ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาค 2 ตอนที่ 6-12

 ตอนที่ 6 ยกน้ำชา

โดย

Xiaobei

รุ่งสางวันต่อมา


              นางหวงหวีผมให้เว่ยฉางอิ๋งไปพลางและตำหนินางด้วยเสียงต่ำๆ ไปพลาง “คุณหนูใหญ่ก็ลงมือหนักหนาเกินไปแล้ว เหตุใดจึงข่วนท่านเขยจนเป็นเช่นนั้น?”


              เมื่อคืนหลังจากเสร็จเรื่องของพวกเขาแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็เรียกคนเข้ามาปรนนิบัติดูแลภายในห้อง พวกสาวใช้เห็นรอยจูบอยู่ทั่วตัวเว่ยฉางอิ๋งก็ยังพอทำเนา เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามครรลองอยู่แล้ว ฉินเกอและเยี่ยนเกอจึงได้แต่ช่วยเช็ดเนื้อตัวนางให้สะอาดทั้งใบหน้าแดงก่ำ


              กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีก ในขณะที่เขาให้คนมาปรนนิบัติดูแลอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากเว่ยฉางอิ๋งนัก พวกบ่าวก็เห็นว่าที่แผ่นหลังและที่แขนของเขามีรอยข่วนเต็มไปหมด ทั้งมีเลือดไหลซิบๆ ราวกับว่าไปต่อสู้กับผู้ใดมาเช่นนั้น จนคนที่มาดูแลรับใช้เขาตกใจยกใหญ่ หนึ่งในนั้นจะไปเอายาใส่แผลมาในทันใด เพียงแต่ถูกเสิ่นจั้งเฟิงร้องห้ามเอาไว้… แม้จะเป็นเช่นนั้น มีหรือฉินเกอและเยี่ยนเกอจะวางใจ? พวกนางรีบเช็ดเนื้อตัวให้เว่ยฉางอิ๋งจนแห้ง เมื่อออกไปก็นำความไปบอกกับนางหวงในทันที หลังจากนางหวงสอบถามถึงลักษณะของบาดแผลอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะพูดอย่างไรดี!


              เมื่อเข้าปรนนิบัติใกล้ชิดนางในยามนี้ ก็ย่อมต้องต่อว่านางไปสองสามประโยค “เคราะห์ดีที่ท่านเขยเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องใส่ยา หาไม่แล้วอีกสักพักยามไปยกน้ำชาแล้วผู้อื่นได้กลิ่นเข้าและเกิดไถ่ถามขึ้นมาต่อหน้าทุกคน…คุณหนูใหญ่ท่านลองว่ามาสิเจ้าคะ เพียงแค่คืนแต่งงานคืนแรก ก็ทำเอาจนวันต่อมาสามีต้องเรียกหายาใส่แผล…นี่…นี่มันถูกขนบหรือเจ้าคะ? ต่อไปคุณหนูใหญ่จะมองหน้าทุกคนในบ้านนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”


              เว่ยฉางอิ๋งเขี่ยกล่องชาดทาแก้มที่อยู่ข้างๆ มือไปมา ไม่พูดไม่จาด้วยความกลัดกลุ้ม ภายในใจว้าวุ่น รู้สึกแต่เพียงว่าเป็นผู้หญิงนี่น่าสงสารเกินไปเสียแล้ว…แล้วตนไม่เจ็บหรือไร?


              นางหวงรู้ว่าในใจนางยังคงไม่ยินยอม แต่ก็กลัวว่าหากพูดมากไปก็จะเป็นการรบกวนจิตใจนางยามเข้าไปคารวะพ่อแม่สามี เมื่อเห็นนางไม่พูดไม่จา จึงได้แต่เพียงถอนใจอยู่ภายในใจและมิได้เอ่ยถึงอีก เร่งเกล้าผมยาวของนางขึ้นอย่างคล่องเร็ว แล้วเรียกให้คนนำปิ่นหยกสีเลือดที่ฮูหยินซูมอบให้คู่นั้นมา พลางปักที่มวยผมของนางอย่างระมัดระวัง และประดับด้วยดอกไม้อัญมณีอีกสองสามดอก กำลังจะถอยหลังออกไปสักสองสามก้าวเพื่อสำรวจความเรียบร้อยและดูว่ายังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่ เสิ่นจั้งเฟิ่งที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกลับเดินเข้ามาหา และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว”


              คุณหนูใหญ่เป็นเช่นไรจึงจะงดงามที่สุด แน่นอนว่าท่านเขยว่าเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น นางหวงได้ยินคำจึงรีบโค้งตัว “เจ้าค่ะ!”


              เว่ยฉางอิ๋งกำลังรู้สึกกลัดกลุ้ม ยามนี้เมื่อมองเห็นเขาในกระจกจึงจัดเก็บของไม่พูดไม่จา ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของเขายังดูสบายอกสบายใจและกระปรี่กระเปร่ายิ่งนัก กลับเป็นตนเสียอีกที่แม้จะอาบน้ำแล้ว ทว่าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว แต่ยังต้องฝืนทำตัวสดชื่นเพื่อไปคราวะผู้คนน้อยใหญ่ในบ้าน… จึงอดจะถลึงตาอย่างดุดันใส่เขาในกระจกสักหลายหนไม่ได้!


              เสิ่นจั้งเฟิงมองเห็นอย่างชัดเจน พลันมีแววตาเย้าหยอกฉายขึ้นมา เขาเดินมาที่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเอาเปลือกหอยไส้ดำ[1]อันหนึ่งขึ้นมาถือเล่นในมือสักพัก แล้วมองไปที่คิ้วทั้งคู่ของเว่ยฉางอิ๋ง ทว่าเอาแต่ยิ้มไม่พูดจา นางหวงเห็นว่าเขาอยากจะเขียนคิ้วให้เว่ยฉางอิ๋งตัวตนเอง นางจึงมีสีหน้ายินดี แล้วรีบถอยออกไปโดยไม่พูดสิ่งใด ทั้งยังส่งสายตาให้คนอื่นๆ ถอยห่างออกไปสักหน่อย เพื่อมิให้รบกวนความสุขของคู่แต่งงานใหม่


              เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่าหัวไหล่หนักขึ้น เพราะเสิ่นจั้งเฟิงจะเขียนคิ้วให้นางจึงถือโอกาสจับไหล่นางเอาไว้ นางไม่รู้สึกตัวว่าคิ้วของตนกำลังขมวดอยู่ เพราะพวกของนางหวงล้วนยังอยู่ที่นี่ จึงทำได้เพียงขบริมฝีปากและอดทนเอาไว้! ไม่คิดว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงกุมหัวไหล่นางและโน้มตัวลงมา ก็ใช้เปลือกหอยไส้ดำบรรจงเขียนคิ้วให้นางเบาๆ แต่กลับอาศัยจังหวะนี้เข้ามากระซิบที่ข้างหูว่า “เจ็บมากหรือไม่? เจ้าอดทนหน่อยนะ ยกน้ำชาเสร็จแล้ว พวกเราค่อยกลับมาพัก”


              “…” เมื่อได้ยินคำนี้ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจยามเขากระซิบที่ข้างหู สองแก้มนวลขาวดังหิมะพลันแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด!


              และไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือไม่ เสิ่นจั้งเฟิงกระซิบไปอีกว่า “ประเดี๋ยวข้าจะประคองเจ้าเดินไป”


              เว่ยฉางอิ๋งกัดฟันอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ประสงค์ดี เอียงหัวเอ่ยเสียงเบาว่า “หลังเจ้าเจ็บอยู่หรือไม่?” คำกล่าวเหมือนเป็นห่วง แต่ความจริงกลับเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส


              “บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น” และเห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงอารมณ์ดีไม่เบา เขาไม่ได้เอาเรื่องรอยข่วนมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเบาๆ และปลอบโยนนางว่า “ข้าสั่งห้ามพวกนางไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแล้ว จะไม่มีผู้ใดรู้ เจ้าอย่าได้เป็นกังวล”


              …เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามไปด้วยใบหน้านิ่งเฉยว่า “เจ้าใช้ชาดเป็นหรือ?”


              ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงเขียนคิ้วให้นางเสร็จแล้ว กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาดขึ้นมาเปิด ตัวเขาแนบชิดกับนางไปมา เห็นชัดว่าอยากจะอยู่ใกล้นางอย่างนี้ไม่ยอมไป เมื่อได้ยินนางว่า เขาพลันมีสีหน้าอึดอัดใจขึ้นมา กำลังจะเอ่ยปากเรียกนางหวง แต่เมื่อเหลือบตามองภรรยาหนหนึ่งกลับยิ้มออกมาแล้วว่า “สองแก้มของอิ๋งเอ๋อร์มีเลือดฝาดเป็นธรรมชาติ สีแดงยิ่งกว่าดอกท้อ แล้วยังต้องการชาดนี่ไปทำสิ่งใด?” ว่าแล้วจึงนำกล่องชาดวางกลับไปที่เดิมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน


              แล้วกล่าวอีกว่า “ริมฝีปากของอิ๋งเอ๋อร์ไม่ต้องแต่งเติมก็แดงแล้ว ที่ทาปากนี้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทา” อืม ของอยู่บนโต๊ะตั้งมากมาย ละลานตาไปหมด เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งใดคือที่ทาปาก


              แล้วพูดต่อไปว่า “อิ๋งเอ๋อร์งดงามเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ..ทั้งสีเหลืองบนหน้าผาก หรือขีดแดงที่ข้างแก้มก็มิเห็นควรต้องแต่งเติมสิ่งใดอีก… มิสู้แต้มชาดไว้ที่หว่างคิ้วสักหน่อย” ของเหล่านี้ล้วนยุ่งยากวุ่นวาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งจะใช้เป็นได้อย่างไร?


              สุดท้ายบอกว่า “อ่ะ เสร็จแล้ว ดูฝีมือสามีหน่อยว่าเป็นเช่นไร ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”


              เขามองเว่ยฉางอิ๋งที่งดงามดังดอกไม้อยู่ในกระจก และรู้สึกว่าพอใจเป็นอย่างมาก


              เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเตือนไปอย่างหมดคำพูดว่า “เจ้าก็เพียงแค่เล็งไปที่คิ้ว และแต้มชาดลงไปจุดหนึ่งเท่านั้น” ทั้งสีทาปาก ทาแก้ม สีเหลืองทาหน้าผาก ขีดแดงข้างแก้ม จุดลักยิ้ม…ล้วนไม่ได้ใช้ทั้งสิ้น เช่นนี้ยังจะเรียกว่าฝีมือ? ทั้งยังไม่เลวอีก? หรือเจ้าหมอนี่คิดจริงๆ ว่าความงามที่ตนมีอยู่ในยามนี้…ล้วนเพราะเขาช่วยแต่งออกมา?


              นี่เป็นเพราะตนเกิดมาดูดีอยู่แล้วต่างหาก!


              เสิ่นจั้งเฟิงมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า พลางยื่นนิ้วไปไล้ที่แก้วนุ่มของนางเบาๆ “ภรรยาข้างดงามมาแต่กำเนิด แล้วไยต้องแต่งแต้มสีสันให้รกตา?”


              มองเห็นเว่ยฉางอิ๋งเริ่มกำหมัด นางหวงรีบเข้ามาช่วยประนีประนอม และเร่งให้นางไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย


              เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ข้างนอกห้องก็มีอาหารเช้าที่บ่าวผู้รับใช้เสิ่นจั้งเฟิงเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว เห็นได้ว่าเตรียมไว้ตามรสปากของเว่ยฉางอิ๋ง มีอาหารครึ่งหนึ่งที่เป็นอาหารของทางเฟิ่งโจว


              เว่ยฉางอิ๋งสังเกตเห็นว่าสาวใช้ที่เรือนของเสิ่นจั้งเฟิงนี้มีน้อยนัก ยามนี้ที่นางมองเห็นว่าคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ก็มีเพียงสาวใช้สองคน อีกสองคนล้วนเป็นบ่าวที่เกล้าผมขึ้นจนหมดอย่างหญิงที่แต่งงานแล้ว เห็นชัดว่าเป็นบ่าวที่มีอายุสักหน่อยแล้ว ยิ่งไปว่านั้นทุกคนล้วนมีหน้าตาธรรมดา หรือถึงขั้นเรียกได้ว่าออกจะอัปลักษณ์ นางรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนสำคัญยิ่งในตระกูล จึงคิดเอาเองในใจว่าอาจเพราะกลัวว่าหากสาวใช้ข้างกายงดงามเกินไปก็จะทำให้เขาวอกแวก จึงให้คนที่หน้าตาไม่ดีนักสองคนมาปรนนิบัติรับใช้


              ยิ่งไปกว่านั้นเห็นชัดว่าสาวใช้ทั้งสองนางนี้มิได้เป็นคนคล่องแคล่วว่องไวแต่อย่างใด ยามทำงานยังดูเก้ๆ กังๆ ยิ่งนัก…


              ดูท่าว่าเสิ่นจั้งเฟิงมิใคร่เรื่องมากเรื่องบ่าวไพร่สักเท่าใด? จนถึงขั้นเข้มงวดเสียอย่างยิ่งด้วยว่าต้องมีหน้าตาไม่งดงามเช่นนี้?


              ในขณะที่ทางนี้นางกำลังคาดเดานิสัยใจคอของเสิ่นจั้งเฟิงอยู่นั้น เสิ่นเจิ้งเฟิงกลับเป็นคนคีบอาหารหลายอย่างมาให้นางด้วยตัวเอง แล้ววางไว้ใกล้ถ้วยตรงหน้านาง กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าลองดูซิว่าพ่อครัวผู้นี้ทำอาหารได้ถูกปากเจ้าหรือไม่?”


              เมื่อบ่าวที่อยู่รอบกายเห็นภาพนี้ ก็ต่างพากันยกมือขึ้นมาปิดปากยิ้ม โดยเฉพาะนางหวงที่ยิ้มอย่างเปรมปรีดิ์ยิ่ง


              เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาทันใด แล้วพยายามตั้งสติมาทานอาหาร “ดีทุกอย่าง”


              เมื่อทานอาหารแล้ว สาวใช้ยกน้ำมา เพื่อให้ทั้งสองคนล้างปากล้างมือ เสิ่นจั้งเฟิงจึงกล่าวว่า “ยามนี้พวกเราไปกันเลย?”


              “ตกลง!”


              เมื่อออกมาจากประตูถึงได้พบว่า เรือนที่ตระกูลเสิ่นจัดให้พวกเขาอยู่แห่งนี้เป็นเรือนเดี่ยวที่มีชั้นนอกในทั้งสิ้นสามชั้นซึ่งมีพื้นที่ไม่น้อยเลย สองสามีภรรยาอยู่กันในชั้นที่สอง ในสวนมีดอกไม้หลากหลายสีปลูกเอาไว้ ยามนี้ยังอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโต ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ยังขุดสระน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เอาไว้สระหนึ่ง มีหินจากภูเขาก่อเอาไว้รอบสระ บนหินมีต้นตีนตุ๊กแกเกาะอยู่เต็มไปหมด…ส่วนที่เหลือนั้นยังไม่มีเวลาดูมากนัก


              แต่กลับไม่เห็นมีต้นอู๋ถงอายุร้อยปีที่เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เลยแม้แต่เงา กระทั่งเดินมาจึงถึงส่วนหน้าของเรือนจึงได้พบว่า ที่แท้แล้วมันอยู่ในลานของเรือนชั้นที่หนึ่ง ลานในเรือนชั้นที่หนึ่งนี้กว้างกว่าของเรือนชั้นที่สองมาก กิ่งก้านสาขาแสนกว้างใหญ่ของต้นอู๋ถงอายุร้อยปียังบดบังพื้นที่ไว้ได้เพียงครึ่งเดียว และลานแห่งนี้ยังทำเป็นลานฝึกยุทธ์ ที่มุมหนึ่งยังมีกระถางดอกเหมยวางเรียงเอาไว้ด้วย ใต้ระเบียงทางเดินมีแท่นอาวุธจัดวางเอาไว้ บนแท่นนั้นนอกจากจะมีทวน ดาบ และกระบี่สองสามเล่มวางอยู่แล้ว นอกนั้นก็ว่างเปล่า คล้ายว่าอาวุธที่ใช้จริงๆ นั้นคงจะไม่ได้จัดวางไว้ที่นี่


              บ่าวที่พบเห็นตลอดทางโดยมากแล้วล้วนเป็นชาย นานๆ ครั้งจะเห็นบ่าวที่เป็นหญิงสักคนสองคนซึ่งล้วนแล้วแต่มีอายุหรือไม่ก็มีหน้าตาธรรมดา เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก คิดในใจว่าบ้านเสิ่นมอบความหวังอันใหญ่หลวงไว้ที่ตัวเสิ่นจั้งเฟิงจริงๆ ถึงขั้นเข้มงวดกับเขาจนถึงเพียงนี้… แม่เฒ่าซ่งเองก็มองเว่ยฉางเฟิงเป็นดังชีวิตของนาง ทว่าในเรือนหลิวฮวาที่เว่ยฉางเฟิงอยู่ ทั้งสาวใช้ รวมทั้งคนใน ‘ปี้อู๋’ ล้วนมีหน้าตางดงามทั้งสิ้น


              นอกเรือนมีเกี้ยวกำลังรออยู่ เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้ร่างกายไม่ค่อยพร้อมจึงรู้สึกโล่งใจ


              ระหว่างที่นี่ไปยังอาคารหลัก มีทิวทัศน์ให้ดูอยู่บ้าง ซึ่งเป็นทัศนียภาพไม่เหมือนกับที่เฟิ่งโจว คงเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองหลวงหรือของที่เมืองซีเหลียง ยามนี้ก็ไม่มีแก่ใจจะมาใคร่ครวญ จนถึงอาคารหลักจึงลงจากเกี้ยว เมื่อบ่าวที่หน้าประตูมองเห็นก็รีบเข้าไปรายงานข้างใน เว่ยฉางอิ๋งอดจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ไม่ได้


              ในขณะที่กำลังใจเต้นตูมตามอยู่นั้น เสิ่นจั้งเฟิงก็มากุมมือนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “อย่าได้กังวล”


              บ่าวทั้งหลายกำลังมองมา เว่ยฉางอิ๋งพยายามดึงมือออก แต่เพราะเขากุมมือนางเอาไว้แน่น จึงได้แต่เม้มปากไม่ส่งเสียงใด จากนั้นสักพักบ่าวก็ออกมาเชิญให้พวกเขาเข้าไป ทั้งสองจึงได้กุมมือกันเดินเข้าไปภายใน…


              ในห้องโถง เสิ่นเซวียนและฮูหยินซูล้วนแต่งกายด้วยชุดชวี่จวีซึ่งเป็นเสื้อนอกตัวยาวลงมาถึงเข่า กำลังนั่งรอบุตรชายและบุตรสะใภ้เข้ามาคารวะด้วยท่าทีเคร่งขรึม


              แวบแรกที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าประตูมา นางรู้สึงแต่ว่าเสิ่นเซวียนผู้บิดาของสามีมีหน้าตาน่าเกรงขาม ยามเขามองมาสายตาเป็นประกายสุกใส ดวงตาแสนคมคายของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นเหมือนเขาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่คงเพราะด้วยอายุของเสิ่นเซวียน ความคมคายและเฉียบคมจึงได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในเสียแล้ว ไม่ชัดเจนดังเช่นที่เสิ่นจั้งเฟิงมี มีเพียงความน่าเกรงขามที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง


              ส่วนแม่สามี ฮูหยินซูเป็นสตรีซึ่งมีใบหน้างดงามมีสง่า หากว่ากันเรื่องอายุก็คงจะไม่น้อยแล้ว ทว่ากลับดูเหมือนว่านางจะอายุมากที่สุดเพียงไม่เกินสามสิบกว่าๆ เท่านั้น ด้วยนางคงงดงามอยู่ไม่สร่าง สีหน้าของนางดูราบเรียบมองไม่ออกว่ายินดีหรือไม่พอใจกันแน่


              รอจนทั้งสองนั่งลงบนกลีบดอกไม้ที่บ่าวปูโรยเอาไว้ให้ จึงคารวะผู้ใหญ่ แล้วยกน้ำชา เสิ่นเซวียนและฮูหยินซูดื่มน้ำชาพอเป็นพิธีอึกหนึ่ง แล้วชมเชยไปสองสามประโยค แม้จะบอกไม่ได้ว่าพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมหนักหนา ทว่าก็เป็นไปด้วยใบหน้าอ่อนโยนและยินดี ต่อจากนั้นเป็นพิธีพบหน้าญาติพี่น้อง… เมื่อมาถึงตรงนี้ เสิ่นเซวียนก็มีสีหน้าแปลกๆ ขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเรียกให้คนยกกระบี่คู่ชายหญิงล้ำค่าออกมาคู่หนึ่ง เขาลูบที่เครายาวใต้คางแล้วนิ่งคิดไปสองอึดใจ จึงได้เอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ได้ยินว่าเจ้ามีวรยุทธ์ไม่เลว กระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มก่อนหน้านั้นตีขึ้นมาให้เหมาะกับกำลังแขนของบุรุษ เกรงว่าเจ้าจะใช้งานได้ไม่คล่องมือนัก ข้าจึงไปเลือกกระบี่คู่ชายหญิงนี้มาจากในคลั่งเป็นการพิเศษ หวังว่าพวกเจ้าจะได้ร่วมแรงปรองดอง ประคับประคงซึ่งกัน จักได้ไม่รู้สึกผิดต่อกระบี่นี้!”


              เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวไปว่า “สะใภ้น้อมรับคำสั่ง! มิกล้าหลงลืม!”


              ขณะที่เสิ่นเซวียนกำลังอบรมสอนสั่งอยู่ มีหลายคนในห้องโถงที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินซูอยู่ด้วย รอจนถึงคราวฮูหยินซูให้ของรับไหว้ สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงมาก นางมีรอยยิ้มอยู่ในทีขณะหยิบต่างหูหยกเขียวใสคู่หนึ่งออกมา “ขอให้แต่นี้ไปพวกเจ้าสองสามีภรรยาคอยประคับประคงซึ่งกัน ไม่แปรเปลี่ยนตลอดกาล!”


              เว่ยฉางอิ๋งรับมาแล้วคราวะขอบคุณอีกครั้ง… ต่างหูหยกเขียวใสคู่นี้ทำออกมาเป็นรูปหงส์กระพือปีกหาง เป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่าเว่ยฉางอิ๋งเกิดในตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่ง[2]โจว ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นหยกที่มีเนื้อหยกชั้นยอด เมื่อกำเอาไว้ในมือก็จะรู้สึกดังกำน้ำสีเขียวใสเอาไว้ มีความแวววาวอ่อนโยนและบริสุทธิ์ อย่าได้มองเพียงว่าหยกใสนี้มีขนาดเพียงแค่ชุ่นกว่าๆ แต่มันกลับเป็นสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง


              เมื่อมองจากเรื่องนี้ ไม่ว่าในใจของฮูหยินซูจะชื่นชอบเว่ยฉางอิ๋งหรือไม่ อย่างน้อยของกำนัลชิ้นนี้ก็มิได้ดูแคลนนาง


              ฮูหยินซูยังได้กำชับไปอีกว่า “ลำดับต่อไปก็ล้วนเป็นคนในบ้านเดียวกันทั้งนั้น เจ้าไปรู้จักสักหน่อยเถิด”


_________________________________


[1] เปลือกหอยไส้ดำ เป็นเปลือกหอยทรงยาวแหลมที่ใช้บรรจุสีดำอมเชียวเอาไว้สำหรับเขียนคิ้ว


[2] เฟิ่ง แปลว่า หงส์


ตอนที่ 7 ทุกคนในบ้านเสิ่น

โดย

Xiaobei

              ผู้ที่ต้องเข้าไปคารวะเป็นบ้านแรกก็ย่อมต้องเป็นบ้านใหญ่


              เมื่อคืนในห้องหอ เว่ยฉางอิ๋งได้พบกับนางหลิวแล้ว วันนี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดสวีฉวินสีม่วงแดงทั้งตัว เกล้าผมทรงผานหวนจี้[1] ปักปิ่นทอง แต่งกายอย่างสง่าภูมิฐานยิ่ง ชายบนที่นั่งหลักข้างๆ นางก็คงจะเป็นพี่ชายแท้ๆ คนโตของเสิ่นจั้งเฟิง ซึ่งมีนามว่าเสิ่นจั้งลี่ เขาเป็นชายที่อายุราวสามสิบปีที่ใต้คางมีเคราบางๆ เค้าหน้าของเขาคล้ายคลึงกับเสิ่นเซวียนและเสิ่นจั้งเฟิงเป็นอย่างมาก เพียงแต่ดวงตาไม่ได้คมคายเท่าใด กลับดูมีความดุร้ายบางอย่างซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งท่าทางยังไม่เป็นมิตร ยามน้องชายและน้องสะใภ้มาคารวะ เขาก็เพียงยกมือขึ้นรับเล็กน้อย มุมปากโค้งขึ้นหนหนึ่ง ดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด


              เคราะห์ดีที่นางหลิวยิ้มแย้มและกล่าวทักทายปราศรัยแทนเขาสองสามประโยค จึงกู้สถานการณ์ขึ้นมาได้


              เมื่อเห็นเป็นดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งอดจะคาดเดาไปไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะเสิ่นจั้งลี่ไม่พอใจยิ่งเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงถูกกำหนดให้เป็นประมุขคนต่อไปของตระกูล? ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลอยู่ อย่างไรเสียเสิ่นจั้งลี่ก็เป็นบุตรชายคนโตในบ้านใหญ่… แต่ว่า แม้ในยามนี้จะมีเสิ่นเซวียนและฮูหยินซูอยู่ด้วย เขาก็ยังมีท่าทีเช่นนี้ ไม่เหมือนคนที่มีความคิดรอบคอบที่สามารถดูแลตระกูลได้เลย…


              นางตวนมู่ในบ้านสอง นางก็เคยได้พบพร้อมกับนางหลิวเมื่อคืนแล้ว สามีของนาง เสิ่นเหลี่ยนสือซึ่งเป็นบุตรของอนุมีหน้าตาหล่อเหลาและดูสุขุม กลิ่นอายของคนฝ่ายบุ๊นแผ่นซ่านออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน ดูแล้วไม่เหมือนลูกหลานตระกูลเสิ่น ท่าทีของเสิ่นเหลี่ยนสือกลับดูอ่อนโยน เขาพูดจาหยอกล้อเสิ่นจั้งเฟิงพอเป็นพิธีสองสามประโยคและยังพูดกับเว่ยฉางอิ๋งด้วยสองประโยค ดูให้ความใกล้ชิดแต่ก็มิได้มากจนเกินงาม


              กลับเป็นนางตวนมู่เสียอีกที่มีสีหน้าราบเรียบนัก… เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่ายามกลับไปจะสอบถามพวกบ่าวดูสักหน่อยว่าพี่สะใภ้รองผู้นี้มีความแค้นเคืองใดกันตนกันแน่?


              เมื่อได้พบพี่ชายและพี่สะใภ้บ้านสองแล้ว ฮูหยินซูก็ให้พวกเขานั่งลงที่ที่นั่งว่างที่อยู่ถัดจากของบ้านสอง แล้วกล่าวว่า “จั้งซิ่วไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง จั้งจี ถึงตาเจ้าเข้ามาคาราวะแล้ว”


              พลันเห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าหรูหราที่มีเค้าหน้าเหมือนฮูหยินซูยิ่งนักและนั่งอยู่ในที่นั่งถัดไปลุกขึ้นยืน แล้วเข้ามาคารวะ


              เขาเป็นบุตรชายแท้ๆ คนเล็ก ตามลำดับแล้วคือคุณชายห้า เสิ่นจั้งจี ข่าวที่เล่าลือกันมาบอกว่าในบรรดาบุตรธิดาทั้งหมด ฮูหยินซูรักใคร่เอ็นดูบุตรชายคนเล็กซึ่งปีนี้เพิ่งจะเกล้าผมผู้นี้เป็นที่สุด ถึงขั้นมากว่าเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวซึ่งเป็นบุตรคนสุดท้องอีกด้วย


              เสิ่นจั้งจีมีหน้าตาเหมือนฮูหยินซูเป็นที่สุด ในความหล่อเหลามีความอ่อนโยนสุภาพ แต่ดวงตาทั้งคู่สุกสว่าง ยามเดินดูน่าเกรงขามและคล่องแคล่ว เห็นชัดว่าเป็นคนมีพลังอยู่ในตัวสูงยิ่ง หลังจากเขาแล้วก็เป็นบุตรคนรองของอนุ คุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุน อายุสิบสี่ปี เสิ่นเหลี่ยนคุนมีหน้าตาคล้ายกับบุตรบ้านใหญ่มากกว่า เค้าหน้าเหมือนกับเสิ่นเซวียนเป็นพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็แทบไม่น้อยหน้าเสิ่นจั้งจี เพียงแต่ท่าทางดูมีความร้ายกาจซ่อนอยู่


              จากนั้นก็เป็นเสิ่นจั้งหนิงแล้ว วันนี้น้องสามีตัวน้อยเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรง สวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นสีส้มแดง คาดกระโปรงจีบจากผ้าสิบสองชิ้นที่หน้าอก อาภรณ์ของนางงดงามนัก หากแต่ตัวคนกลับแต่งหน้ามากเกินสมควร สีแก้มเข้มนัก…เข้มเสียจนเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกลัดกลุ้มว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้ไม่มีคนข้างกายที่รู้จักวิธีแต่งหน้าบ้างเลยหรือไร? แป้งที่ทาหน้าก็ดูคล้ายจะทามาสักสามสี่ชั้น นอกจากจะไม่น่าดูแล้ว กลับยังเป็นการทำให้ความงามในวัยสาวรุ่นที่มีอยู่แต่เดิมดูเลอะเทอะไปหมด


              เมื่อเห็นนางในสภาพเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งใดคือ ‘ตัดทอนแป้งน่ารังเกียจและสีสกปรกทาหน้าทิ้งไป’….


              จนเมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็นหางตาที่ฮูหยินซูมองบุตรสาวด้วยท่าทีเกร็งๆ และอาศัยยามที่ไม่มีใครสังเกตส่งสายตาคมกริบไปหานาง แต่เสิ่นจั้งหนิงกลับมีอาการได้อกได้ใจยิ่ง ระหว่างที่มองกันไปมา กลับมีสีหน้าแห่งชัยชนะอยู่เต็มใบหน้า ดั่งเกรงว่ามารดาจะมองไม่เห็นความลิงโลดของตน ฮูหยินซูกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นและคล้ายกำลังกัดฟันอยู่ด้วย เห็นชัดว่านางกำลังพยายามข่มใจเพราะยามนี้มีสะใภ้ใหม่มาทำความรู้จักกับครอบครัว จึงมิได้ระเบิดอารมณ์ออกมา


              …เว่ยฉางอิ๋งพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว หากเสิ่นจั้งหนิงมิได้จงใจยั่วให้มารดาเกิดโทสะ เช่นนั้นนางก็จะต้องกำลังโกรธมารดาอยู่!


              ดูไปแล้วน้องสาวตัวน้อยของสามี ท่าจะเป็นตัวก่อกวนไม่เบาทีเดียว!


              คนสุดท้ายในรุ่นนี้ที่ขึ้นมาแนะนำตัวก็คือคุณชายแปดเสิ่นเหลี่ยนเหิง บุตรชายคนสุดท้องของอนุ เพิ่งอายุได้สิบเอ็ดปี ซึ่งมีหน้าตาไม่เหมือนเสิ่นเซวียนเลยแม้แต่น้อย เขามีใบหน้ากลม ดวงตาโต ริมฝีปากมีสีแดงสด หากมิได้มองให้ถี่ถ้วนยังหลงนึกว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง


              เมื่อเสิ่นเหลี่ยนเหิงเข้าพบพี่ชายและพี่สะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวของรุ่นหลานมาคารวะบ้าง


              เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นบุตรชายลำดับที่สามเพิ่งจะแต่งภรรยา ดังนั้นย่อมเป็นบ้านใหญ่และบ้านรองเท่านั้นที่จะมีหลานชายและหลานสาว เมื่อเข้ามาคารวะตามลำดับ ก็เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่เสิ่นซูจิ่งและบุตรชายรองเสิ่นซูหมิง ยังมีบุตรของบ้านสองอีกสามคน…ซึ่งล้วนเป็นหลานสาวทั้งหมด บุตรสาวคนโตบ้านใหญ่คือเสิ่นซูโหรว คนรองซึ่งเป็นบุตรสาวของอนุ เสิ่นซู[2]เยวี่ย และคนเล็กบุตรสาวบ้านใหญ่ เสิ่นซูเหยียน


              ในบรรดารุ่นหลานทั้งหมด เสิ่นซูจิ่งเป็นคนโตที่สุด อายุได้สิบขวบแล้ว มีกริยาเรียบร้อยสงบเสงี่ยม มีสง่าราศีดังกุลสตรีตระกูลใหญ่ เสิ่นซูหมิงซึ่งเป็นเด็กชายเพียงคนเดียวอายุน้อยกว่าพี่สาวสองปี และเริ่มเรียนหนังสือมาสองปีแล้ว ทั้งกริยาวาจาล้วนเรียบร้อยมีแบบแผน มีสง่าราศีดังคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือบุตรสาวทั้งสามคนของบ้านสอง แม้จะบอกว่ามีบุตรสาวของอนุรวมอยู่ด้วย แต่เด็กหญิงทั้งสามคนกลับมีหน้าตาแทบจะเหมือนกัน แต่ละคนล้วนมีหน้าตาคล้ายไปทางเสิ่นเหลี่ยนสือผู้บิดา หากมิได้มีอายุต่างกัน ก็จะทำให้คนหลงนึกว่าเป็นแฝดสามเอาได้ง่ายๆ


              เมื่อคืนในห้องหอ เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเสิ่นจั้งหนิงเอ่ยถึงเสิ่นซูเหยียนมาก่อน ยามนี้จึงขาดเสียมิได้ที่จะสนใจนางมากเป็นพิเศษ หลานสาวตัวน้อยผู้นี้หากนับกันตามอายุแล้วเพิ่งจะอายุเต็มสี่ขวบ หน้าตาน่ารักยิ่งนัก ผิวดังหิมะผมดำขลับ ปากแดงฟันขาว ดวงตาทั้งคู่ทั้งกลมทั้งโตทั้งแวววาวดังองุ่นดำก็ไม่ปาน พูดจาด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะเข้าไปอุ้มนาง


              เว่ยฉางอิ๋งสังเกตดูนาง นางเองก็ดูเหมือนมีคำพูดอยากจะพูดกับเว่ยฉางอิ๋งด้วยเช่นกัน เพียงแต่นางตวนมู่ที่นั่งอยู่ในที่นั่งหลักกระแอมไอออกมาหลายหน เสิ่นซูเยียนจึงได้แต่ต้องถอยกลับเข้าไปพร้อมพวกพี่สาวด้วยท่าทีตัดใจไม่ได้


              เมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหม่รู้จักกับทุกคนครบแล้ว ฮูหยินซูก็ได้กล่าวกับทุกคนไปอีกสองสามประโยค เสิ่นเซวียนดูเวลาแล้วจึงกล่าวว่า “วันนี้พอดีเป็นวันหยุด คาดว่าท่านอาเจ้าทางนั้นก็คงกำลังรออยู่ เมื่อพบทางนี้เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ไปกันยามนี้เลยเถิด”


              เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า แล้วเสิ่นเซวียนก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไป ทุกคนจึงได้พากันกล่าวคำอำลา


              เมื่อออกประตูไป เสิ่นซูเหยียนพลันร้องเรียกอาสะใภ้สาม


              น้ำเสียงอ่อนนุ่มของนางฟังแล้วสบายยิ่งนัก เว่ยฉางอิ๋งจึงหยุดเดินและหันมายิ้มถามว่ามีเรื่องอันใด แต่แล้วนางตวนมู่ก็มีท่าทีหุนหัน พลางเข้ามาอุ้มนางขึ้นทันใด แล้วตำหนิว่า “อย่าเสียมารยาทไปรบกวนเวลา ท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สามกำลังจะไปพบท่านปู่รอง!” เมื่อตะเบงเสียงปรามบุตรสาวแล้ว นางตวนมู่ก็หันมาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “น้องสะใภ้สามอย่าสนใจนางเลย เด็กเล็กๆ เช่นนี้ก็ชอบสร้างเรื่องไปทั่ว เจ้ารีบไปพบท่านอารองกับน้องสามเถิด!”


              เว่ยฉางอิ๋งจึงขึ้นเกี้ยวไปด้วยความหงุดหงิด เมื่อห่างออกไปไกลสักหน่อย และข้างกายไม่มีคน จึงเอ่ยถามเสิ่นจั้งเฟิงว่า “เจ้าคงจักรู้ว่าซูเหยียนอยากจะพูดสิ่งใดกับข้า?”


              เสิ่นจั้งเฟิงย่อมรู้ว่าน้องสาวของตนเสิ่นจั้งหนิงพูดสิ่งใดกับเสิ่นซูเหยียน แต่เขาก็ไม่อาจพูดตรงๆ ออกไปได้ว่าเสิ่นซูเหยียนคิดอยากจะได้ของในหีบสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋ง… ทั้งยามนี้ยังมีคนหามเกี้ยวและบ่าวที่ติดตามเกี้ยวอยู่ด้วย หากพูดออกไปแล้วเว่ยฉางอิ๋งไม่อยากให้ก็จะทำตัวลำบาก อีกประการหลานสาวเอ่ยปากขอสิ่งของในสินติดตัวของอาสะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่แล้ว ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งยอมให้ แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะทำให้ผู้คนเยาะเอาได้ว่าบ้านเสิ่นโลภโมโทสันถึงเพียงนี้ สะใภ้ใหม่เพิ่งจะเข้าบ้านมาก็กลับปล่อยปละให้เด็กเล็กๆ เอ่ยปากขอสินติดตัวของผู้อื่น


              ซึ่งทั้งมวลก็เพราะเสิ่นจั้งหนิงยังเด็กไม่ประสา ด้วยคิดจะหลอกล่อให้หลานสาวมาล่มหัวจมท้ายขโมยกระบี่ด้วยกัน จึงกล่าวยืนยันในเรื่องไร้แก่นสาน จนทำให้เสิ่นซูเหยียนที่อายุยังน้อยหลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง เฝ้านับวันรอให้อาสะใภ้สามเข้าบ้านมาเร็วๆ แล้วนางจะได้ขอหนังสือล้ำค่าที่สืบทอดกันมาในตระกูลเหล่านั้นมา


              เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดพักหนึ่งจึงบอกว่า “ปกติแล้วนางชอบอ่านหนังสือ ตระกูลเว่ยเลื่องชื่อด้านการอักษร เป็นที่รู้กันในเขตทะเล คาดว่าคงอยากจะขอคำชี้แนะจากเจ้า”


              “เช่นนี้เอง…” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด ตระกูลเว่ยเลื่องชื่อด้านการอักษรก็จริง แต่จนใจที่ในหัวของนางไม่ได้มีความรู้ใดอยู่เลย อย่าว่าแต่ความรู้เลย ด้วยเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่ฝักใฝ่เรื่องเพิ่มวรยุทธ์ให้ตนเอง มิได้สนใจในเรื่องอักษรการกวี หากประเมินกันตามระดับของกุลสตรีตระกูลใหญ่นางก็เพียงอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น


              หากหลานสาวตัวน้อยผู้นี้วิ่งมาสนทนาเรื่องบทนิพนธ์เลื่องชื่อกับนาง เช่นนั้นก็ลำบากแล้วจริงๆ


              นางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดจะถามไปไม่ได้ว่า “ข้าได้ยินว่าตระกูลเสิ่นมีเทพธิดาน้อย…?”


              “ก็คือซูเหยียนนั่นเอง” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “ซูเหยียนมีพรสวรรค์ด้านกวีที่น่าตื่นใจ ฮ่องเต้ยังทรงเคยให้นางไปเข้าเฝ้าฯ ในวังด้วยเหตุนี้ด้วย แต่พี่สะใภ้รองคิดว่าหากฉลาดเกินไปก็จะเป็นภัย จึงไม่ชื่นชอบให้นางแสดงความสามารถออกมา” เขาคาดว่าการเรียนของเว่ยฉางอิ๋งคงจะไม่ใคร่ดีนัก อย่างไรเสียคืนแต่งงานคืนแรกเขาก็รู้ถึงฝีมือของภรรยาแล้ว เห็นได้ว่านางจะต้องทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธ์เป็นอย่างมาก


              ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความสามารถด้านการอักษรของนางก็คงจะบกพร่องอยู่บ้าง บางทีอาจจะมีพอๆ กับสตรีตระกูลใหญ่ทั่วไปเท่านั้น แต่จะต้องไม่ชื่นชอบไปสนทนากับเด็กรุ่นหลังที่ใครๆ พากันขนานนามว่า ‘เทพธิดาน้อย’ เป็นแน่ ด้วยส่อเค้าว่าหากไม่ระวังตัวแต่เพียงน้อยก็จะได้ชื่อว่าเทียบเด็กเล็กๆ อายุสี่ขวบไม่ได้…


              กอปรกับนางตวนมู่เองก็แสดงออกชัดแจ้งแล้วว่า แม้จะมีบุตรสาวที่ได้รับสมญานามว่าเทพธิดาน้อยตั้งแต่อายุน้อยๆ เพียงนี้ แต่นางผู้เป็นมารดากลับไม่คาดหวังให้ผู้อื่นเอ่ยถึงและไม่ต้องการให้ผู้อื่นไปจูงใจบุตรสาวของนางในเรื่องนี้ด้วย


              เมื่อเป็นเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าตนควรหาทางหลบเลี่ยงเสิ่นซูเหยียนเสียดีกว่า…จึงจะได้ไม่ต้องเอ่ยถึงบทนิพนธ์เลื่องชื่อต่างๆ


              ความจริงแล้วเสิ่นจั้งเฟิงเองก็เคยชี้แจงเหตุผลกับหลานสาวมาหลายครั้ง และบอกไปชัดเจนแล้วว่าสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งนั้นไม่ใช่ว่าพออยากจะได้ก็จะสามารถเอามาได้ ทว่าเสิ่นซูเหยียนกลับอายุน้อยเกินไป แม้จะมีพรสวรรค์ด้านกวีสูงส่ง แต่กลับไม่สามารถเข้าใจเรื่องใจเขาใจเราได้ ประสาอะไรกับที่ยังมีเสิ่นจั้งหนิงที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินคอยเสี้ยมสอนอยู่ข้างๆ โอกาสที่เสิ่นจั้งเฟิงได้พบปะกับหลานสาวตัวน้อยนี้ไม่มากเท่ากับน้องสาวจึงไม่อาจหลอกล่อนางได้ในเวลาอันสั้น


              ยามนี้จึงคิดว่าเอาไว้กลับไปแล้วค่อยอธิบายกับภรรยาให้กระจ่างอีกครั้ง


              เว่ยฉางอิ๋งกลับนึกถึงเรื่องที่นางตวนมู่มีท่าทีคล้ายจงใจหรือไม่จงใจยุยงให้นางมีเรื่องขัดใจกับเสิ่นจั้งหนิง… หรือด้วยสาเหตุนี้นางตวนมู่จึงได้ทำเช่นนี้?


              หรือเพราะเสิ่นจั้งหนิงคอยเสี้ยมสอนเสิ่นซูเหยียน นางตวนมู่เห็นแก่หน้าฮูหยินซูซึ่งเป็นแม่สามี จึงไม่อาจทำสิ่งใดน้องสามีตัวน้อยได้ ทั้งยังไม่ต้องการให้เสิ่นจั้งหนิงสอนบุตรสาวของตนจนเสียคน ด้วยเกรงว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นน้องสะใภ้เข้าบ้านมาแล้วจะร่วมมือกับเสิ่นจั้งหนิงและพาให้เสิ่นซูเหยียนเสียคน ว่าแล้วจึงได้จัดการทำให้ทั้งสองแตกคอกันเสียตั้งแต่แรก?


              เมื่อฟังได้ว่าเสิ่นจั้งหนิงสนิทสนทกับเสิ่นจั้งเฟิงเป็นอย่างยิ่ง นับแต่เมื่อวาน ตอนแรกเสิ่นจั้งหนิงก็ยังมีท่าทีรักพี่ชายจึงรักพี่สะใภ้ของตนด้วย แม้จะเย้าหยอกตนแต่ก็มิได้มีเจตนาร้ายอันใด หากมิใช่เพราะนางตวนมู่ยุยุง เว่ยฉางอิ๋งเชื่อว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้จะต้องมาเล่นกับตนบ่อยๆ เป็นแน่…หรือนางตวนมู่ต้องการจะขัดขวางเรื่องนี้?


              แต่จะว่าไปก็ค่อนข้างเป็นการบังคับฝืนใจเกินไปสักหน่อย…


              ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น คนห้ามเกี้ยวก็กล่าวเตือนว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อยโปรดระวัง มีต้นตีนตุ๊กแกห้อยย้อยลงมาจากประตูนี้ขอรับ”


              จวนของเสิ่นโจ้วใกล้กับจวนของราชครู อยู่ติดต่อกันเพียงเปิดประตูผ่านกำแพง ยามนี้มีต้นตีนตุ๊กแกขึ้นอยู่เต็มกำแพงนี้ และมีที่ห้อยย้อยลงมาจากประตูอยู่หลายเถาเมื่อมองขึ้นไปข้างบนพวกเถาที่แก้แล้วยังมีรอยตัดอยู่ด้วย ส่วนที่ห้อยย้อยลงมานี้เห็นชัดว่ามีคนในเรือนต้องมีธุระวุ่นวายจนไม่มีเวลาตัดแต่ง คงเพราะเว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมาจึงต้องเอาบ่าวไพร่ไปจัดเตรียมงานเลี้ยง จึงทำให้ต้นตีนตุ๊กแกอาศัยโอกาสนี้งอกยาวออกมามากมายเพียงนี้


              เมื่อถึงแล้ว เสิ่นโจ้วนั้นนางเคยพบมาก่อนแล้ว จึงเป็นเพียงการเข้าคารวะไปตามลำดับ ฟังการอบรมสอนสั่งและรับของรับไหว้ เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินมานานแล้วว่าอดีตภรรยาแซ่เฉียนของเสิ่นโจ้วนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว และเขามิได้แต่งภรรยาใหม่อีกเลย ดังนั้นแล้วในยามนี้ที่นั่งทางด้านขวาของที่นั่งหลักจึงว่างเปล่า หลังจากเข้าคราวะแล้วเสิ่นโจ้วก็อธิบายว่า “ทั้งจั้งจูและเหลี่ยนเหมยล้วนไม่สะดวกมาพบในคราวนี้ ด้วยกลัวว่าจะกระทบกับสิริมงคลของพวกเจ้า…รอจนพวกเจ้าแต่งงานครบเดือนค่อยมาพบเถิด จั้งฮุย เหลี่ยนฮวา พวกเจ้ามาคารวะพี่ชายและพี่สะใภ้!”


              คุณชายสี่เสิ่นจั้งฮุย อายุสิบเก้าปีเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ของเสิ่นโจ้ว ได้ยินมาว่าเขาหมั้นหมายไปเมื่อปีที่แล้ว รอเพียงให้เสิ่นจั้งเฟิง ลูกผู้พี่ซึ่งอยู่ในลำดับก่อนตนแต่งงานเรียบร้อยเสียก่อน เขาก็จะไปรับคู่หมั้นเข้าบ้านมาเช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งดังหยกตั้ง ท่าทางสุภาพมีมารยาท ทำให้คนรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนยิ่งนัก อ่อนโยนจนถึงขั้นดูว่านอนสอนง่ายเสียอย่างยิ่ง


              บุตรของอนุคุณชายเจ็ดเสิ่นเหลี่ยนฮวามีอายุเท่ากับคุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุน แต่กลับอ่อนกว่าเสิ่นเหลี่ยนคุนสามเดือนจึงอยู่ในอันดับที่เจ็ด เขามีหน้าตาธรรมดาและดูเป็นคนเงียบขรึม


              บุตรของเสิ่นโจ้วดูไม่คึกคักร่าเริงผิดกับของเสิ่นเซวียนอย่างลิบลับ เช่นนั้นจึงมิได้อยู่รบกวนเวลาที่จวนเซียงหนิงปั๋วนานนัก เสิ่นจั้งเฟิงก็พาเว่ยฉางอิ๋งกล่าวคำอำลา


              ยามจะกลับนั้น เสิ่นจั้งฮุยอาสาเป็นคนออกไปส่งพวกเขา ไม่คิดว่าเพิ่งจะไม่อยู่ต่อหน้าเสิ่นโจ้ว เสิ่นจั้งฮุยก็บอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่สะใภ้สาม จั้งฮุยมีเรื่องอยากจะรบกวน และหวังว่าพี่สะใภ้สามโปรดรับปากด้วยขอรับ!”


              เว่ยฉางอิ๋งอดจะงงงันไม่ได้ จึงพูดไปว่า “น้องสี่เกรงใจเกินไปแล้ว มีสิ่งใด…”


              เสิ่นจั้งเฟิ่งรีบพูดแทรกด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสี่เจ้าอยากจะถามถึงกระบี่ ‘ลู่หู’ หรือ? ไร้สาระจริงๆ นั่นเป็นท่านพ่อมอบให้แก่พี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สามของเจ้าหรือจะนำมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า?”


              เสิ่นจั้งฮุยได้ยินพลันมีสีหน้าหวั่นๆ ออกมาในทันใด แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ข้ากำลังถามพี่สะใภ้สามอยู่ พี่ชายสาม ไยท่านจึงต้องห้ามปราม? ไม่แน่ว่าพี่สะใภ้สามอาจจะตกปากรับคำข้าก็เป็นได้”


              อาจพูดได้ดังนั้น แต่เห็นชัดว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ตอบตกลง จึงกล่าวไปอย่างเกรงใจว่า “เมื่อเป็นของกำนัลจากผู้ใหญ่ จึงไม่กล้านำไปมอบต่อผู้อื่น หวังว่าน้องสี่จะเข้าใจ”


               เสิ่นจั้งฮุยถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “พอพี่ชายสามเอ่ยปาก ข้าก็รู้ว่าไม่มีหวังเสียแล้ว” ระหว่างสนทนากันก็เดินมาจนถึงที่บันได และมีเกี้ยวกำลังรออยู่ เขาจึงได้ประสานมือคารวะทั้งสองคนเป็นการอำลา


              รอจนกลับมาที่จวนราชครู เว่ยฉางอิ๋งจึงถามเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความงงงันว่า “กระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มนั้น?”


              มีหรือเสิ่นจั้งเฟิงจะยอมบอกความจริง? จึงยิ้มทำเหมือนไม่มีเรื่องใดและว่า “ท่านอาชื่นชอบกระบี่เล่มนั้นมาก เพียงแต่ไม่ว่าจะขอท่านพ่อกี่หน ท่านพ่อก็ไม่ยอมให้”


              เช่นนั้น…เรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าเสิ่นโจ้วลืมกระบี่เอาไว้มิได้นำติดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว จะเป็นเรื่องจริงหรือ? อาจเป็นเพราะท่านอารองเสิ่นโจ้วผู้นี้อยากครอบครองกระบี่ ‘ลู่หู’ เอาไว้เสียเอง จึงจงใจไม่นำติดตัวมากระมัง?


              พ่อสามีจึงจงใจให้เสิ่นจั้งเฟิงติดตามไป ด้วยกลัวว่าหากเป็นผู้อื่นไล่ตามเสิ่นโจ้วไปก็จะถูกเขาเอากระบี่ไปเช่นกัน?


              เว่ยฉางอิ๋งอดจะคิดไปเช่นนี้ไม่ได้…


___________________________________


[1] ผมทรงผานหวนจี้ เป็นทรงผมที่เกล้าผมขึ้นจนหมด ปลายม้วนเป็นขดแล้วมวยไว้ข้างบนศีรษะ


[2] ซู คำนี้แม้จะออกเสียงเหมือนชื่อตัวแรกของรุ่นหลานคนอื่นๆ แต่เขียนด้วยอักษรคนละตัวกัน ทำให้เป็นข้อแตกต่างระว่างบุตรบ้านใหญ่และบุตรของอนุ


ตอนที่ 8 เรือนจินถง

โดย

Xiaobei

              กลับมาถึงเรือนที่ทั้งสองอาศัย ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะได้ดูชัดเจนว่าเรือนแห่งนี้มีนามว่าเรือน ‘จินถง’


              ในชื่อของเสิ่นจั้งเฟิงมีอักษร ‘จิน’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ทอง’ เว่ยฉางอิ๋งมาจากตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว ภายในเรือนยังมีต้นอู๋ถงอายุร้อยปีอีกหนึ่งต้น ตำนานว่ากันว่าหงส์(ฟ่ง)จะไม่ร่อนลงมาหากมิใช่ต้นอู๋ถง พวกเขาใส่ใจตั้งแต่ตัวเรือนจนถึงชื่อเรือนเลยทีเดียว


              ก่อนหน้านี้เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าเมื่อคราวะญาติผู้ใหญ่เสร็จแล้วกลับมาก็จะพักผ่อน แต่ความจริงแล้วเพียงดื่มชาไปหนึ่งจอก ก็มีบ่าวเข้ามาสอบถามว่าจะให้พวกเขาเข้ามาคารวะนายคนใหม่ได้หรือไม่


              เสิ่นจั้งเฟิงมองไปทางเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งวางถ้วยน้ำชาลงแล้วพยักหน้า เพราะนี้เป็นธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติ ต่อให้เหน็ดเหนื่อยก็จะต้องออกไปรับการคารวะและรู้จักบ่าวไพร่ อย่างไรเสียต่อไปนี้เรือนหลังนี้นางก็จะต้องเป็นคนดูแลแล้ว มิใช่ว่าแม้แต่คนที่ตนต้องดูแลแต่ตนกลับไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด…เช่นนั้นก็เป็นการไม่ควร


              ความจริงแล้วในเรือนของเสิ่นจั้งเฟิงนี้ก็ไม่ได้มีบ่าวมากมาย สาวใช้สองคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายคือถวนเยวี่ยและซินเยวี่ย ชื่อของพวกนางก็ยังคล้องกัน แต่ใบหน้ากลับเทียบไม่ได้แม้แต่ครึ่งของดวงจันทร์ นอกนั้น นอกจากแม่นมแซ่ว่านแล้ว บ่าวที่เหลือก็จะดูแลอยู่ที่เรือนชั้นที่หนึ่ง ทั้งบ่าวชราสองสามคนและเด็กรับใช้ผู้ชายล้วนไม่ได้อยู่ในเรือนจินถง


              เรื่องที่ทำให้นางหวงโล่งใจก็คือเสิ่นจั้งเฟิงมิได้มีผู้ใดในจวนก่อนแต่งงาน ทั้งเรือนจินถวงมีแต่บ่าวเก่าแก่ของเขา นอกนั้นก็มีเพียงถวนเยวี่ยและซินเยวี่ย ทว่าลำพังรูปร่างหน้าตาของนางทั้งสอง ก็เกรงว่าแม้แต่บ่าวที่มีหน้ามีตาสักหน่อยก็อาจจะไม่อยากได้เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังเห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเองก็ไม่ได้มีความโปรดปรานที่ต่างจากคนทั่วไป ยามถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยเข้าคราวะก็เพียงยืนอยู่ห่างๆ เขา มิได้เข้ามาใกล้จนเกินไป


              ในบรรดาบ่าวไพร่เหล่านี้แน่นอนว่าจะต้องมีแม่นมแซ่ว่านเป็นหัวหน้า นางว่านผู้นี้ดูไปแล้วสูงวัยกว่านางหวงและนางเฮ่อสักหน่อย ตัวไม่สูง ใบหน้างดงาม สวมเสื้อส้างหรูคอป้ายลายหรูอี้ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีแดงเงินและกระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างสีน้ำทะเล เกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้[1] มีท่าทีอ่อนโยนและอ่อนน้อมยิ่ง พูดจาเสียงเบาเนิบนาบ ดูท่าทางช่างเอาอกเอาใจทีเดียว


              เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงกำชับเอาไว้นานแล้วว่าจะต้องเกรงใจนางให้มาก แต่นางว่านกลับยิ่งอ่อนน้อม มองออกว่านางมิใช่คนที่มองผู้อื่นเพียงผิวเผิน นางและเยวี่ยถวน เยวี่ยซินเข้ามารับของกำนัลพร้อมกัน พลางกล่าวคำแสดงความจงรักภักดีอย่างคล่องแคล่ว… เพียงครู่เดียวก็พบบ่าวไพร่ทั้งหมดของเสิ่นจั้งเฟิงเรียบร้อยแล้ว และเว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าเด็กรับใช้ชายที่ดูแลใกล้ชิดเขามีนามว่าเสิ่นเตี๋ย ตอนนี้อายุสิบสี่ปี เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ฉลาดเฉลียวและคล่องแคล่วคนหนึ่ง


              จากนั้นก็เป็นคราวของคนที่ติดตามมาอยู่กับเว่ยฉางอิ๋งหลังแต่งงานเข้าคารวะเสิ่นจั้งเฟิง ซึ่งพากันยืนเรียงหน้าสลอนอยู่กว่าครึ่งหนึ่งของลานบ้าน… ด้วยเหตุผลว่าพวกบ่าวของเว่ยฉางอิ๋งเหล่านี้จะไม่เข้าไปปรนนิบัติในเรือนหากแต่คอยดูแลเรื่องต่างๆ ในเรือนเท่านั้น เพื่อให้เห็นว่าสินติดตัวของนางมีมาอย่างมากมายก่ายกอง เมื่อมองเห็นคนจำนวนมากมายเหล่านี้ รวมทั้งพวกแม่บ้านสองสามคนที่มารายงานว่าแต่ละคนดูแลเรื่องใดบ้าง พวกของนางว่านจึงพากันส่งสายตาหากัน คิดในใจว่าฮูหยินน้อยผู้นี้เป็นคุณหนูที่เป็นที่รักที่สุดของตระกูลเว่ยโดยแท้ โดยทั่วไปแล้วสตรีที่เกิดในบ้านใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ออกเรือนแล้วจะเอิกเกริกและมีผู้ติดตามยามแต่งงานมากมายถึงเพียงนี้


              สินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งนั้นมีพรั่งพร้อมคับคั่งและห่างไกลกว่าบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปมากมายนัก นั่นก็เพราะนางเป็นหลานสาวแท้ๆ เพียงคนของแม่เฒ่าซ่ง และแม่เฒ่าซ่งก็มองหลานคนอื่นๆ เป็นเหมือนแค่เมฆที่ลอยไปมา นางทุ่มเทสุดกำลังแรงกายเพื่อให้หลานชายและหลานสาวแท้ๆ ได้รับแต่ผลประโยชน์…


              เสิ่นจั้งเฟิงมองดูผู้คนเหล่านี้ คิดในใจว่าที่ดินแทบจะทั้งหมดของรุ่ยอวี่ถังที่อยู่ใกล้ๆ เมืองหลวงล้วนมอบให้แก่ภรรยาของตนผู้นี้ สินติดตัวพรั่งพร้อมเสียเพียงนี้ หากวันหน้าตนไม่ได้รับสืบทอดหมิงเพ่ยถัง ก็เกรงว่าที่ดินที่ตนจะได้แบ่งสรรค์ปันส่วนมาก็ยังไม่อาจเทียบได้กับสินติดตัวของภรรยาเลย…ช่างน่าสงสารจริงๆ…


              เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี พลางส่ายหัวเอาความคิดไร้สาระนี้ทิ้งไปเสีย เมื่อรับการคารวะแล้ว ก็มอบเงินกำนัลจำนวนหนึ่ง กล่าวคำทักทาย ทุกคนกล่าวคำขอบคุณและบอกว่าจะตั้งใจทำงานพร้อมกัน… และงานพิธีหนนี้ก็ผ่านพ้นไป


              หลังจากคนทั้งสองให้บ่าวไพร่ไปแล้ว ต่างคนก็ต่างกลับไปที่ของตน และกลับมาพักผ่อนภายในห้อง นางว่านพร้อมกันนางหวงและนางเฮ่อกลับพากันตามเข้ามา… ด้วยนางเฮ่อถูกมองว่าไม่ได้เป็นผู้มีความสุขครบพร้อม ทั้งก่อนและหลังเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานจึงไม่ได้มาอยู่ใกล้ชิดนาง ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเข้าเรือนมาแล้ว เข้าพบญาติผู้ใหญ่แล้ว นางเฮ่อจึงอาศัยโอกาสที่สองสามีภรรยาแนะนำคนฝั่งตนให้อีกฝ่ายรู้จักกลับเข้ามา


              ท่านอาทั้งสามเข้ามาหาพร้อมกัน เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามถึงสาเหตุ


              นางว่านและนางหวงต่างเกี่ยงให้อีกฝ่ายพูดก่อนอยู่พักหนึ่ง จึงเป็นนางว่านพูดออกมาก่อนว่า “ครั้งคุณชายสามยังไม่แต่งงาน เรื่องในเรือนของคุณชายล้วนเป็นข้าน้อยคอยดูแลให้ ยามนี้ฮูหยินน้อยก็เข้าบ้านมาแล้ว ย่อมต้องมอบหน้าที่นี้แก่ฮูหยินน้อย ข้าน้อยจึงมาส่งมอบงานเจ้าค่ะ”


              ว่าแล้วก็เรียกถวนเยวี่ยให้หยิบเอาสมุดบัญชี กุญแจ และสิ่งของอื่นๆ มาส่งมอบต่อหน้าเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งที่ละชิ้นอย่างชัดเจน ในเวลาเดียวกันก็แนะนำเรื่องต่างๆ ในเรือนจินถงโดยคร่าวๆ ไปด้วย เดิมทีเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะเรือนเดี่ยวที่มีสามชั้นในประตูเดียวเช่นนี้เดิมทีก็สร้างไว้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับคู่สมรสที่มีบุตรหลานซึ่งยังไม่ได้แยกเรือนออกไป ดังนั้นพวกของนางว่านจึงเพิ่งจะย้ายเข้ามาเพียงไม่กี่วัน


              นางว่านกล่าวว่า “หลังจากย้ายเข้ามาแล้ว คุณชายก็ออกเดินทางลงใต้ไปรับฮูหยินน้อยแล้ว ยามนี้ข้าน้อยก็เพียงจัดแจงคร่าวๆ ให้พวกสาวใช้อยู่อาศัยกันที่เรือนชั้นที่สาม… ห้องครัวเล็กก็อยู่ในมุมของห้องในชั้นสาม พวกคนไปจ่ายตลาดและคนครัวล้วนเข้าออกทางประตูหลัง ห้องโถงหลักที่อยู่ทางด้านหน้าไว้สำหรับรับแขก ห้องทางด้านข้างห้องหนึ่งทำเป็นห้องหนังสือด้านหน้าเรือน อีกห้องหนึ่งเอาไว้เก็บอาวุธ เกราะและโล่ของคุณชาย ห้องที่เหลืออีกสองสามห้องล้วนยังว่างอยู่ มิรู้ว่าควรจะเอาไว้ทำสิ่งใดดี? เรือนชั้นที่สองที่คุณชายและฮูหยินน้อยพักอยู่นี้ ก็มีห้องหนังสือเล็กๆ ห้องหนึ่ง เพียงแต่หนังสือมีไม่มากเท่ากับห้องหนังสือข้างหน้า ยังมีสระน้ำในล้านบ้านที่สามารถเอาพวกปลาจิ่นหลี่[2]และปลาทองมาเลี้ยงเอาไว้ได้ ซึ่งล้วนสุดแล้วแต่ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”


              ดังนั้น “ยามนี้เรือนหลังนี้ต้องจัดเก็บอีกหน ซึ่งต้องเป็นฮูหยินน้อยจัดการดูแลจึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”


              เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ข้าเห็นว่าท่านอาก็จัดการได้เป็นอย่างดีแล้ว”


              นางรับสมุดบัญชีและของอื่นๆ เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้มว่า “ข้าก็เพิ่งจะมา ล้วนยังไม่เข้าใจเรื่องใดๆ เอาตามที่ท่านอาจัดการเอาไว้แต่เดิมก่อนเถิด หากมีสิ่งใดตกหล่นหรือมีความจำเป็นในภายภาคหน้า จึงค่อยเติมเข้าไปเป็นพอ ส่วนเรื่องสระน้ำ…” นางหันมามองเสิ่นจั้งเฟิง


              เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว กล่าวว่า “เจ้าตัดสินใจเป็นพอ จะเลี้ยงสิ่งใดข้าล้วนไม่ว่าอย่างไร”


              นางว่านหัวเราะพลางโค้งคำนับแล้วถอยไปอยู่ข้างๆ


              นางหวงจึงก้าวออกมาพูดว่า “ข้าน้อยอยากจะสอบถามคุณชายและฮูหยินน้อยว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่?” เมื่อครู่ยามบ่าวของทั้งสองฝ่ายเข้ามาคารวะนายคนใหม่อยู่นั้น บ่าวที่ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาล้วนเปลี่ยนวิธีเรียกพวกเขาแล้ว


              เว่ยฉางอิ๋งมองไปตามสายตาของนางหวงจึงเห็นว่าแขนเสื้อของตนเปื้อนน้ำชาเล็กน้อย จึงพยักหน้า


              ส่วนเสื้อผ้าของเสิ่นจั้งเฟิงยังคงสะอาดเรียบร้อยดีอยู่ เขานิ่งคิดสักพักแล้วเข้าไปภายในห้องด้วย


              ฉินเกอ เยี่ยนเกอ ถวนเยวี่ย ซินเยวี่ยตามเข้ามาพร้อมกัน คอยปรนนิบัติสองสามีภรรยา ซึ่งคนหนึ่งอยู่ข้างหลังอีกคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าของฉากกันลม ต่างคนเปลี่ยนมาใส่ชุดอยู่บ้าน


              ยามฉินเกอคุกเข่าลงช่วยเว่ยฉางอิ๋งจัดกระโปรง เยี่ยนเกอกลับแอบเอาตลับหยกตลับหนึ่งยัดใส่มือนาง แล้วกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “สิ่งนี้ท่านอาเฮ่อเพิ่งจะหาออกมาได้เจ้าค่ะ”


              “เป็นสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งรีบถามเสียงเบาๆ กลับไป


              เยี่ยนเกอกล่าวว่า “ได้ยินท่านอาหวงบอกว่า เป็นยาใส่แผลเจ้าค่ะ”


              เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาทันใด แล้วพูดช้าๆ ว่า “อ่ะ ยามนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว…จะ…จึงไม่ได้ต้องใช้แล้วกระมัง?” อย่างไรก็ยังเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่ที่สงสารนาง! มีหรือจะเหมือนนางหวงที่ถึงกับปล่อยปละละเลยไม่สงสารตน แต่กลับไปสงสารเสิ่นจั้งเฟิงนั่น!


              เยี่ยนเกอนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงพูดแผ่วเบาเหลือเกินว่า “มิใช่ให้ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ แต่ให้คุณชายสามเจ้าค่ะ”


              “…” เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่นาง


              เยี่ยนเกอพยายามขืนพูดต่อไปว่า “ท่านอาบอกว่า ยาใส่แผลนี้ไม่มีกลิ่น เมื่อคุณชายสามทาแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าคนใกล้ตัวจะรู้สึกได้” แล้วก็กล่าวเสียงต่ำลงไปอีกว่า “ท่านอาบอกว่าเรื่องแผลบนตัวคุณชายสามนั้นไม่ควรแพร่งพรายออกไป ฮูหยินน้อยจึงควรเป็นคนทายาให้คุณชายสามด้วยตนเองเป็นดีที่สุดเจ้าค่ะ”


              “…ถวนเยวี่ย ซินเยวี่ยก็มิใช่ว่าเห็นแล้วหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างมีน้ำโหขึ้นมาหน่อยๆ “ข้าไม่ได้อยากทายาให้เขาสักหน่อย!”


              เมื่อฉินเกอช่วยนางจัดกระโปรงเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นพลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ท่านอาหวงบอกว่าฮูหยินน้อยลงมือหนักเกินไปแล้ว จักได้อาศัยจังหวะที่ใส่ยาให้กล่าวขอโทษคุณชายสามด้วยเจ้าค่ะ…”


              เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่เอา!”


              เสียงที่พูดประโยคนี้ออกจะดังไปสักหน่อย เสิ่นจั้งเฟิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของฉากกันลมภายในห้องเดียวกันจึงถามไปอย่างประหลาดใจว่า “ไม่เอาสิ่งใด?”


              เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบ ฉินเกอพลันบอกไปว่า “เรียนคุณชาย ฮูหยินน้อยบอกว่าบาดแผลของท่าน…”


              “ห้ามเจ้าพูดนะ!” เว่ยฉางอิ๋งร้อนรนขึ้นมา รีบเข้าไปปิดปากนางเอาไว้ พลางพูดอย่างโมโหว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าพูดจาเรื่อยเปื่อยกัน?”


              ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงจึงหัวเราะพลางสั่งความไปว่า “พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน”


              เว่ยฉางอิ๋งไม่อนุญาต แต่พวกของฉินเกอและเยี่ยนเกอต่างพากันหัวเราะพลางยัดตลับหยกนั้นใส่ในมือของนาง แล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว


              ได้ยินเสียงดังมาจากประตู เว่ยฉางอิ๋งพลันขบริมฝีปากอย่างไม่พอใจ พลางม้วนผ้าคล้องแขนที่แขนขึ้นมา และเดินออกมาจากหลังฉากกันลม เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิงนั่งอมยิ้มอยู่ข้างใต้หน้าต่าง นางก็พลันหน้าบึ้งดึงแล้วเดินเข้ามาเอาตลับหยกวางไว้ตรงหน้าเขา กล่าวว่า “อะ! ท่านอาบอกให้ข้าเอาให้เจ้า”


              เสิ่นจั้งเฟิงมองดูนางโมโหทั้งยังหงุดหงิด รู้สึกขำอยู่ในใจ จึงจงใจถามไปว่า “เพียงเท่านี้หรือ?”


              เว่ยฉางอิ๋งโพล่งไปว่า “แล้วเจ้าคิดจะเอาอย่างไรอีก?”


              “นี่เป็นยาใส่แผลกระมัง?” เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่ตอบ พลางเปิดตลับหยก เผยให้เห็นยาเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนๆ ที่อยู่ข้างใน แล้วเอามือป้ายออกมาดูตรงหน้าเล็กน้อย จึงถามออกไป


              เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ในเมื่อเจ้าก็รู้แล้ว เช่นนั้นก็เอาไปทาเองก็แล้วกัน ข้าไปก่อนล่ะ”


              นางเพิ่งจะก้าวเท้าก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงที่ตาไวมือเร็วคว้าดึงตัวเอาไว้ พลางยิ้มแล้วว่า “แผลข้าล้วนอยู่ที่แผ่นหลัง แล้วจะมีปัญญาทาเองได้อย่างไร? เจ้าไม่ช่วยข้ารึ?” พูดถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มคาดเดาเรื่องที่ฉินเกอและเยี่ยนเกอบอกกับนางที่หลังฉากกั้นก่อนหน้านี้ไปต่างๆ นานา… มือที่ดึงนางอยู่ยามนี้มีหรือจะยอมปล่อย?


              เว่ยฉางอิ๋งแกะนิ้วของเขาออก แกะไปแกะมาก็ยังแกะไม่ออก แล้วว่า “ข้าจะไปเรียกถวนเยวี่ยกับซินเยวี่ยเข้ามาให้เจ้า”


              “ให้พวกนางมาทำสิ่งใด?” เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตาพลางมองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ก็มิใช่มีเจ้าอยู่ตรงนี้แล้วหรือ?” เขาออกแรงดึงนางลงเข้ามาที่หัวเข่าแล้วรั้งเอวนาง ใต้คางเขาไล้ผ่านมวยผมดำดังปีกกาของนางแล้วมาหยุดอยู่ที่ลำคออ่อนนุ่ม เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “เจ้าทนเห็นสามีของตนทนเจ็บไหวหรือ? ไม่รีบใส่ยาให้ข้าหน่อยหรือ?”


              เว่ยฉางอิ๋งสะบัดออกหลายครั้งแต่ก็ไม่หลุด จากนั้นจึงสูดหายใจลึก พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก็ข้าทนเห็นเจ้าเจ็บไม่ไหว จึงจะไปเรียกถวนเยวี่ยและซินเยวี่ย…อืม เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าถูกประคบประหงมมาแต่เล็ก แต่ไรมาไม่เคยช่วยใส่ยาให้ผู้ใด หากทำหนักมือไป แล้วทำให้บาดเจ็บไปยิ่งกว่าเก่า ก็มิใช่ว่าไม่ดีหรอกรึ?”


                นางคิดในใจว่าคำขู่ที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ หากเจ้ายังฟังไม่ออกอีก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าใจไม้ไส้ระกำเชียว… ข้าจะทำให้เจ้าไม่กล้าให้ข้าใส่ยาให้เจ้าอีกไปตลอดชีวิต!


              เสิ่นจั้งเฟิงมองดูท่าทีขึงขังบนใบหน้าของนาง ทั้งสองมือของนางก็ยังพยายามผลักแขนตนเพื่อให้หลุดออกไป เขาจึงแอบหัวเราะอยู่ในใจและกล่าวว่า “บาดแผลนี้ของข้าล้วนเป็นเจ้าทำ เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ?”


              หากเขาไม่กล่าวเช่นนี้ก็ยังดี แต่เมื่อพูดออกมาแล้วเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกขึ้นมาทันใดว่าคนที่ถูกรังแกควรจะเป็นตนเองจึงจะถูก จึงเอียงหน้าไปแล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “แล้วเจ้าเล่า? แต่แรกนั้นเป็นเจ้าที่…กับข้า…” คำพูดต่อไปนั้น นางพูดออกมาไม่ค่อยได้ ในขณะที่คำพูดจุกอยู่ในลำคออยู่นั้นเอง เสิ่นจั้งเฟิงกลับอาศัยจังหวะนั้นจูบที่ริมฝีปากของนาง แล้วฉวยโอกกาสที่นางตกใจจนริมฝีปากเปิดออกเล็กน้อยบุกเข้าโจมตี ทั้งริมฝีปากและลิ้นพันกันพัลวัน


              เนิ่นนาน ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็แดงดังดอกท้อและอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา มือจับคอเสื้อของเขาเอาไว้ หายใจไม่เป็นจังหวะ นางมองเขาคิดอยากจะเอ่ยบางสิ่ง แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดต้องพูด คิดเพียงอยากจะนั่งลงเท่านั้น


              เสิ่นจั้งเฟิงสัมผัสได้ พลันก้มตัวลงและกดนางลงบนตั่งนั่ง เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ เมื่อเห็นเขาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้จึงพลันหันหน้าหนี แต่กลับถูกเขาเอามือจับสองแก้มเอาไว้…ดีที่เสิ่นจั้งเฟิงมิได้คิดจะจูบนางต่อ หากแต่เอาหน้าผากแตะหน้าผากนาง และจ้องมองนางใกล้ๆ เช่นนี้อยู่เป็นนาน แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ ออกมา


              เว่ยฉางอิ๋งทั้งอายทั้งโกรธพลันผลักเขาออกแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้า…ปล่อยนะ!”


              “ไม่เอา!”


              “เช่นนั้น…” เสิ่นจั้งเฟิงขบคิดพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เข้าไปจูบที่แก้มนางหนหนึ่งอย่างรวดเร็ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “สามีคิดว่า กอดอิ๋งเอ๋อร์เอาไว้เช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว!”


              เว่ยฉางอิ๋งเอียงหน้ามา แล้วกัดลงที่แขนของเขาไม่หนักไม่เบาอย่างโกรธแค้น แล้วเอ่ยข่มขู่ว่า “เจ้าคิดให้ดีนะ!”


เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะร่า มือที่จับแก้มนางเอาไว้พลันเคลื่อนที่ แล้วล้วงเข้าไปในเสื้อของเว่ยฉางอิ๋งต่อหน้าต่อตานางอย่างอุกอาจ พลางกล่าวด้วยสีหน้าขึงขังว่า “สามีคิดมาดีแล้ว!”


“เจ้าช้าก่อน!” เว่ยฉางอิ๋งคว้าหมับที่ข้อมือเขา ทว่ายามนี้ตัวนางกลับยังคงอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง จึงไม่อาจขัดขวางไม่ให้มือของเสิ่นจั้งเฟิงโลมไล้ที่หน้าอกนางไปตามใจ พลันหน้าแดงหูแดงและร้องออกมาว่า “ขะ…ข้ารับปากเจ้า!”


เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “จริงรึ?”


              เว่ยฉางอิ๋งขบฟัน “ใช่!”


              “เช่นนั้นอิ๋งเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าออกก่อน!” เสิ่นจั้งเฟิงจูบนางไปอีกครั้งหนึ่ง พลางกล่าวอย่างสบายอุรา


              เว่ยฉางอิ๋งเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด “เพราะเหตุใด?!”


              เจ้าหมอนี่…จะให้ข้าใส่ยาให้เขา หรือเขาจะใส่ยาให้ข้ากัน??


              ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงก็ถอนหายใจพลางว่า “สามีรู้สึกว่ามีความเป็นได้อย่างมากว่าจะเป็นแผนใช้ไม้อ่อนของอิ๋งเอ๋อร์ คิดจักฉวยโอกาสยามสามีเชื่ออิ๋งเอ๋อร์อย่างเต็มหัวใจ แล้วถอดเสื้อออก อิ๋งเอ๋อร์ก็กลับวิ่งออกไป เช่นนั้นสามีจะไม่เจ็บช้ำน้ำใจหรอกหรือ? ดังนั้นอิ๋งเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าออกก่อน สามีจึงจะวางใจได้อย่างไรเล่า!”


              “…หากเจ้าเชื่อใจข้า แล้วยังจะกล่าวคำเช่นนี้และเรียกร้องเช่นนี้อีกหรือ?!” เว่ยฉางอิ๋งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน!


              เสิ่นจั้งเฟิงจูบนางไปอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “อ่ะ เช่นนั้นอิ๋งเอ๋อร์ช่วยสามีถอดเสื้อผ้าก็ได้”


              “เจ้าฝันไปเถิด!” ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าเขาได้คืบจะเอาศอกจริงๆ พลางจับข้อมือเขาไว้ในมือแล้วออกแรงบิดหลายหน กล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “อย่าหวังแม้แต่เรื่องเดียว!”


              “อิ๋งเอ๋อร์ยังคงกลัวสามีเช่นนี้หรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงขบเม้มเบาๆ ที่ข้างแก้มนางพลางว่าไป


              เว่ยฉางอิ๋งแทบจะเป็นลมล้มพับไป พูดด้วยความโมโหว่า “ข้ามิได้กลัวเจ้าสักหน่อย!”


              “แล้วเหตุใดแม้แต่จะถอดเสื้อผ้าให้สามีก็ยังไม่กล้าเล่า?” เสิ่นจั้งเฟิงยังคงจูบนางขยับลงไปเรื่อยๆ แล้วกัดคอเสื้อของนางพลางดึงให้เปิดออกเบาๆ เว่ยฉางอิ๋งรีบเอื้อมมือไปบังหน้าอกเอาไว้ กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าไม่กล้าที่ใด? ความจริงแล้วเป็นเจ้า… เจ้าจะต้องทำเรื่องส่งเดช! อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ!”


              เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่อิ๋งเอ๋อร์บอกว่าจะตีสามีเชื่อฟังแต่โดยดีหรือ แล้วยังกลัวสามีทำส่งเดช?”


______________________________


[1] ผมทรงตั้วหม่าจี้ คือการเกล้าผมและมวยผมให้ยาวโค้งเอียงๆ อยู่ข้างหนึ่งของศีรษะ


[2] ปลาจิ่นหลี่ คือ ปลาคราฟ


ตอนที่ 9 แผนการของเสิ่นจั้งหนิง

โดย

Xiaobei

              ทั้งสองคนกำลังดึงๆ ทึ้งๆ กันพัลวัน พลันมีเสียงคนเรียกมาจากภายนอก จากนั้นก็ได้ยินนางว่านกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูสี่ เหตุใดจึงพาคุณหนูหลานที่สี่มาเล่าเจ้าคะ?”


              เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง พูดเสียงเบาไปว่า “จั้งหนิงกับซูเหยียน?”


              ปรากฏว่าจากนั้นก็ได้ยินเสียงของเสิ่นจั้งหนิงพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่ชายสามและพี่สะใภ้สามเล่า? ข้าพาซูเหยียนมาเล่นด้วย”


              เมื่อเรื่องดีๆ ถูกน้องสาวรบกวน เสิ่นจั้งเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงว่า “ท่านอาว่านจะไล่พวกนางไปเอง”


              ยังมิทันสิ้นเสียง นางว่านที่อยู่ข้างนอกก็เริ่มไล่คนขึ้นมาจริงๆ “คุณชายสามและฮูหยินน้อยสามเพิ่งจะแต่งงานใหม่ ยามนี้เรือนจินถงแห่งนี้ก็ยังมิได้จัดเก็บเรียบร้อย มีเรื่องที่ต้องวุ่นวายกันอีกมากเจ้าค่ะ คุณหนูสี่มิสู้พาคุณหนูหลานที่สี่ไปเล่นในสวนดีหรือไม่เจ้าคะ?”


              แต่เสิ่นจั้งหนิงกลับไม่ยินยอม กล่าวว่า “ข้าพาซูเหยียนมาพูดคุยกับพี่สะใภ้สาม…พี่สะใภ้สามเล่า?”


              ฮูหยินน้อยสามเสื้อผ้าเปราะเปื้อนน้ำชาและเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่คุณชายสามที่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยดีอยู่แท้ๆ ก็ยังตามเข้าไป… ไม่นานก็ให้สาวใช้ที่ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา จนยามนี้สองสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันก็อยู่ด้วยกันเพียงลำพังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพียงคิดก็รู้ว่าไม่สะดวกให้รบกวน


              แต่คุณหนูสี่ผู้นี้ยังเล็กนักไม่รู้ความ ทั้งนางยังเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ ไม่รู้จักดูสีหน้าคนอื่นแม้แต่น้อย นางว่านกล่าวเตือนนางอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ฮูหยินน้อยกำลังยุ่งเจ้าค่ะ วันนี้ทั้งเข้าคารวะผู้ใหญ่และต้องทำความรู้จักกับบ่าวไพร่ จนยามนี้จึงเพิ่งมีเวลาได้พัก หากคุณหนูสี่จะมาคุยกับฮูหยินน้อย อีกสองวันค่อยมาเถิดเจ้าค่ะ!”


              “ก็ข้ามาแล้วนี่” เสิ่นจั้งหนิ่งยังคงมีลูกไม้ “อีกอย่างท่านอาว่านรู้ได้อย่างไรว่าพี่สะใภ้สามไม่อยากพบข้า? เข้าจะไปรายงานพี่สะใภ้สาม!”


              ภายในห้อง เสิ่นจั้งเฟิงกุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “จั้งหนิงถูกตามใจจนเสียคนแล้วจริงๆ เอาแต่ก่อเรื่อง!” เขาเพิ่งจะแต่งงานวันที่สอง คนทั้งบ้านต่างรู้กันในทีว่าจะไม่มารบกวน แต่น้องสาวที่มีนิสัยเอาแต่ใจมาแต่เล็กผู้นี้กลับมาหาโดยไม่สนใจเรื่องใด ได้ยินเสียงว่านางว่านก็ยังแทบจะกันนางไว้ไม่ได้แล้ว


              เสิ่นจั้งเฟิงอดจะคับแค้นใจไม่ได้


              เว่ยฉางอิ๋งกลับหัวเราะออกมา พลางผลักเขาอย่างได้ใจว่า “เจ้ายังไม่รีบปล่อยข้าอีก?”


              “มีหรือจะง่ายปานนั้น?” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินกลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วว่า “ดีชั่วท่านอาทั้งสามก็อยู่ข้างนอก ทั้งยังมีสาวใช้อีก จั้งหนิงจะยังบุกเขามาได้หรือ?” เขาเอื้อมมือไปหยิกแก้มของภรรยา “นอกจากเจ้าจูบข้าสักสองสามหน หาไม่แล้วต่อให้จั้งหนิงโวยวายอยู่ข้างนอกอย่างไร เจ้าก็อย่าหวังได้ออกไปทักทายนางเชียว!”


              “…เจ้าไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะเอาหรือไร!” เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาและกัดฟันอยู่พักหนึ่ง พลางกล่าวอย่างมีน้ำโห


              เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ไม่กลัว ดีชั่วอย่างไรก็เป็นเราสองคนถูกหัวเราะเยาะด้วยกัน! มีอิ๋งเอ๋อร์อยู่ด้วยกับสามี สามีต้องกังวลสิ่งใด?”


              “…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบ


              คราวนี้ข้างนอกคล้ายว่านางว่านจะพูดบางสิ่งที่ทำให้เสิ่นจั้งหนิงไม่พอใจขึ้นมา “ไม่สน ไม่สน ไม่สน! ข้าจะพบพี่สะใภ้สาม! เมื่อวานพี่สะใภ้สามยังบอกว่ากลัวจะเชิญข้ามาไม่ได้เลย! ยามนี้ข้ามาแล้ว พี่สะใภ้สามกลับไม่ออกมา นี่มันเป็นเหตุผลใดกัน? หรือว่าจะเป็นดังพี่สะใภ้รองพูดเช่นนั้น ว่าความจริงแล้วพี่สะใภ้สามไม่ชอบข้า?! คำพูดเมื่อวานเพียงจงใจหลอกข้าเท่านั้น?”


              เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งยังแง่งอนกับเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ เมื่อได้ยินคำสีหน้าก็พลันเปลี่ยน เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วถามว่า “พี่สะใภ้รองเคยพูดเช่นนี้รึ?”


              “เมื่อคืนหลังเจ้าออกไป พี่สะใภ้รองพูดล้อเล่นสองสามประโยค ไม่คิดว่าจั้งหนิงกลับจดจำเอาไว้เสียแล้ว”


              เว่ยฉางอิ๋งจัดเครื่องประดับทองบนม้วยผม กล่าวพลางมองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงว่า “เจ้าคงจักรู้ว่าข้าไปล่วงเกินพี่สะใภ้รองที่ใด?”


              เสิ่นจั้งเฟิงไต่ตรองสักพักแล้วว่า “เจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา แล้วจักไปล่วงเกินพี่สะใภ้รองเรื่องใดได้? ข้าคิดว่าบางทีอาจมีคนจงใจยุยง…ไป พวกเราออกไปถามจั้งหนิงดู”


              เมื่อเห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ออกมา เสิ่นจ้งหนิงที่เดิมทียังเอะอะอยู่ข้างนอกก็พลันกระทืบเท้า ทิ้งพวกของนางว่านเอาไว้ แล้วปรี่เข้ามาโอดครวญว่า “พี่ชายสาม พี่สะใภ้สาม นี่พวกท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้ามาตั้งนานแล้ว ท่านอาว่านก็ไม่ยอมให้ข้าเข้าไป!”


              “เสิ่นจั้งเฟิงมองนางพลางขมวดคิ้ว กล่าวว่า “พวกเรากำลังปรึกษากันว่าจะจัดเรือนนี้เช่นใด…ยามนี้เจ้ามาที่นี่ทำสิ่งใด?” แล้วมองไปยังเสิ่นซูเหยียนที่ถูกแม้นมกอดอยู่ในอก พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นว่า “ซูเหยียน เหตุใดเจ้าจึงถูกท่านอาหญิงสี่หลอกมาเสียแล้ว?”


              เสิ่นซูเหยียนยังไม่ทันพูดสิ่งใด เสิ่นจั้งหนิงก็กล่าวอย่างน้อยใจไปว่า “พวกเรามาดูพี่สะใภ้สาม แล้วข้าก็นัดกับพี่สะใภ้สามเอาไว้แล้วด้วย!”


              เว่ยฉางอิ๋งอยากจะกุมขมับ คิดในใจว่าเพียงคำพูดตามมารยาทประโยคหนึ่งเมื่อคืนนี้ ข้าไปนัดเจ้าให้มาหายามใด? เสิ่นจั้งเฟิงเข้าใจนิสัยเจ้าอารมณ์ของน้องสาวผู้นี้ยิ่ง จึงทอดถอนใจพลางว่า “เจ้าอย่าหาข้ออ้างส่งเดชเชียว! เข้าไปนั่งข้างในก่อน”


              เมื่อนั่งลงแล้ว เสิ่นจั้งหนิงมองค้อนใส่เสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง เสิ่นซูเหยียนก็วิ่งเข้าไปหาเว่ยฉางอิ๋ง สาวน้อยนางนี้น่ารักนัก แม้มารดาของนางคล้ายจะไม่ชอบใจเว่ยฉางอิ๋งเท่าใด แต่เมื่อถูกดวงตากลมโตดังลูกองุ่นดำจ้องเอาจ้องเอา เว่ยฉางอิ๋งก็อดจะเอื้อมมือไปอุ้มนางไม่ได้ “ซูเหยียนทานของว่างสักหน่อยหรือไม่?”


              เสิ่นซูเยียนรับขนมถั่วแขกกวนไว้ในมือหนึ่งชิ้น แล้วกัดคำเล็กๆ ไปตามมารยาทคำหนึ่ง ว่าแล้วก็มองนางแล้วหันหน้าไปมองเสิ่นจั้งหนิงด้วยท่าทีไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรเช่นนั้น


              เสิ่นจั้งหนิงคอยส่งสายตาให้นาง เสิ่นจั้งเฟิงกลับพูดออกมาว่า “เจ้าพาซูเหยียนมาหาพี่สะใภ้สามของเจ้าด้วยเรื่องใดกันแน่?”


              “ซูเหยียนได้ยินว่าในบ้านของพี่สะใภ้สามมีหนังสือล้ำค่าอยู่นับไม่ถ้วน จึงคิดจะมาขอยืมพี่สะใภ้สามไปดูสักสองเล่มเจ้าค่ะ” เสิ่นจั้งหนิงเห็นเสิ่นซูเหยียนอ้ำอึ้ง ตนจึงพูดออกไปเองเสียเลย


              เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว แม้นางจะไม่นับว่าเป็นคนขี้โมโห แต่เพิ่งจะเข้าบ้านมาได้วันที่สอง น้องสามีตัวน้อยและหลานสาวของสามีก็ร่วมมือกับเข้ามาขอสินติดตัวนางถึงที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ต้องรู้สึกโกรธขึ้นมา โชคดีที่เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยปากตำหนิเสิ่นจั้งหนิงไปเสียก่อน “นั่นเป็นตระกูลเว่ยมีหนังสือเลื่องชื่อล้ำค่ามากมาย แล้วเกี่ยวกับพี่สะใภ้สามของเจ้าเรื่องใด? ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ในสินติดตัวของพี่สะใภ้สามของพวกเจ้ามีของเหล่านั้น ก็นับว่าเป็นของของพี่สะใภ้สามของพวกเจ้า มีหรือจะยอมให้เจ้าบอกว่าจะยืมก็ยืมได้?”


              เสิ่นจั้งหนิงทำปากจู๋ “ดูเอาเถิด พี่ชายสามท่านดุถึงเพียงนี้! ข้าถามพี่สะใภ้สามต่างหาก!”


              เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยอารมณ์ราบเรียบว่า “กลับบังเอิญเสียจริง ข้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา ของกระจัดกระจายไปหมด ยังมิทันได้รื้อค้นออกมา เกรงว่าคงจะหาไม่พบในเวลาอันสั้น”


              เสิ่นจั้งหนิงได้ยินก็ผิดหวังอย่างยิ่ง กล่าวว่า “แล้วเมื่อใดจะจัดเสร็จเล่าเจ้าคะ?”


              ไม่ยอมเลิกรากันจริงๆ !


              เว่ยฉางอิ๋งถูกเอาใจมาแต่เล็ก เรื่องที่นางไม่ยินยอม แต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้ารบเร้านาง ทว่าหากเป็นพี่สาวน้องสาวของตน นางก็จะเอ่ยปากตำหนิไปเสียนานแล้ว แต่น้องสามีตัวน้อยผู้นี้กลับไม่อาจทำการตื้นเขินเช่นนั้นได้ “ก็คงต้องรอให้จัดเก็บเรือนเสร็จแล้ว… ก็ยังไม่แน่”


              “เช่นนั้นเมื่อพี่สะใภ้สามจัดเก็บเรียบร้อยแล้วก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ?” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างมัดมือชก


              เว่ยฉางอิ๋งมองเสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดสักพัก จึงว่า “ซูเหยียนมีร่างกายค่อนข้างอ่อนแอมาโดยตลอด หากออกมานานเกินไปก็เกรงว่าพี่สะใภ้รองจะไม่วางใจ ท่านอาว่านท่านไปส่งนางกลับบ้านสองเสียก่อนเถิด”


              เสิ่นจั้งหนิงเอ่ยว่า “ซูเหยียน นาง…”


              พูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงถลึงตาใส่ แม้เสิ่นจั้งหนิงจะเอาแต่ใจ แต่อย่างไรก็ยังเคารพและเกรงกลัวพี่ชาย จึงได้แต่ทำปากจู่และเงียบเสียงไป


              กลายเป็นเสิ่นซูเหยียนเองที่ร้อนรนขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยเสียงเด็กน้อยๆ ว่า “ท่านอาสะใภ้สาม ข้ายังไม่อยากกลับ”


              “อย่าดื้อ” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางเอาบ๊วยส้มใส่มือนาง “วันนี้ลมแรง เจ้ากลับไปสวมเสื้ออีกชั้น รอสักพักอาสามจะไปรับเจ้ามาเล่นกับอาสะใภ้สาม”


              แม่นมของเสิ่นซูเหยียนไม่กล้าโต้แย้งเขา ซึ่งความจริงแล้วตอนนี้เป็นช่วงเดือนสี่ที่มีอากาศสบายที่สุด อากาศมีแต่จะร้อนขึ้นและต้องเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของฤดูร้อน มิได้มีเหตุผลใดต้องไปสวมเสื้อผ้าอีกชั้น นางจึงรู้อยู่ในทีและทั้งปะเหลาะทั้งหลอกล่อให้เสิ่นซูเหยียนไป


              รอจนหลานสาวและบ่าวของบ้านสองไปแล้ว นางหวงก็แอบดึงเว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง นางจึงรู้สึกตัวและยืนขึ้น กล่าวว่า “ข้ารู้สึกเหนื่อย จะเข้าไปนอนสักพัก จั้งหนิงเจ้าจะได้คุยกับพี่ชายสามของเจ้า” ไม่รอให้พี่น้องตระกูลเสิ่นรับคำ นางก็หันหลังเข้าไปภายในห้อง


              พวกของนางหวง และนางเฮ่อจึงพากันถอยออกไปด้วย


              เมื่อเห็นว่าคนไปกันหมดแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงมองมาที่น้องสาว “เจ้าจ้องจะเอาสินติดตัวพี่สะใภ้สามทำสิ่งใดกัน?”


              เสิ่นจั้งหนิงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กล่าวว่า “ไม่ใช่สักหน่อย! ซูเหยียนชอบของเหล่านี้ ข้าจึงมากับนาง ลองถามดูเท่านั้น”


              “คำพูดเช่นนี้เจ้าเอาไว้หลอกท่านแม่เถิด” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มออกมาพลางว่า “เจ้านึกว่าเจ้าไม่พูดแล้วข้าจะไม่มีหนทางรึ? ให้ข้าคิดดู…” เขาหรี่ตา “นับแต่ปีก่อน เจ้าก็เล่นกับคุณหนูตระกูลหลิวสองสามคนนั้นเข้าขากันไม่เลวเลย?”


              เสิ่นจั้งหนิงกระทืบเท้าขึ้นมาทันใด “พี่ชายสาม ท่านคิดว่าไปถึงที่ใดแล้ว? เข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงของนางอดจะสูงขึ้นมาไม่ได้ “ปีก่อนตอนพี่สะใภ้สามยังไม่เข้าบ้าน เพื่อส่งเสริมหลิวซีสวิน บ้านตระกูลหลิวจงใจให้ร้ายพี่สะใภ้สาม หวังให้พี่ชายสามต้องว้าวุ่นใจ และไม่อาจทำงานต่อหน้าพระพักตร์ได้ต่อไป… ตลอดเวลามานี้ข้าก็เอาแต่คิดหาวิธีแก้แค้นให้ท่าน แต่ท่านกลับคิดว่าจะไปช่วยตระกูลหลิวรึ?!”


              เว่ยฉางอิ๋งที่อ้างว่าจะไปนอนสักพัก ความจริงแล้วกลับกำลังถือถ้วยน้ำชาเอาหูแนบประตูแอบฟังอยู่พลางขบริมฝีปาก น้องสามีตัวน้อยผู้นี้…ดูไปแล้วคล้ายมิได้เอาแต่ใจ เจ้าเล่ห์เพทุบาย และไม่รู้ความถึงเพียงนั้นกระมัง?


              “เรื่องของตระกูลหลิวมีพวกเราจัดการอยู่แล้ว เจ้าจักมายุ่งย่ามสิ่งใด?” เสิ่นจั้งเฟิงกลับมิได้สั่นคลอนด้วยเหตุนี้ แล้วกล่าวว่า “อีกประการเจ้าคิดจะแก้แค้นตระกูลหลิว แล้วพี่สะใภ้สามของเจ้าเพิ่งจะเข้าบ้าน เจ้าก็มาขอสินติดตัวนางทำสิ่งใด นี่เพราะพี่สะใภ้สามของเจ้าใจดีหรอกนะ! หากเป็นพี่สะใภ้ที่เถรตรงสักหน่อย ไม่เอาเรื่องไปฟ้องท่านแม่ก็แปลกแล้ว! สินติดตัวของพี่สะใภ้สามของเจ้าแม้แต่ข้าและท่านพ่อท่านแม่ก็ล้วนไม่เอ่ยปากถามแม้สักคำ แต่เจ้ากลับ…”


              เสิ่นจั้งหนิงเห็นว่าตนเองเกือบจะถูกมองว่าวางแผนช่วงชิงสินติดตัวของพี่สะใภ้ทั้งยังถูกมองว่าไปอยู่ข้างศัตรู จึงรีบร้อนกล่าวว่า “มิได้เป็นเช่นนั้น พี่ชายสามท่านฟังข้าพูดนะ! ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อออกหน้าแทนท่านและพี่สะใภ้สาม!”


              “หือ?”


              “ก็เพราะสินติดตัวของพี่สะใภ้สามนั้น นอกจากพี่สะใภ้สามแล้ว แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราก็ล้วนไม่ควรไปไถ่ถามถึง ดังนั้นพี่ชายสามท่านลองคิดดูเถิด หากของล้ำค่าในสินติดตัวนี้ตกไปอยู่ในมือของคนบ้านหลิว เช่นนั้นบ้านหลิว…เฮอะๆ จะบอกกับพวกเราว่าอย่างไร?”


              เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามไปด้วยหน้าตาเรียบเฉยว่า “คนเจ้าเล่ห์เช่นเจ้า จักมาเล่นวางแผนยัดเยียดของโจรสิ่งใดกัน?”


              “ฟังข้าพูดให้จบ!” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านยังมิทันฟังจบเลย แล้วจักรู้ได้อย่างไรว่าความคิดนี้ของข้าไม่ดี? อ่ะ… ข้าและซูเหยียนยืมหนังสือล้ำค่าโบราณซึ่งเป็นสินติดตัวของพี่สะใภ้สามมาจากพี่สะใภ้สาม จากนั้น หนังสือโบราณนี้ก็กลับไปอยู่ที่บ้านหลิวโดยไม่รู้สาเหตุ”


              เสิ่นจั้งเฟิงรอสักพักจึงถามว่า “แล้วจากนั้น?”


              “ไม่มีแล้ว เพียงเท่านี้” เสิ่นจั้งหนิงตอบไปอย่างหน้าระรื่น “เมื่อความจริงถูกเปิดเผย พวกเราก็สามารถไปทวงถามความยุติธรรมที่ตระกูลหลิวได้แล้ว!”


              เสิ่นจั้งเฟิงพ่นลมหายใจออกมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าถามเจ้า แล้วหนังสือโบราณจู่ๆ จะไปอยู่ที่ตระกูลหลิวอย่างไม่มีสาเหตุได้อย่างไร?”


              “น้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้ใหญ่ก็มิใช่ว่ามาอยู่ที่บ้านเราสักพักหรอกหรือเจ้าคะ? รอจนนางกลับไป พวกเราก็แอบเอาของไปยัดใส่ไว้ในของของนาง ก็มิใช่เรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ?”


              “เช่นนั้นยามนางกลับไปจะไม่พบเห็นหรือ?”


              “ดังนั้นพวกเราก็ต้องตามนางไป รอจนนางเข้าไปในบ้านหลิว พวกเราก็กลุ้มรุมเข้าใส่! แล้วชี้ชัดไปว่าเขาขโมยของ!”


              เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจแล้วว่า “แล้วพี่สะใภ้ใหญ่เล่า?”


              “พี่สะใภ้ใหญ่เข้าบ้านเราแล้ว เช่นนั้นย่อมเป็นคนของบ้านเรา อีกประการหนึ่งคุณหนูตระกูลหลิวที่มาพักในจวนของเราก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ ก็เป็นเพียงน้องสาวร่วมตระกูลผู้หนึ่งเท่านั้น หากพี่สะใภ้ใหญ่ยังรู้สึกไม่พอใจ อย่างมากข้าก็แค่ไปขอรับผิด อย่างไรเสียมีพี่ชายใหญ่อยู่ พี่สะใภ้ใหญ่จะตีข้าให้ตายได้อย่างไร?” เสิ่นจั้งหนิงเผยท่าทีออกมาว่าตนเป็นที่รักใคร่ยิ่งและยืนยันแน่ชัดว่าจะต่อต้านตระกูลหลิว


              แล้วยังกล่าวอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายสามต้องรู้ว่าเหตุใดต้องใช้สินติดตัวของพี่สะใภ้สามมาเป็นเหยื่อล้อ?”


              ไม่รอให้เสิ่นจั้งเฟิงตอบ นางก็อธิบายอย่างได้อกได้ใจว่า “นี่ก็ด้วยพี่สะใภ้สามเพิ่งจะเข้าบ้าน แล้วเหนือนางก็มีพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองอยู่ หากไม่ใช่ว่าของของพี่สะใภ้สามถูกขโมย แล้วพี่สะใภ้สามจะมีวิธีใดไปเรียกร้องความยุติธรรมที่บ้านหลิวเล่า? ข้าได้ยินมาว่า บนถนนหลวงครานั้น ต่อหน้าคนร้ายทั้งหลาย เมื่อพี่สะใภ้สามชักกระบี่ออกก็เป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่วฟ้าดิน! ไล่ล่าสังหารจนพวกโจรนับร้อยต้องหนีเตลิด! ยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารหัวหน้าคนร้ายอีกด้วย! มีพี่สะใภ้สามอยู่ หนนี้พวกตระกูลหลิวถึงคราวซวยแน่แท้แล้ว! ใครใช้ให้พวกเขาวางแผนทำร้ายพี่ชายสาม!”


              เสิ่นจั้งเฟิงลูบคาง พึมพำว่า “แล้วที่เจ้าคอยดึงซูเหยียนเข้ามาเอี่ยวด้วยอยู่ตลอดเวลา ก็เพื่อ?”


              “แน่นอนว่าต้องลากพี่สะใภ้รองมาลงน้ำด้วย!” เสิ่นจั้งหนิงหน้าบานเป็นกระด้ง กล่าวว่า “น้ำยิ่งขุ่นจะได้จับปลาง่ายๆ…ไม่ๆๆ ไม่ได้พูดแบบนี้ กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก! แผนการของข้าก็คือหากท่านแม่รู้เรื่องเข้า ก็จะต้องตีข้าอย่างแน่นอน! แต่พี่สามท่านดูเอาเถิด! เมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่พี่สะใภ้ใหญ่จนถึงพี่สะใภ้รองและพี่สะใภ้สาม ทั้งยังมีซูเหยียน ทุกคนล้วนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจนหมด! หรือท่านแม่จะตีไปเสียทุกคน? หากไม่ตีทุกคน แล้วจะถือสิทธิ์ใดมาตีเพียงข้าผู้เดียวเล่า? พี่ชายสามท่านว่าความคิดที่ข้าจะออกหน้าจัดการให้ท่านนี้ดีหรือไม่?”


              ยังมิทันสิ้นเสียงนาง พลันได้ยินเสียงเพล้งมาจากข้างในห้องหนหนึ่ง คล้ายมีบางสิ่งตกลงพื้น…


              “ไม่ต้องดูหรอก คงเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าลุกขึ้นมารินชา แล้วคงไม่ทันระวังชนถ้วยชาตก” เสิ่งจั้งเฟิงถอนหายใจ จากนั้นก็ตบโต๊ะไปหนหนึ่ง ขึ้นเสียงว่า “ยามนี้ให้เจ้ากลับไปเรือนของเจ้าเสียดีๆ แล้วไปคัด ‘ตำราความลับทั้งหก[1]’ ให้ข้าสิบรอบ!”


              เสิ่นจั้งหนิงที่เดิมทีกำลังได้อกได้ใจพลันเบิกตากว้าง แล้วถามอย่างน้อยใจว่า “เพราะเหตุใด?!”


              “ไม่คัด?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเยาะ “ถวนเยวี่ยเข้ามา เอาความคิดส่งเดชเหล่านี้ของคุณหนูสี่ไปบอกแก่ฮูหยินให้หมด!”


              เมื่อเห็นเสิ่นจั้งหนิงมีน้ำตาคลอตา รู้สึกน้อยใจนักหนา เขาจึงแค่นเสียงออกมา แล้วว่า “แผนการทั้งหมดเหลวไหลน่าขัน มีช่องโหว่นับร้อย นี่เป็นแผนการยัดเยียดของโจรที่ชัดเจนเสียจนทำให้คนยากจะหลงเชื่อ เจ้ายังมาได้อกได้ใจไปเอง…แล้ววันหน้าจะไปต่อสู้กับผู้ใดได้? ทำให้บ้านเราขายหน้าเป็นที่สุด! บอกให้เจ้าตั้งใจอ่านหนังสือเจ้าก็ไม่ฟัง…รีบไปคัด!”


________________________________


[1] ตำราความลับทั้งหก มีชื่อเรียกว่า ‘ลิ่วเทา’ หรือ ‘ไท่กงลิ่วเทา’ เป็นตำราที่ว่าด้วยศาสตร์พิชัยสงครามทั้งหก


ตอนที่ 10 ถามถึงแผนการ

โดย

Xiaobei

              เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งหนิงไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเปิดประตูห้อง ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า “ที่แท้จั้งหนิงมีความคิดเช่นนี้?”


              “นางถูกท่านพ่อตามใจจนเสียคนแล้ว วันๆ กลัวแต่จะไม่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย จึงได้คิดเรื่องส่งเดชเช่นนี้” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วยิ้มอีก กล่าวว่า “ไม่ได้บาดมือใช่หรือไม่?”


              เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่ได้บาดมือ”


              เสิ่นจั้งเฟิงดึงมือนางมาลูบอย่างโล่งใจ พยักหน้าพลางว่า “อื่ม ไม่ได้บาดมือ”


              “…” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่ายังไม่มีบ่าวเข้ามา จึงได้โน้มตัวลงไปถามที่ข้างหูเขาว่า “ไยเจ้าไม่ลองถามจั้งหนิงเรื่องของพี่สะใภ้รอง?”


              “ให้เจ้าจูบสามี เจ้ากลับไม่ยอมฟัง สามีปวดใจนัก จึงลืมถามไป” เสิ่นจั้งเฟิงดึงมือมาจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากหนหนึ่ง กล่าวไปอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


              เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ออกแรงหยิกที่แก้มเขาหนหนึ่ง พลางกล่าวอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเช่นกันว่า “ใช่หรือ? เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ลืมว่า ข้านั้นเป็นผู้ที่ ‘ชักกระบี่ออกก็เป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่วฟ้าดิน! ไล่ล่าสังหารจนพวกโจรนับร้อยต้องหนีเตลิด! ยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารหัวหน้าคนร้ายอีกด้วย!’ เจ้ายังไม่กล้าบอกสาเหตุกับข้า วันหน้าหากข้าเกิดมีเรื่องกับพี่สะใภ้รองขึ้นมา ดูซิว่าเจ้าจะบอกกับพี่ชายรองอย่างไร?”


              เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “เจ้านึกว่านี่เกินจริงแล้วรึ? ตามถนนหนทางยังมีคนพูดเกินจริงเสียยิ่งกว่านี้อีก”


              เมื่อหยอกล้อไปประโยคหนึ่ง เขาก็ไต่ตรองดูสักพัก จึงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้ากลับไปสอบถามเอากับท่านอาว่านเถิด เรื่องในเรือนหลังนั้นข้าเองก็ไม่ใคร่กระจ่างนัก บางทีท่านอาว่านอาจจะได้ยินสิ่งใดมาบ้าง”


              “ได้” เว่ยฉางอิ๋งอยากจะถามบางสิ่ง แต่มองเขาแล้ว นางก็กลับกลืนกลับไป จึงเพียงกล่าวว่า “เจ้าไม่มีความเห็นเลี้ยงปลาหลีฮื้อหรือปลาทอง เช่นนั้นยามนี้เจ้าอาจจะมีแผนการในการจัดเรือนหลังนี้?”


              เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “ข้ามีที่ปรึกษาและสหายสนิทอยู่สองสามคน ยามนี้พักอยู่ที่เรือนด้านหน้า ซึ่งทุกคนล้วนมีที่พำนักของตนในเมืองหลวง วันหน้าหากมีเรื่องต้องหารือกับพวกเขา ก็จะต้องใช้ห้องโถงใหญ่หรือห้องหนังสือที่อยู่ในเรือนชั้นที่หนึ่งข้างหน้านั่นอย่างขาดเสียไม่ได้ ห้องทางด้านหน้าที่ยังว่างอยู่ ก็สามารถจัดสักห้องสองห้องไว้เป็นห้องพักแขก หากว่าหารือกันดึกดื่นเกินไป จนล่วงเลยเวลาออกนอกบ้านเรือนก็จะได้เอาไว้ให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่เรือนด้านหน้าพักค้างคืน” แล้วบอกอีกว่า “และเลือกคนเอาไว้คอยดูแลด้วย”


              เว่ยฉางอิ๋งจำเอาไว้ คิดสักพักจึงว่า “จะใช้สาวใช้หรือเด็กรับใช้ผู้ชาย? เด็กรับใช้ชายไม่อาจอยู่ในเรือนหลังได้ เกรงว่ายามจะรับใช้ขึ้นมาก็จะไม่ใคร่สะดวก แต่ข้าก็เห็นว่าสาวใช้ของเจ้าที่นี่มีไม่มากเอาเสียเลย เพราะสาเหตุใดหรือ?”


               “ข้าไม่ต้องมีคนมาปรนนิบัติใกล้ชิดมากมาย ก่อนนี้มีสาวใช้สองสามคนที่พอจะมีหน้าตาสะสวย ก็ถูกคนหมายปองจึงได้ส่งออกไปหมดแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ แล้วว่า “เจ้าเลือกสาวใช้ที่มือไม้คล่องแคล่ว และซื่อตรงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้งดงามนัก จักได้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง”


              เว่ยฉางอิ๋งถามไปอีกว่า “แล้วเรือนชั้นนี้ที่เราอยู่เล่า?”


              “ข้ามิได้มีเรื่องใดต้องใช้ เจ้าจัดการเถิด” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว


              เว่ยฉางอิ๋งขบคิดสักพัก รู้สึกว่ามิได้มีเรื่องใดต้องสอบถามเขาแล้ว จึงเรียกพวกของนางหวงเข้ามาปรนนิบัติ


              พวกบ่าวเพิ่งจะเข้ามา นางว่านที่ไปส่งเสิ่นซูเยียนก็กลับมาแล้ว ในแขนยังคล้องตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย “วันนี้ฮูหยินน้อยรองให้คนออกไปซื้อผลอิงเถา[1]มา และให้ข้าน้อยนำมาให้คุณชายและฮูหยินน้อยลองชิมดูจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ”


              เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้สึกว่าพี่สะใภ้รองผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก หากจะบอกว่านางประสงค์ดี แต่ตนเพิ่งจะเข้าบ้านมาก็ถูกนางยุแยงให้แตกคอกับเสิ่นจั้งหนิงเสียแล้ว แต่หากจะบอกนางประสงค์ร้าย ยามนี้กลับให้นางว่านนำผลอิงเถากลับมาให้ ไม่รู้จริงๆ ว่านางตวนมู่ผู้นี้คิดการอย่างไรกันแน่?


              เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิงไม่พูด นางว่านจึงยังรอคำสั่งของตนอยู่ เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้รองเป็นอย่างยิ่ง…ต้องรบกวนท่านอาไปอีกรอบ นำของกำนัลขอบคุณของข้าไปส่งให้ที”


              นางว่านยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินน้อยรองบอกว่า ยามนี้เรือนของเราจักต้องมีเรื่องยุ่งอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นผลอิงเถาตะกร้าหนึ่งก็นับไม่ได้ว่าเป็นสิ่งใด บอกให้ฮูหยินน้อยมิต้องเอามาใส่ใจ คราหน้าฮูหยินน้อยสั่งคนออกไปซื้ออาหาร ก็ให้นำมามาเผื่อบ้านสองสักชุดเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”


              ในเมื่อนางตวนมู่ก็พูดเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็คร้านจะไปเปิดหีบเลือกของกำนัลขอบคุณ จึงให้นางหวงรับผลอิงเถามาล้างและแบ่งให้ทุกคนคนละส่วน


              ผลอิงเถายังไม่ทันยกเข้ามา เสิ่นจั้งเฟิงมองดูเวลาจึงเสนอความคิดว่า “เรือนหลังนี้พวกเราเองก็ยังดูไม่หมด มิสู้ใช้โอกาสนี้ไปเดินดูสักรอบ กลับมาก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี”


              “ตกลง” ความคิดนี้พอดีกับที่เว่ยฉางอิ๋งคิดเอาไว้ สองคนให้นางเฮ่อพาพวกสาวใช้คอยเฝ้าอยู่ในห้อง แล้วให้นางว่านและสาวใช้ตัวน้อยสองนางติดตามไป เริ่มเดินดูจากชั้นที่พวกเขาอยู่นี่ก่อน


              ภายในห้องและโถงกลางก็ไม่ต้องดูแล้ว ห้องหนังสือเล็กที่นางว่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้อยู่ทางทิศตะวันออก ด้านหลังอาคารปลูกต้นไผ่สูงใหญ่ ส่วนทางด้านหน้าเป็นระเบียงทางเดิน นอกระเบียงทางเดินปลูกต้นกลัวน้ำว้าเอาไว้สองสามต้น เมื่ออยู่กับราวระเบียงที่ทาสีแดง ที่แดงก็แดงนัก ที่เขียวก็สดนัก สีตัดกันเด่นชัดงดงามยิ่ง


              แม้จะบอกว่าเป็นห้องหนังสือเล็ก แต่พื้นที่ภายในก็ไม่นับว่าเล็กเกินไป ทว่าหนังสือก็มีไม่มากจริงดังว่า มีชั้นวางหนังสือวางอยู่เพียงไม่กี่ชั้น เว่ยฉางอิ๋งกวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นว่าครึ่งหนึ่งเป็นตำรายุทธศาสตร์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นหนังสือบทกวีและประวัติศาสตร์ มีโต๊ะเก้าอี้จัดวางเอาไว้ครบครับ และมีสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ของห้องหนังสือ อันได้แก่ พู่กัน กระดาษ หมึก และที่ฝนหมึกจัดวางเอาไว้ ทว่าว่ามีเพียงของประดับที่เป็นเครื่องหยกต่างๆ ที่มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เห็นชัดว่าผนังทั้งสี่ทิศดูว่างเปล่าไปสักหน่อย ตามที่นางว่านบอก ตอนที่นางกำลังจัดเรือนนั้นเสิ่นจั้งเฟิงก็ลงใต้มาแล้ว คงเพราะไม่แน่ใจว่าจะจัดวางสิ่งใดบ้าง จึงยังมีที่ว่างอยู่


              เว่ยฉางอิ๋งรู้อยู่ในใจ ห้องหนังสือนี้อยู่ที่เรือนชั้นที่สอง ทั้งยังจัดวางหนังสือกวีไว้ครึ่งหนึ่ง เห็นชัดว่าเอาไว้ให้ตนหรือให้ตนใช้ร่วมกับเสิ่นจั้งเฟิง ก็ย่อมต้องเอาไว้ให้ตนเป็นคนจัดและตกแต่ง จึงบอกให้ฉินเกอจดเอาไว้ “กลับไปให้ท่านอาหวงและท่านอาเฮ่อเลือกของมาสักหน่อยแล้วมาจัดวางไว้ให้ทั่วทั้งสี่ทิศ”


              ห้องที่เหลือในเรือนชั้นนี้ยามนี้ล้วนว่างอยู่ ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็คิดไม่ออกว่าจะนำมาใช้สอยเรื่องใด จึงให้คนเอาปิดไว้ดังเดิมเสียก่อน


              เมื่อเดินลอดประตูวงพระจันทร์ที่อยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ ก็มาถึงภายในลานของเรือนชั้นที่หนึ่ง และมองเห็นว่าที่ใต้ต้นอู๋ถงอายุร้อยปีนี้มีเด็กหนุ่มเสื้อครามผู้หนึ่งกำลังฝึกเพลงหมัดอยู่อย่างเป็นแบบเป็นแผน


              เมื่อเหลือบมาเห็นเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งจึงรีบหยุด แล้วยืนตรงขึ้นมาคราวะ


              เว่ยฉางอิ๋งจำได้ว่าเขาคือเสิ่นจวี้เป็นคนรับใช้ที่รับหน้าที่พรมน้ำและกวาดพื้น เป็นลูกหลานตระกูลเสิ่นเช่นเดียวกับเสิ่นเตี๋ยที่ติดตามเสิ่นจั้งเฟิง และดูคล้ายว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องอีกด้วย


              เสิ่นจั้งเฟิงโบกมือบอกให้เขาถอยไป เสิ่นจวี้จึงถอยออกไปตามคำสั่ง แต่กลับไม่กล้าฝึกเพลงมวยต่อ แต่กลับเอามือลงและยืนรอรับคำสั่งอยู่ไกลๆ


              เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามเสียงเบาๆ ว่า “บ่าวที่นี่ล้วนฝึกวรยุทธ์หรือ?”


              “ก็มิใช่” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว กล่าวว่า “ผู้ฝึกวรยุทธ์จะต้องได้กินเนื้อสัตว์มานานปี ทั้งยังต้องอาบน้ำยาจึงจะสามารถป้องกันและระงับอาการช้ำในสะสมได้ หากบ่าวทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ก็จะต้องใช้เงินทองเลี้ยงดูมากมายไม่หวาดไม่ไหว จึงมีเพียงบุตรชายในตระกูลที่มีพรสวรรค์จึงจะได้รับการสอนสั่งและบ่มเพาะเพิ่มเติม ภายในเรือนของเรานี้ก็จะมีเสิ่นเตี๋ยและเสิ่นจวี้ผู้นี้”


              เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ ‘ยังดี ยังดี เมื่อว่ามาดังนี้ วันหน้าหากปิดประตูลงมือ ตนเองมีพวกของฉินเกอสี่คนคอยช่วย ส่วนเสิ่นจั้งเฟิงมีเพียงสองคน….’


              เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้ว่านางกำลังคิดไปถึงเรื่องอื่น จึงได้เอ่ยถึงเรื่องการจัดการภายในเรือนชั้นที่หนึ่งขึ้นมา ห้องโถงกลางของเรือนจินถงนั้นอยู่ตรงข้ามลานประลองยุทธ์พอดี นางว่านได้จัดวางทุกสิ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ข้างหลังที่นั่งหลักเป็นฉากกันลมทำจากกระจกบานหนึ่ง มีภาพนักรบถือทวนทองและม้าศึกที่ยืนตระหง่านอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำที่มีน้ำอยู่เต็ม และมีตั่งนั่งทำจากไม้บุนนาคชั้นดี ระหว่างที่นั่งกั้นด้วยตั่งกลมทรงดอกไห่ถังสองชั้น ข้างบนจัดวางเตาจุดเครื่องหอม ข้างใต้จัดวางดอกไห่ถังแสนสวยเอาไว้


              บนพื้นปูด้วยหินคราม และพรมลายกิ่งก้านและดอกมู่ตาน บนผนังเพิ่งติดกระดาษสามาใหม่…ดูเรียบง่ายและแข็งแกร่ง เหมาะกับคุณลักษณะของตระกูลบู๊อย่างตระกูลเสิ่น


              ห้องที่อยู่ทางด้านซ้ายของโถงกลางในยามนี้ล้วนยังว่างอยู่ จนกระทั่งถึงอาคารสูงสองชั้นที่อยู่สุดทางทางทิศตะวันตกจึงได้ทำเป็นห้องหนังสือ หนังสือในห้องนี้มีจำนวนมากกว่าห้องหนังสือเล็กในเรือนชั้นที่สองมาก เรียกได้ว่าตระการตาไปหมด มีกลิ่นอายบุ๊นแจ่มชัดยิ่ง ดีที่อาคารหลังนี้แม้ไม่ได้สูงนัก สองชั้นรวมกันก็มีความสูงพอๆ กับห้องโถงกลาง ทว่ามีเนื้อที่ไม่น้อย หลังจากจัดวางตำราหนังสือมากมายเหล่านี้ ทั้งภายในก็ยังกั้นส่วนหนึ่งไว้เป็นที่สำหรับหารือราชการก็มิได้รู้สึกว่าคับแคบอันใด


              ทั้งสองคนอยากขึ้นไปชั้นสองแต่กลับถูกนางว่านปรามไว้ว่า “ชั้นสองนั้นเตี้ยมาก เกรงว่าคุณชายสามยกมือขึ้นก็จะสัมผัสเพดานแล้ว ทั้งยังเก็บของเบ็ดเตล็ดเอาไว้จำนวนหึ่ง เกรงว่าจะมีแต่ฝุ่นเกาะอยู่เจ้าค่ะ”


              ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สองสามีภรรยาจึงล้มเลิกความคิดนี้เสีย แล้วไปเดินดูที่อื่นรอบหนึ่งเป็นพอ


              เรือนในชั้นที่สามเป็นที่อาศัยของบ่าวไพร่และห้องครัว แต่ในลานบ้านก็ยังคงมีพุ่มไม้ดอกไม้ปลูกอยู่เต็มไปหมด เวลานี้ในห้องครัวกำลังสาละวนทำอาหารเย็นกันอยู่ บ่าวเข้าๆ ออกๆ เห็นชัดว่ากำลังวุ่นวายยิ่ง ห้องแถวที่ให้สาวใช้อยู่ก็เปิดใช้อยู่เพียงไม่กี่ห้อง… ซึ่งอยู่ในสภาพรกไม่เป็นระเบียบ ทั้งสองคนดูผ่านๆ เพียงสักพักก็กลับไปยังเรือนชั้นที่สอง


              หลังจากนั่งลง เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถึงห้องสองสามห้องในเรือนชั้นที่หนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงรู้สึกว่าใช้ได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงถามไปอีกว่าจะให้เอาของใดเข้าไปบ้าง เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “ก็ทำตามปกติก็พอ ความจริงแล้วก็ไม่อาจให้พวกเขาอยู่เป็นเวลานาน ทว่าก็อาจมีกรณีพิเศษบ้าง ให้ตระเตรียมไว้สำหรับหนึ่งคืนก่อน”


              เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าวกับนางว่านอย่างเกรงใจว่า “กลับไป ยามข้าไปจัดห้อง ยังต้องเชิญท่านอาว่านชี้แนะด้วย เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด”


              นางว่านรีบตอบไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินน้อยเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”


               พูดไปอีกสองประโยค บ่าวไพร่ก็เข้ามาสอบถามว่าจะรับประทานอาหารเลยหรือไม่ ทั้งสองคนจึงอนุญาต


              อาหารเพิ่งจะยกเข้ามา ข้างนอกก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บ พลันมีลมแรงวูบใหญ่พัดเข้ามา… แล้วก็กลับมีฝนตก


              ฝนห่านี้ตกลงมาอย่างกะทันหัน ฟ้าพลันมืดลงทันใด นางว่าน นางหวงต่างรีบเรียกคนเข้ามาจุดเทียน


              เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นางหวงก็พาคนเข้าไปปรนนิบัติยามเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำ พอดีว่าได้อาศัยเสียงฝนและเสียงม้าศึกที่ใต้ชายคามากลบเสียงสนทนา นางหวงกล่าวเสียเบาๆ ว่า “เมื่อครู่นี้คุณหนูสี่พูดเรื่องใดกับคุณชายเจ้าคะ?”


              “ท่านอามิได้ฟัง?”


              “นางว่านและพวกของข้าน้อยยืนอยู่ด้วยกัน จึงไม่อาจไปคอยยืนฟังต่อหน้านางเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มพลางช่วยนางถูไหล่


              เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวมา กล่าวเสียงเบาว่า “จั้งหนิงบอกว่าอยากช่วยเขาล้างแค้น ด้วยการเอาหนังสือล้ำค่าในสินติดตัวของข้าไปยัดเยียดของโจรให้แก่คนบ้านหลิว และถูกเขาไล่กลับไปคัดหนังสือแล้ว” แล้วพูดอีกว่า “เขายังไม่ได้ถามเรื่องของบ้านสอง น่าแปลกจริง ท่านว่านางตวนมู่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”


              นางหวงกลับต่อว่านางก่อนว่า “นี่ก็แต่งงานกันแล้ว ไยยังเรียกว่า ‘เขา’ นั่น ‘เขา’ นี่เล่าเจ้าคะ?” จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “ที่แท้คุณหนูสี่คิดเช่นนี้หรือเจ้าคะ? ข้าน้อยยังคิดว่านางถูกนางตวนมู่ยุแยงมาเสียอีก จึงได้จงใจมาสร้างความลำบากใจให้แก่ฮูหยินน้อย!”


              เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เฮ่อ ไม่พูดถึงเขาแล้ว…แล้วนางตวนมู่เล่า?”


              “ข้าน้อยได้ยินมาว่าตระกูลเสิ่นให้ความสำคัญกับความสามารถเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงตำแหน่งประมุขของตระกูล มิได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นบุตรบ้านใหญ่หรือบุตรของอนุ” ทางหนึ่งนางหวงใช้กระบวยตักน้ำมารดที่ไหล่ของนาง ทางหนึ่งก็หัวเราะเบาๆ พลางว่า “แม้ยามนี้คุณชายจะเป็นที่พอใจของท่านราชครูเป็นที่สุด แต่เรื่องในวันหน้านั้น… ผู้ใดเล่าจะพูดได้ชัดเจน? ยามนี้คุณชายคนโตที่สุดในบรรดาสองสามท่านนั้นก็เพิ่งจะถึงวัยฉกรรจ์ แล้วผู้ใดจักไม่หมายปองตำแหน่งนี้?”


              เว่ยฉางอิ๋งร้องอ้อออกมาหนหนึ่ง “ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้? เช่นนั้นวันนี้นางยังส่งผลอิงเถามาทำสิ่งใด?


              “ผลอิงเถาหนึ่งตะกร้าจะราคาสักเท่าใดกันเจ้าคะ?” นางหวงยิ้มพลางว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมิต้องเอ่ยว่าให้นางว่านถือผลอิงเถานี้มา ยังนำมามอบให้ต่อหน้าคุณชายด้วย แต่ตอนที่นางตวนมู่ยุแยงคุณหนูสี่ให้แตกคอกับฮูหยินน้อยคุณชายก็มิได้อยู่ด้วย!”


              “ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินมาโดยตลอด หลายปีที่ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวง มักได้ยินคนกล่าวขวัญว่าพวกนางเรียบร้อย มีคุณธรรม กตัญญูและเชื่อฟังอยู่บ่อยครั้งเชียวเจ้าค่ะ” นางหวงพูดถึงตรงนี้ก็กลับหัวเราะถางถางออกมา บอกว่า “เมื่อเทียบกันแล้ว ฮูหยินน้อย ท่านเพิ่งจะเข้าบ้าน ปีก่อนก็ยังถูกคนให้ร้าย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา หากฮูหยินน้อยแสดงท่าทีไม่พอใจสิ่งใดต่อฮูหยินน้อยรอง ก็มิใช่ว่าผู้อื่นจักพากันหาว่าฮูหยินน้อยทำไม่ถูก? หากคุณชายของเราเลอะเลือนสักหน่อย ไม่แน่ว่าก็อาจจะรู้สึกว่าฮูหยินน้อยใจคอคับแคบ จงใจหาเรื่องหาราวกับพี่สะใภ้!”


              เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นพอข้าเพิ่งจักเข้าบ้านมา นางจึงได้ยุแยงอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยกลัวว่าข้าจะมองไม่ออกและจะไม่ขัดแย้งกับนาง?”


              นางหวงบอกว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย ฮูหยินน้อยใหญ่ก็คงมีความคิดเช่นนี้เช่นกัน หาไม่ เมื่อคืนยามฮูหยินน้อยรองแสดงท่าทียุแยงคุณหนูสี่ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็มิใช่ว่าเอาแต่นั่งมองเฉยๆ มิได้มีท่าทีจะตักเตือนเลยแม้แต่น้อยเล่า!”


              เว่ยฉางอิ๋งเอนตัวมาพิงที่ถังอาบน้ำ ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน กล่าวว่า “ทั้งสองคนล้วนเฝ้ารอวันให้ข้าเข้าบ้านมาเพื่อจักได้สร้างเรื่องราวใหญ่โตรึ? ในสายตาของพวกนางข้าโง่เง่าปานนั้นหรือ?”


              “ฮูหยินน้อยโปรดคิดดูว่าวันนี้ยามคุณหนูสี่มาหานั้นก็พาคุณหนูหลานที่สี่มาด้วย” นางหวงยิ้มแล้วยิ้มอีก “คุณหนูหลานที่สี่มีพรสวรรค์ด้านกวีเหนือคน เป็นที่ชื่นชอบของท่านราชครูและฮูหยินมาโดยตลอด เมื่อครู่นี้คุณชายขืนให้ส่งนางกลับไป หากคุณหนูหลานที่สี่กลับไปแล้วบอกกับฮูหยินว่าเรือนจินถงของเราไม่ต้อนรับนาง คุณชายนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮูหยิน ฮูหยินย่อมไม่ไปโทษคุณชายอย่างแน่นอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองฮูหยินน้อยที่ไม่ช่วยประนีประนอม…และพวกเราก็ไม่อาจไปขวางประตูเอาไว้ไม่ให้พวกนางเข้ามา เมื่อพวกนางมาหาบ่อยครั้ง หาเหตุผลต่างๆ มาบ่อยครั้ง ฮูหยินน้อยซึ่งเป็นไข่มุกในมือทั้งเป็นที่รักยิ่งของตระกูลเว่ย มีหรือจะอารมณ์ดีและผ่อนปรนให้นางได้ตลอดไป?”


              เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านอาคิดว่าควรทำเช่นไร?” นางตวนมู่มีบุตรสาวเป็นผู้ช่วย เด็กเล็กๆ เพียงนั้น ไม่ว่าจะมาคอยรบเร้ารบกวนเพียงใด เจ้าก็ไม่อาจไปเอาเรื่องเอาราวกับนางจริงจัง แต่หากว่ามาทุกวัน เว่ยฉางอิ๋งคิดดูก็รู้สึกว่าลำบากใจเช่นกัน


              นางหวงยิ้มพลางว่า “เรื่องนี้ง่ายยิ่งนัก พอดีว่ามีโอกาสเตรียมพร้อมไว้ให้อยู่แล้วเจ้าค่ะ…”


__________________________


[1] ผลอิง คือ ลูกเชอร์รี่


ตอนที่ 11 เข้าคารวะ

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำเสร็จแล้วเข้ามาในห้อง แต่กลับเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่อยู่ คิดในใจว่าเขาคงยังอาบน้ำอยู่


วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน นางเองก็เหนื่อยแล้ว เมื่อลูบไปที่ผมยาวก็ยังคงเปียกอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับเปียกจนทำให้ผ้าห่มเปียก จึงให้พวกของนางหวงปูที่นอน แล้วสั่งให้พวกนางออกไป และนอนหลับไปทันที


…ในระหว่างที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น พลันรู้สึกว่าผ้าห่มบนตัวถูกเปิดออก และมีคนขึ้นมาทับตัวนาง นางพึมพำออกมาสองสามประโยคซึ่งก็ไม่รู้ว่าพูดสิ่งใด นางก็จูบปิดปากเสียแล้ว


จากนั้นก็เรื่องก็ดำเนินไปตามขั้นตอนของมัน ความรู้สึกไม่สบายยามสอดใส่พลันทำให้นางตกใจตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นเสิ่นจั้งเฟิงทับอยู่บนตัวนางด้วยร่างเปลือยเปล่า เสื้อตัวในและเอี๊ยมปิดหน้าอกที่นางใส่ตอนเข้านอนถูกปลดเปลื้องออกจนหมดและวางไว้ข้างๆ


เว่ยฉางอิ๋งร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วจูบที่แก้มของนาง หัวเราะเบาๆ แล้วว่า “กอดข้าไว้แน่นๆ”


              ตะขอเกี่ยวมุ้งลายลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองสั่นไหวอยู่น้อยๆ เสียงดังรบกวนจากสายฝนฤดูร้อนข้างนอกหน้าต่างพัดสาดเข้ามากระทบตัวม้ากลบเสียงภายในห้องไปเสียสิ้น


              หลังจากแนบชิดสนิทเนื้อซึ่งกัน เสิ่นจั้งเฟิงจูบที่ลำคอนางอยู่เนิ่นนาน เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งดูมีท่าทีอ่อนล้า จึงลุกขึ้นมาเรียกให้คนเข้ามาปรนนิบัติ ยามเขาหันหลังนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ทำให้เว่ยฉางอิ๋งเห็นบาดแผลข้างหลังเขาพอดี… เป็นร่องรอยแนวนอนตัดกับแนวขวาง รอยข่วนลึกยาวชัดเจน แม้จะล้างให้สะอาดแล้วทว่ายังคงมีเลือดไหลอยู่ซิบๆ มีหลายแห่งที่เริ่มจะกลัดหนองแล้ว โดยเฉพาะรอยกัดที่หัวไหล่ รอบๆ รอยฟันนั้นเป็นรอยช้ำขนาดใหญ่ทีเดียว


แม้เว่ยฉางอิ๋งจะคิดมาตลอดว่าต้องการจัดการเขาให้เชื่อฟังแต่โดยดี แต่ยามนี้ เมื่อมาเห็นรอยแผลเช่นนี้ นางก็อดจะมองจนเหม่อไปมิได้ จึงกล่าวว่า “แผลของเจ้านี่…เหตุใดจึงไม่ใส่ยาสักที?” หากว่าได้ใส่ยา ต่อให้เพียงแค่หนเดียว ตามหลักแล้วป่านนี้แผลบางส่วนก็น่าจะปิดและแห้งแล้ว ตอนนี้ดูไปแล้วบาดแผลเหล่านี้คงยังมิได้ใส่ยาแม้สักหนจึงได้มีอาการรุนแรงขึ้นถึงเพียงนี้


“อีกสองวันก็ดีขึ้นเอง” เสิ่นจั้งเฟิงพูดพลางหยิบเสื้อทับตัวในที่ข้างตั่งขึ้นมาคลุมไหล่ ยามนี้เขาหันแผ่นหลังให้เว่ยฉางอิ๋ง น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นไม่ได้ใส่ใจใดๆ แต่สีหน้ากลับฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมา… เขารู้ว่าที่ภรรยาถามเช่นนี้เห็นชัดว่าเพราะใจอ่อนแล้ว


ปรากฏว่าเมื่อเขาจะลุกขึ้นนั้น เว่ยฉางอิ๋งเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว เสิ่นจั้งเฟิงจงใจถามไปว่า “มีสิ่งใด?”


เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก กล่าวว่า “อย่างไรก็ใส่ยาสักหน่อยเถิด ข้าเห็นว่าบนเสื้อตัวในของเจ้าก็มีรอยเลือดติดอยู่แล้ว… หากแห้งติดแล้วยามถอดออกกลัวจะเจ็บนัก” นางจำคำที่นางหวงเคยพูดได้ว่ายาใส่แผลโดยมากแล้วก็จะมีกลิ่นของยา ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงยังบาดเจ็บเป็นบริเวณกว้าง หากใส่ยาแล้ว เมื่อเข้าไปใกล้คนสักหน่อยก็จะได้กลิ่นเอาได้ พอถึงยามนั้น…เขาเพิ่งจะแต่งงานใหม่ แล้วต้องใช้ยาใส่แผล ไม่ว่าจะใช้ที่ส่วนใด หากเล่าลือออกไปก็ล้วนทำให้คนเห็นเป็นเรื่องน่าขัน


ซึ่งแน่นอนว่าตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องน่าขันเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน ทั้งยังอาจถูกหัวเราะเยาะเสียหนักยิ่งกว่า… หรือที่เขาไม่ยอมใส่ยาก็เพราะไม่อยากจะถูกหัวเราะเยาะรึ? หรือเพราะต้องการทดสอบข้า?


เสิ่นจั้งเฟิงคิดในใจว่า เจ้าก็พูดออกมาดังนี้แล้ว หากข้าตอบตกลง เช่นนั้นก็โง่เกินไปแล้ว เขาจึงยิ้มออกมาแล้วว่า “ไม่เป็นไรหรอก”


คำพูดเป็นเช่นนี้ แต่ยามเขาหันหน้ามานั้น คิ้วกลับขมวดเข้ามาแน่นๆ โดยไม่ทันรู้ตัว คล้ายว่ากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดของแผลที่กำลังอักเสบ… ซึ่งแน่นอนว่าภาพนี้จะต้องแสดงให้เว่ยฉางอิ๋งเห็นอย่างชัดเจน


เว่ยฉางอิ๋งมองที่รอยเลือดบนแผ่นหลังของเขาซึ่งทะลุผ่านเสื้อทับตัวในออกมา นางเม้มปาก ที่สุดจึงได้กล่าวคำตามที่เสิ่นจั้งเฟิงวางแผนเอาไว้เป็นนานว่า “ยาที่พวกท่านอาให้มา…เจ้าวางไว้ที่ใดแล้ว? เอามาข้าจะทาให้เจ้า”


ยาเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนแม้จะไม่มีกลิ่นยา ทว่าเมื่อทาลงไปบนแผลก็กลับรู้สึกเย็นมาก… นับไม่ได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งทายาให้อย่างอ่อนโยน ยามปลายนิ้วแตะไปบนบาดแผลบางครายังขูดโดนแผลด้วย ดูท่าทีงกๆ เงิ่นๆ อย่างชัดเจน ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงเคยต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานมาแต่เล็กเขาจึงมิได้สนใจ ยามเขารู้สึกถึงปลายนิ้วของภรรยาที่ไล้เบาๆ ไปบนแผ่นหลัง มุมปากของเขาก็อดจะโค้งขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลำบากอิ๋งเอ๋อร์แล้ว”


เว่ยฉางอิ๋งช่วยเขาทายาอยู่เป็นนานก็ยังไม่อาจใส่ยาให้บาดแผลทั้งหมดได้จนหมด นางจึงเพิ่งตระหนักขึ้นมาว่าคืนนั้นตนลงมือหนักหนาสาหัสเพียงใด ยามนี้นางจึงรู้สึกสับสนไปหมด ทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกสงสารทั้งไม่อยากจะยอมรับจึงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจา


เสิ่นจั้งเฟิงเองก็พอจะเดาถึงความรู้สึกของนางในยามนี้ได้ จึงแอบขันอยู่ในใจ เขาคิดจะเย้านางอีกสักสองสามประโยค แต่เมื่อคิดได้ว่าวันพรุ่งนางยังต้องเข้าไปคารวะมารดาตน หากหยอกเย้ากันดึกดื่นเกินไปก็เกรงว่ายามตื่นนอนจะไม่กระปรี่กระเปร่า เขาจึงไม่พูดแล้ว


ทั้งสองคนเอาแต่นิ่งเงียบจนใส่ยาเสร็จ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “คืนนี้เจ้าอย่านอนหงายเป็นดีที่สุด หาไม่แล้วจะเช็ดเอายาที่ใส่แผลไว้ออกจนหมด”


เพิ่งจะสิ้นเสียงนาง เสิ่นจั้งเฟิงเอียงตาไปมองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงที่เรื่องเขาทำยามนางหลับ หน้าจึงแดงขึ้นทันใด และโยนตลับยาไปใส่เขา กล่าวอย่างทั้งเขินทั้งโกรธว่า “แล้วแต่ว่าเจ้าจะนอนอย่างไร ข้าง่วงแล้ว!”


เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเก็บตลับหยกไปก็เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งดึงผ้าห่มมาคลุมตัว และมุดตัวเข้าไปข้างใน ม้วนผ้าห่มรอบตัวแน่นคล้ายว่าคืนนี้จะไม่ออกมาเช่นนั้น พลางกล่าวเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่อยากให้คนเข้ามาปรนนิบัติแล้วหรือ?”


….ย่อมต้องการแน่นอน หาแม่แล้วก็จะนอนไม่สบาย


หลังจากบ่าวเข้ามาปรนนิบัติและออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ม้วนผ้าห่มรอบตัวแน่นอีกครั้ง แต่กลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงสวมกอดจากทางด้านหลัง นางผลักแขนเขาออก แล้วกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าอยากนอนแล้ว!”


“อืม” เสิ่นจั้งเฟิงเอาคางเกยไว้ที่หัวนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า “ข้าก็ด้วย”


เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแน่นไปทั้งตัว ผ่านไปสักพักก็กลับได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงหายใจอย่างสงบเป็นจังหวะ ด้วยเขาหลับไปจริงๆ แล้ว ยามนี้นางจึงได้คลายผ้าห่มออกมา พลางนอนอิงที่แผ่นอกของเขาแล้วหลับไป


คืนนี้นอนไม่ใคร่ดีนัก ฝนยิ่งตกหนักขึ้นทุกที คล้ายว่าม้าศึกที่อยู่ข้างใต้กันสาดจะถูกฝนสาดเสียจนพากันกระโดดโหยงเหยงขึ้นมา เสียงดึงๆ ดังๆ เหล่านั้นคอยวนเวียนอยู่ที่หูตลอดทั้งคืน ต่อให้ง่วงปานใดก็ยังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาสองสามหน


ระหว่างนั้นเสิ่นจั้งเฟิงคล้ายจะตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ว่าแล้วมือไม้ก็อยู่ไม่เป็นสุข จึงถูกเว่ยฉางอิ๋งหยิกแขนเขาไปหลายหน…จนถึงวันรุ่งขึ้น เมื่อพวกของนางหวงเขามาปรนนิบัติดูแล ทุกคนทั้งนายบ่าวจึงดูไม่ใคร่สดชื่นนัก


พวกเขาพยายามรวบรวมเรี่ยวเรงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ และทานอาหารสักเล็กน้อย เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงว่า “ข้าจะไปคารวะท่านแม่”


เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “พอดีว่าข้าว่าง ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”


จากนั้นทั้งสองคนก็เรียกให้คนเอารองเท้าไม้มา ในขณะที่กำลังเปลี่ยนอยู่บนระเบียงทางเดิน เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นเสิ่นจวี้กำลังวิ่งมาบนทางเดินจากทางทิศตะวันตก หลังจากคำนับแล้วก็รายงานว่า “ท่านราชครูให้คุณชายไปพบที่ห้องหนังสือสักหน่อยขอรับ”


“บอกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องใด?” เสิ่นจั้งเฟิงถาม


เสิ่นจวี้ส่ายหัว “คนที่มามิได้บอกขอรับ เพียงแต่เชิญให้คุณชายไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”


เสิ่นจั้งเฟิงไตร่ตรองดูสักพัก เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกว่า “ในเมื่อท่านพ่อมีเรื่อง เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถิด ข้าจะไปหาท่านแม่เอง” นางแอบยิ้มน้อยๆ อยู่ในใจ ‘เสิ่นจั้งเฟิงถูกเรียกตัวไปปัจจุบันทันด่วนปานนี้ จะมีเรื่องที่บังเอิญถึงเพียงนั้นหรือ? ไม่รู้ว่าเป็นบ้านใหญ่ หรือบ้านสองเป็นคนจัดการ?’


หรือไม่ก็เป็นแม่สามี ฮูหยินซู?


เว่ยฉางอิ๋งสงสัยและคาดเดาเช่นนี้จนเดินมาถึงเรือนหลัก


เมื่อบ่าวชราเฝ้าประตูเห็นนางก็มีท่าทีเกรงใจยิ่ง “ฮูหยินน้อยสามมาแล้วหรือเจ้าคะ? โปรดรอสักครู่ ให้ข้าน้อยไปรายงานฮูหยินเจ้าค่ะ”


สักพักจากนั้นนางออกมาและเชิญเว่ยฉางอิ๋งเข้าไป


เพราะฝนกำลังตก เมื่อเข้ามาในลานบ้านแล้วก็ต้องเดินไปบนระเบียงทางเดินทางทิศตะวันตก แต่กลับมองเห็นว่าต้นไม้ดอกไม้ที่จัดวางเอาไว้ในลานบ้านล้วนถูกฝนสาดเสียจนล้มระเนระนาดไปหมด ตลอดทางมองเห็นว่ามีกรงนกสามกรงห้ากรงแขวนอยู่บนระเบียงทางเดิน แต่ละกรงมีนกฮว่าเหมยอยู่หนึ่งตัว กำลังพากันส่งเสียงร้องระงม ทั้งคึกคักและต่อเนื่องกันเสียยิ่งกว่าเสียงม้าศึกที่ถูกฝนสาดเสียอีก


ที่ประตูของห้องโถงกลาง มีสาวใช้สวมเสื้อผ้าหลากสีสี่ห้านางยืนเรียงกันอยู่ ดวงตามองตรงไปข้างหน้า รอจนเว่ยฉางอิ๋งเดินเข้ามาใกล้ จึงได้พากันคารวะอย่างพร้อมเพรียงและกล่าวทักทายไปประโยคหนึ่ง


เว่ยฉางอิ๋งและพวกนางพุดคุยไปตามมารยาทสักคำ จึงเดินเข้าประตูไป เมื่อเดินเลี้ยวผ่านฉากกันลมประดับแร่กลีบหินเป็นภาพทิวทัศน์ภูเขาต้นไม้ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ก็มองเห็นภาพของพรมรูปมันดาลาทรงกลมสีแดงเลือดสดปูอยู่บนพื้น และฮูหยินซูนั่งตัวตรงอยู่บนตั่งแก้วตัวเตี้ยๆ วันนี้ฮูหยินซูเปลี่ยนมาสวมเสื้อสร้างหรูแขนกว้างลายเป็ดคู่ตัวเชื่อมกันบนผ้าพื้นสีน้ำเงิน สวมกระโปรงหลัวฉวินสีน้ำทะเล เกล้าผมให้มวยผมเอียงไปข้างหนึ่ง ปักปิ่นหยกที่รูปร่างค่อนข้างกลมคู่หนึ่ง สีหน้าของนางราบเรียบ มองไม่ออกว่ารู้สึกยินดีหรือกำลังโกรธ


ที่นั่งแรกในตำแหน่งที่นั่งหลักยังคงว่างอยู่ กลายเป็นว่านางตวนมู่มาถึงแล้ว ลูกสาวทั้งสามของบ้านสองก็ล้วนอยู่ด้วย เสิ่นซูโหร่วบุตรสาวคนโตและเสิ่นซูเยวี่ยบุตรอนุคนรองยืนอยู่ข้างๆแม่ใหญ่ของตนคนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวา และพากันคำนับนาง เสิ่นซูเหยียนคนเล็กสุดกำลังถูกนางตวนมู่กอดเอาไว้ตรงหน้าเข่า


เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคารวะฮูหยินซูและกล่าวคำทักทายเรียบร้อยแล้วก็หันไปคารวะนางตวนมู่ ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินซูนั้นนางตวนมู่ดูเกรงอกเกรงใจนางมาก คอยบอกแต่ว่า “น้องสะใภ้สามอย่าได้มากพิธิเช่นนี้เลย เมื่อวานนี้ซูเหยียนซุกซนไปรบกวนพวกเจ้า ข้ายังมิทันได้ขออภัยเจ้าเลย”


“พี่สะใภ้รองกล่าวเช่นนี้ ซูเหยียนออกจะร่าเริงเฉลียวฉลาด ข้าเห็นก็ชอบแล้วเจ้าคะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “นางเพียงแค่ไปที่เรือนจินถงครู่หนึ่ง ไยต้องขออภัยเล่า? หรือว่าหลานสาวจะไปเยี่ยมอาสะใภ้สักหน่อยไม่ได้หรือ? ใช่แล้ว พูดขึ้นมา ข้ายังมิทันได้ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ส่งผลอิงเถามาให้เลยเจ้าค่ะ”


นางตวนมู่กำลังจะพูด ฮูหยินซูกลับพูดแทรกการสนทนาของพวกนาง พลางขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “เมื่อวานข้าได้ยินว่าจั้งหนิงพยายามหลอกล่อให้ซูเหยียนไปที่เรือนจินถงหรือ?”


เว่ยฉางอิ๋งตอบไปพร้อมรอยยิ้มว่า “วานนี้น้องสี่ไปเยี่ยมสะใภ้ที่เรือนจินถงจริงเจ้าค่ะ แต่ว่า…” เมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็รู้ว่าฮูหยินซูต้องการจะสั่งสอนบุตรสาวเสียแล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่ต้องการให้เสิ่นจั้งหนิงนึกว่าตนเป็นคนมาฟ้องเรื่องของนาง


“นางเลอะเลือนเสียจริง!” ว่าแล้วฮูหยินซูก็มีสีหน้าโกรธขึ้นมา ไม่รอให้นางพูดจนจบก็ตัดบทนางขึ้นมาว่า “ข้าบอกนางไว้นานแล้วว่าอย่าไปรบกวนพวกเจ้า..แม่นมเถา เจ้าไปเรียกนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”


หญิงมีอายุผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินซูรีบน้อมตัว แล้วว่า “เจ้าค่ะ!” หญิงมีอายุผู้นี้แต่งกายดี มองออกว่าเป็นคนบ่าวที่มีหน้ามีตาคนหนึ่งของฮูหยินซู


นางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งอดจะรีบกล่าวเตือนไปสองสามประโยคไม่ได้ “น้องสี่ยังเด็กนัก ไร้เดียงสาไม่รู้ความ ก็เพียงห่วงเล่นไปสักหน่อยจึงได้ไปที่เรือนจินถง ท่านแม่อย่าได้เอาความกับนางเลยเจ้าค่ะ!”


นางตวนมู่กล่าวอีกว่า “น้องสะใภ้สามก็มีใช่คนใจคอคับแคบ ใช่หรือไม่น้องสะใภ้สาม?”


“พี่สะใภ้รองกล่าวถูกต้องยิ่งเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้มแล้วว่า “วานนี้น้องสี่มาได้จังหวะพอดี สะใภ้กำลังฟังท่านอาว่านพูดถึงเรื่องที่มีหลายที่ในเรือนจินถงยังมิได้จัดแจงตกแต่ง กลายเป็นว่าได้เชิญให้น้องสี่มาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยพอดีเชียวเจ้าค่ะ!”


ฮูหยินซูแค่นเสียงออกมาแล้วว่า “ล้วนเป็นพวกเจ้าเอาใจนาง! หากจะบอกว่านางยังเล็ก นางก็อายุสิบสี่ปีแล้ว งานเย็บปักถักร้อยไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่กลับโอหังอวดดียิ่ง! ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่กล้าทำ! หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้นานไปจักไหวได้อย่างไร?”


นางตวนมู่ยิ้มพลางว่า “น้องสี่มีจิตใจดังเด็กไร้เดียงสา นับเป็นสิ่งที่หายากยิ่งนะเจ้าคะ”


“น้องสี่…” เว่ยฉางอิ๋งก็อยากจะเสริมไปอีกสักสองสามประโยค แต่ยามนี้ ที่ข้างนอกนั้นนางหลิวกลับกำลังเข้ามาพร้อมกับเสิ่นจั้งหนิง


เสิ่นจั้งหนิงจับแขนเสื้อนางหลิวเอาไว้แน่น แล้ววิ่งหลบไปซ่อนข้างหลังนาง ปากก็พึมพำว่า “ข้าทำสิ่งใดอีกแล้วหรือ? เหตุใดท่านแม่จึงได้เรียกข้ามาอีก?”


เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำจึงมองนางไปหนหนึ่ง กลับเห็นว่านางสวมกระโปรงรัดที่หน้าอกสีเขียวอ่อน สีของกระโปรงนั้นเรียบนัก แต่บนใบหน้าของนางกลับทาสีแดงและแป้งหนา แต่งหน้าสีจัดจ้านยิ่ง โดยเฉพาะสีแดงสดดังสีเลือดที่ทาตรงหางตาซึ่งแต้มไว้คล้ายเป็นรูปของหยดน้ำตา เพียงกวาดตามองไปก็ทำให้รู้สึกตื่นตกใจเสียจริงๆ


เด็กสาวสวยๆ อยู่แท้ๆ กลับทำจนเป็นเช่นนี้! ยามนี้มิใช่งานพิธีการเช่นงานที่ลูกสะใภ้คนใหม่มายกน้ำชา ฮูหยินซูจึงมิได้ไว้หน้าบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย พอมือคว้าลูกกุญแจสีทองดอกหนึ่งได้ก็โยนเข้าใส่ทันที เสิ่นจั้งหนิงหลบไปได้อย่างคล่องแคล่วว่องไง จึงได้ยินฮูหยินซูด่าทอไปว่า “เจ้าทำหน้าตาเลอะเทอะเช่นนี้ ยังคิดจะไปที่ใดอีก?”


เสิ่นจั้งหนิงหลบพ้นกุญแจทองคำ แล้วมุมปากของนางก็คว่ำลง กล่าวว่า “ข้าไปบ้านท่านตา อีกสองวันก็จะเป็นวันเกิดของท่านพี่อวี๋เฟย!”


“เจ้ารู้ว่าใกล้จะถึงวันเกิดของลูกผู้พี่ของเจ้าแล้ว ยังจะแต่งตัวเช่นนี้ไปอีก เพราะอยากจะทำให้ข้าเสียหน้า หรือกลัวว่าจะไม่ทำลายสิริมงคลของลูกผู้พี่ของเจ้า?” ฮูหยินซูบันดาลโทสะเสียจนสั่งให้บ่าวทั้งซ้ายขวาไปจับเสิ่นจั้งหนิงมากดไว้ตรงหน้า ว่าแล้วก็ยื่นนิ้วไปลูบบนหน้าของนาง… ในมือพลันมีสีชาดแดงและแป้งหนาๆ ติดมาในทันใด นางรีบเช็ดมือบนผ้าเช็ดหน้าด้วยท่าทีรังเกียจ เช็ดอยู่เป็นนานจึงเช็ดออกจนสะอาด แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “เด็กสาวหน้าตาดีๆ เดิมทีแล้วอายุเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องทาสีทาแป้ง หากชอบแต่งหน้านัก ทาแป้งทาชาดเพียงบางๆ ก็พอแล้ว แล้วนี่เจ้ามาทาข้างซ้ายชั้นหนึ่งข้างขวาชั้นหนึ่ง เจ้าแต่งหน้าหรือว่าทาสีผนังกันแน่?”


เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างน้อยใจว่า “ระยะนี้หญิงสาวในเมืองหลวงล้วนนิยมการแต่งหน้าเช่นนี้ ท่านแม่ไม่เข้าใจการแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดนี่ ทำไมต้องให้ข้าแต่งตัวตามที่ท่านแม่ชอบเสียให้ได้เล่าเจ้าคะ?”


ฮูหยินซูกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “มีเพียงข้าผู้เดียวที่รู้สึกขัดตากับการแต่งหน้าของเจ้าเช่นนี้เสียเมื่อใด? เจ้าลองถามพวกพี่สะใภ้เจ้าดู! การแต่งหน้าที่เจ้าบอกว่าเป็นที่นิยมแบบนี้… นี่มันกลางวันแสกๆ หากเป็นยามค่ำคืน คนที่พบเห็นก็จะต้องถูกเจ้าทำเอาจนตกอกตกใจ! เจ้ายังนึกว่างดงาม!”


“ยามนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวง” เสิ่นจั้งหนิงเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่อายุปูนนี้มองดูว่าไม่งดงาม แต่อายุเช่นพวกเรากลับเห็นว่างดงาม!”


“พี่สะใภ้สามของเจ้าก็โตกว่าเจ้าไม่กี่ปี เจ้าลองถามนาง สารรูปของเจ้ายามนี้มันน่าดูหรือว่าน่าเกลียดกันแน่!” ฮูหยินซูโกรธเสียจนตบโต๊ะไปหนหนึ่ง พลางตวาดออกมา!


_____________________________


ตอนที่ 12 ตระกูลซูเกิดเรื่อง

โดย

Xiaobei

              อยู่ดีๆ เรื่องก็ตกมาอยู่ที่ตัว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง ฮูหยินซูเป็นแม่สามีซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจล่วงเกินนางได้ ทว่าน้องสามีตัวน้อย เสิ่นจั้งหนิงก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฮูหยินซู น้องสาวแท้ๆ ของสามีตน…ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อาจล่วงเกินได้ คำถามนี้ของฮูหยินซูควรจะตอบอย่างไรจึงจะดี?


              ในขณะที่ทุกคนพากันจับจ้องมา นางก็ไม่อาจสอบถามนางหวงได้ คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงพูดให้คลุมเครือเข้าไว้ จึงยิ้มพลางว่า “เรียนท่านแม่ สะใภ้เพิ่งจะเคยมาเมืองหลวง และยังเพิ่งเคยเห็นการแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดเช่นนี้ ดูแล้วก็รู้สึกว่าแปลกใหม่เจ้าค่ะ”


              เสิ่นจั้งหนิงรีบพูดไปว่า “ท่านแม่ท่านฟังสิ พี่สะใภ้สามยังบอกว่าแปลกใหม่เลย ก็มิเห็นพูดว่าไม่งาม!”


              เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกปวดหัวหนัก กำลังคิดว่าจะประนีประนอมอย่างไรต่อไปดี ทว่าฮูหยินซูกลับตบโต๊ะและดุด่าบุตรสาวขึ้นมา “พี่สะใภ้สามของเจ้าเห็นแก่หน้าเจ้าเท่านั้น จึงได้บอกว่าแปลกใหม่! สารรูปเช่นนี้หาใช่เรื่องงามไม่งามหรือ? นี่มันดูไม่ได้เลยต่างหาก!”


              “พวกพี่สาวในบ้านท่านลุงก็แต่งกันเช่นนี้ การแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดนี้ข้าก็ยังไปเรียนมาจากพวกนางด้วย!” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านแม่ไม่ต่อว่าพวกพี่ๆ แต่กลับเอาแต่ต่อว่าข้า!”


              “ข้าก็ว่าแล้วว่าสองสามวันมานี้ไยเจ้าจึงทำร้ายตัวเองจนเป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เรียนมาจากพวกลูกผู้นี้หรอกรึ?” ฮูหยินซูโกรธเสียจนชี้นิ้วไปหานางแล้วว่า “ห้ามเจ้าไปบ้านซูอีกแล้ว ส่วนเรื่องแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดนี้ กลับไปข้าจะเขียนจดหมายไปลองสอบถามพวกท่านป้าของพวกเจ้าดู! นี่มันเรื่องใดกัน! ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดคิดวิธีการแต่งหน้าพิเรนทร์ๆ เช่นนี้ออกมา สอนให้เด็กสาวดีๆ กลายมามีสารรูปประหลาดเช่นนี้!”


                เสิ้นจั้งหนิงย่อมไม่ยินยอม ทะเลาะกันอยู่สักพักใหญ่ จึงถูกฮูหยินซูสั่งให้คนลากมาตรงหน้าและตีนางไปสองสามหน แล้วกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หลานสาวของเจ้าล้วนอยู่ตรงหน้านี้ เป็นอาแต่กลับไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างแก่พวกนางยังไม่ว่า ยังกลับมาสอนให้พวกนางทำเรื่องแย่ๆ น่าขายหน้าเช่นนี้อีกรึ? เจ้าดูซูจิ่งซิ ทั้งอายุน้อยกว่าเจ้า ทั้งเป็นคนในรุ่นที่ต่ำกว่าเจ้า แต่ทั้งกริยาวาจามีเรื่องใดที่ไม่ดีกว่าเจ้า! คนเป็นอาเช่นเจ้าไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือไร?”


              เดิมทีเสิ่นซูจิ่งยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังนางหลิวผู้มารดา ได้ยินคำจึงรีบกล่าวว่า “ท่านย่ากล่าวชมเกินไป หลานยังเด็กนัก ยังต้องขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่อีกมากเจ้าค่ะ ท่านอาหญิงสี่แม้จะชอบแต่งหน้าประหลาด แต่มีนิสัยร่าเริงสดใส และดีกลับหลานๆ เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” นางเอ่ยคำอย่างอ่อนโยน ท่าที่อ่อนน้อม สุภาพเรียบร้อย


              ฮูหยินซูเข้าไปดึงหูบุตรสาวแล้วตวาดไปว่า “เจ้าฟังดู! นี่จึงจะคือกริยาของกุลสตรีตระกูลใหญ่! มีหรือจะเหมือนเจ้า!”


              นางหลิวเห็นฮูหยินซูนำบุตรสาวของตนไปเปรียบเทียบกับน้องสามีตัวน้อยก็กลัวว่าจะสร้างความบาดหมางให้แก่เสิ่นจั้งหนิง จึงรีบกล่าวออกไปว่า “ท่านแม่ได้โปรดอย่าโกรธเคือง สะใภ้คิดว่าเรื่องที่น้องสี่กล่าวมานั้น การแต่งหน้าในยุคนี้ก็เป็นเช่นนี้ หากพวกคุณหนูวัยเด็กสาวในเมืองหลวงล้วนแต่งหน้าเช่นนี้ น้องสี่ก็เพียงลองแต่งเล่นๆ ตามเขา คงมิได้คิดจริงๆ ว่าการแต่งหน้าเช่นนี้น่าดู หากผ่านไปสักพัก เมื่อไม่เป็นที่นิยมแล้ว น้องสี่ก็จะไม่แต่งหน้าเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ”


              เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างน้อยใจว่า “ก็ใช่อยู่แล้ว! หากไม่เป็นที่นิยมแล้วข้าจะแต่งหน้าเช่นนี้ทำสิ่งใดเล่า? ทั้งแป้งและชาดนี่ก็ทำให้ใบหน้าไม่สบายนัก…”


              ฮูหยินซูยังจะด่าทอต่อไป แต่ข้างนอกกลับมีสาวใช้ตัวน้อยยกกระโปรงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางก้มหัวลงแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินเจ้าคะ บ้านซูส่งจดหมายมา บอกว่าเมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าหมดสติไปเจ้าค่ะ!”


              “ว่าอย่างไรนะ?!” ฮูหยินซูตกใจหนักหนาเสียจนหน้าถอดสีแล้วลุกพรวดขึ้นมา “เร็วเข้า! รีบให้คนไปเตรียมรถ!”


              เสิ่นจั้งหนิงเองก็ตกใจเช่นกัน กล่าวว่า “ท่านยายรึ? ข้าไปด้วย!”


              ยามนี้ฮูหยินซูไม่มีแก่ใจจะสนใจนาง รีบบอกกับบรรดาสะใภ้ว่า “อี๋เอ๋อร์เจ้าอยู่คอยดูแลบ้าน เยี่ยนอวี่เจ้าไปบ้านเสิ่นกับข้า…ฉางอิ๋ง เจ้าเพิ่งเข้าบ้านมาก็กลับไปเสียก่อนเถิด! มีเรื่องใดก็ให้ขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า!”


              …สองวันก่อนยามเว่ยฉางอิ๋งไปพักอยู่เรือนเดี่ยวหลังหนึ่งของตระกูลเสิ่นซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงรอวันฤกษ์ดีเพื่อเข้ามาในเมืองนั้น ท่านอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินส่งแม่นมชวี่มาเยี่ยมนาง และบอกว่าเดิมทีเว่ยเจิ้งอินคิดจะเดินทางมาเยี่ยมหลานสาวแท้ๆ ที่เรือนแห่งนั้นด้วยตนเอง แต่จนใจที่แม่สามีไม่สบาย จึงต้องอยู่ที่ข้างตั่งนอนคอยดูแลให้นางดื่มยาต้ม


              เดิมทีในวัยเช่นฮูหยินผู้เฒ่านี้ ก็ยากจะไม่มีอาการปวดเศียรเวียนเกล้า เว่ยฉางอิ๋งเองก็มิได้เก็บมาใส่ใจอันใด เพียงบอกไปว่าพอดีว่านี่เป็นช่วงต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน คนสูงอายุปรับตัวไม่ค่อยทัน พวกรุ่นลูกหลานจึงไม่กล้าชักช้าและต้องคอยเฝ้าดูอยู่ข้างตั่งนอน


              แต่ไม่คิดว่าแม่เฒ่าเติ้งจะถึงกับหมดสติไป…


              อย่าได้กลายเป็นว่าพอตนเข้าบ้านก็มาเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นเชียว? เว่ยฉางอิ๋งอดกระวนกระวายขึ้นมาไม่ได้


              เว่ยฉางอิ๋งพร้อมกับนางหลิวเดินไปส่งฮูหยินซู เสิ่นจั้งหนิงและนางตวนมู่ซึ่งเดินทางไปเยี่ยมไข้ที่บ้านตระกูลซู นางจึงได้เลียบๆ เคียงๆ สอบถามนางหลิวว่า “แม่เฒ่าเติ้ง…ท่านยายปกติแล้วสุขภาพดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ไยจู่ๆ จึงหมดสติไป? และไม่ทราบว่าจะอาการหนักหนาหรือไม่”


              สีหน้าของนางหลิวดูเป็นกังวล แต่ก็ไม่ถึงกับลนลาน กล่าวว่า “ปกติแล้วท่านมีสุขภาพดี แต่อย่างไรก็มีอายุถึงเพียงนี้แล้ว นับแต่ต้นปีที่แล้วก็เจ็บออดๆ แอดๆ มาเรื่อยๆ สองวันก่อนได้ยินว่ามีอาการไอเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่า…” แม่เฒ่าเติ้งในวัยนี้เมื่อหมดสติล้มไปก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากจริงๆ นางหลิวเองก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดชัดเจน จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “น้องสะใภ้รองไปบ้านซูกับท่านแม่ ข้าคิดว่าจะรับเอาพวกของซูโหร่วสองสามคนนี้มาดูแลในบ้านใหญ่ น้องสะใภ้สามเจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา เรือนจินถงยังมีที่ต้องจัดแจงอีกมาสินะ พวกเราต่างคนต่างไปทำธุระเถิด”


              เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบไปว่า “เรื่องจัดเก็บเรือนนั้น รออีกสักหน่อยค่อยทำก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ  พี่สะใภ้ใหญ่ทางนั้นมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่เจ้าคะ? เพราะอย่างไรพวกซูโหร่วล้วนยังเด็กนัก”


              นางหลิวหัวเราะ กล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก น้องสะใภ้สามอาจยังไม่ทราบ พอดีว่าระยะนี้ข้ารับน้องสาวร่วมตระกูลข้าผู้หนึ่งนามว่ารั่วอวี้มาอยู่ด้วยสักพัก ยามนี้ก็ต้องขอแรงนางมาช่วยอย่างขาดไม่ได้… น้องสะใภ้รองสอนสั่งบุตรสาวมาเป็นอย่างดี บุตรสาวของนางล้วนเชื่อฟังยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลใดๆ”


               “ที่แท้มีน้องสาวของพี่สะใภ้ใหญ่อยู่หรือเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าก่อนนี้เคยได้ยินมา ว่าคุณหนูตระกูลหลิวที่ชื่นชอบเสิ่นจั้งเฟิงมิใช่มีนามว่าหลิวรั่วเหยี่ยนี่? แล้วไยคนผู้นี้จึงมีนามว่ารั่วอวี้เล่า? ฟังดูแล้วคล้ายพี่เป็นพี่น้องกัน คงมิใช่ว่าคุณหนูตระกูลหลิวสองพี่น้องนี้ล้วนชื่นชอบสามีตน? หากเป็นดังนี้มันช่าง… จึงกล่าวไปว่า “ข้าเองกลับเพิ่งทราบ วันหลังควรต้องไปเยี่ยมเยือนทางบ้านพี่สะใภ้ใหญ่จึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”


              “น้องสะใภ้สามอย่าได้เกรงใจ” นางหลิวยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ดีชั่วข้าก็เพียงให้รั่วอวี้อยู่ช่วยไม่กี่วัน ไว้ให้น้องสะใภ้สามว่างแล้วค่อยมาก็ได้ อย่าได้รบกวนเวลาดูแลเรื่องของเจ้าเองเลย”


              ทั้งสองคนกล่าวคำตามมารยามไปสักพักจึงแยกย้ายกันกลับเรือนของตน


              เว่ยฉางอิ๋งกลับมาที่เรือนจินถง กลับเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงยังไม่กลับมา จึงเป็นโอกาสดีที่จะเชิญนางว่านมาดื่มน้ำชา ‘คุยสรรเพเหระ’ กัน


              นางว่านพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ต่อหน้าฮูหยินน้อยหรือจะมีที่สำหรับข้าน้อยนั่ง” เมื่อถูกนางเฮ่อขืนจับให้มานั่งลงจึงกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วดื่มน้ำชาไปจิบน้อยๆ เว่ยฉางอิ๋งส่งสัญญาณ นางเข้าใจในทันที จึงกล่าวถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านเสิ่น “หลายปีมานี้ฮูหยินเองมิใคร่จัดการเรื่องต่างๆ แล้ว ยามนี้เรื่องการจัดการในบ้านเป็นฮูหยินน้อยใหญ่ดูแล ส่วนฮูหยินน้อยรองบางทีก็จะมาช่วยบ้าง เพียงแต่ฮูหยินน้อยรองเป็นคนเรียบเฉยสักหน่อย หากมิใช่ยามที่วุ่นวายนักก็จะไม่มาก้าวก่ายเจ้าคะ”


              “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมาว่ายามนี้มีน้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้ใหญ่มาอยู่ในบ้านเราด้วย ท่านอาว่าข้าควรจะไปคารวะสักหนหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งสอบถามไปอย่างลังเล


              นางว่านยิ้มแล้วว่า “คุณหนูสิบตระกูลหลิวนั้นแม้จะมิได้เป็นพี่น้องโดยตรงกับฮูหยินน้อยใหญ่ทว่าก็เป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินน้อยใหญ่เป็นอย่างมาก มักจะรับนางมาอยู่ในจวนสักพักอยู่เป็นประจำ ฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้านมา วันหน้าเมื่อได้ไปทางเรือนของฮูหยินน้อยใหญ่สักสองสามหนก็จะต้องคุ้นเคย ตามความเห็นข้าน้อยกลับไม่จำเป็นต้องเร่งรีบไปในสองวันนี้…สองวันนี้ในเรือนของเราก็ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาเจ้าค่ะ”


              เว่ยฉางอิ๋งลองสอบถามว่า “นามของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนี้ ข้าได้ยินพี่สะใภ้สามเรียกนางว่ารั่วอวี้? ไม่ทราบว่าตอนนี้นางอายุสักเท่าใด เมื่อยามได้ไปหาจักได้เลือกของกำนัลที่เหมาะสมไว้ให้นาง”


              “ข้าน้อยได้ยินคนว่าอ่อนกว่าฮูหยินน้อยเพียงปีเดียวเจ้าคะ” นางยิ้มอย่างมีนัยยะอื่นซ่อนอยู่ แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ ข้าน้อยขอพูดมากสักหน่อย…มารดาของคุณหนูสิบบ้านหลิวนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว ฮูหยินใหม่คล้ายจะปฏิบัติต่อนาง… ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฮูหยินน้อยใหญ่ของพวกเรามักจะรับนางมาพักอยู่ในด้วยบ่อยครั้ง อย่างไรเสีย แม้ฮูหยินน้อยใหญ่ก็เป็นบุตรสาวตระกูลหลิว แต่ก็ออกเรือนมาแล้ว จึงไม่ใคร่เหมาะจะเอ่ยถึงเรื่องในบ้านของตนเท่าใดนักเจ้าค่ะ”


              เว่ยฉางอิ๋งฟังความหมายของนางว่านออก ว่านี่เป็นการบอกเป็นนัยว่าตนไม่ต้องคิดมาก เหตุที่นางหลิวรับหลิวรั่วอวี้มาพักที่บ้านใหญ่ชั่วคราว ด้วยสงสารน้องสาวลูกผู้น้องผู้นี้ว่าจะถูกรังแกยามอยู่ใต้น้ำมือของมารดาใหม่ แต่ด้วยนางหลิวออกเรือนแล้ว ทั้งไม่อาจต่อว่าผู้ใหญ่ว่าทำเรื่องไม่ควร ทำได้เพียงรับน้องสาวมาอยู่ที่บ้านตน นอกจากจะทำให้น้องสาวรู้สึกสบายใจขึ้น ทั้งยังเป็นการบอกโดยอ้อมว่ามารดาใหม่ของนางอย่าได้ทำการเกินไปนัก…บุตรสาวเลี้ยงต้องมาพักอยู่ที่บ้านสกุลเสิ่นบ่อยครั้ง ด้วยอับจนข้นแค้นเกินไปหรือมีสีหน้าย่ำแย่เกินไป ผู้คนย่อมวิพากษ์วิจารณ์ว่ามารดาใหม่ไร้ความเมตตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


              “ที่แท้อายุรุนราวคราวเดียวกับข้า เช่นนั้นข้าก็รู้แล้วว่าถึงเวลาควรจะส่งของกำนัลใดไป” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ความสงสัยในใจกลับยังมิทันกระจ่าง…แม่นมชวี่เคยบอกว่า หลิวรั่วอวี้ผู้นี้สนใจเสิ่นจั้งเฟิงยิ่ง?


              เมื่อคิดถึงว่าหลิวรั่วอวี้ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว เด็กสาวในวัยนี้หากยังไม่ออกเรือนก็ก็จะต้องเตรียมตัวแต่งงานแล้ว ไยจึงยังมีเวลามาที่บ้านของพี่สาวร่วมตระกูลเล่า? ต่อให้มารดาใหม่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี แต่ดีชั่วอย่างไรก็จะให้นางแต่งออกอยู่แล้ว… ไม่ว่าจะรังเกียจนางปานใด เพียงชั่วเวลาไม่นานเช่นนี้ก็จะทนไม่ไหวเชียวหรือ? มีความแค้นใหญ่หลวงเพียงนั้นเชียว?


              เพียงแต่นางว่านก็เป็นแม่นมของเสิ่นจั้งเฟิง ทั้งยังนอบน้อมกับตนยิ่ง นางก็บอกมาโดยอ้อมแล้วว่าไม่ต้องเคลือบแคลงในตัวหลิวรั่วอวี้ หากยังถามให้มากความ เช่นนั้นก็เท่ากับไม่เชื่อนางว่าน เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มกลบเกลื่อนไป และตัดสินใจให้นางหวงไปสอบถามเองอย่างลับๆ ในภายหลัง


              “ใช่แล้ว ท่านอาบอกว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนเรียบเฉย ทว่าวันที่ข้าเข้าบ้านมา พี่สะใภ้รองกลับพูดหยอกล้อกับข้า ข้ายังนึกว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนร่าเริงช่างเจรจาเสียอีก!” เว่ยฉางอิ๋งดื่มน้ำเฉินเซียงไปอึกหนึ่ง พลางหัวเราะเบาๆ


              นางว่านเข้าใจ ครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองมีความสัมพันธ์อันดีต่อคุณหนูของจือเปิ่นถังสองสามท่านมาโดยตลอด หนึ่งในนั้น คุณหนูห้าตระกูลเว่ยแห่งจือเปินถังเว่ยลิ่งจือสนิทสนมกับฮูหยินน้อยรองเป็นพิเศษ ทั้งยังเคยสอนให้คุณหนูหลานรองของเราดีดฉินด้วยเจ้าค่ะ…ด้วยเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องฝั่งมารดา รุ่ยอวี่และบ้านรองของจือเปิ่นล้วนเป็นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว คงเป็นเพราะเหตุนี้ ฮูหยินน้อยรองจึงให้ความสนิทสนมกับฮูหยินน้อยเป็นพิเศษ ในวันที่ฮูหยินน้อยเข้าบ้านจึงได้สนทนาเย้าหยอกเฮฮากันกระมังเจ้าคะ!”


              ที่แท้ปัญหาก็ยังมาจากจือเปิ่นถัง


              นับแต่เว่ยฉีเกษียณตัวจากราชการ จือเปิ่นถังก็สูญเสียอำนาจไปอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะผู้ที่รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองก็ยังเป็นเว่ยหวน ซึ่งเป็นคนในอีกสายหนึ่งของรุ่ยอวี่ถัง แม้จะบอกว่ายังมีบุตรอีกสองสามคนของเว่ยฉีที่มีความสามารถ ทว่ายามนี้เว่ยฉีผัวเมียล้วนถูกเว่ยฮ่วนกักตัวไว้เป็นตัวประกันที่เฟิ่งโจว พวกเขาจึงทำการใดไม่ได้เต็มไม้เต็มมือ ในทางแจ้งนั้นเว่ยเซิ่งอี๋ดูคล้ายเคยมีเว่ยฉีคอยส่งเสริม แต่ในทางลับเขากลับถูกเว่ยฉีคอยขัดขวางและข่มเหง กลายเป็นว่าเมื่อไม่มีเว่ยฉีแล้ว เว่ยเซิ่งอี๋จึงพอจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากบ้าง


              เว่ยฉางอิ๋งลอบแค่นเสียงอย่างดูแคลนในใจว่า นางตวนมู่ก็ไม่น่าต้องหาเรื่องหาราวกับตนเพราะคำของลูกผู้น้อง เกรงว่าข้อขัดแย้งที่ใหญ่หลวงที่สุดก็ยังคงอยู่ที่ตำแหน่งประมุขตระกูลเสียมากกว่า


              ความรู้สึกขัดแย้งเช่นนี้ไม่อาจหดหายไปได้ นิสัยส่วนตัวของเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ชอบยอมให้ผู้ใด จึงได้เก็บบ้านสองใส่ไว้ในบัญชีเฝ้าระวังในทันที และถามถึงคนอื่นๆ ในบ้านเสิ่นต่อไป


              นางว่านพูดกับนางถึงน้องสาวของสามีทั้งใหญ่เล็กเป็นอันดับแรก “คุณหนูใหญ่และคุณหนูสามล้วนเป็นบุตรสาวของท่านเซียงหนิงปั๋ว คุณหนูใหญ่แต่งกับคุณชายรองตระกูลซู เพียงแต่ปีนั้นคุณชายตระกูลซูล้มป่วยและเสียชีวิต คุณหนูใหญ่เสียใจยิ่งนักไม่อาจทนอยู่ที่บ้านซูได้ต่อไปจึงย้ายกลับมาอยู่ที่จวนเซียงหนิงปั๋ว ฮูหยินท่านเซียงหนิงปั๋วเสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากคุณหนูใหญ่กลับมาจึงได้ช่วยแบ่งเบาภาระการดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน ส่วนคุณหนูสามนั้น หลังจากมารดาของคุณหนูสามเสียไปคุณหนูสามก็ยังคงไว้ทุกข์จนถึงวันนี้ ยามฮูหยินน้อยและคุณชายไปคารวะที่จวนเซียงหนิงปั๋ว คุณหนูใหญ่และคุณหนูสามจึงต่างมิได้ออกมาเจ้าค่ะ”


              แม่ม่ายผู้หนึ่ง กับผู้ที่ไว้ทุกข์ ไม่เหมาะจะมาพบกับคู่แต่งงานใหม่จริงดังว่า


              “คุณหนูรองเป็นบุตรสาวคนโตของฮูหยินของเรา ปีนั้นเข้าพระเนตรฮ่องเต้ จึงพระราชทานให้เป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องจี่ ยามนี้ยังคงติดตามท่านอ๋องจี่อยู่ในเขตที่ดินศักดินา จึงมิได้เห็นนางเจ้าค่ะ” นางว่านยิ้มน้อยๆ ยามเอ่ยถึงพวกน้องชายของสามี “คุณชายสี่หมั้นหมายแล้ว ว่าที่ฮูหยินน้อยสี่เป็นคุณหนูตระกูลเผย อีกสองเดือนให้หลังก็จะเข้าบ้านแล้วเจ้าค่ะ คุณชายห้าเป็นบุตรชายคนเล็กของบ้านเราซึ่งสนิทสนมกับคุณชายของเรามาก แน่นอนว่าคุณชายหกและคุณชายแปดด้วย โอ้ ใช่แล้ว คุณชายเจ็ดของเซียงหนิงปั๋วทางนั้นก็เหมือนคุณชายสี่ ที่ล้วนเป็นฮูหยินของเราดูแลมาจนเติบใหญ่เจ้าค่ะ!”


              เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยความสงสัย “นี่เป็นเพราะเหตุใด?”


              “เพราะหลายปีก่อนนั้นท่านเซียงหนิงปั๋วเคยสูญเสียคุณชายหลายท่านไปแต่ยังเล็ก หลังจากนั้นเมื่อฮูหยินของท่านเซียงหนิงปั๋วคลอดคุณชายสี่แล้วจึงไม่กล้าเลี้ยงดูเอง และขอให้ฮูหยินของเราช่วยเลี้ยงดูให้ ไม่คิดว่าก็กลับเติบโตมาแข็งแรงจริงๆ ดังนั้นเมื่อคุณชายเจ็ดเกิด ท่านเซียงหนิงปั่วจึงขอร้องให้ฮูหยินช่วยเลี้ยงดูไปด้วยกัน” นางว่านยิ้มพลางว่า “เช่นนั้นต่อหน้าฮูหยินของพวกเราทั้งคุณชายสี่และคุณชายเจ็ดจึงเหมือนเป็นบุตรแท้ๆ เจ้าค่ะ”


              “ท่านแม่เป็นผู้มีเมตตายิ่ง” เว่ยฉางอิ๋งอมยิ้มพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน


              แล้วยังสนทนาถึงเรื่องสิ่งที่ฮูหยินซูโปรดปรานอีกสองสามประโยค นางว่านรู้เรื่องใดก็ไม่ปิดบัง และมีเรื่องเล่าไม่จบสิ้น ทั้งยังพลอยเล่าถึงอาหารและสิ่งของต่างๆ ที่เสิ่นจั้งเฟิงโปรดปรานอีกด้วย… เช่นนี้เรื่อยไปจนถึงเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งอยากจะให้นางอยู่ทานอาหารด้วยกัน แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับกลับมาเสียแล้ว


_______________________________

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม