สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 20-26

 บทที่ 20 เห็นเป็นเรื่องสนุก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในห้องวีไอพีของแอนดริว คามาลาซึ่งแปลงกายสมบูรณ์ทั่วทุกส่วนก็มองดูวัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่าพ่อค้าด้วยแววตาซับซ้อน


ความจริงแล้วเขาอาจจะไม่ใช่วัยรุ่น…ใครจะไปรู้ได้ล่ะ? คามาลาก็ตรวจสอบเรื่องพวกนี้ไม่ได้


เขาทำให้อันโตนิโอกลายเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาเอาความรักของอันโตนิโอไป เธอเคยถามเชิงตำหนิกับเจ้านี่ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่านี่คือกฎ


เมื่อกลไกการแลกเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น เพราะสิ่งที่คามาลาหวังจะได้รับก็คือให้สองพ่อลูกมีความสุข สิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับสิ่งที่ตัวอันโตนิโอเองอยากได้เลย


คามาลาเริ่มคิดว่า การแลกเปลี่ยนครั้งนี้อาจไม่ได้สวยงามอย่างที่ตัวเธอคิดเอาไว้


ใช่แล้ว…หลังจากให้อันโตนิโอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้านี่ก็ยังเดินเตร่ไปทั่วโดยไม่มีท่าทีสนใจอะไรจนกระทั่งวันนั้น หลังจากเขามาที่บ่อนพนันของแอนดริวด้วยตัวเองแล้ว คามาลาถึงได้เริ่มค้นพบว่า เจ้าของสมาคมคนนี้วางแผนอะไรไว้แล้ว


คามาลาเลิกมองเขาด้วยสายตาซับซ้อน แล้วหันตัวมามองด้านล่างของห้องวีไอพี แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ในเมื่อพวกเธอทำได้ทุกอย่าง ทำไมไม่ให้เห็นผลลัพธ์ไปเลย แต่กลับบีบให้เขาอยู่ในสภาพนี้”


นี่คงจะเป็นวิธีการทำงานของเจ้าของสมาคม บางทีลั่วชิวก็จะเปรียบเทียบว่าจะทำไปเลยดีกว่า หรือว่าจะให้พยายามเพิ่มสักหน่อยดี


“อาจเป็นเพียงความสนใจส่วนตัวของผมก็ได้ล่ะมั้งครับ” ลั่วชิวแสดงความรู้สึกผิด เขาก็กำลังมองสังเวียนมวยด้านล่างด้วยเช่นกัน “ถ้าแค่เปลี่ยนความคิดของคนคนหนึ่ง หรือให้เขาเชื่ออะไรสักอย่างสุดใจ…วันนั้นที่เจอกันที่โรงละคร ความจริงก็ทำให้โอเล็กกลายมาเป็นแบบที่เป็นอยู่ที่ข้างล่างในตอนนี้ได้ เพียงแต่ว่า…”


ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ผมอาจจะไม่ได้เห็นแสงอันงดงามที่ประทุจากตัวคุณโอเล็กแบบเมื่อกี้”


“เธอ…เห็นเป็นเรื่องสนุกเหรอ!” คามาลาจ้องลั่วชิวเขม็งทันที


เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีสำนึกหรือเปล่า แต่เธอกลับเห็นบนใบหน้าของชายชาวตะวันออกคนนี้มีรอยยิ้มบางๆ ได้อย่างชัดเจน


เขากำลังยิ้ม!



ลั่วชิวเงียบ


เขาคิดว่าคามาลาพูกถูก เขาแค่คิดว่าความรู้สึกของตัวเองเริ่มจืดจางลง คงใกล้ถึงขั้นกู่ไม่กลับแล้ว


หลังจากได้เป็นเจ้าของสมาคม ขอแค่ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม แทบจะไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้เลย ปัญหาทุกอย่างแทบจะไม่ใช่ปัญหา


ในความคิดของเขา โลกทั้งใบเหมือนเป็นสีเทาไปหมดแล้ว ไม่ว่าคนสวยขนาดไหน สิ่งมีชีวิตงามสักเพียงใด พวกนี้ล้วนแต่ไร้สีสันไปโดยสิ้นเชิง


สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคงมีเพียงแสงสว่างของดวงวิญญาณแต่ละดวงที่เป็นตัวแทนของแต่ละบุคคล…ที่มีสีเทาขาว สีเทาดำ สีน้ำตาล สีเทาขาวอันเยือกเย็นพัวพันอยู่ในโลกของเขาอย่างเหนียวแน่น


เขาไม่ได้หวาดกลัวหรือเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้


แต่เขากลับรู้สึกว่าตอนที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาควรรจะรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บปวดบ้าง แต่เขากลับไม่สะทกสะท้านเลย ลั่วชิวจึงเริ่มครุ่นคิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่


สีสัน


วินาทีที่สีสันอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในโลกอันแสนเยือกเย็นนั้น ถึงได้ทำให้ลั่วชิวรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ


เมื่อวิญญาณในความมืดมนเข้าสู่ความร้อนแผดเผา วินาทีที่เปล่งแสงสว่างวาบออกมานั้นเอง ทั่วทุกทิศทางถึงได้เหมือนถูกย้อมไปด้วยสีสันอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว แม้ว่าเหมือนไม้ขีดไฟที่กำลังลุกไหม้…วินาทีที่ไม้ขีดไฟลุกไหม้จนหมดแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับสู่ความมืดมนอีกครั้ง


ลั่วชิวค้นพบว่าแม้มันจะเป็นเพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่ง แต่กลับทำให้ตัวเขาชอบใจมาก


ไม่ต้องอธิบายอะไร และก็ต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่น ถ้าคนนอกเห็นว่าเขาทำเพียงเพราะสนุก ก็ให้พวกเขามองแบบนั้นไปแล้วกัน


ถ้าความสนใจเล็กๆ นี้ก็หายไปด้วย เขาคิดว่าตัวเองก็คงต้องหาผู้สืบทอดคนใหม่เช่นกัน


“ใช่ครับ ผมเห็นเป็นเรื่องสนุก”



โอเล็กไม่รู้เลยว่า วินาทีนี้เขาเปล่งประกายมากแค่ไหน แต่กลับทำให้เจ้าของร้านบางคนรู้สึกมีความสุขแบบนี้อย่างต่อเนื่อง


เขารู้แต่ว่า วินาทีนี้ก็เหมือนกับน้ำหลากที่สะสมมานานแล้ว ที่สุดท้ายก็ถึงเวลาไหลทะลักออกมา


ต่อต้าน?


ไม่ใช่เลย


ก็เหมือนที่นิคิตะได้พูดเอาไว้ หลังออกจากหมู่บ้านมา เขาก็สร้างกำแพงสูงๆ ขึ้นมาในจิตใจของตัวเอง เสมือนกรงขังไว้ปิดกั้นตัวเองโดยสิ้นเชิง


เขากำลังหวาดกลัว…กลัวว่าสักวันหนึ่ง ตอนที่เขายืนหยัดในความคิดของตัวเอง คนที่เขารัก เพื่อนของเขาก็จะทิ้งเขาและจากไป เหมือนกับชาวบ้านพวกนั้นที่ทิ้งเขาไป


บางทีพวกเขาอาจจะถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก บางทีพวกเขาคงทำเพื่อครอบครัว บางทีพวกเขา…พวกเขา!


แม้ว่าในใจจะใช้เหตุผลต่างๆ นานาไปหักล้างการกระทำของชาวบ้านพวกนั้นเป็นพันๆ หมื่นๆ ครั้งแล้วก็ดี แต่ตอนเขาเห็นอันทอนพุ่งทะลุตะแกรงเหล็กออกไปได้ กำแพงในใจของโอเล็กก็เหมือนจะเริ่มมีรอยร้าวรอยหนึ่งแล้ว


เป็นแค่ความกลัว


กลัวว่าคนต่อไปที่ได้รับบาดเจ็บจะเป็นตัวเอง กลัวว่าท้ายที่สุดเขาต้องต่อสู้เพียงตัวคนเดียว กลัวว่าเพื่อนที่สนิทที่สุด ตลอดจนคนรักก็จะหักหลังตัวเอง


แม้แต่เด็กคนหนึ่งยังทำได้ถึงขั้นนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่วัยรุ่น ถึงแม้เขายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้เขาจะยังไร้เดียงสา…แต่ความรู้สึกอับอายที่แทรกซึมเข้าไปในกระดูกกลับแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของโอเล็ก


“ขอโทษนะนิคิตะ ทำให้นายรอมานานขนาดนี้ ฉันว่าฉันควรจะทำลายกรงนี้จริงๆ เสียที” หลังจากโอเล็กจัดการลูกน้องแอนดริวได้คนหนึ่ง ก็ถอยไปอยู่ข้างตัวนิคิตะ พร้อมกับพูดขอโทษ


“นายจัดการเรื่องนี้ก่อนได้ไหม จากนั้นพาฉันไปส่งโรงพยาบาลแล้วค่อยว่ากัน…ฉันรู้สึกว่าฉันใกล้ไม่ไหวแล้ว” นิคิตะพูดแบบมีใจสู้แต่ไม่มีกำลัง


เมื่อกี้นี้กล้าหาญมากเลยนะ! ใช้คำที่ดีเลิศที่สุดในสนามมาบรรยายได้เลยนะ…นิคิตะคิด


แต่ว่าในท้องยังคงมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปอย่างรุนแรง ตอนที่เข็มขัดระเบิดก็สร้างบาดแผลไว้บนร่างกายเขาแผลหนึ่ง ทำให้เลือดสดๆ ไหลออกมา


“ฉันใกล้ตายแล้ว! อย่าพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้สิ!! แค่กๆ…”


“แข็งใจไว้หน่อย! คุณอานิคิตะ พวกเราจะพาอาออกไปเดี๋ยวนี้!” อันทอนหันหน้ากลับมา รีบพูดอย่างรวดเร็ว


“ไอ้บ้าเอ๊ย! พูดมาตั้งหลายครั้งแล้ว อย่างมากก็แค่พี่ชาย…แค่กๆ…เจ็บๆ…”


“จริงๆ นะ ทนอีกหน่อยเถอะ” โอเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันจะต้องพานายออกไปได้แน่นอน!”


ตอนนี้สายตาของโอเล็ก สายตาของอันทอนมาบรรจบพร้อมๆ กัน รวมกันอยู่ที่ประตูที่เปิดออกบานนั้น


วินาทีที่ประตูเปิดออก เงาของแอนดริวที่คาบซิการ์อยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางประตู แต่ข้างกายเขากลับมีคนโผล่ออกมาเรื่อยๆ


บนตัวของคนพวกนี้ใส่ชุดป้องกันเอาไว้ อีกทั้งในมือยังถืออาวุธเอาไว้อีกด้วย


อาวุธที่ไว้บรรจุยาสลบ


“บาดเจ็บ ซ้อมได้…แต่ต้องจับพวกเขาแบบเป็นๆ มาให้ฉัน” แอนดริวโบกมือทันที “ไป!”


บทที่ 21 ถ้าไม่มีใครรู้ก็จะดีกับทุกฝ่าย จริงไหม?

โดย

Ink Stone_Fantasy

โอเล็กดูรูปร่างภายนอกของปืนยาสลบ ของแบบนี้ยิงออกมาเร็วสุดขีด โอเล็กคิดว่าตนเองไม่ใช่ผู้มีวรยุทธ์แบบในภาพยนตร์ตะวันออก การจะหลบหลีกของแบบนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว


แต่เขารับมือกับสถานการณ์ได้ว่องไวมาก


หลังจากทำลายกำแพงสูงในใจได้แล้ว ก็กลับไปเหมือนกับในตอนนั้น เขารู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของร่างกาย แต่กลับมีความศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมสลายค่อยๆ เบ่งบานเติบโตในจิตใจ


ตอนแรกเขากับอันทอนลากนิคิตะไปด้านหลังสังเวียนมวยพร้อมกัน เพื่อหลบให้พ้นสายตาของลูกน้องแอนดริว!


อันที่จริงสองคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!ดันออกมาจากกรงเหล็กมหึมาแบบนี้ได้ด้วยพละกำลังของตัวเองเสียด้วย! ถึงแม้ในมือของพวกลูกน้องแอนดริวจะถืออาวุธจำพวกปืนฉีดยาสลบและที่ช็อตไฟฟ้าที่ใช้ปราบอีกฝ่ายได้ ตอนนี้ก็ยังต้องเข้าใกล้อีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังเช่นกัน


ใครก็ไม่อยากโดนหมัดหนักๆ ราวกับหมีสีน้ำตาลของสองคนนี้ เพราะความประมาทหรอก!


“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”


โอเล็กอยู่ชิดด้านล่างสังเวียนมวย เขาพักหอบหายใจเพื่อให้มีแรงขึ้นมาอีก พลางมองอันทอนแล้วถาม


คำถามกะทันหันนี้แบบนี้ทำให้อันทอนตะลึงไปชั่วครู่ แต่เขาก็มีความสุขมาก จึงยิ้มแล้วตอบว่า “ที่จริงแล้วมันเยี่ยมสุดๆ เลยครับ!ถ้าจัดการพวกสวะทั้งหมดพวกนี้ได้สักยกหนึ่ง นั่นก็จะยิ่งดีเลยครับ!”


โอเล็กยิ้ม ก่อนตบบ่าอันทอนแล้วพูดว่า “เห็นสายไฟฟ้าเคเบิลที่เชื่อมต่อกับตะแกรงเหล็กเส้นนั้นไหม?”


อันทอนรีบพยักหน้าเล็กน้อย


โอเล็กพูดกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูอันทอน อันทอนมีสีหน้าฮึกเหิมและตื่นเต้นทันที พยักหน้าหงึกๆ เล็กน้อย


“ไปเลย! เจ้าหนุ่มใจกล้า!ผมจะเป็นพ่อให้คุณเอง จงภาคภูมิใจซะ!” โอเล็กพูดเสียงหนักแน่น!


“ขอบคุณครับ!” อันทอนเผยให้เห็นรอยยิ้ม วินาทีที่จดจำแววตาของโอเล็กไว้ในใจลึกๆ ได้แล้ว เขาก็พุ่งตัวออกไปจากด้านหลังสังเวียนมวยแห่งนี้ทันที


เขาส่งเสียงคำรามดังลั่นออกมา!


“อยู่นั่น!”


ชายร่างสูงใหญ่สามสี่คนที่มือถือปืนฉีดยาสลบไว้ก็เล็งเป้าหมาย แต่พละกำลังที่ระเบิดออกมาของอันทอนนี้ช่างน่าตกใจนัก ในวินาทีที่เจ้าคนที่เหมือนสัตว์ประหลาดพุ่งสุดตัวช่างเร็วเหลือเกิน ไม่มีใครคว้าตัวอันทอนไว้ได้เลยแม้แต่น้อย!


การยิงปืนยาสลบจึงต้องคว้าน้ำเหลว และตอนนี้เอง หลังจากอันทอนต่อยคนหนึ่งร่วง เขาก็ล็อกตัวคนนั้นไว้ข้างหน้าตนเอง เปลี่ยนให้เป็นมนุษย์โล่ป้องกันที่ดีที่สุด!


“อย่ามัวแต่สนใจเจ้าหมอนี่! ยังมีอีกคนหนึ่ง!” แอนดริวทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ


การตอบสนองของเขาไวสุดๆ รีบโบกมือชี้บอกความเคลื่อนไหวอีกฝั่งหนึ่ง แต่ก็สายไปเสียแล้ว!


“อันทอน อย่ามอง!”


โอเล็กซึ่งมีพลังต้นแขนมากมายมหาศาล ดึงสายไฟพร้อมตะแกรงเหล็กออกมาอย่างแรง พอเห็นสายไฟโผล่ออกมาจากสายเคเบิลขนาดต่างๆ โอเล็กก็อ้าปากกว้างพ่นลมออกมาเฮือกใหญ่ สงบสติอารมณ์ที่ตื่นเต้นลงสักหน่อยพร้อมกันนั้นก็หลับตาลง แล้วเอาสายไฟขั้วบวกและขั้วลบมาแตะกันอย่างรวดเร็ว


เปรี๊ยะ…ตูม!!


แค่ในชั่วพริบตา! ไฟฟ้าทั่วพื้นที่สังเวียนมวยก็ดับสนิท! ศึกชี้ชะตาที่กำหนดไว้ตอนเที่ยงคืนก็ต้องมืดมิดไป!


มีเพียงแค่แสงสว่างจากไฟริมทางด้านนอกที่สาดแสงอ่อนๆ ลอดผ่านช่องลมเข้ามา ที่นี่จึงมืดสลัวในพริบตา ยากที่จะมองเห็นสิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจน!


“อ๊า!”


และในวินาทีที่แสงไฟดับลง เสียงร้องโหยหวยก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของหนักกระแทกไปบนพื้น!ลูกน้องกลุ่มหนึ่งของแอนดริวเตรียมป้องกันรอบทิศทางอย่างตื่นตระหนก


“จุดไฟสิ! เจ้าโง่! ไฟแช็คของพวกแกล่ะ?” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มีแสงไฟจากไฟแช็คอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความมืด


แต่ก็แค่ในชั่วพริบตาเท่านั้น คนที่จุดไฟนี่ก็ร้องโหยหวยตามไปด้วย หลังจากนั้นก็เงียบไป


อ๊า!


อ๊า!


แอนดริวฟังเสียงร้องโหยหวยที่ดังอย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้เริ่มปรับตัวกับความมืดสลัวได้บ้างเล็กน้อยแล้ว เขามองเห็นเงาดำๆ ของคนสองคนที่เดินวนไปอย่างรวดเร็วทั่วพื้นที่


แอนดริวจำต้องหรี่ตา เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ความได้เปรียบที่เห็นได้ชัดนี้ ยังถูกพวกนั้นก่อกวนได้ถึงขนาดนี้เลย


สองคนนี้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากจริงๆ ต่างก็อยู่ในระดับนักมวยชั้นยอดกันทั้งนั้น!


“แอนดริว!”


ทันใดนั้นเสียงหนึ่งคำรามก้องพลันดังขึ้น แอนดริวหันไปมองทางต้นเสียงอย่างไม่ทันตั้งตัว และในตอนนั้นเอง!


“แอนดริว!”


มีเสียงตะคอกดังลั่นอีกเสียงหนึ่ง…แต่ดังอยู่อีกฟากหนึ่ง!


แอนดริวขบฟันแน่น ตัวเขาเองก็เป็นคนที่เหี้ยมโหดคนหนึ่ง แต่กลับต้องถอยหลังไปสองก้าวอย่างฉับพลันทันที ถอยหลังไปจนถึงด้านนอกประตู แล้วออกแรงผลักประตูเหล็กบานนี้ปิดเข้ามา!


เขารู้สึกเสียดายคนเก่ง เขาคิดจะใช้สองคนนี้หาผลประโยชน์มหาศาลให้กับตนเอง แต่ถ้าเจ้าสองคนนี้สร้างความยุ่งยากจนเป็นภัยคุกคามเขา เขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว


“ไง ฉันเอง! ให้คนรีบเอาอาวุธออกมาซัดกันเลยสิ…เอาของจริงเลยนะ!”


แอนดริวหัวเราะเยาะ แต่ทว่าในชั่วพริบตานี้เอง ประตูเหล็กบานนี้กลับถูกเปิดออกอย่างแรงด้วยเสียงดังลั่น!


ใช้แสงเพียงเล็กน้อยจากโทรศัพท์มือถือส่องไป คนที่แอนดริวมองเห็นก็คืออันทอนรวมทั้งพวกโอเล็กสองคนที่กลิ้งออกมาตรงประตูเหล็ก!


แอนดริวตกตะลึงพรึงเพริด! สองคนนี้กระแทกประตูเหล็กพังจริงๆ ด้วย…ยังใช่คนอยู่หรือเปล่าเนี่ย?


แอนดริวถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที…หลังจากถอยไปหนึ่งก้าว เขาก็รีบหมุนตัวหันหลังกลับไปทันที มุ่งหน้าวิ่งตะบึงไปสุดทางเดินเพื่อหนีออกไป!


“อย่าหนีนะ!”


ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของอันทอนหรือเสียงของโอเล็กกันแน่ ฉับพลันตัวแอนดริวก็ถูกกระแทกล้มลงไปกับพื้น


แต่เขายังคงมีสัญชาตญาณนักมวยเก่า ในช่วงอันตรายมันจะกระตุ้นประสาททั่วร่างกายเขา เขาใช้เท้าเตะออกไปอย่างแรงในช่วงโกลาหลนั้น!


คาดไม่ถึงว่าในตอนนั้น เท้าของเขากลับถูกใครบางคนคว้าจับไว้ ตามมาด้วยความเจ็บปวดทะลุไปถึงหัวใจ จนแอนดริวรู้สึกหายใจลำบาก!


ขาของเขา…ดันถูกตีหักจนได้! ตำแหน่งตรงหัวเข่าถูกจู่โจมอย่างรุนแรงน่ากลัว ขาหักงอเกือบจะกลายเป็นมุมเก้าสิบองศา!


หลังจากนั้น****ของเขาก็โดนศอกใส่ แอนดริวจึงสลบไม่ได้สติทันที


พอแอนดริวสัมผัสถึงพื้นก็แน่นิ่ง โอเล็กและอันทอนเหนื่อยจนล้มลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน พิงหลังกันหอบหายใจแฮ่กๆ


โอเล็กหอบหายใจไปพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างเบิกบานใจ พลางพูดว่า “ตอนนี้รู้สึกยังไงล่ะ!”


“เยี่ยม…เยี่ยมไปเลย! เยี่ยมสุดๆ เลยครับ!” อันทอนหอบหายใจ


ตอนนี้เองโอเล็กกลับลุกขึ้น แล้วพูดอย่างสุขุมว่า “แต่ว่าเรื่องยังไม่จบ…ถ้าไม่กำจัดแอนดริวและเขี้ยวเล็บของเขาให้สิ้นซาก พวกเราต้องลำบากไม่ต่างกันแน่!”


“งั้นควรทำยังไงดีครับ?”


จู่ๆ โอเล็กก็มองสุดปลายทางระเบียง ฟังเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา และยังมีแสงที่ส่องลงมาอีก…นั่นน่าจะเป็นแสงจ้าที่ส่องมาจากกระบอกไฟฉาย แล้วพูดขู่ทันที “จับตัวแอนดริวลุกขึ้นมา ผมอยากให้พวกเรามาเจรจากับคนพวกนี้ให้เต็มที่สักหน่อย…”


พูดไป โอเล็กก็หันไปตรงสุดทางเดินแล้วพูดเสียงดังว่า “พวกแกฟังให้ดี!บอสของพวกแกอยู่ในกำมือฉันแล้ว!ตอนนี้รีบไปเตรียมรถให้ฉันคันหนึ่ง! ไม่อย่างนั้นพวกแกก็เตรียมภาวนาให้บอสของพวกแกตายไปแบบนี้ แล้วแบ่งกันฮุบสมบัติของเขา!!”



“อานิคิตะ…พี่ชาย มา ผมพยุงคุณเอง พวกเราต้องไปจากที่นี่กันแล้ว!” อันทอนพยุงแขนของนิคิตะ


“ “อ๋อ…งั้นเหรอ…ได้…” นิคิตะก้มหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “หวังว่าโรงพยาบาล… สาวน้อยที่โรงพยาบาล…จะยอมให้ผม…ดื่มวอดก้าสักอึก…”


“ไปกันเถอะ นิคิตะ” โอเล็กตบบ่านิคิตะเบาๆ


ตอนนี้นิคิตะพยายามฝืนเงยหน้าขึ้นมา เขาซึ่งใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากก็ไร้สีก็พยายามฝืนฉีกยิ้ม “เฮ้…พี่ชาย พวกเราหาเวลาสักวัน กลับไปกันเถอะ…กลับไปหมู่บ้าน…จัดการ จัดการ สารเลว… สวะ…พวกนั้น…”


“ตกลง!”


“เฮ้…พี่ชาย…พี่จะไม่ยอมจำนนอีกแล้วใช้ไหม…”


“ไม่อีกแล้ว!”


“งั้น…งั้นขอโทษแล้วกัน…”


“นายพูดว่าอะไรนะ?”


“ไม่…ไม่มีอะไร ผม ผมอยากงีบสักครู่…ถึงแล้ว ถึงแล้ว…เรียกผมด้วยนะ…”



เป็นครั้งแรกที่อันทอนใช้ของแบบนี้ แต่กลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิดเดียว ยังไงก็ไม่มีใครรู้จักเขา งั้นถือโอกาสยิงปืนยาสลบใส่คอแอนดริวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยแล้วกัน…เคยเห็นในหนังน่ะ


“คุณโอเล็ก นี่เขาก็จะไม่ตื่นมาแล้วเหรอครับ?” อันทอนรีบถาม


โอเล็กขับรถเก๋งที่ชิงมาได้จากบ่อน แล้วหันมามองแอนดริวตรงเบาะข้างคนขับ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย


เขาหันหลังไปมองเบาะที่นั่งด้านหลังบ่อยๆ “นิคิตะ เป็นยังไงบ้าง? ยังไหวไหม? นิคิตะ? นิคิ…ตะ…”


“นิคิตะ…คุณอานิคิตะ เขา…เขา…”


ในรถมีเสียงสะอื้นของอันทอนดังขึ้นมา


เขาไม่ได้หัวเราะเยาะที่อันทอนโตขนาดนี้แล้ว แต่ยังร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กน้อยแบบนี้ เขาแค่หันหน้ากลับมาทำนิ่งซึม จ้องมองทางข้างหน้าที่มีกระจกกั้นอยู่


บนถนนได้แสงสว่างจากโคมไฟตลอดสองข้างทาง ทำให้มองเห็นถนนได้ตรงหน้าได้


โอเล็กขับรถคันนี้ไปแบบนี้…หนึ่งกิโลเมตร? หรือสองกิโลเมตร?


เขาไม่มองข้อมูลตัวเลขใดๆ บนแผงควบคุม แค่เหยียบคันเร่งให้คงที่สม่ำเสมอ แล้วปล่อยรถแล่นไปตลอดทาง


ในฉับพลันนั้นเอง โอเล็กก็เหยียบเบรกหยุดรถกะทันหัน…บนถนนกลางดึกไม่ค่อยมีรถ โอเล็กจึงเปิดประตูรถออก


เขาลงจากรถ เลียกัดริมฝีปากตนเอง สายตามองไปข้างหน้า มองซ้ายแล้วมองขวา ขณะเดียวกันสองมือก็เท้าสะเอวไว้ เงยหน้าแล้วก็เงยหน้า ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า แล้วตบไปที่หน้าผากของตนเองอย่างแรง


อีกครั้งแล้วก็อีกครั้ง เร็วขึ้น แรงขึ้น


ฉับพลันนั้นเขาก็หยุดมือลง


โอเล็กเปิดประตูรถตรงเบาะหลัง ลากตัวนิคิตะออกมาจากในรถ เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น กอดร่างนิคิตะไว้นิ่งไม่ขยับ เขาเงยหน้าขึ้น เผยอริมฝีปากของตนเกร็งไว้เล็กน้อย


เขาประคองศีรษะของนิคิตะไว้ในอ้อมอกตนเอง พยายามเกร็งกล้ามเนื้อบนใบหน้าตนเอง แล้วหลับตาลง


ในวินาทีที่น้ำตารินไหลออกมา โอเล็กไม่ได้ส่งเสียงร้องสะอื้น


เขาแค่ส่งเสียงร้องคำรามดังสนั่น


“อ๊า อ๊า อ๊า!!!!อ๊า!!!!!”


อันทอนมองโอเล็กที่กอดนิคิตะ แล้วมองนิคิตะที่ถูกโอเล็กโอบกอดไว้อย่างงุนงง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ? เขาไม่เข้าใจเลย


เขาทรุดลง เข่ากระแทกกับพื้นแข็งๆ ของถนนลาดยาง ก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด




“ทำ…ทำไมเธอไม่ช่วยเขา?”


บนถนนที่ทอดยาว คามาลาในสภาพวิญญาณมองพ่อค้าคนนี้ด้วยน้ำตานองหน้า


ลั่วชิวตอบว่า “มีคนตายกันทุกวัน ผมจะช่วยชีวิตใครได้ล่ะครับ คุณลูกค้าครับ ถึงแม้ผมจะรู้ว่าคุณอยากช่วยชีวิตเขา แต่น่าเสียดายที่…คุณไม่มีค่าธรรมเนียมมากพอครับ”


“จะว่าไปแล้ว…” ลั่วชิวส่ายหน้า “เขาก็ไม่มีความปรารถนาอันแรงกล้าในการมีชีวิตอยู่ต่อเช่นกัน เขาตายด้วยความพึงพอใจมากกว่านะครับ”


“พึงพอใจ?” คามาลามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง


ลั่วชิวพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่รู้สึกแปลกเหรอครับ? ตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้าน พวกคุณที่ปกปิดชื่อสกุลตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังถูกหาตัวพบอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นคุณก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์”


“นิคิตะ…”


คามาลาริมฝีปากสั่นระริก ในที่สุดก็เลยเบือนหน้าหนีไป ไม่อาจทนดูเหตุการณ์ที่อยู่บนถนนตรงหน้าได้


ดูเหมือนว่าคืนนี้จะยังอีกยาวนาน


บทที่ 22 กินช็อกโกแลตแท่งไหม?

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่แอนดริวฟื้นก็พบว่าที่ที่ตัวเองอยู่นั้นคล้ายกับโรงงานร้าง


เขาถูกน้ำเย็นสาดให้ตื่น แต่เขายังคงสัมผัสได้ถึงอาการชาของร่างกาย…เขาคิดว่าตัวเองน่าจะดีใจได้บ้าง ด้วยเพราะรู้สึกชา เขาถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดจากขาที่หักไปแล้ว


ก็ไม่รู้ว่าอาการชาแบบนี้จะอยู่ไปได้นานเท่าไร


“พวกแกไม่ได้กำจัดฉัน ก็หมายความว่ายังเจรจากันได้” แอนดริวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง กำลังพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองอย่างใจเย็น


โอเล็กและอันทอนยืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกันสองคน มองเขาด้วยสายตาเย็นชา


“ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขอะไร ขอแค่ฉันพอใจ ฉันก็จะให้พวกแกได้” แอนดริวปรับตัวให้สงบนิ่งขึ้น


โอเล็กยิ้มเหยียด จู่ๆ เขาก็เบี่ยงตัวหลบออกมา แล้วเผยให้เห็นเห็นกล้องถ่ายวิดีโอที่ห้อยเอาไว้ด้านหลังตัวหนึ่ง


อันทอนจิกผมของแอนดริวขึ้นมา ให้ใบหน้าของเขาตรงกับเลนส์กล้องพอดี แล้วพูดเสียงเบาว่า “มองเห็นมันหรือยัง? ตอนนี้ที่แกต้องทำมีเพียงพูดความผิดรวมถึงเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมดออกมา”


“พวกแก…คิดจะทำอะไร?” แอนดริวยังพยายามรักษาความใจเย็นเอาไว้อย่างเต็มที่


แต่ตอนนี้โอเล็กกลับเดินเข้ามาข้างๆ เปิดสวิตช์ของเครื่องตัดตัวหนึ่งทันที


“เห็นสายลำเลียงนี้กับใบมีดตัดที่หมุนอยู่หรือเปล่า? แอนดริว คุณอยากลองดูหน่อยไหม?”


“พวกแกกล้าฆ่าคน?” แอนดริวตะโกนออกมา


“ไม่ฆ่าแกหรอก พวกเราทำได้แค่เพิ่มความเจ็บปวดให้แกกมากขึ้นเท่านั้น” โอเล็กสบถออกมา ตามมาด้วยเสียงจากใบมีดตัดที่ดังไม่หยุดอันนั้น “แกจะพูดหรือไม่พูด! แต่ทางที่ดีแกอย่าโกหกแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าพวกเราจะตรวจสอบทีละอย่างๆ ขอแค่แกโกหกแม้แต่เพียงเล็กน้อย แกก็รอจุดจบได้เลย…”


ตอนนี้อันทอนหยิบไม้แผ่นหนึ่งขึ้นมา พอโยนลงไป แผ่นไม้นั้นก็กระทบเข้ากับบนใบมีดที่หมุนอยู่ จึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนทันที


แอนดริวเบิกตากว้าง หายใจไม่เป็นจังหวะ…ทั้งหัวมีเหงื่อผุดเต็มไปหมด!



“ท่านครับ! ท่าน! ท่านว่างไหมครับ มีเรื่องสำคัญ!”


“เรื่องอะไร? ฉันจะประชุมวิดีโอคอลทันที!”


“คุณแอนดริวเกิดเรื่องแล้วครับ”


“แอนดริวเหรอ? ไอ้ขยะนี่สร้างเรื่องให้ฉันอีกแล้ว! เห๊อะ แกเตือนเขาหน่อยเถอะ ฉันตามเช็ดล้างให้ทุกครั้งไม่ไหวหรอกนะ!”


“แต่ว่าท่านครับ ครั้งนี้…ท่านเปิด VK ดูก่อนแล้วกันครับ มีคนอัพโหลดคลิปคลิปหนึ่ง…ท่าน ผมคิดว่าตอนนี้ท่านควรหาทางพ้นผิดให้ได้ก่อนดีกว่าครับ”


“อะไรนะ!”


VK…หนึ่งในเว็บไซต์โซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ที่สุดในรัสเซีย




“เร็วจริงๆ…” อันทอนกำลังมองอะพาร์ตเมนต์ของแอนดริวอย่างตื่นตะลึง…ข้างในก็คือบ่อนพนันของแอนดริว


ตอนนี้รถตำรวจหลายคันล้อมที่นี่เอาไว้ พนักงานของบ่อนพนันบางส่วนกำลังถูกตำรวจใส่กุญแจมือ จับออกมาทีละคน


“คลิปวิดีโอของแอนดริวพัวพันถึงคนหลายคนมากเกินไป…คนพวกนั้นย่อมต้องเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว” โอเล็กส่ายหน้าเล็กน้อย “กำจัดแอนดริวที่เป็นเนื้อร้ายก้อนหนึ่งไปได้แบบนี้ เป็นมูลค่าสูงสุดที่คลิปวิดีโอนี้ได้สร้างเอาไว้แล้ว ทำให้คนจำนวนหนึ่งเงียบไปสักช่วงหนึ่ง ย่อมคุ้มค่ากว่าการระบายความแค้นด้วยการฆ่าแอนดริวไปไหนๆ


ใช้คลิปวิดีโอในมือไปล้มล้างบุคคลระดับสูงพวกนั้น? แม้กระทั่งพวกผู้คุมอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ผูกขาดเศรษฐกิจในระดับสูงกว่าเป็นต้น?นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่านั้น


“คุณโอเล็ก พวกเราควรจะทำอะไรต่อไป?” อันทอนถามเสียงเบาๆ


โอเล็กพูดพึมพำว่า “ฟังนะ พวกเรามีเอี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าผลสุดท้ายพวกแอนดริวจะต้องถูกลงโทษจากการทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าเรื่องของพวกเราจะไม่ถูกเปิดเผยเช่นกัน ดังนั้นนายต้องหนีไป”


อันทอนอึ้งไปแล้วพูดว่า “แต่ถ้าผมไป คุณ…แล้วคุณล่ะ?”


โอเล็กยิ้ม ตบไหล่ของอันทอนแล้วพูดว่า “ฉันยังคงต้องอยู่ที่นี่ ฉันจะต้องหาลูกให้เจอ ถ้าหาเขาเจอแล้ว ฉันก็จะไปจากที่นี่ แต่นายก็ไม่ต้องรีบหนีเกินไป อาจต้องรออีกหลายวันกว่าจะมีคนตรวจเจอพวกเรา ถ้านายมีเรื่องอะไรอยากทำให้เสร็จ ก็อาศัยช่วงสามสี่วันนี้แล้วกัน! นี่คือเบอร์โทรของฉัน มีเรื่องอะไรก็ติดต่อหาฉันได้”


“คุณโอเล็ก…”


อันทอนคว้าโน้ตในมือมา แล้วมองเบื้องหลังของโอเล็กที่วิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนพึมพำกับตัวเองอย่างผิดหวังเล็กน้อยว่า “พ่อ…”


อันทอนก้มหน้า แล้วมองทุกอย่างรอบด้านนี้อย่างไร้จุดหมาย จู่ๆ ก็คิดว่าเหมือนไม่มีที่ให้ตัวเองซุกหัวนอนได้


เขาอยากจะบอกโอเล็กมากๆ ว่าอันทอนก็คืออันโตนิโอนะ


แต่เขาไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างไร…ถ้าหาก ถ้าหากเขาไม่ได้ขอพรกับพี่ชายคนนั้นให้กลายเป็นผู้ใหญ่ล่ะก็ ก็อาจจะไม่ได้เจอคุณอานิคิตะหรือเปล่า แล้วก็จะไม่ถูกเขาลากไปสังเวียนมวย


คุณอานิคิตะก็จะไม่ตายแล้วใช่ไหม?


“ผม…ผมทำผิดหรือเปล่า”


ความสับสนแพร่กระจายไปทั่วทุกส่วนของอันทอน เขากำลังเดินบนถนนอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าผ่านมานานขนาดไหนแล้ว อันทอนหยุดฝีเท้าลง


เขามาถึงสวนสาธารณะที่ตัวเขาคุ้นเคยดี เขาได้เจอโอเล็กที่นี่อีกครั้ง


ตอนนี้โอเล็กนั่งอยู่บนชิงช้าตัวนั้น มองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย เขาอาจจะกำลังรออันโตนิโอมาปรากฏตัวตรงนี้ ในสวนสาธารณะที่มีความทรงจำของคนทั้งสองอยู่ค่อนข้างมาก


อันทอนสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที แล้วย่างเท้าออกไปทีละก้าว เดินไปอยู่ตรงหน้าโอเล็ก


“อันทอน?” โอเล็กรู้สึกได้ว่ามีคนมา พอเงยหน้าดู ก็พูดอย่างสงสัยว่า “นายมาที่นี่ได้ยังไง?”


อันทอนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณโอเล็ก…มีบางเรื่องที่ผมอยากพูดกับคุณ”


โอเล็กอึ้งไปแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ว่ามาสิ ยังไงผมก็ไม่มีเรื่องอะไรทำ”


“ผม…” อันโตนิโอกัดฟันอย่างแรง พร้อมหลับตาลง “ความจริงผมก็คืออันโตนิโอ!ผมเจอพี่ชายลึกลับคนหนึ่ง เขาทำให้ผมกลายเป็นผู้ใหญ่!ถ้าไม่ใช่เพราะผมกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จะไม่เจอคุณอานิคิตะที่ถนน แล้วก็จะไม่เกิดเรื่องพวกนี้!พ่อจะไม่เศร้าเสียใจ! คุณอานิคิตะก็จะไม่ตาย ดังนั้น…ดังนั้น…”


อันทอนคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมกับก้มหน้าพูด “ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง!”



“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”


อันทอนที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินคำถามแบบนี้แล้ว เขาเลยพูดตอบกลับไปทันทีว่า “นี่คือความรับผิดชอบของผม ถ้าผมไม่พูดออกมา ผม…”


เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วก็เห็นโอเล็กผล็อยหลับไปแล้ว แต่ว่าบนชิงช้าข้างๆ อีกตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคนอีกคนหนึ่งมานั่งอยู่ตอนไหน


คนนั้น…พี่ชายที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่!


“คุณ…คุณเอง!” อันทอนทั้งตกใจทั้งดีใจแล้วก็หวาดกลัว ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


“กินช็อกโกแลต…อืม วันนี้เหมือนจะซื้อได้แค่ช็อกโกแลตแท่ง กินช็อกโกแลตแท่งไหม?”


บทที่ 23 สีสะท้อนความสุข

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โอเล็กๆ ๆ ”


ใคร…ใครกำลังตะโกนเรียกผม


ช่วงเย็นของฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก หรือว่าเป็นตอนรุ่งสางเหรอ?


โอเล็กกำลังมองเงาต้นไม้ที่ขยับอยู่ภายใต้แสงสว่าง คล้ายสีของทะเลสาบในความมืดมิดที่คุ้นเคยและแปลกตา ใช่แล้ว บนกิ่งไม้และใบไม้ยังมีหิมะหนาๆ ปกคลุมกดทับทุกสิ่งเอาไว้ข้างล่าง แต่ว่าเห็นเป็นชั้นๆ ได้ชัดเจน


เขาได้ยินเสียงร้องเรียก ร่างกายก็เดินไปทางต้นกำเนิดเสียงอย่างควบคุมไม่ได้


โอเล็ก…โอเล็ก…โอเล็ก…


จำได้แล้ว นั่นคือเสียงของคามาลา


“คามาลา” โอเล็กเดินเร็วขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว…เขาเริ่มวิ่งด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี พร้อมทั้งใช้มือปัดกิ่งไม้ที่หักลงมาด้วยรับน้ำหนักหิมะไม่ไหว


เขามองเห็นบ้านเกิดตัวเอง มองเห็นทะเลสาบด้านหน้าหมู่บ้าน เขามองเห็นภาพอดีตรางๆ สถานที่ที่เขาเคยเล่น…เขามองเห็นเบื้องหลังเงาร่างที่คุ้นเคย ผมยาวสีแดงเกาลัดสยายเป็นแพ สวมใส่ชุดเดรสสีขาวบางเบา


เธอเหมือนเทพธิดาแห่งทะเลสาบ


ระหว่างที่หัวใจเต้นเร็ว โอเล็กก็เริ่มหวาดผวา ขาทั้งสองของเขาเหยียบอยู่บนหิมะ แป๊บเดียวหิมะที่กองสะสมกันก็กลบน่องเขาจนมิด เขาที่แต่เดิมแข็งแรง ทว่าอยู่ที่นี่กลับทำตัวงุ่มง่าม


“คามาลา!”


ท้ายที่สุดเขาก็มาอยู่ที่ด้านหลังของเรือนร่างนี้ ใช้มือทั้งสองข้างโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังอย่างแรง แล้วกระชับอ้อมกอดแน่น


โอเล็กก้มหน้า ฝังจมูกของตัวเองลงไปบนผมยาวๆ ของหญิงสาว สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง แต่ละครั้งล้วนแต่แสดงอาการละโมบโลภมาก


“คามาลา!”


ทุกคำพูด ก็แสดงถึงความอบอุ่น


หญิงสาวก้มหน้า แล้วแนบหัวไปกับหลังมือใหญ่แข็งแรงของผู้ชายคนนี้ สัมผัสกับความเย็นบนหลังมือนั้น ทว่าเพียงไม่นาน ความหนาวเย็นก็แปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น


“โอเล็ก ตอนนี้ฉันมีความสุขมากๆ ”


“ฉันก็เหมือนกัน”




“คามา…”


โอเล็กสัปหงก จากนั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในสวนสาธารณะ และนั่งอยู่บนชิงช้าตัวเดิม


ฝันไปเหรอ


ทว่าภาพฝันนี้ ก็ช่วยชะล้างความเจ็บปวดอันแสนยาวนานของเขาไป


โอเล็กมองดูมือของตัวเอง เหมือนสัมผัสนั้นยังคงวนเวียนอยู่บนหลังมือของเขา เขาก้มหน้าลงจุมพิตมือของตัวเองเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “ลาก่อนคามาลา”


เมื่อเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเรียกสติกลับมาอีกครั้ง ก็เงยหน้าขึ้นมา ตอนนี้พลันรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย


ร่างกายอันเหน็ดเหนื่อยอยู่สองวันหนึ่งคืน กลับมีกำลังวังชาที่เพิ่งไหลทะลักเข้ามาทันที เขาลุกขึ้นยืนจากชิงช้า ร่างกายยังคงสูงตระหง่านเหมือนป้อมปราการเหล็กดังเดิม


สูงตระหง่านพอจะบดบังการมองเห็นทั้งหมดของอันโตนิโอ สูงตระหง่านเสียจนแบกท้องฟ้าของมอสโกนี้เอาไว้ได้


โอเล็กเดินไปตรงหน้าอันโตนิโอ แล้วก็ยกฝ่ามือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของอันโตนิโออย่างรุนแรง


ร่างกายเล็กๆ ของอันโตนิโอตั้งรับไม่ทัน ก็ล้มลงไปกองบนพื้นทันที


“ลุกขึ้นมา” โอเล็กพูดด้วยเสียงนิ่ง


อันโตนิโอปิดหน้าเอาไว้ รีบยันตัวขึ้นมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ


“ต่อยพ่อสิ” โอเล็กพูดขึ้นทันที


อันโตนิโอตะลึงและลังเลอยู่สักพักหนึ่ง ถึงกัดฟันและกำหมัดขึ้นมา ต่อยเข้าไปที่ท้องของโอเล็กสุดกำลัง


“แรงหน่อย ใช้แรงหน่อย! ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันหรือไง?” โอเล็กพูดอย่างเย็นชา


แต่อันโตนิโอกลับถอยหลังไปสิบกว่าก้าว จากนั้นก็ส่งเสียงร้องปลุกพลัง พุ่งเข้าใส่อย่างแรง…ทำให้ โอเล็กถอยหลังไปครึ่งก้าวเล็กๆ


แต่อันโตนิโอกลับกระเด็นล้มไปบนพื้นอีกครั้ง


เขาเงยหน้ามองโอเล็ก มองดูพ่อที่ยังคงสูงตระหง่านอยู่อย่างนั้น ได้ยินแค่โอเล็กพูดช้าๆ ว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง มีตรงไหนไม่พอใจก็พูดออกมาตรงๆ หรือต่อยพ่อสักยกก็ได้ แต่เลือกหนีออกจากบ้านไม่ใช่การกระทำของลูกผู้ชาย! เข้าใจหรือยัง?”


อันโตนิโอพยักหน้าเล็กน้อย


โอเล็กพูดว่า “พ่อตบลูกหนึ่งที ลูกก็ต่อยพ่อไปแล้ว ถือว่าพวกเราหายกัน”


“นี่ไม่ยุติธรรม! ผมชกพ่อไม่เจ็บเลยสักนิด! ” อันโตนิโอพูดพึมพำแบบไม่พอใจ


โอเล็กถึงได้มีรอยยิ้มเล็กน้อย “งั้นก็รีบโตไวๆ สิ รอวันนั้นที่ลูกต่อยให้พ่อเจ็บได้”


อันโตนิโอทำหน้าทะเล้น


แล้วโอเล็กก็ลูบหัวของอันโตนิโอ ส่ายหน้าพูดว่า “หนีออกจากบ้านเป็นยังไงล่ะ?”


“ดีมากเลย!!”


อันโตนิโอถูจมูกเล็กน้อย วิ่งไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจ พร้อมกับพูดว่า “พ่อ! พวกเราแข่งกันเถอะ ใครวิ่งกลับบ้านช้า ต้องทำงานบ้าน!”


เขาวิ่งออกจากสวนสาธารณะแล้ว บนถนนคนเดินข้างๆ สวนสาธารณะ อันโตนิโอมองเห็นเบื้องหลังที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป จึงหยุดฝีเท้าลง


“พ่อแซงลูกแล้ว อันโตนิโอ!”


นั่นเป็นเสียงที่ดังมาหลังจากโอเล็กแซงหน้าไป…อันโตนิโอกลับวิ่งไปสองก้าวแล้วหยุด ก่อนหันตัวไปอย่างเร่งรีบ



“เพราะอะไรครั้งนี้…”


“อืม ถือว่าเป็นรางวัลที่เธอซื่อสัตย์แล้วกัน…แต่เธอขายความรักให้ฉันแล้ว ไม่มีทางเอาคืนได้อีกตลอดกาล…แต่ว่ามีคนมอบโอกาสการพบกันโดยบังเอิญให้กับเธอ ในชีวิตต่อจากนี้ของเธอ เธอจะได้เจอหญิงสาวที่รักจากใจจริงคนหนึ่ง แต่เธอจะกลายเป็นภรรยาของคุณหรือไม่นั้น ทำได้แค่พึ่งพาความพยายามของตัวคุณเอง บางทีอาจจะล้มเหลว บางทีอาจจะสมหวัง จำไว้ว่าโอกาสของเธอมีแค่ครั้งเดียว”


“ใครมอบให้ผม? พี่ชายๆ พี่…”




บ่อน้ำพุหน้าโรงละครบอลชอย


มีผู้หญิงผมยาวสีแดงเกาลัด สวมใส่ชุดเดรสสีขาวกำลังก้มหน้าสวดภาวนาอยู่ข้างบ่อน้ำพุ


“ขอโทษนะ สุดท้ายยังต้องให้เธอรอนานขนาดนี้” ผู้หญิงพูดขอโทษพลางมองลั่วชิวที่กำลังนั่งรอตรงขอบบ่อน้ำพุอยู่นาน


ลั่วชิวกำลังมองโลกที่เต็มไปด้วยสีสันอยู่ตรงหน้า แล้วจึงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมก็อยากจะขอบคุณคุณที่ให้ผมได้เห็นสีสันมากมายขนาดนี้”


“สีสัน?” คามาลาทำหน้าไม่เข้าใจ


หลังจากลั่วชิวคิดอยู่สักพัก กลับส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีอะไรครับ แค่ความสนใจบางอย่างของผมเท่านั้น”


คามาลาอึ้งไป แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเบาหวิว ถึงแม้เธอจะไม่มีตัวตน แต่ความรู้สึกนี้มันเหมือนจริงมากๆ


ร่างวิญญาณของเธอค่อยๆ ลอยขึ้นมา


ฉับพลันนั้น


ผู้ชายจูงมือของลูกน้อย ก็มาถึงอีกข้างของบ่อน้ำพุ


“ไม่ได้อยากวิ่งกลับบ้านเหรอ? พาผมมาทำอะไรที่นี่ครับ?”


“อันโตนิโอ ถ้าวันหนึ่งลูกเจอผู้หญิงที่ลูกรัก จะต้องพาเธอมาที่นี่ให้ได้ ยังไงก็ห้ามพลาดเด็ดขาด เข้าใจไหม?”


“ก็ได้ครับ…ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบดูบัลเลต์เลยก็ตาม”


“สวดขอพรสิ บางทีแม่ของลูกอาจจะได้ยิน”


“ก็ได้ครับ” อันโตนิโอหลับตา ประกบมือทั้งสองเข้าหากัน…ทันใดนั้นอันโตนิโอก็ลืมตาขึ้นมองโอเล็กแล้วพูดว่า “พ่อ เหมือนว่าผมจะได้ยินแม่พูดแล้วครับ!”


โอเล็กยิ้มเล็กน้อย คิดว่าถ้าได้ผลแบบนี้ ตอนที่เขามาทุกครั้งก็ต้องสวดขอพรให้ดีๆ สักหน่อยล่ะสิใช่ไหม?


แม้ว่าไม่ค่อยเท่าไร แต่โอเล็กก็ยังย่อตัวลงมาถามว่า “งั้นลูกได้ยินว่าอะไร?”


อันโตนิโอตอบว่า “ขอบคุณ”


โอเล็กอึ้งไป แล้วมองรอบด้านอย่างงุนงง “ขอบคุณเหรอ…”



“ขอบคุณ ขอบคุณเธอ ในท้ายที่สุดครั้งสุดท้ายก็ให้ฉันได้เห็น…”


เงาของร่างคามาลาลอยขึ้นไปกลางท้องฟ้าอย่างช้าๆ เสียงของเธอดังสะท้อนกลับไปในโลกที่ไม่ใช่ของมนุษย์ พร้อมทั้งน้ำตารินไหล


เบื้องหลังของเธอ ปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งกางออกทันที กระจายแสงสว่างลายตาออกมา มันขจัดความมืดหม่นทั้งหมดออกไป และทำให้ทุกอย่างมีสีสันดังเดิม


ข้างหน้าและข้างหลังของโรงละครทั้งหลัง ถนนแถวๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสีสันต่างๆ นานา ทำให้ลั่วชิวรู้สึกเหมือนกับอยู่ในงานเลี้ยงที่มีสีสันงานหนึ่ง


ลั่วชิวยันตัวขึ้นมาทันที มองโลกหลากสีสันที่แสงระยิบระยับนั้นนำพามาอย่างหลงใหล เขายกมือทั้งสองขึ้น เหมือนกำลังโอบกอดอยู่


“สวยมากๆ เลย…จริงๆ นะ สวยมากๆ ”


เงาของร่างคามาลากลายเป็นลูกไฟกลมสว่างๆ อย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ ตกลงมา สุดท้ายก็ตกมาอยู่ที่ระหว่างมือทั้งสองของลั่วชิว


“คิดไม่ถึงเลย คาดไม่ถึงว่าธาตุแท้ของวิญญาณคุณคามาลาจะเป็นนางฟ้า มิน่ามูลค่าถึงได้สูงขนาดนี้…” คุณสาวใช้ยืนอยู่ที่ข้างหลังเจ้าของสมาคม เธอมีสีหน้าชื่นชมปนประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน


“นางฟ้า?”


ลั่วชิวส่ายหน้า หันมาราวกับจะรวบลูกไฟกลมๆ ที่อยู่ระหว่างมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยตัดใจทิ้งไม่ลง “ไม่ว่าจะเป็นอะไร ให้ฉันได้มองเห็นสีสันแบบนี้ก็พอแล้ว”



สีสะท้อนความสุข


บทที่ 24 หงส์ดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

บาลาไลก้า


คุณสาวใช้ใช้เหล้าวอดก้าหนึ่งออนซ์ ค็อกเทลคารูโซขาวศูนย์ดีกรีห้าสิบออนซ์ รวมทั้งน้ำเลม่อนในปริมาณเท่าๆ กันมาผสมค็อกเทลชนิดนี้อยู่


ในห้องชุดชั้นบนสุดของอะพาร์ตเมนต์ เป็นสไตล์โรงแรมซึ่งมองเห็นวิวยามค่ำคืนในมอสโก โยวเย่จึงคิดว่า ควรจะฉลองให้เต็มที่สักหน่อย


ในมือลั่วชิวมีดวงไฟวิญญาณที่เพิ่งทำข้อตกลงสำเร็จและเก็บค่าธรรมเนียมไปแล้วกำลังลอยอยู่


วิวยามค่ำคืนทั่วเมืองมอสโกด้านนอกหน้าต่างบานยาวจรดพื้นนั้นล้วนเป็นแสงไฟหลากสีสัน แม้แต่ดวงไฟดวงนี้ก็มีสีสันมากมายเช่นกัน


แต่มันไม่ใช่คามาลาอีกแล้ว


มันอยู่ในสภาวะดั้งเดิมของมันเท่านั้น เมื่อตอนที่ทำข้อตกลงสำเร็จแล้ว ร่างของคามาลาก็สลายหายไป


“ก็เหมือนกับส้ม หลังจากปลอกเปลือกออกแล้ว ก็จะได้เนื้อผลไม้สดรสหวานชุ่มช่ำ…คามาลาก็เป็นเปลือกนอกนี่เอง”


เจ้าของร้านลั่วหวนคิดถึงคำอธิบายเรื่องนี้จากคุณสาวใช้ ว่าตอนที่เจ้าของร้านคนก่อนดูแลสมาคม ก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสองครั้ง


แต่ดวงวิญญาณสองครั้งก่อน ก็ยังบริสุทธิ์สู้ดวงวิญญาณนางฟ้าของคามาลาไม่ได้เลย


คุณสาวใช้นำบาลาไลก้าที่ปรับสูตรเรียบร้อยแล้วไปวางบนโต๊ะน้ำชากลมๆ เล็กๆ ด้านข้างที่ลั่วชิวนั่ง อยู่ “อาจเพราะเป็นดวงวิญญาณของนางฟ้า”


โยวเย่ก็มองดวงวิญญาณในมือเจ้าของร้านด้วยความหลงใหลเช่นกัน “ครั้งนี้ ยืนยันแนวคิดสมัยก่อนของนายท่านได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ”


“แนวคิด?” ลั่วชิวไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับในทันที


โยวเย่กลับพูดลอยๆ ราวกับย้อนความทรงจำว่า “ถ้ากาลเวลาสามารถหมักเหล้าให้หอมหวนได้ แล้วจะยอมรอไหม?”


ลั่วชิวยกแก้วเหล้าสไตล์โบราณที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา ตามหลักแล้วเขาไม่คุ้นเคยกับการดื่มเหล้าวอดก้า แต่กลับรู้สึกว่าเครื่องดื่มแก้วนี้ดื่มง่ายอย่างน่าประหลาด


บางทีอาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ไม่มีผลต่อร่างกายเขาแล้ว


ข้างๆ ยังมีมะนาวฝานแผ่นเล็กๆ ลั่วชิวรับมาบีบใส่ปากตนเอง รสชาติเปรี้ยวทำให้เขาขมวดคิ้วทันที “อืม ทำไมดวงวิญญาณของนางฟ้าถึงได้มาอยู่ในร่างคนธรรมดาล่ะ”


โยวเย่ตอบว่า “นายท่านคนก่อนเคยเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟังค่ะ แต่ที่รู้ก็ไม่มากนัก ดูเหมือนว่านางฟ้าที่ทำผิดจะถูกลงโทษให้ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ เมื่อนางฟ้าผ่านความลำบากบนโลกมนุษย์ และชำระล้างบาปในใจได้ เธอก็จะได้กลับสวรรค์”


“ลงมาจุติเผชิญวิบากกรรมสินะ…” ลั่วชิวพูดอย่างเผลอไผล


คุณสาวใช้เอียงหัว


ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ประเทศของเราก็มีตำนานคล้ายๆ กัน ถ้าเซียนบนสวรรค์ทำผิดกฎสวรรค์ก็จะต้องถูกผลักลงมาบนโลกมนุษย์ หลังจากที่เจอความยากลำบากมามากพอแล้ว ถึงจะกลับไปเป็นเซียนได้ใหม่…อืม ในหนังสือตำนานกล่าวไว้ว่าอย่างนี้น่ะ”


คุณสาวใช้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ประเทศของนายท่านมีตำนานเทพเจ้าอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ”


ลั่วชิวมองโยวเย่แวบหนึ่ง


เธอเปิดอ่านสมุดบัญชีในชั้นใต้ดินตามอำเภอใจไม่ได้ แต่ตอนแรกที่ได้รับค่าธรรมเนียม โยวเย่ก็เป็นคนเอาสมุดบัญชีออกมาเองกับมือ


นี่เป็นเรื่องสมัยที่เจ้าของร้านคนก่อนยังดูแลสมาคม อันที่จริงเจ้าของร้านคนก่อนเป็นหนุ่มติดบ้าน ไม่ก้าวพ้นประตูเกินสามก้าว…อืม เป็นหนุ่มติดบ้านและยังหล่อมากด้วย


อีกทั้งต้องคอยดูแลลูกค้าที่มาหาถึงหน้าประตู และบางครั้งยังต้องปรากฏตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงเริ่มมาอยู่ในสมาคมระยะยาว งานการเก็บค่าธรรมเนียมเลยมอบให้โยวเย่ไปจัดการให้เรียบร้อย


รายชื่อที่บันทึกอยู่ในสมุดบัญชี พอใกล้ถึงเวลาแล้วก็จะเตือนคุณสาวใช้คนนี้โดยอัตโนมัติ แต่สิ่งที่เธอสามารถมองเห็นก็มีเพียงแค่เนื้อหาข้อตกลงแลกเปลี่ยนในรายการนี้เท่านั้น


ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เธอคงยังรู้ไม่มากนัก…หรืออาจไม่รู้อะไรเลย


สำหรับเทพทางฝั่งโลกตะวันออกนั้น ก็น่าจะเป็นอะไรที่คล้ายๆ กัน


สวรรค์…เทวโลก



“นายท่านคะ หน้าฉันมีอะไรเหรอคะ?”


โยวเย่มองสายตาลั่วชิวที่กำลังมองตนเอง แล้วเธอก็กะพริบตาถาม


ลั่วชิวส่ายหน้า พูดเสียงเบาๆ ว่า “สบายใจได้ ฉันจ้องเธอ ไม่ใช่เพราะมีอะไรติดหน้าเธอ แต่เธอชอบแต่งตัว ฉันก็แค่ชอบมองเท่านั้นเอง”


แววตาโยวเย่เป็นประกายทันที ลุกขึ้นยืนพูดเสียงเบาๆ ว่า “นายท่านรอสักครู่นะคะ”


ลั่วชิวที่อยากรู้ว่าโยวเย่คิดจะทำอะไรก็เปลี่ยนท่านั่ง เห็นแค่โยวเย่เดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งเท่านั้น


หลังจากนั้นไม่นาน แสงโคมในห้องก็ถูกหรี่จนมืดสลัว เหลือเพียงแสงไฟตามขอบทางเดินเท่านั้น และยังเป็นแสงสีเหลืองนวลอีกด้วย


ระบบเครื่องเสียงที่ติดตั้งข้างๆ จอโทรทัศน์ดังขึ้นมา เสียงดนตรีดึงดูดความสนใจลั่วชิวไปทันที เขามุ่งหน้าไปคว้ากล่องซีดีที่วางอยู่บนเครื่องเสียงนั่นอย่างเผลอตัว


เขามองดูปกซีดีแวบหนึ่ง


‘The Pavilion of Armide*’


นี่เป็นเสียงดนตรีในละครบัลเลต์ชุด ‘The Pavilion of Armide’


ลั่วชิวรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เขามองไปตรงระเบียงทางเดินด้วยความคาดหวัง ในขณะที่เสียงเพลงยังคงบรรเลงเสนาะหู คุณสาวใช้ก็ปรากฏตัวกลางห้องรับแขกในห้องชุดแห่งนี้


ด้วยมีเวลาไม่มาก โยวเย่จึงหาชุดบัลเลต์และรองเท้าบัลเลต์ไม่เจอ แต่เรื่องนี้กลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณสาวใช้เลย


เธอสวมชุดนอนแพรไหมสีดำตัวบาง ซึ่งสามารถเห็นเรือนร่างขาวสะอาดนั่นได้รางๆ นี่เป็นชุดที่เธอพอจะหาได้


ด้วยบนพื้นมีบนพรมอ่อนนุ่มสีขาว จึงไม่จำเป็นต้องใช้รองเท้าบัลเลต์เหมือนกัน


ขาซ้ายของโยวเย่เขย่งขึ้น ปลายเท้าทรงตัวได้อย่างสมบูรณ์ ขาขวาของเธอยื่นไปด้านหลังจนแทบจะขนานกับพื้น และสองมือกางออกข้างตัว


เธอค่อยๆ ขยับแขนช้าๆ จนเหมือนกับปีก


ส่วนตัวของเธอโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย เกี่ยวกับชุดนอนหรือเปล่า?


ภาพที่งดงามย่อมปรากฏขึ้นต่อหน้าลั่วชิวเป็นธรรมดา


เธอกำลังหมุนตัวไปรอบๆ กระโดดขึ้นต่ำๆ ย่ำไปตามจังหวะ ก็เหมือนกับหงส์ดำตัวหนึ่งที่กำลังผ่านทะเลสาบสีสดใสไปอย่างรวดเร็ว


เธออยู่ตรงหน้านายท่าน เต้นรำแบบที่ไม่เคยเต้นให้ใครดู




ชี่ๆ


น่าจะเป็นเสียงทอดไข่ดาว…ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าของสมาคม เขาจึงไม่ต้องการใส่ใจปริมาณการดูดซึมไขมัน ดังนั้น คุณสาวใช้จึงใช้เนยทอดไข่ดาวเพราะมันอร่อยกว่า


พอลั่วชิวได้กลิ่นอาหารมื้อเช้าแล้ว ก็เปิดผ้าม่านห้องรับแขกในห้องชุดออกเพื่อดูวิวยามเช้าของเมืองแห่งนี้สักหน่อย ถือว่าอารมณ์ดีเลยทีเดียว


“นายท่านคะ มื้อเช้าใกล้จะเรียบร้อยแล้ว ของที่ใช้ล้างหน้าแปรงฟันก็เตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงคุณสาวใช้ดังมาจากในครัว


ลั่วชิวยืนเท้าสะเอว แล้วถือโอกาสเปิดทีวี จึงเห็นรายงานข่าวข่าวหนึ่งว่า


“…เวลาประมาณเที่ยงคืนของเมื่อวาน ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ที่เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์เทียทยาคอฟแกลเลอรี่ได้ถูกขโมยไปแล้ว…”


*The Pavilion of Armide ชื่อชุดการแสดงบัลเลต์


บทที่ 25 อิสระกับตัวตลก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยามรุ่งสาง วิคเตอร์ถูกโทรศัพท์สายหนึ่งปลุกให้ตื่น ในขณะที่เขากำลังโอบกอดภรรยา และดื่มด่ำกับความฝันอันงดงามในบ้านพักตากอากาศเขตชานเมือง


โทรศัพท์จากสถานีตำรวจ


เขากำลังอยู่ในช่วงลาพักร้อน แต่หลังจากรับโทรศัพท์แล้ว ก็จำต้องยุติวันหยุดของตนเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วรีบมุ่งหน้าไปพิพิธภัณฑ์เทียทยาคอฟแกลเลอรีที่อยู่ใจกลางเมืองแบบไฟลนก้น


“กาแฟ? หรือนมไหมครับ?”


ตอนที่วิคเตอร์ลงจากรถ คู่หูคนหนุ่มของเขาก็ชูเครื่องดื่มสองแก้วพลางวิ่งเหยาะๆ เข้ามา แต่ วิคเตอร์กลับยื่นมือบอกปัด แล้วเดินฝ่าฝูงชนมุ่งตรงสู่เทปกั้นพื้นที่หวงห้ามโดยไม่หยุดชะงัก


นายตำรวจจ่าหนุ่มเยียร์เกอร์คนนี้ได้แต่ยักไหล่ตามความเคยชิน แล้วถือโอกาสเปิดนมแก้วนั้นดื่มเอง หลังจากดื่มหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วก็เรออิ่ม ก่อนดื่มกาแฟไปอีกหนึ่งแก้ว แล้วจึงเดินตามไป


จะให้เสียของเปล่าๆ ไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องดื่มกาแฟไปด้วย


วิคเตอร์ที่ทำงานอยู่ข้างหน้าตบมือ พลางตะโกนเสียงดังรีบร้อนราวกับไฟลามทุ่งว่า “ผมต้องการพบผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แกลเลอรีแห่งนี้ รวมทั้งผู้รักษาความปลอดภัยภายในครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้ให้ทางสถานีตำรวจตรวจสอบพวกที่เวียนเข้าเวียนออกที่นี่ รวมถึงพวกที่ถูกประกันตัวออกมาเมื่อคืน และพวกที่เพิ่งออกจากคุกมาไม่นานให้ชัดเจนด้วย ว่าพวกนั้นทำอะไรอยู่ที่ไหน! อีกอย่าง อย่าปล่อยให้นักข่าวคนไหนเล็ดลอดเข้ามาได้เด็ดขาด! เร็วเข้า เร็วๆ!!”


พูดจบ วิคเตอร์ถึงได้หันไปทางเยียร์เกอร์ซึ่งเดินมาทางด้านหลัง แล้วดีดนิ้วหลายครั้ง


เยียร์เกอร์จำต้องเดินจ้ำอ้าวมาหยุดตรงหน้าวิคเตอร์ ตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง วิคเตอร์ก็คว้าแก้วกาแฟที่เปิดฝาออกแล้วในมือเขาไป พอดื่มไปอึกหนึ่งก็เข้าไปในแกลเลอรี หรือก็คือที่เกิดเหตุ


เดิมทีเยียร์เกอร์คิดจะพูดอะไรบางอย่าง…แต่เขาคิดว่าไม่พูดคงดีกว่า


เยียร์เกอร์จ้ำอ้าวตามฝีเท้าของวิคเตอร์ไป เขาพูดรัวๆ ว่า “เรื่องของที่ถูกขโมยไป ยามเดินตรวจพบเมื่อเช้าตอนตีห้าครับ แต่ผมถามเบื้องต้นแล้ว ตอนอยู่กะดึกตีสามไม่ได้ยินเสียงน่าสงสัยอะไร และไม่พบร่องรอยของขโมย เงียบมากครับ”


“เวลาช่วงตีสามถึงตีห้าเหรอ” วิคเตอร์พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่พบอะไร… คิดอยากจะหลบกล้องวงจรปิดในพิพิธภัณฑ์ก็เป็นไปไม่ได้ พบเบาะแสอะไรในที่เกิดเหตุบ้างหรือเปล่า?”


“ไม่มีครับ ขนาดรอยเท้าสักรอยก็ไม่พบครับ” เยียร์เกอร์ขมวดคิ้วบอก “ผมดูบริเวณรอบๆ ไปรอบหนึ่งแล้วครับ หน้าต่างของพิพิธภัณฑ์ก็ล็อกจากด้านในทั้งหมด ด้านนอกก็ไม่มีร่องรอยผิดปกติเช่นกันครับ เหมือนว่าภาพนี้หายไปเฉยๆ อย่างนั้นแหละครับ”


“หายไปเฉยๆ?” วิคเตอร์หยุดฝีเท้า ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วพูดว่า “นายคิดว่าเป็นการแสดงของพวกนักมายากลงั้นเหรอ?”


“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกจริงๆ ครับ”


ทั้งสองคนเดินมาถึงจุดแขวนภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่ถูกขโมยไปอย่างรวดเร็ว หลังจากวิคเตอร์สวมถุงมือและถุงคลุมเท้าแล้ว ก็เข้าไปใกล้ผนัง หรี่ตาตรวจดูอย่างละเอียด


เยียร์เกอร์ดูจุดเกิดเหตุนี้ไปแล้วไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง ตอนนี้จึงไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่กำลังคิดว่าหัวขโมยใช้วิธีไหนขโมยภาพนี้ไปกันแน่


อีกอย่าง ที่ขโมยไปก็เป็นแค่ภาพในกรอบเท่านั้น…ส่วนกรอบภาพยังอยู่ที่นี่อย่างดี!


“คุณวิคเตอร์ครับ คุณคิดว่าครั้งนี้เป็นฝีมือเจ้า F&C ไหมครับ?” เยียร์เกอร์ถามลอยๆ


วิคเตอร์นิ่งตะลึง ขมวดคิ้วมีสีหน้าไม่น่าดู




“Freedom&Clown?”


เจ้าของร้านลั่วตื่นเช้าอย่างสดใส


เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักของการมามอสโกครั้งนี้ ซึ่งก็คือการมาท่องเที่ยว หลังจากเที่ยวจุดชมวิวหลายแห่งในช่วงเช้าแล้ว ลั่วชิวก็นั่งลงที่ร้านน้ำชากลางแจ้งร้านหนึ่งตามคำแนะนำของโยวเย่ เห็นบอกว่าขนมร้านน้ำชานี้ก็พอใช้ได้


เจ้าของร้านลั่วรู้ว่าคุณสาวใช้ไม่ต้องกินอาหารอะไร จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า คุณสาวใช้ใช้อะไรมาตัดสินว่าขนมชื่อดังของร้านนี้รสชาติใช้ได้ล่ะ?


คำตอบก็คือ ดูจากภายนอกเอา…ประมาณนั้น


เพื่อให้ขนมเค้กตักเข้าปากได้พอดีคำ โยวเย่ที่ร่วมโต๊ะด้วยจึงกำลังใช้ส้อมเล็กๆ ตัดแบ่งเค้กเป็นคำเล็กๆ ขนาดพอดีตักเข้าปากได้อย่างประณีต แต่ลั่วชิว…เอ่อ ว่างมากเกินไปแล้วจริงๆ ตอนนี้เขาเลยถือโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์


ตามหลักแล้วคุณสาวใช้ที่น่าจะคุ้นเคยกับมอสโกเป็นอย่างมากนั้น ครั้งนี้กลับไม่ได้ให้คำตอบในทันที เธอรับหนังสือพิมพ์จากมือลั่วชิวมา หลังจากกวาดสายตาอ่านแล้วก็พูดเบาๆ ว่า “น่าจะเป็นหัวขโมยที่เพิ่งมีชื่อเสียงเมื่อเร็วๆ นี้นะคะ”


ถ้าเพิ่งโผล่มาหลังจากสมาคมย้ายออกไปแล้ว จะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร


ลั่วชิวกลับพูดอย่างสนใจยิ่งว่า “แต่ใช้ชื่อ ‘อิสระกับตัวตลก’ มาเป็นนามแฝงของตัวเองก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”


เจ้าของร้านลั่วพูดอย่างนึกสนุกว่า “เธอว่าคุณหัวขโมยคนนี้จะใส่หน้ากากตัวตลกตอนก่อคดีด้วยหรือเปล่า?”


โยวเย่อ่านหนังสือพิมพ์ในมือใหม่อีกครั้งหนึ่ง คิดพลางพูดว่า “หนังสือพิมพ์รายงานว่า ตอนนี้ F&C ได้ก่อคดีสำเร็จมามากกว่าสิบครั้งแล้วค่ะ ทุกครั้งก็หนีไปได้อย่างง่ายดาย…อืม มีหลายครั้งที่ประกาศข่าวการขโมยให้รู้ล่วงหน้าแล้วค่อยไปขโมยของ ที่เหลือก็ไปขโมยก่อน แล้วค่อยประกาศแสดงตัวในภายหลัง ดังนั้นแทบจะจับแนวทางการก่อคดีไม่ได้เลย และไม่มีใครรู้เพศของเขาแน่ชัดด้วยค่ะ คราวนี้ ‘ภาพสุภาพสตรีนิรนามหายไป’ ก็อาจเป็นฝีมือเขา บางทีผ่านไปไม่นานก็อาจจะเห็นประกาศของเขาค่ะ”


จากคำแนะนำของโยวเย่เมื่อครู่นี้ เจ้าของร้านลั่วซึ่งสมัครบัญชีผู้ใช้ VK ไว้แล้ว จึงถือโอกาสตอนนี้เปิดใช้ดูเสียเลย พบว่าในโซเชียลเน็ตเวิร์คกำลังพูดคุยกันเรื่องภาพมีชื่อเสียงที่หายไป


“ ที่แท้ ‘อิสระกับตัวตลก’ คนนี้ก็มีแฟนคลับเยอะมากเลยนะ” ลั่วชิวเริ่มอ่านผลงานของหัวขโมยผู้ยิ่งใหญ่คนนี่ผ่านๆ “…อืม ทุกครั้งหลังจากก่อคดีก็จะบริจาคเงินให้กับการกุศลในนามของตัวเอง? ในสังคมนี่ยังมีการขโมยแปลกๆ ที่ไปปล้นคนรวยช่วยคนจนอยู่อีก อ๋อ…แถลงการณ์ต่อสาธารณชนแล้วด้วย”


นี่คือวิดีโอช่วงหนึ่งที่อัปโหลดในเว็บ VK


ด้านหน้าฉากสีขาวบริสุทธิ์ เห็นเพียงแค่ภาพครึ่งตัวที่สวมหน้ากากตัวตลกและสวมหมวกทรงสูงสีดำ แม้แต่เสียงก็ถูกดัดแปลง แท้จริงแล้วไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าคนนี้เป็นชายหรือหญิงกันแน่


“ฉันคือ F&C เมื่อคืนภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่หายไปในพิพิธภัณฑ์ได้มาอยู่ในมือฉันแล้ว”


มีแค่ประโยคเดียว คลิปสั้นๆ ไม่กี่วินาที ชั่วพริบตาก็เล่นจบแล้ว แต่ความคิดเห็นด้านล่างกลับพูดกันสนั่น


มีคนสงสัยว่านี่ไม่ใช่ F&C ตัวจริง เพราะว่าการแถลงการณ์ครั้งนี้มาเร็วเกินไป


และก็มีคนโต้แย้งว่านี่จะเป็น F&C หรือเปล่าก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ไหนแต่ไร F&C ก็ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว มักจะทำให้คุณตกใจได้เสมอ


แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการพูดคุยกันว่าครั้งนี้ F&C จะบริจาคให้กับองค์กรการกุศลไหน พวกเขาถึงขั้นประเมินราคากันแล้ว ด้วยมูลค่าที่ไม่อาจประเมินได้ของภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ จำนวนเงินบริจาคครั้งนี้จะมากมายเพียงใด


“สุภาพสตรีคนสวย ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติฉันแสดงมายากลให้คุณชมสักครั้งไหมคะ?”


ด้านหน้าที่นั่งดื่มชา ลั่วชิวและโยวเย่ที่ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือนิ้วมือเรียวยาว และขาวสะอาดมากคู่หนึ่ง


บทที่ 26 มายากลของโยวเย่

โดย

Ink Stone_Fantasy

เธอใส่ชุดสูทสีน้ำเงินเข้ากันดีกับเสื้อเชิ้ตคอกลม ตัวสูงแต่กลับซีดขาวเล็กน้อย และยังมีผมสั้นที่ดูคล่องแคล่ว…สายตาของลั่วชิวหยุดอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายพักหนึ่ง


ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่านี่เป็นใบหน้าที่งามประณีตมากๆ และก็ไม่ต้องสงสัยว่า…นี่คือคุณผู้หญิงที่แต่งตัวไม่ชาย ไม่หญิงออกกลางๆ มากคนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี


ค่อนข้างเท่มาก


“นักมายากลริมถนน?” ลั่วชิวถามอย่างประหลาดใจ ขณะที่กำลังมองดูสาวมาดเท่ ที่ปรากฏตัวกะทันหันผู้นี้ แล้วจึงมองรอบด้านตัวเองเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ


เขาไม่อยากกลายเป็นคนที่ติดอยู่ในภาพวิดีโอของคนอื่น แล้วตกเป็นเป้าบนเว็บ VK หรือแม้กระทั่งบน YouTube ให้พวกผู้ชมที่เอาแต่ดูไม่แสดงความคิดเห็นและไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงพูดแขวะ


“วางใจเถอะ ไม่มีคนถ่ายวิดีโอหรอกค่ะ” หญิงสาวสุดเท่ยิ้มเล็กน้อย


เท่มากจริงๆ นะ…ลั่วชิวพยักหน้าในใจไม่หยุด เพียงแต่ว่าหญิงสาวมาดเท่คนนี้กลับไม่ได้ละสายตาไปจากโยวเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเลย


กล่าวได้ว่าในแววตาที่งดงามนั้นแฝงการค้นหาและความใฝ่หาที่งดงามเอาไว้…คาดว่ายังมีความเร่าร้อนอีกส่วนหนึ่งด้วยล่ะมั้ง


“ทั้งสองคนเป็นคู่รักกันเหรอคะ?” เธอถามทันที


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “พวกเราเป็นคนที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป”


“ว้าว…”


สาวเท่มีตาเป็นประกาย ราวกับชื่นชมอย่างไรอย่างนั้น


จากนั้นเธอก็แบมือทั้งสองของตัวเองออกต่อหน้าลั่วชิวและโยวเย่ นั่นเป็นมือเปล่า เธอถึงขนาดพลิกแขนเสื้อของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าตรงนี้ก็ไม่ได้ซ่อนของใดๆ เอาไว้


ลั่วชิวกำลังชื่นชมดวงตาสีเขียวมรกตราวหยกเขียวของอีกฝ่าย ในฐานะนักมายากล ควรจะมีดวงตาดึงดูดผู้คนได้มากแบบนี้


สาวเท่หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาจากโต๊ะของทั้งสองคน มือซ้ายของเธอกำเป็นกำปั้น แล้วใช้มือขวายัดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในกำปั้นซ้ายช้าๆ


เธอเริ่มหรี่ตาสีเขียวมรกตอันน่าหลงใหลของตัวเองลง แล้วยื่นกำปั้นซ้ายไปตรงหน้าโยวเย่ ก่อนยิ้มน้อยๆ พร้อมพูดว่า “เป่าให้ฉันทีหนึ่งได้ไหมคะ?”


พอได้รับอนุญาตของลั่วชิวแล้ว โยวเย่จึงเป่าลมเบาๆ ไปหนึ่งครั้ง


นักมายากลสาวเท่คนนี้เก็บกำปั้นของตัวเองกลับมา อีกทั้งยังจูบบนกำปั้นเบาๆ แล้วยื่นออกมาอีกครั้ง ตรงข้างหน้าลั่วชิวและโยวเย่ ก่อนคลายนิ้วออกช้าๆ


ดอกไม้สีฟ้าผลิบานอยู่ในฝ่ามือของเธอพอดี


นี่เป็นดอกไม้มีกลีบซ้อนทับกัน อีกทั้งยังมีสีสันสวยสดงดงามราวกับขนนกที่แตกกระจาย


“คอร์นฟลาวเวอร์เหรอคะ” คุณสาวใช้ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดชื่อดอกไม้ออกมา


นักมายากลสาวเท่คนนี้ยิ้มแบบผู้ดี “มีเพียงสีฟ้าของมันถึงขับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของคุณให้โดดเด่นได้ มอบให้คุณค่ะ คุณผู้หญิงของฉัน”


โยวเย่ยื่นมือออกไปหยิบคอร์นฟลาวเวอร์ดอกนี้จากในมือของเธอ ตอนที่เพิ่งจะหยิบกลีบดอกของมันไว้ จู่ๆ ก็มองลั่วชิวแล้วพูดว่า “ฉันแสดงมายากลสักอย่างด้วยแล้วกันค่ะ”


“เธอทำได้เหรอ?” ลั่วชิวค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย


โยวเย่วางคอร์นฟลาวเวอร์ดอกนี้บนมือ และเลียนแบบที่นักมายากลข้างทางคนนี้ทำตอนแรก มือน้อยๆ กำเป็นกำปั้น ส่วนมืออีกข้างก็กำเป็นกำปั้นยื่นออกไป มือทั้งสองทำท่าทางตัดสลับกันครั้งหนึ่ง


จากนั้นก็หยุดอยู่กลางอากาศ


ตอนนี้คุณสาวใช้กำลังมองนักมายากลสาวเท่คนนี้แล้วพูดว่า “คุณเดาสิคะว่ามันอยู่มือไหน?”


นักมายากลสาวคนนี้อึ้งไป ถึงแม้ว่าเธอจะแสดงท่าทีสบายๆ แต่ในฐานะที่เป็นนักมายากล แววตาของเธอดูมุ่งมั่นเป็นพิเศษ พลังการสังเกตที่มองได้อย่างครบถ้วนก็เหมือนกับสัญชาตญาณติดตัว มันได้แทรกซึมเข้าไปในทุกๆ การมองเห็นในชีวิตประจำวัน


แต่ตอนนี้เอง เธอกลับไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าคอร์นฟลาวเวอร์ดอกนี้ไปอยู่ในกำปั้นไหนกันแน่


เธอมองไม่เห็นท่าทางสลับสับเปลี่ยนใดๆ ของเด็กสาวที่หน้าตาสวยมากๆ ตามหลักการ ท่าทางสับเปลี่ยนทั้งหมดควรอยู่ในสายตาของเธอตลอด แต่ถ้าหากอยู่ในกำปั้นเดิม แล้วจะเป็นมายากลได้ยังไง


บางทีนี่อาจเป็นเพียงเกมจิตวิทยาธรรมดาๆ ก็ได้นี่?


“ไม่ทายเหรอคะ?” โยวเย่ถามเสียงเบาๆ


ริมฝีปากนักมายากลสาวเท่คนนี้ขมุบขมิบเล็กน้อย แล้วก็แสดงรอยยิ้มมั่นใจออกมา ยื่นนิ้วมือออกไปชี้กำปั้นเล็กๆ ของโยวเย่ที่จับคอร์นฟลาวเวอร์เอาไว้ก่อนหน้านี้


“แน่ใจนะคะ?”


“ถ้าทายผิด มื้อนี้ฉันเลี้ยงทั้งสองก็แล้วกัน” เธอพูดอย่างสุขุมนุ่มลึก


ตอนที่คุณสาวใช้แบมือข้างที่เธอชี้ออกทีละนิ้วราวกับดอกไม้ผลิบาน สาวเท่ก็อดเผยอริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อยไม่ได้…จนสุดท้ายฝ่ามือที่ว่างเปล่าก็ได้แบออกจนหมด


เธอผิวปากหนึ่งครั้งทันที ไม่เห็นความเจ็บใจเลยแม้แต่น้อย และมองดูกำปั้นอีกข้างของโยวเย่ ซึ่งกำลังแบออกเช่นกัน


ไม่มีอะไรเหมือนกัน


“เอาเถอะ ฉันคิดว่าฉันพบยอดฝีมือเข้าแล้ว” สาวเท่คนนี้ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างสง่าผ่าเผย “ตามสัญญา ฉันจะเลี้ยงเอง…อย่างนั้นไม่รบกวนคุณทั้งสองแล้ว”


เจ้าของร้านลั่วมองด้านหลังของสาวเท่คนนี้ที่เดินไปเช็กบิลทางเคาน์เตอร์ ก่อนพูดอย่างขบขันว่า “ใช้เปลวไฟสีดำเผาคอร์นฟลาวเวอร์ดอกนี้ ไม่คิดว่าน่าเสียดายเหรอ?”


คุณสาวใช้พิจารณาเจ้าของร้านลั่วอีกครั้ง…แล้วตอบคำถามที่ชวนให้คนฟังรู้สึกดีเสมอ


“นอกจากของขวัญของนายท่าน ยังต้องรักษาของอย่างอื่นอีกเหรอคะ?”เธอเอียงหัวเล็กน้อยทำให้ต่างหูเพชรที่ห้อยลงมาคู่นั้นขยับเบาๆ


เธอใส่มันมาตลอดตั้งแต่วันนั้น


ลั่วชิวเคาะนิ้วเบาๆ บนโต๊ะ แล้วเลียนแบบท่าทางนักมายากลของเธอ นิ้วมือหดงอเป็นกำปั้น จากนั้นก็แบออก แล้วคอร์นฟลาวเวอร์ที่สดสวยอีกดอกก็ปรากฏขึ้น


“ไปที่ไหนต่อดีล่ะ?”




ตอนที่เวร่าเช็กบิลเดินออกมา ก็มองไม่เห็นชายหญิงโต๊ะนั้นแล้ว เธอเดินมาที่หน้าโต๊ะนี้ จู่ๆ ก็ย่อตัวลงมองดูใต้โต๊ะก็ไม่เจออะไร


เธออดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ จากนั้นก็นั่งลงย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างละเอียด…หลอกตาเธอไปได้ยังไงกันแน่?


“หือ? คุณเวร่าที่รัก ขอโทษนะ นี่คุณกำลังขำอะไรครับ?”


ในตอนนี้เอง ชายอายุราวๆ สามสิบสองสามสิบสามปีคนหนึ่งที่อุ้มของใช้และอาหารในถุงกระดาษถุงหนึ่งก็มาปรากฏในสายตาเธอ


“ถ้าฉันบอกนายว่าฉันเจอคนที่หลอกตาทั้งสองข้างของฉันได้ นายจะเชื่อไหม?” เวร่าเอียงหัว แล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับเอ่ยขึ้น


ผู้ชายอ้าปากค้างอย่างตกใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าแบบงุนงง “ไม่เชื่อ”


“ฮ่าๆ!” เวร่าส่ายหน้า “ฉันก็ไม่เชื่อ”


“เอาล่ะ ไม่พูดล้อเล่นแล้ว”ผู้ชายนั่งลงมาทันที พูดสีหน้าจริงจังว่า “คุณดู VK แล้วหรือยัง?”


“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เวร่าพูดถามไปตามน้ำ


“อืม F&C เพิ่งจะอัปโหลดวิดีโอตอนหนึ่งไปบน VKยอมรับว่าตัวเองขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพนั้นไป!”


เวร่าล้วงช็อกโกแลตคิสห่อหนึ่งออกมาจากชุดที่สวมอยู่ แล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง “วิคก้า เมื่อคืนนี้ฉันได้ไปพิพิธภัณฑ์แกลเลอรีมาไหม?”


วิคก้าพูดว่า “คุณเดินละเมอเหรอครับ?”


เวร่ายิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องสนุกแล้ว…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม