สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 ตอนที่ 8.1-9.3

 บทที่ 8 เขาต้องตาย (1)

โดย

Ink Stone_Romance

หลังเที่ยงคืน แม่น้ำฮู่สุ่ยอากาศชื้นมาก


เพราะเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในตรอกข้างหน้า พอข่าวเผยแพร่ออกไป เรือสำราญที่แล่นอยู่ในน้ำจึงจอดเทียบท่าก่อนเวลานานแล้ว และยังไม่ทันได้เก็บโคมไฟที่แขวนอยู่บนต้นหลิวริมแม่น้ำ ทว่าช่างน่าประหลาด พอบรรยากาศของเทศกาลนี้อันตรธานหายไปหมด แสงไฟที่แกว่งไกวเหล่านั้นกลับดูแปลกประหลาด


ยามสี่เกิง[1] ริมฝั่งแม่น้ำที่ห่างไกลไร้ผู้คน หมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำอย่างเบาบาง กลางลำน้ำมีเรือเพียงลำเดียวล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างเชื่องช้า แสงไฟด้านบนที่ทั้งช่วยกันอำพรางตัวและส่องสะท้อนกันและกันนั้นไม่ต่างอะไรกับเรือสำราญที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแม่น้ำสายนี้ในยามปกติ แต่อาจเพราะคืนนี้เงียบสงัดเกินไป จึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บแทน


เพราะอยู่ห่างไกลจากทั้งสองฝั่ง จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นเหตุการณ์บนเรือได้อย่างชัดเจน ได้ยินเพียงเสียง ดนตรีที่ล่องลอยมาไม่ขาดสาย บางครั้งก็มีเงาเสื้อผ้าไหววูบวาบอยู่หลังกระโจมอบอุ่นเหล่านั้น


ช่วงค่ำคืนอันเงียบสงบ ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามปรากฏเงาคนแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดอยู่บนดาดฟ้าท้ายเรือสำราญระหว่างที่เรือลอยกระเพื่อมอยู่บนผิวน้ำ


เวลานั้นเสียงดนตรีในห้องโดยสารยังดังอย่างต่อเนื่อง คนพายเรือที่อยู่ด้านนอกต่างก็ดื่มเหล้าให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ด้านหนึ่ง หลังจากคนนั้นขึ้นมาบนเรือแล้วกลับไม่ได้ขยับตัวไปไหนต่อ แต่ก้มตัวคลำหาห่อผ้าสีเทาที่ไม่สะดุดตาจากกองของระเกะระกะที่อยู่ข้างๆ อย่างเชี่ยวชาญ แล้วเปลี่ยนชุดพรางตัวที่สวมอยู่ในเงามืดหลังห้องโดยสาร ในตอนที่เดินออกมานั้นก็เปลี่ยนโฉมใหม่เป็นร่างหญิงงามเมืองหน้าตาสะสวยงดงามรูปร่างอ้อนแอ้นเรียบร้อยแล้ว


“พี่ลั่วสุ่ย เจ้ายังบอกว่าดื่มเหล้าเก่งอีกหรือ นี่แอบไปอ้วกไปที่ไหนมาล่ะ?” หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ออกมาจากห้องโดยสารเดินเข้ามาเอ่ยหยอกล้อพลางยิ้ม


“ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้าไปอ้วกมาล่ะ?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าลั่วสุ่ยเลิกคิ้วสูงด้วยสีหน้าไม่พอใจ


ทั้งสองคนไม่ถูกกันนัก จิกกัดกันไม่กี่ประโยค ลั่วสุยก็เข้าไปในห้องโดยสาร


เวลานั้นบรรยากาศในห้องโดยสารสนุกสนานราวกับงานเต้นรำเฉลิมฉลองความสงบสุข มีการแสดงของคณะนักดนตรีบรรเลงเสียงพิณและเสียงขลุ่ย ชายหนุ่มนอนตะแคงอมยิ้มอยู่บนเตียงในห้องอุ่น เขาหลับตาพริ้มตั้งใจฟัง นิ้วมือเรียวยาวเคาะจังหวะลงบนต้นขาของตนเองบ้าง ท่าทางเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว


ไม่มีใครกินเหล้าและกับแกล้มที่วางอยู่เต็มโต๊ะ บนโต๊ะเล็กข้างชายหนุ่มมีจอกหยกหนึ่งจอกและเหล้าหนึ่งคนโทวางอยู่ กลิ่นหอมเข้มข้นฟุ้งตลบอบอวลเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน


ลั่วสุ่ยเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียงชิดข้างขาเขาเอง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนหวาน กล่าว “คุณชายรอง ดึกมากแล้ว ท่านว่า…พวกเราควรกลับได้แล้วหรือไม่เจ้าคะ?”


เรือสำราญลำนี้เป็นของหอหวนชุ่ย เดิมทีมีคนเหมาลำมาท่องเที่ยว แต่ต่อมาบนฝั่งเกิดเรื่องขึ้น คนที่เหมาเรือก็กลับไปก่อนแล้ว ทีแรกลั่วสุ่ยและคนอื่นๆ ก็จะกลับไปเหมือนกัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอเศรษฐีใหญ่แบบซูอี้เข้า ทั้งยังออกเงินก้อนโตเช่าเรือสำราญลำนี้มาด้วย


นางโลมที่ไหนจะไม่ชอบเงิน ในฐานะที่เป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ของหอหวนชุ่ย ลั่วสุ่ยต้องตอบรับอย่างแน่นอน จึงได้ตัดสินใจเช่าเรือสำราญลำนี้มา


ซูอี้หรี่ตามองข้างนอกแล้วถามว่า “กี่ชั่วยามแล้ว?”


“เลยยามสี่เกิงมามากแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วสุ่ยตอบ แล้วรินเหล้าส่งให้เขา


ซูอี้ไม่ได้รับมา แต่ดื่มเหล้าจากมือนางไปครึ่งจอก เหมือนกับได้ยินสองคนคุยอะไรบางอย่างกันแว่วๆ แล้วลั่วสุ่ยก็ยิ้มออดอ้อนฉอเลาะ สองสาวนักดนตรีที่อยู่ด้านนอกมองไปก็เห็นลั่วสุ่ยยิ้มจนอ่อนระทวยไปทั้งตัวและพิงซบอยู่บนตัวซูอี้


ทั้งสองคนต่างเบ้ปากดูถูกเหยียดหยาม…


ลั่วสุ่ยไม่เพียงแต่มีไม้ตายมัดใจแขกได้ แต่ยังสนิทกับแม่เล้ามากด้วย หากใครอิจฉาริษยาแค่มีปากเสียงด้วยไม่กี่ประโยคก็จบแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฉีกหน้านางจริงๆ


ทั้งสองคนหยอกล้ออยู่ข้างในกันพักหนึ่ง ลั่วสุ่ยเอาใจซูอี้จนอารมณ์ดีแล้ว เขาจึงตามใจนาง “ได้สิ แยกย้ายกันเถอะ!”


เหล่าหญิงสาวต่างก็อยู่เป็นเพื่อนมาทั้งคืนแล้ว เวลานี้ก็ดูหมดแรงไปตั้งนานแล้ว


ลั่วสุ่ยหันไปมองด้านนอกแล้วเอ่ยน้ำเสียงอารีว่า “เก็บของเถอะ ไปสั่งนายท้ายเรือให้เรือเข้าฝั่ง!”


“ทราบแล้วค่ะ!” ทั้งสองคนรับคำ แล้วลุกขึ้นอุ้มของออกไป


จนกระทั่งคนออกไปแล้ว ลั่วสุ่ยก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที รอยยิ้มออดอ้อนเลือนหายไปจากใบหน้า ท่าทางเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่


“เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบได้เบาะแสแล้วรึ?” ซูอี้ถามอย่างเฉยชา เขาเอนหลังพิงเตียงนุ่มนิ่งและยกยิ้มมุมปาก แต่สายตากลับฉายแววลุ่มลึกยิ่งนัก ทำให้ใครก็เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


“ยังเจ้าค่ะ!” ลั่วสุ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไร้พยานไร้หลักฐาน เวลาน้อยมากจึงไม่สามารถจับพิรุธได้ และองครักษ์ลับของราชสำนักกลุ่มนั้นส่วนใหญ่ก็รับคำสั่งโดยตรงจากคนในวังคนนั้น เวลานี้สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้คือ…หลายวันก่อนว่ากันว่ามีพลังลึกลับปรากฏขึ้นใกล้ราชสำนักโม่เป่ยอย่างเบาบาง มีความเป็นไปได้มากว่าเป็นองครักษ์บางส่วนที่ส่งออกไปปฏิบัติภารกิจลับ แต่ว่า…ทางโม่เสว่มีข่าวคราวล่าสุด คนของโม่เป่ยกลุ่มนั้นถอนกำลังอย่างเงียบๆ แล้ว เห็นว่า…เจ้านายของพวกเขาเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน!”


ฮ่องเต้ส่งคนไปทำอะไรที่โม่เป่ยกันแน่ ซูอี้ก็พอจะเดาได้ ส่วนสาเหตุที่ถอนกำลังกลับอย่างกะทันหันในเวลานี้ก็รู้กันโดยไม่ต้องอธิบาย แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นนัก


“ไม่มีเบาะแสหรือ? แม้แต่จำนวนคนและขอบเขตการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ของพวกเขาก็ไม่รู้รึ?” ซูอี้เอ่ยถาม และไม่มีท่าทีว่าจะผิดหวังแต่อย่างใด


“คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่ฮ่องเต้ฝึกฝนอย่างลับๆ หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว และเพิ่งจะแสดงฝีมือและความสามารถออกมาในช่วงสองถึงสามปีมานี้ มีหน้าที่ออกหน้าจัดการเรื่องยุ่งยาก” ลั่วสุ่ยเอ่ย “ดูจากวิธีลงมือของฝ่าบาทแล้ว ไม่น่าจะทิ้งร่องรอยของคนพวกนี้ให้ตามไปได้หรอกเจ้าค่ะ”


หากเป็นองครักษ์หน่วยกล้าตายที่ฮ่องเต้ฝึกฝนอย่างลับๆ หลังจากที่ตั้งซีเยว่เป็นเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกคนหรือขั้นตอนการฝึกฝนก็ต้องปิดเป็นความลับอย่างถึงที่สุด และไม่มีทางทิ้งเบาะแสให้แกะรอยตามไปได้อย่างแน่นอน


ซูอี้เม้มปากแล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ นิ้วมือยังเคาะลงบนเข่าของตนเองบ้าง สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ลั่วสุ่ยก็อดกระวนกระวายไม่ได้ นางลังเลอยู่ชั่วครู่จึงลองเอ่ยว่า “คุณชายคะ วันนี้ท่านมาแบบฉุกละหุกมากจริงๆ ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย แน่นอนว่าข้า…”


“ช่างเถอะ!” ซูอี้ดึงสติกลับมาแล้วเหมือนเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เขายิ้มอย่างไม่แยแส


เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วถึงเอ่ยต่อว่า “สนใจแค่จัดการเรื่องของเจ้าเองให้เรียบร้อยก็พอ ส่วนวันนี้…ก็ถือว่าข้าไม่ได้มาละกัน!”


คนที่เขาบังเอิญเจอบนฝั่งก่อนหน้านี้ต้องเป็นหัวหน้าของพวกนักฆ่าที่ลอบสังหารทั่วป๋าไหวอันในคืนวันสิ้นปีแน่ ตอนแรกเขาแค่รู้สึกว่าคุ้นตารูปร่างของคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นตามรอยเขาไปจนครึ่งเมืองหลวงแล้วก็ยังไร้ผล ในใจก็รู้สึกว่าต้องใช่แน่ๆ…


คนผู้นั้น!


หากเหล่าฮั่นฆ่าคนเพื่อเขาจริง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็แปลกมากจริงๆ คงไม่ได้เป็นแผนของฮ่องเต้หรอกกระมัง? ไม่เห็นจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงมากขนาดนั้นเพื่อจัดการเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เพื่อคนชั้นต่ำแบบนั้น ถึงขั้นจงใจใช้มือสังหารยอดฝีมืออย่างนางให้คนระแวงสงสัยเลยหรือ?


พอเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดก็ทำให้คนสับสนมาก จนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิด


และยังท่าทีของฉู่สวินหยางที่มีต่อเรื่องนี้ก็แปลกมากเช่นกัน ถึงแม้จะเพียงเพื่อพุ่งเป้ามาที่เรื่องนี้…


ทว่าเรื่องที่เหยียนหลิงจวินไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวาย เขาก็ต้องเกรงใจเช่นกัน


ลั่วสุ่ยเห็นเขาเปลี่ยนใจกะทันหันก็คิดว่าเขาไม่พอใจนาง จึงรีบเอ่ยว่า “คุณชายคะ ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วเจ้าค่ะ จริงๆ แล้ว…”


“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร!” ซูอี้เอ่ย เขาจัดเสื้อผ้าต่อให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้น ทันใดนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเบี่ยงประเด็นไปว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้าให้เจ้าคอยตามสืบคนตระกูลซู มีความคืบหน้าอะไรหรือไม่?”


“มีเจ้าค่ะ!” ลั่วสุ่ยเอ่ย แล้วรีบปรับสีหน้าทันที “ข้าตรวจสอบเรื่องที่หอยลนทีคืนนั้นจนรู้แน่ชัดแล้วเจ้าค่ะ ซูหลินพลั้งมือผลักซูหว่านตกลงไป เวลานั้นแม่นางหลัวอวี่ก่วนแห่งตระกูลหลัวก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แล้วหลังจากนั้นทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์กันเจ้าค่ะ”


“งั้นรึ?” ซูอี้เอ่ย นัยน์ตาทอประกายขบขัน แต่หน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาเป็นพิเศษ


ลั่วสุ่ยแอบสังเกตสีหน้าของเขา นางเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “แล้วยังมีพระชายาของซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่นก็มีปัญหานิดหน่อยเช่นกันเจ้าค่ะ!”


“หึ…” ซูอี้ฟังแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ในที่สุด


“น่าสนใจดีนี่ เกรงว่าละครฉากนี้นับวันจะยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ” ซูอี้ยกมือตบบ่าลั่วสุ่ยเอ่ย “จับตามองข่าวคราวฝั่งนั้นต่อไปก็พอ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง!”


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ลั่วสุ่ยพยักหน้าตอบรับ


ซูอี้เดินออกไปแล้ว


เช้าวันรุ่งขึ้น


ยามห้าเกิง[2] ท้องฟ้ามืดสลัว


จางอวิ๋นอี้ลืมตาขึ้นอย่างเวียนศีรษะ รู้สึกแค่ว่ามือไม้อ่อนแรงและปวดศีรษะมาก ยังไม่ทันลืมตาก็ตะโกนไปก่อนว่า “เอาน้ำมา!”


ปกติไม่ว่าเขาจะไปนอนห้องภรรยาหรืออนุของตนเองหรือนอนกับสาวใช้ที่ห้องหนังสือ ผู้หญิงพวกนั้นก็จะจัดการให้หมด ดูแลปรนนิบัติเอาใจเขาทุกอย่าง ถึงแม้ว่าช่วงกลางคืนจะไม่มีสาวใช้คอยรับใช้อยู่ด้านนอก ผู้หญิงข้างกายเขาก็จะจัดการแทน


แต่วันนี้บรรยากาศในห้องนี้กลับแปลกไป เขานอนรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีใครเอาน้ำมาให้เขา แต่ทั้งในและนอกห้องยิ่งเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด


เมื่อวานดื่มมากไปจริงๆ ตอนนี้เขายังเวียนศีรษะอยู่บ้าง และหงุดหงิดจนอยากระเบิดโทสะออกมา แต่นัยน์ตากลับฉายแววตื่นตกใจกับสิ่งแปลกตาที่อยู่ตรงหน้า


———————————————————


[1] ยามสี่เกิง = ช่วงเวลา 01.00-02.59 น.


[2] ยามห้าเกิง = ช่วงเวลา 03.00-05.00 น.


บทที่ 8 เขาต้องตาย (2)

โดย

Ink Stone_Romance

สิ่งของถูกจัดวางอย่างประณีต คัดสรรเครื่องเรือนและของตกแต่งอย่างพิถีพิถัน แต่ไม่ใช่ห้องในเรือนของเขาแน่


เวลานั้นในห้องว่างเปล่า โต๊ะเล็กข้างเตียงถูกผลักไปไว้ด้านหนึ่ง เสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่วนใหญ่นั้นเป็นของเขา และยังมีเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนของผู้หญิงที่ดูคุ้นตาอย่างมากด้วย


เขาสับสนมึนงง และคิดไปเองว่าตนเองคงนอนอยู่ในเรือนไหนสักแห่ง แต่พอสติค่อยๆ กลับมา ภาพมากมายที่ไม่ปะติดปะต่อกันก็ไหลเข้าสู่สมอง


เรือสำราญ ห้องหนังสือ สวนดอกไม้ เมาเหล้า หลังจากนั้น…


ก็ห้องนี้


พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในสมองเขาก็มีเสียงหวึ่งดังอยู่ชั่วครู่ และดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที


ที่นี่คือเรือนตะวันตกที่ฉู่หลิงอวิ้นอาศัยอยู่ เมื่อคืนพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่…


เขาไม่เพียงแต่เป็นชู้กับน้องสะใภ้ตนเอง แต่เสร็จเรื่องแล้วยังนอนอยู่ที่นี่อย่างไม่แยแสอีกด้วย


เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า เวลานี้เขาก็หวาดกลัวจนมือไม้สั่น คิดถึงใบหน้ายามปกติที่ทั้งเย็นชา งดงาม และหยิ่งยโสของฉู่หลิงอวิ้นก็เหงื่อตกไปทั้งตัว กลัวแต่ว่าจะมีคนเข้ามาขวาง จึงรีบร้อนเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็ยื่นศีรษะมองไปทางประตูทางเข้าตลอด เพราะมัวแต่กลัวว่าจะโดนจับได้


แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้เลยสักคน


จางอวิ๋นอี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เขาเก็บเสื้อคลุมของฉู่หลิงอวิ้นที่ตกอยู่บนพื้นไปซ่อนไว้ในที่นอนอย่างลนลาน แต่กลับดูมีพิรุธยิ่งกว่าเดิม เขาตั้งใจฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่ง พอรู้สึกว่าข้างนอกไม่มีเสียงอะไร ถึงจะค่อยๆ หอบเสื้อผ้าย่องไปที่ประตูแล้วหลบออกไป


ยามฟ้าสาง บริเวณลานบ้านมีเพียงความวังเวงเล็กน้อย และอากาศหนาวเย็นยะเยือก


หิมะอาจจะตกลงมาอีกช่วงหลังเที่ยงคืน ตอนนี้พื้นจึงลื่นเล็กน้อย เขาเดินอย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าในลานบ้านไม่มีคนก็คิดว่าโชคดีแล้ว…


ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องน่าอาย ฉู่หลิงอวิ้นน่าจะกลัวมากกว่าเขาเสียอีก ดังนั้นตอนนี้ถึงได้หลบไปก่อนแล้วใช่หรือไม่? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน รีบไปจากเรือนนี้แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียดีกว่า


พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปพอตัว พลันเผลอคิดเตลิดไปถึงความรู้สึกยามทั้งสองคนได้ร่วมรักกอดรัดกันไว้ไม่ปล่อยเมื่อคืนในห้องนั้น ใจก็อดที่จะรู้สึกผวาขึ้นมาอีกไม่ได้


เขาเดินอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนที่กำลังจะลอบออกไปทางประตูนั้น พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นฉู่หลิงอวิ้นนั่งมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่บนเก้าอี้หินข้างๆ ภูเขาจำลองทางขวาไม่ไกล


จางอวิ๋นอี้รู้สึกกระวนกระวายอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้ เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ฝืนใจเดินเข้าไปหา


เมื่อสองสามวันก่อน จื่อเหวยถูกนางตบหน้าจนบาดเจ็บ ช่วงนี้จึงขออนุญาตกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน เวลานี้ข้างกายฉู่หลิงอวิ้นจึงมีจื่อซวี่แค่คนเดียว


จื่อซวี่สีหน้าย่ำแย่ นางจงใจก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้ตนเองเปิดเผยความรู้สึกออกไป


“ท่านหญิง…” จางอวิ๋นอี้เอ่ย น้ำเสียงค่อนข้างอ่อนระโหยโรยแรงอย่างบอกไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าฉู่หลิงอวิ้นอย่างกลัวความผิดมากทีเดียว แทบไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน


“นี่ซื่อจื่อจะไปแล้วหรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นถามเสียงเรียบ ราวกับไม่เป็นอะไรเลย


“ขอรับ!” จางอวิ๋นอี้เดาท่าทีของนางไม่ถูก จึงแอบเหลือบหางตาสังเกตสีหน้านาง พลางเอ่ยอ้อมแอ้มว่า “อีกครู่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”


หากฉู่หลิงอวิ้นไม่อนุญาต เขาก็ไม่กล้าออกไปโดยพลการเหมือนกัน จึงทำได้เพียงยืนอยู่ด้วยสีหน้าอึดอัด จนรอไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงยอมเอ่ยว่า “เมื่อคืนข้าดื่มมากไป รบกวนท่านหญิงแล้ว ขออภัยด้วยจริงๆ ”


คำพูดนี้เพื่อลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น


ความจริงแล้วนอกจากเกรงกลัวฐานะของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ในใจเขากลับไม่ได้มีความหวาดหวั่นมากสักเท่าไรนักอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคนสองคน ยิ่งไปกว่านั้นฉู่หลิงอวิ้นเป็นผู้หญิง หากคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาจริง นางก็น่าจะร้อนใจยิ่งกว่าเขาอีก


พอคิดได้แบบนี้ จางอวิ๋นอี้ก็มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย


ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มอย่างเย็นชา ไม่ปริปากพูดสักคำ เพียงแค่ก้มมองเล็บที่ทาสีแดงเพลิงของตนเอง หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ถึงจะยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยว่า “เรื่องนี้…เจ้าคิดจะจัดการอย่างไรหลังจากนี้?”


จัดการอย่างไรหลังจากนี้หรือ?


ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาคนหนึ่งก็เป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว อีกคนก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เขาเป็นพี่เขยของนาง นางก็เป็นน้องสะใภ้ของเขา หลังจากนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร? เพียงแค่ทั้งสองฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจก็จบแล้ว!


จางอวิ๋นอี้คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิงอวิ้นจะถามต่อหน้าแบบนี้ จึงอึ้งไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ…


ฉู่หลิงอวิ้นหมายความว่ามาได้บ่อยๆ งั้นหรือ? อย่างไรตอนนี้นางก็ยังอายุไม่ถึงสิบเก้าปี แต่จางอวิ๋นเจี่ยนชาตินี้ก็ใช้การไม่ได้แล้ว ก็ถือว่าเขาได้โอกาสใกล้ชิดนางแล้ว


ความกังวลก่อนหน้านี้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา นัยน์ตาของจางอวิ๋นอี้ทอประกายความดีใจ เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิง…”


ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มและแค่กวักมือเรียกให้เดินตามไปด้านหลัง โดยไม่รอให้เขาพูดต่อจนจบ


ด้วยฐานะสูงศักดิ์ของฉู่หลิงอวิ้น ตอนที่นางแต่งเข้ามา ฮูหยินจางก็ยกเรือนที่ใหญ่ที่สุดในจวนให้นางอยู่ เรือนนี้จึงมีบริเวณกว้างขวาง และยังให้คนขุดสระน้ำขึ้นมาด้านในและเลี้ยงปลาอัมรินทร์พันธุ์ที่โด่งดังและล้ำค่าไว้ด้วย


จางอวิ๋นอี้เงยหน้ามองไปอย่างงุนงง


เขาเห็นเงาคนอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาจำลองไกลๆ อย่างเลือนราง แต่กลับเป็นองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่สองคนฉุดกระชากลากถูคนๆ หนึ่งมา คนนั้นดิ้นรนสุดชีวิต แต่ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดจากพันธนาการ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น…


น้องชายแท้ๆ ของเขา จางอวิ๋นเจี่ยน


จางอวิ๋นอี้สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เขามองฉู่หลิงอวิ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถามว่า “ท่านหญิง นี่ท่านจะทำอะไร?”


“ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ดูออกอยู่แล้วรึ!” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ส่งสัญญาณมือต่อไปอีก


สองคนนั้นลากจางอวิ๋นเจี่ยนไปที่ริมสระน้ำ ดึงผ้าขี้ริ้วที่อุดปากเขาออกอย่างไว แล้วฉวยโอกาสตอนที่จางอวิ๋นอี้จ้องมองอย่างตกตะลึงถีบคนตกลงไปในสระ


เวลาเช้ามืดผิวน้ำจับตัวเป็นผืนน้ำแข็งค่อนข้างหนา พอร่างกายของจางอวิ๋นเจี่ยนกระแทกลงไป ผืนน้ำแข็งก็แตกออกเป็นโพรงน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมาในชั่วพริบตา เสียงร้องอย่างเจ็บปวดด้วยตื่นตระหนกของเขาเพิ่งดังขึ้นก็กลืนหายไปในสายน้ำแสนเย็นเยียบแล้ว


มือของเขาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่เหนือผิวน้ำไม่กี่ครั้ง พยายามตะเกียกตะกาย แต่กลับไม่มีใครช่วยสักนิด อีกทั้งสระน้ำในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ก็เย็นเฉียบ ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเขาก็ค่อยๆ ดิ้นรนช้าลงจนนิ่งไปในที่สุด


จางอวิ๋นอี้ยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก เขาตกตะลึงจนเบิกตาโพลงและนิ่งไปอีกครู่ใหญ่


แต่องครักษ์สองคนนั้นพอเสร็จเรื่องแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว


“น้องรอง!” จางอวิ๋นอี้ที่เพิ่งได้สติกลับมาตกใจกลัวจนตัวสั่น ถลาเข้าไปหาด้วยความกลัวจนฉี่แทบราด เขานอนคว่ำอยู่ริมฝั่งอยากจะลองดึงตัวจางอวิ๋นเจี่ยนขึ้นมา


แต่เขามัวแต่อึ้งนานเกินไป ตอนที่ไปถึงก็สายไปเสียแล้ว


จางอวิ๋นอี้คุกเข่าอยู่ข้างสระน้ำด้วยหน้าซีดไร้สีเลือด หวาดหวั่นจนแข้งขาอ่อนแรง เบิกตากว้างมองผิวน้ำที่มีฟองอากาศลอยขึ้นมา แล้วก็ไร้เสียงใดอีก


เศษน้ำแข็งที่ถูกกระแทกจนแตกกระจายลอยอยู่เหนือผิวน้ำ


หากไม่ได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตนเอง เขาคงไม่เชื่อว่าฉู่หลิงอวิ้นจะกล้าลงมือฆ่าจางอวิ๋นเจี่ยนต่อหน้าเขาแน่นอน


ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วรึ?


ทันใดนั้นความโกรธแค้นอย่างไร้ที่มาก็ผุดขึ้นในใจของจางอวิ๋นอี้ เขาหันไปมองฉู่หลิงอวิ้นด้วยแววตาดุร้ายทันที


เวลานั้นฉู่หลิงอวิ้นก็ลุกเดินเข้ามาหา นางจ้องมองผิวน้ำตรงหน้าที่กลับมาสงบราบเรียบแล้วด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาฉาบด้วยความเย็นชาอย่างเบาบาง


ทีแรกจางอวิ๋นอี้ตั้งใจจะต่อว่านาง แต่พอเห็นสายตาเย็นยะเยือกที่เจือความโหดเหี้ยมอำมหิตและบ้าคลั่งของนางก็ทำให้เขาใจสั่นและเสียงก็ค้างอยู่ในลำคอ


ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย แค่ถามเสียงเย็นว่า “อึ้งไปเลยรึ?”


จางอวิ๋นอี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องน่าสงสารด้วยตื่นตระหนกตกใจดังขึ้น


“มานี่หน่อย…ช่วยด้วย…”


หลังจากเสียงร้องน่าสงสารของจื่อซวี่ดังผ่านไป นางก็รีบถลาออกไปนอกเรือน พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังว่า “รีบมานี่เร็วเข้า ช่วยด้วย คุณชายรอง คุณชายรองแย่แล้วเจ้าค่ะ…”


จางอวิ๋นอี้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้าจุ่มอยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เหมือนในสมองมีแต่สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างต่อเนื่อง


สวนดอกไม้ด้านนอกพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที จนถึงตอนที่ฮูหยินจางที่เพิ่งตื่นและผมยาวสยายรีบพาคนเข้ามา ทั้งฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นอี้ก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในท่าเดิมข้างๆ สระน้ำนั้น


จางอวิ๋นอี้คุกเข่าอยู่ข้างสระน้ำด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ท่าทางกระอักกระอ่วน


ส่วนฉู่หลิงอวิ้นกลับยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ข้างๆ และจ้องมองผืนน้ำแข็งที่แตกกระจายตรงหน้าด้วยสีหน้าเป็นกังวลและเหม่อลอย


“เกิดอะไรขึ้น? สาวใช้บอกว่าเจี่ยนเอ๋อร์…” ฮูหยินจางน้ำเสียงหวาดหวั่น สายตาสอดส่ายไปทั่วทุกที่ แต่กลับไม่มองไปที่ผิวน้ำแม้แต่นิดเดียวราวกับหลอกตนเอง


จางอวิ๋นอี้ผวากลัวความผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาอ้าปากจะเอ่ยบางอย่าง แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับหันไปมองฮูหยิน จางหน้าซีดว่า “ท่านแม่ คุณชาย คุณชายเขา…”


นางพูดไปรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา และหันไปมองผืนน้ำแข็งที่แตกกระจายอยู่บนผิวน้ำอย่างสับสน “วันนี้เขาตื่นแต่เช้า พอสาวใช้ไปแจ้งให้ข้าทราบ ข้าถึงได้ออกมาหาเขา แต่คิดไม่ถึงว่า…”


นางพูดไปก็น้ำตาไหลพราก แสร้งทำหน้าทั้งตื่นตกใจและเสียใจอย่างไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว


“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินจางตวาดอย่างโมโห


นางไม่ยอมรับว่าจะเสียลูกชายไปแบบนี้เด็ดขาด ถึงแม้ใจจะเชื่อว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังปลีกตัวจากไปทันที


—————————————–


บทที่ 8 เขาต้องตาย (3)

โดย

Ink Stone_Romance

จื่อซวี่เดินเข้ามาจากด้านหลังและขวางทางนางไว้พอดี พลางเอ่ยหน้าเศร้าว่า “ฮูหยิน อย่างไรก็รีบหาคนมาช่วยพาตัวคุณชายขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ คนตาย…”


“นางชั่ว!” ฮูหยินจางตบหน้านางไปหนึ่งที แล้วเอ่ยด้วยเสียงและสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เจ้ากล้าสาปแช่งลูกชายข้า ข้าจะตบปากเจ้า!”


บนหน้าจื่อซวี่เป็นรอยฝ่ามืออย่างชัดเจน เห็นนางท่าทางโมโหร้ายดูน่ากลัว แต่ก็ยังกัดฟันเอ่ย “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อครู่ ซื่อจื่อก็เดินผ่านจากด้านนอกเข้ามาเห็นพอดี แต่ดึงตัวคุณชายขึ้นมาไม่ทัน ต่อให้ข้ากล้ามากแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดจามั่วซั่วตามใจชอบหรอกเจ้าค่ะ”


ฮูหยินจางอึ้งไป แล้วค่อยๆ หันไปมองลูกชายคนโตที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าตกใจทีละนิด


จางอวิ๋นอี้ใจสั่นระรัว แต่เวลานี้เขาขี่หลังเสือแล้วลงยาก…


ฉู่หลิงอวิ้นผลักจางอวิ๋นเจี่ยนตกน้ำต่อหน้าเขา ก็เพื่อให้เขาเป็นพยานให้นาง ตอนนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจทุกอย่างว่าทำไมเมื่อคืนนางถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นกับเขา


นี่…


เป็นกับดักอย่างแน่นอน


จางอวิ๋นอี้มองใบหน้าของหญิงสาวที่ยังงดงามเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกตรงหน้า ในใจกลับรู้สึกเย็นวาบไปชั่วครู่ แล้วถึงพยักหน้าว่า “ขอรับ…”


หากเขาไม่ยอมรับ เขาแน่ใจว่าต่อไปฉู่หลิงอวิ้นต้องเผยเรื่องเมื่อคืนออกมาและลากเขาเข้าไปพัวพันด้วยอีกแน่ ว่าร่วมมือกับคนร้ายวางแผนฆ่าน้องชายเพื่อแย่งน้องสะใภ้มาเป็นของตนเอง ถึงตอนนั้นเขาก็หมดทางแก้ตัว


พอถึงเวลานั้นเขาคงปกป้องตำแหน่งซื่อจื่อไว้ไม่ได้ และไม่แน่ว่ากระทั่งชีวิตก็ยากที่จะรักษาเอาไว้ได้ ชื่อเสียงจวนติ้งเป่ยโหวก็จะเสื่อมเสียไปด้วย ผลร้ายที่จะตามมานั้น…


เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด


“ท่านแม่ ข้าผิดเองขอรับ ข้าดึงตัวน้องรองขึ้นมาไม่ทัน!” คิดมาถึงตรงนี้ จางอวิ๋นอี้ก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขารีบหันไปเอ่ยกับคนใช้ที่รายล้อมอยู่เต็มเรือนทั้งน้ำตาว่า “มัวอึ้งทำอะไรกันอยู่? ยังไม่ช่วยคนอีก?”


ที่บอกว่าช่วยคนในเวลานี้ ที่จริงแล้วก็เพียงแค่งมศพขึ้นมาเท่านั้น


“ลูกข้า…” ฮูหยินจางได้ยินก็หลอกตนเองไม่ได้อีกต่อไปในที่สุด ร่างกายโงนเงนจวนจะล้ม นางกรีดร้องเสียงเศร้าจะถลาเข้าไปริมสระน้ำ แต่ขยับได้เพียงก้าวเดียวก็หกล้มหงายหลังไปต่อหน้าต่อตา


“เร็ว รีบพยุงท่านแม่เข้าไปเร็วเข้า!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยอย่างรีบร้อน


เหมือนเกิดความโกลาหลไปทั้งเรือน เหล่ายามรักษาการณ์คิดหาวิธีงมศพของจางอวิ๋นเจี่ยนขึ้นมาจากน้ำ พวกบ่าวรับใช้ก็ช่วยกันประคองฮูหยินจางเข้าไปในห้องอุ่น


ตอนที่จางอวิ๋นอี้ออกมาจากห้องนั้นยังมีข้าวของวางระเกะระกะไปทั่ว แต่เวลานี้ที่ทุกคนเข้าไปอีกครั้งกลับถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง


จางอวิ๋นอี้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก แต่กลับพูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงฝืนใจอดกลั้นเอาไว้


สาวใช้ประจำตัวฮูหยินจางรีบไปเชิญหมอในจวนมาอย่างรวดเร็ว หมอตรวจชีพจรให้ฮูหยินจาง บอกแค่ว่ามีเรื่องกระทบจิตใจถึงได้เป็นลมล้มพับไป เพียงชั่วครู่ก็ฟื้นคืนสติกลับมา


“ลูกชายข้า…ลูก…” ฮูหยินจางที่เพิ่งฟื้นขึ้นมากลับนอนร้องไห้อยู่บนเตียงปานจะขาดใจตาย


จางอวิ๋นอี้ยืนมองอย่างกระวนกระวายอยู่ข้างๆ อยากจะปลอบใจ แต่ก็กลัวโดนจับได้จนพูดไม่ออก


บรรยากาศแห่งความทุกข์ เศร้าสลด และอ้างว้างปกคลุมทั่วทั้งห้อง


ไม่นานนักจางติ่งโหวติ้งเป่ยที่เตรียมตัวพร้อมไปเข้าเฝ้าแล้วก็รีบเข้ามาเช่นกัน


ถึงแม้จางอวิ๋นเจี่ยนจะไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เขาก็มีกันแค่สองคนพี่น้อง สีหน้าเขาย่ำแย่มาก ทันใดนั้นก็ตีหน้าเคร่งขรึมด่าทุกคนที่อยู่ในห้องรวมทั้งฉู่หลิงอวิ้นอย่างสาดเสียเทเสียทันที แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หอบหายใจไม่หยุด


คนนอกเรือนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงจะงมศพของจางอวิ๋นเจี่ยนขึ้นมาจากน้ำเย็นยะเยือกได้


ฮูหยินจางลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น


“เป็นอย่างไรบ้าง?” พอเห็นลูกชายนอนหน้าขาวซีดและแข็งทื่อไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น ฮูหยินจางก็หน้าซีดเผือดล้มลงไปบนพื้นทันที นางโอบจางอวิ๋นเจี่ยนที่เนื้อตัวเย็นเฉียบไปทั้งตัวร้องไห้โหยหวน “ลูกข้า…เจ้าเป็นอะไรไป? เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิ ฟื้นขึ้นมา…ลูก…ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”


เสียงร่ำไห้ด้วยความเสียใจดังอย่างต่อเนื่อง


จางอวิ๋นอี้เพียงแต่รู้สึกว่าเสียงนี้ทรมานตนเองจนคล้ายจะประสาทเสีย จึงเดินไปโอบบ่านางและปลอบใจว่า “ท่านแม่ นี่เป็นโชคชะตา ท่าน…”


“โชคชะตาอะไรกัน? เขาเป็นน้องชายเจ้านะ!” ฮูหยินจางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลืมร้องไห้ไปชั่วขณะ และผลักเขาออกไป


แล้วนางก็หันไปมองฉู่หลิงอวิ้น และด่าทออย่างเดือดดาลจนน้ำลายกระเซ็นว่า “นางผู้หญิงสารเลว ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ถ้าไม่เพราะดวงซวยของเจ้าทำร้ายเจี่ยนเอ๋อร์ ไม่งั้นเขาจะ…ไม่งั้นจะ…”


นางพูดไปก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก


จางอวิ๋นอี้กับจางอวิ๋นเจี่ยนสองพี่น้องถือว่าผูกพันกันไม่น้อย ในเมื่อจางอวิ๋นอี้บอกเองว่าจางอวิ๋นเจี่ยนก้าวพลาดตกน้ำไป แน่นอนว่าฮูหยินจางก็ไม่ได้สงสัยสาเหตุการตายของลูกชาย แต่นางกลับยังพาลโกรธฉู่หลิงอวิ้นด้วยเรื่องนี้


หากไม่เพราะตอนนั้นนางผู้หญิงชั่วนี่ยั่วยวนลูกชาย จนลูกชายถูกซูหลินทำร้ายถึงขั้นพิการ ถ้าลูกชายยังเป็นคนปกติล่ะก็ จะก้าวพลาดจนจมน้ำตายแบบนี้ได้อย่างไร?


ดังนั้นต้นตอของเรื่องชั่วทั้งหมดนี่ก็คือผู้หญิงคนนี้!


นางผู้หญิงสารเลวนี่!


ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้น จึงเช็ดน้ำตาทันที นัยน์ตาทอประกายกร้าวมองฉู่หลิงอวิ้นอีกรอบว่า “เจ้าไสหัวไปซะ อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก ตระกูลจางของข้าไม่มีสะใภ้ไร้ยางอายเช่นเจ้า เจ้าไปให้พ้นหน้าข้าซะ ต่อไปนี้ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับคนตระกูลจางทั้งนั้น”


จางอวิ๋นอี้ตื่นตกใจ


ฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ข้างๆ เผยสีหน้าโกรธจัดและทำอะไรไม่ถูก นางชะงักไปชั่วครู่ แล้วขมวดคิ้วมองจางติ่ง


“ท่านโหว[1] ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้กับคุณชายเหมือนกัน ท่านคงไม่โทษว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเหมือนกันใช่หรือไม่?”


จางติ่งมีท่าทีเฉยชาต่อสะใภ้อย่างฉู่หลิงอวิ้นที่สุด ตอนแรกฮูหยินจางเอาแต่พร่ำบอกว่าลูกชายถูกทำร้ายเพราะ


ฉู่หลิงอวิ้น อย่างไรก็ต้องให้นางแต่งงานเพื่อมาดูแลลูกชายต่อหลังจากนี้


แต่ตอนนี้ลูกชายตายไปแล้ว และยังฐานะนั้นของฉู่หลิงอวิ้นอีก…


ยังจะเลี้ยงดูนางให้อยู่ในบ้านต่อหรือ?


จางติ่งตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เขาขยับสายตา จางอวิ๋นอี้ก็รู้ความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อ เพิ่งจะเกิดเรื่องกับน้องรองขึ้น ศพยังไม่แข็งด้วยซ้ำ อย่างไรรอให้เรื่องนี้ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย”


เวลานี้สำหรับคนตระกูลจางคนอื่นแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นเป็นเหมือนพระพุทธรูปที่ต้องรีบขนออกไปจากบ้าน แต่คำพูดของจางอวิ๋นอี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน จางติ่งลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วก็พยักหน้า เขาถอนใจด้วยความเศร้า แล้วออกไปสั่งให้คนใช้แจ้งข่าวเตรียมจัดงานศพ


ฮูหยินจางสั่งให้คนย้ายศพจางอวิ๋นเจี่ยนออกไปทั้งน้ำตา


เพียงครู่เดียว คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ออกไปจากเรือนนี้หมด เหลือแค่คนที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่ายอย่างฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นอี้


“เจ้าวางแผนร้ายเอาไว้ก่อนแล้วใช่หรือไม่?” เวลานี้จางอวิ๋นอี้อารมณ์เย็นลงแล้วไม่น้อย เส้นเลือดปูดโปนเต็มหน้าผาก แทบจะตวาดเสียงดังอย่างโกรธจัด


“ถ้าใช่แล้วอย่างไร? ถ้าไม่ใช่แล้วอย่างไร?” ฉู่หลิงอวิ้นย้อนถาม พลางมองเขาอย่างไม่แยแส


“เจ้า…” จางอวิ๋นอี้เห็นท่าทางของนางแล้วก็พูดอะไรไม่ออก เขายิ่งไม่กล้าโต้เถียงเสียงดังอยู่ด้วย เพราะเกรงว่าคนอื่นจะได้ยินเข้า เดินไปเดินมาไม่กี่ก้าว ท้ายที่สุดก็ยังหันหน้าแดงก่ำกลับไปชี้หน้าฉู่หลิงอวิ้น เขาก้มหน้าลงตวาดถามว่า “เจ้าไม่กลัวเรื่องหลุดออกไปหรือ…”


“เช่นนั้นจึงต้องรบกวนให้ซื่อจื่อช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้แทนข้ามากหน่อยอย่างไรเล่า!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย แล้วกลับไปนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ “มีเจ้าเป็นพยาน ก็ไม่มีใครสงสัย พวกเราก็ควรดีใจด้วยกันไม่ใช่หรือ?”


จางอวิ๋นอี้ถูกนางดักทางได้อีกรอบ แก้มเขาสั่นอยู่ไม่กี่ครั้ง สุดท้ายก็จนด้วยคำพูดจนได้


ในที่สุดพอสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็นั่งลงรินชาให้ตนเองเกินครึ่งถ้วยเหมือนกัน แล้วถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “อันที่จริงแบบนี้…สำหรับอวิ๋นเจี่ยนแล้วก็ถือว่าพ้นทุกข์ไปเสียที”


ฉู่หลิงอวิ้นหัวเราะเยาะในใจ และไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ


จางอวิ๋นอี้ตั้งสติอย่างรวดเร็ว จนท้ายที่สุดก็ปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งและหันไปมองนาง แล้วลองเอ่ยว่า “ท่านหญิง ท่านแม่ทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น คำพูดเมื่อครู่เจ้าอย่าได้เก็บใส่ใจ ข้าจะกลับไปเตือนนาง…”


เขาเอ่ยพลางยื่นมือไปจะจับมือของฉู่หลิงอวิ้น


ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วและหลบอย่างเย็นชา


จางอวิ๋นเจี่ยนเห็นนัยน์ตาของนางฉายแววรังเกียจ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในชั่วพริบตา


ฉู่หลิงอวิ้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มเย็นยะเยือกว่า “เจ้าก็ไม่ถึงกับโง่นัก มาถึงขั้นนี้แล้ว จะหลอกตนเองไปทำไม? พวกเราพูดกันตรงๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ? เจ้าคิดว่าข้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไปเพื่ออะไร? จางอวิ๋นอี้ เจ้าก็คงรู้อยู่แก่ใจใช่หรือไม่?”


จางอวิ๋นอี้ถูกนางยั่วยุจนหน้าเปลี่ยนสีเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาวไม่หยุด เขาจ้องนางเขม็ง นานทีเดียวกว่าจะส่งเสียงลอดไรฟันออกมาไม่กี่คำ “เจ้าคิดว่าสำเร็จแล้วจะถีบหัวส่งข้างั้นหรือ? เจ้าไม่กลัวข้าเปิดโปงเรื่องออกไปรึ?”


หญิงสาวที่หน้าตางดงามเพียงนี้อย่างฉู่หลิงอวิ้น ในเมื่อเขารับผิดชอบเรื่องที่วางแผนทำร้ายน้องชายของตนเองแทนนางแล้ว จะใจกว้างขนาดปล่อยนางไปอีกรึ? ถึงแม้ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะโดนข่มขู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยแอบมีใจให้…


พอจางอวิ๋นเจี่ยนตาย ชาตินี้ฉู่หลิงอวิ้นก็ต้องหวังพึ่งเขาแล้วไม่ใช่หรือ?


แต่นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะคิดแผนแบบนี้ออกมาได้


“เปิดโปงอะไร?” ฉู่หลิงอวิ้นไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดคุกคามของเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังยิ้มเสียด้วย


วางแผนฆ่าสามีตนเอง! หากเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้หลุดออกไป ฉู่หลิงอวิ้นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นางกลับไม่กลัวงั้นหรือ?


จางอวิ๋นอี้ไม่แน่ใจว่าที่นางเยือกเย็นถึงขนาดนี้เป็นเพราะเสแสร้งแกล้งทำรึเปล่า จึงเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา


ฉู่หลิงอวิ้นเหลือบตามองเขา แล้วครุ่นคิดพลางย้อนถามว่า “เมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืดที่ไม่มีแสงจันทร์ อีกทั้งยังลมพัดแรง เจ้าแน่ใจว่าคนที่อยู่ในห้องเป็นข้าจริงๆ หรือ?”


จางอวิ๋นอี้อึ้งไป


จื่อซวี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังฉู่หลิงอวิ้นตัวสั่นเทาไปทั้งตัว และรีบเงยหน้ามองนางทันที


————————————————————-


[1] โหว เป็น 1 ใน 6 บรรดาศักดิ์ของขุนนางในราชสำนักจีน อันประกอบไปด้วย อ๋อง กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน โดยโหวมีฐานะเทียบเท่ากับตำแหน่งพระยาของไทย


บทที่ 8 เขาต้องตาย (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่หลิงอวิ้นไม่สนใจสีหน้าของทั้งสองคนแม้แต่น้อย และยังเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าไปทำตามข้าที่สั่ง เราสองคนก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ ไม่เช่นนั้น…เจ้านอนกับสาวใช้ประจำตัวข้าและน้องชายเจ้าดันไปเจอเข้าพอดี เขาจึงต้องตาย แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็เสียสติฆ่าคนปิดปากเพราะกลัวข้าจะสืบหาความจริง หากนำเหตุผลแบบนี้ไปแจ้งห้องพิจารณาคดีของกรมอาญา ก็น่าจะมีแรงจูงใจพอใช่หรือไม่?”


ในสมองของจางอวิ๋นอี้ตีกันสับสนวุ่นวาย จิตใต้สำนึกเขาเชื่อว่าคนเมื่อคืนคือฉู่หลิงอวิ้น แต่ผู้หญิงคนนี้ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ถึงเวลานั้นหากเรื่องไปถึงหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้ก็ต้องปกป้องศักดิ์ศรีของราชวงศ์ สุดท้ายคนที่จะมีภัยมาถึงตัวก็คือเขาเองอย่างแน่นอน


ส่วนจื่อซวี่นั้นได้ยินแล้วก็แข้งขาอ่อนยวบคุกเข่าลงไปทันที แล้วเงยหน้าซีดมองไปที่ฉู่หลิงอวิ้น…


หากจางอวิ๋นอี้ไม่ยอมทำตาม ฉู่หลิงอวิ้นต้องทอดทิ้งนางแน่ ถึงเวลานั้นนางก็ตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย!


บรรยากาศในห้องต่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน จางอวิ๋นอี้ชั่งใจอยู่นาน ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับการข่มขู่ของฉู่


หลิงอวิ้น จึงกัดฟันเอ่ย “ได้ ในเมื่อเจ้าอยากไป ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่!”


“เรื่องนี้จะพูดจาส่งเดชไม่ได้เชียว!” ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเขาลุกขึ้นจะจากไป ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชาอีก


จางอวิ๋นอี้พยายามสะกดกลั้นความโกรธที่ปะทุขึ้นในใจ แล้วหยุดฝีเท้าหันกลับมามองนาง “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”


“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่วันเดียว” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย “ฮูหยินของซื่อจื่อเข้ากันได้ดีกับฮูหยินโหวมาตลอด ดังนั้นข้าอยากรบกวนนางให้ช่วยไปพูดกับฮูหยินโหวสักหน่อย!”


ภรรยาแซ่เฉียนของจางอวิ๋นอี้กับฮูหยินจางเป็นลูกสะใภ้กับแม่สามีที่สนิทสนมกันมาก หากให้นางออกหน้าไปนินทาให้ฮูหยินจางฟัง บวกกับเวลานี้ฮูหยินจางกำลังอารมณ์เสียอีก แน่นอนว่าลงแรงน้อยแต่ได้ผลมาก


จางอวิ๋นอี้หน้าดำคร่ำเครียดไปเสียนาน แต่ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องไหนเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ทั้งนั้น


“ได้!” ในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงฝืนใจตอบรับ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป


จื่อซวี่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างหวาดหวั่นและไม่สบายใจ


ฉู่หลิงอวิ้นพยุงนางขึ้นมาว่า “ไปเตรียมตัวเก็บของเถอะ!”


จื่อซวี่ลุกขึ้นมาและออกไปอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก


เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าผู้หญิงแซ่เจิ้งเป็นมือวางอันดับหนึ่งด้านการยุแยงให้คนแตกคอกันอย่างแท้จริง วันนั้นตอนบ่ายฮูหยินจางก็ไปทั้งร้องไห้และทะเลาะต่อหน้าจางติ่งอีก ส่วนจางติ่งเองก็ไม่อยากให้ฉู่หลิงอวิ้นอยู่ในตระกูลจางต่อ เขาพิจารณาอยู่เพียงชั่วครู่ก็ให้คนไปส่งจดหมายแจ้งจวนอ๋องหนานเหออย่าง ‘อ้อมค้อม’ และเย็นวันนั้นฉู่ฉีเหยียนก็มารับตัว


ฉู่หลิงอวิ้นกลับไปด้วยตนเอง


ทว่าเวลาแค่ช่วงกลางวันสั้นๆ นั้นข่าวเรื่องจางอวิ๋นเจี่ยนคุณชายรองจวนติ้งเป่ยโหวจมน้ำตายก็แพร่สะบัดไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว


ฉู่หลิงอวิ้นก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ผู้คนให้ความสนใจมากและถกเถียงกันอย่างดุเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…


นางเพิ่งแต่งงานเข้าตระกูลจางไปเมื่อวันที่หก เวลานี้วันที่สิบหกพอดี เวลาสิบวันก็กลายเป็นแม่หม้ายในทันใด


นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าพิศวงทีเดียว


ที่จวนอ๋องหนานเหอนั้นฉู่อี้หมินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาสาดน้ำชาร้อนใส่ฉู่หลิงอวิ้น แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “วันนี้เจ้าต้องอธิบายให้ข้าฟังอย่างชัดเจน เจ้าคิดว่าข้ายังขายหน้าไม่พออีกหรือ? ถึงได้ก่อเรื่องใหญ่บ่อยๆ เจ้าต้องให้ข้าโกรธเจ้าจนตายก่อนถึงจะยอมหยุดใช่หรือไม่?”


ฉู่หลิงอวิ้นคุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกน้ำชาสาดเต็มไปทั้งตัว แต่กลับนิ่งไม่ขยับเขยื้อน


“นี่เจ้าทำอะไร?” คนแซ่เจิ้งถลาเข้าไปดึงแขนเสื้อขึ้นจนเห็นหลังมือที่บวมแดงและเจ็บจนน้ำตาไหลออกมาของนาง “ลูกสาวเจอเรื่องแบบนี้ก็ทุกข์มากพอแล้ว เจ้าไม่เข้าข้างนางก็ช่าง ยังจะมาอารมณ์เสียใส่นางอีก นี่เจ้าไม่อยากให้นางมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?”


“นางตายแล้ว ข้าถึงจะไร้มลทิน!” ฉู่อี้หมินโกรธจัด แล้วด่าทอเสียงดังด้วยหน้าแดงก่ำว่า “เด็กคนนี้ถูกเจ้าตามใจจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทำให้ข้าเสียหน้านับครั้งไม่ถ้วน ข้ากลับหวังให้ไม่มีลูกสาวแบบนี้ด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องขายขี้หน้าไปด้วย!”


ไม่ว่าจางอวิ๋นเจี่ยนจะตายอย่างไร เดิมทีเรื่องแต่งงานครั้งนี้ก็ทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีไปหมด ตอนนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ลูกสาวแต่งงานไปได้สิบวันก็กลายเป็นแม่หม้ายแล้ว


ครั้งนี้เขาพูดแรงจริงๆ คนแซ่เจิ้งก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน จึงรีบปลอบใจเสียงอ่อน


ฉู่ฉีเหยียนนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ มาตลอด บางครั้งก็กวาดสายตามองหน้าฉู่หลิงอวิ้นรอบหนึ่งแล้วเบือนหนีไปอีกทางอย่างเฉยชา เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว


ฉู่อี้หมินอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงสั่งให้คนพาฉู่หลิงอวิ้นกลับเรือนและเฝ้าไว้ให้ดี ส่วนตนเองก็สะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างฉุนเฉียว


ฉู่หลิงอวิ้นตอบสนองอย่างฉับไว ไม่ร้องไม่วุ่นวาย และตามแม่บ้านกลับเรือนของตนเองไป


คนแซ่เจิ้งถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอย่างเงียบๆ พลางเอ่ยกับฉู่ฉีเหยียน “เช่นนี้จะดีได้อย่างไร? ทำไมถึงได้เจอเรื่องแบบนี้?”


“ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว รอให้ท่านพ่อหายโกรธก็พอแล้วขอรับ” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย แล้วตบบ่าของนางเบาๆ


เห็นว่าจางอวิ๋นเจี่ยนก้าวพลาดจมน้ำตาย? เขาไม่เชื่อเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว เขาคิดไว้แล้วว่าฉู่หลิงอวิ้นคงอยู่ตระกูลจางไม่นาน แต่คิดไม่ถึงว่านางจะหมดความอดทนเร็วขนาดนี้ แต่เขารู้นิสัยของพี่สาวตนเองดี ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ไม่คิดจะเตือนอีก จึงปลอบใจคนแซ่เจิ้งนิดหน่อยและไปส่งนางกลับเรือนด้วยตนเอง


พอออกมาจากเรือนหลักก็เจอหลี่หลินเข้ามาหาพอดี


“ข้างนอกมีข่าวอะไรอีก?” ฉู่ฉีเหยียนถาม


“เยอะมากขอรับ!” หลี่หลินตอบ สีหน้าเป็นกังวล “จางอวิ๋นเจี่ยนจมน้ำตาย ฮูหยินจางทะเลาะกับท่านหญิงก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็มีคนพูดอีกว่าเมื่อคืนเห็นท่านหญิงกับใต้เท้าเหยียนหลิงเดินเที่ยวงานวัดและล่องเรือด้วยกัน ถึงขั้น…”


เขาพูดไปแล้วก็พูดไม่ออกจนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วฝืนยิ้มอีกว่า “ยังมีข่าวที่เล่าลือกันว่าท่านหญิงให้คนไปส่งจดหมายที่จวนเฉินเมื่อวานตอนเที่ยงคืน สรุปแล้วมีข่าวลือมากมายเต็มไปหมดขอรับ”


ฉู่หลิงอวิ้นกับเหยียนหลิงจวินอยู่ด้วยกันที่ถนนไฉ่ถัง ฉู่ฉีเหยียนกลับไม่ได้สนใจมากนัก ถึงอย่างไรในตอนนั้นก็ยังมีฉู่สวินหยางและคนอื่นอยู่ด้วยทั้งคน แต่เรื่องจดหมายนั้นกลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา


แทบจะในเวลาเดียวกับที่หลี่หลินพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็เข้าใจทันที และด่าอย่างโกรธเคือง “คนโง่!”


นางคิดจะใช้จดหมายฉบับนั้นเป็นจุดอ่อนไว้ข่มขู่เหยียนหลิงจวินหรือ? แต่ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร มีอย่างที่ไหนจะยอมให้ง่ายขนาดนั้น?


“ข่าวออกมาจากจวนเฉินรึ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยอย่างมั่นใจและไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ


“ขอรับ!” หลี่หลินพยักหน้า “ใต้เท้าเหยียนหลิงน่าจะจงใจให้คนปล่อยข่าวออกมา เวลานี้ข้างนอกทุกถนนทุกตรอกพูดคุยกันอย่างออกรส ต่างก็พูดกันว่า…”


หลี่หลินไม่กล้าพูดคำที่เหลือออกมา


ฉู่หลิงอวิ้นมีใจให้เหยียนหลิงจวิน คนที่ช่างสังเกตมากมายต่างรู้ดี อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคยเดินเที่ยวงานวัดและล่องเรือด้วยกัน เหมือนสร้างสถานการณ์ให้คนอื่นเห็นไปแล้ว


หากไม่มีเรื่อง ‘จดหมายลับ’ ฉบับนั้นก็แล้วไป เพราะตอนนั้นมีคนอยู่ด้วยเยอะมาก คงไม่ใครกล้าเชื่อมโยงการตายของจางอวิ๋นเจี่ยนกับฉู่หลิงอวิ้นเข้าด้วยกัน ตอนนี้นี่สิ ถ้าเรื่องจดหมายฉบับนั้นหลุดออกไป ก็เห็นได้ชัดว่าจงใจให้คนคิดกันไปไกล!


ฉู่หลิงอวิ้นหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!


ทีแรกฉู่ฉีเหยียนไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของนางแล้ว แต่เวลานี้ก็อดทนไม่ได้อีก เขาลุกขึ้นเดินไปเรือนของฉู่หลิงอวิ้นอย่างรวดเร็ว


สองสามวันมานี้ จื่อเหวยไม่อยู่ มีแค่จื่อซวี่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฉู่หลิงอวิ้นคนเดียว


นางพอจะรู้แผนการของฉู่หลิงอวิ้นคร่าวๆ ตอนนี้จึงใส่ยาบนหลังมือที่โดนชาร้อนลวกอย่างระมัดระวังไปพลาง ลองถามเสียงเบาไปพลาง “ท่านหญิง ท่านอ๋องโมโหมากขนาดนั้น เกรงว่าจะไม่หายโมโหในเร็ววัน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือเจ้าคะ?”


ฉู่หลิงอวิ้นทอดสายตามองด้านนอก ชัดเจนว่าจิตใจก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เช่นกัน อยู่ๆ นางก็ถามขึ้นมาว่า “เรื่องที่ให้เจ้าไปจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”


จื่อซวี่ตกใจจนมือสั่นไปโดนแผลบนมือของฉู่หลิงอวิ้น ทำให้อีกฝ่ายด่าอย่างเดือดดาลว่า “เงอะงะซุ่มซ่าม!”


“ข้าสมควรตาย!” จื่อซวี่รีบเอ่ย แล้วคุกเข่าลงไปขออภัย สุดท้ายก็อดเอ่ยไม่ได้ว่า “ท่านหญิงจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ? เวลานี้ท่านอ๋องกำลังอารมณ์เสีย หากว่า…”


“เจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย แค่อย่าให้เขารู้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย


นางจงใจให้คนไปส่งจดหมายให้เหยียนหลิงจวิน ก็เพื่อสร้างจุดอ่อนขึ้นมาแทนเรื่องนี้ พอจางอวิ๋นเจี่ยนตาย ตอนนี้เป็นแค่แผนขั้นแรกเท่านั้น บวกกับเรื่องที่ทุกคนปรากฏตัวด้วยกันอย่างโจ่งแจ้งเมื่อคืนก่อน นางไม่พูดถึงก็ยังแล้วไป แต่หากนางเปิดเผยเรื่องจดหมายฉบับนั้น เหยียนหลิงจวินก็ไม่อาจหาข้อแก้ตัวได้เหมือนกัน


นางยอมวางเดิมพันสูง เพราะไม่เชื่อว่าเหยียนหลิงจวินจะยอมเสี่ยงให้ชื่อเสียงป่นปี้และตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง


แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้โอกาสแล้วก็ควรรีบทำ นางจึงจำเป็นต้องรีบไปหงายไพ่ต่อหน้าเขาให้เร็วที่สุด


เพราะว่าไม่สามารถคาดเดาวิธีจัดการเรื่องราวของเหยียนหลิงจวินได้อย่างแม่นยำ เวลานี้ในใจฉู่หลิงอวิ้นจึงทั้งเฝ้ารอและกังวล ทว่าตอนที่จิตใจกำลังสับสนวุ่นวายนั้นเอง ฉู่ฉีเหยียนก็เดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเย็นชา


“เจ้ามาได้อย่างไร?” ฉู่หลิงอวิ้นถามอย่างใจลอย เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดจะสนใจเขา


“มาเตือนเจ้าไว้สักหน่อย” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “เตรียมชุดเข้าวัง และข้ออ้างที่น่าเชื่อถือไว้ให้พร้อม อย่างช้าที่สุดก็พรุ่งนี้เช้าน่าจะมีคนจากในวังมาแจ้งเจ้าแล้ว!”


ฉู่หลิงอวิ้นจับต้นชนปลายไม่ถูก แค่รู้สึกว่าเขาพูดฉีกหน้ากันแบบนี้ไม่มีเหตุผล จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาทันทีว่า “เจ้ากำลังเพ้อเจ้ออะไรอยู่? ข้า…”


“เรื่องที่เจ้าส่งจดหมายไปจวนเฉินตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ตอนนี้ทุกคนรู้กันทุกตรอกซอกซอย เจ้าคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะลบล้างเรื่องนี้ไปได้ จะทำกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย พลางมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ


ฉู่หลิงอวิ้นหน้านิ่ง และไม่ตอบสนองไปพักใหญ่


“เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ก็คิดหาวิธีปิดบังความผิดเองเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยพลางหันตัวจากไปอย่างองอาจอีกครั้ง


—————————————————–


บทที่ 9 เดิมพันชีวิต (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่หลิงอวิ้นตะลึงไปทันที รอจนสติกลับคืนมาจึงค่อยเข้าใจอย่างรางๆ


ร่างของนางสั่นไหว เบือนหน้ามองไปทางจื่อซวี่โดยพลัน


จื่อซวี่ตัวสั่นเล็กน้อย คุกเข่าลงอย่างตื่นตกใจ ส่ายหน้าพัลวัน “ท่านหญิง ไม่ใช่บ่าวนะเจ้าคะ!”


ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้โง่ จะปล่อยจุดอ่อนทิ้งไว้โดยไม่คำนึกถึงผลที่ตามมาได้อย่างไร?


นางส่งจดหมายลับให้เหยียนหลิงจวิน เพียงเพื่อว่าใช้เป็นจุดอ่อนบีบบังคับเขาให้ยอมคนละครึ่งทาง ที่จริงแล้ว…


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเน่าเฟะของราชวงศ์ ไม่ว่าใครเข้ามาพัวพันล้วนแต่ต้องเป็นกังวลในภายภาคหน้า นางไม่เชื่อว่าเหยียนหลิงจวินจะไม่มีสิ่งใดที่ไม่กลัว


ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่า นางยังไม่ทันได้ไปพูดคุยกับเขา จู่ๆ เรื่องราวก็ปะทุออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว


จื่อซวี่ไม่มีทางที่จะทรยศนาง จุดนี้ฉู่หลิงอวิ้นรู้ดี แต่ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่น่าจะเอาเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาล้อเล่นเช่นกัน


“เรื่องรั่วไหลออกมาได้อย่างไรกันแน่? เรื่องนี้ยังมีใครรู้อีก?” สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นดำคล้ำ ใช้มือพยุงโต๊ะก่อนจะค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้


ท่าทีของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใด แต่เมื่อลองมองให้ลึกลงไป


กลับพบว่าจิตใจว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด


“หลี่สิงเป็นคนไปส่งเจ้าค่ะ นอกจากเขาและบ่าวรับใช้ ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก แม้แต่หลี่อี้ก็ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” จื่อซวี่กล่าว


หลี่สิงและหลี่อี้เป็นพี่น้องกัน ทั้งก็เป็นคนข้างกายที่นับว่าเชื่อถือได้ของฉู่หลิงอวิ้น ผู้ที่จัดการเรื่องจางอวิ๋นเจี่ยนแทนนางก็เป็นสองคนนี้ ดังนั้นสำหรับสองคนนี้แล้วนางจึงไม่ได้สงสัย


เมื่อลองคิดอย่างรอบคอบ ท้ายที่สุดใจก็ยังสับสนขึ้นมา ตบโต๊ะด้วยความโมโหทันที ใบหน้านั้นเผยให้เห็นความดุดัน กล่าวอย่างเสียงดัง “ถ้าเช่นนั้นเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่?”


“บ่าว…บ่าว…” จื่อซวี่ร้องห่มร้องไห้ ลอบสังเกตสีหน้านางไปพลาง ลอบกล่าวเสียงเบาไปพลาง “ท่านหญิง ให้อภัยบ่าวที่ปากมากด้วย เรื่องต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายพวกเราแน่เจ้าค่ะ ท่านหญิงว่า…เป็นไปได้หรือไม่…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดจากใต้เท้าเหยียนหลิงฝ่ายนั้น…”


“อะไรนะ?” ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ยินดี


ใจของจื่อซวี่สั่นสะท้าน รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ “บ่าวเพียงพูดเรื่อยเปื่อยเจ้าค่ะ!”


ใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นดำทะมึนลง “เขาเสียสติไปแล้วรึ? ไม่ทันไรก็สาดน้ำสกปรกมาใส่ตัวเองเนี่ยนะ?”


จื่อซวี่ไม่กล้าแสดงความเห็นออกมาอีกแล้ว ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ…


เหยียนหลิงจวินน่ะหรือจะสาดน้ำสกปรกใส่ตัวเอง? ถ้าจะให้พูดจริงๆ ถึงแม้ด้านนอกจะร่ำลือไปขนาดไหน แต่น้ำนี้ก็กระเด็นไม่โดนตัวเขา เขากับฉู่หลิงอวิ้นนับว่าเกี่ยวข้องอันใดกัน แม้จะทราบกันดีว่า ฉู่หลิงอวิ้นมีใจให้เขาแล้วอย่างไรเล่า? ต่อให้ฉู่หลิงอวิ้นทำไปเพราะว่าเหตุผลของเขา แล้วจางอวิ๋นเจี่ยนเล่า? เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือด ท้ายที่สุดในตอนที่ผู้คนจับกลุ่มคุยกันก็จะพูดแต่เพียงว่าฉู่หลิงอวิ้นคนนี้สติฟั่นเฟือนฆ่ากระทั่งสามีตนเอง!


นิสัยของฉู่หลิงอวิ้นนับวันก็ยิ่งเอาแต่ใจทั้งยังไม่ยอมฟังผู้ใด


คำพูดพวกนี้แม้แต่คำเดียวจื่อซวี่ก็ไม่กล้าพูดออกมา


ฉู่หลิงอวิ้นที่ยังคงจิตใจสับสนวุ่นวายคิดมาครึ่งวันก็ยังจับใจความสำคัญไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ระบายความโกรธออกมา เตะไปที่จื่อซวี่หนึ่งทีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ยังอ้ำอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่ไปรีบสืบข่าวคราวมาให้ข้าอีก?”


ถ้าเป็นอย่างที่ฉู่ฉีเหยียนพูดจริงๆ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาล่ะก็ ครั้งนี้นางก็จบสิ้นแล้วจริงๆ


“เจ้าค่ะ!” จื่อซวี่รีบเช็ดน้ำตาดันตัวเองขึ้นมา ก่อนจะก้าวออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว


ฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ในห้องก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ ลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ


จื่อซวี่ออกไปกว่าสองชั่วยามแล้ว แม้แต่เงาก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น


เวลาพลบค่ำ ยังไม่ทันจะได้รอดูท่าทีของฮ่องเต้และฮองเฮาที่อยู่ในวัง กลับเป็นจางอวิ๋นอี้ที่บุกเข้ามาหานางถึงประตูก่อน


เขามาด้วยความร้อนรน และเนื่องจากเป็นบ้านของแม่ยาย บ่าวเฝ้าหน้าประตูที่ไม่รู้เรื่องราวจึงไม่ได้ขัดขวางอันใด เชิญเขาเข้ามาด้านใน กลับไม่คาดคิดว่าจางอวิ๋นอี้ที่มีท่าทีดุดัน จะไม่ได้ตามเขาเข้าไปพบคนแซ่เจิ้งและฉู่อี้หมินที่ห้องโถงใหญ่ แต่กลับบุกเข้าไปหาฉู่หลิงอวิ้นทางนั้นแทน


ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้คาดคิดมาก่อน ในตอนที่จิตใจสับสนวุ่นวายก็เงยหน้าเจอกับจางอวิ๋นอี้ที่อยู่ด้านนอก คนผู้นั้นพยายามผลักบ่าวที่ขัดขวางเขาก่อนจะก้าวเท้ายาวเข้ามา


“เจ้ามาได้อย่างไร?” ฉู่หลิงอวิ้นเปิดปากถามทันที “ที่นี่เป็นเรือนของข้า…”


สีหน้าของจางอวิ๋นอี้ยามนี้นับว่ายังบิดเบี้ยวกว่านางหลายเท่า แววตานั้นทั้งแข็งกร้าวและดุดัน จ้องมองมาที่นางไม่วางตา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะกล่าวว่า “หากเจ้ายังอยากเหลือหน้าตาไว้บ้าง ก็อย่าให้พวกเขามาอยู่ที่นี่”


ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด…


คนผู้นี้ ควรจะอยู่ในกำมือนางแท้ๆ เวลานี้กลับวางอำนาจบาตรใหญ่บุกเข้ามาหานางถึงในเรือน ถึงอย่างไรนางก็เข้าใจเหตุผลดี เห็นได้ชัดว่าจางอวิ๋นอี้ได้ยินข่าวลือจากด้านนอกมา ดังนั้นจึงมาหานางเพื่อพิสูจน์ความจริง


สถานการณ์ของนางในตอนนี้ก็น่ากังวล อย่างไรก็ไม่ควรจะปล่อยให้คำนินทาที่ไม่ดีต่อตัวเองแพร่งพรายออกไปอีกแล้ว ดังนั้นจึงกดความโกรธไว้ในใจ กล่าวกับสาวใช้ที่ตามเข้ามาด้านหลังว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยกับซื่อจื่อสักสองสามประโยค”


บ่าวพวกนั้นล้วนแต่ได้ยินข่าวลือของสกุลจางมารู้สึกไม่ยินดี ดังนั้นจึงตามเข้ามา กลับไม่รู้สึกว่าสองคนนี้จะมีเรื่องอันใดที่ไม่สามารถบอกกล่าวให้ผู้อื่นรู้ได้ แต่เมื่อฉู่หลิงอวิ้นออกคำสั่งแล้ว ก็ต้องถอนตัวออกไป


“เจ้ามาทำไม?” รอจนบ่าวพวกนั้นแยกย้ายกันไป ฉู่หลิงอวิ้นก็เอ่ยปากอย่างเย็นชาขึ้นมาทันที


กล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ามือก็ลอยมาตรงหน้า นางถูกจางอวิ๋นอี้ตบฉาดใหญ่อย่างเสียงดังจนซีกหน้าด้านหนึ่งบิดเบี้ยว


ใบหน้านั้นปวดแสบยิบๆ  ฉู่หลิงอวิ้นตกตะลึงนิ่งไป ประคองใบหน้าอยู่สักพักจึงค่อยๆ หันกลับมาใช้แววตาที่ดุร้ายมองไปทางจางอวิ๋นอี้ กล่าวอย่างคาดไม่ถึงว่า “เจ้ากล้าตบข้า?”


หลายปีที่ผ่านมา นางมีเกียรติและสูงศักดิ์ ทั้งยังมีหลัวฮองเฮาคอยหนุนหลังอยู่ กล่าวได้ว่ามีเพียงตอนที่นางปฏิเสธการแต่งงานกับซูหลินเท่านั้นที่ถูกฉู่อี้หมินลงมือไปหนึ่งครั้ง ทว่าตอนนี้ผู้ที่ลงมือกลับเป็นเศษสวะไม่เอาไหนที่นางไม่เคยมองอยู่ในสายตา?


จางอวิ๋นอี้นั้นทำไปเพราะโกรธขึ้นหน้า หลังจากลงมือไปแล้วตัวเองก็อึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน


เพียงแต่พอคิดว่าเขาอาจจะถูกฉู่หลิงอวิ๋นหลอกใช้เป็นเกราะป้องกัน ก็พลันโมโหขึ้นมาทั้งยังมีความกล้าเพิ่มมากขึ้น เขานวดนิ้วมือ ค่อยๆ เก็บมือไปไว้ทางด้านหลัง กล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น “เจ้าอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนกับข้าคงจะดีกว่า เรื่องนี้เจ้าวางแผนมานานแล้วใช่หรือไม่? ตั้งแต่วันที่แต่งเข้าสกุลจางก็เริ่มแผนในวันนั้น? ใช้การแต่งงานครั้งนี้เรียกความสงสารจากหลัวฮองเฮา จากนั้นก็ฉวยโอกาสสังหารน้องชายรองของข้า เพื่อให้หลุดพ้นจากสกุลจาง? แล้วไปครองรักกับเหยียนหลิงจวิน?”


ฉู่หลิงอวิ้นเพิ่งจะแต่งเข้าสกุลจางได้กี่วันกัน? นางก็รีบร้อนลงมือกับจางอวิ๋นเจี่ยน ต้องไม่ใช่จู่ๆ ก็คิดจะลงมือแน่ๆ แต่ต้องเป็นแผนที่ตระเตรียมไว้นานแล้วอย่างแน่นอน!


เมื่อคิดขึ้นได้ว่าถูกหลอกใช้ ในใจก็ยิ่งเคียดแค้นขึ้นมา จึงพูดออกไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ใช้แววตาดูถูกกวาดมองยังฉู่หลิงอวิ้นที่ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวเพราะโมโห กล่าวว่า “แผนที่มีแต่ได้กับได้เช่นนี้เกรงว่าเจ้าจะคิดผิดแล้ว? หากเหยียนหลิงจวินมีใจให้เจ้าจริงๆ เหตุใดจึงจะต้องรอจนถึงวันนี้เล่า? ตอนที่เขาอยู่ในวังก็ไม่ไยดีเจ้าสักนิด ท่านหญิงอันเล่อที่คิดว่าตนเองสูงส่ง กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ วันนี้นับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”


ฉู่หลิงอวิ้นกุมใบหน้า แววตาที่เคียดแค้นนั้นจ้องมองเค้าอย่างเขม็ง ราวกับอสรพิษร้ายก็มิปาน


กระนั้นตั้งแต่เล็กจนโตนางก็ถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ถึงในใจจะอาฆาตแค้นอย่างไร ท้ายที่สุดก็ไม่ลดตัวลงไปตบตีเขาเยี่ยงสาวชาวบ้าน


เวลานี้ถูกจางอวิ๋นอี้พูดฉีกหน้าโดยไม่อ้อมค้อม นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือชี้ไปทางประตูทันที


“เจ้าไสหัวไปให้พ้นข้าเดี๋ยวนี้!”


จางอวิ๋นอี้นั้นยังโกรธไม่หาย จะยอมจากไปอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร


เขากลับก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


ฉู่หลิงอวิ้นเมื่อถูกเขาต้อน ก็ถอยหนีไปข้างหลังหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว


ฉู่หลิงอวิ้นเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงยิ้มเยาะกล่าวอย่างทิ่มแทงไปว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปอีก? สละฐานะสะใภ้สกุลจางทิ้ง จากนั้นก็ลักลอบเริงสวาทกล่าวความในใจกับคนนั้นของเจ้าใช่หรือไม่?”


เขาไม่ใคร่ครวญถึงสิ่งใดอีกแล้ว แม้แต่ฐานะของฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่สนใจ เพียงคิดได้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้วางแผนหลอกใช้สกุลจางทั้งสกุลราวกับคนโง่ เขาก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จึงพยายามใช้คำพูดที่เจ็บแสบด่ากราดใส่นาง เพื่อต้องการให้นางอับอายอย่างถึงที่สุด


“เพียงแต่เกรงว่าเจ้าจะรักเขาข้างเดียวเสียแล้ว!” จางอวิ๋นอี้กล่าว ใช้แววตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโลมเลียท้ายที่สุดก็หยุดสายตาที่อกนาง นัยน์ตาประกายด้วยราคะ กล่าวด้วยเสียงเย็น “อาศัยฐานะของเจ้าตอนนี้ เทียบกับนางโลมที่ถนนหลิ่วหลินแล้วก็แค่สวยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ยังจะคิดเพ้อเจ้ออะไรอีก?”


หลายปีมานี้รูปลักษณ์ที่งดงามเช่นฉู่หลิงอวิ้นล้วนแต่เป็นผู้หญิงในอุดมคติที่จางอวิ๋นอี้ใฝ่ฝัน ทว่าชื่อเสียงและฐานะของนางทุกวันนี้…


แม้จะเป็นจางอวิ๋นอี้ ที่พึงพอใจที่สุดก็มีเพียงร่างกายของนางเท่านั้น เล่นๆ เสร็จก็แล้วไป ใครจะอยากหาเรื่องเอาตัวปัญหาอย่างนางเข้ามากัน?


แล้วนับประสาอะไรกับเหยียนหลิงจวินที่เพียบพร้อมล้วนแต่เป็นที่หมายปองของคนอื่น


——————————————–


บทที่ 9 เดิมพันชีวิต (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่หลิงอวิ้นหน้าดำหน้าแดง ถูกเขาใช้แววตามองอย่างหยาบคายเช่นนี้ รู้สึกราวกับเปลื้องผ้าในที่สาธารณะถูกผู้คนมองทะลุปรุโปร่งก็มิปาน ทั่วทั้งตัวสั่นอย่างควบคุมไว้ไม่ได้


คำพูดเหล่านั้นของจางอวิ๋นอี้ล้วนแต่แทงเข้าถูกจุดนาง


“ข้าบอกให้เจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว ไม่ได้พูดอะไรโต้ตอบออกไป “หากเจ้าไม่ไป ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”


“ไม่เกรงใจ? ข้ากลับอยากเห็นนักว่าเจ้าจะไม่เกรงใจกับข้าอย่างไร!” จางอวิ๋นอี้กล่าว ยกเสื้อคลุมขึ้นก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อย่างไม่แยแสอะไร


ฉู่หลิงอวิ้นโกรธจนตาแทบจะถลน กัดฟันแน่นจนเลือดไหลออกมา ในใจปรารถนาอยากจะกินเขาทั้งเป็น จ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ ก็กลับยิ้มขึ้นอย่างแปลกประหลาด


ใจของจางอวิ๋นอี้สะดุดไปเล็กน้อย อดระแวงขึ้นมาไม่ได้


ในเวลานี้ ด้านนอกเรือนกลับได้ยินเสียงดังอื้ออึงและเสียงฝีเท้ามากมายที่เร่งรีบเล็ดลอดเข้ามา


“พระชายาช้าหน่อยเพคะ ระวังเท้าด้วยเพคะ!” แม่นมกู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน


ระหว่างที่พูด ด้านนอกคนแซ่เจิ้งที่พ่วงมาด้วยกลุ่มสาวใช้จำนวนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในเรือน


จางอวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว ตอนที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ฉู่หลิงอวิ้นก็ค่อยๆ เดินช้าๆ ทีละก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตู เงยมองดูสีท้องฟ้าพลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “หากข้าหลอกใช้เจ้าแล้วอย่างไรเล่า? ตอนนี้หากเจ้าอยากจะถอนตัวก็ต้องถามข้าก่อนว่าข้าอนุญาตเจ้าหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าออกไปตอนนี้ มิฉะนั้น…ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”


ในใจของจางอวิ๋นอี้เย็นเยียบ อดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา


ฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนเสียสติที่กล้าทำได้ทุกอย่าง เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองได้กำจุดอ่อนของผู้หญิงคนนี้ไว้แล้วจึงกล้าบุกมากล่าวโทษถึงที่นี่ กลับลืมไปว่าจุดอ่อนของเขาก็ตกอยู่ในมือนางเช่นกัน


จางอวิ๋นอี้มีความขลาดเพียงไหนฉู่หลิงอวิ้นนั้นรู้ดี จึงกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้าไปว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้ามักมากตัณหากลับ อย่าลืมนะว่า วันนี้เป็นเจ้าที่ยอมรับต่อหน้าผู้คนว่าจางอวิ๋นเจี่ยนพลัดตกน้ำ หากข้าชื่อเสียงป่นปี้เพราะเรื่องนี้ เจ้าก็ต้องถูกฝังเป็นรายต่อไปเช่นกัน ตอนนี้เจ้ากล้าบุกมาข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”


ขณะที่นางพูด ก็ยิ้มเยาะอย่างเสียดสี เบือนหน้าหันไปมองจางอวิ๋นอี้ แววตาก็ยิ่งประกายความอำมหิต กล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน “เจ้าก็มีความสามารถเช่นกันหรอกหรือ!”


จางอวิ๋นอี้หน้าซีดเผือด มุมปากกระตุกเป็นระยะ ในตอนที่ลังเลยังหาคำพูดที่เหมาะสมมาตอบโต้ไม่ได้ คนแซ่เจิ้งที่ใบหน้าครุกรุ่นไปด้วยความโกรธก็เดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว


นางประกายสายตาเย็นยะเยือกเหลือบมองไปที่จางอวิ๋นอี้ ยิ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทะมึน “เจ้าเห็นจวนอ๋องหนานเหอเป็นสถานที่แบบไหนกัน? บุกเข้ามาทางเรือนหลังเช่นนี้ จงใจทำลายชื่อเสียงจวนของข้าอย่างงั้นรึ?”


ในใจของจางอวิ๋นอี้เต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับถูกฉู่หลิงอวิ้นหยุดไว้ไม่ให้แสดงออกมา สายตาคู่นั้นที่แฝงด้วยความแค้นมองไปยังสองแม่ลูกตรงหน้าคู่นี้ ค่อยกล่าวอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันกลับไป “แน่นอนว่าข้าคำนึงถึงชื่อเสียงของสกุล แต่ว่าเรื่องมาจนถึงปานนี้ จวนอ๋องหนานเหอของพวกท่านยังมีสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงให้เชื่อถืออยู่หรอกหรือ?”


“เจ้ามันกำเริบเสิบสาน!” คนแซ่เจิ้งเพิ่งจะเคยโดนคนหนุ่มสาวแปลกหน้าสบประมาทครั้งแรกจึงตะโกนกร้าวออกไป ใบหน้าขึ้นสีแดงด้วยความโกรธ


ในเมื่อจางอวิ๋นอี้ไม่ได้พูดตามจริงออกไป นั่นก็หมายความว่าเขายังมีความกังวลอยู่บ้าง ดังนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจเขา นางส่งเสียงขึ้นจมูกเหอะยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะหมุนกายประคองมือคนแซ่เจิ้งกล่าว “ท่านแม่อย่าเพิ่งโมโหเลยเจ้าค่ะ จางซื่อจื่อเพียงแต่ฟังข่าวลือด้านนอกมาเกิดโมโหไปชั่วขณะ ดังนั้นจึงมาหาลูกที่นี่ ตอนนี้ก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดแล้วเจ้าค่ะ”


ขณะที่นางพูดก็เหลือบไปมองจางอวิ๋นอี้อย่างเหน็บแนม “ซื่อจื่อจึงยังรั้งรอที่จะดื่มชาใช่หรือไม่?”


จางอวิ๋นอี้ถูกนางมองก็รู้สึกราวกับนั่งบนกองไฟ ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยังกัดฟันยืนขึ้นกล่าว “ใช่แล้ว! แต่ก็เข้าใจผิดเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ หวังว่าท่านหญิงจะมีความสามารถไขความสงสัยให้กระจ่างอย่างเร็วที่สุดด้วย!”


ผู้หญิงคนนี้เป็นคนบ้าคนหนึ่ง ในเมื่อตัวเขาเองตกลงไปในกับดักแล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงช่วยนางกลบเกลื่อนเท่านั้น ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งอารมณ์เสีย


คนแซ่เจิ้งไม่ได้ใช้สีหน้าที่ดีนักมองเขา ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะรู้สึกอึดอัดใจ ทว่าขณะนี้จะอย่างไรก็ได้ แม้จะกล่าวลาก็ยังไม่เอ่ยปาก สะบัดเสื้อคลุมหุนหันออกไปทันที


ตอนที่ออกไปจากเรือนก็เจอกับจื่อซวี่ที่เข้ามาจากด้านนอกพอดี


จื่อซวี่พอมองเห็นเขา ในใจก็หวาดกลัวขึ้นมา รีบเร่งหลบไปด้านข้างเพื่อเปิดทาง


จางอวิ๋นอี้ชำเหลืองมองนางด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าเพิ่งจะออกจากประตูจวนอ๋องหนานเหอ ผู้ติดตามของเขาก็เข้ามาหาด้วยสีหน้ารีบร้อน “แย่แล้วขอรับซื่อจื่อ ข่าวลือด้านนอกถูกฮูหยินโหวรู้เข้า นางจึงเข้าไปเอะอะในวัง บอกว่าฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ต้องการให้ท่านหญิงอันเล่อชดใช้ชีวิตให้ท่านชายรองขอรับ”


จางอวิ๋นอี้เมื่อได้ฟัง ถึงกับเข่าอ่อนไปชั่วขณะ ดีที่มีผู้ติดตามคนนั้นพยุงกายไว้


เขาอยากจะเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกได้ว่าที่นี่คือประตูจวนอ๋องหนานเหอ จึงจำใจต้องข่มเอาไว้ เพียงแต่คว้าแขนผู้ติดตามพลางกล่าว “เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อไร? เหตุใดเจ้าไม่รั้งนางไว้?”


“เกิดขึ้นสักพักแล้วขอรับ” ผู้ติดตามคนนั้นกล่าว ร้อนรนจนอยากจะร้องไห้ “ไม่ใช่ว่าบ่าวไม่อยากรั้งนะขอรับ แต่เรื่องของฮูหยินโหว บ่าวมีสิทธิ์สอดปากที่ไหนกันขอรับ? ซื่อจื่อ ท่านรีบไปดูดีกว่า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกมา ก็จบเห่แน่ขอรับ!”


จางอวิ๋นอี้ในเวลานี้เสียใจก็ไม่ทันแล้ว…


เหตุใดเขาถึงหน้ามืดตามัวไปยั่วยุฉู่หลิงอวิ้นเข้า? มิฉะนั้นก็คงไม่ต้องกังวลที่เหตุผลไม่เพียงพอไปเป็นพยานเท็จแทนนาง เวลานี้ขึ้นหลังเสือ หากเขารบเร้าแม่ตัวเองไม่ได้ ด้วยนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว จะต้องลากเขาไปตายกับนางเป็นแน่


“ไป เข้าวัง!” กลืนน้ำลายลงสองอึกด้วยความหวาดหวั่นก่อนกล่าว ในขณะที่พูดก็สะบัดมือผู้ติดตามผู้คนนั้นออกห่าง เดินด้วยท่าทีไร้วิญญาณมุ่งตรงไปยังรถม้า


ทางฝั่งของฉู่หลิงอวิ้น คนแซ่เจิ้งนั้นมวลท้องเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ทว่าเวลานี้นางกลับไม่สนใจเรื่องที่จางอวิ๋นอี้ ไม่มีมารยาท เพียงแต่จับมือฉู่หลิงอวิ้น กล่าวด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล “อวิ้นเอ๋อร์ แม่เพิ่งได้ฟังมา ข่าวลือที่ครึกโครมอยู่ด้านนอกคงไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่?”


นางเป็นห่วงด้วยใจจริง ทว่าฉู่หลิงอวิ้นที่ถูกพูดฉีกหน้าเมื่อครู่คราหนึ่ง เดิมทียังแฝงไปด้วยความน้อยใจอยู่ เมื่อได้ฟังเช่นนี้สีหน้าจึงดูไม่ดีอยู่บ้าง เผยใบหน้าเรียบนิ่งขึ้นมาทันที ดึงมือออกจากคนแซ่เจิ้งกล่าวว่า “ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร? แม้แต่ท่านก็ยังไม่เชื่อลูกสาวตัวเองใช่หรือไม่? หากลูกคิดเช่นนี้จริง ลูกก็คงไม่ตอบรับแต่งเข้าสกุลจางหรอก ลูกลำบากใจมากที่ได้แต่งเข้าไป แล้วตอนนี้จะเพื่ออะไรอีก? หรือเพื่อที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่หม้าย?”


ดังนั้นชื่อเสียงฉ่าวโฉ่ของฉู่หลิงอวิ้นจึงกลายเป็นเรื่องขำขันตั้งนานแล้ว หากนางชื่อเสียงไร้มลทิน อาศัยฐานะที่เป็นท่านหญิงของราชนิกุล ทั้งสามีก็ตายแล้ว ผ่านไปสามปี รอจนคำนินทาซาลงค่อยแต่งเข้าสกุลที่ต่ำลงมาเล็กน้อยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าสถานการณ์ของนางในตอนนี้…


พอจางอวิ๋นเจี่ยนตาย นางก็ถูกกำหนดให้เป็นหม้ายตลอดไป


เรื่องโง่เช่นนี้ ลูกสาวจะทำได้อย่างไร?


คนแซ่เจิ้งเมื่อได้ฟังเช่นนี้จึงค่อยเบาใจ นั่งลงคอยปลอบประโลมฉู่หลิงอวิ้นอยู่พักใหญ่


——————————–


วังบูรพา


ข่าวการตายของจางอวิ๋นเจี่ยนนั้นถูกส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่ถามไม่กี่ประโยคก็ปล่อยผ่านไป


ตอนบ่ายฮูหยินแซ่เหยาก็พาเหยาจิ่นเซวียนเข้าประตูมาขอโทษ ฉู่อี้อันเพียงแค่พบหน้าสองคนนั้นก็ให้พ่อบ้านเชิญตัวไปยังฮูหยินใหญ่ทางนู้น


นายใหญ่สกุลเหยาเคารพในกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นธรรมเนียมของสกุลเหยาจึงค่อนข้างเข้มงวด


เหยาจิ่นเซวียนนั้นมึนเมานัก นอนสะลึมสะลืออยู่คืนเดียวก็ถูกนายใหญ่ลงโทษ หลังจากนั้นก็ตระเตรียมของเพื่อให้ลูกสะใภ้พาหลานมาขอขมา


ท่าทีของฉู่อี้อันนั้นไม่ค่อยยิ้มแย้มอยู่แล้ว ตอนที่ฮูหยินแซ่เหยาเจอเขาก็ตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมกันเช่นกัน ดีที่


ฉู่อี้อันกล่าวแค่เพียงสองประโยคก็ไม่ได้ต่อว่ารุนแรงอะไรอีก


เมื่อถึงเรือนหย่าถิง ฮูหยินแซ่เหยาดื่มชาไปหนึ่งถ้วยจึงค่อยคลายความตกใจลงได้ กล่าวกับฮูหยินใหญ่ด้วยใบหน้าที่ละอาย “น้องหญิง ล้วนแต่เป็นเพราะเหยาจิ่นเซวียนเลิ่นเล่อ เมื่อวานจึงทำให้หนิงเอ๋อร์ลำบากใจ ทั้งยังเกือบทำให้สองสกุลขายหน้า วันนี้ข้าแทบจะไม่มีหน้ามาพบท่านแล้ว!”


เกิดเรื่องเช่นนี้ หากฮูหยินใหญ่บอกว่าไม่โกรธสักนิดนั่นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ทว่าหลังจากไม่ได้นอนทั้งคืนเวลานี้ความโกรธจึงทุเลาลงไปบ้าง


“พี่สะใภ้อย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องราวทั้งหมดน้องล้วนถามจากหนิงเอ๋อร์มาหมดแล้ว ไม่ได้เป็นความผิดของจิ่นเซวียนแต่เพียงผู้เดียว” ฮูหยินใหญ่กล่าว นางและพี่สะใภ้ของพี่ชายนั้นรักษาความสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด จึงทอดถอนหายใจมองไปยังเหยาจิ่นเซวียนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า กล่าวว่า “จิ่นเซวียนเด็กคนนี้ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่ นิสัยใจคอของเขาข้าย่อมรู้ดี เพียงแต่เรื่องครั้งนี้ เจ้าก็ประมาทเกินไป คบค้าสมาคมกับคนพวกนั้นไยจึงไม่ระวัง?”


“ล้วนเป็นหลานที่ประมาทเลินเล่อ เกือบจะทำเรื่องเลวร้ายลงไป ข้า…” เหยาจิ่นเซวียนกล่าว คิดถึงเรื่องเมื่อวานยามค่ำก็ระอาทำตัวไม่ถูกขึ้นมา “ข้าทำผิดต่อน้องหญิงจริงๆ!”


——————————————-


บทที่ 9 เดิมพันชีวิต (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เขาเป็นบัณฑิตที่เคร่งครัดคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นคนที่นายใหญ่สกุลเหยาอบรมสั่งสอนมากับมือ ปกตินั้นก็ปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผนมาโดยตลอด ถึงแม้จะออกไปสมาคมข้างนอก แต่ส่วนมากก็เป็นมิตรสหายที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน เมื่อวานจึงถือโอกาสที่เป็นเทศกาลสารทจีนไปชื่นชมทัศนียภาพริมแม่น้ำฮู่สุยกับสหาย ต่อมาก็พบกับกลุ่มของเจิ้งเหวินคังที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เขายากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญจึงขึ้นไปบนเรือ ทั้งยังดื่มไปสองแก้ว ใครจะคาดคิดว่าตกสู่หลุมพรางผู้อื่นเข้าแล้ว


“เจ้าเด็กคนนี้เรียนจนโง่เสียแล้ว อยู่สถานศึกษาฮั่นหลินก็ตั้งสองปี ความรู้สติปัญญาน่ะหรือก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ไฉนกลับไม่พัฒนาความคิด!” ฮูหยินแซ่เหยาด่าอย่างเจ็บใจที่อบรมลูกได้ไม่ดีพอ


นายใหญ่สกุลเหยานั้นเป็นคนไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ลูกหลานตัวเองไม่กี่คนถึงแม้ล้วนแต่รับราชการ ทว่าส่วนมากก็มักจะทำงานสบายที่ได้เบี้ยหวัดเยอะๆ ดังนั้นสกุลเหยาแม้ว่าจะมีเกียรติ แต่เมื่อมาคิดดูดีๆ ก็กลับดูเหมือนสกุลธรรมดาทั่วไปอยู่บ้าง


เหยาจิ่นเซวียนเผยสีหน้าละอายใจ เมื่อถูกแม่ตัวเองสั่งสอน ในใจก็รู้สึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม


เขากับฉู่เยว่หนิงเป็นเพียงมิตรภาพที่ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยทั้งนั้น แท้ที่จริงตั้งแต่เด็ก ฮูหยินเหยาก็เคยบอกกับเขาก่อนแล้วว่าในอนาคต ทั้งสองคนจะต้องแต่งงานกัน เพราะรู้ว่าจะมาเป็นฮูหยินของเขาในภายภาคหน้า ดังนั้นตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็เอาใจใส่นางเป็นพิเศษ ฉู่เยว่หนิงเป็นหญิงสาวที่น่าเอ็นดูและเฉลียวฉลาด แม้ชายหญิงจะนิสัยแตกต่าง โอกาสที่ทั้งสองคนพบเจอกันก็มีไม่มาก ทว่าในใจของเขานั้นกลับมีภรรยาตัวน้อยคนนี้อยู่ตั้งนานแล้ว เวลานี้วันแต่งงานก็ล้วนกำหนดไว้แล้ว ทว่ากลับเกือบทำเรื่องเลวร้ายลงไป เขาไม่มีหน้าจะไปอธิบายกับฉู่เยว่หนิงอีกแล้ว


“อาหญิง…” ในใจที่ยุ่งเหยิงนั้นลังเลไปชั่วครู่ จิ่นเซวียนกัดฟันฝืนใจกล่าวกับฮูหยินใหญ่ “หนิงเอ๋อร์นาง…เป็นอย่างไรบ้างหรือขอรับ?”


เขากล่าวอย่างระมัดระวัง ทั้งยังแฝงด้วยความเคร่งเครียดอยู่บ้าง


ฮูหยินใหญ่ที่เห็นสีหน้ากดดันของเขา ใจที่กักเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้อยู่สามส่วนก็สลายไปทันที


 “ได้ยินว่าปู่ของเจ้าก็ลงโทษตามกฎของสกุลแล้ว บทเรียนครั้งนี้ขอให้เจ้าจำไว้ให้ดี อย่าคุกเข่าอีกเลย ยืนขึ้นเถิด!”


ฮูหยินใหญ่กล่าวพลางถอนหายใจ


เหยาจิ่นเซวียนจัดแจงชุดคลุมก่อนจะลุกขึ้นยืน


ฮูหยินแซ่เหยานั้นยังคงมีความตึงเครียดอยู่บ้าง จิบชาก่อนจะกล่าวขึ้น “น้องหญิง เมื่อครู่พี่ได้พบองค์รัชทายาท กับเรื่องนี้เขาได้พูดอะไร…”


“เรื่องผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้แล้วไปเถิด ถ้าจะให้พูดก็เป็นเพียงแค่เรื่องน่าตกใจที่ไม่ได้เป็นเหตุร้ายอันใดก็เท่านั้นเอง” ฮูหยินใหญ่กล่าว “จิ่นเซวียนเป็นหลานของพวกเรา เพียงแค่จากนี้ไปเขาจะดูแลเอาใจใส่หนิงเอ๋อร์ ข้าก็พร้อมที่จะให้อภัย”


ฮูหยินเหยาเมื่อได้ฟังเช่นนี้จึงค่อยวางใจ


เหยาจิ่นเซวียนตอนบ่ายยังต้องกลับไปทำงานที่สถานศึกษาฮั่นหลิน จึงจำต้องกล่าวลาล่วงหน้าไปก่อน ทิ้งให้ฮูหยินแซ่เหยาและฮูหยินใหญ่ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน จวบจนใกล้เวลาอาหารเย็นจึงค่อยลุกขึ้นบอกลาแยกย้ายกันไป


เมื่อส่งฮูหยินแซ่เหยาไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินใหญ่ก็เจื่อนลงเล็กน้อย


หรูโม่เดินเข้ามานวดขมับให้นางก่อนกล่าว “ท่านหญิงยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อวานอยู่หรือเจ้าคะ?”


ฮูหยินใหญ่ยิ้มราบเรียบ ไม่ได้พูดอันใดออกมา


ฉู่เยว่หนิงเป็นลูกสาวสุดที่รักของฮูหยินใหญ่ มีคนวางแผนโยนเรื่องให้นาง ฮูหยินใหญ่จะไม่ยอมรามือกับเรื่องนี้อย่างง่ายๆ แน่นอน


หรูโม่รู้ดีว่าในใจนางคิดสิ่งใดจึงถอนหายใจพลางกล่าว “จะว่าไปแล้วท่านหญิงใหญ่ก็เลอะเลือนเหลือเกิน  ไม่มีสกุลเหลยคอยหนุนหลัง ยังลงมือกับสกุลพี่น้องอย่างไม่รู้จักพอดี ไม่รู้จักหนักเบาเกินไปแล้ว”


คนแซ่เหลยนั้นตายด้วยน้ำมือของฉู่ฉีฮุย เขาจึงถูกถอดยศหมดอำนาจ สกุลเหลยก็แล่นเรือไปตามลม ตัดขาดฉู่ฉีฮุยที่มีโทษฆ่าแม่ตัวเองอย่างทันที อีกทั้งยังพยายามยกเลิกงานแต่งของฉู่เยว่เหยียนและเหลยซวี่อยู่ฝ่ายเดียว


ถ้าพูดตามเหตุผล เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นเพราะการหาเรื่องใส่ตัวของสองแม่ลูกแซ่เหลย ก็ไม่รู้ว่าฉู่เยว่เหยียนคิดอย่างไร จึงได้ระบายความโกรธเรื่องนี้กับวังบูรพาอย่างเปิดเผย


พูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของฮูหยินใหญ่ก็ประกายความเยียบเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อนางไม่อยากได้สกุลนี้แล้ว ข้าก็จะฝืนใจเป็นคนดี ช่วยนางตัดขาดความสัมพันธ์ให้ถึงที่สุดเอง!”


สองแม่ลูกแซ่เหลยชอบมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ไหนแต่ไรนางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเขา ครั้งนี้ผู้อื่นกลับเหยียบจมูกขึ้นหน้าไม่ให้เกียรตินาง หากนางยังถอยอีกก้าว นั่นก็ปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบเกินไปแล้ว


ในขณะที่ฮูหยินใหญ่พูดก็โบกมือให้หรูโม่ ก่อนจะกระซิบที่หูนางสองประโยค


หรูโม่ฟังอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง


เรือนจิ่นฮว่า


ฉู่สวินหยางไม่ได้ออกไปไหนทั้งวันเพราะคลุกตัวอยู่แต่ในห้องเย็บปักถักร้อยอย่างตั้งอกตั้งใจ


กี่เดือนแล้ว ลายปักดอกไม้ที่นางเย็บแล้วเย็บอีก จนมาถึงวันนี้ก็ยังดูไม่ออกว่าเย็บเป็นสิ่งใดกันแน่


ชิงหลัวเผยสีหน้าไร้อารมณ์มองดูนางปักเย็บอย่างช้าๆ ราวกับว่านางนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย เมื่อเห็นฉู่สวินหยางทำท่าทีเก้ๆ กังๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นจึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ “ท่านหญิง เรื่องนั้นท่านก็ปล่อยไปเช่นนี้ไม่สนใจแล้วหรือเจ้าคะ? มอบอำนาจให้ฮูหยินใหญ่จัดการเพียงผู้เดียว?”


จากการตรวจสอบของเจี่ยวลิ่ว เรื่องเกิดขึ้นเป็นเพราะฉู่เยว่เหยาปลุกปั่นให้เจิ้งเหวินคังทำลายงานแต่งของฉู่เยว่หนิง เพื่อต้องการที่จะสร้างความลำบากให้แก่วังบูรพา


ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ ก็เพราะเรื่องของชายารองเหลยและฉู่ฉีฮุย จึงมองวังบูรพาที่วางแผนใส่ร้ายแม่และพี่ชายเป็นดั่งศัตรู


 “ไม่ใช่ว่าเจ้าอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฮูหยินใหญ่เข้าใจไปแล้วหรอกหรือ?” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หลังจากนั้นก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว ให้นางคิดไปทำไป ไม่ใช่สักแต่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนแต่ให้ข้าแก้ไข ข้ามีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกัน”


ในขณะที่นายบ่าวคุยกันสองคน ก็พบกับชิงเถิงที่ประกายแววตาดีอกดีใจจับกระโปรงวิ่งเข้ามาจากด้านนอก กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านหญิง บ่าวเพิ่งได้ฟังข่าวใหญ่มาเจ้าค่ะ”


“อือ?” ฉู่สวินหยางที่ไม่เคยให้โอกาสนางอุบไว้ เพียงแต่ตอบรับอย่างลวกๆ


“มีคนบอกว่าการตายของจางอวิ๋นเจี่ยนเกี่ยวข้องกับท่านหญิงอันเล่อเจ้าค่ะ” ชิงเถิงยื่นปาก ความเบิกบานใจไม่ได้ลดน้อยลงเลย “เวลานี้หัวถนนท้ายถนนต่างก็เล่าลือกันทุกหนทุกแห่ง พูดกันอย่างไม่ขาดปาก คนสกุลจางได้ยินข่าวลือก็ร้อนรนใจ รีบปิดจวน ใช้เครื่องมือลงทัณฑ์ไต่สวนบ่าวในเรือนของท่านหญิงอันเล่อและจางอวิ๋นเจี่ยนทีละคน ไม่ทราบเหมือนกันว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือไม่ แต่ฮูหยินสกุลจางนั้นดูแลประคบประหงมจางอวิ๋นเจี่ยนดุจแก้วตาดวงใจ หากถูกสกุลจางค้นหาหลักฐานมาได้ เรื่องนี้ก็คงถึงฝ่าบาทเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายที่เป็นเรื่องเป็นราวให้กับฝ่าบาท”


“อะไรคือไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือไม่?” ฉู่สวินหยางเมื่อฟังจบก็แย้มยิ้มออกมา วางมือจากการเย็บปัก เลื่อนไปเด็ดดอกไม้จากกระถางด้านข้างขึ้นมาเล่น “เป็นฉู่หลิงอวิ้นนั่นแหละที่ลงมือฆ่าจางอวิ๋นเจี่ยน”


“หา?” ชิงเถิงอ้าปากค้าง เห็นได้ชัดว่าไม่คาดคิดกับคำตอบแบบนี้จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางออกไป


ฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนที่มั่นคงและแน่วแน่ หากได้วางแผนอะไรแล้ว ก็ยากที่ผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลง


ชาติที่แล้วนางมีเหยียนหลิงจวิน ชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวันล้วนสุขกายสบายใจ ไม่มีสักวันที่ใบหน้าจะไม่แฝงด้วยความหวานซึ้ง


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้หรือไม่ ชาตินี้ถึงแม้จะถูกตัวเองสอดมือทำลายโอกาสที่จะพบรักกับเขาถึงสองครั้ง แต่ก็ยังทำให้นางชอบพอกับเหยียนหลิงจวินได้อีกครั้ง


การคะนึงหาอย่างห้ามไม่อยู่เช่นนี้ สำหรับนางแล้วไม่สามารถจะทนรับได้


และนางยังต้องแต่งเข้ากับสกุลที่ร่ำรวย


ตั้งแต่เริ่มฉู่สวินหยางก็เดาออกแล้วว่าทิศทางของเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ตกใจแม้แต่น้อย


ใครใช้ให้จางอวิ๋นเจี่ยนกล้าวางแผนกับนางเล่า สมควรที่ตายแล้ว


คำพูดพวกนี้ นางไม่ได้อธิบายให้กับสาวใช้สองคนนั้นฟัง แต่อย่างไรก็ตามในใจของชิงเถิงกลับมีความรู้สึกศรัทธาบางอย่างในตัวของท่านหญิงคนนี้ ถึงแม้นางจะไม่พูดถึงเหตุผล สำหรับชิงเถิงแล้ว คำพูดของฉู่สวินหยางล้วนแต่น่าเชื่อถือ


ทุกคำที่พูดออกมาไม่มีแม้แต่คำโกหก เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจออกมา


 “ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาผู้ที่ปกครองแต่ละราชวงศ์ล้วนแต่ยึดความกตัญญูเป็นหลัก ลูกฆ่าพ่อ ภรรยาฆ่าสามี คนเหล่านี้เป็นคนอกตัญญูที่มีโทษมหันต์ หากสกุลจางเอาเรื่องขึ้นมา ฝ่าบาทก็ไม่อาจจะละเลยได้ ท่านหญิงอันเล่อนั้นมีชื่อเสียงด้านความฉลาดและงดงาม เหตุใดนางจึงคิดไม่ถึงจุดนี้ กลับคิดตื้นๆ แล้วทำเรื่องเช่นนี้ออกมา?” ชิงหลัวนั้นเมื่อเทียบกับชิงเถานับว่ายังมองเรื่องราวได้ยาวไกลมากกว่า


“นางคิดไม่ได้ตรงไหน เห็นได้ชัดว่านางยังคิดการณ์ไกลได้กว่านี้เสียอีก” ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม มุมปากโค้งขึ้นแฝงความเสียดสี ดวงตาทั้งสองข้างของนางดำดิ่งลึก สะท้อนกับแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เกิดเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไม่กล้าสบสายตาที่เย็นยะเยือกนั้น “สกุลจางเดิมทีก็ถูกจัดไว้ในตำแหน่งที่น่าอึดอัด อีกทั้งไม่กี่ปีมานี้ยังตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฝ่าบาทจะดูเหมือนให้เกียรติพวกเขา ทว่าความเป็นจริง กลับไม่สนใจอะไรพวกเขาทั้งนั้น ครั้งนี้ถ้าพวกเขาไม่โวยวายเก็บเรื่องนี้เงียบก็แล้วไป แต่หากจะเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ…”


ขณะที่ฉู่สวินหยางพูด ก็หรี่ตาลงทันที ท่าทางเช่นนั้นคล้ายกับสุนัขจิ้งจอกที่ขี้เซาตัวหนึ่ง


————————————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม