม่ได้เจอหน้าเซียวจิ่งสือมาหลายวันแล้ว


 


 


วันนี้เธอว่าจะใช้โอกาสนัดเขาออกมาทานข้าว โยนศักดิ์ศรีและความไว้ตัวทิ้งไปแล้วถามเขาตรงๆ ว่าชอบเธอหรือไม่ รู้สึกกับเธออย่างไร และเธอยังอยากจะรู้ด้วยว่าเขาเห็นเธอเป็นแค่ตัวสำรองจริงๆ หรือไม่


 


 


เป็นตัวสำรองที่พอ ‘หลินหว่าน’ หายตัวไปก็ให้เธอเข้ามาแก้ขัด พอ ‘หลินหว่าน’ กลับมาแล้ว ก็โยนเธอทิ้งไปได้ทุกเมื่ออย่างนั้นเหรอ


 


 


“แน่นอน ถ้าเธอไม่เชื่อ ก็ไปดูที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือได้เลย!” อันเสี่ยวเซียวพูดจบก็ตวัดหางตามองเธออย่างดูแคลน แล้วเดินย่ำส้นสูงเดินเชิดหน้าผ่านข้างกายอินเสี่ยวเสี่ยวไป


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมาที่หน้าประตูห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ ประตูห้องปิดอยู่ เธอนึกถึงคำพูดของอันเสี่ยวเซียวแล้วนึกลังเลว่าจะเปิดประตูดีไหม แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากข้างในห้องทำงาน


 


 


“จิ่งสือคะ บ่ายนี้คุณออกไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันนะคะ” ภายในห้องทำงาน อี้อวิ๋นฉังกำลังออดอ้อนเซียวจิ่งสือ พูดว่า “ทุกครั้งที่ฉันมา คุณเป็นต้องบอกว่าคุณงานยุ่งทุกทีเลย! ฉันไม่ยอมด้วย วันนี้ฉันต้องให้คุณไปทานข้าวกับฉันให้ได้เลย!”


 


 


“แต่วันนี้ตอนเที่ยงผมยังมีประชุมอีก” สายตาของเซียวจิ่งสือไม่ได้ละจากเอกสารตรงหน้า ตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


เป็นแบบนี้อีกแล้ว! ทุกครั้งที่เธอมาหา ท่าทีของเซียวจิ่งสือเฉยชาต่อเธอตลอดเวลา มักจะใช้ข้ออ้างว่างานยุ่งมาปฏิเสธนัดของเธออยู่เสมอ!


 


 


อี้อวิ๋นฉังสงสัยว่า เซียวจิ่งสือไม่ได้รักหลินหว่านมากมายอย่างที่เล่าลือกัน หรือว่า เขารู้แล้วว่าเธอเป็นตัวปลอม!


 


 


แต่ว่า ถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นตัวปลอม ทำไมเขาไม่เปิดโปงเธอล่ะ?


 


 


อี้อวิ๋นฉังแสร้งทำเป็นเสียใจ น้อยใจยาสุดๆ พูดกับเซียวจิ่งสือว่า “จิ่งสือ คุณไม่รักฉันแล้วเหรอ ทำไมตั้งแต่ฉันกลับมา คุณถึงได้ทำกับฉันแบบนี้ล่ะคะ ถ้าคุณไม่อยากเห็นหน้าฉันอีก ฉันว่าให้ฉันจมน้ำตายไปในทะเลตั้งแต่แรกเลยยังจะดีซะกว่า!”


 


 


เซียวจิ่งสือละสายตาจากเอกสาร ตวัดสายตาขึ้นมองดู ‘หลินหว่าน’ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ได้สิ เที่ยงนี้ผมจะเป็นเพื่อนคุณไปทานข้าวด้วยกัน โอเคนะ”


 


 


นับแต่นาทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น เขาก็รู้ว่าเธอไม่ใช่หลินหว่านตัวจริง แต่เขายังรั้งเธอไว้ข้างกาย ยอมรับกลายๆ กับคนในบริษัทว่าเธอคือหลินหว่าน อันที่จริง เขาอยากจะรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าที่ปลอมตัวเป็นหลินหว่านเธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่


 


 


เมื่อหลายวันก่อน เขาไม่อยากต้องใกล้ชิดกับเธอเกินไปจึงใช้งานเป็นข้ออ้างผัดผ่อนการนัดเดทกับเธอไปหลายครั้ง แต่ตอนนี้เขารับปากเพราะถ้าไม่เข้าหาเธอ จะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเธอได้ยังไงกันแน่


 


 


“ดีจังค่ะ จิ่งสือ ฉันรักคุณจังค่ะ” อี้อวิ๋นฉังรีบเปลี่ยนหน้าเป็นยิ้มแย้ม พูดกับเซียวจิ่งสืออย่างตื่นเต้นยินดี


 


 


ถ้าหากไม่ได้พิสูจน์แล้วว่าอินเสี่ยวเสี่ยวคือหลินหว่าน เซียวจิ่งสือพบว่าผู้หญิงตรงหน้านี้เลียนแบบท่าทางของหลินหว่านบางขณะได้เหมือนมาก เธอถึงกับทำให้ทุกคนในบริษัทหลงเชื่อว่าเป็นตัวจริงได้ก็แล้วกัน แต่ว่าต่อหน้าเขาแล้ว เธอก็เป็นเหมือนตัวตลก เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง ท่าทางการแสดงความรู้สึกในเวลาที่เธอพูดกับเขากับที่หลินหว่านพูดกับเขามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


ในเวลานั้นเอง อินเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่นอกประตูได้ยินพวกเขาคุยกัน มือที่จับลูกบิดปล่อยออกอย่างหมดแรง หัวใจเหมือนกับจะแหลกสลายลงไป


 


 


ในความเข้าใจของเธอ ตอนแรกที่เซียวจิ่งสืองานยุ่งจนปฏิเสธที่จะไปทานข้าวกับ ‘หลินหว่าน’ แต่ไม่อาจทนการออดอ้อนและทำให้ ‘หลินหว่าน’ โกรธ จนต้องตกลงรับปากด้วยไม่อาจขัดใจเธอได้ในที่สุด


 


 


อย่างนั้น การที่เขาไม่ได้ติดต่อกับเธอในหลายวันมานี้ ก็เพราะงานยุ่งและคอยอยู่เป็นเพื่อน ‘หลินหว่าน’ ล่ะมั้ง


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงคำพูดของอันเสี่ยวเซียว เธอพูดได้ไม่ผิดเลย เธอเป็นแค่ตัวสำรองจริงๆ ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงกลับมาข้างกายเขาแล้ว เขายังจะมานึกถึงตัวสำรองอย่างเธออยู่อีกทำไมกัน?


 


 


พอนึกถึงจุดประสงค์ตอนที่เธอมานี่แล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็ยิ้มขื่นออกมา หมุนตัวไปจากหน้าประตูห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ กับเรื่องความรักต้องเป็นฝ่ายรุกบุกเข้าหา แต่เมื่อออกตัวช้ากว่าคนอื่น ย่อมต้องกลายเป็นผู้แพ้ไป


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไปแล้ว ภายในห้องทำงาน บทสนทนาของเซียวจิ่งสือกับอี้อวิ๋นฉังยังคงดำเนินต่อไป


 


 


“คุณไปหาเลขาของผม บอกให้เขาเลื่อนประชุมเที่ยงนี้ออกไป ให้เขาจัดเวลาให้ผมทานข้าวกับคุณ” เซียวจิ่งสือพูดกับ ‘หลินหว่าน’ เสียงเรียบ อันที่จริง เขาสามารถโทรหาผู้ช่วยได้ แต่เขาไม่อยากให้ผู้หญิงตรงหน้านี้คอยอยู่รบกวนการทำงานของเขา จึงหาเรื่องให้เธอออกไป


 


 


“ได้ค่ะ จิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังไม่ได้คิดอะไรมากนัก รีบรับปากอย่างดีใจ


 


 


แต่พออี้อวิ๋นฉังออกมาจากห้องทำงานของเซียวจิ่งสือแล้ว กลับไม่รู้ว่าเลขาของเขาทำงานอยู่ออฟฟิศไหนนี่สิ พอเห็นข้างหน้ามีพนักงานคนหนึ่งเดินเอื่อยๆ อยู่ เธอจึงเข้าไปเรียกเธอเอาไว้ ถามว่า “นี่ เธอรู้ไหมเลขาของเซียวจิ่งสือทำงานอยู่ออฟฟิศไหน?”


 


 


แต่เมื่ออี้อวิ๋นฉังได้เห็นใบหน้าของพนักงานคนนั้นชัดเจน เธอก็ตลึงอยู่กับที่ เพราะเธอตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว 

 

 


ตอนที่ 205 ความทรงจำ

 

“ธ…เธอ…เธอคือ…” อี้อวิ๋นฉันสะกดกลั้นความประหลาดใจสุดๆ ของตัวเองไม่ให้หลุดปากคำว่า “หลินหว่าน” ออกมา เพราะตอนนี้เธอต่างหากที่เป็น ‘หลินหว่าน’


 


 


แต่ผู้หญิงที่หน้าเหมือนหลินหว่านอย่างกับแกะตรงหน้านี้เป็นใครกัน? ทำไมเธอจึงมาอยู่ที่บริษัทของเซียวจิ่งสือได้


 


 


หรือว่า…หรือว่าเธอต่างหากที่เป็นหลินหว่านตัวจริง


 


 


งั้นทำไมเซียวจิ่งสือจึงเข้าใจว่าเธอเป็นหลินหว่านได้ล่ะ


 


 


หรือว่า…หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของเซียวจิ่งสือ? เขาต้องการปกป้องหลินหว่านตัวจริง ไม่ต้องการให้เธอถูกทำร้ายอีก จึงบอกกับคนภายนอกว่าหลินหว่านหายสาบสูญ แต่ที่จริงเขารู้ว่าเธอเองไม่ใช่หลินหว่านตัวจริง แค่ไม่ได้เปิดโปงเธอออกมาเท่านั้น…


 


 


อี้อวิ๋นฉังยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดหวั่น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะออกไปจากที่นี่ด้วยอาการเศร้าเสียใจจนขวัญหาย เธอได้ยินเสียงคนเรียกให้หยุด เงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นผู้หญิงที่มีใบหน้าเหมือนกับเธอราวกับพิมพ์เดียวกัน


 


 


ชั่ววูบนั้นอินเสี่ยวเสี่ยวนึกอย่างประหลาดใจ แล้วคิดได้ว่า เธอคนนี้น่าจะเป็น ‘หลินหว่าน’ ล่ะมั้ง อย่างนั้น ตัวเธอเองที่มีใบหน้าเหมือนกับเธอ ก็ย่อมจะเป็นตัวสำรองจริงๆ สินะ เธอนึกเย้ยหยันตัวเองอยู่ในใจ


 


 


“สวัสดีค่ะ คุณหลิน ฉันชื่ออินเสี่ยวเสี่ยวค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งสติได้ เอ่ยทักทายกับ ‘หลินหว่าน’ ที่ตรงหน้าเธอ


 


 


อี้อวิ๋นฉังฟังคำพูดเธอแล้ว มองหน้าเธอกลับเป็นฝ่ายอึ้งไป “อิน…อินเสี่ยวเสี่ยว? เธอชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว?”


 


 


“ใช่ค่ะ ก็น่าอยู่ที่คุณหลินไม่รู้จักฉัน แต่ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณที่บริษัทนี้มานานแล้วนะคะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด


 


 


“ง…งั้นเหรอ? เธอรู้จักฉัน?” อี้อวิ๋นฉังยังตลึงอึ้งอยู่


 


 


“เรื่องของคุณหลินกับท่านประธานเซียว คนในบริษัทเล่าลือกันมาตลอดค่ะ ฉันก็เคยได้ยินมาค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด


 


 


คนตรงหน้านี่เหมือนหลินหว่านอย่างกับแกะ แต่กลับบอกว่าตัวเองไม่ใช่หลินหว่าน อี้อวิ๋นฉังยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงสงสัย เธอลองหยั่งเชิงดูอีกว่า “งั้นทำไมเธอมาอยู่นี่ได้ล่ะ ทำไมจึงหน้าเหมือนฉันเลย”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวหน้าซีด ยิ้มขมอยู่ในใจ พูดว่า “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เดิมทีฉันอยู่ที่หมู่บ้านบนเขาแห่งหนึ่ง แต่พอคุณหลินหายตัวไป ไม่ทราบว่าทำไมท่านประธานเซียวมาหาฉัน พาฉันมาที่นี่ค่ะ”


 


 


อี้อวิ๋นฉังขมวดคิ้ว “คุณทำงานที่นี่เหรอ?”


 


 


“เมื่อก่อนทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่งค่ะ แต่ตอนนี้ฉันกำลังเล่นละครค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวตอบ


 


 


พูดจบ อินเสี่ยวเสี่ยวก็นึกถึงเรื่องข่าวลือในบริษัท ถามอีกว่า “ได้ยินว่าเมื่อก่อนคุณหลินก็เป็นนักแสดงเหมือนกัน ท่านประธานเซียวยังเปิดบริษัทเอเจนซี่เพื่อคุณหลินอีกด้วย เป็นความจริงหรือเปล่าคะ?”


 


 


ที่อินเสี่ยวเสี่ยวพูดถึงคือบริษัทเซียงเฉิงเอ็นเตอร์เทนเมนท์ อี้อวิ๋นฉังซึ่งตอนนี้ทำตัวเป็นนกกาเหว่าแย่งรังคนอื่น กลับพูดได้เต็มปากว่า “จริงแท้แน่นอนเลยค่ะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวแววตาสลดลง อี้อวิ๋นฉังเห็นแล้วก็ถามหยั่งดูว่า “งั้นก่อนหน้านี้เธอทำอะไรล่ะ”


 


 


พูดจบ อี้อวิ๋นฉังก็พบว่า พอเธอถามจบ อินเสี่ยวเสี่ยวมีท่าทางผิดปกติมาก สายตาหลบไปมา มือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหน มือทั้งสองข้างมีการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่ตัวเธอเองก็ไม่ทันได้สังเกต


 


 


หลังจากที่อี้อวิ๋นฉังเรียนต่อด้านการแสดง ก็รู้ว่านี่เป็นอาการแสดงออกของความตื่นเต้นตึงเครียดในจิตใจ ซึ่งหมายความว่า อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ต้องการตอบคำถามของเธอ หรือไม่อย่างงั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


 


 


“ฉัน…” ไม่รู้ทำไม อินเสี่ยวเสี่ยวไม่อยากให้ ‘หลินหว่าน’ รู้เรื่องที่เธอเสียความทรงจำ เธอลนลานตอบว่า “ม…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณหลิน ฉันเพิ่งนึกได้ว่ายังมีงานต้องทำอีก ฉันไปก่อนนะคะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดจบ ก็คิดจะรีบไปจากที่นี่ ทำไมเธอต้องถามคำถามนั่นด้วยนะ เธอรู้สึกว่าตัวเองยังถูกเหยียบย่ำไม่พอหรือไง


 


 


“รอเดี๋ยวค่ะ คุณอิน!” อี้อวิ๋นฉังเรียกตัวอินเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้ นึกดูแล้วเธอก็ถามเพื่อให้แน่ใจอะไรบางอย่างว่า “คุณอิน คุณถูกเซียวจิ่งสือพากลับมาเมื่อไหร่คะ?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวหน้าเสีย ตอบว่า “หลังจากที่คุณหลินหายไปในทะเลเป็นวันที่ห้าค่ะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวจากไปแล้ว แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่ทันได้สังเกตว่าฝีเท้าของเธอบอกว่าเธอสับสนขนาดไหน


 


 


อี้อวิ๋นฉังมองดูเงาหลังของเธอ ฉุกคิดด้วยความสงสัยขึ้นมา ทำไมเธอกับหลินหว่านจึงหน้าตาเหมือนกันนัก แต่กลับบอกว่าตัวเองชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว?


 


 


ทำไมหลังจาก ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงหายตัวไปในทะเล วันที่ห้าเซียวจิ่งสือจึงพาตัวเธอกลับมา? ทำไมพอเธอพูดถึงเรื่องราวเมื่อก่อนอินเสี่ยวเสี่ยวจึงดูปั่นป่วนลนลานขนาดนี้


 


 


หรือว่าเธอก็คือหลินหว่านตัวจริง แต่สูญเสียความทรงจำไป จากนั้นเปลี่ยนฐานะเป็นอีกคนหนึ่ง?


 


 


อี้อวิ๋นฉังลองนึกดูถึงความเป็นไปได้ที่เหลือเชื่อนี้ เหลือแค่รอให้เธอพิสูจน์ความจริงเท่านั้น


 


 


อี้อวิ๋นฉังไปหาเลขาของเซียวจิ่งสือ ถ่ายทอดคำพูดของเซียวจิ่งสือกับเขาแล้วแอบหลบไปหาข่าวเกี่ยวกับอินเสี่ยวเสี่ยวจากพนักงานคนอื่นๆ อย่างเงียบกริบ


 


 


พนักงานในบริษัทต่างก็รู้ว่าหลินหว่านเป็นที่โปรดปรานของเซียวจิ่งสือขนาดไหน ดังนั้นหลังจาก ‘หลินหว่าน’ กลับมา พวกเขาจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยวเลย อี้อวิ๋นฉังจึงไม่รู้เรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


ตอนนี้ พอเห็นว่าอี้อวิ๋นฉังมาสอบถามพวกเขาเรื่องของอินเสี่ยวเสี่ยว พวกเขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้ให้ ‘หลินหว่าน’ ฟัง


 


 


อี้อวิ๋นฉังไปสืบข่าวมารอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ข่าวที่เป็นประโยชน์นัก ที่พวกพนักงานบอกก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเช่น ‘ท่านประธานเซียวไล่พนักงานที่รังแกอินเสี่ยวเสี่ยวออก’ กับเรื่องที่ ‘ตอนอินเสี่ยวเสี่ยวไม่สบาย เป็นลมหมดสติที่ห้องของประธานเซียว เขาคอยดูแลเอาใจใส่อินเสี่ยวเสี่ยวทุกวัน’ เป็นต้น


 


 


นั่นยิ่งทำให้อี้อวิ๋นฉังหึงหวงหนักขึ้นอีก แต่เธอก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นด้วย หรือว่าอินเสี่ยวเสี่ยวคือหลินหว่านตัวจริง?


 


 


ตอนเที่ยง ขณะอี้อวิ๋นฉังกับเซียวจิ่งสือทานอาหารด้วยกัน อี้อวิ๋นฉังมีความสุขมาก เธอเข้าใจว่านี่เป็นโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวจิ่งสือให้แนบแน่นยิ่งขึ้น


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่า ระหว่างที่เซียวจิ่งสือทานข้าว เขาไล่ต้อนเธอไม่หยุด อีกทั้งคอยพูดถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลินหว่านอยู่เรื่อยเพื่อให้เธอเผยพิรุธออกมา โชคดีที่เธอให้คนสืบเรื่องของหลินหว่านมาก่อน ทั้งตั้งใจเลียนแบบความเคยชินในการทานอาหารของหลินหว่าน กับคอยหลบเลี่ยงการซักถามบางเรื่องของเซียวจิ่งสือ


 


 


แต่อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าถ้าเธอไม่มีความทรงจำในอดีตของหลินหว่านแล้วล่ะก็ จะเผยพิรุธได้ง่ายมาก


 


 


นึกดูแล้ว ตอนบ่ายเธอจึงไปหาอินเสี่ยวเสี่ยวอีกครั้ง สอบถามเรื่องสถานะตัวตนและความทรงจำของเธอ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวที่ต้องเจอกับคำถามของอี้อวิ๋นฉังก็เครียดมาก ทางหนึ่งก็ไม่อยากให้เธอรู้เรื่องที่ตัวเองเสียความทรงจำ ส่วนอีกทางหนึ่งก็ตอบคำถามของเธอกลับไปกลับมาขัดแย้งกันเองจนเละเทะไปหมด


 


 


สุดท้าย อี้อวิ๋นฉังก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นไปตามที่เธอคาดไว้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็คือหลินหว่าน เพียงแต่ตัวเธอเองไม่รู้ตัว เพราะเธอไม่มีความทรงจำในอดีต


 


 


พออี้อวิ๋นฉังแน่ใจแล้วก็ดีใจมาก เธอกลับไปแล้วนึกหาวิธีการสารพัด ติดต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสมองจากต่างประเทศที่ดีที่สุด


 


 


เพราะเธอเคยได้ยินมาว่า ต่างประเทศมีเทคโนโลยีสุดล้ำชนิดหนึ่ง ที่สามารถย้ายความทรงจำส่วนลึกของสมองจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ ต่อให้เป็นคนที่สูญเสียความทรงจำก็ตาม


 


 


ถ้าหากความทรงจำในอดีตของอินเสี่ยวเสี่ยวย้ายมาที่สมองของเธอ อย่างนั้นเธอก็จะมีความทรงจำในอดีตของหลินหว่านซึ่งจะทำให้เธอไม่ถูกเซียวจิ่งสือเปิดโปงตัวตนของเธออย่างเด็ดขาด 

 

 


ตอนที่ 206 สู้ศึกรอบด้าน

 

แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกใสสะอาดเข้ามาที่โต๊ะทำงานของอินเสี่ยวเสี่ยว ส่องกระทบใบหน้าขาวสะอาดของอินเสี่ยวเสี่ยวจนเป็นประกายสดใสนวลเนียน ขนตางอนยาวของอินเสี่ยวเสี่ยวหรุบต่ำสั่นไหวเบาๆ พลอยดึงดูดใจให้สั่นไหวไปด้วย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงใบหน้าหล่อกริบของเซียวจิ่งสือแล้วหัวใจห่อเ**่ยวอยู่บ้าง หลังจากผู้หญิงที่หน้าเหมือนเธอคนนั้นกลับมาแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าหนุ่มหล่อที่ทำให้สาวๆ หลงใหลได้ปลื้มกันมากมายคนนี้ที่แท้ก็เป็นผู้ชายกากเดนคนหนึ่งเท่านั้น


 


 


พอนึกว่าตัวเองเคยหวั่นไหวไปกับผู้ชายประเภทนั้นแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็ส่ายหน้า ถอนหายใจ บางทีอาจเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของสวรรค์เบื้องบนล่ะมั้ง


 


 


ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาวูบหนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกหนาวยะเยือก เธอตวัดสายตาขึ้นมองไปทางนอกหน้าต่าง แสงแดดอุ่นๆ สาดกระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก พลันรู้สึกว่าทุกสิ่งดูสวยงามปานนั้น ผู้ชายกากเดนอย่างเซียวจิ่งสือไม่คู่ควรที่จะให้เธอรัก ตอนนี้รู้ตัวซะก่อนก็ถือว่าดีแล้ว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมุมปากยกขึ้น นึกในใจว่า ‘เชอะ ตัวสำรองเรอะ คนอย่างอินเสี่ยวเสี่ยวถึงจะตกต่ำแค่ไหนก็ไม่ยอมเป็นตัวสำรองของใครหรอก’


 


 


สู้เขานะ เป็นลูกผู้หญิงต้องสู้ อินเสี่ยวเสี่ยวแอบบอกกับตัวเองในใจ


 


 


เสียงเคาะประตูถี่ยิบดังมา ดึงสติของอินเสี่ยวเสี่ยวกลับคืนมา หญิงสาวจากแผนกถ่ายภาพคนหนึ่งท่าทางร้อนรน กระหืดกระหอบมาแจ้งเธอให้รีบไปเข้ากล้อง จะเริ่มถ่ายละครแล้ว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองแล้วรีบตรงไปยังกองถ่าย…


 


 


ระหว่างทางอินเสี่ยวเสี่ยวเห็นในออฟฟิศมีสาวๆ หลายคนล้อมวงกันซุบซิบ ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แอบนึกในใจว่า ‘วิจารณ์กันเข้าไปเถอะ ไม่กระทบกระเทือนฉันหรอก ตอนนี้ฉันจะตั้งใจไปทำงาน พวกเธอก็ใช้ชีวิตเผือกๆ ของพวกเธอต่อไปเถอะ’


 


 


ภายในห้องแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าตวัดแปรงในมืออย่างชำนาญอยู่บนใบหน้างามสมส่วนของอินเสี่ยวเสี่ยว เพียงไม่นานอินเสี่ยวเสี่ยวก็ได้รับการแต่งหน้าจนยิ่งทรงเสน่ห์เย้ายวนใจ ช่างแต่งหน้ามองดูผลงานตรงหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เริ่มงานถ่ายละครในวันนี้ พอได้ยินผู้กำกับขานว่าเดินกล้อง ทุกคนในกองถ่ายพากันตื่นตัว ช่างถ่ายภาพจ้องมองภาพที่อยู่ในกล้องเขม็ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่มีคุณภาพดีที่สุด


 


 


กล้องที่เคลื่อนตามการแสดงของอินเสี่ยวเสี่ยวไปช้าๆ ช่างคุมแสงตรวจดูมุมแสงในฉาก เพื่อปรับแสงได้ทันการณ์


 


 


ด้วยการประสานงานของผู้คนเหล่านี้ ละครดราม่าเรียกน้ำตาเรื่องหนึ่งได้ถ่ายทำจนสำเร็จอย่างงดงาม เสียงผู้กำกับร้องว่า “คัท” ดังขึ้น ทุกคนเหมือนกับยกหินออกจากอก ภารกิจการถ่ายทำในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง


 


 


ทุกคนพากันเอ่ยทักทายให้กำลังใจกัน มีเพียงอินเสี่ยวเสี่ยวเท่านั้นที่ไม่มีใครเข้ามาถามไถ่ อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกได้ว่าพวกเขามีท่าทีต่อเธอเปลี่ยนไป เธอนึกในใจว่า ‘อาจเป็นเพราะว่าหลินหว่านตัวจริงกลับมาแล้ว จึงเห็นว่าเราก็แค่หน้าเหมือนหลินหว่านเท่านั้นเอง’


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเดินช้าๆ ไปทางห้องแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าที่กำลังเก็บเครื่องมือลงกระเป๋า เตรียมจะกลับบ้านไปพักผ่อนเร็วหน่อย พอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามา ก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมา สีหน้ากลายเป็นบูดบึ้ง


 


 


ช่างแต่งหน้าแอบบ่นในใจว่า ‘ช่างน่ารำคาญซะจริง กำลังจะเลิกงานอยู่แล้วถึงค่อยโผล่มา วุ่นวายชะมัด’


 


 


ช่างแต่งหน้ารื้อเอาอุปกรณ์แต่งหน้าจากกระเป๋าออกมากระแทกลงบนโต๊ะแต่งหน้า พลางมองอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างโมโห


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวได้ยินเสียงปังก็สะดุ้งตกใจ พอมองไปก็เห็นช่างแต่งหน้าที่ปั้นหน้าเป็นนางยักษ์เขี้ยวตัน อินเสี่ยวเสี่ยวทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่


 


 


ช่างแต่งหน้าพูดด้วยอาการกระแทกกระทั้น “รีบนั่งเร็วสิ ฉันจะได้ล้างหน้าซะที ยังมีเรื่องต้องรีบไปทำอีกนะ”


 


 


พอได้ฟังน้ำเสียงแข็งกระด้างราวกับค้างเงินเธอหลายร้อยแล้วไม่คืนอย่างนั้นแหล่ะ อินเสี่ยวเสี่ยวที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยก็ได้แต่รับคำอย่างหวาดๆ อยู่บ้าง เธอนั่งลงให้เธอช่วยล้างเครื่องสำอางออก


 


 


ช่างแต่งหน้ารีบจะกลับบ้าน จึงโมโหไปหน่อย มือไม้จึงไม่เบาแรงสักเท่าไรนัก หลายครั้งที่ทำเอาอินเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วนิ่วหน้า


 


 


ช่างแต่งหน้าแกล้งทำเป็นไม่เห็น ยังลงมือลงไม้อย่างไม่ยั้งมือต่อไป ทำลวกๆ ไม่กี่ทีก็เสร็จ จากนั้นรีบออกจากห้องไป


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูสภาพของเธอในกระจก น้ำยาล้างเครื่องสำอางยังล้างไม่สะอาดเลย รอยกระดำกระด่างของคราบมาสคาร่าก็เช็ดไม่เกลี้ยง ใบหน้าสวยๆ ตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนเพิ่งออกมาจากเหมืองถ่านหินยังไงยังงั้นเลย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกขำอยู่บ้าง ช่างแต่งหน้านี้รีบร้อนคิดแต่จะกลับบ้าน ทำงานออกมาฝีมือแย่กว่าปกติมากโขทีเดียว เธอมองดูเงาสะท้อนในกระจกของตัวเองแล้วก็ดูตลกดี


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่าทุกคนกำลังพูดถึงเธอลับหลัง ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้แน่ชัดแล้วถึงสถานะตัวสำรองของเธอ สายตาดูแคลนจึงพุ่งมาจากสี่ทิศแปดทางตรงมาที่เธอ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกเย้ยหยันตัวเอง ยิ้มแล้วยืนขึ้น ท้องที่ร้องจ้อกๆ เตือนว่าเลยเวลาที่เธอต้องไปทานข้าวแล้ว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเดินมาถึงหน้าประตูโรงถ่าย หยุดเท้ามองสำรวจรอบหนึ่ง กำลังนึกในใจว่าจะไปทางไหนดี จะไปร้านไหนดีนะ?


 


 


ขณะลังเลใจนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงยามรักษาความปลอดภัยวัยกลางคนดังมาจากป้อมยามด้านหลังพูดอย่างสงสัยว่า “เอ๋ เมื่อกี้เดินออกไปใส่ชุดสีฟ้า ตอนนี้ทำไมใส่ชุดสีขาวเดินออกมาล่ะ? แถมยังหิ้วกระเป๋าไม่เหมือนกันอีกด้วย”


 


 


ยามที่ด้านข้างหัวเราะอย่างดูถูก แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ไม่ใช่คนเดียวกันซะหน่อย แกนี่สายตาแย่เกินไปหน่อยมั้ง”


 


 


ลุงยามวัยกลางคนตาค้าง อ้าปากกว้างร้องว่า “อ้อ” ทำท่าว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วถามต่อว่า “งั้นใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวปลอมกันล่ะ?”


 


 


ยามที่อยู่ด้านข้างเหยียดยิ้มมุมปาก แสดงท่าประณามหยามเหยียด แล้วชี้มือไปที่เงาหลังอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “นี่ไงตัวปลอม”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรับรู้ได้ว่ามีเสียงพ่นพิษไล่ตามมาจากด้านหลัง ความรู้สึกเศร้าเสียใจชนิดหนึ่งโถมทับเข้ามาในจิตใจ สองมือกำหมัดแน่น ตลอดร่างสั่นระริกขึ้นมาอย่างบังคับไม่ได้


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกเป็นทุกข์และน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก อัดอั้นตันใจจนทำอะไรไม่ถูก น้ำหูน้ำตาพานจะไหลออกมาให้ได้ ขณะที่กำลังจะร้องไห้ออกมานั้น อินเสี่ยวเสี่ยวรีบเงยหน้าขึ้น ทำมุมสี่สิบห้าองศามองไปยังท้องฟ้ากว้าง


 


 


มองดูก้อนเมฆสีขาวล่องลอยไปในอากาศ อินเสี่ยวเสี่ยวอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เธอหยิบบทละครในมือออกมาแล้วเดินมุ่งไปทางร้านอาหาร


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตักข้าวเข้าปากคำโตคำแล้วคำเล่า ตลอดเวลาสายตาไม่ละไปจากบทละครในมือเลย สมองก็พยายามจดจำบทสนทนาที่สั้นบ้างยาวบ้างเหล่านี้


 


 


คนงานของกองถ่ายหลายคนที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปต่างพากันมองมาทางเธอด้วยสายตาประหลาดและสับสน แล้วยังก้มลงซุบซิบกันเป็นครั้งคราว ตอนพูดกันก็ใช้มือปิดปากไว้ เหมือนจะกลัวว่าเสียงจะลอยตามลมมาให้คนคนนั้นได้ยินก็ไม่ปาน


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรับรู้ทุกอย่างเก็บไว้ในใจ สายตายังจับอยู่ที่บทละคร แต่ในใจกลับคิดว่าต้องทำงานของตัวเองให้ดี พวกปากหอยปากปูก็ปล่อยมันไปเถอะ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม