สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 ตอนที่ 9.4-10.4
บทที่ 9 เดิมพันชีวิต (4)
โดย
Ink Stone_Romance
“คอยดูเถอะ หากพวกเขาจะเอาเรื่องจริงๆ ข้ารับรองว่าไม่เกินสามเดือนก็จะไม่มีชื่อจวนติ้งเป่ยโหวอยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน” ฉู่สวินหยางกล่าว
ไม่มีจวนติ้งเป่ยโหว?
สาวใช้สองคนสบตากัน…
ท่านหญิงคำพูดนี้ไม่ใช่ว่าน่ากลัวเกินไปหรอกหรือ?
ความหมายก็คือ ฮ่องเต้จะถอดยศจวนติ้งเป่ยโหว?
แต่ว่าเรื่องนี้สกุลจางต่างหากที่เป็นผู้ประสบชะตากรรม
เรื่องที่ลำดับความสำคัญผิดเช่นนี้ จะไม่โดนผู้คนนินทาหรอกหรือ?
เวลานี้ฮ่องเต้มีความแข็งแกร่งทั้งยังเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกล เหตุใดจึงจะต้องออกหน้าให้ฉู่หลิงอวิ้นเพื่อเป็นขี้ปากชาวบ้านล่ะ?
“ท่านหญิงคำกล่าวนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ?” ชิงหลัวตะลึงไปจึงตั้งสติขึ้นก่อนกล่าว
“ฝ่าบาทคงไม่ยอมเอาเกียรติและชื่อเสียงมาเสี่ยงแลกกับฉู่หลิงอวิ้นเป็นแน่ เว้นแต่ว่าฉู่หลิงอวิ้นนางจะสามารถพลิกสถานการณ์ให้เขาได้ เขาจะต้องรับไว้อย่างแน่นอน ถือโอกาสกำจัดจวนติ้งเป่ยโหวที่เขาไม่ชอบใจออกไปก็เท่านั้น เจ้ากังวลเรื่องพวกนั้นหรอกหรือ…แน่นอนว่าจะไม่เกิดขึ้นหรอก” ขณะที่ฉู่สวินหยางพูดก็ส่ายหน้ายิ้มขึ้นมาอย่างทันที ไม่ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะตั้งใจหรือเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวภายในใจ เรื่องครั้งนี้ล้วนแต่ตอบสนองความต้องการให้ฮ่องเต้ได้สมหวัง “ตามแผนฮ่องเต้ของพวกเรา วิธีการที่แยบยลของเขานั้นมีอยู่มาก อย่างเช่นพูดว่าปีก่อนที่จวนติ้งเป่ยโหวดูแลรับผิดชอบการซ่อมแซมชลประทานช่องทางน้ำในฝูเจี้ยนได้สำเร็จ เวลานั้นราชสำนักแบ่งเงินจัดสรรก้อนใหญ่ให้เขาล้านตำลึง…”
ในฐานะที่ฮ่องเต้เป็นผู้ก่อตั้งแคว้น ระบบปกครองจึงเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะจงเกลียดจงชังขุนนางที่ทุจริต
ชิงหลัวสติกลับคืนมาทันที เผยใบหน้าเคร่งครึมยังไม่รู้ตัว “ความหมายของท่านหญิงคือ ฝ่าบาทจะอาศัยเรื่องเงินก้อนโตที่เขาได้รับจากการซ่อมแซมช่องทางน้ำในตอนนั้น มาจัดการกับจวนติ้งเป่ยโหวหรือเจ้าคะ?”
“นี่เป็นโอกาสที่มีอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้คดโกง เพียงแค่ฝ่าบาทพูดมาคำเดียว ไม่ได้โกงก็คงต้องโกงแล้ว” ฉู่สวินหยางกล่าว เงาในดวงตานั้นสะท้อนกับแสงแดด ประกายความเย็นเยียบออกมาเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นนางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินฉู่ฉีเฟิงยกขึ้นมาพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่จางติ่งได้ดูแลการซ่อมแซมช่องทางน้ำในฝูเจี้ยนก็เป็นการหลวกลวงเบื้องบน โกยผลประโยชน์ได้ไปไม่น้อย
และเวลานี้นางก็ยิ่งคิดไปถึงชาติก่อน ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั้นเป็นคนแบบไหนก็ยากจะคาดการณ์ออก แม้แต่ลูกชายคนโตที่ตัวเองให้ความสำคัญที่สุด องค์รัชทายาทนั้นยังถูกคุมขังในคุกใต้ดินภายในคืนเดียว ทั้งยังสั่งเข่นฆ่าสายเลือดทั้งสกุลของเขา
กับแค่จวนติ้งเป่ยโหวเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้นับว่าเป็นอันใด?
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกวุ่นวายใจ ถึงแม้จะผ่านไปนานมากแล้ว ในใจก็ยังคงติดอยู่กับความเศร้าใจ
“แต่ว่าก็เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก” นางเก็บสีหน้าโดยพลัน ลุกขึ้นอย่างหน่ายๆ เดินเข้าไปใกล้หน้าต่างก่อนจะกล่าว “ช่วงนี้จวนอ๋องหนานหนานเหอทางฝั่งนั้นมีการเคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน เหลือศัตรูที่อาฆาตแค้นอย่างจวนติ้งเป่ยโหวไว้เพื่อตักเตือนก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ลูกชายสกุลจางก็คงต้องตายเสียเปล่า ฮ่องเต้จะวางแผนอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่ถึงกับกล้าเดิมพันชีวิตไว้กับเขาหรอก เป้าหมายของนางคือวังโซ่วคังต่างหาก เพียงแค่วังหลังยังมีฮองเฮาอยู่ล่ะก็ นางก็คงหลบหลีก…ความตายได้อย่างเสมอ เว้นเสียแต่จะลอบปลงพระชนม์ที่ต้องรับโทษหนัก มิเช่นนั้นใครก็ไม่อาจทำอะไรนางได้ นี่…จึงทำให้ฉู่หลิงอวิ้นทำการโดยไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เหตุผลแท้จริงที่กล้าเดินหมากมาในเส้นทางนี้ไงล่ะ”
หากไม่มีคนหนุนหลังเช่นนี้ อาศัยแค่ฉู่หลิงอวิ้น จะสามารถดึงจางอวิ๋นเจี่ยนให้พินาศไปด้วยกันได้อย่างไร?
เมื่อฉู่สวินหยางพูดออกมาเช่นนี้ สาวใช้ทั้งสองคนจึงเข้าใจแจ่มชัดขึ้นมาทันที
แท้จริงแล้วฮองเฮานั้นให้ความสำคัญกับท่านหญิงอันเล่อเป็นอย่างมาก ถูกนางปลอบประโลมจนได้ใจไป ไม่ว่านางจะทำความผิดอย่างไร ก็ล้วนแต่ปกป้องทุกวิถีทาง!
ทั้งฉู่หลิงอวิ้นยังเป็นคนที่ฉลาด เดิมทีก็ไม่อาจหลงเหลือหลักฐานการฆาตกรรมสามีให้ผู้อื่นพบเห็นได้ แม้ว่าสกุลจางจะเอาเรื่องขึ้นมา ท้ายที่สุดก็คงจะทำได้แค่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป
“สองวันนี้จับตามองความเคลื่อนไหวของสองจวนนี้ให้ละเอียด” ฉู่สวินหยางชั่งน้ำหนักในใจเล็กน้อยก่อนกล่าว
“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวพยักหน้า หมุนกายเดินไปด้านนอกเรือน กลับพบกับฉู่ฉีเฟิงที่เดินเข้ามาจากด้านนอก
“ท่านชาย!” ชิงหลัวคำนับทักทาย
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าราบเรียบพลางก้าวเท้าเดินเข้าประตูมา
ฉู่สวินหยางหันกลับไปมอง เผยยิ้มจนเห็นฟัน “ท่านพี่เหตุใดจึงมาเวลานี้ล่ะ?”
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ค่อยดี จึงไม่อ้อมค้อมกับนาง เปิดปากออกไปตรงๆ “เรื่องของฉู่หลิงอวิ้น เจ้าคงรู้หมดแล้วใช่หรือไม่?”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกหัว “ได้ยินว่าทางสกุลจางฝั่งนั้นเกิดความเคลือบแคลงใจจึงกำลัง…”
พูดได้ครึ่งเดียวฉู่สวินหยางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยหยุดคำพูดที่เกริ่นขึ้นก่อนหน้าลง ก่อนสายตาจะประกายวาบ บิดหน้ามองไปทางชิงเถิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ชิงเถิงตกตะลึง หดคอลงทันที เกรงกลัวจนก้มศีรษะลงไป
ก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางไม่ได้คิดอย่างละเอียด เวลานี้สติกลับมาจึงรู้สึกแปลกๆ…
หากฉู่หลิงอวิ้นเพียงเพื่อต้องการสลัดจางอวิ๋นเจี่ยนทิ้ง จากความฉลาดของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เหตุใดวันหนึ่งจึงปล่อยให้สกุลจางเกิดความสงสัยได้ ทั้งยังไต่สวนอย่างเอิกเกริกขึ้นมา?
เว้นเสียแต่ว่า…
นางจงใจ…
และหากนางจงใจก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่จะ…
เป็นฉู่ฉีเหยียนที่ออกคำสั่ง และพวกเขาก็มีจุดประสงค์อื่น
“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!” ฉู่สวินหยางถามออกไปอย่างจริงจัง อดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงเรื่องอื่นอีก
ฉู่ฉีเฟิงเพียงเห็นปฏิกิริยาของชิงเถิงก็รู้ทันทีว่านางพยายามปิดบังความจริงของข่าวลือบางส่วนกับฉู่สวินหยาง เขานั่งลงดื่มชาไปหนึ่งคำจึงค่อยกล่าวขึ้น “บ่าวสกุลเฉินหลุดปากปล่อยข่าวลือออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจว่าเมื่อวานกลางดึกฉู่หลิงอวิ้นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่เหยียนหลิงจวินอย่างลับๆ”
ฉู่สวินหยางอึ้งไปพักใหญ่
ชิงเถิงเห็นสีหน้าของนางจึงรีบร้อนอธิบาย “ล้วนแต่เป็นข่าวลวงเจ้าค่ะ อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องจริง”
ใจของฉู่สวินหยางกลับไม่ได้ดีขึ้นตามมาด้วย นางค้อมกายนั่งลงก่อนจะเบะปากกล่าวกับฉู่ฉีเฟิง “เขาตั้งใจที่จะปล่อยข่าวรั่วไหลออกมาใช่หรือไม่?”
อย่างนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่าเหตุใดฉู่หลิงอวิ้นถึงปล่อยให้เรื่องแดงเร็วขนาดนี้
แต่เหตุใดนางจึงส่งจดหมายไปให้เหยียนหลิงจวินกลางดึก กระทั่งเมื่อคืนก่อนนางก็ไม่สนใจสายตาใครตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นกับพวกเขา วันนี้ล้วนแต่ความจริงปรากฏชัด
การแสดงปาหี่แบบเด็กๆ เช่นนี้ก็เพื่อมุ่งเป้าไปที่เหยียนหลิงจวิน?
เมื่อเทียบกันอีกฝ่ายเก่งกว่านางจริงๆ!
นางคิดจะสู้ให้รู้แล้วรู้รอด คนพวกนั้นก็ให้นางใช้ กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1] เลยอย่างนั้นหรือ
ปั่นหัวคนอื่นได้ดีเลยจริงๆ!
ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้ตอบกลับไปก็เหมือนตอบรับโดยปริยาย เพียงกล่าวว่า “ฮูหยินติ้งเป่ยโหวเข้าวังไปร้องเรียนเรียบร้อยแล้ว เวลานี้คาดว่าคงจะวุ่นวายขึ้นมาแล้ว”
“คนสกุลจางนับว่าเคลื่อนไหวเร็วดีจริงๆ” ฉู่สวินหยางหัวเราะ
คนเลวพวกนั้นแตกคอกันเอง นางไม่จำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจ
สักพักความคิดของนางก็พลิกกลับมาอีกด้าน มองไปทางฉู่ฉีเฟิงอีกครั้งก่อนกล่าว “ท่านพี่ ท่านตั้งใจมาบอกข่าวพวกนี้กับข้า คงยังมีเรื่องอยากจะพูดอีกใช่หรือไม่?”
“สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นเหลือไว้ก็นับเป็นปัญหา” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอย่างรวบรัดชัดเจน
“ท่านจะบอกว่า…” ฉู่สวินหยางกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย
“โอกาสยากที่จะคว้า” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า “ในเมื่อนางส่งมาที่หน้าประตูด้วยตนเอง พวกเราก็คงต้องผลักเรือตามน้ำช่วยนางกำจัดปัญหาครั้งนี้ออกไป”
ฉู่หลิงอวิ้นนับว่าเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่มีต่อชื่อเสียงหลัวฮองเฮา ถึงแม้เรื่องครั้งนี้ปะทุขึ้นมานางคงต้องลมจับ แต่ว่าอย่างไรก็ยังคงปกป้องฉู่หลิงอวิ้นเพื่อให้วันหลังนางได้ผงาดขึ้นอีกครั้งอยู่ดี แทนที่จะให้เป็นเช่นนี้มิสู้ทำให้ถึงที่สุดไปเลยดีกว่า
ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่ในใจ มองไปทางฉู่ฉีเฟิงด้วยท่าทีจริงจัง “ท่านมั่นใจแค่ไหน?”
“สิบส่วน!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวออกมาสองคำด้วยความเด็ดขาด
ฉู่สวินหยางมองประกายวิบวับที่ปรากฏบนหน้าเขา ดึงสติกลับมาไม่ทันจึงมึนงงไปชั่วขณะ
ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่อธิบาย เพียงแต่กะพริบตาให้นางพลางยิ้มอย่างมีความนัย เขาดื่มชาอีกคำก่อนจะวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้น “ข้าจะเข้าวังสักหน่อย เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสอดมือ ตอนเย็นไม่มีเรื่องอันใดก็รีบพักผ่อนซะ”
“อืม!” ฉู่สวินหยางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ยืนขึ้นเพื่อส่งเขา “เย็นมากแล้ว เดินทางก็ระวังด้วยนะท่านพี่”
“เข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงแย้มยิ้มตบไหล่นาง ก่อนจะยกชุดคลุมขึ้นเดินก้าวยาวออกไป
ชิงเถิงเกร็งคอทอดสายตามองจนเขาจากไป ในใจกลับคิดว่าเมื่อครู่เขาพูดสองคำนั้นออกมาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม คงจะมีแผนการในใจอยู่แล้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจึงมองไปทางฉู่สวินหยางด้วยความสงสัย “ท่านหญิง ท่านชายจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
“เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง” ฉู่สวินหยางก็เลียนแบบท่าทางของเขาเมื่อครู่แย้มยิ้มกะพริบตาส่งให้นาง จากนั้นก็ก้าวกลับไปนั่งที่ตั่งเก็บลายปักดอกไม้นั้นขึ้นมาเย็บอีกครั้ง
ฉู่หลิงอวิ้นอยากจะลองเชิงกับเหยียนหลิงจวิน นางเก่งสู้คนอื่นไม่ได้หรอก!
อยากจะเล่นชิงไหวพริบ…
ฉู่ฉีเหยียนนับว่ามีฝีมือ ส่วนฉู่หลิงอวิ้นน่ะหรือ ไม่มีค่าที่จะให้มองด้วยซ้ำ
————————————
[1] กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ เป็นกลยุทธ์ที่วิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำศึกสงคราม ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าก็ควรหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจของศัตรู
บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ภายในห้องทรงอักษร
การเผชิญหน้ากันของจวนติ้งเป่ยโหวและจวนอ๋องหนานเหอ
ฮูหยินแซ่จางหยิบผ้าเช็ดหน้าปกปิดดวงตาที่แดงก่ำ ร้องไห้กล่าวทุกข์อย่างน้อยใจมาครึ่งชั่วยามแล้ว
“ฝ่าบาทเพคะ ลูกชายของหม่อมฉันตายอย่างไม่เป็นธรรม ขอฝ่าบาทได้โปรดตัดสินพระทัย คืนความเป็นธรรมให้แก่พวกเราสกุลจางด้วยนะเพคะ!” ฮูหยินแซ่จางกล่าว ร้องไห้จนอ่อนแรงพลางกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกเราสกุลจางสายตรงเหลือผู้สืบทอดเพียงสองคนเท่านั้น ปีนั้นพ่อสามีมาด่วนจากไปเสียก่อน จึงเหลือเพียงนายใหญ่โหวเพียงคนเดียว ตอนนี้เจี่ยนเอ๋อร์ยังมาถูกคนทำร้ายเช่นนี้ ภายภาคหน้าหากพวกเราสองสามีภรรยาไปสู่ปรโลกแล้วคงไม่มีหน้าไปพบเขาเป็นแน่เพคะ!”
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ สกุลจางก็เพียงอ้างผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ส่วนตัวของฝ่าบาทเท่านั้น
หลายปีมานี้ เพื่อที่ว่าฮ่องเต้จะไม่สูญเสียชื่อเสียงในด้านการทดแทนบุญคุณ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสกุลจาง เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่บ้าง มาวันนี้ก็เริ่มหงุดหงิดใจ ทั้งเวลานี้ฮูหยินจางยังนำเรื่องที่พ่อสามีเคยช่วยเหลือเขามากดดัน เพื่ออยากให้เขาคืนความเป็นธรรมให้จางอวิ๋นเจี่ยน
ฮ่องเต้มีสีหน้าไม่ยินดี ยังคงสดับรับฟังอย่างเงียบๆ ไม่พูดจาอันใด
จางติ่งก้มหัวลงคุกเข่าอยู่ข้างฮูหยินแซ่จาง ตั้งแต่เริ่มก็ไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ แท้ที่จริงเขาก็ไม่เห็นด้วยที่จางฮูหยินจะมาเอะอะอย่างนี้ ทว่าเมื่อคิดว่าลูกชายอาจจะถูกฉู่หลิงอวิ้นผู้หญิงอสรพิษคนนั้นทำให้ตาย หัวใจเขาก็เหมือนถูกมีดกรีด ดังนั้นจึงกัดฟันยอมมาให้รู้แล้วรู้รอดไป
ในที่สุดฮ่องเต้ก็เริ่มหน่ายกับเสียงร้องไห้ของฮูหยินแซ่จาง ใช้สายตาเย็นเยียบมองไปที่จางติ่ง “ติ้งเป่ยโหว สิ่งที่ฮูหยินพูดมาทั้งหมดเป็นจริงหรือ? เจ้าก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
ในใจของจางติ่งตุ๊มๆ ต่อมๆ เดิมทีก็กำลังเหม่อลอยอยู่ เมื่อฟังจบจึงรีบพยักหน้ารับ “ฝ่าบาท สกุลจางของข้าเดิมทีก็ไม่ได้แข็งแกร่งอันใด มาวันนี้เกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้ กระหม่อมก็รู้ว่าฝ่าบาทมีราชกิจมากมาย ไม่ควรจะเอาเรื่องของสกุลจางมาเพิ่มความลำบากให้พระองค์ แต่ว่านี่…”
ในขณะที่เขาพูดก็เผยสีหน้าลำบากใจชั่วครู่ “ฮูหยิน หากนางไม่ได้ข้อสรุป ก็จะไม่ยอมอะไรทั้งนั้น ท่านหญิงอันเล่อเป็นคนของราชวงศ์ กระหม่อมก็มิบังอาจ จึงอยากจะขอให้ฝ่าบาทช่วยตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮูหยินแซ่จางถึงแม้จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่เป็นคนที่ไร้สมอง หากไม่ได้มีอะไรอยู่ในใจ นางก็คงไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาโวยวายอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เห็นสองสามีภรรยาคู่นี้ตัดสินใจแน่วแน่อย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในใจก็เริ่มเกิดความรู้สึกยุ่งยากที่กำลังจะตามมา
หลี่รุ่ยเสียงก้าวไปด้านหน้านวดขมับให้เขา
ผ่านไปสักครู่ เย่าสุ่ยก็เดินเข้ามาจากด้านนอก กล่าวรายงาน “ฝ่าบาท ท่านหญิงอันเล่อมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังมี…”
เวลานี้ฮ่องเต้กำลังหงุดหงิดใจ จึงไม่รอให้นางพูดจบก็โบกมือ “ให้เข้ามา!”
คำพูดของเย่าสุ่ยถูดขัดไว้ในลำคอ เหลือบสายตามองไปยังหลี่รุ่ยเสียง ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากนั้นสักพัก ด้านนอกก็ปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ฮูหยินแซ่จางที่กำลังร้องไห้ราวจะขาดใจก็เริ่มมีสติขึ้นมา หันศีรษะไปอย่างทันที เมื่อเห็นฉู่หลิงอวิ้นเดินตามเย่าสุ่ยมาด้านหลัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็กระโจนเข้าใส่ ก่อนที่ผู้อื่นจะตระหนักได้ นางก็ตบอีกฝ่ายไปสี่ห้าครั้งแล้ว ทั้งยังกัดฟันด่าด้วยความโมโหไปพลาง “นังสารเลว!”
ที่นี่เป็นห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ ใครก็ไม่คาดคิดว่านางจะกล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งในสถานที่แบบนี้
ฉู่หลิงอวิ้นถูกนางตบจนสับสนมึนงง เพียงแต่รู้สึกปวดแสบที่ใบหน้ายิบๆ ครึ่งค่อนวันสติก็ยังไม่กลับคืนมา จนกระทั่งได้ยินเสียงเย่าสุ่ยร้องเรียกคนขึ้นมาเพื่อช่วยดึงฮูหยินแซ่จางเอาไว้ด้วยความตกใจ “บังอาจ! ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ยังกล้าลงมือถึงเพียงนี้!”
“นางฆ่าลูกข้าของข้า นังสารเลวคนนี้ เป็นนางที่สังหารลูกข้า!” ฮูหยินแซ่จางที่ถูกคนดึงเอาไว้ยังคงตะโกนร่ำไห้ พยายามจะเข้าไปตบตีฉู่หลิงอวิ้นอีก
คนแซ่เจิ้งเดินเข้ามาด้วยกันกับฉู่หลิงอวิ้น เมื่อครู่ก็ตกใจจนมึนงง ตกตะลึงอยู่นาน จนเวลานี้สติก็ยังไม่กลับคืนมา
ตอนที่ฮูหยินจางโกรธเกรี้ยวอย่างบ้าคลั่ง ด้านหลังกลับมีคนเปล่งน้ำเสียงเยือกเย็นที่น่าเกรงขามขึ้นมาด้วยเสียงดัง “บังอาจ! คนแซ่หลิวเจ้ากล้ายิ่งนัก ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท สมควรที่จะไร้มารยาทมุทะลุเช่นนี้หรือ? ในสายตาของเจ้ายังมีฝ่าบาทอยู่หรือไม่ รวมทั้งข้ายังอยู่ในสายตาของเจ้าหรือไม่?”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตะลึงไป เมื่อมองไปตามเสียง จึงพบว่าหลัวฮองเฮาก็ตามมาเช่นกัน
นางอยู่ในอาการป่วย มองดูแล้วคล้ายยังอ่อนแรง เวลานี้กลับหน้านิ่วคิ้วขมวดกล่าวไปที่ฮูหยินแซ่จางด้วยความโมโห
ฮูหยินแซ่จางถึงแม้จะโมโหแต่ก็ไม่ถึงกับอยากจะเอาชีวิตไปทิ้ง เมื่ออาศัยด้วยเหตุผลของตน บวกกับความโกรธที่พุ่งขึ้นหน้าจึงพลั้งลงมือไป เวลานี้เห็นหลัวฮองเฮาโมโห เหงื่อจึงซึมทั่วร่างไปชั่วขณะ คุกเข่าลงอย่างลุกลนด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “กระหม่อมผิดไปแล้วเพคะฮองเฮา กระหม่อม…กระหม่อมเพียงแต่โมโหขึ้นมาชั่วขณะ…”
“อะไรคือโมโหขึ้นมาชั่วขณะ ข้าเห็นได้ชัดว่าเจ้าคิดไม่ซื่อ ไม่เห็นข้าและฝ่าบาทอยู่ในสายตา!” หลัวฮองเฮากล่าวด้วยความโกรธ ชี้นิ้วที่สั่นไหวไปทางนาง “ต่อหน้าข้าเจ้ายังกล้าลงมือกับหลานสาวข้าอย่างนั้นรึ? บังอาจยิ่งนัก!”
ในขณะที่นางพูด ก็ใช้สายตาดุดันกวาดไปทางจางติ่งที่รีบเข้ามาดึงฮูหยินแซ่จางที่ด้านหลัง “สกุลจางของพวกเจ้าช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน หากไม่รู้ก็คิดว่าทั่วทั้งใต้หล้าคงต้องทำตามสกุลจางของพวกเจ้า!”
คำพูดนี้เมื่ออกมานับว่าเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว
ทั้งจางติ่งและฮูหยินพลันเข่าอ่อนโดยพลันคุกเข่าลงมาทันที
“ขอฝ่าบาทฮองเฮาโปรดเมตตา!” จางติ่งรีบหมุนกายก้มหัวไปยังฮ่องเต้ที่นั่งด้านหลังด้วยความอลหม่าน “ภรรยาของกระหม่อมไม่รู้จักสูงต่ำ ไม่ทำตามกฎระเบียบ กระหม่อมไร้ความสามารถที่จะสอนสั่ง กระหม่อมยินดีรับโทษ แต่ขอฝ่าบาทได้โปรดเมตตา ไม่เอาความกับนางที่มีความรู้ต่ำกว่าด้วย!”
ระหว่างที่พูดเขาก็ลอบดึงตัวฮูหยินแซ่จางครั้งหนึ่ง
ฮูหยินแซ่จางถูกพุ่งเป้ามาจึงมึนไปชั่วครู่ ครั้งที่แล้ว นางเข้ามาอาละวาดในวังเพื่อกดดันให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสฉู่หลิงอวิ้นให้แก่ลูกชาย เวลานั้นฮ่องเต้เพียงด่าไม่กี่ประโยคก็ตอบรับแล้ว จากครั้งนั้นเป็นต้นมาความกล้าของนางก็มีมากขึ้น ครั้งนี้จึงกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ ขณะนี้ถูกหลัวฮองเฮาทุบหัวอย่างแรงจึงค่อยดึงสติกลับมา…
ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ เพียงอาศัยการกระทำจากนางเมื่อครู่ ฮ่องเต้สั่งให้ลากนางออกไปตัดหัวก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
“เป็นกระหม่อมที่ไร้มารยาท…กระหม่อมสมควรตาย…กระหม่อมสมควรตาย ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษเพคะ!” ในใจของฮูหยินแซ่จางหวาดกลัวจึงหมอบคลานโขกหัวกับพื้นอยู่อย่างนั้น ผ่านไปสักครู่หน้าผากก็กลายเป็นสีม่วงช้ำ
ทางด้านของคนแซ่เจิ้งที่เห็นลูกสาวถูกตบจนแก้มบวม น้ำตาก็ร่วงลงทันที ในใจรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บหรือไม่? เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะตามหมอมาดูให้เจ้า”
ฉู่หลิงอวิ้นก็ยังคงอึ้งงุนงงอยู่ วันนี้นางรู้สึกว่าเป็นวันที่นางพบกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต จู่ๆ ก็ถูกคนสกุลจางโจมตีกระหน่ำตบ ราวกับทั้งชีวิตนี้ได้รับความอัปยศอดสูพร้อมกันภายในวันเดียว
เวลานี้เส้นผมที่ยุ่งเหยิง นางก็ไม่มีกะจิตกะใจจัดแต่งแล้ว เพียงแต่ใช้ดวงตาที่คลอเคล้าด้วยน้ำตามองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร ก่อนจะคุกเข่านั่งลงไป “หลานคารวะเสด็จปู่ ไม่ทราบว่าเสด็จปู่ตามหลานมาอย่างเร่งร้อนมีรับสั่งอันใดหรือเพคะ?”
“เจ้ายังเสแสร้งอยู่อีกหรือ?” ฮูหยินแซ่จางทนไม่ได้จึงเอ็ดออกไป แต่เมื่อจะเปิดปากออกไปอีกครั้งก็ถูกจางติ่งดึงไว้ นางจึงหยุดปากเอาไว้ น้ำตาที่เอ่ออยู่ก็ไหลลงมาทันที กล่าวกับฝ่าบาทที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษร “ฝ่าบาท ท่านหญิงอันเล่อและคนของนางสังหารลูกชายของข้า นางฆ่าลูกชายของข้า! ขอฝ่าบาทได้โปรดตัดสินพระทัย คืนความเป็นธรรมให้แก่พวกเราสกุลจางด้วยเพคะ!”
ฉู่หลิงอวิ้นยังไม่ทันได้กล่าวอะไรคนแซ่เจิ้งก็รู้สึกไม่ยินดีขึ้นมาแล้ว นางก้าวไปด้านหน้า คุกเข่ากล่าวกับฮ่องเต้
“ฝ่าบาท จางอวิ้นเจี่ยนผู้นั้นพลัดตกน้ำ เรื่องนี้หากจะพูดแล้วซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวก็เห็นกับตาตัวเองอยู่เหมือนกัน คนสกุลจางกลับพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง สาดน้ำสกปรกมายังอวิ้นเอ๋อร์ ฝ่าบาท ได้โปรดตัดสินแทนอวิ้นเอ๋อร์ด้วยเพคะ!”
“ตัดสิน? เจ้ายังกล้าพูดว่าตัดสินงั้นรึ?” ฮูหยินแซ่จางอดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา
ฮ่องเต้มองทั้งสองคนโต้เถียงกัน ใบหน้าจึงเผยสีดำราวกับเขม่าก้นหม้อตั้งนานแล้ว
ท่าทีของหลัวฮองเฮาเห็นได้ชัดว่ากำลังช่วยฉู่หลิงอวิ้นด้านนั้นอยู่ เขาจึงส่งเสียงขึ้นจมูกกล่าวไป “คนแซ่หลิว หากจะกล่าวหาก็ต้องมีหลักฐาน ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าฉู่หลิงอวิ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของจางอวิ๋นเจี่ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำหลักฐานมาแสดงให้คนเชื่อให้ได้ มิเช่นนั้น…โทษกล่าวร้ายแก่ราชวงศ์อย่างไรเจ้าก็หนีไม่พ้น!”
จากความคิดของนาง ฉู่หลิงอวิ้นตอนแรกที่แต่งให้กับจางอวิ๋นเจี่ยนก็ไม่ได้มีท่าทีเต็มใจ ทั้งในความคิดของคนปกติ…
การที่ฉู่หลิงอวิ้นจะสังหารจางอวิ๋นเจี่ยนสำหรับนางแล้วก็ไม่มีผลดีสักนิด
หลัวฮองเฮาไม่เชื่อ ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย
“กระหม่อมมีหลักฐานแน่นอน!” แววตาของฮูหยินแซ่จางสั่นสะท้าน รีบร้อนเช็ดน้ำตากล่าว “ขอฝ่าบาทและฮองเฮาอนุญาตให้กระหม่อมพาตัวพยานเข้ามาด้วยเพคะ”
หลัวฮองเฮามองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษร ฮ่องเต้นั้นเบนตาไปทางอื่นอย่างหงุดหงิดใจ
ความคิดของเขาและหลัวฮองเฮาขัดแย้งกัน…
พูดว่าฉู่หลิงอวิ้นทำอะไรเขาย่อมเชื่อ แน่นอนว่า ก่อนที่หลักฐานจริงๆ จะออกมาก็ยังไม่ขจัดความเป็นไปได้ที่นางจะถูกคนวางแผนใส่ร้ายออก
หลัวฮองเฮาพยักหน้าเล็กน้อย
แม่นมเหลียงรับปากก่อนจะออกไป ผ่านไปไม่นานก็นำบ่าวและสาวใช้สกุลจางเข้ามา
ทุกคนล้วนแต่ก้มหน้าหลบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจมองไปที่ใต้อิฐทองตรงที่นั่งของฮ่องเต้…
บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (2)
โดย
Ink Stone_Romance
หากไม่ใช่ว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเจ้านาย อาศัยฐานะของพวกเขา อย่าพูดเลยว่าจะได้พบฮ่องเต้ เพียงแค่ประตูใหญ่หน้าวังก็ยังจะผลักเข้ามาไม่ได้ แต่ละคนล้วนแต่รวบรวมสติ ตื่นเต้นจนเหงื่อออกท่วมฝ่ามือ
“คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนของจวนกระหม่อมที่คอยรับใช้เรือนตะวันตกของนัง…เอ่อ ท่านหญิงและเจี่ยนเอ๋อร์เพคะ”
ฮูหยินแซ่จางกล่าวพลางชี้ไปที่สาวใช้ที่ดูมีอายุคนหนึ่ง “เจ้าจงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็นจวบจนถึงวันนี้ แจกแจงให้ละเอียดถี่ยิบเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ! คืนก่อนนั้นท่านหญิงออกจากจวนไป กลับมาก็กินเวลานานแล้วเจ้าค่ะ เวลานั้นใกล้จะถึงค่อนคืนแล้ว ท่านหญิงบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่อยากให้พวกบ่าวอยู่ขวางหูขวางตา จึงไล่พวกบ่าวให้กลับไปนอนโดยเร็วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นกล่าว ตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย “หลังจากนั้นวันนี้ตอนเช้าตรู่ที่เพิ่งจะสว่างก็ได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางเรือนตะวันตก ตอนที่พวกบ่าวรีบไปก็พบว่า…คุณชายรอง…คุณชายรองเสียแล้วเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะบ่าวสกุลจางของเจ้ามากกว่าที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง” คนแซ่เจิ้งกล่าวเนื่องไม่เห็นด้วย ปรายสายตาเย็นเยียบมองผ่านไปทางอื่น
ฮูหยินแซ่จางถูกนางขัดจนพูดไม่ออกอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเชิดคอใส่กล่าวกลับไปอย่างไม่น้อยหน้า “อยู่ดีๆ หากไม่ใช่ว่าในใจนางมีแผนร้ายอะไร เหตุใดจะต้องใช้ข้ออ้างให้บ่าวพวกนั้นออกไปด้วยเล่า? ตอนเช้าตรู่ที่พวกเราไปถึงลูกชายของข้าก็ไปเสียแล้ว ยามนั้นมีเพียงนางที่อยู่ในที่เกิดเหตุ หากจะพูดว่านางจงใจผลักลูกชายข้าตกน้ำก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
“พูดให้ถึงที่สุดแล้ว ก็ยังไม่พ้นเป็นการคาดคะเนของเจ้าเพียงคนเดียวนั่นแหละ!” คนแซ่เจิ้งยิ้มเย็น “หากว่านี้ใช้เป็นหลักฐานได้ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเดินไปชี้ผู้หนึ่งตรงถนนข้าก็สามารถพูดได้แล้วว่าเขาเป็นคนเลวฆ่าผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินแซ่จางนั้นปักใจเชื่อไปแล้วว่าอย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นฆาตรกร จึงพยายามทุ่มอย่างสุดตัว ประกายแววตาดุดัน “นางเป็นลูกสาวของท่าน เจ้าย่อมพูดแก้ตัวแทนนางอยู่แล้ว อย่างไรเรื่องที่นางลอบสังหารลูกชายของข้าก็เป็นเรื่องจริง ต่อหน้าฝ่าบาทและฮองเฮาในวันนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดจะดิ้นออกไปจากกฎบ้านกฎเมืองง่ายๆ!”
คนแซ่เจิ้งก็ไม่ยอมแพ้ ใช้มือเช็ดน้ำตาก่อนจะมองไปทางฮูหยินแซ่จางกล่าวถามกลับไป
“พวกเจ้าสกุลจางคิดว่าสูญเสียลูกชายแล้วจึงสามารถใส่ร้ายผู้อื่นมั่วซั่วได้อย่างนั้นรึ? เจ้าพูดนักพูดหนาว่าอวิ้นเอ๋อร์ฆ่าลูกชายของเจ้า เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย การตายของลูกเจ้า มีประโยชน์อันใดกับอวิ้นเอ๋อร์? ตอนนี้เจ้าไม่มีลูกชาย นางก็ไม่มีสามีเช่นกัน ที่พึ่งของชีวิตหลังจากนี้ก็ไม่มีแล้ว จะว่านางบ้าหรือโง่อย่างนั้นหรือถึงจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงไป?”
ฮูหยินแซ่จางกล่าวอย่างเรียบเย็น “เช่นนั้นก็ต้องถามลูกสาวสุดที่รักของเจ้าแล้ว เจ้าถามนางสิว่าเมื่อวานยามดึกนางออกไปทำอะไรลับลมคมใน! พระชายาท่านก็ใช่ว่าจะไม่มีหูมีตา ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น* ข่าวลือหนาหูขณะนี้อย่าพูดเลยว่าท่านไม่ทราบ ลูกสาวที่เจ้าเลี้ยงดูมากับมือมีนิสัยอย่างไรเจ้าจะไม่รู้เลยงั้นรึ? ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องซุบซิบนินทาให้ทั่วกันว่านางกับใต้เท้าเหยียนหลินหมอหลวงผู้นั้นแอบติดต่อกันอย่างลับๆ แต่ข้าก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด ยังคิดว่านางเป็นคนดี ให้นางแต่งกับเจี่ยนเอ๋อร์มาเป็นลูกสะใภ้ ไหนเลยจะคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนังแพศยา แท้จริงแล้ว แท้จริงแล้ว…กลับทำร้ายลูกข้าอย่างไร้ยางอายเช่นนี้!”
“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?” คนแซ่เจิ้งเมื่อได้ฟังคำกล่าวหยาบคายพวกนั้นจึงโกรธหน้าแดงขึ้นมา ตอนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เย่าสุ่ยกลับเข้ามาจากด้านนอกเสียก่อน กล่าวรายงานว่า “ฝ่าบาท ซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวและภรรยามาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮูหยินแซ่จางที่คิดไปเองว่ากำลังเสริมมาถึงแล้ว ดวงตาจึงเป็นประกายทันที
หลังจากฉู่หลิงอวิ้นเข้าประตูมาก็ไม่ได้โต้แย้งให้ตัวเองสักคำ เวลานี้นางก้มหน้า ทว่าสายตากลับประกายวาบ ดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“ให้เข้ามาได้!” ฮ่องเต้เผยใบหน้าราบเรียบเปล่งออกมาเพียงหนึ่งคำ
เย่าสุ่ยรับคำสั่งเดินออกไป จากนั้นสักพักจางอวิ๋นอี้และคนแซ่เฉียนภรรยาของเขา ก็ก้มหัวเดินอย่างอ่อนน้อมเข้ามา
“กระหม่อมจางอวิ๋นอี้ ถวายพระพรฝ่าบาท ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากเดินเข้าประตูมาเขาก็รีบพาภรรยาคุกเข่าคำนับ
ฮ่องเต้เพียงแต่ตอบรับ “อืม” อย่างเย็นชา ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ฮูหยินแซ่จางราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายได้ก็มิปาน รีบหมุนกายคว้าเสื้อคลุมเขาเอาไว้ “อี้เอ๋อร์ เจ้ามาได้เวลาพอดี เรื่องราวตอนเช้าเป็นเจ้าที่เห็นกับตาตนเอง เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ เรือนทางตะวันตกในตอนนั้นมีอะไรน่าสงสัยอีกหรือไม่?”
ในขณะที่นางพูดก็บิดหน้า จ้องตาเขม็งไปยังสองแม่ลูกคู่นั้น กัดฟันกล่าวว่า “ใช่นังแพศยาคนนี้หรือไม่ที่เป็นคนฆ่าน้องของเจ้า?”
“ท่านแม่ ท่านเสียใจจนเลอะเลือนไปแล้วล่ะ!” ใจของจางอวิ๋นอี้นั้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ทว่าใบหน้ายังพยายามรักษาท่าทีอาการความโศกเศร้าเอาไว้ จับมือฮูหยินแซ่จางก่อนปลอบ “เวลานั้น…”
หากฮูหยินแซ่จางจะกัดฉู่หลิงอวิ้นไม่ปล่อย ผู้หญิงคนนั้นถ้าถูกต้อนนักเข้า คงไม่มิวายที่จะต้องลากเขาไปรับโทษด้วย
จางอวิ๋นอี้รีบร้อนเข้าวังมา เพราะต้องการเกลี้ยกล่อมให้แม่ยกเลิกความคิดนี้ซะ
ฉู่หลิงอวิ้นก็คาดคะเนถึงจุดนี้เหมือนกัน ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ล้วนแต่มีแผนการอยู่ในใจอยู่แล้ว จึงไม่ได้โต้แย้งแทนตัวเองออกไปสักคำ…
เพียงแค่จางอวิ๋นอี้ออกหน้ายืนยัน ฮูหยินแซ่จางคนนั้นก็จะรู้สึกเหมือนตบหน้าตัวเองเช่นกัน
ฮูหยินแซ่จางใบหน้าเปลี่ยนสี
จางอวิ๋นอี้ยังพูดไม่ทันจบ กลับเป็นคนแซ่เฉียน ผู้ที่ตามเขาเข้ามา จู่ๆ ก็กัดฟันกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน “ฝ่าบาท ฮองเฮา
เพคะ กระหม่อมเพิ่งจะได้ตัวพยานมาอีกสองคน สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบได้ ขอฝ่าบาทและฮองเฮาอนุญาตให้พาตัวคนพวกนั้นเข้ามาด้วยเพคะ!”
คนแซ่เฉียนถึงแม้จะเป็นภรรยาของซื่อจื่อจวนติ้งเป่ยโหว แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางคนมากมาย ผู้คนกลับไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง
จู่ๆ นางก็เอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงทำให้ทุกคนล้วนก็แล้วแต่รู้สึกตกใจไปตามกัน
“ฮูหยิน…” จางอวิ๋นอี้กลัวก็แต่ว่านางเป็นภรรยาที่มักจะคลุกตัวอยู่ในบ้านอาจจะใช้คำพูดผิดเพราะไม่ค่อยรู้กฎ จึงรีบดึงแขนเสื้อนางด้วยความกระวนกระวาย
คนแซ่เฉียนกลับยืดตัวตรงขึ้น มองไปทางฝ่าบาทที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร สะบัดแขนออกจากมือเขาเงียบๆ
ฮ่องเต้มองพินิจไปที่นางชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “นำตัวเข้ามา!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” คนแซ่เฉียนก้มหน้าขอบคุณ
แววตาของนางดูสงบเยือกเย็น ทว่าข้างในกลับรู้สึกมั่นใจอยู่ไม่กี่ส่วนเท่านั้น
ภรรยาของจางอวิ๋นอี้แต่ไหนแต่ไรก็มีนิสัยอ่อนโยนและนุ่มนวล นี่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งจะเห็นนางแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ในใจของนางจู่ๆ ก็เกิดสังหรณ์ใจที่ไม่ดีขึ้นมา อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับไม่สามารถพูดออกมาในสถานการณ์แบบนี้ได้
การกระทำของคนแซ่เฉียนดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากมาย สายตาของคนส่วนมากจึงจับจ้องไปที่นอกตำหนัก หลักจากนั้นไม่นานก็มองเห็นองค์รักษ์ผลักคนสองคนที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาเข้ามาด้านใน
ฉู่หลิงอวิ้นนั้นใบหน้าซีดเผือด แทบจะกระโดดลุกขึ้นมาอยู่รอมร่อ
คนทั้งสองนั้นเห็นได้ชัดว่าถูกรุมทำร้ายมา ทั่วทั้งใบหน้านั้นปูดบวมราวกับหัวหมู เดิมทีก็ไม่มีคนมองออก ทว่าเพียงแค่ฉู่หลิงอวิ้นมองพริบตาเดียวก็มองออกแล้วว่าสองคนนี้…
เป็นองค์รักษ์คนสนิทข้างกายของนาง หลี่สิงและหลี่อี้
ฉู่หลิงอวิ้นกระวีกระวาดขึ้นมาอย่างทันใด ดันตัวเองขึ้น รีบวิ่งไปขวางด้านหน้าของสองคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กล่าวว่า “เกิดเหตุอันใดกับพวกเจ้าทั้งสอง? ใครกันที่ทำร้ายพวกเจ้า?”
คนทั้งสองคนดูท้อแท้สิ้นหวัง ราวกับถูกทำให้หมดอาลัยตายอยากแทบไม่มีสติแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ
“สองคนนี้เป็นองค์รักษ์ข้างกายของท่านหญิงอันเล่อ ในเมื่อท่านหญิงยอมรับว่ารู้จักพวกเขา เรื่องหลังจากนี้ก็ง่ายขึ้นมาแล้ว!” คนแซ่เฉียนกล่าวขึ้น “พวกเจ้าทำอะไรลงไป ก็พูดความจริงต่อหน้าฝ่าบาทด้วยตัวเองเถิด!”
พวกหลี่สิงเวลานี้นั้นใจเย็นเยียบจนไร้ความรู้สึก ฉู่หลิงอวิ้นก็ใจร้อนดั่งไฟ แม้นางจะไม่รู้ว่าสองคนนี้ตกไปอยู่ในมือของคนแซ่เฉียนได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็กระวนกระวายใจจำต้องแย่งสองคนนี้กลับมาให้ได้
นางอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หลี่อี้กลับไม่รอให้นางได้เอ่ยปากก็คุกเข่าลงไปกล่าวกับฮ่องเต้ “สามีของท่านหญิงถูกพวกเราสองพี่น้องผลักตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ พวกเราเองที่เป็นคนสังหาร ขอฝ่าบาทได้โปรดลงโทษ!”
น้ำเสียงของเขาเด็ดเดี่ยว เห็นได้ชัดว่าเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว
หลี่สิงก็คุกเข่าลงไปไม่พูดขัดเช่นกัน
พวกเขาถูกจับมาจนถึงที่นี่ก็รู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีทางหนี อีกฝ่ายให้เขารับผิดแทนการกระทำของฉู่หลิงอวิ้น แต่ว่าคนทั้งสองก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาอยู่จวนอ๋องหนานเหอแค่วันสองวัน ดังนั้นจึงรู้ดีแก่ใจ หากพวกเขาถูกลากเข้ามาเกี่ยวกับฉู่หลิงอวิ้นแล้วภายหลังก็คงหมดหนทางที่จะถอยหนี แต่หากรับความผิดเอง แล้วปกป้องฉู่หลิงอวิ้น…
วันนี้พวกเขาหลบอยู่ในจวนอ๋องหนานเหอ คุ้มกันเรือนด้านหลังอย่างเข้มงวดก็ยังถูกคนใช้กำลังบังคับให้ออกมา ทั้งอีกฝ่ายยังรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลพวกเขาอย่างชัดเจน หากพวกเขากล้าทำเรื่องไม่ดี เมื่ออีกฝ่ายตามหาพวกเขาเจอครั้งที่หนึ่งแล้ว ก็ย่อมหนีไม่พ้นครั้งที่สองเป็นแน่
อย่างไรก็ดูเหมือนทางตายทั้งขึ้นทั้งล่อง เช่นนั้นมิสู้เลือกเส้นทางที่พบกันคนละครึ่งทางเช่นนี้
ร่างของฮูหยินแซ่จางนั้นโงนเงน น้ำตาหลั่งไหลออกจากขอบตา ถลาเข้าไปอาละวาดกับสองคนนั้น “พวกเจ้าฆ่าลูกชายของข้า พวกเจ้าคืนลูกข้ามาเดี๋ยวนี้! คืนลูกข้ามา!”
จางอวิ๋นเจี่ยนและคนแซ่เฉียนรีบเร่งเข้าไปดึงนาง
คนแซ่จางร้องไห้จนทั่วทั้งร่างอ่อนแรง มองไปทางฉู่หลินอวิ้นที่มึนงงอยู่ ก่อนจะพ่นน้ำลายกล่าวออกไป “เจ้ายังจะพูดอะไรอีกหรือไม่? คนมันคนหน้าไม่อาย นังอสรพิษ!”
ฉู่หลิงอวิ้นถูกนางพ่นคำพูดออกมาเต็มหน้า อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจ ยืนงงหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
คนแซ่เจิ้งเมื่อเห็นเช่นนั้นก็กระวนกระวายใจ รีบร้อนเข้าไปหยิบผ้ามาเช็ดให้นาง กล่าวกับฮูหยินแซ่จางไปพลางว่า
“แค่เพียงบ่าวสองคน คำพูดของพวกเขาเป็นจริงหรือไม่ยังต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งถ้าหากพวกเขาเป็นคนทำ แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับอวิ้นเอ๋อร์เล่า?”
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าบอกมา ว่าใครเป็นคนบงการพวกเจ้า? เป็นนังสารเลวนั่นใช่หรือไม่?” ฮูหยินแซ่จางกล่าวพลางเช็ดน้ำตา “อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาแล้วพวกเจ้าก็พูดออกมา พูดออกมาให้ชัดเจน!”
“ไม่มีคนบงการขอรับ!” หลี่สิงกล่าว ใบหน้าราวกับเห็นความตายใกล้เข้ามา “พวกเราสองพี่น้องสูญเงินพนันจึงไปกู้เงินประทับตรา อยากจะขอสามีของท่านหญิงนำเงินออมส่วนตัวออกมาให้ใช้ฉุกเฉิน ทว่าเขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดิมทีพวกข้าก็แค่โกรธเขาเท่านั้น อยากจะเพียงข่มขู่ แต่นึกไม่ถึงว่าจะพลั้งมือไป!”
น้ำเสียงของคนทั้งสองดูจริงจัง
ฮูหยินแซ่จางโกรธจนอกรัดแน่น
คนแซ่เจิ้งที่เห็นเหตุการณ์ ในใจรู้ดีว่าอย่างไรสองคนนี้ก็ไม่อาจลากลูกสาวไปติดร่างแหได้ ในอกพลันสว่างวาบขึ้นมา ดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด ยกคิ้วมองไปทางจางอวิ๋นอี้ “ในเมื่อเป็นการกระทำของบ่าวสองคนนี้ แต่ข้ากลับจำได้ว่า ก่อนหน้านี้จางซื่อจื่อเหมือนจะบอกว่า ตนเองเห็นน้องชายพลัดตกน้ำไปกับตามิใช่หรอกหรือ?”
จางอวิ๋นอี้ตกตะลึง ศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นทันที
ฉู่หลิงอวิ้นกลับตกใจยิ่งเสียกว่า อยากจะหยุดปากนางไว้แต่ก็เกรงว่าหากทำเช่นนั้นคนอื่นจะต้องสงสัย ในใจร้อนรนทว่าก็กัดฟันข่มเอาไว้
——————————————–
*ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น อุปมาว่าหากไม่มีมูลเหตุ เรื่องจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (3)
โดย
Ink Stone_Romance
จางอวิ๋นอี้มีท่าทีหลบหลีก ประเดี๋ยวก็มองไปที่ฉู่หลิงอวิ้น ประเดี๋ยวก็ก้มหัวมองที่พื้น ท้ายที่สุดก็ฝืนใจกล่าวออกไป “ตอนนั้นฟ้ายังไม่สว่างมาก ข้าจึงอาจจะตาลายไป อีกทั้ง…เวลานั้นใครจะคิดว่ามีคนใจกล้าทำเรื่องเช่นนี้…”
พูดโกหกต่อหน้าฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าความกล้าของเขายังมีไม่พอ พลั้งปล่อยความขลาดออกมาอย่างง่ายดาย
ฮ่องเต้ประกายตาวาบ เหลือบมองผ่านฉู่หลิงอวิ้นที่ทำท่าทีกระวนกระวายใจไป จึงเผยใบหน้าราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ เข้าใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ชั่วทั้งชีวิตของเขาล้วนแต่ยืนอยู่เหนือมวลชน มีอำนาจในการทำให้เรื่องราวพลิกเปลี่ยน ถึงแม้จะไม่มีคนกล้านินทา
แต่เมื่อพบฉู่หลิงอวิ้น หลานสาวที่ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ทั้งถูกเขามองเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
ในช่วงเวลานั้น ดวงตาของโอรสสวรรค์ก็ปรากฏจิตสังหารที่เยือกเย็นประกายออกมา เพียงแต่ตอนที่สองสกุลโต้เถียงกันอย่างไม่หยุดข้างล่างจึงมองไม่เห็นความรู้สึกนี้ไป มีเพียงหลี่รุ่ยเสียงเท่านั้นที่รู้สึกถึงได้อย่างชัดเจน
หลังจากหลัวอี้ตาย ในใจของหลัวฮองเฮาก็มีแต่ความคับข้องใจ วันนี้จึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะมาปกป้องฉู่หลิงอวิ้น จึงไม่สนใจจะไปสืบสาเหตุเบื้องลึกเบื้องหลัง กล่าวไปด้วยเสียงเรียบเย็น “ในเมื่อเรื่องราวล้วนคลี่คลายแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้จบเพียงเท่านี้เถิด บ่าวสองคนนี้ใจกล้าไม่เกรงกลัวอันใด ลากลงไปแล่เนื้อเถือหนังซะ เรื่องนี้ต่อไปก็ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีก”
“ฮองเฮาเพคะ…” ฮูหยินแซ่จางร้องเสียงแหลม จะต้องปล่อยฉู่หลิงอวิ้นไปเช่นนี้น่ะหรือ?
หลัวฮองเฮาเหลือบตามองนางอย่างไม่ยินดี
ฮูหยินแซ่จางถึงแม้จะโมโหอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าที่จะท้าทายกับนางอย่างเปิดเผย ลังเลอยู่นานก็ยังหลับตาลงอย่างฝืนใจกล่าวไป “เพคะ หม่อมฉันเคารพในการตัดสินพระทัยของฮองเฮาเพคะ!”
ตอนที่พูดว่าการตัดสินพระทัยของฮองเฮานั้นเห็นได้ชัดว่ากัดฟันพูด
สีหน้าของหลัวฮองเฮาดูไม่ค่อยดี นางกดความโกรธเอาไว้มองไปยังฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระองค์ว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดีเพคะ?”
“ในเมื่อเรื่องราวชัดเจนขึ้นแล้ว บ่าวสองคนนั้นก็ตัดสินโทษตามที่ฮองเฮากล่าวไว้เถิด!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ คนแซ่เจิ้งจึงค่อยวางใจลง ก่อนที่จะได้ยินเขากล่าวอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาโดยมองตรงไปทางฉู่หลิงอวิ้น “สามีเพิ่งจะตาย ในฐานะที่เจ้าเป็นภรรยาก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาหน่อย กลับไปก็เก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าตรู่ออกเดินทางไปวัดก่วงเหลียนถือศีลภาวนาแทนเขาซะ!”
การสาดน้ำเย็นใส่หน้าจังๆ เช่นนี้ ทำให้สองแม่ลูกแซ่เจิ้งหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ
คำสั่งครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการขับไล่ธรรมดาอย่างแน่นอน ฮ่องเต้…พระองค์จะ…
คนแซ่เจิ้งตื่นกลัวขึ้นมา รีบหันกายคุกเข่าลงกล่าวกับฮ่องเต้ทันที “ฝ่าบาท ในจวนของกระหม่อมเองก็มีห้องโถงพระ
อวิ๋นเจี่ยนเด็กคนนั้นน่าสงสารจริงๆ อวิ๋นเอ๋อร์เป็นภรรยาให้นางถือศีลเคร่งครัดก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควร แต่พระองค์ว่า…”
วัดก่วงเหลียนห่างจากเมืองหลวงนับสามสิบลี้ ถึงแม้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่สุดแล้วก็ไกลเหลือเกิน คนแซ่เจิ้งไหนเลยจะยอมให้ลูกสาวไปตกระกำลำบากอยู่ที่นั่น?
หน้าของหลัวฮองเฮาก็เปลี่ยนสีเช่นกัน กล่าวออกไปอย่างสองจิตสองใจ “ฝ่าบาท…”
“พอแล้ว!” ฮ่องเต้กลับไม่รอให้นางพูดจบก็กล่าวขัดขึ้นมา หันไปกล่าวกับฉู่หลิงอวิ้น “ข้าบอกให้เจ้าไปเจ้าก็ต้องไป
จะพูดเรื่องไร้สาระอะไรออกมาตั้งมากมาย?”
เห็นได้ชัดว่าเป็นการร้องขอจากคนแซ่เจิ้งและหลัวฮองเฮา ทว่าฮ่องเต้กลับนำความโมโหทั้งหมดมาลงที่ตัวนาง
ใจของฉู่หลิงอวิ้นเย็นเยือกเป็นพักๆ เริ่มเข้าใจอย่างเลือนราง…
เกรงว่าในใจของฮ่องเต้จะเกิดความไม่พอใจต่อนางแล้ว
“เพคะ!” นางใช้แรงขบมุมปาก คุกเข่าขานรับด้วยเสียงแผ่วเบา
แม้จะไม่สามารถจัดการคนเลวให้ตายได้ แต่ว่าการที่นางได้ถูกส่งไปตกระกำลำบากในสถานที่ที่รกร้างห่างไกลผู้คนเช่นนั้นก็ทำให้รู้สึกสะใจไม่น้อย
ฮูหยินแซ่จางก็นับว่ากู้หน้าขึ้นมาได้
ใบหน้าของหลัวฮองเฮาและคนแซ่เจิ้งนั้นยากที่จะมองเป็นที่สุด ทว่าฮ่องเต้ก็โบกมือกล่าว “แยกย้ายกลับไปได้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนต่างก็ค่อยๆ ลุกขึ้นคำนับ
จางอวิ๋นอี้และคนแซ่เฉียนพยุงมือของฮูหยินจางคนละข้างเดินออกมาด้านนอก เพิ่งจะถึงปากประตู กลับพบเข้ากับ
ฉู่อี้หมินที่สีหน้าดูไม่ค่อยดี หอบฎีกากองใหญ่เดินเข้ามาจากด้านนอก จึงยกมือหยุดจางติ่งและลูกชายไว้ กล่าวเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้าพ่อลูกจวนติ้งเป่ยโหวรั้งอยู่ก่อนเถิด ออกไปเดี๋ยวก็ได้กลับเข้ามาใหม่ จะเสียเวลาเปล่าๆ!”
ทุกคนพลันหยุดฝีเท้าลง
ฉู่อี้หมินเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สองมือหอบเอากองฎีกาถวายให้กับฮ่องเต้ที่โต๊ะทรงอักษร กล่าวว่า “เสด็จพ่อ นี่เป็นหลักฐานความผิดที่ฝ่ายตุลาการเพิ่งจะรวบรวมไม่นานมานี้ มีคนกล่าวหาว่าติ้งเป่ยโหวแอบยักยอกเงินที่ใช้ในการสร้างเขื่อน เป็นเงินจำนวนมหาศาล ที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงพ่ะย่ะค่ะ!”
สองพ่อลูกสกุลจางเมื่อได้ฟังก็ราวกับสมองระเบิดออกจากกัน
แต่ไหนแต่ไรเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องเงินนั้น ใช่ว่าจะมีขุนนางคนไหนที่ขาวสะอาด จุดนี้ฮ่องเต้รู้ดี เขาไหนเลยจะเพิกเฉยตรวจสอบการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโครงการซ่อมแซมเขื่อนที่จางติ่งได้รับมอบหมาย? เพียงแต่หาจังหวะไม่ได้ก็ปล่อยไป
ฉู่อี้หมินกลับใช้ข้อกล่าวหาร้องเรียนขึ้นมาในตอนนี้ แค่นี้ก็รู้ได้อย่างทันทีว่าเป็นการอาศัยอำนาจมาแก้แค้นในเรื่องของฉู่หลิงอวิ้น!
ฮ่องเต้เหลือบมองดูลูกชายคนนี้ ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักคุณและโทษอยู่ในใจ
จางติ่งนั้นกระวนกระวายใจ รีบร้อนหันกลับไปคุกเข่า ร้องครวญด้วยเสียงขอความเมตตา “ฝ่าบาทได้โปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่ากระหม่อมจะทำอะไรก็ล้วนแต่ทำด้วยความเที่ยงธรรมซื่อตรงมาโดยตลอด จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ พ่ะย่ะค่ะ อาจจะเพราะพลาดพลั้ง…”
“เข้าใจผิด!” ฉู่อี้หมินยิ้มเย็น สองมือนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ใช้สายตาที่หยิ่งผยองนั้นมองดูเขา “ฎีกาที่ฝ่ายตุลาการร้องเรียนติ้งเป่ยโหวของเจ้านั้นมีไม่น้อยกว่าร้อยฉบับ เพราะเห็นแก่นายใหญ่สกุลโหว องค์รัชทายาทจึงเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้มาตลอด เพื่ออยากให้โอกาสเจ้าทำความดีหักล้างความผิด คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวครั้งนี้เจ้าจะทำเกินไปจริงๆ เงินหนึ่งล้านตำลึง หนึ่งในสามส่วนกลับเข้าไปในกระเป๋าของเจ้า ติ้งเป่ยโหว การซ่อมแซมช่องน้ำนั้นเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตของชาวบ้านตาดำๆตลอดฝั่งแม่น้ำ เจ้าละเลยในหน้าที่เช่นนี้ อยากจะทำร้ายคนไปอีกเท่าไรจึงจะยอมวางมือยุติเรื่องนี้กัน?”
ในเมื่อพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทก็มิอาจทำเป็นไม่สนใจได้ จึงเปิดฎีกาขึ้นมาฉบับสองฉบับ ยิ่งอ่านใบหน้าก็ยิ่งมืดมนจนยากที่จะมอง โดยเฉพาะเมื่อเห็นข้อร้องเรียนเรื่องแม่น้ำทางฝูเจี้ยนที่ถูกส่งเข้ามาอย่างเร่งด่วนเมื่อสามวันก่อน ปีที่แล้วเพิ่งจะซ่อมแซมช่องทางน้ำเสร็จ เพียงในเวลาไม่กี่วัน หลักจากเกิดพายุหิมะก็เกิดรอยร้าวขึ้น เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากถึงฤดูฝนในปีหน้าก็คงจะเสียหายอย่างหนักแน่นอน
“พวกไร้ประโยชน์!” ฮ่องเต้ด่าด้วยความโกรธเกรี้ยว ขว้างฎีกาอันนั้นไปทางจางติ่งที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง “เจ้าอ่านเองซะ อ่านเสร็จแล้วก็อธิบายให้ข้าฟัง!”
จางติ่งเหงื่อผุดขึ้นเต็มศีรษะ เก็บฎีกาฉบับนั้นขึ้นมาอย่างสั่นๆ ก่อนจะเปิดออก
เดิมทีตัวเขาก็อาศัยบารมีของพ่อที่ทำให้มีตำแหน่งที่ดีเช่นนี้ ไหนเลยจะมีความกล้าหาญและความสามารถ เวลานี้ก็สะดุ้งจนตัวโยน ร่างสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
ทางแม่น้ำฝูเจี้ยนด้านนั้นเกิดเรื่อง แท้จริงสองวันก่อนหน้าอาศัยจากฐานะของเขาก็รู้แล้ว ทั้งยังเขียนจดหมายหย่าให้เพื่อนที่คบหาในขณะนั้นช่วยปิดบังเอาไว้เรียบร้อย ไม่คาดคิดว่าฎีกาจะส่งมาถึงเมืองหลวงเร็วขนาดนี้
แทบไม่จำเป็นต้องอ่านอย่างละเอียด ตัวเขาเองก็รู้ดีว่ายากที่จะหนีโทษ รีบร้อนเขกหัวกับพื้น “ฝ่าบาท…โปรดเมตตา ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา กระหม่อมรู้ผิดแล้ว กระหม่อมกลัวแล้ว…กลัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
“เจ้าพูดแต่คำว่ากลัวแล้ว ก็จะไม่สนใจความเป็นความตายของประชาชนนับแสนที่อยู่ทั้งสองฝั่งงั้นรึ? เจ้าช่างเกรงกลัวเสียจริงๆ!” ฮ่องเต้กล่าวเสียงดังอย่างโมโหสุดขีด ยกมือชี้ไปทางด้านนอกตำหนักอย่างไม่ลังเล “ทหาร นำตัวติ้งเป่ยโหวออกไปให้ข้า ขังไว้ในคุกหลวง หลังจากนั้นสามวันลงโทษตัดคอต่อหน้าผู้คน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป”
องครักษ์รับคำก่อนจะกรูเข้ามา
จางติ่งในเวลานี้ตกใจจนขาสองข้างอ่อนยวบ แม้แต่กำลังในการขัดขืนก็ยังไม่มี
จางอวิ๋นอี้ที่เห็นเหตุการณ์อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายขึ้นมา เร่งร้อนโขกศีรษะลงกับพื้นต่อหน้าฮ่องเต้ “ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อเพียงหน้ามืดตามัวไปชั่วครู่เท่านั้น เงินก้อนนั้นที่ยักยอกไป พวกเราจะชดใช้คืนให้สองเท่า อาศัยตอนที่ยังไม่ถึงช่วงน้ำหลาก ใช้โอกาสนี้แก้ไขยังทันนะพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ให้โอกาสพวกเราแบกรับความผิดเพื่อสร้างคุณประโยชน์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของฮ่องเต้ดำมืด สกุลจางนี้ใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หากยังหลงเหลือไว้ภายหน้าก็อาจจะก่อเรื่องวุ่นวายให้เขาอีก
เขามองดูสองพ่อลูกที่อยู่ด้านล่าง เผยในหน้าเยือกเย็นไม่เหลือสีหน้ายินดีแม้แต่น้อย
ดวงตาจับจ้องไปทางจางติ่งที่ถูกคุมตัวเอาไว้ ฮูหยินแซ่จางที่ตกตะลึงจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเกือบค่อนวัน เวลานี้เพิ่งจะสั่นขึ้นมา เดินตุปัดตุเป๋ดึงตัวจางติ่งไว้ ร้องเสียงเศร้า “อย่านะ!”
เวลานี้ ไร้ซึ่งหนทางที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแล้ว นางจึงยอมฝืนใจ บิดหน้าไปหาฉู่หลิงอวิ้นอย่างทันที กล่าวอย่างร้องขอ “ท่านหญิง พวกเราผิดไปแล้ว เป็นข้าที่เข้าใจท่านผิด จะอย่างไรท่านก็เป็นคนของสกุลจาง ท่านรีบขอความเมตตาแทนสามีที ขอร้องด้วยท่าทีที่น่าเห็นใจต่อฝ่าบาท สกุลจางของพวกเราไม่อาจขาดเขาไปได้! ”
หากจางติ่งถูกรับโทษ เช่นนั้นฐานันดรของพวกเขาสกุลจางแปดถึงเก้าส่วนต้องถูกริบคืน พอถึงเวลานั้นก็หมดสิ้นแล้วจริงๆ
ใครก็ล้วนไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ฉู่อี้หมินจะปรากฏตัว ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้กับสกุลจาง
ฉู่หลิงอวิ้นอึ้งไปพักใหญ่ เวลานี้เมื่อสติกลับเข้าร่องเข้ารอยสิ่งที่ประกายวาบเข้ามาในหัวอย่างแรกคือ…
ท่านพ่อต้องถูกใครบางคนส่งเสริมจึงทำเรื่องนี้เป็นแน่!
บีบบังคับสกุลจางจนไร้ทางหนี คนพวกนั้นหากจนตรอกก็ทำอะไรได้ทั้งนั้น เช่นนั้นนางควรจะทำอย่างไรดีเล่า?
เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องราวไม่จบไม่สิ้นกับนาง ฉู่หลิงอวิ้นสั่นไปทั่วร่าง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
การกระทำของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของฮูหยินแซ่จาง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดหวังยิ่งขึ้นไปอีก นางอดไม่ไหวจึงหันไปทางฉู่อี้หมิน เอ็ดร้องเสียงดัง “อ๋องหนานเหอ ท่านใจดำอำมหิตเสียจริง ทำเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ลงไปเพื่อลูกสาวตนเอง ตอนนี้อยากจะฆ่าปิดปากพวกเราสกุลจางทั้งสกุลใช่หรือไม่? รีบร้อนฆ่าล้างสกุลขนาดนี้ไม่นึกถึงบาปบุญ นี่ท่านไม่กลัวเวรกรรมจะตามสนองคืนหรอกหรือ?”
ฉู่อี้หมินถูกฉู่หลิงอวิ้นและฮูหยินแซ่จางทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ วันนี้เพียงอยากจะเห็นคนพวกนั้นถูกชำระความให้พ้นสายตาไป
ใบหน้าของเขามืดมน ก่อนจะกล่าวกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าไม่ต้องมาอาศัยฐานะอวิ้นเอ๋อร์ที่เป็นสะใภ้สกุลเจ้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ เรื่องราชกิจก็คือราชกิจ เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว ฝ่ายตุลาการสรุปข้อร้องเรียนของติ้งเป่ยโหวออกมา ข้าก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่!”
———————————
บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (4)
โดย
Ink Stone_Romance
“ดี…ดียิ่ง จวนอ๋องหนานเหอของพวกท่านช่างไร้เยื่อใยเสียจริง!” ฮูหยินแซ่จางโกรธอย่างถึงที่สุด ขบเขี้ยวพูดลอดไรฟันออกมาไม่กี่คำ มองเห็นจางติ่งตัวอ่อนปวกเปียกถูกลากออกไป ในที่สุดก็รับไม่ไหว กระอักเลือดออกมาเป็นลมล้มพับไปโดยพลัน
“ท่านแม่!” จางอวิ๋นอี้และคนแซ่เจิ้งตื่นตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกต่างก็รีบเข้าไปโอบฮูหยินแซ่จางอย่างอลม่าน
ฮ่องเต้มองด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนแม้แต่น้อย เพียงแต่กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ติ้งเป่ยโหวทุจริตปิดบังต่อเบื้องบนมีโทษมหันต์ เผยแพร่ราชโองการของข้าออกไป ถอดยศสกุลจาง ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมด หักเงินหกแสนตำลึงเข้าท้องพระคลัง เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเขื่อนอีกครั้ง เห็นแก่ความสัมพันธ์ของจางคังและข้าในสมัยก่อน คนอื่นในสกุลจางก็ไม่อาจปล่อย เอาออกจากราชการให้หมด!”
ฮ่องเต้ยังนับว่าปรานีอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าล้างสกุล ก็ยังเหลือเงินตั้งหลักให้พวกเขาด้วย เมื่อไม่มีฐานันดร พวกเขาสกุลจางก็เหมือนถูกผลักเข้าไปอยู่ในบึงโคลนอีกครั้ง ไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว!
จางอวิ๋นอี้ที่อยู่ภายใต้ความสิ้นหวังนั้น ส่งแววตาขอความช่วยเหลือไปยังฉู่หลิงอวิ้น “ท่านหญิง ท่านพ่อเขาพลั้งเผลอไปชั่วครู่ วันนี้เขาสำนึกผิดแล้ว พวกเราอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านขอความเมตตาแทนท่านพ่อ ให้เขาได้ทำความดีชดใช้ความผิดด้วยเถิด?”
เวลานี้จะให้นางเปิดปากได้อย่างไร?
ทั้งฉู่อี้หมินก็ยังแสดงท่าทีไม่พอใจต่อนาง
คนแซ่เจิ้งมองเห็นลูกสาวนั้นหน้าแดง นึกถึงจุดจบของสกุลจางในเวลานี้กลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมา นางดึงฉู่หลิงอวิ้นมาไว้อีกด้าน “จางอวิ๋นเจี่ยนก็ตายไปแล้ว อวิ้นเอ๋อร์และพวกเจ้าสกุลจางก็ไม่นับว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เรื่องที่สกุลจางทำความผิด พวกเจ้าก็พยายามแก้ไขกันเอาเอง อย่าได้ดึงนางติดร่างแหไปด้วย!”
หัวใจของฉู่หลิงอวิ้นเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง
ทั้งชีวิตนางล้วนคิดว่าตัวเองนั้นฉลาดไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ ทว่าครั้งนี้เพิ่งจะรู้สึกถึงการถูกข่มขู่ที่มาจากทั่วทิศทางอย่างแท้จริง
ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับเท้าตัวเอง[1]
ก่อนหน้านี้นางวางแผน เดิมทีก็เพื่อที่จะใช้จุดอ่อนนี้มาควบคุมจางอวิ๋นอี้ กลับเป็นวันนี้ที่ฝีมือไม่ถึง ผลร้ายนี้กลับตกมาสู่ตัวนางเอง
นางรู้ดี หากว่านางไม่ออกหน้าช่วยเหลือ จางอวิ๋นอี้ที่หมดหนทางถอยแล้วก็จะต้องเปิดเผยเรื่องราวของนางอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นชื่อเสียงของนางก็จะป่นปี้ไม่มีเหลือเป็นแน่ และไม่แน่ว่ายังจะถูกฮ่องเต้ประทานความตายให้อย่างลับๆ เพื่อปิดบังเรื่องฉาวโฉ่นี้
“ท่านแม่!” นางรวบรวมสติ มองคนแซ่เจิ้งอย่างร้อนรนใจ คนแซ่เจิ้งปกป้องนาง แต่ว่าฉู่อี้หมินยามนี้กลับโกรธขึ้นหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้ ท้ายที่สุดในตอนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางจึงกัดฟันคุกเข่าลงไปข้างสองสามีภรรยาสกุลจาง พลางกล่าวอย่างจริงจัง “สามีถึงแม้จะตายอย่างเคราะห์ร้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังเป็นสะใภ้สกุลจาง ความผิดที่สกุลจางได้รับ ข้ายินยอมที่จะแบกรับไปกับพวกเขาด้วย”
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำเรื่องโง่อะไรลงไป!” คนแซ่เจิ้งเกือบจะพลั้งมือตบหน้านางอยู่รอมร่อ
ฉู่อี้หมินกลับผิดหวังต่อนางอย่างถึงที่สุด กล้ามเนื้อตรงกรามนั้นสั่นไหว พยายามกัดฟันข่มไว้ เบือนหน้าหนีออกไป
จางอวิ๋นอี้ต้องการให้นางออกหน้าร้องขอให้ ไม่คาดคิดว่านางจะทำเพียงขอรับผิดชอบโทษร่วมกับพวกเขา ถูกถอดฐานันดรร่วมกันเช่นนี้
ผลลัพธ์เช่นนี้…
ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเสียหน่อย!
จุดประสงค์ของฮ่องเต้สำเร็จผลแล้ว จึงไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ ก็ลุกจากโต๊ะทรงอักษรเตรียมจะแยกตัวออกไป
จางอวิ๋นอี้เห็นเช่นนั้น ในที่สุดก็ถูกบีบจนหมดหนทาง แววตาประกายเย็นเยียบ ใช้สายตามองไปที่ฉู่อี้หมินอย่างไม่แยกแยะดีชั่ว “ท่านอ๋องหนานเหอ ท่านทำเรื่องก็อย่าได้ทำจนเกินไป พวกเราสองสกุลล้วนเป็นครอบครัวที่เกี่ยวดองกัน บีบบังคับพวกเราจนถึงทางตาย ท่านก็ไม่แน่ว่าจะมีแต่เรื่องดีเสียหน่อย!”
ฉู่อี้หมินเห็นสกุลจางในสายตาตั้งแต่เมื่อใดกัน? แม้แต่ฉู่หลิงอวิ้น เขาในตอนนี้ก็ยังไม่อยากที่จะได้นางมาเป็นลูกสาวอีกต่อไปแล้ว จึงทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เผยใบหน้าเย็นชาเตรียมจะเดินเคียงไปกับฮ่องเต้ด้านนอก
จางอวิ๋นอี้ที่เห็นเหตุการณ์ ในช่วงเวลาอันสั้นนั้นในใจโกรธจนถึงขีดสุด จู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างมืดมน “แต่ว่าเป็นเพราะลูกสาวใจง่ายของท่านที่ทำเรื่องอับอายลงไป เพื่อที่จะปกปิดเรื่องเน่าเฟะ ท่านก็ทนไม่ไหว รีบลงมือกับสกุลจางของข้าอย่างเหี้ยมโหด อยากจะฆ่าล้างสกุลของพวกเรา? ท่านคิดว่าเช่นนี้จะสามารถปิดบังความอัปยศไว้ได้งั้นรึ? ในเมื่อท่านไม่เหลือทางรอดไว้ให้พวกเรา ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจสิ่งใดอีกแล้ว!”
ในขณะที่เขาพูดก็ผลักฉู่หลิงอวิ้นมาตรงหน้าฮ่องเต้และฉู่อี้หมิน
ฉู่หลิงอวิ๋นไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อถูกเขาผลักอย่างแรงจึงถลาไปอยู่บนพื้น
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ฉู่หลิงอวิ้นรีบดึงตัวเองขึ้นมา หันหน้ามองไปทางเขาอย่างดุร้าย
จางอวิ๋นอี้นั้นไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น…
ในเมื่อฮ่องเต้พูดว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของท่านปู่จึงเมตตาอยู่บ้าง เช่นนั้นเรื่องที่เขาและฉู่หลิงอวิ้นลักลอบเล่นชู้กันก็เป็นเพียงเรื่องฉาวโฉ่ ไม่ใช่โทษตาย ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดถูกวางไว้ที่นั่นแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวที่จะดึงเอาชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอมารับโทษด้วยกันอีกต่อไป
“ข้าพูดจาเหลวไหลงั้นรึ?” จางอวิ๋นอี้ยิ้มเย็น “เช่นนั้นข้าบอกเรื่องที่พวกเราทำกันเมื่อวานให้ฝ่าบาทและฮองเฮาฟังดีหรือไม่?”
หลัวฮองเฮาและคนแซ่เจิ้งล้วนไม่เชื่อว่าระหว่างฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นอี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันได้
คนแซ่เจิ้งตาทั้งสองข้างลุกเป็นไฟ ในขณะที่กำลังจะเปิดปาก ฉู่หลิงอวิ้นก็ฉวยโอกาสช่วงอลม่านกล่าวขึ้นก่อน
“ไม่ใช่ข้า! เมื่อคืนวานคือจื่อซวี่ต่างหาก!”
เพิ่งจะพูดจบไป นางก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะกัดลิ้นตัวเอง!
เดิมทีก็ไม่มีอะไร พอนางพูดประโยคนี้ขึ้นมา การพยายามปกปิดนั้นก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยขึ้นมาอย่างทันที
คนแซ่เจิ้งร่างสั่นไหว ถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าซีดเผือด
หลัวฮองเฮาตกตะลึงจนเบิกตาค้าง บนใบหน้านั้นมีท่าทีของความผิดหวังและเจ็บปวดมาแทนที่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไม่หยุด
จางอวิ๋นอี้ที่อยู่ด้านข้างยังคงเยาะเย้ยถากถาง เล่าอธิบายความอย่างออกรสถึงเรื่องราวของคืนก่อนที่ผ่านมา ขณะนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น ถูกมองด้วยสายตาราวกับมีดคมทิ่มแทงมาจากทั่วสารทิศ ในใจพลันรู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อา…” หลังจากนั้นพักใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแหบแห้งที่เหมือนจะมีความหมายคลุมเครือดังมาจากฮ่องเต้
ฉู่หลิงอวิ้นชาไปทั่วหนังศีรษะ
พบว่านิ้วของฮ่องเต้นั้นสั่นระริก ริมฝีปากกระตุกอย่างไม่หยุดหย่อน โกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีแดงแล้ว เนิ่นนานกว่าจะพยายามพูดออกมาได้หนึ่งประโยค “หลี่รุ่ยเสียง ไป…”
เขายังพูดไม่จบ ก็โกรธขึ้นหน้าจนยากที่จะกล่าวต่อไป
หลี่รุ่ยเสียงไม่ว่าเวลาไหนก็เดาใจเขาถูกอย่างแม่นยำ จึงหมุนกายออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมตะแกรงในมือ ด้านบนมีกาหยกใบหนึ่ง ทั้งยังมีชุดแก้วสุราที่แกะสลักด้วยหยก
ใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นไร้สี ขดตัวไปทางด้านหลัง
ฮ่องเต้เหลือบมองดูนาง ก็หันหลังกลับไปโดยไม่มองสักนิด
หลี่รุ่ยเสียงถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไป ยกตะแกรงนั้นไปวางบนพื้นตรงหน้านาง “ท่านหญิง เชิญดื่มเสียเถิด!”
“ไม่…” ฉู่หลิงอวิ้นนั้นส่ายหน้าพัลวัน หดตัวไปด้านหลังอย่างไม่หยุด
ฮ่องเต้ประทานความตายให้นาง เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว
ในใจของนางยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตื่นตระหนกและหวาดกลัว ปีนขึ้นไปดึงกระโปรงคนแซ่เจิ้งเอาไว้ เงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามองหน้านาง ร่ำไห้คร่ำครวญ “ท่านแม่ ท่านต้องเชื่อข้า ข้าไม่เคยทำ ข้าไม่เคยทำเรื่องอันใดที่ทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์เลยจริงๆ จางอวิ๋นอี้คนนั้นกล่าวคำโกหกเพื่อปรักปรำข้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ!”
ไม่เพียงแต่เรื่องครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ที่นางและจางอวิ๋นอี้ถูกเขาจับได้ ฮ่องเต้ก็ได้คาดโทษเอาไว้แล้ว
คนแซ่เจิ้งอย่างไรก็ยอมเสียลูกสาวไปไม่ได้ จึงคุกเข่าลงไปร่ำไห้กอดขาฉู่อี้หมินเอาไว้ “ท่านอ๋อง ท่านพูดสิ อวิ้นเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ นางเป็นลูกของท่านนะ ท่านคงไม่อาจถึงขนาดกล้ามองดูนางตายได้หรอก! ท่านรีบพูดสิ ไปร้องขอความเมตตาจากฝ่าบาท!”
ฉู่อี้หมินใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จ้องมองฉู่หลิงอวิ้นเขม็ง ตัวเขาเองก็เกลียดลูกไม่รักดีคนนี้อย่างอยากจะกลืนนางทั้งเป็น ยังจะให้ขอความเมตตาแทนนางงั้นหรือ?
คนแซ่เจิ้งนั้นไร้ซึ่งความหวัง จึงทำได้เพียงปีนไปขอร้องทางหลัวฮองเฮา
หลัวฮองเฮายิ่งโมโหที่ตนเองถูกทำให้ขายหน้า โกรธขึ้นหน้าจนหายใจแทบไม่ทัน…
ฉู่หลิงอวิ้นเป็นหลานรักที่นางคอยประคบประหงมเก็บไว้ในดวงใจมาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นจื่อซวี่ที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับจางอวิ๋นอี้จริงๆ แต่ว่าการวางกลอุบายที่เกี่ยวพันกันมาขนาดนั้น ทั้งยังฆ่าสามีของตัวเองอีก!
เมื่อนึกถึงเด็กคนนี้ที่หัวเราะคิกคักเอาอกเอาใจต่อหน้านางทุกวัน นางก็ตัวสั่นกลัวอย่างลูกนก เวลานี้จะให้นางยืนขึ้นได้อย่างไร?
ตัวของฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมแตะต้องสุรานั้นเป็นแน่ สีหน้าของฮ่องเต้ค่อยๆ หมดความอดทน แววตาของหลัวฮองเฮาสว่างวาบนับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็ถือสิทธิ์ตัดสินใจแทนเขา กล่าวด้วยเสียงเบา “แม่นมเหลียง…”
สามคำที่ยังไม่ทันได้พูดให้เข้าใจดี กลับเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่เหมือนกับทำให้ฉู่หลิงอวิ้นเจอกับนรกบนดิน
ปฏิกิริยาของนางอย่างแรกก็คือต้องเผ่นหนี
แต่ก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว แม่นมเหลียงพาข้าหลวงสองคนที่มีกำลังมากจับตัวนางกลับมา ทั้งสองคนตรึงร่างนางเอาไว้ ก่อนแม่นมเหลียงจะเดินไปหยิบกาสุราที่พื้น
“ไม่…” คนแซ่เจิ้งร้องอย่างโหยหวนพยายามจะถลาเข้าไป
เย่าสุ่ยจึงนำคนมากักตัวนางไว้อย่างทันที
ฉู่หลิงอวิ้นนั้นเม้มปากหลีกหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าแม่นมเหลียงกลับใช้แรงบีบคาง ยกกาสุราเทลงไปในปากของนาง
———————————–
[1] ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับเท้าตัวเอง อุปมาว่าคิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น