สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 ตอนที่ 4.3-7.4

บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (3)

โดย

Ink Stone_Romance

 


“ใช่นะสิ!” ฮั่วชิงเอ๋อร์ตื่นเต้นกว่าใคร พูดไปพูดมายกชายกระโปรงของตนวิ่งไปเลือกตุ๊กตาแป้งปั้นที่หน้าร้านฝั่งตรงข้าม “เมื่อสองปีก่อนตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้าก็เคยไปงานโคมไฟในเมืองกับลูกพี่ลูกน้อง ยังมิอาจเทียบกับที่นี่ได้เลย”


พอพูดเสร็จก็หันไปกวักมือเรียกพวกฉู่สวินหยาง “รีบมาสิ! ยากนักกว่าจะมีโอกาสได้คึกครื้นเช่นวันนี้ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวันฉลองเทศกาลมักมีของแปลกใหม่มากมาย วันนี้ข้าจะซื้อให้หนำใจ พวกเจ้าชอบอะไรก็เลือกเอา วันนี้ข้าเลี้ยงเอง!”


รอยยิ้มของนางสดใสชวนมอง มันแผ่ลามไปถึงทุกคนอย่างง่ายดาย


พวกฉู่เยว่หนิงอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ล้วนเดินเข้าไปร่วมวง


ฉู่สวินหยางจงใจเดินช้าลงก้าวหนึ่ง เอ่ยพูดกับเจี่ยงลิ่วที่ติดตามมาว่า “เจ้าสั่งการลงไป ให้แบ่งคนกระจายออก จัดทหารตามพวกข้าคนละสองนาย จะได้ดูแลอย่างทั่วถึง ส่วนที่เหลือให้รอที่รถม้า บนถนนคนมาก เกรงว่าจะเล่นสนุกเพลินแล้วพลัดหลงกันได้”


 เพิ่งจะเกิดเรื่องขึ้นกับฉู่ฉีฮุย เหล่าแม่หญิงอย่างพวกฉู่สวินหยางยังอ้างได้ว่าไร้ประสบการณ์ อยากจะเล่นไปอย่างไรก็ได้ แต่ฉู่ฉีเฟิงนั้นต้องหลบเลี่ยง ด้วยที่ว่าเขาไม่สะดวกออกมา จึงสั่งให้เจี่ยงลิ่วพาคนมาตามดูแลฉู่สวินหยาง


“ขอรับ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” เจี่ยงลิ่วพยักหน้ารับคำสั่งและหมุนตัวไปจัดการ


ฉู่สวินหยางจึงเดินเข้าไปเลือกตุ๊กตาแป้งปั้นกับพวกฮั่วชิงเอ๋อร์อย่างกระตือรือร้น


นักปั้นเป็นชายชราอายุราวหกสิบได้ ฝีมือของเขาช่างรังสรรค์นัก ไม่ว่าจะปั้นเป็นคนหรือสัตว์ ล้วนแต่มีชีวิตชีวาสมจริงไปเสียหมด


หญิงสาวพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจกันอยู่หน้าร้านนั้น แต่สายตาของฉู่สวินหยางกลับสะดุดที่รูปปั้นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายแสนธรรมดาตัวหนึ่ง


หญิงผู้นั้นสวมชุดกระโปรงง่ายๆ คุกเข่าอยู่บนพื้น บนนิ้วมีนกที่รูปร่างคล้ายนกกระจอกเกาะอยู่ กลางฝ่ามือที่แบออกเหมือนจะมีอาหารอะไรอยู่ด้วย ชายเฒ่าฝีมือดีมาก ถึงปั้นเครื่องหน้าของหญิงสาวออกมาได้อย่างมีพลัง ตาคิ้วล้วนสละสลวย ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มเหมือนมีพลังที่ทำให้คนรอบข้างยิ้มตามไปด้วย ช่างสมจริงและประณีตเหลือเกิน


ฉู่สวินหยางตั้งใจมองมาก จนยิ้มตาโค้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่ยืนตื่นเต้นกันอยู่ด้านหน้า จึงไม่ได้สนใจอะไร ยกเว้นสาวใช้สองคนข้างกายนางที่สังเกตเห็นและมองตามไป เมื่อกวาดตาไปเจอรูปปั้นหญิงสาว สองคนก็ตะลึง แล้วหันกลับมามองฉู่สวินหยางโดยมิได้นัดหมาย


แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ได้สนใจ ยื่นมือออกไปหยิบรูปปั้นคนที่อยู่บนชั้นนั้น แต่ยังไม่ทันจะแตะโดนก้านไม้ไผ่ กลับมีมือคู่หนึ่งยื่นไปหยิบตัดหน้าเสียก่อน


เห็นได้ชัดว่าเป็นมือของบุรุษ


หญิงสาวไม่กี่คนต่างตกตะลึง หันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว เวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงหยอกเย้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ไอหยา รูปปั้นนี้ไม่เลวจริงๆ แม่นางชอบรึ? ข้าน้อยจะได้ยืมดอกไม้ถวายพระ ซื้อให้เจ้าดีหรือไม่?”


น้ำเสียงของเขาหยอกเย้า แต่ก็ไม่ได้ดูจริงจังอะไร ทั้งๆ ที่เป็นคนแปลกหน้า แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกต่อต้านเลยสักนิด


ซูอี้ถือไม้ไผ่ที่เสียบรูปปั้นหญิงสาวไว้ในมือ ก่อนจะส่งไปตรงหน้าฉู่สวินหยางพร้อมรอยยิ้ม ทว่าเบื้องหน้าพลันมีชายแขนเสื้อชุดเขียวปัดผ่าน ทำเอารูปปั้นในมือตกพื้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเยือกเย็นและไม่เป็นมิตร “นางมิชอบของพวกนี้หรอก!”


ไม่ต้องสงสัยเลย ชายคนที่แทรกเข้ามาก็คือเหยียนหลิงจวิน


รูปปั้นนั้นปั้นเสร็จนานแล้ว มันจึงเปราะมาก พอตกลงพื้นจึงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


“ไอหยา!” ชายเฒ่าเห็นดังนั้น ก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา รีบวิ่งอ้อมออกจากแผงร้านก้มลงเก็บเศษรูปปั้นที่เกลื่อนเต็มพื้นทีละชิ้นๆ พลางเอ่ยหน้าดำคร่ำเครียดว่า “เจ้านี่ไร้มารยาทเสียจริง ทำของของข้าพัง เจ้า…เจ้า…”


“น่าเสียดายจริง ทำให้ท่านผู้เฒ่ามากฝีมือต้องลำบากแล้ว” ซูอี้เอ่ยพลางโค้งตัวช่วยประคองชายเฒ่าด้วยสีหน้าจริงใจ ก่อนจะล้วงเงินออกจากอกเสื้อและยัดให้เขา “เป็นเพราะข้าเองที่มือไม้ลื่น แผงนี้ทั้งแผงข้าขอเหมาหมดเลยก็แล้วกัน วันฉลองเทศกาลเช่นนี้ ขอให้ร่ำให้รวย ให้ร่ำให้รวย!”


เดิมชายเฒ่าก็ยังโมโหกับเรื่องรูปปั้นที่ตกแตกอยู่ พอเห็นเงินแล้วก็ไม่ได้ทำสีหน้าดีขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นชายหนุ่มยิ้มอย่างจริงใจเช่นนี้จึงไม่กล้าอาละวาดอีก ได้แต่เก็บเงินไปปนอารมณ์โกรธเคือง สุดท้ายก็ถลึงตาใส่เขาอย่างโมโหอีกที


ซูอี้คลี่ยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาด ก่อนจะหันกลับไปพูดกับพวกฉู่สวินหยาง “เป็นข้าที่บุ่มบ่าม ลบหลู่ทุกท่านแล้ว รูปปั้นพวกนี้ก็นับว่าเป็นของไถ่โทษให้กับแม่นางทั้งหลายก็แล้วกัน!”


บนถนนใหญ่นี้ ฐานันดรของพวกฉู่สวินหยางมิอาจเปิดเผยได้ ฉะนั้นจึงละการเอ่ยขนานนามกันไว้


เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา และยังสุภาพมีน้ำใจ รอยยิ้มแสนดีของเขาจึงทำให้เหล่าหญิงสาวหน้าแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว


“ซูอี้ คุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่น!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพร้อมกับก้าวขึ้นไปยืนข้างกายฉู่สวินหยางครึ่งก้าว ราวกับมีเจตนาใช้กายของตนยังโฉมหน้านางไว้


ชายหญิงกลุ่มนี้หน้าตาโดดเด่นอาภรณ์มิสามัญ ยืนอยู่กลางถนนเช่นนี้ค่อนข้างจะสะดุดสายตาผู้คน ชายเฒ่าที่อยู่หลังแผงขายยังคงปั้นตุ๊กตาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ พลางเหลือบมองเป็นระยะๆ สีหน้ายังคงมีอารมณ์โกรธอยู่


“คุณชายรองซู!” พวกนางเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท


ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือบอกว่าคุณชายรองตระกูลซูมายังเมืองหลวง แต่แค่ไม่มีใครเคยพบเขาในที่สาธารณะ การมีอยู่ของเขาจึงให้ความรู้สึกลึกลับพอตัว


บัดนี้ได้เจอตัวจริงแล้ว จึงได้รู้ว่าเขาเป็นบุรุษที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับซูหลินที่ค่อนข้างเย่อหยิ่งแล้ว คุณชายรองตระกูลซูผู้นี้กลับดูน่าเข้าใกล้สนิทสนมกว่าหลายส่วน


พอตอนนี้เมื่อยืนคู่กับเหยียนหลิงจวิน ทั้งคู่ต่างดูสง่าผ่าเผยไปหมด แต่แค่ดวงตาของเหยียนหลิงจวินแฝงไปด้วยอารมณ์บางอย่าง เมื่อคนมองแวบแรกก็ทำให้หน้าแดงใจสั่นและยังให้อารมณ์เหินห่างหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขานัก


แต่คุณชายรองตระกูลซูผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน ทั้งภายในและภายนอกล้วนอ่อนโยนแสนอบอุ่น โดยเฉพาะรอยยิ้มนั้น ที่เหมือนแฝงพลังอะไรบางอย่างทำให้ผู้คนชื่นตาสบายใจ


แต่อย่างไรก็เป็นการพบกันครั้งแรก พอทักทายเสร็จทุกคนจึงเบือนสายตาหนี


“ใต้เท้าเหยียนหลิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ฉู่เยว่หนิงมองไปทางเหยียนหลิงจวินอย่างคาดไม่ถึง


“ว่างๆ เบื่อๆ จึงนัดคุณชายรองออกมาดื่มสักแก้ว ไม่คิดว่าจะเจอพวกเจ้าที่นี่” เหยียนหลิงจวินเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน


ฉู่สวินหยางไม่เชื่อว่าเขาจะบังเอิญเจอ แต่ก็ไม่ได้โพล่งออกไป


“เช่นนั้นก็บังเอิญเหลือเกิน พวกเราก็เพิ่งถึงเช่นกัน” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ย เห็นได้ชัดว่าเชื่อในคำพูดของเขา “พวกเจ้าจะไปที่ใดหรือ? พวกเราจะเดินเล่นไปตามถนนสายนี้ หาก…”


“พวกข้าเหมาเรือไว้ที่แม่น้ำด้านหน้า ต้องเดินผ่านถนนสายนี้พอดี” เหยียนหลิงจวินเอ่ย “นัดเจอมิสู้บังเอิญพบ เช่นนั้นก็เดินไปด้วยกันเถอะ หากเวลาเอื้ออำนวย ข้าก็ขอเชิญทุกท่านนั่งเรือชมทิวทัศน์ด้วยกันดีหรือไม่?”


เขาเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม แม้สำนักหมอหลวงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบ้านการเมือง แต่หลายเดือนมานี้ที่เขาอยู่เมืองหลวง ความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าขุนนางกลับกระชับขึ้นอย่างรวดเร็ว ปกติเวลาร่วมงานเลี้ยงกินดื่นก็ไม่ได้เก้อเขินอะไร


พวกนางนานๆ ทีจึงจะได้ออกมาเที่ยวเล่น ยิ่งมีคนรุกเร้าชักชวนเช่นนี้ ยิ่งไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ


“เอาสิๆ ข้าก็ยังไม่เคยนั่งเรือชมทิวทัศน์เหมือนกัน เห็นทีวันนี้มีโอกาสได้ชมแล้ว” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยความตื่นเต้น


เหยียนหลิงจวินคลี่ยิ้ม


ซูอี้เดินนำไปก่อนก้าวหนึ่ง


คนอื่นๆ เดินตามอยู่ด้านหลัง


ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่ตื่นเต้นดีใจ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉู่สวินหยางที่จงใจรั้งตัวอยู่ท้ายสุด


ฉู่สวินหยางไม่ขยับ เหยียนหลิงจวินจึงยืนรอนางอยู่ข้างๆ กระทั่งผู้อื่นเดินไปหมดแล้ว นางจึงยิ้มให้เขาก่อนจะก้าวไปด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะออกมา?”


เหยียนหลิงจวินมองตรงเดินไปด้านหน้า และตอบกลับมาอย่างจริงจังสองพยางค์ว่า “เดาเอา!”


ฉู่สวินหยางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะถือสาเขา ได้แต่ชมดูของแปลกใหม่ตามร้านสองข้างทางด้วยความสนอกสนใจ


ถนนสายนี้ผู้คนมากหน้าหลายตา แต่เหยียนหลิงจวินก็เดินตามนางไปเรื่อยๆ


คนในกลุ่มทำให้ขบวนยาวเหยียด เดินตรงไปตามทางด้านหน้าอย่างสนุกสนาน


“ชิงหลัว เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ารูปปั้นที่โดนคุณชายรองซูทำแตกดูคล้ายกับท่านหญิงของเราอยู่หลายส่วน” ชิงเถิงและชิงหลัวตามอยู่ด้านหลัง อดกลั้นมานาน สุดท้ายชิงเถิงก็กระตุกชายเสื้อแล้วกระซิบกระซาบกับชิงหลัวอย่างอดไม่ได้


—————————–


บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (4)

โดย

Ink Stone_Romance

 


รูปปั้นนั้นเล็กมาก รายละเอียดเครื่องหน้าก็ไม่ได้ละเอียดชัดเจนขนาดนั้น กอปรกับเป็นตอนกลางคืน จะบอกว่ารูปปั้นตุ๊กตานั้นหน้าละม้ายคล้ายฉู่สวินหยางก็คงไม่ได้ เพียงแต่พอโค้งยิ้มขึ้นมา นับว่าบังเอิญนัก…


เหมือนทั้งภายนอกและภายใน ประดุจคัดลอกมาวาง


หากเป็นคนนอกที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มไร้พันธนาการเช่นนี้ของฉู่สวินหยางก็คงไม่อะไร แต่สาวใช้ทั้งสองอยู่กับนางมาหลายปีแล้ว…


ไม่เพียงแค่ชิงเถิง พอชิงหลัวมองไปก็ตกใจมากเช่นกัน หากไม่ได้มั่นใจว่าฉู่สวินหยางไม่เคยพบกับชายเฒ่าที่ปั้นตุ๊กตามาก่อน ทั้งสองคงคิดว่ารูปปั้นนั้นปั้นตามแบบฉู่สวินหยางเป็นแน่


นับว่าประหลาดยิ่งนัก!


ก็ไม่แปลกที่เหยียนหลิงจวินจะลงมือปัดจนตกแตก


ถึงจะแค่บังเอิญ แต่ถ้าเกิดมีคนคิดไม่ดีเห็นเข้าก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆ


“อย่าปากมาก!” ในใจชิงหลัวก็เกิดสงสัยเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่รอบข้างจึงไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ขมวดคิ้ว “ระวังอย่าก่อเรื่องเข้าล่ะ”


ชิงเถิงจึงปิดปากไป


ฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหน้าเลือกโคมไฟดอกไม้มาถือไว้โคมหนึ่ง มือก็พลางดึงหูของโคมกระต่ายเล่น หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับเหยียนหลิงจวินว่า “อีกครู่จะไปนั่งเรือชมทิวทัศน์จริงหรือ?”


วันสำคัญเช่นนี้ ปกติเรือชมทิวทัศน์มีแต่จะไม่เพียงพอ หากไม่ได้เตรียมการมาก่อนจริงๆ คงจะหาเช่าไม่ได้


“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้าเดินเข้าไปหา ไม่ได้รู้ว่าท่าทีเหมือนเด็กๆ ของนางไม่เหมาะสมแต่อย่างใด และตนยังเอื้อมมือไปดึงหูกระต่ายเล่นด้วย


ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ก็แค่โคมไฟ เจ้าแกล้งอะไรมัน? มิใช่กระต่ายจริงๆ เสียหน่อย!”


เมื่อครู่เหยียนหลิงจวินก็แค่ทำตามอำเภอใจ พอรู้ตัวอีกทีถึงได้รู้ว่าตนลืมตัว แต่โดนนางล้อเช่นนี้เขาก็หาได้รู้สึกอับอาย ทั้งยังปั้นหน้ายิ้มต่อได้ “หากเจ้าชอบ ไว้วันหลังข้าจะมอบตัวเป็นๆ ให้!”


ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาพูดเล่นๆ จึงหัวเราะแล้วก็ลืมสนิท


ฉู่เยว่หนิงหันกลับมา พอเห็นทั้งสองถูกทิ้งไว้ห่างออกไป จึงโบกมือเรียก “พี่สาม พวกเจ้ารีบเดินหน่อย!”


“อืม มาแล้วๆ!” ฉู่สวินหยางตอบ กำลังจะหมุนตัวออกเดิน ทว่าเมื่อเดินสวนกับเหยียนหลิงจวินกลับถูกชายหนุ่มยื่นนิ้วก้อยออกมา แล้วเกี่ยวนิ้วก้อยของนางที่แอบอยู่ใต้แขนเสื้อ


ลูกไม้เช่นนี้ แต่ก่อนเขาก็เคยใช้แล้วครั้งหนึ่ง


แต่ยามนี้ทั้งสองกำลังอยู่ในถนนที่ผู้คนขวักไขว่ ฉู่สวินหยางจึงยืนแข็งทื่อ สีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด แดงเสียจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา


นางกวาดตามองรอบข้างอย่างพะว้าพะวง พยายามสะบัดมือทั้งที่ยังหน้าแดงก่ำ “ปล่อยนะ เดี๋ยวใครเห็นเข้า!”


เหยียนหลิงจวินเห็นนางหน้าแดงจนถึงใบหู นัยน์ตาพลันคลี่ยิ้มราวกับสายน้ำต้นเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิ เขาเกี่ยวนิ้วนางเดินไปข้างหน้าอย่างดื้อๆ พลางมองไปทางแขนเสื้อของทั้งสองที่ทับกันอยู่ เอ่ยว่า “แขนเสื้อปิดอยู่ มองไม่เห็นหรอก!”


ฉู่สวินหยางถูกเขาจับจูงอยู่ ไหนเลยจะสบายอารมณ์ได้แบบเขา


แม้ปกตินางจะทำตัวไร้ยางอายบ้างเวลาอยู่กันสองคน แต่ก็ไม่ได้หน้าหนามาทำโจ่งแจ้งต่อหน้าคนอย่างนี้ ด้วยที่กลัวตกเป็นเป้าสายตา นางจึงไม่อาจต่อล้อต่อเถียงกับเขาจนเป็นเรื่องใหญ่โต ฉะนั้นจึงได้แต่รีบเดินตามเขาไป สองคนเดินคู่กันไปด้านหน้าโดยใช้แขนเสื้อที่ห้อยลงมาบดบังเจ้าตัวปัญหาที่อยู่ข้างใน


ฉู่เยว่หนิงรอทั้งสองเดินเข้ามาหาอยู่เบื้องหน้า เมื่อเห็นทั้งสองเดินมามือเปล่า มีเพียงฉู่สวินหยางที่ถือโคมไฟดอกไม้อยู่ในมือ ก็เบ้ปากเอ่ยว่า “พี่สามเดินนานขนาดนี้ ซื้อมาแค่โคมไฟดอกไม้เองหรือ?”


“เปล่า! ข้ากลัวพวกเจ้าจะซื้อของเยอะ เดี๋ยวรถม้าจะใส่ไม่พอ” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยสีหน้าที่ปกติที่สุด


เหยียนหลิงจวินเดินอยู่ข้างนาง คลี่ยิ้มมุมปากอย่างสบายใจ


ฉู่เยว่หนิงรีบยิ้มกลบเกลื่อน “พี่สาวตระกูลฮั่วก็บอกแล้ว ของวันนี้นางเลี้ยงเองทั้งหมด พี่สามคงไม่อยากเอาเปรียบนางใช่หรือไม่? ข้าไม่สนหรอก ถึงตอนนั้นหนี้ที่ติดเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้พี่ไถ่คืน!”


“ใช่นะสิ รอเจ้าแต่งงานก็เป็นคนของสกุลอื่นแล้ว ยังจะเหลือหนี้ให้ข้าไปไถ่คืนอีก!” ฉู่สวินหยางปั้นหน้ายิ้มพูดหยอก ดีที่แสงไฟในถนนยามราตรีสว่างไสว พอช่วยปกปิดสีหน้าผิดปกติของนางได้พอดี


“พี่สาม พี่เอาข้าไปพูดเล่นอีกแล้ว!” ฉู่เยว่หนิงหน้าแดง กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ


“พวกเจ้าทำอะไรกัน? รีบมานี่เร็ว เครื่องประดับสวยๆ ทั้งนั้นเลย!” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูดพลางหันมากวักมือเรียกไวๆ


ฉู่เยว่หนิงรับคำก่อนจะวิ่งนำไปก่อน


พอฉู่สวินหยางจะตามไปด้วย จึงนึกได้ว่ามีคนเกี่ยวก้อยอยู่ ทำได้เพียงทำหน้าทำตาตามประสาสาวน้อย ปล่อยให้เหยียนหลิงจวินจูงมือไปอย่างเชื่องช้า


กว่าจะได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังมีโอกาสดีๆ เช่นนี้ แต่พอถึงทีนาง กลายเป็นสองคนจูงมือกันชมทิวทัศน์ไปเสียนี่ และยังต้องคอยหวาดระแวงเหมือนโจรว่าจะมีคนมาเห็นเข้าหรือไม่ ความรู้สึกนี้…


ช่างไม่เป็นตัวของตัวเองเลยจริงๆ


เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทีพะว้าพะวงของนาง โค้งยิ้มยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก “ตามจริงของซื้อของขายบนถนนนี้มีทั้งปี วันนี้คนมาก แค่ร่วมสนุกด้วยก็พอแล้ว หากเจ้าชอบ ไว้วันหลังข้าจะพามาใหม่”


บุรุษผู้นี้เวลาหน้าหนาขึ้นมาใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น ฉู่สวินหยางจึงไม่คิดคุยกับเขาด้วยเหตุผล ทว่าจู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรได้จึงเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้ว รูปปั้นเมื่อครู่…”


“มันแปลกๆ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย สายตาคู่นั้นเย็นชาขึ้นมาในทันใด


เขาเหลือบตามองทีหนึ่ง อิ้งจื่อที่แต่งตัวเป็นชายก็รีบเดินขึ้นมา “เจี๋ยหงคอยดูอยู่เจ้าค่ะ บ่าวให้นางพาคนกลับไปด้วย ถึงตอนนั้นค่อยถามก็ไม่สาย”


“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้ารับ และไม่ได้พูดอะไรอีก


ขณะเดียวกัน ในห้องส่วนตัว ณ โรงน้ำชาที่ตั้งอยู่เกือบสุดปลายถนน ฉู่หลิงอวิ้นนั่งมองบรรยากาศบนถนนที่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คน “หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าคงนัดเจ้ามาพรุ่งนี้แทน โหวกเหวกโวยวายน่ารำคาญสิ้นดี”


ฉู่ฉีเหยียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนาง แต่ท่าทีของเขากลับสงบนิ่ง นั่งรินชาให้ตนพลางเอ่ยว่า “เพราะในใจเจ้าไม่สงบเอง ข้าก็ตอบเจ้าแล้วเรื่องวังบูรพายังมิต้องให้เจ้าเข้ามายุ่ง ตอนนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮากำลังแตกคอกัน หากเจ้าเข้าไปยุ่งจะยิ่งไปกันใหญ่ เลี่ยงไว้ก่อนนับว่าเป็นผลดี”


“ข้าก็แค่ไม่พอใจ!” ฉู่หลิงอวิ้นตวาดกลับพลางกระแทกถ้วยชาลงเสียงดัง “หากมิใช่เพราะนังเด็กฉู่สวินหยางนั่นแอบมายุ่ง ข้าจะตกต่ำมาถึงจุดนี้หรือ? แต่นางกลับกินอยู่อย่างอิสระ อาศัยสิ่งใด? แค้นนี้ข้าจะต้องชำระกับนางให้ได้สักวัน”


คำพูดเช่นนี้ นางก็จะพูดออกมาทุกครั้งที่พบกัน ฉู่ฉีเหยียนเลิกแปลกใจแล้ว จึงทำเพียงนั่งฟังเงียบๆ


จนนางระเบิดโทสะกับฉู่ฉีเหยียนหมดแล้วถึงยอมปริปาก “กว่าจะมีฤกษ์ดีเช่นวันนี้ เมื่อเจ้าออกมาแล้ว ก็ไปเดินเล่นหน่อยเถอะ นับว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ก็ได้!”


“ให้ข้าออกไปเบียดเสียดกับพวกไพร่พวกนั้นน่ะหรือ? ข้ายังไม่เบื่อหน่ายขนาดนั้นหรอก” ฉู่หลิงอวิ้นตอบเสียงแข็ง ไม่แม้แต่จะคิดรักษาน้ำใจ พอหันกลับไป จู่ๆ ก็เห็นว่าฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วจ้องไปยังถนนชั้นล่างไม่ขยับเขยื้อน


นางจิบชาไปคำหนึ่ง แล้วจึงมองตามไปอย่างสงสัย


แสงโคมไฟด้านล่างสว่างกระจายไปทั่ว ไม่ได้ดูมีอะไรน่าพิเศษ แต่เมื่อมองลงไปกลับเห็นเงาของคนคู่หนึ่งที่เดินเคียงกันไปตามแผงร้านค้าต่างๆ


วันนี้เหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางล้วนไม่ได้แต่งตัวโอ่อ่า แต่เมื่อมองลงไปก็สามารถสังเกตเห็นพวกเขาท่ามกลางฝูงชนมากมายได้ในทันที


ยามนี้ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป พูดคุยหัวเราะร่าด้วยเรื่องบางอย่าง


นางมีหันมายิ้มหวานให้เขา ส่วนมุมปากของเขาก็ยังคงโค้งขึ้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่สายตาคู่นั้น มีแค่ตอนที่อยู่กับนางเท่านั้นจึงจะยอมเผยอารมณ์ที่แท้จริงของตนออกมา


แม้คนอื่นจะรู้สึกว่าเหยียนหลิงจวินเป็นคนที่ชอบใส่หน้ากากตลอดเวลา แต่ฉู่หลิงอวิ้นไม่เห็นด้วย…


เขาที่จิตใจเบิกบานเช่นนี้ต่างหากที่เป็นตัวจริง


และก็เป็นเพราะนางฉู่สวินหยางนั่นอีกแล้ว!


ในอกของฉู่หลิงอวิ้นสั่นสะท้านด้วยความโกรธ แววตาเย็นชาขึ้นมาในทันใด ก่อนจะสบถ “เสียอารมณ์จริงๆ!”


ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาจ้องไปบนใบหน้าของสองคนนั้นอีกแวบหนึ่งแล้วก็รีบเบือนหนี แต่กลับเหลือบไปหยุดอยู่ที่แขนเสื้อที่ทับกันอยู่ของทั้งสองคน


หากมองจากที่สูงจะเห็นได้ชัดว่า…


ภายใต้แขนเสื้อนั้น นิ้วมือของทั้งสองเหมือนจะเกี่ยวพันเข้าด้วยกันอย่างอ่อนหวาน


ฉู่ฉีเหยียนสติเริ่มเลอะเลือน ส่วนฉู่หลิงอวิ้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยันโต๊ะลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังทางออกพลางเอ่ยอย่างหัวเสีย “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน!”


ฉู่ฉีเหยียนเห็นนางเดินดุ่มๆ อารมณ์เสียออกไปก็ขมวดคิ้ว สักพักก็เอื้อมมือปิดหน้าต่างและเดินตามนางออกไป


————————————


บทที่ 5 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

 


ฉู่หลิงอวิ้นรีบเดินลงมาทันเวลาตอนที่เหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางเดินผ่านประตูโรงน้ำชาไปพอดี


ฉู่สวินหยางรู้สึกแปลกๆ เดิมทีนางก็โดนเขาจูงมือเดินนำเหมือนคนเป็นคู่สามีภรรยากันอยู่แล้ว


ฝีเท้าของทั้งสองคนไม่เร็วมาก เดินไปดูร้านรวงรอบข้างไปด้วย


ฉู่หลิงอวิ้นเดินออกมาจากประตูบานนั้น


เมื่อกี้นางเดินไวเกินไป เลยไม่ทันสังเกตเห็นมือของทั้งสองคน เห็นเพียงแค่ไหล่ของสองคนชนกันราวกับแนบชิดอิงกายจนรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษ


นางสบถเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินตามไป


“ใต้เท้าเหยียนหลิง!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แสงไฟที่ส่องลงมายิ่งเสริมให้ใบหน้าของนางสละสลวยขึ้นไปอีก ราวกับดอกโบตั๋นอันสง่างาม “เมื่อวานเพิ่งได้พบท่านในวัง บังเอิญจังเลยที่ได้พบกันที่นี่อีก เราช่างมีพรหมลิขิตต่อกันจังเลยนะ!”


ฉู่สวินหยางกับเขาถูกรั้งไม่ให้เดินหน้าต่อ ทั้งสองคนจึงหยุดฝีเท้าลง


ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับนางที่นี่ แต่สีหน้าของเขายังคงแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ้มออกมาอย่างไม่ผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียว


รอยยิ้มของเขาแสดงออกมาอย่างเป็นมิตร


ฉู่หลิงอวิ้นเองก็คิดว่าอยู่บนสถานที่อย่างถนนมากด้วยผู้คนแบบนี้ย่อมต้องรักษาภาพพจน์เช่นกัน ต้องแสร้งทำเป็นดีเข้าไว้ แล้วถึงเวลาค่อยพูดอะไรออกไป ให้ฉู่สวินหยางเอากลับไปคิดเป็นตุเป็นตะต่อเองก็คงไม่เลว


หลังจากนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหยียนหลิงจวินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ใช่ว่าการบังเอิญเจอทุกครั้งจะนับว่าเป็นพรหมลิขิตเสมอไปหรอกนะขอรับ มีคำหนึ่งที่เรียกว่า ‘ใต้หล้านี้มันแคบ’ ด้วยนะ อุตส่าห์ได้มีวันที่มีโอกาสแบบนี้ทั้งที ทำข้าเสียบรรยากาศหมดเลย!”


ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มแย้ม แต่ในใจกำลังคิดแผนการอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อนางได้ยินคำพูดนั้นเข้า ก็ผงะตกใจทันใดอย่างไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มนั้นชะงักค้างอยู่บนใบหน้า ไม่นานหลังจากนั้นหน้าของนางก็มืดคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด


อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันนั้นหัวเราะขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างามเหลือล้น


ฉู่สวินหยางหันไปมองเหยียนหลิงจวิน นางรู้สึกว่าเขาทำตัวต่างจากที่คิดไว้มากโข…


สองคนนี้โกรธแค้นเคืองกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ถึงขนาดพูดตอกหน้ากันกลางถนนแบบนี้เลยเนี่ยนะ?


เดิมทีนางไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ครั้งนี้อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดเพราะความสงสัยนั้นขึ้นมา…


ทั้งสองคนนี้เคยเจอกันในวังมาก่อนงั้นหรือ? ดูท่ามันต้องมีเรื่องที่นางคาดไม่ถึงเกิดขึ้นแน่นอน!


ในระหว่างที่นางกำลังนึกคิดจนเหม่อลอยไปนั้น ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านในโรงน้ำชาก็เร่งฝีเท้าเดินตามออกมา


“สวินหยาง ใต้เท้าเหยียนหลิง!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยทักทาย พลางก้มศีรษะทำความเคารพเล็กน้อย “บังเอิญจริงเชียวที่ได้มาเจอกันที่นี่ พวกท่านมา…”


เขาไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างฉู่หลิงอวิ้นและเหยียนหลิงจวิน แต่เขาเห็นเพียงสีหน้าของฉู่หลิงอวิ้น เขาก็รู้แล้วว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน


ในระหว่างที่เขาพูด สายตาของเขาก็มองไปยังส่วนที่โผล่มาจากแขนเสื้อที่ทับซ้อนกันอย่างผิดปกตินั้น…


นี่ขนาดถูกคนอื่นเห็นต่อหน้าเยี่ยงนี้แล้ว สองคนนั้นยังไม่คิดจะหลบอีกงั้นรึ?


เขาขมวดคิ้วขึ้น สุดท้ายก็บังคับตัวเองให้เบนสายตาหนีไปทางอื่น รู้สึกหงุดหงิดขึ้นอยู่ในใจ


เขาซ่อนสีหน้าโดยเร็ว แต่ถึงเร็วอย่างไรก็หลบไม่พ้นสายตาฉู่สวินหยางที่ทำเป็นไม่สนใจคนนั้นไม่ได้อยู่ดี เหยียนหลิงจวินก็สังเกตเห็นความแตกต่างบนสีหน้าของเขาได้เช่นกัน แววตาส่องประกายเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อต่ออีกสักหน่อย


“คิดไม่ถึงเลยว่าซื่อจื่อก็อยู่ที่นี่” เหยียนหลิงจวินกล่าว “ข้ากับคุณชายรองซูผ่านมาแถวนี้พอดีน่ะ จึงบังเอิญเจอเข้ากับท่านหญิงสวินหยาง เลยมาเดินเล่นกันหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่คึกคักดีนะขอรับ”


เดินตามกันเป็นขบวนแบบนี้ ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา


ซูอี้กับคนอื่นที่แยกกันเดินไปก่อนแล้วข้างหน้า เจอเข้ากับสองพี่น้องฉู่ฉีเหยียนเข้าก็ยากที่จะหลบหน้าได้ เลยหันกลับมากล่าวทักทาย “ซื่อจื่อ ท่านหญิงอันเล่อ!”


ตั้งแต่เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเมื่อสิ้นปีที่นอกประตูวังครั้งนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเหยียนหลิงจวินกับซูอี้ก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป


“คุณชายรองซู ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนยกสองมือคำนับ ในขณะเดียวกันนั้นเองก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า


คนผู้นี้ ดูจากภายนอกแล้วทั้งอบอุ่นและเป็นมิตร แต่ก็เพราะอบอุ่นและเป็นมิตรมากเกินไป เลยทำให้คนยิ่งไม่กล้าละเลยความดุร้ายของเขาภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าที่ยากจะสังเกตเห็นได้


มองเพียงปราดเดียว ฉู่ฉีเหยียนก็ได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ…


คนคนนี้ต่อกรได้ยาก ซูหลินไม่มีทางทัดเทียมได้แน่นอน


แต่ละฝ่ายกล่าวทักทายขึ้นอย่างเป็นทางการ ใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นที่บิดเบี้ยวนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงกลับมาเป็นปกติ


ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้คิดจะหาเรื่องใคร เลยพูดว่า “ท่านพี่จะกลับแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? งั้นเดี๋ยวข้าไปส่ง!”


เขารู้จักนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นดีที่สุดแล้ว หากอยู่ต่อนานกว่านี้ล่ะก็ ไม่รู้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตามมาบ้าง


“วันมงคลที่เหมาะแก่การฉลองแบบนี้ ข้าเองก็อุตส่าห์มีโอกาสได้ออกมาทั้งที” ฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอม ดวงตาสวยงามคู่นั้นกลอกตาไปมา ปรายตามองไปยังภาพถนนตรงหน้า แล้วพูดว่า “ในเมื่อได้เจอกันแล้ว เราสู้เดินเล่นด้วยกันต่อเลยดีกว่า ข้าเองก็ไม่ได้มีโอกาสนั่งคุยกับน้องสาวทั้งหลายตัวเองแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน”


เมื่อฉู่เยว่ซินกล่าวทักทายสองคนนั้นพอเป็นพิธีเสร็จ นางก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาคำใดตลอดเวลา


ส่วนใบหน้าของฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์ ถึงแม้นางทั้งสองจะพยายามยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าฝืนยิ้มอยู่


ฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนหยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร นางดูถูกทุกคน ไม่ยอมสนิทกับผู้ใด แต่ตอนนี้กลับคิดที่จะลดตนเสมอพวกเขา…


ภายในใจของทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


ฉู่หลิงอวิ้นเห็นว่าพวกเขาไม่เอ่ยคำใดขึ้น จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึกคิดอะไรอยู่ เลยหันไปมองเหยียนหลิงจวินแล้วถามว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง คงไม่คิดว่าการที่ข้าอยู่ด้วย มันจะไม่สะดวกหรอกใช่ไหมเจ้าคะ?”


ถึงแม้นางจะพูดกับใต้เท้าเหยียนหลิง แต่ระหว่างที่พูดอยู่นั้นหางตากลับเหล่มองไปที่ฉู่สวินหยาง…


ขนาดอยู่ในสถานที่คนพลุกพล่านแบบนี้ นางยังจับมือผู้ชายไม่ปล่อย ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย มิน่าเล่าเหยียนหลิงจวินถึงได้มองไปที่นางอย่างน่าสนใจเยี่ยงนั้น ความหนาของใบหน้าที่ไร้ยางอายของนาง มันช่างหนาเสียจนคนอื่นไม่อาจเทียบได้เลย


ก็เป็นแค่…


คนไร้ยางอายคนหนึ่งแค่นั้นแหละ!


ภายในใจของฉู่หลิงอวิ้นเต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง ขณะนั้นเองก็แสดงสีหน้าดูถูกเยาะเย้ยออกมาอย่างเปิดเผย นางตัดสินไปแล้วว่าฉู่สวินหยางใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยาหลอกล่อเหยียนหลิงจวินให้ลุ่มหลงตัวเอง


หากเป็นเวลาปกติแล้ว ฉู่สวินหยางเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปต่อปากต่อคำกับนาง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากนางเมื่อครู่นั้นแล้ว ทำให้ตนรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ฉู่สวินหยางไม่รอให้เหยียนหลิงจวินเอ่ยปากขึ้น นางเดินขึ้นหน้าไปยืนบังตัวเหยียนหลิงจวินเอาไว้ด้วยท่าทางที่ไม่เกรงกลัว ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราจะไม่สะดวกใจได้เยี่ยงไรเล่า? กลัวเสียแต่ว่าท่านพี่อันเล่อนั่นแหละที่จะไม่สะดวก!”


นางกับฉู่อี้หนิงและคนอื่นๆ ยังเป็นเด็กกันอยู่ ออกมาเที่ยวเล่นนิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร ส่วนเหยียนหลิงจวินกับซูอี้เป็นถึงชายชาตรี ทั้งยังไม่มีพันธะใดผูกพัน ปกติแล้วเวลามีงานเลี้ยงในวังหรือนัดพบปะสังสรรค์กันที่อื่น พวกเขาสองคนก็พบเจอกันทุกครั้ง แม้กระทั่งการเดินทางครั้งนี้เองก็ด้วย…


ขอเพียงแค่ไม่ทำเกินไป ก็หาได้มีอะไรให้เสียหายไม่


แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับไม่คิดเยี่ยงนั้น


ตอนนี้นางเป็นถึงภรรยาที่แต่งงานมีสามีแล้ว ทั้งจางอวิ๋นเจี่ยนยังมีสภาพเยี่ยงนั้น เดิมทีเทศกาลโคมไฟเองก็เป็นเทศกาลที่ครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่นางกลับมาเดินเล่นงานวัด แล้วปล่อยผู้เป็นสามีทิ้งไว้อยู่ผู้เดียว


หากไม่มีคนพูดถึงก็ช่างมันเสียเถอะ แต่ถ้าหากถูกพลเมืองดีผู้ใดป่าวประกาศออกไปเข้า ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนได้แน่นอน


ฉู่สวินหยางพูดประโยคนั้นออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ การที่นางเดินออกมายืนบังหน้าเหยียนหลิงจวินแบบนั้น ในสายตาคนอื่นมองแล้วคงคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่สำหรับฉู่หลิงอวิ้นแล้วนั้น…


ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าถูกกดดันหาเรื่องอยู่ดี


ช่วงนี้เรื่องทั้งหลายของฉู่หลิงอวิ้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก และยังโดนนางเพ่งเล็งแบบนี้อีก ใครจะไปทนไหวกัน?


นางรีบพูดอย่างไม่สนใจ “พี่น้องกันแท้ๆ เดินเล่นด้วยกันแค่นี้เอง จะไม่สะดวกได้อย่างไรเล่า!”


พูดพลางก็ปรายตามองเหยียนหลิงจวินแล้วพูดว่า “หรือใต้เท้าเหยียนหลิงไม่ต้อนรับข้า?”


นางช่างกล้าทำอย่างเปิดเผยเช่นนี้ มุ่งเป้าหมายไปยังเหยียนหลิงจวินอีกครั้งแบบนี้? จากสถานภาพของนางนั้น มันช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย!


ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล


ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ว่าต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น จนเผลอมองนางอย่างไม่รู้ตัว


เหยียนหลิงจวินเพียงแค่ยิ้มอย่างธรรมชาติแล้วพูดว่า “ถนนเส้นนี้หาใช่ของข้าไม่ ข้าจะไม่สะดวกได้เยี่ยงไร?”


พูดพลางก็เดินนำหน้าขึ้นไปก่อน


ปกติแล้วฉู่สวินหยางเองก็อยู่แต่ในเรือน ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นด้านนอก ทหารรักษาความปลอดภัยในวังบูรพาก็ควบคุมเข้มงวดรัดกุม โอกาสที่เขาจะได้เจอนางนั้นมันช่างยากเย็นนัก เดิมทีอยากใช้โอกาสนี้อยู่กับนางสักหน่อย แต่วันนี้กลับมีคนนอกมาปะปนเสียได้ เขาเองก็ต้องคอยดูสถานการณ์ของฉู่สวินหยางเหมือนกัน ดูท่าก็น่าจะถึงเวลาห่างกันแล้วสินะ


เขาเดินเร็วมาก แต่ฉู่สวินหยางไม่ถือสา หันไปมองฉู่ฉีเหยียนแล้วพูดว่า “ไปด้วยกันไหม ซื่อจื่อ?”


ฉู่ฉีเหยียนอยากตอบรับคำเชิญนั้นไป แต่คิดอีกทีแล้วยังคงส่ายหน้าด้วยความเสียดายแล้วพูดว่า “ข้าคงไปด้วยไม่ได้หรอก พอดีต้องรีบกลับจวนไปสะสางธุระ ไว้วันหลังแล้วกัน!”


เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับการทำงานมาก บรรยากาศครึกครื้นแบบนี้ ไม่อยู่ด้วยก็ช่างเขาเถอะ


ฉู่ฉีเหยียนถามย้ำฉู่หลิงอวิ้นอีกครั้งว่า “ไม่ต้องให้ข้าไปส่งแน่นะขอรับ?”


“ไม่ต้องหรอก ไว้ข้ากลับเอง” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ ไม่แสดงท่าทีรั้งตัวเขาไว้ “เจ้ามีธุระนี่ รีบกลับไปทำก่อนเถอะ!”


เวลาทำเรื่องอะไรก็ตามฉู่ฉีเหยียนมักจะเป็นคนรอบคอบเสมอ หากมีเขาอยู่ด้วย ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกกดดัน


ฉู่ฉีเหยียนเห็นว่านางตัดสินใจแล้ว เลยไม่พูดอะไรขึ้นอีก


——————————-


บทที่ 5 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

 


เมื่อขบวนของฉู่สวินหยางและเขาต่างฝ่ายต่างพยักศีรษะทำความเคารพแก่กันเสร็จแล้ว จากนั้นจึงเดินต่อไปยังเบื้องหน้า


ฉู่ฉีเหยียนยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่ท่ามกลางถนนที่ไร้ผู้คน ไม่ได้จากออกไปในทันที


“ซื่อจื่อ ท่านไว้ใจปล่อยให้ท่านหญิงอยู่คนเดียวแน่หรือขอรับ?” หลี่หลินเอ่ยปากถามหยั่งเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล


“เห็นนางแบบนั้นดูก็รู้แล้วว่าหลงระเริงมากแค่ไหน พูดโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่เป็นผลหรอก!” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้ากับข้ารับใช้อีกสองคนอยู่เฝ้าที่นี่แล้วกัน อย่าปล่อยให้นางก่อเรื่องอะไรเข้าก็พอ!”


แต่งงานออกเรือนไปแล้วแท้ๆ เวลานี้ฉู่หลิงอวิ้นยังทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก


เดิมทีฉู่ฉีเหยียนเคยพยายามโน้มน้าวนางแล้ว แต่พอถึงตอนนี้เขาเองก็คร้านที่จะยุ่งด้วยอีกต่อไป…


หากฉู่หลิงอวิ้นดึงดันที่จะทำแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน


ในเมื่อตอนนี้ห้ามนางเอาไว้ไม่อยู่ หลังจากนี้เขาเองก็ไม่มีทางเอาเรื่องของตัวเองมาปรึกษากับนางอีกแน่นอน เรื่องบางเรื่องนางยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


หลี่หลินเข้าใจการตัดสินใจของฉู่ฉีเหยียนดี เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็รีบสั่งการลงไปทันที


เมื่อหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง เห็นคนกลุ่มนั้นค่อยๆ กลืนกินไปกับฝูงชนตรงหน้า ฉู่ฉีเหยียนจึงหันหลังแล้วเดินกลับไปอีกฝั่งถนน


เพราะการมาใหม่ของฉู่หลิงอวิ้น ทำให้ฉู่เยว่หนิงและคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนกับโดนมัดมือมัดเท้าไว้ ไม่กล้าทำตัวครื้นเครงมากเท่าไรนัก


ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงเดินก้มหน้าก้มตาไปอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองเหยียนหลิงจวินกับฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนตรงหน้าเป็นพักๆ อุตส่าห์อดทนไม่พูดมาตั้งนานแต่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหว จนในที่สุดขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น


“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าท่านหญิงอันเล่อมีใจให้ใต้เท้าเหยียนหลิง นี่เวลาก็ผ่านมาขนาดนี้แล้ว นางยังไม่ถอดใจอีกงั้นรึ?”


เรื่องที่เกิดขึ้นตอนราชนิเวศน์ตอนนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก แต่ผู้คนก็ไม่ได้ตาบอด ต่างเห็นได้ชัดเลยว่า


ฉู่หลิงอวิ้นมีท่าทีกับเหยียนหลิงจวินไม่เหมือนคนทั่วไป แต่ก็เป็นแค่นางที่แสดงออกอยู่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด แต่ด้วยความที่มีหลัวฮองเฮาคอยให้ท้าย เลยทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้น


ฉู่เยว่หนิงฟังจบ คิ้วก็ยิ่งขมวดเป็นปมแน่นยิ่งกว่าเดิม “ใครจะไปรู้เล่า!”


ท่าทางการกระทำของฉู่หลิงอวิ้นที่มีต่อเหยียนหลิงจวินนั้นพิเศษกว่าคนอื่นก็จริง แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เหยียนหลิงจวินก็ออกหน้าปกป้องฉู่สวินหยางอยู่เสมอ ถึงแม้เรื่องพวกนี้นางจะไม่มีทางเอาไปพูดลับหลังที่ไหน แต่นางเคยได้ยินท่านแม่ของตนเคยพูดถึงอย่างนั้น…


นางไม่ใช่เด็กโง่ที่ไม่รู้ความ ฉู่เยว่หนิงเองก็รู้สึกได้ว่า ความรู้สึกที่ใต้เท้าเหยียนหลิงคนนี้มีให้กับพี่สาวของตนคงไม่ธรรมดาแน่นอน


เดิมทีก็เดาใจและท่าทีของท่านพ่อยากอยู่แล้ว ตอนนี้หากปล่อยให้ฉู่หลิงอวิ้นสร้างเรื่องอะไรขึ้นอีก ไม่อาจรับรองได้เลยว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น


คนในขบวนเดินไปด้านหน้าโดยที่แต่ละคนต่างก็มีเรื่องให้กลุ้มใจ เงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์เป็นระยะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนุกสนานครื้นเครงเหมือนเก่า


ถนนเส้นนี้ยาวมาก เดินรวดเดียวไปถึงสุดทาง ภาพตรงหน้าช่างกว้างขวางสุดลูกหูลูกตายิ่งนัก ทิวทัศน์เบื้องหน้านั้นคือแม่น้ำฮู่สุ่ยที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำจ้าวธารนั่นเอง


สถานที่แห่งนี้เองก็ได้รับอิทธิพลจากเทศกาลโคมไฟ จึงทำให้ต้นหลิวที่อยู่สองข้างทางของแม่น้ำสายนี้ ประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสีอยู่ทั่วทิศ ขนาดเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำตรงหน้าก็ยังถูกแต่งแต้มไปด้วยโคมไฟสีสันสดใส สะท้อนลงบนผืนน้ำเป็นภาพสวยงาม


มีเสียงดนตรีดังคลอให้ได้ยินเป็นบางช่วง มีเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวดังขึ้นยามค่ำคืนเป็นครั้งคราว มั่นใจได้เลยว่าต้องมีลูกค้าบนเรือชมทิวทัศน์สักลำในนั้นจ้างหญิงสาวจากถนนหลิ่วหลินมาเป็นเพื่อนนั่งคุยเล่นแน่นอน


“เจ้าเช่าลำไหนไว้?” ซูอี้เดินขึ้นไปด้านหน้า


ในตอนนั้นเองเหยียนหลิงจวินได้มาถึงก่อนแล้ว เขายืนอยู่ริมตลิ่งรับลม สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า


“ลำที่สองจากทางด้านนั้น!” เหยียนหลิงจวินตอบ เชิดคางชี้ขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะมีการปรากฏตัวของฉู่หลิงอวิ้นที่คาดไม่ถึงนั้นเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้เขาล้มแผนการเดิมที่วางไว้เด็ดขาด


“ไปกันเถอะ ไปด้วยกัน!” ซูอี้ยิ้ม หันหลังกลับไปเรียกกลุ่มคนที่กำลังเดินตามมา


เมื่อฉู่หลิงอวิ้นกำลังจะเดินผ่านไป นางตั้งใจหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองเขาพูดขึ้นว่า “ดูท่าใต้เท้าเหยียนหลิงจะไม่พอใจเท่าไรเลยนะเจ้าคะ หรือว่าท่านคงไม่ยินดีให้ข้าอยู่ด้วยจริงๆ?”


เหยียนหลิงจวินคร้านจะเสียเวลากับการกระทำจอมปลอมของนาง เขาจึงเพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น


ฉู่หลิงอวิ้นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เดินขึ้นไปบนเรือลำนั้น


“ท่านหญิงเจ้าคะ ในเมื่อท่านกับท่านหญิงสวินหยางไม่ถูกกัน แล้วทำไมท่านยังต้องลดตัวลงมากับพวกเขาให้ได้อีกด้วยล่ะเจ้าคะ?” จื่อซวี่อดไม่ได้จึงเอ่ยปากถามขึ้น


ทุกคนในที่นี้ต่างมองพวกนางเป็นศัตรู ความรู้สึกแบบนี้มันช่างไม่สบายกายสบายใจเอาเสียเลย ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร ก็คิดไม่ออกว่าทำไมท่านหญิงของนางถึงต้องตามพวกเขามาให้ได้


 การกระทำลดตัวลงแบบนี้ เมื่อก่อนนางไม่มีทางทำแน่


“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะลดตัวลงไปคลุกคลีกับพวกนั้น?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ ริมฝีปากแสยะยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา


จื่อซวี่เห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็ยิ่งหวาดกลัว แล้วพูดขึ้นอย่างฝืนใจว่า “ท่านหญิง ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรพูดคำนี้ออกมา แต่ด้วยท่าทางของใต้เท้าเหยียนหลิงที่ปฏิเสธท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมท่านต้องลำบากลำบนแบบนี้ด้วยล่ะเจ้าคะ?”


ฉู่หลิงอวิ้นหันขวับมองนางตาขวาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว


จื่อซวี่ทำตัวคอหด ตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา รีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยพูดมากเอง! ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”


“จัดการดูแลปากของตัวเองให้ดี หากมีครั้งต่อไปอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า


หากนางต้องการ นางก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ล้มเลิกปล่อยมันทิ้งไป


เหยียนหลิงจวิน…รอก่อนเถอะ ไม่นานนัก ข้าจะทำให้เจ้าเชื่อฟังข้าแต่โดยดี!


เรือลำนั้นได้ถูกเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ทั้งคนขับเรือและข้ารับใช้ที่คอยช่วยยกน้ำชาต่างก็เตรียมพร้อมอย่างครบครัน


ฮั่วชิงเอ๋อร์กับฉู่เยว่หนิงตื่นเต้นยิ่งนัก ถลกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน วิ่งตรงไปยังหัวเรือแล้วเอ่ยชมความสวยความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าก่อนใครอื่น


ฉู่หลิงอวิ้นเดินจับแขนข้ารับใช้ขึ้นไปบนหัวเรือเช่นเดียวกัน ทุกท่วงท่าการเดินของนางสง่างามไร้ที่ติ ขึ้นเรือมาก็ถามหาห้องโดยสารทันที จากนั้นก็ลงไปเติมแป้งต่อ


ฉู่เยว่ซินตามมาเป็นคนสุดท้าย ก้มหน้าก้มตายืนอยู่บนฝั่งไม่ขยับตัวไปไหน


ซูอี้หันไปมองอย่างสงสัย “ท่านหญิงรองเป็นอะไรขอรับ?”


“ข้า…” ฉู่เยว่ซินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากถนนไฉ่ถังที่พวกนางเพิ่งจากออกมาเมื่อครู่ แต่เนื่องด้วยพวกนางจากออกมาไกลแล้ว จึงได้ยินเสียงไม่ค่อยชัด


“ข้าไปดูเอง!” ซูอี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดกับเหยียนหลิงจวินที่อยู่บนเรือ แล้วก็ไม่ได้สนใจฉู่เยว่ซินต่อ จากนั้นเดินขึ้นฝั่งไปอย่างเร็ว อยากไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้านั้นให้ได้


———————————


บนชายฝั่งกิ่งใบของต้นหลิวย้อยห้อยลงมามากโข ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่มันก็หนาแน่นบดบังทัศนียภาพภาพตรงหน้าจนมิด ช่างยากที่จะมองทะลุเห็น


เขาเดินไปอย่างรีบร้อน ในระหว่างที่เขามุ่งไปอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเดินลัดเลาะตรอกถนนผ่านไป


ความมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้า คนคนนั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว เดินอย่างไร้เสียง ซูอี้ไม่ทันระวัง ทั้งสองคนจึงเดินชนกันอย่างจังจนตัวล้มทับกัน


“โอ๊ย!” เสียงของคนคนนั้นสบถดังขึ้นเสียงสั้น นอนงอตัว เส้นผมสีดำปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง


ซูอี้ตกใจ เมื่อรู้สึกตัวได้ก็รีบยกมือที่ค้ำอยู่บนหน้าอกคนคนนั้นขึ้น แล้วพยุงแขนผู้นั้นขึ้นมา พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ขอโทษนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันได้ระวัง…”


พูดยังไม่ทันจบจู่ๆ เขาก็ชะงักไป แล้วรู้สึกได้ว่า…


เขาผ่านการฝึกวิชามานี่ ทั้งความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินนั้นก็สูงกว่าคนปกติธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้เมื่อครู่ตัวเขาจะเดินอย่างรีบร้อนไปเสียหน่อย มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้คนธรรมดารู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น


นั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่า…


คนคนนี้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือเช่นกัน


ซูอี้ตกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนคนนั้นก็สะบัดมือที่แตะต้องแขนของตนนั้นออกอย่างว่องไว แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ


ดูจากแผ่นหลังนั้นแล้ว คนคนนั้นเป็นคนตัวสูงผอม แต่ภาพแผ่นหลังนั้นมันช่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงยิ่งนัก


ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก


ซูอี้สูดลมหายใจเข้าปอด ตัดสินใจตามไป


คนคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา จึงเหล่ตามองขวางอย่างโหดเหี้ยม แรงอาฆาตแผ่ซ่าน ส่งสัญญาณเตือนขึ้นอย่างชัดเจน


ในขณะนั้นเองซูอี้ถึงได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้นเล็กน้อย เป็นใบหน้าธรรมดาๆ โครงหน้าอ่อนโยน แต่เมื่อมองแล้วกลับทำให้คนรู้สึกเคร่งขรึมเย็นชา


ซูอี้ถูกจ้องมองเขม็ง ตกใจจนหยุดชะงักสติหลุดลอย จู่ๆ ก็รู้สึกว่านิ้วมือของตนมีอะไรเหนียวๆ ชื้นๆ ติดอยู่ จึงก้มลงมอง…


นิ้วมือทั้งสามนิ้วบนมือขวาของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีเข้ม…


เลือดนี่มันเลอะจากตอนเขาไม่ทันระวังเมื่อครู่ที่กดทับอกของอีกฝ่ายมางั้นเหรอ?


ซูอี้กำลังตกใจอยู่ ส่วนฉู่สวินหยางที่เดินรั้งอยู่ท้ายสุดเดินตามเข้ามาอย่างช้าๆ มองไปในทิศทางที่เขากำลังมองอยู่ แล้วพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นรึ?”


“อืม!” ซูอี้หันมอง แล้วยิ้มให้นางอย่างรีบร้อนหนึ่งที “ฝากบอกจวินอวี้ทีว่าข้ามีธุระนิดหน่อย ข้าตามไปทีหลัง”


พูดจบก็ไม่รอให้ฉู่สวินหยางตอบรับ เขาถลกชายเสื้อขึ้นแล้วรีบวิ่งตามแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่กำลังลับตาออกไป


ฉู่สวินหยางเม้มปากเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเรื่องของเขามาก จากนั้นเดินมุ่งหน้าขึ้นเรือไป


———————————-


บทที่ 5 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (3)

โดย

Ink Stone_Romance

 


เหยียนหลิงจวินรออยู่ตรงนั้น เขายื่นมือออกไปหนึ่งข้างให้นางจับไว้


ฉู่สวินหยางขึ้นเรือมา กวาดมองไปรอบด้าน ฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์สองคนกำลังเริงร่าพูดเย้าแหย่กันอยู่ที่หัวเรือ


“ทำไมมีแค่พวกนางสองคนล่ะ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถาม


“พี่รองของเจ้าบอกว่าไม่สบายเลยไปพักที่ห้องโดยสาร ฉู่หลิงอวิ้นก็ลงไปที่ห้องโดยสารด้วยเหมือนกัน”


เหยียนหลิงจวินตอบ พลางออกแรงดึงตัวนางเข้ามา แล้วจูงนางวิ่งไปยังท้ายเรือ


“เจ้าทำอะไรน่ะ?” ฉู่สวินหยางถลกกระโปรงวิ่งตามเขาไป พูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนกตกใจ ในระหว่างที่วิ่งอยู่ ก็เอาแต่กลัวว่าเสียงกระทบนั้นมันจะดังจนทำให้ฉู่หลิงอวิ้นและคนอื่นที่อยู่ด้านล่างตกใจ ทำให้วิ่งไปก็กลัวไป


เหยียนหลิงจวินหันกลับมายิ้มให้ เอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไร อุบเรื่องสำคัญไว้ไม่ยอมพูดออกมา


ฉู่สวินหยางก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เลยยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ปล่อยให้เขาทำตามใจไป


เหยียนหลิงจวินจูงนางมาถึงท้ายเรือ ทางเรือฝั่งนั้นก็มีระเบียงส่วนที่ยื่นออกมาเหมือนกัน ทว่าคับแคบกว่าส่วนหัวเรือเล็กน้อย แต่ในเวลากลางคืนที่ไร้เสียงผู้คนเยี่ยงนี้ บรรยากาศที่นี่จึงยิ่งเงียบสงบและสวยงามกว่าที่เคยเป็น


“บรรยากาศหัวเรือกับท้ายเรือนี่ต่างกันลิบลับจริงเชียว!” ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาพาตนมาที่เงียบสงบไร้เสียงคนตรงนี้เพื่อนั่งชมทิวทัศน์ เลยยิ้มหัวเราะขึ้นอย่างมีความสุข พูดพลางก็สะบัดมือเขาออกแล้วเดินไปที่ขอบเรือ


คิดไม่ถึงว่าเหยียนหลิงจวินจะไม่ยอมปล่อยมือออก แต่กลับเป็นคนจูงนาง พานางไปด้านหลังของอาคารเล็กๆ หลังหนึ่งตรงนั้น ยกมือดึงไม้รูปร่างแปลกประหลาดตรงนั้นลงมา


เสียงไม้กระทบเสียดสีกันดังขึ้น จากนั้นตรงหน้าก็มีบันไดที่พับเก็บเอาไว้อยู่ ค่อยๆ ขยายออกมาลงมาถึงพื้นระเบียง


ฉู่สวินหยางชายตามองเขา ยิ้มแล้วถามว่า “ทำอะไรน่ะ?”


“ข้างบนสวยดีนะ!” เหยียนหลิงจวินพูด ลากตัวนางให้เดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน


“ไม่ไปหรอก!” ฉู่สวินหยางกลอกตามองเขา สะบัดมือเขาทิ้ง แล้วเดินกลับไปทางหางเรือ “ไปยืนอยู่บนที่สูงแบบนั้นทำไม? ตรงนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่!”


มีคนชมทิวทัศน์อยู่ริมแม่น้ำนี้เยอะแยะ ขึ้นไปยืนบนที่สูงแบบนั้น ได้กลายเป็นภาพให้คนอื่นเขามองซะมากกว่า


ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่พูดพึมพำออกมา…


คนคนนี้กลายเป็นคนที่ทำเรื่องเอาแต่ใจพึ่งพาไม่ได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ก่อนหน้าที่ได้เจอกัน นางยังคิดอยู่เลยว่าเขาเป็นพวกวิกลจริต หรือว่าที่ผ่านมาเขาแกล้งทำมาตลอด?


นางเดินก้าวออกไปอย่างเหม่อลอยจนก้าวเท้าพลาด ตัวของนางกำลังล้มลงกลางอากาศ แต่ถูกอีกฝ่ายอุ้มรับไว้ในอ้อมกอดได้ทัน


“นี่…” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นเสียงเบา พลางจับแขนเสื้อเหยียนหลิงจวินไว้แน่น พยายามเงยศีรษะขึ้น แต่เมื่อเงยขึ้นมาแล้วกลับสบตาเขาสายตาอันเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง


ทั้งสองคนสบตามองกัน


ในแววตาของเขาสะท้อนภาพยามค่ำคืนให้เห็น ทั้งยังส่องแสงประกายวิบวับราวกับเพชรนิลจินดา ในสายตาที่ลึกซึ้งยังแฝงไปด้วยความบริสุทธิ์ เมื่อแสงส่องขึ้นมาก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกดูดวิญญาณหลุดออกจากร่าง


ฉู่สวินหยางตกใจขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล


หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงลมโบกพัดลอยมา เขาไม่ถามความสมัครใจของนาง เพียงแค่อุ้มนางวิ่งขึ้นไปบนจุดที่สูงที่สุดของเรืออย่างรวดเร็ว


พื้นที่บนนี้ไม่ได้กว้างมากนัก เป็นแค่ระเบียงสี่เหลี่ยมเล็กๆ


น่าจะเตรียมมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะตรงนั้นมีพรมขนแกะปูเอาไว้รออยู่


เหยียนหลิงจวินอุ้มนางไป


ฉู่สวินหยางตกใจจนร้องออกมา กลัวว่าพวกฉู่เยว่หนิงที่อยู่ตรงระเบียงหัวเรือจะเห็นเข้า เลยพยายามมุดหน้าลงในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่ลดละ


ปกติแล้วนางเป็นคนฉลาดจะตาย แต่บางครั้งก็ตื่นเต้นจนทำอะไรโง่ๆ ลงไป ทำให้คนอดขำออกมาไม่ได้


เหยียนหลิงจวินพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว เขาก็ก้มหลังวางตัวนางลงบนพรมขนแกะ ทำให้ครึ่งตัวบนของเขาคร่อมอยู่บนตัวนาง เขายิ้มหวานมองหน้าอีกฝ่าย


ใบหน้าของฉู่สวินหยางแดงก่ำ เม้มปากแน่น มองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ลังเลอยู่นานไม่รู้จะพูดคำใดออกมาดี


ในขณะเดียวกันนั้นเองเหยียนหลิงจวินก็ขยับคันชักเก็บบันไดนั้นกลับเข้าที่เดิม ทำให้พื้นที่เล็กๆ ตรงนี้แยกสัดส่วนลอยตัวอยู่ด้านบนอย่างโดดเดี่ยว


เขายกแขนเท้าศีรษะเอาไว้ข้างหนึ่ง ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มที่กำลังยิ้มอยู่นั้น ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ใบหน้าแดงก่ำของนาง


ฉู่สวินหยางโดนเขาจ้องมองจนทำตัวไม่ถูก จึงก้มหน้าหลบสายตาของอีกฝ่าย พูดขึ้นเหมือนกำลังไม่พอใจอยู่ว่า “เดี๋ยวพอฉู่หลิงอวิ้นเห็นว่าเจ้าไม่อยู่ นางต้องมาตามหาตัวเจ้าให้วุ่นแน่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ข้าจะคอยดูว่าท่านจะแก้ปัญหานี้อย่างไร!”


“ถ้านางตามหาข้าเจอ ก็หมายความว่านางก็เจอเจ้าด้วยนะ?” เหยียนหลิงจวินยิ้มอย่างไม่สนใจ พลางม้วนปอยผมที่ตกอยู่บนพื้นของนางเล่น แล้วแนบชิดอิงกายลงไป ปลายจมูกของทั้งสองคนชนกัน เขายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “จะหาโอกาสได้เจอเจ้าสักครั้งหนึ่งช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน อุตส่าห์ได้พบกันแล้ว ยังมีคนตามมาเป็นขบวนแบบนี้ พวกเรามาช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไขหน่อยดีหรือไม่ วันหลังจะได้ไม่ต้องลำบากอีก”


ฉู่สวินหยางตกใจชะงักขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของนางสับสน


เหยียนหลิงจวินเห็นว่านางหลุดทำอะไรบื้อๆ ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้อีกแล้ว จึงยิ้มหัวเราะออกมาอย่างสดใส จากนั้นก้มหน้าลงประทับจูบบนริมฝีปากของนาง


ร่างกายฉู่สวินหยางแข็งทื่อไปเกือบทั้งตัว


ลมหายใจอันอบอุ่นของเขารินรดลงบนใบหน้า ค่อยๆ ผสมผสานเข้ากับลมหายใจของตน ค่อยๆ ลิ้มรสสิ่งล้ำค่าตรงหน้าอย่างระมัดระวัง


ร่างกายของฉู่สวินหยางเกร็งแน่นอยู่ในอ้อมกอดของเขา นางกลั้นหายใจ ปล่อยให้เขาเป็นผู้เริ่มความสุขอันสวยงามและไร้เดียงสาให้กับนางที่เพิ่งเคยได้สัมผัสกับความรัก


เขาใจเย็นกับนางเสมอ ถึงแม้ว่าความรู้สึกต้องการของเขาจะเอ่อล้นออกมามากเพียงใด เขาก็ยังคงค่อยๆ ชักจูงนางอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ ให้นางได้สัมผัสกับความสุขอันสวยงามที่สร้างไว้สำหรับนางเพียงผู้เดียว จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นซึมซับลงไปในสายเลือดหลอมรวมกันลงเข้าไปในไขกระดูก ใช้เวลาทั้งชีวิตจดจำและรักษามันเอาไว้อย่างดี


ความคิดในหัวของฉู่สวินหยางสับสนกันไปหมด นึกถึงความรู้สึกเมื่อครั้งก่อนที่เขาได้สัมผัสริมฝีปากนั้นอย่างไม่รู้ตัว คิดไปก็หน้าแดงขึ้นลามไปจนถึงใบหู ใบหน้ารูปไข่นั้นแดงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามเอาไว้ได้


“คิดอะไรอยู่น่ะ!” เหยียนหลิงจวินกะพริบตา เห็นนางเหม่อลอยไปไกล จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้งอย่างไม่พอใจ


ฉู่สวินหยางสบสายตาเข้ากับเขา นอกจากความเขินอายที่มีอยู่แล้ว นางแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง ถลึงตามองแล้วพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยมว่า “อ้อมมารอบใหญ่เพื่อพาข้ามาที่นี่เองรึ ข้าคิดว่าเจ้าจะมีเรื่องเร่งด่วนจะคุยกับข้าเสียอีก”


“เมื่อครู่สิ่งที่ข้าจะบอกก็คือเรื่องเร่งด่วนอันนั้นนั่นแหละ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้นพลางทำสีหน้าตามน้ำไปกับนาง


“เรื่องอะไรล่ะ? เมื่อวานเจ้าไปพบฉู่หลิงอวิ้นมารึ?” ฉู่สวินหยางถาม


ตอนนี้นางไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรือแล่นมาถึงกลางแม่น้ำแล้วหรือเปล่า แต่ยังคงได้ยินเสียงดนตรีระคนเสียงผู้คนหัวเราะค่อยๆ ดังขึ้นแล้วเงียบหายไปเป็นบางช่วง คิดว่าน่าจะแล่นสวนทางกับเรือลำอื่นกระมัง


นางกลัวว่าจะมีใครมองเห็นเข้า จึงไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว จึงนอนหงายอยู่ตรงนั้น อาบแสงจันทร์ไปอย่างใจลอย


“บังเอิญเจอกันตอนที่ไปหาหลัวฮองเฮาตอนนั้นน่ะ” เหยียนหลิงจวินไม่ได้ปิดบังนาง พูดถึงนางคนนั้นทีไรเขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน


“อย่างไรนะ?” ทว่าฉู่สวินหยางกลับรู้สึกดีใจขึ้นเล็กน้อย หัวเราะแล้วยันตัวให้ลุกขึ้นมา จ้องมองใบหน้าของเขา พูดเยาะเย้ยแกล้งเขาว่า “ครั้งนี้นางสารภาพความในใจกับเจ้าอย่างเปิดเผยเลยรึ?”


นางลุกขึ้นนั่ง แต่เหยียนหลิงจวินกลับเอนตัวนอนลง เขายังคงยิ้มมุมปากมองหน้านางไม่หยุด


ไม่แสดงท่าทีเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกมา เพียงแค่ยื่นมือออกไปลูบผมของนาง แล้วพูดว่า “เรื่องแบบนี้น่ารำคาญชะมัด เรามาทำแบบที่พูดเมื่อครู่กันเถอะ มาคิดหาวิธีตัดขาดแก้ปัญหานี้อย่างถาวรกัน รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียดีกว่า?”


ฉู่สวินหยางรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางทำดีกับฉู่หลิงอวิ้นหรอก แต่ท่าทีคลุมเครือของเขาแบบนี้มันก็ยังทำให้นางไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกอยู่ดี สีหน้าของนางมืดคล้ำลง พูดเสียงกระเง้ากระงอดว่า “ฆ่านางทิ้งงั้นเหรอ? ฉู่ฉีเหยียนอาจจะทนได้นะ แต่คู่สามีภรรยาแห่งจวนอ๋องหนานเหอก็ไม่แน่ ถึงเวลานั้นไม่ยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่งั้นเหรอ? ในเมื่อตัวเจ้าเองก็ไม่ได้เกลียดนาง ก็ทนไปทั้งอย่างนั้นแหละ ข้าว่านางคงหมดใจกับเจ้าไปเอง เจ้าคอยดูแลอยู่เคียงข้างแบบนี้ ข้าคงเป็นคนที่พอมีประโยชน์สำหรับเจ้าอยู่สินะ”


ปกติแล้วนางไม่มีทางพูดหึงหวงเช่นนี้แน่


“เฮ้อ…”  เหยียนหลิงจวินหัวเราะพลางส่ายหัวขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เขาใช้ฝ่ามือรองศีรษะของนางเอาไว้ บดคลึงริมฝีปากของนาง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ถึงแม้เจ้าจะยอม แต่ถ้าข้าไม่เอาด้วยล่ะ สู้ทำแบบนี้ดีกว่า…เจ้าร่วมมือกับข้า จัดการเรื่องนี้ให้มันเสร็จในครั้งเดียวไปเลยดีหรือไม่?”


“อะไร?” ฉู่สวินหยางเอนกายพิงไปบนตัวเขา ถามขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย


เหยียนหลิงจวินพลิกตัวขึ้น วางตัวนางลงบนพรมขนแกะ


ฉู่สวินหยางเอื้อมมือโอบคอของเขาไว้ กะพริบตา แล้วมองเขาอย่างสบายใจ


“ขนาดน้องสี่ของเจ้า นางยังหมั้นแล้วเลยนะ!” เหยียนหลิงจวินพูดขึ้น อ้าปากทำท่าจะกัดจมูกของนาง


“แล้วมันอย่างไรเล่า?” ฉู่สวินหยางเบนหน้าหนี ทำให้ริมฝีปากของเขาประทับลงที่ขมับของนางเข้าอย่างจัง เขาจึงค่อยๆ เขยิบเขยื้อนไปเรื่อยๆ ไม่รู้เมื่อไรก็เขยิบจนมาถึงริมฝีปากของนาง จึงประกบเข้ากับกลีบปากอันนุ่มนวลของนาง


——————————–


บทที่ 5 ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ! (4)

โดย

Ink Stone_Romance

 


สองคนพลอดรักกัน เหยียนหลิงจวินเองก็ทำอย่างระมัดระวัง ไม่กล้ารุกมากจนเกินไป


ดรุณีน้อยคนนี้ ทั้งๆ ที่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่ายอมให้เขาทำตามใจชอบ ไม่ยอมให้คนอื่นยุ่มย่ามแท้ๆ แต่ถ้าเขาคิดทำตามใจชอบขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวนางจะรับไหวหรือไม่


“ซินเป่า!” ลมหายใจของเหยียนหลิงจวินแฝงไปด้วยเสียงหอบเล็กน้อย เขากระแอมแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าถ้าข้าไปวังบูรพาสู่ขอเจ้ากับท่านพ่อของเจ้า จะมีโอกาสสำเร็จสักเท่าใดเชียว?”


เดิมทีฉู่สวินหยางจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดดังนั้นเข้า ก็ตกใจจนเงยหน้าขึ้นมองเขา


คำพูดนี้พูดขึ้นอย่างกะทันหัน เหยียนหลิงจวินรู้อยู่แล้วว่านางจะมีท่าทีเยี่ยงนี้ จึงหัวเราะพูดขึ้นกึ่งทีเล่นทีจริงว่า “ทำไม? ตกใจงั้นเหรอ?”


ฉู่สวินหยางตกใจจริงๆ นางยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เกลียดเขา และก็ไม่เคยคิดรังเกียจการแตะเนื้อต้องตัวของเขาเลยแม้แต่นิด แต่อยู่ดีๆ ก็พูดถึงเรื่องการแต่งงานออกเรือนแบบนี้…


เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะชาติที่แล้วหรือชาตินี้นางก็ไม่เคยคิดถึงเลยสักครั้ง


พอนางคิดแบบนั้น จึงเอ่ยปากตอบขึ้นมาตามจริงว่า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น!”


ใบหน้าเหยียนหลิงจวินชะงักไปเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกโมโหขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีเพียงแค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น จากนั้นมุมปากของเขาก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง ลุกขึ้นนั่งแล้วโอบตัวนางให้นอนลงบนตักของเขา


เขาค่อยๆ ใช้นิ้วมือช่วยหวีเส้นผมนุ่มยาวสยายของนาง ทำจิตใจให้สงบแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ทำไมหรือ?”


ผู้หญิงแบบนาง ต้องไม่ได้เข้าใกล้ชิดเขาเพียงเพื่อขอหยิบยืมอำนาจความช่วยเหลือจากเขาเป็นแน่ และเขายืนยันที่จะเลือกแล้วว่าต้องเป็นนางคนเดียวเท่านั้น ทั้งยังคิดถึงเรื่องในอนาคตข้างหน้าแล้วด้วย แต่จู่ๆ กลับโดนนางปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนแบบนี้ ทำให้เขายิ่งรู้สึกโกรธโมโหมากกว่าเดิม


ฉู่สวินหยางนอนหนุนตักเขาอยู่ตรงนั้น เพียงแค่นางลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของเขา


เขาตั้งใจหลบสายตาคู่นั้นไป ถึงแม้ท่าทางจะไม่ได้ชัดเจน แต่นางกลับรู้สึกได้…


ดูท่าเขาจะ…


ไม่ค่อยชอบใจเท่าไร


“ไม่รู้สิ!” ฉู่สวินหยางตอบพลางเม้มปาก เบนสายตาหนีออกจากใบหน้าของเขา มองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ “ข้าคิดว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว ทำไมต้องลำบากไปคิดถึงอนาคต แล้วทำลายชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้ด้วยก็แค่นั้น?”


“อนาคตที่ว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก มีปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้” เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้ว ใช้นิ้วมือค่อยๆ ลูบไล้ไปบนใบหน้าของนาง “ซินเป่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า พวกเราเองจะหยุดอยู่แบบนี้ ไม่คิดพัฒนาสานต่อไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้ ข้าอยากสร้างอนาคตกับเจ้า ข้าเองก็ต้องการความร่วมมือจากเจ้า แต่เจ้าทำแบบนี้…”


เขาพูดพลางหัวเราะขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ไปพลาง


หากเขาไม่ได้รับแม้กระทั่งการพยักหน้าเห็นด้วยจากนาง ถึงภาพในอนาคตที่มีนางอยู่ด้วยมันจะดีเลิศหรูแค่ไหน แล้วมันจะไปมีความหมายอะไร?


ฉู่สวินหยางดึงมือหนาของเขามา กุมฝ่ามือของเขาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังส่ายศีรษะ “อนาคตของข้าไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้า ข้าจะจัดการมันด้วยตัวเอง ส่วนเจ้า…”


เหยียนหลิงจวินชะงักนิ่งค้างไป สีหน้ามืดมนลงไปเยอะพอสมควรอย่างไม่รู้ตัว


ฉู่สวินหยางดึงฝ่ามือของเขาเข้ามาวางแนบบนใบหน้าของนาง


ความรู้สึกอบอุ่นจากมือหนาข้างนั้น ช่างทำให้สบายใจเหลือเกิน


นางยิ้มขึ้น น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความตั้งใจอย่างแท้จริง “หากมีวันหนึ่ง สุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะไม่มีพันธะใดผูกพัน แบบนี้ไม่ดีกว่างั้นหรือ?”


เขาจะบอกว่าเขายอมอยู่เพื่อนาง เป็นเหยียนหลิงจวินไปตลอดชั่วชีวิต


ถึงแม้คำมั่นสัญญานี้มันจะอบอุ่นสักเพียงใด แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกได้รับภาระอันหนักอึ้ง


“เจ้าไม่เชื่อข้างั้นหรือ?” เงียบเสียงไปนาน เหยียนหลิงจวินฝืนเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความกดดัน


“ไม่ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า!” ฉู่สวินหยางกล่าว “แต่ว่า…ข้าไม่คู่ควรที่จะรับปากคำมั่นสัญญานั้น”


ทุกวันนี้นนางใช้พลังกายและพลังใจทั้งหมดไปกับท่านพ่อและท่านพี่ของตนแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหยียนหลิงจวินมอบให้ นางไม่กล้ารับปากว่าจะตอบแทนได้ ถึงแม้ตัวนางเองยังแยกไม่ออกว่า ความรู้สึกคิดถึงและความรู้สึกดีที่นางมีต่อเขานั้น มันคือความรักระหว่างชายหญิงหรือเปล่า แต่ว่า…


ในขณะที่ตัวนางเองก็ยังไม่สามารถตอบแทนให้เขา เหมือนอย่างที่เขามอบให้นางโดยไม่พะวงถึงผลที่ตามมาแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมแก่ตัวเขาเสียเท่าไร


หนี้บุญคุณ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บุญคุณความสัมพันธ์ของคนรัก ครอบครัว หรือว่าอย่างอื่น สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือการรับผิดชอบ นางไม่อยากติดค้างบุญคุณคนอื่น


เพราะฉะนั้นสิ่งที่นางรับปากให้สัญญากับเขาได้ ก็มีเพียงแค่ความอิสระก็เท่านั้น…


เมื่อเขายินยอมที่จะอยู่กับนาง ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ต้องคิดมาก แต่หากมีวันหนึ่งเขาอยากเดินจากไป…


สิ่งที่นางมอบให้เขาได้นั้นก็คือการปล่อยมือจากลาได้ทุกเมื่อ


แววตาของนางยิ้ม ทว่าสีหน้ากลับเผยให้เห็นความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้


อารมณ์ของเหยียนหลิงจวินไม่คงที่ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเสียใจหรือโกรธ เขาจ้องมองแววตาของนางอย่างเนิ่นนาน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้น มันช่างเป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวดทรมานใจเหลือเกิน


“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ารับปากสิ่งใดกับข้า ซินเป่า ขอเพียงแค่เจ้าอยู่ข้างกายข้าก็พอ ข้า…” เหยียนหลิงจวินเอ่ยปาก


“เหยียนหลิง อย่าถามข้าเรื่องอนาคตอีกได้หรือไม่?” ฉู่สวินหยางไม่ตอบคำถามเขา แถมยังพูดแทรกเขาอีกด้วย


หากทั้งสองคนตกลงปลงใจอยู่ด้วยกันไปตลอด ดูแล้วนั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่หากอยู่ด้วยกันไปตลอดทางไม่ได้เล่า ใครจะไปรู้ว่าในแผนการในความคิดของอีกฝ่ายจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเลยเล่า?


ไม่แน่เขาอาจจะรักษาคำมั่นสัญญานั้นไว้ได้ ทอดทิ้งบ้านเมืองและแคว้นของตน แล้วมีชีวิตอยู่เพื่อนางคนเดียว


แต่ว่านาง…


ไม่มีทางทอดทิ้งท่านพ่อและท่านพี่ของตนเอง ไปอยู่ในที่ที่มีแต่เขาคอยปกป้องนางอยู่แบบนั้นได้หรอก


เส้นทางที่นางต้องการก้าวผ่าน เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยอำนาจกลอุบายที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ไม่แน่ตัวนางเองอาจต้องกลายเป็นหนึ่งในเถ้ากระดูกสีขาวที่กลายเป็นเบี้ยล่างของคนอื่นก็เป็นได้


ในเมื่อเป็นคนแบบนี้ นางจะกล้ารับปากให้คำมั่นสัญญาคนอื่นว่าจะสร้างอนาคตด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลายได้เยี่ยงไร?


นิ้วมือของนางเชยคางของอีกฝ่ายขยับขึ้นไปมา จากนั้นใช้มือโอบรอบคอของเขาไว้ ดึงลำคอของเขาลงต่ำ ค่อยๆ บรรจงจูบลงบนริมฝีปากของเขา


ช่างเป็นการสัมผัสที่แผ่วเบายิ่งนัก


ในค่ำคืนที่ลมหนาวโพยพัด ทำให้ริมฝีปากนั้นเย็นเล็กน้อย


ภายใต้การสัมผัสเบาบางนั้น จู่ๆ ร่างกายของเหยียนหลิงจวินก็กระตุกขึ้นอย่างไม่อาจบังคับได้


“เจ้าต้องการอยู่เคียงข้างข้านานเท่าไรก็ได้ แต่ว่า…ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ!” นางจ้องมองเขาด้วยแววตาจริงจัง ดวงตาโค้งมนเผยให้เห็นรอยยิ้มสวยงาม


ไม่มีแม้กระทั่งความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทว่ากลับสดใสงดงามจนทำให้คนตกใจ


เหยียนหลิงจวินกำลังจะเอ่ยปากค้านขึ้น ‘ข้าไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า’ แต่ตอนนั้นนางก็คลายมือออกแล้วพลิกตัวลุกขึ้น สองมือโอบรอบเอว ซุกหน้าอยู่ในอ้อมอกของเขา


มือของเหยียนหลิงจวินที่เคยวางอยู่บนขมับของนาง ค้างอยู่กลางอากาศจนโดนลมหนาวเย็นโชยพัดจนแข็งทื่อ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย หาจังหวะที่เหมาะสมพูดทำลายบรรยากาศความเงียบงันตรงหน้าออกมาไม่ได้เสียที


นางวางตำแหน่งตัวเองไว้แบบนั้น ให้เขาคิดอยากไขว่คว้าเมื่อไรก็ย่อมได้ แต่ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเสียเหลือเกิน กลัวว่าจะมีครั้งใดครั้งนึงที่ยื่นมือออกไป แต่กลับพบเพียงแต่ความว่างเปล่า


หากมีสักวันหนึ่ง…


ดูจากภายนอกแล้ว เขายอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเดินก้าวเข้าไปในชีวิตนางด้วยท่วงท่าทีเฝ้ามองอย่างคาดหวัง แต่คนหยิ่งผยองอย่างนาง กลับใช้พฤติกรรมอ่อนน้อมถ่อมตนยอมรับสิ่งที่คนอื่นมอบให้อย่างโง่เขลา


ข้าอนุญาตให้เจ้าทอดทิ้งข้าได้ทุกเมื่อ!


มันช่างขัดแย้งและน่ากลัวยิ่งนัก!


เวลาแบบนี้ผู้หญิงทั่วไปมักจะหลงใหลกับคำมั่นสัญญานั้น แต่นาง…


บอกว่าตนรับไว้ไม่ได้!


เหยียนหลิงจวินสติหลุดลอยไปเนิ่นนาน ในขณะที่เขานิ่งเงียบอยู่ ฉู่สวินหยางที่ยิ้มอยู่ในอ้อมอกของเขาก็ค่อยๆ เขยิบตัวออกมา จัดแจงชุดให้เรียบร้อยพลางพูดว่า “ลงไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกคนด้านล่างขึ้นนมาเจอจะลำบากเอา”


พูดจบไม่ทันรอให้เหยียนหลิงจวินแม้แต่พยักหน้า ก็ใช้มือข้างหนึ่งเท้าระเบียงเอาไว้ แล้วกระโดดลงไปอย่างว่องไว


ชั้นลอยไม่ได้สูงมากนัก อย่างน้อยสำหรับฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินแล้ว หากต้องการขึ้นหรือลง ก็ทำได้อย่างสบายๆ การมีอยู่ของบันไดนั่นไม่มีค่าอันใด


สีหน้าของเหยียนหลิงจวินงงงวย เมื่อรู้สึกตัวได้ก็กระโดดตามนางลงไป กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ฉู่สวินหยางกลับโบกมือปัด หันหลังแล้วมุ่งเดินไป “ข้าไปหาพวกน้องสี่ก่อนนะ!”


ฉู่เยว่ซินเมาเรือ จึงนอนพักอยู่ในห้องโดยสารตลอด ตอนที่ฉู่สวินหยางมาถึง ฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์ยังคงอยู่บนระเบียง เพียงแต่ว่าบรรยากาศแปลกไปอย่างบอกไม่ถูก เดิมทีทั้งสองคนที่คุยกันคึกคัก จู่ๆ ก็เงียบลงอย่างน่าประหลาด พวกนางยืนอยู่ตรงหัวเรือ จ้องมองเรืออีกลำที่อยู่ไม่ไกลนักกำลังสั่นคลอนด้วยสายตาเย็นชา


———————————–


บทที่ 6 ปิดปาก (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าผิดปกติ กำลังจะเอ่ยปากถามขึ้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งกรูมาจากด้านหลัง


“ท่านหญิงระวังเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่ยื่นมือไปให้ฉู่หลิงอวิ้นจับเดินออกมาจากห้องผู้โดยสาร สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าสีหน้าของฉู่เยว่หนิงและฮั่วชิงเอ๋อร์เปลี่ยนไป


“เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยถาม แววตาส่องประกายเล็กน้อย ในระหว่างที่พูดอยู่ก็เดินเข้ามา


“เปล่าเจ้าค่ะ…” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ยปากตอบ แต่นางไม่ใช่คนชอบพูดโกหก แค่อ้าปากก็แทบจะหลุดปากพูดความจริงออกไป จึงตัดสินใจปิดปากเงียบไม่พูดเลยดีกว่า


เรือลำตรงข้ามแล่นตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


ต่อหน้าฉู่หลิงอวิ้นเอง ฉู่สวินหยางไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาก


ส่วนฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา มองไปที่ฉู่เยว่หนิงด้วยสายตาที่รู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา


ฉู่เยว่หนิงเม้มปากแน่นสนิท สีหน้าท่าทางแปลกประหลาด ปกติแล้วนางเป็นคนอารมณ์ดี ทว่าตอนนี้กลับทำหน้านิ่ง ดูก็รู้ว่ากำลังฝืนอยู่ ดวงตาเบิกโพลงจ้องเขม็ง ราวกับว่ากำลังปกปิดความลับอะไรเอาไว้อยู่ จากนั้นเบนสายตาหนีจากเรือลำนั้นที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา


มุมปากฉู่หลิงอวิ้นยกขึ้นยิ้ม ดูท่ามีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้วสิ


เมื่อเรือลำนั้นแล่นเข้ามาตรงหน้า


พวกนางหลายคนยืนค้างอยู่ตรงหัวเรือนานจนดึงความสนใจจากผู้คนบนเรือลำนั้น ทุกคนบนเรือลำนั้นต่างยื่นคอชะเง้อมองออกมา เมื่อมองเห็นพวกนางที่ยืนอยู่อย่างชัดเจนแล้ว อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี


“โอ้โห วันนี้โชคดีชะมัดเลย ที่มีโอกาสได้พบท่านหญิงทุกคนแบบนี้ ท่านหญิงที่อยู่ข้างๆ ตรงนั้น…ใช่องค์หญิงฮั่วที่เพิ่งกลับเมืองหลวงมาหรือเปล่าขอรับ?”


ฝั่งตรงข้ามนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งในมือถือแก้วสุราพูดจีบปากจีบคอ


ผู้ชายคนนี้ฉู่สวินหยางรู้จัก…


คนคนนี้คือสามีของฉู่เยว่เหยาพี่ใหญ่ของนาง หรือเจิ้งเหวินคัง ซื่อจื่อแห่งจวนผิงกั๋วกงนั่นเอง


สกุลเจิ้งเป็นบ้านฝั่งแม่ของคนแซ่เจิ้งแห่งจวนอ๋องหนานเหอ นั่นก็หมายความว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉู่หลิงอวิ้น


ฉู่หลิงอวิ้นมองอีกฝ่าย โดยที่ยังคงมีแม่น้ำกั้นอยู่ นางยิ้มหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน “คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอท่านพี่ที่นี่ บังเอิญจังเลยนะเจ้าคะ”


“ดูท่าน้องสาวอันเล่อมีความสุขดีนะ!” เจิ้งเหวินคังยิ้มแล้วกล่าวตอบ


สองคนทักกันไปทักกันมา จนพูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวไปซะได้


เห็นได้ชัดเลยว่าฉู่เยว่หนิงอารมณ์ไม่ดี นางหันไปคุยกับฉู่สวินหยางว่า “ท่านพี่สามเจ้าคะ ข้าขอตัวเข้าไปในด้านในก่อนนะ ถ้าจอดเทียบท่าแล้วฝากช่วยเรียกข้าด้วยนะเจ้าคะ!”


พูดจบก็เดินปลีกตัวออกมาจากฝูงชนแล้วเข้าไปด้านในอย่างไม่สนใจใคร


“หนิงเอ๋อร์!” ฮั่วชิงเอ๋อร์รีบเดินตามเข้าไป คว้ามือนางเอาไว้ “ข้าไปด้วย!”


ทั้งสองคนเดินจับมือกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ก็ได้ยินเสียงผู้ชายบนเรือลำนั้นตั้งใจพูดเสียงสูงทักทายขึ้นว่า “นั่นมันท่านหญิงสี่จากวังบูรพานี่หน่า? เฮียจิ่นเซวียน? เฮียจิ่นเซวียน? อ้าว เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่?”


ฉู่เยว่หนิงจะเข้าไปก็ไม่ได้เข้าสักที สีหน้าเย็นชาขึ้นกว่าเดิม สัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ซ่านออกมา


เฮียจิ่นเซวียน? เหยาจิ่นเซวียน? ว่าที่สามีของฉู่เยว่หนิงงั้นรึ?


เมื่อกี้ที่ฉู่เยว่หนิงหน้าตาไม่บอกบุญนั่นเป็นเพราะเห็นหน้าเขางั้นเหรอ?


ทำไมกันเล่า?


องค์ชายแห่งสกุลเหยามีชื่อเสียงเล่าลือดีถมเถไป และทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เล็กรู้เขารู้เราจนหมดไส้หมดพุง มันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน


ฉู่สวินหยางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ…


เหตุการณ์วันนี้มันไม่ควรที่จะบังเอิญเกินไปแบบนี้


ผู้ชายฝั่งตรงข้ามส่งเสียงร้องไม่หยุด เจิ้งเหวินคังสั่งให้หยุดเรือ ส่วนคนอื่นๆ ก็รีบไปตามหาเหยาจิ่นเซวียนให้ทั่ว


จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้นว่า “เอ้านี่ เมื่อกี้ยืนอยู่กันตั้งหลายคน คงไม่ได้มีใครพลาดท่าตกน้ำไปแล้วหรอกมั้ง?”


“โถ พูดอะไรไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย” อีกคนตะโกนด่าขึ้น


ฉู่เยว่หนิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกัดฟันไม่ยอมพูด ไม่เพียงแม้แต่จะมองสักนิด


ฉู่หลิงอวิ้นชายตามองนาง แล้วแสดงสีหน้าแสดงความเป็นกังวลออกมา “ล่องเรือกันตอนกลางคืนแบบนี้มันก็อันตรายอย่างที่ว่ากันจริงๆ ถ้าเยว่หนิงไม่สบายใจล่ะก็ เราสั่งหยุดเรือแล้วข้ามไปดูกันดีหรือไม่?”


เหยาจิ่นเซวียนเป็นว่าที่สามีของฉู่เยว่หนิง แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ไม่ว่าอย่างไรถ้าฉู่เยว่หนิงไม่คิดสนใจเขาหน่อยก็คงไม่ได้


แต่ตอนนี้ฉู่เยว่หนิงสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไร ดูท่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน


ฉู่หลิงอวิ้นพูดพลางสั่งให้หยุดเรือลง


ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้น เจิ้งเหวินคังเป็นตัวตั้งตัวตีสั่งให้พวกคุณชายที่เหลือเอาไม้มาพาดระหว่างเรือสองลำเอาไว้


เรื่องราวดำเนินมาจนไม่อาจถอยได้อีกแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นขึ้นยืนบนสะพานที่สร้างไว้ชั่วคราว แล้วเดินข้ามไปบนเรือลำนั้น


ตอนนี้เองเหยียนหลิงจวินเพิ่งเดินออกมาจากด้านใน เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็เลิกคิ้วหันไปถามฉู่สวินหยาง “เกิดอะไรขึ้น?”


ฉู่เยว่หนิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ เห็นสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเยี่ยงนั้นก็ยากที่จะปฏิเสธ เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา กลั้นหายใจเดินข้ามสะพานไปที่เรือลำนั้น


เจิ้งเหวินคังและคนอื่นๆ บนเรือลำนั้นเห็นการปรากฏตัวขึ้นของเหยียนหลิงจวินก็รู้สึกประหลาดใจ กล่าวทักทายเขาอย่างเป็นมิตร “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าเหยียนหลิงนี่เอง เมื่อครู่พวกเรายังคุยกันอยู่เลยว่าใครกันนะที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงขนาดมีโอกาสได้ล่องเรือชมทิวทัศน์กับท่านหญิงทั้งหลายน่ะ!”


“ก็แค่เรื่องบังเอิญน่ะขอรับ ข้าแค่เผอิญเจอพวกนางก่อนก็เท่านั้น ถึงได้มีโอกาสมากกว่าพวกท่านน่ะ!”


เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน


ในระหว่างที่พูดตอบอยู่นั้น สายตาและสมาธิทั้งหมดของเขาก็จับจ้องไปบนเรือลำนั้น หันไปส่งสายตาโดยนัยให้ฉู่สวินหยางว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเดินข้ามไปบนเรือลำนั้นอย่างรวดเร็ว พูดคุยกับเจิ้งเหวินคังและคนอื่นอย่างสนิทสนม


แต่ฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่ฝั่งนี้กลับร้อนรนใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่แล้ว ก็รีบกระตุกแขนเสื้อฉู่สวินหยางแล้วกระซิบเสียงเบาอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อครู่นี้ ข้ากับหนิงเอ๋อร์ยืนชมบรรยากาศอยู่ที่หัวเรือ ข้าเห็นองค์ชายเหยาโอบกอดนักร้องเพลงหรือไม่ก็สาวนางโลมเดินเข้าไปในห้องโดยสารเจ้าค่ะ”


ฉู่สวินหยางตกใจ…


เพราะฉะนั้น นี่หมายความว่าจับชู้รักได้คาหนังคาเขาเลยสินะ?


พิธีแต่งงานของฉู่เยว่หนิงกับเหยาจิ่นเซวียนเพิ่งตกลงกันได้เมื่อต้นปีนี้เอง ฤกษ์วันเวลาก็กำหนดไว้แล้ว ถึงแม้การที่ผู้ชายเจ้าชู้มันจะไม่ใช่ความผิดใหญ่โต แต่กระทำการแบบนี้ก่อนงานแต่งงาน ช่างไม่ให้เกียรติแก่ผู้เป็นภรรยาเลยสักนิด


ฉู่สวินหยางเผยแววตาอำมหิตออกมา ปรายตามองผู้คนตรงหน้าด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวโหดเหี้ยม สุดท้ายจ้องไปที่เจิ้งเหวินคังเขม็ง แล้วยิ้มออกมาอย่างเย็นชา


ฮั่วชิงเอ๋อร์ยังรีบพูดต่อขึ้นอีกว่า “ทำอย่างไรดีเจ้าคะ? หนิงเอ๋อร์เป็นพวกไม่สู้คน ถ้านางรับไม่ได้ขึ้นมา แล้วนาง…”


ถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้เข้า มันต้องวุ่นวายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแน่นอน


“ไม่เป็นไร ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ฉู่สวินหยางพูด ส่งสายตาปลอบโยน จากนั้นเดินข้ามไปบนเรือฝั่งตรงข้าม


คนบนเรือลำนั้นหาเขาจนทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ เวลานั้นเองมีคนพูดขึ้นว่า “แปลกจังเลย หาจนทั่วแล้วนะ ไม่เห็นเจอใครเลย คงไม่ได้…”


“พูดอะไรซี้ซั้ว ถ้าก้าวพลาดตกน้ำขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องส่งเสียงให้ได้ยินแล้วสิ” เจิ้งเหวินคังพูดแดกดันขึ้นด้วยความโมโห พูดพลางก็หันมองไปรอบทิศจนสุดท้ายสายตาจับจ้องไปที่ห้องโดยสารด้านล่าง “หรือว่าดื่มหนักเกินไปจนไปหลบอยู่ข้างในนั้น?”


“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ยินเสียงพวกเราแล้วน่าจะส่งเสียงตอบมั่งสิ” คนที่เหลือส่งเสียงเห็นด้วยเออออไปตามกัน


ต่างคนต่างมองหน้าอีกฝ่าย แล้วเผยสีหน้ากังวลออกมา


ฉู่สวินหยางกับฮั่วชิงเอ๋อร์เดินตามเข้ามาทีหลัง พวกคนตรงหน้าก็พูดตัดสินใจไปแล้วว่า “ในเมื่อไม่มั่นใจนัก ก็ไปหาซะก็สิ้นเรื่อง หากคุณชายเหยาดื่มสุราจนเมาไปจริง อยู่บนเรือแบบนี้ก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน”


พวกเขาพูดยังไม่ทันจบ นางก็ปลีกตัวออกจากฝูงชนตรงหน้า เดินไปยังผู้โดยสารทันที


ทุกคนรวมถึงฉู่เยว่หนิงต่างอึ้งกับการกระทำนั้น…


คนอื่นเวลาเจอเรื่องพวกนี้ต้องบอกปัดไม่ยอมทำเป็นแน่ แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ใช่ นางกลับเป็นคนวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นคนแรก!


ถึงแม้เจิ้งเหวินคังและคนอื่นจะไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าขอให้หาตัวเขาเจอด้วยเถอะ เลยโบกมือเรียกคนที่เหลือ


“ไปกันเถอะ พวกเราก็ตามไปดูด้วยกัน!”


ฝูงชนเป็นขบวนเดินลงไปที่ห้องโดยสาร


ห้องโดยสารไม่กว้างมากเท่าไรนัก มีแค่สี่ห้องเท่านั้น เดินผ่านระเบียงเข้าไป มองปราดเดียวก็เห็นทั่วทุกมุม


ท่าทางของฉู่สวินหยางทะมัดทะแมงว่องไว นางเดินตรงไปทันทีอย่างไม่รีรอ…


ความรู้สึกนึกคิดของเจิ้งเหวินคังและคนอื่นไม่ซับซ้อน แต่นางกลับคิดเล็กคิดน้อยมากกว่าคนอื่น เมื่อเทียบกับพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ สู้จัดการให้มันจบไวๆ เสียดีกว่า จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจไม่คิดถึงมัน


ถึงแม้จะอยู่ใต้แสงจันทร์ แต่ทัศนียภาพการมองเห็นในตอนกลางคืนมันก็มีจำกัด การที่ฉู่เยว่หนิงและฮั่วชิงเอ๋อร์


มองเห็นเหยาจิ่นเซวียนที่อยู่บนเรืออีกลำได้อย่างชัดเจนแบบนั้น ก็หมายความว่าเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่าไรนัก


หากเหยาจิ่นเซวียนคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร เพราะฉะนั้นหากไปหาตอนนี้ก็ยังตามตัวได้ทันอยู่


———————————–


บทที่ 6 ปิดปาก (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่สวินหยางดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด นางใช้เท้าเตะเปิดประตูไปสามบานแต่ไม่พบอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงหัวเราะออดอ้อนพูดขึ้นว่า


“ประโยคเมื่อกี้ยังไม่ถูก คุณชายต้องยอมแพ้ แล้วยอมโดนลงโทษแต่โดยดีเลยนะเจ้าคะ!”


“ต้นหลิวหิมะบนเขาท่ามกลาง…ฤดูใบไม้ผลิ สระน้ำ…สระน้ำลำธารไหลผ่านเก้ามณฑล” เสียงของชายหนุ่มพูดตะกุกตะกักขึ้นด้วยความมึนเมา


“คุณชายท่านเมาแล้วนะเจ้าคะ!” เสียงหัวเราะของหญิงสาวยิ่งส่งเสียงอารมณ์ดีออกมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองทำอะไรกันอยู่ ระหว่างนั้นถึงได้ยินเสียงคล้ายข้าวของกระทบกันดังขึ้นไม่หยุด


ฉู่เยว่หนิงที่ตามมาทีหลัง ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงนั้นเข้า สีหน้าของนางเย็นชาลงยิ่งกว่าเดิม ดวงตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด


“อะแฮ่ม…” เจิ้งเหวินคังกระแอมไอออกมา ยกมือไล่คนที่ตามมาทีหลังออกไป “ตรงนี้หาหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ ข้างล่างนี่เล็กจะตาย พวกเราขึ้นไปหาต่อข้างบนเถอะ!”


เสียงดังขนาดนี้ มีแต่คนหูหนวกเท่านั้นแหละที่ไม่ได้ยิน


ปิดบังกันแบบนี้ จะไม่มีได้อย่างไร!


ฉู่สวินหยางแววตาดุดัน ปรายตามองเขา พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เปิดประตูออก!”


“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวขานตอบ แล้วเตะประตูบานนั้นเข้าไป


ประตูหล่นลงบนพื้น


“กรี๊ด!” มีเสียงผู้หญิงร้องดังขึ้นจากห้องโดยสารห้องเล็กนั้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายแหลมเล็กว่า “เจ้าเป็นใคร? ทำไมไม่รู้เรื่องเอาซะเลย จู่ๆ มาบุกรุกแบบนี้…”


นางพูดไปได้แค่ครึ่งเดียว ฉู่สวินหยางก็เดินเข้าไปด้านใน


บนเตียงมีมุ้งสีชมพูปิดกั้นไว้อยู่ เห็นหญิงชายคู่หนึ่งในสภาพกึ่งเปลือยกายนอนกอดกันอยู่ในนั้น


ในวันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ บนร่างกายของหญิงสาวนางนั้นมีเพียงเสื้อบางๆ คลุมไว้ กับเสื้อชั้นในสีมรกต และกระโปรงที่เปิดอ้าซ่าอยู่ เสื้อผ้าถูกดึงออกจนหลุดลุ่ย เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวผ่อง มองแล้วช่างยั่วยวนยิ่งนัก


ส่วนเสื้อคลุมของผู้ชายที่อยู่ด้านข้างก็ถูกดึงออกเช่นเดียวกัน เผยให้เห็นเสื้อสีขาวที่อยู่ด้านใน ใบหน้าแดงก่ำนอนอยู่บนเตียง ปากพึมพำพูดอะไรไม่รู้ออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเมาสุราหนัก ขนาดฉู่สวินหยางพาคนเป็นกลุ่มบุกรุกเข้ามาแบบนี้เขายังไม่รู้สึกตัวเลย ปากยังคงเอาแต่พึมพำกลอนประโยคนั้นวนไปวนมาไม่หยุดหย่อน


ถึงแม้หญิงสาวคนนั้นจะไม่ได้เป็นหญิงสาวผู้ดี แต่เมื่อถูกคนอื่นบุกรุกเข้ามาแบบนี้ก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน นางรีบผละออกจากร่างกายของชายผู้นั้น จัดแจงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างร้อนรน แต่ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นก็คือ มือของชายผู้นั้นกลับดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้แน่น นางพยายามจะลุกขึ้น ไม่เพียงแต่จะหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวมใส่ไม่ได้แล้ว ดึงกันไปมาแบบนั้นเลยยิ่งเผยเนื้อหนังให้เห็นมากขึ้นกว่าเดิม


“คุณชาย ท่านปล่อยมือสิเจ้าคะ…” หญิงสาวผู้นั้นหันไปมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างร้อนรน น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยเสียงสะอื้น


“ไม่เอา…” ชายหนุ่มกลับไม่ยอม สีหน้าขึงขังเอาแต่ใจ “มาต่อกันเถอะ…ต่อไป…ต่อไป…”


พูดออกมาแต่ละคำมีแต่เสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ด้วยฤทธิ์เมา


สองคนนั้นแยกตัวออกจากกันไม่ได้ จึงกึ่งเปลือยกึ่งใส่เสื้อผ้านั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น


ฉู่หลิงอวิ้นกับฮั่วชิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ หน้าแดงเขินเบนสายตาหนี


ฉู่เยว่หนิงใจเต้นโครมคราม พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา จากนั้นเบนสายตาไม่มองภาพตรงหน้า


“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?” ฉู่หลิงอวิ้นพูดเปิดประเด็น สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง


“พวก…พวกข้า…” เสียงของหญิงสาวนางนั้นตะกุกตะกัก อับอายจนไม่กล้าโงหัว พูดอธิบายคำใดไม่ออก เงียบอยู่นานสุดท้ายร้องไห้แล้วสะอึกสะอื้นพูดขึ้น “คุณชายเหยาเมาสุราเจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแค่ต้องการช่วยพยุงเขาเข้ามาพักในห้องเท่านั้น แต่เขาเมามากจน…”


นางพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เงยหน้ามองเจิ้งเหวินคังด้วยสีหน้าคาดหวัง “ซื่อจื่อ ข้าน้อยหรูจีไร้ความสามารถ ดูแลได้ไม่ดีพอ ข้า…”


เจิ้งเหวินคังสบถหัวเราะออกมาสองที หันไปมองฉู่เยว่หนิงด้วยสายตาลำบากใจ “ท่านหญิงสี่ดูสิขอรับ คุณชายเหยาเป็นคนคออ่อน ดูท่าเรื่องนี้…น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกระมัง…”


ถึงแม้สองคนนั้นจะยังไม่ได้ทำอะไรกัน แต่สิ่งตรงหน้าที่ทุกคนเห็นก็หาใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นไม่


เกียรติของฉู่เยว่หนิงค่อยๆ โดนหยามเหยียด ใบหน้าของนางค่อยๆ แดงก่ำขึ้น มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แววตาและสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด


สาวนางโลมนามว่าหรูจีผู้นั้นสะดุ้งตอบสนองเล็กน้อย ถึงค่อยรู้สึกตัวได้ราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน นางรีบคลานเข่าจะไปคว้าชายกระโปรงขอความช่วยเหลือ “ท่านหญิง…”


ฉู่สวินหยางส่งสายตามองขวับ ชิงหลัวเดินหน้าขึ้นเหยีบกระทืบเท้าลงบนมือขวาที่เอื้อมออกมาของนาง ไม่รอให้สาวนางโลมผู้นั้นแตะต้องโดนชายกระโปรงฉู่เยว่หนิงแม้แต่น้อย แล้วพูดเสียงเย็นชาขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้ายุ่งกับท่านหญิงของข้า?”


สาวนางโลมคนนั้นร้องโอดครวญ เหงื่อผุดออกมาทั่วใบหน้า


เมื่อชิงหลัวเดินถอยออกมา มือขาวเรียวข้างนั้นก็ไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป เจ็บทรมานจนแทบจะสลบเหมือด


เจิ้งเหวินคังเป็นขุนนางสายบุ๋น คิดไม่ถึงเลยว่าข้ารับใช้แห่งวังบูรพาจะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ แค่เห็นก็หวาดกลัวขนลุก จึงรีบตะโกนด้วยความโมโหว่า “นางก็เป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ อีกอย่างเรื่องนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก…”


“เป็นแค่ข้ารับใช้ก็ควรรู้กฎเกณฑ์ของคนเป็นขี้ข้า!” ฉู่สวินหยางไม่ปล่อยให้เขาพูดออกมาต่อ “น้องสาวของข้ามีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ใช่คนที่คิดจะหยามกันได้ง่ายๆ วันนี้เจ้าเสียมือไปแค่ข้างเดียว แค่นี้ก็จงจำไว้ให้ขึ้นใจ รู้จักประมาณตนซะบ้าง!”


ผู้หญิงคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่ามีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อกล้ารวมหัวใส่ร้ายผู้อื่นแบบนี้ ถึงนางตายไปก็ไม่เสียดาย


สีหน้าของเจิ้งเหวินคังเหยเกน่ารังเกียจ กำลังจะตวาดโมโห ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อยเดินออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ถึงตอนนี้แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า? คุณชายเหยาก็เหมือนกัน ทำไมถึงได้…”


พูดไปก็อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดต่อให้จบ


เหยียนหลิงจวินยืนพิงวงกบดูละครตรงหน้าอยู่นานพอสมควร ได้ยินนางพูดดังนั้น ถึงได้เบิกตามองแล้วพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “คนเป็นผู้ชายน่ะหรือ? ถึงแม้จะมีอนุภรรยาคนที่สามหรือคนที่สี่ มันก็เป็นเรื่องปกติ คุณชายเหยาก็แค่รักสนุก มีอะไรให้น่าตกใจกันเล่า?”


อย่างไรก็ตามครั้งนี้จับชู้รักได้คาหนังคาเขาอย่างที่ว่า ตอนนี้ก็แค่เถียงกันไปเถียงกันมาเท่านั้น จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กมันก็ไม่เล็ก แต่ถ้าบอกว่าเรื่องใหญ่มันก็ไม่ใหญ่เหมือนกัน


เขาไม่ค่อยสนใจไยดีผู้คน กับเรื่องอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงแม้คำพูดพวกนี้จะพูดขึ้นเพื่อออกความเห็นกับสถานการณ์ตรงหน้า บวกกับแววตากรุ้มกริ่มรักสนุกของเขาแล้วนั้น ดูคล้ายช่างเห็นดีเห็นชอบเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง


ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มเย็นชา เลิกคิ้วมองฉู่สวินหยาง


คิดว่าฉู่สวินหยางได้ยินคำพูดพวกนั้นแล้วจะเปลี่ยนสีหน้า…


ถึงแม้นางจะไม่คิดว่าฉู่สวินหยางกล้ามีความคิด ขอคนที่รักนางใจเดียวไปตลอดชีวิตอะไรเทือกนั้น แต่ตอนนี้นางกับเหยียนหลิงจวินกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งลับหลังที่แอบซ่อนอยู่ เมื่อได้ยินชายของตนพูดอะไรพวกนั้นเข้า หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงเก็บเอาไปคิดมากเป็นแน่


ฉู่หลิงอวิ้นมองไปยังฉู่สวินหยางด้วยความรู้สึกที่ต้องการจะปลอบโยน แต่คิดไม่ถึงว่า สีหน้าของนางกลับไม่แสดงให้เห็นถึงความหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย


ทำให้ฉู่หลิงอวิ้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พิธีแต่งงานของคุณชายเหยากับเยว่หนิงใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องนี้ก็หาใช่เรื่องเหมาะสมไม่”


พูดพลางก็ปรายตามองฉู่เยว่หนิงด้วยแววตาสงสาร


นางมองออกทุกอย่างแล้ว เรื่องวันนี้เจิ้งเหวินคังมีเอี่ยวด้วย พวกนั้นต้องการทำลายชื่อเสียงวังบูรพา พวกมันจะทำให้วังบูรพาเสียหน้า


ฉู่สวินหยางต่อกรยาก เทียบกันแล้วฉู่เยว่หนิงนั้นจัดการง่ายกว่ากันมากโข


ขอเพียงแค่ฉู่เยว่หนิงโมโหโวยวายด้วยเรื่องของวันนี้ ถึงตอนนั้นงานแต่งของพวกเขาอาจจะประสบความสำเร็จ แต่ท้ายสุดอย่างไรเรื่องวันนี้ก็จะหลุดออกไปให้คนอื่นนินทาได้อยู่ดี


ฉู่สวินหยางกับนางเป็นพวกเดียวกัน ถึงตอนนั้นต้องลำบากไปด้วยแน่นอน


“นั่นสิ น้องสี่!” ฉู่สวินหยางกล่าว พลางจับมือของฉู่เยว่หนิงเอาไว้ “คำพูดของใต้เท้าเหยียนหลิงมีเหตุผล เจ้าเองก็น่าจะเรียนรู้เอาไว้บ้างนะ”


ฉู่เยว่หนิงอดทนมานาน พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา


คนอื่นจะพูดอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้ขนาดฉู่สวินหยางยังพูดแบบนี้?


ในที่สุดความรู้สึกน้อยใจของฉู่เยว่หนิงก็ระเบิดออกมา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้เอ่อล้นออกมา ฉู่สวินหยางบีบมือของนางแน่นขึ้น จากนั้นพูดต่ออีกว่า “ไม่สิ ที่จริงต้องบอกท่านพี่ต่างหากเล่า กล้ามาเทียบชั้นกับว่าที่สามีของท่านหญิงได้เยี่ยงไร? หากท่านพี่เคยให้อภัยกับเรื่องในอดีตของตัวเองได้ แต่กลับมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ ท่านพี่ก็คงใจแคบไปหน่อยมั้งเจ้าคะ!”


ฉู่หลิงอวิ้นอดทนไม่ไหว ใบหน้าบึ้งตึงออกมาทันใด


ฮั่วชิงเอ๋อร์เองก็ทนไม่ไหว เผลอหัวเราะออกมาเสียงดังชอบใจ


ส่วนฉู่เยว่หนิงที่น้ำตาใกล้จะไหลรินออกมา เมื่อได้ยินคำพูดนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกสะใจสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


ความรู้สึกโกรธโมโหนั้นเป็นของจริง แต่หลายปีมานี้ฮูหยินใหญ่สั่งสอนนางไว้อย่างดี ทำให้นางเคารพและภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก


นางไม่ใช่คนโง่ เรื่องวันนี้แค่มองก็รู้ว่าสาวนางโลมคนนี้ถูกจ้างมาแสดงละคร นางโมโหจนทนไม่ไหวจริงๆ แต่ตอนนี้หายดีแล้ว แล้วยังรู้สึกดีว่านางไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำพวกนั้น


“ข้าไม่จำเป็นต้องใจแคบเยี่ยงนั้นหรอก มันก็แค่…ของเล่นเท่านั้นแหละ!” ฉู่เยว่หนิงกล่าวน้ำเสียงดุดัน อกผายไหล่ผึ่ง ชายตามองหรูจีที่หดตัวสั่นเป็นก้อนกลมด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม


ยิ่งทำให้หรูจีหน้าซีดเผือดลงไปอีก


ฉู่สวินหยางหันไปสั่งชิงหลัวว่า “ดูท่าพวกเจิ้งซื่อจื่อยังอยากล่องเรือเล่นกันต่อ คุณชายเหยาเมาแอ๋อยู่แบบนี้ เจ้าไปเรียกเจี่ยงลิ่วมาให้ช่วยพยุงตัวเขาไปบนเรือของเราเถอะ ตอนนี้เวลาก็ดึกมากแล้ว พวกเราเองก็ควรกลับจวนได้แล้วเหมือนกัน”


“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงหลัวขานรับคำสั่ง


ฉู่หลิงอวิ้นโดนตอกหน้าหลายต่อหลายครั้ง เจิ้งเหวินคังเองก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี


ฉู่หลิงอวิ้นกลายเป็นตัวตลกที่ถูกพูดถึงในวงสนทนา ทำให้ไฟโกรธแค้นในใจของนางแผ่ซ่านกระจาย นางทำหน้าหน้าบึ้งตึงขึงขัง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป “ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับแล้วเช่นกัน!”


———————————-


บทที่ 6 ปิดปาก (3)

โดย

Ink Stone_Romance

จางอวิ๋นอี้อยู่ในกลุ่มคนของเจิ้งเหวินคังพวกนั้นด้วย เมื่อเขาเห็นฉู่หลิงอวิ้นถูกกลั่นแกล้งเยาะเย้ยเยี่ยงนั้น และเรื่องนั้นยังเกี่ยวข้องกับสกุลจางของพวกเขา ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงเช่นกัน เดิมทีอยากจะตามฉู่หลิงอวิ้นไป แต่เรือลำนั้นเป็นของเหยียนหลิงจวิน หากเขาตามไปมันจะดูไม่ดีเท่าไร จึงได้แค่พยายามยับยั้งความรู้สึกนั้นไว้


เจี่ยงลิ่วเดินเข้ามาพร้อมกับทหารองครักษ์พาตัวเหยาจิ่นเซวียนออกไป ส่วนเหยียนหลิงจวินก็ไปบอกให้นายเรือบังคับเรือกลับทางเดิม


ฉู่หลิงอวิ้นอับอายขายขี้หน้า เดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องโดยสารอย่างโมโห


ฉู่เยว่หนิงยังโกรธอยู่ แต่ยังคงทำหน้านิ่งเฉยเย็นชา


ฉู่สวินหยางเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่คิดที่จะปลอบโยนนางด้วย หลังจากที่นางพาตัวเหยาจิ่นเซวียนข้ามมาแล้ว ก็เอาแต่คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้จนปวดหัว คิดแล้วก็ว่าจะเอ่ยปากคุยกับเหยียนหลิงจวิน “เหยียนหลิง…”


เดิมทีเหยียนหลิงจวินไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ของคนอื่นอยู่แล้ว เมื่อเห็นนางเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องโดยสารที่เหยาจิ่นเซวียนอยู่ จากนั้นตรวจชีพจรให้เขาอย่างช่วยไม่ได้


“เขาโดนวางยา!” เมื่อเขาตรวจชีพจรเสร็จ เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้น


ฉู่สวินหยางเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว แต่เมื่อฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ สองตาเบิกโพลง


ฉู่เยว่หนิงโมโหขึ้นอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “อาการของท่านพี่สาหัสมากหรือไม่เจ้าคะ?”


“เพื่อทำให้ละครฉากนี้ออกมาสมจริงที่สุด ปริมาณยาที่พวกเขาใช้จึงมีจำกัด ในเมื่อตอนนี้เขาเมาขนาดนี้ ก็ปล่อยให้เขานอนต่อเถอะ พรุ่งนี้ตื่นมาก็หายดีแล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบ สะบัดชุดให้เรียบแล้วลุกขึ้นยืน


ฉู่สวินหยางได้ยินเขาพูดดังนั้นก็โล่งใจได้เสียที เดินออกจากห้องโดยสารไปคุยกับเจี่ยงลิ่วที่อยู่ด้านนอก “ไปสืบมาเดี๋ยวนี้ว่าเป็นความคิดของใคร”


มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดีที่พวกเขาบังเอิญเจอกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบนั้น หากบอกว่ามันไม่มีลับลมคมในเลย มันคงไม่ใช่เรื่องจริง!


“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วขานตอบ แล้วเดินออกไป


ระหว่างทางกลับเรือแล่นขนาบข้างตลิ่ง เจี่ยงลิ่วไม่รอให้เรือจอดเทียบท่า เขากระโดดขึ้นฝั่งไปทันที


ฉู่เยว่หนิงเดินตามออกมาเช่นเดียวกัน นางมองแล้วเรียกฉู่สวินหยางด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านพี่สาม!”


ปกติแล้วฮูหยินใหญ่คอยดูแลประคบประหงมนางเป็นอย่างดี ครั้งนี้ถือว่าฟาดเคราะห์ไป นางพยายามอดกลั้นไม่ร้องไห้ออกมา นางแข็งแกร่งกว่าที่ฉู่สวินหยางคิดไว้นัก


“อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ!” ฉู่สวินหยางยิ้ม เอื้อมมือตบบ่านางเบาๆ


ฉู่เยว่หนิงกะพริบตา จู่ๆ หยาดน้ำตาก็เอ่อล้นไหลรินออกมา นางรีบยกมือขึ้นเช็ด ยิ้มกว้างออกมา “ร้องไห้อะไรกันเจ้าคะ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสียหน่อย!”


นางต้องมาพบเจอกับเรื่องเลวร้ายมากเกินไป ฉู่สวินหยางรู้สึกกังวล จึงเดินผ่านตัวนางมองเข้าไปในห้องโดยสารนั้น แล้วพูดขึ้นว่า “ยังโกรธอยู่เหรอ?”


ฉู่เยว่หนิงนิ่งอึ้ง เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนถามว่าอะไรแล้ว สายตานั้นพลันมืดมนลง ก้มศีรษะลงไม่เอ่ยคำใดออกมา


ฉู่สวินหยางพูดว่า “ข้ารู้ว่าเหตุการณ์วันนี้ทำให้เจ้าเสียหน้ามาก อีกอย่างฮูหยินใหญ่เองก็เป็นคนจัดการเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้า ข้าเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าหากเจ้ารับไม่ได้ล่ะก็…”


“ท่านพี่เหยาแค่ทำผิดไปโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น!” ผิดคาด ฉู่เยว่หนิงตอบฉะฉานต่างจากปกติ แววตาของนางมุ่งมั่นขึ้นกว่าเก่า “ข้ารู้และเข้าใจดี ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม คนที่จัดฉากเหตุการณ์วันนี้ขึ้น มันก็แค่ต้องการทำให้ข้าโมโห แล้วรอดูวันที่วังบูรพาของพวกเราและท่านพ่ออับอาย หากพวกมันต้องการแบบนั้น ข้าจะไม่มีทางทำให้มันสมหวังเป็นแน่ และท่านแม่ไม่มีวันทำร้ายข้า อีกอย่างข้ารู้จักกับท่านพี่เหยามานาน ท่านพี่สามวางใจเถอะเจ้าค่ะ เรื่องแบบนี้ข้ามองออก!”


เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากบอกว่าไม่น้อยใจเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า…นางพออ่านสถานการณ์ตรงหน้าออก เพราะฉะนั้นนางเลยเอาชนะจิตใจตัวเองได้ภายในเวลาอันสั้น


ฉู่สวินหยางยิ้ม ไม่ออกความคิดเห็นอะไรมาก พูดเพียงแค่ว่า “เจ้าตัดสินใจได้แล้วก็ดี!”


ฉู่เยว่หนิงฝืนยิ้มออกมา ผงกศีรษะอย่างหนักแน่น


เมื่อเรือจอดเทียบท่าแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับกันไป


ฉู่หลิงอวิ้นพาข้ารับใช้ของตนจากออกไปก่อน เหยียนหลิงจวินสั่งคนไปส่งเหยาจิ่นเซวียนกลับจวน ส่วนฉู่เยว่ซินยังมีอาการเมาเรืออยู่ เดิมทีฉู่สวินหยางจะกลับไปพร้อมกับพวกฉู่เยว่หนิง แต่เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วกำลังจะเอ่ยลาเหยียนหลิงจวินตอนนั้น ก็มองเห็นสายตาของอิ้งจื่อส่งสายตามองมาที่ตนอยู่ไกลๆ


ฉู่สวินหยางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เหยียนหลิงจวินสั่งให้คนไปตรวจสอบผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้นไปนี่ ลังเลอยู่สักพักก็หันกลับไปคุยกับคนในรถม้า “เมื่อกี้นี้ข้าสั่งให้เจี่ยงลิ่วไปทำธุระให้ ข้าอยู่รอเขาก่อนแล้วกัน เดี๋ยวตามกลับไปทีหลัง”


“เจ้าค่ะ!” ฉู่เยว่หนิงพยักหน้า ไม่ว่าคำพูดของนางจะจริงหรือเท็จก็ตาม นางพูดขึ้นเพียงแค่ “งั้นท่านพี่สามให้คนคอยตามไปอารักขาหน่อยนะเจ้าคะ ยามนี้ดึกมากแล้ว มันอันตราย!”


“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังมีชิงหลัวอยู่ทั้งคน อีกสักพักเจี่ยงลิ่วก็กลับมาแล้ว พวกเจ้ามีของสำคัญเยอะแยะ ให้พวกองครักษ์กลับไปพร้อมกันเถอะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวกำชับกับพวกองครักษ์ว่า “ไปจวนสกุลฮั่ว พาองค์หญิงฮั่วไปส่งก่อน”


ปกติแล้วเจี่ยงลิ่วสืบหาคนร้ายเจอครู่เดียวเขาก็ไปบอกนางที่วังบูรพาอยู่ดี เพราะฉะนั้นนี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น


ฉู่เยว่หนิงกับฮั่วชิงเอ๋อร์มองเหยียนหลิงจวินที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่มีใครพูดอันใดออกมา ปิดประตูรถแล้วกลับเข้าไปด้านใน


เมื่ออิ้งจื่อเห็น ก็รีบเดินเข้ามา กล่าวว่า “นายท่าน ท่านหญิง เกิดเรื่องขึ้นกับเจี๋ยหงแล้วเจ้าค่ะ!”


แววตาของเหยียนหลิงจวินชะงักลง เขาไม่ถามแต่รอให้นางเล่าต่อ


อิ้งจื่ออดไม่ได้ที่เผยสีหน้าว้าวุ่นออกมา นางอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็กระทืบเท้าแล้วพูดอย่างลำบากใจ


“เฮ้อ รายละเอียดเบื้องลึกข้าไม่รู้เลย แต่คนที่ท่านสั่งให้นางไปจับตามองคนนั้นโดนฆ่าตายแล้วเจ้าค่ะ!”


“ตายแล้วงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางกลั้นหายใจ เดินหน้าขึ้นไปอย่างไม่รู้ตัว


เขาเป็นแค่ชายชราที่ปั้นดินเผาคนหนึ่งเท่านั้น ใครหน้าไหนกล้าลงมือฆ่าเขาได้ลง?


“เจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อพยักหน้า “เสียงโหวกเหวกโวยวายที่พวกเราได้ยินก่อนที่จะขึ้นเรือกันนั่นแหละเจ้าค่ะ เรื่องเกิดขึ้นในตรอกด้านหน้าถนนไฉ่ถัง ตอนนี้ขุนนางทั้งหลายตามไปถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว เคลื่อนย้ายศพไปยังโรงเก็บศพชั่วคราวแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ตอนที่ข้ากับเฉี่ยนลวี่ไปตามหา เห็นเจี๋ยหงสลบไปในเรือนร้างที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่นเจ้าค่ะ หากต้องการรู้อะไรเพิ่มเติมอาจจะต้องรอให้นางตื่นก่อน แล้วค่อยถามนางอีกที”


“เจี๋ยหงเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บสาหัสหรือไม่?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถาม


“มีแผลสองแห่งเจ้าค่ะ แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต แค่มีเลือดออกนิดหน่อย ตอนนี้นางสลบไป ดูท่าน่าจะถูกคนวางยาเจ้าค่ะ” อิ้งจื่อตอบด้วยสีหน้าร้อนรน


เดิมทีคิดว่าจับตาดูชายชรานั้นคงไม่ได้อะไร แต่ครั้งนี้จะปล่อยไปไม่สนใจคงไม่ได้แล้ว


“พาข้าไปดูหน่อย!” เหยียนหลิงจวินสูดหายใจเข้าลึก มุ่งหน้าเดินตรงไปยังถนนไฉ่ถัง


ฉู่สวินหยางเองก็ไม่รอช้า รีบเดินตามไปอย่างว่องไว


เจี๋ยหงถูกพาตัวไปไว้อยู่บนรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ในตรอกตรงนั้น โดยมีเชินหลานคอยเฝ้าอยู่


“นายท่าน!” เชินหลานตาเป็นประกาย เมื่อเห็นเหยียนหลิงจวินเดินเข้ามาแต่ไกลๆ จึงรีบกระโดดลงจากรถม้า “นายท่านรีบมาดูเร็วเจ้าค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพี่เจี๋ยหงจะเป็นอะไรมากหรือไม่”


เหยียนหลิงจวินไม่เอ่ยเสียงตอบ เขาถลกชุดขึ้นแล้วเดินขึ้นรถม้าไป ตรวจชีพจรให้เจี๋ยหงแล้วดูบาดแผลของนาง สุดท้ายยกหัวนางขึ้นลูบท้ายทอยเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า “โดนฟาดเข้าอย่างแรงเลยสลบไป!”


พูดจบก็ยื่นมือออกไป “ขอเข็มด้วย”


เชินหลานปีนข้ามไป หยิบชุดเข็มโลหะออกมาจากตู้แล้วส่งให้เขา


เหยียนหลิงจวินฝังเข็มลงบนร่างกายของเจี๋ยหงอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็เห็นผล เจี๋ยหงส่งเสียงขึ้นเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นมา


“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เหยียนหลิงจวินถาม


เจี๋ยหงเพิ่งฟื้นเลยยังรู้สึกไม่ตื่นเต็มตานัก เมื่อมองเห็นเขาชัดเจนแล้ว ก็รีบก้มศีรษะลงด้วยความมึนงง


“นายท่าน?”


แล้วสอดสายตามองไปทั่วทิศ พลางขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมข้าถึงได้…”


“อิ้งจื่อบอกว่าเจ้าบาดเจ็บ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เหยียนหลิงจวินถามต่อ เก็บเข็มลงในห่อแล้วยื่นไปให้เชินหลาน


——————————–


บทที่ 6 ปิดปาก (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“ก่อนหน้านี้อิ้งจื่อบอกให้ข้าไปจับตามองดูชายชราที่ปั้นรูปปั้นคนนั้น บนถนนเส้นนี้คนพลุกพล่านนัก ไม่เหมาะแก่การลงไม้ลงมือ ข้าเลยรอให้เขาเก็บร้านเสร็จก่อน แล้วเดินตามเข้าไปในตรอกตรงหน้านั่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่ข้ากำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็โดนคนที่สวมชุดสีฟ้าใช้มีดกรีดเข้าที่คอ เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะจัดการคนคนนั้นให้ได้ แต่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา สุดท้ายเลยพ่ายแพ้ให้เขาไป” เจี๋ยหงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ข้าน้อยไม่รอบคอบนายท่านลงโทษได้เลยเจ้าค่ะ”


“เหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนั้น ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้น “อีกฝ่ายเป็นใคร? พอมองลักษณะรูปร่างใบหน้าของเขาได้หรือไม่?”


“เป็นคนคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นแสงในตรอกนั้นมืดมาก ทั้งยังต่อสู้กันชุลมุน ข้าเลยมองได้ไม่ชัดเท่าไรนัก” เจี๋ยหงพยายามนึกย้อนเหตุการณ์นั้นขึ้น “อายุน่าจะไม่มากนัก รูปร่างผอม เตี้ยกว่าท่านประมาณครึ่งศีรษะได้”


เหยียนหลิงจวินลงจากรถม้า สบตามองฉู่สวินหยาง ทั้งสองคนอับจนหนทาง ไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี


ฉู่สวินหยางนึกคิด แล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นเขาพูดอะไรออกมาหรือเปล่า?”


“ไม่เลยเจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงส่ายศีรษะ “ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นนักฆ่ามืออาชีพ วิธีการที่เขาใช้สังหารคนนั้นปราดเปรียวว่องไวมาก ตอนที่ข้าประมือกับเขาตอนนั้น ยังคิดว่าตัวเองจะไม่รอดชีวิตแล้วเลย คิดไม่ถึงว่า…”


พูดมาถึงตรงนี้ เจี๋ยหงเผลอแสดงสีหน้าออกมาอย่างมีความสุขที่ตนเองได้มีชีวิตรอด แต่จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรออก เลยพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ แล้วทำไมข้าถึงได้ไม่เป็นอะไรล่ะ? พวกท่านหาข้าพบที่ไหนหรือเจ้าคะ?”


“เจอเจ้าอยู่ในเรือนร้างแห่งหนึ่งในตรอกที่เจ้าบอกนั่นแหละ” อิ้งจื่อตอบ


หากเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ก็ไม่มีเหตุผลให้ฆ่าชายชราไร้เรี่ยวแรงต่อสู้แบบนั้น แล้วปล่อยคนที่เคยประชันฝีมือกับเขาอย่างเจี๋ยหงมีชีวิตอยู่ต่อแบบนี้เลยนี่


เพราะฉะนั้น…


คนคนนั้นตั้งใจไว้ชีวิตเจี๋ยหงงั้นรึ?


ในระหว่างที่ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ซูอี้ที่หายไปนานก็กลับมาเสียที


เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างคร่าวๆ แล้ว แววตาของเขาพลันมืดมนลง เปล่งเสียงออกมาว่า “งั้นคงเป็นไปได้ว่าข้าเจอเข้ากับคนที่เจี๋ยหงพูดถึง”


ฉู่สวินหยางนึกขึ้นได้ “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าออกไปก็แสดงว่า…”


“ใช่!” ซูอี้พยักหน้า พูดพลางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเสียดาย “ข้าตามตัวคนคนนั้นไปเกือบครึ่งค่อนเมืองนี้แล้ว แต่วิทยายุทธของคนผู้นั้นช่างแกร่งกล้าเหลือเกิน ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ปะทะกับผู้นั้น แต่ฝีมือช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก หากข้ากับเจี๋ยหงเจอเข้ากับคนเดียวกันล่ะก็ สิ่งที่นางพูดมาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ยากจะต่อกรด้วยแน่ๆ”


“แต่ผู้นั้นกลับปล่อยให้เจี๋ยหงมีชีวิตรอดมาได้!” เหยียนหลิงจวินพูดขึ้น กระตุกมุมปาก


“ไม่แน่ว่าอาจจะตั้งใจก็เป็นได้ หรือไม่แน่อาจจะแค่บังเอิญ!” ซูอี้ยักไหล่ ดูท่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก “ร่างกายคนผู้นั้นบาดเจ็บด้วย คงขยับตัวไม่ได้ตามอย่างที่ใจหวังก็ได้!”


“ใช่เจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงนึกคิด จู่ๆ ก็นิ่งสงบลงแล้วพูดขึ้น “พอคุณชายรองซูพูดขึ้น ข้าเลยนึกขึ้นได้ ตอนที่ข้ากำลังจะไปแย่งตัวชายชราผู้นั้นมา ข้อศอกของข้าไปโดนซี่โครงเข้าพอดี ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าท่าทางผิดปกติ!”


หากเป็นนักฆ่ามืออาชีพจริงล่ะก็ คงไม่มีเหตุผลปล่อยให้คนอื่นมีชีวิตรอดไปได้หรอก


แต่ถ้าอีกฝ่ายไร้ความสามารถจริง พวกเราจะได้ข้อสรุปอีกแบบหนึ่ง ตอนนั้นพวกขุนนางตามมากันเร็วมาก เขาอาจจะรีบร้อนหนีจนเผลอปล่อยเจี๋ยหงไป


เมื่อได้ยินซูอี้พูดดังนั้น ใบหน้าแข็งตึงของเหยียนหลิงจวินถึงค่อยผ่อนคลายลงเป็นปกติ เขายิ้มพูดหยอกล้อเล่นขึ้นว่า “ไล่ตามไปครึ่งเมืองเชียวเหรอ? หรือว่าเจ้าเองก็ไม่เห็นหน้าตาเขาเหมือนกัน?”


วันนี้ ท่าทีซูอี้แปลกไปไม่ได้ทะเลาะกับเขาเหมือนปกติ แต่กลับหดหู่อย่างเสียดาย หัวเราะขมขื่นแล้วส่ายศีรษะ


ทุกคนนิ่งเงียบลง ไม่นานนักอิ้งจื่อก็พูดขึ้นเสียงเบา “นายท่าน เฉี่ยนลวี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”


ทุกคนเก็บสีหน้าอารมณ์เอาไว้ หันไปมองตามเสียง เฉี่ยนลวี่วิ่งเข้ามาเหงื่อท่วมทั่วกาย บนหน้ามีรอยแผลเป็นทางยาว ดูแล้วรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก


“ปะทะกับคนอื่นมารึ?” อิ้งจื่อหาจังหวะเอ่ยถามขึ้น


“เปล่าหรอก!” เฉี่ยนลวี่ส่ายหน้า ยิ้มกว้างปลอบโยน “เจอเรื่องอะไรเข้านิดหน่อยน่ะ”


“เจ้าไปที่พักของชายชราผู้นั้นพบเจออะไรบ้างหรือไม่?” อิ้งจื่อเห็นนางปกติดีไม่มีแผลที่ไหนอีกก็วางใจ จึงเอ่ยปากถามขึ้น


“เจอเจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่พยักหน้า นางฝืนกลั้นเสียงหอบรุนแรงนั่นเอาไว้ สีหน้ายังคงไม่ผ่อนคลายดี “ชายชราผู้นั้นพักอยู่คนเดียว ไม่มีญาติมิตรเจ้าค่ะ ข้าไปถามเพื่อนบ้านของเขามาแล้ว บอกกันว่านิสัยของเขาประหลาดมาก เวลาปกติก็ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น เขาอยู่ที่นั่นมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขามาจากไหนมีอดีตอย่างไร หลังจากนั้นข้ายังตามไปที่โรงเก็บศพชั่วคราวต่อ เดิมทีอยากจะชันสูตรศพของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนชิงตัดหน้ามาถึงก่อน เผาโรงเก็บศพนั้นไหม้จนไม่เหลือซากเลยเจ้าค่ะ”


“ทำการใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? เผาศพเพื่อทำลายหลักฐานทิ้งงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นอย่างคาดไม่ถึง


“ใช่เจ้าค่ะ ดูท่าคงเผาศพเพื่อทำลายหลักฐาน!” เฉี่ยนลวี่ตอบ “ตอนนั้นทหารที่นำตัวศพมากับคนชันสูตรศพอยู่ด้วย แต่โดนคนขังเอาไว้ด้านในสุดของโรงเก็บศพนั้น ข้าฝ่ากองเพลิงเข้าไปช่วยคนชันสูตรศพคนนั้นออกมาได้ ก่อนที่เขาจะตายเขาบอกข้าไว้ว่า ไม่เจอสิ่งของใดที่เป็นต้นกำเนิดเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้จากตัวชายชราคนนั้นได้เลย แต่เขาคนนั้น…เป็นขันทีเก่ามานานหลายปีแล้วด้วยเจ้าค่ะ!”


“ขันทีงั้นรึ?” ซูอี้หัวเราะออกมาอย่างประหลาดใจ “หรือว่าหนีออกมาจากวัง?”


แคว้นซีเยว่เพิ่งสถาปนาได้แค่สิบสี่ปีเอง ขุนนางในวังอายุมากกว่าหลี่รุ่ยเสียงไม่กี่ปีเท่านั้น นอกเสียจากว่า…


จะเป็นคนของราชวงศ์ก่อนที่หลงเหลืออยู่


แต่ตอนนั้นฮ่องเต้เซี่ยนจงสั่งฆ่าล้างบางจนหมดสิ้นแล้วนี่ แล้วเมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเข้ายึดพระราชวังไว้ได้ ก็สั่งเผาทำลายพระราชวังจนไหม้เป็นจุล ส่วนพวกนางในขันทีที่อยู่ในวังตอนนั้นก็ได้สังเวยชีวิตอยู่ท่ามกลางกองเพลิงไปหมดเหลือชีวิตรอดไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำไป อีกอย่างพระราชวังมีกฎหนึ่งข้อที่ไม่ได้สลักเป็นลายลักษณ์อักษร นั่นก็คือเมื่อนางกำนัลข้ารับใช้อายุครบยี่สิบห้าปี ก็จะมีโอกาสได้รับการปล่อยตัวออกจากวัง แต่สำหรับพวกขันทีแล้วหาได้มีกฎเกณฑ์เยี่ยงนี้ไม่ เมื่อตัดตอนชำระร่างกายจนสะอาดถวายตัวเข้ามาในวังแล้ว ก็มีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…


นั่นก็คืออยู่ในวังจนแก่ตาย


เพราะฉะนั้นคำพูดของซูอี้ไม่ต้องอธิบาย ทุกคนก็เข้าใจดี


ชายชราผู้นี้โชคดีหนีออกจากเหตุการณ์ฆ่าล้างบางเมื่อสี่สิบปีก่อนมาได้แน่นอน


เพราะฉะนั้นรูปปั้นที่เขาปั้นออกมาถึงได้เหมือนตัวเองแบบนั้น หรือว่า…


แท้จริงแล้วคนที่เขากำลังปั้นอยู่นั้นคือเหลียงซี?


จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกผวา ความคิดปนเปสับสนไปหมด ภาพในหัวของตนค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น…


การตายของชายชราผู้นั้นไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ รูปปั้นที่ชายชราคนนั้นปั้นขึ้นมานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุการตายของเขา มีคนต้องการปิดปากเขา ส่วนเหตุผลนั้น…


จู่ๆ ฉู่สวินหยางไม่อยากจะคิดต่อไปแล้ว


“เลิกสืบเรื่องนี้ต่อได้แล้ว!” นางพูด ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย มองหน้าเหยียนหลิงจวินด้วยสีหน้านิ่งเฉย


เหยียนหลิงจวินและซูอี้เป็นคนฉลาดมองปราดเดียวก็เข้าใจ ถึงแม้ต่างคนจะยังรู้สึกสงสัยอยู่นั้น แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของนาง ทั้งสองคนก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งต่ออีก


“ได้ คิดเสียว่าก็แค่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ตายไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร พวกเราเองจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเปล่าด้วย” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพลางยิ้ม


ซูอี้เงยหน้ามองท้องฟ้า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ตะลอนไปเกือบครึ่งเมือง ข้าเองก็ควรกลับแล้วเหมือนกัน พวกเจ้า…”


“เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าไปส่งท่านหญิงก่อน!” เหยียนหลิงจวินพูดตอบเขา


“งั้นก็ตามนั้น!” ซูอี้หยักหน้า พูดอำลาทั้งสองคนแล้วขึ้นม้าจากออกไป


“พวกเราไปกันเถอะ!” เหยียนหลิงจวินพูดพลางจูงมือฉู่สวินหยางขึ้นรถม้าไป


ในระหว่างทางกลับฉู่สวินหยางนั่งนิ่งเงียบมาตลอด นางไม่แม้แต่จะเอ่ยปาก เหยียนหลิงจวินเองก็ไม่คิดถาม จนกระทั่งถึงเวลาลงจากรถแล้ว นางถึงเพิ่งจะรู้สึกตัว ถึงรู้การมีอยู่ของเหยียนหลิงจวิน เลยหันไปยิ้มให้เขา “ขากลับระวังด้วยล่ะ”


“อืม!” เหยียนหลิงจวินยิ้มให้นาง “เข้าจวนเถอะ!”


“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า หันหลังกลับมาสายตาพลันเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างขึ้นทันที…


หรือว่าเรื่องนี้ เป็นฝีมือของท่านพ่องั้นหรือ?


ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก ยิ่งคิดก็ยิ่งผวา จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่อยากคิดต่อไปมากกว่านี้อีกแล้ว


———————————-


บทที่ 7 หญิงคบชู้ (1)

โดย

Ink Stone_Romance

มองตามหลังฉู่สวินหยางเข้าไปข้างในแล้ว แต่เหยียนหลิงจวินไม่ได้จากไปทันที ทว่ายังคงมองประตูบานใหญ่สีแดงที่ปิดแน่นสนิทข้างหน้าเงียบๆ


เหล่าสาวใช้ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างกระวนกระวายใจ


ในที่สุดยังคงเป็นอิ้งจื่อที่ลองเข้าไปถามว่า “นายท่าน จะให้ข้าไปตรวจสอบทางถนนไฉ่ถังอีกรอบหรือไม่เจ้าคะ…”


ความคิดของเหยียนหลิงจวินสะดุดลง เขาถอนสายตากลับมามองนางอย่างเฉยชา


เวลานี้ถึงตอนที่อยู่กับฉู่สวินหยางกันตามลำพัง เขาจะแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้น แต่พวกสาวใช้กลับรู้ดีว่า…


ตอนนี้นายท่านนิสัยดีขึ้นมากเพราะท่านหญิงสวินหยาง แต่ลึกๆ แล้วนิสัยเขาก็ยังเหมือนเดิม ทั้งเยือกเย็นและแข็งกร้าว มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกกดดันอย่างมาก


ต่อหน้าสายตาคู่นี้ อิ้งจื่อก็ใจเต้นระรัวและก้มหน้าหลบสายตาทันที


“พาคนไปดูหน่อย ถ้ายังมีเบาะแสอะไรอีกก็กำจัดให้เกลี้ยง” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางยกมือปิดประตูแล้วถอยกลับเข้าไปข้างในรถม้า


อันที่จริงเรื่องนี้ฉู่สวินหยางพลาดไปหลายจุด ถึงแม้เขาไม่ต้องเข้าไปยุ่งก็ได้ แต่ในเมื่อนางไม่อยากให้ใครไปสืบหาความจริงต่อ เขาก็จะไม่ดึงดันทำเรื่องที่ห้าม


เหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกโล่งอก


เฉี่ยนลวี่หันตัวจะไปอย่างไม่ลังเล “ฝ่ายตรงข้ามลงมือได้อย่างไร้ที่ติ ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ข้าจะไปดูอีกรอบ”


“ช่างเถอะ ให้ข้าไปดีกว่า!” อิ้งจื่อรีบขวางนางไว้ก่อน “เจ้ากับเจี๋ยหงได้รับบาดเจ็บ กลับไปกับนายท่านก่อนเถอะ”


นางสองคนได้รับบาดเจ็บภายนอก ความจริงแล้วการปะทะกันอย่างรุนแรงตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เวลานี้สถานการณ์ไม่ได้คับขันขนาดนั้น ใช้แค่สองคนก็พอแล้ว นางเพียงกำชับอิ้งจื่อให้ระวังให้มาก แล้วตามรถม้าของเหยียนหลิงจวินกลับจวนเฉินไปก่อน


คนทั้งกลุ่มเพิ่งจะเลี้ยวเข้าตรอกไปก็เห็นเด็กรับใช้ที่คอยเฝ้าประตูยืนชะเง้อมองจากหน้าประตูและถือจดหมายอยู่ไกลๆ ทั้งที่ดึกมากแล้ว


เจี๋ยหงกระโดดลงจากรถม้าเข้าไปดูก่อนอย่างระแวง แล้วเอ่ยถามว่า “ดึกมากแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ปิดประตูไปนอน มาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”


“แม่นางเจี๋ยหง” เด็กรับใช้สะดุ้งตกใจได้สติกลับมา เขาถือจดหมายไว้ในมือแน่นและมองเหยียนหลิงจวินที่ลงมาจากรถม้าอย่างลำบากใจว่า “คุณชาย เมื่อครู่เพิ่งมีคนนำมาส่ง บอกว่า…”


เขาพูดไปสีหน้าก็ยิ่งไม่สบายใจ และลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงจะเอ่ยว่า “คนที่มาบอกว่าเป็นคนของท่านหญิงอันเล่อขอรับ”


ฉู่หลิงอวิ้น!


ดึกดื่นเที่ยงคืนให้คนมาส่งจดหมายให้เหยียนหลิงจวินงั้นหรือ?


ตอนที่เหยียนหลิงจวินอยู่ต่อหน้าคนอื่น ต่อให้เป็นเฉินเกิงเหนียน เขาก็ยังคงรักษาท่าทีห่างเหินเสมอ


ตั้งแต่ลงมาจากรถม้า เขาก็ยกยิ้มมุมปากตลอด แต่เวลานี้กลับเดินผ่านเด็กรับใช้เข้าไปข้างในอย่างไม่แยแส พลางเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “กำจัดทิ้ง!”


ไม่ได้สนใจมองแม้แต่นิดเดียว


เด็กรับใช้ยังลำบากใจไปอีกพักหนึ่ง


เฉินเกิงเหนียนเป็นคนเจ้าอารมณ์ ถึงแม้จะเป็นคนสนิทได้ใกล้ชิดฮ่องเต้ และทำงานที่สำนักหมอหลวงมาหลายปีขนาดนี้ก็เก็บสะสมทรัพย์สินในบ้านไว้ไม่น้อย แต่เขากลับใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายมาก เขาอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานที่แบ่งตัวบ้านเป็นสามส่วน[1] ทั้งหลังมีคนใช้แค่สิบกว่าคน อีกอย่างก่อนที่เหยียนหลิงจวินจะเข้ามาอยู่นั้น พ่อบ้านและเด็กรับใช้ในจวนเขาก็เป็นผู้ชายทั้งหมด


ถึงแม้เฉินเกิงเหนียนจะนิสัยไม่ดี แต่เขาไม่เคยสนใจของนอกกาย เขาพยายามเอาใจใส่คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่ ด้วยค่าตอบแทนของคนรับใช้จวนเขาคงพอจะเทียบกับบ้านคหบดีหลังอื่นได้


หลังจากเหยียนหลิงจวินย้ายเข้ามาอยู่ นอกจากพาหมอยาออกไปตามหาและเก็บยาสมุนไพรเป็นบางครั้ง เฉินเกิงเหนียนก็ยิ่งเอาแต่ขังตนเองศึกษาตำราแพทย์และยาสมุนไพรอยู่ในเรือนที่สามทุกวันทั้งวันทั้งคืน อย่างมากก็ชี้นิ้วสั่งแล้วก็ไม่จู้จี้ คนนอกอย่างเหยียนหลิงจวินกลับเหมือนเป็นเจ้าของจวนเฉินด้วยซ้ำ


อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเจ้านาย คนทั้งจวนนี้ก็บ่นกันมากพอดู แต่เหยียนหลิงจวินกลับนิสัยคล้ายกับเฉินเกิงเหนียนมาก และไม่ค่อยจุกจิกเท่าไร พอเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็รับตำแหน่งเดิมของเฉินเกิงเหนียนที่ว่างลงและก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงได้อย่างสบาย เหล่าคนรับใช้ต่างก็รู้สึกคุ้นเคยและเคารพยำเกรงเขาเหมือนกัน ไม่ว่าทำอะไรก็ยิ่งพยายามทำงานอย่างเต็มที่ขึ้นไปอีก


แต่เรื่องของเหยียนหลิงจวินกลับไม่มีใครกล้าแสดงความเห็นตามใจชอบ…


แค่สาวใช้ที่เขาพามาด้วยแต่ละคนก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายนัก


ตอนที่เด็กรับใช้กำลังกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั้นเอง เชินหลานก็วิ่งเข้ามาจากด้านหลังและแย่งจดหมายนั้นไปจากมือ “ส่งจดหมายอะไรดึกป่านนี้? ขอข้าดูหน่อย!”


เพราะปกตินางมักแต่งตัวเป็นผู้ช่วยหมอคอยติดตามเหยียนหลิงจวินเข้าออกวัง ดังนั้นปกติเวลาออกจากบ้านนางก็แต่งตัวเป็นผู้ชายตลอดเหมือนกัน


“อย่ายุ่ง!” เจี๋ยหงรีบแย่งจดหมายนั้นมาจากมือ จ้องนางอย่างไม่พอใจ แล้วเอ่ยกับเด็กรับใช้ว่า “รีบไปเรียกคนมาเอารถม้าไป จัดการปิดประตูแล้วไปนอนซะ! นายท่านสั่ง เจ้าก็ทำเฉยรึไง!”


“ขอรับ!” เด็กรับใช้ตอบรับแล้วไปเรียกอีกสองคนมาช่วยกันนำรถม้าไปเก็บในคอกม้า


เชินหลานยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี นางชะโงกหน้าไปจ้องจดหมายในมือเจี๋ยหงเขม็ง


เจี๋ยหงจ้องนางอีกรอบแล้วหยิบกระบอกไฟ[2] ออกมาเผาจดหมายทิ้ง พลางเอ่ยกับเชินหลานว่า “ยังจะมองอะไรอีก ไปนอนไป!”


เชินหลานแลบลิ้นใส่…


ของของเหยียนหลิงจวิน ถึงฉู่หลิงอวิ้นจะเป็นคนส่งมา นางก็รู้กฎดี ห้ามแตะต้องมั่วซั่ว เพียงแต่ลึกๆ แล้วนางก็นิสัยเหมือนเด็ก แล้วเมื่อครู่ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง


พอตรงนี้ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ เชินหลานก็กลอกตามองและจากไปแล้ว


เฉี่ยนลวี่เดินจับปลายผมที่ไหม้เกรียมและขมวดคิ้วมาจากข้างหลัง มองขี้เถ้าที่ตกกระจายอยู่ข้างเท้าเจี๋ยหงและเอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านหญิงอันเล่อนี่หน้าไม่อายจริงๆ ถึงได้กล้าส่งจดหมายมาจวนเฉินแบบนี้!”


ผู้หญิงคนนี้มีดีแค่หน้าตาและฐานะเท่านั้น นางจะมาเกาะแกะเหยีนหลิงจวินหรือ? ไม่ต้องพูดถึงเหยียนหลิงจวิน พวกสาวใช้ก็ไม่ชอบนางทั้งนั้น


ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายอย่างก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้ อีกอย่างตอนนี้…


เพียงคิดว่าเป็นจดหมายของผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างนางส่งมาก็ไม่ต้องอ่าน แค่ถือจดหมายนั้นไว้ในมือก็ขยะแขยงเต็มทีแล้ว


เฉี่ยนลวี่เอ่ยอย่างหงุดหงิดไม่น้อน “เคยเจอคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเจอคนอย่างนางและยังน่ารำคาญอีก”


แต่เจี๋ยหงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมมาก นางใช้หัวรองเท้าขยี้ขี้เถ้าบนพื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอขยับเท้าออกก็ไม่เหลืออะไรบนพื้นอีกแล้ว


“ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก” เจี๋ยหงเอ่ย


ฉู่หลิงอวิ้นก็มีความหยิ่งยโส ถึงแม้นางจะลดตัวลงมาเพราะอยากได้เหยียนหลิงจวินแต่ก็ไม่ได้ไป ทว่านั่นก็มีระยะเวลาจำกัด


ไม่ว่าจะโดนฉีกหน้าบนเรือเมื่อตอนกลางคืนหรือส่งจดหมายมาถึงจวนอย่างโจ่งแจ้งแบบตอนนี้ ดูอย่างไรก็เกินความอดทนของนางแล้ว ในเมื่อนางทนได้ก็ไม่มีทางที่จะไม่แอบวางแผนอะไรไว้


สาวใช้ของเหยียนหลิงจวินทุกคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เฉี่ยนลวี่ก็สติปัญญาเฉียบแหลม นางเอ่ยถามอย่างเย็นชาทันทีว่า “เจ้าว่านางมีแผนหรือ? เช่นนั้นนางน่าจะกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”


คงไม่ทำให้ฉู่สวินหยางไม่สบายใจแค่เพื่อสร้างสถานการณ์กระมัง?


“ไม่รู้!” เจี๋ยหงส่ายหน้าแล้วยกมือตบบ่านาง “ไปเถอะ ไปนอนได้แล้ว ในเมื่อนายท่านไม่ได้สั่ง ก็ไม่น่าจะมีอะไร”


ในเมื่อเหยียนหลิงจวินไม่สนใจ เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา


เฉี่ยนลวี่ก็เชื่อแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่องต่อ นางพยักหน้าแล้วเข้าไปในเรือนที่สองที่เหยียนหลิงจวินอาศัยอยู่พร้อมกับเจี๋ยหง


———————————–


ณ ริมแม่น้ำฮู่สุ่ย


ฉู่สวินหยางรอจนกระทั่งคนออกไปพอสมควรแล้ว เจิ้งเหวินคังถูกบังคับให้ยอมแพ้ก็รู้สึกไม่สนุก แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะดื่มเหล้าและเที่ยวเล่นต่อแล้ว จึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟให้คนเอาเรือจอดเทียบท่า


ผู้คนต่างก็หัวเราะเยาะ แล้วก็ไม่พูดอะไร แค่ทักทายหยอกล้อกันไม่กี่คำแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย


จางอวิ๋นอี้รีบพาบ่าวมุ่งหน้าไปทางถนนไฉ่ถังอย่างเร่งด่วน


เพราะว่าแถวนั้นเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น จึงมีคนมากมายกลับไปก่อน ดังนั้นพอเลยยามสองเกิง[3] ไปมากแล้ว ถนนก็เงียบสงัดขึ้นทันตา ไม่มีบรรยากาศเฉลิมฉลองงานเทศกาลในช่วงเวลานี้เหมือนอย่างปีที่ผ่านมา


ตลอดทางจางอวิ๋นอี้พาคนกลับอย่างรวดเร็ว เดิมทีอยากไปตามฉู่หลิงอวิ้นจะได้ให้นางกลับจวนด้วยกัน แต่ก็ยังช้าไปจึงคว้าน้ำเหลว ดังนั้นจะมัวชักช้าโอ้เอ้ไม่ได้ เขาขี่ม้ากลับไปอย่างร้อนใจ อยากลองว่าจะสามารถตามนางทันระหว่างทางหรือไม่


ตอนนั้นฉู่หลิงอวิ้นน่าจะโกรธมาก จึงรีบร้อนกลับไปท่าเดียว


ตลอดทางจางอวิ๋นอี้ไม่เจอใครเลย พอคิดว่าฉู่หลิงอวิ้นโดนฉีกหน้าต่อหน้าคนอื่นอีกก็รู้สึกกระวนกระวายใจ


“ซื่อจื่อ กลับมาแล้วหรือขอรับ?” บ่าวที่คอยเฝ้าประตูรีบเข้ามารับแส้ม้าไปจากมือเขา


“อืม!” จางอวิ๋นอี้รีบเดินเข้าไปข้างใน พลางถามว่า “ท่านหญิงกลับมารึยัง?”


“กลับมาได้สักครู่แล้วขอรับ” บ่าวรับใช้ตอบ โดยไม่ได้คิดอะไรมากแล้วออกไปช่วยจูงม้า


————————————


[1] เรือนสี่ประสาน (四合院)คือการสร้างบ้านล้อมเป็นกำแพงสี่ด้านโดยมีลานบ้านอยู่ตรงกลาง ในเรื่องกล่าวถึง 三进的院子 บ่งบอกว่าบริเวณบ้านแบ่งออกเป็นสามส่วนคล้ายตัวอักษรจีน 目


[2] กระบอกไฟ กระบอกไม้ขนาดเล็กมีฝาปิดที่ใช้สำหรับจุดไฟในสมัยโบราณของจีน คล้ายไฟแช็กในปัจจุบัน โดยเริ่มใช้มาตั้งแต่ปีค.ศ.577 แรกเริ่มใช้วัสดุที่หาได้ง่าย เช่น นำกระดาษมาม้วนเป็นแท่งทรงกระบอกแล้วจุดไฟ รอให้กระดาษไหม้แค่พอประมาณแล้วดับไฟ จากนั้นเก็บม้วนกระดาษนี้เป็นเชื้อไฟไว้ในกระบอกไม้ หากต้องการใช้อีกเพียงแค่เป่าลม ไฟก็จะติดขึ้นมาอีกครั้ง ภายหลังมีการพัฒนาต่อด้วยการนำวัสดุอื่นมาใช้แทนกระดาษเพื่อให้ไฟติดง่ายขึ้นด้วย


[3] เกิง หรือ ยาม คือ การนับเวลาช่วงกลางคืนตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปแล้วของจีน โดยแบ่งออกเป็น 5 เกิง หนึ่งเกิงมี 2 ชั่วโมง เริ่มนับตั้งแต่ 19.00-05.00 น. ดังนั้นยามสองเกิงคือช่วงเวลา 21.00-23.00 น.


บทที่ 7 หญิงคบชู้ (2)

โดย

Ink Stone_Romance

จางอวิ๋นอี้เข้ามาในจวนแล้ว เขาผ่านเรือนด้านหน้าแล้วเลี้ยวเข้าไปในสวนดอกไม้ด้านหลัง เดินไปเรือนตะวันตกที่ฉู่หลิงอวิ้นและจางอวิ๋นเจี่ยนอาศัยอยู่อย่างเร่งรีบ


บ่าวของเขาวิ่งเหยาะๆ ตามมาข้างหลัง แค่มองก็เข้าใจและตกใจจนเหงื่อตกไปทันที จึงรีบวิ่งเข้าไปรั้งเขาไว้ว่า “ซื่อจื่อ ดึกมากแล้ว กลับไปพักดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปเข้าเฝ้าแต่เช้าอีกนะขอรับ!”


จางอวิ๋นอี้คิดแต่เรื่องที่ฉู่หลิงอวิ้นโดนรังแกจึงจะปัดมือเขาออก แต่พอเห็นสีหน้าร้อนรนของเขาก็ชะงักไป เหมือนถูกคนสาดน้ำเย็นใส่กะละมังหนึ่งและได้สติกลับมาในชั่วพริบตา


ใช่แล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืน ถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นน้องสะใภ้ของเขา เขาไปหาแบบนี้ก็ไม่เหมาะสม


“ซื่อจื่อ กลับเถอะขอรับ!” บ่าวของเขานั้นกลัวแต่เขาจะคิดไม่ตก จึงรีบเตือนไม่หยุดว่า “ในเมื่อท่านหญิงกลับมาแล้วก็คงไม่เป็นไรแล้วขอรับ ถ้าซื่อจื่อไม่วางใจ พรุ่งนี้ค่อยให้ฮูหยินไปดูแต่เช้าก็ได้ แต่ยามนี้ดึกมากแล้วขอรับ!”


สองสามวันมานี้ ฉู่หลิงอวิ้นกับจางอวิ๋นอี้ ‘บังเอิญเจอกัน’ ทั้งในและนอกจวนหลายครั้ง ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายต่างทักทายกันอย่างสุภาพ แต่บ่าวของจางอวิ๋นอี้ติดตามเขามาตั้งแต่เล็ก จะไม่รู้ความเจ้าเล่ห์ของเจ้านายตนเองได้อย่างไร?


ถึงชื่อเสียงเวลาอยู่ข้างนอกของจางอวิ๋นอี้จะพอใช้ได้ แต่ถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว เขากับจางอวิ๋นเจี่ยนน้องชายของตนเองก็นิสัยแย่เหมือนกัน


เพียงแต่จางอวิ๋นเจี่ยนเป็นคนเหลวไหล ทั้งเที่ยวผู้หญิงและเจ้าชู้ไปทั่ว แต่จางอวิ๋นอี้เป็นซื่อจื่อของจวนติ้งเป่ยโหวยากที่จะหลีกเลี่ยงการควบคุมดูแลที่เข้มงวดมากกว่า ที่บ้านก็มีภรรยาหลายคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีหญิงงามรายล้อมรอบตัวอยู่เต็มบ้าน


เวลานี้เขากับฉู่หลิงอวิ้นดูภายนอกยังไม่มีอะไร แต่พอนานวันไป…


จางอวิ๋นเจี่ยนก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ฉู่หลิงอวิ้นที่เป็นฮูหยินสูงศักดิ์ จะอยู่กับเขาได้ทั้งชีวิตจริงๆ หรือ? แต่เพื่อรักษาชื่อเสียงเอาไว้ให้ได้ หากท้ายที่สุดพัฒนาความสัมพันธ์กับจางอวิ๋นอี้ขึ้นมาได้ก่อนจริง…


บ่าวคิดแล้วก็เหงื่อตกเต็มหน้าผากและสั่นไปทั้งตัว


จางอวิ๋นอี้คิดแล้วก็สงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด แต่ยังอดหันไปมองเรือนตะวันตกอีกรอบไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาและเดินกลับเรือนของตนเอง “กลับเถอะ!”


บ่าวโล่งอก สบโอกาสรีบตามเข้าไปใกล้ว่า “ซื่อจื่อ คืนนี้ท่านจะไปนอนห้องอนุภรรยาคนไหนดีขอรับ?”


เรื่องผู้หญิง จางอวิ๋นอี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ทว่าวันนี้กลับต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง เพียงกล่าวว่า “ให้คนเตรียมเหล้าและกับแกล้มไปส่งที่ห้องหนังสือ!”


“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” บ่าวขานรับ เปลี่ยนใจตรงไปห้องหนังสือกลางคัน แต่ในใจกลับคิดวางแผนอื่น


จางอวิ๋นอี้กลับไปถึงห้องหนังสือด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ เลือกหนังสือออกมาจากชั้นหนังสือเล่มหนึ่ง เดิมทีคิดจะใช้วิธีนี้เบี่ยงเบนความสนใจ แต่สุดท้ายก็หยิบออกมาแล้วก็วางกลับไปที่เดิม เดินวนไปวนมาในห้องอย่างกระวนกระวายใจ


ดีที่บ่าวจัดการได้ไว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็สั่งให้คนยกเหล้าและกับแกล้มมา แล้วยังพาสาวใช้สองคนมาคอยปรนนิบัติอีกด้วย


วันนี้จางอวิ๋นอี้รู้สึกกลุ้มใจ จึงเอาแต่ดื่มเหล้าจอกแล้วจอกเล่า ไม่นานเหล้าสองไหเล็กก็ลงท้องไปหมด และเขาก็เริ่มเมาขึ้นมาบ้างแล้ว จึงตะโกนทั้งที่ตาแดงว่า “เอาเหล้ามาอีก!”


“เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ!” สาวใช้คนหนึ่งขานรับ แล้วผลักประตูรีบเดินออกไป


จางอวิ๋นอี้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าสู้ไม่ดีนัก ทันใดนั้นก็มีมือนุ่มคู่หนึ่งวางลงบนบ่าเขา แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปนวดขมับให้เขาอย่างอ่อนโยน พลางมีเสียงออดอ้อนของผู้หญิงเอ่ยว่า “ซื่อจื่อดื่มไปมากแล้ว ข้าจะช่วยนวดให้ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัวเจ้าค่ะ”


กลางดึกเงียบสงัด ร่างกายหญิงสาวสัมผัสบ่าเขาอย่างนุ่มนวล หมายความว่าอะไรทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ


สาวใช้คนนั้นหน้าตาสะสวย ทั้งยังเสนอตัวรับใช้เขาเอง จางอวิ๋นอี้ก็กำลังอยากระบายความร้อนรุ่มในร่างกายอยู่พอดี ในเมื่อต่างก็คิดเหมือนกันจึงดึงนางเข้าสู่อ้อมอกทันที


ทั้งสองคนเข้าสู่ห้วงอารมณ์อย่างรวดเร็ว ทว่าตอนที่กำลังเล้าโลมปลุกเร้าอารมณ์อยู่นั้นเอง พลันได้ยินเสียงสาวใช้ร้องไห้และก่นด่าเสียงดังมาจากข้างนอก “คิดว่าเป็นใครกัน ก็แค่คนใช้เท่านั้น ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ทันระวังไปชนนางเข้านิดเดียว แล้วอย่างไร? ยังไม่ยอมจบอีก!”


“เจ้าเบาเสียงหน่อย ระวังรบกวนซื่อจื่อ!” สาวใช้อีกคนก็จงใจเตือนเสียงดัง


“รังแกกันเกินไปแล้ว เจ้าดูหน้าข้าโดนข่วนเป็นรอยหมดแล้ว!” สาวใช้คนแรกกลับยังไม่ยอมหยุด และเอะอะโวยวายเสียงดัง “นางเป็นสาวใช้ของท่านหญิงแล้วอย่างไร? ที่นี่คือจวนติ้งเป่ยโหวของตระกูลจาง ใครจะยอมให้นางใช้อำนาจข่มเหงกัน? ข้าจะไปให้ซื่อจื่อตัดสินว่าใครผิดใครถูก…”


นางพูดไปก็เหมือนจะบุกเข้าไปข้างใน แต่กลับถูกอีกคนขวางไว้ เสียงเอะอะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนจางอวิ๋นอี้กับสาวใช้คนงามที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในห้องถูกรบกวนจนหมดอารมณ์ เขาผละจากนางไปสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด่าทออย่างเดือดดาลว่า “ดึกมากแล้วจะมาร้องหาอะไร? ยังไม่ให้คนมาลากตัวไปอีก!”


“ซื่อจื่อ!” สาวใช้คนที่ถูกทำร้ายก็อยู่เรือนของจางอวิ๋นอี้มาระยะหนึ่งแล้ว ทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ด้วยกันครั้งสองครั้ง จึงคิดไปเองว่าเขาจะเข้าข้าง นางคุกเข่าต่อหน้าเขาเสียงดังตุ้บ น้ำตายิ่งไหลพรากด้วยความดีใจว่า “ซื่อจื่อช่วยข้าด้วย เมื่อครู่ข้าไปหยิบเหล้าจากห้องครัวให้ท่าน ไม่ทันระวังชนจื่อซวี่สาวใช้ของท่านหญิงเข้านิดเดียว นางสารเลวนั่นก็ฉวยโอกาสรังแกข้า นางไม่เพียงแต่ตบตีข้า ยังข่วนหน้าข้าจนเจ็บด้วยเจ้าค่ะ!”


นางเอ่ยพลางเงยหน้ามองอย่างทั้งน้อยใจและไม่พอใจ ร้องไห้จนน้ำตาอาบหน้าแล้วชี้รอยเลือดตั้งแต่แก้มไปถึงหลังหู


จางอวิ๋นอี้เพิ่งจะโยนเรื่องฉู่หลิงอวิ้นทิ้งไปจากสมอง พอได้ยินก็รู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาอีกทันทีจึงถามว่า “ดึกดื่นเที่ยงคืน นางไปทำอะไรที่ห้องครัว?”


“ก็ไปหยิบเหล้าเหมือนกันเจ้าค่ะ!” สาวใช้ตอบ “ซื่อจื่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะเจ้าคะ พวกนางอาศัยว่ามีท่านหญิงหนุนหลัง จึงข่มเหงกันเกินไปแล้ว!”


ดึกดื่นเที่ยงคืนจื่อซวี่ไปเอาเหล้าหรือ? หรือฉู่หลิงอวิ้นก็อารมณ์ไม่ค่อยดีจึงดื่มเหล้าคลายทุกข์เหมือนกันงั้นหรือ?


จางอวิ๋นอี้รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เพิ่งจะพยายามเลิกคิดได้ ผ่านไปครู่เดียวเรื่องก็กลับมาให้คิดอีกแล้ว


นางมัวแต่คร่ำครวญ จนไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนไป เอาแต่สะอึกสะอื้นวิงวอนให้จางอวิ๋นอี้ให้ความเป็นธรรมกับนาง


เวลานี้จางอวิ๋นจี้จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปดูแลเอาใจใส่นาง พลันทำหน้าเย็นชาและเอ่ยเสียงดังว่า “เข้ามา เอาตัวบ่าวชั้นต่ำที่ไม่ดูตาม้าตาเรือนี่ไปให้พ้นหน้าข้า!”


นางตกใจจนนิ่งอึ้งไปทันที…


นี่ไม่เหมือนท่าทียามปกติของซื่อจื่อจวนนี้


ยังไม่ทันตั้งสติได้ ก็มียามรักษาการณ์สองคนพุ่งเข้ามาจากด้านนอก ปิดปากนางแล้วหิ้วตัวออกไป


สาวใช้ที่เมื่อก่อนเคยอยู่ด้วยกันในเรือนนี้ตกใจจนแทบไม่กล้าหายใจ จึงแอบหนีไปอย่างเร่งรีบแล้ว


จางอวิ๋นอี้ยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนยากที่จะเดาใจ นิ้วมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อก็กำและคลายหลายครั้ง


สาวใช้คนงามรออยู่ในห้องนานแล้วไม่เห็นเขาเข้าไปสักที ก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมทับ เดินออกมาอย่างอ่อนช้อย เข้าไปโอบแขนเขาเบาๆ แล้วเรียกเสียงอ่อนหวานว่า “ซื่อจื่อ…”


จางอวิ๋นอี้หันกลับไปมองเรือนร่างอันเย้ายวนใต้เสื้อผ้าของนาง เปลวไฟเพิ่งจะจุดติดขึ้นในดวงตา ทว่าทันใดนั้นก็คิดถึงใบหน้าอันงดงามของฉู่หลิงอวิ้นขึ้นมาอีก ดังนั้นต่อให้สาวใช้คนนี้จะสวยแค่ไหนก็กระตุ้นอารมณ์ของเขาไม่ได้


“ไสหัวไป!” เขาโบกมือไล่


นางถูกเขาผลักล้มลงพื้นอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เปิดเผยเรือนกายขาวผ่องใต้เงาโคมไฟ นัยน์ตายิ่งทอประกายความน้อยใจและน้ำตาคลอเบ้า “ซื่อจื่อ…”


“ไสหัวไป!” จางอวิ๋นอี้ตัดสินใจได้แล้วจริงๆ เขาดุด่าอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา


พอเห็นเขาเอาจริงก็ไม่กล้ากวนใจ นางกัดฟันรีบเก็บเสื้อผ้ามากอดไว้แล้วถอยออกไป


จางอวิ๋นอี้กลับไปข้างโต๊ะ อยากจะดื่มเหล้าดับความอัดอั้นตันใจ แต่พอยกจอกเหล้าขึ้นดื่มถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาดื่มเหล้าพวกนั้นหมดไปตั้งนานแล้ว


โมโหแต่ไม่ได้ระบาย เขาเดินงุ่นง่านอยู่ในห้องไปสองรอบ และด้วยฤทธิ์เมาจึงทำให้สมองที่ตีกันสับสนวุ่นวายนั้นมีใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นที่สวยสดงดงามยิ่งนักปรากฏขึ้นมาไม่หยุด


เดินวนไปสองรอบ สุดท้ายเขาก็ยังข่มอารมณ์ไม่ได้ จึงผลักประตูเดินออกไปข้างนอก


ทีแรกบ่าวของเขากลับไปนอนแล้ว แต่พอได้ยินว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น ก็รีบคลุมเสื้อผ้าแล้วตามมาอย่างไว และเจอเขาออกมานอกเรือนเข้าพอดี


“ซื่อจื่อ? ดึกดื่นเที่ยงคืน ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?” บ่าวเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจ แต่ในใจก็พอเดาได้


ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจเลือกสาวใช้หน้าตาสะสวยมาก็เพื่อให้จางอวิ๋นอี้ได้ระบายอารมณ์และเบี่ยงเบนความสนใจไปด้วย นึกไม่ถึงว่าจะทำไม่สำเร็จ


เวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ หากจางอวิ๋นอี้ไปหาฉู่หลิงอวิ้น จะเกิดอะไรขึ้นเล่า?


“ข้าจะออกไปเดินสักหน่อย!” จางอวิ๋นอี้ตอบ โดยไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย


————————————-


บทที่ 7 หญิงคบชู้ (3)

โดย

Ink Stone_Romance

พอเขาหนีหน้า บ่าวก็รีบตามมาอีกและพยายามเกลี้ยกล่อมต่อด้วยความหวังดีว่า “ซื่อจื่อ วันนี้ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักก่อนเถิดขอรับ!”


“บ่นอะไร? เจ้าไม่ต้องตามมา ไสหัวไป!” จางอวิ๋นอี้เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วสาวเท้าไปทางสวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว


เวลานี้ซื่อจื่อเสียสติไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะชมชอบน้องสะใภ้ของตนเอง ถ้าปล่อยไปแบบนี้ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่!


หากเจ้านายก่อเรื่อง บ่าวที่คอยรับใช้ก็ต้องโดนหางเลขไปด้วย เช่นนั้นบ่าวจะกล้าให้เขาก่อเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร ลังเลอยู่นานก็ค่อยๆ วิ่งตามไป


จางอวิ๋นอี้กำลังเมาได้ที่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะฟังเขา ทั้งยังเอ่ยอย่างอารมณ์เสียและโมโหว่า “บอกแล้วว่าเจ้าไม่ต้องตาม…”


ยังไม่ทันพูดจบก็ได้กลิ่นเหล้าลอยตลบอบอวลในอากาศ เห็นเงาคนขยับไปมาในศาลาที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกล บางครั้งก็มีเสียงพูดเบาๆ ปะปนมาด้วย


สองคนหันไปมองตามเสียง จางอวิ๋นอี้ก็สร่างเมาในทันใด ทิ้งบ่าวเอาไว้อย่างไม่สนใจไยดีและเดินไปอย่างรวดเร็ว


ณ ศาลานั้นฉู่หลิงอวิ้นถือจอกเหล้าอยู่ในมือ และกำลังรินเหล้าให้ตนเองดื่มด้วยสีหน้ากลุ้มใจ เวลานั้นนางดื่มไปมากแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียกของนางซบอยู่บนโต๊ะหินครึ่งหนึ่ง รินเหล้าในตนเองจอกหนึ่งแล้วเทกรอกปาก


จื่อซวี่เตือนอยู่ข้างๆ อย่างร้อนใจว่า “ท่านหญิง อย่าดื่มเลยเจ้าค่ะ ทำร้ายตนเองแบบนี้ทำไมเจ้าคะ? หากท่านดื่มจนร่างกายแย่จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”


“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า!” ฉู่หลิงอวิ้นปัดมือนางออก ฝืนยิ้มเยาะถือจอกเหล้าไว้ “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้ามายุ่งกับข้า!”


“ท่านหญิง…” เสียงจื่อซวี่ปนสะอื้น พอเห็นว่าเตือนแล้วนางไม่ฟังจึงลองแย่งจอกเหล้าจากมืออีกข้างของนางมากล่าวต่อว่า “ท่านดื่มไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะ ดึกแล้ว ข้าจะประคองท่านกลับไป!”


“ไปให้พ้น!” ฉู่หลิงอวิ้นเหมือนถูกยั่วโมโห อยู่ดีๆ ก็เอ่ยเสียงดังต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิง นางโซเซลุกขึ้นมาพร้อมกับผลักจื่อซวี่ไปในเวลาเดียวกัน


นางอยากจะออกไปเดินนอกศาลา แต่เมาจนเดินตุปัดตุเป๋ เดินสองก้าวก็เกือบสะดุดชายกระโปรงล้มลง


จื่อซวี่รีบวิ่งเข้าไปประคอง และยังเตือนอย่างน่าฟัง “ท่านหญิง ข้ารู้ว่าท่านทุกข์ใจ แต่ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ควรทรมานร่างกายตนเองเช่นนี้ นี่ถ้าหากพระชายารู้เข้า ไม่รู้ว่าจะเสียใจขนาดไหนนะเจ้าคะ”


พอพูดถึงชายาจวนอ๋องหนานเหอ ฉู่หลิงอวิ้นก็ยิ่งเหมือนถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องเศร้า น้ำตาพลันไหลออกมา


สองนายบ่าวต่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน จางอวิ๋นอี้เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว


พอเห็นท่าทางเมาจนเดินเป๋ของฉู่หลิงอวิ้นก็รีบเข้าไปถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”


เขาอยากจะยื่นมือไปช่วยพยุงอย่างลืมตัว แต่พอเห็นจื่อซวี่ขมวดคิ้วมองเขาอย่างระวังตัว ก็พลันรู้สึกตัวว่าไม่เหมาะสม จึงหดมือกลับไปอีกอย่างหน้าเสีย


“ซื่อจื่อเองหรือ!” ฉู่หลิงอวิ้นรีบเช็ดน้ำตา เพราะไม่อยากให้เขาเห็น แล้วหันไปค้ำโต๊ะหินและนั่งลงข้างโต๊ะอีกครั้ง นางไม่ทักทายเขาสักคำ มัวแต่หยิบจอกเหล้าจะรินเหล้าให้ตนเองอีก


“ท่านหญิง…” จื่อซวี่ตกใจ แล้วรีบเข้าไปขวางนางอีก


ฉู่หลิงอวิ้นฟังนางอ้างนู่นอ้างนี่จนเริ่มหงุดหงิด จึงขว้างจอกเหล้าในมือทิ้งจนตกแตกบนพื้นเสียงดังเพล้ง แล้วถามอย่างโมโหว่า “เจ้าก็บังคับข้าหรือ? แค่ข้าจะดื่มเหล้าสักจอกก็ไม่ได้เชียวหรือ? พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”


จื่อซวี่ถูกนางตวาดให้หยุด ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครแล้วจึงเดินมาหยุดต่อหน้าจางอวิ๋นอี้ และคุกเข่าขอร้องว่า “ซื่อจื่อ ท่านช่วยเตือนท่านหญิงหน่อยเถอะ นางเป็นแบบนี้…ข้าเป็นห่วงจริงๆ เจ้าค่ะ!”


ส่วนฉู่หลิงอวิ้นหัวเราะเยาะแล้วก็เริ่มรินเหล้าให้ตนเองดื่มอีก


จางอวิ๋นอี้ขมวดคิ้วมองแล้วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา จึงตำหนิจื่อซวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ท่านหญิงเป็นอะไรกันแน่? แต่ใครทำให้นางไม่สบายใจ? แล้วทำไมพวกเจ้าไม่รู้จักเตือนสักหน่อย?”


“ถ้าไม่เพราะท่านหญิงสวินหยาง…” จื่อซวี่เอ่ย นัยน์ตาทอประกายความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง “รู้ดีว่าท่านหญิงของข้าทุกข์ใจ แต่นางยังจะพูดแทงใจดำต่อหน้าคนอื่นอีก!”


นางพูดไปแล้วก็เหมือนคิดได้ว่าอย่างไรจางอวิ๋นเจี่ยนกับจางอวิ๋นอี้ก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน จึงรีบหยุดปากและเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ซื่อจื่อ…ข้าไม่ได้…ข้า…ข้า…”


จางอวิ๋นอี้สนใจเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน เขาคิดแต่จะช่วยคลายทุกข์ให้ฉู่หลิงอวิ้นเท่านั้น จึงโบกมือว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ!”


แล้วเขาก็หันตัวเดินไป ถอนหายใจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หินข้างฉู่หลิงอวิ้นว่า “ท่านหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องทำร้ายตนเองเช่นนี้…”


ฉู่หลิงอวิ้นมองเขาอย่างเมาสะลืมสะลือ นางยิ้มขมขื่นอีกครั้ง แล้วเหลือบไปมองด้านข้าง “ข้าก็ดื่มแค่จอกสองจอก ทำไมพวกเจ้าจะต้องเครียดขนาดนั้นด้วยเล่า?”


นางพูดไปก็คว้าจอกเหล้าว่า “อยากจะดื่มด้วยกันสักจอกหรือไม่?”


จางอวิ๋นอี้ก็ไม่รู้ว่าจะเตือนนางเช่นไรเหมือนกัน อย่างไรจางอวิ๋นเจี่ยนก็เป็นน้องชายของเขา เรื่องบางเรื่องจึงพูดไม่ได้ แต่เห็นฉู่หลิงอวิ้นเป็นแบบนี้ เขากลับรู้สึกสงสารขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะสองสามวันมานี้ที่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วเขาก็แอบชอบนางอยู่แล้วด้วย


เมื่อก่อน ด้วยฐานะของทั้งสองฝ่ายทำให้จำเป็นต้องคอยหลบเลี่ยงการตกเป็นเป้าสายตาจากคนอื่น ทว่าเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ได้โอกาสตอนฉู่หลิงอวิ้นเมาเหล้าอีกพอดี เขาก็อยากจะลองดู พอตัดสินใจได้แล้วก็รับจอกเหล้ามารินเหล้าให้ตนเองเหมือนกัน


จื่อซวี่เห็นแล้วร้อนใจก็รีบเข้าไปว่า “ซื่อจื่อ ท่าน…”


“ท่านหญิงอารมณ์ไม่ดี เตือนอย่างไรก็ไม่ฟังอีก ก็ปล่อยให้นางดื่มไปเถอะ เดี๋ยวกลับไปนอนพอตื่นมาก็ไม่เป็นไรแล้ว” จางอวิ๋นอี้เอ่ย เห็นเหล้าในจอกนั้นเหลือไม่มากแล้ว จึงสั่งบ่าวที่ยืนอยู่นอกศาลาอย่างกระวนกระวายใจว่า “ไปเอาเหล้ามาอีกสองไห!”


บ่าวเห็นเขากับฉู่หลิงอวิ้นนั่งด้วยกัน ก็หน้าดำคร่ำเครียด เวลานี้ไม่อยากได้ยินเขาสั่งให้ไปไหนทั้งนั้น แต่ก็รู้ดีว่าขัดใจเขาไม่ได้ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แล้วสุดท้ายก็ออกไป…


ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฉวยโอกาสกำจัดคนออกไปจากสวนดอกไม้นี้ ถึงแม้จะแค่ดื่มเหล้าก็จะไม่ให้คนมาคอยจับจุดอ่อนอยู่ข้างๆ ได้


จื่อซวี่เชื่อคำพูดของจางอวิ๋นอี้ จึงปล่อยให้สองคนรินเหล้าให้แก่กัน และดื่มอย่างไม่บันยะบันยัง


ในที่สุดฉู่หลิงอวิ้นก็ซบหน้าลงบนโต๊ะ แล้วร้องไห้เงียบๆ ด้วยสีหน้าเซื่องซึม


“ท่านหญิง…” จางอวิ๋นอี้ว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที เขาเอื้อมมือไปเช็ดหางตานาง


ฉู่หลิงอวิ้นเมามาก จนไม่รู้ว่าเห็นเขาเป็นใครถึงได้ดึงแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย น้ำตายิ่งไหลพราก ปากพึมพำฟังไม่ค่อยชัด “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา…ไม่เชื่อ…”


ฉู่หลิงอวิ้นร้องไห้เสียใจ จางอวิ๋นอี้เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกใจอ่อนยวบมากขึ้นไปอีก ทั้งปวดใจทั้งสงสารจนแทบทำอะไรไม่ถูก


จื่อซวี่เห็นสองคนท่าทางเกินเลยจึงรีบเข้าไปแยก นางลองประคองฉู่หลิงอวิ้น พร้อมทั้งบอกจางอวิ๋นอี้อย่างเกรงใจว่า “ขอบคุณซื่อจื่อมากที่ช่วยข้าเตือนท่านหญิง แต่ท่านหญิงเมาแล้ว ข้าจะพยุงนางกลับไปก่อนเจ้าค่ะ”


ฉู่หลิงอวิ้นเมาหนัก จื่อซวี่ก็รูปร่างบอบบาง แค่ประคองตัวนางขึ้นมาได้ สองคนก็แทบเซไปพร้อมกัน จนเกือบจะล้มลงบนพื้น


และพอดีว่า…


จางอวิ๋นอี้ที่อยู่ข้างหลังก็ถูกลากติดมาด้วย…


ฉู่หลิงอวิ้นยังจับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ


จื่อซวี่สีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ว่าจะเตือนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทั้งสามคนจึงยังติดอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางประหลาด


จื่อซวี่อยากไปเรียกคนมาช่วย แต่ก็ไม่กล้าทิ้งฉู่หลิงอวิ้นไว้คนเดียวอีก นางลำบากใจมากจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี


ในวันที่อากาศหนาวเหน็บ อากาศช่วงกลางคืนยิ่งหนาวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังเที่ยงคืน ถึงแม้จะดื่มเหล้าไปไม่น้อย แต่พอมีสายลมพัดผ่าน ทั้งสองคนต่างก็หนาวจนขนลุกไปทั้งตัว


จางอวิ๋นอี้ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็สูดหายใจแล้วเสนอว่า “พวกเจ้าเดินไปแบบนี้ไม่ไหวหรอก ตอนนี้คนรับใช้ก็นอนหมดแล้ว ให้ข้าไปส่งท่านหญิงเถอะ!”


“เอ่อ…” จื่อซวี่มีสีหน้าลำบากใจ สองจิตสองใจไม่ยอมตอบรับ


จางอวิ๋นอี้เห็นฉู่หลิงอวิ้นยืนโงนเงนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ย “เวลานี้ไม่มีใครเดินผ่านสวนดอกไม้แล้ว แล้วก็เดินไปไม่ไกลนัก ข้าแค่ส่งท่านหญิงกลับไป…”


แต่จื่อซวี่ยังไม่ยอมอยู่ดี นางลังเลอยู่อีกครู่ใหญ่ จนท้ายที่สุดก็รอช้าไม่ได้แล้วจริงๆ จึงพยักหน้าว่า “ได้เจ้าค่ะ!”


เห็นฉู่หลิงอวิ้นเมาและหน้าแดงด้วยฤทธิ์เหล้าจนดูสวยเป็นพิเศษ หัวใจของจางอวิ๋นอี้แทบจะกระโดดออกมาจากอก เขารีบสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และปกปิดความรู้สึกเอาไว้ในใจ แล้วอุ้มฉู่หลิงอวิ้นขึ้นมาและเดินไปทางเรือนตะวันตก


บ่าวของเขาตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง แต่ก็พูดอะไรไม่ได้


จื่อซวี่นำทางพาทั้งสองคนกลับที่พักของฉู่หลิงอวิ้นด้วยกัน


ตลอดทางราบรื่นมาก ไม่ว่าจะที่สวนดอกไม้หรือเรือนของฉู่หลิงอวิ้น คนรับใช้ก็นอนหมดแล้ว และไม่มีใครตกใจตื่นขึ้นมาเลย


จื่อซวี่นำทางจางอวิ๋นอี้ไป แต่เพราะว่าเขาไม่สะดวกเข้าออกห้องนอนของฉู่หลิงอวิ้น จึงพาไปยังห้องอุ่นที่อยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก่อน


“วันนี้ขอบคุณซื่อจื่อจริงๆ เจ้าค่ะ” พอนำทางจางอวิ๋นอี้มาถึงห้องโถงแล้ว จื่อซวี่ก็เอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เห็นตัวจางอวิ๋นอี้ก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าเหมือนกันจึงเอ่ยว่า “วันนี้ท่านหญิงอารมณ์ไม่ดี ข้าจึงอุ่นน้ำแกงสร่างเมาบนเตาในห้องข้างๆ เตรียมไว้ให้นางก่อนแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปตักมา ซื่อจื่อก็ดื่มสักถ้วยแล้วค่อยไปเถอะเจ้าค่ะ!”


———————————–


บทที่ 7 หญิงคบชู้ (4)

โดย

Ink Stone_Romance

จางอวิ๋นอี้ก็ไม่รู้ว่าตนเองอยากทำอะไรต่อเช่นกัน ถึงอย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นน้องสะใภ้ของเขา และยังมีฐานะเป็นท่านหญิงด้วย หากเป็นสาวใช้ทั่วไป ในเมื่อเขาชอบพอจะใช้กำลังแย่งมาอย่างไรก็ได้ แต่กับฉู่หลิงอวิ้น…


เขากล้าคิด แต่ไม่กล้าทำ


ยากที่จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดนางสักครั้ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร


ตอนที่เขากำลังรู้สึกหดหู่อยู่นั้นเอง พอจื่อซวี่พูดขึ้นมาจึงตอบรับไปแบบไม่รู้ตัว โดยเอ่ยอย่างใจลอยว่า “ได้!”


จื่อซวี่ถอยออกไป เพียงชั่วครู่ก็ถือถาดที่มียาต้มวางอยู่สองถ้วยเข้ามา นางวางถ้วยหนึ่งไว้ให้จางอวิ๋นอี้ แล้วยกอีกถ้วยเข้าไปให้ฉู่หลิงอวิ้น


จางอวิ๋นอี้ก็ไม่ได้ดูให้ละเอียด แค่ดื่มน้ำแกงสร่างเมาถ้วยนั้นไป


จื่อซวี่เข้าไปครู่หนึ่งก็ออกมาใหม่ นางค้อมศีรษะให้เขาแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ซื่อจื่อ ท่านหญิงหลับไปแล้ว และนี่ก็ดึกมาแล้ว ข้าไปส่งท่านนะเจ้าคะ?”


“โอ้ ได้สิ!” จางอวิ๋นอี้ตอบรับทันที ตอนที่วางถ้วยแกงลงแล้วลุกขึ้น เหมือนมีความรู้สึกผิดหวังอันหนักหน่วงเอ่อล้นขึ้นมาในใจ แต่ทำได้เพียงเดินตามนางออกไป


จื่อซวี่ส่งเขาแค่ที่ลานบ้านเท่านั้น แล้วก็อ้างว่าฉู่หลิงอวิ้นต้องการคนอยู่ด้วยจึงต้องกลับไป


“อือ!” จางอวิ๋นอี้พยักหน้าเหมือนผิดหวัง “ไปเถอะ ดูแลท่านหญิงให้ดี!”


“เจ้าค่ะ ข้าจะดูแลให้ดี” จื่อซวี่ตอบ แต่นัยน์ตากลับฉายแววกังวลเพียงชั่วพริบตา แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


พอเข้าไปในห้องอุ่น กลับเห็นฉู่หลิงอวิ้นลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว นอกจากหน้าที่แดงเล็กน้อยแล้ว สายตาก็ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่หลงเหลืออาการเมาแม้แต่น้อย


จื่อซวี่รู้ดีและไม่รู้สึกประหลาดใจสักนิด


“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยถาม


“ถือว่าราบรื่นดีเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่ตอบ ความกังวลฉายอยู่บนใบหน้าอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้อีกแล้ว นางหันกลับไปมองทางประตูแล้วกดเสียงต่ำว่า “ท่านหญิง จะทำแบบนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ? ท่านไม่ลองคิดดูอีกสักนิดหรือ? ถึงคุณชายจะไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ซื่อจื่อก็…ถึงตอนนั้นถ้าถูกเขาจับได้ ข้ากลัวว่าท่านหญิงจะเสียใจ!”


“เสียใจหรือ? อย่างเขาจะทำให้ข้าเสียใจได้เชียวหรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นถาม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา แล้วหยิบถ้วยมารินน้ำให้ตนเอง


“หือ?” จื่อซวี่อึ้งไป แล้วมองนางอย่างหวาดระแวง “ท่านหญิง ท่านไม่ได้…ท่าน…”


“ก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น พอพูดออกมาหมด รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความโหดเหี้ยมและเย็นชาแทน


จื่อซวี่ใจกระตุกไปชั่ววูบ เพียงครู่เดียวก็เริ่มเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่นางพูดทั้งหมด ทว่ายังเผลอถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว


“กลัวอะไร?” ฉู่หลิงอวิ้นถาม แล้วมองข้ามนางไปทางประตูที่อยู่ด้านหลังนางว่า “ถึงอย่างไรข้าไม่มีทางเสียใจ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”


เวลานี้หากจื่อซวี่ยังไม่เข้าใจความหมายของนางอีกก็คงโง่เต็มทีแล้วจริงๆ


“ท่านหญิง!” จื่อซวี่หน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา นางคุกเข่าน้ำตาคลอ แล้วเอื้อมมือไปจับชายกระโปรงของนางไว้และขอร้องว่า “ท่านหญิง ข้าติดตามท่านมาหกปี ตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ท่าน ทำงานให้ท่านได้ดีมาตลอด ท่านเคยรับปากข้าไว้ว่าอีกสองปีจะปล่อยให้ข้าไปแต่งงาน ท่านหญิง…ได้โปรด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”


“เรื่องที่ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ ข้าไม่คืนคำแน่นอน แต่มันคนละเรื่องกับตอนนี้!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย นางเลิกคิ้วแล้วมองถ้วยยาที่วางอยู่ใกล้มือว่า “ถ้ากลัวทำได้ไม่ดีก็ดื่มยานี้ซะ!”


จื่อซวี่ฟังแล้วก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี นางตัวสั่นหมดไปทั้งตัว


ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่รีบร้อน และแค่อมยิ้มมองนางเท่านั้น


ไม่มีใครรู้นิสัยนางดีไปกว่าจื่อซวี่ หากตอนนี้ไม่เชื่อฟังนางก็หนีรอดไปได้แค่ครั้งนี้ แต่หลังจากนี้จะต้องตายอนาถกว่าเดิม


จื่อซวี่คิดในใจอย่างรวดเร็ว นางน้ำตาไหลอาบแก้ม สุดท้ายก็ยื่นมือสั่นๆ ออกมาอย่างรู้ว่าควรจะทำอะไร และหยิบยาถ้วยนั้นไป


มือนางสั่นรัว แต่กลับพยายามฝืนให้นิ่ง ไม่กล้าทำให้ยานั้นหกออกมา ระหว่างดื่มยานั้นก็เหลือบหางตามองหน้าฉู่หลิงอวิ้นตลอด หวังว่านางจะเปลี่ยนใจ เพียงแต่สุดท้ายผลก็เหมือนเดิมอย่างที่คิดไว้


จื่อซวี่กลืนยาลงไปแล้วก็ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ความสิ้นหวังอัดแน่นเต็มหัวใจ นางถือถ้วยยายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น


ฉู่หลิงอวิ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วลงจากเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวออกมาให้นางเช็ดยาที่เลอะอยู่ตรงมุมปาก พลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทำงานให้ข้าให้เรียบร้อย แล้วข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี!”


นางยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่จื่อซวี่กลับเห็นแล้วเหงื่อตกไปทั้งตัว กัดฟันแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมา


หลังจากนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งลงพื้น แล้วแย่งถ้วยยาที่นางถือไว้แน่นไปจากมือ สายตาเย็นชาขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วขว้างถ้วยลงบนปลายเท้านางอย่างแรง


“อ๊า…” จื่อซวี่ร้องตกใจอย่างที่คิดไว้ และกระโดดสูงมาก


ฉู่หลิงอวิ้นดับโคมไฟสองดวงในห้องแล้วเดินออกไปทางประตูเล็กที่หลบซ่อนจากสายตาคนอยู่ข้างๆ ไปท่ามกลางความมืด


ด้านนอกนั้นจางอวิ๋นอี้ยังรีรอไม่อยากไป เขาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงลานบ้านอย่างเชื่องช้า พอได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจดังมาจากข้างหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็เข้าใจว่าเป็นฉู่หลิงอวิ้นไปทันที


เขาตกใจจนรีบวิ่งกลับไปเดี๋ยวนั้น แล้วพุ่งกลับเข้าไปในห้องก่อนหน้านี้ทันทีโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว


เวลานี้โคมไฟทั้งในและนอกห้องดับหมดแล้ว แสงจันทร์ด้านนอกก็สลัวมาก ใจเขาคิดถึงแต่ความปลอดภัยของฉู่หลิงอวิ้น จึงบุกเข้าไปในห้องอุ่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พร้อมทั้งถามอย่างร้อนใจว่า “ท่านหญิง? เกิดอะไรขึ้น? ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”


ท่ามกลางความมืดนั้น จื่อซวี่ได้ยินเสียงเขา นางรู้สึกกลัวจนเผลอขยับถอยหลังไปเหยียบเศษถ้วยแตก เสียงไม่ดังมาก แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจนในความมืด


จางอวิ๋นอี้ได้ยินเสียงจึงหันไปมอง


ตอนนี้เขาปรับสายตาให้ชินกับความมืดในห้องนี้ได้แล้ว จึงเห็นเงาร่างบอบบางพิงอยู่ข้างเตียงเตี้ยด้านในอย่างที่คิดไว้


เขารีบตามเข้าไป แต่แค่คิดจะขยับก็เหมือนเหยียบอะไรบางอย่างเข้าจึงลื่นล้ม สุดท้ายก็พากันล้มลงบนเตียงพอดี


จื่อซวี่ร้องเจ็บจนอยากจะผลักเขาออก แต่พอคิดถึงสีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นก่อนหน้านี้ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างเด็ดขาด และเอ่ยเรียกเสียงสั่น “ซื่อจื่อ…”


“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? ข้าได้ยินเจ้าร้อง…” ร่างกายของหญิงสาวอยู่ในอ้อมกอด จางอวิ๋นอี้หายใจถี่กระชั้น ถามก็ถามแบบขอไปที ร่างกายเขาร้อนรุ่ม เขาสูดกลิ่นหอมตรงซอกคอของนาง เวลานี้หัวใจจึงเต้นแรงไม่หยุดจนไม่มีเวลาแยกแยะเสียงได้ชัดเจน


“ข้า…ไม่รู้!” จื่อซวี่ตอบ นางไม่กล้าพูดอะไรมากเช่นกัน กลัวแต่จะโดนจับได้


นางติดตามฉู่หลิงอวิ้นมาหลายปี ทุ่มเททำงานให้เจ้านายอย่างสุดหัวใจมาตลอด คิดแต่จะเก็บสะสมเงิน พอถึงเวลาก็หาผู้ชายที่ซื่อสัตย์และจริงใจสักคนใช้ชีวิตด้วยกัน หากนางมีใจคิดประจบประแจงเจ้านายจริง…


กับฉู่ฉีเหยียนนั้นนางไม่กล้าคิด แต่ก็คงหาโอกาสปีนเตียงฉู่อี้หมินไปตั้งนานแล้ว


ตอนนี้เห็นระยะเวลาที่ฉู่หลิงอวิ้นรับปากนางไว้อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับถูกสั่งให้ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้


ในใจจื่อซวี่ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งน้อยใจ น้ำตาไหลพรากออกมาทันที


เดิมทีจางอวิ๋นอี้ก็ไม่บริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว แล้วยังดื่มน้ำแกงสร่างเมาที่ใส่ยาถ้วยนั้นเข้าไปอีก สติของเขาบินหายไปหมดตั้งนานแล้ว ตอนแรกยังคิดถึงฐานะของฉู่หลิงอวิ้นจึงลองหยั่งเชิงสักเล็กน้อย พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะผลักเขาออกก็แอบดีใจอยู่เงียบๆ แต่พอลองยื่นปากเข้าไปใกล้และสัมผัสได้ถึงน้ำตาบนใบหน้าของหญิงสาว ใจเขาก็สั่นอีกครู่หนึ่งและชะงักไปในทันที


แต่จื่อซวี่กลับรู้ดีว่าเวลานี้นางไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจยื่นแขนไปคล้องคอเขาไว้ แล้วยื่นหน้าไปเอ่ยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่ออย่าไป ข้า…ข้ากลัว!”


เพียงเท่านั้นสติที่เหลืออยู่ไม่มากอยู่แล้วของจางอวิ๋นอี้ก็พังทลายลง เขากดตัวนางลงบนเตียงอย่างอดกลั้นอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป


ตอนแรกจื่อซวี่ก็ยังไม่ยินยอม นางกัดฟันฝืนอดทนไว้ แต่พอยาออกฤทธิ์แล้วทั้งสองคนก็สอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างเร่าร้อน


บ่าวของจางอวิ๋นอี้ไม่สามารถอยู่ในบริเวณบ้านของฉู่หลิงอวิ้นได้ตามใจชอบ จึงรออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวายอยู่นานมาก จนท้ายที่สุดก็กังวลคิดไม่ตกจริงๆ จึงแอบลัดเลาะเข้ามาอยู่ตรงด้านล่างเชิงกำแพง พอเขาได้ยินเสียงจากในห้อง ขาทั้งสองข้างพลันอ่อนยวบเป็นอัมพาตไปตรงนั้นทันที


———————————-

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม